War sovereign Soaring The Heavens 1904-1915

 ตอนที่ 1,904 : พรสวรรค์รากวิญญาณ!


 


นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ก็สมควรดีกว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาก!


 


เช่นนั้นแล้วเกรงว่าไม่เพียงแต่ความเร็วในการบ่มเพาะพลังบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ จะไม่ได้เพิ่มขึ้นแค่เท่าตัว กระทั่งอาจจะเป็น 2 หรือ 3 เท่าตัวก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!


 


“นับว่าได้อย่างเสียอย่างจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ในลำคอรู้สึกขมปร่านัก…


 


สิ่งที่เขาคาดหวังมากที่สุดก็คือความเสถียรของห้วงมิติในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงทางลัดในการช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกจากหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ!


 


ถึงแม้ว่าทางลัดที่ว่าอาจไม่ได้ทำสำเร็จง่ายๆ แต่อย่างน้อยๆมันก็มอบความหวังให้เขานัก


 


อนิจจาตอนนี้ความหวังดังกล่าวได้แตกสลายกลายเป็นละอองเสียสิ้นแล้ว เช่นนั้นก็ไร้ซึ่งทางลัดอันใดสืบไป มีเพียงแต่ต้องเคี่ยวกรำบ่มเพาะพลังฝีมือให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเค่อเอ๋อกับลูกสาวตรงๆ…


 


ดวงอาทิตย์ค่อยๆแง้มโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าทิศตะวันออก แสงแรกของวันรุกคืบเข้ามาสาดส่องขับไล่ความมืดมิด ผู้คนรอบๆตัวต้วนหลิงเทียนเองก็ค่อยๆทยอยกันลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์บ่มเพาะคนแล้วคนเล่า


 


ครู่เดียวสภาพแวดล้อมก็กลายเป็นคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที


 


“อีกไม่นานการทดสอบประเมินก็คงเริ่มแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนลอยร่างกลางหาว มองชมตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้าด้วยสายตาเลื่อนลอยพักหนึ่งค่อยกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง พลันมีเสียงกระซิบสนทนาหนึ่งดังเข้าหูเขาพอดี


 


“นี่ๆ พี่ชายท่านนี้ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าการทดสอบประเมินที่ว่า มันทดสอบอันใดบ้าง?”


 


“ข้าต้องรู้เป็นธรรมดา! เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้วข้าเองก็มาเข้าร่วมการทดสอบประเมินรับศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทธิบูชาไฟด้วย…การประเมินพรสวรรค์ของข้านั้นผ่านเกณฑ์อย่างเฉียดฉิว หากแต่บททดสอบพลังฝีมือของข้ากลับมิผ่านเกณฑ์ พอรวมคะแนนออกมาข้าเลยขาดอีกแค่เล็กน้อยเท่านั้น…สุดท้ายจึงมิผ่านการประเมิน”


 


“แล้วที่ท่านมาครั้งนี้ ท่านมั่นใจว่าจะผ่านแล้วหรือ?”


 


“ย่อมผ่านแน่! พลังฝีมือของข้าวันนี้มิใช่อะไรที่ตัวข้าเมื่อ 3 ปีที่แล้วจะเทียบได้…ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของข้ายังคงเหมือนเดิม หากแต่ด้วยพลังฝึกปรือของข้าที่เพิ่มขึ้น คิดผ่านเกณฑ์การประเมินย่อมมิใช่เรื่องยาก!”


 


……


 


นี่เป็นดั่งบทสนทนาระหว่าง รุ่นใหม่กับรุ่นหลังที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจริงๆ…


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ถูกบทสนทนาของทั้งคู่ดึงดูด


 


“พี่ชาย ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวหรือสูงกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องทดสอบพลังฝีมือก็ผ่านการคัดเลือกของแท่นบูชาจตุรลักษณ์เลยเช่นนั้นหรือ?”


 


ชายคนที่อายุน้อยกว่าสอบถามชายวัยกลางคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนด้วยความสงสัยเพิ่มเติม


 


“ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าที่เต็มที่ก็มีแค่สีเหลือง…ข้าหวังเพียงว่าอาศัยความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้จะสามารถผ่านการประเมินได้…เจ้าว่าข้ามีหวังหรือไม่?”


 


ชายชราคนหนึ่งที่ได้ยินก็กล่าวถามขึ้นมาเช่นกัน


 


“ไม่ผิดน้องชาย หากมีรากวิญญาณสีเขียวจะผ่านการทดสอบทันที ส่วนพี่ชายท่านนี้อาศัยรากวิญญาณสีเหลืองของท่าน ถือว่าพรสวรรค์ของท่านมิค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่…หากท่านคิดเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟด้วยพรสวรรค์ระดับนี้ เห็นทีจะยากมิใช่น้อย…”


 


ชายวัยกลางคนที่เป็นดั่งกูรูผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนกล่าวตอบทั้งคู่


 


“เฮ่อ…ข้าเองก็รับทราบดี แต่อย่างไรเสียข้าก็ทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว…ได้แต่หวังว่าข้าจะทำคะแนนได้มากพอในบททดสอบพลังฝีมือ…”


 


ชายชราพยักหน้า


 


“รากวิญญาณ? พรสวรรค์รากวิญญาณ?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินบทสนทนาของคน 3 คนกลุ่มนี้ สีหน้าของเขากลายเป็นเหรอหรากระพริบตาปริบๆ ด้วยไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้สนทนาเรื่องอะไรกัน…


 


รากวิญญาณคืออะไร? แล้วพรสวรรค์รากวิญญาณคือสิ่งใดกัน?


 


เขาไม่รู้เรื่องเลย!!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านรู้เรื่องเหล่านี้หรือไม่?”


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ค้องใช้ตัวช่วย รีบกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วทันที


 


“ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน…สมควรเป็นคำเรียกหาเฉพาะของระนาบโลกียะแห่งนี้”


 


ผู้เฒ่าหั่วเองก็ไม่รู้เช่นกัน


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็ยิ้มเจื่อนๆทันที แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก ในเมื่อเขาไม่รู้และผู้เฒ่าหั่วไม่รู้ เช่นนั้นก็ไปถามคนรู้เสียก็หมดเรื่อง! เขาลอยร่างเข้าไปหากูรูที่กำลังกล่าวอย่างออกรส พร้อมถามออกไปทันที “พี่ชายท่านนี้…มิทราบว่ารากวิญญาณที่ท่านพูดถึงคืออะไรหรือ?”


 


“อะไรกันน้องชาย? นี่เจ้ามิรู้จักรากวิญญาณรึ!?”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนถึงกับชักหน้าเหวอ สายตาที่มองต้วนหลิงเทียนยังทำราวกับมองตัวประหลาด


 


“เอ่อ…ข้าไม่รู้แล้วมันผิดมากหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่อยากรู้ พอโดนแขวะก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้ง ก่อนจะถามไถ่ออกอีกรอบ


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วและชักสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนถึงกับลอบหลั่งเหงื่อเย็นจนหลังเปียก เพราะตอนแรกมันไม่ทันสนใจ แต่พอดูผู้ถามให้ดีๆก็พบว่าเป็นต้วนหลิงเทียนที่ฆ่าหยางหวู่เมื่อวาน! มันสัมผัสได้ถึงความฉิบหายประการหนึ่งขึ้นมาทันที เร่งรีบแก้ตัว พร้อมกล่าวอธิบายออกไปอย่างไม่กล้ารอช้า


 


“น้องชายท่านนี้ใจเย็นก่อน ข้าเพียงแปลกใจมากเท่านั้นที่อัจฉริยะเช่นน้องชายมิรู้เรื่องพื้นฐาน…รากวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีมาแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนดให้เรามา…อย่างไรก็ตามบรรพบุรุษของพวกเราก็พึ่งจะค้นพบรากวิญญาณที่ว่า หลังจากมาถึงภูมิภาคเบื้องบนได้พักหนึ่งเท่านั้น”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวถึงตอนนี้ ก็หยุดเล็กน้อย ค่อยมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ “น้องชายท่านนี้สมควรรู้แล้วใช่หรือไม่…ว่าดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของเราถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคเบื้องบนกับเบื้องล่าง?”


 


“ข้ารู้ เพราะข้ามาจากภูมิภาคเบื้องล่าง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ


 


“อะไร? ที่แท้น้องชายมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง?”


 


ชายวัยกลางคนที่ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนก็เผยความประหลาดใจไม่น้อย ค่อยพยักหน้าด้วยแววตาคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง กล่าวต่อออกมาว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง อย่างนั้นก็มิแปลกที่น้องชายจะไม่รู้จักรากวิญญาณ…รากวิญญาณนั้น เป็นดั่งรากฐานพรสวรรค์ของทุกสรรพชีวิต และรากวิญญาณยังเป็นดั่งสิ่งที่จะกำหนดขีดจำกัดศักยภาพและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคลอีกด้วย”


 


“รากวิญญาณนั้นถูกแบ่งออกเป็น 7 สีหลักๆตามสีรุ้ง…อันได้แก่ รากวิญญาณสีม่วง รากวิญญาณสีคราม รากวิญญาณสีน้ำเงิน รากวิญญาณสีเขียว รากวิญญาณสีเหลือง รากวิญญาณสีแสด รากวิญญาณสีแดง!”


 


“ในบรรดาเฉดสีทั้งหมดที่ข้ากล่าวออกมา รากวิญญาณสีแดงนั้นก็คือรากวิญญาณที่อ่อนด้อยที่สุด ส่วนรากวิญญาณสีม่วงก็คือรากวิญญาณที่มีพรสวรรค์และสักยภาพสูงที่สุด! การประเมินคัดเลือกของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ลัทธิบูชาไฟนั้น ผู้ฝึกตนคนใดก็ตามที่มีรากวิญญาณสีน้ำเงินขึ้นไปสามารถข้ามการทดสอบ และเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟได้ทันที”


 


“ส่วนผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียวนั้น โดยปกติแล้วจำต้องมีพลังฝึกปรืออยู่เหนือขอบเขตเซียนมนุษย์เสียก่อน ถึงจะมีโอกาสผ่านการประเมินคัดเลือกเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ”


 


“ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลืองนั้น จำต้องมีพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนปฐพีเสียก่อน จึงจะมีโอกาสผ่านการทดสอบ…”


 


“ตามทฤษฎีและข้อกำหนดแล้ว เช่นนั้นผู้ที่มีรากวิญญาณสีแสดจำต้องบรรลุพลังฝึกปรือเหนือขอบเขตเซียนนภาเสียก่อนจึงจะมีโอกาสเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ…อนิจจารากวิญญาณสีแสดนั้นถือว่าอ่อนด้อยนัก เว้นเสียจะพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมา หาไม่แล้วคนที่มีรากวิญญาณสีแสด ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิต ก็เกรงว่าคงมิอาจทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภาได้!”


 


ชายวัยกลางคนที่หวาดกลัวพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองอะไรให้ต้วนหลิงเทียนอีก มันถึงกับรีบพ่นทุกสิ่งที่มันรู้ออกมารวดเดียวจบ!


 


หลังจากที่มันร่ายยาวจบคำ มันก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สองตามองต้วนหลิงเทียนอย่างกล้าๆกลัวๆ


 


ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ในที่สุดก็เข้าใจเรื่องรากวิญญาณและรู้แล้วว่าพรสวรรค์รากวิญญาณมันคืออะไร


 


“ว่าแต่ แล้วเราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเรามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีอะไร?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างจ้า กล่าวถามชายวัยกลางคนออกมาอีกครั้ง


 


“เรื่องนี้กล่าวไปก็มิยากนักน้องชาย แต่มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจักมีความสามารถตรวจสอบรากวิญญาณของตัวเอง และหากคิดจะตรวจสอบรากวิญญาณของผู้อื่นก็จำต้องได้รับความยินยอมเสียก่อน ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ต่อต้านก็สามารถตรวจสอบได้ทันที…นอกจากนั้นยังมีสิ่งประดิษฐ์และเครื่องมือบางอย่างที่ใช้ตรวจสอบพรสวรรค์รากวิญญาณได้”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวสืบต่อ “เช่นเดียวกับการประเมินในวันนี้ ทางแท่นบูชาเต่าทมิฬจักนำ ลูกแก้ววิญญาณที่จารึกอาคมเซียนอันซับซ้อนมาทดสอบ…เมื่อพวกเราวางมือไว้บนลูกแก้วราวๆ 10 ลมหายใจ ลูกแก้วจะเปล่งแสงสว่างออกมาตามสีของรากวิญญาณที่เรามี”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ ในที่สุดเขาก็ได้รับทราบเรื่องที่อยากรู้แล้ว


 


“แท่นบูชาเต่าทมิฬก็จักประเมินพวกเราโดยการดูสีของรากวิญญาณพวกเรา…รากวิญญาณของผู้ใดแข็งแกร่งยอดเยี่ยมก็จักได้รับการปฏิบัติดูแลจากลัทธิดีกว่าผู้อื่น! ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่มีรากวิญญาณสีน้ำเงิน ล้วนสามารถเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟได้โดยไม่ต้องทดสอบพลังฝีมือ…กลายเป็นศิษย์ลัทธิบูชาไฟได้ทันที!”


 


“ส่วนผู้ที่มีรากวิญญาณอ่อนด้อยกว่ารากวิญญาณสีน้ำเงิน จักต้องทำการประเมินทดสอบพลังฝีมือเสียก่อน…ยิ่งมีรากวิญญาณต้อยต่ำเท่าใด ก็จำต้องมีพลังฝึกปรือที่สูงขึ้นและต้องแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษถึงจะผ่านการทดสอบ!”


 


เรื่องนี้พอได้ฟังต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ว่าไฉนถึงต้องมีกฏเกณฑ์อะไรแบบนี้


 


หากไร้พรสวรรค์แล้วยังมีพลังฝีมืออ่อนด้อยอีก ไหนเลยจะกลายเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟได้?


 


หากไม่ว่าผู้ใดก็เป็นศิษย์ลัทธิบูชาไฟได้ เช่นนั้นแล้วลัทธิบูชาไฟจะแตกต่างจากขุมพลังทั่วๆไปได้อย่างไร?


 


ลัทธิบูชาไฟเป็น 1 ใน 3 ลัทธิ ยังเป็นมหาอำนาจที่ร้ายกาจและทรงพลังที่สุดในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


‘ไม่รู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าจะเป็นอย่างไร…แต่ที่แน่ๆมันไม่น่าจะเป็นรากวิญญาณระดับสูงแน่นอน’


 


ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักรู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองดี


 


พรสวรรค์ของเขาในทวีปเมฆาล่อง อาจกล่าวได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้วก็ว่าได้…


 


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เขามาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เขาพบว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของผู้คนเป็นอะไรที่สูงมาก!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพ พรสวรรค์ของเหล่าศิษย์อัจฉริยะทั้งหลายที่เขาเคยพบพานในตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ตัวเองดี


 


หากเขาไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่มีวันไล่ตามกระทั่งก้าวข้ามเหล่าอัจฉริยะเหล่านั้นได้เลย กระทั่งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างวันนี้เกรงว่าคงเป็นอะไรที่น้อยเสียยิ่งกว่าคำริบหรี่…


 


“มากันแล้ว!”


 


ทันใดนั้นเองไม่ทราบใครเป็นผู้ตะโกนออกมา แต่นับว่าปลุกสติของใครหลายคนทันที


 


พริบตานั้นแทบทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียน ก็หันเหความสนใจไปยังคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเหินร่างเข้ามาทันที


 


ภายใต้สายตาของทุกคน ในที่สุดเถิงชานและหลี่อัน อาวุโสระดับเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง


 


ถึงแม้ทั้งสองจะมาถึงพร้อมๆกัน แต่ทว่าทั้งคู่ก็มาจากคนละทิศละทาง ไม่ได้มาด้วยกัน


 


ทั้งคู่ที่มาถึง ต่างก็มีชายวัยกลางคน 2 คนติดสอยห้อยตามมาด้วย


 


ชายวัยกลางคนทั้ง 4 นั้นสวมชุดคลุมสีขาวและมีลวดลายเหมือนกันกับเถิงชานและหลี่อันไม่ผิดผิดเพี้ยน มันเป็นลายปักเต่าทมิฬ! ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกมันกับเถิงชานและหลี่อันก็คือ…ลายปักเต่าทมิฬของพวกมันเป็นสีทองแดง!


 


อาวุโสเพลิงทองแดง!


 


ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนที่ได้เห็น ก็สามารถบอกฐานะของชายวัยกลางคนทั้ง 4 ได้ทันที


 


“ขอให้ทุกคนจงเตรียมตัวให้พร้อม”


 


เถิงชานกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ เมื่อพูดจบคำมันก็เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าสูงและว่ายตามองทุกคน


 


ในขณะที่เถิงชานเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า อาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ลอยร่างอยู่ด้านหลังของมันก่อนหน้า ก็ยกมือขึ้นก่อนจะปรากฏลูกแก้วโปร่งใสขึ้นมาลอยล่องอยู่กลางอากาศเบื้องหน้า


 


มองจากไกลๆ ก็พอบอกได้ว่าลูกแก้วโปร่งใสดังกล่าวมีขนาดพอๆกับกำปั้นของผู้ใหญ่


 


วูบ!


 


หลี่อันไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว มันเหินร่างลอยขึ้นไปบนฟ้าเหมือนเถิงชานทันที


 


และอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 คนที่ติดตามมันมาแต่แรก ก็ยกมือขึ้นเรียกลูกแก้วโปร่งแสงออกมาคนละลูกเหมือนกัน


 


‘นั่นน่ะเหรอลูกแก้ววิญญาณที่สามารถตรวจสอบและระบุพรสวรรค์รากวิญญาณได้’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ทันทีว่าลูกแก้วโปร่งใส 4 ลูกที่ลอยล่องอยู่เบื้องหน้าอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 4 สมควรเป็นลูกแก้ววิญญาณที่ชายวัยกลางคนผู้รู้มากก่อนหน้ากล่าวบอก


 


“การประเมินในวันนี้จักแบ่งออกเป็น 2 ส่วน…หนึ่งคือประเมินพรสวรรค์รากวิญญาณ! พวกเราจะทำการตรวจสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเจ้าตามลำดับจนครบทุกคน!!”


 


ตอนนี้เองเถิงชานก็กล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด คล้ายกำลังจะเริ่มต้นการประเมินทดสอบของวันนี้แล้ว


 


หลังจากนั้นเถิงชานก็พูดถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนรู้จากชายวัยกลางคนออกมา


 


“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าจะเริ่มทำการตรวจสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเจ้า!”


 


เถิงชานประกาศออกมาอีกครั้ง เป้นการเริ่มต้นการประเมินทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณอย่างเป็นทางการ


 


‘ไม่รู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าจะมีสีอะไรกันแน่…เป็นสีส้มหรือว่าสีเหลืองกันนะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าฝันสูง…


ตอนที่ 1,905 : ถึงตาของต้วนหลิงเทียนแล้ว…


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กล้าฝันเฟื่องวาดหวังว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาจะดีเลิศประเสริฐศรีอะไร! เพราะเขารู้ตัวดีว่าที่เขามีวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติล้วนๆ!!


 


ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น อัตราการไหลของห้วงเวลามันช้ากว่าด้านนอกถึง 5 ต่อ 1 ซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ชวนให้สะพรึงนัก!


 


เพียงอาศัยเรื่องนี้อย่างเดียว ความเร็วในการบ่มเพาะของเขา ก็เหนือกว่าผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ระดับเดียวกันกับเขาถึง 5 เท่า!


 


สูดอากาศเข้าลึกๆไม่กี่คำ แววตาที่เลื่อนลอยของต้วนหลิงเทียนพลันกลับมากระจ่าง ว่ายมองไปตกยังร่างอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 4 ทันที ตอนนี้พวกมันกำลังเฝ้ารอผลการทดสอบของคน 4 คนที่วางมืออยู่บนลูกแก้ววิญญาณเบื้องหน้า


 


ทั้ง 4 นั้นหลังจากที่นำมือไปวางบนลูกแก้ววิญญาณแล้ว ก็จำต้องรอถึง 10 ลมหายใจกว่าผลการทดสอบจะออกมา


 


วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!


 


ลูกแก้ววิญญาณของคน 3 คนส่องสว่างออกมาด้วยแสงสีเหลือง!


 


วิ้ง!


 


ส่วนลูกแก้ววิญญาณของคคนสุดท้ายนั้น กลับส่องแสงสีแสดสว่างออกมา


 


“วิเศษจริงๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาไม่คิดเลยว่าลูกแก้วเล็กๆเพียงเท่านี้กลับสามารถเปิดเผยพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้คนออกมาได้จริงๆ…


 


นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงความซับซ้อนของข่ายอาคมมากมายที่กระจุกอัดแน่นอยู่ในลูกแก้ววิญญาณเหล่านั้น


 


ถึงแม้ว่าข่ายอาคมดูแล้วจะไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมาย ทว่ามันเรียงตัวซับซ้อนและเชื่อมโยงกันหลากหลายอาคมนัก ยิ่งกว่าวงจรไฟฟ้าของอุปกรณ์ทันสมัยในโลกเก่าเขาเสียอีก…


 


“พวกเจ้าชื่ออะไร?”


 


หลังจากผลการทดสอบออกมาแล้ว อาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 4 ก็ยกสมุดออกมาเล่มหนึ่ง ถามไถ่นามของทั้ง 4 ออกมาเพื่อทำการจดชื่อ และผลลัพธ์การทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน


 


“ส่วนเจ้า รากวิญญาณของเจ้าเป็นเพียงรากวิญญาณสีแสด…หากพลังฝึกปรือของเจ้ายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา คงเป็นไปมิได้เลยที่เจ้าจะผ่านบททดสอบพลังฝีมือไปได้”


 


หนึ่งในอาวุโสเพลิงทองแดงมองไปยังชายชราที่ผลการทดสอบออกมาเป็นรากวิญญาณสีแสด ค่อยกล่าวออกอย่างไร้แยแส


 


“รากวิญญาณสีแสดหรือ?”


 


ใบหน้าชายชราเผยความขื่นขมออกมาทันใด แววตายังสั่นไหวไปคล้ายทดท้อ เห็นชัดว่ามันพึ่งได้รู้ก็วันนี้…ว่ารากวิญญาณของมันมีสีแสด…


 


“รากวิญญาณสีแสดหรือ…เฮ่อ สหายเฒ่าผู้นั้นหมดหวังแล้วล่ะ หากมิได้พบพานวาสนาโดยบังเอิญกระทั่งยังต้องเป็นวาสนาปาฏิหาริย์ เกรงว่าชั่วชีวิตมันกระทั่งเซียนนภายังมิอาจบรรลุถึงได้…”


 


ตอนนี้เองเหล่าผู้ที่รอทดสอบอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา


 


และภายใต้สายตาของผู้คน ชายชราเจ้าของรากวิญญาณสีแสดก็โค้งคำนับอาวุโสเพลิงทองแดงครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเหินร่างจากไปทันที…


 


แผ่นหลังที่ค่อยๆห่างออกไปไกลตา แลดูเปลี่ยวเศร้าเหงาหงอยนัก


 


“ข้าหวังว่ารากวิญญาณของข้าจักมิใช่รากวิญญาณสีแสดหรอกนะ…”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะรำพันออกมากับตัวเองเบาๆ พวกมันเองก็กลัวไม่น้อยว่ารากวิญญาณของตัวเองจะเป็นเพียงรากวิญญาณสีแสด เพราะยากนักที่จะกล่าวบอกว่ารากวิญญาณของใครเป็นสีอะไรเพียงมองจากพลังฝึกปรือในปัจจุบัน


 


ช่องว่างของระดับพลังฝึกปรือขั้นสูงๆยิ่งมาก็ยิ่งห่างชั้นกันมากขึ้น เช่นนั้นหากไม่มีพลังฝึกปรือถึงจุดหนึ่งก็ยากจะบ่งบอกได้ว่าที่แท้พรสวรรค์รากวิญญาณคือระดับใดกันแน่…


 


เช่นเดียวกันกับคนที่มีรากวิญญาณสีแสดกับสีเหลือง ก่อนที่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ความเร็วในการบ่มเพาะของพวกมันจะไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไร!


 


จนเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว ความแตกต่างถึงจะเริ่มเห็นได้ชัดเจน


 


และสุดท้ายผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลือง จะสามารถบุกทะลวงไปยังขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างง่ายดาย กระทั่งยังมีโอกาสทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนนภาสูงไม่น้อย


 


หากแต่มีมากมายหลายคนนักที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีส้ม ที่แม้จะทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว ถึงจะมีโอกาสทะลวงไปยังขอบเขตเซียนปฐพีได้ แต่พวกมันกลับแทบไม่มีความหวังที่จะทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนนภาได้เลยตลอดชั่วชีวิต!


 


“ส่วนรากวิญญาณของพวกเจ้าทั้ง 3 คือรากวิญญาณสีเหลือง หากพลังฝึกปรือของพวกเจ้ายังไม่ทันบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี ข้ามิแนะนำให้พวกเจ้าเข้าร่วมการทดสอบพลังฝีมือ…แต่แน่นอนว่าพวกเจ้าสามารถเลือกที่จะลองได้ แต่พวกเจ้าจำต้องเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับอาการบาดเจ็บล้มตายไว้ด้วย…”


 


ผู้อาวุโสเพลิงทองแดงที่กล่าวออกก่อนหน้าพลันพูดขึ้นมาอีกครั้ง ให้คำแนะนำแก่ผู้ทดสอบ 3 คนที่มีรากวิญญาณสีเหลือง


 


ทั้ง 3 คนพยักหน้ารับทราบ และมีเพียง 2 คนที่รั้งอยู่ต่อ ส่วนอีกคนเลือกที่จะเหินร่างจากไป


 


คนที่จากไปนั้นพลังฝึกปรือของมันเพียงพึงทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น โอกาสในการผ่านการทดสอบของมันเรียกว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน!


 


เหตุผลเดียวที่มันมาปรากฏตัวที่นี่วันนี้เพียงเพราะมันอยากรู้ว่า รากวิญญาณของมันใช่มีสีเขียวหรือไม่…


 


หากพรสวรรค์รากวิญญาณของมันเป็น รากวิญญาณสีเขียว เช่นนั้นความยากลำบากของบททดสอบพลังฝีมือ ก็จะลดระดับความยากลงไปมากมาย ถึงจุดที่ขอแค่เป็นเซียนมนุษย์ขั้นต้นก็สามารถผ่านได้…


 


การประเมินคัดเลือกศิษย์ในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทธิบูชาไฟนั้น ดำเนินการตามหลัก ยิ่งพรสวรรค์สูงส่งการประเมินจะยิ่งง่ายขึ้น!


 


ยกตัวอย่างเช่น…ขอเพียงผู้เข้าร่วมการประเมินมีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นรากวิญญาณสีเขียว ตราบใดที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น ก็จะสามารถผ่านบททดสอบพลังฝีมือไปได้อย่างง่ายดาย และกลายเป็นศิษย์ลัทธิบูชาไฟได้สำเร็จ!


 


เพียงเพราะคนที่มีรากวิญญาณสีเขียวนั้น เรื่องทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภาก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น และโอกาสทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ยังมีสูงนัก!


 


คนที่มีศักยภาพเช่นนี้เมื่อเติบโตขึ้นไป วันหน้าย่อมกลายเป็นกระดูกสันหลังของลัทธิบูชาไฟได้แน่นอน!


 


สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเหนือกว่ารากวิญญาณสีเขียว คนเหล่านี้จะถูกยกเว้นจากการทดสอบพลังฝีมือและได้กลายเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟได้ทันที กระทั่งยังอาจต้องตาพึงใจอาวุโสเพลิงทอง จนถูกรับเป็นศิษย์ส่วนตัว…


 


เพราะในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น มีกฏเหล็กอยู่ประการหนึ่ง


 


ผู้ใดก็ตามที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเหนือกว่ารากวิญญาณสีเขียวขึ้นไป หากไม่ตกตายไปเสียก่อน ล้วนทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้แน่นอน!


