War sovereign Soaring The Heavens 2041-2044
ตอนที่ 2,041 : ก่านหรูเยี่ยนตกตะลึงยกใหญ่
“ใช่!”
ได้ยินคำถามของก่านหรูเยี่ยน เมิ่งฉีไหนเลยจะกล้าไม่ตอบ ยังรีบตอบออกไปทันที
“มิใช่เจ้าว่ามันพึ่งเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟเราไม่นานหรือ? ไฉนถึงมีคะแนนสะสมมากนัก?”
ก่านหรูเยี่ยนกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ใบหน้านางยังเผยความสงสัยออกชัด
ได้ยินคำถามก่านหรูเยี่ยน เมิ่งฉีรีบกล่าวตอบออกมาด้วยรอยยิ้มทันที “ต้วนหลิงเทียนคนนั้นกล่าวไปยังพึ่งเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟเรามิถึงปีด้วยซ้ำ…แต่มันก็ก่อวีรกรรมใหญ่โตไม่น้อย พาลให้คนในลัทธิบูชาไฟเราฮือฮาอยู่บ่อยครั้ง”
หลังจากกล่าวเกริ่นออกมาเล็กน้อย เมิ่งฉีค่อยเข้าประเด็นหลัก “ที่มันมีคะแนนสะสมถึงล้านแต้ม ล้วนเป็นเพราะมันได้รับจากวิหารเป็นตาย ตั้งแต่วันแรกๆที่มันมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“หืม? วีรกรรมใหญ่โตทำให้คนในลัทธิบูชาไฟฮือฮาบ่อยครั้ง?”
ก่านหรูเยี่ยนอึ้งไปไม่น้อยหลังได้ยินวาจาประโยคแรกของเมิ่งฉี
ยิ่งมาได้ยินวาจาท้ายประโยคหลังของเมิ่งฉีนางก็ยิ่งงุนงงทั้งไม่เข้าใจ “ได้รับจากวิหารเป็นตาย? วิหารเป็นตายมีเรื่องดีๆเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ไฉนข้าจึงไม่ทราบ?”
“เรื่องนี้กล่าวไปต้องย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่มันมาทดสอบเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟที่แท่นบูชาเต่าทมิฬ…”
เมิ่งฉีเริ่มกล่าวถึงจุดเริ่มต้นความขัดแย้งของต้วนหลิงเทียนกับหลี่อัน ที่ต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายฆ่าหยางหวู่บุตรชายคนรองของหยางชงอาวุโส 5 วังอุดรไพศาลที่เป็นสหายสนิทของหลี่อันตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบแท่นบูชาเต่าทมิฬ หลังจากนั้นค่อยกล่าวถึงเรื่องของหยางเหวินที่เป็นบุตรชายคนโตของ หยางชง อาวุโส 5 วังอุดรไพศาลออกมา
ศิษย์ที่แท้จริงมีทั้งสิ้น 170 คน เช่นนั้นสำหรับก่านหรูเยี่ยนแล้วแม้จะไม่รู้จักและนึกหน้าหยางเหวินไม่ออก แต่ก็พอจำได้ว่ามีชื่อนี้อยู่ด้วย
นั่นเพราะแม้หยางเหวินจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงเหมือนกันกับนาง แต่พลังฝีมืออีกฝ่ายอ่อนด้อยถึงขั้นไม่ติดแม้กระทั่งทำเนียบยอดฝีมือ ก่านหรูเยี่ยนเลยไม่ให้ค่าอะไรมัน
เป็นธรรมดาที่ศิษย์ที่แท้จริงไร้อันดับอย่างหยางเหวินก็ไม่มีค่าพอให้นางสนใจ…
“หยางเหวินที่ว่าเป็นลูกชายคนโตของอาวุโส 5 วังอุดรไพศาลด้วย?”
เมื่อได้รู้ว่าหยางเหวินเป็นลูกชายคนโตของ หยางชง อาวุโส 5 ของวังอุดรไพศาล ก่านหรูเยี่ยนเพียงแปลกใจเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปกปิดเรื่องราวความเป็นมาได้นานถึงขนาดนี้
แต่แน่นอนว่าถึงแม้หยางเหวินจะมีความเป็นมาแบบนี้ แต่ก็ไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตานางอยู่ดี
ในแง่ของพลังฝีมือหยางเหวินอ่อนด้อยกว่านางมาก
ในแง่ความเป็นมาและเบื้องหลัง หยางเหวินยิ่งไม่อาจเทียบนางได้
“เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนฆ่าหยางหวู่ น้องชายของหยางเหวินตั้งแต่วันแรกที่เข้าลัทธิบูชาไฟเรา ทำให้ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หยางเหวินจึงไปหามันเพื่อชำระแค้นทันที แต่ต้วนหลิงเทียนกลับเป็นฝ่ายท้าหยางเหวินให้ไปลงนามในสัญญาเป็นตายเพื่อประลองเป็นตาย…”
กล่าวถึงจุดนี้เมิ่งฉีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ตอนแรกไม่ว่าจะเป็นหยางเหวินหรือศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนคิดว่าต้วนหลิงเทียนเพียงเสแสร้งแสดงละคร อาศัยหลักจิตวิทยาเพาะสร้างสภาวะข่มขวัญหยางเหวินเท่านั้น…ทว่าสุดท้ายแล้วกลับเป็นหยางเหวินที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายบนสังเวียนขึ้นมาจริงๆ”
ได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าหยางเหวินได้ ก่านหรูเยี่ยนก็ไม่แปลกใจอะไร
จากพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่เผยออกมาก่อนหน้า กระทั่งนางยังรู้ตัวดีว่ายังห่างกับต้วนหลิงเทียนหลายก้าวใหญ่ แล้วหยางเหวินที่อ่อนด้อยจนไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตานางจะเอาอะไรไปรอด
หลังจากนั้นเมิ่งฉีก็เริ่มอธิบายสาเหตุการได้รับล้านคะแนนของต้วนหลิงเทียนออกมา
ก่านหรูเยี่ยนจึงได้รู้ในที่สุด ว่าที่แท้ก็เป็นการเดิมพันของวิหารเป็นตายนี่เอง
‘เกาทัณฑ์ที่มันนำออกมานั่นสมควรไม่ธรรมดาแน่…หาไม่แล้วอาวุโสเนี่ยสุ้ยคงไม่ยอมให้มันจำนำถึง 200,000 คะแนนสะสมหรอก’
ก่านหรูเยี่ยนลอบกล่าวในใจอย่างลับๆ
เนี่ยสุ้ยก็เป็นเหมือนคนที่มาจากสายเดียวกับนางและอาจารย์ของนางอย่างผู้พิทักษ์ชิงหั่ว
หากจะลำดับอาวุโสกันจริงๆ เนี่ยสุ้ยก็เป็นเหมือนศิษย์พี่ของนาง
ด้วยเหตุนี้ทำให้นางค่อนข้างรู้จักกันกับเนี่ยสุ้ยดี และรู้ว่าเนี่ยสุ้ยคงไม่คิดทำอะไรเสียเปล่าอย่างเอา 200,000 คะแนนสะสมไปเสี่ยงในสิ่งที่อาจไม่คุ้มค่าเด็ดขาด
หลังได้รับทราบความเป็นมาของคะแนนสะสมล้านแต้มของต้วนหลิงเทียนแล้ว ก่านหรูเยี่ยนก็กล่าวถามเมิ่งฉีออกมาด้วยความสงสัยทันที “แล้วที่เจ้าบอกว่ามันก่อวีรกรรมใหญ่โตจนทำให้คนของลัทธิบูชาไฟฮือฮากกันอยู่บ่อยครั้งเล่า…”
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไหนเจ้าลองเล่ามาให้ข้าฟังดู?”
ก่านกรูเยี่ยนถามแกมสั่ง
นางเองก็อยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนไปสร้างคลื่นลมอะไรไว้บ้าง
เจอก่านหรูเยี่ยนถามแกมสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมิ่งฉีแม้จะขุ่นขึ้งใจ แต่มันก็ทำได้แค่อดทนและคอยตอบทุกเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนให้นางอย่างกระจ่าง
ได้ฟังเรื่องราวที่เล่าออกมาจากปากของเมิ่งฉี สีหน้าก่านหรูเยี่ยนก็เผยอาการตกตะลึงไม่น้อย
นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟได้ไม่ถึงปี จะก่อเรื่องราวได้มากมายถึงขนาดนี้!
วันแรกที่มาถึงแท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็หักหน้าหลี่อันอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ โดยการหักคอบุตรชายของสหายสนิทคาตา…
หลังจากนั้นก็บุกไปฆ่าศิษย์ 2 คนถึงแท่นบูชานกไฟ 1 ในบูชาจตุรลักษณ์…
ทว่าอาวุโสคุมกฏกับหอคุมกฏเลือกที่จะไม่มอบโทษประหารให้เพราะเห็นแก่รากวิญญาณสีน้ำเงิน
“ช้าก่อน…เจ้าบอกว่า พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นสีน้ำเงินหรือ?”
