War sovereign Soaring The Heavens 1916-1919
ตอนที่ 1,916 : ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
“พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ายังไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวงั้นเหรอ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงด้วยความประหวั่นหลังได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ‘บ้าน่า พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ายังไม่แม้แต่จะเป็นสีเขียวด้วยซ้ำ แต่สัมผัสข้ากลับไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินมากกว่าเดิม 2 เท่าแล้ว!’
‘แล้วนี่ถ้ารากวิญญาณของข้ามันกลายเป็นสีเขียวจริงๆ ไม่ใช่ว่าข้าจะไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินมากกว่านี้งั้นเหรอ!?’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าเฮือกใหญ่ ทั่วร่างสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าที่แท้พรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวจะเลิศล้ำเหนือกว่าพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลืองของเขามากมายขนาดนี้!
‘หากกระทั่งรากวิญญาณสีเขียวยังน่าทึ่งขนาดนี้…แล้วรากวิญญาณสีน้ำเงินล่ะ สีครามล่ะ กระทั่งสีม่วงล่ะ จะไม่เร็วหลุดโลกไปเลยรึไง!?’
คิดถึงจุดนี้ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ไหวจะสงบ กลายเป็นฟืดฟาดเร่งร้อนขึ้นทันที!
‘ปฐมเวทย์กลืนกิทำได้สำเร็จแบบนี้ ข้าย่อมสามารถสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณผู้อื่นมาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณข้าได้แน่นอน! นั่นหมายความว่าตราบใดที่ข้ายังใช้มันสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นต่อไป วันหน้าไม่ใช่แค่รากวิญญาณสีเขียว กระทั่งสีน้ำเงิน หรือสีม่วงข้าก็มีได้!’
‘เอาแค่รากวิญญาณสีเขียว ความไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินก็มากกว่าเดิมไม่รู้ตั้งกี่เท่า! แล้วสีอื่นเล่าไม่ไวเป็นจรวดเลยรึไง!?’
‘หากข้ามีรากวิญญาณสีม่วง พร้อมด้วยห้วงเวลาที่ไหลตัวช้าลงสิบเท่าของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…ในอนาคตความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้า ว่ายตามองทั่วแดนดินจะมีใครเทียบได้?’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกอื้ออึงทั้งคึกคักอักโขนัก ตอนนี้สองตาถึงกับลุกวาวดั่งดาราสกาวกลางราตรีกาล ในใจเห็นภาพอนาคตที่สดใสอย่างไร้สิ้นสุด!
‘แน่นอนว่าก่อนอื่นเลยต้องหาทางทำให้รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีเขียวให้ได้ซะก่อน…หนทางหมื่นลี้จำต้องเริ่มที่ก้าวแรก!’
หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับมาได้สำเร็จ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกคราค่อยหันมาตระหนักความเป็นจริงก่อนหน้า ‘พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนมันเป็นสีเขียว…ตามหลักแล้วพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าที่มีแค่สีเหลือง พอกลืนกินพลังของมันมาข้าก็น่าจะมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวทันที…’
‘อย่างไรก็ตามดูเหมือนในระหว่างกระบวนการกลืนกิน พลังบางส่วนของมันกลับสลายหายไปอย่างเสียเปล่าอย่างที่ผู้เฒ่าหั่วบอก เพราะแบบนี้ทำให้พลังของมันหลงเหลืออยู่แทบไม่ถึงครึ่ง รากวิญญาณของข้าจึงไม่กลายเป็นสีเขียว…’
‘แต่ผู้เฒ่าหั่วก็บอกว่าแม้ยังไม่สีเขียว แต่ตอนนี้รากวิญญาณของข้าก็ไม่ใช่สีเหลืองธรรมอีกแล้วมันเป็นสีเหลืองเข้ม…และเห็นได้ชัดว่าสัมผัสข้ากลับไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆกลายเป็นหนาแน่นกว่าเดิมถึง 2 เท่า! ดูเหมือนว่าแม้จะเป็นสีเดียวกันแต่ก็ยังแบ่งออกได้เป็นหลายเฉด สามหกเก้าอะไรทำนองนี้ ในเหลืองก็มีเหลืองอ่อนเหลืองเข้ม’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดทบทวนถึงหลายๆสิ่ง
‘ข้าอยากจะเห็นสีหน้าของกู่ชุนนี่ชะมัด ว่าตอนมันตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายร่อยหรอแทบไม่อาจสัมผัส กลายเป็นบ่มเพาะพลังได้เชื่องช้ายิ่งกว่าเต่าคลานแล้วมันจะทำหน้ายังไง! เกรงว่าต่อให้มันหลับก็ยังไม่เคยฝัน ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวของมันจะกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์รากวิญญาณข้าไปแล้ว!!’
มองกู่ชุนที่ยังสลบแทบเท้า มุมปากต้วนหลิงเทียนยกยิ้มแสยะออกมาอย่างชั่วร้าย
กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณทำลายอนาคตชั่วชีวิตกู่ชุนจนย่อยยับเช่นนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่แม้แต่จะมีเศษเสี้ยวของความรู้สึกผิด!
เพราะหากปล่อยให้กู่ชุนเติบโตต่อไป ก็รังแต่จะเป็นภัยต่อเขาในวันหน้าเท่านั้น!
ศัตรูน้อยลงอีกคนมีอะไรไม่ดี!
เรียกว่าตอนนี้เขาเสมือนพึ่งบีบคอทารกในเปลจนตาย!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
เพียงห้วงคิดจิตสั่งพลังเคลื่อน กระบี่สีทองมีสภาพนับหมื่นเล่มพลันอุบัติก่อตัวกลางความว่าง ขาขวาขยับคราหนึ่ง หวดเตะร่างกู่ชุนที่นอนไม่ได้สติจนลอยโด่งขึ้นมา ทันใดนั้นกระบี่พลังมีสภาพสีทองจ้าทั้งหมื่นเล่มก็คล้ายปิรันย่าพบพานเนื้อชุ่มเลือด พวกมันกรูกันเข้ามาเชือดเฉือนรุมทึ้งร่างกู่ชุนทันที!
อย่างไรก็ตามกระบี่พลังมีสภาพทั้งหมื่นเล่มไม่ได้ทะลวงทำลายจุดสำคัญหรือหั่นตัดอวัยวะใดมันทั้งสิ้น เพียงแค่แล่เนื้อเถือหนังออกไปเล็กน้อยกรีดเฉือนไปทั่วร่าง จนไม่อาจมองเห็นส่วนใดไม่มีแผลก็เท่านั้น…
“อ๊าคคคค!!”
ท่ามกลางเสียงกระบี่กรีดเนื้อนับพันนับหมื่นครั้ง พลันมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนตายดังขึ้น เป็นกู่ชุนที่สิ้นสติก่อนหน้าถูกความเจ็บปวดยากทานรับปลุกขึ้นมา มันอดร่ำร้องปานจะขาดใจออกมาเสียมิได้ คนล้มลงไปดิ้นบนพื้นทันที…
พร้อมกันกับที่กู่ชุนร่วงไปกองกับพื้นดั่งหมูถูกน้ำร้อนลวก เขตแดนหมื่นกระบี่ก็ถูกต้วนหลิงเทียนคลาย
ตอนนี้เองร่างอเนจอนาถหาส่วนที่ยังสมบูรณ์ดีไม่ได้ของกู่ชุน ก็เผยออกมาสู่สายตาเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่มาร่วมชมดูอีกครา…
เมื่อเห็นว่าทั่วร่างของกู่ชุนมีแต่แผล โลหิตทะลักออกมาเจิ่งนอง เนื้อตัวเหวอะหวะยับเยินจนไม่อาจมองได้เป็นผู้คน เหล่าศิษย์ทั้งหมดอดขนลุกขึ้นมาเสียไม่ได้ หลายคนก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ รู้สึกสยิวกายด้วยความกลัวจับใจ!
พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะลงมือได้โหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้!
ถึงแม้ว่าร่างกู่ชุนจะเป็นดั่งผ้าขี้ริ้วชุ่มเลือด แต่แน่นอนว่าบาดแผลเหล่านี้ก็ไม่ถือว่าร้ายแรงถึงตายแต่อย่างไร หากแต่ความเจ็บปวดที่เคี่ยวกรำไปทั้งร่างนั่นคงทำให้คนแทบขาดใจตายแน่แล้ว…
จุดนี้ทุกคนและเห็นได้ชัดเจนจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของกู่ชุน!
“อาศัยพลังฝีมือเพียงเท่านี้ คิดจัดการข้าให้หลี่อัน…เจ้ามันประเมินตัวเองสูงไป!”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองกู่ชุนที่นอนดิ้นโอดโอยบนพื้นด้วยสายตาเย็นชากล่าวคำด้วยน้ำเสียงปรามาส ก่อนที่จะเดินเข้าบ้านชั้น 3 และปิดประตูบ้านหน้าตาเฉย…
จนกระทั่งต้วนหลิงเทียนปิดประตูไปพักหนึ่งแล้ว ทุกคนค่อยดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อตัว และหันไปมองกู่ชุนอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าใบหน้ากู่ชุนยังเต็มไปดว้ยความเจ็บปวดถึงขั้นร่ำไห้น้ำตาไหล ดิ้นกระแด่วอยู่บนพื้น ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะสยิวกายขึ้นมาอีกครา ยังรู้สึกหนาวเยือกจับใจ “ต้วนหลิงเทียนช่างอำมหิตเหลือเกิน สวรรค์! จากวันนี้ยังจะมีผู้ใดกล้าไปหาเรื่องมันอีกเล่า…นั่นคือ ‘คนบ้า’ ที่ไม่กลัวกระทั่งอาวุโสหลี่อันด้วยซ้ำ!”
