War sovereign Soaring The Heavens 2059-2065

 ตอนที่ 2,059 : ตบ!!


 


‘ปู้หงงั้นเหรอ?’


 


หลังได้ยินคำทักของศิษย์ที่แท้จริงที่มาด้วยกัน ทันใดนั้นลูกตาของต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที


 


ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน ทว่าชื่อเสียงของมันเขาได้ยินมานานแล้ว


 


ปู้หง ศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ อันดับ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือ สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็น 1 ใน 3ศิษย์ที่แท้จริงที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3เปลี่ยน!


 


นอกจากนั้นมันยังเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ ลำดับที่ 2 ในบรรดา 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์


 


ขณะเดียวกันมันยังเป็นถึงศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์ และเป็นศิษย์พี่ของเวินเยี่ยน อดีตอันดับที่ 9 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงอีกด้วย


 


เหตุผลที่ต้องกล่าวว่าเป็นอดีต เพราะต้วนหลิงเทียนไม่เพียงเอาชนะนางได้ พลังฝีมือยังสูงถึงอันดับที่ 4ในทำเนียบยอดฝีมือ เช่นนั้นอันดับของทุกคนตั้งแต่อันดับ 4 ในกาลก่อนล้วนถดถอยลงไป 1 ลำดับ


 


สำหรับอดีตอันดับสุดท้ายในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง ก็จำต้องหลุดอันดับไปอย่างช่วยไม่ได้


 


ตอนนี้เวินเยี่ยนก็อยู่ในอันดับ 10 ของทำเนียบยอดฝีมือ อีกทั้งสถานะภาพของนางยังง่อนแง่นล่อแหลมนัก เพราะนางสามารถหลุดออกจาก 10 อันดับแรกได้ทุกเวลา


 


‘อันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง?เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน’


 


หลังจากรับทราบว่าชายหนุ่มที่ลอยห่างจากเวินเยี่ยนไม่ไกลก็คือปู้หง ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที เขายังตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีแน่


 


ไม่พ้นมานี่เพื่อคิดล้างแค้นให้เวินเยี่ยน


 


เขาเองก็เตรียมใจรับเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้แล้ว


 


‘แต่ไม่คิดจริงๆว่าปู้หงคนนี้จะกลับมาพอดีกันกับวันที่ข้าทำงานเสร็จแบบนี้’


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าปู้หงสมควรพึ่งกลับมาถึงลัทธิบูชาไฟได้สดๆร้อนๆไม่ผิดแน่ ไม่งั้นด้วยฐานะอีกฝ่ายคงไม่ต้องรอถึงวันนี้เพื่อมาเล่นงานเขา


 


“ศิษย์พี่ เจ้านั่นคือต้วนหลิงเทียน!”


 


เวินเยี่ยนที่ลอยร่างอยู่ไกลๆ ชี้มือชี้ไม้มาทางต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันไปฟ้องร้องปู้หงด้วยท่าทางน่าสงสาร “วันนั้นมันกลับกล้าตบข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าผู้คน จนข้ามิอาจสู้หน้าผู้ใดได้แล้ว”


 


“หากมันทำข้าอับอายขายหน้าคนเดียวคงมิเป็นไร…แต่การที่มันทำกับข้าเช่นนั้นเห็นชัดว่า ไม่เพียงแต่สร้างความอับอายให้ข้า ยังทำให้ท่านและท่านอาจารย์พลอยอับอายขายหน้าด้วย! เพราะหากคนนอกที่ไม่รู้เรื่องราว มาได้ยินเรื่องที่ข้าถูกคนรังแกเช่นนี้ คงคิดว่าท่านที่เป็นศิษย์พี่ข้าแท้ๆแต่กลับมิอาจปกป้องข้าได้…”


 


“กระทั่งท่านอาจารย์ที่เคารพก็ไม่พ้นถูกผู้คนลอบปรามาสในใจ ว่าไร้อำนาจปกป้องดูแลศิษย์…”


 


เสียงกล่าวของเวินเยี่ยนยิ่งมายิ่งน่าสงสาร นางยังเสแสร้งร่ำไห้ออกมาอย่างไม่ละอาย กล่าวฟ้องปู้หงพร้อมกับกระตุ้นโทสะอีกฝ่ายให้เดือดดาลมากยิ่งขึ้น


 


“ศิษย์น้องหญิงอย่าได้กังวล…วันนี้เจ้ามีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วยทั้งคน ข้าจะทวงความเป็นธรรมให้เจ้าเอง!”


 


ได้ยินเสียงกล่าวด้วยความคับแค้นใจทั้งแลเห็นศิษย์น้องหญิงร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ปู้หงถึงกับลนลานรับมือไม่ถูกอยู่บ้าง


 


และเมื่อมันละสายตาจากเวินเยี่ยนไปจับจ้องร่างต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่ไกลๆ แววตายังฉายชัดถึงจิตสังหารอันล้นปรี่ ราวกับมันพร้อมกลืนกินเลือดเนื้อร่างตรงหน้าในหนึ่งคำ!


 


เห็นได้ชัดว่าคำฟ้องร้องด้วยการเสแสร้งแกล้งออเซาะของเวินเยี่ยนได้ผลไม่น้อยแล้วจริงๆ สามารถกระตุ้นให้ปู้หงบังเกิดความคับแค้นจนเปี่ยมล้นไปด้วยจิตฆ่าฟันได้ขนาดนี้


 


เพราะในลัทธิบูชาไฟแห่งนี้ สำหรับปู้หงแล้วมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่สำคัญสำหรับมันที่สุด หนึ่งก็คืออาจารย์ผู้อบรมสอนสั่งมันมา ส่วนอีกคนก็คือเวินเยี่ยน ศิษย์น้องของมัน


 


ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงหน้าใหม่ที่มันไม่เคยเจอมาก่อนเบื้องหน้า ไม่เพียงแต่รังแกทำร้ายศิษย์น้องมันให้ได้รับความอัปยศเท่านั้น ยังเสมือนไม่เห็นหัวมันกับอาจารย์ของมันอีกด้วย


 


นี่ยังไม่ให้มันไม่โกรธได้หรือ!


 


เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในจัตุรัสกลางเอง ต่างลอยขึ้นฟ้าแห่มาชมดูเรื่องราวกันเป็นพรวน!


 


ตั้งแต่ตอนที่ปู้หงตะโกนเรียกต้วนหลิงเทียนดังลั่น ทุกคนก็ตื่นเต้นกันไม่น้อย


 


พวกมันทราบเรื่องการกลับมาของปู้หง กระทั่งทราบวันที่ต้วนหลิงเทียนจะทำงานเสร็จ จึงพากันมารออยู่ที่จัตุรัสกลางแต่แรก หมายรอชมเรื่องราวบันเทิงเริงใจ และพวกมันก็ไม่ผิดหวังจริงๆ


 


“อั้ยหยา…ศิษย์พี่ปู้หงท่าทางจะมีโทสะยิ่ง”


 


“ยังไม่ให้มีโทสะได้อย่างไรไหว? ศิษย์น้องอย่างเวินเยี่ยนถูกรังแกถึงขนาดนั้น ในฐานะศิษย์พี่หากไม่โกรธต้วนหลิงเทียนสิถึงจะแปลก”


 


“ใช่…หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้าศิษย์พี่ปู้หงไม่ได้อยู่ในลัทธิบูชาไฟ ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่คงไปเอาเรื่องต้วนหลิงเทียนแต่แรกแล้ว ไม่รอให้เรื่องราวมันผ่านไปเนิ่นนานเป็นเดือนเช่นนี้หรอก และด้วยพลังฝีมือของศิษย์พี่ปู้หงข้ากลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่คู่มือ!”


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! ศิษย์พี่ปู้หงจะอย่างไรก็เป็นถึงอันดับ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟเรา ไม่กี่ปีที่แล้วก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน แล้วอันดับที่ 4 อย่างศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะเอาอะไรไปสู้ได้เล่า”


 


“ดูเหมือนว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนจะถึงคราวเคราะห์แล้วสินะ…บางทีพลังฝีมือมันอาจจะสูง แต่อาศัยพลังฝีมือเพียงเท่านี้ยังไม่พอจะรับมือศิษย์พี่ปู้หง”


 


….


 


เหล่าศิษย์ที่เหินร่างจัตุรัสกลางมาดูชมเรื่องราวอยู่ด้านหลังเวินเยี่ยนกับปู้หงสนทนากันอย่างออกรส ฟังจากเสียงกล่าวคล้ายพวกมันจะไม่ค่อยดูดีต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่


 


แน่นอนว่ายังมีเสียงเหล่าศิษย์ที่เห็นต่างดังขึ้นประปราย


 


“หึ! ข้าจำได้ว่าในกาลก่อนไม่ว่าจะเป็น หยางเหวิน หรือเวินเยี่ยน ที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเผชิญหน้าด้วย ล้วนมิมีผู้ใดคิดว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะสู้ได้ทั้งสิ้น…สุดท้ายเป็นไร? หน้าหงายเงิบกันไปเป็นแถบ หมดกระเป๋ากันไปไม่ทราบกี่คน!!”


 


“ใช่ๆ! เจ้าพวกนั้นยังโดนศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนตบหน้าไม่พอหรือไร?”


 


“ข้าเองก็ยอมรับว่าก่อนหน้าเคยดูเบาศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมาก่อน…แต่ทุกครั้งผลที่ออกมาเรียกว่าทำให้ข้าหน้าร้อนผ่าวไม่ต่างใดจากถูกศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนตบฉาดใหญ่ทุกที!”


 


“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนนั้นมิอาจใช้สามัญสำนึกของพวกเราหยั่งวัดได้จริงๆ…”


 


“ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีใครดูดีศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน…แต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในตัวศิษย์พี่ยิ่ง! วันนี้ไม่พ้นศิษย์พี่ต้องสร้างวีรกรรมบทใหม่แน่! เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนหรือ…รอดูชมเถอะว่ามันจะถูกตีอย่างไร”


 


……


 


เสียงประปรายที่ดังขึ้นค้านความเห็นผู้คนนั้น ล้วนเป็นเหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น อนิจจาด้วยความที่พวกมันมีน้อยคน เสียงกล่าวของพวกมันจึงเป็นดั่งคลื่นลูกเล็กที่ถูกมรสุมกลืนกลบ


 


เพราะตอนนี้คนที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องสิ้นท่าด้วยน้ำมือปู้หงนั้นมีมากมายนัก


 


ขณะเดียวกัน ร่างเวินเยี่ยนกับปู้หงก็ค่อยๆเหินลอยเข้ามาหยุดลอยห่างต้วนหลิงเทียนไม่ไกล


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้ายังจดจำความอัปยศที่เจ้ายัดเยียดให้ข้าวันนั้นได้หรือไม่?”


 


สายตาเยียบเย็นของเวินเยี่ยนถลึงมองต้วนหลิงเทียนไม่วาง ปริปากกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงดุร้าย


 


“ยัดเยียดความอัปยศ? ยัดเยียดความอัปยศอะไร?”


 


ทว่าเจอเสียงถามด้วยความดุร้ายของเวินเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนกลับย้อนถามกลับไปตรงๆ


 


ในวาจาคล้ายไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย


 


ใบหน้าเวินเยี่ยนที่เดิมก็เต็มไปด้วยความแค้น พลันแดงขึ้นด้วยโทสะ ตะคอกออกเสียงเย็น “ต้วนหลิงเทียน! เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับงั้นหรือ? คิดว่าแสร้งทำเป็นจำไม่ได้เช่นนี้แล้วจะรอดตัว?”


 


“นี่เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอียงคอโค้งคิ้ว ถามออดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ยังกล่าวถามเพิ่มเติมอีกว่า “ข้าไปยัดเยียดความอัปยศอะไรให้เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ไฉนข้าไม่เห็นจะเคยจำได้?”


 


ได้ยินคำกล่าวถามด้วยทีท่าไม่รู้สึกรู้สา เวินเยี่ยนแทบจุกอกตายด้วยโทสะ ตอนนี้สองตาท่าทางของนางช่างเย็นชานัก ปานจะแช่ผู้คนโดยรอบให้เป็นน้ำแข็ง “เจ้าอย่าได้บอกข้าว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าเจ้าตบหน้าข้าไปหลายครั้งหลายคราต่อหน้าผู้คน…หรือเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่านั่นมิใช่การยัดเยียดความอัปยศให้ข้า?”


 


เมื่อจำต้องกล่าวย้อนทวนความทรงจำอันเลวร้าย เสียงของเวินเยี่ยนกลายเป็นหนักอึ้ง ยังคับแค้นทั้งเกลียดชังอย่างถึงที่สุด!


 


กล่าวจบคำใบหน้านางไม่เพียงบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ยังเต็มไปด้วยความดุร้ายปานยักษ์มาร!!


 


เพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้ทันทีว่าตอนนี้เวินเยี่ยนโกรธถึงขนาดไหน!


 


“อ้อที่แท้เจ้าหมายถึงเรื่องนั้นนี่เอง…หากเจ้าไม่พูดขึ้นมาข้าก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”


 


ได้ยินคำกล่าวของเวินเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็ยักคิ้วขึ้นทำหน้าทำตาราวพึ่งนึกออก ค่อยกล่าวต่ออย่างไม่แยแส “นี่เจ้าคงไม่สำคัญตัวเองผิด คิดว่าที่ข้าตบหน้าเจ้าไป 2-3 ทีนั่น เป็นข้ายัดเยียดความอัปยศให้เจ้าหรอกนะ…”


 


กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนพลันหยุดลงชั่วคราว ค่อยกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงระอา “ข้าไม่เคยคิดจะลดตัวลงไปยัดเยียดความอัปยศอะไรให้เจ้าทั้งนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหน้าตาเจ้ามันขัดลูกนัยน์ตาข้าก็เท่านั้น…”


 


ท้ายประโยคต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงรังเกียจ และนั่นทำให้โทสะของเวินเยี่ยนถึงกับพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หน้านางแดงฉานขึ้นมาร่างสั่นเทิ้มไป พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน


 


โอ! อา! สวรรค์!!


 


เหล่าศิษย์ที่เหินร่างขึ้นมาติดตามดูชมเรื่องราว ล้วนอดไม่ได้ที่จะอุทานกันออกมาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงขีดสุด


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ดุร้ายเกินไปแล้ว! ยังกล้าพูดออกมาได้ว่าเวินเยี่ยนไม่คู่ควรให้ลดตัวลงไปยัดเยียดความอัปยศ!”


 


“ให้ตายเถอะ…หรือต้วนหลิงเทียนมันมิรู้จริงๆว่าข้างเวินเยี่ยนนั่นคือศิษย์พี่ปู้หง?”


 


“จึกๆๆ…พวกเจ้าดูเถอะ ตอนนี้สีหน้าศิษย์พี่ปู้หงแทบจะดุร้ายกว่ายักษ์มาร! ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้าถือดีต่อหน้าศิษย์พี่ปู้หงเช่นนี้…ทว่านี่ก็บอกได้เช่นกันว่าต้วนหลิงเทียนอาจไม่รู้จักศิษย์พี่ปู้หงจริงๆ!”


 


“ข้าว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสมควรยังไม่รู้ตัว ว่ามันได้เตะเอาตอเหล็กเข้าให้แล้ว!”


 


……


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์กล่าวออกความเห็นกันอย่างออกรส สีหน้าปู้หงก็มืดดำปานจะคั้นออกได้เป็นน้ำหมึก


 


“เจ้าคือต้วนหลิงเทียน?”


 


ลูกตาปู้หงเผยจิตฆ่าฟันล้นปรี่ มองถามต้วนหลิงเทียนเพื่อยืนยันออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางปานอสรพิษที่พร้อมจะฉกผู้คนได้ทุกเวลา


 


ทว่าคำถามของปู้หง ต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะเพิกเฉย เพียงหันไปมองเวินเยี่ยนกล่าวออกเสียงเบา “เวินเยี่ยน นี่เจ้าคิดว่า…ตอนนี้เจ้ามีผู้ช่วยแล้ว เลยไม่ต้องกลัวข้าอีกสินะ?”


 


“แล้วเจ้าจะทำไม?”