เมิงฉีที่กล่าวเล่าอยู่ถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีรากวิญญาณสีน้ำเงิน อยู่ๆก็ถูกก่านหรูเยี่ยนกล่าวขัดขึ้นมา
ก่านหรูเยี่ยนยังถามต่อออกมาด้วยสีหน้าสงสัย “เรื่องนี้เจ้าแน่ใจหรือ?”
เมิ่งฉีพอได้ยินก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา “รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นสีน้ำเงินไม่ผิดแน่…อะไร หรือแม่นางหรูเยี่ยนคิดว่ารากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นสีเหลืองด้วย?”
“รากวิญญาณสีเหลือง?”
ก่านหรูเยี่ยนย่อมไม่คิดจะตอบคำถามเหลวไหลนี้ของเมิ่งฉี
ต้องทราบด้วยว่าต้วนหลิงเทียนเพียงแก่กว่านางแค่ปีสองปีเท่านั้น แต่พลังฝีมือของอีกฝ่ายกลับอยู่เหนือนางมาก กระทั่งยังเป็นการก้าวหน้าขึ้นมาในเวลาอันสั้น…เช่นนั้นรากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะเป็นสีเหลืองไปได้ยังไง
กระทั่งเรื่องรากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นสีน้ำเงินนางก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่แล้ว!
เพราะด้วยความเร็วในการก้าวหน้าของต้วนหลิงเทียน ที่สามารถบ่มเพาะพลังมาได้ถึงขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้กล่าวว่าต้วนหลิงเทียนมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีคราม กระทั่งสีม่วงนางยังจะรู้สึกว่าน่าเชื่อถือมากกว่า
เพราะสุดท้ายแล้วนางก็รู้ถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วดี
“เจ้ากล่าวว่าต้วนหลิงเทียน ‘สมควร’ มีรากวิญญาณสีน้ำเงิน ไฉนเจ้าต้องกล่าวคำว่า สมควร?”
ก่านหรูเยี่ยนถามด้วยความสงสัย
“เป็นเพราะมีข่าวลือแพร่ออกมาว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้มีความสามารถในการปกปิดพรสวรรค์รากวิญญาณ บางทีรากวิญญาณสีน้ำเงินก็อาจไม่ใช่พรสวรรค์รากวิญญาณที่แท้จริง เผลอๆอาจจะเป็นสีครามหรือสีม่วงก็ได้”
เมิ่งฉีกล่าวออก “แต่แน่นอนว่าข่าวลือนี้ล้วนเหลวไหล และไม่สมควรเป็นความจริงไปได้”
ไม่ควรเป็นความจริงไปได้?
สำหรับคำนี้ของเมิ่งฉี ก่านหรูเยี่ยนย่อมไม่เห็นด้วย
เพราะในใจของนางตัดสินไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีรากวิญญาณสีครามหรือสีม่วงแน่นอน
จนกระทั่งเมิ่งฉีกล่าวเล่าถึงต้นตอพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน
‘อะไรกัน ด่านพลังของมันยังเป็นเพียงเซียนนภาขั้นต้นเท่านั้นหรือ…แต่ที่มันสามารถสยบเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนได้ล้วนเป็นเพราะเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 4 สาย รวมถึงเพลงกระบี่อันลึกลับ?’
ก่านหรูเยี่ยนถึงกับตกตะลึงครั้งใหญ่อีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นที่พึ่งข่มขวัญนางได้…ที่แท้ยังพึ่งบรรลุถึงเซียนนภาขั้นต้น?
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจก่านหรูเยี่ยนครั้งใหญ่แล้วจริงๆ
ต้องทราบด้วยว่านางไม่แม้แต่จะเห็นด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนลงมือทำลายปิ่นหยกของนางอย่างไร เพียงฟังจากเสียงแล้วเสมือนเสียงกระบี่ที่ฉับไวมากๆเท่านั้น…
ตอนนั้นนางยังคิดไปว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนแล้วเสียอีก…
แต่มาตอนนี้เมิ่งฉีพึ่งกล่าวบอกนางว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน ยังพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นเท่านั้น
อาศัยพลังฝึกปรือเซียนนภาขั้นต้น แต่มีพลังทัดเทียมเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน?
ถึงแม้จะไม่อยากเชื่อเพียงใด แต่เมื่อเมิ่งฉีถึงกับกล้ายืนยันออกมา นางจำต้องเชื่อ
ว่าต้วนหลิงเทียนอาศัยพลังฝึกปรือเซียนนภาขั้นต้น แต่สามารถเร่งเร้าพลังจนทัดเทียมได้กับเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนจริงๆ!
‘หากพลังฝึกปรือของมันยังพึ่งทะลวงถึงเซียนนภาขั้นต้น เช่นนั้นเรื่องที่พรสวรรค์รากวิญญาณจะเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินก็ไม่น่าแปลกอะไร’
ขณะเดียวกันก่านหรูเยี่ยนก็ลอบสรุปเรื่องราวในใจ
ครู่ต่อมาก่านหรูเยี่ยนยังได้รับทราบเรื่องราวอันน่าตกกใจอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ที่แท้ยังเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บด้วย!
นางย่อมรู้ดีว่านักรบมังกร 9 กรงเล็บหมายความว่าอะไร! ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นถึงนักรบ 9 กรงเล็บไปได้!!
“เวินเยี่ยนไม่ยอมรับคำท้าประลองเป็นตายของต้วนหลิงเทียน…สุดท้ายจึงถูกตบหน้าท่ามกลางผู้คนจนหน้าบวมเป็นหัวหมู โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้?”
ฟังเมิ่งฉีเล่าถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนตบหน้าเวิ่นเยี่ยนจนหัวบวมเป็นหมู ก่านหรูเยี่ยนรู้สึกสะใจนัก ยังคิดว่าตบได้ประเสริฐ!
‘น้องสาวเจ้านับว่ามีสายตามองบุรุษดียิ่ง…เพื่อช่วยเจ้าแล้วมันถึงกับกล้าบุกถ้ำพยัคฆ์แดนมังกร กระทั่งกล้าเสี่ยงล่วงเกินอาวุโสเพลิงทองเพื่อระบายโทสะให้เจ้า!’
ในตอนนี้ ภาพต้วนหลิงเทียนในใจของก่านหรูเยี่ยน เรียกว่าได้แปรเปลี่ยนไปพลิกฟ้าคว่ำดิน
ก่านหรูเยี่ยนย่อมรู้ดีแก่ใจ
ที่ต้วนหลิงเทียนสั่งสอนเวินเยี่ยนด้วยการตบหน้าให้อับอายนั้…ไม่ได้กระทำเพื่อนาง! แต่กระทำเพื่อน้องสาวตัวน้อยของนาง!!
อย่างไรก็ตามเมื่อก่านหรูเยี่ยนได้ทราบว่า ต้วนหลิงเทียนถึงขั้นกล้างัดข้อกับต่งหลินเพื่อให้ได้สิทธิ์มาที่หอคุมกฏ จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับต้องเสียหน้าครั้งใหญ่โดยการก้มหัวขอขมา! นางก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความกลัวขึ้นในใจ!!
ต่งหลินนั่น จะอย่างไรก็เป็นบุตรชายคนเดียวของรองจ้าวหอคุมกฏ!
ต้วนหลิงเทียนกล้าล่วงเกินอีกฝ่ายถึงขนาดนั้น แล้วยังต้องมาทำงานในหอคุมกฏตลอดทั้งเดือน นางตระหนักได้ทันทีว่าตลอดเดือนหลังจากนี้ต้วนหลิงเทียนต้องไม่มีคืนวันอันดีแน่นอน!!
บางทีต่งหลินอาจไม่ใช่คู่มือของต้วนหลิงเทียน แต่ในหอคุมกฏแห่งนี้อำนาจที่มันมีในมือย่อมไม่ใช่น้อย มันไม่จำเป็นต้องลงมือกับต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง!
“อาวุโสเมิ่งฉี ข้ามีเรื่องคิดรบกวนท่านสักครา”
ก่านหรูเยี่ยนหันไปมองเมิ่งฉีแล้วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที
“แม่นางหรูเยี่ยนคิดให้ข้าช่วยเหลืออันใด ขออย่าได้เกรงใจโปรดกล่าว”
ใบหน้าเมิ่งฉียังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ
สำหรับมันแล้วสตรีเบื้องหน้าไม่ต่างอะไรจาก ‘ท่านย่าน้อย’ ของมันแม้แต่นิดเดียว! เพราะหากมันกล้าทำให้อีกฝ่ายขัดใจ ผู้พิทักษ์ชิงหั่วที่รักและเอ็นดูนางยิ่งกว่าอะไรยังไม่มาถลกหนังหัวมันได้หรือ? กระทั่งหากโดนแค่ถลกหนังหัว มันยังต้องขอบคุณสวรรค์ด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายไว้ชีวิตมัน!!
