War sovereign Soaring The Heavens 2066-2086
ตอนที่ 2,066 : ชิวมู่ชิง!
“เห็นว่ามันได้ออกประกาศไปทั่ว ว่าหากพบเจอ 3 คนจากภูมิภาคเบื้องล่างนั่นอีกครั้ง มันจะฆ่าทั้งหมดให้ตาย ไม่เหลือแม้แต่ศพไว้กลบฝัง!”
เสียงดังกล่าวยังคงดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนจนจบ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้
ว่าราชันเม็ดยาซุนยิงที่อีกฝ่ายกล่าวถึง สมควรเป็นเฒ่าชราฝีมือร้ายกาจเจ้าของสวนสมุนไพรที่เขา กู่ลี่ และจูลู่ฉี บังเอิญสุ่มโผล่ครั้งมาถึงภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าครั้งแรกแน่นอน…
ซุนยิงคิดขังพวกเขาทั้ง 3 เอาไว้เพื่อให้เป็นทาสคอยทำงานในสวนสมุนไพร!
ต่อมาด้วยแผนของผู้เฒ่าหั่ว และได้รับความร่วมมือจากกูลี่และจูลู่ฉี เขาก็ได้ขโมยโอสถและสมุนไพรทั้งหมดในสวนสมุนไพรของซุนยิงจนเกลี้ยง หลังจากนั้นก็เล่นละครเล็กน้อย ค่อยหลบหนีออกมาได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามตอนนั้นพวกเขาไม่รู้ตัวตนของชายชราเจ้าของสวนสมุนไพรคนนั้น
“ซุนยิง ราชันเม็ดยา? ปรมาจารย์เซียนหลอมโอสถระดับเทียมสวรรค์? ผู้ฝึกตนพเนจร รั้งอยู่ในอันดับที่ 275 ของรายนามยอดเซียน?”
มาวันนี้พอได้รู้ว่าตัวตนเจ้าของสวนสมุนไพรคืออะไร ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกลัวใจไปพักหนึ่ง!
ยอดฝีมือที่ติดอยู่ในอันดับที่ 275 ของรายนามยอดเซียนได้…มั่นใจได้ 100 ส่วนว่ามันคือเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนแน่นอน! และต่อให้จะไม่ใช่ชนชั้นสุดยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน แต่ก็ต้องมีพลังฝีมืออยู่ในระดับแนวหน้า!!
‘โชคดีที่ตอนนั้นพวกเราหนีออกมาได้อย่างราบรื่น…ไม่งั้นพวกเรา 3 คนคงได้แต่พรวนดินรดน้ำไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแน่’
เมื่อทราบว่าพลังฝีมือซุนยิงร้ายกาจเพียงใด ต้วนหลิงเทียนก็ลอบขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ
ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมดด้วยกระบี่นิลสวรรค์ฆ่าปู้หงของลัทธิบูชาไฟได้ก็จริง แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นแค่อันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียนเท่านั้น
เกรงว่าตอนนี้ต่อให้เขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของซุนยิง
‘ตอนนี้จ้าววังจูสมควรกลับไปถึงภูมิภาคเบื้องล่าง และแจ้งข่าวที่ตำหนักเมฆาครามเรียบร้อยแล้ว…หวังว่าท่านพ่อจะพาคนของตำหนักเมฆาครามลี้ภัยไปซ่อนตัวได้ทัน ก่อนที่หยางชง อาวุโส 5 วังอุดรไพศาลจะหาเจอ’
เมื่อนึกถึงซุนยิง ต้วนหลิงเทียนอดนึกถึงจูลู่ฉีขึ้นมาเสียไม่ได้ อย่างไรอีกฝ่ายก็ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเขาในตอนนั้น
จูลู่ฉีได้รับความไว้วางใจจากเขาให้ทำหน้าที่สำคัญ ลงไปแจ้งข่าวบิดาเขาที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…
อย่างไรก็ตามเกรงว่ากระทั่งหลับต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจฝันถึง
ว่าจูลู่ฉีได้ตกตายไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว!
จูลู่ฉีไม่ได้กลับไปถึงภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแต่อย่างใด เนื่องจากค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคเกิดความผิดพลาด ทำให้มันถูกส่งตัวไปยังแดนเนรเทศ สุดท้ายก็ถูกอาวุโส 10 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวสังหาร!
‘พี่กู่…’
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงกู่ลี่ ‘ไม่รู้ป่านนี้พี่กู่เป็นไงบ้าง…’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้นเอง เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นร่าง 2 ร่างที่กำลังเดินมายังโต๊ะที่เขานั่ง
ร่างสองร่างที่กำลังเดินมานั้นเป็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาจัดว่าดูดี
แต่แน่นอนว่ายังเทียบกับโฉมปลอมของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ไม่ได้
และไม่ว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียนก่อนหรือหลังแปลงโฉมมันก็เทียบไม่ได้เช่นกัน เอาแค่ใบหน้าปลอมที่จงใจลดทอนความหล่อลงแล้ว ก็ยังดูดีกว่ามันมาก…
ด้วยเหตุนี้ทำให้ยามที่ชายหนุ่มเดินมาถึงข้างโต๊ะต้วนหลิงเทียนและแลเห็นหน้าตาเขา สีหน้ามันจึงเผยความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็น
เป็นความรู้สึกด้อยกว่าที่ทำให้เสียอารมณ์และขัดใจถึงขีดสุด ในใจเริ่มบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
สำหรับหญิงสาวที่เดินมาข้างๆมัน นับว่ามีใบหน้างดงามน่าดูเหลือเกิน เสน่ห์ของนางนับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว มากพอจะสะกดสายตาชายหนุ่มน้อยใหญ่ให้เหลียวมองอย่างลืมตัว ยังชวนมองเสียจนทำให้บรรยากาศโดยรอบคล้ายจืดลงถนัดตา
ต้องกล่าวเลยว่านางนับเป็นโฉมงามพิลาศคนหนึ่ง
ถึงแม้จะไม่อาจเทียบภรรยาของต้วนหลิงเทียนอย่างเค่อเอ๋อและลี่เฟยได้ ทว่านางก็ด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นับได้ว่าเป็นโฉมงามที่หาได้ยากในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคนหนึ่ง
ที่สำคัญแม้นางจะมีรูปโฉมงดงาม หากแต่บรรยากาศรอบกายกลับเป็นเอง แลดูเข้าถึงได้ง่าย
ด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ กับท่าทางสบายๆ ทำให้นางคล้ายนางเซียนน้อยที่ลงมาเที่ยวเล่นคนหนึ่ง
“คุณชายท่านนี้สบาย ตอนนี้ในเหลาอาหารมิมีโต๊ะเหลือให้นั่งอีกแล้ว…หากไม่เป็นการรบกวนคุณชายเกินไป มิทราบให้พวกเรานั่งร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่?”
สตรีชุดขาวมองต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหม่อคิดอยู่ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มชวนให้ผู้ฟังรู้สึกสบายหูดั่งมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน…
เมื่อได้ยินเสียงใสกล่าวถาม ต้วนหลิงเทียนก็หายเหม่อ ดึงสติลับมาอยู่กับตัวทันที
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะทั้ง 2 คนที่เข้ามาไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายอะไรกับเขา เขาจึงยังนั่งเหม่ออยู่ได้ หากทั้งคู่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของจิตมุ่งร้าย เขาย่อมรู้ตัวแต่แรก
“หือ? เจ้าว่าอะไรนะ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวาบหนึ่งเมื่อแลเห็นสตรีชุดขาวด้านหน้า ตั้งแต่มาที่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ต้วนหลิงเทียนยังไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดงดงามเท่านางมาก่อน
เป็นธรรมดาว่าไม่นับก่านหรูเยี่ยน เพราะนางหน้าตาเหมือนเค่อเอ๋อ
“ตอนนี้ในเหลามิมีโต๊ะเหลืออยู่เลย…หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ไม่ทราบพวกเราขอนั่งร่วมโต๊ะกับคุณชายได้หรือไม่?”
สตรีชุดขาวค่อยๆกล่าวถามออกมาอีกครั้ง แก้มของนางยังแดงเรื่อขึ้นมาคล้ายเขินอายอยู่บ้าง
นั่นเพราะนางพบว่ายามบุรุษเบื้องหน้ามองมาที่นาง แววตาของอีกฝ่ายกลับกระจ่างใสไร้ความคิดอกุศลอะไรเหมือนสายตาที่บุรุษผู้อื่นใช้มองนาง ยังใสบริสุทธิ์จนน่ามอง
นางประทับใจแววตาของอีกฝ่ายมาก กระทั่งยังรู้สึกชื่นชมเจ้าของสายตาเช่นนี้ขึ้นมาจากใจ
ตั้งแต่ที่นางเติบโตมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกประทับใจในตัวบุรุษอื่นนอกจากคนในครอบครัวของนาง
เช่นนั้นแก้มนางจึงอดไม่ได้ที่จะแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ได้สิ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
นอกจากสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายใดๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังประทับใจท่าทีใสซื่อเหนียมอายของสาวน้อยเบื้องหน้าเล็กน้อย
ตั้งแต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่แม้แต่จะเหลือบแลชายหนุ่มที่มากับนาง
และเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเห็นว่าสตรีข้างกายสนทนากับต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นกันเอง อีกทั้งนางยังเผยทีท่าเขินอายออกมา ลูกตามันก็ฉายโทสะออกชัด
ในใจของมันเห็นสตรีนางนี้เป็นสตรีของมันมานานแล้ว
อย่างไรก็ตามกับมัน…สตรีนางนี้ไม่แม้แต่จะเผยทีท่าขวยเขินอะไรแบบนี้ให้เห็นเลย!
ดังนั้นมันถึงได้มีโมโหเป็นฟืนไฟ!
“ขอบคุณท่าน”
สตรีในชุดขาวกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน หลังจากนั้นก็เลือกที่จะนั่งลงข้างต้วนหลิงเทียน
โต๊ะอาหารกับเก้าอี้ในเหลาอาหารแห่งนี้ เป็นโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสามารถนั่งได้อย่างไม่แออัด 4 คน โดยมีเก้าอี้ยาวสามารถนั่งได้ 2 คนตั้งอยู่ตรงข้ามกันในด้านยาวของโต๊ะ ส่วนหัวโต๊ะอันเป็นด้านกว้างทั้งสอง ด้านหนึ่งติดหน้าต่าง อีกด้านติดทางเดิน เพื่อไม่ให้เกะกะจึงมิอาจตั้งเก้าอี้ไว้นั่งได้
ด้วยความที่นางไม่อยากนั่งกับชายหนุ่มที่มาด้วยกัน เช่นนั้นนางก็ได้แต่เลือกนั่งลงข้างๆต้วนหลิงเทียน
เพราะสำหรับนางแล้วชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ อย่างน้อยๆก็มองนางด้วยสายตาบริสุทธิ์ไร้ความคิดอกุศลแม้แต่น้อย ทำให้นางรู้สึกวางใจและปลอดภัย
อยู่ๆสตรีชุดขาวก็มานั่งลงข้างๆแบบนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจทั้งคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำหอมที่โชยมาเตะจมูกก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายใจจนไม่รังเกียจอะไร
ส่วนด้านชายหนุ่มที่มากับสตรีชุดขาว พอเห็นแบบนี้ก็แทบจะแปลงร่างเป็นยักษ์กินคน!
ต้องมาเห็นตำตาว่าสตรีข้างกาย…กลับเลือกที่จะไปนั่งข้างบุรุษที่ใดก็ไม่รู้แต่ไม่ยอมนั่งลงข้างมัน! เพลิงโทสะทั้งความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในใจทันที!!
“ชิงเอ๋อ…เจ้าไปนั่งกับบุรุษแปลกหน้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน มานั่งข้างข้าเถอะ”
หลังชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งลงตรงข้ามแล้ว มันก็เอ่ยกล่าวกับสตรีชุดขาวออกมาในเวลาที่เหมาะสม ในวาจาคล้ายจะเน้นย้ำคำคนแปลกหน้าให้นางฟัง
เพราะมันคิดว่าพอนางคิดถึงเรื่องนี้ ต้องย้ายมานั่งข้างมันแน่นอน
“ตงฟางฉู่ ข้าจักบอกท่านอีกครั้ง…ชิงเอ๋อมิใช่นามที่ท่านจะเรียกหาได้ เพราะระหว่างเรามิได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น! ท่านเรียกข้าว่าชิวมู่ชิงตรงๆเถอะ!”
หลังได้ยินคำเรียกหาจากชายหนุ่มนาม ตงฟางฉู่ แต่ต้นจนจบอากัปรกิริยาทั้งวาจาของสตรีชุดขาวนั้นอ่อนโยนดั่งสายน้ำไหล ทว่าใบหน้าที่แลดูน่ารักเป็นกันเองของนางยามนี้เผยความเยียบเย็นไม่น้อย เสียงกล่าวยังห้วนเย็นราวมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว
ชิวมู่ชิง?
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ก็พลอยได้ยินชื่อของนางด้วยเช่นกัน ยังอดไม่ได้ที่จะยกย่อง ‘นามอันประเสริฐ’ อยู่ในใจ
นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังพบว่าสตรีนามชิวมู่ชิงนี้ แม้จะมาพร้อมกันกับบุรุษนามตงฟางฉู่แท้ๆ แต่ท่าทางจะไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไหร่
ไม่เพียงแต่ไม่สนิทสนม ยังคล้ายนางจะรังเกียจอีกฝ่ายด้วย
และนี่ทำให้เขาสับสนไม่น้อย ‘ในเมื่อนางไม่ชอบหน้าตงฟางฉู่…แล้วไฉนต้องมาหาอะไรกินที่เหลาอาหารพร้อมมันด้วยเล่า?’
จิตใจสตรี ลึกดั่งเข็มในมหาสมุทร…
นับว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ!
แต่อย่างไรก็ตามลึกลงไปในใจเขายังรู้สึกประทับใจกับท่าทีของชิวมู่ชิงคนนี้อยู่บ้าง
ได้ยินคำของชิวมู่ชิง สองตาตงฟางฉู่เผยประกายเยียบเย็น หากแต่ใบหน้ายังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม “ให้ข้าเรียกเจ้าด้วยชื่อเต็มย่อมห่างเหินเกินไป…ในเมื่อเจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกหาเจ้าเช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่าคุณหนูมู่ชิงเป็นไร?”
“ท่านเรียกข้าว่า แม่นางชิวเถอะ”
ชิวมู่ชิงกล่าวตอบด้วยเสียงไม่แยแส
“เอาล่ะๆ…ทุกอย่างข้าล้วนตามใจเจ้า เมื่อเจ้าอยากให้ข้าเรียกแม่นางชิว เช่นนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่าแม่นางชิว…”
ตงฟางฉู่กล่าวออกด้วยรอยยิ้มเอาอกเอาใจ ทว่าในใจนั้นลอบสาปแช่งคาดโทษไม่น้อย
‘นังแพศยานี่ถือตัวนักนะ! รอให้เจ้าแต่งกับข้าก่อนเถอะ ข้าจักถล่มเจ้าอย่างไร้เมตตา! คอยดูไปเถอะว่ายามเจ้ายับเยินอยู่ใต้ร่างข้าเจ้าจักถือดีอันใดได้อีก!’
“แม่นางชิว เรื่องที่ข้าพึ่งกล่าวไปเมื่อครู่…”
ขณะเดียวกันตงฟางฉู่ก็กล่าวกระตุ้นเตือนชิวมู่ชิงออกมาอีกครั้ง มันย่อมไม่อยากให้ชิวมู่ชิงนั่งข้างต้วนหลิงเทียนแต่ลุกมานั่งข้างๆมันแทน
มันไม่อยากพลาดโอกาสใกล้ชิดหญิงงาม
ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ก็หน้าตาหล่อเหลากว่ามันมากนัก อีกทั้งท่วงท่าก็แลดูสง่างามน่าเกรงขามกว่ามัน ทำให้มันรู้ซึ้งถึงรสชาติของความพ่ายแพ้ตั้งแต่ไม่ทันได้สู้
“มิเป็นไร ข้านั่งตรงนี้ดีแล้ว”
อย่างไรก็ตามชิวมู่ชิงกล่าวตัดบทตงฟางฉู่อีกครั้ง เลือกยืนกรานจะนั่งข้างๆต้วนหลิงเทียน
จังหวะนี้สีน้าตงฟางฉู่มืดลงทันที
ในเมื่อไร้ประโยชน์ที่จะเปลี่ยนใจชิวมู่ชิง ตงฟางฉู่จึงได้แต่หันไปหาทางข่มต้วนหลิงเทียนแทน
“คุณชายท่านนี้มิทราบเรียกว่าอะไร ส่วนข้าคือตงฟางฉู่…คุณชายรองของตระกูลตงฟาง 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองคงหมิง! บิดาของข้าคือผู้นำตระกูลตงฟางคนปัจจุบัน!”
ตงฟางฉู่มองถามต้วนหลิงเทียนพร้อมแนะนำตัวเองด้วยใบหน้าถือดี น้ำเสียงฟังดูภาคภูมิใจไม่น้อย
ตอนที่ 2,067 : ต้วนหลิงเทียนผู้ครอบงำ!
เมืองคงหมิงก็คือเมืองที่ต้วนหลิงเทียนกำลังอาศัยอยู่ ณ ตอนนี้ หากแต่มันก็เป็นเพียงเมืองเล็กๆทางตอนใต้ของเขตตะวันตกเท่านั้น
จากบทสนทนาของผู้ที่มาดื่มกินในเหลาอาหาร เขาเองก็มีความเข้าใจในเมืองนี้ไม่น้อย และรู้ดีว่าตระกูลใดเป็นผู้ถืออำนาจใหญ่ในเมือง
ในเมืองคงหมิง นอกเหนือจากกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรแล้ว ขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดก็คือตระกูลใหญ่ทั้ง 3
3 ตระกูลใหญ่ที่ว่าก็ได้แก่ ตระกูลเฝิง ตระกูลชิว และตระกูลตงฟาง ในภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้ทั้ง 3 ตระกูลยังถือได้ว่าเป็นขุมพลังชั้น 3!
ในหมู่พวกมันตระกูลเฝิงนับว่าแข็งแกร่งที่สุด
‘ชิวมู่ชิง…แซ่ชิว หรือนางจะเป็นคนของสกุลชิว’
แม้จะได้ยินวาจาถามไถ่พร้อมแนะนำตัวอย่างถือดีของตงฟางฉู่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะสนใจอะไรมัน เลือกที่จะเมินแล้วคาดเดาเรื่องราวในใจ
“ไอ้หนู นี่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึไง?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกล้าที่เมินมัน ตงฟางฉู่ย่อมมีโมโหไม่น้อย สองตาทอประกายเยียบเย็นดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน!
มันที่เป็นถึงคุณชายรองตระกูลตงฟาง ไหนเลยจะเคยถูกผู้คนเมินเฉยไม่เห็นหัวแบบนี้!
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะยังคงเมินเฉยมันเหมือนเดิม ยังหันไปมองถามชิวมู่ชิงอีกด้วย “หากข้าเดาไม่ผิด…แม่นางสมควรเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้นำตระกูลชิวในปัจจุบันใช่หรือไม่?”
ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินคนที่มาดื่มกินในเหลาสุรากล่าวถึง สาวงามของตระกูลชิวเช่นกัน อีกทั้งผู้ที่เมามายยังพร่ำเพ้อเรียกนางว่าเทพธิดาไม่หยุด ทว่าไม่ได้กล่าวชื่อของนางออกมาตรงๆ
นอกจากเรื่องนี้ยังมีหลายคนกล่าวถึงเรื่องราวความเป็นไป ทั้งสถานการณ์ของเมืองคงหมิงให้เขาฟังหลายอย่าง จนเขาปะติดปะต่อเรื่องราวได้ บัดนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนเข่มนกัน ดองกัน กระทั่งเรื่องลักลอบเป็นชู้กันเขายังล่วงรู้มาไม่น้อย…
ในเมืองคงหมิงแห่งนี้ แม้จะมี 3 ตระกูลใหญ่แข่งขันกันช่วงชิงอำนาจปกครองสั่งสมความมั่งคั่ง ทว่าตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตระกูลเฝิง! ยังแข็งแกร่งถึงขั้นที่อีก 2 ตระกูลจำต้องผนึกกำลังกันคานอำนาจ หาไม่แล้วคงได้ถูกกลืนกิน!!
อีก 2 ตระกูลที่ว่าก็คือตระกูลตงฟาง กับตระกูลชิวนั่นเอง แน่นอนว่าพวกมันก็หวังที่จะเชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น จะได้ไม่ต้องกลัวโดนอีกฝ่ายแว้งกัด
และการแต่งงานก็คือการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับ 2 ตระกูล
กล่าวกันว่าผู้นำตระกูลชิวตัดสินใจที่จะให้บุตรีคนเดียวของมันหมั้นหมายกับคุณชายรองตระกูลตงฟาง
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนได้ยินมาว่าคุณหนูของสกุลชิวคนนี้ไม่สนใจอะไรคุณชายรองแม้แต่น้อย ทำให้เรื่องราวการหมั้นหมายจำต้องลากถ่วงออกมาช้านาน
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ทันเอะใจ
แต่ตอนนี้พอได้ยินคำแนะนำตัวของชายหนุ่ม กอปรทั้งทีท่าของสตรีชุดขาว เขาก็เดาได้ทันทีว่าทั้งคู่ไม่พ้นคุณชายรองสกุลตงฟางกับคุณหนูสกุลชิวที่ไม่ยอมหมั้นหมายกันเสียทีนั่นเอง…
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ๆก็หันมากล่าวถามนั้น วาจาท่าทางแลดูเป็นกันเองราวกับเป็นสหายของชิวมู่ชิง
ชิวมู่ชิงที่สัมผัสได้ถึงลมร้อนจากถ้อยคำของต้วนหลิงเทียน หน้าถึงกับขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย ค่อยถามกลับไปด้วยท่าทางประหลาดใจ “ทะ…ท่านรู้จักข้าหรือ?”
“ไม่หรอก ข้าแค่เดา”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าก่อนหน้าเขาเข้าใจนางผิดไป
คุณหนูสกุลชิวผู้นี้ถึงแม้จะมาด้วยกันกับตงฟางฉู่ แต่ท่าทางนางจะไม่ได้เต็มใจมากับมันแม้แต่น้อย ไม่พ้นคงถูกทางตระกูลบังคับกดดันให้ใช้เวลาร่วมกับตงฟางฉู่หมายเพิ่มพูนความสัมพันธ์ เพื่อนางจะได้มีใจให้อีกฝ่าย
ไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะคาดเดาเรื่องทั้งหมดได้
ด้วยเหตุนี้การที่ชิวมู่ชิงมาหาอะไรกินพร้อมตงฟางฉู่ทั้งๆที่แลดูรังเกียจอีกฝ่ายก็มีคำตอบแล้ว
“เดาหรือ?”
ชิวมู่ชิงแปลกใจกับคำตอบของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง หากแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร
นางประทับใจบุรุษที่แลดูไม่ธรรมดาคนนี้ไม่น้อย อีกทั้งสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กล่าววาจาโป้ปดเพื่อคิดเอาใจนาง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ค่อยชอบคนของตระกูลตงฟางสักเท่าไหร่…มาตอนนี้พอได้ยินเสียงเห่าของเจ้าคางคกนั่นข้าก็เดาเรื่องราวได้ไม่ยาก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมา
ในวาจาเปรียบเปรยไม่ได้ไว้หน้าผู้คนแม้แต่น้อย
“อุฟ!”
ได้ยินคำเปรียบเปรยของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ คิ้วนางโค้งดั่งเสี้ยวจันทร์ หน้าตาแลดูสดใสน่ารักขึ้นไม่น้อย
เห็นนางตอนหัวเราะร่าเริงแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนที่มทันได้ตั้งตัวก็ถึงกับเหม่อไปอยู่บ้าง
ตอนชิวมู่ชิงหัวเราะร่าเริง ช่างน่าดูกว่าตอนทำหน้าบึ้งตึงไร้รอยยิ้มนัก
รอยยิ้มสดใสนี้ของนางพอจะเทียบกับเค่อเอ๋อและลี่เฟยได้เลยทีเดียว
เห็นว่าต้วนหลิงเทียนมองจ้องนางตอนหัวเราะไม่วางตา ชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคอะเขิน แก้มเริ่มแดงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งลำคอที่ขาวกระจ่างทั้งเกลี้ยงเกลาดั่งหยกมันแพะก็ขึ้นสีแดง เผยให้รู้ว่าตอนนี้นางเขินมากมายเพียงใด
คางคก?
ด้านตงฟางฉู่ที่นั่งตรงข้ามต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงแน่นอนว่าย่อมได้ยินวาจาเปรียบเปรยของต้วนหลิงเทียนชัดถนัดหู
มันไม่ใช่ตัวโง่งม ไหนเลยจะไม่รู้ว่าคางคกที่เห่าในวาจาของต้วนหลิงเทียนก็คือตัวมัน!
อย่างไรก็ตามมันไม่คิดไม่ฝันเลย
ว่าในเมืองคงหมิงแห่งนี้ ยังมีใครที่กล้าเปรียบมันเป็นคางคกอยู่เช่นนี้!
ในขณะที่โทสะตงฟางฉู่กำลังทะลักล้นในใจ พอมาเห็นพวงแก้มชิวมู่ชิงหญิงที่มันหมายปองขึ้นสีแดงเรื่อ กระทั่งลำคอที่ขาวผุดผ่องก็ยังขึ้นสีไม่ต่าง เผยให้ทราบว่านางกำลังเขินจนอายม้วนเพียงใด ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ต่างอะไรจากเติมน้ำมันราดรดกองไฟ!
ฟืด! ฟาด! ฟืด! ฟาด!
…
แม้จะสูดลมหายใจเข้าหนักหน่วงไปหลายรอบ แต่ตงฟางฉู่ก็ไม่อาจระงับอารมณ์ได้สืบไป
“ไอ้หนู! เจ้าอยากตายมากนักเหรอ!!”
เสียงตะโกนด้วยอำมหิตลั่นดังขึ้น ร่างมันทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจากเก้าอี้ วาจาไม่กล่าวให้มากความ คนยิงหมัดอัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอันเกรี้ยวกราด หมายตะบันหน้าหล่อเหลาของต้วนหลิงเทียนให้หงาย!
“ระวัง!”
ชิวมู่ชิงที่แต่เดิมขวยเขินอายม้วนราวสาวน้อยข้างต้วนหลิงเทียน พอเห็นตงฟางฉู้ลงมืออย่างไร้เหตุผลต่อต้วนหลิงเทียน หน้างามแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง นางเองก็ลุกพรวดขึ้นมาหมายหยุดหมัดของตงฟางฉู่ทันที
อนิจจานางที่แต่เดิมก็มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกับตงฟางฉู่ เมื่อลงมือทีหลังเช่นนี้ไหนเลยจะช่วยต้วนหลิงเทียนได้ทัน
ปงงง!!
และในขณะที่ชิวมู่ชิงกำลังร้อนใจ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นสนั่นลั่นเหลาอาหาร ก่อนที่จะบังเกิดสายลมหอบใหญ่ซัดกวาดออกมาจากต้นกำเนิดเสียงสนั่นดังกล่าว พาลให้เหลาอาหารป่วนปั่นไม่น้อย ถ้วยชามกระเด็นกระดอน อาหารที่คีบจับคล้ายมีชิวิตขึ้นมาอีกครั้ง ต่างดิ้นหลุดตะเกียบกันจ้าละหวั่น…
ขณะเดียวกันผู้ที่มาดื่มกินไม่สนจานชามอาหารที่คว่ำมือเพียงคว้าจอกและกาสุราเอาไว้ราวสิ่งล้ำค่า หลังจากนั้นต่างหันไปสนใจโต๊ะของต้วนหลิงเทียนที่เป็นต้นตอความปั่นป่วนทันที
“หืม? เจ้านั่นมิใช่คุณชายรองตระกูลตงฟาง ตงฟางฉู่รึไร?”
“ส่วนสตรีที่งดงามปานภาพวาดนั่น…หรือว่าจะเป็นคุณหนูมู่ชิง!”
“งามเสียขนาดนั้นสมควรเป็นคุณหนูมู่ชิงไม่ผิดแน่! นี่น่ะหรือ…โฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองคงหมิงเรา! ช่างสมคำร่ำลือนัก นางช่างเปล่งประกายมีรัศมีเหนือหญิงอื่นจริงๆ!!”
“เฮ่อ ถึงแม้หน้าตาของคุณชายรองสกุลตงฟางจะพอไปวัดไปวาได้ แต่หากนำมาเทียบกกับนางแล้ว…ช่างต่างกันเกินไป”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น…หากจะเทียบกันแล้ว ข้าว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงที่นั่งข้างคุณหนูมู่ชิงยังจะเหมาะสมกว่า มิว่าจะท่วงท่าความรู้สึก ช่างสง่างามเหนือคุณชายรองสกุลตงฟางนัก…ยามนั่งข้างแม่นางมู่ชิวยังสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก”
“ข้าก็คิดว่าแม่นางมู่ชิงเหมาะกับเจ้าหนุ่มชุดม่วงข้างๆนางมากกว่าเช่นกัน…”
“แล้วนี่สองคนนั่นทำอันใดกัน ต่อยตีแย่งหญิงงามกันรึ?”
…
คนที่มาดื่มกินในเหลาสนทนากันอย่างออกรส
ในวาจาของพวกมัน เห็นชัดว่าไม่แยแสพื้นหลังของตงฟางฉู่กับชิวมู่ชิงแม้แต่น้อย กล้าแสดงความเห็นอย่างไม่หวาดกลัวสกุลใหญ่
เพราะในเมืองคงหมิงแห่งนี้ นอกจาก 3 ตระกูลใหญ่แล้ว ก็มีพันธมิตรผู้พเนจรอยู่ด้วย
เช่นนั้นพวกมันไม่กลัวว่าตระกูลตงฟางกล้าที่จะเอาเรื่องพวกมันด้วยเรื่องราวเล็กน้อยเท่านี้
ได้ยินวาจาจากเหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลาอาหาร สีหน้าชิวมู่ชิงเริ่มย้อมไปด้วยสีแดงอีกครั้ง ขณะเดียวกันนางก็ลอบมองไปยังต้วนหลิงเทียน พอพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาที่นาง ร่างบางก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก…
‘บัดซบ! ไฉนไอ้หนูนี่มันถึงได้ร้ายกาจนักเล่า!?’
ส่ววนอีกด้านนั้น ตงฟางฉู่ที่ถูกต้วนหลิงเทียนรับหมัดเอาไว้ได้อย่างไร้เรื่องราว ใบหน้าก็เริ่มเผยความเจ็บปวดออกมา สีหน้ายังเริ่มเปลี่ยนไปเป็นซีดเซียว! เพราะอีกฝ่ายกำลังบีบหมัดมันแทบแหลก! ยังมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวชำแรกเข้าร่างสะกดไม่ให้มันเดินพลังต่อต้านอันใดได้!!
“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นท่าทางจะร้ายกาจไม่เบา…เห็นนิ่งๆอย่างนั้นทว่ายามลงมือช่างแข็งแกร่งยิ่ง!”
“ใช่ จะอย่างไรตงฟางฉู่นั่นมันก็บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นยิ่งใหญ่แล้ว ทว่าต่อหน้าเจ้าหนุ่มชุดม่วงสภาพมันแทบไม่ต่างจากทารกน้อย 3 ขวบ! ผู้อื่นเพียงยกมือขึ้นมาอย่างไร้เรื่องราวก็รับหมัดมันได้ง่ายๆ!!”
“เหอะๆ นี่น่ะหรือคุณชายรองสกุลตงฟาง ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง!”
“อาศัยพลังฝีมืออ่อนด้อยเพียงเท่านี้ แต่คิดแต่งงานกับโฉมงามอันดับ 1 ของเมืองคงหมิงเรางั้นหรือ? ช่างฝันเฟื่องนัก! ในสายตาข้าต้องเป็นอัจฉริยะเท่านั้นที่จะคู่ควรกับแม่นางมู่ชิง! อย่างเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นก็มิเลวเลย! เฮ่ เจ้าหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นน่ะ รีบๆอัดมันแล้วไปขอแม่นางมู่ชิงที่ตระกูลชิวเร็ว!!”
“เอาเลยๆ พวกเราเห็นด้วย! ทุบตีมันเสีย!!”
…
เมื่อเห็นว่าตงฟางฉู่ทำอะไรต้วนหลิงเทียนไม่ได้เลย หมัดที่ต่อยออกไปอย่างเกรี้ยวกราดถูกหยุดได้ง่ายดาย เหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลาก็กลัวโลกหล้าจะวุ่นวายไม่พอ ต่างกล่าวคำซ้ำเติมทั้งยุยงอย่างสนุกสนานกันใหญ่!
ในวาจาไม่ขาดคำยกยอสรรเสริญต้วนหลิงเทียน
นอกจากนั้นพวกมันยังกล่าวค่อนแคะตงฟางฉู่ที่พวกมันไม่ชอบเป็นทุน ว่าต้วนหลิงเทียนมีอัจฉริยะภาพเหนือกว่า และคู่ควรกับแม่นางชิง โฉมงามอันดับ 1 ในเมืองคงหมิงของพวกมันมากกว่า
สีหน้าตงฟางฉู่ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยโทสะ หลังได้ยินวาจาของคนในเหลา
แต่เดิมแค่ความเจ็บปวดจากหมัดก็ทำให้หน้ามันแดงก่ำแล้ว พอมามีสีเขียวทับไปอีกช่างอัปลักษณ์นัก
“มิว่าเจ้าจะเป็นผู้ใดรีบปล่อยมือข้าเสีย…หาไม่แล้ววันนี้ปีหน้าจักเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า!”
ขณะเดียวกันตงฟางฉู่ที่ดิ้นรนอย่างหนัก เมื่อไม่อาจแข็งขืนหรือทำอะไรได้เลย ก็ได้แต่กล่าวคำขมข่มขู่ออกมาด้วยความโกรธ
“เห? วันนี้ปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของข้าเหรอ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเยียบเย็นออกมาทันทีหลังได้ยินวาจาของตงฟางฉู่ มุมปากยังยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างมีเลศนัย หลังจากนั้นเขาก็เร่งทักผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที “ผู้เฒ่าหั่วช่วยข้ากลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของมันที”
“กลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของมัน…ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้?”
หลังถูกเรียกหา ผู้เฒ่าหั่วก็แผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบเรื่องราวด้านนอก ค่อยถามออกมาด้วยความตกใจ
“ท่านไม่ต้องห่วง…กระทั่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้ข้าก็จัดการมันได้อย่างง่ายดาย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างครอบงำ
ในวาจาเผยให้เห็นว่ามั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมาก!
จะอย่างไรในเมืองคงหมิงแห่งนี้ ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างตระกูลเฝิงก็เป็นแค่ขุมพลังชั้น 3 เท่านั้น!
สำหรับขุมพลังชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นด้วยซ้ำ กระทั่งเซียนสววรรค์ 3 เปลี่ยนยังอาจไม่มีสักคน
เช่นนั้นเขาจะกลัวอะไร
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้รั้งอยู่ในอันดับที่ 421 ของรายนามยอดเซียน ถึงแม้จะบอกว่าที่เขาได้อันดับนี้มาเพราะกระบี่นิลสวรรค์ แต่กระบี่นิลสวรรค์ในเมื่อเป็นของเขา ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพลังฝีมือและความแข็งแกร่งของเขา
“เริ่มกันเถอะ”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วก็ไม่ลังเลอะไรสืบไป ให้ความร่วมมือกับต้วนหลิงเทียน นำร่องสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนไปยังตำแหน่งที่ตั้งพรสวรรค์รากวิญญาณของตงฟางฉู่ทันที
“เป็นแค่รากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น”
ไม่นานเสียงผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกผู้เฒ่าหั่ว ยุงถึงมันจะตัวเล็กแต่ก็ยังมีเนื้อ! ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกินทันที และวังวนพลังดูดรั้งก็ดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของตงฟางฉู่อย่างอำมหิต ทั้งๆที่มันยังมีสติครบถ้วน!
ตอนที่ 2,068 : ความกล้าของชิวมู่ชิง!
วูวว! วูวว! วูวว!
…
ทันใดนั้นท่ามกลางสายตาของผู้ที่มาดื่มกินในเหลาอาหาร ‘วังวน’ ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนก็ปรากฏขึ้นรอบมือของต้วนหลิงเทียน ยังเป็นมือที่เขาคว้าจับกำปั้นของตงฟางฉู่เอาไว้!
วังวนพลังดังกล่าว หมุนวนด้วยความเร็วรอบสูงล้ำพาลให้ความว่างเปล่าโดยรอบปั่นป่วน อากาศกระเพื่อมไปดั่งหนึ่งหินหล่นสระก่อเกิดพันระลอก!
“อ๊าคคคค!!”
และทันทีที่วังวนดังกล่าวปรากฏขึ้น เสียงดั่งหมูถูกเชือดก็ร้องดังลั่นเหลา! เป็นตงฟางฉู่ที่กรีดร้องออกมาโหยหวนปานถูกควักหัวใจ!!
สีหน้าตงฟางฉู่ตอนนี้บิดเบี้ยวถึงขีดสุด ร่างสั่นสะท้านไปราวกับมันได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
และความเจ็บปวดดังกล่าวก็ทำให้ตงฟางฉู่อยากตายไปให้พ้นๆ!
“นิ…นี่ เกิดอะไรขึ้นกัน!?”
“ดูเหมือนเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะทำอะไรบางอย่าง…หากมิทำอันใดไหนเลยคุณชายรองตระกูลตงฟางจะกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถึงเพียงนั้น”
“พวกเจ้าดูอาการคุณชายรองสกุลตงฟางเถอะ! สีหน้าทั้งเสียงร้องนั่นไม่ทราบเจ็บปวดถึงเพียงใด…ทำราวกับจะขาดใจก็ไม่ปาน! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นที่แท้จะมีธาตุอำมหิตถึงเพียงนี้!!”
“ข้าสัมพัสได้ว่าวังวนพลังนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยคลื่นพลังวิญญาณ…หรือมันกำลังใช้อำนาจจิตทรมาณคุณชายรองสกุลตงฟางอยู่กัน?”
“อาจเป็นได้”
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของตางฟางฉู่อย่างไม่สนใจผู้ใด ผู้คนในเหลาก็เริ่มถกถึงเรื่องนี้กันระงม
หลายคนตื่นตระหนกกับการลงมือพิสดารของต้วนหลิงเทียนนัก และมีหลายคนที่สัมพัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณขุมหนึ่งจากสำนึกเทวะ ทำให้เดากันไปว่าต้วนหลิงเทียนกำลังใช้อำนาจจิตเล่นงานวิญญาณตงฟางฉู่โดยตรง
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่เคยคิด กระทั่งหลับยังไม่อาจฝันถึง
ว่าต้วนหลิงเทียนกลับรู้วิธีกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณผู้อื่นมาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง!
และพวกมันก็ไม่อาจรู้ได้
ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังสำแดงการกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณต่อหน้าต่อตาพวกมัน!
สตรีชุดขาวที่นั่งข้างต้วนหลิงเทียน อันเป็นคุณหนูของตระกูลชิว 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ของเมืองคงหมิง ชิวมู่ชิง อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับพลังฝีมืออันแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน
และเมื่อเห็นว่าตงฟางฉู่กำลังกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียน ประกายแสงหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็นก็เรืองวูบขึ้นในดวงตาคู่งามปานฤดูใบไม้ร่วงของนาง
“อ๊าคคคคค!!!”
ตงฟางฉู่ยังคงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่หยุดปาก…
เสียงกรีดร้องของมันยิ่งมายิ่งโหยหวนกว่าหมูที่ถูกเชือดเสียอีก! พาลให้เหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลาอดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว ราวกับรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดดังกล่าว!!
อนิจจานอกจากตงฟางฉู่แล้ว คงยากที่จะมีใครเข้าใจว่าตอนนี้มันเจ็บปวดและทรมาณเพียงไหน!
ความเจ็บปวดที่เคี่ยวกรำจนมันแทบขาดใจตายหาได้มาจากร่างกายไม่ แต่มาจากวิญญาณ!
ตอนนี้ตงฟางฉู่รู้สึกเสมือนทั่วร่างถูกเปลวไฟผลาญเผา ทั้งหมดเพราะมีพลังมหาศาลขุมหนึ่งกำลังฉีกกระชากส่วนหนึ่งของวิญญาณมันไปราวกับดึงไหมออกจากรัง! เป็นความเจ็บปวดสุดแสนที่เคี่ยวกรำทำร้ายวิญญาณอันสาหัสนัก!
โชคดี
ที่พลังมหาศาลฉีกกระชากวิญญาณนั่นเพียงดำเนินอยู่ครู่เดียวเท่านั้น
ไม่นานวิญญาณของมันก็หวนคืนสู่สภาวะปกติ
ตงฟางฉู่ระบายลมหายใจออกยืดยาวด้วยความโล่งอกเฮือกหนึ่ง ค่อยหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เสื้อคลุมของมันตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อราวตกน้ำ รู้สึกเสมือนพึ่งรอดกลับมาจากประตูผี!
ปงงง!!
ในขณะที่ตงฟางฉู่กำลังหอบหายใจอย่างหนัก เสียงระเบิดพลันดังขึ้นอีกครั้ง เป็นต้วนหลิงเทียนปล่อยมือที่กำหมัดของตงฟางฉู่ก่อนจะสะบัดมือเบาๆ ซัดพลังขุมหนึ่งกระแทกร่างตงฟางฉู่จนปลิดปลิวกระเด็น!
ตงฟางฉู่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกซัดปลิวกระเด็นออกนอกหน้าต่างเหลาอาหารปานว่าวสายป่านขาด! ร่วงตกพื้นดังตุ๊บ กลิ้งหลุนๆไปไม่เป็นท่า!!
เหล่าผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนถึงกับต้องเร่งรุดหลีกหลบกันจ้าละหวั่น เสียงโวยวายด่าทอด้วยความแตกตื่นดังขึ้นระงม
และมีไม่น้อยที่จดจำตงฟางฉู่ได้ “เอ๋!? นี่มิใช่คุณชายรองสกุลตางฟางหรือไร ไฉนสภาพถึงได้อนาถขนาดนี้เล่า?”
“หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่คล้ายมันจะถูกผู้คนจับโยนออกจากเหลาอาหาร…จากสภาพอนาถของมันท่าทางจะโดนดีมาไม่น้อย…”
“เป็นผู้ใดลงมือกัน? ในเมืองคงหมิงเรายังมีผู้ใดหาญกล้าลงมือทำร้ายคุณชายรองสกุลตงฟางด้วยหรือ…หากจะมีน่ากลัวว่าคงมีแต่คนของตระกูลเฝิงเท่านั้น…มิทราบเป็นอัจฉริยะคนใดของตระกูลเฝิงที่ลงมือกัน?”
… …
เหล่าคนที่สัญจรผ่านไปมาด้านล่างเห็นตงฟางฉู่ในสภาพอนาถแบบนี้ย่อมจ้อกันไม่หยุด ยังคาดเดากันไปด้วยความอยากรู้…ว่าใครกันที่ทำให้ตงฟางฉู่ตกอยู่ในสภาพนี้ได้!
เพราะด้วยฐานะคุณชายรองตระกูลตงฟาง ยากนักที่จะมีใครกล้าทำร้ายมันจนสิ้นท่าแบบนี้
“อั๊ค!!”
ตงฟางฉู่กระอักโลหิตออกคำหนึ่ง มันพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ค่อยมองไปยังเหลาอาหารด้วยใบหน้าดุร้ายปานยักษ์มาร สุดท้ายก็เร่งรุดจากไปด้วยความอับอาย
“สารเลว! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด แต่วันนี้ข้าจะให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!!”
ตงฟางฉู่ที่วิ่งกลับบ้านด้วยความอับอาย กล่าวคำอาฆาตด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน ตอนนี้มันอยากรีบกลับไปให้ถึงที่บ้านให้เร็วที่สุด จะได้ไปฟ้องบิดาให้ส่งยอดฝีมือติดตามมันกลับไปเอาคืน!
มันจะรีบเอายอดฝีมือกลับไปฆ่าชายหนุ่มชุดม่วง ที่ทำให้มันต้องอับอายขายขี้หน้าผู้คนให้ตาย!!
ส่วนอีกด้านนั้น ในเหลาอาหาร…ภายใต้สายตาอื้ออึงของผู้คน ต้วนหลิงเทียนที่รับหมัดตงฟางฉู่ได้ง่ายๆและซัดอีกฝ่ายราวหมูหมาเพียงนั่งลงอย่างไร้เรื่องราว!
“แม่นางมู่ชิงนั่งเถอะ”
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวทักชิวมูงชิงที่ยืนออยู่ข้างๆให้นั่งลงหน้ตาเฉย
ชิวมู่ชิงพอได้ยิน ก็นั่งลงทันทีอย่างไม่รู้ตัว
มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาของนางตอนนี้ไม่เพียงยังหลงเหลือความสุขที่ตงฟางฉู่ถูกทุบตี ยังฉายชัดถึงความกังวลออกมาไม่น้อย
“คุณชาย ท่านรีบออกไปจากเมืองคงหมิงเถอะ…ตงฟางฉู่นั่นไม่พ้นต้องเร่งกลับไปยังตระกูลตงฟางเพื่อตามยอดฝีมือของตระกูลมาแน่! ถึงตอนนั้นท่านคิดไปก็ไม่อาจไปได้แล้ว!!”
ชิวมู่ชิงเร่งกล่าวออกมารวดเดียวจบ เจตนาให้ต้วนหลิงเทียนรีบหนีไป
นางรู้สึกดีกับชายหนุ่มข้างงๆคนนี้ไม่น้อย อีกฝ่ายต่างจากบุรุษผู้อื่นที่นางพบเจออย่างสิ้นเชิง นางย่อมไม่อยากเห็นบุรุษผู้นี้ประสบภัยเพราะคนตระกูลตงฟาง!
ได้ยินคำของชิวมู่ชิง คนในเหลาอาหารเองก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว
พวกมันเองก็รู้สึกว่าชายหนุ่มชุดม่วงสมควรเร่งหนีไปตอนนี้ เพราะหากชักช้าน่ากลัวว่ายอดฝีมือของสกุลตงฟางจะย้อนกลับมาเสียก่อน!
“ขอบคุณแม่นางมู่ชิงที่เป็นห่วง”
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนกลับส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของชิวมู่ชิงออกมาทันที “พอดีข้ายังมีเรื่องที่ต้องกระทำในเมืองคงหมิง ตอนนี้ข้ายังไม่อาจจากไป…”
เป็นความจริง!
ที่เขามาเมืองคงหมิง ไม่ใช่เพราะคิดหาข้อมูลหรือไง…ว่าสถานที่ๆมีคนชั่วรวมตัวกันอยู่เยอะๆนั้นมันอยู่ที่ไหน?
ตอนนี้เมื่อเขายังไม่ได้รับข้อมูล ไหนเลยเขาจะจากไปได้?
ตระกูลตงฟาง?
ต้วนหลิงเทียนไม่เห็นขุมพลังชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอยู่ในสายตา!
“เสี่ยวเอ้อ! เอาถ้วยชามกับตะเกียบมาให้ข้าอีกชุด!”
ภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คนในเหลาไม่เว้นชิวมู่ชิง ต้วนหลิงเทียนพลันยกมือร้องเรียกเสี่ยวเอ้อ ก่อนที่จะสั่งให้อีกฝ่ายเอาถ้วยชามมาอีกชุด
และในเมื่อเขามีถ้วยชามกับตะเกียบของตัวเองแล้ว นั่นหมายความว่าที่สั่งไปก็คือของชิวมู่ชิงนั่นเอง
“เจ้าหนุ่มนั่นมันไม่กลัวตายรึไง?”
นี่คือความในใจของผู้ที่มาดื่มกินในเหลาอาหารทุกคน กระทั่งเสี่ยวเอ้อเองที่พึ่งถูกสั่งก็คิดเช่นนี้ไม่ต่าง
“เสี่ยวเอ้อไม่ต้องเอามาหรอก”
ทว่าในขณะที่เสี่ยวเอ้อในเหลาลังเลว่าสมควรไปเอาของมาเพิ่มดีหรือไม่ ชิวมู่ชิงกลับกล่าวออกมาอีกครั้ง และหยุดเสี่ยวเอ้อไว้
ขณะเดียวกัน นางก็ยกมือขึ้นก่อนจะปรากฏหินเซียนไม่กี่ก้อนลงบนโต๊ะ เพื่อชำระค่าอาหารของต้วนหลิงเทียน
“ท่านมากับข้า”
หลังจากวางหินเซียนลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเป็นกังวลแล้ว ชิวมู่ชิงก็พุ่งมือออกไปปานสายฟ้าฟาดจับมือต้วนหลิงเทียนเอาไว้ หลังจากนั้นก็ดึงร่างเขาให้ลุกขึ้นแล้วพาเขาวิ่งออกจากเหลาอาหารอย่างรีบร้อน!