 


เวินเยี่ยนไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนกล้ากระทั่งเมินเฉยศิษย์พี่ของนาง ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย แต่ยังตอบตำต้วนหลิงเทียนกลับไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


ที่นางรู้สึกตื่นเต้น ก็เพราะนางพบว่าโทสะของศิษย์พี่นางยามนี้พุ่งขึ้นจนแทบถึงจุดระเบิดแล้ว


 


นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายอนาถแน่!


 


ในสายตาของนาง


 


ต้วนหลิงเทียนกล้าที่จะเมินเฉยศิษย์พี่ของนางเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตาย!


 


“เจ้ามั่นใจขนาดนั้น?”


 


ได้รับคำตอบยืนยันจากปากเวินเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งหัวเราะไปได้ไม่ทันไร อยู่ๆเขาก็หยุดลง สองตาแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น จู่ๆร่างเขาก็พุ่งทะยานออกไปฉับไวโดยที่เวินเยี่ยนไม่ทันได้ตั้งตัว


 


“เช่นนั้นข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ วันนี้ต่อให้เจ้ามีศิษย์พี่คุ้มกะลาหัว แต่หากข้าต้วนหลิงเทียนอยากตบเจ้า ข้าก็ตบเจ้าได้!”


 


และในขณะที่ร่างต้วนหลิงเทียนพุ่งวาบไปหาเวินเยี่ยนปานอัสนี เสียงค่อนแคะพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงอึ้งไปไม่น้อย


 


“เจ้า! รนหาที่ตาย!!”


 


ปู้หงที่อึ้งไปกับเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน พอรู้สึกตัวหน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย ขณะเดียวกันก็พุ่งร่างเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างรีบร้อน


 


เห็นได้ชัดว่ามันคิดกันไม่ให้ต้วนหลิงเทียนทำร้ายเวินเยี่ยนได้


 


เพี๊ยะ!!


 


อย่างไรก็ตามเสียงตบดังชัดถนัดถนี่พลันลั่นก้องฟ้า หน้าเวินเยี่ยนถึงกับสะบัดหันอย่างแรง แก้มครึ่งซีกเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานช้ำเลือด ปูดบวมขึ้นมาทันตาเห็นรอยมือเด่นหรา ปู้หงไม่อาจขัดขวางอะไรได้ทัน


 


จังหวะนี้เหล่าศิษย์ชั้นยอดทั้งศิษย์ที่แท้จริงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงกับตะลึงงันปากอ้าค้างกันแล้วจริงๆ


 


พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ


 


ว่าอยู่ต่อหน้า ปู้หง อันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง ต้วนหลิงเทียนยังจะกล้าทำถึงขนาดนี้ ลงมือฉับไวปานฟ้าผ่าตบหน้าเวินเยี่ยนต่อหน้าปู้หงอย่างที่ไม่ทันมีใครตั้งตัว! ยังตบเสียเต็มแรงจนหน้าเวินเยี่ยนบวมเป็นแก้มหมู!


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 


……


 


พริบตานี้ศิษย์ของดินแดนศักดิสิทธิ์ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!


 


ืศิษย์หลายคนยังมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนาสงสาร


 


“ตาย…!!”


 


เสียงคำรามด้วยโทสะดังขึ้น ดึงสติของเหล่าศิษย์ให้กลับไปสนใจร่างปู้หงที่กำลังพุ่งทะยานเข้ามาปานฟ้าผ่าทันที


 


และตอนนี้ร่างปู้หงก็อยู่ห่างต้วนหลิงเทียนแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น!


ตอนที่ 2,060 : ปู้หง รากวิญญาณสีคราม!


 


เมื่อร่างปู้หงห่างจากต้วนหลิงเทียนนไม่กี่ก้าว มวลพลังอันสุดไพศาลของมันก็ปะทุแผ่พุ่งออกมาโถมถันใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด มองไปคล้ายอสูรกายตัวเขื่องกำลังอ้าปากหมายกลืนกินสิ่งมีชีวิตตัวกระจ้อย!


 


“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


“ปราการเต่าทมิฬ!”


 


ทันใดนั้นพลังเซียนสุริยันของต้วนหลิงเทียนก็เร่งเร้าใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน วังวนพลังดูดรั้งอุบัติขึ้นสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบในชั่วพริบตา เร่งเร้าระดับพลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนให้บรรลุถึงจุดสูงสุดในชั่วอึดใจ


 


หลังจากนั้นพลังเซียนสุริยันพลันทะลักออกทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง พวกมันควบรวมก่อเกิดเงาร่างเต่าตัวเขื่อง ครอบคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ตรงกลาง!


 


ถึงแม้จะเป็นเพียงเงาร่างที่บังเกิดจากพลังเซียนสุริยัน แต่ก็แลดูมั่นคงแข็งแกร่งประหนึ่งเต่าเข้มแข็งจริงๆ


 


และนี่คือเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬอันได้ชื่อว่าเป็นเวทย์พลังป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิบูชาไฟ ปราการเต่าทมิฬ!


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 



 


และทันทีที่เงาร่างเต่าทมิฬปรากฏ มวลพลังมหาศาลของปู้หงก็โถมถันลงมาถึงพอดิบพอดี เสียงปะทะทำลายของพลังดังกังวาลไปทั่ว!


 


พร้อมกันกับเสียงสั่นปานฟ้าลั่น คลื่นพลังสะท้อนก็กระแทกซัดออกไปเป็นวง ก่อเกิดเป็นมรสุมลมแรงกวาดพัดออกไปทั่วแผ่นฟ้า


 


ครืนน! ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม!


 



 


คลื่นพลังสะท้อนระลอกแล้วระลอกเล่าซัดกำจายออกมาไม่หยุด มรสุมลมแรงก่อเกิดลูกแล้วลูกเล่า พาลให้ชุดของเหล่าศิษย์ที่เหินร่างชมดูกระพือสะบัดจนแทบปลิดปลิว


 


เหล่าศิษย์ชั้นยอดที่พลังฝึกปรือ่อนด้อยถึงกับปลิวละลิ่วไปดั่งว่าวสายป่านขาด ด้วยไม่อาจแข็งขืนต้านกระแสลมแรงที่กวาดมาพร้อมคลื่นพลังสะท้อนอ่อนๆได้ไหว


 


และภายใต้สายตาของทุกคน ตอนนี้ปราการเต่าทมิฬที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก ก็เริ่มบังเกิดรอยปริร้าว คล้ายมิอาจจะต้านทานรับพลังทำลายของปู้หงได้อีกนาน


 


แต่แน่นอนว่ามันสามารถป้องกันได้นานเกินพอสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว


 


‘สมแล้วที่เป็นเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน อาศัยพลังปะทุในชั่วพริบตายังรุนแรงได้ถึงขนาดนี้’


 


ในขณะที่ลักษณ์พลังจากเวทย์พลังป้องกันอย่างปราการเต่าทมิฬกำลังจะพังทลาย ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคิดในใจอย่างชื่นชม


 


ต้องทราบด้วยว่าปัจจุบันพลังฝึกปรือของเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นเหมือนก่อนที่เขาจะไปทำงานที่หอคุมอีกต่อไป


 


เพราะตลอดเดือนที่ผ่านมาเมื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น เขาก็ไม่เถลไถลใดอื่น เร่งกลับมาปิดด่านบ่มเพาะอยู่แต่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติตลอด


 


หลังจากบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็งมาตลอดทั้งเดือน ด่านพลังของเขาก็บังเกิดความก้าวหน้าไปถึง 2 ขีดขั้น ทะลวงจากเซียนปฐพีขั้นต้นจนมาถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญได้สำเร็จ! และด้วยอานุภาพของพลังเซียนสุริยันก็ทำให้พลังของเขาเทียบได้กับเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญ


 


เมื่อรวมกับการหนุนเสริมจากปฐมเวทย์กลืนกิน ก็ทำให้พลังฝึกปรือของเขาทัดเทียมได้กับเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน!


 


นอกจากนี้เวทย์ป้องกันพลังอย่างปราการเต่าทมิฬ ยังบรรลุขั้นตอนความสำเร็จไปอีกขั้นหลังพยายามตีความเพิ่มเติมมาตลอดเดือน


 


เรียกว่าเทียบกับวันนั้น วันนี้พลังป้องกันขอมันเหนือกว่าเดิมมาก!


 


อย่างไรก็ตาม แม้พลังป้องกันจะเด่นล้ำ แต่ก็ไม่อาจหยุดการโจมตีด้วยโทสะของปู้หงได้


 


และต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจว่านี่ยังไม่ใช่พลังทั้งหมดขจองปู้หง


 


ปู้หงนั้น…ยังไม่ไม้แต่จะใช้ศาสตรารอยหรือพันอาคมเซียนอะไรด้วยซ้ำ


 


“เขตแดนหมื่นกระบี่!”


 


ในขณะที่ปู้หงกำลังจะทำลายปราการเต่าทมิฬของเขาจนแหลก ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าอะไรปะทุพลังเซียนสุริยันอีกขุมใช้ออกด้วยเขตแดนหมื่นกระบี่ทันที!


 


วู้มมม!!


 


เขตแดนหมื่นกระบี่ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา ห่อหุ้มร่างต้วนหลิงเทียนและปู้หงเอาไว้ด้านใน


 


ท่านพลังสีทองทรงกลมสว่างจ้ากินรัศมี 100 หมี่นั้นปกปิดสายตาของทุกผู้คนไม่เว้นเวินเยี่ยนที่เร่งรุดล่าถอยออกไปเมื่อครู่ได้อย่างหมดจด ไม่มีใครสามารถแลเห็นเรื่องราวภายในเขตแดนทรงกลมสีทองสว่างเจิดจ้ากลางหาวได้เลย


 


“เขตแดนรึ?”


 


เมื่อตกอยู่ในเขตแดนที่ต้วนหลิงเทียนกางออกในชั่วพริบตา ปู้หงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาคราหนึ่งหลังมองเรื่องราวโดยรอบ จากนั้นมันก็ปะทุพลังเหี้ยมหาญออกมาทั่วร่าง


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 



 


กระบี่พลังสีทองนับหมื่นเล่มในเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียน พุ่งไปดั่งห่าพิรุณพยายามทะลวงร่างปู้หงให้จงได้ ทว่าทั่วร่างปู้หงกลับมีม่านพลังทรงกลมฉาบคลุมเอาไว้ดั่งลูกแก้ว สามารถต้านทานรับกระบี่พลังของเขาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน


 


‘เวทย์พลังป้องกัน…’


 


เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหยีตา จากลักษณะพลังที่ร้อยเรียงถักทออย่างละเอียดจนกลายเป็นเข้มแข็งยากทำลายของม่านพลังทรงกลมที่ปู้หงใช้ออกคลุมกาย สมควรเป็นวทย์พลังป้องกันไม่ผิดแน่


 


ยิ่งไปกว่านั้น เวทย์พลังป้องกันที่ปู้หงใช้ คงไม่ใช่เวทย์พลังป้องกันขั้นกลางแน่นอน!


 


“ต้วนหลิงเทียนแม้เวทย์พลังป้องกันของข้าจักไม่ร้ายกาจเท่าปราการเต่าทมิฬของเจ้า…แต่อย่างไรมันก็เป็นเวทย์พลังป้องกันขั้นสูง! อาศัยเพียงพลังของเขตแดนเจ้ามิมีวันทำลายการป้องกันของข้าได้!!”


 


ปู้หงกล่าวออกเสียงเย็น “ข้าต้องยอมรับว่าพลังฝีมือเจ้ามิใช่ชั่วจริงๆ…น่าเสียดายที่เจ้าต้องมาเจอกับข้า ปู้หง!”


 


“ถึงวันนี้ข้าจักมิอาจฆ่าหรือทำให้เจ้าพิการได้เพราะกฏของลัทธิบูชาไฟ…แต่ข้าจะทุบตีศักดิ์ศรีเจ้าให้ยับต่อหน้าผู้คน! ไม่เพียงแต่จะตบหน้าเจ้าพันครั้ง ยังจะให้เจ้าคลานลอดหว่างขาข้า!!”


 


กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าปู้หงก็ฉายแววอำมหิต “ถึงตอนนั้นข้าอยากจะรู้นัก…ว่าเจ้าต้วนหลิงเทียนจะยังกล้าเชิดหน้าชูตาสู้หน้าผู้ใดในลัทธิบูชาไฟได้อีก!!”


 


“และทั้งหมดที่เจ้ากำลังจะพบเจอล้วนแล้วแต่เป็นราคาที่เจ้าต้องชดใช้ ที่เจ้ากล้ารังแกศิษย์น้องหญิงของข้า!!”


 


ปู้หงกล่าว ราวกับตัดสินไปแล้วว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนต้องโดนดีแน่


 


“โฮ่? ตบหน้าข้าพันครั้ง แถมยังจะให้ข้าลอดหว่างขาเจ้าด้วย?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใด ประกายเย็นเยียบหนึ่งเรืองวาบขึ้น


 


ทันใดนั้นจิตสังหารอำมหิตขุมหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างต้วนหลิงเทียน เป้าหมายจิตอำมหิตครานี้ย่อมเป็นปู้หง


 


“เช่นนั้นให้ข้าดู…ว่าเจ้าปู้หงมีปัญญาสามารถหรือไม่!”


 


เสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนรอบนี้ช่างเยียบเย็นนัก ทำให้บรรยากาศโดยรอบคล้ายจะเย็นตัวลงหลายองศา


 


“หึ! ข้าจะให้เจ้าเห็นชัดถนัดตา ไม่นานนักหรอก!”


 


ได้ยินคำท้าทายของต้วนหลิงเทียน พลังทั่วร่างปู้หงพลันปะทุออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นปรากฏปราณโลหิตแผ่ซ่านออกมาทั่วกาย คล้ายมันกำลังจะใช้เวทย์พลังประจำแท่นบูชามังกรครามแล้ว!


 


เวทย์พลังประจำแท่นบูชามังกรคราม ก็คล้ายๆกับเวทย์พลังร่างมังกรคุ้มคลั่งของเผ่าพันธุ์มังกร


 


เมื่อใช้เวทย์พลังร่างมังกรคุ้มคลั่ง ไม่ว่าจะพลัง ความเร็วจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก


 


แต่แน่นอนว่าผลที่ตามมาหลังใช้…ก็ไม่น้อย!


 


“เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว…”


 


ก่อนที่ปู้หงจะทันได้ใช้ออกด้วยเวทย์พลังประจำแท่นบูชามังกรครามแล้วเสร็จ  ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ราวกับผู้มีเปรียบที่ผลการประลองครั้งนี้ตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว


 


ครู่ต่อมาปู้หงที่เร่งเร้าพลังจนปราณโลหิตแพ่พุ่งออกมามหาศาล และกำลังจะใช้เวทย์พลังประจำแท่นบูชามังกรครามได้สำเร็จจนทั่วร่างเริ่มปรากฏปราณโลหิตดั่งสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆ แปลบปลาบน่าเกรงขาม!!


 


ทว่าทันใดนั้นเอง


 


ในห้วงเวลาชั่วพริบตาก่อนที่เวทย์พลังปู้หงจะสำแดงผล


 


ฟั่ฟฟ!!


 


เสียงแหวกอากาศฉับไวปานเสียงกระซิบของภูตผีพลันสะท้อนอยู่ในหูของปู้หง พาลให้ทั่วร่างของมันบังเกิดอาการหนาวสะท้าน ใจสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ!


 


ยังผลให้เวทย์พลังหนุนเสริมประจำแท่นบูชามังกรครามของมันจำต้องล้มแหลว ปราณโลหิตที่เร่งเร้าสลายหายไปในอากาศ!


 


ฉัวะ!


 


ฉัวะ!


 


ฉัวะ!