“เจ้าช่วยนำหยกบันทึกเสียงนี่ไปมอบให้อาจารย์ของข้าที”
ก่านหรูเยี่ยนหยิบหยกบันทึกเสียงออกมาชิ้นหนึ่ง ก่อนที่จะควบเสียงผ่านพลังบันทึกลงตัวหยกแล้วยื่นส่งให้เมิ่งฉี
“ได้”
เมิ่งฉีกล่าวตอบตกลงก่อนจะรับหยกบันทึกเสียงมา
และสิ่งที่ก่านหรูเยี่ยนบันทึกไว้ในหยกบันทึกเสียงดังกล่าวก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากให้อาจารย์ของนางช่วยดูแลคุ้มครองต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
แน่นอนว่านางไม่ได้บอกอาจารย์ว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้คือน้องเขยของนาง เพียงบอกว่าเขาเป็นสหายที่นางพบเจอยามออกไปขัดเกลาฝึกฝนด้านนอก และอีกฝ่ายได้ทุบตีเวินเยี่ยนจนหัวบวมเป็นหมูเพื่อนาง
เหตุผลที่ไฉนก่านหรูเยี่ยนจึงยกเรื่องเวินเยี่ยนขึ้นมากล่าว เป็นเพราะนางคิดกระตุ้นความแค้นของอาจารย์ที่เห็นเวินเยี่ยนเป็นศัตรูนั่นเอง
อาจารย์ของนางย่อมเกลียดเวินเยี่ยนเป็นที่สุด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนแจ้งจับนาง!
ตอนที่ 2,042 : รองจ้าวหอคุมกฏ ต่งหยวนจิ้น!
อย่างไรก็ตามแม้อาจารย์ของนางจะแค้นเวินเยี่ยนมากเพียงใด แต่ก็ไม่สะดวกที่จะลงมือกับเวินเยี่ยนด้วยตัวเอง
เพราะสุดท้ายแล้วอาจารย์ของนางก็เป็นถึง 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ไหนเลยจะลงมือกับศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปน่ากลัวคงทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะว่าเป็นเฒ่าพันปีรังแกเด็ก!
เรียกว่าถึงตอนนั้นไม่เพียงแค่ลัทธิบูชาไฟ กระทั่งทั่วภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงเห็นอาจารย์นางเป็นตัวตลก
“ต้วนหลิงเทียน ที่ข้าช่วยเจ้าได้ก็มีแค่เท่านี้…”
หลังเมิ่งฉีจากไป ก่านหรูเยี่ยนก็ได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ
ในขณะที่เมิ่งฉีนำหยกบันทึกเสียงของก่านหรูเยี่ยนออกจากเรือนจำ และกำลังจะออกเดินทางจากหอคุมกฏเพื่อไปส่งมอบของนั้น
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้กลับมาถึงส่วนที่พักในหอหลักที่หอคุมกฏจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
หลังกลับมาถึงส่วนที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาหลิวอวิ๋นทันที
เขาย่อมจดจำสิ่งที่เขารับปากหลิวอวี่ได้ดี
“ศิษย์น้องหลิงเทียน เจ้าได้พบธิดาเทพกับลูกสาวของนางหรือไม่?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกลับมา หลิวอวิ๋นที่อดไม่ไหวก็กล่าวถามออกมาทันที
“ไม่”
ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มขื่นขมพร้อมส่ายหน้าไปมา “ทั้งคู่ไม่ได้ถูกขังรวมกับก่านหรูเยี่ยน…ข้าจึงได้พบแค่ก่านหรูเยี่ยน”
“น่าเสียดาย…”
หลิวอวิ๋นถอนหายใจออกเฮือกหนึ่งหลังได้ยินคำต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวปลอบออกไป “ศิษย์น้องหลิงเทียนเจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะลองคุยกับท่านบรรพชนดูอีกครั้ง…ดูว่าพอจะมีทางไหนให้เจ้าได้พบธิดาเทพกับลูกสาวได้บ้าง”
“ขอบคุณศิษย์พี่หลิวอวิ๋นมาก” แม้จะรู้ดีว่าคำของหลิวอวิ๋นยากจะเป็นจริงได้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกขอบคุณไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็รับทราบถึงความหวังดีจากอีกฝ่ายชัดเจน
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น”
ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็แปรเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง ฟันกรามขบแน่นเล็กน้อย กล่าวคำออกมาราวกับตัดสินใจได้แล้ว…
“หืม?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็ชักทีท่าขึงขังจริงจัง หลิวอวิว๋นอดไม่ได้ที่จะสงสัย กล่าวถามออกมาว่า “ศิษย์น้องหลิงเทียน เจ้าใช่มีเรื่องใดในใจหรือไม่…เป็นเรื่องสำคัญหรือ?”
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น แม้พวกเราจะพึ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ในใจข้ายึดถือท่านเป็นสหายคนหนึ่ง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง หลิวอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามประโยคถัดมาของต้วนหลิงเทียน ทำให้สีหน้าหลิวอวิ๋นชะงักค้างไปทันใด
“แต่ข้าหวังว่าหลังจากนี้ พวกเราควรอยู่ให้ห่างกันเอาไว้!”
นี่เป็นประโยคที่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวอวิ๋นจางหายไปอย่างสมบูรณ์ มันยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ “ศิษย์น้องหลิงเทียน ที่เจ้ากล่าวที่แท้เป็นเรื่องใดกันแน่ หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่คู่ควรเป็นสหายเจ้า?”
น้ำเสียงของหลิวอวิ๋นเริ่มเปลี่ยนไป
“ย่อมไม่ใช่”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าหลิวอวิ๋นกำลังเข้าใจผิด อดไม่ได้ที่จะยิ้มกล่าวออก “ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น ในใจข้าท่านเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง…ไม่ใช่แค่เพียงสหายแต่เสมือนคนในครอบครัว! นอกจากนี้ต่อให้ท่านมีตัวคนเดียวข้าก็ยังจะตัดสินใจเช่นนี้”
“ถึงข้าจะมาอยู่ลัทธิบูชาไฟได้ไม่นาน แต่ข้าก็มีเรื่องบาดหมางกับผู้คนไม่น้อย…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่งหลิน ที่บิดาของมันเป็นถึงรองจ้าวหอคุมกฏ แม้ข้าจะไม่คิดกลัวมัน…แต่ข้าก็ไม่อยากฉุดลากท่านกระทั่งตระกูลของท่านให้จมปลักโคลนนี้ไปกับข้าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาจากใจ
“ท่านบรรพชนให้เจ้าทำแบบนี้ใช่หรือไม่?”
สีหน้าหลิวอวิ๋นบิดเบี้ยวไปไม่น้อย กล่าวออกเสียงหนัก
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น เรื่องที่ข้าไม่อยากทำให้ตายข้าก็ไม่กระทำ แต่เรื่องที่ข้าอยากกระทำไม่ต้องมีผู้ใดให้กระทำข้ายังกระทำ…ครั้งนี้เป็นข้าตัดสินใจกระทำด้วยตัวเอง! ระหว่างข้าท่าน มิตรภาพพวกเราล้วนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ช่วงนี้พวกเราสมควรเว้นระยะห่างกันไว้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม “ข้าสัญญากับท่าน ว่าข้าจะเร่งจัดการภัยคุกคามทั้งหมดให้ได้เร็ววัน…ถึงตอนนั้นข้ากับท่านก็ไม่จำเป็นต้องเล่นละครอะไรอีกต่อไป”
วาจาของต้วนหลิงเทียนทำให้หน้าหลิวอวิ๋นเปลี่ยนสี
“อย่าได้กล่าวแล้ว ข้าเพียงถอนตัวออกจากตระกูลเสียก็สิ้นเรื่อง!”
สุดท้ายหลิวอวิ๋นก็กกัดฟันกล่าววาจาถอนตัวออกจากตระกูลออกมา ด้วยวิธีนี้มันก็ไม่ต้องกลัววกุลหลิวที่อยู่เบื้องหลังจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย!
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด!”
ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย แต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นไม่เบา เขาไม่คิดเลยว่าหลิวอวิ๋นจะเลือกออกจากตระกูลเพื่อเขา!