“ข้าว่าเจ้านั่นมันไม่น่าชื่อต้วนหลิงเทียนนะ…เปลี่ยนเป็นต้วนคุ้มคลั่งเถอะ!”
…
เหล่าศิษย์ใหม่ที่กลับมารู้สึกตัวก็หันหน้ามองสบตากันปริบๆ กล่าวแสดงความเห็นออกมาอย่างผวา ในแววตาแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กระทั่งเหล่าศิษย์เก่าก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว บางคนก็รู้สึกสยดสยองในใจนัก
ไม่นานหลังจากนั้นฉายา ‘ต้วนคุ้มคลั่ง’ ของต้วนหลิงเทียนที่หาญกล้าแตกหักกับศิษย์ของอาวุโสหลี่อันก็เริ่มแพร่กระจายออกไป จนศิษย์นับหมื่นของแท่นบูชาเต่าทมิฬแทบจะได้ยินกันทุกคน…
แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนั่นต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย
เพราะพลังจากเข้ามาในบ้านชั้น 3 และปิดประตูไม่รับแขกแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รีบแจ้นไปยังห้องนอนเพื่อเขาไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก่อนอื่นใด “ตั้งแต่ที่ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติฟื้นฟูสมบูรณ์ข้ายังไม่ว่างเข้าไปดูที…ขอชมหน่อยเถอะ!!”
ตั้งแต่ที่ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมแซมเสร็จ ต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้เข้าไปสักครั้ง
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาส
มาตอนนี้เขามีที่พักในแท่นบูชาเต่าทมิฬเป็นหลักแหล่งแล้ว แน่นอนว่าสิ่งแรกที่กระทำก็คือการเข้าไปชมดูชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
“ให้ตายเถอะ พลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นชะมัด!”
เพียงแค่ก้าวเท้าขึ้นมาถึงชั้น 4 ได้ไม่ทันไร สิ่งแรกที่ตีเข้าหน้าต้วนหลิงเทียนก็คือพลังวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นแน่นหนา!
นับว่าความพลังวิญญาณฟ้าดินของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันบริบูรณ์พร้อมพรั่งนัก ยังนับว่าหนาแน่นกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในบ้านพักชั้น 3 ที่มีค่ายกลรวมวิญญาณทับซ้อนกันสามค่าย ถึง 2 เท่า!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีที่พลังวิญญาณมันหนาแน่นได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณบ้านพักชั้น 3 ที่มีค่ายกลรวมวิญญาณทับซ้อนกัน 3 ค่าย!
เมื่อเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติตั้งอยู่ในห้องของบ้านชั้น 3 นั่นหมายความว่ามันจะยึดระดับพลังวิญญาณฟ้าดินในบ้านชั้น 3 เป็นฐาน พาลให้พลังวิญญาณฟ้าดินในเจดีย์มันเพิ่มตามไปด้วย
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีงามมากๆ!
“ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ..”
หลังจากนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มว่ายมองไปรอบๆชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มองไปทางใดก็พบพานแต่หมอกสลัวๆ และมีเพียงแท่นหินสีดำปานน้ำหมึกที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแท่นหนึ่งที่ลอยล่องอยู่กลางชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเท่านั้น…
บนแท่นมีบางสิ่งที่คล้าย ‘ไม่บรรทัด’ วางตั้งอยู่
ไม้บรรทัดนี้ยาวเพียง 3 ฉื่อเท่านั้น มันวางตั้งอยู่บนแท่นหินสีดำปานน้ำหมึกอย่างสงบ หากแต่มีอำนาจดึงความสนใจอย่างประหลาด
เมื่อเห็นไม้บรรทัดดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจหันมองอื่นใดได้อีก
เพราะไม้บรรทัดดังกล่าวไม่ทราบมีเวทมนตร์อันใด มันดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนไปได้อย่างสมบูรณ์!
“นี่น่ะเหรอยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…บรรทัดจักรวาล!”
วาจาครึ่งประโยคหลังของต้วนหลิงเทียนเผยความตื่นเต้นไม่น้อย แววตายังแลดูเร่าร้อนขึ้นมา
เรื่อง ‘สมบัติทั้ง 7’ ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้นผู้เฒ่าหั่วได้กล่าวบอกเขาเอาไว้แต่แรกแล้ว และสมบัติประจำชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็คือ…บรรทัดจักรวาล!
นอกจากนี้เท่าที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกเขา ยอดสมบัติที่เก็บอยู่ในเจดีย์นั้น ยิ่งอยู่บนชั้นสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังอำนาจสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หอกสวรรค์สงคราม! ที่เก็บอยู่บนชั้น 7 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มีพลังอำนาจไร้เทียมทานสยบพิชิตได้ทั้งแดนสวรรค์!!
(เปลี่ยนหอกนภาสงคราม เป็นหอกสวรรค์สงครามนะ)
พลังอำนาจไร้เทียมทานที่สามารถสยบพิชิตได้ทั้งแดนสวรรค์…นี่มันทรงพลังถึงระดับใดกัน!?
“แต่ก็นะ ถึงบรรทัดจักรวาลนี่แลดูน่าจะเบากว่ากระบี่นิลสวรรค์ แต่ข้าคงไม่มีปัญญายกมันขึ้นมาใช้ได้…”
ปรากฏว่าต้วนหลิงเทียนเดาได้ถูกเผง เขาเกร็งพลังออกแรงจนหน้าเขียวก็ทำได้แค่ยกบรรทัดจักรวาลขึ้นมาจากแท่นหินและถือดูอยู่พักหนึ่งเท่านั้น
แน่นอนว่าการยกขึ้นมาง่ายๆเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาต้องออกแรงจนหายใจแทบไม่ออก!
“นอกจากกระบี่นิลสวรรค์ที่ข้าสามารถใช้ได้เพราะยอดใจกระบี่แล้ว มีเพียงแต่ข้าต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ก่อนเท่านั้นถึงจะใช้ยอดสมบัติในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เหลือได้ แถมกระทั่งต่อให้ทะลวงผ่านไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีปัญญาใช้ยอดสมบัติสวรรค์ทั้ง 5 พวกนั้นได้…เพราะจะอย่างไรยอดสมบัติสวรรค์พวกนี้ ปกติก็มีไว้ให้เหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนอมตะใช้กัน…”
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็สามารถตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเอง
เซียนอมตะ ตัวตนที่เป็นดั่งเทวดาและนางฟ้าในโลกมนุษย์นั้น เป็นตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตเซียนสวรรค์ไปอีกที…
เมื่อผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์บรรลุถึง 9 เปลี่ยน จะสามารถชักนำทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ลงมาได้ เมื่อข้ามผ่านหายนะสายฟ้าไปได้สำเร็จทั้งเตรียมความพร้อมเสร็จเมื่อใด ก็จะถือว่าเป็นเซียนอมตะที่แท้จริง
เซียนอมตะนั้น แตกต่างจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง…
เพราะเซียนอมตะนั้นมีชีวิตยืนยาวไร้สิ้นสุด สามารถดำรงอยู่ได้จวบจนสวรรค์และโลกล่มสลายหากไม่ถูกผู้ใดฆ่าตายไปเสียก่อน
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เซียนอมตะเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้
ในขอบเขตเซียนสวรรค์เอง ตราบใดที่ฝึกฝนบ่มเพาะจนบรรลุถึง เปลี่ยนที่ 7 ‘ฝืนลิขิตสวรรค์’ ได้สำเร็จ ก็จะสามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้เช่นกัน
เปลี่ยนที่ 7 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น ที่เรียกว่าฝืนลิขิตสวรรค์…เพราะมันเป็นตามนั้นจริงๆ เพราะอายุขัยจะหาได้อยู่ที่สวรรค์ลิขิตอีกต่อไปไม่! ฝ่าฝืนสวรรค์จนเป็นผู้อมตะได้สำเร็จ!!
‘ตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าพัฒนาขึ้นมาแล้ว ด้วยสภาพแวดล้อมดีๆแบบนี้ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าสมควรเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก!’
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไร้อช้าสืบไป ลอยร่างนั่งขัดสมาธิกลางหาวเริ่มต้นโคจรบ่มเพาะพลังตามเคล็ด 9 มังกรทันที ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเข้าร่างอย่างหิวกระหาย!
หลังโคจรบ่มเพาะพลังไปได้ 7 วัน ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา และความเร็วในการบ่มเพาะก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกมีความสุขนัก!
‘ความเร็วในการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นรวดเร็วถึงขนาดนี้! ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้มากที่สุดข้าก็ใช้แค่ 2 ปีเท่านั้น ข้าต้องทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นกลางได้แน่!’