ตอนนี้คล้ายนางจะลืมเลือนเรื่อง ‘ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้แตะเนื้อต้องตัวกัน’ หมดสิ้นแล้ว….
ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไม่น้อย หากแต่ก็ปล่อยให้ชิวมู่ชิงพาวิ่งออกจากเหลาแต่โดยดี
อันที่จริงตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะซูฮกกับการกระทำนี้ของชิวมู่ชิง!
ไฉนก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นว่าสตรีนางนี้กลับมีด้านที่กล้าหาญขนาดนี้ด้วย?
ชิวมู่ชิงจับมือต้วนหลิงเทียนแล้วลากเขาออกจากเหลาอาหารไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ย่อมสร้างความประหลาดใจให้เหล่าผู้คนที่มาดื่มกินในเหลาไม่น้อย
“เฮ่!? นั่นมิใช่คุณหนูมู่ชิงของตระกูลชิวหรือไร!?”
“อะไร!? คุณหนูมู่ชิงที่เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองคงหมิงเราน่ะรึ…เป็นนางแน่หรือ!?”
“สวรรค์! ข้าเห็นอะไรเนี่ยคุณหนูมู่ชิง…จูงมือบุรุษวิ่งหรือ!?”
“ไม่ใช่ว่านางกำลังจะแต่งกับคุณชายรองตระกูลตงฟางหรือไร แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“เห็นว่าตงฟางฉู่นั่นคล้ายจะถูกคนซัดปลิวออกมาจากเหลาอาหารเมื่อครู่…ตอนนี้คุณหนูมู่ชิงกลับจูงมือบุรุษวิ่ง! อย่าบอกข้าเชียวว่ามิใช่คนของตระกูลเฝิงที่โยนตงฟางฉู่ออกมาแต่เป็นบุรุษชุดม่วงคนนี้?”
……
กระทั่งเหล่าผู้คนบนถนนที่เห็นชิวมู่ชิงจับมือต้วนหลิงเทียนวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน
บุรุษหลายคนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากอบกุมหน้าอก ร่างเซถอยไปหลายก้าว ปานได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ
ชิวมู่ชิง คุณหนูของตระกูลชิวคนนี้เป็นโฉมงามอันดับ 1 ของเมืองคงหมิงของพวกมัน ทว่าตอนนี้นางกับจูงมือบุรุษวิ่งอย่างสนิทสนมเกินสหายเพียงนั้น!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณหนูมู่ชิงบ่ายเบี่ยงเรื่องแตกกับคุณชายรองสกุลตงฟางมาโดยตลอด…ที่แท้นางมีบุรุษในใจแล้วนี่เอง”
เหล่าคนเดินถนนที่เห็นเหตุการณ์อดไม่ได้ที่จะคาดเดาออกมาทำนองนี้
อย่างไรก็ตาม พอเหล่าผู้คนที่ดื่มกินเสร็จแล้วออกมาจากเหลา และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนหน้านี้ในเหลาให้ฟัง เหล่าผู้คนบนถนนหน้าเหลาก็แปลกใจไม่น้อย
“อะไร? ชายหนุ่มคนนั้นกับคุณหนูมู่ชิงไม่รู้จักกันมาก่อนหรือ?”
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด…”
“หรือคุณหนูมู่ชิงกับเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น…นี่คือรักแรกพบในตำนานใช่หรือไม่? นางถึงได้เลือกนั่งข้างบุรุษแปลกหน้า แทนที่จะนั่งข้างๆคุณชายรองตระกูลตงฟาง…นี่คุณชายรองตงฟางจะไม่น่าสมเพชไปหน่อยหรือแพ้บุรุษแปลกหน้าเนี่ยนะ!?”
“หากเป็นเรื่องจริงคุณชายรองตระกูลตงฟางก็น่าสงสารยิ่ง แต่พวกเราไม่ใช่ไม่รู้ว่าคุณหนูมู่ชิงเป็นคนอย่างไร ไหนเลยจะมารักชอบชายหนุ่มชุดม่วงนั่นง่ายๆตั้งแต่แรกเห็น…ข้าว่าทั้งคู่ต้องรู้จักกันมาก่อนแน่!”
“ข้าก็คิดว่าทั้งคู่ไม่ควรพึ่งรู้จักกัน…บางทีอาจจะรู้จักกันมานานแล้ว แต่ยามอยู่ต่อหน้าตงฟางฉู่ล้วนเสแสร้งไปเท่านั้น ไม่งั้นมีหรืออยู่ๆคุณหนูมู่ชิงจะไปจับมือบุรุษแปลกหน้า?”
…
ไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าผู้คนบนถนนที่เห็นเรื่องราวด้วยซ้ำ…
เพราะกระทั่งตัวชิวมู่ชิงเองก็ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆนางจะคว้ามือบุรุษผู้หนึ่งวิ่งมาแบบนี้!
หลังจับมือต้วนหลิงเทียนแล้วพาอีกฝ่ายวิ่งมาไกลจากเหลาได้สักพัก ชิวมู่ชิงก็พาต้วนหลิงเทียนหลบเข้าตรอกลึกแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่าน และในที่สุดเส้นประสาทที่ขึงตึงของนางก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
หลังจากที่นางคลายความตึงเครียดลงแล้วนางก็รู้สึกตัว รีบปล่อยมือต้วนหลิงเทียนทันที…!
ตอนที่ 2,069 : นายท่านรองตระกูลชิว!
“ข้า…ข้าแค่…ข้าแค่”
หลังปล่อยมือจากต้วนหลิงเทียนแล้ว หน้างามของชิวมู่ชิงพลันขึ้นสีแดงเรื่อทันที
กระทั่งคอที่เกลี้ยงเกลาขาวเนียนดั่งหยกมันแพะก็พลอยแดงตามไปด้วย ท่าทางจะขวยเขินเอียงอายไม่น้อยทีเดียว
ตอนที่ได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวว่า ‘ยังไม่อาจออกจากเมืองคงหมิงได้ในตอนนี้’ ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ในใจของนางกลับร้อนรนเป็นกังวลขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม!
ยิ่งมาได้ยินต้วนหลิงเทียนสั่งให้เสี่ยวเอ้อเพิ่มจานชามอีกชุด นางก็ไม่อาจแบกรับความกังวลในใจได้ไหวสืบไป
ไม่เพียงแต่นางเลือกจะหยุดเสี่ยวเอ้อไว้ทันที หลังชำระค่าอาหารให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว นางยังถึงกับจูงมือต้วนหลิงเทียนแล้วพาวิ่งหนีมาอย่างรีบร้อนแบบนี้!!
จังหวะนั้นนางลืมเรื่องรักนวลสงวนตัว หญิงชายไม่ควรแตะต้องไปหมดสิ้น
พอลองมองย้อนกลับไปดูแล้ว
เรื่องราวในวันนี้ นับเป็นการกระทำที่บ้าคลั่งที่สุดในชีวิตของนางแน่นอน
นางกลับเป็นฝ่ายจับมือบุรุษผู้อื่นเขาก่อน! กระทั่งยังเป็นบุรุษแปลกหน้าที่นางไม่ทราบแม้แต่ชื่อของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!!
หากเป็นก่อนหน้าให้ตายนางก็ไม่เชื่อว่าจะนางจะใจกล้าได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตามความจริงมีให้เห็นอยู่ตรงหน้า นางก็ไม่อาจปฏิเสธและทำเป็นไม่เชื่อได้
‘หรือข้าชอบเขากัน…’
ขณะเดียวกันในใจชิวมู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา หากแต่นางก็ปฏิเสธมันอย่างรวดเร็ว
‘เป็นไปไม่ได้…ข้าพึ่งเจอเขาครั้งแรกวันนี้ จะไปชมชอบผู้อื่นเขาได้อย่างไร! แม้บุรุษผู้นี้จะแตกต่างจากบุรุษผู้อื่นและทำให้ข้ารู้สึกสบายใจไม่น้อย…แต่ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าชอบ แน่นอนว่าข้ายังไม่อาจกล่าวได้ว่าชมชอบเขา!’
ชิวมู่ชิงย้อนคิดเรื่องราว ในที่สุดนางก็สรุปได้
ในขณะที่ชิวมู่ชิงปล่อยมือและทำทีท่าเขินอายปานจะขุดหลุมแล้วมุดดินหนีนั้นเอง…
“อะแฮ่ม…”
ต้วนหลิงเทียนพลันกระแอมไอออกมาเสียงดัง ทำลายบรรยากาศเคอะเขินของนาง
“แม่นางมู่ชิงนี่ท่านคิดพาข้าไปที่ใดกัน?”
ชิวมู่ชิงคืนสติทันทีหลังได้ยินเสียงของต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามตอนนี้นางยังอายไม่น้อยจึงไม่กล้าสู้หน้าสบตา กล่าวออกทั้งก้มหน้างุดๆ “ท่าน…ท่านอยู่ในเมืองคงหมิงไม่ได้แล้วเพราะเมืองนี้มิปลอดภัยสำหรับท่านอีกต่อไป ท่าน…ท่านรีบไปจากเมืองคงหมิงเถอะ!”
“อ่อ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อเห็นว่าชิวมู่ชิงเป็นห่วง ต้วนหลิงเทียนก็ซึ้งใจอยู่บ้าง กล่าวออกพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีธุระที่ต้องทำในเมืองคงหมิงอยู่ ตอนนี้ข้ายังไปไหนไม่ได้”
“หากเป็นเช่นนั้น…ท่านก็ไปตระกูลชิวกับข้าเถอะ!”
คล้ายตระหนักได้ถึง ‘ความดื้อรั้น’ ของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงไม่คิดโน้มน้าวอีกต่อไป เลือกที่จะกล่าวออกมาโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไรให้มาก
และหลังจากที่กล่าวออกไปแล้ว สีหน้านางก็แดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง เร่งรีบอธิบายออกมาเป็นการใหญ่
“เอ่อ…คุณชาย…ท่านอย่าพึ่งเข้าใจข้าผิดไป…ข้าคิดว่าที่ท่านต้องมาขัดแย้งกับตระกูลตงฟางทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้า…เช่นนั้นข้าจึงไม่อยากให้ท่านต้องเกิดเรื่องอันใด”
แม้ชิวมู่ชิงจะพยายามอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟัง แต่คำอธิบายดังกล่าวกระทั่งตัวนางเองยังรู้สึกว่าเหตุผลมันช่างเหลวไหลนัก
“ไม่เป็นไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่าชิวมู่ชิงเป็นห่วงเพราะความใจดี แต่เขาก็บอกปัดออกมาทันที เพราะเขาไม่ได้กลัวอะไรตระกูลตงฟางแม้แต่น้อย
อีกทั้งหากตระกูลตงฟางไม่มายุ่งกับเขาก็แล้วไป
หาไม่แล้ว
เขาก็ไม่แยแสหากจะต้องกวาดล้างพวกมัน!
“หากคุณชายไม่กลับไปกับข้า ตัวข้าก็มิอาจวางใจ…ท่านกลับไปกับข้าเถอะ ข้าจะบอกท่านพ่อเรื่องนี้ และถือว่าท่านเป็น แขก ของตระกูลชิว!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยืนกรานปฏิเสะความหวังดีของนาง ชิวมู่ชิงก็กังวลใจไม่น้อย “หากท่านมิไปกับข้า แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่าน…ข้าต้องรู้สึกผิดนัก! ขอเพียงท่านเป็นแขกของตระกูลชิวข้า คราวนี้ต่อให้ตระกูลตงฟางคิดทำอะไรท่านพวกมันย่อมไม่กล้า”
“เอาล่ะๆ ข้าไปกับเจ้าก็ได้”
เมื่อเห็นว่าชิวมู่ชิงที่ยิ่งกล่าวน้ำตายิ่งเริมส่อเค้าว่าจะคลอเบ้า ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกใจอ่อน และไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนางอีกต่อไป
อย่างน้อยความใจดีของนางก็ทำให้เขาประทับใจไม่น้อย
นางนับเป็นสตรีที่ดีคนหนึ่ง!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยอมตกลงรับปากแล้ว สีหน้าชิวมู่ชิงก็เผยยิ้มสดใสขึ้นมาราวกับเด็กน้อยได้ขนม
เรียกว่ารอยยิ้มของชิวมู่ชิงสดใสน่ารักนัก กระทั่งต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทันตั้งตัวกึงกับต้องเหม่อมองอย่างเลื่อนลอยอยู่บ้าง
“ไปกันเถอะ”
เห็นต้วนหลิงเทียนมองจ้องมาอย่างเหม่อลอย ชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวชักชวนต้วนหลิงเทียนแก้เขิน รีบออกเดินทางนำต้วนหลิงเทียนกลับไปตระกูลชิวกับนางทันที
“คุณหนู!”
เมื่อมาถึงประตูหน้าสกุลชิว คนเฝ้าประตูที่เห็นร่างบางรุดมาถึงก็เร่งคารววะทักทายด้วยความเคารพ
“อื้ม”
ชิวมู่ชิงพยักหน้าตอบคำเล็กน้อย ค่อยหันไปชวนต้วนหลิงเทียนให้เข้าตระกูลชิวไปพร้อมกับนาง
ตอนนี้เองคนเฝ้าประตูทั้งหลายก็ได้สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนกันแล้ว และทำให้พวกมันอดตะลึงตาค้างไปไม่ได้
เรียกว่าอึ้งไปอยู่นาน กว่าพวกมันจะดึงสติกลับมาได้สำเร็จ!
แน่นอนว่าหลังดึงสติกลับมาได้ พวกมันก็แตกตื่นกันยกใหญ่ปานฟ้าถล่ม อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ “สวรรค์! ตาข้ายังปกติดีใช่หรือไม่…คะ…คุณหนูใหญ่พาบุรุษกลับบ้านงั้นเรอะ!?”
“ข้าคงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ! นั่นใช่คุณหนูใหญ่ของพวกเราแน่เหรอ!?”
“ชายผู้นั้นที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนคุณหนูใหญ่ถึงพากลับมาตระกูลเช่นนี้เล่า…อีกทั้งท่าทางจะสนิทสนมกันไม่น้อย”
…
เหล่าคนสกุลชิวได้แต่มองหน้ากันด้วยความสับสน ในวาจาเต็มไปด้วยความประหลาดใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ!
ต้องทราบด้วยว่าคุณหนูมู่ชิงของพวกมัน กระทั่งสหายบุรุษยังไม่มี เรียกว่าไม่เคยชิดใกล้ชายใด นับประสาอะไรกับพาบุรุษเข้าบ้านแบบนี้!
แม้นางจะต้องไปไหนมาไหนกับคุณชายรองตระกูลตงฟางและใช้เวลาร่วมกัน ทว่านั่นล้วนเป็นคำสั่งของตระกูล!
ในฐานะคนของสกุลชิวพวกมันเองก็รู้เรื่องนี้ดี
ทว่าวันนี้คุณหนูของพวกมันไม่เพียงใกล้ชิดกับบุรุษ…ยังพาบุรุษกลับบ้าน!
สำหรับพวกมันแล้ว เรื่องนี้แทบไม่ต่างใดกับเห็นฟ้าถล่ม!
ไม่เพียงคนเฝ้าประตูเท่านั้นที่ประหลาดใจ ตอนชิวมู่ชิงพาต้วนหลิงเทียนเดินไปยังเรือนที่นางพักอาศัยอยู่ ระหว่างทางก็สร้างความตื่นตระหนกให้คนสกุลชิวทั้งข้ารับใช้มากมายนัก!
“อะ…อะไรกัน คุณหนูพาบุรุษเข้าเรือนหรือ!?”
เพียงพริบตาข่าวอันเหลือเชื่อก็พัดผ่านไปทั่วตระกูลชิวดั่งพายุ สร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ให้คนสกุลชิวไม่น้อย
หลังชิวมู่ชิงพาต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงเรือนที่นางพักอยู่ นางก็ให้คนไปจัดเตรียมที่พักให้ต้วนหลิงเทียนทันที
ในฐานะคุณหนูของสกุลชิว เรือนที่นางพักนั้นเรียกว่าเป็นส่วนตัวและกว้างขวางนัก
เพียงเรือนหลักก็มีห้องหับที่ยังว่างมากมายหลายห้อง และไม่เพียงมีเรือนรับรองที่เอาไว้ให้แขกเหรื่อพักอาศัย ยังมีเรือนด้านหลังไว้สำหรับข้ารับใช้อีกด้วย
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนที่มาในฐานะแขก ก็ได้เข้าพักในเรือนรับรองของแขก
“แม่นางมู่ชิงท่านให้ข้ามาอาศัยที่เขตเรือนของท่านแบบนี้…มันเหมาะสมแล้วหรือ ท่านไม่กลัวเรื่องนี้กระทบต่อชื่อเสียงของท่านหรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“หรือท่านให้ข้าไปพักที่เรือนอื่นดี?”
หลังยิ้มแหยๆแล้วต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาอีกครั้ง
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าชิวมู่ชิงใจดีและเขาไม่ได้กลัวตระกูลตงฟางแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ชื่อเสียงสตรีดีๆเช่นนี้ต้องมัวหมอง
ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หรือกระทั่งโลกใบนี้ที่เขาหลุดมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่เพียงแต่จะมีกลิ่นอายละม้ายคล้ายยุคโบราณของประเทศเขาในอดีต แต่ขนบธรรมเนียมแทบจะถอดแบบกันมา! สำหรับสตรีแล้วชื่อเสียงสำคัญยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก!!
“มิเป็นไรท่านพักได้อย่างสบายใจ…ข้าจะไปหาท่านพ่อเพื่อบอกว่าท่านเป็นสหายของข้า และหลังจากนี้ท่านจะอยู่ที่นี่ในฐานะแขกของสกุลชิว”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หน้าชิวมู่ชิงเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยกล่าวแจงเรื่องราวกับต้วนหลิงเทียน แล้วกำชับให้สาวใช้คอยพาต้วนหลิงเทียนไปยังที่พักด้วย ก่อนที่นางจะจากไปทันที
มองแผ่นหลังชิวมู่ชิงที่เร่งรีบจากไป ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาในใจอีกครั้ง
ตอนนี้เหล่าสาวใช้เองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากลมโต ในแววตาพวกนางล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทั้งรู้สึกยากยอมรับอยู่บ้าง พวกนางไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนคุณหนูของพวกนางถึงพาบุรุษคนหนึ่งกลับมาตระกูลแบบนี้
กระทั่งยังพามาพักในเรือนของตัวเอง!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป แล้วคุณหนูของพวกนางยังจะไปแต่งกับผู้ใดได้อีก?
“ข้าชื่อ ต้วนหลิงเทียน”
ก่อนที่แผ่นหลังของชิวมู่ชิงจะหายลับไปจากสายตา ต้วนหลิงเทียนพลันส่งเสียงผ่านพลังกล่าวบอกนามของตัวเองแก่ชิวมู่ชิง
ชิวมู่ชิงทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้ เขายังปล่อยให้นางไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแซ่ของเขาได้อยู่หรือ?
‘ต้วนหลิงเทียน?’
ได้ยินชื่อนี้ สองตาชิวมู่ชิงทอประกายจ้าขึ้นมาวาบหนึ่ง ใบหน้ายังเริ่มขึ้นสีแดงเรื่ออีกครั้ง
หลังจากนั้นนางก็ไปหาบิดาของนางีท่เป็นประมุขตระกูลชิวที่ห้องโถงหลัก
ตัดกลับมายังใจกลางเมืองคงหมิง…บริเวณเหลาอาหารที่ต้วนหลิงเทียนและชิวมู่ชิงพึ่งจากมา
ปรากฏร่างวัยกลางคนร่างสูงแลดูแข็งแกร่งพร้อมผู้ติดตาม 2 คนเดินทางมาถึงหน้าเหลา
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ…โฉมงามอันดับ 1 ของเมืองคงหมิงของพวกเราจะทำแบบนั้นไปได้! อยู่ๆก็จูงมือบุรุษพาวิ่งออกไปเสียอย่างนั้น!!”
ชายชายวัยกลางคนพร้อมผู้ติดตามทั้ง 2 เดินเข้าเหลามาไม่ทันไร ก็ถูกเสียงหนึ่งดึงดูดความสนใจไปทันที
‘โอ้? ชิงเอ๋อกับคุณชายรองตระกูลตงฟางมีความคืบหน้าถึงขนาดนี้เลยรึ? เช่นนี้ก็ประเสริฐ…เรื่องตระกูลชิวจะสร้างพันธมิตรกับตระกูลตงฟางก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว! วันหน้าพวกเราก็มิต้องกลัวถูกตระกูลเฝิงกดดันอีกต่อไป!!’
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่แลดูแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือนายท่านรองของตระกูลชิว ชิวกังยี่
มันเป็นตัวตั้งตัวตีที่คอยผลักดันเรื่องวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ของสองตระกูล
อีกทั้งมันยังเป็นคนที่คอยกดดันเหล่าอาวุโสรวมตระกูลชิว ให้ออกคำสั่งแก่ชิวมู่ชิงเรื่องสร้างความสนิทสนมกับคุณชายรองสกุลตงฟางอีกด้วย!!
แน่นอนว่ามันยังใช้เรื่องนี้ไปกดดันประมุขสกุลชิว!
ด้วยความที่ชิวมู่ชิงเป็นบุตรกตัญญู ไหนเลยจะปล่อยให้บิดาต้องลำบากใจถูกผู้คนบีบคั้นกดดันได้…
อย่างไรก็ตามหากให้นางต้องแต่งกับตงฟางฉู่ นางยอมตายเสียดีกว่า!
ที่นางยินยอมไปไหนมาไหนกับตงฟางฉู่ เพียงเพราะไม่อยากให้บิดาต้องลำบากใจและถูกชิวกังยี่ใช้เรื่องนี้มาบีบให้บิดาตกที่นั่งลำบากเท่านั้น! ทว่านางยอมไปไหนมาไหนกับตงฟางฉู่ได้ แต่ไม่อาจแต่งกับมันได้!!
ตัวนาง ชิวมู่ชิง ไม่ใช่สิ่งของ!
ไม่มีผู้ใดมาบีบคั้นให้นางทำในสิ่งที่นางไม่อยากกระทำได้!!
‘อะไร!? ไม่ใช่ตงฟางฉู่ แต่เป็นบุรุษที่ไหนก็ไม่รู้ที่ทำร้ายตงฟางฉู่งั้นเหรอ!?’
ทว่าไม่นานนัก บทสนทนาของผู้คนในเหลาก็ทำให้นายท่านรองสกุลชิว ‘ชิวกังยี่’ ถึงกับเบิกตาโพลง หน้ามันยังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวปั๊ดขึ้นมาทันตาเห็น!
ตอนที่ 2,070 : อยู่บนยอดคลื่น
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ชิวมู่ชิง ได่นั่งลงข้างบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่ง และบุรุษแปลกหน้าคนนั้นก็ทะเลาะกับคุณชายรองตระกูลตงฟางอย่างตงฟางฉู่ มิหนำซ้ำไม่เพียงทรมานคุณชายรองตระกูลตงฟาง บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นยังกล้ากระทั่งยังซัดร่างคุณชายรองกระเด็นตกเหลา?!
จากนั้น ชิวมู่ชิงก็จูงมือบุรุษผู้นั้นวิ่งออกจากเหลาไป?!
หลังได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ชิวกังยี่ ผู้เป็นนายท่านรองหรือรองผู้นำของของสกุลชิว ก็แทบจะอกแตกตายด้วยโทสะ! สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นสีเขียวปั๊ดด้วยความโมโห!
ยิ่งคิดก็ยิ่งเขียวจนแทบจะม่วงแล้วด้วยซ้ำ!!
สองตายังเบิกกว้างทอประกายดุร้ายเอาเรื่อง คำรามออกเสียงหนัก “ชิวมู่ชิง…นังตัวดี! มิใช่ว่าแต่ก่อนเจ้าถือตัวมากนักหรือไร!? ไฉนอยู่ๆถึงได้กระทำการเหลวไหลไร้ยางอายเช่นนี้ได้!?”
“บัดซบ! นางมิรู้หรือไรกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะหักหน้าตระกูลตงฟางอย่างแรง! ยังแทบจะผลักไสให้อีกฝ่ายกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจมองหน้ากับสกุลชิวเราได้อีก!!”
“กลับตระกูล!”
หลังกล่าวบ่นจบ ชิวกังยี่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับโทสะ ค่อยกล่าวตวาดสั่งคนออกมาเสียงเย็น
‘กลับไปถึงตระกูลเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาความจากตัวดีชิวมู่ชิงนั่น! คอยดูกันเถอะว่านังตัววดีจักมีคำอธิบายอันใด แล้วที่แท้บุรุษบัดซบนั่นมันเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงทำให้นางกล้าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจูงมือมันต่อหน้าผู้คนอย่างไม่สนเรื่องข้อห้ามหญิงชายเช่นนี้…’
‘จูงมือบุรุษอื่นต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตงฟางกับตระกูลชิวล้วนเป็นหมันสิ้น! คนตระกูลตงฟางไหนเลยจะรับสตรีที่ชื่อเสียงมัวหมองเช่นนี้เป็นสะใภ้!’
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ สีหน้าชิวกังยี่ก็ยิ่งคล้ำขึ้นเท่านั้น
เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลตงฟางก็คือชื่อเสียง และ หน้าตา!
วันนี้คุณหนูตระกูลชิวอย่างชิวมู่ชิงกล้าจูงมือบุรุษออกจากเหลาต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องนี้มากพอจะทำให้ชื่อเสียงของชิวมู่ชิงจบสิ้น น้ำแข็งใสหยกกระจ่างใดไม่มีแล้ว!
สำหรับตระกูลใหญ่อย่างตงฟาง…ย่อมไม่มีวันแต่งสะใภ้ที่เสื่อมเสียมัวหมองเช่นนี้เข้าตระกูลเด็ดขาด!!
‘ชิวมู่ชิง! นังตัวดี! ครั้งนี้เจ้าเอาแต่ใจเกินไปแล้ว!!’
‘แต่ปกตินังตัวดีนี่ก็เอาแต่ใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้นมิเคยทำให้ตระกูลเดือดร้อน…ไฉนครั้งนี้นางถึงกล้าก่อปัญหาใหญ่ได้ นางไม่ทราบหรือไรว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงจนถึงขั้นทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเรากับตงฟางที่มีมาช้านานจนหมดสิ้น!?’
‘เหอะ! คราวนี้ต่อให้ประมุขคิดจะปกป้องนาง ก็ไม่อาจปกป้องนางได้สืบไป! อย่างไรนางต้องโดนลงโทษสถานหนัก!!’
ระหว่างเดินทางกลับ สีหน้าชิวกังยี่ยิ่งมายิ่งมืดคล้ำดำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก ในใจคาดโทษชิวมู่ชิงเอาไว้สาหัสนัก!
มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิวมู่ชิงที่มันคาดโทษในใจ ไม่เพียงจูงมือบุรุษต่อหน้าผู้คน ยังพาบุรุษผู้นั้นเข้าตระกูลชิว กระทั่งถึงขั้นพาเข้าเรือนของนาง…
“นายท่านรอง!”
“นายท่านรอง!”
……
บริเวณประตูหน้าของตระกูลชิว เมื่อข้ารับใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเห็นชิวกังยี่มาถึง พวกมันก็เร่งรุดคารวะทันที
“พวกเจ้า…เห็นคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้ากลับมาแล้วหรือไม่?”
ชิวกังยี่มองจ้องไปยังผู้เฝ้าประตูทั้งหลายตาเขม็ง กล่าวถามออกเสียงเหี้ยม
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วท่านรองผู้นำ”
ข้ารับใช้สกุลชิวคนหนึ่งกล่าว
“ไม่เพียงคุณหนูใหญ่จะกลับมาแล้ว…คุณหนูใหญ่ยังพาแขกมาด้วยคนนึงขอรับ”
อีกคนกล่าวเสริม
“แขกรึ?”
ได้ยินวาจานี้จากข้ารับใช้เฝ้าประตู ลูกตาชิวกังยี่หดหยีลงทันใด ลมหายใจยังเริ่มถี่ขึ้น ทว่าเสียงกล่าวกลับเยียบเย็นถึงขีดสุด “อย่าได้บอกข้า…ว่าแขกที่คุณหนูพากลับมา เป็นชายหนุ่มชุดม่วง”
เรียกว่าท้ายประโยค เสียงชิวกังยี่เยียบเย็นจนแทบจะแช่ผู้คนให้เป็นน้ำแข็ง!
“ใช่ขอรับ”
แม้จะได้ยินว่าน้ำเสียงของชิวกังยี่ผิดท่าอยู่บ้าง แต่ข้ารับใช้เฝ้าประตูไหนเลยจะกล้ารอช้าหรือปิดบังอะไร เร่งกล่าวตอบไปตามตรงทันที ในขณะเดียวกันพวกมันก็แปลกใจไม่น้อย…
หรือนายท่านรองจะรู้แต่แรกแล้วว่าคุณหนูพาบุรุษกลับบ้าน?
“งามหน้า! ช่างงามหน้านัก!!”
หลังได้ฟังคำยืนยันจากข้ารับใช้เฝ้าประตู ชิวกังยี่แทบลมจับ! กว่าจะสงบอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมาได้ก็ถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกๆยกใหญ่!
ในสายตาของมัน
ก่อนหน้านี้แค่เพียงชิวมู่ชิงจูงมือบุรุษแปลกหน้าที่ทำให้คุณชายรองตงฟางอับอายขายหน้าวิ่งออกจากเหลา เรียกว่าผิดต่อตระกูลตงฟางและผลักไสให้ตระกูลตงฟางแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูแล้วล่ะก็…
มาตอนนี้พอได้ยินเรื่องที่ชิวมู่ชิงถึงกับกล้านำบุรุษแปลกหน้ากลับมาที่ตระกูลชิว…
เช่นนั้นตระกูลชิวกับตระกูลตงฟางยังจะเหลือที่ว่างให้สมานฉันท์อยู่อีกหรือไร?!
ด้วยเหตุนี้สีหน้าของชิวยี่กังถึงได้กลายเป็นเขียว ยังเขียวปั๊ดจนม่วง! พาลให้ข้ารับใช้เฝ้าประตูทั้งหลายยืนตัวเกร็ง แทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!!
ตึง! ตึง! ตึง!
……
จากนั้น ชิวกังยี่ที่เดือดดาลอย่างหนัก สองเท้าย่ำพื้นดังตึงๆ คนก้าวอาดๆเข้าตัวตึกใหญ่ไปอย่างเกรี้ยวกราด! ราวกับจะหาผู้ใดมารองรับโทสะอันเดือดพล่านของมัน!!
และในเวลาเดียวกันกับที่ชิวกังยี่กลับมาถึงตระกูลชิวนั้น…ที่เหลาอาหารชื่อดังของเมืองคังหมิง ก็ต้อนรับการมาเยือนของคุณชายรองตระกูลตงฟางอีกครั้ง!
อย่างไรก็ตามคราวนี้ตงฟางฉู่ไม่ได้มาคนเดียว…
ข้างๆทั้งซ้ายขวาของมันปรากฏชายชราชุดเทาซึ่งเป็น ‘ผู้ช่วย’ ที่มันพามาจากตระกูลตงฟาง และทั้งคู่ยังเป็นถึงชนชั้นอาวุโสของตระกูลตงฟางอีกด้วย
“มันไปแล้ว!?”
หลังเข้ามาในเหลาอาหาร ตงฟางฉู่ก็พบว่า…ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มชุดม่วงที่ทำให้มันอับอายขายหน้าผู้คนหรือคุณหนูใหญ่สกุลชิว ล้วนจากไปหมดแล้ว!
มันมาช้าไป!
สีหน้าตงฟางฉู่พลันเปลี่ยนเป็นมืดดำ “ช่างขี้ขลาดนัก! ไม่คิดเลยว่ามันจะกล้าหนีหน้าข้าไปดื้อๆ!!”
อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมามันก็ได้รับทราบว่า เป็นชิวมู่ชิงที่พะเน้าพะนอให้ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นจากไป
อีกทั้งแม้จะโดนพะเน้าพะนอแล้ว แต่ชายหนุ่มชุดม่วงก็ยังไม่คิดจากไป สุดท้ายเป็นชิวมู่ชิงที่ลุกพรวดขึ้นมาจูงมือคนแล้วพาวิ่งออกจากเหลาไปหน้าตาเฉย…
“อะไร! ชิวมู่ชิงจับมือเจ้านั่นแล้วพาวิ่งออกจากเหลา?”
ตอนแรกตงฟางฉู่แทบไม่อยากจะเชื่อ
เพราะมันมั่นใจว่าชิวมู่ชิงนั้นไม่รู้จักชายหนุ่มชุดม่วงนั่นมาก่อนแน่นอน! ไม่เหมือนกับคนอื่นที่คิดว่าทั้งคู่อาจรู้จักกันมาก่อน!!
ทว่ากับบุรุษที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ชิวมู่ชิงถึงกับจับมืออีกฝ่ายพาวิ่ง?
ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ความคิดแรกสุดของมันคือ เป็นไปไม่ได้!
จนเมื่อได้ยินคนที่มาดื่มกินในเหลากล่าวกันซ้ำๆหลายโต๊ะมันถึงเชื่อ
และพอมันถึงนึกอาการขวยเขินของชิวมู่ชิงยามนั่งข้างชายหนุ่มชุดม่วงขึ้นมา มันก็คิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นไปได้!
“แพศยา! นังแพศยา!!”
จังหวะนี้ตงฟางฉู่โมโหจนอดสบถด่าออกมาไม่ได้
มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย
ว่าชิวมู่ชิงที่แลดูบริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาของมันมานาน จะกลายเป็นสตรีไร้ยางอายกับคนแปลกหน้าขึ้นมาได้!
เรียกว่าตอนนี้ในใจตงฟางฉู่เต็มไปด้วยโทสะอันยากจะกล่าว อึดอัดจนแทบกระอักเลือด!!
“ที่แท้ชิวมูชิ่งนั่นก็เป็นสตรีไร้ยางอาย!”
“สตรีไร้ยางอายเช่นนี้ ไหนเลยจะแต่งเข้าตระกูลตงฟางของพวกเราได้!”
อาวุโสตระกูลตงฟาง 2 คนที่มาด้วยกันกับตงฟางฉู่เองก็ถึงกับกล่าวออกด้วยน้ำโห หลังได้ยินบทสนทนาในเหลา
พวกมันไม่คิดเลยจริงๆว่าชิวมู่ชิงจะกล้าหักหน้าตระกูลตงฟางของพวกมันเช่นนี้
ในเมืองคงหมิงตอนนี้…
ยังไม่ใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลชิวกับตระกูลตงฟางกำลังจะจัดงานวิวาห์ครั้งใหญ่?
ยังมีผู้ใดไม่ทราบบ้าง…ว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในงานวิวาห์ครั้งนี้คือคุณชายรองตระกูลตงฟางกับคุณหนูใหญ่ตระกูลชิว?
ทว่าวันนี้ชิวมู่ชิงกลับไม่รักนวลสงวนตัว ประพฤติตัวอย่างไร้ซึ่งคุณสมบัติของกุลสตรี!
กล้าฉุดกระชากลากถู จูงมือบุรุษอย่างเปิดเผย…เรื่องนี้นับว่าสร้างความอัปยศอดสูให้ตระกูลตงฟางนัก!
และในขณะที่ตงฟางฉู่และอาวุโสชราทั้ง 2 ของตระกูลตงฟางกำลังมีโมโหนั้นเอง พวกมันก็ได้รับข่าวหนึ่งจากตระกูลชิว พาลให้พวกมันยิ่งเดือดดาลมากยิ่งขึ้น!
“คุณหนูใหญ่ตระกูลชิวถึงกับพาบุรุษผู้นั้นเข้าตระกูลด้วยตัวเอง?”
หากบอกว่าเรื่องที่ชิวมู่ชิงจูงมือบุรุษอื่นก่อนหน้า ทำให้คนตระกูลตงฟางทั้ง 3 รู้สึกอับอายขายหน้าจนมีโมโหหนักเพราะถูกชิวมู่ชิงหักหน้าแล้ว่ละก็
พอได้ยินเรื่องนี้เข้าไปเพิ่มอีก อกพวกมันก็แทบแตกตาย! สองตายังเผยประกายดุร้ายปานเพลิงไฟ!!
“แพศยาสารเลว! นังแพศยาสารเลว!!”
ตงฟางฉู่ยังคงสบถด่าออกมาด้วยโทสะ ลูกตาเผยประกายดุร้าย ลอบกล่าวคำมั่นในใจอย่างคับแค้น ‘ข้าตงฟางฉู่ขอสาบาน! ต่อให้ข้ามิอาจแต่งกับเจ้าได้อีก แต่ข้าจะถล่มเจ้าให้ร้องขอชีวิต! เอาให้เจ้าต้องเสียใจกับสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ไปจนวันตาย!!
“ชิวมู่ชิงอันประเสริฐ! ตระกูลชิวอันประเสริฐ!!”
คราวนี้กระทั่งอาวุโสตระกูลตงฟางทั้ง 2 ยังอดไม่ไหวจำต้องกล่าวคำออกมาด้วยอำมหิต
ขณะเดียวกันพวกมันทั้ง 3 ก็สัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆมากมายของผู้คนที่มาดื่มกินในเหลาอาหาร ทำให้ใบหน้าพวกมันร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย แทบอยากจะหาสิ่งใดมาคลุมหัว! ไม่ก็ขุดดินมุดหลบเพื่อหนีหน้านัก!!
พวกมันรู้ดีว่าการที่ชิวมู่ชิงกระทำเช่นนั้น ไม่ต่างอะไรกับตบหน้าตระกูลตงฟางฉาดใหญ่!
พวกมันในฐานะคนของตระกูลตงฟางย่อมรู้สึกอับอายขายหน้าไม่น้อย!!
“คุณชายรอง พวกเรากลับตระกูลก่อนเถอะ! เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้หาใช่แค่เรื่องส่วนตัวของท่านอีกต่อไปไม่! ทว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูลตงฟางเรา…ชิวมู่ชิงกับตระกูลชิวนั่นทำเกินไป! พวกมันทำเกินไป!!”
ครู่ต่อมาอาวุโสคนหนึ่งของตระกูลตงฟางก็เร่งเหินร่างจากไปทันที
เพราะมันไม่อยากจะอยู่ที่นี่ให้ขายหน้าต่อแม้วินาทีเดียว
“ชิวมู่ชิงตระกูลชิว…ดี! ดี! ดีมาก!!”
อาวุโสอีกคนก็โมโหจนพูดอะไรไม่ออก เร่งรุดเหินร่างจากไปด้วยใบหน้ามืดดำทันที
หลังอาวุโสตระกูลตงฟางทั้ง 2 จากไป สีหน้าตงฟางฉู่ก็เริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์หนักข้อ
เพราะมันเองก็ไม่อาจทานทนรับสายตาแปลกๆที่มองมาของเหล่าผู้คนในเหลาได้อีกต่อไป เร่งเหินร่างจากไปอีกคนทันที
“เหอะๆ พวกเจ้าเห็นสีหน้าพวกมันหรือไม่…ครั้งนี้นับเป็นความอัปยศของตระกูลตงฟางอย่างแท้จริง”
หลังจากที่คนตระกูลตงฟางทั้ง 3 จากไป ในเหลาก็เริ่มกล่าวกันออกมาสุนกปากอีกครั้งอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ
“ยังจะไม่ใช่หรือไร ในเมืองคงหมิงเรามีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลตงฟางกับตระกูลชิวจะมีงานวิวาห์ระหว่างคุณหนูใหญ่ตระกูลชิว ชิวมู่ชิง กับคุณชายรองตระกูลตงฟาง ตงฟางฉู่ …ทว่าตอนนี้งานวิวาห์นั่นเห็นที่จะล่มเสียแล้ว!”
“จะว่าไปชิวมู่ชิงก็กล่าวบอกเจตนาชัดแต่แรกแล้วว่านางไม่อยากแต่งกับตงฟางฉู่…มาครานี้นับว่านางลงมือได้อย่างหมดจดยิ่ง!”
“อย่างไรเสียการกระทำของนางวันนี้นับว่าตบหน้าตระกูลตงฟางอย่างแรง…สำหรับตระกูลตงฟางแล้วนี่เสมือนถูกหยามหน้าให้อัปยศครั้งยิ่งใหญ่ พวกมันไม่มีวันยอมเลิกราง่ายๆแน่!”
“ไม่ผิด เรื่องวันนี้หากตระกูลตงฟางไม่ออกมาทำอะไรเพื่อกู้หน้าล่ะก็ พวกมันได้กลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั้งเมืองคงหมิงไปอีกนาน!”
….
ตอนแรกก็มีแค่ในเหลาอาหารชื่อดังแห่งนี้เท่านั้น ที่จ้อกันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกปาก
แต่ทว่าในเวลาไม่นาน เรื่องสนุกปากในเหลา ก็กลายเป็นเรื่องสนุกปากของผู้คนทั้งเมืองคงหมิง…
ตระกูลตงฟางถูกผลักให้ทะยานขึ้นสู่ยอดคลื่นแล้ว!
(อยู่บนยอดคลื่น = กลายเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจ,จุดเด่น)
ตอนที่ 2,071 : หญิงงามเป็นบ่อเกิดหายนะ!
คนของตระกูลตงฟางทั้ง 3 รวมถึงตงฟางฉู่ ย่อมไม่อาจอยู่สู้หน้าผู้คนเร่งรุดออกจากเหลา เดินทางกลับตระกูลฉู่ทันที
และเมื่อพวกมันกลับมาถึงตระกูลฉู่สิ่งแรกที่กระทำก็คือเข้าพบประมุข!
ประมุขตระกูลตงฟาง ตงฟางเฉียน!
“ท่านพ่อ!”
เมื่อพบตงฟางเฉียน ตงฟางฉู่ที่กำลังโมโห ก็กล่าวออกเสียงหนัก “ท่านพ่อ! ชิวมู่ชิง คุณหนูใหญ่สกุลชิวครานี้นับว่านางล้ำเส้นพวกเราแล้ว!!”
“หืม? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
เมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดดุร้ายของลูกชาย หน้าตงฟางเฉียนจมลงทันใด ขมวดคิ้วกล่าวถาม
ราวๆชั่วกาน้ำเดือดที่แล้ว ลูกชายของมันเข้ามาหาพร้อมร้องขอมือดีสกุลตงฟางไป 2 คน ซึ่งก็คืออาวุโสชราชุดเทาทั้ง 2 ที่ติดตามอยู่ข้างกายตงฟางฉู่ไปเมื่อครู่ และต่างบรรลุถึงเซียนนภาขั้นสูงสุด!
(ชั่วกาน้ำเดือด น่าจะราวๆ 20-25 นาที)
ทว่ามันไม่คิดเลยว่าลูกมันพาคนไปได้ไม่ทันไร กลับย้อนกลับมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดขนาดนี้
แล้วที่ว่าชิวมู่ชิงของสกุลชิวล้ำเส้นเล่า ล้ำเส้นอันใดกันแน่?
“ท่านพ่อตอนแรกข้าคิดพาอาวุโสทั้ง 2 ไปสั่งสอนไอ้หนูที่มันทำข้าเสียหน้าที่เหลาอาหาร…แต่ไม่คิดเลยว่าพอพวกข้ากลับไปถึงที่เหลา ไอ้หนูนั่นกับชิวมู่ชิงก็หายหัวไปแล้วทั้งคู่”
กล่าวถึงจุดนีสีหน้าตงฟางฉู่ก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก “แล้วท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น…เจ้านั่นมันถูกชิวมู่ชิงจูงมือออกจากเหลาอาหาร! อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่านางถึงกับกล้าพามันกลับตระกูลชิว ทั้งยังพาเข้าเรือนส่วนตัวของนางอีก!!”
“และเท่าที่ข้ารู้มา…แต่ไหนแต่ไรเรือนส่วนตัวของนางกระทั่งสหายที่เป็นสตรียังมิเคยได้เข้าไปเหยียบ! สารเลวนั่นเป็นคนแรกที่ได้เข้าพัก!!”
กล่าวถึงประโยคนี้สีหน้าของตงฟางฉู่ก็แดงขึ้นด้วยความโกรธ!
และจากวาจาเผยให้รู้ว่าตงฟางฉู่รู้จักชิวมู่ชิงดีขนาดไหน
และที่มันโกรธก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง!
ชิวมู่ชิงนั้น เป็นสตรีที่ตัวมันยึดถือว่าเป็น ผู้หญิง ของมันมานานแล้ว ทว่าตอนนี้นางในใจกลับเป็นฝ่ายริเริ่มจูงมือบุรุษก่อน! กระทั่งยังพาบุรุษคนนั้นกลับเรือนส่วนตัวของนางที่มันไม่มีแม้แต่โอกาสเฉียดกราย!!
พอคิดถึงเรื่องนี้ ตงฟางฉู่ก็โมโหจนแทบบ้า!
“ว่าอะไร!?”
ได้ยินคำของตงฟางฉู่ สีหน้าตงฟางเฉียนก็มืดดำลงทันใด ลูกตาฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน “ชิวมูชิงนั่น…กล้าทำถึงขนาดนี้เชียวรึ!?”
“ท่านประมุข!”
ขณะเดียวกันอาวุโสตระกุลตงฟางที่พึ่งกลับมาพร้อมตงฟางฉู่ก็กล่าวออกด้วยโทสะ “ชิวมู่ชิงผู้นี้ไร้ยางอายเกินไป! ตระกูลชิวก็ไร้ยางอายเกินไป! ในเมืองคงหมิงของเรา ยังมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าชิวมู่ชิงจะเป็นสะใภ้ตระกูลตงฟางของพวกเรา…การกระทำของชิวมู่ชิงวันนี้ นับว่าหยามหน้าตระกูลตงฟางเราให้อัปยศนัก!!”
“ถูกแล้วท่านประมุข!”
อาวุโสตระกูลตงฟางอีกคนที่พึ่งมาถึงก็กล่าวออกด้วยโทสะเช่นกัน “หากวันนี้ตระกูลตงฟางของพวกเราไม่จัดการเรื่องราวให้ดี…วันหน้าเกรงว่าตระกูลตงฟางเราคงยากจะเชิดหน้าชูตาอยู่ในเมืองคงหมิงได้อีก! ถึงตอนนั้นยังจะให้ผู้คนไม่มองพวกเราสกุลตงฟางเป็นตัวตลกชวนหัวได้อีกหรือ!?”
“อืม! เรื่องนี้พวกเราต้องจัดการให้ดี!”
สองตาตงฟางเฉียนเผยประกายเยียบเย็น เรื่องนี้มันย่อมเห็นด้วย จึงเอ่ยถามอาวุโสทั้ง 2 ออกไปเสียงหนักทันที “แล้วมิทราบอาวุโสทั้ง 2 ท่านคิดเห็นว่าพวกเราควรจัดการเรื่องราวอย่างใด?”
“เรียนท่านประมุข ข้าเสนอให้ท่านระดมคนไปหาความเรื่องการกระทำของชิวมู่ชิงที่ตระกูลชิวเป็นการส่วนตัว…พวกเราต้องให้นางและตระกูลชิวมอบคำอธิบายที่ดีแก่เรา!!”
อาวุโสคนหนึ่งกล่าว “นอกจากนั้นพวกเรายังต้องให้ชิวมู่ชิงและตระกูลชิวส่งตัวชายหนุ่มชุดม่วงนั่นกับชิวมู่ชิงออกมาเสีย! เพื่อที่พวกเราจักได้สำเร็จโทษมันกล้าทำร้ายคุณชายรอง อีกทั้งพวกเรายังต้องถอนหมั้น! ล้มเลิกงานวิวาห์ระหว่างคุณชายรองกับชิวมู่ชิงไปเสีย!!”
“ข้าเห็นด้วย!”
อาวุโสตระกูลตงฟางอีกคนพยักหน้ารับคำเสียงเข้ม “ตอนนี้เรื่องงามหน้าที่ชิวมู่ชิงกระทำ กำลังจักแพร่ไปทั่วทั้งเมืองคงหมิง…หากตระกูลตงฟางของพวกเรายังเห็นด้วยกับการวิวาห์ครั้งนี้ ไหนเลยยังไม่ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั้งเมืองอีก!”