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ปรับสีหน้า และมองไปทางหลิวอวิ๋นด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนที่จะเริ่มโน้มน้าวหลิวอวิ๋นอย่างจริงจัง
และในวันนั้น ก็มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นที่ห้องโถงใหญ่ของหอหลัก
ต้วนหลิงเทียนกับหลิวอวิ๋นที่เป็นสหายคล้ายจะมีปากเสียงอย่างหนัก ก่อนลงมือลงไม้กันถึงขั้นทำให้หลิวอวิ๋นบาดเจ็บ จากนั้นอาวุโสคุมกฏหลิวอวี่ก็ได้เข้ามายุติเรื่องราว ก่อนที่จะลงโทษหลิวอวิ๋นและต้วนหลิงเทียนทั้งคู่ที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันในห้องโถงเล็กน้อย
ต้วนหลิงเทียนกับหลิวอวิ๋นแตกหักกัน ต่างคนต่างอยู่เสมือนคนแปลกหน้า
เรื่องนี้ทำให้หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟตื่นตะลึงกันใหญ่
“ไฉนศิษย์พี่หลิงเทียนกับศิษย์พี่หลิวอิว๋นถึงได้แตกหักตัดสัมพันธ์กันเล่า…”
“นั่นสิ มิใช่ดูจากทีท่าตอนแรกทั้งคู่แลดูสนิทกันดีหรือไร ข้าไม่ทราบจริงๆว่ามีเหตุผลใดที่ทำให้ต้องทะเลาะถึงขั้นแตกคอกันเช่นนี้”
…
เมื่อเรื่องราวนี้แพร่ออกไปด้านนอก เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็แปลกใจกันไม่น้อย ต่างงุนงงสงสัยด้วยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“อะไร? พี่อวิ๋นกับศิษย์น้องหลิงเทียน…แตกหักกันแล้ว?”
หากจะถามว่าเรื่องนี้ใครได้รับผลกระทบมากที่สุดย่อมเป็น หลิวมู่
หากเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอย่างหลิวอวิ๋นแล้ว หลิวมู่ถือได้ว่ารู้จักต้วนหลิงเทียนมาก่อน ยังกล่าวได้ว่าที่หลิวอวิ๋นรู้จักต้วนหลิงเทียนได้ก็เพราะมัน
เท่าที่มันรู้ศิษย์น้องหลิงเทียนของมันไม่ใช่คนที่ทำอะไรอย่างไร้เหตุผล
หรือคราวนี้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของมันทำผิดต่อต้วนหลิงเทียน?
ยิ่งมาหลิวมู่ก็ยิ่งกังวลนัก ยังร้อนใจอยากไปหอคุมกฏเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหลิวอวิ๋น
อย่างไรก็ตามมันรู้ดีว่าหอคุมกฏไม่ใช่สถานที่ๆมันนึกอยากจะไปก็ไปได้ตามอำเภอใจ ทำให้แม้มันอยากรู้ว่าที่แท้หลิวอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนทะเลาะกันเรื่องอะไรกันแน่ แต่มันก็ไม่อาจไปได้
ทำได้แค่รอให้เวลาผ่านไป 1 เดือน เมื่อต้วนหลิงเทียนกับหลิวอวิ๋นสิ้นสุดระยะเวลาทำงานที่หอคุมกฏแล้ว มันค่อยไปถามไถ่เรื่องราว
ณ ห้องโถงหลักของหอคุมกฏ
ภายในห้องโถงหลักอันกว้างใหญ่ ต่งหลิน ในฐานะอาวุโสเพลิงทองแดงก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“ต้วนหลิงเทียนแตกคอกับหลิวอวิ๋นแล้วงั้นเรอะ?”
ได้ยินข่าวนี้ ต่งหลินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ย “ต้วนหลิงเทียนเจ้านับเป็นดาววิบัติโดยแท้…กว่าเจ้าจะมีสหายสักคนแต่สุดท้ายก็แตกคอกันจนได้ น่าเสียดายที่อาวุโสหลิวอวี่ลงโทษเจ้าเบาเกินไป”
“แต่อย่าคิดว่าอาวุโสหลิวอวี่ลงโทษเจ้าสถานเบา แล้วข้าจะปล่อยผ่านเรื่องราวครั้งนี้ไปง่ายๆ!”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต่งหลิน ก็ลุกออกจากโต๊ะ เดินออกจากห้องโถงหลักทันที
มันมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของหอคุมกฏ ซึ่งสถานที่แห่งนี้นี้เป็นดั่ง ‘เขตหวงห้าม’ ของหอคุมกฏก็ว่าได้
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆจ้าวหอคุมกฏและรองจ้าวหอคุมกฏรวมถึงอาวุโสระดับสูงไม่กี่คนใช้เป็นที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
แน่นอนว่าสำหรับอาวุโสทั่วไปและศิษย์ที่ทำงานในหอคุมกฏ สถานที่แห่งนี้เสมือนสถานที่ต้องห้ามที่ไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาได้…
ทว่าต่งหลินเป็นข้อยกเว้น
นั่นเพราะมันเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของรองจ้าวหอคุมกฏ ต่งหยวนจิ้น 1 ใน 3 ผู้มีอำนาจสูงสุดของหอคุมกฏลัทธิบูชาไฟ มันจะผ่านเข้าออกที่นี่เมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น
ภายในหุบเขาอันเงียบสงบ แว่วเสียงสกุณาตัวจ้อยขับขาน สายลมหอบกลิ่นไอดินทั้งความหอมของบุปผานานาพรรณพัดโชยมาในบรรยากาศ เคล้าคลอไปกับเสียงน้ำตก
บริเวณพื้นที่โล่งด้านหน้าน้ำตกปรากฏคฤหาสน์หลังหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้
คฤหาสน์ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาลำน้ำเช่นนี้ แลแล้วให้บรรยากาศสงบสบายไม่น้อย
วูบ!
คล้ายดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่งพัดผ่าน หน้าคฤหาสน์พลันปรากฏร่างต่งหลิน
“นายน้อย”
แทบจะพร้อมกันกับที่ต่งหลินมาถึง ชายชราในชุดผ้าธรรมดาคนหนึ่งไม่ทาบมาจากไหน แต่มันก็ปรากฏตัวขึ้นมากล่าวคำต้อนรับทันที
ชายชราผู้นี้ร่างกายผ่ายผอมนัก แลแล้วเสมือนกิ้งไม้แห้งเหี่ยวใกล้หักร่วงเต็มที
“เหล่าหยาง” ทว่าชายชราผู้นี้แม้แลดูธรรมดาไร้เรื่องราว ทว่าต่งหลินกลับทักทายอีกฝ่ายด้วยท่าทีเคารพ
นั่นเพราะชายชราเบื้องหน้า เป็นผู้ติดตามที่ดูแลรับใช้บิดามันมานานปี!
แต่มันรู้ดีแก่ใจ…
ความแข็งแกร่งของชายชราผอมแห้งเบื้องหน้า ไม่ได้ด้อยกว่าบิดาของมันมากนัก
หากเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟอย่างเป็นทางการล่ะก็ ชายชราผู้นี้ย่อมได้เป็นอาวุโสเพลิงทองแน่นอน!
“นายน้อยกำลังตามหานายท่านหรือ?”
ชายชรากล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสิ้นแรง ราวกับมันใกล้จะตายเต็มที
“ใช่”
ต่งหลินพยักหน้า ขณะเดียวกันในแววตาก็เผยประกายเคียดแค้นชิงชังออกมาอย่างไร้สิ้นสุด
ต่งหยวนจิ้นนั้นเป็น 1 ในรองจ้าวหอคุมกฏ รูปร่างหน้าตาของมันแลไม่ต่างอะไรจากชายวัยกลางคน ทว่าร่างกายของมันแข็งแรงบึกบึน ยามยืนอยู่เฉยๆในสวนด้านหลังคฤหาสน์ ยังให้ความรู้สึกคล้ายหอคอยเหล็กตั้งตระหง่าน
“ท่านพ่อ!”
ต่งหลินที่ถูกพามาโดยชายชราร่างผอม ไม่นานก็ได้พบต่งหยวนจิ้น มันประสานมือคารวะทักบิดาออกไปทันที
“อืม”
แม้จะอยู่ต่อหน้าบุตรชาย หากแต่ต่งหยวนจิ้นยังแลดูสง่างามเคร่งขรึมไม่น้อย
เพราะถึงแม้มันจะรักและถนอมบุตรชายคนนี้ปานแก้วตาดวงใจ แต่มันก็มักเข้มงวดกับบุตรชายเสมอด้วยกลัวว่าลูกชายคนเดียวของมันจะประพฤติตัวเหลวไหลเอาแต่ใจ เกียจคร้านการบ่มเพาะพลัง
และนั่นไม่ใช่อะไรที่มันอยากจะเห็น
ในโลกที่ยึดถือพลังเป็นที่สุด มีเพียงผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ
มันต่งหยวนจิ้น หากไม่อาจบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…มันย่อมมีวันตาย และหากเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่อาจอยู่ดูแลปกป้องลูกชายได้!