สองตาที่ลืมเปิดขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน ฉายประกายแห่งความมั่นใจออกมาเจิดจ้าปานดาราสกาว
แน่นอนว่า 2 ปีที่ต้วนหลิงเทียนพูดออกมา ก็หมายถึง 2 ปีในชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
และ 2 ปีบนชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแห่งนี้ โลกภายนอกก็เพียงราวๆ 2 เดือนเศษเท่านั้น…
ตอนที่ 1,917 : ทำความเข้าใจ เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ
เป็นที่รู้กันดีว่าเส้นทางแห่งการบ่มเพาะฝึกตน…ยิ่งมายิ่งยากเย็น!
หากเป็นต้วนหลิงเทียนในอดีตล่ะก็ ด้วยรากวิญญาณสีเหลืองร้ายๆของเขา เกรงว่าคิดจะทะลวงให้ถึงเซียนมนุษย์ขั้นกลาง…หากไม่ใช่เวลาสัก 8 หรือ 10 ปีเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้!
ทว่าตอนนี้เมื่อพรสวรรค์รากวิญญาณแปรเปลี่ยนไป ทั้งได้รับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันประเสริฐ ทำให้เวลาที่ใช้ในการบ่มเพาะนั่นย่นย่อจาก 8 ปี 10 ปี กลายเป็นสามารถบรรลุได้ในเวลา 2 ปีแทน!
‘หากพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าเป็นสีเขียวล่ะก็ ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะสูงขึ้นกว่านี้อีกมาก…กระทั่งหากข้ามีรากวิญญาณสีน้ำเงินเกรงว่าด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คงใช้เวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น!’
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ปั่นป่วนอีกครั้ง
เขาอยากจะพุ่งออกจากเจดีย์เหาะไปหาเหล่าอัจฉริยะนิสัยชั่วที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามสีม่วงซะเหลือเกิน จะได้ดักทุบหัวพวกมันแล้วสูบกลืนช่วงชิงพรสวรรค์รากวิญญาณของมันมาเสีย!
‘แต่ต่อให้เป็นลัทธิบูชาไฟ อัจฉริยะดั่งปีศาจที่มีรากวิญญาณสีครามก็คงไม่ได้มีมากมายอะไร แถมไม่รู้ว่าจะมีอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณสีม่วงอยู่ด้วยหรือไม่? หากข้าได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง ต่อให้พลังมันสูญไปกว่าครึ่งระหว่างการดำเนินการ แต่อย่างน้อยๆรากวิญญาณของข้าก็น่าจะกลายเป็นสีครามล่ะมั้ง!?’
พรสวรรค์รากวิญญาณสีคราม ก็เพียงอ่อนด้อยกว่าพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงเท่านั้น
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจต้วนหลิงเทียนก็ฟุ้งซ่านถึงขั้นไม่อาจบ่มเพาะพลังได้อีกต่อไป
ตอนนี้เขากระหายอยากออกไปจับตัวผู้คนแล้วสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมันเสียให้เหี้ยน!
แต่แน่นอนล่ะว่าต้วนหลิงเทียนทำเพียงแค่คิดเท่านั้น
เขาไม่ใช่เดียรัจฉานเลือดเย็นไร้หัวใจ หากผู้อื่นไม่ร้ายต่อเขาก่อน ตัวเขาก็ไม่มีความคิดจะทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล
“ไหนๆก็ยากจะสงบใจบ่มเพาะได้แล้ว…ลองออกไปเดินดูแท่นบูชาเต่าทมิฬ และลองทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอะไรนั่นหน่อยดีกว่า…”
กล่าวพึมพำจบต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างออกจากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
เมื่อเก็บเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากบ้านชั้น 3
เมื่อเดินออกมาจากบ้านชั้น 3 ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าผู้คนที่มารวมตัวกันก่อนหน้าได้สลายตัวไปกันหมดแล้ว มองไปก็เห็นศิษย์เหาะเหินเดินอากาศสัญจรไปมาบางตา บ้างก็หยุดลอยสนทนากัน
อย่างไรก็ตามแต่ละคนไม่ได้มีใครให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียการเปิดประตูออกมาก็เป็นความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยากจะดึงดูดความสนใจใครได้
‘ด้วยมียอดใจกระบี่แบบนี้ไม่รู้ว่าข้าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะเข้าใจเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ปราการเต่าทมิฬ? มันคงไม่นานไปกว่าปฐมเวทย์กลืนกินหรอกนะ?’
ในระหว่างเดินทางไปยังแท่นบูชาเต่าทมิฬ ความคิดต้วนหลิงเทียนก็ล่องลอยไปถึงเวทย์พลังระดับสูงอย่างปราการเต่าทมิฬอันเป็นเวทย์พลังประจำแท่นบูชาแห่งนี้
ถึงแม้ว่าตอนนี้ชื่อของต้วนหลิงเทียนจะเริ่มแพร่ไปในแท่นบูชาเต่าทมิฬแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินเพียงแค่ชื่อเขาเท่านั้น คนที่เคยเห็นหน้าค่าตาเขานับว่ามีน้อยคน
“เฮ่ย! พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วรึยัง เห็นว่าแท่นบูชาเต่าทมิฬเรามีศิษย์ใหม่ใจกล้าเข้ามา!”
“ศิษย์ใหม่ใจกล้าที่เจ้าว่า…ใช่ต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”
“อ้าว เจ้าก็ได้ยินมาแล้วรึ?”
“เหอะๆ สหาย…ตอนนี้ในแท่นบูชาเต่าทมิฬเราหากมิใช่ผู้ที่กักตัวฝึกตนในห้อง ยังจะมีใครไม่ได้ยินเรื่องนี้?”
“จริง! ข้าเองก็อยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬมา 6 ปีแล้ว แต่ข้าพึ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ กลับมีศิษย์ที่หาญกล้าท้าทายอำนาจของอาวุโสหลี่อันต่อหน้าผู้คนแบบนี้ด้วย! อาวุโสหลี่อันจะอย่างไรก็คืออาวุโสเพลิงเงินอันดับหนึ่งแท่นบูชาเรา! กระทั่งอาวุโสเพลิงเงินอีก 4 คนที่เหลือยังไม่มีใครกล้าล่วงเกินด้วยซ้ำ!!”
“นั่นน่ะสิ ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ…อาวุโสหลี่อันเสมือนอยู่ใต้หนึ่งแต่อยู่เหนือนับหมื่น! ต้วนหลิงเทียนคงยากจะมีคืนวันอันดีอะไร เพราะไปแข็งข้อกับอาวุโสหลี่อันแบบนี้!”
“เฮ่อ หากเพียงพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนคนนั้นเป็นสีน้ำเงินหรือสีครามนะ…อนิจจาข้าได้ยินมาว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้แซ่ต้วนเป็นเพียงสีเหลืองเท่านั้น…”
“เหอะๆ พรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง? คนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเพียงแค่สีเหลืองกลับหาญกล้าต่อต้านอาวุโสหลี่อันรึ? บ้าไปแล้ว!!”
“เพระเหตุนั้นอย่างไรเล่า ถึงได้มีฉายา ‘ต้วนคุ้มคลั่ง’ คลอดออกมา…”
……
วาจาทำนองเดียวกันนี้ ต้วนหลิงเทียนได้ยินมาตลอดทาง
นอกจากนี้ไม่เพียงแต่เรื่องที่เขาฆ่าหยางหวู่ต่อหน้าหลี่อัน กระทั่งเรื่องที่เขาสั่งสอนศิษย์ของหลี่อันอย่างกู่ชุน กระทั่งถึงขั้นเรียกว่าเป็นการทรมาณก็ไม่ผิด มันก็ได้แพร่กระจายออกไปแล้วเช่นกัน
จังหวะนี้เหล่าศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬถึงกับสรุปออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ต้วนหลิงเทียนกล้ายั่วโทสะของอาวุโสหลี่อันขนาดนี้…ถึงไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตแน่แล้ว!
ได้ยินคำพูดดังกล่าวจากผู้คนที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อวันก่อน ที่จริงหากตอนที่หยางหวู่บุตรชายคนรองของอาวุโสลำดับ 5 แห่งวังอุดรไพศาลมาหาเรื่องเขา หลังอาวุโสเถิงชานเข้ามาแทรกแซงและเสมือนได้ทำโทษหยางหวู่ไปแล้วกลายๆ เรื่องราวมันก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่มีอะไร
ทว่าในตอนนั้นเองหลี่อันกลับปรากฏตัวออกมา กระทั่งคิดลงมือฆ่าเขาโดยไม่สนผิดถูก! ยังกล่าวอ้างว่าในเมื่อ 2 คนทะเลาะกันย่อมต้องผิดทั้งคู่ และต้องโดนลงโทษทั้งคู่!
หากไม่ใช่เพราะอาวุโสเถิงชานไหวตัวทัน เร่งซัดฝ่ามือสลายพลังฝ่ามือสังหารของหลี่อันไปกว่า 5 ส่วน และร่างกายของเขาแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา เกรงว่าคงตกตายคาที่ไปแล้ว!
ดั้งนั้นแล้วตั้งแต่วินาทีนั้นเอง เขาก็เห็นหลี่อันเป็นศัตรูคู่ฟ้าที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเขาได้!