“เช่นนั้นงานวิวาห์ครั้งนี้ต้องล้มเลิก! และพวกเราตระกูลตงฟางต้องเป็นฝ่ายถอนหมั้นนังหญิงแพศยานั่น!!”
“อีกทั้งตระกูลตงฟางของพวกเราต้องประกาศให้ผู้คนทั้งเมืองคงหมิงรับทราบ…ว่าเป็นตระกูลตงฟางของพวกเราไม่ต้องการรับสะใภ้เช่นชิวมู่ชิง! มิใช่ชิวมู่ชิงไม่ยินดีแต่งเข้าตระกูลตงฟางของพวกเรา!!”
อาวุโสของตระกูลตงฟางกล่าวออกมายืดยาว แต่ทุกวาจาถ้อยคำล้วนเด็ดขาดเอาเรื่องนัก
“อืม! เรื่องนี้ข้าจักเป็นผู้นำคนไปหาความที่ตระกูลชิวด้วยตัวเอง! หาไม่แล้ว ผู้คนยังไม่คิดว่าตระกูลตงฟางของพวกเราไร้ผู้ใดแล้วหรอกหรือ?!
ตงฟางเฉียนกล่าวออกเสียงเหี้ยม “นอกจากนั้นเรื่องถอนหมั้นก็สมควรยิ่ง! ข้ายังเห็นสมควรว่าต้องประกาศให้รู้กันทั่วเมือง! ว่าพวกเราตระกูลตงฟางไม่ยินยอมรับสตรีแพศยาเช่นนี้เป็นสะใภ้!!”
“สำหรับเรื่องที่จักบีบให้ตระกูลชิวส่งตัวเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นออกมามิน่าจักใช่เรื่องยากอันใด…แต่หากจะให้พวกมันส่งตัวชิวมู่ชิงให้พวกเราด้วยเกรงว่าคงไม่ง่าย…จะอย่างไรนังนั่นมันก็เป็นแก้วตาดวงใจของประมุขตระกูลชิว ชิวอ้านผิง!”
กล่าวถึงจุดนี้คิ้วของตงฟางเฉียนก็ขมวดย่นเป็นปม
“ท่านพ่อ! ไฉนท่านไม่เรียกร้องให้ตระกูลชิวส่งตัวชิวมู่ชิงให้พวกเราด้วยเล่า!?”
ทันใดนั้นเองตงฟางฉู่ที่เงียบฟังมาสักพักก็เร่งเปิดปากกล่าวท้วงออกมา
ยามมันเปิดปากกล่าวท้วง แววตาของมันยังเต็มไปด้วยความหื่นกระหายมากราคะ ด้วยมันกำลังคิดอยู่พอดีว่าหากได้ตัวชิวมู่ชิงมาจัดการที่ตระกูลฟางมันจะทำอย่างไร กระทั่งจะทับร่างแล้วถล่มนางท่าใดให้คนต้องร้องขอชีวิต!!
มันย่อมอยากครอบครองร่างกายของสตรีที่มันฝันถึงมานาน!
แม้เรื่องแต่งงานกับนางจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปก็ตามที!
“ฉู่เอ๋อพ่อเข้าใจว่าตอนนี้เจ้าคิดอย่างไร…ทว่าเรื่องที่จะให้ตระกูลชิวส่งตัวชิวมู่ชิงมานั้น ข้าดูแล้วมันเป็นไปมิได้เลย…”
ตงฟางเฉียนกล่าวตอบตงฟางฉู่
“คุณชายรอง ท่านประมุขกล่าวถูกแล้ว”
ตอนนี้เองอาวุโสคนหนึ่งที่กล่าวเสนอออกไปตอนแรกด้วยความโมโห พอได้ฟังเรื่องราวและสงบใจลงแล้วก็กล่าวออกด้วยความเห็นด้วย พร้อมแจงเรื่องราวออกมาอย่างละเอียด “คุณชายรองก็ทราบดี ว่าชิวมู่ชิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของชิวอ้านผิง มันกระทั่งเพื่อบุตรีคนนี้แล้ว…ต่อให้สละชีวิตยังกระทำได้! เช่นนั้นเรื่องที่จักให้มันส่งตัวชิวมู่ชิงให้พวกเราย่อมเป็นไปไม่ได้เลย…”
“คุณชายรอง พวกเรารู้ดีว่าตอนนี้ท่านแค้นชิวมู่ชิงนัก…อย่างไรก็ตามเรื่องที่จะให้ตระกูลชิวส่งมอบตัวนางให้พวกเรา สมควรไร้หนทางจริงๆ”
อาวุโสของตระกูลตงฟางอีกคนก็กล่าวออกมา
ได้ยินคำทัดทานเหล่านี้ ตงฟางฉู่ก็ได้แต่เงียบไป
ไหนเลยมันจะไม่รู้เรื่องนี้
แค่มันไม่อยากยอมรับเท่านั้น
แต่เป็นธรรมดาที่ถึงแม้มันจะรู้ตัวว่ายากจะยอมรับเรื่องนี้เพียงใด แต่มันก็ต้องบอกใจให้ยอมรับ!
“ฉู่เอ๋อพ่อสัญญากับเจ้า…หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว พ่อจะหาโอกาสลอบจับตัวชิวมู่ชิงนั่นกลับมาเอง! ข้าจะให้นางมาร่ำร้องขอความเมตตาจากเจ้าให้จงได้! ตอนนี้เจ้าเพียงฆ่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นให้ตายกับมือเพื่อระบายโทสะไปก่อนเถอะ!!”
ตงฟางเฉียนรู้สึกสงสารลูกชายตัวเองไม่น้อย เร่งกล่าวปลอบอออกมาอย่างทันท่วงที
ด้วยมีคำสัญญาจากบิดา สองตาของตงฟางฉู่ก็ทอประกายเรืองวูบ ขณะเดียวกันก็เร่งกล่าวขอบคุณบิดาออกมาเร็วไว “ขอบคุณท่านพ่อ!!”
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้ง 3 ไปรอข้าที่ลานหลัก…ตอนนี้ข้าจะรีบไปหาอาวุโสลำดับ 1 และอาวุโสลำดับ 2 เพื่ออธิบายเรื่องราวก่อน”
ตงฟางเฉียนกล่าวออก “ข้าเชื่อว่าเรื่องที่ชิวมู่ชิงกระทำวันนี้ รวมถึงเรื่องที่ตระกูลชิวเพิกเฉยถึงขั้นที่ป่านนี้แล้วยังไม่ทำอะไร…ทั้งคู่ย่อมมีโทสะไม่ต่างอันใดจากพวกเรา”
“และหลังจากที่ข้าแจ้งทั้งสองให้ทราบอย่างละเอียดแล้ว ข้าจะไปรวมตัวกับพวกเจ้าที่ลานหลัก”
หลังจากกล่าวจบคำ ร่างตงฟางเฉียนก็วูบหายไปในอากาศว่างเปล่าต่อหน้าต่อตาทุกคน
ตงฟางเฉียน ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนนั้น ความเร็วของมันย่อมเป็นอะไรที่ว่องไวเกินกว่าสายตาของตงฟางฉู่และอาวุโสจะมองตามได้ทัน
อย่างไรก็ตามหลังจากตงฟางเฉียนจากไป ทั้ง 3 ก็ออกไปรอที่ลานหลักแต่โดยดี
เป็นอย่างที่ตงฟางเฉียนกล่าวไว้ไม่มีผิด ทันทีที่อาวุโส 1 และอาวุโส 2 รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกมันทั้งคู่ล้วนโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ!
เพราะในสายตาของพวกมัน ครั้งนี้นับว่าชิวมู่ชิงได้ล้ำเส้นเกินไปแล้วจริงๆ!!
ไม่นานตงฟางเฉียนก็พาอาวุโสลำดับที่ 1 และ 2 ไปสมทบกับพวกตงฟางฉู่และอาวุโสอีก 2 คนที่ลานหลัก ค่อยพากันเหินร่างขึ้นฟ้า เหาะออกจากตระกูลตงฟางไป
ทั้งหมดเหาะไปยังทิศทางที่ตั้งตระกูลชิว!
ระหว่างที่พวกมันเดินทาง ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนในเมืองคงหมิงไม่น้อย
“เฮ่ นั่นมิใช่ตงฟางเฉียนประมุขตระกูลตงฟางรึไง?”
ผู้คนที่สัญจรไปมาไม่ว่าจะบนถนนด้านล่างหรือในอากาศ ต่างสังเกตเห็นร่างคนของตระกูลตงฟางที่กำลังเหาะเหินเดินทางทั้งสิ้น เพราะเพดานบินของพวกมันทั้ง 6 ไม่ได้สูงอะไรมากมาย
“นอกจากนี้ยังมีอาวุโสลำดับที่ 1 กับลำดับที่ 2 ของตระกูลตงฟางอยู่ด้วย…หืม? คุณชายรองของตระกูลตงฟางอย่างตงฟางฉู่ก็อยู่ด้วยรึ นี่พวกมันกำลังไปที่ใดกันนะ อ๊ะ! หรือว่า…”
“มิผิด! อย่างที่เจ้าคิด! ทางนั้นเป็นที่ตั้งตระกูลชิว! พวกมันต้องไปหาความที่ตระกูลชิวแน่นอน!!”
มีคนในเมืองคงหมิงไม่น้อยที่ได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่าพอเห็นคนของตระกูลตงฟางเหินร่างไปทางตระกูลชิวแบบนี้ พวกมันย่อมคาดเดาเหตุผลได้ไม่ยาก!
“จะว่าไปแล้วเรื่องราวในวันนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลชิวก็ใจกล้าจริงๆที่คิดปกป้องบุรุษที่กล้าทำให้คุณชายรองตงฟางฉู่อับอายขายหน้า ข้าล่ะยังไม่อยากจะเชื่อเลย…ว่านางจะกล้าพาบุรุษผู้นั้นกลับตระกูลชิว!”
“เหอะๆ ครั้งนี้การกระทำของชิวมู่ชิงไม่ต่างอะไรจากตบหน้าตระกูลตงฟางทั้งตระกูล เป็นเรื่องธรรมดาที่ประมุขตระกูลตงฟางจะพาคนไปหาความเช่นนี้…”
“อา ดูเหมือนว่าอะไรๆในเมืองคงหมิงกำลังจักเปลี่ยนไปอีกแล้ว…หากตระกูลตงฟางกับตระกูลชิวมิอาจจับมือเป็นพันธมิตรกันได้ ตระกูลเฝิงไหนเลยจะพลาดโอกาสอันประเสริฐเช่นนี้ ไม่พ้นต้องเร่งรุกคืบกลืนกินกิจการทั้งหมดในเมืองคงหมิงไว้แต่ผู้เดียวแน่…”
“ครั้งนี้นับว่า ‘นารีเป็นเหตุ’ จริงๆ….”
(นารีเป็นเหตุ หรือ หญิงงามเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะ มีความหมายเดียวกันคือ ผู้หญิงเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่อง!)
“มิผิด อาศัยเพียงสตรีนางเดียวกลับทำให้ทั้ง 2 ตระกูลแตกหักกัน…นับว่าหญิงงามเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะโดยแท้”
“นั่นสิ! แถมเจ้าหนุ่มชุดม่วงที่ชิวมู่ชิงพากลับไป…ข้าเชื่อว่าคราวนี้ถ้ามันไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่ๆ…”
……
เห็นคนของตระกูลตงฟางมุ่งหน้าไปทางตระกูลชิวเช่นนี้ หลายๆคนในเมืองคงหมิงก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
และฟังจากวาจาของพวกมัน ชิวมู่ชิง เป็นดั่งหญิงงามที่เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ อีกทั้งชายหนุ่มชุดม่วงที่นางพาตัวไปอย่างต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะรอดพ้นคราวเคราะห์ไปได้
เรื่องราวภายนอกจะวุ่นวายเพียงใด เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เลย
ตอนนี้เขากำลังนั่งสนทนากับชิวมู่ชิงที่พึ่งกลับมาจากไปหาบิดาอยู่ในลานว่างหลังบ้านพักส่วนตัว หนึ่งในบ้านพักของเรือนรับรองในเขตที่พักส่วนตัวของชิวมู่ชิง
“จริงสิแม่นางชิว…ท่านได้บอกชื่อข้ากับบิดาของท่านไปแล้วหรือไม่?”
(ผมดูผิด คำ ‘แม่นางมู่ชิง’ เป็นชิวมู่ชิงสั่งให้ตงฟางฉู่เรียก แต่ต้วนหลิงเทียนจะเรียกนางว่า แม่นางชิวมาตลอด…ผมไม่ทันได้ดูให้ดี ขออภัยด้วยครับ-*-)
ทันใดนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนจะนึกอะไรได้ออก จึงเอ่ยถามนางออกมาทันที
เพราะเขาจำได้ว่าก่อนที่ชิวมู่ชิงจะจากไปก่อนหน้า เขาได้บอกชื่อให้นางรู้
เขามีเรื่องบาดหมางกับผู้คนเอาไว้ไม่น้อย ที่สำคัญคนเหล่านั้นหาใช่คนธรรมดาๆไม่ ล้วนเป็นตัวตนระดับสูงของ 1 ใน 3 ลัทธิที่ยิ่งใหญ่อย่างลัทธิบูชาไฟทั้งสิ้น!
ตอนที่ 2,072 : ระวังปาก!
คนของลัทธิบูชาไฟที่เขาไปมีเรื่องด้วยนั้น แม้จะไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งหรือมีอำนาจสูงสุด ทว่าหากคิดจะกวาดล้างขุมพลังชั้น 3 อย่างตระกูลชิวให้ราบด้วยตัวคนเดียวย่อมไม่ใช่ปัญหาแต่น้อย!
เช่นนั้นหลังเขาบอกชื่อให้ชิวมู่ชิงรู้แล้ว เขาก็เสียใจขึ้นมาที่ลืมกล่าวเตือนนางว่าไม่ให้บอกชื่อเขากับใคร…
รวมถึงบิดาของนางผู้นำตระกูลชิวด้วย!
“ไม่”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมต้วนหลิงเทียนถึงกล่าวถามเรื่องนี้ออกมา แต่ชิวมู่งชิงก็ส่ายหัวตอบกลับทันที ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “เมื่อครู่ข้าไปหาท่านพ่อเพื่อรายงานว่าวันนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง…ตอนนี้ท่านพ่อสมควรหารือกับเหล่าอาวุโสสูงว่าจะรับมือตระกูลตงฟางอย่างไร”
“ทว่าท่านพ่อได้รับปากข้าแล้วว่าจะปกป้องท่านแน่…เช่นนั้นท่านสามารถพักที่ตระกูลชิวของข้าได้หายห่วง ไม่ต้องกังวลว่าตระกูลตงฟางจะทำอะไรท่านได้!”
ครู่ต่อมาชิวมู่ชิงก็กล่าวปลอบต้วนหลิงเทียน
“แม่นางชิวท่านไม่ต้องห่วงเรื่องตระกูลตงฟางหรอก…แค่ตระกูลตงฟาง ข้าต้วนหลิงเทียนไม่กลัวแม้แต่นิดเดียว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
หลังกล่าวจบแล้ว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนจริงจัง กล่าวออกเสียงขรึมออกมาต่อว่า “แต่เรื่องชื่อของข้า ขอแม่นางชิวอย่าได้บอกใครเด็ดขาด รวมถึงบิดาของท่านด้วย”
ประโยคแรกแม้ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวตอบออกมาอย่างไม่ยี่หระ ทว่าชิวมู่ชิงไม่ได้มองแบบนั้น
ถึงแม้นางจะเห็นการลงมือก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน และคิดว่าพลังฝีมือเขาไม่ต่ำทราม
ทว่านางยังไม่คิดว่าอาศัยต้วนหลิงเทียนคนเดียวจะสามารถต่อกรกับตระกูลตงฟางได้!
อย่างน้อยๆนางก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนคนเดียวจะรับมือตระกูลตงฟางทั้งตระกูลได้!
อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกำชับภายหลังยังอดทำให้นางแปลกใจไปเสียไม่ได้ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนต้องห่วงเรื่องชื่อนัก กระทั่งห้ามนางบอกใครด้วยท่าทีจริงจังแบบนี้?
แต่สุดท้ายแล้วแม้ใจชิวมู่ชิงจะเต็มไปด้วยความสงสัย นางกลับไม่ได้ถามออกมา
เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็มีความลับส่วนตัว
นางเชื่อว่าในเมื่อต้วนหลิงเทียนกำชับนางถึงขนาดนี้ อีกฝ่ายย่อมมีเหตุผลส่วนตัวแน่นอน ไม่พ้นต้องตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง และไม่สะดวกจะเปิดเผยนามออกไป
“ได้”
ชิวมู่ชิงพยักหน้ารับคำ “ไม่ต้องกังวล…หลังจากนี้ข้าจะไม่บอกชื่อท่านกับใคร จนกว่าจะได้รับคำอนุญาตจากท่าน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม ได้ยินคำรับประกันจากชิวมู่ชิงแบบนี้เขาก็มั่นใจ
คราวนี้จะก่อการใหญ่โตอะไรในเมืองคงหมิง เขาก็ไม่กริ่งเกรงอะไรอีก
เขาไม่คิดเผยชื่อตัวเองออกมาในเมืองคงหมิง
นั่นเพราะเขากลัวว่าหากเปิดเผยชื่อออกไป ไม่นานอริเขาที่ลัทธิบูชาไฟต้องได้ยินข่าวนี้ และรู้ว่าเขาเคยมาที่เมืองคงหมิง กระทั่งข้องแวะกับตระกูลชิว
กับจ้าวแท่นบูชามังกรครามเขาไม่มั่นใจ รองจ้าวหอคุมกฏต่งหยวนจิ้นนั่นเขาก็ไม่แน่ใจ
ทว่าสำหรับอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ…เขามั่นใจเต็มร้อยส่วน!
ทันทีที่หลี่อันรู้ว่าเขาเคยติดต่อข้องแวะกับตระกูลชิวในเมืองคงหมิงล่ะก็ อีกฝ่ายไม่ละเว้นตระกูลชิวแน่ ถึงตอนนั้นชิวมู่ชิงย่อมพลอยโดนหางเลขไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกำชับไม่ให้ชิวมู่ชิงบอกชื่อเขากับใคร
ด้วยวิธีนี้ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะตามมาในภายหลังได้
และคราวนี้ไม่ว่าเขาจะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอะไรในเมืองคงหมิง ก็ไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงเขากับต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงผู้เป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ลำดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟแน่นอน!
“ท่าน…”
“ท่าน…”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงก็กล่าวคำออกมาอย่างพร้อมกัน ด้วยคิดทำลายความเงียบ
ทว่าเมื่อทั้งครู่กลับพูดออกมาพร้อมกันแบบนี้ ทำให้ต่างหันมามองหน้ากันทันที
แน่นอนว่าหลังพูดออกมาพร้อมกัน ย่อมบังเกิดจุดเกรงใจ จึงไม่มีใครพูดอะไรออกมาต่อ
“ท่านพูดก่อน”
“ท่านพูดก่อน”
แต่หลังนิ่งไปพักหนึ่งทั้งคู่ก็กล่าวออกมาอีกครั้ง และยังเป็นการกล่าวออกมาพร้อมกันอีกรอบ หากคนไม่รู้จักมาเห็นคงคิดว่าใช่เตี๊ยมกันมาหรือไม่? หาไม่แล้วในเวลาสั้นๆ ไฉนจะกล่าวออกพร้อมกันติดๆแบบนี้ 2 ครั้ง 2 ครา?
“อุฟ”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนชักสีหน้ากระอักกระอ่วน ชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะขำออกมา หน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความขวยเขินอีกครั้ง
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวอะไรออกมาต่อนั้นเอง
เสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงอึมครึมพลันดังขึ้นมาจากด้านนอกอย่างกะทันหัน! ปัดเป่าความคิดกล่าวคำต้วนหลิงเทียนไปหมดสิ้น!!
“ชิวมู่ชิง!”
ในน้ำเสียงอึมครึมดังกล่าว แม้จะดังมาแต่ไกลแต่ยังสัมผัสได้ถึงโทสะชัดเจน
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สีหน้าอันแต้มไปด้วยรอยยิ้มของชิวมู่ชิงพลันชะงักลงทันใด เผยสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที
ตึก! ตึก! ตึก!
…
ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้น
เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่พร้อมกลุ่มคนมากมาย ไม่เพียงบุกรุกเข้ามาในเขตเรือนส่วนตัวของชิวมู่ชิง กระทั่งบุกมาถึงนี่ด้วยท่าทางดุร้ายเอาเรื่อง เผยให้รู้ว่าไม่ได้มาดีแน่นอน
กลุ่มคนด้านหลังชายวัยกลางคนก็มีทั้งชราและชายวัยกลางคน
สีหน้าของแต่ละคนบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
ทั้งหลายยังมองจ้องมาที่ชิวมู่ชิงสายตาตำหนิ ทำราวกับชิวมู่ชิงไปก่อเรื่องงามหน้ามา!
“ท่านลุงรอง ผู้อาวุโส…พวกท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ไฉนบุกเข้าเรือนข้าอย่างมิได้รับเชิญ?”
ชิวมู่ชิงตอนนี้ลุกขึ้นมาและเดินออกจากศาลาไปรับหน้าผู้คน หน้างามยังเปลี่ยนเป็นถมึงทึง
ที่นี่คือเรือนส่วนตัวของนาง และนางเป็นเจ้าของ!
ทว่ากลุ่มคนเหล่านี้กลับบุกรุกเข้ามาโดยไม่ถามนางสักคำด้วยท่าทีดุร้าย กระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะหยาบคาย ยังเหมือนไม่เห็นนางอยู่ในสายตาอีกด้วย!
และผู้ที่บุกรุกเข้ามาเขตเรือนส่วนตัวของนาง ยังเป็นนายท่านรองของตระกูลชิว “ชิวกังยี่”
สำหรับผู้ที่ติดตามชิวกังยี่มา ล้วนเป็นอาวุโสของตระกูลชิวทั้งสิ้น เป็นกลุ่มคนที่ชิวกังยี่เรียกประชุมด่วนหลังมันกลับมาถึงตระกูลชิว
พวกมันยังเป็นฝ่ายที่สนับสนุนชิวกังยี่เรื่องให้ชิวมู่ชิงแต่งกับคุณชายรองตระกูลตงฟาง
พอรู้ว่าวันนี้ชิวมู่ชิงทำอะไรลงไป และตระหนักได้ว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชิวและตระกูลตงฟางได้พงพินาศไปแล้ว พวกมันมย่อมมีโมโหไม่น้อย จึงติดตามชิวกังยี่มาหาคำอธายจากชิวมู่ชิงทันที
“ทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือชิวมู่ชิง เจ้ากำลังจะทำให้ตระกูลชิวทั้งตระกูลล่มจมอยู่รอมร่อ! แต่เจ้ายังมีหน้ามาโมโหเรื่องที่พวกเราบุกรุกที่เจ้าหรือ?”
นายท่านรองตระกูลชิว ชิวกังยี่กล่าวออกเสียงเข้มขณะมองชิวมู่ชิงตาขวาง “หากไม่มีตระกูลชิวแล้ว เจ้ายังคิดว่าเจ้าจะมีเขตที่พักใหญ่โตให้เจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ได้อีกหรือ!?”
นอกจากนั้นในน้ำเสียงของมันยังเต็มไปด้วยความประชดประชัน
ชิวกังยี่แม้จะเป็นนายท่านรองของตระกูลชิว แต่ชิวมู่ชิงก็จำต้องเรียกมันท่านลุงรอง เพราะมีความเกี่ยวดองทางสายเลือด
ถึงแม้ความเกี่ยวดองทางสายเลือดจะห่างมากก็ตาม
ปู่ของอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องกับปู่ของผู้นำตระกูลชิวคนปัจจุบัน ชิวอ้านผิง กล่าวได้ว่ามันกับบิดานางก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่บ้าง แม้จะค่อนข้างห่างไปแล้วก็ตาม
เช่นนั้นกล่าวได้ว่าลูกสาวของชิวอ้านผิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องมันอย่างชิวมู่ชิง ก็ถือเป็นหลานของมันเช่นกัน
แต่ทว่าในใจของชิวกังยี่นั้น มันเห็นแก่ตระกูลชิวเหนือสิ่งอื่นใด…
ชิวมู่ชิงจะเป็นจะตาย มันไม่แยแสกระทั่งไม่เคยคิดจะสนใจ
ด้วยเหตุนี้แม้ชิวมู่ชิงจะประกาศเจตนาชัดเจน และยืนกรานว่าไม่ยอมแต่งกับตงฟางฉู่ ทว่าชิวกังยี่ก็ไม่สนใจ ชักชวนเหล่าอาวุโสให้มากดดันชิวอ้านผิงไม่เว้นวัน!
ใช้ชิวอ้านผิงบีบคั้นให้ชิวมู่ชิงยอมแต่งเข้าตระกูลตงฟาง!
“ทำให้ตระกูลชิวล่มจม?”
ชิวมู่ชิงถึงกับผงะเมื่อได้ยินคำกล่าวหาของชิวกังยี่ อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปเสียงเย็น “ท่านลุงรองอยู่ดีๆไฉนมากล่าวหาข้าเช่นนี้?”
“กล่าวหาเจ้า?”
ชิวกังยี่ระเบิดเสียงหัวเราะร่าหลังได้ยินคำของชิวมู่ชิง ก่อนที่จะหันไปมองชายหนุ่มชุดม่วงที่พึ่งเดินออกจากศาลามาหยุดข้างชิวมู่ชิง ด้วยสายตาเอาเรื่องกล่าวคำถากถางออกมาทันทีว่า
“เจ้าหนุ่มนี่เป็นชู้รักที่เจ้าซุกซ่อนไว้ด้านนอกใช่หรือไม่? หน้าตามันนับว่าหล่อเหลาไม่เบา แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันไม่ต่างอันใดกับคนตายเพราะดันไปทำให้ตระกุลตงฟางขุ่นเคืองใจ!”
กล่าวแดกดันจบ หน้าของชิวกังยี่ก็เผยความดุร้ายออกมา
ชู้รัก?
ได้ยินคำของชิวกังยี่ คิ้วต้วนหลิงเทียนขมวดย่นเป็นปม คำกล่าวหานี้ทำให้เขาไม่พอใจไม่น้อย
แต่จะอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นคนของตระกูลชิว หากเขาลงมือส่งเดชไม่พ้นต้องทำให้ชิวมู่ชิงตกที่นั่งลำบากแน่นอน เช่นนั้นเขาจึงอดทนเอาไว้ก่อน
แน่นอนว่าการอดทนเอาไว้ก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทนไปได้ตลอด!
หากทนไม่ไหวเมื่อไหร่ เขาก็ไม่คิดจะทน!
วูบ!
และวาจาดังกล่าวของชิวกังยี่ ยังทำให้หน้าชิวมู่ชิงเปลี่ยนสีไปทันที
ชิวกังยี่กล่าวหานาง ตัวนางยังพอทนได้
แต่มากล่าวหาต้วนหลิงเทียน สหายใหม่ของนางแบบนี้นางทนไม่ได้!
“ชิวกังยี่ เจ้าระวังปากของเจ้าไว้ให้ดีเถอะ! ชู้รักอันใดของเจ้า…เขาเป็นสหายของข้า!!”
ชิวมู่ชิงมองชิวกังยี่ด้วยสายตาเย็นชา ยังกล่าวเรียกหามันออกมาด้วยชื่อห้วนๆ เสียงยังเยียบเย็นปานจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง
และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนางก็ว่าได้ที่เรียกชิวกังยี่ออกมาด้วยชื่อห้วนๆแบบนี้
พอได้ยินชิวมู่ชิงเรียกชื่อตัวเองห้วนๆ ชิวกังยี่อดไม่ได้ที่จะตกใจไปพักหนึ่ง จากนั้นค่อยฉีกยิ้มออกมาด้วยโทสะ “ดี ดี ดีมาก…ดูเหมือนยามนี้เจ้าชิวมู่ชิงจักปีกกล้าขาแข็งแล้ว! เพื่อชู้รักคนหนึ่งถึงกับกล้าเรียกหาลุงรองอย่างข้าด้วยชื่อห้วนๆ!”
“ข้าจักกล่าวซ้ำอีกครั้ง เขาเป็นสหายของข้า มิใช่ชู้รัก!”
หน้างามของชิวมู่ชิงตอนนี้คล้ายฉาบเคลือบไว้ด้วยม่านน้ำแข็ง วาจากล่าวย้ำคำรอบนี้ยิ่งมายิ่งเยียบเย็นพาลให้ผู้ที่ได้ฟังเสมือนติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
และจากน้ำเสียงเยียบเย็นดังกล่าว ทำให้ทราบได้ทันที
ว่าตอนนี้นางโมโหจริงๆ!
“เจ้าเรียกว่าชิวกังยี่?”
เมื่อเห็นว่าชิวมู่ชิงโกรธเป็นฟืนไฟ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ต้องทนอะไรแล้ว
เขาก้าวออกมาพร้อมมองหน้าชิวกังยี่ กล่าวออกเสียงทุ้ม “เจ้าเชื่อฟังวาจาของแม่นางชิวเสียจะประเสริฐกว่า…ระวังปากของเจ้าไว้ให้ดี!”
เมื่อต้วนหลิงเทียนออกตัวแทนชิวมู่ชิงเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจผู้คนไม่น้อย
และพอได้ยินวาจาที่เขากล่าว ชิวกังยี่ถึงกับผงะไปวูบหนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะ ฮ่าๆ ออกมาอย่างไม่อาจห้าม
หลังหัวร่อไปได้สักพักมันค่อยหยุดลง มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็นกล่าวคำด้วยน้ำเสียงดูแคลนหยันหยาม
“ไอ้หนู! เจ้าอย่าได้สำคัญตัวเองผิดไป หรือคิดว่าชิวมู่ชิงถูกใจเข้าหน่อยเจ้าก็นึกว่าตัวเองวิเศษวิโสเหนือใครแล้วจักทำอะไรก็ได้ในตระกูลชิว? เฮอะ! ต่อหน้าข้า เจ้ายังไม่นับเป็นตัวอะไร!!”
ตอนที่ 2,073 : ขยะ!
“ต่อหน้าข้า เจ้ารู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวไว้ให้มากเถอะ!”
นายท่านรองตระกูลชิว ชิวกังยี่กล่าวคำออกมาด้วยความดูถูก มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาถือดี ตีตัวเสมือนจ้าวผู้อยู่เหนือมองติบ่าวไพร่!
และท่าทีดังกล่าวทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขัดใจไม่น้อย
“อ้อ ข้าต้องเจียมเนื้อเจียมตัวต่อหน้าเจ้าสินะ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงฉับพลัน ประกายเย็นเยียบสายหนึ่งวูบวาบออก เสียงยังต่ำลงหลายส่วน
หากใครสนิทสนมกับต้วนหลิงเทียนมากพอ มาได้เห็นทีท่าดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนล่ะก็ ย่อมรู้ได้ทันที
ว่าตอนนี้เขามีโมโหแล้วจริงๆ!
“อะไร? เจ้ายังสงสัยคำข้างั้นเหรอ!?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังย้อนถามด้วยท่าทางไม่พอใจ ชิวกังยี่อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเยาะ สายตาที่มองต้วนหลิงเทียนทวีความดูถูก หว่างคิ้วแผ่พุ่งความถือดีไร้สิ้นสุดออกมา
“ชิวกังยี่ เจ้ามันจะมากเกินไปแล้ว!”
ชิวมู่ชิงก้าวออกมายืนข้างต้วนหลิงเทียน คิ้วคู่งามขมวดยู่เป็นปม คนชักสีหน้าเย็นชากล่าวออกเสียงหนัก
“หึ!”
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันแค่นคำหัวร่อออกมาคำหนึ่ง พลังเซียนสุริยันทั่วร่างโคจรพุ่งพล่าน เตรียมปะทุพลังออกไปสั่งสอนชิวกังยี่สักครา!
ให้ชิวกังยี่มันรู้สำนึก! ว่าเขาต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ใครที่จะมาแหย่เล่นได้ง่ายๆ ยังจะให้มันรับทราบว่าเขาหรือตระกูลตงฟางกันแน่ที่มันต้องกลัว!!
แต่ในขณะที่ชุดคลุมต้วนหลิงเทียนกระพือแรง มวลพลังมหาศาลกำลังจะปะทุระเบิดนั้นเอง
“นายท่านรอง!”
ปรากฏเสียงรีบร้อนดังขึ้นจากด้านนอกเรือนส่วนตัวของชิวมู่ชิง!
และฟังจากเสียงเรียกหาของผู้มาใหม่ มันไม่ได้มาหาชิวมู่ชิงแต่อย่างใด แต่มาหานายท่านรองตระกูลชิว ชิวกังยี่!
ประกายในแววตาชิวมู่ชิงยิ่งมายิ่งเยียบเย็น
ตึก! ตึก! ตึก!
……
เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาแต่ไกล ต้วนหลิงเทียนหันมองไปก็เห็น
ปรากฏชายวัยกลางคนวิ่งหน้าตั้งเข้ามา โดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของเรือนอย่างชิวมู่ชิงอีกคน พอวิ่งมาถึงเบื้องหน้าชิวกังยี่ มันก็รีบรายงานออกมาทันที “แย่แล้วนายท่านรอง ผู้นำตระกูลตงฟางพาลูกชายคนรองของมัน ตงฟางฉู่ รวมถึงอาวุโสลำดับ 1 และ 2 บุกมาเยือนถึงหน้าตระกูลชิวเราแล้ว…อีกทั้งพอพวกมันมาถึงก็ร้องเรียกให้พวกเราตระกูลชิวมอบคำอธิบายให้พวกมัน!”
ชายวัยกลางคนที่เป็นอาวุโสของตระกูลชิวเช่นกัน เร่งกล่าวรายงานออกมารวดเดียวจบ
เนื้อหาในวาจาของมันยังสรุปสั้นๆได้ว่า…
ผู้นำตระกูลตงฟางพาพวกมาถามหาคำอธิบายจากตระกูลชิว!
“ตระกูลตงฟางมาแล้วหรือ…”
ได้ยินคำของชายวัยกลางคน ชิวกังยี่ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที
มองไปยังต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงอีกครั้ง สองตายังทอประกายเยียบเย็น
เหล่าอาวุโสที่ติดตามชิวกังยี่มา ตอนนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปไม่ต่าง
“อะไรกัน…ผู้นำตระกูลตงฟางพาคนมาเร็วถึงเพียงนี้เชียว…”
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลชิวอัปลักษณ์ปั้นยากนัก อาวุโสคนหนึ่งยังหันไปมองชิวมู่ชิงพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ “คุณหนูใหญ่…ดูสิ่งที่ท่านกระทำลงไปเถิด ท่านไม่คิดแต่งงานกับตงฟางฉู่ก็แล้วไป แต่นี่ท่านกลับทำให้เรื่องราวมันเลวร้ายลง! จับมือบุรุษพาวิ่งไม่พอ มิหนำซ้ำยังพามันกลับมาที่ตระกูลชิวของเรา นี่ยังมิใช่ท่านเล่นกับไฟ ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลตงฟางหรือไร!?”
“ในเมืองคงหมิงยังมีผู้ใดไม่ทราบว่าตระกูลตงฟางกับตระกูลชิวเรากำลังจักวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ แต่ท่านเลือกจับมือบุรุษอื่นอย่างเปิดเผย ซ้ำยังนำมันกลับมาที่ตระกูลเช่นนี้! ยังมิให้ผู้อื่นคิดว่าท่านคบชู้สู่ชายได้หรือไร!?”
อาวุโสอีกคนพลันตะคอกคำตำหนิออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห
“ไม่เพียงพากลับมายังตระกูลชิวเท่านั้น ยังมีหน้าพามันกลับมาพักที่เรือนส่วนตัวเช่นนี้อีก! หรือยังกลัวโดนผู้คนครหาไม่พอ?!”
อาวุโสข้างๆชิวกังยี่กล่าวค่อนแคะออกมาเสียงเย็น
“จับตัวมันส่งให้ตระกูลฟางเถอะ อย่างน้อยๆจะได้ลดโทสะคนของตระกูลฟางลงบ้าง”
อาวุโสตระกูลชิวอีกคนมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวเสนอออกมาเสียงทุ้ม “หาไม่แล้วตระกูลชิวของพวกเรามีหวังได้เป็นศัตรูกับตระกูลตงฟางเข้าจริงๆ! ถึงตอนนั้นตระกูลเฝิงย่อมสามารถรุกคืบค่อยๆกลืนตระกูลเรากับตระกูลตงฟางทีละตระกูลอย่างไม่รีบร้อน สุดท้ายพวกเราก็ไร้ที่ยืนในเมืองคงหมิงแล้ว!!”
“หึ! เจ้าไม่คิดง่ายไปหน่อยหรือ? ต่อให้ส่งมันไปไฟโทสะของคนตระกูลคงฟางก็ใช่ว่าจะมอดลง…อย่างไรเสียครั้งนี้คุณหนูใหญ่ตระกูลชิวเราก็ตบหน้าคนของตระกูตงฟางฉาดใหญ่ พวกมันไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่!”
ยังมีอาวุโสที่มองกล่าวถึงชิวมู่ชิงออกมาตรงๆ หน้ามันตอนนี้ดุร้ายปานยักษ์มารน้ำเสียงแฝงความตำหนิชัด
วาจาโทษกล่าวชิวมู่ชิงที่ทำให้ตระกูลตงฟางขุ่นเคือง!
“เช่นนั้นก็จับตัวส่งไปทั้งคู่เลยเป็นไร”
ชิวกังยี่กล่าวออกเสียงดัง
เรียกว่าหลังอาวุโสวัยกลางคนเร่งรุดมาแจ้งเรื่องให้ชิวกังยี่ทราบ…
เหล่าอาวุโสที่มาพร้อมชิวกังยี่จากที่เคยเงียบขรึม ก็จ้อกันเสียงดังสนั่น
ในวาจายังเต็มไปด้วยคำตำหนิชิวมู่ชิง ราวกับชิวมู่ชิงเป็นเหตุให้โลกวุ่นวาย
“พาพวกมันทั้งสองไปด้วยกัน! ให้พวกมันทั้งคู่ไปขอขมาผู้นำตระกูลตงฟางด้วยตัวเองก่อน หลังจากนั้นพวกเราค่อยหาคำอธิบายดีๆให้คนของตระกูลตงฟาง”
ชิวกังยี่ที่คล้ายตัดสินใจได้แล้ว พลันกล่าวสั่งออกมาเสียงเย็น หมายให้คนจับต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงที่เป็นตัวต้นเรื่องส่งตัวให้คนของตระกูลตงฟาง จะได้ไปขอขมาเพื่อลดโทสะ หลังจากนั้นค่อยหาคำอธิบายดีๆให้
“ฮ่าๆๆๆ”
ทว่าตอนนี้เองพลันมีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น
เสียงหัวเราะดังกล่าว มาดังขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจให้ชิวกังยี่และอาวุโสคนอื่นๆนัก
สำหรับคนที่กำลังจะทำตามคำสั่งชิวกังยี่ เตรียมไปจับต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงไปให้ตระกูลตงฟางเพื่อขอขมา ก็หยุดร่างลงทันที
สักพักความสนใจของทุกคนก็เบนไปตกยังเจ้าของเสียวหัวเราะ
และคนที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆชิวมู่ชิงนั่นเอง!
“เจ้าหัวเราะบัดซบอะไร!?”
เห็นต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาในเวลาแบบนี้ หน้าชิวกังยี่จมลงอีกครั้ง ตะคอกถามเสียงเย็น
เสียงตะคอกไม่ได้เบาแม้แต่น้อย มันกลบเสียงหัวเราะของต้วนหลิงเทียนทันที
กระทั่งชิวมู่ชิงเองยังอดหันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยเสียไม่ได้ ด้วยไม่ทราบว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ไฉนต้วนหลิงเทียนยังหัวเราะออกมาได้?
ถึงแม้นางจะได้รับคำรับรองจากบิดาแล้วว่าจะพยายามช่วยปกป้องต้วนหลิงเทียนให้พ้นมือคนของตระกูลตงฟางอย่างเต็มที่
แต่พิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าเรื่องราวจะหนักหนากว่าที่นางคิดไว้หลายส่วน…
ชิวกังยี่ทั้งเหล่าอาวุโสไม่เพียงคิดส่งตัวต้วนหลิงเทียนออกไป เพื่อลดโทสะคนของตระกูลตงฟางเท่านั้น!
กระทั่งตัวนาง ชิวกังยี่ก็ไม่เว้น!
แน่นอนว่านางรู้ตัวดี ว่าต่อให้ชิวกังยี่กับพวกอยากจะจับตัวนางส่งมอบให้ตระกูลตงฟาง แต่นางก็ไม่มีทางถูกส่งไปแน่เพราะบิดาของนางย่อมไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
ตอนนี้นางกลับห่วงเรื่องต้วนหลิงเทียนมากกว่า
บิดาของนางสามารถทัดทานเหล่าอาวุโสเพื่อนางได้…แต่ทว่ากับคนนอกอย่างต้วนหลิงเทียนเล่า จะทำได้หรือ?
และในขณะที่นางกำลังเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น อยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่าเสียอย่างนั้น!
เรื่องนี้ทำให้นางสับสนงุนงงไม่น้อย
ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าไฉนในสถานการณ์แบบนี้ต้วนหลิงเทียนยังสามารถหัวเราะออกมาได้ ยังหัวเราะร่าอย่างปลอดโปร่งราวไม่กลัวฟ้ากลัวดิน!
“หัวเราะอะไร?”
ได้ยินคำถามของชิวกังยี่ ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวตอบออกมาในเวลาที่เหมาะสม ค่อยกวาดตามองไปทางชิวกังยี่และเหล่าอาวุโสที่อยู่ด้านหลังชิวกังยี่ พูดออกมาชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าหัวเราะพวกเจ้าอาวุโสของตระกูลชิวอย่างไรเล่า! พวกเจ้าสักแต่จะเอาตัวรอดโดยการปัดความรับผิดชอบทั้งหมดไว้ที่สตรีเพียงคนเดียว…”
“ในสายตาข้า พวกที่ผลักไสให้สตรีออกไปรับหน้าเพื่อเอาตัวรอดเช่นนี้ ล้วนไม่ต่างใดจากขยะ! เป็นเศษสวะดั่งสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้!!”
วาจาต้วนหลิงเทียนเสียงดังฟังชัดนัก ยังกล่าวด่าผู้คนออกมาตรงๆว่าทั้งหลายเป็นขยะ! เศษสวะดั่งสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้!!
ขยะ?
เศษสวะ ดั่งสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้?
อรหันต์ยังมีวันพิโรธ นับประสาอะไรกับชิวกังยี่และเหล่าอาวุโสทั้งหลายของสกุลชิวที่หัวร้อนเป็นทุน!
เรียกว่าหลังถูกต้วนหลิงเทียนต่อว่าประนามออกมาโต้งๆ พวกมันทั้งหลายถึงกับอื้ออึงตะลึงงันจนต้องหันหน้าไปมองสบตากันพักหนึ่งด้วยไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือไม่
อย่างไรก็ตามทั้งหมดยืนยันเรื่องราวได้จากสายตาโกรธแค้นของกันและกัน!
พวกมันได้ยินไม่ผิด!
ต้วนหลิงเทียนกล้าด่าทอประนามพวกมันจริงๆ!
ทันใดนั้น ชิวกังยี่กับอาวุโสทั้งหลายก็ชักสายตาเยียบเย็นมากล้นไปด้วยโทสะมองต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่องทันที “ไอ้หนู! เจ้าอยากตายนักหรือไร!?”
“กล้าด่าว่าพวกเราว่าเศษสวะงั้นหรือ!?”
“ข้าคิดว่าเจ้าเบื่อชีวิตแล้วกระมัง!”
……
ไม่ใช่แค่ชิวกังยี่เท่านั้นที่มองคาดโทษต้วนหลิงเทียนหน้าเหี้ยม เหล่าอาวุโสทั้งหลายด้านหลังชิวกังยี่ก็เดือดดาลเป็นฟืนไฟ!
แต่ละคนเผยทีท่าอาการดุร้าย มวลพลังคุกรุ่นไปทั่วร่างปานพร้อมจะลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ทุกเวลา!!
วูบ!
ทว่าทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนมีบางสิ่งกระพริบวูบผ่านตา ยังสัมผัสได้ถึงสายลมแรงหอบหนึ่ง เป็นชิวมู่ชิงที่ก้าววูบออกมาบังขวางเขาเอาไว้เบื้องหน้า กันท่าไม่ให้อาวุโสทั้งหลายลงมือ
เห็นดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกซึ้งใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหลังต้วนหลิงเทียนละสายตาจากชิวมู่ชิง ไปมองร่างชิวกังยี่และอาวุโสคนอื่นๆอีกครั้ง สายตาซาบซึ้งก็กลายเป็นเย็นชาหยามเหยียด ปากกล่าวคำออกมาอีกรอบ “ทำไม? พวกเจ้าโมโหหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นว่าทั้งหมดคล้ายทนรอฆ่าเขาไม่ไหว ไม่เพียงไม่กริ่งเกรงอะไร ยังหัวเราะเยาะ ทั้งกล่าวคำเย้ยหยันออกมาอีกรอบอย่างสนุกสนาน “หรือ…พวกเจ้าคิดว่าข้ากล่าวคำไหนผิดไป?”
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียน แม้จะทำให้ชิวกังยี่และอาวุโสทั้งหลายโมโหไม่น้อย แต่ไม่มีใครสามนารถลบล้างได้เลย
เพราะถึงแม้พวกมันจะไม่เต็มใจยอมรับเพียงใด แต่พวกมันก็ไม่อาจปฏิเสธคำของต้วนหลิงเทียนได้!
เพราะทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนพูดมา ล้วนเป็นความจริง!
“ข้าว่าตอนนี้พวกเจ้าคงแทบทนรอไม่ไหวที่จะส่งข้ากับแม่นางชิวไปให้ตระกูลตงฟางจัดการ หมายลดโทสะของพวกมันแล้วสินะ…”
ทว่าทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงท้าทาย “ถ้างั้นข้ากับแม่นางชิวจะให้ความร่วมมือกับพวกเจ้าเป็นไง!”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงถึงกับหันขวับมามองต้วนหลิงเทียนด้วยฉงนใจ สีหน้ายังเผยความกระวนกระวายร้อนใจไม่น้อย
แต่ทว่าก่อนที่นางจะทันได้กล่าวอะไร เสียงมากอำนาจไม่เผยช่องให้ปฏิเสธขัดของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นมาเสียก่อน…
“แม่นางชิว ไปเถอะ! พวกเราไปที่ห้องโถงหลักตระกูลชิวกับพวกมัน แล้วไปพบหน้าคนตระกูลตงฟางอะไรนั่นดู…ใครจะไปรู้ บางทีคนของตระกูลตงฟางพอเห็นพวกเราแล้ว…พวกมันอาจจะเมตตาปราณีปล่อยพวกเราไปก็ได้?”
ฟังจากคำของต้วนหลิงเทียนแล้วคล้ายคนจะยอมรับชะตากรรม ทว่าลึกลงไปกลับแฝงความค่อนแคะประการหนึ่ง!
แน่นอนว่าชิวกังยี่กับคนอื่นๆไม่อาจตระหนักถึงเรื่องนี้ได้!
ตอนที่ 2,074 : ประมุขตระกุลชิว!
“ปล่อยพวกเจ้าไปงั้นเรอะ?”
ทันทีที่ชิวกังยี่และเหล่าอาวุโสตระกูลชิวได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน พวกมันถึงกับอึ้งไปก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยเยาะออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน
ต่างรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว…
ชิวมู่ชิงนั้นย่อมไม่เป็นไร
เพราะถึงแม้ว่าชิวมู่ชิงจะทำให้ตระกูลตงฟางขุ่นเคือง แต่ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลชิว รวมถึงได้รับการปกป้องจากประมุขตระกูลชิวของพวกมัน ต่อให้จะส่งตัวชิวมู่ชิงไปให้ตระกูลตงฟาง แต่อีกฝ่ายก็เพียงกล่าวโทษทั้งตำหนิติเตียนต่อหน้าเท่านั้น เรื่องทำร้ายถึงแก่ชีวิตเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้นับเป็นตัวอะไร?
บางทีชิวมู่ชิงอาจจะยินยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมัน
แต่ตอนนี้ลำพังเอาตัวเองให้รอดชิวมู่ชิงก็ลำบากมากพอแล้ว ไหนเลยจะมีปัญญาไปช่วยเหลืออะไรชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ได้?