“ท่านพ่อ ข้า…”
ต่งหลินปริปากกล่าวคำ ทว่าไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกต่งหยวนจิ้นยกมือขัดไว้เสียก่อน
“เจ้ามานี่เพราะอยากให้ข้าสั่งสอนบทเรียนให้ต้วนหลิงเทียน?”
ต่งหยวนจิ้นที่ยกมือขัด กล่าวออกมาเสียงเฉย สายตาของมันกระจ่างราวเห็นซึ้งทุกสิ่ง
“ใช่”
ติ่งหลินยิ้มแหยเห็นฟันขาว ค่อยพยักหน้า
“ในฐานะบิดา ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองได้…อย่างไรเสียข้าได้ยินว่าเจ้าหนุ่มต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมีฝีมือมิใช่ชั่ว ยังมีฝีมือย่อยอันร้ายกาจถึงขั้นที่เจ้าทำอะไรมันไม่ได้เลย”
ต่งหยวนจิ้นกล่าวออก จากเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามันก็ได้สืบเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมาไม่น้อย
แต่แน่นอนว่าในสายตาของมันก็ไม่ได้เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นภัยคุกคามใดๆ
แม้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจถึงขั้นครอบงำเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนทั้งหมด และอาจเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม ต่งหยวนจิ้นในฐานะรองจ้าวหอคุมกฏ พลังฝีมือของมันเหนือกว่าอาวุโสเพลิงทองส่วนใหญ่ เท้าข้างหนึ่งของมันย่ำเหยียบธรณีประตูเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนแล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึง เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนด้วยซ้ำ กระทั่งสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนมันก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา!
ตอนที่ 2,043 : จูลู่ฉีตกอยู่ในอันตราย!
“ข้าไม่เอาไหน…ทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวัง…”
ได้ยินคำของต่งหยวนจิ้น ต่งหลินก็ได้แต่ก้มหน้าลงไปด้วยความอับอาย แววตาเผยประกายเย็นเยียบ
เป็นธรรมดาที่ประกายเย็นเยียบในแววตาไม่ได้เพ่งเล็งไปที่บิดา แต่เป็นต้วนหลิงเทียน!
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียน ไหนเลยมันจะต้องบากหน้ามาหาบิดาเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ?
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียน ไหนเลยมันจะได้ยินน้ำเสียงผิดหวังจากบิดามัน?
แต่ต้นจนจบต่งหลินโทษว่าเป็นความผิดของต้วนหลิงเทียนทั้งหมด!
มันไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะตัวมันไม่เอาไหนเลย
ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามันเป็นฝ่ายไปหาเรื่องต้วนหลิงเทียนก่อน
หากมันยังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ป่านนี้คงไปเร่งบ่มเพาะพลังฝีมือเพื่อล้างแค้นต้วนหลิงเทียนแล้ว ไหนเลยยังต้องถ่อมาหาบิดา?
“พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเจ้าล้วนเป็นสีน้ำเงินทั้งคู่…ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถล้างความอัปยศนี้ได้ด้วยตัวเอง อย่าคิดแต่จะพึ่งพาความช่วยเหลือจากข้า!”
ต่งหยวนจิ้นมองกล่าวกกับต่งหลินด้วยท่าทางจริงจัง ทว่าลึกลงไปในแววตาก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน “ทว่าครั้งนี้ข้าจะให้เหล่าหยางไปฝากฝังเรื่องราวไว้กับเถียนตง พรุ่งนี้เจ้าก็ไปหาเถียนตรงพร้อมเหล่าหยางเถอะ…”
ได้ยินคำของต่งหยวนจิ้น ลูกตาต่งหลินเผยประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที “อาวุโสเถียนตง!”
เถียนตงนั้นก็เป็นอาวุโสของหอคุมกฏเช่นกัน ยังเป็นอาวุโสเพลิงเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในหอคุมกฏ!
และด้วยความที่อีกฝ่ายมีหน้าที่การงานดีๆได้เช่นนี้ ก็เพราะมีบิดามันหนุนเสริม จึงกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของบิดามันก็ว่าได้!
เช่นนั้นแล้วพอมันได้ยินบิดากล่าวให้ไปหาเถียนตง มันก็ยินดีนักเพราะมันจะได้ใช้เถียนตงสั่งสอนต้วนหลิงเทียน
เมื่อเห็นว่าต่งหลินถึงกับแสดงความยินดีออกมาอย่างออกหน้าออกตา ที่จะได้อาศัยผู้อื่นจัดการความแค้นส่วนตัว ต่งหยวนจิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
แต่แม้มันจะผิดหวังมันก็ทำอะไรไม่ได้
ใครใช้ให้ลูกชายคนนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมันเล่า
ไม่ว่าลูกชายของมันจะเป็นคนไม่เอาไหนหรือไม่ แต่อย่างไรมันก็รักและเอ็นดูอีกฝ่ายที่สุด
มันเองก็ทนไม่ได้ที่มีใครมารังแกบุตรชาย
แต่เป็นธรรมดาที่แม้ต้วนหลิงเทียนจะรังแกบุตรชายมัน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้กระทำใดเป็นการล้ำเส้น มันจึงไม่คิดจะลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง
“ขอบคุณท่านพ่อ! เช่นนั้นลูกขอตัวลาไปก่อน!”
ไม่นานต่งหลินก็ดึงสติกลับมา มันรีบเร่งประสานมือกล่าวขอบคุณบิดาทันที ค่อยหันไปมองชายชราร่างผอมกล่าวว่า “เหล่าหยางเช่นนันวันนี้ข้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาหาท่านและไปหาอาวุโสเถียนตงด้วยกัน”
ก่อนกลับ ต่งหลินไม่วายหันมามองชายชราร่างผอมพร้อมกล่าวย้ำ
“ข้าไปก่อนแล้ว”
จนเมื่อได้เห็นชายชราร่างผอมพยักหน้า ต่งหลินค่อยจากไปด้วยใบหน้าเบิกบาน
มองแผ่นหลังต่งหลินที่จากไปไวๆ ชายชราร่างผอมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลอบกล่าวในใจ ‘นายน้อยเป็นเช่นนี้ ไหนเลยยังไม่ให้นายท่านผิดหวังได้…’
เรื่องที่ต่งหลินไปหาบิดาอย่างต่งหยวนจิ้น 1 ใน 2 รองจ้าวหอคุมกฏนั้น เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่อง
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างแข็งขัน!
เป้าหมายต่อไปของเขาตอนนี้ก็คือ ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง!
หากทะลวงผ่านแล้วล่ะก็ คราวนี้ต่อให้ไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์…แต่เขาก็สามารถเอาชนะเซียนสรรค์ 2 เปลี่ยนทั่วไปได้ด้วยพลังของเขา…แน่นอนว่าเป็นแค่เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนทั่วๆไป!
หากเป็นชนชั้นยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนอย่าง เวินเยี่ยน ต่อให้เขาจะทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลางแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะนางได้หากไม่พึ่งพากระบี่นิลสวรรค์
ยังนับประสาอะไรกับก่านหรูเยี่ยน
ชนชั้นยอดฝีมือของเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน แน่นอนว่ายังมีความต่างของพลังฝีมือไม่น้อย
อย่างเช่นก่านหรูเยี่ยนที่สามารถมีชื่ออยู่ในรายนามยอดเซียนได้ แม้จะเป็นอันดับท้ายๆ ทว่าเวินเยี่ยนกับหลิวอวิ๋นที่บรรลุด่านพลังเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนเช่นเดียวกัน กลับไม่อาจติดอันดับได้
‘หากข้าทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง ข้าควรเอาชนะศิษย์พี่หลิวอวิ๋นได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ‘แต่สำหรับยอดฝีมืออย่างก่านหรูเยี่ยน เกรงว่าข้าต้องทะลวงให้ถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดซะก่อน ถึงจะเอาชนะนางได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์…’
ต้วนหลิงเทียนได้เรียนรู้เรื่องราวไม่น้อยในระหว่างอยู่ที่ลัทธิบูชาไฟ
เขาเข้าใจพลังฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนดี
‘แต่ก่านหรูเยี่ยนก็ยังไม่ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน…หากข้าคิดเอาชนะเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนที่แข็งแกร่งที่สุดจริงๆโดยไม่พึ่งกระบี่นิลสวรรค์ น่ากลัวว่าพลังฝึกกปรือของข้าต้องบรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ’
ต้วนหลิงเทียนรู้ชัด
ขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นแม้จะอยู่ในขั้นเดียวกัน แต่ความต่างพลังก็ยังมีมากมาย
ยิ่งแต่ละการเปลี่ยนแปลงของขอบเขตเซียนสวรรค์ยิ่งแล้วใหญ่ ความต่างระหว่างหนึ่งเปลี่ยนเป็นอะไรที่กว้างใหญ่นัก!