 



 


ทันใดนั้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เสียงทะลวงฟันเลือดเนื้อพลันดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ร่างปู้หงถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งแขนทั้งขาปวดร้อนเสมือนถูกเหล็กไฟแนบนาบทั้งชำแรกลงไป


 


เปลี่ยนที่ 3 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นเรียกว่า เปลี่ยนสู่เนตรวิญญาณ


 


เมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนแล้ว ไม่เพียงพลังเซียนต้นกำเนิดจะเพิ่มพูนเท่านั้น แต่ดวงตาจะกลายเป็นเนตรวิญญาณสามารถ มองเห็นในสิ่งที่เดิมไม่อาจแลเห็น


 


เนตรวิญญาณนั้นทำให้เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนขึ้นไป มีสายตาแหลมคมขึ้นมากมายนัก ราวกับจะสามารถมองสรรพสิ่งได้กระจ่างชัด


 


และในขณะเดียวกันที่ความเจ็บปวดแล่นวาบขึ้นจากหลายจุดทั่วร่าง ปู้หงก็ดึงสติกลับมาจากอาการตื่นตระหนก และทันได้เห็นเงากระบี่ที่วูบไหวฉับไวเหินกลับไปหาต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะอันตรธานหายไปในอากาศ!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบมันเห็นเพียงเงาเลือนเหมือนกระบี่เท่านั้น แต่ไม่อาจเห็นกระบี่ได้ชัดเจน


 


ถึงแม้มันจะไม่อาจแลเห็นตัวกระบี่ได้ชัด ทว่าปู้หงยังสามารถตระหนักได้ทันทีว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดา!


 


“ยะ…แย่แล้ว!”


 


ในขณะที่ปู้หงมัวแต่สนใจเงากระบี่ แสงสว่างเจิดจ้าหนึ่งพลันทิ่มแทงแยงตา เมื่อมองไปก็พบว่าตอนนี้แผ่นหลังของต้วนหลงเทียนปรากฏปีกเพลิงร้อนระอุใหญ่โต คนพุ่งทะยานลัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำปานเส้นแสง!


 


มันเองก็คิดตอบโต้ไปตามสัญชาตญาณป้องกัน ทว่าทันใดนั้นเองความเจ็บปวดพลันแล่นวาบทิ่มแทงศีรษะอีกครั้ง ทำให้การเคลื่อนไหวตอบสนองของมัน คล้ายเชื่องช้ายากลำบากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว


 


พริบตานี้มันตระหนกได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บแล้ว


 


กระทั่งอาการบาดเจ็บยังสาหัสนัก!


 


“อำนาจจิต?”


 


ในขณะที่ร่างต้วนหลิงเทียนทะยานลัดฟ้ามาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ปู้หงสามารถสังเกตเห็นได้ชัดว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะออกกระบวนท่าใดๆ กลับมีบางสิ่งยิงพุ่งออกมาจากลูกตาของต้วนหลิงเทียน เป็นพลังวิญญาณที่ควบแน่นเป็นมังกรตัวจิ๋ว!


 


มังกรตัวจิ๋วนั่นพุ่งมาฉับไวปานเส้นแสง ก่อนที่จะทะลวงเข้าหว่างคิ้วของมัน และมุ่งตรงไปยังดวงจิตทันที!


 


แม้ดวงจิตและวิญญาณของปู้หงจะแข็งแกร่ง จนสามารถทนรับการโจมตีวิญญาณของต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ได้ง่ายดาย แต่มันก็ยังหวาดกลัวต่อการโจมตีอย่างฉับพลันนี้ของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย ทำให้ยามมังกรจิ๋วกระแทกเข้าดวงจิต สติของมันพลันวูบไปชั่วขณะหนึ่ง!


 


และในพริบตาที่สติมันวูบดับไป ม่านพลังที่จำต้องใช้พลังวิญญาณคงสภาพก็จางลงทันตา!


 


ซู่มมมม!!


 


ชั่วพริบตาดั่งอัสนีวาบลั่น สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายอำมหิต มือขวาสะบัดตบฟาดออกไปฉับไวปานเส้นแสง ตบฟาดลงไปยังม่านพลังของปู้หงทันที!


 


ตูมมมมม!!


 


ทันใดนั้นม่านพลังของปู้หงก็แตกสลายปานกระจก!


 


จากนั้นพลังฝ่ามือที่ยังหลงเหลืออยู่กว่าครึ่ง ก็กระแทกเข้าหน้าผากปู้หงอย่างแรงจนสติมันวูบดับไปโดยสมบูรณ์ทันที! เห็นคนสิ้นสติไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันเคลื่อนมือไปกอบกุมลำคอ คว้าร่างมันเอาไว้ไม่ให้ร่วงตกไปตายด้านล่าง!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว! ตอนนี้ด้านนอกเขตแดนของข้า…มีใครที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าเซียนสวรรค์ 3 เฝ้าดูอยู่หรือไม่?”


 


หลังตบเข้ากลางหน้าผากปู้หงจนอีกฝ่ายหมดสติไปได้สำเร็จ ต้วนหลิงเทียนก็เร่งส่งเสียงถามผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที


 


ขณะที่ถามน้ำเสียงยังฉายชัดถึงความกังวลทั้งลุ้นระทึกไม่น้อย


 


“ไม่”


 


ครู่ต่อมาผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบคำ


 


พอได้ยินคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนถึงกับระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะมองไปยังปู้หงที่สิ้นสติในมือ “ผู้เฒ่าหั่วช่วยข้ากลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของมันที”


 


จังหวะที่กล่าวประโยคนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเจิดจ้านัก!


 


ปู้หงนั้นนอกจากเป็นอันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงแล้ว ยังติดอันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียน!


 


และด้วยความที่มันสามารถเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ หมายความว่ามันยังถือเป็นรุ่นเยาว์!


 


ในฐานะอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 2 ของลัทธิบูชาไฟ พรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงย่อมไม่ใช่ชั่ว!


 


และต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินมาก่อน ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงนั้นเป็นสีคราม!


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงบังเกิดความคิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงเสีย จึงทุบให้มันสิ้นสติไปแบบนี้!


ตอนที่ 2,061 : ชายชราชุดเขียว!


 


‘หากข้าได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงมันล่ะก็…ต่อให้รากวิญญาณของข้ายังไม่อาจพัฒนาไปเป็นรากวิญญาณสีครามได้ทันที แต่อย่างน้อยๆมันต้องกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มได้แน่!’


 


ยิ่งมองปู้หงที่สิ้นสติในมือมากเท่าไหร่ สองตาต้วนหลิงเทียนยิ่งทอประกายสว่างจ้ามากขึ้นเท่านั้น


 


‘ถึงตอนนั้นพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า ก็ห่างจากรากวิญญาณสีครามอีกแค่ก้าวเดียว!’


 


คิดถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนพลันคึกคักขึ้นมาอักโข ตื่นเต้นนัก!


 


หลังจากนั้นดว้ยมีความช่วยเหลือในการนำร่องของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หง และเริ่มใช้ปฐมเวทย์พลินกืนสูบพลังของมันเพื่อเสริมสร้างพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา!


 


เมื่อครู่เขาได้ขอให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยสำรวจดูแล้วว่ามีใครมีพลังฝึกปรือเหนือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3เปลี่ยนดูอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มี ก็หมายความว่าไม่มีใครสามารถมองผ่านเขตแดนหมื่นกระบี่ของเขาเข้ามาได้ เพราะผู้ที่จะสามารถมองผ่านเขตแดนหมื่นกระบี่ของเขาได้มีแค่เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนขึ้นไปเท่านั้น


 


หากมีคนมองผ่านเขตแดนหมื่นกระบี่เขามาได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่สะดวกกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หง


 


ในเมื่อรู้แล้วว่าไม่มีเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนดูอยู่เลย ต้วนหลิงเทียนก็ไร้สิ่งใดให้กังวล


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงจนเกลี้ยงเกลา


 


และเป็นดั่งที่คาดเอาไว้ หลังกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของปู้หงเสร็จเรียบร้อยแล้ว รากวิญญาณของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม! ห่างจากรากวิญญาณสีครามอีกก้าวเดียวเท่านั้น!!


 


‘ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าก่อนข้าออกจากลัทธิบูชาไฟยังจะได้รับของขวัญส่งท้ายแบบนี้…ด้วยรากวิญญาณสีน้ำเข้มนี่ ขอเพียงกลืนกินผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินเข้มอีกสักคนสองคน พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าต้องกลายเป็นรากวิญญาณสีครามได้แน่!’


 


คิดถึงจุดนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง และยากจะสงบลงได้อยู่นาน


 


‘ปู้หงหากเจ้าคิดจะโทษใครก็โทษที่เจ้ามีตาแต่ไร้แววเองเถอะ…หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นบ้าไปซะก่อนนะหลังพบว่าเจ้ากลายเป็นขยะตัวหนึ่งไปแล้ว…’


 


ต้วนหลิงเทียนมองปู้หงในมือด้วยสายตาอ่อนโยนค่อยกล่าวเบาๆในใจ


 


ในแววตาต้วนหลิงเทียนไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความรู้สึกผิดที่กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณปู้หงและทำลายอนาคตชั่วชีวิตของมันอยู่เลย


 


ไม่ใช่ปู้หงมันบอกจะทำลายศักดิ์ศรีเขาก่อนรึไง ยังจะให้เขาคลานลอดหว่างขามันด้วย?


 


ดี! เช่นนั้นก็ให้เขาทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของมันเถอะ!!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ผู้ที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์รากวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ!


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็คลายเขตแดนหมื่นกระบี่ลง เมื่อจบเรื่องราวแล้วก็ได้เวลาที่เขาต้องกลับเสียที


 


เมื่อเขตแดนหมื่กระบี่คลายตัว ทุกผู้คนก็สามารถแลเห็นเรื่องราวได้อีกครั้ง เวินเยี่ยนเองก็เช่นกัน และสองตาของทุกผู้คนก็จำต้องหดหยีลงทันใด!


 


นั่นเพราะฉากเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อนัก!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ในมือยังหอบหิ้วปู้หงไว้ราวหมูหมา!


 


หากมองให้ดีจะพบว่าปู้หงสิ้นสติไปแล้วด้วยซ้ำ


 


ยิ่งไปกว่านั้นตามแขนตามขาของปู้หงก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือด! เห็นได้ชัดว่าถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส!!


 


“นิ…นี่…”


 


จังหวะนี้เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ในหัวคล้ายอื้ออึงไม่อาจนึกคิดอะไร วาจาใดๆยังเหมือนสาบสูญ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน!


 


“ศิษย์พี่!”


 


เวินเยี่ยนเป็นคนแรกที่สามารถดึงสติกลับมาได้สำเร็จ หน้านางเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง เร่งกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงสั่น “ตะ…ต้วนหลิงเทียน จะ…เจ้าทำอะไรศิษย์พี่ข้า”


 


“ผ่อนคลาย”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเวินเยี่ยนด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไร้แยแส “อาศัยชีวิตตัวไร้ค่าอย่างศิษย์พี่เจ้า ไม่คุ้มให้ข้าเอาชีวิตไปแลกกับมันหรอก…มันแค่หมดสติ ยังไม่ตาย!”


 


“อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีใครช่วยห้ามเลือดให้มัน…มันอาจจะเสียเลือดจนตายก็ได้”


 


จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือคราหนึ่ง เขวี้ยงร่างปู้หงที่สิ้นสติออกไปราวทิ้งขยะ


 


เวินเยี่ยนเร่งพุ่งไปรับร่างศิษย์พี่ของนางทันที เมื่อตระหนักได้ว่าปู้หงยังไม่ตาย นางก็เร่งเดินพลังห้ามเลือดให้ปู้หงอย่างร้อนใจ


 


หากปู้หงตายไปแล้วก็ไม่เป็นไร


 


แต่ปัญหาคือตอนนี้ปู้หงยังไม่ตาย และเมื่ออีกฝ่ายตกอยู่ในมือนางแล้ว เกิดนางไม่อาจห้ามเลือดอีกฝ่ายได้ทันจนตกตายไปเสียก่อนขึ้นมา เช่นนั้นย่อมกลายเป็นความผิดของนางแล้ว!


 


นางไม่อาจรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ไหว!


 


“อันดับที่ 2 ของทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง?อันดับ 421 ในรายนามยอดเซียน?”


 


ขณะเดียวกันกับที่เวินเยี่ยนพยายามห้ามเลือดปู้หงนั้น ต้วนหลิงเทียนพลันมองปู้หงด้วยสายตาดูแคลน กล่าววาจาหยามหยันออกมาเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน “มันก็เท่านั้น…”


 


หลังกล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างจากไปทันที โดยไม่แม้แต่จะหันมามองอะไร


 


หลังต้วนหลิงเทียนจากไปจนลับสายตาสักพัก เหล่าศิษย์ทั้งหลายค่อยดึงสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง


 


“สวรรค์ช่วย! ศิษย์พี่ปู้หงถูกต้วนหลิงเทียนทุบตีจนเจียนตายกระทั่งสิ้นสติไปเลยงั้นเรอะ?”


 


เหล่าศิษย์ชั้นยอดหลายคนรู้สึกว่าเรื่องราวนี้มันเหลือเชื่อเกินกว่าจะทำใจเชื่อได้ในเวลาอันสั้น บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พึมพำกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “ข้าพเจ้าใช่กำลังฝันอยู่หรือไม่?”


 


ผัวะ!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ศิษย์ชั้นยอดคนนั้นกล่าวถามออกมา สหายที่อยู่ข้างๆก็หวังดียกมือขึ้นตบหน้าเพื่อนที่กำลังเพ้อดังฉาด ค่อยถามออกไปด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “เจ็บหรือไม่เล่า?”


 


เพี๊ยะ!


 


สหายที่ถูกตบไม่เพียงไม่ตอบ ยังตบสวนออกมาพร้อมถามกลับ “แล้วเจ้าเจ็บหรือไม่?”


 


“โอย…เจ็บปวดยิ่ง…”


 


ครู่ต่อมาสหายที่ตบเพื่อนก่อนก็ได้แต่กล่าวออกมาพร้อมลูบแก้มอย่างเจ็บปวด “ดูเหมือนว่าทั้งข้าและเจ้าเรามิได้ฝันไป”


 


บทสนทนาของทั้งคู่กระทั่งการผลัดกันตบหน้าราวตัวโง่งมของพวกมัน ไม่เพียงดึงสติศิษย์ทั้งหมดให้กลับคืน ยังทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


 


อย่างไรก็ตามศิษย์ทุกคนล้วนยืนยันได้จากการกระทำของทั้งคู่ โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ที่ยากยอมรับเรื่องราวและคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ก็ได้รู้แน่ชัด…


 


พวกมันไม่ได้ฝัน!


 


เรื่องราวเบื้องหน้าเป็นความจริง!


 


“ฮึ! ข้าก็บอกแต่แรกแล้ว ว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนต้องเป็นฝ่ายชนะแน่!”


 


“ถูกแล้ว! ตั้งแต่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในลัทธิบูชาไฟมา ศิษย์พี่เคยแพ้ผู้ใดด้วยหรือ? ก่อนหน้านี้ไม่ ตอนนี้ยังไม่ ต่อไปก็ย่อมไม่!!”


 


“ดูเข้าเถอะ พวกที่คิดว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะถูกศิษย์พี่ปู้หงทุบตีตอนนี้ทำหน้ากันอย่างไร…หึหึ ตอนนี้ข้ากล้าบอกได้เลยว่าหากไม่ใช่ระดับอาวุโสเพลิงเงินลงมือ ไม่มีใครเอาชนะศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนได้แน่!”


 


“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า”


 



 


ตอนนี้เหล่าศิษย์ที่เคยเชื่อมั่นในตัวต้วนหลิงเทียน เมื่อผลออกมาเป็นดั่งที่พวกมันเชื่อ ทั้งหลายก็ภาคภูมิใจกันนัก!


 


ก่อนหน้ากลับไม่มีใครเชื่อคำพวกมัน…


 


แต่มาตอนนี้มีใครกล้าสงสัยคำพวกมันบ้าง?


 


ขณะเดียวกันด้านเวินเยี่ยนก็ชักหน้าบึ้งตึงนัก นางได้แต่ลอบพาปู้หงจากไปเงียบๆโดยหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น


 


ในขณะที่นางกำลังเหินร่างจากไป แม้จะไม่ต้องหันไปมองแต่นางก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีมากมายหลายคนที่กำลังมองนางด้วยสายตาแปลกๆ ทำให้นางมีโมโหจนปอดแทบจะระเบิด!


 


“ต้วนหลิงเทียนข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปง่ายๆหรอก…ไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!!”