“ช่างไร้เดียงสา! ทั้งโง่งมไม่รู้ความนัก!”
“กล้าทำร้ายคุณชายรองตระกูลตงฟางอย่างตงฟางฉู่ให้อับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย…ยังกล้าคิดว่าตระกูลตงฟางจะปล่อยมันไปง่ายๆอีกหรือไร? หัวมันมีไว้คั่นหูรึ?”
“หรือมันยังหลับฝันไม่ตื่น? แต่อย่างไรก็ช่างหัวมันเถอะ!”
“ใช่ ในเมื่อมันยินดีไปห้องโถงใหญ่ตระกูลชิวเราเพื่อพบหน้าคนของตระกูลตงฟาง…เช่นนั้นตอนนี้มันอยากพูดอะไรก็ช่างมันเถอะ”
…
เหล่าอาวุโสฝ่ายชิวกังยี่พูดคุยกันอีกรอบ ฟังจากวาจาของพวกมัน ต่างรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกำลังฝันกลางวัน!
อย่างไรก็ตามเนื่องจากต้วนหลิงเทียนยินดีไปที่โถงหลักตระกูลชิวเพื่อเผชิญหน้ากับคนตระกูลตงฟางด้วยตัวเอง พวกมันก็ไม่คิดจะกล่าวใดให้มาก
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่คนของตระกูลชิวของพวกมัน ต่อให้พวกมันจะเป็นชนชั้นอาวุโสของตระกูลชิวแต่พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์จะออกคำสั่งอะไรกับต้วนหลิงเทียน
ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนไม่ลากตระกูลชิวของมันให้จมปลักโคลนนี้ พวกมันก็คิดไม่ใยดีอะไรต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น
“ในเมื่อเจ้ายินดีไป…เช่นนั้นก็ไปกับพวกเราตอนนี้เลย!”
ชิวกังยี่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีขบขันค่อยกล่าว
กล่าวจบแล้วสองตาของมันก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา
คล้ายต่อให้ต้วนหลิงเทียนเกิดเปลี่ยนใจไม่คิดไปแล้ว มันก็ยังจะลากคอต้วนหลิงเทียนไปโถงใหญ่ด้วยตัวเอง
อาวุโสคนอื่นๆเองก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตาเช่นกัน
เรียกว่าความคิดในหัวพวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากชิวกังยี่เลย
ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนเต็มใจไปเผชิญหน้ากับตระกูลคงฟางที่โถงหลัก ในสายตาของตระกูลตงฟางย่อมเสมือนพวกมันยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับตระกูลชิวให้ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องใดๆต่อกัน ถึงส่งตัวให้อย่างไร้แยแส…
แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนไม่เต็มใจไปพบคนของตระกูลตงฟางขึ้นมา แน่นอนว่าทางตระกูลคงฟางย่อมคิดว่าคนตระกูลชิวของพวกมันคิดปกป้องต้วนหลิงเทียน!
หากเป็นแบบนั้น ความบาดหมางของตระกูลชิวกับตระกูลตงฟางจะยิ่งถลำลึกลงไปอีกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
และนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันอยากจะเห็นและตั้งใจจะให้เป็นแม้แต่นิดเดียว
“อะไร หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจ?”
ได้ยินคำกล่าวเร่งรัดของชิวกังยี่ รวมถึงสัมผัสได้ถึงสายตาของชิวกังยี่และอาวุโสคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนก็ปรายตามองชิวกังยี่ด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวถามออกไปเสียงเบาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ข้าก็หวังว่าเจ้าจักไม่กลับคำ อย่างไรก็ตามต่อให้เจ้าจะกลับคำหรือไม่เต็มใจจะไป ข้าก็จะลากคอเจ้าไปด้วยตัวเอง!”
ชิวกังยี่กล่าวเย้ย ค่อยหัวเราะเยาะออกมา
“อาศัยพลังฝีมือระดับเจ้าน่ะหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยกลับ ก่อนที่จะหันไปมองกล่าวกับชิวมู่ชิง “แม่นางชิวโปรดนำทางไปที พอดีข้าไม่รู้ทางไปห้องโถงหลักของตระกูลชิวท่าน…”
เรียกว่าตอนหันไปคุยกับชิวมู่ชิงน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเป็นหน้ามือหลังมือ มันอ่อนโยนและฟังดูสุภาพเป็นมิตรนัก
“แต่…”
อย่างไรก็ตามชิวมู่ชิงยังคงลังเลไม่น้อย แม้จะได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงขนาดนี้แล้วก็ตาม
เพราะตอนแรกนางยังเชื่อมั่นว่าอาศัยบารมีบิดา ย่อมสามารถปกป้องคุ้มภัยต้วนหลิงเทียนจากเงื้อมมือตระกูลฟางได้แน่
แต่พินิจจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ฝ่ายชิวกังยี่นั้นเจตนาขับไล่ไสส่งต้วนหลิงเทียนชัดเจน คล้ายจะประกาศชัดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียน!
ถึงแม้เหล่าผู้อาวุโสจะไม่ได้อยู่ข้างชิวกังยี่ทั้งหมด แต่จำนวนที่อยู่ข้างมันก็มีมากกว่าครึ่ง!
ลองมีอาวุโสมากมายเห็นพ้องต้องกัน กอปรด้วยฐานะ ‘นายท่านรอง’ ที่เป็นดั่งรองประมุขตระกูลชิวของมันออกมาเห็นชอบเรื่องชับไล่ไสส่งต้วนหลิงเทียนล่ะก็…
กระทั่งบิดาของนาง ชิวอ้านผิง ที่เป็นประมุขตระกูลชิว ก็ไม่อาจปกป้องต้วนหลิงเทียนในนามของตระกูลชิวได้!
“ไม่ต้องกังวลไป”
เมื่อเห็นอาการลังเลของชิวมู่ชิงต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มกล่าวเสียงเรียบออกมา และด้วยทีท่ามั่นใจนี้ทำให้ชิวมู่ชิงพลอยติดเชื่อมั่นใจไปด้วย
“หรือ…ท่านมีหนทางทำให้ตระกูลตงฟางมิอาจลงมือต่อท่าน?”
จังหวะนี้ชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียน
เพราะตอนนี้นางยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนเลย
เช่นนั้นพอได้ยินน้ำเสียงทั้งแลเห็นความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนแบบนี้ สิ่งแรกที่นางนึกถึงก็คือต้วนหลิงเทียนสมควรมี ‘ความเป็นมา’ ไม่ธรรมดา หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องกริ่งเกรงอะไรตระกูลตงฟาง ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ของเมืองคงหมิง
“ถึงเวลาเจ้าก็รู้เอง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบชิวมู่ชิงด้วยน้ำเสียงที่ยังเปี่ยมความมั่นใจดุจเดิม และนั่นทำให้ชิวมู่ชิงยิ่งมั่นใจว่าความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดาแน่นอน!
อย่างน้อยๆก็ต้องไม่ธรรมดามากพอจะสะกด ‘ตระกูลตงฟาง’ ให้ไม่กล้าลงมือทำอะไร!
ทันใดนั้นชิวมู่ชิงก็รู้สึกโล่งใจ และเดินนำออกจากเขตเรือนส่วนตัวมุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลักตระกูลชิวพร้อมกันกับต้วนหลิงเทียน
ตอนนี้ในใจนางยังบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นฐานะความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนนัก
แต่เกรงว่าให้หลับนางยังไม่อาจฝันถึง
ว่าความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนไม่ได้มาจากฐานะความเป็นมาอะไรอย่างที่นางคิด แต่เป็นพลังฝีมือล้วนๆ!
ตระกูลตงฟาง ในฐานะขุมพลังชั้น 3 อาจมีพลังความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา
แต่ในสายตาของต้วนหลิงเทียน มันช่างเปราะบางเหลือเกิน…
“ไป!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเดินออกไปพร้อมชิวมู่ชิง และท่าทางจะมุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลักจริงๆ ชิวกังยี่ก็เรียกอาวุโสทั้งหลายให้ทั้งหมดเดินตามกันไป
“หึ! ครั้งนี้คุณหนูใหญ่เอาแต่ใจเกินไป…หากเป็นไปได้ข้ายังหวังว่าตระกูลชิวเราจะส่งตัวนางให้ตระกูลฟางไปเสีย!”
“ใช่ ครั้งนี้นางนับว่าโง่งมนัก…กลับสนิทสนมกับบุรุษผู้อื่นอย่างออกหน้าออกตาเช่นนั้นกลางเมือง…”
“ต้องทราบด้วยว่าในเมืองคงหมิงล้วนรู้กันทั่วแล้วว่านางกำลังจะแต่งเข้าตระกูลตงฟาง ในฐานะภรรยาเอกของตงฟางฉู่ นางยังกล้ายุ่งกับบุรุษผู้อื่นอยู่อีก!”
“นั่นสิ…การกระทำของนางครั้งนี้ แทบมิต่างใดจากตบหน้าคนทั้งตระกูลตงฟางฉาดใหญ่”
“ตอนนี้ข้าเพียงหวังให้ตระกูลตงฟางจะคลายโทสะลงบ้าง หลังตระกูลชิวของพวกเราส่งเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นไปให้…ส่วนความผิดของคุณหนูใหญ่ พวกเราคงได้แต่หาทางชดใช้ด้วยวิธีอื่น…”
“มิผิด แถมครั้งนี้พวกเราต้องชดใช้ให้สมน้ำสมเนื้อ! จะอย่างไรก็ไม่อาจทำให้สัมพันธ์ระหว่างตระกูลเรากับตระกูลตงฟางร้าวฉานได้เด็ดขาด…อีกทั้งฝ่ายนั้นเองก็คงไม่เรียกร้องอันใดมาก อย่างไรพวกมันก็รู้ตัวดี ว่าหากไร้ตระกูลชิวของพวกเรา พวกมันก็ไม่อาจแข่งขันกับตระกูลเฝิงได้!”
……
ระหว่างเดินทางไปห้องโถงหลักตระกูลชิว เหล่าอาวุโสก็เริ่มสนทนากันอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบเหล่านี้ชัดถนัดหู
เขาได้แต่ลอบส่ายหัวไปมาอย่างระอา
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองคุณหนูใหญ่ตระกูลชิวอย่างชิวมู่ชิงที่เดินนำเขาเล็กน้อยด้วยสายตาสงสาร
ยิ่งมองก็ยิ่งเวทนาสงสารนัก แม้นางจะมีหน้ามีตาในครอบครัวเพียงใด แต่สุดท้ายก็ไม่วายเป็นได้แค่เครื่องมือของตระกูล หน้าที่ของนางคือเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลตงฟางเท่านั้น
“ข้างหน้าก็เป็นห้องโถงหลักของตระกูลชิวเราแล้ว…ท่านแน่ใจหรือว่าจักไปจริงๆ หากท่านเปลี่ยนใจข้าจะหาทางหยุดพวกมันไว้!”
ทันใดนั้นชิวมู่ชิงก็ชะลอฝีเท้าลง พูดกับต้วนหลิงเทียนเสียงเบา
ขณะเดียวกันทางด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้แลเห็น อาคารหลังโตอันเป็นห้องโถงหลักตั้งอยู่เบื้องหน้า
มองจากไกลๆห้องโถงหลักหลังนี้ช่างโอ่อ่าน่าเกรงขามนัก ราวกับสัตว์ร้ายตัวเขื่องกำลังฟุบหมอบอยู่อย่างสงบ ประตูเข้าโถงนั่น ไม่ต่างใดจากปากของสัตว์ร้ายตัวเขื่องที่อ้าออกรอเหยื่อเข้าไปติดกับ
“เจ้าจะหยุดพวกมันได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงย้อนถามกลับไปด้วยสงสัยหลังได้ยินคำของชิวมู่ชิง
เขาได้ให้ผู้เฒ่าหั่วตรวจสอบพลังฝึกปรือของทุกคนเรียบร้อยแล้ว ทำให้ทราบดีว่าไม่มีใครในที่นี้มีพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์อยู่เลย
คนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างชิวกังยี่ ก็มีพลังฝึกปรือเพียงเซียนนภาขั้นสูงสุดเท่านั้น
แต่อาศัยพลังฝึกปรือของชิวมู่ชิงที่ยังรั้งอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่นางจะหยุดพวกมันได้
“ตราบใดที่ข้าขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย และใครกล้าไล่ตามท่านไปข้าจะตายให้ดูทันที…ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นชิวกังยี่ก็ไม่กล้าไล่ตามท่านไป! เพราะมันย่อมหวาดกลัวไม่น้อยว่าหากข้าตกตายไปขึ้นมา ท่านพ่อของข้าจะไม่ละเว้นมัน!”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงก็ส่งเสียงผ่านพลังกล่าวตอบอีกครั้ง
ฟังจากวาจาไม่อีนังขังขอบของนางแล้ว…เสมือนความตายสำหรับนางเป็นแค่การกลับบ้าน!
แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีว่าที่ชิวมู่ชิงกล้าพูดแบบนี้ เพราะนางมั่นใจว่าถ้านางยกเรื่องตายมาขู่ ชิวกังยี่จะไม่กล้าลงมือทำอะไรวู่วาม…
แต่กระนั้นพอได้ฟังใจต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปไม่น้อย ยังรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจนางนัก
ต้องทราบด้วยว่าอย่างไรเขากับชิวมู่ชิงก็พึ่งพบกันวันนี้
ถึงแม้ว่าเรื่องที่ชิวมู่ชิงข่มขู่ชิวกังยี่จะเป็นดั่งการเขียนเสือให้วัวกลัว
แต่อย่างน้อยๆการที่นางเต็มใจทำเพื่อเขา ก็เผยให้รู้ว่านางเป็นสตรีที่หาได้ยากคนหนึ่ง และนางไม่ต้องการให้เขาได้รับอันตรายเพราะมีนางเป็นต้นเหตุ
“อะไรกันแม่นางชิว นี่ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับด้วยน้ำเสียหยอกล้อ
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้า…ข้าแค่เป็นห่วงเล็กน้อย แต่ในเมื่อท่านมั่นใจแล้วพวกเราก็เข้าไปกันเถอะ…ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าตระกูลตงฟางจะทำอย่างไร เมื่อพวกมันพบว่าไม่อาจทำอะไรท่านได้”
ชิวมู่ชิงกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนด้วยการส่งเสียงผ่านพลังอีกครั้ง
น้ำเสียงกล่าวคำรอบนี้ยังแฝงความซุกซนอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย
ทว่าฟังจากคำของนาง ดูเหมือนนางจะเชื่อไปแล้วว่าความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดาจริงๆ!
อย่างน้อยๆก็เชื่อถึงขั้นว่าหลังจากที่พวกคนของตระกูลตงฟางได้รู้ พวกมันจะไม่กล้าแตะต้องต้วนหลิงเทียนสืบไป!
“หืม?”
เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าห้องโถงหลักตระกูลชิว ต้วนหลิงเทียนก็เห็นคน 3 คนกำลังเดินมา เป็นชายวัยกลางคนในชุดหรูหราอู้ฟู่กับชายชราผมขาวโพลน 2 คน
“ท่านพ่อ!”
ชณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงชิวมู่ชิงที่อยู่ข้างๆดังขั้นอย่างสดใส จากนั้นก็เห็นนางรีบก้าวออกไปทักทายชายวัยกลางคนในชุดหรูหรานั่น
“นั่นหรือ ประมุขตระกูลชิว?”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ชายวัยกลางคนในชุดหรูหราแลดูร่ำรวยเบื้องหน้า สมควรเป็นประมุขตระกูลชิว ชิวอ้านผิง
ชิวอ้านผิงคนนี้รูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าเผยความเข้มแข็งหนักแน่น คิ้วโค้งดั่งดาบ จากเคร้าโครงรูปหน้าคมเข้มหมดจด เห็นได้ชัดว่าในตอนที่ยังเยาว์มันจัดเป็นคนหล่อเหลาเอาเรื่องคนหนึ่ง…
ตอนที่ 2,075 : ภายในห้องโถงหลัก
“มู่ชิง”
ประมุขตระกูลชิว ชิวอ้านผิง เมื่อเห็นชิวมู่ชิงเดินเข้ามาหา มันก็คลี่ยิ้มบางๆ แววตาเผยความรักความเอ็นดูออกมาให้เห็นชัด
อย่างไรก็ตามครู่ต่อมามันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
พอมันนึกถึงเรื่องที่รับปากบุตรีคนเดียวเอาไว้ขึ้นมา มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกผิด….
ต้องทราบด้วยว่าบุตรีของมันเติบโตมาจนขนาดนี้ มันยังไม่เคยทำให้นางผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าครั้งนี้มันกำลังจะทำให้นางผิดหวังเสียแล้ว…
“อาวุโสหลัก อาวุโสรอง”
เมื่อร่างชิวมู่ชิงมาถึงข้างกายชิวอ้านผิง นางก็เร่งทักทายชายชราทั้ง 2 คนที่อยู่ข้างๆชิวอ้านผิงทันที
ชายชราทั้ง 2 คนนี้ หนึ่งคืออาวุโสหลักตระกูลชิว ส่วนอีกคนก็คืออาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลชิว
อาวุโสหลักตระกูลชิวเป็นชายชราที่มีรูปร่างกลางๆ พอได้ยินคำทักของชิวมู่ชิง ก็หันไปคลี่ยิ้มบางๆพยักหน้ารับคำทักทายเบาๆ “เสี่ยวชิงเอ๋อ”
สำหรับอาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลชิวนั้น ร่างมันสูงกว่าอาวุโสหลักเล็กน้อย ความสูงของมันพอๆกันกับประมุขตระกูลชิว ชิวอ้านผิง
ได้ยินคำทักทายของชิวมู่ชิง มันก็เหลือบมองชิวมู่ชิงอย่างเฉยเมย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “มู่ชิง เรื่องวันนี้เจ้าเลอะเลือนใหญ่แล้ว!”
ชิวมู่ชิงพอได้ยินคำตำหนิก็นิ่งไปทันที
วันนี้ที่นางเผลอจับมือต้วนหลิงเทียนและพาวิ่งหนีออกจากเหลานั้น เป็นอะไรที่นางเองก็ไม่ทันรู้ตัว เพียงกระทำไปตามสัญญาณเท่านั้น…
พอมาลองมองย้อนไปนางก็รู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง กระทั่งยังรู้สึกว่าตัวเองผลีผลามไร้การยั้งคิดดั่งเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
แม้นางจะรู้สึกดีกับต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็พึ่งพบกันวันแรก
ทว่าเรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว
และการกระทำของนางในระดับหนึ่งก็ไม่ต่างใดจากตบหน้าตระกูลตงฟาง
เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับคำตำหนิด้วยความไม่พอใจของอาวุโส 2 นางก็ได้แต่นิ่งเงียบรับคำไม่โต้แย้งอย่างรู้ผิด
“ประมุข อาวุโสหลัก อาวุโส 2”
ครู่ต่อมานายท่านรองตระกูลชิวอย่างชิวกังยี่ก็เดินมาถึง มันประสานมือคารวะทักทายทั้ง 3 ทันที
เห็นชิวกังยี่คารวะทักทาย ชิวอ้านผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยพยักหน้าตอบกลับไปอย่างเฉยเมย
หลังจากนั้นเหล่าอาวุโสที่ติดตามชิวกังยี่มาด้านหลัง ก็คารวะทักทายทั้ง 3 เช่นกัน
“ชิวกังยี่ เจ้ารั้งอยู่ ส่วนคนอื่นๆกลับไปได้แล้ว”
เมื่ออาวุโสหลักตระกูลชิวเห็นอาวุโสมากมายมารวมตัวกันคิ้วมันก็ขมวดเป็นปม กล่าวคำเสียงเบาออกมาอย่างไร้แยแส
แม้น้ำเสียงจะเบาหวิว หากแต่ในน้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจขัด น่าเกรงขามสำหรับอาวุโสตระกูลชิวทั้งหลายนัก
ในตระกูลชิวก็มีผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้งสิ้น 3 คน
ในหมู่พวกมัน เป็นอาวุโสหลักที่พลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด!
เช่นนั้นอาวุโสทั้งหลายที่ติดตามชิวกังยี่มาจึงไม่กล้าไม่เชื่อฟัง!
ทำให้หลังอาวุโสหลักกล่าวไม่ทันขาดคำ อาวุโสทั้งหลายเพียงมองชิวกังยี่ส่งท้ายอีกครั้งค่อยเร่งจากไปทันที
ถึงแม้พวกมันจะอยากเข้าไปในห้องโถงในและ ‘ปลุกปั่น’ มากเพียงใด แต่เมื่ออาวุโสหลักเอ่ยปากแล้วแบบนี้แม้พวกมันอยากเข้าไปหารือในโถงหลักด้วยแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะไม่ได้เข้าไปร่วมออกปากในห้องโถงหลัก ทว่า ‘เจตนา’ ของพวกมันย่อมมีผู้รับช่วงต่อไปแล้ว
อาศัยนายท่านรองอย่างชิวกังยี่แห่งตระกูลชิวเพียงผู้เดียว ก็มากพอจะเป็นตัวแทนของพวกมัน!
สุดท้ายกลุ่มคนที่มารวมตัวกันมากมาย ก็หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียว
ครู่ต่อมาต้วนหลิเทียนก็ค่อยๆก้าวเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนหยุดเบื้องหน้าชิวอ้านผิง อาวุโสหลัก และอาวุโส 2
“ท่านพ่อ เขาคือสหายที่ข้ากล่าวถึง”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามา ชิวมู่ชิงก็กล่าวแนะนำออกมาในเวลาที่เหมาะสม
ด้วยความ ‘มั่นใจ’ ที่ต้วนหลิงเทียนเผยให้เห็นก่อนหน้า ทำให้ตอนนี้นางคลายความกังวลลงไม่น้อย
ถึงแม้นางจะรู้ว่าบิดาคงไม่อาจปกป้องต้วนหลิงเทียนได้สืบไป แต่นางก็ไม่ร้อนใจอีกแล้ว!
“ประมุขชิว”
ก่อนที่ชิวอ้านผิงจะทันใดกล่าวอะไร ต้วนหลิงเทียนพลันยิ้มทักออกไปเสียก่อน
“ยินดีที่ได้พบ”
ได้รับการยิ้มทักอย่างมากอัธยาศัยของต้วนหลิงเทียน ชิวอ้านผิงก็ยิ้มทักกลับไปทันที ค่อยถามออกมาว่า “เจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”
“ลี่เฟิง”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ
และคำตอบของเขาก็ทำให้ชิวมู่ชิงอึ้งไปพักหนึ่ง
นั่นเพราะชิวมู่ชิงได้รับทราบนามต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าแล้ว พอมาได้ยินชื่อใหม่จากปากต้วนหลิงเทียน นางจึงรู้สึกสับสนโดยไม่รู้ตัว
ทว่าพอลองคิดดูครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกโล่งใจ ด้วยคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเจตนาปิดบังชื่อของตัวเอง
“ที่แท้เป็นน้องชายลี่เฟิง”
ชิวอ้านผิงพยักหน้ารับ ค่อยถามต่อ “น้องชายลี่เฟิงคงไม่ใช่คนในเมืองคงหมิงกระมัง?”
“ไม่ใช่”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
“มิทราบข้าขอถามได้หรือไม่ว่าน้องลี่เฟิงมาจากที่ใด?”
ชิวอ้านผิงถามต่อ
ในขณะที่กล่าวถามคำนี้ออกมา สองตาของมันเผยความคาดหวังประการหนึ่ง
เพราะมันรู้ดีว่าวันนี้มันคงไม่อาจปกป้องชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าได้อีก เช่นนั้นมันจึงลอบคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมีความเป็นมาใหญ่โต ด้วยวิธีนี้ตระกูลตงฟางถึงจะไม่กล้าลงมือทำร้ายคนได้ง่ายๆ
และนั่นจะทำให้ลูกสาวคนเดียวของมันไม่ต้องบังเกิดความผิดหวัง เพราะมันไม่อาจปกป้องอีกฝ่ายได้ตามคำสัญญา
“ประมุขชิวข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดคนหนึ่ง โลกทั้งใบก็คือบ้านของข้า…”
ได้ยินคำถามของชิวอ้านผิง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำทันที หากแต่ไม่ได้บอกความเป็นมาอะไรของเขา
ผู้ฝึกตนพเนจรไร้ราก?
(ไร้ราก = ไม่มีหลักแหล่ง,ไร้สังกัด)
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน สายตานายท่านรองของตระกูลชิว ‘ชิวกังยี่’ และอาวุโส 2 เผยประกายรังเกียจดูแคลนออกมาทันที ส่วนสีหน้าของชิวอ้านผิงกับอาวุโสหลักของตระกูลชิวเผยความขึงขังจริงจังขึ้นมา
โดยเฉพาะชิวอ้านผิง แววตายังอดเผยความผิดหวังออกมาไม่ได้
สำหรับคุณหนูใหญ่ตระกูลชิวอย่างชิวมู่ชิง นางเพียงผงะไปเล็กน้อย และคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรปกปิดความเป็นมาเอาไว้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
สักพักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนตระกูลตงฟาง สุดท้ายไม่พ้นต้องเปิดเผยความเป็นมาที่แท้จริงออกมาแน่ และนั่นสมควรทำให้ตระกูลตงฟางผวาดั่งหนูหวาดแมว ไม่กล้าแตะต้องอะไรอีก
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ไหนเลยคนจะมีความมั่นใจได้ถึงขนาดนี้
“น้องชายลี่เฟิงนี่คืออาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลชิวเรา…”
ชิวอ้านผิงเปิดปากกล่าวคำทำลายความเงียบ เอ่ยแนะนำอาวุโสหลักและอาวุโส 2 ที่ยืนข้างกายออกมาให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
“ยินดีที่ได้พบอาวุโสหลัก อาวุโส 2”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปยิ้มประสานมือทักทายทั้ง 2 ด้วยรอยยิ้ม
อาวุโสหลักตระกูลชิวเพียงพยักหน้าเบาๆตอบรับคำทักทายของต้วนหลิงเทียน
สำหรับอาวุโส 2 ของตระกูลชิวนั้น แต่ต้นจนจบมันเพียงเหลือบมองต้วนหลิงเทียนตอนแรกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มาตอนนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวทักทายมัน แต่มันก็เลือกที่จะเมินเฉยไม่แม้แต่จะหันมามอง ราวกับไม่เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตา
สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกเฉยๆ
คนหยิ่งยโสหัวสูงดั่งสุนัขตาต่ำที่ชมชอบดูถูกผู้อื่น ไม่ทราบเขาพบพานมากี่มากน้อยแล้วตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในทวีปเมฆาล่อง เช่นนั้นเขาจึงชินชาและไม่ได้ถือสาอะไร
“ประมุข อาวุโสหลัก อาวุโสสอง…ข้าว่าพวกเราสมควรเข้าไปในห้องโถงหลักได้แล้ว ประมุขตระกูลตงฟางกับอาวุโสสูงของทางนั้นสมควรรอพวกเราอยู่เนิ่นนาน เดี๋ยวพวกมันจะเอาไปพูดได้ว่าตระกูลชิวของเรารับรองแขกไม่ดี”
ทันใดนั้นเสียงชิวกังยี่ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน ผิวเผินฟังคล้ายกระตุ้นเตือนระดับสูงทั้ง 3 ของตระกูลชิวไม่เว้นชิวอ้านผิงเท่านั้น ทว่าหากฟังดูให้ชัดน้ำเสียงของมันคล้ายแฝงความยินดีไว้ไม่น้อย
แน่นอนว่า ‘ความยินดี’ ดังกล่าวล้วนมีให้ต้วนหลิงเทียน…ยินดีที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะถึงคราวเคราะห์!
เมื่อได้รับคำเตือนจากชิวกังยี่ ประมุขตระกูลชิวไม่เว้นอาวุโสหลักและอาวุโส 2 ก็ก้าวอาดๆนำเข้าไปยังห้องโถงหลักที่อยู่ไม่ไกลทันที
ต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงเองก็เดินเคียงข้างติดตามทั้งหมดไป
สำหรับชิวกังยี่นั้นมันเลือกที่จะเดินรั้งท้าย ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะคิดหลบหนี
เมื่อเดินเข้ามาในห้องโถงหลักแล้ว ภาพเรื่องราวในห้องโถงหลักก็ปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียน
ห้องโถงหลักตระกูลชิวนั้นใหญ่โตโออ่านัก แม้การตกแต่งภายในโถงจะเรียบง่าย หากแต่เป็นความเรียบง่ายที่แลดูหรูหรามีระดับ มากไปด้วยความสง่างาม
“ท่านพ่อเป็นมัน! เป็นมัน!!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมองชมไปรอบๆห้องโถงหลักตระกูลชิว เสียงโวยวายหนึ่งพลันดังขึ้นเข้าหู เสียงโวยวายนี้ยังดังไม่น้อย แถมยังคุ้นๆราวกับเขาเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่…
สองตาต้วนหลิงเทียนจึงถูกเจ้าของเสียงดังกล่าวดึงดูดไปให้หันมองทันที
และเพียงมองปราดเดียวเขาก็จดจำมันได้ ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นคุณชายรองตระกูลฉู่ ที่เขาโบกร่วงตกเหลาชื่อดังกลางเมืองไปนั่นเอง
ตอนนี้ตงฟางฉู่ยืนอยู่ข้างๆชายวัยกลางคน มันกำลังชี้มือชี้ไม้มาที่เขาด้วยความตื่นเต้น กล่าวฟ้องชายวัยกลางคนข้างๆด้วยโทสะ
และพอได้ยินคำเรียกหาชายวัยกลางคนจากปากตงฟางฉู่ ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่ามันเป็นใคร เพราะอัตลักษณ์ของมันล้วนถูกคำ ‘ท่านพ่อ’ ของตงฟางฉู่เปิดโปงหมดสิ้นแล้ว…
มันคือประมุขตระกูลตงฟาง…
ตงฟางเฉียน!
หลังได้ยินคำฟ้องของตงฟางฉู่ สายตาตงฟางเฉียนก็ค่อยๆเบนมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียน ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนถูกอสรพิษจับจ้องอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองตงฟางเฉียนผ่านๆเท่านั้น ค่อยหันไปมองชายชรา 2 คนที่ยืนประกบตงฟางเฉียนเอาไว้
ชายชราทั้ง 2 นั่นสามารถยืนประกบอยู่ข้างกายตงฟางเฉียนได้แบบนี้ เผยให้เห็นว่าฐานะของพวกมันในตระกูลตงฟางสมควรไม่ต่ำต้อย ‘หรือพวกมันจะเป็นอาวุโสหลัก กับอาวุโสลำดับ 2 ของตระกูลตงฟาง?’
เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ยังอยู่ในเรือนส่วนตัวของชิวมู่ชิง ตอนที่ชิวกังยี่และเหล่าอาวุโสฝ่ายชิวกังยี่บุกรุกมานั้น เขาได้ยินพวกมันพูดชัดถนัดหู
ว่าคนของตระกูลคงฟางที่มาวันนี้ ไม่เพียงตงฟางฉู่กับประมุขตระกูลตงฟาง ยังมีอาวุโสหลักกับอาวุโส 2 ของตระกูลคงฟางมาด้วย
และมองไปทั่วตระกูลตงฟางแล้ว เกรงว่าคงมีเพียง 2 คนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติมากพอจะยืนเคียงไหล่ตงฟางเฉียนได้
อีกทั้ง 2 คนนั่นยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ของตระกูลตงฟาง นอกจากตัวตงฟางเฉียนอีกด้วย
ตระกูลตงฟางก็เหมือนกันกับตระกูลชิว…มีผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้งสิ้น 3 คน
ทั้งหมดล้วนเป็น ประมุข อาวุโสหลัก และอาวุโสลำดับที่ 2 เหมือนกัน
สำหรับชายชราอีก 2 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตงฟางฉู่นั้น ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองผ่านๆ ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับพวกมันมาก
เพราะเห็นได้ชัดจากตำแหน่งการยืนของพวกมัน ฐานะในตระกูลตงฟางของพวกมันสมควรอยู่ในระดับปานกลาง และควรเป็นแค่อาวุโสธรรมดาๆเท่านั้น
“ประมุขตงฟาง”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชิวอ้านผิง ประมุขตระกูลชิวที่เดินเคียงไหล่ไปกับอาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลชิว ก็ประสานมือกล่าวคำทักทายตงฟางเฉียนด้วยรอยยิ้ม
อาวุโสหลักทั้งอาวุโส 2 ของตระกูลชิวก็เอ่ยคำทักทายตงฟางเฉียนตาม ก่อนที่พวกมันจะหันไปพยักหน้าทักทายอาวุโสหลักกับอาวุโส 2 ของตระกูลตงฟาง
‘แพศยา! นังแพศยาสารเลว!!’
เมื่อสังเกตเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงเดินเคียงคู่กันมา ราวกับคู่รักสวรรค์สร้าง สองตาตงฟางฉู่ก็แดงฉานขึ้นมาด้วยโทสะ ในใจลอบคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง!
ตอนที่ 2,076 : ‘เงื่อนไข’ ของตงฟางเฉียน
“ประมุขชิว ท่านนับว่ามีบุตรีอันประเสริฐนัก!”
เผชิญหน้ากับคำทักทายด้วยมารยาทของประมุขตระกูลชิว ใบหน้าตงฟางเฉียนประมุขตระกูลชิวกลับเผยความปรามาสดูแคลน เลือกที่จะกล่าวเสียดสีออกมาตรงๆ ในวาจาไร้ซึ่งความสุภาพอันใด
ที่มันพาคนมาวันนี้เพราะคิดจะหาความจากตระกูลชิว ไหนเลยยังจะมาสุภาพมากมารยาทอันใด
การเผยทีท่าสุภาพออกมาตอนนี้ยังต่างอะไรกับ เผยความคิดริเริ่ม ‘ยอมลงให้’ ออกมา เช่นนั้นก็ยากที่จะเรียกร้องผลประโยชน์อะไรได้แล้ว!
ในฐานะที่เป็นถึงประมุขของตระกูลตงฟาง ตงฟางเฉียนไหนเลยจะไม่รู้เรื่องง่ายๆแค่นี้
“หึ”
ส่วนอีกด้านนนั้น หลังอาวุโสหลักกับอาวุโส 2 ของตระกูลชิวทักทายอาวุโสหลักกับอาวุโส 2 ของตระกูลตงฟางแล้ว สิ่งที่พวกมันได้รับก็คือคำแค่นสบถเย็นชาจากอีกฝ่าย
ทำราวกับพวกมันเป็นลูกหนี้อย่างไรอย่างนั้น!
ยังทำให้สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที
อย่างไรก็ตามแม้ใบหน้าพวกมันจะกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก แต่ก็ไม่อาจโต้ตอบอะไรได้…
เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นฝ่ายพวกมันที่ผิดต่อตระกูลตงฟาง และต้องชดใช้เอาใจอีกฝ่าย ไม่ใช่ทางตระกูลตงฟางต้องมาตามเอาใจพวกมัน
“ประมุขตงฟาง ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร?”
ได้ยินคำของตงฟางเฉียน รอยยิ้มที่ฉาบไว้บนใบหน้าชิวอ้านผิงพลันสลายทันที ความอึมครึมเข้ามาแทนที่
ในฐานะประมุขตระกูลชิว มันยินดีปั้นหน้ายิ้มทักอีกฝ่ายด้วยความสุภาพเพราะเห็นแก่ตระกูลชิว
ทว่าตอนนี้ตงฟางเฉียนกลับกล่าวค่อนแคะบุตรีของมันอย่างไม่ไว้หน้า และในฐานะพ่อคน…บุตรีของมันคนนี้มีค่ายิ่งกว่าชื่อเสียงลาภยศรวมถึงชีวิตของมันเสียอีก!
เช่นนั้นมันย่อมไม่อาจทนคนที่มากล่าวกับลูกสาวของมันแบบนี้ได้
อีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ช่าง เว้นแต่ยุ่งกับลูกสาวมันเท่านั้น!
ด้วยเหตุนี้คำที่ชิวอ้านผิงเอ่ยออกอีกครั้ง เสียงไม่เพียงหนักอึ้งยังคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืน พาลให้บรรยาศภายในห้องโถงเปลี่ยนเป็นขึงตึงขึ้นมาทันที
ราวกับการต่อสู้อาจปะทุได้ตลอดเวลา!
“ข้าหมายความว่าอะไร?”
เห็นชิวอ้านผิงที่สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดดำ ตงฟางเฉียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “ชิวอ้านผิงหนอชิวอ้านผิง…นี่เจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่าข้าหมายความว่าอะไร? อย่างบอกนะว่าวันนี้ลูกสาวตัวดีของเจ้าทำอะไรไว้ เจ้ายังไม่รู้?”
กล่าวจบสายตาตงฟางเฉียนก็เบนไปตกยังร่างชิวมู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างต้วนหลิงเทียนทันที ลึกลงไปในแววตามันเผยประกายเยียบเย็นปานจะกลืนกินผู้คน
“ประมุข”
ตอนนี้เองนายท่านรองตระกูลชิวพลันเอ่ยกับชิวอ้านผิงออกมา “เรื่องราวทั้งหมดในวันนี้เป็นความผิดพลาดของตระกูลชิวเรา…ข้ารู้ดีว่าท่านรักและเอ็นดูคุณหนูใหญ่เพียงใด แต่ครั้งนี้เป็นคุณหนูใหญ่ทำเกินไปแล้วจริงๆ!”
ชิวอ้านผิงย่อมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในเวลาแบบนี้ชิวกังยี่จะออกมาซ้ำเติมตระกูลของตัวเอง!
ยิ่งมาใบหน้าของมันก็ยิ่งหมองคล้ำดำลงเรื่อยๆ
อาวุโสหลักตระกูลชิวเองตอนนี้ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เห็นชัดว่ามันเองก็คิดว่าชิวกังยี่ทำเกินไป
มีเพียงอาวุโส 2 ของตระกูลชิวเท่านั้นที่ยังไม่ตอบสนองอะไร ราวกับที่ชิวกังยี่กล่าวออกมาแบบนั้นตอนนี้ ไม่มีใดไม่เหมาะสม
“ชิวกังยี่คนนี้…มันเป็นคนของตระกูลชิวแน่หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับหันมองไปยังชิวกังยี่อีกครั้ง สองตายังหรี่ลงโดยไม่รู้ เขารู้สึกว่าชิวกังยี่ ‘นายท่านรอง’ ของตระกูลชิวผู้นี้…มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนตระกูลชิว แต่สมควรเป็นคนของตระกูลตงฟางที่แฝงตัวมามากกว่า!
เป็นธรรมดาที่ตอนนี้คนตระกูลตงฟางจะกล่าววาจาถือดีทั้งพูดแรงๆออกมาเพราะพวกมันเป็นฝ่ายเสียหาย
ทว่าชิวกังยี่คนนี้กลับไม่โต้แย้ง กลายเป็นเห็นดีเห็นงามตามผู้อื่น ทั้งๆที่มันสมควรมีจุดยืนต่างกับอีกฝ่าย
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเป็นคนนอก และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตระกูลชิว แต่เขายังคิดว่าการที่ชิวกังยี่พูดอะไรแบบนั้นออกมา มันไม่ต่างอะไรจาก ‘เพื่อนร่วมทีมหมู’ แม้แต่นิดเดียว
(เพื่อนร่วมทีมหมู = เพื่อนในทีมกาก,นูป,อ่อนด๋อย /บ้านเรามักใช้เก่งไม่กลัว กลัวทีมกาก! พวกบู๊แหลกแจกสกอร์)
“นายท่านรองตระกูลชิวช่างกล่าวได้มีเหตุผลนัก!”
ได้ยินคำของชิวกังยี่ ประมุขตระกูลตงฟาง ก็คิดใช้ ‘ไผ่ฟาดงู’ มองชิวอ้านผิงพร้อมหัวเราะเยาะ “ยังดีที่พรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของนายท่านรองตระกูลชิวอ่อนด้อยกว่าเจ้า ชิวอ้านผิง เล็กน้อย…หาไม่แล้ววันนี้ผู้ที่จักนั่งตำแหน่งประมุขตระกูลชิว คงไม่มีทางเป็นเจ้าไปได้!”
(ไผ่ฝาดงู = คิดตีงูให้ตายต้องตีด้วยลำไผ่,ลงมือให้อีกฝ่ายไร้หนทางรอด)
ตงฟางเฉียนถึงกับยก ชิวกังยี่ ขึ้นมาข่ม ชิวอ้านผิง อย่างไม่ไว้หน้า!
เรื่องนี้ยิ่งทำให้สีหน้าชิวอ้านผิงบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
“ฮ่าๆๆๆๆ…!!”
ทว่าตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนไม่อาจทนไหวอีกต่อไป เสียงหัวเราะด้วยความขบขันระเบิดออกมาดังลั่นก้องโถง! ราวกับได้ยินเรื่องตลกแห่งยุค!!
“เจ้าหัวเราะอะไร!?”
ทันใดนั้นตงฟางเฉียนพลันหันไปเค้นถามต้วนหลิงเทียนเสียงเหี้ยม หน้าตาแลดูดุร้ายน่ากลัวนัก
แม้เสียงมันจะไม่ได้ดังอะไร ทว่ากลับผสานควบไปด้วยพลังเซียนต้นกำเนิด ทำให้สามารถกลบเสียงหัวเราะต้วนหลิงเทียนที่ดังก้องโถงได้ไม่ยาก
หากไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นห้องโถงของสกุลชิวล่ะก็ มันจะลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายทันที เพราะอีกฝ่ายทำให้ลูกชายของมันต้องอับอายขายหน้าไม่พอ ยังกล้าหัวเราะเยาะหลังมันพูดจบอีก!
“ถามอะไรโง่ๆ ข้าก็หัวเราะเจ้าอย่างไรเล่า!”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนที่หยุดหัวเราะ ก็มองกล่าวกับตงฟางเฉียนด้วยทีท่าขบขันแฝงเสียดสี ไม่ได้หวาดกกลัวสายตาเยียบเย็นปานอสรพิษที่มองมาเขม็งแม้แต่น้อย “ชิวกังยี่น่ะหรือเหมาะสม? มันยังต่างอะไรจาก ‘หมาป่าตาขาว’ อีกกัน?”
“คนอย่างมันต่อให้มีพรสวรรค์สูงส่งกว่านี้ก็ไม่มีทางนำพาความเจริญอะไรมาให้ตระกูลชิวได้ เผลอๆจะพาลพาให้ตระกูลชิวล่มจมไปเพราะความขลาดเขลาของมันด้วยซ้ำ…อันที่จริงกล่าวไปพวกเจ้ายังนับว่าโชคดีแล้ว ที่มันไม่ได้เป็นประมุขตระกูลชิว เพราะไม่งั้นป่านนี้เผลอๆมันจะไปเลียแข้งขาประจบตระกูลเฝิง และขอเข้าร่วมกับตระกูลเฝิงด้วยตัวเอง…”
“และพวกเจ้าตระกูลตงฟางก็ไม่พ้นถูกมันที่ร่วมมือกับตระกูลเฝิงกวาดล้างจนสิ้นซาก!”
วาจาต่อมาของต้วนหลิงเทียนยิ่งดุร้ายนัก เรียกว่าไม่ไว้หน้าผู้คนแม้แต่น้อย ยังกล่าวด่าชิวกังยี่ออกมาตรงๆว่ามันเป็นแค่หมาป่าตาขาว และหากชิวกังยี่ได้เป็นประมุขตระกูลชิวขึ้นมาล่ะก็ ไม่พ้นป่านนี้คงยอมจำนนต่อตระกูลเฝิงไปนานแล้ว และทำให้ทั้งตระกูลชิวเป็นได้แค่ ‘เบี้ย’ ของตระกูลเฝิง!
ได้ยินวาจาแรงๆนี้ของต้วนหลิงเทียน…
ไม่ว่าจะชิวอ้านผิงประมุขตระกูลชิว อาวุโสหลัก และอาวุโส 2 ถึงกับมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับเห็นผี ดั่งวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนจะกระแทกกเข้ากลางใจของพวกมันอย่างจัง…
ต้องทราบด้วยว่า…ในอดีต ชิวกังยี่เคยกล่าววาจาทำนองให้ตระกูลชิวยอมจำนนตระกูลเฝิงออกมาแล้วจริงๆ! ยังหมายให้ตระกูลชิวเข้าร่วมกับตระกูลเฝิงเพื่อทำลายตระกูลตงฟางอีกด้วย!!
นอกจากนี้ยังพยายามเกลี้ยกล่อมผู้คนว่า แม้จะต้องตกเป็นรองตระกูลเฝิง แต่ก็เหมือนอยู่ใต้หนึ่งอยู่เหนือนับหมื่น แถมส่วนแบ่งที่ตระกูลชิวจะได้รับต้องมากกว่าแข่งขันกัน 3 ตระกูล 2 ฝ่ายแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายพวกมันก็เลือกที่จะปฏิเสธความคิดดังกล่าวของชิวกังยี่ไป
“ลี่เฟิง เจ้ามันรนหาที่ตาย!!”
ได้ยินวาจาเย้ยหยันทั้งด่าทออย่างไม่ไว้หน้าของต้วนหลิงเทียน ชิวกังยี่ คำรามออกมาอย่างไม่อาจทานทนได้ไหวสืบไป
พร้อมกันกับเสียงคำราม พลังของมันพวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วร่างดั่งเพลิงไฟ ราวกับพร้อมจะปะทุระเบิดใส่ต้วนหลิงเทียนได้ตลอดเวลา!
“อะไร เจ้าโมโหที่ข้าพูดความจริงงั้นเหรอ?”
สายตาต้วนหลิงเทียนค่อยๆละออกจากร่างตงฟางเฉียนไปมองชิวกังยี่อย่างไม่รีบไม่ร้อน กล่าวค่อนแคะออกมาอีกรอบ ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะซ้ำ
เรื่องนี้ทำให้ชิวกังยี่ยิ่งมีโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ถึงจุดระเบิดยากเต็มที ไม่อาจระงับอารมณ์ได้ไหวสืบไป
นึกภาพออกได้เลย
ว่าทันทีที่ชิวกังยี่เดือดดาลจนถึงจุดระเบิดมันคงไม่คิดรั้งรออะไรอีก 9 ใน 10 ล้วนต้องลงมือเข่นฆ่าสังหารต้วนหลิงเทียนทันที!
“บังอาจ!”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องโถงหลักตระกูลชิว ยังเป็นเสียงเปี่ยมพลังที่มีโมโหไม่น้อย
และผู้ที่กล่าวคำลั่นโถงก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอาวุโส 2 ของตระกูลชิว
หลังตะโกนออกมาเสียงดัง อาวุโส 2 ตระกูลชิวก็หันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง พูดออกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ลี่เฟิงเจ้ามันก็แค่ผู้ฝึกตนไร้ราก! เจ้ายังมีคุณสมบัติอันใดสอดปากกล่าวคำในโถงหลักตระกูลชิว ยังกล่าวคำให้คนตระกูลชิวเราอับอายขายหน้าผู้คน?”
ผู้ฝึกตนไร้ราก!
ทันทีที่คำนี้ของอาวุโส 2 ตระกูลชิวดังออกมา ก็ทำให้กลุ่มคนของตระกูลตงฟาง ที่นำมาโดยตงฟางเฉียนสองตาลุกวาวทันที!
ต้องทราบด้วยว่าในขณะที่พวกมันยกพวกเดินทางมาหาความที่ตระกูลชิว พวกมันยังกังวลใจกันอยู่ไม่น้อย ว่าใช่ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นมีความเป็นมาไม่ธรรมดาหรือไม่ ถึงได้กล้าลงมือทำร้ายตงฟางฉู่กลางเมืองแบบนี้
หากเบื้องหลังชายหนุ่มชุดม่วงมีขุมพลังอันยิ่งใหญ่อยู่ล่ะก็ ตระกูลตงฟางย่อมไม่กล้าล่วงเกินทำร้ายคนได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะทำให้พวกมันมีโมโหมากเพียงใดก็ตาม เว้นเสียแต่พวกมันจะไม่สนใจความปลอดภัยของตระกูลตงฟางแล้วจริงๆ
พอมาตอนนี้ได้ยินอาวุโส 2 ตระกูลชิวกล่าวบอกว่าชายหนุ่มชุดม่วงเป็นแค่ผู้ฝึกตนไร้รากดั่งคนจร พวกมันจึงอดไม่ได้ที่จะโล่งใจกันนัก!
