War sovereign Soaring The Heavens 1900-1903

 ตอนที่ 1,900 : แท่นบูชาเต่าทมิฬ!


 


ลำแสงพลังอ่อนโยนทั้งหมดล้วนยิงออกมาจากผู้อาวุโสทั้ง 8 ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์! และผู้ที่ถูกลำแสงยิงใส่ก็หมายความว่าถูกอาวุโสเลือกเฟ้น


 


เรียกว่าหากผู้ใดถูกแสง ก็ต้องเข้าร่วมแท่นบูชาของอาวุโสคนนั้น…


 


หลังจากถูกคัดเลือกแล้ว ก็จะต้องติดตามอาวุโสดังกล่าวไปทำการคัดเลือกประเมินที่แท่นบูชา


 


หากผ่านการประเมินก็จะกลายเป็นศิษย์ของแท่นบูชานั้นๆ!


 


ศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ แม้จะกล่าวได้ว่าเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของลัทธิบูชาไฟ แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟแล้ว!


 


และทันทีที่ได้เป็นศิษย์ของแท่นบูชาใดๆ ก็จะมีสิทธิ์เรียนรู้ทำความเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นบูชานั้นๆ


 


ทุกแท่นบูชาจะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด!


 


ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของการคัดเลือกศิษย์ ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้อาวุโสที่ทำการเลือกศิษย์คนเดียวกันมาก่อน ทว่าโดยมากแล้วจะเป็นผู้อาวุโสคนละแท่นบูชา!


 


เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้อาวุโสจากแท่นบูชาเดียวกัน มักจะกล่าวนัดแนะกันก่อนว่าจะเลือกผู้ใด…


 


ด้วยเหตุนี้เอง การที่เถิงชานกับหลี่อันที่เป็นผู้อาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬเลือกศิษย์คนเดียวกัน จึงทำให้อาวุโสอีก 6 คนจากแท่นบูชาทั้ง 3 รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “อาวุโสหลี่อัน อาวุโสเถิงชาน…นี่พวกท่านมิได้นัดแนะกันมาก่อนหรือ?”


 


“หากจ้าวแท่นชิวรู้ว่าพวกท่านเลือกศิษย์คนเดียวกันเช่นนี้ ข้าเกรงว่าพวกท่านจะโดนข้อหาขัดแย้งภายในไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน!”


 


“อาวุโสหลี่อัน อาวุโสเถิงชาน…พวกท่านใช่มีปัญหาส่วนตัวอันใดกันหรือไม่?”


 



 


อาวุโส 3 คนที่ปากไวกล่าวถามออกมาด้วยความฉงนทันที


 


พวกมันพึ่งมาถึง จึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องราวอะไรขึ้น แต่พวกมันก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างหลี่อันกับเถิงชานคล้ายจะคลุ้งกลิ่นดินปืนไม่น้อย!


 


ด้านเถิงชานกับหลี่อัน พอได้ยินคำถามก็หันมองหน้ากันทันที ก่อนที่ต่างจะเบือนหน้าออกไปอย่างไม่แยแส


 


หลี่อันเลือกให้ต้วนหลิงเทียนอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬเป็นคนแรกไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะทุกคนรู้ว่าหลี่อันต้องการหาเรื่องจนให้ต้วนหลิงเทียนอยู่ไม่ได้ ยังคิดกลั่นแกล้งสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนเท่าที่จะทำได้บีบให้ต้วนหลิงเทียนออกจากลัทธิบูชาไฟ หรือประลองเป็นตายกับมือดีที่มันส่งไป!


 


เพราะในสายตาหลี่อัน


 


ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็เสมือนลูกไก่ในกำมือ! ไม่มีวันที่จะเล็ดรอดเงื้อมมือมันไปได้!!


 


ทว่าสีหน้าหลี่อันเผยความประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเถิงชานยังคงมีสีหน้าสงบไม่แยแส เพราะมันไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนเถิงชานจึงเลือกต้วนหลิงเทียนด้วย?


 


เท่าที่มันรู้ จากนิสัยของเถิงชาน ในเมื่ออีกฝ่ายมีความประทับใจอันดีกับต้วนหลิงเทียนแบบนี้ อีกฝ่ายต้องยิ่งผลักไสต้วนหลิงเทียนออกไปให้ไกลจากแท่นบูชาเต่าทมิฬถึงจะถูก เพราะเถิงชานรู้ดีว่ามันมีอำนาจในแท่นบูชาเต่าทมิฬเพียงใด และสมควรรู้ว่ามันไม่มีวันปล่อยต้วนหลิงเทียนไปแน่…!


 


‘หรือเถิงชานมันถูกใจพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนนั่น และคิดจะรับเป็นศิษย์ส่วนตัว?’


 


ทันใดนั้นหลี่อันพลันคิดถึงเรื่องนี้


 


หากเป็นแบบนั้นจริง ทุกอย่างก็อธิบายได้ง่ายทันที


 


อย่างไรก็ตามมันคิดว่าคราวนี้เถิงชานไร้เดียงสาเกินไปแล้ว คนที่มันอยากฆ่าให้ตายมีหรือจะรอดไปได้!