 


หลังจากที่ 4 คนแรกผละออกมา 4 คนต่อไปก็เหินร่างเข้าไปทำการทดสอบ


 


แต่ละรอบนั้นสามารถทำการประเมินพรสวรรค์รากวิญญาณได้แค่ 4 คนเท่านั้น


 


หลังทดสอบไปได้อีกพักหนึ่ง ผู้ที่พบว่ารากวิญญาณของตัวเองเป็นเพียงรากวิญญาณสีแสด ก็เลือกที่จะจากไปทันที


 


คนส่วนใหญ่นั้นมีรากวิญญาณสีเหลือง และแทบทั้งหมดก็เลือกจะเฝ้ารอทดสอบพลังฝีมือที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้…นอกจากนี้บางส่วนก็เลือกที่จะจากไป เพราะรู้ว่าพลังฝีมือไม่สูงพอ


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่นานก็หลงเหลือผู้คนเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำการทดสอบ


 


และตอนนี้ผู้ที่เหลืออยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬก็มีไม่ถึงพันคนแล้วด้วย


 


“รากวิญญาณสีเขียว!”


 


ตอนนี้เองในบรรดา 4 คนที่เข้ารับการทดสอบ เมื่อมือของหนึ่งในนั้นวางลงบนลูกแก้ววิญญาณและตัวลูกแก้ววิญญาณเปล่งแสงสว่างสีเขียวออกมา มันก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที!


 


เป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาผิวพรรณเกลี้ยงเกลาดั่งหยกเสลา มาในชุดเรียบร้อยแลคล้ายบัณฑิตนักศึกษา ท่าทางจะมีฐานะไม่ใช่ชั่ว ตอนนี้ใบหน้ามันเผยความตกตะลึงไม่น้อยเมื่อพบว่าตัวเองมีรากวิญญาณสีเขียว


 


หลังจากนั้นไม่นานความสุขความยินดีก็เผยออกมาบนใบหน้ามันล้นปรี่


 


“เป็นรากวิญญาณสีเขียวจริงๆ!”


 


“กว่า 400 คนแล้วที่ขึ้นไปทำการทดสอบ ในที่สุดคนที่มีรากวิญญาณสีเขียวก็ปรากฏตัว…ลองเจ้านั่นมีรากวิญญาณสีเขียวเช่นนี้ บททดสอบพลังฝีมือของมันก็นับว่าผ่านได้ง่ายดายนัก แค่บรรลุเซียนมนุษย์ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว…”


 


“รากวิญญาณสีเขียวหรือ…ข้าเองก็หวังว่ารากวิญญาณของข้าจะมีสีเขียวบ้าง หาไม่แล้วเกรงว่าข้าคงยากจะเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟได้ หากอาศัยพลังฝึกปรือสูงสุดเซียนมนุษย์นี้ของข้า…”


 



 


หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกันออกมา สายตาที่ใช้มองชายวัยกลางคนที่มีรากวิญญาณสีเขียวยังเผยความอิจฉาออกมาชัดเจน บ้างก็ถึงกับเผยความริษยาออกมาให้เห็น…


 


“พลังฝึกปรือของเจ้าเป็นเช่นไรแล้ว?”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงมองถามชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตด้วยรอยยิ้ม


 


เพราะอาวุโสเพลิงทองแดงคนนี้ก็มีรากวิญญาณสีเขียวเท่านั้น


 


ตราบใดที่ชายวัยกลางคนเบื้องหน้ามันเข้าร่วมกับลัทธิบูชาไฟได้ สักวันฐานะของอีกฝ่ายอย่างน้อยๆก็จะทัดเทียมกับมัน ด้วยเหตุนี้มันจึงปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความเท่าเทียมเสมือนอยู่ในระดับเดียวกัน


 


“ข้าเพียงบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นต้นเท่านั้น”


 


ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“อะไร! บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นต้นแล้ว!?”


 


“ไม่เพียงมากพรสวรรค์กระทั่งพลังฝึกปรือยังร้ายกาจ…เช่นนั้นก็สมควรได้เป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟแน่นอนแล้ว! กระทั่งวันใดหากเจ้านั่นบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา อาจจะได้บัตรผ่านเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ!”


 


“สำหรับมันแล้วการประเมินวันนี้เป็นดั่งพิธีการที่เพียงกระทำให้ผ่านๆไปเท่านั้น…ด้วยศักยภาพของมัน มีแน้วโน้มสูงนักที่จะกลายเป็นอาวุโสเพลิงทองแดง เหล่าอาวุโสเพลิงเงินเองก็คงต้องตาพึงใจหมายรับตัวมันเป็นศิษย์ไม่น้อย”


 


……


 


สายตาของผู้คนส่วนใหญ่ต่างมองชายวัยกลางคนด้วยความอิจฉา


 


‘มีคนทดสอบไปแล้ว 400 กว่าคน กลับมีรากวิญญาณสีเขียวโผล่มาแค่คนเดียว…ดูเหมือนว่าอย่างดีรากวิญญาณของข้าก็คงมีสีเหลืองแน่แล้ว! หวังว่ามันจะไม่เป็นสีแสดก็พอ…’


 


มองไปยังชายวัยกลางคนที่ลอยร่างอยู่ไกลห่าง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดไปในใจ ลึกลงไปในแววตาเขาก็เผยความอิจฉาออกมาเช่นกัน


 


ในตอนที่เขายังอยู่ในทวีปมนุษย์อย่างทวีปเมฆาล่องนั้น ด้วยนมผา 10,000 ปี มันก็ได้ยกระดับศักยภาพพรสวรรค์ของเขาจนบรรลุถึงจุดสูงสุด!


 


แต่นั่นเป็นเพียงพรสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปมนุษย์เท่านั้น!


 


ศักยภาพพรสวรรค์ที่สูงสุดในทวีปมนุษย์ พอมาอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ไม่นับเป็นตัวอะไร!


 


บางทีอาจเป็นเพราะชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตที่มีรากวิญญาณสีเขียวคนแรกนั้นนำโชคมาให้ก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นอีกไม่กี่รอบ คนที่ขึ้นไปทำการทดสอบชุดล่าสุดก็เป็นผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียวอีกคน!


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวมาอีกคนแล้ว!”


 


ไม่เว้นต้วนหลิงเทียน ทุกคนหันไปมองผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียวเป็นคนที่สองทันที


 


มันเป็นชายหนุ่มหน้าตาแลดูธรรมดาสามัญคนหนึ่ง หากจับไปวางไว้ในฝูงชนเกรงว่าคงปะปนไปจนยากจะแยก นอกจากนี้คล้ายมันยังไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองมีรากวิญญาณสีเขียว ถึงกับตะลึงอึ้งค้างไปพักหนึ่ง


 


จนเมื่ออาวุโสเพลิงทองแดงกล่าวทักมัน จึงค่อยได้รู้สึกตัว กระทั่งยังโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น!


 


เปรียบเทียบกับชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตที่เพียงตกตะลึงและเผยใบหน้ายินดีแล้ว คล้ายมันจะตื่นเต้นดีใจกว่ากันมาก!


 


อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดว่าอาการนี้ของมันจะเกินเหตุอะไร ยังคิดว่าเป็นเรื่องปกตินัก…หากเป็นพวกมันบ้างเกรงว่าเผลอๆอาจจะแสดงความตื่นเต้นยินดียิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ!!


 


“ฮ่าๆๆ! ยินดีกับเจ้าด้วยเผิงฮุย!!”


 


ไม่นานสหายของชายหนุ่มคนดังกล่าวพอทราบว่าสหายของมันมีรากวิญญาณสีเขียว ก็เร่งกล่าวคำแสดงความยินดีออกมาทันที


 


ขณะเดียวกันมันก็ไม่ลืมที่จะกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจกับผู้คนรอบๆ “อัจฉริยะที่มีรากวิญญาณสีเขียวคนนี้เป็นดั่งพี่น้องแท้ๆของข้า! ข้าหลงคิดว่าอาศัยเพียงพลังฝึกปรือเซียนมนุษย์ชั้นกลาง สหายข้าคงยากจะเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟได้แล้ว แต่มิคิดเลยว่าสหายประเสริฐผู้นี้ของข้า ที่แท้กลับมีรากวิญญาณสีเขียว!!”


 


เซียนมนุษย์ขั้นกลาง! รากวิญญาณสีเขียว!!


 


นั่นหมายความว่าสามารถเป็นศิษย์ลัทธิบูชาไฟได้แน่นอนแล้วสิบส่วนเต็ม!


 


มาตอนนี้ผู้คนรอบๆก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนมันถึงได้แลดูตื่นเต้นยินดีนัก


 


หากรากวิญญาณของมันไม่ใช่สีเขียว และกลายเป็นแค่สีเหลืองขึ้นมา เช่นนั้นวันนี้มันคงสิ้นสุดวาสนากับลัทธิบูชาไฟแล้ว เพราะพลังฝึกปรือมีแค่เซียนมนุษย์ขั้นกลางเท่านั้น…แต่ตอนนี้เรื่องราวที่ว่าคงไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะรากวิญญาณของมันมีสีเขียว!!


 


‘ข้าหวังว่าข้าจะมีโชคเหมือนกับเจ้านั่นบ้าง…’


 


หลายคนลอบภาวนาอธิษฐานอยู่ในใจ และส่วนใหญ่แล้วพลังฝึกปรือของพวกมันก็อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ทั้งสิ้น


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ ผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกหลายคน ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่รู้ตัวดีว่าพลังฝีมือไม่ถึงและเลือกที่จะจากไป…


 


และในที่สุดก็ถึงตาที่ต้วนหลิงเทียนจะขึ้นไปทดสอบแล้ว


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและอีก 3 คนกำลังเหินร่างขึ้นไปหาอาวุโสเพลิงทองแดงนั้น ฉากเรื่องราวโดยรอบกลับกลายเป็นเงียบงันลงทันใด!


 


สายตาของผู้คนล้วนไปตกอยู่ที่ร่างของต้วนหลิงเทียนกันหมด!


 


การประลองเป็นตายเมื่อวานนี้กับหยางหวู่ ทำให้พวกมันรู้สึกประทับใจต้วนหลิงเทียนกันไม่น้อย!


ตอนที่ 1,906 : รากวิญญาณสีน้ำเงิน? รากวิญญาณสีคราม?


 


“เมื่อวานนี้ยามข้าตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนด้วยสำนึกเทวะ ข้ายังพบอีกว่าอายุของมันยังมิถึง 40 ปีด้วยซ้ำ…ตัดสินจากพลังฝีมือที่สามารถใช้ออกได้แม้จะบาดเจ็บสาหัสเมื่อวานนี้ เกรงว่าพรสวรรค์จักต้องมิใช่ชั่ว! 9 ใน 10 ส่วนล้วนต้องเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินขึ้นไป!”


 


ชายชราที่พลังฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขณะมองไปยังต้วนหลิงเทียน


 


“อะไร? อายุมิถึง 40 ปี?”


 


เรียกว่าคำนี้ของชายชราทำให้ผู้คนตกใจยกใหญ่!


 


ด้วยเพราะชายชราที่กล่าวออกมีพลังฝึกปรือถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ และได้ทิ้งความประทับใจยามทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณก่อนหน้า จึงไม่มีใครคิดแคลงใจสงสัยคำพูดของมัน


 


“นั่นสินะ…เมื่อวานนี้พวกเราเองก็เห็นกันชัดๆ ว่าเจ้านั่นมันถูกอาวุโสหลี่อันซัดจนสาหัสเจียนตาย…แต่ด้วยสารรูปเช่นนั้น กลับใช้ออกด้วยเวทย์พลังประหลาดเพิ่มพูนพลังขึ้นมาจนสามารถฆ่าหยางหวู่ได้อย่างง่ายดาย!”


 


“ถึงแม้ทั้งหมดอาจเป็นเพราะเวทย์พลังที่ร้ายกาจนั่น แต่จะอย่างไรก็ต้องอาศัยพลังฝึกปรือทั้งพลังวิญญาณเป็นทุน…นั่นหมายความว่าพลังฝึกปรือที่แท้จริงก็ยังสมควรสูงกว่าหยางหวู่มากแน่!”


 


“เช่นนั้นกล่าวได้ว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนต่ำๆก็เป็นเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดงั้นสิ…ให้ตายเถอะ อายุยังไม่ถึง 40 ปีแต่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน กระทั่งอาจจะเป็นสีคราม!”


 


“รากวิญญาณสีน้ำเงิน? รากวิญญาณสีคราม? เท่าที่ข้ารู้มามีเพียงอัจฉริยะระดับหัวกะทิของ 3 ลัทธิเท่านั้นที่มีรากวิญญาณสีคราม…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าลัทธิบูชาไฟกำลังจักได้รับอัจฉริยะรากวิญญาณสีครามเพิ่มอีกคนแล้ว?”


 


“หากรากวิญญาณของเจ้านั่นเป็นสีครามจริง ข้าเกรงว่ากระทั่งจ้าวลัทธิบูชาไฟ ก็ต้องรีบร้อนอยากรับตัวมันเป็นศิษย์!”


 


……


 


ผู้คนกล่าวกันอยากออกรส ยังมองต้วนหลิงเทียนตาไม่กระพริบ


 


ในแววตาและสีหน้าของพวกมันยังเผยถึงความคาดหวังออกมาเต็มเปี่ยม อยากรู้กันนักว่าผลการทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะออกมาเป็นเช่นไร!


 


จะเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน หรือรากวิญญาณสีครามกันแน่?


 


“รากวิญญาณสีครามมิน่าจักเป็นไปได้หรอก…กล่าวกันว่าอัจฉริยะดั่งสัตว์ประหลาดของลัทธิบูชาไฟ สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีได้ตั้งแต่อายุ 30 ต้นๆแล้ว…หากให้ข้าเดาเจ้านี่อย่างดีก็มีรากวิญญาณสีน้ำเงินเท่านั้น”


 


ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวออกอย่างมีเหตุผล


 


หากทว่าทันทีที่เสียงของชายหนุ่มผู้นี้ดังจบคำ ผู้คนรอบๆตัวมันก็กล่าวแย้งออกมาทันที “เหอะๆ แล้วเจ้าจักรู้ได้อย่างไรว่าพลังฝึกปรือที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนมิใช่ขอบเขตเซียนปฐพี? อย่าได้ลืมไปตอนที่ตรวจสอบพลังฝึกปรือมัน ผลกลับออกมาเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุด…หากแต่ด้วยพลังฝีมือที่สำแดงออกย่อมมิอาจเป็นไปได้เลยว่าจักอยู่ในขอบเขตอริยะเซียน!”


 


“เจ้ามิเห็นหรือไร เมื่อวานคนก็บาดเจ็บจนเจียนจะยืนไม่ไหวอยู่รอมร่อ แต่กลับรับกระบวนสังหารที่โถมมาด้วยพลังทั้งหมดของหยางหวู่ได้อย่างง่ายดาย กระทั่งหักคอผู้คนราวหักคอไก่!”


 


“อืม! ผู้แซ่ต้วนสมควรรู้ทักษะลับปกปิดพลังฝึกปรือที่พวกเรามิรู้จักเป็นแน่…เป็นไปมิได้เลยที่พลังฝึกปรือจะอยู่ในขอบเขตอริยเซียนจริงๆ”


 


“หากเรื่องนี้เป็นจริง…เผลอๆต้วนหลิงเทียนอาจจะอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่จะมีรากวิญญาณสีคราม!”


 


“พวกเจ้าจักเถียงกันทำอะไร เพียงรอดูไปเถอะ…อีกเดี๋ยวก็จักได้รู้แล้วมิใช่หรือว่าที่แท้รากวิญญาณของมันสีอันใดกันแน่?”


 



 


เรียกว่าบทสนทนายิ่งมายิ่งคึกคัก และสายตาที่จ้องมองมายังร่างต้วนหลิงเทียนก็ทวีความขึงขังมากยิ่งขึ้น


 


พวกมันแต่ละคนล้วนอยากรู้กันนักว่าที่แท้พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างไร ที่แท้จะเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน หรือรากวิญญาณสีครามกันแน่!


 


‘รากวิญญาณสีน้ำเงิน? รากวิญญาณสีคราม?’


 


‘อายุไม่ถึง 40 ปี? ขอบเขตเซียนปฐพี?’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างขึ้นฟ้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าอาวุโสเพลิงทองแดง พอได้ยินบทสนทนาด้านล่างมุมปากก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาตงิดๆ


 


หลังจากนั้นไม่นานยิ้มขื่นขมก็เผยออก


 


รากวิญญาณสีน้ำเงินเอย


 


รากวิญญาณสีครามเอย…


 


ไม่ต้องกล่าวถึงสีของรากวิญญาณระดับค่อนข้างสูงเหล่านั้นเลย กับอีกแค่รากวิญญาณระดับกลางๆอย่างรากวิญญาณสีเขียว เขายังไม่กล้าคิดฝันด้วยซ้ำ!


 


เขาย่อมรู้สถานการณ์ของตัวเองดีที่สุด


 


อายุน้อยกว่า 40 ปี?


 


นั่นเป็นเพราะหลายปีหลังมานี้ เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ! ถึงแม้กาลเวลาในเจดีย์จะไหลผ่านไปหลายปีดีดัก หากแต่อายุขัยและวงปีบอกเวลาชีวิตของเขายังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน!!


 


หากจะนับรวมเวลาทั้งหมดล่ะก็ อายุของเขาสมควรเลย 40 ไปไกลแล้ว!


 


แต่แน่นอนว่าในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มีคนอายุ 300 หรือ1,000 ปี กระทั่งหลายพันปีขึ้นไปให้เห็นเกลื่อนกลาด เช่นนั้นอายุ แค่ 40 ก็เปรียบได้ดั่ง ‘ทารกน้อย’ แล้วจริงๆ


 


ขอบเขตเซียนปฐพี?


 


ตอนนี้พลังฝึกปรือเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้หยกๆ และเหตุผลที่ทำให้พลังฝึกปรือของเขาตอนนี้สามารถบรรลุได้ถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วนั้น นอกจากสิ่งที่เขาพบพานมาตลอดทาง ก็ยังมีสระชำระมังกรรวมถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น!


 


หากไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และไม่ได้พบพานโอกาสล้ำค่าใดๆ น่ากลัวว่าพลังฝึกปรือของเขาคงไม่อาจมาถึงระดับนี้ได้ในวัยนี้


 


‘รากวิญญาณของข้า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวหรือสูงกว่านั้น…’


 


นี่คือการคาดเดาของต้วนหลิงเทียน


 


แน่นอนว่าจะอย่างไรคาดเดาก็เป็นแค่การคาดเดา จะรู้แน่ก็ต่อเมื่อลองทดสอบดูเอาเท่านั้น


 


“รากวิญญาณสีน้ำเงิน? รากวิญญาณสีคราม?”


 


หลี่อันเองก็ก้มหน้าลงมา สายตาไปหยุดที่ต้วนหลิงเทียนเขม็ง


 


แม้แต่รากวิญญาณของตัวมันเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ารากวิญญาณสีน้ำเงินเท่านั้น!


 


ทว่าสารเลวน้อยเบื้องหน้าที่มันอยากฆ่าให้ตาย อาจจะมีรากวิญญาณสีครามงั้นหรือ?


 


จังหวะนี้หลี่อันสัมผัสได้ความต้องการฆ่าคนที่เอ่อล้นขึ้นมาท่วมใจ


 


รากวิญญาณสีครามมีความหมายว่าอะไร มันเข้าใจดี!


 


ตัวตนที่มีรากวิญญาณสีคราม หากเติบโตขึ้นไปในวันหน้า เกรงว่าในลัทธิบูชาก็ยังเป็นถึงชนชั้นสูง อย่างต่ำๆก็ต้องเป็นถึงอาวุโสเพลิงทอง!


 


และหากมีวาสนาดีเข้าหน่อย กระทั่งชนชั้นรองจ้าวลัทธิ หรือแม้แต่ชนชั้นจ้าวลัทธิก็อาจเป็นได้!


 


พอนึกถึงเรื่องสารเลวน้อยเบื้องล่างผู้มีความแค้นอย่างที่ไม่อาจลดราวาศอกกับมันได้ มีโอกาสที่รากวิญญาณจะเป็นสีคราม หลี่อันก็แทบรอฆ่าอีกฝ่ายไม่ไหวแล้ว!


 


เพราะหากอีกฝ่ายมีรากวิญญาณสีครามจริงๆ เมื่อเติบโตขึ้นต้องมีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่ามันให้ตายได้แน่!


 


เช่นนั้นมันต้องชิงบีบคออีกฝ่ายให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปล!


 


‘อย่างไรก็ตามมิใช่ว่ารากวิญญาณของมันจะเป็นสีครามซะเมื่อไหร่ เผลอๆอาจจะเหมือนข้า เป็นเพียงรากวิญญาณสีน้ำเงินเท่านั้น…แต่ต่อให้มันจะมีรากวิญญาณสีน้ำเงิน มันก็ต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด ข้าต้องรีบตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เพื่อมิให้เกิดหายนะอันใดในภายภาคหน้า!’


 


ใจของหลี่อันตัดสินโทษตายให้ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


“รากวิญญาณสีคราม?”


 


เถิงชานที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่เช่นกัน สองตาเผยประกายวูลวาบ ใบหน้ายังเต็มไปด้วยสีสันความยินดี ‘ต้วนหลิงเทียนข้าหวังว่ารากวิญญาณของเจ้าจะมีสีครามจริงๆ…หากพรสวรรค์รากวิญญาณเจ้าสูงถึงระดับนั้นจริง ทันทีที่ท่านจ้าวลัทธิออกจากการปิดด่าน ท่านต้องรีบมารับเจ้าเป็นศิษย์อย่างมิต้องสงสัยเลย!’


 


‘ถึงตอนนั้น กระทั่งหลี่อันก็ต้องเร่งรีบหาวิธีปรองดองกับเจ้า’


 


จังหวะนี้กระทั่ง 3 คนที่เหินร่างขึ้นมาพร้อมต้วนหลิงเทียน ก็ไม่คิดจะยื่นมือออกไปวางบนลูกแก้ววิญญาณ เพราะต่างเฝ้ารอให้ต้วนหลิงเทียนทำการทดสอบเสร็จก่อน


 


สายตาของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากอาวุโสเถิงชานและคนอื่นๆ ต่างจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง และรอให้ต้วนหลิงเทียนวางมือลงบนลูกแก้ววิญญาณเพื่อทดสอบพรสวรรค์อย่างใจจดจ่อ


 


ผู้อาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 4 นั้นเมื่อวานไม่ได้มาที่นี่แต่อย่างไร ทว่าพวกมันก็ยังได้ยินเรื่องราวการประลองเป็นตายระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหยางหวู่มาแล้ว กระทั่งรู้ว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าหยางหวู่ บุตรชายอาวุโสลำดับ 5 แห่งวังอุดรไพศาล สหายสนิทของหลี่อันได้ง่ายดายเพียงใด…


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี แต่เป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกปรืออย่างน้อยๆก็เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด พวกมันเองก็สงสัยนัก ว่าที่แท้พรสวรรค์รากวิญญาณของอีกฝ่ายจะเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน หรือรากวิญญาณสีครามกันแน่?


 


“ต้วนหลิงเทียน รีบทดสอบเข้าเถิด…”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงที่อยู่ตรงหน้าต้วนหลิงเทียน พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนนิ่งไปสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่ลงมือสักที มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน


 


หากแต่น้ำเสียงยามกล่าววาจายังเต็มไปด้วยความสุภาพนัก


 


เพราะหลังจากทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มเบื้องหน้าของมันคนนี้ก็อาจมีรากวิญญาณสีน้ำเงิน หรือกระทั่งสีคราม!


 


ตัวตนดังกล่าวหากเติบโตขึ้นไปล่ะก็ วันหน้าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นถึงอาวุโสเพลิงเงินของลัทธิบูชาไฟ!


 


ต่อให้รากวิญญาณของอีกฝ่ายจะเป็นแค่รากวิญญาณสีน้ำเงิน แต่ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็ยังเหนือล้ำกว่าพวกมันแน่ๆ!


 


ตัวตนเช่นนี้แม้จะยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่พวกมันก็ไม่อาจล่วงเกินได้!


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบอาวุโสเพลิงทองแดง


 


เมื่อเห็นว่าทุกสายตากำลังมองมาที่เขาด้วยความอยากรู้จับใจ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา สุดท้ายก็ค่อยๆเอื้อมมือไปวางทาบบนลูกแก้ววิญญาณเบื้องหน้า


 


ลูกแก้ววิญญาณนั้นให้สัมผัสเย็นๆ อีกทั้งยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย


 


เพราะคล้ายหลังจากสัมผัสไปแล้ว มันจะทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบที่ฝ่ามือ


 


ราวกับลูกแก้ววิญญาณกำลังแผ่พุ่งพลังบางอย่างชำแรกเข้าฝ่ามือต้วนหลิงเทียนอย่างไรอย่างนั้น


 


จังหวะนี้ฉากเรื่องราวกลับกลายเป็นเงียบสงัดราวป่าช้า ทุกสายตาจดจ่อไปยังลูกแก้ววิญญาณที่มีมือต้วนหลิงเทียนวางทาบอยู่ไม่วางตา!


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


หนึ่งลมหายใจผ่านไป…สองลมหายใจผ่านไป…สามลมหายใจผ่านไป…


 


ฉากยังคงเงียบสนิท ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ!


 


เพราะตอนนี้ทุกคนรวมไปถึงต้วนหลิงเทียนกำลังกลั้นหายใจ สองตามองจ้องไปยังลูกแก้ววิญญาณอย่างใจจดใจจ่อ


 


และในที่สุด 10 ลมหายใจที่คล้ายจะยาวนานยิ่งกว่าครั้งใดก็ผ่านไป แสงเรืองๆเริ่มทอประกายขึ้นมาจากลูกแก้ววิญญาณ


 


“มาแล้ว!”


 


นอกจากตัวต้วนหลิงเทียนเองแล้ว ทุกผู้คนที่กำลังลุ้นระทึกกันอยู่เรียกว่าตื่นเต้นไม่น้อย!


 


แววตาหลี่อันเริ่มเย็นเยียบลง


 


หากพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนกลับเผยออกมาเป็น ‘รากวิญญาณสีคราม’ จริง มันคงต้องเปลี่ยนแผนจัดการอีกฝ่ายใหม่เสียแล้ว!


 


เพราะหากต้วนหลิงเทียนมีรากวิญญาณสีครามนั้น ไม่พ้นจ้าวลัทธิบูชาไฟต้องคิดรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์ส่วนตัว และให้การสนับสนุนอย่างดีแน่นอน!


 


นั่นเป็นอะไรที่มันไม่อยากจะเห็น!


 


‘หากรากวิญญาณของมันมีสีครามจริง ข้าต้องฆ่ามันให้ตายก่อนที่จ้าวลัทธิจะออกจากการปิดด่านฝึกตน! ไม่อาจปล่อยให้มันมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของท่านจ้าวลัทธิเด็ดขาด!!’


 


หลี่อันกล่าวในใจอย่างแน่วแน่


 


เพราะหากต้วนหลิงเทียนกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าวลัทธิขึ้นมาล่ะก็ เว้นแต่มันจะอยากตาย หาไม่แล้วมันก็ไม่กล้าลงมือกับต้วนหลิงเทียนเด็ดขาดไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง กระทั่งต่อให้มีความกล้ามากกว่านี้สักร้อยเท่ามันก็ไม่กล้า!!


 


ในฐานะจ้าวลัทธิบูชาไฟที่ยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นฟ้า ย่อมไม่ใช่ตัวตนที่ใครจะหลอกได้ง่ายๆ!


 


‘หากรากวิญญาณของมันเป็นสีครามจริงข้าต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด! ข้าไม่อยากก้มหัวหรือคุกเข่าขอโทษมันอย่างเป็นทางการตอนมันกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าวลัทธิ!!’


 


หลี่อันครุ่นคิดด้วยจิตอำมหิต แรงจูงใจในการฆ่ายิ่งมายิ่งเพิ่มพูนทวี ยากที่จะปล่อยวางได้อีก…


ตอนที่ 1,907 : พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียน


 


ผู้ใดก็ทราบ…ว่าหากต้วนหลิงเทียนได้เป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าวลัทธิขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น!


 


ถึงแม้จะเป็นมันแต่ก็ต้องคุกเข่าลงกระทั่งขอขมาลาโทษต่อต้วนหลิงเทียน ยังต้องร้องขอความเมตตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!


 


นอกเสียจากว่ามันไม่อยากอยู่ในลัทธิบูชาไฟอีกต่อไป…


 


ทว่ามันไม่อยากออกจากลัทธิบูชาไฟ!