เพราะในสายตาของพวกมัน…
กับผู้ฝึกตนอิสระเช่นนี้ ไม่มีอะไรให้พวกมันต้องกังวล!
“หือ? ทำให้ตระกูลชิวอับอาย?”
ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทางอาวุโส 2 ของตระกูลชิว กล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง “หรือเจ้าในฐานะอาวุโส 2 ของตระกูลชิว ยังคิดว่าวาจาเข้าข้างคนนอกอย่างออกหน้าออกตาของชิวกังยี่นั้นเหมาะสมแล้ว?”
“นอกจากนั้นประมุขตระกูลชิวทั้งอาวุโสหลักยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ…แต่เจ้าที่เป็นแค่อาวุโส 2 กลับสอดปากออกมาแบบนี้ ไม่คิดว่าทำตามใจตัวเองไปหน่อยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกอีกครั้ง ยังถามจี้ไปอย่างไม่ไว้หน้า
“เจ้า…เจ้า…”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน จังหวะนี้อาวุโส 2 มีโมโหนัก หน้ามันคล้ายเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว อนิจจาสุดท้ายก็ไม่อาจหาคำใดมาหักล้างวาจาต้วนหลิงเทียนได้เลย
มันจะเอาอะไรไปหักล้าง?
หรือจะให้ยอมรับว่าชิวกังยี่พูดแบบนั้นเหมาะสมแล้ว?
หรือเถียงข้างๆคูๆว่ามันไม่ได้ทำตามใจ?
อาวุโส 2 ของตระกูลชิว เป็น 1 ใน 3 ขอบเขตเซียนสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลชิว และเป็น 1 ใน 3 ขอบเขตเซียนสวรรค์ที่เห็นดีเห็นงามเรื่องบีบคั้นชิวมู่ชิงให้แต่งกับคุณชายรองตระกูลตงฟาง
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนได้รับรู้จากชิวมู่ชิงก่อนที่จะเข้ามายังห้องโถงหลักแห่งนี้…
ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะไว้หน้าอะไรอาวุโส 2 แม้แต่น้อย
อาวุโส 2 ไม่ออกหน้าขวางทางเขาก็แล้วไป!
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายออกหน้าสอดปากแบบนี้ก็อย่าได้ตำหนิว่าเขาหยาบคาย!
“ประมุข ท่านอาวุโสหลัก…ข้า…ข้าแค่กล่าวความจริงออกมาเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะลดศักดิ์ศรีของตระกูลชิวเรา หรือจงใจเข้าข้างตระกูลตงฟาง!”
ต้วนหลิงเทียนไล่จี้กล่าวหามันมาถึงขนาดนี้ ย่อมทำให้สีหน้าของชิวกังยี่เปลี่ยนไปใหญ่หลวง เร่งร้อนกล่าวคำแก้ตัวออกมาทันที ด้วยกลัวว่าประมุขและอาวุโสหลักจะมีโมโหและกล่าวโทษมันขึ้นมาจริงๆ
“จึกๆๆ…”
ตอนนี้เองตงฟางเฉียนที่เงียบมาอยู่นานพลันจุ๊ปากเย้ยเยาะ ค่อยกล่าวคำค่อนแคะออกมาว่า “ดูเหมือนตระกูลชิวจักตกต่ำลงแล้วจริงๆ…กระทั่งผู้ฝึกตนพเนจรไร้รากยังมีสิทธิ์มีเสียงในห้องโถงหลักได้ ยังสามารถกล่าวเสียงดังปาวๆไม่เห็นหัวผู้ใดได้แบบนี้…”
“หากเป็นในตระกูลตงฟางของข้า ผู้ฝึกตนไร้รากที่กล้าสามหาวเช่นนี้…ไม่ทราบจักตายไปแล้วกี่ร้อยรอบ!”
ขณะที่กล่าววาจาประโยคนี้ออกมา สองตาตงฟางเฉียนยังเบนไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนด้วยอำมหิต จิตสังหารเอ่อล้นออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิด
“จริงเหรอ? ขนาดนั้นเลย?”
ต้วนหลิงเทียนพลันมองสวนกลับไปด้วยสายตาท้าทาย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ ไม่ได้มีความหวาดกลัวสักกะผีกเดียว
“ประมุขตระกูลชิว!”
โดนต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยสายตาท้าทายอย่างไร้ซึ่งความกลัวเกรง ย่อมกระตุ้นโทสะของตงฟางเฉียนให้ลุกโหมขึ้นมาปานเพลิงไฟ หน้ามันมืดดำไปทันใด หันไปมองกล่าวเสียงห้วนกับประมุขตระกูลชิวอย่างชิวอ้านผิงทันที
“วันนี้ตราบใดที่เจ้าส่งมอบผู้ฝึกตนพเนจรคนนี้ให้ข้า ข้าจักพาคนของตระกูลตงฟางข้ากลับไปทันที…เรื่องราวบาดหมางระหว่างตระกูลตงฟางข้ากับตระกูลชิวของเจ้าให้ถือว่าสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้! และต่อไปพวกเราจะทำเป็นลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด!!”
เสียงกล่าวคำของตางฟางเฉียนรอบนี้ดังสนั่นปานฟ้าร้อง ก้องไปทั่วโถงหลักตระกูลชิว “แม้ว่าเจ้ากับข้ามิอาจเกี่ยวดองกันในฐานะ ‘ครอบครัว’ แต่วันหน้าเจ้ากับข้า…พวกเรายังสามารถร่วมมือกันต่อต้านสกุลเฝิงได้อยู่!”
ตอนที่ 2,077 : ถึงเวลาลงมือ!
ความนัยวาจาของตงฟางเฉียนนั้นง่ายดายนัก…
ตราบใดที่ตระกูลชิวส่งตัวต้วนหลิงเทียนมาให้ตระกูลตงฟางจัดการ ตระกูลตงฟางจะไม่ถือสาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ และยังคงร่วมมือกับตระกูลชิวเพื่อต่อต้านตระกูลเฝิงเหมือนเดิม!
สำหรับคนของตระกูลชิวแล้ว นี่นับเป็นการค้าอันไร้ต้นทุนอย่างแท้จริง!
เพราะสุดท้ายแล้วชายหนุ่มชุดม่วงนามลี่เฟิงนั้น ก็แค่ผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดคนหนึ่ง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับตระกูลชิวของพวกมันทั้งสิ้น!
ตราบใดที่ตระกูลชิวส่งตัวคนนอกผู้นี้ออกไป ตระกูลตงฟางถึงกับไม่ถือสาหาความเรื่องที่เหิดขึ้นวันนี้ ไม่สนใจการกระทำงามหน้าของชิวมู่ชิง! และยังคงให้ความร่วมมือกับตระกูลชิวต่อไป โดยที่ไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากตระกูลชิวเพิ่มเติม!!
“ท่านประมุข!!”
เมื่อข้อเสนอหอมหวนของตงฟางเฉียนดังจบคำ นายท่านรองอย่างชิวกังยี่ก็หันไปมองชิวอ้านผิงประมุขตระกูลชิวก่อนใคร สองตาทอประกายลุกวาวรีบกล่าวออกมาด้วยความคาดหวัง “ลี่เฟิงผู้นี้จะอย่างไรก็ไม่ใช่คนในตระกูลชิวเรา! เช่นนั้นใยตระกูลชิวเราต้องเห็นแก่คนนอกแล้วฉุดรั้งตระกูลตัวเองให้ตกต่ำลงเพื่อมัน?”
“ตราบใดที่เราส่งตัวลี่เฟิงออกไป ไม่เพียงคุณหนูใหญ่ไม่จำเป็นต้องฝืนใจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อันใดอีกต่อไป ตระกูลตงฟางยังไม่เอาผิดอันใดคุณหนูใหญ่อีกด้วย!”
“เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ว่าจะกับตระกูลชิวเราก็ดี กับคุณหนูใหญ่เราก็ดี แม้แต่กับท่านประมุขเองก็ดี…ทั้งหมดล้วนมีแต่ได้กับได้ไม่มีเสียอันใด!!”
ชิวกังยี่กล่าวออกมารวดเดียวจบอย่างลื่นไหล
ตอนนี้มันล่ะอยากเป็นประมุขตระกูลชิวเองนัก! จะได้รีบตอบรับข้อเสนอแสนงามของตงฟางเฉียนออกไปทันที!!
ในสายตาของมันข้อเสนอนี้ออกจะดีเกินไปด้วยซ้ำ!
เพราะไม่เพียงสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดในตอนนี้ได้ ยังสะสางความบาดหมางระหว่างตระกูลชิวและตระกูลตงฟางหมดสิ้น ซึ่งนี่มีแต่ประโยชน์ต่อตระกูลตงฟาง ไม่มีโทษอะไรเลย!
ขณะเดียวกันด้านชิวอ้านผิง คิ้วมันก็ขมวดยู่ย่นเป็นปมโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้ว่ามันจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็จำต้องยอมรับว่าข้อเสนอนี้ของตงฟางเฉียนได้กินใจมันไปแล้วส่วนหนึ่ง แถม ‘เงื่อนไข’ ของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายและดึงดูดใจมันนัก!
หากมันตอบรับไปล่ะก็ ก็เป็นดั่งที่ชิวกังยี่ว่าไว้จริงๆ มีแต่ได้ไม่มีเสีย!
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่ลี่เฟยคนนี้เป็นสหายของบุตรีคนเดียวขึ้นมา ชิวอ้านผิงก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความลังเลในใจ หันไปทางชิวมู่ชิงอีกครั้งสายตาทีใช้มองบุตรีก็กลายเป็นซับซ้อนคิดไม่ตกทันที
“ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นชิวอ้านผิงที่มองมาด้วยสายตาแบบนั้น ชิวมู่ชิงย่อมคาดเดาความในใจของบิดาได้เป็นธรรมดา
นางจึงเร่งกล่าวออกมาเสียงดังอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป “เรื่องที่ข้ากระทำไปเมื่อเช้าข้ายอมรับว่าอาจจะหุนหันและดูไม่งามไปบ้าง แต่จะอย่างไรนี่ก็เสมือนเรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับพี่ใหญ่ลี่เฟิง ยังไปเกี่ยวอะไรกับตระกูลตงฟาง? ข้าไม่คิดว่าตัวข้าจะผิดต่อตระกูลตงฟางตรงที่ใด…”
“เพราะตั้งแต่ต้นจนจบข้ามีแต่บอกว่าไม่อยากแต่ง แล้วข้าไปตกลงรับข้อเสนอแต่งงานของตระกูลตงฟางตั้งแต่เมื่อใด…เช่นนั้นตระกูลตงฟางถือสิทธิ์อันใดมาขอคำอธิบายเรื่องส่วนตัวของข้ากับตระกูลชิว?”
“อีกทั้งประมุขตระกูลตงฟางสำคัญตัวผิดไปหรือไม่ ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ข้าเพื่อบีบคั้นตระกูลข้า?”
ชิวมู่ชิงประกาศออกมาชัดเจน ว่าทั้งหมดคือเรื่องส่วนตัวของนาง หาได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลตงฟางไม่!
และเรื่องราวมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
เมื่อชิวมู่ชิงกล่าวจบคำสีหน้าคนของตระกูลตงฟางก็กลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที ทั้งหมดหันไปมองชิวมู่ชิงตาขวาง
“ชิวมู่ชิง!!”
ในฐานะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง คุณชายรองตระกูลตงฟาง ตงฟางฉู่อดไม่ได้ที่จะกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ตอนนี้ในเมืองคงหมิงเรา ยังมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าตระกูลชิวของเจ้า…กำลังจะเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลตงฟางของข้าผ่านการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้าที่เป็นตัวแทนของทั้ง 2 ตระกูล…”
“ในสายตาของผู้คนในเมือง เรื่องที่เจ้าจะแต่งเข้าตระกูลตงฟางในฐานะภรรยาข้าตอนนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!”
“ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เจ้ากระทำลงไปวันนี้ ยังต่างอันใดจากทำให้ตระกูลตงฟางของข้ากลายเป็น ‘ตัวตลก’ ในสายตาผู้คนทั้งเมืองคงหมิง! แต่ตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามากล้าพูดปาวๆว่าการกระทำของเจ้ามิมีใดเกี่ยวข้องกับตระกูลคงฟางของข้า?”
ท้ายประโยคเสียงตงฟางฉู่ก็ดังจนแทบจะกลายเป็นการคำรามอยู่รอมร่อ
“แล้วเรื่องนี้พวกเจ้าตระกูลตงฟางยังจะไปโทษผู้ใดได้ ทั้งหมดล้วนเป็นพวกเจ้าคิดไปเองแต่แรก! หากมิใช่เพราะพวกเจ้าไปปล่อยข่าวลือเหลวไหลพวกนี้ ผู้คนในเมืองคงหมิงจักไปเข้าใจผิดได้อย่างไร?”
ชิวมู่ชิงกล่าวออกอย่างใจเย็น
“คิดไปเอง?”
และวาจานี้ของชิวมู่ชิงก็ไม่ต่างใดจากหอกแหลมทิ่มแทงเข้ากลางใจตงฟางฉู่ ทำให้หน้ามีนเปลี่ยนสีไปเป็นซีดเซียวเขียวสลับขาว
เพราะมองย้อนกลับไปแล้วเรื่องราวทั้งหมดระหว่างมันชิวมู่ชิง ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“คิดไปเอง?”
ทว่าด้านตางฟางเฉียนที่ได้ยินคำนี้ของชิวมู่ชิง สีหน้ามันมืดดำลงทันใด
ทันใดนั้นตงฟางเฉียนก็หันมองไปยังอาวุโส 2 ของตระกูลชิว “อาวุโสชิวจื่อ หากข้าจำมิผิด…การแต่งงานระหว่างตระกูลตงฟางเรากับตระกูลชิวล้วนมิใช่ท่านเป็นคนเสนอออกมาด้วยตัวเองหรือไร?”
“แต่ไฉนตอนนี้ดูเหมือนว่าวาจาของท่านที่เป็นอาวุโส 2 ของตระกูลชิวจักไร้น้ำหนักถึงขั้นมิอาจเชื่อถือได้เลยเล่า!”
“หากท่านรู้ตัวว่าวาจาท่านเป็นเพียงลมที่ผายออกมา มิอาจตัดสินใจอันใดได้แต่แรก แล้วจะมาตกลงเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลตงฟางข้าทำอะไร?”
ยิ่งกล่าวน้ำเสียงของตงฟางเฉียนก็ยิ่งเย็นลง
ขณะเดียวกัน จากคำพูดมันก็บอกถึงเรื่องหนึ่งให้ทุกคนรับทราบกันชัด
ที่แท้ตัวตั้งตัวตีในการวางแผนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล ก็คืออาวุโส 2 ชิวจื่อคนนี้นี่เอง!
และเมื่อตงฟางเฉียนกล่าวแฉความจริงเรื่องนี้ออกมา สีหน้าชิวมู่ชิงก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นผี นางมองไปยังชิวจื่อด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ กล่าวถามออกไปว่า “อะ…อาวุโส 2 ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ถึงกล้ามายุ่งวุ่นวายทั้งตัดสินใจเรื่องแต่งงานแทนข้า?”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาชิวมู่ชิงหลงคิดว่าเรื่องแต่งงานล้วนเป็นชิวกังยี่กับอาวุโสฝ่ายชิวกังยี่ที่เสนอขึ้นมา และคอยกดดันบิดานาง หมายให้นางแต่งกับตงฟางฉู่เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูล
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทันได้ตอบรับอะไร ในเมืองก็มีข่าวลือเรื่องนางจะแต่งกับตกฟางฉู่แพร่ออกไปเสียแล้ว ตอนแรกนางยังหลงคิดว่าเป็นตระกูลตงฟางเลือกที่จะใช้ไม้นี้แพร่กระจายข่าวลือออกไปอย่างไร้มูลความจริง หมายเปลี่ยนดำให้เป็นขาว…
แต่ไม่คิดเลยว่าตั้งตั้งตัวตีที่อยู่เบื้องหลังเรื่องการแต่งงานที่แท้จริงกลับเป็นอาวุโส 2 ชิวจื่อไปได้!
และนางที่เกี่ยวข้องโดยตรงเสมือนถูกปิดหูปิดตาให้งมโข่งอยู่ในความมืดมาตลอดจนถึงเมื่อครู่…
“ท่านพ่อ!”
ทันใดนั้นราวกับนึกอะไรสำคัญได้ออก ชิวมู่ชิงเร่งหันไปหาบิดาของนาง ประมุขตระกูลชิวก่อนอื่นใด
ในขณะที่มอง ลึกลงไปในแววตาคู่งามให้ความรู้สึกดั่งสารทฤดูกลับฉายถึงความกังวลระคนหวั่นใจให้เห็น ยังมีความคาดหวังสุดใจประการหนึ่ง
ตอนนี้นางได้แต่หวัง…หวังว่าบิดาของนางจะไม่รู้เห็นเรื่องนี้!
หาไม่แล้วนางก็ไม่รู้จริงๆว่าในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ยังจะมีใครที่นางสามารถเชื่อใจได้อีก…
“ชืวจื่อ!!”
ทว่าตอนนี้สีหน้าของชิวอ้านผิงกลับเปลี่ยนไปเป็นมืดดำทั้งดุร้ายปานยักษ์มาร เผยให้รู้ว่ามีโทสะมากมายเพียงใด นั่นทำให้ชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก!
ตอนนี้อย่างน้อยๆนางก็ยืนยันได้ว่าบิดาไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
และชิวอ้านผิงผู้เป็นประมุขตระกูลชิว…ก็ไม่รู้เรื่องมาก่อนจริงๆ!
ตอนนี้พอได้ยินว่าเรื่องทั้งหมดกลับไม่ใช่ฝีมือคนตระกูลตงฟาง แต่ที่แท้เป็นคนในกระทำ! มันก็มองไปที่ชิวจื่อด้วยโทสะ คำรามถามออกเสียงหนัก “ไฉนเจ้าถึงกล้าตัดสินใจเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวข้าโดยพลการ? ยังข้ามหน้าข้ามตากระทั่งข้าประมุขที่เป็นบิดาแท้ๆยังไม่รู้เรื่องการแต่งงานของลูกสาวตัวเองด้วยซ้ำ!!”
ตอนนี้กระทั่งอาวุโสหลักเองก็ขมวดคิ้วยู่ย่นเป็นปม
มันเองก็พึ่งรู้เรื่องนี้เช่นกัน
เรื่องนี้นับว่าอาวุโส 2 ของตระกูลชิว ชิวจื่อ ใช้อำนาจเกินตัวไปมากแล้วจริงๆ! ตัดสินใจเรื่องราวข้ามหัวประมุขและมันไปโดยพลการ!!
“ไฉนข้าถึงตัดสินใจเรื่องแต่งงานให้เจ้าหรือ?”
ชิวจื่อตัวต้นเรื่องยังคงสงบ มองกล่าวกับชิวมู่ชิงเสียงเรียบ “นั่นเพราะอย่างไรเจ้าก็คือคนของสกุลชิว ส่วนข้าคืออาวุโสลำดับที่ 2 ของสกุลชิว! เพื่อเห็นแก่ตระกูล เจ้าเพียงเสียสละตัวเองแค่เล็กน้อย…ก็สามารถทำให้ตระกูลของพวกเรามั่นคงปลอดภัย แล้วไฉนเจ้าจึงไม่ทำ?”
“ส่วนเจ้า…”
ครู่ต่อมาชิวจื่อก็หันไปมองกล่าวกับชิวอ้านผิงด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “หากข้าบอกเจ้าล่วงหน้า เจ้ายังจะยินดีตกลงเห็นชอบเรื่องนี้รึไร? นอกจากนี้การให้ลูกสาวเจ้าแต่งเข้าตระกูลตงฟางมีอันใดไม่ดี? พวกเราล้วนไม่เสียอันใดด้วยซ้ำ ที่สำคัญยังทำให้ตำแหน่ง ‘ประมุข’ ของเจ้ามั่นคงขึ้นอีกด้วย…”
“หากไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ผู้ใดจะไปรู้ว่าตระกูลเฝิงจะหาโอกาสทำลายพวกเราได้พบเมื่อใด เจ้าที่เป็น ‘ประมุข’ ไฉนไม่มองภาพรวม!?”
ฟังจากวาจาของชืวจื่อแล้ว คล้ายมันจะคิดอ่านแท่นชิวอ้านผิงไปหมดทุกอย่าง
“เจ้าคิดว่าตำแหน่งประมุขนี่มันสำคัญกับข้ามากนักหรือ?”
ชิวอ้านผิงหัวเราะออกมาด้วยโทสะ หลังได้ยินคำกล่าวอ้างของชิวจื่อ “ในสายตาข้าตำแหน่งประมุขนี่ยังเทียบไม่ได้กับลูกสาวคนเดียวของข้า! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงได้ตัดสินว่าข้าที่เป็นบิดาไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์มีเสียงเรื่องการแต่งงานของลูกสาว!!”
“เหอะ!”
ชื่อจื่อแค่นคำออกมาเสียงเย็น ค่อยกล่าว “มาตอนนี้แม้ข้าคิดให้ลูกสาวเจ้าแต่งเข้าตระกูลตงฟางก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะตระกูลตงฟางคงไม่มีวันรับสตรีเยี่ยงนางเป็นสะใภ้ให้ขายหน้า…ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าชิวอ้านผิงสั่งสอนบุตรีมาเช่นไร ถึงทำให้นางเลอะเลือนกลายเป็นสตรีไร้ยางอายเช่นนี้!”
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!!”
ชิวจื่อกล้าดูถูกบุตรีต่อหน้าแบบนี้ ชิวอ้านผิงจะไปทนไหวไดได้อย่างไร มันคำรามออกเสียงดัง พลังทั่วร่างปะทุออกอย่างเกรี้ยวกราด ร่างทะยานยิงหมัดเข้าใส่ชิวจื่อทันที!
อนิจจาแม้มันกับชืวจื่อจะเป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนเช่นเดียวกัน แต่พลังฝีมือของมันยังห่างไกลจากอีกฝ่ายมากนัก
ปงงง!!
เพียงทะยานเข้าไปพัวพันชิวจื่อได้ไม่กี่ลมหายใจ สุดท้ายก็ถูกชิวจื่อซัดร่างกระเด็นปลิดปิว!
“อั๊ค!”
ตุบ! โครม!!
…
หลังชิวอ้านผิงถูกหมัดชิวจื่อซัดกระเด็นไปชนข้าวของพังล้มไม่เป็นท่า มันก็กระอักโลหิตคำโตออกปาก ร่างนอนหมดสภาพบนพื้นที่ขอบโถงให้เป็นที่น่าอับอายนัก!
“ท่านพ่อ!”
ตอนนี้เองชิวมู่ชิงที่พึ่งรู้สึกตัว ก็เร่งเหินร่างออกไปหาบิดาที่นอนบาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะช่วยประคองชิวอ้านผิงให้ลุกขึ้นมา
และตอนนี้ชิวมู่ชิงก็หันไปมองชิวจื่อตาขวาง ในแววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง!
“ชิวจื่อ!”
ในขณะที่หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงและคิดลงมือจัดการเรื่องราวให้จบๆนั้นเอง เสียงเปี่ยมโทสะหนึ่งพลันดังลั่นขึ้นก้องโถง ทำให้พลังเซียนสุริยันที่โคจรขึ้นมาดั่งน้ำหลากจำต้องชะลอตัวช้าลงทันที
เป็นอาวุโสหลักตระกูลชิว กำลังมองชิวจื่อด้วยสายตาเอาเรื่อง แววตาเผยประกายเยียบเย็นชวนขนลุกนัก!
“อาวุโสหลัก”
ทีท่าของชิวจื่อเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นว่าอาวุโสหลักเริ่มมีโทสะขึ้นมา
แม้พลังฝีมือของมันจะอยู่เหนือประมุขตระกูลอย่างชิวอ้านผิง แต่หากให้เทียบกับชนชั้นยอดฝีมืออย่างอาวุโสหลักแล้ว ยังไม่อาจเทียบได้
ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน พลังฝีมือของมันแม้อยู่เหนือกว่าชิวอ้านผิง ทว่าขณะเดียวกันก็ยังอ่อนด้อยกว่าอาวุโสหลักตระกูลชิว กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของมันจัดว่าเป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนระดับกลางๆเท่านั้น ทว่าอาวุโสหลักจัดอยู่ในเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนระดับสูงๆ
“อาวุโสหลักทั้งหมดที่ข้ากระทำล้วนเพื่อตระกูลชิวทั้งสิ้น…หากท่านคิดจริงๆ ว่าที่ข้าทำมันเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างที่มิอาจอภัยได้ เช่นนั้นท่านก็ฆ่าข้าเลยเถอะ!”
ทันใดนั้นสีหน้าชิวจื่อก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันเลือกที่จะกล่าวออกมากับอาวุโสหลักตรงๆด้วยทีท่าจริงจัง
และการเคลื่อนไหวดั่ง ‘ถอยเพื่อรุกคืบ’ นี้ของมัน ก็ทำให้อาวุโสหลักลังเลใจไม่น้อย
ในฐานะอาวุโสหลักของตระกูลชิวแล้ว ตัวมันเองก็ย่อมเห็นแก่ตระกูลชิวเหนือสิ่งใด
พอมาลองคิดทบทวนไตร่ตรองดู ถึงแม้การกระทำของชิวจื่ออาจจะเกินเลยไปบ้าง แต่มองในแง่ผลลัพธ์แล้ว สามารถอ้างได้ว่ามันทำเพื่อประโยชน์ของตระกูลจริงๆ!
“ทำทุกอย่างเพื่อตระกูลหรือ…เป็นข้ออ้างที่ดีทีเดียว!”
ร่างต้วนหลิงเทียนที่ชะงักไปก่อนหน้า เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ตามองชืวจื่ออย่างเฉยเมยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เมื่อเห็นว่าใจของอาวุโสหลักอ่อนลงทั้งเริ่มลังเล ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าถึงเวลาที่เขาต้องลงมือจัดการเรื่องราวแล้ว!
ตอนที่ 2,078 : คุกเข่าร้องขอความเมตตา
ทันทีที่เห็นอาวุโสลำดับที่ 2 อย่างชิวจื่อ เริ่มประมือกับประมุขตระกูลชิวอย่างชิวอ้านผิง ต้วนหลิงเทียนก็คิดที่จะลงมือแต่แรก
แต่เพราะอาวุโสหลักตระกูลชิวกลับกล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน เขาจึงไม่ได้ลงมืออะไรด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร
ตอนนี้เมื่อพบว่าสุดท้ายอาวุโสหลักของตระกูลชิวก็ไม่คิดจะทำอะไรชิวจื่อ เขาถึงกับอดหัวเราะเยาะออกมาเสียงดังไม่ได้!
“แม่นางชิวเองก็มีความคิดอ่าน ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของนางก็ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องแต่งงานสมควรมีเพียงบิดาของนางเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจได้ แล้วไปเป็นธุระกงการอะไรของผายลมเฒ่าที่ไร้ยางอายเช่นเจ้าด้วย?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างไร้ปราณี
ไม่เพียงแต่จะดูหมิ่นว่าชิวจื่อนั้นไร้ยางอายเท่านั้น ยังกล่าวเรียกมันว่าผายลมเฒ่าออกมาอย่างไม่ไว้หน้า
“ลี่เฟิง! เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
ได้ยินวาจาด่าทออย่างไม่ไว้หน้าของต้วนหลิงเทียน หน้าชิวจื่อเปลี่ยนเป็นถมึงทึงบิดเบี้ยว สองตามองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างปะทุออกมาฉาบคลุมไปทั่วร่าง เห็นชัดว่ามันคิดลงมือจัดการต้วนหลิงเทียนแล้ว!
ชิวจื่อไม่คิดไม่ฝันเลยว่า…
อาศัยผู้ฝึกตนพเนจรไร้รากคนหนึ่ง จะหาญกล้าถึงเพียงนี้! ถึงขั้นกล้าด่าทอต่อว่ามันต่อหน้าผู้คนมากมาย วาจายังไร้ปราณีไม่มีไว้หน้ามันแม้แต่น้อย!!
มันโมโหทั้งเดือดดาลถึงขีดสุด!!
“ลี่เฟิงเจ้ามันนับเป็นตัวอะไรได้ แต่หาญกล้าดูหมิ่นท่านผู้อาวุโสลำดับ 2 เช่นนั้นหรือ? วันนี้ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้ารู้ซึ้งถึงมารยาท ก่อนจะส่งเจ้าให้ตระกูลตงฟาง!!”
ในขณะที่ชิวจื่อกำลังจะลงมือนั้นเอง พลันมีเสียงเปี่ยมความถือดีหนึ่งดังขึ้น และผู้พูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
มันคือนายท่านรองตระกูลชิว ชิวกังยี่ นั่นเอง
พร้อมกันกับที่มันตะโกนกล่าวคำอย่างถือดี ร่างที่ปะทุพลังดั่งเพลิงไฟก็พุ่งทะยานปราดไปด้วยความเร็วสูง มองไปยังคล้ายสายฟ้าฟาด สภาวะแลดูน่ากลัวไม่น้อย!
พลังเซียนอันบรรลุถึงจุดสูงสุดขอบเขตเซียนนภาจ่ายออกเต็มกำลังอย่างไม่คิดออมรั้ง ก่อให้เกิดสายลมกรรโชกแรงหอบหนึ่งซัดกวาดไปทั่วโถงหลัก ชุดผ้าผู้คนปลิวสะบัดดังพั่บๆ
ซู่ม!
เพียงพริบตาร่างชิวกังยี่ก็โจนมาไม่ไกลต้วนหลิงเทียนแล้ว!
“ปฐมเวทย์กลืนกิน”
ทว่าในขณะที่ร่างชิวกังยี่โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนนั้น พลังเซียนสุริยันที่โคจรพร้อมพรั่งแต่แรกพลันปะทุใช้ออกด้วยเวทย์พลังสนับสนุนทันที!
พลังเซียนสุริยันดั่งน้ำหลากหลังทำนบทลาย มันแล่นเชี่ยวไปทั่วชีพจรเซียน 99 สายบรรลุถึงช่องพลังทั่วผิวกายในชั่วพริบตา มวลพลังก่อเกิดเป็นวังวนพลังดูดรั้งอันน่าพรั่นพรึง!
วังวนพลังดังกล่าวหมุนคว้างเร็วรี่ แลคล้ายจะสามารถดูดกลืนได้ทุกสิ่ง!
เป็นเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน!
หลังต้วนหลิงเทียนสำแดงปฐมเวทย์กลืนกินออกมา พลังวิญญาณฟ้าดินในโถงหลักอันกว้างใหญ่ก็คล้ายสาบสูญ พวกมันกรูทะลักเข้าร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วอันน่ากลัว ไหลเวียนไปทั่วร่างดั่งพลังเซียนสุริยัน
หลังจากนั้นพวกมันก็หลอมผสานเข้ากับพลังเซียนสุริยันด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ!
ในขณะที่ร่างชิวกังยี่โจนทะยานห่างร่างต้วนหลิงเทียนไม่กี่ก้าว พลังเซียนสุริยันทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนก็ถูกเพิ่มพูนไปจนถึงจุดที่ต้องการ
ยกระดับขึ้นไปเทียบได้กับพลังเซียนของขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุด!
แทบจะพร้อมกันนั้น สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเยียบเย็น จิตสังหารอำมหิตแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ
ทันใดนั้น
ฟั่ฟฟฟ!
ไม่อาจเห็นได้ว่าต้วนหลิงเทียนเคลื่อนไหวลงมืออย่างไร ทว่าเสี่ยงกระบี่กรีดอากาศพลันแว่วดังขึ้นอย่างแผ่วเบา!
ฟังไปยังคล้ายเสียงร้องของผีสาง แว่วดังมาตามลมก่อนจะหยุดหายไปอย่างกะทันหัน
ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน…
ทันใดนั้นความเงียบก็กัดกินไปทั่วโถงหลัก
ภายใต้สายตาของทุกผู้คน ร่างชิวกังยี่ที่โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด มิคาดเหลือเพียงไม่กี่ก้าวจะถึงตัวต้วนหลิงเทียน แต่อยู่ดีๆพลังทั่วร่างกลับสาบสูญ คนสิ้นสภาวะดุร้ายอันใด เพียงถลันไปตามแรงเฉื่อยเท่านั้น
ต้วนหลิงเทียนเพียงสืบเท้าก้าวหลบออกด้านข้างไปอย่างไร้เรื่องราว พร้อมกันนั้นที่บริเวณลำคอของชิวกังยี่ ที่ร่างถลันผ่านต้วนหลิงเทียนไป ก็ปรากฏเส้นสีแดงเล็กๆหนึ่งล้อมรอบ
เส้นสีแดงๆดังกล่าวยิ่งมาก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ซื่อ! ซื่อ! ซื่อ!
……
เสียงดั่งน้ำพุฉีดพุ่งดังขึ้น วงแดงรอบลำคอชิวกังยี่อยู่ๆก็ปรากฏโลหิตทะลักทลายออกมาเป็นสายธาร!
และขณะที่ทุกคนกำลังสนใจกับโลหิตที่ฉีดออกมาจากวงแดงดังกล่าว ศีรษะของชิวกังยี่ก็เคลื่อนหลุดจากตัว หมุนคว้างพร้อมสองตาที่ยังฉายแววถือดีไปตามแรงเฉื่อย ก่อนที่จะลอยไปชนผนังโถงร้อมร่างไร้หัวดังปึงปัง
โลหิตฉีดพุ่งออกมาเป็นสาย แลดูพร่างพราวงดงามอย่างประหลาด
สุดท้ายร่างไร้หัวก็ชนผนังอย่างแรงก็พิงฟุบไปกับผนัง ลำคอที่ขาดยังมีโลหิตฉีดพุ่งคล้ายจะแต้มสีให้ผนังโถง ด้านข้างปรากฏศีรษะกลิ้นหลุนๆคลุกธารแดงที่เจิ่งนอง
ตาย! ยังตายคาที่!!
เวลาในโถงหลักคล้ายจะหยุดเดินอย่างไรไม่ทราบ
ทุกผู้คนเงียบงันราวคนตาย คงเหลือก็แต่เพียงเสียงโลหิตฉีดปริ๊ดๆ สาดใส่ผนังโถง…
ในห้องโถงหลักตอนนี้ ยกเว้นต้วนหลิงเทียนแล้ว ล้วนชมมองร่างชิวกังยี่ที่หัวตัวแยกจากอย่างไม่วางตา
ในลูกตากลมกว้างทั้งหลายนอกจากความสยดสยองแล้ว ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนเหลือเชื่อ
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นอะไรที่ต่อให้หลับพวกมันยังไม่อาจฝันถึง…
ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
ผ่านไปพักหนึ่งทุกคนค่อยดึงสติกลับเข้าร่าง ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอย่างเสียขวัญ ความตื่นตระหนกตกใจทาทับบนใบหน้าอยู่นาน
กระทั่งผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้ง 6 ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หลังจากนั้นเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้ง 6ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
และตอนนี้สายตาที่พวกมันใช้มอง ยังต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
‘เขา…เขา…แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ’
ชิวมู่ชิงที่หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วย บนหน้างามฉายชัดถึงความตกใจเหลือเชื่อ แววตาเผยความเลื่อนลอยราวกับนางกำลังฝันไป
เพราะทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันเกินจริงเกินไป!
ชายหนุ่มชุดม่วงที่นางรู้สึกว่าแตกต่างจากบุรุษผู้อื่นตั้งแต่แรกพบ ที่แท้กลับมีพลังฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้!กระทั่งลงมือสังหารชิวกังยี่นายท่านรองตระกูลชิวได้อย่างง่ายดายจนคล้ายไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ!!
ต้องทราบด้วยว่าชิวกังยี่ไม่ใช่แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเซียนนภาธรรมดา แต่มันคือเซียนนภาขั้นสูงสุด!
ความสามารถในการฆ่าชิวกังยี่ได้อย่างง่ายดายไร้เรื่องราวเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่นางพึ่งรู้จักกันวันนี้นั้น…เป็นดั่งบิดาของนาง ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์!
“ไม่จริง…ไม่…เป็นไปไม่ได้ เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้!”
ในขณะที่ชิวมู่ชิงกำลังอื้ออึงกับเรื่องราวด้วยคิดว่ากำลังฝันไปอยู่หรือไม่ ด้านตงฟางฉู่ที่ชมดูอยูก็รู้สึกว่าเรื่องราวเบื้องหน้าสมควรเป็นภาพฝัน มันกล่าวพึมพำออกมาพร้อมส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับความจริง
มันไม่เพียงยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองดัง เพี๊ยะ!
ยังลดมือลงไปหยิกต้นขาอีกรอบ!
ความแปลบชาปวดแสบจากใบหน้า และเจ็บจี๊ดจากต้นขาบ่งบอกให้มันรู้…
มันไม่ได้ฝันไป!
ทุกเรื่องราวที่ฉายชัดอยู่ตรงหน้ามันคือความจริง!
ชายหนุ่มชุดม่วงที่สั่งสอนบทเรียนให้มันที่เหลาอาหารวันนี้ เพาะสร้างความเคียดแค้นชิงชังให้มัน…ที่แท้เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์!
‘มันเป็นเซียนสวรรค์แล้วจะทำไม มิใช่ท่านพ่อกับท่านอาวุโสหลักรวมถึงท่านอาวุโส 2 ก็เป็นเซียนสวรรค์ที่ฝีมือร้ายกาจหรอกรึไง?’
พอนึกได้ว่ายังมีบิดากับอาวุโสอีก 2 คนที่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์อันร้ายกาจ ทันใดนั้นใจของตงฟางฉู่ก็สามารถสงบลงได้
ตึก! ตึก! ตึก!
…
ในขณะเดียวกันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆก้าวเท้าไปเบื้องหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน เดินไปหาอาวุโส 2 ของตระกูลชิวอย่างชิวจื่อช้าๆ
อย่างไรก็ตามทุกย่างก้าวของเขาตอนนี้ ประหนึ่งจะย่ำเหยียบลงกลางอกชิวจื่อก็ไม่ปาน พาลให้หน้าชิวจื่อเปลี่ยนสีไปไม่หยุดหย่อน
ในที่สุดชิวจื่อก็สะท้านไปจนร่างแทบทรุด
ในตอนนี้นอกจากตัวชิวจื่อเองแล้ว มีเพียงอีก 5 คนเท่านั้นในโถงที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ จึงจะรับทราบว่าตอนนี้ความรู้สึกของชิวจื่อแปรเปลี่ยนไปพลิกฟ้าคว่ำดินขนาดไหน
เพราะมีแต่พวกมันเท่านั้นที่ตระหนักถึงความน่ากลัวของกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนฟันออกมาก่อนหน้า!!
ต้วนหลิงเทียนพึ่งเดินมาได้ครึ่งทางก่อนที่จะบรรลุถึงร่างชิวจื่อเท่านั้น
แต่ทว่าในที่สุดชิวจื่อก็ไม่อาจทานทนความหวาดกลัวในใจได้ไหวสืบไป ความแข็งขืนทรุดลงอย่างศิโรราบ
ตึง!
พร้อมกันกับที่ใจของชิวจื่อยอมศิโรราบ ร่างมันก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าอย่างไม่รอช้า สองเข่ากระแทกพื้นส่งเสียงดังก้องโถง
ปึก! ปึก! ปึก! ปึก! ปึก!
…
ครู่ต่อมาชิวจื่อที่ทิ้งตัวลงไปคุกเข่า ก็เริ่มโขกหัวลงบนพื้นให้ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินเข้ามาระรัว
ศีรษะของมันยังโขกกระแทกพื้นอย่างแรงจนเลือดตกยางออก
ทว่าคล้ายมันสิ้นไร้ความรู้สึกหรือไม่รู้ตัวก็ไม่ทราบ ยังโขกศีรษะต่อไปราวไม่รู้จักความเจ็บปวดและเหนื่อยล้า
ฉากเรื่องราวดังกล่าวทำให้ผู้คนในโถงตกตะลึงตาตั้ง
โดยเฉพาะชิวมู่ชิง ตงฟางฉู่และอาวุโสตระกูลตงฟางอีก 2 คน พวกมันถึงกับอึ้งไปราวตัวโง่งม
เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่เหมือนกับตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์อีก 5 คน และชิวจื่อ
ถึงแม้พวกมันจะตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนฆ่าชิวกังยี่ แต่พวกมันที่ไม่เห็นการลงมือก็เพียงคิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ธรรมดาๆ
แต่พวกมันไม่รู้เลย
ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่เซียนสวรรค์ธรรมดาๆ แต่เป็นเซียนสวรรค์ชนชั้นยอดฝีมือ และมีพลังฝีมือสูงส่งกว่าเซียนสวรรค์ทั้ง 6 ในห้องโถงแห่งนี้มากมายนัก
รวมกับชิวจื่ออาวุโส 2 ตระกูลชิว อีก 5 คนที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ในห้องโถงหลักสกุลชิว ย่อมตระหนักได้ว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนร้ายกาจขนาดไหน จากกระบี่สังหารที่พวกมันได้ยินแต่เสียงนั่น
พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนสมควรสูงส่งนัก และไม่น่าจะใช่เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนธรรมดาๆ กระทั่งอาจจะเป็นเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้น…
และในเมืองคงหมิงแห่งนี้ อย่าว่าแต่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ลำพังแค่เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนก็หามีไม่!
เช่นนั้นแล้วเมื่อตระหนักถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน เหล่าเซียนสวรรค์ทั้ง 6 ถึงได้ตกตะลึงพรึงเพริด
โดยเฉพาะอย่างยิงชิวจื่อ อาวุโส 2 ของตระกูลชิวที่คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ ตอนนี้พอได้เห็นพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน ทั้งเห็นคนเดินเข้าหาทีละก้าวๆ มันยิ่งหวาดกลัวเสียขวัญ ในที่สุดจิตใจก็พังทลายลง
หลังจิตใจมันไร้ความคิดต่อสู้และยอมจำนนแล้ว มันก็เร่งคุกเข่าทั้งโขกหัวเพื่อลดโทสะของต้วนหลิงเทียนทันที
ด้วยตัวตนระดับต้วนหลิงเทียนนั้น คิดฆ่ามันยังง่ายกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่!
“ใต้เท้า…ได้โปรด…เมตตาข้าน้อยด้วย…เมตตาข้าน้อยด้วย! ขอใต้เท้าโปรดเมตตาด้วย! ขอใต้เท้าโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย!!”
หลังโขกหัวไปครบร้อยครั้ง ชิวจื่อรวบรวมความกล้าที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดกล่าวร้องขอความเมตตาออกมาด้วยร้ำเสียงสั่นเครือ
ท่าทีนอบน้อมยินยอมถึงที่สุดนี้ของมัน ทำให้ชิวมู่ชิง ตงฟางฉู่ และอาวุโสตระกูลตงฟางอีก 2 คน ที่ยืนอยู่ไม่ไกลอึ้งไปแล้วจริงๆ
ชายชราที่กำลังคุกเข่าบนพื้นผู้นี้ ใช่อาวุโส 2 ของตระกูลชิวแน่หรือ?
อาวุโส 2 ของตระกูลชิวที่ถือดีและหยิ่งยโสมาตลอด มีด้านนี้ด้วย?
เนื่องจากพวกชิวมู่ชิงนั้นไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของชิวจื่อตอนนี้ได้ ทำให้ต่างสับสนกันไปพักใหญ่กว่าจะทำใจได้
“หากข้าจำไม่ผิด…”
ทันทีที่ชิวจื่อเริ่มโขกหัว ต้วนหลิงเทียนก็หยุดเท้าแต่แรก เขามองชิวจื่อที่โขกหัวด้วยสีหน้าเฉยเมยไม่แยแส จนเมื่ออีกฝ่ายร้องขอความเมตตาออกมา เขาก็ค่อยๆกล่าวออกเสียงเบา
“เมื่อครู่ไม่ใช่เจ้าบอกว่าข้ารนหาที่ตายรึไง แถมดูท่าแล้วเจ้ายังคิดจะฆ่าข้าด้วยนี่…”
ตอนที่ 2,079 : สองทาง
“ไม่ ไม่! ไม่มี…ไม่มี!! ไม่มีอันใดเช่นนั้น!!”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ชิวจื่อ อาวุโส 2 ตระกูลชิว ก็หน้าซีดทันที ร่างยังสะท้านไปด้วยความตื่นตระหนก หวาดผวาเสียขวัญปานวิญญาณหลุดลอย!
ปึก! ปึก! ปึก!
……
มันที่ตื่นตระหนก เริ่มโขกศีรษะลงกับพื้นอีกครั้ง ยังโขกระรัวจนยากจะนับได้ทันว่าโขกไปทั้งสิ้นกี่ทีกันแน่!
ตอนนี้ไม่เพียงเสียงโขกหัวจะดังชัดก้องไปทั้งโถงกระทั่งบริเวณพื้นห้องโถงที่หัวมันโขกลงไป ก็เริ่มปรากฏรอยแตกร้าวปานใยแมงมุม แถมรอยร้าวดังกล่าวยังแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ!!
ตอนนี้คล้ายชิวจื่อจะหลงลืมตัวตนและศักดิ์ศรีของมันไปหมดสิ้น
ในใจมันหลงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
เอาตัวรอด!
กว่าจะบ่มเพาะฝึกฝนมาถึงเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนได้ มันต้องเหน็ดเหนื่อยและทุ่มเทเรี่ยวแรงไปมากมายเพียงใด มีแต่ตัวมันเท่านั้นที่รู้ดี
กว่าจะมีวันนี้ได้ มันใช้เวลาเป็นร้อยๆปี!
หากมันต้องตกตายไปวันนี้ ย่อมหมายความว่าความเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาก็เป็นดั่งหมอกควันสายหนึ่งที่กำลังจะต้องลมจนสิ้นสูญไร้สิ่งใดหลงเหลือ…
เช่นนั้นมันจึงไม่ยินยอมถึงขีดสุด!
ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้ต่อให้มันจะไม่บ่มเพาะสั่งสมพลังอะไรแล้ว แต่อาศัยด่านพลังเซียนสวรรค์ 1เปลี่ยนของมัน ก็สามารถทำให้มันมีอายุขัยอยู่ได้อีกหลายพันปี
ด้วยเหตุนี้ชิวจื่อจึงกระตือรือร้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
มันยังอยู่ไม่พอ! ใช้ชีวิตไม่คุ้ม!!
ในเมื่อมันยังเหลือเวลาให้เสพย์สุขไปอีกนับพันๆปี มันย่อมไม่อยากจบสิ้นเพียงเท่านี้!
ก่อนหน้าที่ต้วนหลิงเทียนก้าวเดินเข้ามาด้วยสายตาเฉยชา ชิวจื่อก็ได้แต่คิดวนเวียนถึงเรื่องนี้
ยิ่งต้องเผชิญหน้กับแรงกดดันไร้สภาพจากต้วนหลิงเทียน ปราการสุดท้ายในใจก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้มันทำได้แค่คุกเข่าโขกหัว เพื่อวิงวอนร้องขอความเมตตาจากต้วนหลิงเทียน ให้รอดพ้นความตายเท่านั้น…
สำหรับมันในตอนนี้ ขอเพียงรักษาชีวิตไว้ได้ จะอะไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
“ไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมองชิวจื่อด้วยสายตาเย็นชา มุมปากเผยความเย้ยเยาะ กล่าวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า…เป็นข้าหูหนวกเอง?หรือข้าเลอะเลือนจนฟังความผิดไป?”
ขณะกล่าวถาม น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนยังสูงขึ้นเล็กน้อย
ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ชิวจื่อ ก็ตระหนักได้ว่ามันพลาดแล้ว
ยิ่งมาได้ยินเสียงเย้ยของต้วนหลิงเทียน ใจมันก็ยิ่งสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะ กลัวตายถึงที่สุด!
หลังจากนั้นมันก็ได้แต่ร่ำร้องขอความเมตตาออกมาอย่างสิ้นหวัง “ขอใต้เท้าได้โปรดเมตตาด้วย ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ไท่ซานตั้งอยู่เบื้องหน้ามิอาจแลเห็น…ได้โปรดใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ขอท่านละเว้นชีวิตข้าน้อยด้วย! ตราบใดที่ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ละเว้นข้าน้อย ให้ข้าน้อยรับใช้ท่านดั่งม้าลาข้าก็ยินดี!!”
“ขอใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่โปรดเมตตาละเว้นชีวิตสุนัขของข้าน้อยด้วย”
ชิวจื่อที่โขกหัวจนหน้าผากชุ่มโชกไปด้วยเลือด ตอนนี้ไม่เหมือนเซียนสวรรค์อีกต่อไป แต่เหมือนนักโทษที่ถูกจับได้
สำหรับผู้คนในห้องโถงหลัก หากถามว่าตอนนี้ใครที่เข้าใจชิวจื่อมากที่สุดก็เห็นทีจะเป็นเซียนสวรรค์อีก 5 คนที่เหลือ
กระบี่สังหารที่ต้วนหลิงเทียนใช้ปลิดชีพชิวกังยี่นายท่านรองสกุลชิว ทำให้พวกมันหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจและวิญญาณ
หลังจากนั้นทั้งหมดย่อมตระหนักได้ทันทีว่าไม่อาจเป็นศัตรูกับต้วนหลิงเทียนได้เด็ดขาด
ดังนั้นแม้จะเห็นชิวจื่อละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดคุกเข่าโขกหัวร้องขอชีวิตต่อต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่พวกมันจะไม่ดูถูกชิวจื่อ ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
“เจ้ายินดีเป็นม้าเป็นลาเลยงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเริ่มรำคาญเสียงโขกหัวและวิงวอนร้องขอชีวิตของชิวจื่อ คิ้วขมวดเป็นปมกล่าวถามออกมาเสียงหนัก
“ใช่! ใช่! เพื่อใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยยินดีเป็นม้าเป็นลาเพื่อคอยรับใช้!!”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ชิวจื่ออดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะมันรู้สึกว่าชีวิตมันสมควรเก็บกู้มาได้แล้ว
โอกาส ที่มันจะรอดมาถึงแล้ว!
“แต่ข้าไม่อยากได้ม้าลาเช่นเจ้า…”
อย่างไรก็ตามประโยคต่อมาของต้วนหลิงเทียน ทำให้ร่างชิวจื่อหนาวสะท้านปานอยู่ในหล่มน้ำแข็ง วาจานี้ช่างเย็นชาและไร้เยื่อใยเป็นที่สุด วาจาตัดสินชีวิตของมัน!
และในขณะที่ชิวจื่อรู้สึกเสมือนท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมานั้น
“แต่ว่า…”
ต้วนหลิงเทียน เริ่มกล่าวสืบต่อ “หากแม่นางชิวยินดีให้เจ้าเป็นม้าลาของนางล่ะก็ ข้าก็ไม่คิดเอาชีวิตสุนัขของเจ้าอีก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาแบบนี้ ทำให้ชิวมู่ชิงที่ช่วยพยุงร่างบิดาอยู่กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งห้องโถงหลักทันที
“ข้า…”
ชิวมู่ชิงที่ยังคงตกตะลึงกับท่าทีนอบน้อมร้องขอชีวิตของอาวุโส 2 อย่างชิวจื่อไม่หาย พอได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ทั้งพบว่าทุกคนหันมามองนางเป็นสายตาเดียวกัน นางก็หัวตื้อพูดอะไรไม่ถูกทันที
ตึง!
ชิวมู่ชิงที่ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ร่างหนึ่งก็วูบมาปรากฏเบื้องหน้านางปานภูตผี ทั้งยังคุกเข่าลงตรงหน้านาง!
พอมองให้ชัด นั่นไม่ใช่อาวุโส 2 ตระกูลชิวที่เมื่อครู่ยังคุกเข่าร้องขอชีวิตจากต้วนหลิงเทียนอยู่รึไง?
“อาวุโส 2 …”
เมื่อเห็นอาวุโส 2 ที่หยิ่งยโสถือดีไม่เห็นหัวใครในอดีต มาคุกเข่าเบื้องหน้านางแบบนี้ ทำให้ชิวมู่ชิวตกใจไม่น้อย! หน้างามยังเผยความหวาดกลัวออกมา!!
ไม่แปลกอะไรที่ท่าทางของชิวมู่ชิงจะเป็นแบบนี้
ในอดีตนั้นอาวุโส 2 ของตระกูลชิวผู้นี้ เป็นผู้เข้มแข็งลำดับ 2 ของตระกูลชิว และฐานะของมันในตระกูลชิวกล่าวไปยังสูงกว่าประมุขตระกูลชิวด้วยซ้ำ!
มันเป็นรองก็แค่อาวุโสหลักตระกูลชิว!
ทว่าตอนนี้ตัวตนที่แม้แต่ประมุขตระกูลชิวอย่างบิดาของนางยังต้องเกรงใจ กลับมาคุกเข่านางที่เป็นเพียงชนรุ่นหลังตระกูลชิว!
ชิวมู่ชิงย่อมตกใจมาก
“คุณหนูมู่ชิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าชิวจื่อจักเป็น ‘สุนัข’ ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายท่าน!”
และในขณะที่ชิวมู่ชิงกำลังตกใจอยู่นั้น ชิวจื่อก็ได้กล่าวคำมั่นออกมา
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ใดหาญกล้าคิดร้ายกับคุณหนูมู่ชิงข้าจักเป็นดั่งสุนัขที่กัดมันอย่างไม่ละเว้น!หากคุณหนูมู่ชิงมิเชื่อ ข้ายินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า!!”
กล่าวจบคำชิวจื่อก็ลงมือทันที
มันกรีดนิ้วหลั่งโลหิต เพียงตั้งจิตคิดสาบาน หยาดโลหิตก็ทะยานลอยขึ้นสู่ฟ้าสูงทันที จากนั้นมันจึงกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ออกมาอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ทรยศชิวมู่ชิงเด็ดขาด
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
…
เสียงอัสนีลั่นดัง 9 คำรบก้องฟ้า บอกให้รู้ว่าสวรรค์ตอบรับคำสาบานของมันแล้ว ชิวจื่อไม่อาจผิดต่อคำสาบานได้อีก
เว้นเสียแต่มันอยากถูกอัสนีฟ้าพิฆาตร่างตายตก!
จากสิ่งที่ชิวจื่อกระทำ บ่งบอกให้รู้ว่ามันกลัวถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าเพียงใด
เพราะเมื่อใครก็ตามเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าแล้ว ย่อมไม่อาจตระบัดสัตย์ผิดคำสาบานไปตลอดชั่วชีวิต หาไม่แล้วก็ต้องตาย!
“อาวุโส 2 ท่านอย่าได้…ท่านไฉนต้องทำถึงขนาดนี้!”
ชิวมู่ชิงย่อมตกใจไม่น้อยเมื่อชิวจื่อบอกว่าจะรับใช้นาง
ยิ่งเห็นว่าชิวจื่อถึงขั้นกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าจริงๆ ชิวมู่ชิงก็ได้สติเร่งโบกไม้โบกมือให้ชิวจื่อลุกขึ้นอย่างร้อนใจ
ชิวจื่อจะอย่างไรก็เป็นอาวุโส 2 ของตระกูลชิว ในอดีตไม้ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ชิวมู่ชิงพบเห็นมัน นางก็ต้องทำการคารวะทักทายด้วยเคารพเสมอ
ทว่าตัวตนที่นางต้องคารวะด้วยความสุภาพในอดีต กลับมากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ว่าจะเป็นสุนัขรับใช้ คอยอยู่เคียงข้างนาง
จะให้นางทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ยังไง
ยังดีที่นางไม่ได้เป็นโรคหัวใจ หาไม่แล้วคงได้ตกใจกลัวจนหัวใจวายกันบ้าง
“แม่นางมู่ชิงข้าได้กล่าวคำสาบานต่ออัสนีสวรรค์แล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สุนัขรับใช้ผู้นี้จักเชื่อฟังคำท่านเยี่ยงทาส”
ใบหน้าที่ยังโชกเลือดของชิวจื่อไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แต่ในวาจาที่กล่าวนั้นเห็นชัดว่าจะยึดถือและปฏิบัติตามคำสาบานอย่างเคร่งครัด
“แม่นางชิวในเมื่อมันยินดีเป็นสุนัขรับใช้ของท่านเช่นนั้นก็ให้มันเป็นไปเถอะ…แบบนี้วันหน้าท่านก็จะมีข้ารับใช้มือดีเพิ่มอีกคน”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนกันไปพูดกับชิวมู่ชิง
ทีท่าของชิวจื่อ ทำให้เขาพึงพอใจไม่น้อย โทสะที่มีต่อมันไปได้สลายหายไปอย่างหมดจด
“ต้วน…”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงหันไปมองที่ต้วนหลิงเทียนพร้อมจะกล่าวเรียกหาด้วยชื่อจริงอย่างลืมตัว แต่ดีที่นางสามารถเปลี่ยนคำพูดได้ทันท่วงที “พี่ใหญ่ลี่เฟิง ข้างกายข้ามีสาวใช้อยู่มากมายแล้ว…”
“อ้อ เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่ต้องการคนรับใช้เพิ่มเติมแล้วหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามขัดคำชิวมู่ชิง
“อื๊อ”
ชิวมู่ชิงที่คล้ายลังเลเล็กน้อย แต่ก็เลือกพยักหน้าตอบไป
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าไฉนอาวุโส 2 ถึงได้หวาดกลัวต้วนหลิงเทียนนัก แต่นางรู้สึกไม่สบายใจถึงที่สุดที่จะให้อีกฝ่ายมาคอยติดตามรับใช้นาง
“ถ้างั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมันไว้…”
ได้ยินคำตอบของชิวมู่ชิง ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะหันไปมองชิวจื่ออีกครั้ง ลึกลงไปในแววตายังทอประกายเรืองวูบ
และแทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ…
ปึก! ปึก! ปึก!
…
ชิวจื่อเร่งโขกหัวขอขมาลงบนพื้นเบื้องหน้าชิวมู่ชิงด้วยความตื่นตระหนก! รีบกล่าวออกมาด้วยความร้อนใจ “คุณหนูมู่ชิงได้โปรดเถอะ…ขอท่านยอมรับข้าด้วยได้โปรดเถอะ! ข้าขอร้องท่านแล้ว!!”
ตอนนี้ชิวจื่อไม่เหลือความถือดีอันใดอย่างในอดีตแม้แต่น้อย
ตอนนี้มันแค่ต้องการเป็นสุนัขรับใช้ของชิวมู่ชิงเท่านั้น เพื่อที่จะทำให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ถึงแม้หลังจากนี้มันจะต้องอยู่อย่างอับอาย แต่อย่างน้อยๆมันก็ยังมีลมหายใจ
“มู่ชิงยอมรับเถอะ…”
แทบจะพร้อมกันกับที่ชิวจื่อขอร้องจบคำ ประมุขตระกูลชิวชิวอ้านผิงที่ถูกชิวมู่ชิงพยุงอยู่ ก็ค่อยๆยืนหยัดด้วยตัวเอง ก่อนจะกล่าวบอกให้ชิวมู่ชิงยอมรับชิวจื่อออกมา
เมื่อเห็นว่าชิวจื่อที่สามารถทำร้ายมันได้ง่ายดาย ถึงกับต้องโขกหักร้องขอชีวิตจนหน้าโชกเลือด…มันก็รู้สึกเสมือนฝันไปอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก
การกระทำของชิวจื่อตอนนี้ แม้จะคล้ายเลอะเลือนเสียสติ…แต่มันก็เข้าใจได้ไม่ยาก
เพราะสุดท้ายพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยให้เห็นก่อนหน้านี้ก็น่าสะพรึงกลัวเกินไป ทำให้ชิวจื่อหลงเหลือแค่ 2 ทางเท่านั้น
ทางแรกคือ ตาย!
ทางที่ 2 นั้นสามารถอยู่รอดได้ แต่นั่นหมายความว่ามันต้องเป็นสุนัขรับใช้ของชิวมู่ชิงให้ได้!
“ท่านพ่อ…”
ชิวมู่ชิงถึงกับสะดุงเมื่อได้ยินคำของบิดา ด้วยนางเองก็ไม่คิดจริงๆว่าบิดาจะขอให้นางรับชิวจื่อเป็นคนรับใช้แบบนี้
“มู่ชิง พี่ใหญ่ลี่เฟิงของเจ้ามิใช่คนธรรมดา…ในเมื่อพี่ใหญ่เจ้ายินดีลงแรงช่วยเจ้า เจ้าก็สมควรขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าให้มาก”
ชิวอ้านผิงกล่าวกับชิวมู่ชิง ในวาจายังเผยการเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวออกมา
ไม่ใช่คนธรรมดา!
ตอนนี้ต่อให้จะความรู้สึกช้าเพียงใด แต่ชิวมู่ชิงย่อมรู้ได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนธรรมดา!
หากเป็นคนธรรมดาไหนเลยจะฆ่านายท่านรองตระกูลชิวได้ง่ายดาย?
ยังจะทำให้อาวุโส 2 ตระกูลชิวอย่างชิวจื่อ ถึงกับต้องคุกเข่าโขกหัววิงวอนร้องขอชีวิตได้หรือ กระทั่งยังเห็นด้วยกับวาจาเหลวไหลอย่างเป็นสุนัขรับใช้ให้นาง
และตั้งแต่ต้นจนจบอาวุโสหลักตระกูลชิว ผู้ที่มีพลังฝีมือเข้มแข็งที่สุดของตระกูลชิวก็เพียงยืนมองเรื่องราวอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน แต่ต้นจนจบไม่กล่าวคำใดออกมาแม้ครึ่งคำ
เห็นได้ชัด
ว่ากระทั่งอาวุโสหลัก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลชิวและเป็นผู้ที่ผู้คนในตระกูลชิวให้ความเคารพสูงสุด…
ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ยังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!
ตอนที่ 2,080 : คนไม่รู้ย่อมไม่กลัว!
“ข้า…ยอมรับ”
ชิวมู่ชิงมองไปยังชิวจื่อที่ยังคุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุดก่อน ค่อยหันไปมองต้วนหลิงเทียนที่ใช้สองตากระจ่างมากเสน่ห์คู่นั้นมองรอฟังคำตอบจากนาง ค่อยกล่าวตอบรับออกมาเสียงเบา
ได้ยินคำตอบรับของชิวมู่ชิง ชิวจื่อที่โขกศีรษะอยู่ถึงกับร่างสั่นสะท้านไปด้วยความยินดี มันเงยหน้าพรวดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข! มันรอดแล้ว!!
“ขอบคุณท่านคุณหนูมู่ชิง! ขอบคุณท่านอย่างยิ่งคุณหนูมู่ชิง!!”
หลังจากกล่าวคำขอบคุณด้วยความยินดี ชิวจื่อก็เร่งลุกพรวดขึ้นมาก่อนที่จะไปยืนอยู่ด้านหลังชิวมู่ชิงอย่างเรียบๆร้อยๆทันที ตำแหน่งการยืนดั่งเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง!
“ท่านประมุขขออภัยที่ข้าล่วงเกินสร้างความขุ่นใจให้ท่าน…หลังจากนี้ท่านจักยินดีลงโทษข้าเช่นไร ข้าพร้อมน้อมรับมันทั้งหมดตาไม่กระพริบ”
ชิวจื่อที่มาหยุดยืนด้านหลังชิวมู่ชิงแล้ว หันมองไปยังชิวอ้านผิงข้างๆพร้อมกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
ในกาลก่อนนั้นถึงแม้มันจะมีฐานะเป็นอาวุโส 2 ของตระกูลชิว แต่ด้วยความที่พลังฝีมือสูงกว่าประมุขอย่างชิวอ้านผิงทำให้มันมีบารมีสูงกว่า จึงไม่ค่อยเห็นหัวประมุขอย่างชิวอ้านผิงสักเท่าไหร่
เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดยามมันประมือกับชิวอ้านผิง สามารถซัดทำร้ายชิวอ้านผิงให้เจ็บหนักได้อย่างไม่เกรงใจไว้หน้า
ทว่าตอนนี้เรื่องราวล้วนแปรเปลี่ยนกลับกลายหมดสิ้น
เพราะในสายตาของมัน ชิวอ้านผิงไม่ใช่แค่ประมุขตระกูลชิวอีกต่อไป แต่เป็นบิดาของคนที่มันต้องปรนนิบัติรับใช้อย่างเชื่อฟังไปจนวันตาย…
ด้วยเพราะเจ้านายของมันมีผู้หนุนหลังอย่างลี่เฟิงที่บอกว่าตัวเองเป็นเพียงผู้ฝึกตนพเนจรไร้ราก!
ทว่าด้วยพลังฝีมือของลี่เฟิง คิดดับชีพมันยังง่ายกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่!
ในเมื่อลี่เฟิงเหลือทางรอดให้มันด้วยการเป็นสุนัขรับใช้ชิวมู่ชิง แน่นอนว่ามันย่อมต้องไม่กล้าปฏิบัติกับชิวอ้านผิงเหมือนกาลก่อน
“เฮ่อ!”
อาวุโสหลักตระกูลชิวที่ยืนอยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าชิวจื่อสามารถเก็บกู้ชีวิตกลับมาได้
ในขณะเดียวกันมันก็บังเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บจับใจ หน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมไม่หยุด แผ่นหลังเองก็ไม่ทราบชุกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นตั้งแต่เมื่อไหร่!
กล่าวตามความสัตย์จริง
ตอนที่มันเห็นลี่เฟิงครั้งแรก และได้ยินลี่เฟิงกล่าวบอกว่าเป็นเพียงผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดฝักฝ่าย มันก็ไม่เห็นลี่เฟิงอยู่ในสายตาเลย
ครู่ต่อมาหลังเข้ามาในห้องโถงหลักแห่งนี้แล้ว พอได้ยินข้อเสนอของตงฟางเฉียนประมุขตระกูลตงฟาง
ในใจของมันก็ตื่นเต้นยินดีไปปานลิงโลด อยากจะรีบมัดลี่เฟิงพร้อมใส่ห่อให้สวยงามแล้วส่งไปให้ตระกูลตงฟางทันทีด้วยซ้ำ!
เพราะสุดท้ายแล้วลี่เฟิงก็เป็นแค่คนนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชิวเลยสักนิด เช่นนั้นตระกูลชิวก็ไม่คิดจะบาดหมางกับตระกูลตงฟางเพราะลี่เฟิง
การออกหน้าเพื่อคนนอกที่ไหนก็ไม่รู้จนทำให้สัมพันธ์กับตระกูลตงฟางร้าวฉานย่อมเป็นเรื่องที่โง่งมถึงที่สุด!
นั่นเพราะหากทั้งสองตระกูลแตกคอกันขึ้นมาจริงๆ ผู้ที่ได้รับประโยชน์ย่อมไม่พ้นตระกูลเฝิง สุดท้ายไม่วายคงถูกตระกูลเฝิงค่อยๆฮุบกลืน เริ่มจากตระกูลตงฟางต่อด้วยตระกูลชิวของพวกมัน
ไม่แน่ว่าอาจจะฮุบกลืนตระกูลชิวของพวกมันก่อน แล้วไปกลืนตระกูลตงฟางก็เป็นได้
เพื่อให้ตระกูลรอดพ้นวิกฤตแล้ว สังเวยผู้ฝึกตนพเนจรที่เป็นคนนอกไปจะนับเป็นเรื่องอะไรได้
อย่างไรก็ตามลี่เฟิงกลับเป็นสหายของชิวมู่ชิง และใจมันก็เห็นชิวมู่ชิงเป็นดั่งหลานสาวแท้ๆมาโดยตลอด
ดังนั้นถึงแม้ใจมันจะคิดไปไกล แต่มันก็ยังคงนิ่งเฉยไม่กล่าวคำ
อย่างไรก็ตามยิ่งมาเรื่องราวกลับยิ่งกลายเป็นเหนือความคาดหมายสุดที่มันจะจินตนาการได้อยู่บ้าง
ประการแรกคือที่แท้ผู้ที่เสนอเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กลับเป็นอาวุโส 2 ชิวจื่อ! อีกทั้งชิวจื่อยังไปตกลงกับตระกูลตงฟางยกชิวมู่ชิงให้ตงฟางฉู่โดยไม่แม้แต่จะปรึกษาชิวอ้านผิงบิดาชิวมู่ชิงด้วยซ้ำ!
ต่อมาลี่เฟิงผู้ฝึกตนพเนจรที่มันไม่เห็นอยู่ในสายตาก็ออกมาด่ากราดชิวจื่ออย่างไม่ไว้หน้า
หลังจากนั้นชิวจื่อก็มีโมโหและคิดลงมือเล่นงานลี่เฟิง
แต่ทว่าช่วงเวลานั้นเอง ไม่ทันที่อาวุโส 2 จะทำอะไร กลับเป็นชิวกังยี่ที่คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมปะทุพลังลงมือต่อลี่เฟิงตัดหน้าอาวุโส 2 ทว่าสุดท้ายกลับถูกลี่เฟิงฆ่าทิ้งในพริบตา!
และกระบี่ที่ลี่เฟิงใช้ตัดหัวชิวกังยี่นั้น ก็เป็นอะไรที่มันผู้เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนเจียนบรรลถึงเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนเต็มที…ยังไม่อาจมองเห็นได้ชัด!
กระทั่งในช่วงเวลาพริบตาที่เสียงตวัดกระบี่ดังแหวกสายลมดังขึ้น มันยังไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้ทัน ทำได้เพียงยืนนิ่งร่างสะท้านไปด้วยความเหน็บหนาวปานมีไอเย็นแล่นวาบจับไขสันหลังเท่านั้น
และพริบตานั้นสัญชาตญาณก็ร้องเตือนมันดังก้อง
ต่อให้คนที่เผชิญหน้ากับกระบี่นั่นไม่ใช่ชิวกังยี่แต่เป็นมัน น่ากลัวว่าก็คงต้องตายอย่างไร้หนทางตอบโต้…
‘เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน…ลี่เฟิงผู้นี้สมควรเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนไม่ผิดแน่! เพราะต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 2เปลี่ยนก็ไม่มีวันฟันกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนั้นออกมาได้!!’
นี่คือความคิดที่ดังอยู่ในใจของอาวุโสหลักตระกูลชิว ตอนลี่เฟิงสังหารชิวกังยี่…
และคนที่มีความคิดดังกล่าวก็ไม่ได้มีแต่มันเท่านั้น…
ไม่ว่าจะประมุขตระกูลชิวอย่างชิวอ้านผิง อาวุโส 2ตระกูลชิว ชิวจื่อ ประมุขตระกูลตงฟาง ตางฟางเฉียน รวมถึงอาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลตงฟาง ต่างก็มีความคิดเช่นนี้!
ด้วยเหตุนี้เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากต้วนหลิงเทียนที่ค่อยๆก้าวเข้าหาทีละก้าวๆ ชิวจื่อจึงไม่อาจทานทนรับความกดดันได้ไหวสืบไป จิตใจพังทลายลงตรงนั้น
ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์อีก 5คนที่เหลือไม่เว้นตัวมัน จึงได้เห็นภาพชิวจื่อคุกเข่าโขกหัววิงวอนร้องขอชีวิต และพวกมันเองก็ไม่คิดว่าการร้องขอความเมตตาของชิวจื่อจะเป็นเรื่องน่าละอายแต่อย่างไร…
ยังกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาถึงที่สุด ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรเลย! เพียงสยบให้ผู้ที่เหนือกว่าเท่านั้น!!
หลังจากนั้นพักหนึ่งห้องโถงหลักตระกูลชิวก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
สุดท้าย ต้วนหลิงเทียนก็เป็นคนริเริ่มทำลายความเงียบในห้องโถงหลักตระกูลชิว
ทุกคนเห็นว่าต้วนหลิงเทียนค่อยๆหันไปมองคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
กลุ่มคนที่ต้วนหลิงเทียนมองไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้คนของตระกูลตงฟางนั่นเอง!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนหันมาสนใจ แม้คนของตระกูลตงฟางจะเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว แต่พวกมันก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก หน้ายังเปลี่ยนสีไปโดยพลัน
ตึก ตึก ตึก
…
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆก้าวเดินออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อนอีกครั้ง เดินตรงไปหาคนของตระกูลตงฟาง!
ฉากนี้คล้ายกับจะฉายฉากที่ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าหาอาวุโส 2 ตระกูลชิว ชิวจื่อวนซ้ำก็ไม่ปาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาหาถึงครึ่งทาง ชิวจื่อ ถึงกับทนไม่ไหวเร่งทิ้งตัวลงไปคุกเข่าร้องขอชีวิต!
สุดท้ายแล้วเพื่อความอยู่รอด มันจึงกล่าวคำสาบานเป็นสุนัขรับใช้ชิวมู่ชิงไป…
‘ตระกูลตงฟางใช่จะคุกเข่าร้องขอความเมตตาเหมือนชิวจื่อหรือไม่?’
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชิวอ้านผิง ประมุขตระกูลชิวหรืออาวุโสหลักตระกูลชิวล้วนบังเกิดความคิดดังกล่าวออกมาเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ตึก!
ตึก!
…
ทุกย่างก้าวที่ต้วนหลิงเทียนเดินออกไป บังเกิดเสียงเท้ากระทบพื้นแผ่วเบาฟังดูนุ่มละมุนอยู่ในหูแต่ทุ้มอยู่ในใจ
หากทว่าเสียงละมุนดังกล่าวยามดังเข้าหูตระกูลตงฟางยังไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าผ่า พาลให้ใจพวกมันสั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะ!
เรียกว่าในตอนนี้มีแค่คุณชายรองตระกูลตงฟางอย่างตงฟางฉู่และอาวุโสทั้ง 2 ที่ติดตามตงฟางฉู่เท่านั้น ที่ยังคงมีกำลังขวัญกล้าแข็งดีอยู่
เพราะถึงแม้พวกมันจะตระหนักได้ว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนไม่ธรรมดา แต่พวกมันก็ไม่รู้แน่ชัดว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนใช่เหนือกว่ายอดฝีมือตระกูลตงฟางของพวกมันหรือไม่…
กลับกัน…ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นตงฟางเฉียน ประมุขตระกูลตงฟางหรืออาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลตงฟาง เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่ค่อยๆก้าวเดินเข้ามา จิตใจพวกมันก็ใกล้จะพังทลายลงเต็มที!
แน่นอนว่ายังต่างจากชิวจื่อที่ยืนอยู่ลำพัง และทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
ด้วยความที่พวกมัน 3 คนยืนอยู่ด้วยกัน ทำให้ทั้งหมดรู้สึกเสมือนมีที่พึ่ง ทำให้แม้จะหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนอย่างหนัก แต่สภาพของพวกมันยังดีกว่าชิวจื่อไม่น้อย
ถึงต้วนหลิงเทียนจะเดินเข้ามาใกล้พวกมันมากกว่าครึ่งทาง แต่พวกมันก็ไม่ได้ทิ้งตัวลงไปคุกเข่าโขกหัวเพื่อร้องขอชีวิตเหมือนชิวจื่อ
อย่างไรก็ตามความหวาดกลัวที่มีต่อต้วนหลิงเทียนในใจของพวกมัน ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชิวจื่อเลย
‘ดูเหมือนท่านพ่อ/ประมุข อาวุโสหลักและอาวุโส 2จะไม่ได้หวาดกลัวอะไรเจ้าลี่เฟิงสินะ…!’
และด้วยความนิ่งไม่ไหวติงของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้ง 3 ตระกูลตงฟาง ทำให้คุณชายรองตระกูลตงฟางอย่างตงฟางฉู่ไม่เว้นอาวุโสทั้ง 2 ด้านหลังเข้าใจผิด และคิดว่าตงฟางเฉียน อาวุโสหลักและอาวุโส 2 ไม่ได้หวาดกลัวอะไรชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า!
เรื่องนี้ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยังรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกมันคิด
ยังดีที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ทั้ง 3 ของตระกูลตงฟาง ไม่รับทราบความคิดในหัวตงฟางฉู่ หาไม่แล้วทั้งหมดคงได้โกรธจนกระอักเลือดตาย!
พวกมันน่ะหรือไม่กลัวชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า?
บัดซบ! ตอนนี้พวกมันแทบทนรอไปคุกเข่าร้องขอชีวิตชายหนุ่มชุดม่วงไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้ตระกูลตงฟางต้องเดือดร้อน!!
อนิจจาด้วยความที่พวกมันยืนกันอยู่ 3 คน เมื่อไม่มีใครทิ้งตัวลงไปคุกเข่านำ ก็ทำให้ทั้งหมดพลอยขาแข็งไม่กล้าคุกเข่าลงไปด้วย
“เมื่อครู่…”
สายตาของต้วนหลิงเทียนเบนไปตกยังร่างตงฟางเฉียนประมุขตระกูลตงฟางก่อนใครเพื่อน กล่าวคำออกมาเสียงเรียบว่า “ประมุขตงฟางเหมือนจะให้ตระกูลชิวส่งตัวข้าให้พวกเจ้าใช่หรือไม่…ทำไม พวกเจ้าคิดเชิญข้าไปเป็นแขกที่ตระกูลตงฟางรึ?”
“ในเมื่อประมุขตระกูลตงฟางใจดีมีเมตตาคิดชวนข้าไปเป็นแขกที่ตระกูลตงฟาง เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดขัดไมตรีแล้วกัน…เอาเป็นว่าให้ข้าติดตามประมุขตระกูลตงฟางกลับไปตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
วาจาท้ายประโยคยามกล่าว สองตาต้วนหลิงเทียนยังทอประกากยลึกล้ำออกมา เผยให้เห็นความอำมหิตประการหนึ่ง
และทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนดังเข้าหูตงฟางเฉียน ก็ทำให้ตงฟางเฉียนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้าง อารามตกใจยังแทบจะคุกเข่าลงไปแล้ว!
และในขณะที่ตงฟางเฉียนตกใจกลัวจนขาอ่อน มันยังแทบทนรอตบปากตัวเองให้แรงๆสัก 2 ทีไม่ไหว!ที่ดันปากพล่อยกล่าววาจาเช่นนั้นออกไปก่อนหน้า!!
“ลี่เฟิง เจ้าฝันละเมออยู่รึไง!?”
ทว่าทันใดนั้นเองเสียงตะโกนดุร้ายเอาเรื่องหนึ่งพลันดังลั่นก้องโถงหลักตระกูลชิวโดยไร้ซึ่งการแจ้งเตือนล่วงหน้าใดๆ ทำให้ทุกคนในโถงหลักตกใจอยู่บ้าง ยังดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที
ทันใดนั้นทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียน ต่างหันไปมองต้นเสียงเป็นสายตาเดียวกัน
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลง
สำหรับคนอื่นๆยกเว้นอาวุโสทั้ง 2 ของตระกูลตงฟางที่ยืนอยู่ด้านหลังจงฟางฉู่ จังหวะนี้ถึงกับเบิกตาโพลง ยังอื้ออึงไปพักหนึ่ง
เพราะผู้ที่ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้ายเอาเรื่องไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นคุณชายรองตระกูลตงฟาง ตงฟางฉู่เอง!
ตอนนี้ตงฟางฉู่ที่รวบรวมความกล้าตะโกนออกไป กำลังมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าเอาเรื่อง!
มันที่พอเห็นทุกผู้คนหันมามองให้ความสนใจ มันก็ยืดตัวให้อกผายไหล่ผึ่ง กล่าวออกมาอีกครั้งอย่างได้ใจ “ที่บิดาของข้าเสนอให้ตระกูลชิวส่งตัวเจ้าออกมา นั่นเพราะจะฆ่…”
ผัวะ!!
“โอ๊ย!”
ตงฟางฉู่กล่าวไม่ทันจบคำก็ต้องชะงักไปเสียก่อน
และในขณะที่เสียงมันชะงักไปด้วยถูกขัดจังหวะ ก็มีเสียงกระแทกกระทั้นดังขึ้น ยังมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นตามติด
เรียกว่าทั้งสองเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน
ตึงง!!
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งลมหายใจก็มีเสียงบางสิ่งล้มกระแทกพื้นอย่างแรง
เป็นเสียงตงฟางฉู่ที่กล่าวไม่ทันจบคำ ถูกยันโครมจนหน้าคว่ำล้มลงไปบนพื้นห้องโถง!
ตั้งแต่ต้นจนจบตงฟางเฉียนไม่มีเวลากกล่าวคำตำหนิตงฟางฉู่ทั้งสิ้น! ที่มันทำได้ก็แค่พยายามหยุดตงฟางฉู่ไม่ให้กล่าวคำออกมา!!
หลังจากถีบยันร่างตงฟางฉู่จนหน้าคว่ำไปแล้ว ใจมันยังเดือดดาลขึ้นมาแทบอกแตกตาย!
บุตรทรพีน่าตายนี่!
หรือขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นอีกว่าผู้ฝึกตนพเนจรคนนี้หาใช่อันใดที่พวกมันจะล่วงเกินได้?!
ไม่เห็นหรือไรว่าตอนนี้ทั้งตัวมัน อาวุโสหลักและอาวุโส 2 ยังต้องยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงต่อหน้าอีกฝ่าย!
“ทะ…ท่านพ่อ!”
ตงฟางฉู่ที่ถูกยันโครมหน้าคว่ำ แม้จะบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเพียงล้มลงไปหัวโป๊ก ทว่ามันมีโมโหหนักนัก
แต่เมื่อมันพบว่าผู้ที่ถีบยันมันจนหน้าคว่ำที่แท้เป็นบิดาของมันเอง มันก็หน้ามึนไปด้วยความไม่เข้าใจทันที กล่าวถามออกมาด้วยความสับสน “ท่านพ่อ…ท่าน…อยู่ดีๆ…ถีบข้าทำอะไร?”
ตอนที่ 2,081 : วาระสุดท้ายของพ่อลูกตระกูลตงฟาง
ถึงแม้ตงฟางฉู่จะไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงอะไรมากนัก ที่ถูกตงฟางเฉียนถีบยันหน้าคว่ำ…
ทว่าตอนนี้ตงฟานเฉียนกลับงุนงงไม่น้อยกว่าไฉนอยู่ดีๆมันถึงถูกถีบ…
ยิ่งไม่ทราบว่าไฉนบิดาของมันต้องลงมือทำร้ายมันด้วย!
ทว่าวินาทีต่อมามันก็ต้องตกตะลึง
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่มันตกตะลึง สีเลือดบนใบหน้าของมันก็คล้ายจะเหือดหายกลายเป็นซีดขาว
นั่นเพราะเบื้องหน้าปรากฏฉากที่มันไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิต!
สวรรค์!
มันเห็นอะไรอยู่!?
ด้วยเสียงดังตึงหนักแน่น ร่างประมุขสกุลตงฟาง ตงฟางเฉียนก้าวเข้าไปทิ้งตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน! ภาพตอนชิวจื่อร่ำร้องขอชีวิตดั่งจะฉายวนซ้ำ!!
ประมุขที่ยิ่งใหญ่ของสกุลตงฟาง บัดนี้กำลังคุกเข่าราวกับข้ารับใช้แสนต่ำต้อยเบื้องหน้าเจ้านายที่เคารพ!
“ใต้เท้า…บุตรสุนัขของข้าโง่งมมิรู้ความ…ขอใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่อย่าได้ถือสา โปรดอภัยให้มันด้วยเถอะ!”
ตอนนี้ตงฟางเฉียนที่คุกเข่าเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน พลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเสียขวัญ
ราวกับเบื้องหน้าของมันไม่ใช่ผู้คน แต่เป็น ‘ความตาย’ ที่จะพรากชีวิตมันไปเมื่อไหร่ก็ได้…
“หากข้าเดาไม่ผิด…เมื่อครู่ลูกชายเจ้าคิดกล่าวว่า ที่เจ้าเสนอให้ตระกูลชิวส่งตัวข้าออกมา…นั่นเพราะจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามตงฟางเฉียนที่คุกเข้าเบื้องหน้าด้วยสายตาเฉยเมย น้ำเสียงยังคงสงบเรียบปกติ
ทว่าในความเรียบเฉยยังแฝงเร้นไปด้วยจิตฆ่าฟันขุมหนึ่ง
“ไม่…ไม่ใช่! ไม่ใช่เช่นนั้น!!”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ตงฟางเฉียนรู้สึกหวาดกลัวจนร่างสะท้านสั่นไปราวจับไข้ เร่งกล่าวคำปฏิเสธออกไปอย่างร้อนใจ
“ในเมื่อไม่ใช่…งั้นเจ้าก็กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ให้ข้าฟังเสีย ว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าไม่เคยคิดฆ่าข้าเลย…”
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เชื่อคำพูดกล่าวอ้างโง่งมของมันแม้แต่นิดเดียว ยังเลือกจะกล่าวสั่งมันออกมาด้วยน้ำเสียงเรียยเฉย
ได้ยินคำสั่งของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่สีหน้าตงฟางเฉียนจะเปลี่ยนไปมหันต์ กระทั่งคนของตระกูลตงฟางไม่เว้นตงฟางฉู่ก็หน้าเปลี่ยนสีด้วย!
จุดประสงค์การมาเยือนตระกูลชิววันนี้ ล้วนเพื่อให้ตระกูลชิวส่งมอบชายหนุ่มชุดม่วงตัวปัญหานั่นออกมา…แล้วฆ่าทิ้งเสีย!!
เช่นนั้นแล้วตงฟางเฉียนจะกล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างไร?
เพราะหากมันกล่าวคำสาบานออกไป อัสนีฟ้าย่อมฟาดผ่าลงมาพิฆาตร่างมันให้ตายตกทันที!
“ประมุขตระกูลตงฟาง ตงฟางเฉียนจบสิ้นแล้ว…”
ห่างออกไปไม่ไกล อาวุโส 2 ของตระกูลชิวอย่างชิวจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังชิวมู่ชิง พลันกล่าวออกมาหลังชมเรื่องราวเบื้องหน้า และได้ยินคำสั่งดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน…
“ตะ…ใต้เท้า…โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย…เป็นข้าน้อยเลอะเลือนไปชั่ววูบ! เป็นข้าน้อยเลอะเลือนไปชั่ววูบเท่านั้น! ขอใต้เท้าได้โปรดเมตตาละเว้นด้วย!ได้โปรดเถิดใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ขอท่านละเว้นข้าน้อยสักครา!!”
เมื่อเห็นว่าแววตาของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งเยียบเย็น ตงฟางเฉียนย่อมตระหนักได้ถึงวิกฤต มันเร่งโขกหัวพร้อมวิงวอนร้องขอชีวิตออกมาทันที
ปึก! ปึก! ปึก!
……
ตงฟางเฉียนก้มลงโขกหัวราวกับนกหัวขวานคิดเจาะต้นไม้ให้เป็นโพรง! ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอยู่นาน!!
“หึ!”
ต้วนหลิงเทียนแค่นคำสบถออกมาเสียงเย็น ใบหน้ายิ่งมายิ่งกลายเป็นไร้อารมณ์ ไม่ได้เผยทีท่าว่าจะเมตตาปราณีตงฟางเฉียนแม้แต่นิดเดียว
“ข้าเป็นคนมีหลักการ…”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกเสียงเย็น “หากใครมันคิดฆ่าข้า ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ร่วมโลกใบเดียวกันกับข้าอีกต่อไป…”
วาจาประโยคสั้นๆดังกล่าว กลับแผย ‘หลักการ’ของต้วนหลิงเทียนออกมาชัดเจน
ใครคิดฆ่าเขา เขาไม่มีวันปล่อยมันไป!
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย!!”
ทันใดนั้นเอง เมื่อตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีวันไว้ชีวิตมันแน่ ตงฟางเฉียน ก็ไม่คิดจะร้องขอความเมตตาสืบต่อให้เสียเวลา ร่างของมันทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมากระโจนออกไปดั่งสายฟ้าฟาด ป้อนกระบวนท่าสังหารทันที!!
ซู่มมม!!
เสี้ยวพริบตาตงฟางเฉียนที่โขกหัวก่อนหน้าก็คล้ายกระสุนลูกหนึ่ง พุ่งจี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง!!
จากพลังเซียนต้นกำเนิดที่ปะทุออกมาทั่วร่างอย่างกล้าแข็ง เห็นได้ชัดว่ามันโคจรพลังเซียนต้นกำเนิดสั่งสมรอไว้! เตรียมปะทุพลังสังหารออกมาแต่แรกแล้ว!!
หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเร่งเร้าใช้ออกด้วยพลังเซียนต้นกำเนิดมหาศาลขนาดนี้ได้ในชั่วพริบตา!!
วู้มมม!!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างตงฟางเฉียนทะลึ่งพรวดทะยานออกมาจากท่าคุกเข่า ราวมองเห็นภาพอนาคตก็ไม่ปานว่าจะเป็นเช่นนี้ วังวนพลังดูดรั้งพลันอุบัติขึ้นโดยมีต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลางขึ้นทันที! มันสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินในห้องโถงหลักตระกุลชิวจนเหือดหายอีกครา!!
หนุนเสริมเพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนให้พุ่งทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว!!
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างตงฟางเฉียนทะยานมาถึงเบื้องหน้าห่างจากต้วนหลิงเทียนไม่กี่ก้าว พลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว…
“หากคิดให้ข้าตาย เกรงว่าพลังฝีมือของเจ้าต้องสูงกว่านี้…”
แม้จะสัมผัสได้ถึงสายลมแรงที่ตีปะทะเข้าใบหน้าได้ชัดเจน ทว่าต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวออกมาอย่างสงบใจเย็น แววตาสีหน้าไม่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงสักกะผีก
และแทบจะพร้อมกันกับที่เขากล่าวจบคำ
ฟั่ฟฟฟ!!
เสียงหอนแหวกอากาศของกระบี่สะท้านใจพลันดังขึ้นอีกครั้ง
ครู่ต่อมาทุกคนก็เห็นว่าต้วนหลิงเทียนเพียงถีบเท้าเบาๆส่งร่างให้กระโดดลอยสูงขึ้นจากพื้นราว 3 หมี่
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกระโดดขึ้นไป
เสมือนเดินตามรอยเท้าของนายท่านรองตระกุลชิวอย่างชิวกังยี่ไม่มีผิดเพี้ยน…ประมุขตระกูลตงฟาง ตงฟางเฉียนที่ร่างถลันมาตามแรงเฉื่อย ไม่ทันลอดใต้ข้าต้วนหลิงเทียนไปพ้นดี…หัวตัวของมันก็แยกออกจากกัน! แต่นับว่าพิกลนัก เพราะศีรษะที่หมุนคว้างกลางหาว แววตาได้เปลี่ยนจากอำมหิตเป็นหวาดกลัว…คล้ายมันจะเห็นร่างไร้หัวที่ฉีดพุ่งโลหิตเป็นสายของตัวอย่างไรก็ไม่ทราบ!
ตึงงง! ตุบบ!!
เสียงร่างกับศรีษะกระแทกผนังอย่างแรงดังขึ้น ก่อนที่หัวตัวจะร่วงตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง ศีรษะที่กลิ้นหลุนๆบนธารเลือด…สองตายังเบิกโพลงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเสียงกระแทกผนังทั้งเห็นฉากนี้ ก็ชวนให้ร่างทุกผู้คนในห้องโถงหลักสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นหาใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดอย่างชิวกังยี่ไม่…แต่ผู้ที่ถูกตัดหัวครานี้เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน ยังเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของเมืองคงหมิง!
ทว่าตอนนี้ยอดฝีมือที่เพียงด้อยกว่าไม่กี่คนในเมืองคงหมิง กลับถูกชายหนุ่มชุดม่วงฆ่าทิ้งในเวลาชั่วพริบตา…ต่อหน้าต่อตาของพวกมัน!
จังหวะนี้เสมือนสรรพเสียงในห้องโถงหลักตระกูลชิวจะหายสาบสูญ
“ไม่ได้เรื่อง”
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวปรามาสออกมา ทุกคนค่อยดึงสติกลับเข้าตัวได้อีกครั้ง
“พ่อ…ท่านพ่อ!!”
หลังคุณชายรองตระกูลตงฟางดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ หน้ามันก็ซีดลงถนัดตา แววตายังฉายชัดออกถึงความหวาดกลัวอันไร้สิ้นสุด
มันไม่เคยคิดเคยฝันเลย
ว่าบิดาที่เป็นดั่งเทพสงครามไร้พ่ายในใจของมันจะถูกฆ่าตายง่ายดายเช่นนั้น!
ยังถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของผู้ฝึกตนพเนจร ที่เรียกตัวเองว่า ‘ลี่เฟิง’
ขณะเดียวกันในใจของมันก็บังเกิดความเสียใจสุดแสน…
เสียใจที่ไฉนมันต้องบังเกิดจิตคิดครอบครองชิวมู่ชิงด้วย เสียใจที่ไฉนมันถึงต้องกระทำแบบนั้นหลังถูกชิวมู่ชิงปฏิเสธ ไปตามตื๊อนางทำอะไร!!
หากมันไม่ตามตื๊อนาง วันนี้ไหนเลยจะไปที่เหลาอาหารกับนาง?
หากไม่ไปเหลาอาหารนั่น มันจะพบพานกับดาววิบัติดวงนี้หรือ?
หากไม่เจอดาววิบัติดวงนี้ ไหนเลยมันจะมีเรื่องบาดหมางกับดาบวิบัติดวงนี้ได้! สุดท้ายไหนเลยเรื่องราวบาดหมางจะลุกลามบานปลายจนร้ายแรงถึงขั้นนี้?!
‘หนี!!’
เหลือบมองไปยังศพของตงฟางเฉียนอีกรอบ สีหน้าตงฟางฉู่ที่ซีดเป็นกระดาษอยู่แล้วยิ่งซีดลงจนปากขาว มันพยายามปะทุพลังชั่วชีวิตพุ่งร่างไปปานเส้นสายอัสนี หมายออกไปให้พ้นห้องโถงหลักตระกูลชิว จากไปให้ไกล!
ตอนนี้มันไม่ขออะไรมากมาย เพียงไปให้พ้นจากห้องโถงผีสางที่มีดาววิบัติอยู่ก็พอ!!
ลี่เฟิงนั้นฆ่าบิดามันตาไม่กระพริบ ไร้ซึ่งความเมตตาปราณีอันใด!
เช่นนั้นมันก็ไม่คิดว่าลี่เฟิงจะใจอ่อนปล่อยมันไป!
ทว่ามันคิดหนี…แต่มันจะหนีได้จริงๆหรือ?
“คิดหนี?”
ทันทีที่ตงฟางฉู่ปะทุพลังเคลื่อนร่าง คิ้วต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเบาๆ พลังเซียนสุริยันลุกโชนขึ้นมาครู่หนึ่ง ทว่าต่อมาก็ดับลง ไม่ได้เคลื่อนไหวลงมืออะไร
และสาเหตุที่ไม่เคลื่อนไหวอะไร นั่นเพราะมีคนลงมือแทนแล้ว
ฟู่มม!
เสียงแหวกฝ่าสายลมด้วยความเร็วสูงดังขึ้น ยังรวดเร็วเหนือกว่าตงฟางฉู่เสียอีก พริบตาร่างหนึ่งก็คว้าจับลำคอตงฟางฉู่เอาไว้ราวอินทรีย์คว้าจับลูกไก่
“อะ…อาวุโสหลัก ทะ…ทำไม? เพราะอะไร?”
ขณะเดียวกันตงฟางฉู่ที่ถูกจับไว้ก็พยายามดิ้นรนราวลูกเจี๊ยบขัดขืนอินทรีย์สุดแรง ทว่ามือที่กอบกุมลำคอมันเอาไว้ดั่งคีมเหล็ก จนเมื่อมันแลเห็นผู้ที่จับมันเอาไว้ มันก็หยุดดิ้นรน ยังกล่าวถามออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
นั่นเพราะคนที่จับมันกลับมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอาวุโสหลักตระกูลตงฟาง!
อาวุโสหลักตระกูลตงฟางผู้นี้ เป็นชายชราร่างสูงเกือบ 2 หมี่ ยามกอบกุมหิ้วร่างตงฟางฉู่เอาไว้ ยิ่งหนุนเสริมให้มองคล้ายอินทรีย์จับลูกไก่ไปกันใหญ่
“ใต้เท้าลี่เฟิง…”
อาวุโสหลักตระกูลตงฟางเพิกเฉยตงฟางฉู่ไม่แยแสอะไรทั้งไม่คิดจะตอบคำถามมันแม้แต่น้อย เพียงหิ้วร่างของมันมาก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพยำเกรง “ตงฟางฉู่ผู้นี้…มิทราบใต้เท้าจักให้ข้าจัดการมันเช่นไร?”
“จัดการมันอย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนมองอาวุโสหลักด้วยสายตาเยียบเย็นค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้แยแสว่า “ข้าพึ่งกล่าวไปหยกๆ…หรือเจ้าไม่ได้ยิน?”
อาวุโสหลักที่ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที ใจมันสะท้านไปด้วยความกลัว เร่งมองไปยังตงฟางฉู่อย่างไม่กล้ารอช้า
“ไม่! ไม่นะ!!”