 


ต่อให้ต้วนหลิงเทียนมีเถิงชานหนุนหลัง ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม!


 


หากเถิงชนคิดจะวัดกันจริงๆ ไม่ว่าพลังฝีมือส่วนตัวอะไรก็สู้มันไม่ได้เลย!


 


เพราะสุดท้ายแล้วตัวมันก็คืออันดับที่ 139 ในรายนามยอดเซียน ส่วนเถิงชานนั้นก็มีอันดับในรายนามยอดเซียนแค่ 173 เท่านั้น!


 


การจัดอันดับพลังฝีมือของรายนามยอดเซียน แต่ละอันดับล้วนมีพลังฝีมือต่างกันชัดเจน!


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เถิงชานอยู่ต่ำกว่ามัน 30 อันดับเลย เกรงว่ามันใช้ไม่เกิน 10 กระบวนท่าก็สยบเถิงชานได้แล้ว!


 


“อาวุโสหลี่อันกับอาวุโสเถิงชานเลือกต้วนหลิงเทียนเหมือนกันเช่นนั้นหรือ…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


 


อาวุโสอีก 3 คนที่เหลือ อดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจออกมา ต่างหันมองหน้ากันเองด้วยความสับสน


 



 


“อาวุโสหลี่อันเลือกต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬข้าไม่แปลกใจ เพราะง่ายนักที่จะหาเรื่องต้วนหลิงเทียนหากอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ”


 


“ต้วนหลิงเทียนฆ่าหยางหวู่บุตรชายของอาวุโส 5 วังอุดรไพศาลสหายที่ดีที่สุดของหลี่อันไปทั้งคน…หลี่อันไม่มีวันละเว้นต้วนหลิงเทียนแน่!”


 


“อาวุโสเถิงชานดูเหมือนจะชมชอบต้วนหลิงเทียนไม่น้อย หาไม่แล้วก่อนหน้าคงไม่ยื่นมือช่วยเหลือ…แต่ไฉนตอนนี้ถึงได้ทำแบบนี้เล่า? ไม่ใช่ว่าที่ต้องกระทำที่สุดตอนนี้ คือมิควรชักชวนต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬรึไง?”


 


“ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนอาวุโสเถิงชานถึงชวนต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬแบบนี้…เช่นนี้ยังต่างใดกับส่งลูกแกะเข้าปากเสือเล่า?”


 



 


ผู้คนเองก็พูดคุยกันเสียงดังระงม พวกมันหันมองไปมาระหว่างหลี่อันกับเถิงชาน บางครั้งก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน


 


และมาตอนนี้อาวุโสของอีก 3 แท่นบูชาที่มาถึงภายหลัง ก็ได้รับทราบเรื่องราวแล้วว่าที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…


 


ปรากฏว่าอาวุโสหลี่อันกับอาวุโสเถิงชานมีเรื่องบาดหมางกันเพราะมีต้วนหลิงเทียนที่ถูกเลือกคนนั้นเป็นชนวนเหตุ!


 


ต้วนหลิงเทียนฆ่าบุตรชายคนรองของอาวุโสลำดับ 5 แห่งวังอุดรไพศาล เพื่อนสนิทของหลี่อัน!


 


การกระทำดังกล่าว ยังต่างอะไรกับตบหน้าหลี่อัน?


 


สุดท้ายแล้วหยางหวู่ก็เป็นลุกชายของเพื่อนซี้ แต่กลับต้องมาทนดูคนตกตายไปอย่างที่มิอาจช่วยเหลือ นี่ทำให้รู้สึกคับข้องใจถึงขั้นใดกัน?


 


ด้วยเหตุนี้หลี่อันจึงเกลียดแค้นต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา น่ากลัวยังจะเกลียดเข้าไส้และไม่อยากทำอะไรมากไปกว่าฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!


 


 


“เช่นนั้นก็นับว่าเข้าใจได้ที่หลี่อันคิดอยากให้ต้วนหลิงเทียนอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬ…ทว่าเหล่าเถิง ไม่ใช่ท่านคิดช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนรึไร ไฉนท่านกลับเลือกให้ต้วนหลิงเทียนอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬด้วยเล่า?”


 


เรื่องนี้ไม่นานอาวุโสที่สนิทกับเถิงชานมากหน่อย ก็ส่งเสียงไปถามไถ่โดยตรงไม่คิดคาดเดาให้วุ่นวาย


 


และมันก็ได้รับคำตอบทันที


 


“ข้าเองก็คิดให้เขาไปอยู่แท่นบูชาอื่นแล้ว…แต่เขายืนยันจะอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬให้ได้…เพราะต้องการเพาะสร้างเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูง ปราการเต่าทมิฬ…”


 


เถิงชานยิ้มขื่นขม ขณะส่งเสียงตอบคำ


 


“ที่แท้เจ้าหนูนั่นก็หุนหันพลันแล่นมิใช่น้อย…มันมิรู้หรือว่าเวทย์พลังระดับสูงมิใช่อะไรที่ใครคิดจะทำความเข้าใจก็เข้าใจและเพาะสร้างได้ง่ายๆ? และมันมิรู้จริงๆหรือว่าในบรรดาเวทย์พลังของทั้ง 4 แท่นบูชาเรา เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬยากเข้าใจและเพาะสร้างเป็นที่สุด?”