 


นอกจากนั้นมันก็ไม่อยากคุกเข้าก้มหัวให้ต้วนหลิงเทียนด้วยเช่นกัน!


 


เช่นนั้นหากพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียน ได้ผลออกมาเป็นรากวิญญาณสีครามจริงๆ มันก็เหลือเพียงหนทางเดียวให้เลือกเดิน…


 


ก่อนที่จ้าวลัทธิจะออกจากการกักตัวฝึกตน…มันต้องชิงกำจัดเภทภัยอย่างต้วนหลิงเทียนให้ได้! บีบคอให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปล!!


 


แน่นอนว่าหากรากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงรากวิญญาณสีน้ำเงิน มันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรขนาดนั้น เพราะพรสวรรค์รากวิญญาณระดับนั้น ยังไม่อาจอยู่ในสายตาของจ้าวลัทธิบูชาไฟได้!


 


‘ต้วนหลิงเทียนเจ้าจงภาวนาให้พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ามิได้เป็นรากวิญญาณสีครามเถอะ…หาไม่แล้วต่อให้ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใด ข้าก็จะกำจัดเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!’


 


มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ แววตาหลี่อันกลายเป็นเย็นเยียบปานจะแช่แข็งผู้คน!


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดลูกแก้ววิญญาณใต้ฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนก็เปล่งแสงส่องสว่างออกมา!


 


ทว่าหลังจากได้เห็นแสงสว่างนี้ ยกเว้นต้วนหลิงเทียนที่ยังคงมีสีหน้าท่าทางปกติคล้ายรู้ความจริงแต่แรกแล้ว คนอื่นๆก็ชักสีหน้าตะลึงงันขึ้นมาทันใด!


 


นอกจากต้วนหลิงเทียน ยามนี้เสมือนผู้คนโดยรอบถูกใครบีบคอเอาไว้ ถึงกับสงบปากสงบคำ พูดอะไรไม่ออกกันไปพักใหญ่!


 


ไม่นานบางคนก็ฟื้นสติกลับคืน หากแต่สีหน้ายังคงเคร่งเครียดนัก


 


“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”


 


“เป็นไปได้ด้วยหรือ? พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียน…ไฉนถึงได้อ่อนด้อยเช่นนั้นเล่า?”


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณเช่นนี้ มิควรเป็นของต้วนหลิงเทียนได้เลย!”


 


“ลูกแก้ววิญญาณใช่มีอันใดผิดพลาดหรือไม่?”


 


“ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ท่าทางลูกแก้ววิญญาณจะมีปัญหาแล้ว”


 


……


 


คนที่ดึงสติกลับมา ต่างยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องราวที่สองตาแลเห็นนัก!


 


กล่าวให้ชัดคือพวกมันไม่เชื่อว่าผลการทดสอบของต้วนหลิงเทียนจะออกมาเป็นแบบนี้จริงๆ!


 


เพราะผลจากการทดสอบครั้งนี้ พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนกลับเป็น…


 


รากวิญญาณสีเหลือง!


 


แม้วันนี้จะมีผู้คนมาเข้าร่วมการทดสอบพันกว่าคน และส่วนใหญ่ก็มีรากวิญญาณสีเหลืองด้วยกันทั้งสิ้น


 


ทว่าพวกมันบางคนได้เห็น ‘วงปี’ ของต้วนหลิงเทียน อีกทั้งแทบทุกคนก็เห็นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมากับตา! ทำให้ยากจะเชื่อว่ายอดฝีมือที่มีอายุไม่ถึง 40 ปีอย่างต้วนหลิงเทียนจะมีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นรากวิญญาณสีเหลืองแบบนี้ไปได้!


 


รากวิญญาณสีเหลืองนั้นไม่คู่ควรกับต้วนหลิงเทียน!


 


กระทั่งต่อให้เป็นรากวิญญาณสีเขียว พวกมันก็คิดว่าไม่คู่ควรกับต้วนหลิงเทียน!


 


ในสายตาของพวกมันจำต้องเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินหรือสีครามเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมกับพลังฝีมือและวัยของต้วนหลิงเทียน!


 


“ลูกแก้ววิญญาณมีปัญหางั้นหรือ?”


 


ตอนนี้ไม่เพียงแต่ผู้สมัครจะคิดแบบนั้น กระทั่งอาวุโสเพลิงทองแดงยังคิดเห็นเช่นเดียวกัน


 


“ต้วนหลิงเทียนลูกแก้ววิญญาณอาจมีใดผิดพลาดได้…เจ้าลองทดสอบด้วยลูกแก้ววิญญาณลูกอื่นเถอะ”


 


เถิงชานมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าว


 


ขณะเดียวกันมันก็หันไปพยักหน้าให้อาวุโสเพลิงทองแดงอีกคน ยื่นส่งลูกแก้ววิญญาณให้ลอยไปหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน


 


ส่วนหลี่อันยังคงตกใจกับความจริงที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวว่ารากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นสีเหลือง ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ได้คัดค้านอะไร


 


แน่นอนว่าลึกลงไปในใจของมันก็คิดว่าลูกแก้ววิญญาณสมควรมีปัญหาอะไรสักอย่าง


 


ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี หากแต่พลังฝีมือกลับสยบเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้ง่ายดายแม้จะบาดเจ็บสาหัส…ด้วยพลังฝีมือระดับนี้ไหนเลยจะมีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นรากวิญญาณสีเหลืองได้?


 


“อาวุโสเถิงชาน ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องทดสอบอีกแล้ว…ลูกแก้ววิญญาณนั่นสมควรไม่มีใดผิดพลาด พรสวรรค์ของข้า สมควรเป็นรากวิญญาณสีเหลืองจริงๆ”


 


ภายใต้สายตาของุทกคน ต้วนหลิงเทียนพลันมองกล่าวกับเถิงชานด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ถึงพรสวรรค์ของตัวเองดีกว่าใคร แม้จะใช้นมผา 10,000 ปีจนพรสวรรค์บรรลุจุดสูงสุดของทวีปเมฆาล่องไปแล้วก็ตาม…


 


ทว่านั่นมันก็แค่จุดสูงสุดของทวีปมนุษย์!


 


อัจฉริยะระดับสูงสุดของทวีปมนุษย์พอมาอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ไม่นับเป็นอะไร จะเหนือกว่าก็แค่รากฐานที่แน่นหนา เพราะผ่านการบ่มเพาะมาอย่างยากลำบากในสภาวะขาดแคลนพลังวิญญาณฟ้าดินเท่านั้น…


 


นอกจากนี้เขาไม่คิดว่าลูกแก้ววิญญาณจะมีปัญหาอะไรที่เขาพอดี เพราะคนอื่นๆเองก็ทดสอบได้ผลไม่มีปัญหาอะไร


 


ดังนั้นเขาจึงมั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา มันก็แค่รากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น


 


ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าเขาไม่ผิดหวังกับผลลัพธ์ที่มันออกมาแบบนี้เลย…


 


แต่เนื่องจากได้เตรียมตัวเตรียมใจรับผลไว้แล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถเผชิญหน้ากับมันได้อย่างสงบ


 


“เจ้าทดสอบอีกครั้งด้วยลูกแก้ววิญญาณลูกอื่นเถอะ! ข้าเชื่อว่ามิใช่แต่เพียงข้า กระทั่งคนอื่นๆในที่นี้ก็มิมีใครเชื่อได้ลงคอ ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าจักเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลือง!”


 


เถิงชานคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใส่ใจกับผลการทดสอบเท่าไหร่ เช่นนั้นมันจึงยืนยันให้ต้วนหลิงเทียนทำการทดสอบอีกครั้ง


 


คนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนถูกบีบบังคับให้ทำการทดสอบอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเลยก็ตาม


 


และเมื่อมือของต้วนหลิงเทียนวางทาบลงไปยังลูกแก้ววิญญาณ ทุกสายตาของผู้คนก็จับจ้องไปยังลูกแก้ววิญญาณลูกใหม่นั่นทันที


 


คราวนี้ลูกแก้ววิญญาณคงไม่มีปัญหาอีกหรอกนะ?


 


“ยากที่ลูกแก้ววิญญาณจะผิดพลาดได้…หากเกิดขึ้นอีกครั้งนั่นจักมิใช่เรื่องบังเอิญไปหน่อยหรือไร?”


 


“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่า…หากเป็นเหมือนเดิม ก็หมายความว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียน เป็นเพียงรากวิญญาณสีเหลืองจริงๆเท่านั้นหรือ?”


 


“เจ้าจะปักใจเช่นนั้นทันทีมิได้…เว้นเสียแต่ต้วนหลิงเทียนนั่นมันจะรู้ทักษะลับอันใดที่สามารถปกปิดพลังฝึกปรือทั้งอายุที่แท้จริงได้ หาไม่แล้วคงยากที่พรสวรรค์รากวิญญาณของมันจะเป็นเพียงรากวิญญาณสีเหลือง!”


 


……


 


ในขณะที่หลายคนกำลังจับจ้องไปยังลูกแก้ววิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนวางมือทาบไว้ ต่างอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความสงสัย


 


ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านไปครบ 10 ลมหายใจ


 


และเมื่อลูกแก้ววิญญาณเริ่มที่จะส่องแสงเรืองสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนที่กำลังสนทนากันจอแจก็เงียบเสียงลง คล้ายทุกคนกำลังกลั้นใจรอชมผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ


 


แสงจากลูกแก้ววิญญาณเริ่มส่องสว่างมากขึ้นทุกขณะ


 


สุดท้ายมันก็สว่างวาบขึ้นมาปานตะวันดวงน้อยๆ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อแสงสีของมันเผยให้เห็นกันชัดถนัดตา ทุกผู้คนก็ถึงกับเงียบค้างไปอีกพักใหญ่


 


ต่อมาพักหนึ่ง เสียงสนทนาก็ระเบิดขึ้นปานตลาดสด!


 


“อะไร!? เป็นสีเหลืองอีกแล้ว? หรือรากวิญญาณต้วนหลิงเทียนจะเป็นสีเหลืองจริงๆ?”


 


“นี่มัน…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? หรือลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ก็มีปัญหาด้วย?”


 


“ลูกแก้ววิญญาณมีปัญหาลูกเดียวนั้นยังพอเป็นไปได้ แต่ทว่าการที่ลูกแก้ววิญญาณ 2 ลูกกลับมีปัญหาพร้อมกันเช่นนี้มันเป็นไปมิได้! พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้านั่น มันเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลืองจริงๆ!”


 


“แต่ด้วยพลังฝีมือที่มันใช้ออกเมื่อวานทั้งอายุนั่นเล่า…ไหนเลยรากวิญญาณของมันจะเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลืองไปได้?”


 


“อายุหรือ? ในเมื่อมันสามารถปกปิดพลังฝึกปรือที่แท้จริง และหลอกได้กระทั่งพวกเราทุกคนในที่นี้ได้ หรือยังมีทักษะลับอันใดที่ใช้ปกปิดอายุขัยด้วยไม่ได้? อายุที่แท้จริงของมันสมควรมิใช่ยังไม่ถึง 40…แต่เผลอๆ อาจเป็นเฒ่าชราอายุหลายร้อยปีก็เป็นได้! เพียงปกปิดให้แลดูอ่อนเยาว์จักได้เป็นจุดสนใจ!!”


 


“ฟังเจ้ากล่าวแล้ว…เรื่องนี้ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ! ถึงแม้ข้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีทักษะลับอันใดสามารถปกปิดพลังฝึกปรือและอายุที่แท้จริงได้ แต่ทักษะที่มันใช้ปกปิดพลังฝึกปรือก็ช่างอัศจรรย์นัก ไม่แน่ว่าจะใช้ทักษะปกปิดอายุอยู่ด้วยจริงๆ…เช่นนั้นทุกเรื่องราวก็สมเหตุสมผล! ไม่แปลกใจเลย ไม่น่าแปลกใจเลย!!”


 


“ฮึ่ม! ที่แท้มันอาจจะเป็นเฒ่าร้อยปี ไม่สิอาจจะเป็นเฒ่าพันปีปลอมตัวมาก็เป็นได้! หมายชิงความได้เปรียบในการเข้าร่วมแท่นบูชาจตุรลักษณ์ด้วยเรื่องนี้หรือ…นี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆที่ข้าเห็นผู้คนแกล้งทำตัวอ่อนวัยไร้เดียงสาพรรค์นี้!!”


 


……


 


บทสนทนาดังขึ้นไม่หยุด ผู้คนต่างโพล่งข้อสันนิษฐานออกมาอย่างมีเหตุผล


 


ตอนแรกยังมีบางคนคิดว่าลูกแก้ววิญญาณลูกที่สองอาจจะบังเอิญมีปัญหาเหมือนกัน


 


แต่ไม่นานข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็ถูกปัดตกไป


 


และสุดท้ายทุกผู้คนก็เริ่มเห็นพ้องต้องกัน…


 


ว่าแท้จริงแล้วต้วนหลิงเทียนอาจเป็นตาแก่เหลาเหย่อายุหลายร้อย ที่แสร้งทำตัวอ่อนวัยไร้เดียงสา! นั่นเพราะอีกฝ่ายมีทักษะลับที่สามารถปกปิดได้ทั้งพลังฝึกปรือและอายุ จึงสามารถหลอกลวงผู้คนทั้งหมดได้อยู่หมัด!


 


กระทั่งเถิงชานเอง ตอนนี้ในใจมันก็เริ่มเชื่อว่าสมควรเป็นแบบนี้!


 


หาไม่แล้วมันก็ไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้จริงๆ ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่


 


“รากวิญญาณสีเหลือง?”


 


เมื่อเห็นว่าผลการทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณครั้งที่ 2 ของต้วนหลิงเทียนผลก็ยังออกมาเป็น ‘รากวิญญาณสีเหลือง’ เหมือนเดิม หลี่อันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แววตายังเผยความรังเกียจทั้งดูถูกให้เห็นชัด “ที่แท้มันก็แค่เฒ่าชราไร้ราคา!”


 


ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ต่างใดจากคนอื่นๆ คิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์


 


แต่ตอนนี้ทั้งหมดคล้ายตระหนักแล้วว่าคิดผิด!


 


เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นเฒ่าชราแสร้งทำตัวลึกลับคนหนึ่ง!


 


“เฒ่าชรา?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งหลังได้ยินบทสนทนาโดยรอบ เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าวันหนึ่งจะถูกคนเห็นเป็น ‘เฒ่าชรา’ ที่เสแสร้งทำตัวไร้เดียงสาเข้าจริงๆ…


 


แต่ถึงแม้นับรวมแล้วเขาจะมีอายุมากกว่า 40 ปีแล้วจะอย่างไร?


 


ไม่ใช่ว่าหากเทียบกับคนที่อยู่ในที่นี้ทุกคน เขาก็ยังคงเด็กสุดหรือไง?


 


แต่ทว่าวันนี้กลุ่มคนที่มีอายุมากกว่าเขาเป็นรอบๆกลับเรียกหาเขาว่า ‘เฒ่าชรา’ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ทราบว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี!


 


แต่ก็เป็นธรรมดาว่าถึงแม้เขาจะจนหนทางถึงขั้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขาก็ไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ให้ใครฟังได้…


 


หรือจะให้เขาบอกผู้อื่นว่า เขามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และได้ผ่านประสบการณ์อันน่าเหลือเชื่อมามากมาย?


 


แล้วเขายังต้องบอกผู้อื่นหรือไม่ ว่าจริงๆแล้วพลังฝึกปรือของเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ไม่ถึงวัน?


 


‘ช่างเถอะ…พวกมันจะเข้าใจยังไงก็แล้วแต่เลย’


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เลิกแยแสวาจารอบข้าง และหันไปใจพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาอีกครั้ง ในใจยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง ‘พรสวรรค์รากวิญญาณของข้า…นี่ถ้าไม่ได้นมผา 10,000 ปีที่ทวีปเมฆาล่อง ไม่ใช่ป่านนี้ยังคงเป็นรากวิญญาณสีแสดหรือกระทั่งสีแดงรึไง?’


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านพอมีหนทางยกระดับพัฒนารากวิญญาณของข้าบ้างหรือไม่?”


 


ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวเจรียมใจยอมรับความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ไว้แล้ว แต่อย่างไรต้วนหลิงเทียนก็ยังอดรู้สึกไม่พอใจไม่ได้


 


เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีหนทางยกระดับพัฒนารากวิญญาณของเขา


 


‘รากวิญญาณของข้ามันเป็นแค่สีเหลืองเท่านั้น…แต่ข้าก็สามารถทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ด้วยอายุเท่านี้…นี่ถ้าหากข้าสามารถยกระดับรากวิญญาณได้เล่า? ด้วยมีรากวิญญาณดีๆ กอปรทั้งเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พลังฝึกปรือข้าไม่พุ่งกระฉูดทะลุฟ้าเลยรึไง?’


 


พอคิดแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


 


แต่ครู่ต่อมาก็คล้ายเขานึกอะไรขึ้นได้ ความตื่นเต้นดังกล่าวพลันมลายหายไปทันที ราวกับถูกน้ำเย็นราดรดหัวให้ตื่นจากฝัน ‘ก็ว่าไปนั่น…บางทีพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าอาจไร้หนทางพัฒนาแล้วจริงๆ…’


 


“หลังจากที่ข้าสังเกตอยู่สักพัก มาตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้วว่า ‘รากวิญญาณ’ ที่ระนาบโลกียะแห่งนี้เรียกหา ที่แท้มันคืออะไร…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจิตตกนั้นเอง เสียงของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นพอดี “รากวิญญาณที่ผู้คนในระนาบโลกียะแห่งนี้เรียกหา ตามทฤษฎีแล้วสามารถยกระดับพัฒนามันได้…ยิ่งไปกว่านั้นยังมีวิธีในการปรับปรุงยกระดับมันมากกว่าหนึ่งวิธี!”


ตอนที่ 1,908 : วิธียกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ!


 


“อะไร!? วิธียกระดับพัฒนาพรสวรรค์มีมากกว่าหนึ่งวิธีงั้นหรือ! ผู้เฒ่าหั่วข้าต้องทำอย่างไรบ้าง?!”


 


ได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที


 


ถึงแม้ว่าตอนที่เขาได้รู้ชัดแล้วว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองเป็นเพียงรากวิญญาณสีเหลือง ผิวเผินดูเหมือนเขาสบายดีไม่เป็นอะไร ทว่าลึกลงไปในใจก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง…


 


พรสวรรค์รากวิญญาณนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็น 7ระดับ ตามสีรุ้ง


 


แดง แสด เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม และก็สีม่วง


 


รากวิญญาณสีเหลืองนั้นยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นรากวิญญาณระดับกลางด้วยซ้ำ มันเป็นรากวิญญาณที่จัดอยู่ในระดับต่ำ!


 


ตอนนี้ผู้ที่ทำการทดสอบไปแล้วนั้น กว่า 9 ส่วนล้วนมีพรสวรรค์รากวิญญาณเหมือนเขา…เป็นรากวิญญาณสีเหลือง!


 


รากวิญญาณสีเหลืองนั้นอาจถือว่าไม่เลวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


หากแต่ในลัทธิบูชาไฟแห่งนี้ มันไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!


 


เพราะต่อให้หลับตาสุ่มเลือกศิษย์ในลัทธิบูชาไฟมาสักคน ไม่ว่าใครก็ล้วนมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเหลืองขึ้นไปทั้งสิ้น


 


พอมาได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ว่ารากวิญญาณสามารถยกระดับพัฒนาได้…กระทั่งยังมีมากกว่าหนึ่งวิธี!


 


จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร?


 


“อันที่จริงตัวข้าก็สงสัยมาเนิ่นนานแล้ว ว่าเจ้าที่สามารถทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ถึง 99 จุดสายแท้ๆ แต่ไฉนความเร็วในการบ่มเพาะพลังถึงได้มิเร็วกว่าผู้คนทั่วไปสักเท่าไหร่ ทั้งๆนี่เป็นพรสวรรค์อันเลิศล้ำนัก! หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็…ที่แท้เจ้าสมควรถูกกฏของระนาบโลกียะแห่งนี้ผูกมัดเอาไว้”


 


ผู้เฒ่าหั่วไม่ได้ตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน แต่กลับบ่นยืดยาวออกมา


 


“กฏของระนาบโลกียะแห่งนี้งั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยเมื่อได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า ‘กฏของระนาบโลกียะ’


 


อย่างที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า ตอนที่วิญญาณของเขาพึ่งมาถึงโลกนี้ไม่ทันไร เขาก็ถูกวิญญาณของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจู่โจมชิงร่าง หากแต่เพราะสิ่งที่เรียกว่า กฏของระนาบโลกียะ ทำให้วิญญาณของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจำต้องพินาศไปเอง


 


ต่อมาวิญญาณหลักของเฮยหมิง มารร้ายที่น่ากลัวที่หลุดพ้นพลังอำนาจของตราผนึกมารมาได้ ก็เป็นเหยื่อสังเวย กฏของระนาบโลกียะ เช่นกัน


 


วิญญาณของเขานั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดที่ระนาบโลกียะแห่งนี้ และยังถูกปนเปื้อนไปด้วยกฏเกณฑ์ของระนาบโลกียะอื่น


 


ทำให้พอวิญญาณที่มีต้นกำเนิดในระนาบโลกียะแห่งนี้คุกคามหมายชิงร่างที่เขาอาศัยอยู่ พวกมันจึงถูกกฏแห่งระนาบโลกียะทำลายสิ้น!


 


กลับกัน หากเขาเป็นฝ่ายคิดถอดวิญญาณหมายไปชิงร่างผู้อื่นเขาบ้างล่ะก็ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอ่อนแอเพียงใด ไม่เว้นกระทั่งเด็กน้อยแรกเกิด วิญญาณของเขาก็ไม่พ้นถูกทำลายจนสิ้นสูญ!


 


กฏของระนาบโลกียะ เป็นหนึ่งในสิ่งลี้ลับที่แสนล้ำลึกยากหยั่งถึงของสหัสโลกธาตุ ต่อให้เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบเทวโลก กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์บุกมาเอง ก็ไม่พ้นต้องถูกจำกัดด้วยกฏเกณฑ์ของระนาบโลกียะเช่นกัน


 


“มิผิด”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อว่า “จากสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ดูเหมือนว่านอกจากสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในการบ่มเพาะ ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้ายังถูกจำกัดไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า พรสวรรค์รากวิญญาณ!”


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณอันใดนั่น มันเป็นดั่งสิ่งที่คอยกำหนดศักยภาพของผู้คน! ทำให้ศักยภาพที่เจ้าสมควรได้รับจากชีพจรเซียน 99 สายนั้น…ก็ถูกจำกัดด้วยกฏของระนาบโลกียะแห่งนี้จนมิอาจแสดงผลได้! ”


 


“หาไม่แล้วด้วยอำนาจของชีพจรเซียน 99 จุดสายของเจ้า ต่อให้เป็นระนาบเทวโลก เจ้าก็ถือเป็นอัจฉริยะอันไร้ผู้ต้าน”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“ผู้เฒ่าหั่วที่ท่านกล่าวหมายความว่า…พรสวรรค์รากวิญญาณที่ว่าก็เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่แต่ในระนาบโลกียะแห่งนี้เท่านั้นหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่งม ฟังวาจาที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกมา เขาก็จับประเด็นได้ทันที


 


“ใช่”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบอีกครั้ง ค่อยพูดอะไรเพิ่มเติม “ไม่ว่าจะเป็นดาวเหยียนหวงในระนาบโลกียะ หรืออวี้หวงเทียนในระนาบเทวโลกที่ข้าเคยอาศัยอยู่ ศักยภาพพรสวรรค์ของทุกผู้คนล้วนขึ้นอยู่กับจำนวนชีพจรเซียนที่ทะลวงเปิดได้ทั้งสิ้น”


 


“แน่นอนว่าในระนาบเทวโลกอวี้หวงเทียนที่ข้าอยู่ พวกเราก็หาได้เรียกว่าชีพจรเซียนเหมือนเจ้าไม่ อย่างดาวเหยียนหวงนั้นจักเรียกว่าชีพจรดิน ส่วนในอวี้หวงเทียนจักเรียกมันว่าชีพจรฟ้า!”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆอธิบายต่อ “ส่วนในระนาบโลกียะแห่งนี้กลับมีกฏเกณฑ์ที่แตกต่างออกไป พรสวรรค์และศักยภาพของมนุษย์หรือสัตว์เซียนใดๆล้วนถูกกำหนดด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณอะไรนั่น!”


 


“ด้วยสำนึกเทวะของข้าที่ยามนี้ฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว ข้าย่อมสัมผัสได้ว่ารากวิญญาณของเจ้านั้นมีสีเหลือง และรากวิญญาณสีเหลืองก็ถือว่าเป็นอะไรที่ธรรมดาในระนาบโลกียะแห่งนี้! มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะของเจ้าถึงได้ช้านักแม้จะมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคอยช่วยเหลือก็ตาม…”


 


วาจาท้ายประโยคของผู้เฒ่าหั่วแฝงความขัดใจเอาไว้


 


“ผู้เฒ่าหั่วข้าบอกต่อท่าน ที่รากวิญญาณของข้าเป็นสีเหลืองได้ น่าจะเพราะข้าได้กินนมผา 10,000 ปีเข้าไปแล้ว…ถ้าไม่กิน เผลอๆพรสวรรค์รากวิญญาณที่แท้จริงของข้าอาจจะเป็นสีแสดหรือแม้แต่กระทั่งสีแดงก็เป็นได้…”


 


ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มขื่นขมออกมา


 


“นมผา 10,000 ปีนับเป็นทรัพยากรวิญญาณที่หาได้ยากอยู่บ้าง แต่ถึงแม้มันจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าได้ แต่เต็มที่มากสุดก็คงเป็นสีเหลืองนี้แล้ว”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


“ผู้เฒ่าหั่วข้าจำได้ว่าตอนข้าพบท่านกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติครั้งแรก…ไม่ใช่ว่าเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติใช้พลังที่เหลืออยู่ขัดเกลาร่างข้าจนเหมือนเปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกดั่งเกิดใหม่แล้วหรือไร ไม่ใช่ว่าตอนนั้นมันสมควรเพิ่มพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าไปแล้วด้วยหรือ?”


 


ตอนแรกที่เขาเจอเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ตัวเจดีย์ก็ได้ใช้พลังที่เหลืออยู่ชำระร่างกายของเขา


 


และในตอนที่เขาอยู่ในทวีปเมฆาล่อง เขาก็ได้กินนมผา 10,000 ปีจนสมควรบรรลุร่างพรสวรรค์สูงสุดในทวีปมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ว่าได้พลังจากเจดีย์ไปมันจะยกระดับขึ้นอีกเหรอ?


 


“เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพียงขัดเกลาชำระร่างเจ้าให้เสมือนเกิดใหม่ และมอบพลังความแข็งแกร่งทางกายภาพให้เจ้าเท่านั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์รากวิญญาณ”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ทุกเรื่องราวที่เขาสงสัยได้กระจ่างแล้ว


 


ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้เสียที ว่าทำไมทั้งๆที่เขาทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ถึง 99 สายแล้วแต่พรสวรรค์ของเขาถึงยังต่ำต้อยอยู่


 


และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมหลังจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขัดเกลาชำระร่างเขาไปแล้ว แต่พรสวรรค์รากวิญญาณอะไรของเขาไม่ดีขึ้นเลย


 


“ผู้เฒ่าหั่ว แล้วข้าจะปรับปรุงรากวิญญาณของข้าได้อย่างไรหรือ?”


 


พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้าผู้เฒ่าหั่วบอกว่ามีวิธียกระดับพัฒนาพรสวรรค์รากวิญญาณมากกว่า 1 วิธี ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความตื่นเต้น ค่อยกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“หลังจากใช้สำนึกเทวะของข้าสำรวจรากวิญญาณของเจ้า…ตอนนี้มีอยู่ 2 วิธีที่สามารถยกระดับมันได้ และหนึ่งในนั้นเจ้าเองก็รู้”


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


“ข้าเองก็รู้งั้นหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนตะลึงไปทันใด ยังสับสนงุนงงไม่น้อย


 


วิธีอะไรกัน!


 


เขารู้ด้วยหรือ?


 


ถ้าเขารู้แล้วจะถามออกมาทำเพื่อ!