 


เวินเยี่ยนที่คับแค้นใจอย่างนักสุดท้ายก็ได้แต่คำรามในลำคอเบาๆ หอบร่างไร้สติของปู้หงจากไปอย่างผู้แพ้


 


ทว่าทันใดนั้นเอง คล้ายเวินเยี่ยนคิดอะไรได้ออก นางมองร่างปู้หงที่สิ้นสติด้วยสายตาทอประกายวูบวาบ


 


‘หากข้าทำให้ศิษย์พี่พิการเล่า…ต้วนหลิงเทียนมันจะถูกหอคุมกฏลงโทษสถานหนักหรือไม่?’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เวินเยี่ยนก็บังเกิดจิตคิดอยากทำร้ายปู้หงให้พิการแล้วกล่าวโทษต้วนหลิงเทียนนัก


 


แต่ทว่าพอนางคิดลงมือกระทำเข้าจริงๆ ในใจคล้ายมีแสงสว่างหนึ่งกระพริบวาบขึ้นมา ทำให้นางหยุดมือลงทันที


 


‘ไมได้! เกิดต้วนหลิงเทียนนั่นมันกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้ายืนยันความบริสุทธิ์ขึ้นมาว่าไม่ได้ทำร้ายศิษย์พี่ถึงตายหรือพิการ…คราวนี้หอคุมกฏยังไม่เบนเป้ามาสงสัยข้าแทนได้หรือ?’


 


เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ เวินเยี่ยนจึงเลือกที่จะยั้งมือเอาไว้ได้ทันเวลา


 


เพราะเมื่อหอคุมกฏเกิดสงสัยนางขึ้นมา ตัวนางย่อมไม่กล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และนั่นย่อมไม่ต่างอะไรจากการทุ่มหินทับเท้าตัวเองโดยแท้


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้เวินเยี่ยนจะยั้งมือเอาไว้ไม่ทำอะไร อาศัยเพียงแค่ความคิดชั่วร้ายนี้ของนางก็เผยให้รู้ว่านางสามารถกระทำได้ทุกสิ่งโดยไม่สนวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย


 


ก็เหมือนกันกับที่นางจับตาดูก่านหรูเยี่ยนอยู่นานปีจนได้หลักฐานไปฟ้องหอคุมกฏ…


 


“ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ”


 


เวินเยี่ยนไม่วายมองร่างไร้สติของปู้หงพร้อมสบถกล่าวออกมาเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจ


 


ไม่ทราบหากปู้หงที่สลบไสลไม่ได้สติ พลันฟื้นขึ้นมารับทราบว่าศิษย์น้องหญิงที่มันรักและเอ็นดูไม่ต่างน้องสาวแท้ๆคนนี้ กลับคิดทำร้ายมันจนพิการเพื่อใช้กล่าวโทษต้วนหลิงเทียน กระทั่งด่าทอมันว่าไร้ประโยชน์มันจะรู้สึกอย่างไร…


 


แต่แน่นอนว่ามันถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าเรื่องนี้มันไม่มีวันได้รู้


 


หลังต้วนหลิงเทียนกลับมายังที่พัก ข่าวเรื่องที่เขาเอาชนะปู้หง อันดับ 2 ในทำเนียบบอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง ก็พัดผ่านไปทั่วลัทธิบูชาไฟดั่งมหาพายุ!


 


ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงกับต้องลุกฮือกันอีกครั้ง!


 


“ต้วนหลิงเทียนเอาชนะศิษย์พี่ปู้หงได้งั้นหรือ!? ข่าวเรื่องนี้เป็นความจริงแน่รึ?”


 


“เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนสามารถติดอันดับ 4 ในทำเนียบยอดฝีมือทั้งมีอันดับ 537 อาจทำให้ข้ากังขาอยู่บ้าง แต่มาตอนนี้เห็นว่ามันสามารถเอาชนะศิษย์พี่ปู้หงได้ง่ายดายอย่างไร้รอยขีดข่วน เช่นนั้นพลังฝีมือมันก็เป็นของจริงแล้วล่ะ”


 


“ให้ตายเถอะ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้เป็นสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่ ไฉนพึ่งเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟเราได้ไม่ถึงปี แต่กลับร้ายกาจขึ้นมามากมายถึงขนาดนี้ได้เล่า!?”


 


“ศิษย์พี่ปู้หงเดิมที่อยู่ในอันดับ 2 ของทำเนียบยอดฝีมือ กับอันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียน…วันนี้เมื่อถูกศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนสยบอย่างราบคาบ เช่นนั้นอันดับในทำเนียบยอดฝีมือทั้งอันดับในรายนามยอดเซียนก็สมควรถูกศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาแทนที่แล้วล่ะ”


 


“ใช่ อันดับในทำเนียบยอดฝีมือของศิษย์พี่ปู้หงสมควรตกลงไป 1 อันดับ…ทว่าอันดับในรายนามยอดเซียนจะสลับกันกับของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน…นับว่าโชคดีอยู่บ้างที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมีอันดับในรายนามยอดเซียนแล้ว หาไม่ชื่อศิษย์พี่ปู้หงคงได้หลุดโผรายนามยอดเซียนกันพอดี…”


 


… …


 


เรื่องราวการประลองของต้วนหลิงเทียนกับปู้หงล้วนเป็นที่กล่าวขานถึงในลัทธิบูชาไฟอย่างหนาหู


 


หัวข้อที่ทุกคนกล่าวถึงตอนนี้ก็วนเวียนแต่อันดับในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง กับอันดับในรายนามยอดเซียน


 


แน่นอนว่าเรื่องอันดับในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงนั้น การที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะปู้หงมาได้ ย่อมไม่มีใครคิดว่าผิดพลาดหรือมีการโกงอะไรเพราะมีคนเห็นกับตามากมาย


 


อย่างไรก็ตามเรื่องอันดับในรายนามยอดเซียนนั้นเกี่ยวพันไปทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน


 


คนนอกอาจคิดว่าใช่ปู้หงยอมอ่อนข้อให้ต้วนหลิงเทียนเอาชนะหรือไม่?


 


เพราะอย่างไรเสียการที่ปู้หงพ่ายแพ้ก็ไม่ได้ถูกถอดออกจากรายนามยอดเซียน เพียงแค่สลับตำแหน่งกับต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!


 


หากต้วนหลิงเทียนไร้อันดับในรายนามยอดเซียน เมื่อเอาชนะปู้หงได้ย่อมชิงอันดับปู้หงมา และทำให้ชื่อปู้หงหลุดโผจากรายนามยอดเซียน หากปู้หงคิดมีชื่ออีกครั้งก็ต้องท้าประลองผู้มีอันดับแล้วเอาชนะให้ได้!


 


นี่คือกฏของรายนามยอดเซียน ทำเนียบยอดฝีมือสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า! ไม่มีใครสามารถเล่นตุกติกได้ง่ายๆ!!


 


วูบ!


 


เย็นวันนั้น นอกม่านพลังของเกาะส่วนตัวต้วนหลิงเทียน พลันปรากฏร่างชายชราในชุดเขียวผุดโผล่ขึ้นกลางอากาศว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอยปานภูตผี


 


เป็นชายชราที่ใบหน้าเรียบเนียนแลดูอ่อนวัยคล้ายเด็กทารก เส้นผมขนคิ้วเป็นสีขาวโพลน แววตาแลดูอ่อนโยนใจดี บรรยากาศรอบกายให้ความรู้สึกคล้ายเทพเซียนในตำนาน…


 


“สหายน้อยผู้นี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จักไม่เสียเปรียบในหอคุมกฏ กระทั่งออกจากหอคุมกฏแล้วยังเอาชนะปู้หงที่อยู่ในอันดับ 2 ของทำเนียบยอดฝีมือมาได้อีก…แล้วไฉนเสี่ยวหรูเยี่ยนต้องส่งข้อความให้ข้าดูแลมันด้วยเล่า ร้ายกาจเช่นนี้ยังจำเป็นต้องให้ข้าดูแลอีกหรือ?”


 


ชายชรามองไปยังเกาะลอยเบื้องล่างด้วยสายตาเลื่อนลอยกล่าวรำพันกับตัวเบาๆ “ว่าแต่…มิรู้ว่าสหายน้อยผู้นี้สนใจคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่…”


ตอนที่ 2,062 : เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…เปลี่ยนท้าสวรรค์!


 


ฟังจากคำของชายชราชุดเขียวผู้นี้แล้ว…


 


ที่แท้มันก็คืออาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ!


 


ชิงหั่ว!


 


เมื่อเกือบๆเดือนที่แล้วชิงหั่วได้รับหยกบันทึกเสียง ที่ศิษย์ส่วนตัวของมันอย่างก่านหรูเยี่ยนฝากคนมาส่งให้…


 


ในหยกบันทึกเสียงนั้น ก่านหรูเยี่ยนกล่าวบอกให้มันช่วยดูแลศิษย์ที่แท้จริงนามต้วนหลิงเทียนที่กำลังทำงานอยู่ในหอคุมกฏเพื่อนาง


 


ชิงหั่วเองก็เคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนมาบ้าง ทว่าไม่ได้สนใจจะรับรู้อะไรมากมายนัก


 


จนเมื่อได้รับหยกบันทึกเสียงจากก่านหรูเยี่ยนทั้งฟังคำร้องขอ จึงเริ่มบังเกิดความสนใจในตัวต้วนหลิงเทียนผู้นี้ขึ้นมา จึงลองสืบดู และพอได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด ยังอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นเสียงดัง


 


ศิษย์ใหม่ผู้นี้ทั้งๆที่ยังอยู่ในลัทธิบูชาไฟไม่ถึงปี กลับก่อเรื่องราวใหญ่โตเอาไว้มากมาย


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังล่วงเกินชนชั้นอาวุโสไปหลายคน!


 


ที่สำคัญที่สุดคือกล้าล่วงเกิน ต่งหยวนจิ้น รองจ้าวหอคุมกฏ! ซึ่งถือเป็นอาวุโสที่มีฐานะสูงทัดเทียมกับอาวุโสเพลิงทองระดับต้นๆ!!


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาชิงหั่วจึงให้ความสนใจกับหอคุมกฏนัก ทว่ามันกลับพบว่าต่งหยวนจิ้นไม่ได้ลงมือลงไม้อะไร


 


อย่างไรก็ตามในฐานะผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ


 


ชิงหั่วย่อมสืบเรื่องราวไม่ยาก จึงได้รู้ว่า ไม่ใช่ต่งหยวนจิ้นไม่ลงมือทำอะไร


 


ทว่าผู้ช่วยที่ต่งหยวนจิ้นส่งไปให้เป็นเบี้ยในมือบุตรชายอย่าง เถียนตง อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของหอคุมกฏ กลับถูกต้วนหลิงเทียนขู่จนไม่กล้าลงมือ!


 


ไม่เพียงแต่จะไม่กล้าลงมือ ยังยืนนิ่งมองต่งหลินถูกต้วนหลิงเทียนตบจนหน้าบวมเป็นหัวหมู!


 


หลังสืบพบเรื่องนี้ชิงหั่วยิ่งมาก็ยิ่งบังเกิดความสนใจในตัวต้วนหลิงเทียนที่มันไม่เคยพบเจอมาก่อนนัก ทว่ายังไม่คิดจะรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์แต่อย่างไร


 


ทว่ามาวันนี้ พอได้ยินเรื่องต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะปู้หง อันดับ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริงได้อย่างราบคาบ จึงกระตุ้นใจรักอัจฉริยะของมันขึ้นมาทันที หมายรับตัวต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ส่วนตัวขึ้นมา


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงมาปรากฏตัวที่นี่แบบนี้


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


ชิงหั่วเองก็เป็นคนตรไปตรงมาผู้หนึ่ง ในเมื่อมันบังเกิดจิตคิดอยากรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ ก็ไม่คิดทำอะไรเวิ่นเว้อ เลือกที่จะเรียกต้วนหลิงเทียนมาถามตรงๆ


 


เสียงอันบรรจุไว้ด้วยพลังเซียนต้นกำเนิด ดังผ่านม่านพลังลงไปถึงคฤหาสน์ต้วนหลิงเทียนทันที


 


“หืม?”


 


และต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ย่อมได้ยินเสียงนี้เป็นธรรมดา อดสงสัยไปไม่ได้ “ใครมาเรียกข้ากัน?”


 


“พลังฝึกปรือของคนผู้นี้ อย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ไม่แน่อาจจะเหนือกว่านั้น”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัย ร่างผู้เฒ่าหั่วพลันปรากฏขึ้นในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ กล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม


 


“เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนงั้นเหรอ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใดเมื่อได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว


 


วาจาผู้เฒ่าหั่วเขาไม่คิดสงสัย


 


อย่างไรก็ตามเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน เป็นตัวตนที่เขาในตอนนี้ไม่อาจไม่กลัว


 


เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์ รู้จักกันในนาม เปลี่ยนท้าสวรรค์


 


เพราะเมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ นั่นหมายความว่าสามารถทำลายโซ่ตรวนที่พันธนาการอายุขัยไปได้สำเร็จ สามารถมีชีวิตอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!


 


แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ปกตินั้นจะไม่มีวันตาย


 


แต่ทว่าหากถูกฆ่า ก็ยังต้องตาย!


 


“ในลัทธิบูชาไฟ ดูเหมือนจะมีแค่ 4 คนเท่านั้นที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…นั่นคือจ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังเซวียน และผู้พิทักษ์ทั้ง 3 อันได้แก่ ผู้พิทักษ์ลม ผู้พิทักษ์ไฟ ผู้พิทักษ์เมฆ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบ่นพึมพำ “คนที่มาหาข้าได้สมควรเป็น 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์แน่…แต่มีเรื่องอะไรกับข้ากัน?”


 


หลังจากคาดเดาความเป็นมาของเจ้าของเสียงเรียกได้คร่าวๆ ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติ ค่อยเดินออกจากห้อง จนในที่สุดก็ออกจากคฤหาสน์


 


เมื่อออกจากคฤหาสน์แล้ว เขาก็เหินร่างลอยขึ้นไปบนฟ้าทันที


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ได้แลเห็นชายชราในชุดสีเขียวลอยร่างรอคอยอยู่อย่างสงบ


 


ตั้งแต่ที่มาถึงลัทธิบูชาไฟ ต้วนหลิงเทียนพบว่าไม่ว่าจะเป็นใครฐานะสูงต่ำเพียงไหนล้วนต้องใส่ชุดสีขาวทั้งสิ้น ที่ต่างกันก็คือลายปักเปลวเพลิงบนชุดเท่านั้น


 


ในลัทธิบูชาไฟเขาไม่เคยเห็นใครที่ไม่ใส่ชุดสีขาว นี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆ!


 


ด้วยสิ่งนี้ทำให้เขาทราบทันทีว่าฐานะของอีกฝ่ายในลัทธิบูชาไฟต้องไม่ธรรมดาแน่ และสมควรเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้


 


ชายชราในชุดเขียวผู้นี้ สมควรเป็น 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ


 


วูบ!