ด้วยเหตุนี้ตอนที่หยางหวู่ตกอยู่ในกำมือเขา ให้หลี่อันมันกล่าววาจาข่มขู่อะไรเขาก็ไม่แยแสทั้งสิ้น! ไม่เหลือหนทางให้ประนีประนอมสืบไป!!
และในเมื่อต่อให้จะต้องแตกหักกับหลี่อันเขาก็ไม่กลัว เขาจึงหักคอหยางหวู่มันเสียตรงนั้น! และนั่นย่อมไม่ต่างอะไรกับหยามน้ำหน้าหลี่อันถึงขีดสุด!!
อย่างไรเสียในเมื่อเขาเห็นหลี่อันเป็นศัตรูที่ต้องฆ่าให้ตายในสักวัน จะมีเรื่องมีราวล่วงเกินมันเพิ่มอีกเรื่อง สองเรื่องหรือมากกว่านั้นจะเป็นอะไรไป!?
“แท่นบูชาเต่าทมิฬ…”
หลังจากเหินร่างมาไม่นาน จัตุรัสมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน รูปปั้นขนาดใหญ่โตมหึมาปานมีชีวิตยังคงตั้งตระหง่านเหมือนเมื่อวาน นับว่าดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนได้ไม่น้อย
‘เวทย์พลังสายป้องกันระดับสูงปราการเต่าทมิฬที่ว่า…ถูกบันทึกไว้ในรูปปั้นเต่าทมิฬตัวนี้เหรอ?’
เมื่อมาถึงที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เข้าไปชมสำรวจรูปปั้นใกล้ๆ
ขณะเดียวกันเขาก็พบเห็นศิษย์มากมายใกล้ๆรูปปั้น แต่ละคนก็คล้ายกำลังพยายามทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอยู่เช่นกัน บ้างก็นั่งบนพื้นจัตุรัส บ้างก็ลอยล่องกลางอากาศ
บางคนก็หลับตาเข้าฌานคล้ายกำลังจดจ่ออะไรบางอย่าง
บางคนก็ยืนมองรูปปั้นเต่าทมิฬด้วยสายตาหลงไหลแฝงความเคารพ
‘ไหนมาดูกันว่าเวทย์พลังป้องกันระดับสูง ปราการเต่าทมิฬในรูปปั้นมันเป็นยังไง….’
ต้วนหลิงเทียนพกพาความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า เพราะถือดีว่ามีเคล็ดยอดใจกระบี่!
‘แต่พยายามจดจำข้อมูลทั้งหมดของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬนี่ก่อน แล้วค่อยๆเอาไปตีความและทำความเข้าใจในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่บ้านพักดีกว่า…’
‘แบบนี้จะได้ประหยัดเวลาลงไปมาก อย่างไรการไหลของห้วงเวลาบนชั้น 4 ก็ช้ากว่าภายนอกนี่ถึง 10 เท่า’
สองตาต้วนหลิงเทียนมองตกลงไปยังรูปปั้นเต่าทมิฬทันที
สำนึกเทวะแผ่ออกไปผสานเข้ารูปปั้นได้ไมทันไร ข้อมูลมหาศาลชุดหนึ่งก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา
ข้อมูลที่ว่าแน่นอนว่าเป็นข้อมูลของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ!
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้แทบจะทันที
ว่าในขณะที่สำนึกเทวะของเขาชำแรกเข้าไปในรูปปั้นนั้น เขาพลันสัมผัสได้ถึงพลังกดดันมหาศาลขุมหนึ่งที่แผ่ซ่านออกมาจากรูปปั้น!
และในขณะที่พลังกดดันไร้สภาพขุมดังกล่าวกำลังเคี่ยวกรำร่างเขา ทั่วร่างของเขาก็ปรากฏพลังเซียนสุริยันโคจรปกคลุมเอาไว้เพื่อป้องกันตามสัญชาตญาณ
เรียกว่าเป็นการตอบสนองของจิตใต้สำนึก!
‘หืม? สถานการณ์คล้ายกันนัก…’
ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนนี้พอเขาสังเกตอยู่พักหนึ่งเขาก็พบว่า…
เหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่อยู่โดยรอบ แต่ละคนนั้นทั่วร่างล้วนมีม่านพลังฉาบคลุมป้องกันอยู่ทั้งสิ้น
‘หากข้าเดาไม่ผิด พลังกดดันนี่จะมากจะน้อยต้องส่งผลกระทบเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬแน่นอน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมทุกคนถึงเลือกจะอยู่ทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬตรงนี้…’
‘แต่ว่าพลังกดดันเพียงเท่านี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับข้าเป็นพิเศษ…’
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆรูปปั้นเต่าทมิฬหลังทานรับพลังกดดันไปอีกเล็กน้อย เขาก็พบว่าอาศัยพลังกดดันเพียงเท่านี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย…
เช่นนั้นหลังผ่านไปอีกสักพัก เมื่อต้วนหลิงเทียนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬครบถ้วน เขาก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่เลือกที่จะกลับไปทำความเข้าใจที่บ้านพักแทน…
‘ข้าจะกลับไปทำความเข้าใจมัน…ตราบใดที่ข้าสามารถเข้าใจและเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังเทมิฬจนใช้งานมันได้สำเร็จ ข้าก็สามารถออกจากแท่นบูชาเต่าทมิฬแห่งนี้เพื่อเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของลัทธิบูชาไฟได้ทันที!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รั้งรออยู่ต่อให้เสียเวลาอะไรอีก ร่างเหินทะยานกลับบ้านพักทันที
ภรรยาและลูกสาวของเขาถูกจองจำอยู่ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ ทั้งคู่ยังอยู่ในพื้นที่ๆเขายากจะเข้าถึงนัก!
เมื่อกลับมาถึงบ้านพักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กลับเข้าไปในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกครั้งทันที และเริ่มตีความ ทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬจากข้อมูลที่จดจำมา
ต้องบอกเลยว่า ปราการเต่าทมิฬ นี้สมแล้วที่เป็นเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ความยากของมันไม่ใช่อะไรที่ใครก็จะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ
อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนที่ใช้เวลาอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 ไปครึ่งปี ก็พึ่งทำได้แค่เข้าใจเคล็ดความบทต้นของปราการเต่าทมิฬเท่านั้น!
ยังคงอีกไกล กว่าที่เขาจะทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬได้สมบูรณ์!
“ทำไมมันถึงได้เข้าใจยากกว่าปฐมเวทย์กลืนกินนักนะ…”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่หลับตามาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น แววตาฉายความขึงขังไม่น้อย
เรื่องนี้ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็งุนงง
อย่างไรก็ตามคิดไปไม่ทันไรเขาก็ตระหนักได้ถึงต้นตอของปัญหา…
‘ในพื้นที่สืบทอดมรดกเวทย์พลังนั่น ข้าได้เห็นชายชราอันเป็นบททดสอบสุดท้าย ใช้เวทย์พลังกับตา ทำให้ข้ารู้ว่าปฐมเวทย์พลังเป็นอะไร แล้วมันทำงานอย่างไรบังเกิดผลแบบไหน…ดังนั้นนอกจากที่ข้าจะเข้าใจเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินได้เร็วเพราะยอดใจกระบี่ ยังมีเหตุผลนี้ด้วย…’
‘กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเวทย์พลังกระบี่สายจู่โจมระดับสูงอย่างเซียนอมตะข้ามภพ หรือปฐมเวทย์กลืนกิน ข้าก็ได้เห็นอานุภาพและลักษณะการทำงานของมันกับตาจึงเข้าใจได้ไม่ยาก…เสมือนมีแนวทางให้ก้าวเดินตามโดยไม่หลงทาง! แต่ปราการเต่าทมิฬนี่ข้าไม่รู้เลยว่ามันต้องสำแดงพลังอย่างไร มีลักษณะอะไรอย่างไร…’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจอย่างทอดถอน
“ครึ่งปีงั้นหรือ…ถ้างั้นข้างนอกก็ผ่านไป 18 วันแล้ว”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงอีกครั้ง และพยายามตีความข้อมูลของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬต่อ
ในเวลาเดียวกันนั้น
ที่บ้านพักชั้น 3 อีกแห่ง เมื่อผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดกู่ชุนที่ถูกกระบี่เฉือนไปนับหมื่นแผล ตอนนี้ก็ได้รักษาตัวจนฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้ว มันจึงคิดบ่มเพาะพลังต่อ
“สารเลวแซ่ต้วน เจ้ารอให้ข้าทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลางก่อนเถอะ…แล้วข้าจะจัดการเจ้าให้สาสมใจ! เอาให้เจ้าสำนึกเสียใจที่ทำกับข้าเช่นนั้น!!”
เพื่อที่จะล้างแค้นต้วนหลิงเทียนให้จงได้ ตอนนี้กู่ชุนบังเกิดความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับว่าความแค้นเป็นแรงผลักดันอันดีจริงๆ…!
จนเมื่อมันเริ่มทำสมาธิหมายสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายเพื่อดูดซับเข้าร่างแล้วโคจรบ่มเพาะพลังนั้นเอง หน้าของมันก็เปลี่ยนสีทันที “นิ…นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?! ข้า…ข้า…ไฉนไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณฟ้าดินเล่า!?”
ตอนที่ 1,918 : กู่ชุนเป็นบ้า?
“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้!!”
“อีกที…ข้าต้องลองอีกที…ข้าทำได้แน่…มันต้องได้!!”
“พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าเป็นสีเขียว ไหนเลยข้าจะมิอาจสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินได้! เรื่องพรรค์นั้นไม่มีทาง!!”
กู่ชุนที่แทบบ้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอาการตื่นตระหนก ก่อนจะพยายามสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอีกครั้ง
เนื่องจากมีค่ายกลรวมวิญญาณทับซ้อนกันถึง 3 ค่าย พลังวิญญาณฟ้าดินในบ้านแน่นอนว่าย่อมหนาแน่นกว่าด้านนอกมาก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากุ่ชุนจะพยายามจับสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินอย่างไร มันก็ไม่อาจจับสัมผัสได้เลย ราวกับพลังวิญญาณฟ้าดินได้สาบสูญไปจากโลกหล้าเสียแล้ว!
ตอนนี้มันรู้สึกเสมือนมันไม่ได้อยู่ในบ้านที่มีค่ายกลรวมวิญญาณ แต่เป็นค่ายกลปิดกั้นพลังวิญญาณฟ้าดิน!
“ต้องเกิดเหตุขัดข้องอันใดแน่…ข้าต้องลองต่อ! อีกครั้ง!!”
กู่ชุนเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาอีกรอบ หากแต่มันพยายามกัดฟันระงับสติ และตั้งหน้าตั้งตาสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ชนชั้นอัจฉริยะไร้ผู้ต้าน แต่พรสวรรค์รากวิญญาณของมันก็คือรากวิญญาณสีเขียว นับว่าเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป!
ด้วยพรสวรรค์นี้ พลังฝึกปรือในอนาคตของมันถือว่ามีโอกาสสูงที่จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์!
เมื่อถึงตอนนั้นหากมันเต็มใจที่จะอยู่ในลัทธิบูชาไฟ มันก็สามารถกลายเป็น ‘ผู้อาวุโสเพลิงทองแดง’ ของลัทธิบูชาไฟได้แน่นอน
กู่ชุนคนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีอนาคตที่สดใสรออยู่!
อย่างไรก็ตามตอนนี้หัวใจของมันกำลังจะจมจ่อมลงไปในห้วงแห่งความสิ้นหวังอยู่รอมร่อ!!
“ได้แล้ว! ข้าสัมผัสได้แล้ว!!”
และในขณะที่กู่ชุนกำลังจะสิ้นหวังหมดแรงใจนั้นเอง มันพลันสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณฟ้าดินได้! จึงรีบชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินดังกล่าวเข้าร่างทันที!!
ทว่าวินาทีต่อมาสีหน้าของกู่ชุนก็จำต้องหวาดผวาขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะไม่เพียงแต่มันแทบไม่อาจจับสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินได้ กระทั่งความเร็วในการชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน…กระทั่งหอยทากทะยานหรือเต่าคลานก็แซงได้ทั้งสิ้น!
“เป็นไปไม่ได้! เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปไม่ได้!! ข้ามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียว ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินไฉนถึงได้เชื่องช้าเช่นนี้! กระทั่งผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีแดงยังไม่เชื่องช้าถึงเพียงนี้!!”
กู่ชุนตื่นตระหนกทั้งเสียขวัญนัก
หากแต่มันยังพยายามสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินและชักนำเข้าร่างไม่หยุด ด้วยหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป…จนกระทั่งผ่านไปแล้วสามวันสามคืนเต็มๆ ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างของมันก็ยังคงเชื่องช้าไม่แปรเปลี่ยน!!
ตูมมมม!!
เสียงสนั่นลั่นดังขึ้น เป็นกู่ชุนรีบร้อนออกจากบ้านชั้น 3 ถึงขั้นพังประตู!
การกระทำที่ราวกับคุ้มคลั่งดั่งกล่าวยอมดึงดูดความสนใจของผู้ที่ไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะเป็นธรรมดา “นั่นมันกู่ชุนไม่ใช่รึไง? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ไฉนมันแลดูลุกลี้ลุกลนทั้งหน้าเสียแบบนั้น…คงไม่ใช่เสียสติไปแล้วหรอกนะ?”
“หรือมันถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนอาละวาด?”
“หืม? แล้วนั่นมันลงไปสระน้ำด้านล่างทำอะไร?”
……
ไม่นานเหล่าศิษย์ลัทธิบูชาไฟที่อยู่ในเหตุการณ์ก็แลเห็นกู่ชุนกุลีกุจอพุ่งร่างลงไปยังขอบสระน้ำ ก่อนที่จะก้มลงคุกเข่าเอาหัวชะเง้อมองลงไปในสระ…
ท่าทางของมันทำราวกับเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นว่าในน้ำมีอะไร หรือไม่ก็แลเห็นสมบัติล้ำค่าในน้ำ…
แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ทุกคนไม่คิดว่าจะมีสมบัติอะไรในสระน้ำนั่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีจริงแต่ไม่พ้นถูกผู้คนเอาไปเนิ่นนานแล้ว ไหนเลยจะเหลือมาถึงมือกู่ชุนได้?
“ข้ายังคงเป็นข้าอยู่! ไม่ผิด…ข้ายังเป็นตัวข้า! แต่ไฉนความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินของข้าถึงได้เชื่องช้านัก! กระทั่งคนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีแดงยังไม่ควรเชื่องช้าถึงขั้นนี้…เกิดอันใดขึ้นกัน? ไฉนอยู่ๆถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้?”
กู่ชุนยิ่งกระวนกระวายหนักข้อเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่สะท้อนในน้ำก็คือใบหน้าของตัวมันเอง
ที่แท้มันคิดว่าใช่วิญญาณของมันหลุดลอยออกจากร่างไปเข้าร่างผู้อื่นหรือไม่? ไม่ก็ถูกคนโยกย้ายวิญญาณเปลี่ยนร่างอะไรไปทำนองนั้น…
แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันยังคงเป็นตัวของตัวเอง ร่างมันเอง ไม่ได้อยู่ในร่างใครอื่น!
ไม่นานกู่ชุนที่กระวนกระวายแทบบ้าก็สามารถสงบใจลงได้
หลังจากที่มันสงบอารมณ์แล้ว ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในใจของมันทันที
ร่างที่ปรากฏในใจของมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนเอง!
“ตั้งแต่ที่ข้าถูกมันทุบตี ข้าก็พักรักษาตัวอยู่ยี่สิบกว่าวันโดยมิได้บ่มเพาะพลังอันใด…วันนี้พอข้าเริ่มบ่มเพาะกลับพบว่าความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินกลายเป็นเชื่องช้าอย่างยิ่ง!”
คิดถึงจุดนี้กู่ชุนก็ขบเขี้ยวเคี้ยวกันดังกรอดๆ
ครู่ต่อมากู่ชุนก็เร่งไปหาศิษย์โดยรอบทันที เพื่อถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังสติมันดับวูบไปวันนั้น
มันอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นใจจะขาด!
เหล่าศิษย์ใหม่แม้จะไม่ชอบขี้หน้ากู่ชุนเท่าไหร่ แต่พวกมันก็ยังกริ่งเกรงกู่ชุนไม่น้อย เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นศิษย์อาวุโสหลี่อัน หากยังอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬไม่มีใครกล้าไม่ให้ความร่วมมือกับกู่ชุน!
“ก่อนที่ข้าจะสิ้นสติ ต้วนหลิงเทียนมันกางเขตแดนเพื่อบดบังสายตาของทุกคน?”
หลังได้ยินเรื่องราวจากปากของเหล่าศิษย์ที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ลูกตากู่ชุนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง ใจยังนึกย้อนกลับไปในวันนั้น
‘สิ่งสุดท้ายที่ข้าจำได้ก่อนที่สติจะดับไปคือมีแสงสีทองบางอย่างสว่างวาบขึ้นตรงหน้า…สมควรเป็นต้วนหลิงเทียนนั่นจงใจเปิดใช้เขตแดนบังตาผู้คน เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่ามันทำอะไรกับข้า!’
‘ต้วนหลิงเทียนนั่นดูแล้วพลังฝีมือมันเหนือกว่าข้านัก เช่นนั้นคิดทำร้ายข้าเรื่องเปิดใช้เขตแดนยังเกินจำเป็นไปบ้าง! ที่มันทำเช่นนั้น สมควรเพราะมันมีลับลมคมในบางอย่าง กระทั่งอาจเป็นเรื่องไร้มนุษย์ธรรม! มันจึงหวาดกลัวผู้คนพบเห็น…ดูเหมือนที่ความเร็วในการบ่มเพาะของข้ากลายเป็นเชื่องช้าลง สมควรเป็นเพราะมันเสีย 8 ใน 10 ส่วน!’
ใจของกู่ชุนแทบจะระเบิดความเยียบเย็นออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
ถึงแม้มันไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนทำอะไรกับมัน แต่ผลที่ตามมาหลังต้วนหลิงเทียนลงมือ ทำให้มันหวาดกลัวจนตัวสั่น!
มันรู้สึกเสมือนรากวิญญาณของมันถูกอีกฝ่ายทำลายไปแล้ว!
หาไม่แล้วไหนเลยความเร็วในการฝึกปรือของมันจะกลายเป็นเชื่องช้าขนาดนี้?
พรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวของมันไหนเลยจะใช้การไม่ได้ขนาดนี้!
เหตุผลที่กู่ชุนสามารถนึกถึงเรื่องที่รากวิญญาณสมควรเกิดปัญหาได้ เพราะมันเองก็รู้ดีว่าความเร็วในการสัมผัส เหนี่ยวนำ และดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน…ยังต้องพึ่งพาพรสวรรค์รากวิญญาณ!
ตอนนี้ไม่เพียงมันแทบสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินไม่ได้ กระทั่งจะชักนำเข้าร่างยังกลายเป็นเชื่องช้าปานหอยทากตะกาย เช่นนั้นรากวิญญาณสมควรมีปัญหาแน่แล้ว!!
แต่เป็นธรรมดาที่มันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตามถึงมันไม่รู้ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจับใจ!
เพราะในอดีตที่ผ่าน มันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครที่สามารถลงมือต่อพรสวรรค์รากวิญญาณได้แบบนี้!
แม้จะเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ที่สามารถสัมผัสถึงพรสวรรค์รากวิญญาณได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณโดยไม่ส่งผลกระทบต่อดวงจิตของคนๆนั้น!
ทว่าตอนนี้มันสัมผัสได้ชัดเจนว่าดวงจิตของมันยังอยู่ดีไม่บุบสลายอันใด
‘ข้าหวังว่ามันคงยังไม่ถึงขั้นทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า เพียงแค่ใช้การสะกดอันใดบางอย่าง…หาไม่แล้วอนาคตชั่วชีวิตของข้าคงได้พินาศสิ้นแล้ว’
กู่ชุนลอบอธิษฐานในใจ
ในขณะเดียวกันลูกตามันพลันทอประกายเยียบเย็น ‘ต้วนหลิงเทียน ตราบใดที่ลูกพี่ลูกน้องของข้ามาถึง เจ้าจักต้องตกตายไร้ที่ฝัง! ก่อนที่เจ้าจะตายข้าจะสับร่างเจ้าเป็นพันชิ้น ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่สุดในโลกหล้า!!’
‘นอกจากนี้ข้าก็ยังมิลืมสหายทั้ง 2 นั่นของเจ้า…ข้าจำหน้าพวกมันได้หมดแล้ว! ตราบใดที่พวกมันผ่านการประเมินของแท่นบูชาอื่นใดใน 3 แท่นที่เหลือ ขอเพียงยังอยู่ในลัทธิบูชาไฟพวกมันได้ตายแน่! หากพวกมันจะโทษ ก็ต้องโทษที่พวกมันรู้จักกับเจ้า!!’
ใจของกู่ชุนเดือดดาลขึ้นมาด้วยโทสะ ยังลุกโหมขึ้นมาปานเพลิงไฟ!
จังหวะนี้กู่ชุนไม่เพียงจะไม่เสียใจที่ไปหาเรื่องต้วนหลิงเทียนก่อน แต่ยังกระฟัดกระเฟียดอยากล้างแค้นต้วนหลิงเทียนให้ได้!
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับพรสวรค์รากวิญญาณนั้น ในหัวมันมั่นใจว่าต่อหน้าอาจารย์ของมัน หลี่อัน ผู้เป็นอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ! ต้องสามารถช่วยมันได้แน่นอน!!
‘หากพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าถูกเจ้าทำลายไปแล้วจริงๆ…ไม่ว่าเจ้าหรือสหาย ข้าจะให้ทั้งหมดตกตายอย่างทรมาน! ข้าจะค่อยๆแล่เนื้อพวกเจ้าแล้วโยนให้สุนัขกินต่อหน้าพวกเจ้า!!’
กู่ชุนกลับกลายเป็นเหมือนคนคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเรื่องที่พรสวรค์รากวิญญาณของมันอาจถูกต้วนหลิงเทียนทำลายไปแล้วจริงๆ
“ไปหาท่านอาจารย์ก่อนดีกว่า”
หลังจากที่พยายามระงับอาการคุ้มคลั่ง กู่ชุนก็เหินร่างออกจากเขตที่พักของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างไร้ลังเล มุ่งหน้าไปยังส่วนนตะวันออกของแท่นบูชาเต่าทมิฬเพื่อหาหลี่อัน อาจารย์ของมันทันที
“เจ้าไฉนแลดูรีบร้อนแตกตื่นนัก?”
หลี่อันขมวดคิ้วเมื่อเห็นสารรูปของกู่ชุนอันมีใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายท่วงท่ารีบร้อนคล้ายตื่นตระหนก ในแววตายังเผยความไม่พอใจขึ้นมา
กล่าวตามความสัตย์จริงหากเลือกได้มันไม่มีวันรับคนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวเป็นศิษย์เด็ดขาด!
ทว่าอีกฝ่ายกลับเสนอเงื่อนไขที่ตัวมันยากจะปฏิเสธได้ลงคอ
และนั่นก็คือ กู่ชุนจะให้ลูกพี่ลูกน้องกราบตัวมันหลี่อันเป็นอาจารย์!
และจากที่กู่ชุนบอก พรสวรรค์รากวิญญาณของลูกพี่ลูกน้องคนนี้คือ ‘รากวิญญาณสีน้ำเงิน’ อีกทั้งพลังฝึกปรือตอนนี้ยังขาดเพียงก้าวเดียวบรรลุเซียนนภา!
ที่สำคัญคือลูกพี่ลูกน้องที่ว่า อีกไม่นานก็จะเดินทางมาถึงลัทธิบูชาไฟแล้ว!
ลัทธิบูชาไฟมีกฏลอยอยู่ข้อหนึ่ง
ผู้ใดก็ตามที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินหรือกระทั่งสูงกว่านั้น สามารถเข้าร่วมลัทธิได้ตลอดเวลาและกลายเป็นศิษย์ของลัทธิ!
นี่คือกฏลอยของลัทธิบูชาไฟ ที่มีส่วนทำให้ลัทธิบูชาไฟมียอดฝีมือมากมาย
ภายในลัทธิบูชาไฟแห่งนี้ผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน ต่อให้เป็นอาวุโสเพลิงทองยังรู้สึกยั่วใจใคร่รับเป็นศิษย์ ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุโสเพลิงเงินเลย!
ตัวมัน หลี่อันเป็นผู้อาวุโสเพลิงเงินของลัทธิบูชาไฟมานับพันๆปี หากแต่ศิษย์ของมันที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินก็มีอยู่กันแค่ 3 คนเท่านั้น!
ดังนั้นพอได้ยินกู่ชุนสัญญาว่าจะขอให้ลูกพี่ลูกน้องกราบมันเป็นอาจารย์ มันก็เห็นด้วยกับคำขอของกู่ชุนที่คิดอาศัยอยู่ใต้ปีกของมันในฐานะศิษย์
ในสายตาของมันนั้นทั้งหมดเพียงเพื่อลูกพี่ลูกน้องของกู่ชุนเท่านั้น
สำหรับกู่ชุนมันคิดเสียว่าเป็นตัวแถม!
“ท่านอาจารย์ ข้าขอรบกวนท่านให้ช่วยตรวจสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าที…สมควรมีบางอย่างผิดปกติกับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า”
กู่ชุนมองหลี่อันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เร่งถามขอความช่วยเหลือออกมาอย่างหวั่นใจ
“ตรวจสอบพรสวรรค์รากวิญญาณ? พรสวรรค์รากวิญญาณเจ้าจักมีอันใดผิดปกติได้อย่างไร?”
ได้ยินคำของกู่ชุนหลี่อันไม่เพียงไม่ลงมือกระทำ ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดถามกลับทันที
ในฐานะยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ หลี่อันย่อมรู้ดี
ถึงแม้พรสวรรค์รากวิญญาณของผู้คนอาจเกิดปัญหาได้ แต่ทว่าไม่มีทางที่คนๆนั้นจะยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เด็ดขาด!
ทว่ากู่ชุนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ยังแลเป็นปกติดี!
ตอนที่ 1,919 : ผู้มาไม่ดี
พรสวรรค์รากวิญญาณของผู้คนนั้น มันดำรงอยู่ในส่วนลึกของดวงจิต!
โดยทั่วไปแล้วต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ ที่แม้แต่จะทะลวงถึงเปลี่ยนที่ 9 เปลี่ยนสู่สวรรค์ไปแล้ว ก็ยังไม่มีพลังอำนาจยุ่งเกี่ยวอะไรกับพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้คนโดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อดวงจิตของผู้คนนั้นๆ!
เพราะเมื่อพรสวรรค์รากวิญญาณของใครถูกทำลาย ดวงจิตของคนผู้นั้นก็จะแตกสลายไปด้วย!
เว้นเสียแต่ว่าจะมีกลวิธีพิเศษอันใด ที่สามารถยุ่งเกี่ยวกับพรสวรรค์รากวิญญาณได้โดยตรง
ทว่ากลวิธีดั่งลักฟ้าเปลี่ยนสวรรค์นั้น เป็นอะไรที่ดำรงอยู่ก็แต่ในตำนานปรัมปราเท่านั้น…
อย่างน้อยๆตลอดชั่วชีวิตของหลี่อัน มันก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่มีความสามารถเลิศล้ำเช่นนั้นมาก่อน!