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าในตอนนี้ ก็มาจากวิธีที่เจ้ารู้…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเตือนออกมาพอดี ราวกับอ่านใจต้วนหลิงเทียนออก


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็มากไหวพริบ ได้ฟังคำนี้ก็รู้ทันทีจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มหน้าแห้ง “ที่แท้ผู้เฒ่าหั่วก็หมายถึงนมผา 10,000 ปี…แต่มิใช่ท่านผู้เฒ่าหั่วบอกข้าหรือว่านมผา 10,000 ปี มากสุดก็ทำให้รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีเหลืองเท่านั้น”


 


“ข้ากล่าวเช่นนั้นจริง…แต่นั่นหมายถึงขีดจำกัดของนมผา 10,000 ปีของเจ้า ใต้ฟ้ากว้างใหญ่แห่งนี้มีทรัพยากรวิญญาณมากมายที่ล้ำค่ายิ่งกว่านมผา 10,000 ปี! ในเมื่อนมผาของเจ้ายกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เป็นสีเหลืองได้ ไฉนอย่างอื่นจะทำไม่ได้?”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถาม


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินคำถามนี้ สองตาก็ทอประกายเรืองวูบขึ้นมาทันที


 


นั่นสิ!


 


ตอนนี้นมผา 10,000 ปีมันไม่มีผลอะไรกับรากวิญญาณเขาแล้ว อย่างไรก็ตามหากเขาพบทรัพยากรวิญญาณที่เลิศล้ำกว่านมผา 10,000 ปีเล่า? ไฉนยังต้องกลัวว่าจะไม่อาจยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้?!


 


“ผู้เฒ่าหั่วข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่สมบัติอันใดที่สามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าได้บ้างหรือ ท่านรีบบอกข้าที!”


 


ต้วนหลิงเทียนอดรอไม่ไหวรีบกล่าวถามออกมาทันที


 


“ข้าพอรู้จักทรัพยากรวิญญาณที่สามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าได้ไม่น้อย แต่ตอนนี้ต่อให้ข้าบอกเจ้าไป ตัวเจ้าจะรู้จักมันหรือ? มิสู้ให้ข้าส่งข้อมูลกับรูปลักษณ์ของมันให้เจ้าโดยตรงจะดีกว่า เช่นนี้เจ้าก็จะจดจำได้ทันทียามพบพวกมัน…”


 


สิ้นคำกล่าวนี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ทันทีว่ามีชุดข้อมูลมหาศาลชุดหนึ่งกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ใจของเขา!


 


นอกจากข้อมูลแล้วยังมีกลิ่นอายทรงพลังขุมหนึ่งที่ทำให้ใจเขาถึงกับสะท้าน! แต่ต้วนหลิงเทียนทราบดีว่ามันคืออะไร เป็นสำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่วเอง! และสำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่วมันช่างทรงพลังนัก!!


 


โดยปกติแล้วผู้เฒ่าหั่วมักใช้สำนึกเทวะเพียงบางเบาส่งข้อมูลเล็กน้อย เขาจึงไม่ทันได้รู้สึกอะไร


 


แต่ตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วจำต้องส่งข้อมูลจำนวนมากเข้าหัวเขา สำนึกเทวะก็จำเป็นต้องใช้มากขึ้น และพลังอำนาจของสำนึกเทวะนี้ของผู้เฒ่าหั่วก็ทำให้ใจของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน


 


‘ให้ตายเถอะสำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่วร้ายกาจยิ่งกว่าสำนึกทวะของหลี่อันไม่รู้กี่เท่า! ดูเหมือนว่าพลังอำนาจของผู้เฒ่าหั่วเริ่มฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว’


 


หลังใจสะท้านไปกับความทรงพลังของสำนึกเทวะผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ลอบยินดีไม่น้อยที่อาการของผู้เฒ่าหั่วฟื้นตัวดีขึ้น พลังอำนาจเองก็เพิ่มสูงขึ้น


 


อย่างน้อยๆ ก็แข็งแกร่งกว่าหลี่อัน!


 


‘น่าเสียดายที่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีข้อจำกัดมากเกินไป อำนาจสะกดผู้เฒ่าหั่วยังร้ายกาจนัก หากผู้เฒ่าหั่วสามารถส่งพลังจู่โจมอะไรออกมานอกเจดีย์ได้เหมือนสำนึกเทวะล่ะก็ ข้าคงไม่ต้องกลัวใครแล้ว’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน เสียดายนัก!


 


เห็นได้ชัดว่าข้างกายเขามี ‘นักเลงขาใหญ่’ ที่สามารถเดินเบ่งคับซอยได้แท้ๆ แต่กลับออกนอกเจดีย์มารังแกผู้คนไม่ได้


 


มีเพียงแต่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ได้รับทราบความร้ายกาจดังกล่าว!


 


เมื่อผู้เฒ่าหั่วถอนรั้งสำนึกเทวะคืนกลับ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงชุดข้อมูลมหาศาลในใจ เขาทำการสำรวจรายการทรัพยากรวิญญาณดังกล่าวอย่างคึกคัก


 


“มีมากมายขนาดนี้เลยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อยหลังมองชุดข้อมูลแวบหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามพอเขาอ่านข้อมูลอย่างละเอียดเขาก็พบว่าทรัพยากรดังกล่าวทั้งหมด เขาไม่เคยพบเคยเจอมันมาก่อนเลย…


 


“ของพวกนี้มันอะไรกัน…ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว ที่ข้าจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าโดยใช้ทรัพยากรพวกนี้…”


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงความยากลำบาก


 


“ผู้เฒ่าหั่วก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่ามีมากกว่า 1 วิธีที่จะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้า และตอนนี้เป็นไปได้ 2 วิธี…เช่นนั้นนอกจากทรัพยากรพวกนี้ยังมีวิธีใดอีกหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาทันที


 


“หากเปรียบเทียบกับการหาทรัพยากรพวกนั้นมาใช้ วิธีที่ข้ากำลังจะกล่าวบอกเจ้ากระทำได้ง่ายดายกว่ามาก…อย่างไรก็ตามหากเทียบกับวิธีใช้ทรัพยากรที่มีความสำเร็จเต็มสิบส่วนแล้ว วิธีนี้ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ! ข้าสามารถกล่าวชี้แนะให้เจ้าลองกระทำดูได้ แต่เจ้าต้องเตรียมใจเผื่อไว้ด้วย”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


“ไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรือ? เตรียมใจ?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากแต่เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดี “ผู้เฒ่าหั่วท่านกล่าวบอกมาเถอะ”


 


การตามหาทรัพยากรพวกนั้นในสถานการณ์ที่ถูกจำกัดแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ามันยากเย็นขนาดไหน หากมีทางลัดอันใดเขาย่อมยินดีลองเดิน แม้ว่าทางลัดดังกล่าวอาจจะไปไม่ถึงปลายทางก็ตาม


 


“วิธีนี้เกี่ยวข้องกับ ปฐมเวทย์กลืนกิน ที่เจ้าเข้าใจ”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ข้ามิรู้เกี่ยวกับปฐมเวทย์กลืนกินของเจ้ามากนัก…แต่ทว่าสำหรับ ‘มหาเวทย์กลืนกิน’ ของจักรพรรดิสวรรค์ในแดนสวรรค์คนหนึ่ง มันโด่งดังเสียประหนึ่งฟ้าร้องในหูข้า! มหาเวทย์กลืนกินเป็นเวทย์พลังที่น่าพรั่นพรึงถึงที่สุด กล่าวกันว่ามันสามารถกลืนกินพลังงานได้ทุกชนิด!”


 


“เนื่องจากปฐมเวทย์กลืนกินของเจ้า ก็เป็นเวทย์พลังที่คล้ายจะมาจากมหาเวทย์กลืนกินอันน่ากลัวนั่น เช่นนั้นบางทีเจ้าอาจลองใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินที่เจ้ามี…กลืนรากวิญญาณผู้อื่นมาเสริมสร้างรากวิญญาณของเจ้าดู…”


ตอนที่ 1,909 : สิ้นสุดการประเมินพรสวรรค์


 


“กลืนรากวิญญาณของผู้อื่นมาเสริมสร้างรากวิญญาณของข้างั้นเหรอ?”


 


ลูกตาของต้วนหลิงเทียนทอประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันใดหลังได้ยินคำผู้เฒ่าหั่ว!


 


หากวิธีนี้ใช้ได้ผลอาจเป็นทางลัดแล้วจริงๆ!


 


อย่างน้อยๆมันก็น่าจะเป็นไปได้มากกว่าตามหาทรัพยากรที่เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอนั่น!


 


“ถูกแล้ว เป็นการกลืนกินรากวิญญาณ ช่วงชิงพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว “อย่างไรก็ตามวิธีนี้ยังเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น มิว่าจะกระทำได้หรือไม่ได้เจ้าต้องฝึกฝนทดลองกระทำด้วยตัวเอง! และข้าจะกล่าวบอกอันใดไว้อีกอย่าง ผู้ที่ถูกเจ้ากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ แม้ไม่ตายแต่พวกมันก็จักสูญเสียพรสวรรค์รากวิญญาณไปอย่างถาวร…”


 


“หากเป็นคนตายก็มิเป็นไร..แต่หากมันยังมีลมหายใจหลังถูกเจ้ากลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ เช่นนั้นพลังฝึกปรือของมันก็ได้แต่หยุดอยู่แต่เพียงเท่านั้นไปตลอดชีวิต มิมีวันบ่มเพาะฝึกปรือให้ก้าวหน้าได้อีก…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


ถึงแม้ว่าการกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นจะฟังดูแล้วโหดร้ายนัก


 


แต่เขาก็ไม่คิดจะทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล! เขาจะทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกสารเลวน่าตายที่ทะลึ่งมาหาเรื่องเขาเท่านั้น!


 


ด้วยวิธีนี้เขาย่อมไม่มีความรู้สึกผิด!


 


ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะยึดกฏแห่งป่า ‘เข้มแข็งอยู่อ่อนแอตายตก’ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังมีมโนธรรมในใจไม่ได้ไร้จิตสำนึก!


 


หากใจอำมหิตลงมืออย่างไร้มนุษย์ธรรม เช่นนั้นเขายังต่างอะไรจากสัตว์เดียรัจฉาน?


 


เมื่อไร้ซึ่งความเป็นคนเช่นนั้นเขาก็มิใช่ผู้คน!


 


ด้วยเหตุนี้ถึงแม้กลวิธีการใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นมันจะฟังดูโหดร้ายไปอยู่บ้าง แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดปฏิเสธมัน เพราะเขาไม่คิดจะฮุบพรสวรรค์ของผู้คนพร่ำเพรื่อ!


 


เขาจะกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้ที่สมควรโดนดีเท่านั้น!


 


ตัวอย่างเช่นหลี่อัน!


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อันอาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬ ที่อีกฝ่ายเองก็กำลังมองเขาอยู่ด้วยสายตาเหยียดหยาม ‘ด้วยพลังฝีมือของข้าในตอนนี้กับอีแค่เข้าใกล้มันยังยาก แล้วจะนับประสาอะไรกับกลืนกินรากวิญญาณของมัน…พลัง…ต้องมีพลังมากกว่านี้ ตอนนี้ข้ามันอ่อนแอเกินไป!’


 


เผชิญหน้ากับหลี่อัน แม้ตอนนี้พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนตะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็ยังไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าหลี่อัน


 


เพราะหลี่อันไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นชนชั้นยอดฝีมือ ที่ติด300 อันดับแรกในรายนามยอดเซียน! ตอนนี้เขาไม่อาจต่อกรกับมันได้เลย!


 


ต่อให้เขาจะใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด แต่ก็คงไม่อาจทำร้ายหลี่อันได้แม้ปลายผม เผลอๆยังจะถูกฆ่าทันทีที่ลงมือ!


 


ช่องว่างระหว่างเขากับหลี่อันตอนนี้มันกว้างเกินไป


 


‘ตอนนี้ถ้าข้าผ่านบดทดสอบของแท่นบูชาเต่าทมิฬหลี่อันนั่นคงไม่คิดจะลงมือกับข้าตรงๆอีกต่อไป ลองข้ามีรากวิญญาณสีครามขึ้นมาถึงแม้จะเป็นที่น่าต้องตาพึงใจจ้าวลัทธิ ทว่าหลี่อันมันต้องคิดตัดไฟแต่ต้นลมแน่นอน กลายเป็นมันต้องหาโอกาสลงมือฆ่าข้าให้เร็วที่สุดด้วยตัวเอง! ตอนนี้พอมันเห็นว่าข้ามีรากวิญญาณสีเหลืองก็ดีไปอย่าง เพราะมันคงคิดว่าข้าไม่คู่ควรให้มันต้องลงมือด้วยตัวเองสืบไป…’


 


หากหลี่อันมาได้ยินความคิดนี้ของต้วนหลิงเทียนคงได้ตกใจไม่น้อย


 


เพียงเพราะมันคิดแบบนี้จริงๆ!


 


ตอนแรกหลี่อันได้เตรียมใจไว้แล้ว ว่าหากพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนออกมาเป็นรากวิญญาณสีครามจริงๆล่ะก็ แม้จะเสี่ยงแต่มันจะลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ได้โดยเร็วที่สุดด้วยมือของมันเอง!


 


ทว่าพอมาตอนนี้เมื่อเห็นว่าที่แท้พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนกลับเป็นเพียง ‘รากวิญญาณสีเหลือง’ ที่ไม่ต่างอะไรกับศิษย์ดาษดื่นในลัทธิบูชาไฟ หลี่อันก็ไม่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นภัยคุกคามอะไรอีกสืบไป…


 


ก็แค่เฒ่าชรามีทักษะประหลาดปกปิดพรสวรรค์ต่ำต้อย ด้วยการเสแสร้งเป็นเด็กน้อยเท่านั้น…


 


ตัวไร้ราคาพรรค์นี้ มันคร้านจะลดตัวลงไปให้แปดเปื้อน!


 


‘อย่างไรก็ตามแม้หลี่อันมันจะไม่คิดลงมือกับข้าด้วยตัวเอง แต่ไม่วายต้องส่งลิ่วล้อทหารเลวออกมารังควาญข้าไม่เลิกแน่…ไหนจะยังมีคนของอาวุโสลำดับ 5 ของวังอุดรไพศาล หยางชง อะไรนั่นอีก…แต่ให้พวกมันมาเถอะ ไม่ว่าจะเสนอหน้ามากี่คนข้าจะกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณพวกมันให้เหี้ยน! เอามาเสริมสร้างรากวิญญาณของข้า!!’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นคึกคักขึ้นมา ร้อนวิชานัก!


 


กระทั่งยังแอบหวังว่าขอให้หยางชงกับหลี่อันรีบส่งคนมาเล่นงานเขาเร็วๆทีเถอะ!


 


‘นี่ข้าใจเร็วด่วนได้ไปรึเปล่า…ผู้เฒ่าหั่วเพียงบอกว่าเรื่องใช้ปฐมเวทย์กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณนั่น มันก็ยังเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น ไม่รู้จะนำไปปฏิบัติจริงได้หรือไม่…ข้าจะกลืนกินรากวิญญาณผู้อื่นมาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองได้รึเปล่า ก็ยังไม่ใช่เรื่องแน่ว่าจะทำได้…’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนเสมือนถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะเต็มถัง ปลุกสติให้ตื่นจากอาการฝันกลางวันทันที…


 


เมื่อทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณเสร็จแล้วต้วนหลิงเทียนก็ล่าถอยกลับมารอที่เดิม


 


ทว่านับเป็นหนังคนละม้วนเลยก็ว่าได้ พอพบว่ารากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนที่แท้เป็นแค่รากวิญญาณสีเหลือง ก็ไม่มีใครสนใจใยดีต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป


 


เพราะในสายตาของคนส่วนใหญ่


 


ต้วนหลิงเทียนก็เป็นแค่เพียงคนธรรมดาสามัญเหมือนกับพวกมันเท่านั้น!


 


ไม่คู่ควรให้พวกมันให้ความสนใจอะไร


 


อีกทั้งตอนนี้พวกมันยังปักใจเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนใช้ทักษะลับประหลาดบางประการที่ปกปิดได้กระทั่งอายุเพื่อแสร้งทำตัวไร้เดียงสา พวกมันยังถึงกับมองเหยียดต้วนหลิงเทียนด้วยสายตารังเกียจ


 


“เป็นเฒ่าชราพันปีแท้ๆ กลับเสแสร้งเป็นทารกน้อย เลอะเทอะยิ่งนัก!”


 


บางคนยังมองมาพร้อมกล่าวปรามาสต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว


 


“หากเพียงเสแสร้งเป็นทารกน้อยก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ครั้งนี้มันทำเกินไป! กล้าหลอกอาวุโสเพลิงเงินสองคนของแท่นบูชาเต่าทมิฬว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ!ยังดีนักที่เรื่องจริงปรากฏขึ้นตอนทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณเช่นนี้!”


 


“คนเช่นนี้น่าขยะแขยงยิ่งนัก! ตอนแรกข้าหลงคิดว่าจะได้พบกับอัจฉริยะเยาว์วัยไร้ผู้ต้านเสียแล้ว แต่ไม่คิดเลยที่แท้กลับเป็นเฒ่าเหลวไหล ชมชอบละเล่นเป็นทารกน้อย!”


 


“ฮึ! หลอกลวงผู้คนพรรค์นี้ สมควรถีบส่งไปนรกขุมที่ 18 นัก! น่ารังเกียจยิ่ง!!”


 


……


 


ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่สนใจใยดีอะไรต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป แต่ก็มีบางคนที่อดไม่ได้จะมองเหยียดทั้งกล่าวล้อเลียนเสียดสีออกมาโดยไม่ทน


 


‘ไอเจ้าพวกนี้นี่…’


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นขณะว่ายตามองไปยังผู้ที่กำลังมองเขาด้วยสายตาราวกับเห็นแมลงสาป แถมปากยังกล่าวเย้ยว่าเขาไม่หยุด ‘ข้าไปมีเรื่องอะไรกับพวกมันหรือก็เปล่า คนที่บ่นว่าข้าปลอมตัวมาเพราะความไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้าบ้านั่นมันไหวหรือไม่ อยู่ดีๆมาแช่งข้าให้ลงนรกขุมที่ 18 แบบนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยรึไงหา?’


 


คนที่มองเหยียดทั้งปากกล่าววาจาล้อเลียนต้วนหลิงเทียนนั้น ก็ลอยร่างอยู่ไม่ได้ไกลจากเขาสักเท่าไหร่ จึงเห็นชัดถนัดตายามเขาขมวดคิ้วมองมาด้วยความไม่พอใจ


 


“เฒ่าชราเจ้ามองหาอะไร? หรือเฒ่าชราเจ้าหงุดหงิดที่พวกเรากำลังกล่าวถึงเจ้า?”


 


หนึ่งในนั้นกล่าวเย้ยต้วนหลิงเทียนออกมาพร้อมแสยะยิ้ม


 


หากต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินหรือสีครามจริงๆ พวกมันย่อมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงใกล้ๆ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้ต้วนหลิงเทียน…


 


แต่ตอนนี้พอพวกมันรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนก็แค่ รากวิญญาณสีเหลือง พวกมันก็เสมือนได้ทีขี่แพะไล่ ต่อให้พลังฝีมือพวกมันมีไม่เท่าต้วนหลิงเทียน แต่พวกมันก็พยายามจะด่าว่าทับถมลดความโดดเด่นของต้วนหลิงเทียนลง


 


กระทั่งการกระทำเช่นนี้เผลอๆ จะได้ใจอาวุโสเพลิงเงินอย่างหลี่อันที่ไม่ค่อยพอใจในตัวต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ แล้วไฉนพวกมันจะไม่กระทำ?


 


“เจ้าคิดจะพูดอะไรก็ระวังปากไว้บ้าง…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองตอบมันด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย น้ำเสียงระอา


 


เขาพอจำชายวัยกลางคนที่กล่าวแขวะเขาคนนี้ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีรากวิญญาณเป็นสีเขียว และหากเขาจำไม่ผิดมันสมควรเรียกว่า กู่ชุน


 


ตอนนี้ยามกู่ชุนมองต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแววตาจะเผยความดูแคลน ยังแสยะยิ้มเย็นชาคล้ายเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับเขามาก่อนซะอย่างนั้น


 


“เฮอะ! อาศัยจอมยุทธ์เฒ่าที่มีรากวิญญาณสีเหลืองเช่นเจ้ากล้าชักสีหน้าปั้นปึ่งไม่พอใจใส่ข้างั้นหรือ?”


 


กู่ชุนอึ้งไปเล็กน้อย


 


แทบจะพอดีกันกับที่กู่ชุนสบถกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ พลันมีชายอีกคนที่คล้ายกลัวโลกหล้ายังวุ่นวายไม่พอกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “กู่ชุน เจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่ามันกล้ากระทั่งฆ่าลูกชายของอาวุโสลำดับ 5 แห่งวังอุดรไพศาล เช่นนั้นคนไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นมันมีหรือจะกริ่งเกรงเจ้า!”


 


พอได้ยินวาจาของชายผู้นี้ กู่ชุนพลันนึกขึ้นได้ว่าต้วนหลิงเทียนหักคอหยางหวู่ตายคามือไปเมื่อวาน


 


ใจมันสะท้านไปทันใด


 


บางทีพรสวรรค์ของอีกฝ่ายอาจจะไม่สูงส่งเท่ามัน


 


ทว่าตัดสินจากการลงมือของอีกฝ่าย เห็นชัดว่ามิใช่ชนชั้นใจดีมีเมตตา กระทั่งกล้าลงมือสังหารหยางหวู่อย่างอำมหิตต่อหน้าอาวุโสหลี่อันโดยไม่กลัวเกรง!


 


จังหวะนี้เรียกว่าหน้าของกู่ชุนถอดสีไปทันที ไม่กล้าทำตัวร้ายกาจใส่ต้วนหลิงเทียนอีก!


 


จริงๆแล้วไม่ใช่อะไร…แค่มันกลัวโดนดีเท่านั้น!


 


เห็นหน้ากู่ชุนที่ตอนแรกคล้ายดั่งราชสีห์ดุร้ายแต่กลับกลายเป็นแมวเซาหลังได้ยินคำกล่าวของชายอีกคน ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่ากู่ชุนกำลังคิดอะไรอยู่…


 


เช่นนั้นเขาก็เพียงมองกู่ชุนทั้งแสยะยิ้มเยาะด้วยความดูถูกไปทีหนึ่ง ก่อนที่จะเลิกสนใจมันและหันไปดูชมผู้ที่เข้าร่วมทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณต่อ


 


เจอต้วนหลิงเทียนชักสีหน้าดูถูกยิ้มเยาะใส่แบบนี้ กู่ชุนถึงกับรู้สึกอับอายขายหน้านัก ยังรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาในใจ สองหมัดกำแน่นจนกระดูกลั่น ฟันกรามขบกันดังกรอดๆ


 


แต่สุดท้ายมันก็ไม่กล้าลงมืออะไร


 


ถึงแม้ว่ามันจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตปฐพีขั้นต้น แต่มันก็ไม่กล้าลงมืออย่างวู่วาม จนกว่าจะรู้พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนแน่ชัด…


 


ใครจะไปรู้ เกิดต้วนหลิงเทียนคนนี้มีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นกลางหรือสูงกว่าขึ้นมา มันจะสู้อย่างไร?


 


‘ต้วนหลิงเทียน พรสวรรค์ของข้าสูงกว่าเจ้า ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังสู้เจ้าไม่ได้ แต่ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สาย วันใดที่พลังฝึกปรือข้าเหนือกว่าเจ้า วันนั้นข้าจะทุบตีเจ้าจนกระทั่งมารดาเจ้ายังจดจำหน้าตาเจ้าไม่ได้! ยังจะให้เจ้ามาคุกเข่าขอขมา! โขกหัวให้ข้าเสียหลายๆที!!’


 


กู่ชุนได้แต่คำรามออกมาในใจด้วยโทสะ ตอนนี้มันโมโหจนหายใจแทบไม่ทัน!


 


ความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆระหว่างกู่ชุนกับต้วนหลิงเทียนไม่ได้เอิกเกริกอะไรมากมาย คนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสนใจกับการทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณ


 


หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ การทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณก้จบลง และก็มีผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวปรากฏตัวขึ้นอีก 2 คนเท่านั้น


 


‘รากวิญญาณสีเขียว…’


 


มองไปยังสองคนที่มีรากวิญญาณสีเขียว ในสายตาของต้วนหลิงเทียนก็เผยความอิจฉาขึ้นมา เพราะจะอย่างไรรากวิญญาณของเขามันก็แค่สีเหลืองเท่านั้น


 


หลังจากประเมินพรสวรรค์รากวิญญาณเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็เป็นการเริ่มทดสอบพลังฝีมือ


 


การประเมินทดสอบพลังฝีมือนั้นแบ่งออกเป็น 2กลุ่ม


 


กลุ่มแรกคือการประเมินทดสอบของผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียว และการประเมินดังกล่าวก็ค่อนข้างง่ายดายนักขอเพียงบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ก็นับว่าผ่านแล้ว


 


ส่วนอีกกลุ่มนั้นสำหรับผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลือง เปรียบเทียบกับของอีกกลุ่มแล้ว การประเมินของคนกลุ่มนี้ยากกว่ากันมาก เป็นไปไม่ได้เลยีท่จะผ่านเกณฑ์หากพลังฝีมือไม่โดดเด่นและอยู่เหนือผู้อื่นในขอบเขตพลังเดียวกันจริงๆ และอย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นก่อนด้วย…


 


“เหล่าผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวมากับข้า”


 


ตอนนี้เองอาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬ หลี่อัน ในที่สุดก็กล่าวคำออกมาเสียที และหลังจากที่มันพูดจบมันก็นำคน 9 คนที่มีรากวิญญาณสีเขียวรวมถึง กู่ชุน ไปกับมันด้วย


 


มันมีหน้าที่ประเมินพลังฝีมือของคนกลุ่มนี้


 


และก่อนที่หลี่อันจะเหินร่างจากไป มันก็ไม่ลืมจะหันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอาฆาต แววตาเย็นชาเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร!


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย


 


เรื่องนี้ยิ่งทำให้สีหน้าหลี่อันที่กำลังพาคนจากไปกลายเป็นถมึงทึงมากขึ้น…!


ตอนที่ 1,910 : แท่นบูชาเต่าทมิฬ


 


ตอนนี้เหล่าผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียวก็ได้จากไปพร้อมกับหลี่อันแล้ว


 


ส่วนผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองรวมถึงต้วนหลิงเทียน ก็ถูกทิ้งไว้ให้อาวุโสเพลิงเงินอีกคนอย่างเถิงชาน รวมถึงอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 4 จัดการทดสอบพลังฝีมือของทุกคน…


 


และหลังจากที่หลี่อันพาคนจากไป เถิงชานก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว ในแววตายังฉายความผิดหวังออกมา


 


มันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายเรื่องราวจะกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้


 


ชายหนุ่มที่มันเห็นดีเห็นงามตั้งแต่แรกกลับมีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น ‘หรือเจ้าหนุ่มนี่ที่แท้จะเป็นผู้ชราปลอมตัวเข้ามาทดสอบแล้วจริงๆ?’


 


มันเองก็ไม่อยากจะเชื่อ


 


อย่างไรก็ตามต่อให้ไม่เชื่อเพียงใดแต่ผลลัพธ์ก็วางตั้งอยู่ตรงหน้า เช่นนั้นมันไม่เชื่อก็ไม่ได้!


 


ด้วยการใช้ลูกแก้ววิญญาณตรวจสอบดีแล้ว ปรากฏว่าชายหนุ่มที่มันพบว่าอายุยังไม่ทันถึง 40 ปีทีผู้นี้…มีรากวิญญาณเป็นสีเหลือง!


 


และแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย สำหรับผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองจะบรรลุพลังฝีมือถึงขั้นเหนือกว่าเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้ก่อนอายุ 40!