 


หลังจากนั้นไม่นานร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินมาหยุดลอยเบื้องหน้าร่างชราไม่ไกล


 


ชายชราชุดเขียวเพียงลอยร่างกลางหาวอย่างเงียบงัน ทัวกายไร้กลิ่นอายพลังอะไรราวกับมันเป็นเฒ่าชราธรรมดาเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนทราบดี ว่าการปกปิดกลิ่นอายได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ มีเพียงชนชั้นสุดยอดฝีมือระดับสูงๆเท่านั้นที่กระทำได้ พลังฝีมือสมควรบรรลุถึงขอบเขต สูงสุดหวนคืนสู่สามัญ


 


“ยินดีที่ได้พบ ผู้พิทักษ์”


 


เมื่อลอยร่างมาถึงเบื้องหน้าชายชราชุดเขียว ต้วนหลิงเทียนก็ประสานมือคารวะกล่าวทักทายออกไปด้วยรอยยิ้มทันที


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็กล่าวคำ ผู้พิทักษ์ ออกมา ทำให้ชิงหั่วแปลกใจเล็กน้อย อดถามออกมาด้วยสงสัยไม่ได้


 


“ในลัทธิบูชาไฟเกรงว่าจะมีแต่จ้าวลัทธิกับผู้พิทักษ์ทั้ง 3 เท่านั้น ที่จะมีลักษณะสง่างามน่าเกรงขามเช่นนี้…เช่นนั้นก็ไม่ยากที่จะคาดเดา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกรวดเดียวจบ ไม่มีอาการประหม่าอะไรแม้แต่น้อย


 


ขณะเดียวกันเขาก็ยืนยันได้อย่างมั่นใจแล้ว ว่าเบื้องหน้าเป็นชนชั้นผู้พิทักษ์จริงๆ


 


สำหรับเรื่องที่ทำให้เขาคาดเดาได้แต่แรกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้พิทักษ์นั้น ไม่ใช่ลักษณะสง่างามน่าเกรงขามอะไรทั้งสิ้น แต่ล้วนเป็นเพราะผู้เฒ่าหั่วบอกว่าพลังฝึกปรืออีกฝ่ายคือเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนกระทั่งอาจจะเหนือกว่านั้น


 


และในลัทธิบูชาไฟ ก็มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่บรรลุถึงขอบเขตดังกล่าว


 


ทว่า ‘ถังเซวียน’ จ้าวลัทธิบูชาไฟกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่


 


เช่นนั้นก็เหลือแต่ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ของลัทธิบูชาไฟ


 


ก็แค่เขาไม่ทราบว่าชายชราชุดเขียวเบื้องหน้า เป็นใครในบรรดา 3 ผู้พิทักษ์กันแน่


 


“สหายน้อยเจ้ายังรู้จักกล่าวคำประจบผู้คนด้วยหรือ…ข้านึกว่าเจ้ารู้จักแต่ก่อเรื่องเท่านั้น”


 


ชิ่งหั่วอึ้งไปไม่น้อยหลังได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมายิ้มกล่าว


 


“ท่านผู้พิทักษ์ล้อข้าเล่นแล้ว…ข้าไหนเลยจะเคยเป็นฝ่ายก่อเรื่องอะไรก่อน”


 


ได้ยินคำของชายชราชุดเขียว ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรสืบเรื่องราวมาหมดแล้ว ว่าตั้งแต่มาอยู่ลัทธิบูชาไฟเขาทำอะไรไปบ้าง


 


แต่เขามั่นใจว่าคำที่เขากล่าวออกไปนั้น มีเหตุผล!


 


เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับใครก่อน


 


“ไม่เคยคิดก่อเรื่องกับผู้ใดก่อน?”


 


ชิงหั่วส่ายหน้ามองต้วนหลิงเทียน กล่าวหยอกล้อว่า “การกระทำของเจ้ากับผู้อื่นสามารถกล่าวได้ว่ามิเคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน…แต่เท่าที่ข้ารู้กับ ‘เวินเยี่ยน’นั่น มิใช่ว่านางกับเจ้าไม่เคยพบกันมาก่อนหรือไร…”


 


“เช่นนั้นหมายความว่าเจ้ากับนางมิเคยมีเรื่องบาดหมาง…แล้วไฉนเจ้าถึงได้เป็นฝ่ายริเริ่มทุบตีนางให้อับอายต่อหน้าผู้คนด้วยเล่า หรือเจ้าจะบอกว่านี่ยังไม่ใช่เจ้าเป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อน?”


 


ท้ายประโยคน้ำเสียงของชิงหั่วเผยความหยอกล้อออกชัด


 


“ไม่ใช่แน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวกล่าวยืนกรานปฏิเสธออกมาอย่างชอบธรรม “เวินเยี่ยนไม่ได้ยั่วยุข้าก่อนก็จริง…แต่ข้าไม่อาจทนได้เมื่อมีฝุ่นทรายขัดตา! ก็แค่จัดการขยะในลัทธิบูชาไฟเท่านั้น”


 


“คนน่ารังเกียจเช่นนี้พบเจอคราหนึ่งก็ทุบตีทีหนึ่ง กระทั่งจะทุบตีให้มากหน่อยก็ไม่ถือว่ากระทำเกินเลย”


 


วาจาท้ายประโยคของต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกมาราวกับผู้ผดุงคุณธรรม ประหนึ่งการทุบตีทำร้ายเวินเยี่ยนเป็นการลงมือแทนฟ้า พิพากษาคนชั่ว!


 


“ไฉนข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามากคุณธรรมถึงขั้นนี้…ที่แท้เจ้ากับก่านหรูเยี่ยนมีสัมพันธ์อันใดกันแน่”


 


เมื่อได้ยินคำพูดอันเปี่ยมล้นไปด้วยความชอบธรรมของต้วนหลิงเทียน ชิงหั่วก็ชักสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายก็เลือกที่จะกล่าวถามออกมาตรงๆไม่คิดอ้อมค้อมอะไรสืบไป ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนมีสัมพันธ์อะไรกับก่านหรูเยี่ยนกันแน่


 


ราวกับมันมองออกแล้ว


 


ว่าต้วนหลิงเทียนทำร้ายเวินเยี่ยนเพื่อก่านหรูเยี่ยน


 


“ผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ระหว่างข้ากับลูกศิษย์ของท่านมีสัมพันธ์กันอย่างไร ท่านไปกล่าวถามลูกศิษย์ของท่านโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ ไฉนต้องลำบากมาถามข้าถึงที่นี่เล่า?”


 


เผชิญหน้ากับคำถามนี้ของชิงหั่ว ต้วนหลิงเทียนที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรมเมื่อครู่ พลันแย้มยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยทันที


 


“หืม? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือ ชิงหั่ว?”


 


ชิงหั่วประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน


 


“ในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนอื่นข้าไม่รู้ แต่เกรงว่ามีแต่ผู้พิทักษ์ชิงหั่วท่านเท่านั้นที่จะอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อเอ่ยถึง เวินเยี่ยน…เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นนางที่แจ้งจับศิษย์ส่วนตัวของท่าน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


นั่นเพราะเมื่อตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยคำ เวินเยี่ยน แม้จะน้อยนิดแต่ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นได้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


แน่นอนว่าคนทั่วไปคงยากจะตรวจจับอารมร์ที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยนั่นได้


 


ทว่าในฐานะราชันสรรพวุธ ทหารรับจ้างมือหนึ่งของโลกเมื่อชีวิตที่แล้ว ความสามารถในการสังเกตของต้วนหลิงเทียนเป็นอะไรที่เหนือกว่าผู้อื่นมากมายนัก แม้อารมณ์จะแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพียงใดเขาย่อมสัมผัสได้ทั้งสิ้น เช่นนั้นจึงยืนยันตัวตนอีกฝ่ายได้ทันทีว่าคือ ชิงหั่ว


 


เพราะในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ของลัทธิบูชาไฟ มีเพียงชิงหั่วเท่านั้นที่มีอคติต่อเวินเยี่ยน


 


เพราะสุดท้ายแล้วเวินเยี่ยนนั่นก็ลอบกัด แจ้งหอคุมกฏให้มาจับก่านหรูเยี่ยน ศิษย์ส่วนตัวของมัน!


 


“ฮ่าๆๆๆ…!”


 


ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน ชิงหั่วอึ้งไปเล็กน้อยค่อยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ


 


ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยหยุดลง


 


หลังหัวเราะจบแล้ว ชิงหั่วก็มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง กล่าวถามด้วยสีหน้าแววตาร้อนแรง “ต้วนหลิงเทียนเจ้า…สนใจกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”


 


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีอาจารย์ที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจรอยู่ด้านนอก แต่ข้าไม่ถือ วันนี้ได้เจอเจ้าแล้วนับว่าเจ้าถูกชะตาข้านัก ยังทำให้ข้ารู้สึกอยากรับเจ้าเป็นศิษย์ยิ่ง! ตราบใดที่เจ้าเป็นศิษญ์ข้า ข้ารับรองว่าจะดูแลการบ่มเพาะเจ้าไม่ขาด…อย่างน้อยๆสิ่งที่เจ้าจักได้รับก็ไม่ด้อยไปกว่าของเสี่ยวหรูเยี่ยน”


 


ชิงหั่วกล่าวออกมา ทั้งให้สัญญาด้วยข้อเสนออย่างงาม


 


ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนเต็มใจเป็นศิษย์ของมัน มันจะดูแลต้วนหลิงเทียนอย่างดีไม่น้อยกว่าที่มันดูแลก่านหรูเยี่ยน


 


“หือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อได้ยินข้อเสนอแบบนี้


 


เพราะเขาไม่คิดมาก่อนจริงๆว่าที่ผู้พิทักษ์อย่างชิงหั่วมาหาเขาได้วันนี้ ที่แท้เพราะคิดรับเขาเป็นศิษย์!


 


ในเวลาเดียวกันกับที่ผู้พิทักษ์ชิงหั่วไปหาต้วนหลิงเทียนเพื่อยืนข้อเสนอรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์นั้น…


 


ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม ก็จำต้องเผชิญหน้ากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง!


 


อย่างไรก็ตามแขกไม่ได้รับเชิญครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วอยู่บ้าง เพราะอีกฝ่ายมาคนเดียว!


 


หากจะกล่าวให้ละเอียด มันไม่ใช่คน!


 


เป็น สัตว์ประหลาด ที่มีความสูงถึง 4 หมี่ และเหตุผลที่กล่าวเรียกว่าสัตว์ประหลาด เพราร่างกายของมันเหมือนคน ทว่าหัวกลับเป็นวัว


 


สัตว์ประหลาดหัววัว!


 


“นี่มันสัตว์ประหลาดอันใดกัน!?”


 


หลังจากที่องครักษ์เกราะทมิฬหลายคนที่เข้าไปต้านทานศัตรูถูกเข่นฆ่าราวผักปลา องครักษ์เกราะทมิฬที่เหลือก็เร่งถอยร่นไปผนึกกำลังกันที่ตำหนักหลักของตำหนักเมฆาครามด้วยความเสียขวัญ!


ตอนที่ 2,063 : ปีศาจวัวหวาดกลัว!


 


สัตว์ประหลาดสูง 4 หมี่ หัวเป็นวัวตัวเป็นคนนี้ พลังของมันมากมายมหาศาลสุดที่องครักษ์เกราะทมิฬจะต้านทานรับมือได้ไหว!


 


“มนุษย์ ช่างอ่อนแอเหลือเกิน!”


 


สัตว์ประหลาดหัววัวตัวนี้ไม่ใช่ใดอื่น มันคือสมาชิกของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวจากแดนเนรเทศ เป็นหนึ่งในนักรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวที่เป็นทัพหน้าและพึ่งบุกมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างเมื่อไม่นานมานี้


 


ก่อนที่ปีศาจวัวตัวนี้จะบุกมาถึงตำหนักเมฆาคราม มันก็เข่นฆ่าผู้คนมาตลอดทาง คนที่ตายด้วยน้ำมือมันเกรงว่าจะมีนับไม่ถ้วน!


 


และผู้ฝึกตนทุกคนที่ถูกมันฆ่าตายไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้ฝึกเต๋าหรือสัตว์เซียน ทั้งหมดล้วนถูกมันดูดกลืนสารัตถะ เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของมันทั้งสิ้น


 


ในแดนเนรเทศทรัพยากรเพาะมันมีจำกัดนัก


 


ปีศาจทุกตัวหากคิดเพิ่มพูนพลังฝีมือ ก็ต้องอาศัยกระบวนการ ปีศาจกลืนปีศาจ!


 


กระบวนการปีศาจกลืนปีศาจที่ว่าก็คือ หลังจากเข่นฆ่าปีศาจด้วยกันแล้ว ปีศาจที่ชนะก็จะทำการกลืนกินแก่นแท้โลหิตรวมถึงสารัตถะต่างๆของปีศาจที่ตายตกเพื่อเพิ่มพูนพลังความแข็งแกร่งของตัวเอง


 


เช่นนั้นในแดนเนรเทศปีศาจที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดุร้ายอำมหิตมากขึ้นเท่านั้น


 


เรียกว่าในดินแดนเนรเทศผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอดั่งปลาใหญ่กินปลาเล็กยังรุนแรงยิ่งกว่าแดนมนุษย์หลายเท่า


 


เพราะด้อยทรัพยากร เช่นนั้นเพื่อความแข็งแกร่งแล้วพวกมันก็ได้แต่กลืนกินปีศาจด้วยกันเอง ย่ำเหยียบชีวิตผู้อื่นต่างหินรองเท้าเพื่อก้าวขึ้นสูงจุดสูง


 


หากมัวแต่พึ่งพาการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะพลังล่ะก็ ด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินที่มีอยู่น้อยนิดบางเบาของแดนเนรเทศ พวกมันคงไม่ทันผู้อื่น


 


แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้ในแดนเนรเทศปีศาจจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร แต่เมื่อออกจากแดนเนรเทศและเข้าสู่แดนเซียน พวกมันจะละวางความแค้นในอดีตรวมใจเป็นหนึ่ง!


 


นั่นเพราะพวกมันมีศัตรูร่วมกัน และสามารถยกระดับพลังฝึกปรือโดยการกลืนกินแก่นแท้และโลหิตของศัตรูแทน!


 


ไม่จำเป็นต้องฆ่ากันเอง


 


เมื่อหลายร้อยพันปีที่แล้วในยุคมนุษย์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้ออกจากแดนเนรเทศบุกรุกเข้ามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้อย่างที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว


 


เวลานันไม่ทราบมีมนุษย์ที่ตกตายและถูกกลืนกินไปมากมายเพียงใด


 


จนเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกเหล่าสุดยอดฝีมือที่รวมพลังกันต่อต้านขับไล่ จนพวกมันต้องล่าถอยกกลับไปที่แดนเนรเทศ และสุดท้ายก็เป็นเหล่ายอดคนผู้กล้าสละชีวิตสร้างผนึกพลังฉาบกั้นกำแพงมิติเอาไว้อีกชั้น ไม่ให้เหล่าปีศาจรุกรานเข้ามาได้อีกนับล้านปี


 


หลังจากนั้นความโหดเหี้ยมอำมหิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็กลายเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนมนุษย์ที่รอดชีวิตมาได้อยู่ทุกคืน…


 


‘มนุษย์? มันเรียกพวกเราว่ามนุษย์…หรือมันเป็นสัตว์เซียนกัน!?’


 


เมื่อได้ยินสัตว์ประหลาดเบื้องเนื้อกล่าววาจาภาษาผู้คน ทั้งเรียกหาพวกมันว่ามนุษย์ เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬก็ได้แต่คิดไปในใจแบบนี้


 


“พลังฝีมือของมันยังเหนือกว่าพวกกลุ่มยอดฝีมือเซียนสวรรค์ที่มาบุกตำหนักเมฆาครามของเราก่อนหน้านี้เสียอีก…ตอนนี้พวกเราทำได้แค่รอให้ท่านแม่ทัพ ไปนำท่านจ้าวตำหนักมารับมือมันเท่านั้น!”


 


หนึ่งในชนชั้นนายกองหรือไป่ฟูฉางขององครักษ์เกราะทมิฬกล่าวออก


 


“ท่านเจ้าตำหนัก!”


 


ได้ยินวาจาจากนายกองคนนี้ เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬที่หวาดกกลัวอยู่ก็พลันฮึกเหิมขึ้นมาทันที สองตาแต่ละคนลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟกลับกลายเป็นคึกคักมากขวัญกำลังใจ คล้ายถูกฉีดเลือดไก่เข้าไปก็ไม่ปาน


 


เพราะเสมือนพวกมันได้คว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้แล้ว!


 


เมื่อเกือบเดือนที่แล้ว แม่ทัพใหญ่ของกองกำลังองครักษ์เกราะทมิฬกได้ถูกฆ่าตาย


 


หลังจากนั้นจ้าวตำหนักเมฆาคราม จึงแต่งตั้ง ถงจ้ง ให้รับตำแหน่งแม่ทัพอย่างเป็นทางการ


 


ในเรื่องนี้ไม่มีใครในกองกำลังองครักษ์เกราะทมิฬคัดค้านแม้แต่คนเดียว


 


ถงจ้งนั้นเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนนอกเหนือจากอดีตแม่ทัพ เช่นนั้นก็เป็นธรรมดาที่มันจะขึ้นรับตำแหน่งในฐานะแม่ทัพ


 


และถงจ้งที่เป็นแม่ทัพ ก็ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากเหล่าองครักษ์เกราะทมิฬไม่น้อย


 


ในขณะเดียวกัน ทางด้านห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลัก ถงจ้ง แม่ทัพองครักษ์เกราะทมิฬก็ได้รายงานเรื่องราวต่อต้วนหรูเฟิงเรียบร้อย


 


“อะไร! สัตว์ประหลาดหัวเป็นวัวตัวเป็นคนงั้นเหรอ?”