เรียกว่าแต่ละเปลี่ยนไม่ได้ด้อยไปกว่าความต่างระหว่างผู้ฝึกตนเซียนมนุษย์กับเซียนปฐพี และเซียนปฐพีกับเซียนนภาแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนเร่งบ่มเพาะพลังฝีมือเป็นบ้าเป็นหลัง
เพราะเขารู้ดีแก่ใจ ว่าคิดจะช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกได้ มีเพียงต้องพึ่งพาพลังของตัวเองเท่านั้น
และเขาต้องพยายามยกระดับพลังฝีมือให้สูงพอจะช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกให้ได้ก่อนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟจะออกจากการกักตัวฝึกตน!
หาไม่แล้วยังจะมีใครบอกเขาได้บ้างว่าจ้าวลัทธิออกด่านมาแล้วมันจะทำอะไรกับเค่อเอ๋อและลูกสาวเขา?
ต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น!
ค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับต้วนหลิงเทียน คืนหนึ่งก็เทียบได้กับ 5 วันในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
เช่นนั้นพลังฝึกปรือของเขาก็กระเตื้องขึ้นไม่น้อย เข้าใกล้เซียนปฐพีขั้นกลางไปอีกก้าว
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากส่วนที่พักของหอคุมกฏ เพื่อไปรายงานตัวที่หอหลักและทำงานที่ได้รับมอบหมายให้นั้น
ภายในสภานที่อันมีบรรยากาศลี้ลับอึมครึมน่ากลัวแห่งหนึ่ง…ปรากฏร่างจูลู่ฉีกำลังเดินทางด้วยสายตาหวาดกลัว
ไม่ผิด
มันคือจูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่ก่อนหน้านี้ได้บ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยิน จนถูกยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องล่างรว่มมือกันตามล่าเพื่อฆ่าให้ตาย
อย่างไรก็ตาม หลังจากชำระความแค้นแล้ว จูลู่ฉีก็ได้กลับใจ และเลือกติดตามต้วนหลิงเทียนมายังภูมิภาคเบื้องบน จนได้เข้าร่วมกับแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของลัทธิบูชาไฟ
และเมื่อไม่นานมานี้ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ได้ร้องขอให้อาวุโสกัวฉงช่วยนำหยกบันทึกเสียงของเขาไปส่งให้จูลู่ฉี
ในหยกบันทึกเสียงล้วนเป็นคำขอให้จูลู่ฉีย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง เพื่อไปแจ้งบิดาเขาที่ตำหนักเมฆาครามให้เร่งอพยพผู้คนไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
เพราะสุดท้ายแล้วด้วยอำนาจของอาวุโสหลี่อันผู้เป็นถึงอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ไม่นานต้องพบเจอตัวตนของเขา และกระทั่งพบเจอตำหนักเมฆาครามของบิดาเขาแน่!
ภายใต้สถานการณ์คับขันวันนั้น เขาที่ได้เปิดเผยออกไปว่าเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ทำให้หลี่อันกับหยางชงได้รับเบาะแสสำคัญว่าเขาสมควรมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง
ด้วยอำนาจของหลี่อันกับหยางชง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะส่งคนมาสืบพบฐานะเขาได้ในเวลาอันสั้น
นั่นเพราะนามต้วนหลิงเทียนในภูมิภาคเบื้องล่าง แม้เขาจะไม่กล้าพูดว่าทุกคนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะรู้จักเขา แต่น่ากลัวว่าคนส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขาดี
ทำให้ไม่ว่าจะหลี่อันหรือหยางชง ขอเพียงส่งคนมาสืบเสาะเรื่องราว เกรงว่าคงไม่ทันข้ามวันต้องรับทราบแน่ว่าเขามาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม!
และถึงตอนนั้นตำหนักเมฆาคราม คงไม่อาจรอดพ้นหายนะ!
ภายใต้สถานการณ์ร้ายแรงดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงร้องขอให้จูลู่ฉีเร่งรุดเดินทางย้อนกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อส่งข่าวให้ต้วนหรูเฟิง!
ต้วนหลิงเทียนเชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถของบิดาเขา ทันทีที่ได้รับแจ้งข่าวทันท่วงที ย่อมมีวิธีจัดการเรื่องราว และสามารถหายเข้ากลีบเมฆจนยากที่จะมีใครพบเจอได้แน่
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับไม่คิดไม่ฝันเลย
ว่าจูลู่ฉีจะประสบกับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขณะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามแดน…
มันไม่ได้ถูกส่งตัวไปยังภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่กลับถูกส่งมาที่ใดก็ไม่ทราบ และบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้ก็น่าขนลุกนัก
สถานที่แห่งนี้มองไปเสมือนถูกชโลมย้อมไปด้วยสีเทา
ผืนฟ้ามืดมิดตลอดเวลา ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าที่แท้นี่มันกลางวันหรือกกลางคืนกันแน่
จูลู่ฉีเองก็ตระหนักได้หลังจากมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ไม่นาน
“สถานที่แห่งนี้มันเป็นสถานที่ผีสางอันใดกันแน่ ดูเหมือนจักมิใช่ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…”
จูลู่ฉีแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าอันมืดมิด ที่แลเห็นก็มีเพียงจันทร์สีเลือดที่ชวนสยดสยอง ให้ความรู้สึกมืดมนและน่าขนลุกพิกล
ฟ้าที่มืดมิดไร้ซึ่งสรรพแสงอื่นใด คงเหลือเพียงแสงจันทร์สีเลือดที่ย้อมโลกเบื้องหน้าให้เป็นสีเทา…
‘พลังวิญญาณฟ้าดินในสถานที่ผีสางนี่ช่างน้อยนิดยิ่งนัก ยังน้อยเสียยิ่งกว่าดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างเสียอีก…ข้ารู้สึกเสมือนเดินวนเวียนอยู่นานเป็นเดือนแล้ว แต่กลับมิมีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอันใด’
จูลู่ฉีเดินทางไปอย่างไร้จุดหมายมาเนิ่นนาน มองไปทางใดก็เห็นเพียงต้นไม้ไร้ใบ ต่างแห้งเหี่ยวเน่าเปื่อยผุพัง ชวนให้ขนพองสยองเกล้านัก
ด้วยไร้วันคืน ยิ่งทำให้มันไม่อาจล่วงรู้ ว่าที่แท้กาลเวลามันผันผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด
หากแต่ในความรู้สึก มันเสมือนตกอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายเดือน
แน่นอนว่าจูลู่ฉีรู้ดีว่าเวลายังไม่ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนั้น
เพียงเพราะบรรยากาศของที่แห่งนี้มันมืดมนชวนขนลุก ทำให้แต่ละวินาทีมันเนิ่นนานปานชั่วโมง
สำหรับสถานที่ๆคล้ายจะไร้ซึ่งสิ่งใดเช่นนี้ จูลู่ฉีย่อมบังเกิดความเบื่อหน่าย ทั้งหวาดระแวงไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม มันไม่รู้เลยว่าจะย้อนกลับไปได้อย่างไร
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับค่ายกกลเคลื่อนย้ายข้ามแดนกันแน่…ไฉนมันถึงส่งข้ามาสถานที่ผีสางเช่นนี้ แล้วที่นี่มันเป็นดินแดนบัดซบอะไรกัน!?”
แม้อารมณ์จูลู่ฉีใกล้พังทลายเต็มที แต่มันก็ยังสามารดึงสติกลับมาได้หลังระบายอารมณ์ และเริ่มมองสำรวจสถานที่โดยรอบอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
และในที่สุดมันก็ตระหนักได้ ว่าคล้ายมันกำลังวนเวียนอยู่ที่เดิม!
ทิวทัศน์โดยรอบเริ่มฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันกำลังวนเวียนในห้วงไร้ขอบเขต!!
“ค่ายกลลวงตา!?”
ทันใดนั้นใจจูลู่ฉีก็สั่นสะท้าน ร่างมันหยุดลงและไม่คิดไปไหนอีก
เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้เดินทางต่อไป มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์อันใด! เพียงอยู่นิ่งๆคิดหาวิธีเสียประเสริฐกว่า!!
“เคี๊ยกๆ…ดูเหมือนเจ้ามนุษย์นั่นจะรู้ตัวแล้ว…”
แทบจะพร้อมกันกับที่จูลู่ฉีหยุดร่างลงไม่เคลื่อนไหว พลันมีเสียงหัวเราะเยาะหนึ่งดังขึ้นเข้าหู…
ตอนที่ 2,044 : เผ่าพันธุ์ปีศาจ!
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงหัวเราะน่าขนลุกดังขึ้น ก็ปรากฏร่างสิ่งมีชีวิต ที่ตัวเป็นคนแต่หัวเป็นวัวขึ้นเบื้องหน้าจูลู่ฉี ทั่วร่างพวกมันยังมีไอสีดำน่ากลัวแผ่ซ่านออกมา!