 


เช่นนั้นใจมันก็ยังคงตัดสินไปแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้ชราปลอมแปลงมาจริงๆ…


 


“ต้วนหลิงเทียน มิว่าเจ้าจะผ่านบททดสอบพลังฝีมือหรือไม่ แต่ข้ามิแนะนำให้เจ้าอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬสืบต่อ เพราะเจ้าต้องเจอปัญหาจากหลี่อันแน่…หากเจ้าคิดจากไปจริงๆ ข้าจักร้องขอให้สหายข้า 2 คนพาเจ้าหลบหนีไปให้พ้น ด้วยมีสหายข้าช่วยเหลือมิมีทางที่หลี่อันจะทำอะไรเจ้าได้แน่นอน…”


 


ตอนนี้เองเสียงจริงจังหนึ่งพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน


 


เพียงได้ยินเขาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของอาวุโสเพลิงเงินแห่งแท่นบูชาเต่าทมิฬ เถิงชาน!


 


‘อาวุโสเถิงชาน?’


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเถิงชานด้วยความประหลาดใจ


 


เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าถึงแม้เรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้แล้ว แต่เถิงชานยังจะคิดช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นเงื้อมมือหลี่อัน!


 


เรื่องนี้ทำให้เขาซาบซึ้งนัก!


 


อย่างน้อยๆเถิงชานก็ไม่ได้ดูถูกเขาเหมือนผู้อื่นเพียงเพราะรากวิญญาณของเขามีสีเหลือง กลับยินดีให้ความช่วยเหลือในยามยากดั่งส่งถ่านไฟกลางหิมะเช่นนี้!


 


การกระทำดังกล่าวช่างน่ายกย่องนัก!


 


‘หวังว่าต้วนหลิงเทียนจักเลือกจากไป…ข้าเองก็ช่วยได้เพียงเท่านี้แล้ว’


 


หลังส่งเสียงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนแล้วเถิงชานก็ลอบกล่าวในใจ


 


เหตุผลที่มันเลือกจะช่วยต้วนหลิงเทียนเพราะมันเองก็ยังรู้สึกถูกชะตาเขาไม่น้อย จึงไม่อยากเห็นต้วนหลิงเทียนถูกคนรังแก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังรู้สึกผิดนัก ที่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจากหลี่อันภายใต้การดูแลของมัน


 


และในสายตาของมัน หากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะจากไปเสีย ล้วนเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย


 


แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ไป มันก็จนปัญญา


 


นั่นเพราะหากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬล่ะก็ มันไม่อาจช่วยอะไรได้เลย เพราะอำนาจมันมีไม่สู้หลี่อัน!


 


ในแท่นบูชาเต่าทมิฬนั้น ไม่ว่าจะพลังฝีมือส่วนตัว สิทธิ์เสียง หรือกำลังคน…มันล้วนไม่อาจเทียบหลี่อันได้ทั้งสิ้น! หากหลี่อันคิดลงมือเล่นงานต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้นจริงๆ มันก็ไม่มีปัญญาช่วยเหลือ


 


ตอนแรกมันก็หลงคิดไปว่ารากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นสีคราม หรืออย่างต่ำๆก็เป็นสีน้ำเงิน


 


หากพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นรากวิญญาณสีครามล่ะก็ มันยังสามารถพาต้วนหลิงเทียนไปเข้าพบจ้าวแท่นเต่าทมิฬ เพื่อประสานไปยังจ้าวลัทธิ และไม่พ้นคงถูกจ้าวลัทธิรับตัวไว้เป็นศิษย์แน่


 


พอต้วนหลิงเทียนกลายเป็นศิษย์ของจ้าวลัทธิบูชาไฟแล้ว หลี่อันย่อมไม่มีปัญญาแตะต้องอะไรได้อีก


 


และถึงแม้รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่สีครามแต่เป็นเพียงสีน้ำเงิน มันก็ยังสามารถแนะนำอีกฝ่ายกับจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬได้ไม่ยาก และแน่นอนว่าจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬของมันก็คงยิ่งกว่ายินดีที่จะได้อัจฉริยะอย่างต้วนหลิงเทียนมาเป็นศิษย์!


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ อำนาจของหลี่อันก็ไม่อาจสร้างปัญหาอะไรให้ต้วนหลิงเทียนได้เช่นกัน!


 


อนิจจา เรื่องราวกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดที่มันจะคิดคาดนัก!


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้น กลับไม่ใช่รากวิญญาณสีครามหรือสีน้ำเงิน กระทั่งไม่แม้แต่จะเป็นรากวิญญาณสีเขียวด้วยซ้ำ!


 


รากวิญญาณสีเหลือง!


 


รากวิญญาณสีเหลืองนั้น เป็นรากวิญญาณที่พบได้มากสุดในหมู่ศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ ในบรรดาศิษย์ของลัทธิบูชาไฟแม้ไม่ถึง 10 แต่ก็ต้องมี 8 มี 9 ส่วนที่เป็นรากวิญญาณสีเหลือง…


 


เช่นนั้นก็เห็นกันได้ชัดเจนว่ารากวิญญาณสีเหลืองนั้นมันธรรมดาเพียงใด ไม่ใช่อะไรที่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ


 


“ขอบคุณท่านมากอาวุโสเถิงชาน…”


 


ได้ยินเสียงกล่าวด้วยความห่วงใยนี้ของเถิงชาน ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณออกมาก่อนทันทีค่อยว่าต่อ “หากแต่น้ำใจนี้ของท่านข้าทำได้แค่รับไว้ด้วยใจ เพราะข้ามิคิดจะออกจากลัทธิบูชาไฟในตอนนี้…สำหรับการประเมินพลังฝีมือ ข้ามั่นใจว่าจะสามารถผ่านไปได้แน่! นอกจากนี้ขออาวุโสเถิงชานอย่าได้กังวลใจไป ตั้งแต่ที่ข้ากล้าต่อต้านหลี่อันแต่แรกทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นสหายอันดีกับบิดาหยางหวู่ ข้าย่อมคำนึงถึงผลกระทบทั้งหมดและเตรียมแบกรับผลการกระทำเอาไว้แล้ว!”


 


“น้ำใจทั้งความช่วยเหลือที่อาวุโสเถิงชานหยิบยื่นให้ข้าด้วยความหวังดีครั้งนี้…ข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำมันไว้ในใจไม่มีวันลืม!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาส่งมารวดเดียวจบ เถิงชานฟังแล้วก็อึ้ง สุดท้ายก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรสืบไป


 


“ดี! ในเมื่อตัวเจ้าได้เลือกแล้ว เช่นนั้นข้าก็แล้วแต่เจ้าเถอะ…”


 


ฟังจากเสียงตอบคำของเถิงชานครั้งนี้ เห็นชัดว่ากล่าวออกอย่างทอดถอน ในน้ำเสียงยังแฝงความเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง


 


หลังจากนั้นเถิงชานก็หันไปสนใจการประเมินพลังฝีมือทันที คนอื่นๆรวมถึงต้วนหลิงเทียนที่อยู่ตรงนี้ เป็นมันกับอาวุโสเพลิงทองแดงจะจัดการประเมินพลังฝีมือของทุกคน


 


ในการประเมินพลังฝีมือของผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองรวมถึงต้วนหลิงเทียน ขอเพียงมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขึ้นไป ก็เรียกว่าแทบจะผ่านการทดสอบได้แน่นอนแล้วเต็มสิบส่วน


 


ส่วนเนื้อหาการประเมินหลังจากนั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรที่จะกล่าวถึง


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนเองก็สามารถผ่านการประเมินมาได้ไม่ยากเย็น!


 


แต่แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะผ่านมาได้ไม่ยากเย็น แต่สิ่งที่เขาเผยให้ทุกคนเห็นก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านได้อย่างราบรื่นสบายๆสักเท่าไหร่


 


“เซียนปฐพีขั้นต้นเช่นนั้นรึ?”


 


“เมื่อครู่หวาดเสียวนัก มันแทบมิผ่านการประเมินแล้ว…สมควรพึ่งทะลวงผ่านเซียนปฐพีขั้นต้นมาได้มินาน!”


 


“พวกเจ้าว่าใช่มันจงใจซุกซ่อนพลังฝีมืออันใดเอาไว้อีกหรือไม่…บางทีที่แท้พลังฝีมือของมันจะเหนือกว่าเซียนปฐพีขั้นต้น ทว่าแสร้งจงใจเผยออกมาเพียงเท่านี้หมายเล่นหมูกินเสืออันใด?”


 


“สหายท่านนี้ มิใช่ว่าเจ้าจะคิดมากไปหน่อยหรือไร? ทุลักทุเลเช่นนั้นยังจะปิดซ่อนอันใดได้อีก?”


 


…… ……


 


หลังเห็นต้วนหลิงเทียนผ่านการประเมินพลังฝีมือมาได้ ทุกคนก็เริ่มสนทนากันถึงเขาอีกครั้ง


 


และหลังจากกล่าวกันไปกล่าวกันมา ในที่สุดต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนถึงด่านพลังอันใด…


 


เซียนปฐพีขั้นต้น!


 


หากต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ยังไม่ 40 ปีที เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้พวกมันแตกตื่นกันอยู่บ้าง!


 


ทว่าด้วยตรรกะความคิดของพวกมันได้สรุปไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนคือเฒ่าชราแอ๊บแบ๊ว เพียงเท่านี้ยังถือว่าธรรมดานัก…


 


เช่นนั้นแม้จะรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุเซียนปฐพีขั้นต้น พวกมันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไรเท่าไหร่ ยังคิดว่าก็สมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้วไปอีก…


 


ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย


 


อันที่จริงพลังฝึกปรือของเขาต่ำกว่าที่คนพวกนี้สรุปกันเองไปมาก! เพราะเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ไม่ทันข้ามวันที!!


 


สำหรับการประเมินพลังฝีมือนั้น ที่มันไม่ได้แลดูง่ายดายอะไรมากมาย เพราะเขาใช้เพียงพลังเซียนสุริยันอย่างเดียวเท่านั้น….


 


พลังเซียนที่ไหลเวียนในกายของเขา แม้จะเป็นเพียงพลังเซียนของขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น แต่ด้วยมันผสานหลอมรวมกับพลังเพลิงสุริยันไปแล้ว มันจึงไม่ได้ด้อยอานุภาพไปกว่าพลังเซียนของตัวตนเซียนปฐพีขั้นต้นเลย


 


แต่ด้วยความที่เขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์สดๆร้อนๆ ไหนเลยเขาจะยังควบคุมใช้งานพลังเซียนสุริยันได้คล่องแคล่ว? กระทั่งยังพึ่งเพาะสร้างพลังใหม่ไม่ทันไรโคจรไปมาทั่วร่างก็ยังได้ไม่กี่รอบด้วยซ้ำ ยังจะมีเวลาไปปรับตัวเข้ากับพลังตอนไหน?


 


เช่นนั้นแล้ว แม้จะได้ยินเสียงนินทาปรามาสโดยรอบต้วนหลิงเทียนก็เพียงยิ้มแย้ม ราวกับได้ฟังเสียงนกเสียงกา


 


ทำไมเขาต้วนหลิงเทียน ต้องไปสนใจขี้ปากผู้อื่นด้วย?


 


“ผู้ที่ล้มเหลวในการประเมินพลังฝีมือ จงติดตามอาวุโสเพลิงทองแดงสองท่านนี้ไปเสีย…ส่วนผู้ที่ผ่านการประเมินพลังฝีมือแล้ว ให้ติดตามอาวุโสเพลิงทองแดง 2 ท่านนี้…ทั้งคู่จะพาพวกเจ้าทุกคนไปลงทะเบียน และรับทราบกฏเกณฑ์ที่ศิษย์ใหม่จำเป็นต้องทราบ”


 


ตอนนี้เองเสียงของเถิงชานพลันดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนมันกำลังชี้แจงเรื่องราวต่างๆทิ้งท้าย


 


และเมื่อเถิงชานกล่าวจบคำ มันก็หันมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง หลังจากระบายลมหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่งมันก็เหินร่างจากไป


 


ในเมื่อต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเลือกหนทางของตัวเองแล้ว มันก็มิอาจก้าวก่าย…


 


ภายภาคหน้าต้วนหลิงเทียนทำได้แค่พึ่งพาตัวเองแล้ว


 


แม้อีกฝ่ายจะมาขอให้มันช่วยเหลือ แต่เกรงว่ามันเองก็ไม่มีปัญญาจะช่วย…


 


หลังจากเถิงชานจากไป เหล่ากลุ่มคนที่ไม่ผ่านการประเมินพลังฝีมือก็ติดตามอาวุโสเพลิงทองแดงจากไปอย่างซึมๆ


 


ส่วนอาวุโสเพลิงทองแดงอีก 2 คน ก็เรียกทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนให้เหินร่างติดตามพวกมันไป ไม่นานทั้งหมดก็ล่วงลึกเข้าสู่ภูเขา


 


ระหว่างการเดินทางอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ก็เป็นฝ่ายแจกชุดเสื้อผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของศิษย์ฝ่ายนอกลัทธิบูชาไฟมาให้ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ


 


เครื่องแต่งกายของศิษย์ฝ่ายนอกนั้นก็เป็นชุดคลุมสีขาวเหมือนกันกับอาวุโสเพลิงทองแดง เห็นกันชัดๆว่าลายปักดังกล่าวคล้ายเปลวเพลิงที่ก่อตัวเป็นเต่าทมิฬ ทว่านอกจากสีเปลวเพลิงซึ่งเป็นสีเทาอ่อนที่มองตัดกับสีขาวอยู่บ้าง ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว…


 


อย่างไรก็ตามลายปักเพลิงสีเทาดังกล่าวก็ชัดเจนทั้งละเอียดลออนัก เห็นได้ว่าฝีมือลายมือของผู้ปักยอดเยี่ยมไม่น้อย


 


“พวกเจ้าเห็นตรงนั้นหรือไม่…นั่นคือสถานที่พักและบ่มเพาะพลังอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 5 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬเรา หากมิได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสเพลิงเงินคนใดอย่าได้ล่วงล้ำเข้าไปเด็ดขาด..หาไม่แล้วแม้พวกเจ้าตายก็ได้แต่กลายเป็นผีโง่งม!”


 


หลังจากแจกจ่ายชุดเครื่องแต่งกายแล้ว อาวุโสเพลิงทองแดงก็พาทุกคนเหินร่างไปทางทิศตะวันออก ก่อนจะชี้ให้ทุกคนเห็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง พร้อมกล่าวเตือนเสียงเข้ม


 


กล่าวถึงท้ายประโยค ในน้ำเสียงยังแฝงจิตสังหารออกมาบางเบา


 


ต้วนหลิงเทียนหันมองไปตามทิศทางดังกล่าวก็พบม่านหมอกก่อตัวเป็นดั่งกำแพงกั้น ยากจะแลเห็นสิ่งอันใดหลังหมอกได้ สมควรมีค่ายกลอำพรางบางประการจัดตั้งเอาไว้


 


“ส่วนด้านหน้าทางนี้จะเป็นสถานที่ตั้งแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเรา และยังมีศิลาจารึกที่บันทึกเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ ตั้งอยู่ตรงใจกลางแท่นบูชาเต่าทมิฬ…ศิษย์คนใดก็สามารถลองเข้าไปทำความเข้าใจมันได้”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงอีกคนพลันกล่าวอธิบายออกมา พร้อมเหินนำไปยังทิศทางดังกล่าว


 


ทันใดนั้นสายตาของทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนก็ละออกจากพื้นที่ต้องห้ามทางตะวันออกหันกลับไปมองตรงทันที


 


เบื้องหน้าปรากฏพื้นที่ราบอันมีทุ่งหญ้าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ตั้งอยู่ ยังมีผืนป่างดงามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


 


ผืนป่านั้นห้อมล้อมพื้นที่ทุ่งหญ้าเอาไว้ และในพื้นที่ใจกลางทุ่งหญ้าก็ปรากฏพระราชวังใหญ่โตมหึมาหลังหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้คล้ายสัตว์ร้ายโบราณตัวเขื่องกำลังหมอบฟุบหลับไหล มองไปยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันไร้สภาพประการหนึ่ง!


 


และบริเวณใจกลางพระราชวังดังกล่าว ก็มีแท่นบูชามหึมาตั้งตระหง่านอยู่


 


แท่นบูชาดังกล่าวมีฐานอันกว้างใหญ่นัก ความสูงราวๆสิบหมี่ด้านบนสุดของแท่นบูชาปรากฏรูปสลักเต่าทมิฬตัวเขื่อง มองไกลๆยังคล้ายสัตว์ร้ายโบราณดังกล่าวยังมีชีวิต!


 


“คนเยอะจริงๆ!”


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็ตระหนักว่าบริเวณแท่นบูชานั้นมีผู้คนจำนวนมากนัก!


 


ตัดสินจากชุดเครื่องแต่งกายของทั้งหลายก็บอกได้ไม่ยากว่าล้วนเป็นศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ


 


นับด้วยสายตาเรียกว่ามีคนที่มาป้วนเปี้ยนรอบๆแท่นบูชาเต่าทมิฬนับร้อยๆ บ้างก็นั่งขัดสมาธิลงบืนพื้นใกล้ๆรูปปั้นเต่าทมิฬ บ้างก็เดินไปวนมาด้วยท่าทางครุ่นคิด บ้างก็ยืนหลับตาทำหน้าเคร่ง…บ้างก็ลอยล่องในอากาศเหนือรูปปั้นอย่างสงบ


ตอนที่ 1,911 : เพียงใจแน่วแน่ แม้ศิลาผาแกร่งยังแหวกได้!


 


“ท่านผู้อาวุโส…นั่นพวกมันกำลังทำอันใดกันอยู่หรือ?”


 


ข้างๆต้วนหลิงเทียนไม่ไกล มีชายหนุ่มคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย หันไปมองถามอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ที่เหินร่างนำอยู่ด้านหน้าทันที


 


“พวกมันกำลังทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ อันเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูงประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเราอย่างไรเล่า!”


 


หนึ่งในอาวุโสเพลิงทองเดิงเชิดหน้ากล่าวออกอย่างภาคภูมิใจ


 


“เวทย์พลัง ปราการเต่าทมิฬ!”


 


ทันใดนั้นสายตาของเหล่าศิษย์ใหม่รวมถึงต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังแท่นบูชาเต่าทมิฬด้วยสายตาลุกวาวทันที


 


ในหมู่คนเหล่านี้บางคนก็มายังลัทธิบูชาไฟด้วยความศรัทธา บางคนก็มาเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า


 


ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใดอาศัยเพียง ‘แท่นบูชาจตุรลักษณ์’ ของลัทธิบูชาไฟก็อาจเปลี่ยนชีวิตพวกมันได้แล้ว!


 


เพราะตราบใดก็ตามที่สามารถฝากตัวเข้าเป็นศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณ์ใดล้วนมีโอกาสได้ทำความเข้าใจเวทย์พลังที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณทั้งสิ้น!


 


ในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทธิบูชาไฟนั้น นอกเหนือจากศิษย์อัจฉริยะมากพรสวรรค์ระดับหัวกะทิของแต่ละแท่นบูชา ที่จะสามารถผ่านเกณฑ์จนได้รับบัตรผ่านให้เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟแล้วนั้น…


 


ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นได้สำเร็จ ก็จะได้รับบัตรผ่านประจำแท่นบูชาของตัวเองทันที กลายเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน!


 


ในลัทธิบูชาไฟ เหล่าศิษย์เองก็แบ่งออกเป็นฝ่ายนอกฝ่ายในเช่นกัน


 


ศิษย์ฝ่ายนอก ก็คือเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาทั้ง 4


 


ส่วนศิษย์ฝ่ายในนั้น เป็นศิษย์ที่จะได้ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ และเป็นดั่งศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟ!


 


การได้เข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในหรือศิษย์ที่แท้จริงของลัทธิบูชาไฟนั้น เป็นอะไรที่ศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ทุกคนล้วนใฝ่ฝันถึง!


 


เพราะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นมีทุกสิ่งที่พวกมันฝันใฝ่…เพียงแค่สามารถเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกมันก็มีโอกาสจะเป็นยอดฝีมือลือนามในแดนดินเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


“ท่านผู้อาวุโสขอรับ ข้าได้ข่าวมาว่าเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเรานั้น มีอานุภาพเลิศล้ำที่สุดในบรรดาเวทย์พลังทั้ง 4 ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์…เรื่องนี้จริงหรือไม่ขอรับ?”


 


ในไม่ช้าก็มีศิษย์คนหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆรวบรวมความกล้ากล่าวถามอาวุโสเพลิงทองแดงออกมาด้วยสายตามุ่งหวัง


 


“มิผิด เรื่องนี้เป็นความจริง!”


 


หนึ่งในอาวุโสเพลิงทองแดงพยักหน้ากล่าวตอบ “เวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเรา ปราการเต่าทมิฬ นั้น เป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูง มีระดับเหนือกว่าอีก 3 แท่นบูชาชัดเจน…แต่ขณะเดียวกัน เมื่อมันเป็นเวทย์พลังระดับสูง เช่นนั้นก็หมายถึงความยากลำบากในการทำความเข้าใจให้รู้แจ้งก็ยากเข็ญยิ่งขึ้นแล้ว!”


 


“ท่านอาวุโส ข้าเคยได้ยินข่าวลือกันว่า ตั้งแต่ลัทธิบูชาไฟก่อตั้งมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงวันนี้…คนที่ประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูง ‘ปราการเต่าทมิฬ’ ยังมีไม่ถึง 10 คนเลยเช่นนั้นหรือ?”


 


มีคนถามขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ว่าอะไร?! มีไม่ถึง 10 คนเช่นนั้นหรือ?”


 


“ไม่จริงน่า…ไฉนถึงน้อยนิดเพียงนั้นเล่า?”


 


“อันที่จริงข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่าในลัทธิบูชาไฟ ศิษย์นับหมื่นคนที่มาจากแท่นบูชาเต่าทมิฬนั้น มีไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำที่สามารถทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬได้…หรือจะเป็นความจริง?”


 


“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเพียงข่าวลือไร้มูลความจริงมากกว่า…เพราะนั่นจะไม่เกินความจริงไปหน่อยรึไง? น้อยเกิน!!”


 


“สมควรเป็นเพียงข่าวลือแน่ๆ!”


 


……


 


ไม่ทันที่อาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 จะตอบคำอะไร เหล่าศิษย์รอบๆก็กล่าวแสดงความเห็นออกมา เรียกว่าพูดเองเออเองเสร็จสรรพ…


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน


 


‘ก็แค่เวทย์พลังระดับสูงไม่ใช่รึไง…อะไรมันจะไปทำความเข้าใจยากเย็นปานนั้น’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


เขาจำได้ว่านอกจากเวทย์พลังระดับสูงอย่าง ปีกอีกาทองคำ ที่ผู้เฒ่าหั่วช่วยเพาะสร้างต้นแบบให้เขาด้วยกลวิธีพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเวทย์พลังสนับสนุนระดับสูงอย่าง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ หรือเวทย์พลังจู่โจมระดับสูงอย่าง ‘เซียนอมตะข้ามภพ’ เขาก็สามารถทำความเข้าใจมันได้ไม่ยากเย็น จนกระทั่งเพาะสร้างใช้ออกได้ในเวลาไม่นาน…


 


ยังดีที่ความคิดนี้ของต้วนหลิงเทียน ผู้อื่นไม่อาจได้ยิน


 


หาไม่แล้วไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่น เกรงว่ากระทั่งอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ก็คงต้องเร่งรุดเข้ามาทุบตีเขาด้วยความหมั่นไส้!


 


ยังมีคนคิดว่าเวทย์พลังระดับสูงมันทำความเข้าใจได้ง่ายๆด้วยหรือ?


 


“เรื่องนั้นเป็นความจริง!”


 


ในขณะที่สายตาของทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนตกไปยังร่างหนึ่งในผู้อาวุโสเพลิงทองแดงด้วยความสงสัย อีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบกลับอย่างจริงจัง “ตั้งแต่ที่เปิดแท่นบูชาเต่าทมิฬมา มีศิษย์ไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำที่ออกจากแท่นบูชาเต่าทมิฬเราไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ!”


 


“อะไร!? ที่แท้กลับเป็นเรื่องจริงหรือนี่!”


 


ทันใดนั้นผู้คนตื่นตระหนกตกใจกันไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปตาปริบๆ


 


หลังจากทุกคนดึงสติกลับคืนจากอาการอึ้งทึ่ง เสียงสนทนาพลันดังระงมขึ้นมาทันที “สวรรค์ช่วย! เวทย์พลังป้องกันระดับสูงอย่างปราการเต่าทมิฬที่แท้เลิศล้ำถึงปานใดกันแน่ ใยผู้คนถึงยากจะเข้าใจมันนัก!? แท่นบูชาเต่าทมิฬไม่ทราบมีศิษย์มาแล้วกี่หมื่นพัน กลับมีไม่ถึง 10 คนที่เข้าใจ?”


 


“ข้าหลงคิดว่าการได้เข้าแท่นบูชาเต่าทมิฬจะเป็นเรื่องดีที่สุด เพราะมีโอกาสได้ทำความเข้าใจเวทย์พลังที่มีระดับสูงที่สุดในแท่นบูชาจตุรลักษณ์…ทว่ามาตอนนี้ข้าทราบแล้วว่าเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬที่แท้ยากเข้าใจถึงเพียงนี้!”


 


“ถึงแม้ว่าไหวพริบปฏิภาณอันเป็นบ่อเกิดความสามารถในการทำความเข้าใจ จักมิได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์รากวิญญาณ…แต่โอกาสที่จะบรรลุเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬยังน้อยเสียยิ่งกว่าหนึ่งในพันเสียอีก! ข้ารู้ตัวเองดีว่าคงยากจะเข้าใจเวทย์พลังนี้ได้แน่!!”


 


“ไฉนข้าพเจ้ามิถูกแท่นบูชามังกรครามพยัคฆ์ขาวหรือนกไฟเลือกเล่า? ถึงแม้เวทย์พลังของอีก 3 แท่นบูชาจะมีระดับด้อยกว่า แต่ก็สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า!”


 


……


 


เสียงโอดครวญพร่ำบ่นดังเซ็งแซ่ขึ้นมาทันใด หลายคนรู้สึกเสียดายที่ไม่ถูกอีก 3 แท่นบูชาเลือกตัว


 


“เฮอะ!”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 แค่นคำสบถออกค่อยเผยยิ้มเยาะ


 


หนึ่งในอาวุโสเพลิงทองแดงยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ปราการเต่าทมิฬเนื่องเพราะมันเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูง และเป็นเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟเรา! ย่อมเป็นธรรมดาที่มันยากจะเข้าใจ!! อย่างไรเสีย…พวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่าเวทย์พลังประจำแท่นบูชา 3 แท่นอื่นจักเข้าใจได้ง่ายขนาดนั้น?”


 


“ถูกแล้ว!”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงอีกคนก็ยิ้มเย้ยกลาวเสริมออกมาว่า “เวทย์พลังของอีก  3 แท่นบูชาที่เหลือ มิว่าจะเป็นเวทย์พลังสายสนับสนุนของแท่นบูชามังกรคราม เวทย์พลังสายจู่โจมของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว กระทั่งเวทย์พลังเสริมความเร็วของแท่นบูชานกไฟ แม้นพวกมันจะมิได้เป็นเวทย์พลังระดับสูง หากแต่ยังจัดเป็นเวทย์พลังระดับกลางที่มีอานุภาพสูงล้ำเหนือเวทย์พลังระดับกลางด้วยกันมากนัก! เรียกว่าหากเปรียบเทียบกันในบรรดาเวทย์พลังระดับกลางด้วยกันแล้ว เวทย์พลังประจำแท่นบูชาทั้ง 3 นั่นยังติด 1 ใน 3 เวทย์พลังที่ดีที่สุดของแต่ละประเภทที่ลัทธิบูชาไฟของเรามี!”


 


“และในบรรดาศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ เหล่าศิษย์ที่มาจากแท่นบูชาทั้ง 3 แม้จะไม่ได้น้อยนิดจนเหลือเชื่อถึงขั้นมีไม่ถึง 10 คนดั่งแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเรา ทว่าแต่ละแท่นนั้นก็มีศิษย์ที่เข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นมิเกิน 30 คน!”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงที่กล่าวออก พอถึงท้ายประโยคก็เน้นเสียงหนักขึ้น


 


‘อะไรกัน? ทำความเข้าใจเวทย์พลัง…นี่มันยากเย็นขนาดนั้นเลยเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนสงสัย


 


นั่นเพราะเขารู้สึกว่าเวทย์พลังระดับสูงทั้ง 2 ของเขาไม่ว่าจะปฐมเวทย์กลืนกิน หรือเซียนอมตะข้ามภพนั้น เขาสามารถทำความเข้าใจจนเพาะสร้างพวกมันได้อย่างราบรื่นนัก เช่นนั้นเวทย์พลังอื่นๆก็ไม่น่าจะยากอะไร


 


สิ่งที่ยากกว่าก็คือบรรลุความเข้าใจเวทย์พลังนั้นๆ จนสำเร็จขั้นตอนไร้ตำหนิต่างหาก!