 


ได้ฟังคำรายงานของถงจ้ง ต้วนหรูเฟิงที่นั่งอยู่ก็ถึงกับลุกพรวดขึ้นมาทันที


 


บางทีถงจ้งอาจไม่ทราบว่าสัตว์ประหลาดหัววัวตัวคนนั่นคืออะไร


 


ทว่าต้วนหรูเฟิงในฐานะที่เป็นดั่งผู้สืบทอดมรดกปีศาจมาโดยตรง…ไหนเลยจะไม่รู้เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดหัววัวตัวคนได้!


 


ร่างเป็นคนหัวเป็นวัวนั่น ไม่ใช่เอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวในแดนเนรเทศหรือไง!?


 


“มีปีศาจวัวบุกมาถึงตำหนักเมฆาครามของข้างั้นเหรอ?”


 


ทันใดนั้นในแววตาต้วนหรูเฟิงก็เผยอาการตื่นตระหนก สีหน้ายังแปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด


 


ฟุ่บ!


 


หลังจากนั้นต้วนหรูเฟิงก็โบกมือคราหนึ่ง ใช้พลังหอบหิ้วร่างถงจ้งให้พุ่งออกมาจากตำหนักหลักด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะเร่งกล่าวถามด้วยความร้อนใจ “สัตว์ประหลาดหัววัวที่เจ้าว่า มันสูงเท่าไหร่?”


 


“ราวๆ 4 หมี่ได้ท่านจ้าวตำหนัก”


 


ถงจ้งย้อนนึกครู่หนึ่งค่อยตอบ


 


“ราวๆ 4 หมี่?”


 


ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกทันที


 


เพราะด้วยพลังฝึกปรือในปัจจุบันของมัน ยามลงมือเต็มกำลังพร้อมผสานร่างกับหุ่นเชิดเซียนปีศาจที่อัญเชิญออกมาได้ จะทำให้มีพลังรบเกือบทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน


 


หากที่มาเป็นผู้นำของเหล่าปีศาจวัวจริง ต่อให้มันจะอัญเชิญหุ่นเชิดเซียนปีศาจพร้อมใช้ดาบอสุราก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้


 


เช่นนั้นพอได้ยินถงจ้งกล่าวบอกความสูงของปีศาจวัวที่บุกมาต้วนหรูเฟิงจึงโล่งใจนัก


 


เพราะปีศาจวัวที่สูงราวๆ 4 หมี่นั้น อย่างดีพลังฝึกปรือของมันก็เทียบได้กับเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นภัยคุกคามอะไร


 


‘แต่พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวมันมาปรากฏตัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างไรกัน?’


 


‘หรือเป็นเพราะเมื่อตอนที่ข้ากับตู้กูทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภา พวกเราดูดซับไอมารบริสุทธิ์จากแดนเนรเทศผ่านทางช่องว่างมิติมากเกินไป…เลยส่งผลต่อเสถียรภาพของม่านพลังผนึก?’


 


คิดถึงจุดนี้สีหน้าของต้วนหรูเฟิงก็เผยความตึงเครียดออกมา


 


ตอนแรกเหตุผลที่มันกับตู้กูระงับพลังฝึกปรือไว้ที่ขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุด และไม่คิดทะลวงไปให้ถึงขอบเขตเซียนนภาอยู่นั้น ล้วนเป็นเพราะว่า….


 


ทั้งคู่ล้วนได้รับมรดกปีศาจ และคิดอาศัยไอมารที่บริสุทธิ์ที่สุดเพื่อวางรากฐานให้แน่นหนาและทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภาด้วยไอมารที่ว่า…


 


และหากคิดดูดซับไอมารที่บริสุทธิ์ขนาดนั้น ก็มีแต่ต้องดูดซับไอมารจากแดนเนรเทศผ่านช่องว่างมิติเท่านั้น


 


ถึงแม้กระบวนการดูดซับไอมารจะไม่ได้สร้างผลกระทบต่อม่านพลังผนึกอะไรมากมาย แต่แน่นอนว่าก็มีส่งผลต่อเสถียรภาพของม่านพลังผนึกบ้าง


 


‘หรือจะเป็นเพราะข้าอัญเชิญหุ่นเชิดเซียนปีศาจมาจากแท่นบูชาของแดนเนรเทศเมื่อเกือบเดือนที่แล้วจริงๆ?’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหรูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความเหน็บหนาว


 


ตอนนี้เมื่อมีปีศาจวัวบุกมาถึงตำหนักเมฆาครามได้…เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศก็สามารถบุกมาที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ด้วยหรือ?


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง…


 


ไม่ใช่ว่าตัวมันกับตู้กูเสมือนมีส่วนสร้างหายนะเภทภัยให้กินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือไร?


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้สีหน้าต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะมืดคล้ำดำลง


 


แน่นอนว่าต่อให้ปีศาจจะสามารถออกจากแดนเนรเทศและบุกรุกดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีกครั้ง เพราะมีมันเป็นต้นเหตุแต่มันก็ไม่เสียใจเลย


 


เพราะหากไม่ดูดซับไอมารบริสุทธิ์จากแดนเนรเทศผ่านช่องว่างมิติ เช่นนั้นก็ไม่อาจทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภาพร้อมไอมารที่สมบูรณ์ และนั่นจะทำให้มันไม่อาจาอัญเชิญหุ่นเชิดเซียนปีศาจได้


 


หากมันไม่อาจอัญเชิญหุ่นเชิดเซียนปีศาจได้…เมื่อเกือบเดือนที่แล้วตำหนักเมฆาครามไม่พ้นล่มสลาย!


 


ไม่เพียงแต่ตำหนักเมฆาครามจะล่มสลาย กระทั่งครอบครัวของมันยังจะถูกหลี่อันจับตัวกลับไปข่มขู่ลูกชายอย่างต้วนหลิงเทียนให้เข้าตาจน สุดท้ายก็มีแต่ตกตายกันหมด…


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหรูเฟิงจึงไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้มันอาจจะเป็นต้นเหตุทำให้ปีศาจบุกมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ตาม


 


เพื่อลูกชาย หลานและภรรยาแล้วมันกระทำได้ทุกสิ่ง…ต่อให้เป็นคนบาปก็ไม่แยแส!


 


เพราะในใจของมัน มีเพียงครอบครัวของตัวเองเท่านั้นที่สำคัญที่สุด!


 


ลาภยศชื่อเสียงใดๆ ไม่เว้นชีวิตของตัวเองนั้นยังไม่สำคัญเท่า!


 


“ท่านจ้าวตำหนัก!”


 


“ท่านจ้าวตำหนัก”


 



 


เมื่อต้วนหรูเฟิงพร้อมถงจ้งที่เร่งรุดเดินทางได้มาถึงจุดเกิดเหตุ เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้งหมดรู้สึกตื่นเต้นยินดีนัก ราวกับพบพานกับพระผู้ช่วย


 


สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นยินดีขององครักษ์เกราะทมิฬ และความคาดหวังอันล้นปรี่จากทุกคน ต้วนหรูเฟิงก็ตระหนักถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่เทียมฟ้า!


 


ภายใต้สายตาของทุกคน ต้วนหรูเฟิงหลังปล่องถงจ้งแล้ว ร่างก็เหินไปลงจอดระหว่างปีศาจวัวและเหล่าองครักษ์เกราะทมิฬ ปกป้ององครักษ์เกราะทมิฬเอาไว้ด้านหลัง


 


สำหรับองครักษ์เกราะทมิฬแล้ว แผ่นหลังต้วนหรูเฟิงเบื้องหน้าเป็นดั่งกำแพงสูงกล้าแกร่ง


 


ขณะเดียวกันพวกมันก็รู้สึกปลอดภัยนัก


 


ลึกลงไปในใจของพวกมัน ความสำคัญของจ้าวตำหนักเมฆาคราม และพลังฝีมืออันแข็งแกร่งนั่นยิ่งมายิ่งสลักลึกแน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ…


 


“เจ้าออกจากแดนเนรเทศมาถึงที่นี่ได้ยังไง?”


 


ต้วนหรูเฟิงมองถามปีศาจวัวสูง 4 หมี่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย คำถามแรกก็เข้าประเด็นสำคัญทันที


 


“มนุษย์ เจ้ามันอ่อนแอเกินไป ไร้คุณสมบัติที่จะมาตั้งคำถามกับข้า!”


 


เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหรูเฟิง ปีศาจวัวตัวเขื่องเพียงยิ้มเย้ยเท่านั้น


 


“งั้นเหรอ?”


 


เผชิญหน้ากับคำเย้ยเยาะของปีศาจวัว สองตาต้วนหรูเฟิงหดเล็กลงทันใด ไอมารปะทุทั่วกาย มือออกสัญลักษณ์พิสดารที่ได้รับสืบทอดจากมรดก อัญเชิญหุ่นเชิดเซียนปีศาจจากแท่นบูชาในใจกลางแดนเนรเทศทันที!


 


เมื่อแลเห็นวังวนปรากฏ พร้อมมีร่างหุ่นเชิดเซียนปีศาจออกมา สีหน้าเย้ยหยันของปีศาจวัวถึงกับชะงักค้าง ยังถูกความหวาดกลัวและเหลือเชื่อเข้ามาแทนที่


 


“หะ…หุ่นเชิดเซียนปีศาจ? เจ้า…เจ้าเป็นผู้ฝึกตนในแดนเซียนของมนุษย์ ไฉนเจ้าถึงสามารถเรียกหุ่นเชิดเซียนปีศาจของพวกเราจากแท่นบูชาใจกลางแดนเนรเทศได้?”


 


ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ปีศาจวัวจะจดจำได้ว่าหุ่นเชิดที่คายไอมารบริสุทธิ์เบื้องหน้าก็คือหุ่นเชิดเซียนปีศาจ…แต่ด้วยไอมารที่กำจายออกมามันยังรู้ได้ทันทีว่าหุ่นเชิดปีศาจนี้ทรงพลังเหนือมัน


 


เช่นนั้นมันจึงหวาดกลัว!


 


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรู้หรอก”


 


ต้วนหรูเฟิงแค่นคำเย้ยเยาะมันคราหนึ่งก่อนจะเหินร่างไปผสานรวมกับหุ่นเชิดเซียนปีศาจ และเตรียมจัดการปีศาจวัวให้สิ้นซาก


 


หนี!!


 


เผชิญหน้ากับหุ่นเชิดปีศาจที่แข็งแกร่งเหนือมันอย่างเห็นได้ชัด ไหนเลยปีศาจวัวสูง 4 หมี่จะฝืนสู้ให้ตายเปล่าอย่างโง่งม! มันบังเกิดความคิดหลบหนีขึ้นมาทันที ปะทุพลังชั่วชีวิตเพื่อหลบหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!!


 


นอกจากหนีเอาตัวรอดแล้ว มันยังร้อนใจอยากไปแจ้งเรื่องราวให้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวของมันนัก


 


ว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้…มียอดฝีมือที่คุกคามพวกมันได้!


ตอนที่ 2,064 : วิธีออกจากลัทธิบูชาไฟ


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจวัวที่มีความสูงเพียง 4 หมี่พลังฝึกปรือของมันก็อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น!


 


อาศัยพลังฝึกปรือเพียงเท่านี้ คิดหลบหนีจากหุ่นเชิดเซียนปีศาจที่ถูกควบคุมโดยต้วนหรูเฟิง เป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้เลย!


 


ต้องทราบด้วยว่าหุ่นเชิดเซียนปีศาจที่ต้วนหรูเฟิงอัญเชิญมานั้น มีระดับพลังเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 4เปลี่ยนที่เจียนบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนเต็มที!


 


เช่นนั้นต่อหน้าหุ่นเชิดเซียนปีศาจแล้ว ปีศาจวัวก็เสมือนมดอ่อนแอไร้พลังต้านทาน


 


เสี้ยวพริบตา ปีศาจวัวที่เรียกได้ว่าเป็นนักสู้ระดับแนวหน้าของเผ่านพันธุ์ปีศาจวัว ก็ถูกพลังอันครอบงำของหุ่นเชิดเซียนปีศาจฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย


 


และหากมองให้ดีจะพบว่าหลังฆ่าปีศาจวัวไปแล้ว ต้วนหรูเฟิงก็ดูดสารัตถะของมัน ไม่ว่าจะพลังหรือแก่นแท้โลหิตจนร่างมันกลายเป็นซากศพแห้งกรัง!


(สารัตถะในที่นี้ก็คือ ทุกสิ่งอย่างที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะพลัง,พลังชีวิต,แก่นแท้โลหิต ไม่รู้จำใช้คำไหนเหมือนกัน ตอนแปลพี่ประมุขก็ใช้คำนี้ด้วย)


 


ในอดีตถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะรู้วิธีดูดกลืนสารัตถะของศัตรูจากความทรงจำของเฮ่ยหมิง กระทั่งถูกเฮยหมิงควบคุมร่างให้ใช้วิธีการเช่นนั้น แต่มันก็ไม่เคยลงมือกระทำเช่นนั้นด้วยตัวเองมาก่อน


 


เพราะมันไม่อาจทำใจยอมรับได้


 


นี่เป็นดั่งปมในใจ…หากกระทำไปย่อมไม่อาจคลี่คลาย! เพราะวิธีการนี้ไม่เพียงทำลายมโนธรรมยังชั่วร้ายจนสวรรค์ยากอภัย!!


 


และนี่คือสาเหตุหลักให้พลังฝึกปรือของต้วนหรูเฟิงตอนนี้ด้อยกว่าตู้กู


 


นั่นเพราะหลังทะลวงผ่านเซียนนภาแล้ว ตู้กูเลือกที่จะกลืนกินสารัตถะของยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องล่างด้วยอำมหิต ทำให้พลังฝึกปรือของตู้กูเจียนบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ในเวลาอันสั้น!!


 


อย่างไรก็ตามต้วนหรูเฟิงรับไม่ได้กับการกลืนกินเลือดและพลังของมนุษย์…ทว่าไม่ได้หมายความว่าจะปฏิเสธการดูดซับกลืนกินพลังของปีศาจ!!


 


แก่นแท้โลหิตและไอมารของปีศาจวัวจากแดนเนรเทศ ถูกต้วนหรูเฟิงสูบกลืนอย่างไร้ลังเล!


 


“น่าเสียดายที่พลังวิญญาณของข้าไม่สูงพอจะใช้วิชาสืบจิตกับมัน…หาไม่แล้วสมควรได้รับข้อมูลอะไรบางอย่างจากมันบ้าง…”


 


หลังกลืนกินสารัตถะของปีศาจวัว สีหน้าต้วนหรูเฟิงก็ฉายความซับซ้อนไม่น้อย


 


‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นปีศาจวัวตัวนี้บังเอิญหลุดเข้ามาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแค่ตัวเดียว…หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถบุกรุกเข้ามาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้แล้วกันแน่…’


 


ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ต้วนหรูเฟิงก็ยิ่งเคร่งเครียดนัก


 


‘ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง…ตอนนี้ข้าเร่งปิดด่านบ่มเพาะเพื่อย่อยสลายพลังและแก่นแท้โลหิตของปีศาจวัวตัวนี้ให้ดีก่อนจะดีกว่า คราวนี้ข้าสมควรทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ไม่ยาก!’


 


แม้ต้วนหรูเฟิงจะยังไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวอย่างแน่ชัด


 


แต่ในใจมันบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง…ยุคของมนุษย์ปีศาจกำลังจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง!


 


หากคิดจะอยู่รอดในยุคมนุษย์ปีศาจ จำต้องมีพลังฝีมือและความแข็งแกร่งสูงพอ มิฉะนั้นก็เป็นได้แค่เหยื่อที่จะถูกล่าและกลืนกินด้วยน้ำมือปีศาจ เป็นได้แค่สารอาหารที่เสริมพลังให้เหล่าปีศาจเท่านั้น!


 


ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองเพื่อครอบครัวหรือเพื่อตำหนักเมฆาคราม


 


ตอนนี้ต้วนหรูเฟิงมีแต่ต้องยกระดับพลังของตัวเองให้สูงขึ้น!


 


เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะเป็นหลักประกัน ให้มันและคนรอบกายผ่านพ้นยุคมนุษย์ปีศาจ ที่เป็นดั่งกลียุคไปได้!