และตอนนี้เองจูลู่ฉีพลันตระหนักได้ว่า
นอกจากแผ่นฟ้าที่มืดมิดไร้ดาวกับจันทร์สีเลือดที่แดงฉานกลางนภาแล้ว ไม่ว่าจะพื้นที่เปลี่ยวร้างหรือต้นไม้แห้งตายโดยรอบ…ได้มลายหายไปหมดสิ้น! ตอนนี้คล้ายมันอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง!!
สัตว์ประหลาดเบื้องหน้าก็ใช้ดวงตากลมโตสีแดงฉานมองมาที่มันเขม็ง
“พะ…พวกเจ้าเป็นตัวอะไร!?”
มองไปยังอสูรกายเบื้องหน้า จูลู่ฉีอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวัดกลัวเกาะกุมจิตใจ ยังคล้ายมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบไปทั่วไขสันหลัง นั่นเพราะอสูรกายเบื้องหน้าของมันให้ความรู้สึกอันตรายนัก!
อีกทั้งไอมารที่แผ่ซ่านไปทั่วกายของพวกมัน ก็เป็นไอมารที่บริสุทธิ์! ยังบริสุทธิ์ยิ่งกว่าไอมารของผู้ฝึกมารใดๆที่มันเคยพบพานมาชั่วชีวิต! กระทั่งมันที่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินยังมิอาจมีไอมารที่บริสุทธิ์ได้ถึงขนาดนี้!!
“มันเป็นมนุษย์จริงๆหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามของจูลู่ฉี อสูรกายประหลาดทั้ง 2 พลันหันมองหน้ากันด้วยสายตาตกใจ
“เมื่อครู่…มันถามว่าพวกเราเป็นตัวอะไรใช่หรือไม่?”
อสูรกายตัวหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่”
อสูรกายอีกตัวกล่าวตอบ ทีท่าของมันก็แลดูตื่นเต้นไม่ต่างกัน “เมื่อครู่ข้าใช้มนตร์ดำสำรวจมันดู ค่อยพบว่าพลังปีศาจบนร่างมันนั้นช่างแปดเปื้อนนัก…ที่แท้มันเป็นมนุษย์!”
“มนุษย์! ไฉนมันมาปรากฏตัวอยู่ในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งได้กัน!? หรือมันจะมาจากแดนเซียนในตำนานโบราณ!?”
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่านอกเหนือจากแดนสวรรค์และระนาบโลกียะอื่นๆแล้ว มีเพียงดินแดนเซียนที่มีอาณาเขตติดกับดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเราเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่!!”
“แต่มิใช่ว่าระหว่างดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเรากับแดนเซียนในตำนานนั่นมีม่านพลังมิติกั้นขวางอยู่หรือไร!? ยอดฝีมือของดินแดนที่ถูกทอดทิ้งเราได้ทุ่มกำลังทำลายม่านพลังนั่นมากว่าร้อยพันปีแล้ว แต่ก็ยังมิมีผู้ใดประสบความสำเร็จในการทำลายมันได้”
“หรือว่า…มนุษย์ผู้นี้มันพบรอยแยกของมิติ และหลงมาจากแดนเซียนจริงๆ!?”
……
อสูรกายมนุษย์หัววัวทั้งคู่สนทนากันราวกับที่นี่ไร้บุคคลที่ 3 ดำรงอยู่ และวาจาของพวกมันก็ทำให้จูลู่ฉีสับสนไม่น้อย มันเองย่อมได้ยินเรื่องราวของระนาบเทวโลกและระนาบโลกียะมาแล้ว
และนั่นก็คือแดนสวรรค์กับแดนมนุษย์ที่มันดำรงอยู่
ทว่าคำ ‘ดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง’ กับ ‘แดนเซียน’ นั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
แต่แน่นอนว่ามันยังตระหนักได้รางๆ
คำแดนเซียนที่อสูรกายประหลาด 2 ตัวนี้กล่าวถึง ไม่พ้นต้องเป็นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของมันแน่!
แต่คำดินแดนที่ถูกทอดทิ้งนั่น…แม้มันจะอยู่มาเนิ่นนาน แต่มันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ที่ไหนมาก่อน!
“พวกเจ้ามิใช่มนุษย์งั้นหรือ? แล้วพวกเจ้าที่แท้เป็นตัวอะไร!?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จูลู่ฉีรวบรวมความกล้ากล่าวถามออกไปตรงๆ มันอยากรู้นักว่าอสูรกายประหลาดเบื้องหน้าทั้ง 2 ที่แท้เป็นตัวอะไรกันแน่
ฟังจากบทสนทนาของพวกมันแล้ว ดูท่าพวกมันจะไม่ใช่มนุษย์!
ยิ่งไปกว่านั้นจูลู่ฉีไม่คิดว่าพวกมันจะเป็นสัตว์เซียน!
ปกติแล้วสัตว์เซียนกระทั่งสัตว์อสูรปีศาจ เมื่อสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว หากไม่อยู่ในร่างมนุษย์ ก็จะอยู่ในรูปลักษณ์เดิมเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในรูปลักษณ์ครึ่งๆกลางๆแบบนี้
นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันพบพานกับสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเหมือนคนแต่หัวเป็นวัว!
กระทั่งไม่ใช่แค่พบพานครั้งแรกเท่านั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์เช่นนี้ดำรงอยู่
“เมื่อครู่ มันถามว่าพวกเราเป็นตัวอะไรงั้นหรือ?”
อสูรกายทั้ง 2 เริ่มคุยกันอีกครั้ง
“อะไร มันไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ปีศาจ’ อย่างพวกเรามาก่อนงั้นหรือ?”
“อา…ข้าเดาว่ามันสมควรไม่เคยได้ยินเรื่องปีศาจอย่างเราๆมาก่อนแน่…”
“กระทั่งเรื่องที่พวกเราเป็นปีศาจมันยังไม่รู้…เช่นนั้นมันย่อมไม่รู้ว่าพวกเราคือเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวน่ะสิ! บัดซบ! ปีศาจวัวเกรียงไกรยิ่งใหญ่มันกลับไม่รู้จักได้อย่างไร? สมควรตาย!!”
“มันไม่รู้แน่แล้วจริงๆ หาไม่ป่านนี้มันต้องคุกเข่าลง!!”
บทสนทนาระหว่างอสูรกายครึ่งคนครึ่งวัวล้วนดังเข้าหูจูลู่ฉีชัดเจน และนั่นทำให้สีหน้าท่าทางของจูลู่ฉีเปลี่ยนไปมหันต์
“ปีศาจ? พวกเจ้าเป็นปีศาจเช่นนั้นหรือ?!”
จูลู่ฉีมองอสูรกายเบื้องหน้าด้วยสองตาเบิกโพลงปานเห็นผี “หากพวกเจ้าเป็นปีศาจ…เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ก็มิใช่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้วจริงๆ แต่เป็นแดนเนรเทศในตำนานงั้นหรือ!?”
จูลู่ฉีได้รับทราบถึงเรื่องราวของแดนเนรเทศมากจากหอตำราในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์
นอกจากการบ่มเพาะฝึกฝนแล้ว มันชมชอบอ่านบันทึกเรื่องราวต่างๆ
และตอนที่อยู่ในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว มันก็เคยอ่านเจอเรื่องราวของแดนเนรเทศในบันทึกโบราณเล่มหนึ่ง
จากตำนานกล่าวไว้ว่า ในอดีตกาลเนิ่นนานกว่าแสนปีมาแล้ว…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเคยทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ!
กล่าวกันว่าในยุคนั้น อยู่ๆก็ปรากฏปีศาจต่างปรากฏตัวออกมาบุกรุกดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว!
และในยุคนั้นถูกเรียกขานว่า ยุคมนุษย์ปีศาจ!
และสถานที่ๆเผ่าพันธุ์ปีศาจจากมา ผู้คนพากันเรียกว่าดินแดนเนรเทศ!
ในยุคมนุษย์ปีศาจนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์แทบจะถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจฆ่าล้างในมหาสงครามหมดสิ้น!
ในมหาสงครามดังกล่าว ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วฝ่ายมนุษย์จะเป็นฝ่ายเอาชนะมาได้ แต่ก็ต้องพบกับการสูญเสียไม่น้อย! ผู้ที่ไม่ใช่ชนชั้นยอดฝีมือถูกฆ่าราวผักปลา! ทั้งหมดเป็นได้แค่อาหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!!