 


“สำหรับคนที่เลือกจะเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเวทย์พลังที่มิรู้ว่าจะเพาะสร้างได้หรือไม่เช่นนี้…เจ้าหนูนี่ไม่ไหวแล้วล่ะ มิว่าจะพรสวรรค์ดีเพียงใด แต่มันก็เสมือนถูกลิขิตให้ถึงจุดดับไปครึ่งตัวแล้ว…”


 


อาวุโสอีก 2 คนส่ายหัวไปมา


 


เมื่อเห็นความหุนหันพลันแล่นไม่คิดให้ถี่ถ้วนของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ไม่หลงเหลือความประทับใจอันใดอีก


 


ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนอาจจะดีจากที่ฟังมา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้อาวุโสของอีก 3 แท่นบูชาอยากได้ตัวจนต้องแย่งชิงอะไร


 


อีกทั้งพวกมันก็ไม่อยากล่วงเกินหลี่อัน


 


เช่นนั้นอนาคตของต้วนหลิงเทียนจึงถูกกำหนดแล้ว…


 


อยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬ!


 


“น้องหลิงเทียนหากเจ้าต้องอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬจริงๆ…หรือเจ้าล้มเลิกเรื่องเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟดี?”


 


เมื่อเห็นสถานการณ์สุ่มเสี่ยงของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมาด้วยความกังวล


 


“ล้มเลิก?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “พี่กู่…ท่านคิดว่าหากข้าไม่ได้เข้าลัทธิบูชาไฟแล้วข้าจะรอดไปได้? ท่านคิดจริงๆหรือว่าข้าจะเดินออกจากที่นี่ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิต? พี่กู่ ท่านอย่าลืม…หากข้ายังอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬข้ายังได้รับความคุ้มครองจากกฏของลัทธิบูชาไฟ! ที่คนมีอำนาจกลัวที่สุดก็คือการเสียอำนาจ…มันย่อมไม่กล้าผลีผลามลงมือกับข้าให้ผิดกฏ เพราะในสายตาของมัน ชีวิตข้าไม่คุ้มกับอำนาจของตัวมันแม้แต่น้อย…”


 


“แต่ถ้าข้าเลือกจะออกจากแท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็เท่ากับออกจากลัทธิบูชาไฟ…เช่นนั้นตัวข้าก็ไร้กฏลัทธิคุ้มกันแล้ว! หากข้าก้าวเท้าออกจากเขตพื้นที่ลัทธิบูชาไฟ…ท่านว่าตอนนั้นข้ายังจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้บอกกู่ลี่ว่าไฉนถึงเลือกอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬ แต่เลือกจะกล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนี้ที่เขามองขาด แต่กู่ลี่กลับใจกังวลจนหูตาฝ้าฟาง…


 


ตอนนี้เขาได้แตกหักกับหลี่อันไปแล้ว เขาไม่เหลือทางเลือกอย่างการออกจากลัทธิบูชาไฟอีกต่อไป


 


“ต้วนหลิงเทียนกล่าวถูกแล้วกู่ลี่…เพียงอยู่ในลัทธิบูชาไฟจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้…แต่ถ้าออกไปได้ตายทันทีแน่!”


 


ก่อนหน้าเสียงของต้วนหลิงเทียนถูกส่งไปยังจูลู่ฉีด้วยเช่นกัน มันจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด


 


ขณะเดียวกันหลังจากกล่าวออกมาด้วยความเข้าใจ จูลู่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยกังวลว่า “อย่างไรก็ตามหากเจ้าอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ หลี่อันย่อมทำทุกทางที่ไม่ผิดกฏเพื่อจัดการกับเจ้า และมันก็คงไม่คิดลงมือด้วยตัวเองแน่…”


 


“จริงอยู่ที่กฏข้อบังคับของลัทธิบูชาไฟสมควรศักดิ์สิทธิ์ ยากที่ใครจะกล้าละเมิด…แต่หากหลี่อันเลือกจะส่งคนที่พลังฝีมือเหนือกว่ามารังควาญเจ้าไม่เลิกเล่า? ถึงแม้จะไม่อาจฆ่าเจ้าได้ แต่มิพ้นเจ้าต้องถูกทรมานแน่! เผลอๆมันจะก่อกวนบีบคั้นให้เจ้าเลือกประลองเป็นตายเข้าสักวัน!!”