 


เช่นนั้นหลังกล่าวสั่งถงจ้งให้จัดการเรื่องปลอบขวัญองครักษ์เกราะทมิฬที่รอดชีวิต จัดพิธีศพให้ผู้ตายอย่างสมเกียรติรวมถึงเรื่องดูแลครอบครัวของผู้เสียชีวิตเสร็จแล้ว ต้วนหรูเฟิงก็เร่งกลับไปปิดด่านบ่มเพาะทันที


 


สุดท้ายก็คงเหลือแต่เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬที่มองแผ่นหลังต้วนหรูเฟิงหายลับตาไปด้วยความนับถือ ความเลื่อมไสเทิดทูนในแววตาของพวกมันแต่ละคนล้วนร้อนแรงดั่งเพลิงไฟ


 


มองผ่านไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว ต้องกล่าวเลยว่าตำหนักเมฆาครามนับว่าโชคดีนัก!


 


เพราะสุดท้ายแล้วตำหนักเมฆาครามก็มีจ้าวตำหนักที่มีพลังฝีมือสูงพอจะสยบปีศาจวัวที่บุกเข้ามาได้ ทำให้ตำหนักเมฆาครามรอดพ้นจากหายนะมาได้…


 


ตลาดมืดหยินชานสาขาหลักเองก็ถือว่าโชคดีเช่นกัน


 


เพราะผู้นำของพวกมันก็ทรงพลังมากพอจะบดร่างปีศาจวัวที่บุกเข้ามาให้แหลกได้ไม่ยากเย็น ทำให้ตลาดมืดหยินชานเป็นอีกแห่งที่แคล้วคลาดปลอดภัย


 


อย่างไรก็ตามขุมพลังอื่นๆหาได้โชคดีเช่นนี้ไม่!


 


ตัวอย่างเช่นตำหนักฟ้าลี้ลับ ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอาศัยอยู่ ได้ถูกปีศาจวัวบุกเข้ามาเข่นฆ่าทำลายล้างช่วงชิงทุกสิ่งไปไม่มีเหลือ!


 


ไม่ว่าจะต้อยต่ำหรือสูงส่ง ตั้งแต่ศิษย์ชั้นนอกยันจ้าวตำหนักล้วนถูกปีศาจวัวกลืนกินหมดสิ้น…มีเพียงอาวุโสและศิษย์บางคนเท่านั้นที่โชคดีหลบหนีมาได้


 


ในบรรดาผู้ที่สามารถหลบหนีรอดชีวิตมาได้ ก็มีคนที่ต้วนหลิงเทียนรู้จักมักคุ้นและเคยมีสัมพันธ์ที่ดีด้วยกันอยู่เช่นกัน คนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหวางเฟยเซวียน สตรีห้าวหาญที่ชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆต้วนหลิงเทียนคนนั้นนั่นเอง


 


หลังจากที่หวางเฟยเซวียนหลบหนีออกมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้ นางก็ย้อนกลับไปยังคฤหาสน์ดาบทรราชของนาง อนิจจาทันทีที่นางกลับมาถึงนางก็พบเจอแต่ซากปรักหักพักและซากศพแห้งกรังไร้ชีวิต


 


หนึ่งในซากศพแห้งกรังที่นางพบ ก็คือปู่ของนางเอง


 


“ท่านปู่!”


 


หวางเฟยเซวียนได้แต่ทรุดตัวลงร่ำไห้น้ำตานองหน้าข้างๆศพของปู่นาง ร่ำร้องคร่ำครวญออกมาแทบขาดใจ…


 


ปู่ของนางก็คือผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชน์ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว…ในเมื่อปู่ของนางยังตายตก เช่นนั้นทุกคนก็ไร้หนทางรอด…


 


สภาพใจสลายของนางยามนี้ แลดูช่างน่าเวทนาชวนให้ผู้คนสงสารจับใจ


 


เนิ่นนานกว่าหวางเฟยเซียนจะหยุดร้อง นางลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า


 


ประกายเย็นเยียบส่องสว่างขึ้นจากลูกตา…บัดนี้โทสะในใจลุกไหม้ดั่งเพลิงไฟ ปานจะเผาผลาญได้ทุกสิ่ง


 


“สัตว์ประหลาดหัววัวนั่น ดูเหมือนจะเรียกตัวเองว่านักรบชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัว…แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวคืออันใดกันล่ะ?”


 


ในขณะที่ใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หวางเฟยเซวียนพอคิดถึงศัตรูของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะสับสน


 


เพราะนางไม่เคยได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวมาก่อน


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจวัวนี้อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับผุดโผล่จากอากาศว่างเปล่า พลังฝีมือของพวกมันกล้าแข็งสูงส่งนัก เรียกว่าท้าทายสวรรค์ก็ไม่เกินเลย!


 


กระทั่งเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังถูกฆ่าในกระบวนท่าเดียว


 


เมื่อคิดถึงฉากที่นักรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวฆ่าล้างระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างง่ายดายปานบดขยี้มดปลวก หวางเฟยเซียนก็รู้สึกไร้พลังขึ้นมาในใจอีกครั้ง


 


นาจะมีวันแก้แค้นได้จริงหรือ?


 


ยังหลงเหลือความหวังที่จะแก้แค้นอยู่หรือไม่?


 


หลังออกจากคฤหาสน์ดาบทรราช หวางเฟยเซวียนก็ร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมาย ระหว่างทางนางก็พบซากศพแห้งกรังทีถูกกลืนกินพลังทั้งเลือดเนื้อมากมายนัก


 


ซากร่างแห้งเหี่ยวเหล่านี้ปานหมุดที่คอยตอกย้ำทิ่มแทงลงกลางใจ ทำให้นางแทบพังทลายอยู่รอมร่อ


 


สุดท้ายกระทั่งตัวหวางเฟยเซวียนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนตัวเองถึงร่อนเร่พเนจรมาทางตำหนักเมฆาครามได้


 


อาจเป็นเพราะบุรุษที่นางชอบโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม?


 


หรืออาจเพราะนางคิดว่าตำหนักเมฆาครามแข็งแกร่งที่สุด การพึ่งพิงตำหนักเมฆาครามสมควรปลอดภัยที่สุดก็ไม่อาจทราบได้…


 


เพราะเรื่องนี้หวางเฟยเซวียนไม่ได้คิด เพียงเดินทางมาตามใจเท่านั้น


 


แน่นอนว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้เลย


 


ตอนนี้หลังจากที่เขากล่าวปฏิเสธข้อเสนอของผู้พิทักษ์ชิงหั่วเรื่องรับศิษย์จนอีกฝ่ายจากไปโดยไม่กล่าวใดต่อแม้ครึ่งคำ ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปยังเขตที่พักของศิษย์ชั้นยอดทันที


 


ในอดีตเขาเองก็เคยพักอาศัยอยู่ในเขตที่พักดังกล่าว


 


ที่เขามาที่นี่วันนี้ เพราะคิดตามหาใครคนหนึ่ง


 


คนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อีกฝ่ายเป็นศิษย์ชั้นยอดที่เขาพบเจอและกล่าวถามทางมายังเขตที่พักแห่งนี้ ในตอนที่เขามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์วันแรก


 


กวนซิ่ว!


 


ต่อมาเขาได้มีเรื่องราวกับหยางเหวิน จนไปประลองเป็นตายกันที่สังเวียนเป็นตาย กวนซิ่วผู้นี้ก็ถึงกับทุ่มแทเดิมพันจนหมดตัวอย่างไร้ความลังเลเพื่อเขา


 


ดังนั้นแม้เขาจะไม่ได้ข้องแวะกับกวนซิ่วมากนัก แต่ก็พอรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีและเชื่อถือได้


 


เช่นนั้นเขาที่คิดแผนหลบหนีไปจากลัทธิบูชาไฟ และจำต้องพึ่งพาใครสักคน ก็ฉุกคิดถึงกวนซิ่วขึ้นมาก่อนใคร


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”


 


เมื่อได้พบกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง กวนซิ่วรู้สึกตื่นเต้นยินดียากระงับ เร่งทักทายออกมาอย่างกระตือร้นร้น


 


อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นคนที่เห็นทุกย่างก้าวของต้วนหลิงเทียนตั้งแต่มาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จนก้าวสู่จุดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ว่าได้


 


“เจ้าสบายดีหรือไม่กวนซิ่ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำทัก ก่อนที่จะทักทายอีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮ้า! ศิษย์พี่หลิงเทียนยังจดจำข้าได้ด้วยหรือ!?”


 


เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวเรียกชื่อตัว กวนซิ่วถึงกับประหลาดใจไม่น้อย


 


“แน่นอนว่าต้องจำได้…หากจำไม่ได้แล้วข้าจะมาหาเจ้าทำไมเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ


 


“เอ๋ ศิษย์พี่หลิงเทียนมาหาข้าหรือ?แล้วไฉนอยู่ๆศิษย์พี่ท่านถึงได้มาหาข้าได้เล่า?”


 


จังหวะนี้กวนซิ่วพยายามรงับอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ และกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัยทั้งคาดหวัง


 


“ข้ามาหาเจ้าตอนนี้ เพราะมีเรื่องคิดขอให้เจ้าช่วยเหลือน่ะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปตรงๆ


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียนมีเรื่องใดโปรดกล่าว…หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยท่าน!”


 


เมื่อได้รับรู้ว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับมาหาเพื่อขอให้มันช่วย กวนซิ่วถึงกับกล่าวให้คำมั่นออกไปอย่างแน่วแน่


 


ในสายตาของกวนซิ่ว


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ศิษย์พี่หลิงเทียนคนนี้ช่วยให้มันได้รับคะแนนสะสมมากมายในวิหารเป็นตาย อาศัยแค่ตัวตนสูงส่งอย่างศิษย์พี่หลิงเทียนยังสามารถจดจำศิษย์ตัวเล็กๆเช่นมันได้  ไม่ว่าอีกฝ่ายใช้ให้มันทำอะไร หากมันกระทำได้มันย่อมยินดีกระทำ!


 


“ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก…”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถึงเรื่องที่จะให้กวนซิ่วช่วย ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าขอให้กวนซิ่วช่วยเหลือเรื่องที่จะทำให้เขาหลบออกจากลัทธิบูชาไฟได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น โดยการนำบางสิ่งไปวางไว้ในหุบเขาอันรกชัดร้างผู้คนทางตอนใต้ของลัทธิบูชาไฟ ห่างออกไปหลายพันลี้…


 


และสิ่งของที่เขาคิดให้กวนซิ่วนำไปวางไว้ที่นั่นก็คือกล่องเล็กๆใบหนึ่งที่ไม่อาจใส่ไว้ในแหวนพื้นที่ได้


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างการเคลื่อนย้ายขนส่งกล่องใบนี้ก็คือ ห้ามทำให้มั่นสั่นไหวเด็ดขาด กระทังแรงสั่นสะเทือนบางเบาก็ไม่ได้!


 


“ส่วนกล่องเล็กๆที่ข้าว่า เจ้าจะเจอมันที่กิ่งไม้ฝั่งซ้ายบนต้นไม้ต้นนั่น พรุ่งนี้ข้าจะลอบเอามาวางไว้แต่เช้า”


 


ขณะอธิบายให้กวนซิ่วฟังต้วนหลิงเทียนก็ชี้มือไปทางต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ในเขตบ้านพักของกวนซิ่ว


 


“นอกจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรอคนมารับของ เพียงแค่นำกล่องเล็กๆนั่นไปให้ถึงที่หมายแล้ววางเอาไว้ในพื้นที่ปิดก็พอ…หลังจากนั้นเจ้าก็กลับได้เลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวอธิบายออกมารวดเดียวจบ กวนซิ่วก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


 


‘กล่องเล็กๆแต่มิอาจใส่ไว้ในแหวนพื้นที่ได้งั้นหรือ อีกทั้งยามเคลื่อนย้ายห้ามสั่นไหวแม้แต่นิดเดียว…ช่างเถอะ! ในเมื่อศิษย์พี่หลิงเทียนมาขอให้ข้าช่วย ต้องมีเหตุผลที่ต้องระวังถึงขั้นนั้นเป็นแน่!แต่เรื่องเพียงเท่านี้ข้าย่อมทำได้ไม่ยากเย็น!!’


 


หลังต้วนหลิงเทียนจากไป กวนซิ่วแม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าที่แท้เป็นกล่องอะไรกันแน่ แต่มันก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย


 


เกรงว่าต่อให้หลับกวนซิ่วก็ไม่อาจฝันถึง


 


ต้วนหลิงเทียนให้มันช่วยพาตัวเขาออกจากลัทธิบูชาไฟ!


 


กล่องขนาดเล็กนั่น เขาทำเพื่อเก็บเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติไว้ด้านใน


 


และหากเขาอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ที่บรรจุอยู่ในกล่องนั่นล่ะก็ ขอเพียงในระหว่างเคลื่อนย้ายกล่องใบเล็กไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ ตัวเขาก็จะไม่ถูกขับออกมาจากเจดีย์


 


เพราะเรื่องนี้เขาถึงได้กำชับให้กวนซิ่วฟังอย่างละเอียดว่าห้ามทำให้กล่องใบนั้นสั่นไหวเด็ดขาด! เพราะหากกล่องสั่นไหว เจดีย์ในกล่องย่อมสั่น มิติที่ในเจดีย์ที่ยังเสถียรไม่มากพอย่อมขับเขาออกมาทันที และเรื่องเจดีย์อาจถูกเปิดเผยได้!


 


จากเรื่องนี้ก็เผยให้เห็นว่า


 


ต้วนหลิงเทียน เพื่อที่จะออกจากลัทธิบูชาไฟแล้ว เขาถึงกับกล้าเสี่ยงครั้งใหญ่!


ตอนที่ 2,065 : ออกจากลัทธิบูชาไฟ!


 


กวนซิ่วนั้น สำหรับลัทธิบูชาไฟแล้วก็เป็นแค่ศิษย์ชั้นยอดธรรมดาๆที่ไม่สลักสำคัญอะไร


 


ถึงแม้จะเคยพบปะต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง แต่มันย่อมไม่ตกเป็นเป้าของศัตรูที่จ้องจะเล่นงานต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงคิดให้กวนซิ่วช่วยเหลือ


 


และไม่ว่าจะเมื่อวานหรือวันนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ระมัดระวัง ทั้งระแวงขณะเดินทางมายังบ้านพักของกวนซิ่วอย่างถึงที่สุด


 


เขาให้ผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติตรวจสอบอย่างละเอียดแทบจะทุกย่างก้าวว่ามีใครจับตาดูเขาจากที่ลับบ้าง เพื่อที่เขาจะใช้เส้นทางเลี่ยงหลบสายตาของผู้ที่ซุ่มจับตาดูเขา จนมาถึงเขตที่พักของเหล่าศิษย์กระทั่งบรรลุถึงต้นไม้ในเขตบ้านพักของกวนซิ่วได้อย่างไร้ผู้ใดล่วงรู้


 


‘หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี’


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ว่างกล่องเล็กๆดังกล่าวไว้บนกิ่งไม้ที่ฝานเป็นร่องอย่างดี แน่นอนว่าในกล่องไม้ก็มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ย่นย่อขนาดแล้วตั้งอยู่


 


หลังจากนั้นเมื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่มีใครเห็น ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปในห้วงคิดเดียว


 


หลังจากนั้นเขาก็แค่รอให้กวนซิ่วมาพบกล่องไม้เล็กๆ


 


ขณะเดียวกันเหล่าคนที่ถูกส่งให้มาจับตาดูต้วนหลิงเทียนที่บ้านพัก ก็พบว่าในคฤหาสน์กลับไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ เสมือนต้วนหลิงเทียนได้หายตัวไป!และไม่ว่าจะพยายามแผ่สำนึกเทวะไปค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบคน!!