 


มีเพียงบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเท่านั้น เวทย์พลังถึงจะเปล่งอานุภาพออกมาสูงสุด!!


 


อย่างไรก็ตามมองจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ไฉนทุกผู้คนถึงได้แลดูร้อนใจทดท้อกันนัก? หรือสำหรับผู้อื่นแล้วการทำความเข้าใจเวทย์พลังมันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดนั้นจริงๆ?


 


จังหวะนี้อดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะงุนงง


 


แต่เขาคุ้นชินเสียแล้ว…ว่าถ้ามีอะไรสงสัยก็ให้ถามผู้เฒ่าหั่ว!


(บ้านเราต้องถามสาวยาคูลท์! ใครเกิดทัน ‘อยากรู้ถามสาวยาคูลท์สิคะ’ บ้างเอ่ย!)


 


พอคิดถึงผู้เฒ่าหั่วขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าส่งเสียงไปกล่าวถามอีกฝ่ายที่โคจรฟื้นพลังอยู่ที่ชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที “ผู้เฒ่าหั่ว ทำไมผู้อื่นกล่าวว่าเวทย์พลังมันยากจะทำความเข้าใจนักล่ะ ยิ่งเวทย์พลังระดับสูงยิ่งแล้วใหญ่เลย? หากมันยากเย็นขนาดนั้น ไฉนข้าไม่รู้สึกว่ามันยากอะไรตอนทำความเข้าใจพวกมันเลยเล่า? ไม่ว่าจะปฐมเวทย์กลืนกินหรือเซียนอมตะข้ามภพ ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะติดขัดอะไรตรงไหน…”


 


“เจ้านี่มัน…ช่างมิได้ตระหนักถึงพรจากฟ้าของเจ้าจริงๆ” ผู้เฒ่าหั่วที่ได้ฟังคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพร้อมยิ้มเจื่อนๆ “เจ้ามิรู้หรือไรว่าเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ที่เจ้าบ่มเพาะอยู่มันยิ่งใหญ่ปานใด? เจ้ามิรู้หรือว่ามันเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตที่ดี่ที่สุดสำหรับผู้ฝึกใจกระบี่? มีคำกล่าวที่ว่า ‘เพียงใจแน่วแน่ แม้ศิลาผาแกร่งยังแหวกเปิดได้’ รู้แจ้งมิรู้แจ้งล้วนอยู่ที่ใจทั้งสิ้น!”


 


“ถึงแม้ความสำเร็จในยอดใจกระบี่ของเจ้ายังมิทันบรรลุถึงขั้นสูงสุด แต่ใจที่ผ่านการเคี่ยวกรำทั้งสำนึกถึงแก่นแท้ของแต่ละขั้นที่ผ่านมา มันทำให้ความเข้าใจของเจ้าต่อสรรพสิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้น นับประสาอะไรกับทำความเข้าใจเวทย์พลัง! ข้ายังจะกล่าวบอกเจ้าไว้เลย หากเจ้าบรรลุเคล็ดยอดใจกระบี่ของเจ้าถึงขั้นสูงสุดล่ะก็ ต่อให้เป็นเวทย์พลังระดับสูงอันใด อย่างช้าเจ้าก็ใช้เวลาทำความเข้าใจมัน 3 วัน 3 คืนเท่านั้น!”


 


กล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงยามกล่าววาจาของผู้เฒ่าหั่วเผยความอิจฉาไม่น้อย “ข้าเคยบอกเจ้าเนิ่นนานแล้ว ว่าอาจารย์ของเจ้าผู้นี้ แม้กระทั่งในระนาบเทวโลกไม่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์แดนใดก็นับเป็นอัจฉริยะดั่งปีศาจ…การที่เจ้าสามารถสืบทอดมรดกรับเคล็ดความ ยอดใจกระบี่ มาได้ นับเป็นสิ่งประเสริฐเลิศล้ำดั่งพรจากฟ้าแล้วจริงๆ…”


 


“ยอดใจกระบี่…กลับให้ผลลัพธ์อะไรแบบนี้ด้วย? นี่จะไม่ร้ายกาจไปหน่อยหรือ?”


 


หลังได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง เขารู้สึกว่าราวกับตัวเองพึ่งจะรู้จัก ยอดใจกระบี่ เป็นวันแรก…


 


มาตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าไฉนที่ผ่านมาเขาถึงทำความเข้าใจเวทย์พลังระดับสูงอย่าง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ และ ‘เซียนอมตะข้ามภพ’ ได้ง่ายดายนัก…ที่แท้เป็นความดีความชอบของยอดใจกระบี่นี่เอง!


 


“เช่นนั้นหากข้าทำความเข้าใจขั้นที่ 3 ของยอดใจกระบี่ได้สำเร็จ…ความสามารถในการทำความเข้าใจของข้าก็จะสูงขึ้น แถมทำเข้าใจเวทย์พลังระดับสูงได้เร็วขึ้นอีกด้วยงั้นสิ!?”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะถามผู้เฒ่าหั่วเพื่อยืนยัน


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้นตามธรรมชาติ”


 


ผู้เฒ่าหั่วก็ให้คำตอบด้วยความมั่นใจ


 


ทันใดนั้นลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมา ในใจยังบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย ‘แบบนั้นไม่ได้หมายความว่า ถึงคนทั่วไปจะยากทำความเข้าใจเวทย์พลังปรากาฬเต่าทมิฬอันเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูงนี่ได้…แต่สำหรับข้ามันไม่ยากรึไง?’


 


‘แต่จะว่าไปแล้วก็เหลือเชื่อจริงๆ ที่เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬของลัทธิบูชาไฟ จะเป็นถึงเวทย์พลังสายป้องกันที่ดีที่สุดในลัทธิบูชา 1 ใน 3 ลัทธิผู้เป็นดั่งมหาอำนาจผู้ปกครองดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน! นั่นหมายความว่าเวทย์พลังป้องกันปราการเต่าทมิฬก็คือเวทย์พลังสายป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนดินกลายๆงั้นสิ!’


 


พอคิดถึงตรงนี้ใจต้วนหลิงเทียนยิ่งคึกคักอักโขนัก


 


เพราะเขาคิดว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องเพาะสร้างเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬได้แน่นอน!


 


“เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ…เป็นเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ?”


 


“เช่นนั้นก็มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนมันถึงได้ทำความเข้าใจได้ยากเย็นนัก!”


 


“ถึงเวทย์พลังของอีก 3 แท่นบูชาจะมิได้ทรงพลังเท่ากับปราการเต่าทมิฬ แต่ก็มิได้หมายความว่าพวกมันธรรมดา! ทั้งหมดเพราะพวกเราเอามาเทียบกับปราการเต่าทมิฬต่างหาก!!”


 


“ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วมิว่าจักเป็นเวทย์พลังอันใด ก็ต้องดูความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเราเอง!”


 


“จักรู้แจ้งได้หรือไม่ล้วนมิเกี่ยวกับพรสวรรค์รากวิญญาณ หากแต่เป็นดั่งมายาที่ต้องมองผ่านด้วยตาตัว…มิรู้ว่าพวกเราจะมีใครทำความเข้าใจกระทั่งเพาะสร้างเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬได้หรือไม่? เห็นว่าเวทย์พลังสายป้องกันยิ่งเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจกว่าสายอื่นอีกด้วย!”


 



 


ได้ยินคำอธิบายของอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 กลุ่มศิษย์ใหม่ของแท่นบูชาเต่าทมิฬก็ไม่คิดจะบ่นอะไรอีกต่อไป…


 


“พวกเจ้าแลเห็นตำหนักที่ต้องล้อมรอบแท่นบูชาหรือไม่…ตำหนักแต่ละหลังล้วนรับผิดชอบเรื่องราวแตกต่างกัน ตำหนักหลังนั้นจักเป็นฝ่ายบุคคลที่คอยจัดแจงเรื่องลงทะเบียนรวมถึงเรื่องสัพเพเหระให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้าค่อยไปจัดการและเรียนรู้เรื่องราวของแต่ละตำหนักด้วยตัวเองทีหลังแล้วกัน ตอนนี้พวกเจ้าตามข้าไปยังส่วนที่พักของพวกเจ้าก่อน…”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ โดยมีอาวุโสเพลิงทองแดงเหินนำ ก็มุ่งหน้าไปยังส่วนที่พัก…อันเป็นสถานที่ๆทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่นับจากวันนี้เป็นต้นไป…


ตอนที่ 1,912 : ส่วนที่พักศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ


 


ส่วนที่พักของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬนั้น มันอยู่ในพื้นที่ส่วนตะวันตกของแท่นบูชา


 


บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีกระท่อมไม้ขนาดเล็กแลดูร้ายๆตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว


 


เหนือขึ้นไปบนน่านฟ้าของพื้นที่ราบลุ่มอันมีกระท่อมไม้ร้ายๆดังกล่าว ปรากฏเกาะใหญ่น้อยมากมายลอยล่องอยู่กลางหาว เฉลี่ยแล้วขนาดตัวเกาะก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนัก แต่ละเกาะปรากฏบ้านไม้ปลูกสร้างอยู่เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่กว่ากระท่อมไม้และหรูกว่าอะไรมากมาย แต่ก็ยังถือว่ามีสภาพดีกว่ากันชัดเจน


 


หมู่เกาะที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศในน่านฟ้าระดับนี้มีจำนวนมากมายนัก ยากจะที่จะมองปราดเดียวแล้วนับได้ว่าที่แท้มันมีกี่เกาะกันแน่


 


หากทว่าเมื่อมองขึ้นไปเหนือจากหมู่เกาะดังกล่าว ก็จะพบเกาะลอยอีกเช่นกัน ทว่าเป็นการลอยตัวสูงขึ้นไปคนละเพดานบิน


 


เกาะที่ลอยสูงขึ้นไปเหล่านี้แต่ละเกาะมีพื้นที่ส่วนตัวค่อนข้างกว้างขวาง สภาพบ้านพักก็แลดูดีมีระดับ พื้นที่ว่างในเกาะยังมีบุปผานานาพรรณปลูกไว้ ยังมีชุดโต๊ะหินอ่อนไว้ให้นั่งเล่นผ่อนคลายจิตใจ


 


เทียบกับบ้านไม้และกระท่อมไม้ร้ายๆเบื้องล่างแล้วประหนึ่งสวรรค์กับนรก!


 


ทว่าหากตาดีๆมองสูงขึ้นไปอีกชั้น ก็จะพบว่ามีเกาะลอยอยู่อีก 10 เกาะ! และขนาดของมันก็ใหญ่โตมหึมากว่าชั้นเมื่อครู่มากนัก!


 


อีกทั้งบนเกาะทั้ง 10 นี้ กลับมีบ้านที่ใหญ่โตจนสามารถเรียกได้ว่าตำหนักปลูกสร้างเอาไว้ บรรยากาศคละคลุ้งไปด้วยไอหมอก ให้ความรู้สึกดั่งควันเลือนรางยากจับต้อง


 


แม้มองจากไกลตาก็สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเกาะลอยทั้ง 10 เกาะนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์เพียงใด ม่านหมอกที่ปกคลุมไว้ทั่วเกาะดังกล่าวก็ล้วนคือพลังวิญญาณฟ้าดินที่ผนึกตัวหนาแน่นนั่นเอง!


 


ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนกับศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬหน้าใหม่ก็ถูกอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 พาชมดูที่พักของแท่นบูชาเต่าทมิฬครบถ้วนแล้ว


 


แน่นอนว่าสายตาของทุกคนล้วนไปหยุดอยู่ที่ตำหนักบนเกาะ 10 เกาะที่ลอยล่องอยู่สูงสุด


 


“พวกเจ้าสมควรเห็นตำหนักที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าสูงทั้ง 10 แล้วสินะ นั่นคือตำหนักเอกอุ ของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ บ้านแต่ละหลังจักมีค่ายกลรวมวิญญาณกว่า 10 ค่ายจัดตั้งซ้อนเสริมกันเอาไว้ ทำให้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ มิได้ด้อยไปกว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่พักท่านจ้าวแท่น อาวุโสเพลิงเงินและอาวุโสเพลิงทองแดงแม้แต่น้อย!”


 


หนึ่งในอาวุโสเพลิงทองแดงกล่าวอธิบายออกมา


 


ค่ายกลรวมวิญญาณขนาดใหญ่ทับซ้อนกัน 10 ค่าย?


 


สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่ได้ด้อยไปกว่าที่พักของจ้าวแท่นบูชาและเหล่าอาวุโส?


 


ได้ยินคำของอาวุโสเพลิงทองแดงคนนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที ยังเผยความตื่นเต้นไม่น้อยขณะมองไปยังตำหนักที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าสูงทั้ง 10


 


คนอื่นๆ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความตื่นเต้น และมองจ้องไปตาเป็นมันเช่นกัน


 


“ตำหนักเอกอุเรียกว่าเป็นที่พักอาศัยที่ดีที่สุดของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬก็ว่าได้ และเจ้าของตำหนักทั้ง 10 หลังนั่นก็คือยอดฝีมืออันดับ 1 ถึงอันดับ 10 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ!”


 


อาวุโสเพลิงทองแดงอีกคนกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างประจวบเหมาะ


 


และทันทีที่วาจานี้ล่วงล้ำออกจากลำคอของมัน ก็ประหนึ่งมีถังน้ำเย็นฉ่ำราดรดลงบนหัวต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆทันที พอทุกคนฟื้นสติกลับคืนก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มแหยๆออกมา


 


“ข้าก็ว่าแล้วเชียว…คนธรรมดาไหนเลยจะได้อยู่ในที่อันประเสริฐเช่นนั้น”


 


“มารดาของเรา…ศิษย์ยอดฝีมือ 10 อันดับแรกของแท่นบูชาเต่าทมิฬงั้นหรือ…เช่นนั้นพลังฝึกปรือต่ำๆก็สมควรบรรลุถึงเซียนนภาใช่หรือไม่? พวกมันใกล้จะได้เป็นศิษย์ฝ่ายในกันแล้วสิ?”


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น! มี 3 วิธีที่ศิษย์จากแท่นบูชาจตุรลักษณ์จักสามารถเข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์และยกระดับเป็นศิษย์ที่นั่นได้!”


 


“เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมา! เห็นว่าอย่างแรกเลยก็คือการทำความเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นบูชาและสามารถเพาะสร้างมันได้ ประการที่สองหากผู้ใดมีพรสวรรค์สูงล้ำเข้าตาของจ้าวแท่นบูชา ก็อาจจะได้รับการแนะนำเป็นพิเศษ ส่วนประการสุดท้ายก็คือเข้ารับการทดสอบประเมินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นอะไรที่ยากเย็นยิ่ง!”


 


“มิผิด! ประการสุดท้ายนั้นยากเย็นจริงๆ อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือจำต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญเสียก่อนจึงจะมีคุณสมบัติ! ซ้ำร้ายยังมีศิษย์ของแท่นบูชาบางคนพึ่งทะลวงมาถึงเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมิอาจผ่านการประเมินทดสอบได้…เห็นชัดว่าบททดสอบยากยิ่งนัก!!”


 


……


 


ศิษย์ใหม่สองสามคนของแท่นบูชาเต่าทมิฬ ที่พอรู้ข้อมูลเริ่มกล่าวออกมาอย่างผู้รู้


 


‘หืม แบบนั้นพวก 10 ยอดฝีมือในแท่นบูชาเต่าทมิฬไม่ใช่ว่าพลังฝึกปรือต่ำๆก็สมควรเป็นเซียนนภาขั้นกลางรึไร? แถมบางคนอาจจะเป็นเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญแล้วด้วยซ้ำ!’


 


ได้ยินบทสนทนาของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาเรื่องราวได้ไม่ยาก


 


‘ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชิงที่พักจากพวกนั้นมาได้…’


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ตัวดี


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย เรียกว่าไม่สนสิ่งที่ยังทำไม่ได้จะดีกว่า


 


เพราะชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลงซ่อมแซมฟื้นฟูดีแล้ว สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะสมควรไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับชั้น 3 อย่างสิ้นเชิง และอาจทำให้เขาประหลาดใจก็เป็นได้!


 


แน่นอนว่าจากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกเพิ่มเติม ต้วนหลิงเทียนรับทราบว่าตอนนี้สภาพแวดล้อมภายนอก เริ่มส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติในระดับหนึ่งแล้ว! ยิ่งภายนอกมีพลังวิญญาณฟ้าดินมาก พลังวิญญาณฟ้าดินด้านในก็จะดีขึ้นตามไปด้วย!!


 


หากทำได้ต้วนหลิงเทียนก็อยากจะได้สถานที่อันมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดเช่นกัน


 


แต่พอรับทราบว่ายอดฝีมือ 10 อันดับแรกของแท่นบูชาเต่าทมิฬสมควรมีพลังฝึกปรืออยู่ที่เซียนนภาขั้นกลางขึ้นไป เขาก็ไม่กล้าคิดชิงตำหนักเอกอุนั่นอีก!


 


พวกมันไม่ใช่อะไรที่เขาในตอนนี้จะแหยมได้


 


ในบรรดาพวกมัน ฟังว่าที่พลังบ่มเพาะต้อยต่ำที่สุดก็สมควรบรรลุเซียนปฐพีขั้นสูงสุดไปแล้ว ส่วนตัวเขายังห่างอีกไกลกว่าจะบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นต้น นับประสาอะไรกับเซียนนภา!


 


ครู่ต่อมาสายตาของเหล่าศิษย์ใหม่ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ลดระดับลงมา มองไปยังบ้านไม้บนเกาะลอยที่อยู่ต่ำกว่าตำหนักเอกอุทันที เมื่อลองนับดูแล้วชั้นนี้มีเกาะลอยบ้านไม้ทั้งสิ้น 100 เกาะ


 


เสียงอาวุโสเพลิงทองแดงคนหนึ่งก็ดังขึ้นพอดี “บ้านลานบนเกาะลอยทั้ง 100 เกาะที่พวกเจ้ากำลังชมมองอยู่ตอนนี้เรียกว่าเรือนชั้นรอง ถึงแม้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะมิอาจเทียบได้กับตำหนักเอกอุ หากแต่พวกมันก็มีค่ายกลรวมวิญญาณเหมือนกับตำหนักเอกอุถึง 5 ค่ายกล!”


 


เรือนชั้นรอง!


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวส่องแสงจ้าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


 


ตำหนักเอกอุทั้ง 10 หลังนั้นเป็นดั่งที่พักของศิษย์ที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลางขึ้นไป


 


ส่วนเรือนชั้นรองทั้ง 100 หลังนี้สมควรเป็นสถานที่พักของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่พลังฝืมืออยู่ในขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นกับเซียนปฐพีขั้นสูงสุด!


 


กับศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ายากต่อกร


 


แต่กับศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่บรรลุถึงฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นสูงสุด เขาถามตัวเองแล้วก็ตอบได้ว่า…ยังพอมีทางสู้!


 


เหล่าศิษย์ใหม่ไม่กี่คนที่บรรลุถึงฝึกปรือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดกันแล้วต่างก็มีความคิดแบบเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน


 


“ข้าไม่เชื่อหรอก…ว่าข้าจะมิใช่คู่มือของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่พักอาศัยในเรือนนชั้นรองทั้ง 100 คน! ต้องมีใครสักคนที่ข้าสามารถเอาชนะได้ ทีนี้เรือนชั้นรองหนึ่งในร้อยหลังนี้ต้องเป็นของข้า!!”


 


“เรือนชั้นรองหนึ่งในนั้นต้องเป็นของข้าด้วย!!”


 



 


ศิษย์ใหม่แท่นบูชาเต่าทมิฬ 2 คนที่พลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดแล้วประกาศกร้าวออกมาอย่างมาดมั่น


 


“หึ!”


 


ทว่าความมั่นใจอันล้นปรี่ของมัน กลับถูกอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 คนเย้ยหยันเสียอย่างนั้น


 


และในขณะที่ศิษย์ใหม่ทุกคนหันไปมองว่าอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ตัดกำลังใจผู้อื่นทำอะไร หนึ่งในอาวุโสเพลิงทองแดงพลันชี้ลงไปเบื้องล่าง “พวกเจ้าเห็นบ้านไม้กับกระท่อมไม้ด้านล่างพวกนั้นหรือไม่…นั่นเรียกว่าบ้านชั้นสามกับกระท่อมชั้นสี่!”


 


“บ้านชั้น 3 มีทั้งสิ้น 1,000 หลัง ส่วนกระท่อมชั้น 4 มีทั้งสิ้น 10,000 หลัง มิเพียงเท่านั้นแต่จำนวนคนที่เข้าพักกระท่อมชั้น 4 ไปแล้วยังมีมากกว่า 8 ส่วน!”


 


“นั่นหมายความว่าในแท่นบูชาเต่าทมิฬของเรายามนี้มีศิษย์รวมทั้งสิ้นเกือบหมื่นคน! แล้วพวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่าศิษย์ที่สามารถเบียดผู้คนนับพันนับหมื่นจนสามารถขึ้นมาอยู่ในเรือนชั้นรองที่มีเพียง 100 กว่าหลังได้…จะฝีมืออ่อนด้อย? พวกเจ้ากลับกล้าคิดช่วงชิงบ้านพักด้วยพลังฝีมือเล็กน้อยเพียงเท่านี้จริงๆ?”


 


เมื่อกล่าวถึงตรงนี้อาวุโสเพลิงทองแดงทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน พาลให้ศิษย์ใหม่ทั้ง 2 ที่ประกาศกร้าวก่อนหน้าอายจนหูแดง!


 


‘มีศิษย์เกือบหมื่นเลยงั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำของอาวุโสเพลิงทองแดง มันไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยเรื่องที่ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬจะมีจำนวนเกือบหมื่นคนแบบนี้


 


ต้องทราบด้วยว่าแท่นบูชาเต่าทมิฬเป็น 1 ในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ของลัทธิบูชาไฟ!


 


‘แบบนี้…หมายความว่าลำพังแท่นบูชาจตุรลักษณ์หรือฝ่ายนอกของลัทธิบูชาไฟก็มีศิษย์เกือบๆ 40,000 คน อีกทั้งคน 40,000 คนพวกนี้จะเลวร้ายอย่างไรก็ถือได้ว่าเป็นชนชั้นหัวกะทิของภูมิภาคเบื้องบนแล้วทั้งสิ้น เพราะการคัดคนเข้ามาเพียงแค่ไม่กี่ร้อยจากคนนับพันหมื่นทุกรอบ คงจากจะมีตัวอ่อนด้อยไร้สามารถหลุดมา…’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บกับขุมพลังของลัทธิบูชาไฟ


 


แค่ฝ่ายนอกก็มีกำลังพลนับ 40,000 แล้ว!


 


และก็อย่างที่ต้วนหลิงเทียนว่า อัจฉริยะเป็นดั่ง ‘นกดีเลือกไม้งามทำรัง’ ลัทธิบูชาไฟแห่งนี้ เรียกว่าที่สามารถครองอำนาจในฐานะ 1 ใน 3 มหาอำนาจของภูมิภาคเบื้องบนได้ นับว่าไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ


 


‘แค่ศิษย์ฝ่ายนอกของ 4 แท่นบูชาก็เป็นยอดฝีมือที่คัดมาแล้วทั้งสิ้น…ยิ่งผู้ที่โดดเด่นกว่าใคร ก็เสมือนอัจฉริยะแนวหน้าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!’


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งจากมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างลัทธิบูชาไฟ!


 


กลับกัน เขามันก็แค่คนตัวเล็กๆไม่ควรให้กล่าวถึง!


 


“อ้อในบ้านไม้ชั้นสามเองก็ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณจัดตั้งอยู่ 3 ค่าย…ส่วนกระท่อมชั้น 4 นั้นแต่ละหลังเพียงจัดตั้งค่ายกลรวมวิญญาณไว้แค่ 1 ค่ายเท่านั้น”


 


อาวุโสเพลิงแดงยังคงกล่าวอธิบายสืบต่อ


 


“ข้าคิดว่าทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วแต่ข้าจะบอกกฏของที่นี่อีกครา…ในสถานที่พักแห่งนี้ ห้ามมิให้เข่นฆ่าผู้อื่นหรือลงมือทำร้ายจนถึงขั้นพิกลพิการด้วยเจตนาเด็ดขาด! และตราบใดที่พลังฝีมือของเจ้าเหนือกว่าเจ้าสามารถท้าประลองช่วงชิงที่พักที่หมายตาจากผู้อื่นได้!”


 


วาจาท้ายประโยคของอาวุโสเพลิงทองแดงได้จุดไฟต่อสู้ของเหล่าศิษย์ใหม่ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ในนั้นก็รวมถึงต้วนหลิงเทียนด้วย


 


“เอาล่ะ ก่อนอื่นทุกคนลงไปเลือกกระท่อมไม้ชั้น 4 เพื่อเข้าพักเสีย ไปเปลี่ยนชุดอันใดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นหากพวกเจ้าจะมองหาที่พักอันใดได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสายตามองคนของพวกเจ้าแล้ว”


 


หลังจากกล่าวบอกทุกอย่างที่ต้องแจ้งให้กับต้วนหลิงเทียนและศิษย์ใหม่คนอื่นหมดแล้ว อาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ก็เหินร่างจากไป


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนเองก็โรยตัวลงมาจากฟ้าพร้อมเหล่าศิษย์กลุ่มใหญ่เพื่อไปหาที่พัก


 


กระท่อมชั้น 4 นั้น แม้จะมีคนอาศัยอยู่ไปแล้วถึง 8 ส่วน ทว่าอีก 2 ส่วนที่เหลือก็มีเกือบๆ 2,000 หลังที่ว่างอยู่


 


“ศิษย์ใหม่ของรอบนี้มากันแล้วหรือ?”


 


ตอนนี้เองกระท่อมไม้ชั้น 4 กับบ้านชั้น 3 ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว ผู้คนทยอยกันเปิดประตูออกมาชมดูคนมาใหม่ด้วยความสนใจ


 


“ข้าขอท้าเจ้า!!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งโณยตัวลงมาได้ไม่ทันไร พลันได้ยินเสียงคุ้นเคยหนึ่งดังขึ้น


 


และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นได้ทันที


 


ว่ากู่ชุนผู้มีรากวิญญาณสีเขียวที่มีปากเสียงกับเขาเล็กน้อยบริเวณลานทดสอบพลังฝีมือของแท่นบูชาเต่าทมิฬ ได้หยุดอยู่หน้าบ้านชั้น 3 หลังหนึ่ง พร้อมกล่าวคำท้าศิษย์เก่าที่พึ่งเปิดประตูออกมาชมดูเรื่องราว


 


“พวกมันมาถึงแล้วหรือ…”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เห็นเหล่าศิษย์ใหม่ของแท่นบูชาเต่าทมิฬที่มีรากวิญญาณสีเขียว ที่แยกตัวไปกับหลี่อันก่อนหน้า…


ตอนที่ 1,913 : สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ!


 


“เจ้าท้าทายข้างั้นเหรอ?”


 


ศิษย์เก่าของแท่นบูชาเต่าทมิฬที่ตกเป็นเป้าท้าสู้ของกู่ชุนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง เมื่อได้ยินคำท้าทายของกู่ชุนแบบนี้


 


ถึงแม้ว่าพลังฝีมือของมันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมากมายอะไรในบรรดาผู้ที่ถือครองบ้านชั้น 3 ทั้ง 1,000 หลัง…แต่ในฐานะที่มันเองก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ ก็กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของมันจัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ!


 


ทว่าตอนนี้ศิษย์พึ่งเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬได้หยกๆกลับคิดท้าสู้มันหมายชิงบ้านพักของมัน?


 


เมื่อศิษย์เก่าคนดังกล่าวมองกู่ชุนอีกครั้ง ในแววตายังเต็มไปด้วยความเยียบเย็น


 


‘เจ้ากู่ชุนนั่นมันไปกินดีหมีหัวใจเสือมารึไง ถึงได้ท้าศิษย์เก่าที่บรรลุเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญแบบนั้นทั้งๆที่มันเป็นแค่เซียนปฐพีขั้นต้น?’