 


ขณะที่กล่าวถึงเรื่องนี้ออกมา สีหน้าจูลู่ฉีก็จริงจังเอาเรื่องนัก


 


“ทั้งสองคนใจเย็นๆก่อน…ข้าย่อมรักชีวิตตัวเองและไม่คิดล้อเล่นกับชีวิตแน่! ข้ายังมีหลายอย่างที่ข้าต้องกระทำ แน่นอนว่าข้าต้องเอาตัวรอดไปให้ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนฟังคำกล่าวเตือนก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


 


เขาเองก็ใช้ชีวิตมา 2 ชาติแล้ว ด้วยความลำบากที่บุกบั่นผ่านมา เขาไม่คิดทำอะไรหุนหันพลันแล่นแม้แต่น้อย


 


หากเขาเจอคนที่พลังฝีมือเหนือกว่ามาตามรังควาญทุบตีจริงๆ ขอเพียงไม่ตายเขาจะอดทนเอาไว้ให้ถึงที่สุด! คำลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สายเขารู้ดี!


 


แสวงหาความตายอย่างตัวโง่งมไม่มีอยู่ในพจนานุกรมเขา ต้วนหลิงเทียน!


 


“อย่างไรก็ตามไฉนอาวุโสเถิงชานก็มาเลือกเจ้าเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬอีกคนเล่า มิใช่อาวุโสประทับใจเจ้าหรือไร มิใช่ควรแนะนำให้เจ้าเลือกแท่นบูชาอื่นเพื่อความปลอดภัยของเจ้ารึไง?”


 


กู่ลี่ที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนตัดสินใจไปแล้วก็ไม่คิดกล่าวใดอีก เพียงย่นคิ้วเป็นปมกล่าวถามออกมาขณะมองสลับไปมาระหว่างอาวุโสเถิงชานกับต้วนหลิงเทียนด้วยความไม่เข้าใจ


 


จูลู่ฉีเองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสัยเช่นกัน


 


“ผู้อาวุโสเถิงชานก็ไม่อยากให้ข้าเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬหรอก…แต่ข้าเป็นคนขอให้ท่านเลือกข้าเอง!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เอ๊า! ทำไมเล่าน้องหลิงเทียน?”


 


ทั้งกู่ลี่และจูลู่ฉีสับสนงุนงงเป็นไก่ตาแตกแล้วจริงๆ ด้วยไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงกระทำเช่นนี้ นี่ไม่ใช่กำลังละเล่นกับชีวิตตัวเองรึไง?


 


“เพราะข้าต้องการเวทย์พลังสายป้องกันระดับสูงประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ…ปราการเต่าทมิฬ!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายคมกล้าสว่างวาบ กล่าวตอบทั้งคู่ไปเสียงดังฟังชัด


 


ได้ยินคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน กุ่ลี่กับจูลู่ฉีถึงกับหมดคำจะพูด


 


กล่าวให้ชัดเรื่องของเรื่องก็คือ…ไม่แน่ว่าจะทำความเข้าใจแลเพาะสร้างเวทย์พลังนั่นได้สำเร็จหรือไม่ แต่กลับพาตัวเข้าจุดอับเลือกจะเสี่ยงอันตรายด้วยเหตุผลเพราะอยากได้?


 


พวกมันทั้งคู่ลองถามตัวเองดู หากอยู่ในจุดเดียวกันจะทำแบบต้วนหลิงเทียนไหม…ไม่มีทางทำแน่!


 


“น้องหลิงเทียน!”


 


ทันใดนั้นคล้ายคิดอะไรบางอย่างได้ออก สองตากู่ลี่พลันทอประกายเรืองวูบขึ้นมา เร่งมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนทันที “เจ้าบอกผู้อาวุโสเถิงชานได้หรือไม่ ว่าให้เลือกข้าเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬด้วย! เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่หลี่อันส่งมาสร้างปัญหาคนเดียวแล้ว!”


 


“ดี!”


 


จูลู่ฉีก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน “เจ้าบอกให้อาวุโสเถิงชานเลือกข้าด้วย…ด้วยมีข้ากับกู่ลี่คอยกันท่าและช่วยเหลือเจ้าอีกแรง พวกเราสามารถแบ่งเบาภาระและแรงกดดันให้เจ้าได้!”


 


ได้ยินคำของกู่ลี่กับจูลู่ฉี ต้วนหลิงเทียนรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจยิ่งนัก!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูลู่ฉีที่ไม่ได้สนิทกับเขาเหมือนกู่ลี่ แต่อีกฝ่ายก็กล่าวออกจากใจยินดีร่วมหัวจมท้ายไปกับเขาในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้…


ตอนที่ 1,901 : ทะลวงผ่าน…เซียนมนุษย์!


 


หากแต่ต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่จะฉุดลากมิตรสหายลงปลักโคลนหรือไม่?


 


ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจลงมือทันที


 


“อาวุโสเถิงชาน ข้าคิดรบกวนท่านอีกสักครา ใน 3 แท่นบูชาอื่นมีผู้ใดเป็นสหายของท่านหรือไม่? หากมีข้าอยากร้องขอให้ท่านช่วยกล่าวบอกสหายของท่านให้เลือกสหายของข้าไปเข้าร่วมแท่นบูชาด้วยที ข้าไม่อยากให้สหายข้าอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ…”


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งกล่าวส่งเสียงถึงอาวุโสเถิงชานอย่างไม่รอช้า


 


เพราะตอนนี้เขาพึ่งได้ก็แต่อาวุโสเถิงชานเท่านั้น


 


ก่อนที่หลี่อันจะฉุกคิดขึ้นได้และนึกถึงกู่ลี่กับจูลู่ฉีขึ้นมา เขาอยากให้ทั้งคู่ถูกเลือกไปแท่นบูชาอื่นโดยเร็วที่สุด!