 


พวกมันจึงเร่งกระจายข่าวให้หน่วยอื่นทันที


 


เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา ก็มีกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์มากมายเหินร่างว่อนไปทั่วน่านฟ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังเขตแทน่บูชาจตุรลักษณ์


 


ตอนนี้พวกมันมีวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


 


จับตาดูผู้ที่เข้าออกลัทธิบูชาไฟทุกคน ว่ามีต้วนหลิงเทียนปะปนออกไปด้วยหรือไม่


 


หากต้วนหลิงเทียนออกเดินทางจากลัทธิบูชาไฟจริง พวกมันจะแบ่งกำลังคนส่วนหนึ่งสะกดรอยตามต้วนหลิงเทียนไป ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็เร่งรุดกลับไปแจ้งผู้สั่งการทันที


 


ต้องกล่าวเลยว่ากว่าต้วนหลิงเทียนโชคดีนักที่ไม่คิดออกจากลัทธิบูชาไฟตรงๆ


 


หาไม่แล้วต่อให้มีความช่วยเหลือจากผู้เฒ่าหั่ว จนออกจากคฤหาสน์ได้อย่างไม่มีใครล่วงรู้ แต่เขาก็ไม่อาจหาทางหลบออกจากลัทธิบูชาไฟเงียบๆได้ ภายใต้สายตาเฝ้ามองของคนจำนวนมากขนาดนี้อยู่ดี…


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนสามารถปลอมแปลงรูปโฉมได้


 


ทว่าเขาสามารถปลอมได้แค่รูปโฉมเท่านั้น แต่รูปร่างของเขาไม่อาจปลอมได้!


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่กล้าเสี่ยง


 


เพราะหากเป็นคนที่จับตาดูเขานานพอ ย่อมจดจำรูปร่างเขาได้แม้จะแปลงโฉม!


 


ในขณะเดียวกัน เขตที่พักของศิษย์ชั้นยอดบนเกาะศักดิ์สิทธ์


 


ต่างจากพื้นที่โดยรอบของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทธิบูชาไฟที่มีผู้คนเข้าออกพุ่งพล่าน สถานที่แห่งนี้นับว่าสงบสุขนัก


 


ในขณะที่คนของหอคุมกฏถูกต่งหยวนจิ้นสั่งให้ไปเฝ้าทางเข้าออกรอบแท่นบูชาจตุรลักษณ์ จับตาดูทุกคนที่เดินทางออกจากลัทธิบูชาไฟ ก็มีร่างหนึ่งเปิดประตูออกมาจากบ้านศิลาของเหล่าศิษย์ยอด


 


ในเมื่อคนผู้นี้ออกมาจากบ้านพักของศิษย์ชั้นยอดได้ หมายความว่ามันเป็นศิษย์ชั้นยอดคนหนึ่งของดินแดนศักดิสิทธิ์


 


“ถึงเวลาทำตามที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนบอกแล้ว…”


 


ศิษย์ชั้นยอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือกวนซิ่วที่ต้วนหลิงเทียนมาหาเมื่อวาน และเป็นตัวแปรสำคัญที่จะตัดสินว่าต้วนหลิงเทียนจะออกจากลัทธิบูชาไฟได้อย่างปลอดภัยหรือไม่!


 


ตราบใดที่กวนซิ่วไม่กระทำผิดพลาดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็สามารถออกจากลัทธิบูชาไฟได้อย่างง่ายดาย


 


ไม่นานกวนซิ่วก็เดินออกมาจากบ้านจนมาถึงต้นไม้ที่ต้วนหลิงเทียนชี้ไว้ และได้พบกับกล่องใบเล็กที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกไว้บนกิ่งไม้ที่ถูกฝานออกเป็นร่องจริงๆ…


 


ถึงแม้กวนซิ่วจะอยากรู้อยากเห็นนักว่าที่แท้ในกล่องใบเล็กนี้มีสิ่งใดเก็บไว้กันแน่


 


แต่มันก็เชื่อฟังคำของต้วนหลิงเทียนเป็นที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะใช้มือจับกล่องเล็กๆดังกล่าวด้วยกลัวว่าจะสร้างความกระทบกระเทือน…ยิ่งไม่กล้าคิดเปิดกล่องออกมาชมดูว่ามีอะไรเก็บไว้


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียนอย่าได้กังวล…งานที่ท่านมอบหมายให้ข้าทำ ข้าจักทำให้ดีที่สุด!”


 


กวนซิ่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะผนึกพลังหอบหิ้วกล่องเล็กๆขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มันสั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเหินร่างออกจากเขตที่พักทันที


 


และเมื่อเหินร่างออกจากดินเกาะหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว กวนซิ่วก็มุ่งหน้าลงใต้


 


ไม่นานมันก็มาถึงอาณาเขตแท่นบูชาเต่าทมิฬ 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้


 


ถึงแม้จะมีกฏของลัทธิบูชาไฟห้ามไว้ ว่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในแท่นบูชาจตุรลักษณ์เด็ดขาด แต่ศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถเหินร่างโดยใช้ทางเบี่ยงข้างๆแท่นบูชาเต่าทมิฬเพื่อออกจากลัทธิบูชาไฟได้อย่างสะดวก


 


ตลอดการเดินทางนอกจากจ่ายพลังประคองทั้งคุมกันกล่องเล็กๆในมืออย่างระมัดระวังถึงที่สุดแล้ว กวนซิ่วก็ไม่สนใจสิ่งใดอื่นเลย


 


กระทั่งไม่ทราบด้วยซ้ำว่าระหว่างเดินทาง ไม่รู้มีอาวุโสเพลิงเงินกี่คนต่อกี่คนที่มองมาที่มันเพื่อตรวจสอบรูปร่างหน้าตา


 


แน่นอนว่ามันย่อมไม่อาจรู้ตัวว่ามีอาวุโสเพลิงเงินตรวจสอบมันมากมายหลายคน เพราะเมื่อทั้งหมดพบว่ามันไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีใครคิดจะมาสนใจอะไรมัน


 


“หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น…”


 


ตลอดการเดินทางต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ได้แต่ลุ้นระทึก และภาวนาให้ทุกเรื่องราวผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อย่าได้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น…


 


เขาไม่ได้ห่วงเรื่องที่กวนซิ่วจะตกเป็นเป้าหมายสักเท่าไร


 


ถึงแม้อาวุโสเพลิงเงินที่ซุ่มจับตาดูอยู่จะพบว่ากวนซิ่วมีพฤติกรรมประหลาดๆ อย่างถือกล่องเล็กใบหนึ่งเอาไว้ด้วยความระมัดระวังผิดปกติก็ตามที


 


เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่าอาวุโสเพลิงเงินทั้งหลายที่ซุ่มจับตาดูในที่ลับ…จะล่วงรู้ว่าเขา ต้วนหลิงเทียน ได้ซ่อนตัวอยู่ภายในกล่องใบเล็กๆที่กวนซิ่วใช้พลังถือไว้อย่างระวังถึงที่สุดนั่น!


 


ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่ห่วงเรื่องใดอื่น เพียงห่วงเรื่องที่กวนซิ่วจะเผลอทำให้กล่องใบเล็กสั่นไหว จนทำให้มิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้รับผลกระทบจนขับร่างเขาออกไปต่างหาก!


 


เพราะหากเขาถูกขับออกมาจากเจดีย์ตอนนี้ล่ะก็ อาวุโสเพลิงเงินที่ซ่อนตัวอยู่คงพบตัวเขาได้ทันที!


 


ถึงตอนนั้นแผนการออกจากลัทธิบูชาไฟของเขาคงล่มไม่เป็นท่า!


 


ยังโชคดีที่กวนซิ่วคนนี้นับว่าเชื่อถือได้!


 


กล่องเล็กๆถูกพลังโอบอุ้มไว้อย่างดี แม้มันจะเหินร่างเดินทางมานับร้อยๆลี้แล้ว แต่ก็ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย!


 


‘กวนซิ่วคนนี้นับว่าใช้การได้ดีทีเดียว…บุญคุณครั้งนี้ข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำไว้อย่างดี’


 


หลังออกจากลัทธิบูชาไฟมาได้หลายร้อยลี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนในเจดีย์ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


ถึงแม้ตอนนี้กวนซิ่วจะพลั้งเผลอทำกล่องสั่น จนทำให้เขาถูกขับออกมาจากเจดีย์ แต่พวกที่จับตาดูอยู่ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้อีกต่อไป


 


ในลัทธิบูชาไฟตอนนี้ ในบรรดาคนที่เขามีเรื่องด้วย อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างหลี่อันไม่ถือว่าเป็นอะไรได้อีก มันก็แค่ตัวตนเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น


 


เพราะนอกจากหลี่อันแล้ว คนที่เขาต้องระวังมากกว่าก็คือ ต่งหยวนจิ้น และจ้าวแท่นบูชามังกรคราม!


 


หากกวนซิ่วเผลอทำเขาหลุดจากเจดีย์ในเขตที่มีคนของทั้ง 3 จับตาดูอยู่ล่ะก็ หากเขาย้อนกลับเข้าเขตลัทธิบูชาไฟไม่ทัน พวกมันทั้ง 3 ได้เร่งรุดมาฆ่าเขาตายคาที่แน่!!


 


ด้วยความเร็วของกวนซิ่วระยะทางเพียงแค่ไม่กี่พันลี้ มันเดินทางไม่นานก็บรรลุถึง


 


“ที่นี่ใช่สถานที่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนบอกไว้หรือไม่นะ…ป่ารกชัด เขา…”


 


กวนซิ่วพึมพำกับตัวเองเบาๆ มองไปยังป่ารกชัดและเขาลูกหนึ่งใต้ฝ่าเท้า


 


ครู่ต่อมามันก็โรยร่างลงไปบนยอดเขา พยายามวางกล่องใบเล็กไว้ในจุดที่สังเกตเห็นง่ายที่สุดทว่าอับลม ก่อนที่จะเหินร่างจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง


 


หลังจากยืนยันได้ว่ากวนซิ่วจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที ก่อนที่จะเก็บเจดีย์ไว้กับตัวอย่างดี ส่วนกล่องเล็กๆก็เพียงโยนไปเก็บไว้ในแหวนมิติ


 


“ในที่สุด! ข้าก็ออกมาได้!!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนยอดเขากลางป่ารกชัดร้างผู้คนรู้สึกยินดีปรีดานัก!


 


คราวนี้นับว่าเขาลอบออกจากลัทธิบูชาไฟโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้สำเร็จ และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพวกระดับสูงทั้งหลายเพ่งเล็งเล่นงานอีกต่อไป อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจ!


 


‘ออกจากลัทธิบูชาไฟคราวนี้ ข้าต้องยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณและพลังฝึกปรือให้ได้โดยเร็วที่สุด’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ลืมวัตถุประสงค์ในการออกจากลัทิบูชาไฟของเขา


 


หากไม่ใช่เพราะเขาต้องดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น มายกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง เพื่อให้พลังฝึกปรือเพิ่มพูนสูงขึ้นโดยเร็วที่สุดล่ะก็ เขาก็ไม่อยากอยู่ห่างจากลัทธิบูชาไฟแม้แต่ก้าวเดียว


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ภรรยาและลูกสาวของเขาก็ถูกขังอยู่ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ ชีวิตของทั้งคู่อาจตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา!


 


ตอนนี้เขาต้องเร่งบ่มเพาะพลังให้สูงพอที่จะช่วยเหลือทั้งคู่ออกมาจากหอคุมกฏให้ได้ ก่อนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟจะออกจากการปิดด่านฝึกฝน


 


อนิจจาในลัทธิบูชาไฟมีกฏอันเข้มงวดนัก คิดกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้คนในนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


 


ทว่าหากเป็นด้านนอกเรื่องราวกลับแตกต่างออกไป


 


‘อย่างไรก็ตามต่อให้ข้าอยากกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของคนอื่นเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองมากเพียงใด ข้าก็ไม่อาจลงมือกับผู้บริสุทธิ์ได้…หากข้ากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณไม่เลือกเช่นนั้นข้าจะต่างอะไรจากเดียรัจฉานและผู้ฝึกมารชั่วๆ’


 


แต่ไหนแต่ไร ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเปลี่ยนเจตนาเดิมของเขาเลย


 


เขาไม่คิดทำร้ายผู้บริสุทธิ์หากไร้เหตุผลจำเป็น


 


ถึงแม้ตอนนี้เขาอยากจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่คิดทำให้ผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไร้ความผิดต้องมาตกเป็นเหยื่อของเขา


 


‘ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า สมควรมีสถานที่เหมาะๆให้ข้าใช้ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้โดยไวอยู่แน่’


 


ต้วนหลิงเทียนมุ่งหน้าลงใต้ด้วยใจวาดหวัง


 


ไม่กี่วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พบเมืองๆหนึ่ง เขาเลือกที่จะหยุดพักเพื่อหาข้อมูลในเมืองดังกล่าว เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเขาสมควรไปที่ไหนถึงจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้เร็วๆ


 


‘สถานที่ๆเหมาะสมให้ข้ากลืนกินยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้อย่างไม่ผิดมโนธรรมในใจ สมควรเป็นเป็นสถานที่ๆมีคนชั่วไปสุมหัวรวมตัวกันอยู่เยอะๆ…จะเมืองคนบาปก็ดี รังโจรก็ดี หากสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกชั่วนั่น อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรในใจ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบเหลาอาหารที่ดูคึกคักและมีคนเข้าใช้บริการมากที่สุด จึงเดินเข้าไปทันที


 


หลังจากสั่งสุราอาหารที่เป็นของขึ้นชื่อไม่กี่อย่าง เขาก็เงี่ยหูฟังเรื่องราวโดยรอบ


 


เหลาอาหารนั้นเป็นสถานที่ๆสามารถรับข้อมูลได้ง่ายที่สุด


 


ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าหากนั่งอยู่ในเหลาอาหารนานพอ เขาต้องได้เบาะแสเกี่ยวกับสถานที่ๆเต็มไปด้วยพวกชั่วช้าอำมหิตแน่นอน


 


เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ทันไรก็เข้าสู่ช่วงเที่ยง


 


เหลาอาหารก็ยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนไม่เปลี่ยน มีชีวิตชีวานัก


 


ในเหลาก็มีคนที่มาดื่มกินมากมาย ผู้ที่ปล่อยตัวให้ฤทธิ์สุราเคี่ยวกรำจนมึนเมาก็พล่ามเรื่องราวไปเรื่อย อนิจจาแม้มีเรื่องราวมากมาย แต่กลับไร้เบาะแสเรื่องสถานที่ๆมีคนชั่วอยู่เยอะๆอย่างที่ต้วนหลิงเทียนต้องการ


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่รีบร้อนอะไร ยังคงนั่งฟังบทสนทนาของผู้คนไปเรื่อยๆ


 


วันแรกไม่ได้ข่าวเขาก็กลับไปบ่มเพาะพลังในโรงเตี๊ยม เช้ามาก็ไปนั่งฟังเรื่องราวต่อ


 


วันที่ 2 ไม่ได้ข่าวสารอะไร เขาก็ได้แต่กลับไปด้วยความขุ่นใจ


 


จนเมื่อวันที่ 3 ยังไม่ได้ข่าวอะไร ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะถามผู้คนบ้างแล้ว


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนสามารถกล่าวถามผู้คนได้ตั้งแต่แรก แต่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น


 


เพราะถึงแม้เขาจะขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนได้สักพักแล้ว แต่เวลาส่วนใหญ่ของเขากลับอยู่ในลัทธิบูชาไฟ เขาแทบไม่รู้เรื่องราวในภูมิภาคเบื้องบนเลย กระทั่งตอนนี้เรื่องไหนเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อน และผู้คนที่นี่สนใจอะไรกันบ้างเขาก็ไม่รู้


 


เมื่อมีโอกาสแล้วเขาก็คิดฉกฉวยไว้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มสุรา ล้วนกล่าวเรื่องราวออกมามากมายนัก บางเรื่องก็แปลกประหลาดอย่างีท่เขาไม่อาจจินตนาการได้ถึง


 


“จริงสิพวกเจ้ารู้เรื่องนี้รึยัง…ข้าไปได้ยินมาว่าเมื่อราวๆครึ่งปีที่แล้วสวนสมุนไพรของราชันเม็ดยาซุนยิงถูกผู้คนยกเค้า…อีกทั้งเห็นว่าผู้ที่ทำการปล้นสมุนไพรทั้งกระสัยยาชั้นเลิศในสวนของมันไป กลับเป็นผู้ฝึกตน 3 คนที่พึ่งขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนหยกๆอีกด้วย!”


 


ทันใดนั้นเองเสียงของคนผู้หนึ่งในเหลาอาหารพลันดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน และทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)