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองกู่ชุนด้วยความงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่ากู่ชุนไปพกพาความเชื่อมั่นมาจากที่ไหน


 


ศิษย์เก่าของแท่นบูชาเต่าทมิฬที่สามารถพักอาศัยอยู่ในบ้านชั้น 3 เหล่านี้ได้ สมควรมิใช่ชนชั้นอ่อนแอ อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นก็มีน้อยนิดหยิบมือ ส่วนใหญ่มักเป็นเซียนปฐพีขั้นกลางหรือสูงกว่านั้นทั้งสิ้น ทว่ากู่ชุนที่เป็นเซียนปฐพีขั้นต้นกลับหาญกล้าท้าคน?


 


เรียกว่าจังหวะนี้เหล่าศิษย์ใหม่ไม่เว้นต้วนหลิงเทียน กระทั่งอาวุโสบางคนของแท่นบูชาเต่าทมิฬก็มารวมตัวกันอย่างไว เพื่อชมดูเรื่องราวสนุกสนานบันเทิงใจ


 


“ฮ่าๆๆ…อะไรกันหวังจิว นี่เจ้ากำลังจะถูกผู้คนรังแกรึ? ฮัยยา! กระทั่งศิษย์มาใหม่แท้ๆ ยังเห็นเจ้าเป็นลูกพลับสุกนุ่มนิ่มเสียได้!!”


 


เหล่าศิษย์เก่าที่รุดมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งกล่าวแซวศิษย์เก่าคนที่ถูกกู่ชุนท้าทายออกมา


 


ได้ยินเสียงหัวเราะกล่าวแซวกันอย่างสนุกสนานของผู้คนโดยรอบ สีหน้าหวังจิวยิ่งมายิ่งมืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก  แววตาที่ใช้มองกู่ชุนก็ยิ่งดุร้ายเอาเรื่องมากขึ้นทุกขณะ  “ไอ้หนู! ข้าหวังจิวยอมรับว่าเจ้ากล้าหาญชาญชัยนัก ให้ข้าดูเถอะ! ว่าที่แท้เจ้ามีดีอันใดถึงได้หาญท้าข้าหวังจิว!!”


 


สิ้นคำกล่าวเย็นชาของหวังจิว กลิ่นอายพลังน่าเกรงขามขุมหนึ่งพลันแผ่พุ่งออกมาจากทั่วร่างของมัน!


 


“เจ้าเรียกว่าหวังจิวเช่นนั้นรึ?”


 


อย่างไรก็ตามแม้หวังจิวจะเร่งเร้าพลังเตรียมพร้อมลงมือแล้ว หากแต่กู่ชุนยังคงยืนนิ่งมองถามหวังจิวอย่างไม่แยแส ไม่มีวี่แววว่าจะลงมือต่อสู้แม้แต่น้อย


 


“อะไร? เจ้าเป็นฝ่ายท้าทายข้าเองแท้ๆหรือคิดเปลี่ยนใจไม่กล้าสู้แล้ว?”


 


หวังจิวหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าเผยความเหยียดหยามให้เห็นชัด ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายเกิดหวาดกลัวไม่กล้าสู้แล้ว


 


“บางครั้งแม้ท้าทายไปแล้วแต่ก็มิจำเป็นต้องลงมือ..เพราะมิแน่ว่าบางทีศิษย์พี่จิวอาจจะยอมแพ้ข้าเองก็เป็นได้…”


 


ภายใต้สายตาจดจ้องมองมาของทุกคน กู่ชุนแสยะยิ้มกล่าวออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจ ราวกับกุมชัยชนะไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว!


 


“ยอมแพ้? ข้าน่ะหรือจะยอมแพ้เจ้า? นี่เจ้าฝันกลางวันอยู่รึไง?!”


 


ได้ยินคำของกู่ชุน หวังจิวถึงกับอึ้งไปพักหนึ่งค่อยกล่าวเย้ยออกมา


 


“หวังจิวอาจยอมแพ้เอง? ไฉนอยู่ดีๆกู่ชุนกลับกล่าวถึงเรื่องแบบนั้นออกมา? ผู้ใดจะไปยอมแพ้ทั้งๆที่ยังไม่ได้สู้กัน!?”


 


ศิษย์ใหม่หลายคนได้แต่ส่ายหน้าไปมา สองตามองแคลนกู่ชุนราวกับมองตัวโง่งม


 


“กู่ชุนนั่นใช่สมองมันมีปัญหาอันใดมาหรือไม่ มันก็แค่ศิษย์ใหม่พลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นต้น ไฉนทำเป็นกล่าวราวกับศิษย์เก่าจะยอมแพ้ไปเองได้…ฝันละเมอของตัวโง่งม!”


 


“ข้าก็หลงคิดว่าผู้มีรากวิญญาณสีเขียวจะเป็นเช่นไร…ช่างเลอะเทอะสิ้นดี!”


 


……


 


เหล่าศิษย์ใหม่ที่มาพร้อมต้วนหลิงเทียนและมีรากวิญญาณสีเหลืองเหมือนกัน กล่าวเยาะเย้ยกู่ชุนออกมาโต้งๆ


 


หากแต่ไม่ทราบเพราะอะไรศิษย์ใหม่ที่มาพร้อมกู่ชุนกลับไม่มีผู้ใดกล่าวคำ


 


หลายคนยังหันไปมองกู่ชุนด้วยสายตาเลื่อนลอย ราวกับนึกถึงอะไรบางอย่าง


 


“หืม? เซียนปฐพีขั้นต้นงั้นเหรอ?”


 


ศิษย์ใหม่พูดคุยกันเสียงดังไม่น้อย ไม่นานเหล่าศิษย์เก่าทั้งหลายจึงได้รับทราบตื้นลึกหนาบางของกู่ชุน


 


ทันใดนั้นพวกมันก็หันไปมองหวังจิวอีกครั้ง ยังกล่าวหยอกล้อกันออกมาอย่างสนุกสนาน “เฮ่ยหวังจิว! เจ้าได้ยินแล้วรึยัง? ถึงแม้พลังฝึกปรือของเจ้าหนูหน้าใหม่นี่จะยังพึ่งเป็นเซียนปฐพีขั้นต้น! หากแต่พรสวรรค์รากวิญญาณของมันกลับเป็นรากวิญญาณสีเขียวเชียว มันมิใช่อะไรที่เจ้าจะตอแยได้ด้วยนา!!”


 


“ใช่แล้วๆ สหายจิวรีบยอมแพ้เร็วเข้า…น้องชายผู้นี้แม้วันนี้อาจไม่ร้ายกาจเท่าเจ้า แต่วันหน้าย่อมไม่ยากที่จะก้าวข้ามเจ้าไปได้! เจ้าจะลงมือวันนี้แล้วเลือกหลับฝันร้ายไปตลอดสิบปีหรือไม่เล่า?”


 


“หวังจิวลูกผู้ชายยืดได้หดได้…หากวันหน้าเจ้าไม่อยากถูกทุบตีรังแก วันนี้ก็รีบๆยอมแพ้เถอะ มอบบ้านชั้น 3 นั่นของเจ้าให้เด็กใหม่ไปเสีย! กระท่อมด้านล่างยังว่างเยอะ!!”


 



 


เหล่าศิษย์เก่ากล่าววาจาโน้มน้าวกันออกมาเสียงดัง หากฟังผ่านๆอาจเหมือนพวกมันหวังดี แต่ที่แท้ทั้งหมดล้อเลียนหวังจิวอย่างสนุกสนานทั้งสิ้น


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนเป็นรากวิญญาณสีเขียวแล้วจะอย่างไร?


 


อาศัยพรสวรรค์เพียงเท่านี้ ยังไม่ถือว่ามีสิทธิพิเศษมากมายถึงขั้นที่ใครจะมอบบ้านชั้น 3 ให้ง่ายๆ!


 


“รากวิญญาณสีเขียว?”


 


เผชิญหน้ากับวาจาหยอกล้อกันอย่างสนุกปากของสหายเลวรอบๆ หน้าหวังจิวถึงกับแดงก่ำด้วยความโมโห “บัดซบ! ให้เจ้ามีรากวิญญาณสีเขียวแล้วจะอย่างไร เท่านั้นยังมีคุณสมบัติไม่พอให้ข้าหวังจิวผู้นี้ยอมแพ้!”


 


“อาศัยเซียนปฐพีขั้นต้นกลับกล้าดูถูกพ่นวาจาผายลมใส่ข้า…วันนี้หากข้าหวังจิวไม่ทุบตีสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าสักครา ข้าไม่ขอใช้แซ่หวังสืบไป!”


 


ยามหวังจิวประกาศเจตนาออกมาครั้งนี้ น้ำเสียงของมันช่างเย็นชาพาลให้ทุกคนสยิวกายนัก


 


กู่ชุนยังคงสงบ มองกล่าวกับหวังจิวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “จริงอยู่ที่อาศัยเพียงรากวิญญาณสีเขียวของข้าไม่เพียงพอที่จะข่มขู่เจ้าหวังจิวให้หวาดกลัว กระทั่งคงไม่พอที่จะให้เจ้ายอมแพ้ส่งบ้านชั้น 3 นั่นมาให้ข้าแต่โดยดี…แต่ถ้าข้าบอกเจ้าว่าอาจารย์ของข้าคืออาวุโส หลี่อัน อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬเล่า?”


 


กล่าวถึงตรงนี้นมุมปากกู่ชุนก็ยกยิ้มแสยะ ศีรษะเชิดขึ้นกลอกตาเหลือบมองหวังจิวอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า


 


หลี่อัน!


 


ได้ยินวาจาที่กู่ชุนกล่าวออกมา ยกเว้นเหล่าศิษย์ใหม่ที่มีรากวิญญาณสีเขียวและกลับมาพร้อมหลี่อันแล้ว ไม่ว่าจะศิษย์ใหม่หรือศิษย์เก่า ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนถึงกับหยีตาลงทันใด บางคนก็เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็นในสายตา!


 


และโทสะอันเกรี้ยวกราดที่ประหนึ่งภูเขาไฟเจียนระเบิดของหวังจิวก็ดับทอดลงปานมีน้ำเย็นห่าใหญ่ราดรด สลายหายไปไม่มีเหลือ!


 


หากอีกฝ่ายเป็นเพียงศิษย์ของอาวุโสเพลิงเงินอีก 4 คนที่เหลือวันนี้จะอย่างไรมันต้องลงมือฟาดปากอีกฝ่ายให้แตกสักแผล ไม่มียอมลงให้ง่ายๆแน่…!


 


ทว่าหลี่อันผู้นั้นไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมันอันใด แต่มันก็คือผู้อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 แห่งแท่นบูชาเต่าทมิฬ!


 


ชื่อเสียงของหลี่อันไม่เพียงแต่แท่นบูชาเต่าทมิฬเท่านั้น กระทั่งในบรรดาอาวุโสเพลิงเงินของลัทธิบูชาไฟมันก็เด่นดังไม่น้อย


 


ผู้ใดที่หาญกล้าล่วงเกินหลี่อัน ล้วนไม่มีจุดจบอันดีสักคน!


 


ดังนั้นในแท่นบูชาเต่าทมิฬแห่งนี้กระทั่งในลัทธิบูชาไฟ หากพื้นหลังของท่านไม่แข็งแกร่งพอ…อย่าได้แหยมหลี่อันเป็นอันขาด! กระทั่งคนรอบกายและศิษย์ของมันก็ไม่เว้น!!


 


ด้วยเหตุนี้ไฟโทสะของมันจึงดับมอดลงในพริบตา


 


นามหลี่อันนี้ มากพอจะทำให้ร่างมันสั่นสะท้าน!


 


“อะไร! มันเป็นศิษย์ของอาวุโสหลี่อันหรือ?”


 


“อาวุโสหลี่มิได้รับศิษย์มานานปีแล้ว ไฉนอยู่ดีๆถึงได้รับมันที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณแค่รากวิญญาณสีเขียวเป็นศิษย์ได้?”


 


“นั่นสิ! เท่าที่ข้ารู้…ศิษย์ทั้ง 3 ของอาวุโสหลี่อันล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินทั้งสิ้น!พลังฝีมือก็ร้ายกาจ คนมากไหวพริบ! อาศัยแค่ศิษย์ใหม่ที่มีรากวิญญาณสีเขียวไฉนถึงไปเข้าตาอาวุโสหลี่อันได้กัน?”


 


……


 


เหล่าศิษย์เก่าที่ได้ยินคำของกู่ชุนถึงกับงุนงงไปด้วยความประหลาดใจ


 


ไฉนสายตามองคนของอาวุโสหลี่อันถึงกลายเป็นย่ำแย่ลงเสียแล้วเล่า?


 


แน่นอนว่าพวกมันไม่คิดว่ากู่ชุนจะกล้าพูดโกหก!


 


ในแท่นบูชาเต่าทมิฬไม่มีใครกล้าเอาอาวุโสหลี่อันมาล้อเล่น!


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


 


“นั่นสิ ไฉนอยู่ดีๆกู่ชุนถึงได้กลายเป็นศิษย์ของอาวุโสหลี่อันได้?”


 


“อย่าได้บอกข้าเชียวว่ายามประเมินทดสอบ แม้จะเป็นเพียงรากวิญญาณสีเขียวแต่มันกลับแสดงความสามารถเลิศล้ำจนต้องตาพึงใจอาวุโสหลี่อันเข้า?”


 


……


 


เหล่าศิษย์ใหม่ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองได้แต่กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย ยังมองไปยังเหล่าศิษย์ใหม่ที่มีรากวิญญาณสีเขียวด้วยสายตาไถ่ถาม ราวกับจะขอคำตอบจากพวกมัน


 


ได้ยินวาจาของเหล่าศิษย์ใหม่กลุ่มใหญ่ ศิษย์เก่าก็หันไปมองศิษย์ใหม่กลุ่มที่มีไม่กี่คนทันที


 


“ตอนทำการประเมินทดสอบพลังฝีมือ ความสามารถของหลี่อันก็มิได้โดดเด่นหรือเหนือไปกว่าพวกเราแต่อย่างไร…เหตุผลเดียวที่ทำให้มันสามารถเป็นศิษย์ของอาวุโสหลี่อันได้ เพราะมันรับปากว่าจะช่วยอาวุโสหลี่อันจัดการกับต้วนหลิงเทียน!”


 


หนึ่งในบรรดาศิษย์ใหม่ที่มีรากวิญญาณสีเขียวกล่าวตอบออกมาไขข้อสงสัยให้แก่ทุกคน


 


“เพราะจะช่วยจัดการต้วนหลิงเทียน?”


 


ทันใดนั้นสายตาของเหล่าศิษย์ใหม่ กลุ่มที่มีรากวิญญาณสีเหลืองพลันหันไปจับจ้องมองไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนทันที


 


“เหอๆ…อาวุโสหลี่อันต้องเคียดแค้นคนชื่อต้วนหลิงเทียนถึงขั้นใดกัน เพียงแค่กู่ชุนบอกว่าจะช่วยจัดการต้วนหลิงเทียนให้ก็ถึงกับยอมรับมันเป็นศิษย์เสียแล้ว?”


 


“ดูเหมือนว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคนนั้นสังหารบุตรชายของสหายสนิท จะทำให้อาวุโสหลี่อันเกลียดต้วนหลิงเทียนเข้ากระดูกดำแล้วจริงๆ…”


 


“นี่มันจะไม่เหลวไหลไปหน่อยรึไง อาวุโสหลี่อันไฉนคิดตื้นนักเล่า?”


 



 


ในขณะที่เหล่าศิษย์ใหม่กำลังมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวพึมพำกันด้วยความเหลือเชื่อนั้น เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้วยก็งุนงงไม่แพ้กัน พวกมันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหลือเชื่อไม่ต่าง


 


อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่พวกมัน กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองยังอึ้ง ได้รู้ว่าหลี่อันรับกู่ชุนเป็นศิษย์เพราะเรื่องนี้เขาก็รู้สึกหมดคำจะพูดอยู่บ้าง


 


นี่มันจะไม่เหลวไหลไปหน่อยรึไง?


 


ในขณะเดียวกัน ด้านศิษย์เก่าเองพอได้ยินบทสนทนา พวกมันก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวแล้วเช่นกัน ที่แท้ก็สุนัขจิ้งจอกอวดอ้างบารมีเสือ!!


 


หลังได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับสังหารบุตรชายสหายสนิทของอาวุโสหลี่อัน อันเป็นอาวุโสลำดับ 5 ของวังอุดรไพศาลต่อหน้าต่อตาหลี่อัน พวกมันก็ถึงกับต้องลอบยกนิ้วให้ต้วนหลิงเทียนอย่างนับถือ!


 


ถึงแม้ว่าพวกมันจะรู้ดีว่าจุดจบของผู้ที่กล้าล่วงเกินอาวุโสหลี่อันในแท่นบูชาเต่าทมิฬจะอนาถเพียงใด แต่ตอนนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะชื่นชมต้วนหลิงเทียนจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ!


 


“ให้ตายเถอะ…ที่แท้อาวุโสหลี่อันต้องเกลียดมันปานใดกัน ถึงขั้นลดมาตรฐานตัวเองไปรับคนที่มีรากวิญญาณสีเขียวมาเป็นศิษย์เช่นนี้?”


 


ในเรื่องนี้จนแล้วจนรอดศิษย์เก่าก็ยากจะเชื่อได้ลงคอ


 


แต่สุดท้ายพวกมันก็ได้แต่สรุปไปว่าอาวุโสหลี่อันคงเคียดแค้นต้วนหลิงเทียนเข้าไส้แล้วจริงๆ ถึงขั้นกระทำอะไรแบบนี้ได้


 


และในตอนนี้เองเหล่าศิษย์ใหม่ที่ลอยร่างอยู่ใกล้ๆต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะรีบเหินร่างถอยหนีออกไป ทำราวกับต้วนหลิงเทียนเป็นเทพแห่งโรคห่า!


 


“ข้ายอมแพ้…”


 


พร้อมกันนั้นเองหวังจิวที่สามารถระงับโทสะลงได้แล้ว มันที่เผชิญหน้ากับคำท้าทายของกู่ชุน ในที่สุดก็กล่าวคำยอมแพ้ออกมา


 


หลังจากกล่าวยอมแพ้แล้ว มันก็เข้าไปเก็บของใช้ส่วนตัวในบ้านพัก ก่อนที่จะเหินร่างจากไปหาบ้านพักหลังใหม่โดยไม่คิดจะพูดจากับใครทั้งสิ้น


 


“หวังจิว ผู้ฉลาดย่อมรู้สถานการณ์ เจ้านับว่าตัดสินใจได้ดีที่สุดแล้ว!”


 


กู่ชุนเงยหน้าขึ้นมาอย่างหยิ่งยโส หลังจากกล่าวคำทิ้งท้ายกับหวังจิวอย่างไม่แยแสมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหนือกว่าทันที


 


ตอนนี้หลายๆคนคิดไปว่าที่หลี่อันรับกู่ชุนเป็นศิษย์นั้น เพียงเพราะกู่ชันรับปากจะจัดการต้วนหลิงเทียนไปแล้วจริงๆ…


 


หากแต่มีเพียงตัวมันเองเท่านั้นที่รู้ว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่ง…


 


นั่นคือมันกล่าวว่าจะแนะนำคนผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินให้หลี่อัน! และมันยังรับปากหลี่อันแถมให้คำประกันเป็นมั่นเหมาะว่ามั่นใจถึง 10 ส่วนเต็ม ว่าอีกไม่นานคนผู้นั้นจะมาฝากตัวเป็นศิษย์หลี่อันแน่นอน!!


 


ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มันลอบตกลงกับหลี่อัน!


 


“เหอะ!”


 


เมื่อเห็นว่ากู่ชุนที่กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องเดินเข้าบ้านพักชั้น 3 และเตรียมจะปิดประตู ต้วนหลิงเทียนพลันแค่นคำสบถเสียงเย็นคำหนึ่ง! ก่อนร่างคนจะวูบไหวไปราวภูตผี อยู่ดีๆก็ปรากฏหน้าประตูบ้านหลังดังกล่าว มือพุ่งออกไปหยุดประตูที่กำลังจะปิดเอาไว้ได้ทันเวลา…!


ตอนที่ 1,914 : กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ!


 


กู่ชุนที่กำลังเปิดประตูเข้าบ้านชั้นสามด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องนั้น ในขณะที่กำลังจะปิดประตูเข้าบ้าน มันก็พบว่ามีร่างหนึ่งวูบมาดั่งภูตผี ทั้งยังเอื้อมมือมาดั่งเงาพรายดึงรั้งประตูเอาไว้ให้มิอาจปิด!


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


เมื่อมองไปก็พบว่าคนที่ขวางไม่ให้มันปิดประตูนั้นมิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นต้วนหลิงเทียนนั่นเอง!


 


และเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนจ่อๆแบบนี้ ในแววตาของกู่ชุนอดไม่ได้ที่จะเผยประกายหวาดกลัวออกมาให้เห็น!


 


มันเองก็ได้รับทราบจากศิษย์ใหม่ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองแล้ว พบว่าในขณะที่ทำการทดสอบพลังฝีมือ พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย…พริบตานั้นมันก็ตระหนักดีว่าตัวเองยังห่างชั้นจากต้วนหลิงเทียนหลายขุม!


 


ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่เวทย์พลังประหลาดที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนปะทุพลังสังหารหยางหวู่ได้แม้จะบาดเจ็บเจียนตายนั่น ก็ทำให้มันไร้หนทางจะต่อกรกับต้วนหลิงเทียนแล้ว!!


 


“เจ้าทำอันใดของเจ้ากัน…เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!?”


 


เช่นนั้นแล้วเมื่อต้องเจอหน้าต้วนหลิงเทียนแบบนี้ ไหนเลยมันจะไม่หวาดกลัวหวั่นใจได้! ไม่อาจนำไปเทียบกับกรณีของหวังจิวได้เลย!


 


เพราะถึงแม้มันจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังจิวเมื่อครู่ แต่ด้วยความที่อาจารย์ของมันก็คือ ‘หลี่อัน’ ผู้อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ มันจึงไม่คิดว่าหวังจิวจะกล้าทำอะไรมัน!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนนั้นต่างออกไป!


 


ด้วยสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกระทำไปเมื่อวานนี้ มันย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าต้วนหลิงเทียนไม่หวาดกลัวอาจารย์ของมัน!


 


เช่นนั้นเมื่อต้องเผชิญกับต้วนหลิงเทียนซึ่งๆหน้า ศีรษะที่เคยเชิดก็จำต้องลดลง น้ำเสียงโอหังวางท่ายังอ่อนลงหลายส่วน!!


 


จังหวะนี้หวังจิวที่แต่เดิมมีโมโหทั้งคับแค้นแต่ไม่อาจทำอะไรได้อยู่เป็นทุน พอได้เห็นจึงแทบกระอักเลือดตาย!


 


ศิษย์เก่าเช่นมันกลับไร้อำนาจสะกดข่มศิษย์ใหม่…แต่ศิษย์ใหม่คนนั้นกลับกลัวศิษย์ใหม่ด้วยกัน! นี่ทำให้เหมือนชีวิตที่ผ่านมาหลายปีของมันเสมือนไร้ค่าเยี่ยงสุนัขแล้ว!!


 


แต่แน่นอนว่ามันเองก็ได้ยินบทสนทนาของเหล่าศิษย์ใหม่รอบๆ จึงได้รู้ว่าศิษย์ใหม่ที่ชื่อต้วนหลิงเทียนคนนั้น ที่แท้กลับเป็นผู้ที่ร้ายกาจคนหนึ่งยังไม่ทันเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็ไปเขม่นมีเรื่องกับหลี่อันซึ่งๆหน้าเสียแล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนคนนั้น กระทั่งกับหลี่อันยังไม่กลัว! เช่นนั้นกับอีแค่ศิษย์ของหลี่อันยังจะนับเป็นตัวอะไรได้!!


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้นับว่าน่ารักยิ่ง!”


 


เมื่อเห็นสีหน้ากู่ชุนบิดเบี้ยวคล้ายเคี้ยวข้าวถูกแมลงวัน หวังจิวก็รู้สึกสบายอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก!


 


เรียกว่าการที่ต้วนหลิงเทียนทำให้กู่ชุนนั่นหน้าซีดได้ ทำให้หวังจิวพึงพอใจในระดับหนึ่ง!


 


ถึงขั้นยังทำให้มันรู้สึกประทับใจในตัวต้วนหลิงเทียนขึ้นมา!


 


และอันที่จริงก็ไม่ใช่แต่หวังจิวที่ถูกกู่ชุนดั่งจิ้งจอกใช้บารมีเสืออวดตัวเท่านั้นที่พึงพอใจต้วนหลิงเทียน กระทั่งศิษย์เก่าหลายต่อหลายคนก็อดรู้สึกประทับใจต่อต้วนหลิงเทียนขึ้นมาไม่ได้!


 


กล่าวได้เลยว่าการอวดอ้างบารมีจอมปลอมของกู่ชุนนั้น มันสร้างความไม่พอใจให้ใครหลายๆคนไม่มากก็น้อย!


 


ทั้งหมดเพราะพวกมันกริ่งเกรงหลี่อันที่อยู่เบื้องหลังกู่ชุน! ถึงแม้พวกมันจะไม่พอใจท่าทางอวดโอ่โอหังของกู่ชุนมากเพียงใดพวกมันก็ไม่กล้าทำอะไรอีกฝ่าย!


 


ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับออกหน้าลงมือกระทำในสิ่งที่พวกมันไม่กล้าทำ ย่อมทำให้พวกมันรู้สึกสะใจ อีกทั้งยังมองต้วนหลิงเทียนในแง่ดีอย่างไม่รู้ตัว!


 


กระทั่งเหล่าศิษย์ใหม่ที่เสมือนถูกต้วนหลิงเทียน ‘เสแสร้งเป็นทารก’ หลอกมาก่อนหน้า ตอนนี้ยังถึงกับต้องมองต้วนหลิงเทียนใหม่!


 


เพราะพวกมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้!


 


“ข้าจะทำอะไรน่ะเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนมองหน้ากู่ชุนพลันแสยะยิ้มกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ก็ไม่อะไรมากหรอก พอดีข้าชมชอบบ้านชั้นสามหลังนี้น่ะ”


 


“เช่นนั้นข้าต้วนหลิงเทียนเลยขอท้าเจ้ากู่ชุนประลอง!”


 


ทันทีที่เปิดปากกล่าวคำ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รั้งรอ กล่าวท้าประลองชิงบ้านออกมาทันที!


 


ได้ยินคำตอบนี้กู่ชุนถึงกับหน้าเสียทันที! แต่เมื่อแลเห็นสายตาเย็นชาที่จ้องมาไม่วางของต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่เหลือความกล้าอะไรอีก!!


 


‘ลูกผู้ชายยืดได้หดได้! ให้มันย่ามใจไปก่อนเถอะ…วันหลังข้าจะมาทวงคืนให้สาสมใจ! สำหรับบ้านชั้น 3 นี่ก็ไม่นับว่ามีดีอันใด อย่างไรก็ตามด้วยอำนาจข้าตอนนี้ไหนเลยจะไถบ้านชั้น 3 จากผู้อื่นไม่ได้’


 


คิดถึงจุดนี้กู่ชุนก็เดินออกจากบ้านดังกล่าวทันที ราวกับมันส่งมอบบ้านหลังนี้ให้แต่ต้วนหลิงเทียนแต่โดยดี


 


“เหอะ! นี่น่ะเหรอศิษย์คนใหม่ของอาวุโสหลี่อัน ช่างทำให้อาวุโสหลี่อันเสื่อมเสียนัก!”


 


“หากข้าเป็นอาวุโสหลี่อันข้าจะขับไล่สัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้เช่นมันออกไปเสีย!”


 


“เหอๆ…นี่น่ะเหรอคนที่มีรากวิญญาณสีเขียว กลับไม่กล้าแม้แต่จะหืออืออันใดต่อหน้าคนที่มีรากวิญญาณสีเหลือง?”