 


กู่ลี่กับจู่ลู่ฉีกำลังคิดถึงเขา ไหนเลยเขาจะไม่คิดถึงกู่ลี่และจูลู่ฉี?


 


“เจ้ามิอยากให้สหายเดือดร้อนเพราะเจ้าหรือ?”


 


ได้ยินเสียงที่ส่งมาของต้วนหลิงเทียน สายตาของเถิงชานพลันเผยประกายชื่นชมขึ้นมาอีกหลายส่วน!


 


นับว่าหาได้ยากนัก อัจฉริยะที่กอปรทั้ง พรสวรรค์ พลังฝีมือ และคุณธรรมน้ำมิตร!


 


จังหวะนี้ความประทับใจในตัวต้วนหลิงเทียนของมันทวีสูงขึ้นไปอีกขั้น


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“เรื่องเพียงเท่านี้ข้ายินดีช่วยเจ้า”


 


เสียงรับปากของเงชานส่งมาถึงต้วนหลิงเทียนแทบจะทันที ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งอกและสำนึกบุญคุณเถิงชานไม่น้อย


 


ครู่ต่อมากู่ลี่กับจูลู่ฉีก็มองไปยังเถิงชานด้วยสายตาวาดหวัง เพราะทั้งคู่ก็สังเกตเห็นการแลกเปลี่ยนสายตาของเถิงชานกับต้วนหลิงเทียน จึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังกล่าวบอกเถิงชานให้เลือกพวกมัน


 


แต่ทว่าในขณะที่พวกมันกำลังคาดหวังนั้นเอง เถิงชานกลับไม่ได้เลือกมัน แต่เป็นอาวุโสจากแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวและนกไฟ ที่ยิงลำแสงมาเลือกพวกมันอย่างพร้อมเพรียง!


 


หากทั้งคู่ถูกเลือกไปในเวลาที่ต่างกัน พวกมันจะไม่เอะใจสงสัยอะไร


 


แต่ตอนนี้พวกมันกลับถูกเลือกเฟ้นในรอบเดียวกัน พวกมันจึงอดสงสัยไปไมได้!


 


“น้องหลิงเทียน เจ้าขอให้อาวุโสเถิงชานบอกอาวุโสของแท่นบูชานกไฟเลือกข้างั้นเหรอ?”


 


หลังจากเหินร่างไปหยุดลอยด้านหลังผู้อาวุโสของแท่นบูชานกไฟแล้ว กู่ลี่ก็ส่งเสียงกล่าวถามถึงต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที เพราะมันสงสัยว่านี่เป็นฝีมือต้วนหลิงเทียน แต่ก็ยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่…


 


“เป็นเจ้าหรือ?”


 


จูลู่ฉีที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังอาวุโสแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวแล้ว ก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนทันที น้ำเสียงยังเผยถึงความไม่พอใจชัดเจน


 


“ผ่อนคลาย พวกท่านไม่ต้องห่วงข้าสามารถดูแลตัวเองได้…กลับกันข้าไม่อยากให้มีใครอยู่รอบกายเพราะนั่นจะยิ่งทำให้ข้าเคลื่อนไหวลำบาก…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่คาดไว้แล้วว่าต้องถูกทั้งคู่ถามมาแบบนี้แน่ จึงกลั้นใจกล่าวตอบไปด้วยคำพูดแรงๆที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว แข็งใจตอนนี้ดีกว่าทนเศร้าใจเพราะสหายเกิดเรื่อง…


 


“เจ้ากลัวว่าข้าจะเป็นตัวถ่วงฉุดลากเจ้าหรือ?”


 


กู่ลี่ขมวดคิ้ว ด้วยความไม่พอใจ


 


จูลู่ฉีไม่กล่าวอะไรออกมาอีก แต่จากแววตาก็เผยให้เห็นชัดว่ามันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง


 


อย่างไรก็ตามพวกมันรู้ดีว่าเรื่องนี้ถูกตัดสินแล้ว และมิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก จึงไร้ประโยชน์อันใดที่จะกล่าวตำหนิต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นพวกมันจึงไม่คิดจะยุ่งกับเรื่องนี้อีกต่อไป ที่สำคัญพวกมันไหนเลยจะเป็นชนชั้นโง่เขลาไม่รับรู้ถึงความห่วงใยของต้วนหลิงเทียน?


 


“หืม?”


 


ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นอาวุโสที่มีสัมพันธ์อันดีกับเถิงชานจากป้อมพยัคฆ์ขาวและนกไฟเลือกสหายสองคนของต้วนหลิงเทียนไปอย่างพร้อมเพรียง หลี่อันก็ตระหนักถึงเรื่องราวได้ทันที…


 


‘บัดซบ! ข้าลืมพวกมันไปได้อย่างไร…สหายของต้วนหลิงเทียน 2 คนนั่น! ถ้าข้าจัดการพวกมันได้ด้วย ต้วนหลิงเทียนต้องยิ่งรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจมากขึ้นแน่!!’