ในช่วงเวลานั้น 3 ลัทธิก็พึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมา
กระทั่งผู้ฝึกมารก็เริ่มถือกำเนิด
ผู้ฝึกมารนั้น เป็นส่วนหนึ่งของผู้ฝึกตนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่ได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังของปีศาจที่ตกตายในการสู้รบ และด้วยเห็นว่าสามารถเพิ่มพูนพลังฝึกปรือได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาจึงเริ่มแพร่หลายออกไป กระทั่งมีการคิดค้นเคล็ดบ่มเพาะพลังโดยอาศัยแนวทางของเหล่าปีศาจผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด…
มหาสงครามรบราฆ่าฟันกันนานนับปี สุดท้ายเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้ถอยร่นกลับไปยังแดนเนรเทศ และพวกมันก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ทำให้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหวนคืนสู่ความสงบ ทำให้ผู้คนก็ค่อยๆลืมเลือนเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เข้ามารุกรานไปตามกาลเวลา
หลังจากนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค
และในปัจจุบันเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและแดนเนรเทศ ก็แทบถูกผู้คนลืมเลือนไปหมดสิ้น คงเหลืออยู่แต่ในบันทึกของ 3 ลัทธิที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ช่วงเวลานั้นเท่านั้น…
‘ตำนานกล่าวไว้ว่า…ย้อนกลับไปในอดีตกาล เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ใช้เวลานับล้านปีกว่าจะสามารถจัดตั้งค่ายกลปีศาจอันทรงพลัง ถึงขั้นทำลายกำแพงมิติกั้นแดน ระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้’
จู่ลู่ฉีเริ่มนึกย้อนถึงเรื่องราวในบันทึกที่เคยอ่านมา
‘ต่อมาเมื่อสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจเริ่มต้นขึ้น แม้จะประสบกับความสูญเสียถึงขั้นแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ แต่ในที่สุดผู้ฝึกตนชนชั้นสุดยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ปรากฏตัวออกมาจากทุกมุมโลก และร่วมมือกันเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจ จนสามารถรุกไล่พวกมันให้ถอยร่นกลับแดนเนรเทศไปได้ในที่สุด…จากนั้นสุดยอดฝีมือในยุคนั้นก็ได้สละชีวิต เพื่อสร้างค่ายกลผนึกอันทรงพลัง จนสามารถผนึกกำแพงมิติกั้นแดนเอาไว้ได้สำเร็จ…ปิดฉากกลียุคไว้เพียงเท่านี้’
‘เห็นว่าผนึกนั่นแข็งแกร่งนัก หากเผ่าพันธุ์ปีศาจคิดจะกลับมาอีกครั้งก็จำต้องใช้เวลานับล้านปีในการทำลายผนึก…แต่มิใช่ว่ายุคมนุษย์ปีศาจพึ่งผ่านไปได้ไม่กี่แสนปีหรือไร! ไฉนข้าถึงหลุดมาที่นี่ได้’
‘หรือนี่ข้า…จะบังเอิญตกเข้าไปในรอยแยกมิติ ในระหว่างที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามแดนทำงาน…จนถูกส่งมาแดนเนรเทศของเผ่าพันธุ์ปีศาจจริงๆ?’
คิดถึงจุดนี้สีหน้าจูลู่ฉีก็อัปลักษณ์ปั้นยากนัก
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีววันที่มันดวงซวยได้ถึงขั้นนี้!
แดนเนรเทศแห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่ๆมันควรอยู่!
“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!?”
ขณะเดียวกันด้านอสูรกายอัปลักษณ์ทั้ง 2 เมื่อได้ยินคำอุทานของจูลู่ฉี พวกมันก็หันไปมองจูลู่ฉีด้วยสองตาเบิกกว้าง!
“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือ!? ข้าจำได้ว่านั่นคือชื่อทวีปที่ใหญ่ที่สุดในแดนเซียน!!”
“ดูเหมือนว่าเจ้านี่จักมาจากแดนเซียนแล้วจริงๆ…พวกเราจับมันกลับไปเผ่าปีศาจวัวของพวกเราเถอะ! บางทีพวกเราอาจพบหนทางเข้าสู่แดนเซียนของมันได้!!”
“ตำนานกล่าวไว้ว่าแดนเซียนนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก มากล้นไปด้วยทรัพยากรมากมาย สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของพวกมันดีกว่าของพวกเราหลายเท่า! พวกมันยังมีแม้กระทั่งหินเซียนทั้งชีพจรเซียน!!”
อสูรกายหัววัวเมื่อคุยกันถึงจุดนี้ พวกมันก็มองจูลู่ฉีด้วยสายตาลุกวาวเจิดจ้า ทำราวกับมองสมบัติชั้นยอด!
และไม่ทันที่พวกมันจะกล่าวจบคำ ร่างจูลู่ฉีก็ปะทุพลังพุ่งร่างหลบหนีไปทันที!
อย่างไรก็ตามจูลู่ฉีพึ่งทะยานร่างออกไปได้ไม่ทันไร อสูรกายตัวเขื่องก็วูบมาดั่งเงาเลือน มือใหญ่โตของมันคว้าจับร่างจูลู่ฉีเอาไว้ปานพญาอินทรีย์จับลูกไก่!
ความแข็งแกร่งของทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!
อสูรกายทั้ง 2 แต่ละตัวล้วนสูงราว 3 หมี่! ตอนนี้หนึ่งในนั้นก็หอบหิ้วจูลู่ฉีเอาไว้ราวถือกระเป๋า!!
“ไป! พามันกลับไปที่เผ่าเรา!!”
หลังจากนั้นจูลู่ฉีก็ได้แต่ถูกปีศาจวัวทั้ง 2 จับตัวกลับไปอย่างไร้ซึ่งหนทางต่อต้านใดๆ
ฟังจากบทสนทนาของพวกมันแล้ว จูลู่ฉีก็ทราบได้ทันทีว่าปีศาจที่จับตัวมัน ก็คือปีศาจจากเผ่าพันธุ์ปีศาจวัว
‘ต้วนหลิงเทียน ขออภัยด้วยแต่ข้าคงมิอาจไปส่งข่าวให้บิดาเจ้าได้แล้ว…’
เมื่อถูกปีศาจวัวจับตัวแบบนี้ จูลู่ฉีมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าหลังถูกอีกฝ่ายล้วงความลับแล้ว…มันต้องตายแน่! และคงไม่อาจไปส่งข่าวให้ต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป!!
ตอนนี้มันได้แต่หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้ตัวโดยไว และเร่งย้อนไปภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพื่อส่งข่าวด้วยตัวเอง…
แต่แน่นอนว่ามันรู้ดีว่าเรื่องนั้นแทบเป็นไปไม่ได้
ดั่งคำกล่าว “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด”
เพราะในขณะที่จูลู่ฉีถูกปีศาจวัวจับตัวไปยังเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวนั้น
อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬหลี่อัน ก็ได้นำพาคนของหยางชงอาวุโส 5 แห่งวังอุดรไพศาลมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างสวัสดิภาพ!
“ข้าน้อยคารวะไต้เท้าทุกท่าน”
เมื่อผู้เฝ้ามองที่เป็นดั่งผู้พิทักษ์ภูมิภาคเบื้องล่าง พบเจอคณะเดินทางของหลี่อัน มันก็เร่งประสานมือคารวะด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมทันที
เพราะมันก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภาเท่านั้น
แต่กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้ามัน…ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว!
เรื่องนี้ในฐานะที่เป็นคนของขุมพลังชั้น 1 มันย่อมสัมผัสได้ไม่ยาก
“เจ้าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่?”
หลี่อันกล่าวพร้อมยกมือขึ้นมาคลี่รูปวาดม้วนหนึ่ง
ในรูปเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
คนที่อยู่ในรูปวาดก็คือ โฉมหน้าที่ต้วนหลิงเทียนได้ปลอมแปลงไปเข้าร่วมกับลัทธิบูชาไฟ
“มันอาจเป็นคนของภูมิภาคเบื้องล่าง และถ้ามันเป็นคนของภูมิภาคเบื้องล่าง หมายความว่าเจ้าย่อมต้องเคยพบเจอมัน”
หลี่อันกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าไอพลังของมันก็เพาะสร้างเป็นแรงกดดันไร้สภาพอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งกดทับไปยังร่างชายชราอันเป็นผู้เฝ้ามองของภูมิภาคเบื้องล่าง จนทำให้สีหน้าคนซีดลงถนัดตา ผู้ชราเร่งส่ายหัวกล่าวคำ “ข้าน้อยมิเคยพบเห็นมันมาก่อนเลยใต้เท้า”
และวาจาที่มันกล่าวก็เป็นความจริง
“มันเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน …เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่เคยพบเจอมันมาก่อน?”
หลี่อันกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“ต้วนหลิงเทียน?”
ทว่าหลังได้ยินชื่อนี้ ผู้เฝ้ามองอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ในแววตาเผยประกายสับสนระคนประหลาดใจออกมาทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น