 


……


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนชิงบ้านมาจากกู่ชุน เช่นนั้นบ้านหลังนี้ก็เป็นของต้วนหลิงเทียนโดยสดุดี ศิษย์เก่าก็ไม่คิดจะไปช่วงชิงมา


 


พวกมันยังคงกล่าววาจาเสียดสีกู่ชุนกันอย่างสนุกปาก


 


หลายคนถึงกับจงใจตะโกนกล่าวทั้งมองหน้ากู่ชุนออกมาตรงๆโดยไม่กลัวกู่ชุน เพราะยามนี้ต่างมีคนทำเช่นเดียวกันมากมายนัก ไหนเลยจะมีใครกลัวกู่ชุนเพ่งเล็ง!


 


ได้ยินวาจาเสียดสีจากผู้คนโดยรอบสีหน้ากู่ชุนที่ดูไม่ได้อยู่เป็นทุน ก็ยิ่งอัปลักษณ์หนักข้อ สองหมัดมันกำแน่นจนข้อขาว บริเวณขมับปรากฏเส้นเลือดปูดโปนเขียวปี๋ รู้สึกอัปยศอดสูนัก!


 


กระทั่งฟันกรามยังขบแน่นดังกรอดๆ ราวกับจะขบเคี้ยวให้แตกกันไปข้างอย่างไรอย่างนั้น!


 


‘ทน ตอนนี้ข้าต้องอดทนเอาไว้ก่อน! ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สาย วันนี้ข้าสู้มันไม่ได้แต่วันหน้าข้าต้องก้าวข้ามมันไปได้แน่นอน ถึงวันนั้นข้าจะให้มันชดใช้ทั้งต้นทั้งดอก!!’


 


กู่ชุนลอบปฏิญาณในใจอย่างมุ่งมั่น!


 


‘จะอย่างไรมันก็แค่รากวิญญาณสีเหลือง ส่วนข้ามีรากวิญญาณสีเขียวไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ข้าจะก้าวข้ามมัน!’


 


ในสายตาของกู่ชุนนั้น…


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเหมือนมันคือบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นต้น แต่เนื่องจากพรสวรรค์รากวิญญาณของมันเหนือกว่า การที่มันจะเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น…


 


ตราบใดที่มันได้บ่มเพาะฝึกฝนในสถานที่อันมีพลังวิญญาณฟ้าดินเหมือนกันกับต้วนหลิงเทียน ไฉนมันต้องกลัวว่าจะก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนไม่ได้ด้วย!? และเวทย์พลังน่ากลัวนั่นของต้วนหลิงเทียนวันนี้แม้มันกลัวแต่วันหน้าเล่า!


 


ถึงเมื่อวานนี้ต้วนหลิงเทียนที่บาดเจ็บสาหัสจะใช้เวทย์พลังประหลาด จนเอาชนะหยางหวู่มาได้ก็ตาม!


 


แต่แม้มันจะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนใช้เวทย์พลังผีสางอันใด ทว่ากู่ชุนรู้ดีว่าเวทย์พลังนั้นไม่ธรรมดาเป็นแน่


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้กู่ชุนยังคงตระหนักได้ชัดเจนดี…


 


ว่าหากต้วนหลิงเทียนใช้เวทย์พลังนั่นขึ้นมา มันย่อมไม่ใช่คู่มือของต้วนหลิงเทียน!


 


“ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วรึไง?”


 


ทว่าในขณะที่กู่ชุนกำลังเดินจากไป และกำลังจะเหินร่างไปให้พ้นแถวนี้นั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ พาลให้กู่ชุนชะงักทันที!


 


กู่ชุนคนนี้มันตั้งแง่กับเขาตั้งแต่แรก…


 


ทว่าตอนแรกเขาก็คร้านจะสนใจอะไรมันมากมาย เพราะในสายตาเขามันก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัขข้างทางตัวหนึ่ง…


 


แต่ใครจะไปคิดกัน…


 


ว่าเพียงเพื่อให้ได้เป็นศิษย์ของหลี่อัน มันถึงกับไม่ลังเลที่จะประจบสอพลอหลี่อัน โดยการบอกว่าจะจัดการเขาเพื่อหลี่อัน…


 


กู่ชุนคิดเล่นงานเขาเพื่อเอาใจหลี่อัน เช่นนั้นเขาจะให้กู่ชุนมันเดินสะดวกได้หรือ?


 


“ต้วนหลิงเทียน บ้านชั้น 3 ข้าก็มอบให้เจ้าไปแล้ว! เจ้ายังจะมีเรื่องอันใดอีก?”


 


กู่ชุหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนที่กำลังก้าวเดินเข้าหามันทีละก้าวด้วยสีหน้าแววตาหวั่นหวาด


 


เนื่องจากมันบังเกิดจิตขลาดเขลาตั้งแต่แรก สภาวะของมันจึงถูกต้วนหลิงเทียนสะกดข่มโดยสมบูรณ์ จึงไม่เหลือทีท่าต่อต้านอะไรเลย


 


แต่ละก้าวที่ต้วนหลิงเทียนย่างเท้าก้าวเข้ามา ยังราวกับอีกฝ่ายกำลังย่ำเหยียบใจมัน! พาลให้มันรู้สึกสะท้านในใจ!!


 


“เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรข้าเชียว! อาจารย์ข้าคืออาวุโสหลี่อัน ท่านอาจารย์ยังเป็นอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ!”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนใกล้เข้ามาทุกที กู่ชุนถึงกับอกสั่นขวัญแขวนกล่าววาจาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง


 


ในตอนนี้คล้ายมันจะลืมเลือนไปเสียสิ้นแล้ว…


 


ว่าแต่ไหนแต่ไร ต้วนหลิงเทียนไม่เคยหวาดกลัวหลี่อันอาจารย์ของมันเลย!


 


“ใจเย็นหน่า เจ้าไม่ต้องกลัวข้าฆ่าเจ้าหรอก…เพราะกฏของลัทธิบูชาไฟคงไม่ปล่อยให้ข้าฆ่าเจ้า! ข้าแค่อยากจะสั่งสอนบทเรียนชีวิตให้เจ้าจดจำไว้สักบท!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเบาๆ หากแต่มันดังประหนึ่งฟ้าร้องในหูกู่ชุน!


 


“จะ…เจ้ากล้า!”


 


และในขณะที่มันกำลังกล่าวออกมาด้วยความกลัวนั้นเอง มันก็ต้องชะงักไปอีกครา เพราะยามนี้อยู่ดีๆ อาณาบริเวณโดยรอบพลันอุบัติโดมแสงสีทองสว่างไสวปานดวงตะวันเจิดจ้าขึ้นมา! อีกทั้งโดมแสงสีทองดังกล่าวแผ่ขยายครอบคลุมฉับไว คล้ายจะกลืนกินร่างของมันหายไป!!


 


และพริบตานี้ กระทั่งทัศนวิสัยของเหล่าศิษย์โดยรอบก็ถูกโดมแสงสีทองดังกล่าวบดบังหมดสิ้น!


 


“นี่มันเขตแดนอันใดกันแน่?!”


 


พวกมันยอมตระหนักได้ว่าโดมแสงสีทองดั่งสนามพลังขุมหนึ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมานั้น…เป็นเขตแดนที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก!


 


แม้ไม่ทราบว่าเขตแดนอันเป็นแสงสีทองปานตะวันนี้มีพลานุภาพอันใด แต่ที่แน่ๆสามารถบดบังสายตาของพวกมันได้หมดสิ้น!


 


“เฮ่ยๆ ต้วนหลิงเทียนคงไม่ถึงกับฆ่ามันหรอกนะ?”


 


เหล่าศิษย์ใหม่อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความตกใจ


 


“คงไม่หรอก กฏลัทธิบูชาไฟเข้มงวดกวดขันนัก ศิษย์ทะเลาะวิวาทสู้รบกันยังถือเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องฆ่าฟันกระทั่งทำให้พิการเป็นข้อห้ามอันเด็ดขาด! หากไร้คุณงามความดีอันได้ เห็นว่าโทษนั้นยังร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต!”


 


ศิษย์คนหนึ่งที่เลื่อมไสศรัทธาลัทธิบูชาไฟมานานกล่าวออก


 


“น่าเสียดายที่เขตแดนของต้วนหลิงเทียนมันช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน…ข้ามองมิเห็นจริงๆว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ามีผู้ใดแลเห็นกันหรือไม่?”


 


“ข้าเองก็มิเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


“ข้าสงสัยว่าที่ต้วนหลิงเทียนทำเช่นนี้ใช้เจตนาบดบังสายตาพวกเราหรือไม่…หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่าทางกู่ชุนจะโดนดีมิใช่น้อย!”


 


“ตัวโง่งมใช้บารมีผู้อื่นอวดโอ่เช่นมัน สมควรโดนดีซะบ้าง!!”


 


……


 


ในขณะที่เหล่าศิษย์ทั้งใหม่เก่ากำลังสนทนากล่าวความเห็นกันนั้น


 


โดมแสงสีทองที่อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาคลุมครอบอาณาบริเวณกินรัศมีร้อยหมี่รอบตัวต้วนหลิงเทียน ก็คือเขตแดนหมื่นกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้ออกด้วยพลังเซียนสุริยิน ทำให้แสงสีทองยิ่งสว่างคล้ายดวงตะวันมากยิ่งขึ้น


 


และภายในเขตแดนหมื่นกระบี่ ร่างต้วนหลิงเทียนก็ยืนตระหง่านปานหอกแหลมคม


 


ส่วนบนพื้นไม่ทราบกู่ชุนมันโดนอะไรกันแน่ แต่บัดนี้นอนหมอบกระแตแน่นิ่งแทบเท้า ปานลูกแกะที่รอเวลาถูกเชือด!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะฆ่ามันแต่อย่างไร…


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนกางเขตแดนออกมาก็เพราะมีเจตนาบังตาทั้งปิดกั้นสำนึกเทวะสอดรู้ของผู้คนจริงๆ


 


“ผู้เฒ่าหั่วหากข้าจะกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของมัน…ข้าต้องทำอย่างไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนติดต่อผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อขอความเห็นทันที


 


เขาตั้งใจทำลายพรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนไปเสีย!


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนก็คือรากวิญญาณสีเขียว ซึ่งเหนือกว่ารากวิญญาณสีเหลืองของเขาขั้นหนึ่ง!


 


หากเขาสูบกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนได้…ตามทฤษฎีแล้วพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาสมควรกลายเป็นรากวิญญาณสีเขียวทันที


 


หากแต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะทำได้หรือเปล่ากระทั่งต้องทำอย่างไร ถึงได้ติดต่อไปหาผู้เฒ่าหั่วทันทีแบบนี้


 


และไม่นานเสียงของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นในหูเขา “ด้วยพลังฝึกปรือของเจ้ายามนี้ยังมิมีทางที่เจ้าจะสัมผัสได้ถึงรากวิญญาณของผู้อื่นด้วยสำนึกเทวะของเจ้าเองเลย…เช่นนั้นข้าจักใช้สัมผัสเทวะของข้าชักนำสำนึกเทวะของเจ้า เพื่อค้นหาพรสวรรค์รากวิญญาณของมัน หลังจากที่พบเจอแล้ว เจ้าก็ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดกลืนมันได้ทันที!”


 


“ได้!”


 


หลังได้ยินคำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่วต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นด้วยทันที ขณะเดียวกันยังหวังไว้เป็นอย่างยิ่งว่าวิธีนี้จะได้ผล…เพราะหากเขาทำได้สำเร็จล่ะก็ เขาไม่จำเป็นต้องไปหา ‘ทรัพยากรวิญญาณ’ ที่หาได้ยากเย็นเหล่านั้น!


ตอนที่ 1,915 : สำเร็จ!


 


ถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะรู้จักทรัพยากรวิญญาณมากมายที่สามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาได้ อีกทั้งยังถ่ายทอดข้อมูลให้จนเขาเข้าใจและรู้ลักษณะของพวกมันดี สามารถนำข้อมูลไปใช้ค้นหามันได้…


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนตระหนักได้แทบจะทันที…


 


ว่าทรัพยากรทั้งหลายนั้นลำพังได้ยินยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ! แล้วนับประสาอะไรกับหาพวกมัน!!


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าการค้นหาทรัพยากรวิญญาณอะไรพวกนั้นเป็นดั่งความฝันลมแล้งๆของเขาในตอนนี้…


 


หากมีวิธีอื่นในการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ เขาก็ต้องคิดทบทวนเรื่องหาทรัพยากรใหม่อีกครั้ง…


 


ทว่าตอนนี้ กลับมีหนทางลัดเผยให้เห็นอยู่ตรงหน้า!


 


เป็นเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินของเขาเอง! ใช้มันกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่นแล้วมาเสริมสร้างพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาเสีย!!


 


อย่างไรก็ตามหนทางลัดแสนโกงนี้เป็นเพียงแนวคิดของผู้เฒ่าหั่วเท่านั้น ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของต้วนหลิงเทียน


 


‘กู่ชุนหากเจ้าจะโทษใครก็โทษตัวเองแล้วกันที่คิดหาเรื่องกับข้า…หาไม่แล้วข้าคงไม่คิดทำอะไรกับพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าแบบนี้!’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนก้มมองกู่ชุนที่ถูกเขาซัดจนสิ้นสติด้วยแววตาเฉยชา กล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ “เจ้าพาตัวเองมาเป็นหนูทดลองให้ข้าเอง ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ…”


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันส่งเสียงติดต่อไปถึงผู้เฒ่าหั่วทันที “ตอนนี้ข้าต้องทำอย่างไรหรือ แล้วมีอะไรที่ข้าต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่?”


 


การกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณด้วยปฐมเวทย์กลืนกินนั้นเป็นเรื่องใหม่สำหรับต้วนหลิงเทียน สำหรับเขาที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรก็ได้แต่ถามผู้เฒ่าหั่วอย่างเดียว


 


บางทีผู้เฒ่าหั่วเองก็ไม่เคยเห็นปฐมเวทย์กลืนกินดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณคนอื่นๆ เผลอๆอาจกระทั่งไม่เคยเห็นใครใช้ปฐมเวทย์กลืนกินด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยๆผู้เฒ่าหั่วก็ผ่านอะไรมามาก เรื่องราวทำนองนี้อาจพอมีแนวทางที่แน่ชัด


 


“เจ้าวางมือไว้บนหน้าผากมันเสีย จากนั้นก็อย่าได้ขัดขืนปล่อยให้ข้าชักนำสำนึกเทวะของเจ้าล่วงล้ำเข้าไปในดวงจิตของมัน กระทั่งค้นหาพรสวรรค์รากวิญญาณของมันจนเจอ…จากนั้นข้าจะชักนำสำนึกเทวะของเจ้าให้เพ่งเล็งไปที่พรสวรรค์รากวิญญาณของมัน และเจ้าก็ลองหาหนทางใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดู”


 


เสียงผู้เฒ่าหั่วดึงขึ้นกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน


 


“ได้!”


 


มีผู้มากประสบการณ์อย่างผู้เฒ่าหั่วชี้นำ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดอะไรให้มากความลองกระทำตามดูทันที ก้มลงทั้งเอามือขวาไปแตะกระหม่อมกู่ชุนทันที


 


จังหวะนี้หัวใจของต้วนหลิงถึงกับเต้นรัวขึ้นมา ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระทึกนัก


 


สำหรับเขาแล้วนี่นับเป็นประสบการณ์อันแปลกใหม่ทั้งน่าลุ้นระทึกเป็นอย่างยิ่ง!


 


เพราะหากเขากระทำได้สำเร็จนั่นหมายความว่าเขาอาจจะยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาได้ในเวลาอันสั้น แต่ถ้าหากล้มเหลว ดูท่าแล้วเรื่องยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาคงอีกนานกว่าจะสำเร็จ…


 


การยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณมันเกี่ยวพันถึงความเร็วในการบ่มเพาะฝึกปรือของเขาอย่างลึกซึ้ง!


 


นั่นเพราะพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นดั่งขีดจำกัดความเร็วในการบ่มเพาะพลัง! เรียกว่าความเร็วในการบ่มเพาะขึ้นอยู่กับมัน!!


 


ในเมื่อความเร็วในการบ่มเพาะเขาขึ้นอยู่กับมัน หากสำเร็จเขาก็จะก้าวหน้าเร็วขึ้น สามารถช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกได้เร็วที่สุดเท่าที่จะกระทำได้!!


 


หากล้มเหลว ความเร็วในการบ่มเพาะเขาก็จะช้าอยู่เช่นนี้ เรื่องช่วยทั้งคู่ก็จะล่าช้าออกไปเช่นกัน


 


‘ข้าหวังว่ามันจะสำเร็จราบรื่น…ไม่สิ มันต้องสำเร็จ ต้องสำเร็จ!!’


 


ในขณะเดียวกันกับที่คิดอย่างวาดหวังตั้งมั่น สำนึกเทวะของเขาก็ถูกสำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่วชักนำล่วงลึกลงไปในดวงจิตของกู่ชุน


 


จังหวะนี้ในใจของเขาบังเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หมายกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณกู่ชุนให้สำเร็จให้จงได้ และประสบความสำเร็จในการยกระดับพัฒนาพรสวรรค์รากวิญญาณของเขา!!


 


สองสำนึกเทวะค่อยๆล่วงล้ำเข้าสู่ดวงจิตกู่ชุนอย่างเงียบงัน ไม่นานก็บรรลุถึงส่วนลึกในดวงจิตอีกฝ่าย!


 


“พรสวรรค์รากวิญญาณของมันอยู่ด้านหน้า…ด้วยพลังฝึกปรือของเจ้าในตอนนี้คงมิอาจสัมผัสถึงมันได้ด้วยสำนึกเทวะของเจ้า อย่างไรก็ตามด้วยสำนึกเทวะของเจ้าถูกชักนำมาถึงจุดที่มันอยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าสงบสติ ตั้งใจแล้วลองสัมผัสมันให้ดี เจ้าจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางเบาสายหนึ่ง…กลิ่นอายบางเบาดังกล่าวนั้นสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกอันมืดมิดกลางดวงจิตแห่งนี้ ลองดูเจ้าน่าจะรู้สึกถึงมันได้…”


 


ในขณะที่สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนกำลังมืดบอดไร้ทิศทางว่าควรทำอย่างไร เสียงผ่านสำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นในใจ ชี้นำหนทางแก่เขา


 


“อืม”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบรับอย่างเคร่งขรึม ก่อนที่จะเริ่มสงบใจ ใช้สมาธิเต็มกำลังพยายามจับสัมผัสกลิ่นอายพลังบางเบาที่มีผลต่อพลังวิญญาณฟ้าดินในห้วงแห่งความมืดมิดกลางดวงจิตอย่างที่ผู้เฒ่าหั่วชี้แนะ


 


ตอนแรกสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจจับสัมผัสสิ่งใดรอบๆได้เลย


 


อย่างไรก็ตามหลังจากได้ผู้เฒ่าหั่วคอยกล่าวชี้นำอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดหลังจากงมหาด้วยความยากลำบากไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็พบเจอพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวของกู่ชุนได้สำเร็จ!


 


“ข้าเพ่งเล็งไปที่รากวิญญาณของมันได้แล้วท่านผู้เฒ่าหั่ว! ตอนนี้ข้าต้องทำอย่างไรต่อ!?”


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามอย่างหนักเพื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้นในใจ เร่งถามผู้เฒ่าหั่วออกมาทันที


 


บางทีพรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนคงเป็นอะไรที่ผู้เฒ่าหั่วสัมผัสได้ชัดเจน


 


แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว เขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย


 


หากไม่ได้รับการกระตุ้นเตือนจากผู้เฒ่าหั่วหลายครั้ง เกรงว่าเขาคงไม่อาจจับสัมผัสถึงรากวิญญาณของกู่ชุนได้


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตื่นเต้นดีใจนัก เมื่อสำนึกเทวะของเขาสามารถเพ่งเล็งไปที่รากวิญญาณของกู่ชุนได้สำเร็จ!


 


“หลังจากที่สำนึกเทวะของเจ้าเพ่งเล็งรากวิญญาณของมันได้แล้ว ให้เจ้าใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน ชักนำให้วังวนนพลังดูดกลืนขับเคลื่อนไปตามสำนึกเทวะของเจ้าจนกระทั่งถึงรากวิญญาณของมัน…ในเมื่อสำนึกเทวะเจ้าเพ่งเล็งไปที่รากวิญญาณของมันอยู่แล้ว ขั้นตอนนี้สมควรไม่ยากสำหรับเจ้า…”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบออกมาทันที


 


ทันทีที่เสียงตอบของผู้เฒ่าหั่วดังขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็กระทำตามที่ว่าไปแล้ว


 


ปฐมเวทย์กลืนกิน!


 


แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน หากแต่ก่อนหน้านี้เขาเพียงใช้มันออกรอบๆกายเพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยตรงเท่านั้นไร้ซึ่งลูกเล่นอะไร…


 


ทว่าการใช้ปฐมเวทย์กลืนกินคราวนี้เป็นอะไรที่สลับซับซ้อนอยู่บ้าง จำต้องควบคุมกระแสพลังทั้งวังวนดูดกลืนให้ปรากฏในเฉพาะจุด!


 


เพราะสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ตอนนี้หาใช่การสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินไม่ แต่เป็นการกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณ!


 


พรสวรรค์รากวิญญาณที่ว่ามันอยู่ในส่วนลึกของดวงจิต และหากผู้ใดที่ไม่ใช่ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ เกรงว่าคงไม่อาจใช้สำนึกเทวะสัมผัสได้ว่ามีสิ่งนี้ดำรงอยู่ในดวงจิตของผู้คน


 


ทว่าตอนนี้ด้วยมีความช่วยเหลือของผู้เฒ่าหั่ว ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ประสบความสำเร็จในการค้นหาพรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุน!


 


กระบวนการดังกล่าว พอได้คำชี้นำจากผู้เฒ่าหั่วก็เป็นอะไรที่ไม่ยากนัก!


 


“กลืนกิน!”


 


เมื่อวังวนพลังสูบกลืนของปฐมเวทย์กลืนกินถูกต้วนหลิงเทียนชักนำให้มาก่อเกิดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนได้สำเร็จ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


ขณะเดียวกันเขายังควบคุมวังวนพลังดูดกลืนของปฐมเวทย์กลืนกิน ให้ดูดกลืนเฉพาะสิ่งที่สำนึกเทวะของเขากำลังเพ่งเล็งอยู่…พรสวรรค์รากวิญญาณ!!


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของกู่ชุนที่แต่เดิมเปล่งแสงสีเขียวอ่อนจางๆ ไม่นานก็ถูกวังวนพลังดูดกลืนจนหายไปหมดสิ้น…ราวกับมันไม่เคยมีมาก่อนด้วยซ้ำ!!


 


และพรสวรรค์รากวิญญาณของมันที่หายไป ก็ได้ถูกชักนำเข้าไปในดวงจิตของเขา!!


 


“ผู้เฒ่าหั่วข้าดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณของมันมาแล้ว…ตอนนี้ข้ายังชักนำขุมพลังดังกล่าวเข้ามาในดวงจิตของข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันต่อดี…อีกทั้งขุมพลังนี้คล้ายมันกำลังจางหายไปเรื่อยๆ!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเร่งส่งเสียงไปกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วหลังชักนำพรสวรรค์รากวิญญาณที่กลายมาเป็นพลังขุมหนึ่งเข้ามาในดวงจิตแล้ว เขาก็พบว่าขุมพลังดังกล่าวบังเกิดความเปลี่ยนแปลง มันกำลังอ่อนลงทุกขณะ!


 


พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาเองก็อยู่ในดวงจิตเช่นกัน


 


และแม้ว่าผู้เฒ่าหั่วจะไม่บอกว่าเขาควรชักนำมันมาที่ดวงจิตแบบนี้ แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าสมควรต้องทำเช่นนี้


 


“มิยาก เจ้าเพียงชักนำขุมพลังดังกล่าวให้เข้าไปในดวงจิต และเอามันไปใกล้ๆรากวิญญาณของเจ้าเสีย ไม่สำคัญว่าเจ้าจะสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเจ้าเองหรือไม่ เพียงแค่ทำให้ขุมพลังดังกล่าวกำจายไปทั่วใจกลางดวงจิตของเจ้าเสีย”


 


“เจ้ามิต้องกังวล ว่าพลังของปฐมเวทย์กลืนกินของเจ้าจะทำร้ายพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าเอง อีกทั้งขุมพลังที่เจ้าดูดกลืนมาก็ไม่อาจทำอันตรายเจ้าได้ เพียงชักนำมันไปอยู่ใกล้ๆเถอะ เดี๋ยวพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าจะทำการจัดการดูดซับพลังดังกล่าวเข้าไปเสริมสร้างด้วยตัวของมันเอง”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้น และท้ายประโยคผู้เฒ่าหั่วยังกล่าวเสริมออกมาว่า “ส่วนเรื่องที่พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าจะยกระดับพัฒนาไปได้มากเพียงใด…ข้าเองก็มิอาจรับประกันได้”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าการดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณผู้อื่นมาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นเพียงแนวคิด หลังเห็นพลังของปฐมเวทย์กลืนกินเท่านั้น


 


ส่วนเรื่องที่การกระทำครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ผู้เฒ่าหั่วเองก็ไม่อาจบอกได้…


 


เรื่องนี้ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็ตระเตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน


 


“จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจังหวะนี้ล่ะ!”


 


เมื่อได้ยินวาจาของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าตอนนี้ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้มาถึงแล้ว!


 


ทุกเรื่องราวเป็นเพียงสิ่งที่ผู้เฒ่าหั่วคาดคิดไว้เท่านั้นว่าจะทำได้…


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…พรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวของกู่ชุนที่กลายเป็นขุมพลังได้หายไปแล้ว อีกทั้งวังวนพลังของปฐมเวทย์กลืนกินที่ข้าใช้ชักนำมันมาก็หายไปด้วย…ท่านช่วยดูให้ข้าทีว่าพวกมันสามารถเสริมสร้างพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าได้หรือไม่?”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาอย่างวาดหวัง รู้สึกกังวลนักว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร!


 


ในความกังวลดังกล่าวก็มีความหวังอันล้นปรี่!


 


“หากเจ้าอยากรู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ามันมีความเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่ ไฉนเจ้าไม่ลองสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบดูเล่า ถึงแม้ขุมพลังจากพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวนั่นมันจะหายไปบ้างในกระบวนการดูดกลืนพลัง แต่มันก็สมควรส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าไม่น้อย”


 


เสียงกล่าวของผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ “หากประสบความสำเร็จแน่นอนว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าก็ต้องมีการพัฒนา ความสามารถในการตรวจจับรับรู้พลังวิญญาณฟ้าดินของเจ้าสมควรเหนือกว่าในกาลก่อน!”


 


เมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ลองพยายามสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบทันที


 


“นี่มัน….”


 


ครู่ต่อมาสีหน้าท่าทางของต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นตะลึงลาน กระทั่งยังอึ้งไปราวกลับหลงลืมคำพูด!


 


และหลังจากนั้นไม่นานใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีถึงที่สุด!!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว! ข้าสัมผัสได้ว่าตอนนี้ข้าไวต่อพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าจากกาลก่อน! นี่การดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณมายกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของข้ามันประสบผลสำเร็จแล้วใช่หรือไม่!?”


 


เรื่องราวประหลาดใจครั้งนี้มาอย่างที่ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เขาตื่นเต้นจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี!


 


“ให้ข้าลองดูพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าก่อน”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะสายหนึ่งชำแรกเข้าสู่ดวงจิตของเขา แน่นอนว่าเขาปล่อยให้มันชำแรกเข้าไปโดยไร้ขัดขืน และไม่นานมันก็ล่วงลึกถึงกลางดวงจิตเขา


 


“อืม…ประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้นในเวลาต่อมา


 


ได้ฟังคำยืนยันนี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาอีกครา หน้ายังเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ “สำเร็จ! สำเร็จแล้วจริงๆ!!”


 


เพราะเขาหวังเอาไว้อย่างยิ่งว่าการกระทำครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จ พอมันสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็ย่อมดีใจมากเป็นธรรมดา


 


“ประสบผลสำเร็จก็ส่วนหนึ่ง…อย่างไรก็ตามพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้ายังมิได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่เดิมพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้านั้นเป็นสีเหลือง ทว่ายามนี้มันกลายเป็นสีเหลืองเข้มแล้ว  แม้จักมิได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ตามที และหากเจ้าอยากให้มันเปลี่ยนเป็นสีเขียวจริงๆ เจ้าจำต้องกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวของผู้อื่นอีกสักคน!”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วดังสืบต่อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)