 


หลี่อันรู้สึกเสียใจไม่น้อย ที่มันดันไม่ทันฉุกคิดเรื่องนี้แต่แรก!


 


เมื่อครู่มันกำลังยินดีมีสุขที่ต้วนหลิงเทียนถูกเลือกเข้าแท่นบูชาเต่าทมิฬ จึงลืมสหายทั้ง 2 คนของต้วนหลิงเทียนไปชั่วขณะ มาตอนนี้ถึงรู้ตัวก็สายไปที่จะทำอะไรแล้ว


 


เพราะตอนนี้เรื่องราวได้ข้อยุติเรียบร้อย กู่ลี่กับจูลู่ฉีถูกกำหนดให้เข้าร่วมกับแท่นบูชานกไฟและพยัคฆ์ขาว มันไม่อาจก้าวก่ายชิงตัวคนจากแท่นบูชาของผู้อื่นมาแท่นบูชาเต่าทมิซของมันได้อีกต่อไป…


 


และผู้อาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวกับแท่นบูชาไฟนั่นก็เป็นสหายที่มีสัมพันธ์อันดีกับกู่ลี่ไม่น้อย ต่อให้มันคิดจะชิงกู่ลี่กับจูลู่ฉีกลับมา ทั้งสองคนก็คงไม่มีวันยอมปล่อยคนให้มันแน่!


 


‘ช่างเถอะ…พวกมันมิได้สำคัญอันใด แค่มีต้วนหลิงเทียนน่าตายนั่นอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬก็พอ!’


 


จะอย่างไรหลี่อันก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ เป็นธรรมดาที่มันจะควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี สามารถยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ทันที


 


เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดผู้คนที่มารวมตัวกันที่แท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็ถูกอาวุโสแท่นบูชาต่างๆคัดเลือกจนหมดสิ้น ทุกๆคนถูกเฉลี่ยไปเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬ มังกรคราม พยัคฆ์ขาว นกไฟอย่างเท่าเทียม…


 


อย่างไรก็ตามถึงจะเฉลี่ยกันอย่างเท่าเทียมแล้ว ทว่าแต่ละแท่นบูชาก็ได้คนกลับไปทดสอบคัดเลือกพันกว่าคน!


 


‘การประเมินคัดเลือกศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ลัทธิบูชาไฟครั้งนี้…ดูเหมือนจะคัดคนจนกว่าจะเหลือราวๆร้อยกว่าคนเท่านั้น กล่าวได้ว่าหลังจากนี้ทุกแท่นบูชาไม่เว้นแท่นบูชาเต่าทมิฬก็จำต้องคัดคนออกไปพันกว่า?’


 


มองไปรอบๆกาย ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีคนลอยร่างอยู่รอบๆราวๆพันกว่าคน!


 


หลังจากนั้นไม่นานอาวุโสของอีก 3 ก็กล่าวอำลาเถิงชาน ก่อนที่จะเหินร่างนำศิษย์ที่ถูกเลือกเฟ้นกลับไปทำการทดสอบที่แท่นบูชาของใครของมัน


 


“น้องหลิงเทียน เจ้าจงระวังตัวให้มาก”


 


“ต้วนหลิงเทียน…พึงมีสติกระทำการอย่างรอบคอบ อย่าได้ผลีผลามเด็ดขาด!”


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง กู่ลี่กับจูลู่ฉีก็กล่าวส่งเสียงผ่านปราณมาย้ำเตือนต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ก่อนที่จะเหินร่างติดตามอาวุโสประจำแท่นไป


 


พวกมันกำลังจะไปยังแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวและนกไฟแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงต้วนหลิงเทียน


 


“สบายใจได้เลย ไม่ต้องห่วงข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ พร้อมส่งยิ้มสร้างความมั่นใจให้ทั้งคู่


 


ไม่นานอาวุโสของแท่นบูชาอื่นๆก็พาผู้สมัครทุกคนจากไปจนหมด…


 


ตอนนี้ก็เหลือเพียงเถิงชาน หลี่อัน และผู้สมัครอีกราวๆ พันเศษๆ…


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นหนึ่งในพันเศษๆนั้นด้วย…


 


“การประเมินคัดเลือกจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้…ด้วยเพราะพวกเจ้ายังมิได้ถือว่าเป็นศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ เช่นนั้นพวกเจ้าสามารถอยู่ได้แต่ในบริเวณนี้เท่านั้นจักกินดื่มนอนหลับบ่มเพาะอันใดก็ห้ามมิให้ไปที่อื่น! พรุ่งนี้เมื่อในหมู่พวกเจ้าจำนวนร้อยคนผ่านการประเมินคัดเลือกแล้ว ถึงจะถือว่าเป็นศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ”


 


เถิงชานว่ายตามองไปยังทุกๆคนรวมถึงต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด


 