เมื่อเห็นสายตาที่มองมาด้วยอำมหิตของอาวุโสหลัก ตงฟางฉู่คล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง พาลให้สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เร่งตะโกนร้องร่ำออกมาอย่างตื่นตระหนก “อาวุโสหลัก…ท่าน…ท่านฆ่าข้าไม่ได้! ท่านไม่อาจฆ่าข้า!!”
กร๊อบ!!
สุดท้ายอาวุโสหลักก็เลือกที่จะหักคอตงฟางฉู่ทันที ไม่ปล่อยให้มันพล่ามอะไรเสียงดังสืบไป…
รวบรัดหมดจด ไร้ปราณี!
เห็นฉากดังกล่าวคนของตระกูลชิวอดไม่ได้ที่จะใจสั่นร่างสะท้านขึ้นมา
ไม่คิดเลยว่าอาวุโสหลักของตระกูลตงฟางจะอำมหิตถึงเพียงนี้
“ใต้เท้าลี่เฟิงที่พวกข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะถูกพ่อลูกอย่างตงฟางเฉียนและตงฟางฉู่ยุยงส่งเสริม พวกเราหาได้คิดสร้างปัญหาอันใดให้ใต้เท้าลี่เฟิงแม้แต่น้อย…ข้าเพียงหวังให้ใต้เท้าลี่เฟิงโปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย”
หลังฆ่าตงฟางฉู่แล้ว อาวุโสหลักตระกูลตงฟางก็เร่งหันไปคุกเข่าลง ประสานมือไว้เบื้องหน้ากล่าวขอขมาลาโทษกับต้วนหลิงเทียนด้วยทีท่าเคารพ
“ใต้เท้าลี่เฟิง ข้าเองก็มิต่างใดจากอาวุโสหลัก พวกเรามิได้มีเจตนาจะล่วงเกินสร้างความหมองใจให้แก่ท่าน!”
ขณะเดียวกัน อาวุโส 2 ของตระกูลตงฟางก็เร่งก้าวเข้ามาพร้อมคุกเข่าลงประกาศจุดยืนของตัวเช่นกัน
ตึง! ตึง!
สำหรับอาวุโสทั่วไปทั้ง 2 ของตระกูลตงฟางนั้น ไร้ซึ่งความกล้าไปยืนเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน พวกมันเลือกที่จะหันหน้าไปทางต้วนหลิงเทียนและคุกเข่าลงพร้อมก้มหัวลงไปจรดพื้นร่ำร้องวิงวอนขอชีวิตออกมา “ขอใต้เท้าลี่เฟิงเมตตาละเว้นชีวิตผู้น้อยด้วย!ขอใต้เท้าลี่เฟิงเมตตาละเว้นชีวิตผู้น้อยด้วย!!”
ปรากฏเป็นภาพอันชวนฉงนใจนัก
ชายหนุ่มในชุดม่วงที่แลดูเยาว์วัยคล้ายพึ่งย่างเข้าเบญจเพสคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น…
ทว่าเบื้องกลับปรากฏร่างชายชราหัวขาว 2 คนคุกเข่าลงไปพร้อมประสานมือไว้เบื้องหน้าราวกับกำลังขอขมา
ส่วนห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ ปรากฏร่างชายชราอีก 2 คนที่ก้มกราบลงไปตัวสั่นระริก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า…
‘ต้วนหลิงเทียน…ที่แท้เขาเป็นผู้ใดกันแน่?’
‘ภาพ’ เบื้องหน้าส่งผลให้ดวงตาคู่งามดั่งสารทฤดูของชิวมู่ชิงสั่นไหวไปปานระลอกน้ำ ประกายใส่สว่างในดวงตายิ่งมายิ่งลึกซึ้งอ่อนไหว พาลให้หน้างามยิ่งมายิ่งน่าเอ็นดูไปกันใหญ่
ขณะเดียวกันในใจของชิวมู่ชิงก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ช้าก่อน…ต้วน…ต้วนหลิงเทียนหรือ? เขาคือต้วนหลิงเทียนคนนั้น?’
ทันใดนั้นสองตาชิวมู่ชิงพลันเบิกกว้างกลมโต คล้ายนึกอะไรออก หน้ายังเปลี่ยนสีไปเป็นตื่นตระหนก
‘ขะ…เขา…เขาคือ…อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟคนนั้นจริงๆ?!’
หลังตระหนักถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงก็นึกถึงคนๆหนึ่ง
อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ที่พึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาของลัทธิบูชาไฟ!
ตอนที่ 2,082 : การคาดเดาของชิวมู่ชิง
ย้อนกลับไปวันนี้ ก่อนที่ชิวมู่ชิงจะไปพบบิดา…
อันที่จริงตอนที่ชิวมู่ชิงได้ยินชื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ นางก็ตกใจไม่น้อย
นั่นเพราะชื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ ไม่ใช่ชื่อที่ไม่คุ้นเคยกับนางแต่อย่างใด
กล่าวอีกอย่างชื่อนี้ไม่ใช่อะไรที่ไม่คุ้นเคยสำหรับผู้คนในภาคตะวันตกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเลย…
ถึงแม้เมืองคงหมิงที่ตระกูลชิวของนางตั้งอยู่เรียกว่าตั้งอยู่สุดขอบชายแดนทางใต้ของภาคตะวันตก แต่อย่างไรก็ถือว่ามันยังตั้งอยู่ในภาคตะวันตก! เรื่องราวเด่นๆทั้งประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นในภาคตะวันตกย่อมแพร่กระจายมาถึงเมืองคงหมิงแห่งนี้ด้วย…
และสำหรับผู้คนในภาคตะวันตกแล้ว เรื่องเด่นประเด็นร้อนส่วนใหญ่ก็จะมาจากลัทธิที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกแห่งนี้ ลัทธิบูชาไฟ!
ลัทธิบูชาไฟนอกจากเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของผู้คนมากมายในภาคตะวันตกแล้ว มันยังเป็นขุมพลังยักษ์ใหญ่ 1 ใน 3 มหาอำนาจของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกด้วย
ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่ในภาคตะวันตก ย่อมให้ความสนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลัทธิบูชาไฟเป็นพิเศษ
และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีเรื่องที่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮาแพร่ออกมาจากลัทธิบูชาไฟ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เพียงสะเทือนสะท้านไปทั่วภาคตะวันตก แต่ยังแพร่กระจายสร้างความแตกตื่นไปทั่วภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกด้วย!
เป็นข่าวเกี่ยวกับ ‘อัจฉริยะท้าทายสวรรค์’ คนใหม่ที่พึ่งปรากฏขึ้นในลัทธิบูชาไฟ!
ทุกเรื่องราวตั้งแต่ที่อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ผู้นั้นเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟ จนถีบตัวทะยานฟ้าขึ้นไปเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนที่ 8 ทุกคนล้วนรับทราบดี!
อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ทั้ง 8 ของลัทธิบูชาไฟ ล้วนแล้วแต่ยังเป็นรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น ทว่าทั้งหมดมีพลังฝีมือสูงส่งถึงขั้นติดอันดับในรายนามยอดเซียน! ซึ่งผู้ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็ยังบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนทั้งสิ้น!!!
‘ต้วนหลิงเทียน…นี่มิใช่นามของอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนที่ 8 ที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นในลัทธิบูชาไฟหรอกหรือ’
ดังนั้นวันนี้ตอนที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกชื่อออกมา ชิวมู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องนี้ก่อนใดอื่น
เพราะชื่อ ต้วนหลิงเทียน เป็นอะไรที่ชิวมู่ชิงรู้จักแต่แรก ก่อนที่จะมาได้ยินวันนี้เสียอีก
เพราะนี่คือนามของอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนที่ 8 ที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นในลัทธิบูชาไฟ!
ชิวมู่ชิงเองก็รู้เรื่องของ ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนที่ 8 ของลัทธิบูชาไฟมาบ้าง
ต้วนหลิงเทียน 1 ใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟคนนี้ เป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นในลัทธิบูชาไฟ ว่ากันว่ายังเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟไม่ถึงปีด้วยซ้ำ!
ทว่าภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี…
ต้วนหลิงเทียนคนนี้กลับสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในลัทธิบูชาไฟอย่างยิ่งใหญ่ ถีบตัวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือลำดับที่ 4 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง กลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนที่ 8 ได้ในเวลาอันสั้น! พลังฝีมือสมควรเป็นรองแค่อัจฉริยะ 3 คนที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนแล้วเท่านั้น!!
นอกจากนี้ไม่เพียงแต่จะติดอันดับในรายนามยอดเซียนได้ ทว่ายังติดอยู่ในอันดับที่ 537 ด้วยซ้ำ!
นี่คือสิ่งที่ชิวมู่ชิงล่วงรู้เกี่ยวกับ ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธิบูชาไฟ
อย่างไรก็ตาม
ชิวมู่ชิงยังไม่รู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ต้วนหลิงเทียน กลับมีชัยเหนืออัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 ของลัทธิบูชาไฟอย่างปู้หง ที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงด่านพลังเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้อย่างหมดจด! กลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 คนใหม่!!
ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนได้รับการยอมรับว่าเป็น อัจฉริยะท้าทายสววรรค์อันดับที่ 2 ของศิษย์รุ่นเยาว์ลัทธิบูชาไฟ!
นอกจากนี้ปู้หงที่พ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียนยับเยิน ไม่เพียงแต่จะเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับที่ 2 เท่านั้น มันยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 421 ของรางนามยอดเซียนอีกด้วย!
ต้วนหลิงเทียนที่เอาชนะมันมาได้ย่อมหมายความว่าเขาชิงอันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียนของมันมาครอง!
สาเหตุที่ไฉนเรื่องนี้ชิวมู่ชิงไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องราวล่าสุดที่เกิดขึ้นในลัทธิบูชาไฟ จึงยังแพร่กระจายมาไม่ถึงเมืองคงหมิงที่อยู่ทางใต้สุดของภาคตะวันตก
‘เรียกว่าต้วนหลิงเทียนเหมือนกัน ยังเยาว์ทั้งแข็งแกร่งทรงพลังยิ่ง…หรือเขาคือต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ของลัทธิบูชาไฟผู้นั้นจริงๆ?’
พอมาย้อนนึกดูอีกครั้ง ชิวมู่ชิงก็เริ่มมั่นใจ
ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่นางได้บังเอิญพบเจอที่เหลาอาหารวันนี้ สมควรเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ต้วนหลิงเทียน แห่งลัทธิบูชาไฟ
‘หากเขาเป็นต้วนหลิงเทียนผู้นั้นจริงๆ เช่นนั้นก็มิแปลกอันใดที่เขาขอให้ข้าช่วยปกปิดนามของเขาเอาไว้…เห็นว่าเขาได้ล่วงเกินผู้คนในลัทธิบูชาไฟไปมากมาย ยังเป็นระดับสูงทั้งสิ้น! ที่มิยอมเปิดเผยชื่อออกมาเช่นนี้…สมควรเป็นเพราะตัวตนเหล่านั้นจะล่วงรู้เขาอยู่ที่เมืองคงหมิงและเกิดอันตรายต่อเขา..’
ต้องกล่าวเลยว่าชิวมู่ชิงก็หัวไวไม่เบา
เมื่อรวมกับข่าวเรื่องราวที่ได้ยินมา กลับเดาเรื่องต้วนหลิงเทียนได้ครึ่ง
สาเหตุที่บอกว่านางเดาได้ครึ่งเดียวนั้น
ต้วนหลิงเทียนปกปิดชื่อไม่ใช่เพราะไม่อยากให้คนของลัทธิบูชาไฟล่วงรู้ว่าเขาอยู่ที่เมืองคงหมิง หากแต่กลัวว่าหลังเขาออกจากเมืองคงหมิงไปแล้ว ลัทธิบูชาไฟจะมาหาความจาก ‘ตระกูลชิว’ และชิวมู่ชิงต่างหาก!
เรื่องของตัวเองนั้นต้วนหลิงเทียนไม่ได้กังวลแม้แต่นิดเดียว
นั่นเพราะเขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ในเมืองคงหมิงแห่งนี้นานนัก กว่าที่คนของลัทธิบูชาไฟจะล่วงรู้ว่าเขาอยู่เมืองคงหมิง ตอนนั้นเขาคงออกกไปจากเมืองนานแล้ว
“พวกเจ้า…ไม่อยากตายงั้นรึ?”
ในขณะที่อาวุโสทั้ง 4 ของตระกูลตงฟางกำลังวิตกกังวลอย่างหนัก และเฝ้ารอคำตัดสินของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำออกมาอีกครั้ง ยังถามทั้ง 4 เรื่องชีวิตของพวกมัน
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน อาวุโสหลักตระกูลชิว ประมุขตระกูลชิว ไม่เว้นอาวุโส 2 ตระกูลชิวก็ถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะไม่อยากตายแล้วคนของตระกูลตงฟางจะร้องขอความเมตตาแบบนี้หรือ?
พวกมันรู้สึกว่าคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนออกจะซ้ำซ้อนเกินจำเป็นไปบ้าง
แต่แน่นอนว่าพวกมันทำได้แค่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมาด้วยกลัวว่าจะทำให้ต้วนหลิงเทียนรำคาญใจ
เพราะด้วยพลังฝีมือของผู้ฝึกตนพเนจรไร้รากนามลี่เฟิงผู้นี้ ไม่ต้องกล่าวถึงฆ่ายอดฝีมือของตระกูลตงฟางให้ตกตายหมดสิ้นเลย กระทั่งจะกวาดล้างยอดฝีมือทั้ง 3 ตระกูลก็สมควรลำบากเพียงยกมือ!
“ใต้เท้า ข้าไม่อยากตาย!”
อาวุโสหลักตระกูลตงฟางเร่งกล่าวออกมาก่อนใครด้วยใบหน้าตื่นตระหนก มันย่อมไม่อยากตายแบบนี้
หากมันยินดีตายตกไป มันจะไปจับคุณชายรองตระกูลตงฟางของมันมาฆ่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ทั้งกล่าวบอกปัดเรื่องราวทั้งหมดแต่แรกทำอะไร?
ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ตงฟางฉู่ยังมีปัญญาหนีรอดได้หรือ?
มันที่เลือกลงมือสร้างความดีความชอบไหนเลยจะยังยินดีตกตาย?
“ใต้เท้าข้าน้อยก็มิอยากตายเช่นกัน”
อาวุโส 2 ตระกูลตงฟางเมื่อคืนสติก็เร่งกล่าวออกมาด้วยความหวาดผวาเสียขวัญ
“ใต้เท้าลี่เฟิงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้น้อยมิอยากตาย”
“ใต้เท้าลี่เฟิงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้น้อยมิอยากตาย”
อาวุโสอีก 2 คนของตระกูลตงฟางที่คุกกเข้าก้มกราบอยู่ไกลๆ ก็ร่ำร้องออกมาเสียงหลง พวกมันยิ่งมาก็ยิ่งหวั่นวิตกจนแทบร่ำไห้แล้ว
เพราะตอนนี้ ‘ความเป็นตาย’ ของพวกมัน อยู่ในกำมือของชายหนุ่มชุดม่วงตรงหน้า!
จะบีบก็ตาย…
จะคลายก็รอด!
“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง หากไม่อยากตายก็ง่ายดายนัก…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเกริ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหยุดลง
ทว่าคำนี้ทำให้สองตาของเหล่าอาวุโสทั้ง 4 ของตระกูลตงฟางเรืองวูบขึ้นมาทันที ราวกับพวกมันไขว่คว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้แล้วว!
“แค่พวกเจ้าต้องแสดงความจริงใจให้ข้าเห็นเท่านั้นเอง…”
หลังหยุดไปครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียค่อยกล่าวต่อ
และเมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ละสายตาออกจากร่างอาวุโสของตระกูลตงฟาง เบนไปตกยังร่างชิวมู่ชิงอย่างประจวบเหมาะ
ไม่ต้องกล่าวคำใดให้มากความ
ทันทีที่เสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนดังขึ้นมาคล้ายจะบอกเงื่อนไข อาวุโสหลักกับอาวุโส 2 รวมถึงอาวุโสอีก 2 คนของตระกูลตงฟางก็เงยหน้าขึ้นมามองต้วนหลิงเทียนไม่วางตาแต่แรก ไหนเลยจะพลาดความเคลื่อนไหวนี้ของต้วนหลิงเทียนไปได้!
เช่นนั้นพวกมันจึงมองตามสายตาของต้วนหลิงเทียนไป และในที่สุดก็เห็นร่างชิวมู่ชิงไกลตา!
“ข้าตงฟางป๋อขอสาบานด้วยโลหิต…”
เป็นอาวุโสหลักของตระกูลตงฟางลงมือฉับไวกว่าใคร มันกรีดนิ้วโลหิตกล่าววาจาออกมาเสียงดังฟังชัดว่า…
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าตงฟางป๋อจักให้ความเคารพแก่คุณหนูใหญ่ตระกูลชิว ชิวมู่ชิง เป็นสำคัญ และไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดของคุณหนูมู่ชิงข้าผู้รับใช้ล้วนกระทำตามทั้งสิ้น และจะไม่มีวันกระทำอันใดให้เกิดอันตรายต่อคุณหนูมู่ชิงไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่งเด็ดขาด…หากข้าผิดคำสาบานนี้ ขอให้อัสนีทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าพิฆาตร่างตายตก!”
และทันทีที่เสียงของตงฟางป๋อ อาวุโสหลักตระกูลตงฟางดังจบคำ
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
……
เสียงฟ้าผ่า 9 ครั้งพลันดังสะท้านสะเทือนลงมาจากฟ้าเบื้องบน เผยให้รู้ว่าคำสาบานของตงฟางป๋อถูกตอบรับแล้ว!
จังหวะนี้ชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะอึ้ง
นางได้ข้ารับใช้เพิ่มมาอีกคนแล้ว?
นอกจากนั้นข้ารับใช้ผู้นี้ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลตงฟางอีกด้วย พลังฝีมือเหนือกว่าอาวุโส 2 ตระกูลชิว อย่างชิวจื่อ และเทียบได้กับอาวุโสหลักตระกูลชิว?
ในขณะที่ชิวมู่ชิงกำลังอึ้ง ด้านอาวุโสหลักตระกูลชิวก็อึ้งไปไม่ต่างกัน
มันไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าอาวุโสหลักตระกูลตงฟางที่มีพลังฝีมือและอำนาจในเมืองคงหมิงทัดเทียมกับมัน เพื่อความอยู่รอดแล้วถึงกับยอมเป็นข้ารับใช้ของชิวมู่ชิง
อย่างไรก็ตามพอคิดอีกมุม มันก็รู้สึกว่าหากมันเป็นตงฟางป๋อมันก็คงเลือกที่จะกระทำเช่นนี้เหมือนกัน
เพราะสุดท้ายแล้วกว่ามันจะบ่มเพาะฝึกฝนจนบรรลุด่านพลังในปัจจุบันก็ฝ่าฟันมาอย่างยากเย็น
หากต้องมาตกตายไปวันนี้ ก็เท่ากับเสียโอกาสใช้ชีวิตไปนับพันๆปี
บางครั้งเพื่อความอยู่รอดแล้วศักดิ์ศรีอันใดก็จำต้องละทิ้ง
สำหรับอาวุโส 2 ตระกูลชิว ชิวจื่อ กลับมองเรื่องราวด้วยสายตาเฉยเมย มันไม่ได้แปลกใจอะไรแม้แต่นิดเดียว
สำหรับประมุขตระกูลชิวอย่างชิวอ้านผิง ตอนนี้มันกำลังงุนงงไปหมด
อาวุโสหลักตระกูลตงฟาง ตงฟางป๋อ ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับอาวุโสหลักของพวกมัน อดีตนั้นเป็นตัวตนที่มันจำต้องแหงนมอง…ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะเป็นข้ารับใช้บุตรีของมัน?
“ข้าคงมิได้กำลังฝันอยู่หรอกนะ…”
ชิวอ้านผิงตอนแรกก็สับสนไม่น้อย
ต่อมาหลังจากที่ยืนยันแล้วว่ามันไม่ได้ฝันไป มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ!
ตงฟางป๋อเป็นข้ารับใช้ลูกสาวมันเช่นนี้ ก็หมายถึงกำลังหลักตระกูลตงฟางเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชิวไปแล้ว ทำให้วันหน้าพวกมันมีไพ่อันร้ายกาจในมือ!
หากตระกูลเฝิงซึ่งเป็นอันดับ 1 ในเมืองคงหมิงลงมือทำอะไรต่อตระกูลชิวก็ไม่ต้องกลัวว่าตงฟางป๋อจะไม่ช่วย!
ครู่ต่อมาใบหน้าปิติยินดีของชิวอ้านผิงก็ถึงกับต้องตะลึงงันไปอีกครั้ง
เพราะมันได้ยิน…
อาวุโส 2 ของตระกูลตงฟาง ‘ตงฟางเหลียง’ ผู้มีพลังฝีมือรองจากตงฟางป๋อ ก็ได้กล่าวคำสาบานต่อทันฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะรับใช้บุตรีมันเช่นกัน!
จังหวะนี้ชิวอ้านผิงดีใจจนเนื้อเต้น
และคราวนี้ไม่เพียงแต่ชิวอ้านผิง กระทั่งอาวุโสหลักตระกูลชิวก็เผยความยินดีออกหน้าออกตา
แต่ก่อนนั้นเหตุผลเดียวที่ตระกูลชิวและตระกูลตงฟางหวาดกลัวตระกูลเฝิงที่เป็นตระกูลใหญ่อันดับ 1 ของเมืองคงหมิงนั้น เพราะตระกูลเฝิงมีผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ถึง 5 คน
และ 2 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเฝิง ก็มีพลังฝีมือทัดเทียมกับอาวุโสหลักตระกูลชิวและตระกูลตงฟาง และยอดฝีมือรองลงมาอีก 2 คนของตระกูลเฝิง ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับอาวุโส 2 ของพวกมัน
ที่ตระกูลชิวคิดร่วมมือกับตระกูลตงฟางนั้น ก็เพียงหวังว่าอาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลตงฟางจะให้ความช่วยเหลือและต่อต้านตระกูลเฝิงในช่วงเวลาคับขัน
ด้านตระกูลคงฟางก็ดุจเดียวกัน พวกมันหวังว่าอาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลชิวจะให้ความช่วยเหลือในช่วงเวลาคับขัน…
ตอนที่ 2,083 : เปิดเผยตัวตน!
ประมุขตระกูลชิว อาวุโสหลัก ไม่เว้นอาวุโส 2 อย่างชิวจื่อ ตอนนี้เรียกว่าทั้งหมดล้วนตื่นเต้นยินดีกันออกหน้าออกตาทั้งสิ้น…!
เพราะเมื่อมีตงฟางป๋อ ตงฟางเหลียงเป็นข้ารับใช้ของชิวมู่ชิงเช่นนี้ หมายความว่าตราบใดที่ชิวมู่ชิงยังคงอยู่ในตระกูลชิว พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวคนสกุลเฝิงจะมาเยือนตระกูลชิวอีกต่อไป!
“ข้ายินดีเป็นสุนัขรับใช้ของแม่นางชิวด้วย!”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
ขณะเดียวกันอาวุโสอีก 2 คนของตระกูลตงฟางที่คุกเข่าอยู่ไกลๆ ก็เร่งหลั่งโลหิตกล่าวคำสาบานออกมาทันที
เสียงฟ้าร่องลั่นดัง 9 คำรบอีก 2 ชุด บ่งบอกว่าสวรรค์ตอบรับคำสาบานของพวกมันแล้ว
เรียกว่าเหนือห้องโถงหลักของสกุลชิววันนี้ ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามกลับบังเกิดอัสนีฟ้าลั่นดัง 9 คำรบติดต่อกันหลายชุดโดยแท้! ลั่นดังติดๆกันถึง 5 ชุด!!
เรื่องนี้เรียกว่าได้สร้างความแตกตื่นให้กับคนสกุลชิวมากมายนัก! ตั้งแต่ชนชั้นข้ารับใช้ยันเหล่าอาวุโสต่างแตกตื่นหมดสิ้น ด้วยไม่ทราบว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่!!
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
“อัสนีฟ้าลั่นดังติดต่อกันถึง 5 ชุด…เป็นผู้ใดถึงกับเอ่ยคำสาบานติดๆกัน 5 ครั้ง?”
“เสียงฟ้าผ่าเหมือนจะดังมาจากทางห้องโถงหลักตระกูลชิวเรา…ข้าได้ยินว่าตอนนี้คนตระกูลตงฟางมันมาหาความกับพวกเราเรื่องคุณหนูใหญ่อยู่”
“เฮ่อ จะว่าไปคราวนี้คุณหนูใหญ่ทำเกินไปแล้วจริงๆ…ข้าว่าสมควรเป็นท่านประมุขกับท่านผู้อาวุโสคนอื่นๆที่เอ่ยคำสาบานอันใดสักอย่างกับตระกูลตงฟางแน่”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
“ไฉนตระกูลชิวพวกเราต้องมาสาบานอะไรกับพวกมันเช่นนี้ด้วย! คราวนี้ข้าขอพูดเลยว่าข้าไม่พอใจการกระทำของคุณหนูใหญ่นัก เป็นนางที่ทำให้พวกเราต้องอับอาย!”
…
ทุกที่ทางไม่ว่าจะคฤหาสน์เรือนพักหรือบ้านส่วนตัวใดๆในเขตที่พักตระกูลชิว ลูกหลานตระกูลชิว ชนชั้นอาวุโสยันข้ารับใช้ ต่างคิดว่าที่มีเสียงฟ้าลั่นดังติดๆกันนี้ ล้วนเป็นเพราะคนสกุลชิวของพวกมันถูกตระกูลตงฟางมาหาความเรื่องที่พวกมันต้องเสียหน้าเพราะคุณหนูใหญ่เป็นแน่
และภายใต้วาจาไล่จี้ขู่ข่มของตระกูลตงฟาง ไม่พ้นต้องบีบคั้นให้เหล่าอาวุโสของพวกมันต้องกล่าวคำสาบานอะไรสักอย่างเพื่อเป็นคำอธิบายให้ตระกูลฟาง!
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ต่อไปยามไปเดินในเมืองพวกมันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยังจะสู้หน้าใครได้อีก?
ดังนั้นคนของตระกูลชิวจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจ
ยังดีที่ประมุข อาวุโสหลักและอาวุโส 2 ของตระกูลชิวไม่รู้ความคิดของพวกมันและไม่ได้มายินพวกมันบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง หาไม่แล้วทั้งหมดคงได้อึ้งกันตาปริบๆแน่!
ภายในห้องโถงหลักตระกูลชิว
เมื่อเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดล้วนคลี่คลายลงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชิวมู่ชิงด้วยรอยยิ้มค่อยกล่าว “พวกเรากลับกันเถอะ”
“อื๊อ!”
ชิวมู่ชิงที่ยืนอึนอยู่ถึงกับสะดุ้ง แต่นางก็เร่งพยักหน้าตอบรับทันที
อย่างไรก็ตามพอสัมผัสได้ถึงสายตาลึกซึ้งปานเข้าใจเรื่องราวบางอย่างจากทุกคนที่มองมาที่นาง พวงแก้มกระจ่างอดไม่ได้ที่จะปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที สุดท้ายนางก็ได้แต่ก้มหน้างุดๆเดินตามต้วนหลิงเทียนไปด้วยความขวยเขิน
หลังต้วนหลิงเทียนกับชิวมู่ชิงเดินออกจากห้องโถงหลักไปแล้ว ทุกผู้คนในห้องโถงหลักอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
อยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนนั้น พวกมันรู้สึกเสมือนมีแรงกดดันที่มองไม่เห็น กดดันบีบคั้นจิตใจอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนจากไป แรงกดดันดังกล่าวย่อมสลายไปด้วย
“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านประมุข”
ขณะเดียวกัน อาวุโสหลักกับอาวุโส 2 อย่างชิวจื่อก็ประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีให้ชิวอ้านผิงออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อาวุโสหลัก…อาวุโส 2 พวกท่านหมายถึงอะไร?”
เห็นอาวุโสหลักกับอาวุโส 2 อยู่ๆก็มาประสานมือแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้มแบบนี้ ชิวอ้านผิงอดไม่ได้ที่จะตกใจเป็นธรรมดา ยังสงสัยนักว่าเรื่องอะไร
“ท่านประมุข ตราบใดที่ท่านสังเกตดูไหนเลยจะมองไม่เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่เรากับใต้เทาลี่เฟิงนั้นไม่ธรรมดา…ข้าเกรงว่าอีกมินานทั้งคู่ต้องลงเอยกันแน่!”
ชิวจื่อกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามขณะที่มันกล่าวถึง ‘ใต้เท้าลี่เฟิง’ แววตาของมันก็เผยความหวาดผวาออกมาให้เห็น เผยให้รู้ชัดว่ามันหวาดกลัวจับใจยังกลัวไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ!
ชิวจื่อกล่าวจบคำ อาวุโสหลักก็พยักหน้าเห็นชอบ
“ขอแสดงความยินดีด้วยประมุขชิว”
ขณะเดียวกันอาวุโสหลักของตระกูลตงฟาง ตงฟางป๋อ และอาวุโส 2 ของตระกูลตงฟาง ตงฟางเหลียง รวมถึงอาวุโสอีก 2 คนของตระกูลตงฟาง ก็รุดเข้ามาประสานมือแสดงความยินดีกับชิวอ้านผิงเช่นกัน
ลึกลงไปในสายตาของทั้ง 4 ยังเผยความอิจฉาไม่น้อย
อิจฉาที่บุตรีของชิวอ้านผิงกลับมัดใจใต้เท้าลี่เฟิงผู้นั้นได้!
“ทุกท่าน…มิคิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อยหรือที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้?”
ตอนนี้เองในที่สุดชิวอ้านผิงก็ตอบสนองและเข้าใจว่าเรื่องอะไร มันได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกล่าวคำออกไปเสียงอ่อน
มันไม่ได้มองโลกในแง่ดีถึงขนาดนั้น
หลังได้เห็นพลังฝีมือกับลักษณะอันน่าเกรงขามของ ลี่เฟิง แล้ว มันก็รู้ได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้หาใช่คนธรรมดาสามัญไม่!
ตัวตนที่แลดูสูงส่งเช่นนี้ มีหรือที่จะถูกบุตรีของมันจับได้?
มันรู้ดีว่าถึงแม้ลี่เฟิงผู้นั้นคล้ายจะปฏิบัติกับบุตรีของมันด้วยดี…แต่ก็คงไม่พ้นเห็นบุตรีของมันเป็นดั่งดอกไม้ริมทาง เพียงเด็ดดมเชยชมสนใจ ค่อยโยนทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย…
“ประมุขชิว…ใต้เท้าลี่เฟิงเต็มใจที่จะกระทำเช่นนี้เพื่อคุณหนูมู่ชิง เผยให้เห็นว่าใต้เท้าให้ความสำคัญกับคุณหนูมู่ชิงไม่น้อย…ท่านเพียงรอเป็น ‘ท่านตา’ เถอะ”
ตงฟางป๋อเผยยิ้ม
คนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย
ครู่ต่อมาตงฟางป๋อก็เปลี่ยนเรื่อง และมองชิวอ้านผิงด้วยสายตาจริงจังกล่าวออกอีกครั้ง “ประมุขชิว จากนี้ไปข้ากับตงฟางเหลียงก็เป็นดั่งข้ารับใช้ของคุณหนูมู่ชิงแล้ว…”
“เช่นนั้นข้ากับตงฟางเหลียงขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่า…ตราบใดที่คุณหนูมู่ชิวยังอยู่ในตระกูลชิว ขอเพียงข้ากับตงฟางเหลียงยังมีลมหายใจอยู่ ตระกูลตงฟางของข้าก็เสมือนเป็นตระกูลย่อยตระกูลหนึ่งของตระกูลชิว…”
“ทุกเรื่องราวใดๆ พวกเราล้วนฟังคำสั่งของประมุขชิวทั้งสิ้น…และจากนี้ไปตระกูลของพวกเราทั้งสองตระกูล ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวตระกูลเฝิงอีกต่อไป!”
วาจานี้ของตงฟางป๋อทำให้สองตาของชิวอ้านผิงลุกวาวขึ้นมาด้วยประกายเจิดจ้าทันที
อาวุโสหลักกับอาวุโส 2 ของตระกูลชิว ตอนนี้ก็มีความสุขไม่น้อย
เกรงว่าตอนนี้ ตระกูลเฝิง ตระกูลใหญ่อันดับ 1 ของเมืองคงหมิงคงมิอาจคิดคาดฝันถึง…
ว่าตอนนี้สถานการณ์ภายในเมืองคงหมิง ได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง!
เพียงเวลาแค่ครึ่งวัน ตระกูลชิวก็มีพลังอำนาจมากพอจะทัดทานตระกูลเฝิงได้อย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!
นั่นเพราะตระกูลตงฟางเสมือนเป็นตระกูลย่อยภายใต้อำนาจของตระกูลชิวแล้ว!
แน่นอนว่าแม้หลังจากนี้ตระกูลตงฟางจะเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของตระกูลชิว แต่คนนอกไม่มีใครล่วงรู้!
มีแต่พวกมันในห้องโถงหลักตรงนี้เท่านั้นที่รู้!
ไม่เพียงแต่เรื่องที่ตระกูลตงฟางมาหาความจากตระกูลชิวจะล้มเหลว ตอนนี้ทั้งสองตระกูลกลับมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดั่งวาสนาในคราเคราะห์ทั้งสองกลับกลายเป็นพันธมิตรที่ยากจะผิดใจกัน มีพลังอำนาจมากพอทัดทานต่อต้านตระกูลเฝิง!!
กระทั่งหลังจากนี้อีกหลายปี ตระกูลเฝิงก็ไม่กล้าพอที่จะบังเกิดความคิดกลืนกินทั้งสองตระกูลอีก!
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวในอนาคต
ห้องโถงหลักตระกูลชิวนั้น ตั้งอยู่ห่างจากเรือนพักส่วนตัวของชิวมู่ชิงไม่น้อย เรียกว่าห่างไกลเลยก็ว่าได้…
แต่ด้วยมีต้วนหลิงเทียนเดินร่วมทางแบบนี้ ชิวมู่ชิงรู้สึกว่าระยะทางมันสั้นเกินไป
นางรู้สึกเสมือนเวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ไม่ทันได้สนทนาอะไรกับต้วนหลิงเทียนก็จะถึงเรือนที่พักอยู่แล้ว
แน่นอนว่าสาเหตุที่นางไม่ทันได้สนทนาอะไรกับต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น เพียงแค่นางไม่มีความกล้ามากพอ เมื่อต้วนหลิงเทียนเงียบไม่คิดจะคุยอะไรกับนางก่อน นางก็ไม่กล้าริเริ่มกล่าวถามเขา
และเหตุที่สถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ นั่นเพราะนางเดาตัวตนและฐานะที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนออกแล้ว!
ต้วนหลิงเทียน 1 ใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์แห่งลัทธิบูชาไฟ!
ตัวตนที่นางทำได้แค่แหงนมองไปตลอดชั่วชีวิต!
ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว นางก็เป็นเพียงสตรีสามัญไร้ราคาอันใด
“แม่นางชิว ทำไมท่านถึงเงียบมาตลอดทางเลยเล่า?”
หลังจากกลับมาถึงเรือนส่วนตัวของชิวมู่ชิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะเดินนำไปนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนตัวเดิมที่นั่งสนทนากับชิวมาชิงก่อนหน้า ค่อยยิ้มถามชิวมู่ชิงที่ตามมาด้วยความสงสัย
ทว่าชิวมู่ชิงที่เดินตามมานั้นกลับไม่ได้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามอีกต่อไป นางเลือกที่จะยืนมองเขา
อีกทั้งตอนนี้ในแววตาคู่งามดั่งสารทฤดูของนาง กลับฉายความซับซ้อนไม่น้อยขณะมองมา
“แม่นางชิว ท่านเป็นอะไรไป?”
เห็นทีท่าดังกล่าวของชิวมู่ชิง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
แม่นางชิวผู้นี้ คงไม่ใช่เพราะเมื่อครู่เขาเผยพลังฝีมือออกไป จึงทำให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าคุยเล่นกับเขาเหมือนก่อนหรอกนะ?
แต่แม้ต้วนหลิงเทียนจะงุนงงเล็กน้อย ทว่าเขาก็สามารถเข้าใจได้
ทว่าทันทีที่ชิวมู่ชิงปริปากกล่าวคำอีกครั้ง ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ท่านคือ ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะท้าทายสวรรค์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟใช่หรือไม่?”
อยู่ดีๆชิวมู่ชิงก็กล่าวถามออกมากลางปล้องเช่นนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตกใจทั้งตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง
“ท่าน…รู้ได้อย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ กล่าวถามออกไปโดยที่ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงมองชิวมู่ชิงด้วยสายตาแปลกใจ
“ความแข็งแกร่ง วัย และนามของท่าน…นอกจากนี้ท่านยังกำชับมิให้ข้าเปิดเผยนามของท่านออกไป”
เมื่อชิวมู่ชิงกล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็นึกขึ้นได้
ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่พึ่งขึ้นมาจากภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป
ตอนนี้เขาไม่เพียงสร้างชื่อจนลือเลื่องในลัทธิบูชาไฟเท่านั้น ทว่ายังสร้างชื่อของตัวเองไปทั้งภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกด้วย เพราะเขาได้กลายเป็นยอดฝีมือที่ติด 1 ใน 1,000 ของรายนามยอดเซียน อันเป็นทำเนียบสุดยอดฝีมือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว!!
“ดูเหมือนว่าข้าจักเดาถูก”
ท่าทีตอบสนองของต้วนหลิงเทียนพร้อมคำถามเมื่อครู่ ก็บอกให้ชิวมู่ชิงรู้ว่านางคิดถูก
ขณะเดียวกันชิวมู่ชิงก็ค่อยๆเลื่อนเก้าอี้และนั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากนั่งลงแล้วสิ่งที่นางกระทำก่อนใดอื่นก็คือการกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน “พี่ใหญ่หลิงเทียน วันนี้ขอบคุณท่านมาก”
และที่นางขอบคุณต้วนหลิงเทียนแบบนี้ โดยธรรมชาติแล้วทั้งหมดเพราะต้วนหลิงเทียนได้ช่วยเหลือนางกับตระกูลชิวเอาไว้
“สำหรับข้าทั้งหมดก็แค่เรื่องเล็กน้อย…เจ้าถือเป็นสหายข้า เช่นนั้นเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมากล่าวออก
“บางทีมันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพี่ใหญ่หลิงเทียน…แต่สำหรับข้าและตระกูลชิวมันเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญนัก”
ชิวมู่ชิงกล่าวออกด้วยทีท่าจริงจัง
“เอาล่ะๆ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่…ในเมื่อเจ้าขอบคุณแล้วเช่นนั้นก็อย่าได้พูดถึงอีกเลย”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวอีกครั้ง ค่อยกล่าวออกมาด้วยคิดเปลี่ยนเรื่อง “แม่นางชิว ข้า…”
ทว่าต้วนหลิงเทียนพูดไม่ทันจบคำก็ถูกชิวมู่ชิงกล่าวขัดเสียก่อน “พี่ใหญ่หลิงเทียนท่านเรียกข้าว่ามู่ชิงก็ได้…แม่นางชิวใช่เหมือนชื่อที่สหายใช้เรียกหากันที่ไหน?”
กล่าวจบแก้มขาวกระจ่างของชิวมู่ชิงก็เริ่มขึ้นสีแดงเรื่ออีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยนางนี้ขวยเขินเอียงอายอีกแล้ว
“เอาล่ะงั้นข้าจะเรียกเจ้าว่ามู่ชิงแล้วกัน”
ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยทันที
“พี่ใหญ่หลิงเทียน เมื่อครู่ท่านจะพูดเรื่องอะไรหรือ?”
ชิวมู่ชิงกล่าวถามอกมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แววตาเผยความขอขมา
เหตุผลที่นางรู้สึกผิดและส่งสายตาขอโทษให้ต้วนหลิงเทียนนั้นก็ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะเมื่อครู่อยู่ๆนางก็กล่าวแทรกขัดคำอีกฝ่าย เรื่องนี้นับว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทนัก!
“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยถาม “ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า…ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ สถานที่ใดที่มีคนชั่วเยอะๆ หรือมักมีคนชั่วไปรวมตัวกันบ้าง?”
นี่คือจุดประสงค์หลักในการมาเมืองคงหมิงของต้วนหลิงเทียน เขาคิดหาแหล่งรวมคนชั่วเพื่อที่จะได้ฆ่าแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันเพื่อส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา! โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดติดค้างในใจจนกลายเป็นปม และก่อเกิดมารในใจในภายหลัง!!
ตอนที่ 2,084 : นครแห่งบาป!
แต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่เคยลืมเลือนวัตถุประสงค์หลักในการออกจากลัทธิบูชาไฟของเขาครั้งนี้
ทั้งหมดคือกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น ส่งเสริมยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาให้ได้โดยเร็วที่สุด จะได้ไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดิน หรือมีความสามารถในการสัมผัสรับรู้พลังวิญญาณฟ้าดินมากขึ้น ทำให้มีความเร็วในการบ่มเพาะสูงขึ้น ยกระดับพลังฝึกปรือได้ในเวลาอันสั้น
เพราะมีเพียงพลังฝึกปรือของเขาสูงส่งถึงขั้นเท่านั้น จึงจะช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกให้พ้นจากเงื้อมมือของลัทธิบูชาไฟได้
วันนี้นอกจากพรสวรรค์รากวิญญาณของตงฟางฉู่ที่เขากลืนกินไปก่อนหน้าในเหลาอาหาร และมันก็ได้ถูกอาวุโสหลักของตระกูลตงฟางฆ่าทิ้งไปแล้วนั้น…
ไม่ว่าจะนายท่านรองตระกูลชิว ‘ชิวกังยี่’ หรือจะเป็นประมุขตระกูลตงฟางอย่าง ‘ตงฟางเฉียน’ ที่เขาฆ่าทิ้งไป เขาก็ไม่ได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันเลย
แน่นอนว่ามีเหตุผล
ตอนที่เขาฆ่าชิวกังยี่กับตงฟางเฉียนในห้องโถงหลักนั้น ทุกผู้คนล้วนจับตาดูการกระทำของเขาอยู่
ทำให้เขาทำได้แค่ลงมืออย่างรวบรัดหมดจด ด้วยทีท่าเย็นชาไร้แยแส
หากเขาคิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน ไม่ว่าจะก่อนฆ่าทิ้งเหมือนที่ทำกับตงฟางฉู่ในเหลาอาหาร หรือฆ่าทิ้งแล้วยังก้มลงไปดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณกับศพของพวกมัน ก็จะดูแปลกๆพิกลไป
เช่นนั้นภาพลักษ์สูงส่งของยอดฝีมือเย็นชาไร้แยแสของเขาต้องได้รับผลกระทบแน่ และนั่นจะทำให้พวกมันไม่ยำเกรงเขาถึงขนาดนี้
นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นชิวกังยี่หรือตงฟางเฉียน ก็ล้วนเป็นชนชั้นต่ำทรามทั้งสิ้น
กล่าวตามตรงต่อให้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันไป ก็คงไม่ได้ส่งผลอะไรมากมายกับเขา
เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน เต็มที่อย่างดีก็แค่พรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียว ยิ่งกับชิวกังยี่นั้นเกรงว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของมันจะยังเป็นแค่สีเหลืองเท่านั้น
ต่อให้เขาจะกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันไป แต่เกรงว่าพรสวรรค์รากวิญญาณที่เป็นสีน้ำเงินเข้มแล้วของเขา คงไม่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
เช่นนั้นเพื่อเพาะสร้างสภาวะข่มขวัญ และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะไม่กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณไร้ราคาของพวกมันต่อหน้าผู้คน
แต่แน่นอนว่ายังเป็นเพราะเขามีความกังวลอื่นๆด้วยส่วนหนึ่ง หากไร้ซึ่งความกังวลใดๆแล้ว แม้เรื่องเพาะสร้างสภาวะยอดฝีมือจะสำคัญ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังต้องหาวิธีกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันแน่ เพราะเขาถือคติถึงยุงจะตัวเล็กแต่มันก็ยังมีเนื้อ…
“สถานที่ๆมีคนชั่วอยู่เยอะๆ หรือมักมีคนชั่วมารวมตัวกันงั้นหรือ?”
ชิวมู่ชิงถึงกับผงะไปเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน
หลังจากนั้นสองตาดั่งสารทฤดูของนางก็ฉายแววหวั่นหวาดออกมา คล้ายนางกำลังนึกถึงอะไรที่น่ากลัวบางอย่าง?
“หืม? เจ้ารู้จักหรือ มันคือที่ไหน?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองชิวมู่ชิงอยู่ย่อมเห็นความหวาดกลัวในสายตาของนางทันที จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาตรงๆ น้ำเสียงยังรีบร้อนไม่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ที่เขาต้องการที่สุดก็คือ หาแหล่งรวมคนชั่วให้พบ! จะได้รีบๆเดินทางไปฆ่าพวกมันแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาซะ!
ตราบใดที่เป้าหมายมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าเขา เขาจะฆ่าแล้วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันให้เหี้ยน!
แน่นอนว่าเขายังเป็นคนมีหลักการ ย่อมไม่คิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของคนบริสุทธิ์
“ข้ามิรู้ว่าสถานที่ๆข้านึกถึงจักเป็นสถานที่ๆมีคนชั่วมารวมตัวกันเยอะๆอย่างที่ท่านต้องการหรือไม่…อย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนั้นเป็นอันใดที่น่ากลัวมาก ผู้คนล้วนเข่นฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน! เห็นว่าเพียงกล่าววาจามิเข้าหูก็เข่นฆ่าผู้คนกันแล้ว!!”
เผชิญกับคำจี้ถามของต้วนหลิงเทียน ใบหน้างามชิวกังยี่ชะงักไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักค่อยกล่าวออกมา
ยามกล่าวถึงสถานที่ดังกล่าว น้ำเสียงนางยังเผยความหวาดกลัวให้เห็นเบาๆ
“ฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แค่พูดไม่เข้าหูก็ฆ่าคน?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงโดยพลันเมื่อได้ยินดังกล่าว “ที่นั่นมันเป็นที่ไหนกัน?”
“สถานที่แห่งนั้นมันตั้งอยู่ในภาคกลาง ยังตั้งอยู่ใกล้ๆ 1 ใน 3 ลัทธิอย่างลัทธิอารามทมิฬ ทว่าสถานที่แห่งนั้นกลับไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องอันใดกับลัทธิอารามทมิฬ อันที่จริงหากคนของลัทธิอารามทมิฬเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยไร้ชนชั้นอาวุโสคุ้มกัน พวกมันก็อาจจะถูกฆ่าปล้นชิงไปได้ง่ายๆ…และต่อให้เป็นลัทธิอารามทมิฬเองคิดหาตัวคนร้ายมาลงโทษก็เกรงว่าเป็นเรื่องยากกระทำ…”
ชิวมู่ชิงกล่าวสืบต่อออกมา และยิ่งพูดแววตาของนางก็ยิ่งฉายชัดออกถึงความหวาดกลัว
“ลัทธิอารามทมิฬ…”
อย่างไรก็ตาม พอได้ยินคำหนึ่งในประโยคที่ชิวมู่ชิงกล่าว แววตาท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
เรื่องที่ลัทธิอารามทมิฬ เป็น 1 ใน 3 ลัทธิ อันเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น…
เขารู้ดี!
อย่างไรก็ตามสาเหตุที่เขาได้ยินคำลัทธิอารามทมิฬแล้วทำให้สีหน้าท่าทีเขาเปลี่ยนไป ล้วนเป็นเพราะเขานึกถึงคนที่บุกรุกเข้ามายังตำหนักเมฆาครามที่ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าวันนั้น อีกทั้งคนผู้นั้นยังฆ่ากู่มี่มือขวาของบิดาเขา และไม่เพียงช่วงชิงตราผนึกมารไปจากมือเขามันยังทำร้ายทั้งหยามเขาให้อัปยศ!
อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ เซี่ยจง!
นอกจากเป็นอาวุโสแล้ว มันยังเป็นบุตรชายคนเดียวของ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ จ้าวราชสีห์ขนทอง!
“เซี่ยจง!”
ทันใดนั้นในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีเทา เป็นชายวัยกลางคนที่มีนัยน์ตากลิ้งกลอก ใบหน้าเผยความชั่วร้ายน่ากลัว
และคนผู้นั้นก็คือเซี่ยจง ที่บุกเข้ามาทำร้ายคนในตำหนักเมฆาครามวันนั้น!