“ท่านอาจารย์ข้ารู้สึกว่า ตัวข้าหาได้ไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินเหมือนกาลก่อนไม่ กระทั่งยังชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างเพื่อบ่มเพาะแทบมิได้ ต่อให้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณต่ำต้อยก็ไม่มีทางเป็นแบบนี้…เหมือนกับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้ามันหายไป…ท่านอาจารย์ท่านลองตรวจสอบข้าดูเถอะ ไม่ใช่ว่าหากมีความผิดปกติอันใดกับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า ท่านจะสามารถพบได้ทันทีหรือ?”
เมื่อเห็นหลี่อันเผยสีหน้าไม่เชื่อ กู่ชุนก็ทำได้แค่อธิบายเรื่องราวออกมาด้วยใบหน้าขมขื่น ร้องขอให้หลี่อันทำการตรวจสอบอีกครั้ง
“ว่าอะไร?”
หลี่อันตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำของกู่ชุน แถมจากสีหน้าอีกฝ่ายก็คล้ายจะไม่ได้พูดโกหก!
ยิ่งไปกว่านั้นมันเชื่อว่ากู่ชุนไม่กล้าโกหกมัน!
“อย่าได้ต่อต้านสำนึกเทวะของข้า!”
ทันใดนั้นหลี่อันก็แผ่สำนึกสติเข้าสู่ร่างของกู่ชุนทันที ดำดิ่งลงสู่ดวงจิตของกู่ชุน
ในฐานะที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว สำนึกเทวะของหลี่อันก็มีพลังมากพอจะรู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณอยู่ตรงไหนและมีสีอะไร
อย่างไรก็ตามหลังหลี่อันแผ่สำนึกเทวะล่วงลึกถึงใจกลางดวงจิตกู่ชุน มันกลับพบเพียงแต่ความว่างเปล่า ไม่อาจพบแม้แต่ร่องรอยใดๆของพรสวรรค์รากวิญญาณได้เลย…
สุดท้ายมันก็ได้คำตอบอันน่าอัศจรรย์ใจประการหนึ่ง…
ในดวงจิตของกู่ชุน กลับไม่มีพรสวรรค์รากวิญญาณดำรงอยู่!
“เรื่องพรรค์นี้มันจักเป็นไปได้อย่างไร?”
หลังจากคืนสติกลับมารู้ตัว หลี่อันพลันชักสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด ลูกตายังหดหยีเผยความหวาดหวั่น
ขณะเดียวกันในใจมันก็ปั่นป่วนดังมีห่ามรสุมเข้า!
กู่ชุนเคยมีพรสวรรค์รากวิญญาณ เรื่องนี้มันมั่นใจได้เต็มสิบส่วน!
เพราะเมื่อไม่นานมานี้ กู่ชุนก็เข้าร่วมการประเมินพรสวรรค์รากวิญญาณ กระทั่งทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณด้วยลูกแก้ววิญญาณ จนเผยรากวิญญาณสีเขียวต่อหน้าต่อตาของมัน…
แต่มาวันนี้สึกนึกเทวะของมันกลับหาพรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนไม่พบ!!
ด้วยวิธีนี้สมควรมีความเป็นไปได้เพียง 2 ประการเท่านั้น…
ประการแรก พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนมันไม่ได้อยู่ในดวงจิตเหมือนผู้อื่น แต่สถิตย์อยู่ที่อื่น
ประการที่สอง พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนหายไปแล้ว!
ในสายตาของหลี่อัน ความเป็นไปได้ทั้ง 2 ประการล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลนัก!
ประการแรกนั้น มันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสถิตย์อยู่ที่อื่นนอกจากดวงจิต ประการที่สองมันยิ่งไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครที่อยู่ๆพรสวรรค์รากวิญญาณหายไปแบบนี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้!
เมื่อเห็นว่าหลี่อันอุทานออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หน้าของกู่ชุนพลันเปลี่ยนสีกลับกลายครั้งใหญ่ ใจคอยังรู้สึกไม่ดีเลย…หากแต่ยังไม่กล้ากล่าวทักรบกวนหลี่อัน
จนเมื่อเห็นว่าหลี่อันกลับเงียบไปอยู่เนิ่นนานแล้ว ในที่สุดมันก็อดไม่ได้ที่จะเรียกหาออกมา “ท่านอาจารย์…”
อย่างไรก็ตามมันพึ่งอ้าปากกล่าวคำไม่ทันได้จบประโยค หลี่อันพลันกล่าวขัดออกมาเสียก่อน
“เจ้าลองทดสอบอีกครั้ง”
ขณะกล่าวหลี่อันยังสะบัดมือเบาๆ พลันปรากฏลูกแก้วกลมใสลูกหนึ่งผุดจากความว่างมาลอยล่องกลางอากาศ เป็นลูกแก้ววิญญาณที่ใช้ทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณ!
เมื่อเห็นการกระทำดังกล่าวของหลี่อัน กู่ชุนไม่ทราบเพราะอะไร แต่ใจคอที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ยิ่งกลายเป็นเลวร้ายหนักข้อ! สังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่งผุดขึ้นในใจ!!
อย่างไรก็ตามสุดท้ายกู่ชุนยังคงกัดฟันระงับอารมณ์ปั่นป่วน ยื่นมือที่สั่นระริกเอื้อมออกไปวางทาบบนลูกแก้ววิญญาณเบื้องหน้า
ครู่ต่อมากู่ชุนถึงกับกลั้นหายใจ สองตาจับจ้องมองเพ่งลูกแก้ววิญญาณตาเขม็ง รอคอยเวลาอย่างเงียบงัน…
หนึ่งลมหายใจผ่านไป…
สองลมหายใจผ่านไป…
สามลมหายใจผ่านไป…
…
จนเมื่อครบ 10 หายใจกู่ชุนถึงกับสูดอากาศเข้าดังฟืดด้วยความตื่นเต้นลุ้นระทึก มองจ้องไปยังลูกแก้ววิญญาณไม่วางตา ใจเต้นรัวปานจะระเบิดออกมานอกอก!
“หืม?”
อย่างไรกู่ชุนจำต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเมื่อครบ 10 หายใจแล้วแท้ๆ แต่ลูกแก้ววิญญาณยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใดทั้งสิ้น!
“ท่านอาจารย์นี่มัน…”
จังหวะนี้ใจกู่ชุนอดคิดไปไม่ได้ว่าลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ใช่เจ๊งแล้วหรือไม่?
อย่างไรก็ตามไม่ทันที่มันจะได้ถามอะไร ก็เห็นหลี่อันเอามือวางทาบบนลูกแก้วบ้าง และหลังจากรออีก 10 ลมหายใจ ลูกแก้ววิญญาณพลันเรืองแสงสีน้ำเงินขึ้นมา พาลให้หน้าของมันเปลี่ยนสีกลับกลายทันที!
จังหวะนี้ใจของกู่ชุนย่อมตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างรางๆ แผดเสียงร่ำร้องออกมาดังลั่นในใจ ‘ไม่! ไม่จริง…เป็นไปไม่ได้! เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้!!’
“หากข้าเดาไม่ผิด…พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าหายไปแล้ว”
ในขณะที่ใจกู่ชุนกำลังร่ำร้องเสียงหลง เสียงของหลี่อันพลันดึงขึ้นอย่างประจวบเหมาะกล่าวคำออกมาเสียงเรียบ หากแต่เป็นดั่งคำตัดสินมอบโทษประหารให้แก่กู่ชุน
ปงงง!!
วาจานี้ของหลี่อันได้พังปราการสุดท้ายในใจของกู่ชุนจนแหลกสลาย ทำให้กู่ชุนถึงกับพังทลายล้มครืน ร่างของมันเสมือนสิ้นไร้เรี่ยวแรงทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นอย่างอิดโรย
“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้?”
“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?”
“พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าหายไป…ข้ากลายเป็นตัวไร้ค่าแล้ว! ข้าเป็นตัวไร้ค่าแล้ว!!”
กู่ชุนที่ทรุดตัวล้มลงกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงปานจะขาดใจ ในแววตาปวดปร่าสิ้นหวัง เปี่ยมล้นไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจถึงขีดสุด
“เกิดอันใดขึ้นกับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ากันแน่? บอกข้า ไฉนอยู่ดีๆมันถึงได้หายไป?”
จนเมื่อเสียงของหลี่อันดังขึ้น กู่ชุนจึงค่อยๆสงบจิตสงบใจลง
หลังจากที่สงบอารมณ์จนกลับมาครองสติได้แล้ว ร่างของต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏขึ้นในใจกู่ชุนอีกครั้ง มันกัดฟันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน “ต้วนหลิงเทียน! ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียน! เป็นมันที่ทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า!!”
ในที่สุดมันก็โพล่งกล่าวออกมา!
เดิมทีหลี่อันคิดว่ากู่ชุนต้องประสบอุบัติเหตุอันใดมาแน่ ถึงได้เสียรากวิญญาณไปแบบนี้
แต่พอมาได้ยินคำตอบของกู่ชุน คิ้วหลี่อันพลันขมวดย่นยู่ทันที สีหน้ายังแปรเปลี่ยนไปเป็นอึมครึม กล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “ต้วนหลิงเทียน?”
“เป็นมัน! ต้องเป็นสารเลวต้วนหลิงเทียนนั่นที่ทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าแน่!!”