ทันใดนั้นคนกว่าพันในแท่นบูชา ยกเว้นต้วนหลิงเทียนกับบางคนที่ค่อนข้างสงบ ก็บังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย


 


พวกมันคล้ายได้เห็นภาพตัวเองกำลังผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเป็นศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างเป็นทางการแล้วอย่างไรอย่างนั้น…


 


หลังจากกล่าวเกริ่นจบคำแล้ว เถิงชานก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนค่อยส่งเสียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ต้วนหลิงเทียนนอกจากการทดสอบเบื้องต้นแล้ว การทดสอบเข้าแท่นบูชาเต่าทมิฬที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘พรสวรรค์’ พรุ่งนี้เจ้าจงกระทำเต็มความสามารถอย่างดีที่สุด เพื่อเผยให้ทุกผู้คนได้เห็น…หากเจ้ามีศักยภาพและพรสวรรค์น่ากลัวจริงๆ กระทั่งจ้าวแท่นก็ยังต้องให้ความสนใจเจ้าเป็นพิเศษ…”


 


“และหากจ้าวแท่นบังเกิดความสนใจในตัวเจ้าขึ้นมา ต่อให้หลี่อันมันคิดจัดการกับเจ้ามากเพียงใด มันก็ไม่มีทางกล้าลงมือกับเจ้าออกนอกหน้าแน่นอน!”


 


เถิงชานกล่าวเตือนเสียงเข้ม


 


“ข้าเข้าใจ” ต้วนหลิงเทียนขานตอบพร้อมพยักหน้ารับอย่างจริงจัง


 


และหลังจากที่กล่าวจบเถิงชานก็เหินร่างจากไปทันที โดยไม่สนว่าหลี่อันจะยังอยู่หรือไม่


 


เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้มันจะจากไป แต่ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยั่วยุท้าทายอะไรหลี่อัน ด้านหลี่อันเองก็ไม่กล้าลงมือกับต้วนหลิงเทียนง่ายๆ!


 


เพราะเมื่อหลี่อันมันกล้าลงมือ มันก็ต้องชดใช้ในการกระทำของมัน…และมันอาจถึงขั้นถูกขับออกจากลัทธิบูชาไฟ!


 


ลัทธิบูชาไฟคือ 1 ใน 3 มหาอำนาจของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กฏเกณฑ์อันใดล้วนเข้มงวดกวดขันนัก ไม่ปล่อยให้มีใครละเมิดได้ง่ายๆ


 


และเป็นเพราะกฏเกณฑ์อันเข้มงวดนี้ ลัทธิจึงสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นดำรงอยู่มาได้ตั้งแต่สมัยโบราณ!


 


ดั่งคำกล่าวไว้ว่า “ไม่มีกฏไม่มีมาตรฐาน” ทั้ง 3 ลัทธิรวมถึงลัทธิบูชาไฟจึงยึดถือกฏเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอมา


 


เป็นธรรมดาที่หลังจากเถิงชานจากไปไม่นาน หลี่อันก็จากไปด้วย


 


อย่างไรก็ตามหลี่อันได้หันมามองต้วนหลิงเทียนทิ้งท้ายก่อนที่จะจากไป


 


แววตาของมันช่างเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คนนัก พาลให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวขึ้นมา เพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงเจตนาฆ่าฟันของหลี่อันชัดเจน!


 


เรียกว่าหลี่อันเผยจิตสังหารออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิดใครด้วยซ้ำ!!


 


“คิดฆ่าข้างั้นเหรอ…นั่นก็ต้องดูความอดทนและความตั้งใจของเจ้าด้วย”


 


ปากของต้วนหลิงเทียนยกยิ้มกล่าวเย้ยออกมา


 


เขารู้ดีว่าด้วยพลังฝีมือของหลี่อันตอนนี้ คิดฆ่าเขานั้นเป็นอะไรที่ง่ายดายไม่ต่างตัดหญ้าฆ่าไก่


 


อย่างไรก็ตามหากหลี่อันกล้าฆ่าเขาที่นี่ มันไม่พ้นต้องถูกขับไล่ออกจากลัทธิบูชาไฟแน่!


 


เขารู้ดีแก่ใจว่าหลี่อันมันไม่กล้าฆ่าเขา เพราะมันกลัวถูกขับไล่ออกจากลัทธิบูชาไฟเป็นที่สุด!


 


หาไม่แล้วเขาคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้


 


หลังจากที่หลี่อันเหินร่างจากไป สายตาของผู้คนกว่าพันก็หันมามองต้วนหลิงเทียนทันที ทุกคนเองก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่หลี่อันเผยออกมาโต้งๆ


 


และตอนนี้ในสายตาของคนส่วนใหญ่ก็เผยความสงสารเห็นใจต้วนหลิงเทียนออกมาไม่น้อย


 


“ต้วนหลิงเทียนล่วงเกินหลี่อันไปขนาดนั้น แต่กลับต้องมาอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬ…ถึงไม่ตายก็ต้องเดือดร้อนหนักแน่!”