ตั้งแต่วันนั้นจวบจนวันนี้ ต้วนหลิงเทียนยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้ชัดเจน ดั่งทั้งหมดพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เซี่ยจงที่บุกรุกเข้ามาในตำหนักเมฆาคราม ไม่เพียงทำร้ายเหยียดหยามและชิงตราผนึกมารไปโดยที่เขาไม่อาจต่อต้านมันได้ อีกฝ่ายยังฆ่ากู่มี่มือขวาบิดาเขาด้วย!
นอกจากนั้นยังมีองครักษ์เกราะทมิฬตกตายด้วยน้ำมือมันไม่น้อย!
เรียกว่าเขากับเซี่ยจงนั้นมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้สืบไป!
ตอนนี้พอมาได้ยินว่าสถานที่แห่งนั้นกลับตั้งอยู่ในภาคกลาง และใกล้ๆกับลัทธิอารามทมิฬที่เซี่ยจงอาศัยอยู่ ใจต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจสงบนิ่ง บังเกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมา
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ท่านเป็นอะไรไป”
ชิวมูชิงที่สังเกตเห็นว่าอารมณ์ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเปลี่ยนไป ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยสงสัย
“ไม่เป็นไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนที่ดึงสติกลับมาก็มองกล่าวกับชิวมู่ชิงพร้อมส่ายหัวทันที “มู่ชิง เจ้าช่วยเล่าเรื่องสถานที่แห่งนั้นที่เจ้าพึ่งพูดถึงให้ข้าฟังอย่างละเอียดที”
“อื๊อ”
ชิวมู่ชิงพยักหน้ารับคำอย่างเชื่อฟัง ค่อยๆกล่าวเล่าออกมาว่า “สถานที่แห่งนั้นที่ตั้งอยู่ในภาคกลางที่ข้าพูดถึง มันเรียกว่านครแห่งบาป”
ขณะที่กล่าวถึงนครแห่งบาป สีหน้าแววตาชิวมู่ชิงฉายชัดออกมาถึงความหวาดกลัวอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าตัวนางเองจะไม่เคยไปที่นั่นก็ตาม
ทว่าเพียงแค่ได้ยินผู้ใดกล่าวถึงสถานที่แห่งนั้น ก็ทำให้นางบังเกิดความหวาดกลัวแล้ว
“นครแห่งบาป?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาหดเล็ก รู้สึกสะกิดใจขึ้นมา หากแต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรเพียงตั้งใจฟังเรื่องราวจากชิวมู่ชิง
“นครแห่งบาป นั้นเรียกว่ามีมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถือกำเนิดก็ว่าได้…มันมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเก่าแก่นัก”
ชิวมู่ชิงกล่าวสืบต่อ “ว่ากันว่านครแห่งบาปถูกก่อตั้งขึ้นโดยยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนคนหนึ่ง…อีกทั้งยอดฝีมือผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัด”
“เช่นนั้นแล้วนครแห่งบาปจึงเสมือนแหล่งรวมตัวของผู้ฝึกตนพเนจรทั้งแดนดินก็ไม่ปาน…ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีพลังฝีมือร้ายกาจส่วนใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบนมักไปอาศัยอยู่ที่นั่น”
“นอกจากนั้นข้าได้ยินมาว่า…พลังฝีมือของผู้ฝึกตนพเนจรชนชั้นยอดฝีมือในนครแห่งบาปหลายคน กลับกล้าแข็งทัดเทียมกับยอดฝีมือของ 3 ลัทธิใหญ่ กระทั่งยังมีสุดยอดฝีมือของผู้ฝึกตนพเนจรบางคน ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมได้กับชนชั้นจ้าวลัทธิอันร้ายกาจ!”
“และข้าคิดว่าที่นครแห่งบาปสมควรมีสุดยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับชนชั้นจ้าวลัทธิของทั้ง 3 ลัทธิอยู่จริงๆ! หาไม่แล้วนครแห่งบาปคงมิอาจตั้งอยู่ได้อย่างไร้เรื่องราวมานานหลายปี…ทั้งๆที่อยู่ใกล้ลัทธิอารามทมิฬเช่นนี้”
ชิวมู่ชิงกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลงชั่วคราว
เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนย่อยข้อมูลที่นางกล่าว
‘นครแห่งบาป? เมืองที่ก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำมือของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน? มีมาตั้งแต่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถือกำเนิด?’
‘นอกจากนี้นครแห่งบาปนั่น แม้จะตั้งใกล้ๆลัทธิอารามทมิฬ แต่ลัทธิอารามทมิฬก็ไม่เคยดำเนินการใดๆกับมันเลย?’
‘หากเป็นแบบที่มู่ชิงว่ามาจริงๆ ถ้างั้นนครแห่งบาปอะไรนี่ ไม่พ้นมียอดฝีมือที่ทัดเทียมกับจ้าวลัทธิทั้ง 3 ดำรงอยู่แน่นอน…ไม่งั้นพวกยอดฝีมือของลัทธิอารามทมิฬจะยอมให้หมาป่ามาสร้างรังนอนข้างบ้านแบบนี้ได้อย่างไร’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ย่อยข้อมูลที่ชิวมู่ชิงกล่าวจนหมด
“ว่าต่อเถอะมู่ชิง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักชิวมู่ชิงหลังย่อยเรื่องราวเสร็จสิ้น
ชิวมู่ชิงพยักหน้ารับค่อยกล่าวสืบต่อ “จากเรื่องที่ข้าพูดไปพี่ใหญ่หลิงเทียนคงเดาได้แล้ว…ว่าในนครแห่งบาปนั้นมีผู้ฝึกตนพเนจรมากมายเพียงใด! เพราะผู้ฝึกตนพเนจรที่ไร้สังกัดพรรคพวกก็ล้วนมารวมตัวกันที่นี่ตามธรรมชาติ”
“แน่นอนว่าเมื่อมากคนก็มากความ นครแห่งบาปจึงมิอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ลงรอย ยังมีฆาตกรและผู้ฝึกตนชั่วร้ายที่หนีการตามล่าจากขุมพลังต่างๆมาพึ่งพิงอาศัยมากมาย กระทั่งคำนครแห่งบาปก็มาจากสิ่งนี้เช่นกัน…เห็นว่าตอนแรกนครแห่งบาปไม่ได้เรียกหาเช่นนี้”
“ในนครแห่งบาปสามารถพบเห็นเรื่องราวความขัดแย้งได้ทุกที่ และเรื่องนี้ก็มิอาจหลีกเลี่ยง เพราะผู้ฝึกตนพเนจรก็ไร้ใครสนับสนุนด้านทรัพยากร การแย่งชิงจึงมีให้เห็นจนชินชา…นับว่าการเข่นฆ่ากันเพื่อชิงสมบัติในนครแห่งบาปกลางถนนเสมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว การฆ่าคนคล้ายเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกมัน”
“นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า ในนครแห่งบาปนั้น หากพลังฝึกปรือยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ อย่าได้ออกจากบ้านในเวลากลางคืนเด็ดขาด…หากคิดจะออกไปไหน ก็จำต้องมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์คุ้มกัน”
“ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับนครแห่งบาป…”
ชิวมู่ชิงกล่าวจบก็มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “ถึงแม้ข้ามิรู้ว่าไฉนพี่ใหญ่หลิงเทียนกำลังมองหาสถานที่ๆคนชั่วมารวมตัวกัน…แต่ข้าคิดว่านครแห่งบาป สมควรเป็นสถานที่ๆมีคนชั่วร้ายมารวมตัวกันเยอะที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า”
“กระทั่งข้าได้ยินมาว่า…ที่นั่นมีแม้แต่มนุษย์กินคน เป็นผู้ฝึกมารที่ชั่วร้ายกินคนไม่คายกระดูก ใช้เลือดเนื้อผู้อื่นในการบ่มเพาะ…”
กล่าวถึงเรื่องนี้เสียงใสของชิวมู่ชิงก็สั่นเครือไม่น้อย สีหน้ายังซีดลงด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่านางกลัวเรื่องที่ผู้ฝึกมารเหล่านั้นกระทำมากแค่ไหน
ผู้คนกลับกินเนื้อผู้คนด้วยกันเอง กระทั่งเดียรัจฉานยังไม่กินพวกเดียวกัน!
ตราบใดที่ยังเป็นคนปกติ ย่อมไม่มีใครรับเรื่องนี้ได้
ต้วนหลิงเทียนเองก็รับไม่ได้เช่นกัน
เมื่อชิวมู่ชิงกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าเขาก็มืดลงทันใด
ในขณะเดียวกัน
เขาก็ตระหนักได้ว่า นครแห่งบาปนี้ เป็นสถานที่ในฝันสำหรับเขาตอนนี้อย่างแท้จริง…นครแห่งบาป ดั่งเมืองคนบาปแหล่งรวมพวกชั่วตัวร้าย! เขาออกจากลัทธิบูชาไฟมาก็เพื่อสิ่งนี้!!
‘ข้าตัดสินใจแล้ว! นครแห่งบาป เดี๋ยวเจอกัน!!’
ต้วนหลิงเทียนแทบจะตัดสินใจได้ในทันที
เขาจะไปนครแห่งบาปนั่นแล้วเข่นฆ่าคนชั่วกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน!
หากเป็นดั่งที่ชิวมู่ชิงพูดจริง เขาก็ไม่ขัดข้องอะไรที่จะฆ่าคนชั่วในนครแห่งบาป!
“มู่ชิง แล้วเจ้าเคยไปที่นครแห่งบาปนั่นหรือไม่?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับความคึกคักในใจให้สงบลง ต้วนหลิงเทียนก็ถามชิ่วมู่ชิงออกมาอีกครั้ง
“ไม่เคย”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงก็ส่ายหัวตอบออกมาทันที
กระทั่งนางยังคิดว่าตลอดชั่วชีวิตนี้ นางจะไม่ไปที่แบบนั้นเด็ดขาด!
“อ้าว? แล้วนี่เจ้ารู้เรื่องนครแห่งบาปมากขนาดนี้ได้ยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความแปลกใจ
ตอนที่ 2,085 : หวังยี่ฝัว!
“ก็ยามที่ข้าออกไปหาอันใดรับประทานที่เหลาอาหาร ข้าก็ฟังๆจากผู้ฝึกตนที่แวะเวียนผ่านมา…”
ได้ยินคำถามทั้งเห็นความสงสัยบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงก็ยิ้มตอบไปทันที “นอกจากนั้นข้ายังได้ยินมาว่า ผู้นำที่จัดตั้งกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรของเมืองคงหมิง ก็เป็นผู้ฝึกตนเพนจรที่มาจากนครแห่งบาปเช่นกัน!”
ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่องพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรมาแล้ว จากการนั่งฟังข้อมูลในเหลาอาหาร
เหตุผลในการดำรงอยู่ของพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรก็ง่ายดายนัก เพื่อให้เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรไม่ต้องถูกรังแก และตกเป็นเบี้ยล่างรวมถึงโดนเอาเปรียบจากเหล่าตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ของเมืองคงหมิง…
เห็นว่าผู้นำ พันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรในเมืองคงหมิงแห่งนี้ ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์เช่นกัน แถมพลังฝีมือของมันยังไม่อ่อนด้อยกว่าสุดยอดฝีมือของตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ด้วย!
ล้อกันเล่นหรือไง!
หากพลังฝีมือของมันอ่อนด้อยกว่าสุดยอดฝีมือของตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ไหนเลยมันจะคานอำนาจตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ได้?
“รายละเอียดลงลึกของนครแห่งบาปข้าย่อมมิรู้หรอก…แต่ข้าคิดว่าผู้นำพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรของเมืองคงหมิงต้องรู้เรื่องนครแห่งบาปไม่น้อยแน่ พี่ใหญ่หลิงเทียนลองไปถามมันดูสิ”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็คิดไว้แบบนั้น
“มู่ชิง”
ก่อนที่จะจากไป ต้วนหลิงเทียนที่ลุกขึ้นยืนก็หันไปมองชิวมู่ชิงพร้อมยิ้มกล่าว “มาเมืองคงหมิงครั้งนี้ได้พบเจ้า ข้ารู้สึกยินดีไม่น้อย…หวังว่าวันหน้าถ้ามีโอกาสพวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ท่านกำลังจะจากไปแล้วหรือ?”
ชิวมู่ชิงที่ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ย่อมตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะไปแล้ว ทันใดนั้นหน้างามอดไม่ได้ที่จะหมองลงทันตา
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ค่อยพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า แต่ที่ข้ามาเมืองคงหมิงเพราะคิดหาข้อมูลเรื่องสถานที่ๆมีคนชั่วอยู่เยอะๆโดยเฉพาะ…ตอนนี้ ข้าได้คำตอบแล้ว”
ชิวมู่ชิงย่อมไม่คิดไม่ฝันว่าต้วนหลิงเทียนมาเมืองคงหมิงด้วยเหตุผลนี้
ด้วยเหตุนี้หน้างามที่กำลังเศร้าหมองของนางพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่หลิงเทียน…ท่าน…ท่านคงมิได้คิดจะไป ‘นครแห่งบาป’ หรอกนะ?”
“อ่า ข้าจะไปที่นั่น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หน้าชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง “พี่ใหญ่หลิงเทียนแม้พลังฝีมือของท่านจะสูงส่ง…กระทั่งไร้เทียมทานในเมืองคงหมิง…”
“ทว่าในนครแห่งบาปนั่น ว่ากันว่ากระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ที่มีด่านพลังฝึกปรืออยู่ที่เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ยังมี! กระทั่งยังมียอดฝีมือที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนมากมายนัก…ท่าน…”
กล่าวถึงตรงนี้ชิวมู่ชิงก็กังวลจนร้อนใจหาคำใดมากล่าวต่อไม่ถูก
ได้ยินความวิตกกังวลและความเป็นห่วงที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียงของชิวมู่ชิง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย ทว่าเขาเลือกจะกล่าวออกมาตรงๆ “มู่ชิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้า…แต่นครแห่งบาป ข้ามิอาจไม่ไป!”
“ตอนนี้ภรรยากับลูกสาวตัวน้อยของข้าถูกขังไว้ในที่ๆมิอาจเห็นเดือนเห็นตะวัน…หากข้าไปนครแห่งบาปมันจะทำให้ข้าสามารถช่วยเหลือพวกนางได้เร็วที่สุด!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องที่จะช่วยลูกเมียของเขาออกมาตรงๆ
แต่เป็นธรรมดาว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ลูกเมียของเขาถูกจับขังอยู่ในลัทธิบูชาไฟ
และยังมีสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่อีกอย่างด้วย…
เนื่องจากชิวมู่ชิงเปลี่ยนมาเรียกหาเขาว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนแทนคุณชาย อีกทั้งจากสีหน้าแววตาและท่าทางของนางที่เผยออกมาให้เห็นยามอยู่ต่อหน้าเขา
ไม่ต้องให้ชิวมู่ชิงกล่าวบอกออกมาตรงๆ เขาก็รู้ได้ว่านางบังเกิดความประทับใจในตัวเขาเข้าแล้ว…กระทั่งอาการขวยเขินเอียงอายยามคุยกับเขานั้น บ่งบอกให้รู้ว่านางไม่พ้นต้องมีใจให้เขาเป็นแน่ ไม่ว่าจะตกหลุมรักเขาแล้วก็ดี หรือยังพึ่งชอบพอเขาก็ดี แต่เขาก็ไม่อยากจะให้ความหวังใดๆกับนาง
ที่เขาเลือกจะกล่าวถึงภรรยาและลูกสาวออกมา ก็เพื่อให้นางตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆ!
จริงอยู่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางนับเป็นสตรีที่ดีนางหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยหน้าตาหรือจิตใจ ต้วนหลิงเทียนในฐานะผู้ชายก็มีหวั่นไหวถูกใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงภรรยาทั้ง 2 คน และสตรีคนรักอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ที่หายตัวไป เขาก็ไม่มีใจเหลือเผื่อแผ่ไปชอบพอหญิงอื่น
บุรุษสามารถหวั่นไหวหลงใหล แต่มิอาจมากรัก!
ต้วนหลิงเทียนเองก็ยึดถือเรื่องนี้เป็นหลักการ และ ‘พยายาม’ ปฏิบัติตามหลักการนี้มาโดยตลอด!
“ท่าน…ท่านมีภรรยาแล้วหรือ…”
ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด สีหน้าชิวมู่ชิงเปลี่ยนเป็นซีดลงทันใดเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ดวงตาดั่งสารทฤดูยามนี้ยิ่งมายิ่งหม่นหมอง คล้ายจะสูญเสียประกายไปหมดสิ้น
ตอนนี้ท่าทางของชิวมู่ชิงช่างซึมเซาหมดอาลัยชวนให้ผู้คนพลอยหดหู่ไปด้วยนัก
“อือ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าค่อยกล่าวออกมาอีกครั้ง “เอาล่ะ ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว…มู่ชิง ชายชราทั้ง 3 นั่นเป็นของขวัญที่ข้าตั้งใจทิ้งไว้ให้เจ้าก่อนจากไป…”
“ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ในเมืองคงหมิงแห่งนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหน้าไหนมาบีบคั้นบังคับให้เจ้ากระทำในสิ่งที่เจ้าไม่อยากกระทำอีก…”
สิ้นเสียงกล่าว ไม่ทันที่ชิวมู่ชิงจะรู้สึกตัว ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายจากไปต่อหน้าชิวมู่ชิง หายไปจากเขตที่พักตระกูลชิวไปในชั่วพริบตา…
ด้วยความเร็วของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงย่อมไม่อาจมองเห็นได้แม้แต่เงา
ต้วนหลิงเทียนหายตัวไปแบบนี้ ชิวมู่ชิงก็รู้สึกใจหายอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายนางก็สงบอารมณ์ได้
ในหูของนางพลันมีเสียงต้วนหลิงเทียนดังซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมืองคงหมิงแห่งนี้เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหน้าไหนมาบีบคั้นบังคับให้เจ้ากระทำในสิ่งที่เจ้าไม่อยากกระทำอีก…”
วาจานี้นับว่ากระทบใจของชิวมู่ชิงให้บังเกิดความหวั่นไหวอย่างแท้จริง
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัว นางยังต้องกังวลถึงเรื่องที่จะต้องแต่งกับตงฟางฉู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…
ทว่าหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหานี้ให้นางได้อย่างหมดจด! ยังมอบองครักษ์ที่มีพลังฝีมือสูงส่งให้นางถึง 3 คนด้วยกัน! ทำให้นากลายเป็นผู้ที่มีขุมพลังกล้าแข็งและมีอำนาจสูงที่สุดในเมืองคงหมิงคนหนึ่ง!!
ตอนนี้ฐานะของนางในตระกูลชิวได้เหนือบิดาของนางที่เป็นประมุขไปแล้ว กระทั่งอาวุโสหลักที่นางเคารพมากที่สุด นางก็ยังถือว่ามีอำนาจเหนือกว่า…
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าตอนนี้ชิวมู่ชิงกลับหันหน้าไปมองฟ้าไกลทิศทางหนึ่ง ยังเป็นทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนจากไป แววตาของนางยิงมาก็ยิ่งเผยประกายเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าในใจครุ่นคิดอันใดอยู่
แน่นอนว่าสาเหตุที่นางสามารถตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเหินร่างจากไปทางนี้ เพราะนางสังเกตเห็นทิศทางการเอนล้มของบุปผามากมายที่ปลูกไว้ในลานว่าง กระทั่งจนบัดนี้พวกมันยังโบกไหวๆ ราวถูกกสายลมแรงพัดพา…
ต้วนหลิงเทียนก็เช่นกัน คนดั่งสายลมพัด…ผ่านมาแล้วก็จากไป หายลับไปต่อหน้าต่อตาชิวมู่ชิงอย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะหายลับไปต่อหน้าต่อตา ผ่านมาแล้วก็จากไปดั่งสายลมไร้ร่องรอย ทว่าชิวมู่ชิงก็จดจำทุกสิ่งอย่าง และตราตรึงร่างชุดม่วงเอาไว้ในใจดั่งตราประทับที่มิอาจลบเลือน
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคงไม่คิดไม่ฝัน
ว่าอีกไม่นานเขาจะได้พบเจอชิวมู่ชิงอีกครั้ง และยังไม่ใช่ในเมืองคงหมิงแห่งนี้…
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวในภายหลัง
ส่วนในปัจจุบันนั้น ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างออกจากเขตที่พักตระกูลชิว ก็มุ่งหน้าไปยังฐานของพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจร เพื่อตามหาตัวผู้ฝึกตนพเนจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน ที่เป็นผู้ก่อตั้งทันที
…
หอเมฆมรกต…นับเป็น 1 ในหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคงหมิงแห่งนี้ และยังเป็นกิจการที่ทำกำไรได้สูงล้ำของตระกูลเฝิงอีกด้วย..
สถานที่แห่งนี้มีทั้งนางโลมที่เป็นเลิศเรื่องดนตรีทั้งร่ายรำยึดถือหลักขายศิลปะไม่ขายตัว รวมถึงนางโลมที่ขายบริการและมีรูปโฉมงดงามเป็นที่สุดอยู่…ผู้ใดก็ตามที่ร่ำรวยมั่งคั่งและมีฐานะสูงส่งในเมืองคงหมิง หากจะเที่ยวก็มักจะแวะเวียนมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งคราวเพื่อผ่อนคลาย…
ไม่ว่าจะชมดูสาวงามเต้นรำก็ดี ฟังเพลงกระทั่งหาคนร่ำสุราสนทนาคลายเหงาก็ดี หรือแม้แต่เสพย์สุขกับหนั่นเนื้อรับความหฤหรรษ์จากสัมพันธ์ข้ามคืนก็ดี หอเมฆมรกตแห่งนี้ล้วนตอบทุกโจทย์ของท่านได้อย่างครบสมบูรณ์
หอเมฆมรกตแห่งนี้ไม่เพียงหรูหรามีระดับ ยังกว้างใหญ่ไพศาล มีหอห้องเรือนพักพร้อมลานส่วนตัวปลูกสร้างเอาไว้มากมาย
ณ ศาลาริมสระของเรือนพักหลังหนึ่ง ปรากฏร่างชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาคนหนึ่งกำลังนั่งๆนอนๆบนเก้าอี้เอนที่สร้างจากหินอ่อนอย่างดีอันตั้งอยู่ริมศาลาข้างหนึ่ง
ข้างกายของมันทั้งซ้ายขวาปรากฏสตรีรูปร่างหน้าตาจิ้มลิ้มไร้ตำหนิคอยปรนนิบัติอยู่ 2 คน
สตรีนางหนึ่งกำลังเด็ดองุ่นออกจากพวง ใช้มือน้อยคอยปอกเปลือกองุ่นอย่างละเมียดละไม ยื่นป้อนถึงปากมันอย่างช้าๆทีละลูกๆ
ส่วนสตรีอีกนางนั้นกำลังบีบนวดหน้าแข้งของมันอย่างแข็งขัน การเคลื่อนไหวแลดูอ่อนโยนแช่มช้อย เมื่อมองลงมาก็เห็นเนินเนื้อขาวกระจ่างแต่พองาม เนื่องเพราะชุดเสื้อผ้าของพวกนางที่สมควรเปิดเผยก็เปิดเผย ที่สมควรปกปิดก็ปกปิดเชิงกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้อย่างเย้ายวนนัก
หากทว่าสายตาและความสนใจของผู้ที่นั่งๆนอนๆบนเก้าอี้เอนหินอ่อน หาได้อยู่ที่สตรีที่ปรนนิบัติทั้งสองไม่ กลับเป็นเวทีขนาดกลางๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางศาลา
เวทีกลางศาลาที่ว่านับว่าตกแต่งอย่างประณีตไม่น้อย ขอบเวทีด้านหนึ่งปรากฏสตรีร่างบางกำลังดีดกู่ฉินอย่างคล่องแคล่วว่องไว นิ้วนางยามรัวดีดสายสร้างสำเนียงพริ้งเพราะ ยังรัวจนเห็นเป็นเงาเลือน
ถัดมาบนเวทีนั้นก็มีนางรำที่กำลังร่ายรำประกอบจังหวะเพลงอยู่ 9 คน ทุกท่วงท่าของพวกนางนับว่าแช่มช้อยงดงามคล้อยตามท่วงทำนอง ที่อ่อนโยนก็แลดั่งสายน้ำไหล ที่แผ่วพริ้วก็ดั่งสายลมปลิวพัด นับว่าต่อให้คนที่ไม่รู้จักศิลปะการร้องรำทำเพลงอันใดมาก่อนเลยมาดูชม ก็ถึงกับต้องชมดูอย่างเพลินตาจนลืมเลือนเวลา
“จึกๆๆ…ผู้นำหวังช่างรู้จักเสพย์สุขและใช้ชีวิตอย่างเกษมสำราญเสียจริง เป็นอย่างไรบ้างเล่า…ที่เมืองคงหมิงแห่งนี้ความเป็นอยู่ของผู้นำหวังใช่ดีกว่าที่นครแห่งบาปมากหรือไม่?”
ทว่าทันใดนั้นเองพลันปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย พาลให้ผู้คนในศาลาริมสระแห่งนี้ถึงกับตกใจอยู่บ้าง ชายวัยกลางคนที่นั่งๆนอนๆอยู่ถึงกับลุกพรวดขึ้นมา ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
สำหรับสตรีที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมันทั้ง 2 เมื่อพบเหตุเปลี่ยนแปลงก็หวาดกลัวจนหน้าเสียทันที
“ผู้ใด?!”
ชายวัยกลางคนที่ลุกขึ้นมา เร่งหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง ตะโกนถามออกเสียงดัง จนเหล่านางรำทั้ง 9 บนเวทีไม่เว้นสตรีผู้บรรเลงเพลงก็แตกตื่นกันไม่น้อย ต่างนิ่งค้างไปด้วยความหวาดกลัว ด้วยรู้ดีว่าเรื่องราวบัดนี้ผิดท่าแล้ว…
วูบ
ทันใดนั้นเอง ปรากฏสายลมแผ่วเบาหอบหนึ่งพัดโชยเอื่อยๆในศาลา เป็นร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่ไม่ทราบว่าไปอยู่บนขื่อศาลาตั้งแต่เมื่อไหร่โรยตัวลงมายืนบนพื้นด้วยท่าทีสบายๆไม่รีบไม่ร้อน
เป็นต้วนหลิงเทียนที่ออกจากตระกูลชิวมาก่อนหน้านี้นั่นเอง!
เมื่อต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวที่นี่ได้ เช่นนั้นฐานะของชายวัยกลางคนที่กำลังเพลิดเพลินใจกับเสียงเพลงนางรำ และสตรีที่ปรนนิบัติอยู่เมื่อครู่ก็ถูกเปิดเผยแล้วเป็นธรรมดา!
ผู้นำกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรแห่งเมืองคงหมิง หวังยี่ฝัว!
“เจ้าที่แท้เป็นผู้ใด ไฉนต้องมารบกวนเวลาพักผ่อนชมนางรำของข้าด้วย?”
มองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ราวกับปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของหวังยี่ฝัวอัปลักษณ์ปั้นยากนัก อย่างไรก็ตามด้วยฐานะที่ไม่ใช่ชั่วในเมืองทั้งมีสตรีมากมายชมดู มันยังปั้นหน้าไม่หวาดกลัว ชักหน้าชักตาขึงขังเอาเรื่อง เสียงที่กล่าวถามยังเข้มหนักดุดัน
วู้ม!
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่หวังยี่ฝัวกล่าวถาม พลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็ปะทุออกเกรี้ยวกราด พาลให้รอบกายบังเกิดคลื่นพลังปั่นป่วน พริบตาก็ก่อเกิดเป็นวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่ง!
“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”
ชั่วพริบตาต้วนหลิงเทียนก็ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆ เพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันในร่างให้กล้าแข็งจนถึงขีดสุด!
เรื่องราวทั้งหมดล้วนบังเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ว่องไวเกินกว่าที่หวังยี่ฝัวจะตอบสนองอันใดได้ทัน!
“ฮึ่ม!”
หลังจากที่หวังยี่ฝัวตอบสนองเรื่องราว การเคลื่อนไหวของมันก็แลดูเป็นธรรมชาตินัก สองเท้าฉีกออกกระจายน้ำหนักให้ยืนหยัดมั่นคง มือสะบัดเรียกดาบใบกว้างมากระชับถือเอาไว้ แผ่นหลังงอลงเล็กน้อย ท่วงท่าสภาวะกลายเป็นพร้อมรบพุ่งในชั่วพริบตา มวลพลังทั่วร่างยังถูกเร่งเร้าโคจรให้ปกคลุมไปทั่วกาย
พลังเซียนต้นกำเนิดขุมหนึ่งยังหลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ดาบใบกว้างปานธารเชี่ยว ใบดาบพลันเปล่งแสงพลังเรืองรอง แผ่ซ่านกลิ่นอายพลังอันคมกล้าดุร้ายออกมากดดันในบรรยากาศ! จากแรงกดดันดังกล่าว…เผยให้รู้ชักว่าดาบใบกว้างเล่มนี้ ที่แท้คือศาสตราเซียนร้อยอาคมเซียนเล่มหนึ่ง!!
“ดาบร้อยอาคมเซียนหรือ? ไม่เลวนี่…”
ขณะเดียวกันกกับที่หวังยี่ฝัวเร่งเร้าสภาวะพร้อมรบ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆย่างเท้าก้าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ปากเอ่ยคำออกเสียงเบาไปพร้อมๆกัน
ทว่าพริบตาที่กล่าวจบคำ และเท้าของต้วนหลิงเทียนที่ยกย่างย่ำจรดลงพื้น…
ทันใดนั้นเอง!
ฟั่ฟฟฟฟ!!
บังเกิดเสียงหวีดหวิวของกกระบี่แหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้นสั้นๆเข้าหูหวังยี่ฝัว เสียงนี้ยังแผ่วเบาปานเสียงกระซิบของภูตผี พาลให้หวังยี่ฝัวตื่นตระหนกตกใจ กระทั่งยังสะเทือนสะท้านไปทั้งกาย!
เพราะเพียงฟังมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเสียงตวัดกระบี่ ยังเป็นการตวัดกระบี่อันฉับไว! สุดที่สายตามันจะจับร่องรอยกระบี่ได้ทัน! ลูกตาของมันหดหยี ใบหน้าเผยความหวาดผวาเสียขวัญ!!
แฉ็ก!!
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ลูกตาของหวังยี่ฝัวหดหยี เสียงดังเบาๆอีกเสียงพลันดังเข้าหูมัน
เสียงนี้ฟังแล้ว ยังคล้ายเสียงมีดหั่นเต้าหู้ยามลงครัวอยู่บ้าง…!
ตอนที่ 2,086 : มุ่งหน้าสู่ภาคกลาง
ตอนนี้หวังยี่ฝัวตกใจจนหัวใจแทบวาย…
เนื่องเพราะดาบร้อยอาคมเซียนอันแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยพลังเซียนต้นกำเนิดของมันกลับถูกฟันจนหักครึ่งในกระบี่เดียว! แถมรอยตัดยังราบเรียบปานถูกตัดด้วยวัตถุที่คมจนเหลือเชื่อ!!
พอนึกถึงเสียงตวัดกระบี่เมื่อครู่ หนังศีรษะหวังยี่ฝัวถึงกับชาด้านไร้ความรู้สึกขึ้นมาทันที!
ตอนนี้ยามมองไปยังชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง ลูกตาหวังยี่ฝัวอดไม่ได้ที่จะฉายความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“กรี๊ด”
“กรี๊ด”
……
แทบจะพร้อมๆกันกับที่ดาบร้อยอาคมเซียนของหวังยี่ฝัวถูกฟันขาดกลางหักเป็นสองท่อน สตรีที่คอยปรนนิบัติหวังยี่ฝัวทั้ง 2 รวมถึงนางรำและนักดนตรีก็ถึงกับกรีดร้องออกมาเสียงหลงด้วยความกลัว
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเถอะ…ข้ามีเรื่องจะหารือกับผู้นำหวัง”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวขึ้นมาเสียงเบา
เมื่อวาจานี้ของเขาดังขึ้นในศาลา สตรีที่คอยปรนนิบัติหวังยี่ฝัวทั้ง 2 รวมถึงเหล่านางรำและนักดนตรีก็ค่อยๆผ่อนคลายลงหลายส่วน ความตื่นตระหนกหวาดกลัวในแววตาจืดจางลงทันใด ด้วยตระหนักว่าผู้มามิใช่โจรอำมหิตฆ่าคนไม่ละเว้น
อย่างไรก็ตามถึงแม้พวกนางจะได้ฟังวาจาคล้ายดั่งราชโองการอภัยโทษของต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่พวกนางก็ยังไม่กล้าออกไปไหน
สองตางามใสทั้งหลายล้วนเบนไปตกยังร่างหวังยี่ฝัวเป็นสายตาเดียวกัน เพื่อรอให้หวังยี่ฝัวอันเป็น ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ของหอเมฆมรกตอนุญาต!
หวังยี่ฝัวเห็นฉากนี้ก็แทบอาเจียนเป็นเลือด!
สตรีเหล่านี้ล้วนกลายเป็นตัวโง่งมกันหมดแล้วหรือไร! ไม่เห็นหรือเจ้าหนุ่มชุดม่วงหน้ามันคนนี้ร้ายกาจแค่ไหน!!
ตัวตนเช่นนี้กล่าวสั่งออกมาแต่พวกนางยังกล้าไม่ฟัง! หากพวกนางตกตายไปเพราะความโง่ก็ช่าง แต่ตอนนี้พวกนางกลับมองขออนุญาตจากมัน…ใยมิใช่การทำร้ายมันแล้ว?
“ใต้เท้าให้พวกเจ้าออกไป ไฉนยังไม่รีบไป!?”
จังหวะนี้หวังยี่ฝัวมีโมโหนัก มันระเบิดคำออกมาเสียงดังจนทำให้เหล่าสตรีหวาดกลัวขวัญหนีดีฝ่อ เร่งวิ่งจากไปกันจ้าละหวั่น
พริบตาต่อมาในศาลาริมสระกระทั่งภายในสวนหลังเรือนชั้นดีแห่งนี้ ก็คงเหลือแต่ต้วนหลิงเทียนกับหวังยี่ฝัวเพียงสองคน
“ใต้เท้าเชิญนั่ง…”
โทสะบนใบหน้าหวังยี่ฝัวสลายหายไปทันทีเมื่อหันมามองต้วนหลิงเทียน ยังปั้นหน้าแย้มยิ้มผายมือกล่าวเชิญให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนในศาลาด้วยท่าทีสุภาพเรียบๆร้อยๆ
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เกรงใจอะไรก้าวอาดๆไปยังโต๊ะทันที
เรื่องที่หวังยี่ฝัวไม่กลัวตอนห็นเขาครั้งแรก เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเผยความแข็งแกร่งออกมาทันที เพื่อทำให้หวังยี่ฝัวตื่นตระหนกตกใจและสิ้นความคิดแข็งข้อต่อต้าน
ด้วยพลังเซียนสุริยันที่ถูกยกระดับด้วยเวทย์พลังอย่างปฐมเวทย์กลืนกิน พร้อมกระบี่นิลสวรรค์ เขาเพียงฟันกระบี่ออกไปธรรมดาๆ ก็สามารถฟันทำลายดาบร้อยอาคมเซียนในมือหวังยี่ฝัวให้หักขาด 2 ท่อนได้ง่ายดาย
ต่อหน้ากกระบี่นิลสวรรค์แล้ว ดาบร้อยอาคมเซียนก็เปราะบางราวเต้าหู้!
เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากฉากเมื่อครู่
กระบี่ร้อยอาคมเซียนนั้นฟันดาบร้อยอาคมเซียนให้ขาดกลางได้ราวกับไร้แรงต้าน ปานหั่นเต้าหู้!
ภายใต้สายตาสายตาหวาดระแวงทั้งขลาดกลัวของหวังยี่ฝัว ต้วนหลิงเทียนก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากนั่งลงไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เด็ดองุ่นในจานเบื้องหน้ามาเอาเข้าปาก หลังเคี้ยวอยู่ไม่กี่ทีก็คายเมล็ดองุ่นออกมา “องุ่นนี่อร่อยดีนี่นา”
“หากใต้เท้าชมชอบ ครั้งหน้าข้าจักขอให้ทางหอเมฆมรกตเตรียมไว้ให้ใต้เท้าให้มาก”
ได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน หวังยี่ฝัวก็ยิ้มกล่าวออกมาด้วยท่าทางเรียบๆร้อยๆ
เทียบกับหวังยี่ฝัวตอนเร่งเร้าพลังสภาวะจนดุดันเหี้ยมหาญก่อนหน้า กับหวังยี่ฝัวที่แลดูเรียบร้อยเชื่อฟังตอนนี้แล้ว…มันช่างแตกต่างกันราวกับคนละคน!
เหตุผลที่ไฉนก่อนและหลังต้วนหลิงเทียนลงมือ หวังยี่ฝัวถึงมีท่าทีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ย่อมเป็นเพราะมันตระหนักถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา!
ตอนแรกมันไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝีมือเหนือมัน
ทว่ามาตอนนี้มันตระหนักได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่ามัน ยังแข็งแกร่งมากพอจะฆ่ามันได้ในชั่วพริบตา!
ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก
เมื่อครู่หากเป้าหมายการฟันของกระบี่ไวอันเหลือเชื่อนั่นไม่ใช่ดาบร้อยอาคมเซียนแต่เป็นลำคอของมัน เกรงว่าคอมันคงได้ถูกปลิดปลงไปง่ายดายราวปลิดขั้วแตงสุก
นึกถึงกระบี่เมื่อครู่อีกครั้ง ร่างหวังยี่ฝัวยังสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นั่งสิ”
ต้วนหลิงเทียนมองหวังยี่ฝัว บอกให้มันนั่งลง
อย่างไรก็ตามหวังยี่ฝัวที่ตอนนี้ได้รับทราบพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนแล้ว ไหนเลยจะกล้านั่งลงตรงหน้าให้เป็นการตีตัวเสมอต้วนหลิงเทียนอยู่อีก? มันรีบกล่าวออกมาอย่างสุภาพนอบน้อม “ใต้เท้าข้าน้อยไม่กล้าตีตัวเสมอท่าน ให้ข้ายืนเช่นนี้เถอะ”
หวังยี่ฝัวไม่อยากนั่ง ก็เป็นธรรมดาที่เขาคร้านจะบังคับ เลือกล่าวออกมาตรงๆว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ เพราะคิดจะถามเรื่องราวอะไรบางอย่างจากเจ้า”
“มิทราบใต้เท้าอยากรู้เรื่องใด หากข้าน้อยล่วงรู้จักบอกท่านทั้งหมดไม่คิดปิดบัง!”
พอได้ยินเป้าหมายการมาของต้วนหลิงเทียน หวังยี่ฝัวอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ตอนแรกมันยังกังวลจนขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องมันโดยเฉพาะ และจากพลังฝีมืออีกฝ่ายคิดฆ่ามันก็คงลำบากแค่ยกมือ! พริบตามันก็ไปเยือนเมืองผีแล้ว!!
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยอยู่ในนครแห่งบาปมาพักหนึ่งงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“ใช่แล้วใต้เท้า”
แม้มันจะสงสัยไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนจะถามเรื่องนี้ทำไม แต่หวังยี่ฝัวก็พยักหน้าตอบคำไปตามตรง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรเลย ผู้คนส่วนใหญ่ของเมืองคงหมิงก็รู้กันหมด
กระทั่งตัวมันเองยังเอาเรื่องนี้มา ‘อวด’ ผู้อื่นบ่อยครั้งด้วยซ้ำ
เพราะสุดท้ายแล้วนครแห่งบาปก็ไม่ใช่สถานที่ๆทุกคนจะกล้าเข้าไป
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจ ก็ไม่อาจประมาทได้ยามอยู่นครแห่งบาป เพราะหากไม่ระวังเผลอไปล่วงเกินคนที่ไม่อาจล่วงเกินเข้าล่ะก็ คงได้ทิ้งร่างไร้วิญญาณนอนทอดกายที่นครแห่งบาปตลอดไป
“เล่าเรื่องราวนครแห่งบาปเท่าที่เจ้ารู้ออกมาให้ข้าฟัง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ใต้เท้า…ท่านคิดไปนครแห่งบาปหรือ?”
สองตาหวังยี่ฝัวทอประกายเรืองวูบขึ้นมาด้วยความสงสัย
มันย่อมเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเบื้องหน้า ไม่ได้ถามเรื่องนี้อย่างขอไปที แต่สมควรเพราะอยากไปที่นั่นจึงมาหาข้อมูล
“ที่ข้าถามเจ้าไม่ได้ยิน?”
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงเพิกเฉยไม่ตอบคำถามของหวังยี่ฝัว ยังย้อนถามออกมาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
เห็นท่าทีต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปในฉับพลัน พาลให้หวังยี่ฝัวรู้สึกหนาวเหน็บจับใจ มันไม่กล้ารอช้าหรือถามซักไซ้อะไรอีกต่อไป เร่งกล่าวตอบออกมาอย่างร้อนรน “ขะ…ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดของนครแห่งบาปให้ใต้เท้าฟัง…”
หลังจากนั้นหวังยี่ฝัวก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวของนครแห่งบาปให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างกล้าๆกลัวๆ
มันเล่าตั้งแต่ต้นกำเนิดนครแห่งบาป ไปจนถึงสถานการณ์และเรื่องราวภายในของนครแห่งบาป แน่นอนว่าเป็นข้อมูลเก่าหลายปีแล้ว
…
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันก็เคยอาศัยอยู่ในนครแห่งบาปพักหนึ่ง ความรู้ความเข้าใจของหวังยี่ฝัวที่มีต่อนครแห่งบาปย่อมมากมายอย่างที่ชิวมู่ชิงเทียบไม่ติด เพราะอย่างไรนางก็แค่ฟังเรื่องราวจากผู้อื่นมาเท่านั้น
ผ่านไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับนครแห่งบาปจากหวังยี่ฝัวไม่น้อย ยังเป็นข้อมูลที่ถือว่ามีประโยชน์สำหรับเขามากมาย
“ผู้นำหวังไฉนเจ้าถึงจากนครแห่งบาปและมายังเมืองคงหมิงแห่งนี้เล่า คงไม่ใช่แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสงบหรอกนะ?”
หลังหวังยี่ฝัวกล่าวเล่าเรื่องราวของนครแห่งบาปให้ต้วนหลิงเทียนทราบหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
เพราะตอนที่หวังยี่ฝัวกล่าวเล่าเรื่องนครแห่งบาป มันไม่ได้บอกเหตุผลที่มันออกมาจากที่นั่น
ด้วยพลังฝึกปรือที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนของหวังยี่ฝัว คิดอยู่ในนครแห่งบาปถึงแม้จะไม่อดสูถึงขั้นเป็นแค่เบี้ยตัวเล็กตัวน้อย แต่ก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนธรรมดาๆ
ในนครแห่งบาปมันไม่ได้ยิ่งใหญ่มีหน้ามีตาเหมือนอย่างในเมืองคงหมิงแห่งนี้
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ยอมเป็นหัวไก่ดีกว่าหางหงส์!
หวังยี่ฝัวในปัจจุบันก็คล้ายๆกัน
แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจ
ว่านครแห่งบาปที่สามารถดึงดูดผู้ฝึกตนเพนจรได้ทั่วทุกสารทิศได้แบบนี้ คิดจะยืนหยัดอยู่ที่นั่นได้จำต้องมีเขี้ยวเล็บไม่น้อย
หาไม่แล้วใครยังอยากจะมาอุดอู้อยู่ในเมืองเล็กๆ ทำราวกับตั้งตัวเป็นไต้อ๋องแห่งขุนเขาแบบนี้….
และหากจะบอกว่าหวังยี่ฝัวมาลงหลักปักฐานที่เมืองเล็กๆนี่เพราะคิดเสพย์สุขอย่างเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรน้ำไหลลงที่ต่ำ คนขวนขวายหมายปีนขึ้นที่สูง
“ย่อมมิใช่เช่นนั้น”
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน หวังยี่ฝัวก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงอับจนไร้หนทาง “เป็นเพราะข้าได้ล่วงเกินคนผู้หนึ่งในนครแห่งบาป…และเบื้องหลังคนผู้นั้นก็มีกองกำลังสนับสนุนอยู่ ทำให้ข้าต้องหนีจากนครแห่งบาปมาอย่างไม่เต็มใจ…แม้เมืองคงหมิงแห่งนี้จะดีและทำให้ข้าใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่หากไม่ไร้หนทางไหนเลยข้าจะเลือกอยู่ในที่ๆมิอาจทำให้ข้าก้าวหน้า ยากยกระดับพลังฝึกปรือได้เช่นนี้…”
“ฟังจากที่เจ้าว่า…หรือสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของนครแห่งบาปนั่นมันดีกว่าเมืองคงหมิงแห่งนี้มาก?”
ได้ยินคำของหวังยี่ฝัวต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“มิใช่แค่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะหรอกใต้เท้า…”
หวังยี่ฝัวส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อด้วยสองตาทอประกายวูบวาบ “มีผลประโยชน์มากมายในนครแห่งบาป ข้าเองก็มิรู้จะอธิบายให้ท่านทราบอย่างไรดี…เอาเป็นว่าหากใต้เท้าไปถึงที่นั่นท่านย่อมทราบได้ด้วยตัวเองทันที”
แม้หวังยี่ฝัวจะทำราวกับ ‘ขายใบตราส่งของ’ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ถามอะไรมันเพิ่ม
(ขายใบตราส่งของ = อุบไว้ไม่ยอมเล่าเรื่อง ,อุบเรื่องที่สำคัญที่สุดเอาไว้ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจ / มาจากสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ที่จะรู้ว่าของเป็นอะไรก็ต้องเอาใบตราส่งของไปเบิกที่เมืองหลวงเท่านั้น)
เพราะเขาเองก็กำลังจะเดินทางไปนครแห่งบาปอยู่แล้ว
“ขอบคุณมากผู้นำหวัง…”
หลังได้รับทราบเรื่องราวที่อยากรู้จากหวังยี่ฝัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจากไปทันที และก่อนที่จะไปเขาก็ไม่ลืมขอบคุณหวังยี่ฝัวอีกด้วย
“ใต้เท้าเกรงใจไปแล้ว”
ได้รับคำขอบคุณจากต้วนหลิงเทียนแบบนี้ หวังยี่ฝัวรู้สึกยินดีไม่น้อย
หลังจากนั้นภายใต้สายตาที่มองไปด้วยความยำเกรงของหวังยี่ฝัว แผ่นหลังไวๆต้วนหลิงเทียนที่รีบร้อนจากไปก็หายลับไปจากสายตาของหวังยี่ฝัว
“ให้ตายเถอะ ที่แท้มันเป็นผู้ใดในใต้หล้ากันแน่…”
ต้วนหลิงเทียนจากไปไม่ทันไรหวังยี่ฝัวก็ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อีกครั้ง หากแต่ในแววตายังเต็มไปด้วยความสงสัยจับใจ
มันเองก็อยู่เมืองคงหมิงมานานหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันได้เจอยอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงระดับนี้แวะมาเยือนเมืองคงหมิง!
เพราะสุดท้ายแล้วเมืองคงหมิงก็เป็นแค่เมืองเล็กๆในชายแดนตอนใต้ของภาคตะวันตกเท่านั้น ต่อให้จะมียอดฝีมือเดินทางผ่านไปบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจจะแวะพักสักเท่าไหร่
หลังออกจากหอเมฆมรกตแล้วต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า พุ่งร่างออกจากเมืองคงหมิงทันที
หลังออกจากเมืองคงหมิงไปได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็หันมองกลับไปยังเมืองคงหมิงเบื้องหลังสองตาทอประกายวูบหนึ่ง ไม่ทราบในใจคิดอะไร
“ปีกอีกาทองคำ!”
ครู่ต่อมาแผ่นหลังพลันปรากฏปีกเพลิงทีคล้ายจะลุกโชนโชติช่วงแผดเผาทุกสรรพสิ่ง! เขาถึงกับใช้เวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวระดับสูง ปีกอีกาทองคำ เพื่อเดินทาง!!
ปีกอีกาทองคำคู่ใหญ่สะบัดโบกลงทันใด
ครู่ต่อมา
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
เสียงแตกระเบิดของอากาศดังสนั่นลั่นก้องฟ้าเป็นชุด! ร่างต้วนหลิงเทียนที่สำแดงเวทย์พลังปีกอีกาทองคำก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น