กู่ชุนถึงกับคำรามร้องออกมาอย่างโกรธแค้น ยังถลันตัวเข้าไปกอดขาของหลี่อันเอาไว้ราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย กล่าววิงวอนออกมาทั้งน้ำตาคลอหน่วย “ท่านอาจารย์! ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า! ท่านต้องช่วยข้าล้างแค้นมัน!!”
“ข้าอยากให้ต้วนหลิงเทียนตาย ข้าอยากจะสับร่างของมันให้เป็นพันหมื่นชิ้นเอาให้ร่างมันสลายกลายเป็นธุลีดิน! ข้ายังอยากจับสหายทั้ง 2 ของมันมาแล่เนื้อให้สุนัขรับประทานทีละชิ้นๆจนตาย!!”
กู่ชุนร่ำร้องออกมาไม่หยุดปาก คล้ายจะคำรามโพล่งความปวดร้าวในใจจากการสูญเสียพรสวรรค์รากวิญญาณออกมาให้หมด
การสูญเสียพรสวรรค์รากวิญญาณไปแบบนี้ นั่นหมายถึงหนทางแห่งการบ่มเพาะฝึกตนได้ถูกตัดขาดลง…หนทางเป็นอมตะจบสิ้นแล้ว!
เพราะตอนนี้มันยังมีความสามารถไม่เท่าคนที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีแดงด้วยซ้ำ! ดั่งมันจะถูกลิขิตให้อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นไปชั่วชีวิต!!
เรื่องนี้จะให้ตัวมันที่เคยเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันทำใจรับไหวได้อย่างไร!!
“ที่แท้เกิดอันใดขึ้นกันแน่?! พูด!!”
หลี่อันกล่าวออกเสียงเข้มเบาๆ หากแต่คล้ายแฝงเร้นไปด้วยเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ สามารถครอบงำทับเสียงร่ำร้องโวยวายของกู่ชุนได้ชะงัด
“ท่านอาจารย์ ต้วนหลิงเทียนมัน…”
กู่ชุนเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับฟังจากปากศิษย์ใหม่ที่อยู่ในเหตุการณ์ออกมาหมดสิ้น
กระทั่งยังบอกถึงต้นตอเรื่องราวทั้งหมด
“มันจงใจเปิดใช้เขตแดนประหลาดนั่นเพื่อบดบังสายตาของผู้คนมิผิดแน่! เป็นมันที่ต้องใช้กลวิธีชั่วร้ายบางประการที่มิอาจให้คนอื่นแลเห็นได้ทำร้ายข้า…เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้าหายไป!!”
กู่ชุนที่กัดฟันแน่น เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมาจนจบ
“ไม่ผิดที่จะคิดไปในทางนี้…ดูเหมือนว่าจะมากจะน้อยการหายไปของพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้า ต้วนหลิงเทียนนั่นสมควรมีเอี่ยวด้วยแน่!”
ลูกตาหลี่อันเผยประกายเย็นเยียบพุ่งแผ่ออกมา
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องช่วยข้าล้างแค้นมัน!!”
กู่ชุนมองหลี่อันด้วยใบหน้าเศร้าโศก ยังกล่าวร้องขอออกมาด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง
“อย่าได้กังวลไป! หากเรายืนยันได้ว่าเป็นต้วนหลิงเทียนทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าจริงๆ มันตายแน่!”
หลี่อันกล่าวออกเสียงเย็น
“เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”
กู่ชุนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินว่าหลี่อันคิดยืนยันเรื่องนี้ก่อน
อย่างไรก็ตามเสียงถามของมันพึ่งดังจบคำ มันก็รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวเสมือนขนนก เป็นหลี่อันที่หอบหิ้วพามันเหินร่างไปยังส่วนตะวันตกของแท่นบูชาเต่าทมิฬด้วยความเร็วสูง
“ต้วนหลิงเทียน!!”
แม้จะยังอีกไกลกว่าที่จะไปถึงส่วนที่พักของเหล่าศิษย์ ทว่าหลี่อันกลับคำรามออกมาด้วยโทสะดังลั่น!
เสียงเปี่ยมโทสะดังกล่าวยังควบผสานไปกับพลังอำนาจน่ากลัวขุมหนึ่ง พาลให้ดังสนั่นลั่นปานฟ้าร้องในหู!
ชั่วพริบตามันก็กึกก้องกังวานไปทั่วทั้งเขตที่พักของเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ!
ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬทุกคน ขอเพียงไม่ได้ออกไปฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองด้านนอก แม้จะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ก็ยังได้ยินเสียงนี้ของหลี่อัน!!
กระท่อมชั้น 4 เบื้องล่างปรากฏเหล่าศิษย์มากมายนับพันๆทยอยกันเปิดประตูออกมาจากกระท่อมแล้วเหินร่างขึ้นมาปานเมฆดำทะมึนเพื่อชมดูเรื่องราว
ส่วนบ้านชั้น 3 ศิษย์หลายร้อยก็ค่อยๆเปิดประตูออกมาชมดูเรื่องราวเช่นกัน
เรื่องชั้น 2 เองก็ทยอยกันออกมาหลายสิบ
สำหรับตำหนักเอกอุด้านบนสุดนั้น ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร
“เกิดอันใดขึ้นกัน?”
“ต้วนหลิงเทียนไปยั่วโทสะผู้ใดเข้าอีกเล่า?”
“ว่าแต่ไฉนเสียงนี้ข้าฟังแล้วคุ้นหูนักนะ…”
……
เพราะเสียงของหลี่อันดังกังวานมาถึงก่อนที่คนจะปรากฏตัว เหล่าศิษย์ที่ตกใจจนออกมาชมดูเรื่องราวจึงอดไม่ได้ที่จะสับสนเมื่อไม่เห็นคน ได้แต่คาดเดากันไปเรื่อย…
“ข้าจำได้แล้ว! เสียงนี่มันเป็นเสียงของผู้อาวุโสหลี่อันไม่ผิดแน่!!”
ศิษย์ที่พึ่งออกจากบ้านชั้น 3 คนหนึ่งพลันตะโกนออกมาด้วยสายตาลุกวาว เมื่อจดจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใคร
ถึงแม้เสียงมันจะไม่ถึงกับดังก้องไปทั่ว แต่ผู้คนนับร้อยๆที่อยู่ใกล้ๆมันก้ได้ยินชัดถนัดหู
จากหนึ่งเป็นสิบจากสิบเป็นร้อย บอกต่อๆกันไปปากต่อปาก!
หลังจากนั้นไม่ทันไรเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่ออกจากที่พักมาด้วยความสนใจ ก็ได้รับทราบว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเปี่ยมโทสะดังกล่าว…ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นอาวุโสหลี่อัน อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 แห่งแท่นบูชาเต่าทมิฬ!!
ในแท่นบูชาเต่าทมิฬแห่งนี้ ฐานะของหลี่อันกล่าวได้ว่าเป็นรองก็แต่เพียงจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬเท่านั้น อยู่ใต้หนึ่งอยู่เหนือนับหมื่น!!
“ต้วนหลิงเทียนไปก่อเรื่องอันใดมาอีกแล้วเล่า อาวุโสหลี่อันถึงกับบุกมาถึงหน้าประตูเช่นนี้!?”
เหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬหลายต่อหลายคนหันมองสบตากันด้วยความตกใจ บ้างก็เผยแววตาหวั่นกลัว
พวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าศิษย์ที่พึ่งเข้ามาแท่นบูชาเต่าทมิฬได้ไม่ทันไร กลับทำให้อาวุโสหลี่อันของพวกมันมีโทสะครั้งแล้วครั้งเล่า!
“ถึงขั้นที่อาวุโสหลี่อันบุกมาถึงหน้าประตูเช่นนี้ เห็นทีจะมิใช่แค่เรื่องเล็กน้อยแน่! ท่าทางคราวนี้ต้วนหลิงเทียนจะถึงวาระแล้วล่ะ!!”
“ท่าทางดวงต้วนคุ้มคลั่งจะกุดซะแล้ว…”
เหล่าศิษย์กล่าวออกความเห็นกันอย่างอื้ออึง
หลังจากนั้นภายใต้สายตาของเหล่าศิษย์นับพันๆ ร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันกับกู่ชุน!
ก่อนมาถึงตรงนี้หลี่อันก็ปล่อยให้กู่ชุนเหาะเอง และมันก็ลอยร่างติดตามมาด้านหลังเงียบๆ
ถึงแม้กู่ชุนจะลอยร่างอยู่ด้านหลังหลี่อัน หากแต่ดวงตาของมันกลับจดจ้องไปยัง บ้านชั้น 3 หลังหนึ่งในบรรดาพันหลัง แววตายังเต็มไปด้วยเพลิงแค้นแสนเกลียด!
และบ้านพักชั้น 3 หลังนั้นก็ไม่ใช่ของใครที่ไหน เป็นของต้วนหลิงเทียนที่มันทนรอฆ่าอีกฝ่ายให้ตายแทบไม่ไหวแล้ว!
“หลี่อันรึ?”
ในขณะเดียวกันนั้น ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ถูกปลุกขึ้นมาจากภวังค์ณาน เมื่อได้รับทราบการมาถึงของหลี่อัน…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น