 


คนส่วนใหญ่เองต่างก็คิดแบบนี้


 


หากแต่ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสอะไรสายตาคนมอง เพียงลอยร่างนั่งขัดสมาธิกลางหาว หลับตาลงและโคจรบ่มเพาะพลังหน้าตาเฉย…


 


‘เหลืออีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว…แต่ก้าวเดียวนี่ทำข้าติดแหง็กมาสักพักแล้ว’


 


เมื่อเริ่มบ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


ด้วยมีเวลาแค่คืนเดียวแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หวังผลเลิศล้ำอะไรมากมาย ไม่คิดว่าจะทะลวงด่านได้สำเร็จเพียงลองโคจรพลังทะลวงจุดรอคอยดูเท่านั้น


 


ทว่าบางครั้งความประหลาดใจก็มาถึงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


 


ปงงง!!


 


มิคาดโคจรพลังทะลวงจุดรอคอยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะกรุยจุดรอคอยได้เท่านั้น…ทว่ากลับพุ่งทะลวงผ่านไปหน้าตาเฉย! ปราณสุริยันแรกกำเนิดของด่านพลังอริยเซียนขั้นสูงสุดเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการวิวัฒน์พัฒนาเข้าสู่ขอบเขตเซียนมนุษย์ทันที และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจน ว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นขุมพลังใหม่!


 


‘นี่มันพลังเซียนงั้นเหรอ!?’


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังขุมใหม่ที่กำลังเพาะสร้างก่อเกิดในร่าง ต้วนหลิงเทียนถึงกับประหลาดใจหนักหนาแล้ว ‘ข้า…ทะลวงด่านแล้ว?’


 


ความก้าวหน้าครั้งนี้ กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทันได้คิดคาดมาก่อน!


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนมักพูดกันว่าความกดดันนับเป็นแรงจูงใจและแรงผลักดันอันดี…ดูเหมือนว่าภัยคุกคามจากหลี่อัน แรงกดดันของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ จะทำให้เส้นประสาทของข้าขึงตึง ทำให้การฝึกปรือของข้าถูกเร่งเร้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว’


 


ต้วนหลิงเทียลอบคาดคิด


 


ความก้าวหน้าครั้งนี้ยืนยันคำกล่าวที่ว่า ‘ความกดดันคือแรงจูงใจ’ ได้ชัดเจน


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียน ก็ชักนำพลังปราณสุริยันทั่วกายให้เข้าสู่กระบวนการวิวัฒน์ และตอนนี้ขุมพลังในร่างเขาก็ไม่ใช่ปราณแรกกำเนิดสืบไป แต่เป็นพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไป หรือก็คือพลังเซียน ที่เหนือกว่าปราณแรกกำเนิดมาก!


 


พลังเซียนนั้นทรงพลังทั้งน่าเกรงขามกว่ากันนัก ยังให้ความรู้สึกอันสุดไพศาล…


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้วนหลิงเทียนเพาะสร้างปรับเปลี่ยนพลังเซียนให้กลายเป็น ‘พลังเซียนสุริยัน’ ก็นับว่าเหนือล้ำยิ่งกว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดมาก!


 


‘พลังเซียนสุริยัน…ช่างร้ายกาจจริงๆ’


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเซียนสุริยันขุมแรกที่เพาะสร้างกำลังโคจรผ่านชีพจรเซียน 99 จุดสายทั่วร่าง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคึกคักอักโขขึ้นมาไม่น้อย ‘ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้ หากข้าแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บและลงมือเต็มพลังล่ะก็ ไม่ต้องใช้อะไรอื่น..กระทั่งเซียนปฐพีขั้นสูงสุดก็ไม่อาจต้านทานข้าได้!’


 


‘หืม? นี่มัน…’


 


ทันใดนั้นเอง คิ้วต้วนหลิงเทียนพลันขมวดเป็นปม เมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง…


ตอนที่ 1,902 : พรสวรรค์วิชาแต่กำเนิดที่แท้จริง!


 


เนื่องเพราะก่อนหน้าความสนใจทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนอยู่ที่ ‘พลังเซียนสุริยัน’ ในร่าง ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่ทันได้สนใจพลังวิญญาณที่ยกระดับขึ้นมาสู่ขอบเขต ‘เซียนมนุษย์’ ไปชั่วขณะ


 


ตอนนี้เมื่อพลังวิญญาณของเขาบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน


 


แต่ในขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทราบว่า ไฉนอยู่ๆเขาถึงไม่อาจควบคุมพลังวิญญาณในร่างได้เลย!


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


ต้วนหลิงเทียนตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อพบว่าให้เขาพยายามควบคุมพลังวิญญาณมากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจควบคุมสั่งการมันได้เลย!


 


“เป็น ม่านตาพิสดาร!”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบสาเหตุ…พลังวิญญาณที่เขาไม่อาจควบคุมตอนนี้ มันกำลังไหลเชี่ยวปานน้ำหลากเข้าสู่ดวงตาข้างซ้ายของเขา!


 


ตาข้างซ้ายนี้ของเขา มันไม่ใช่ดวงตาธรรมดาๆเหมือนคนอื่นๆอีกต่อไปมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว


 


ตาข้างซ้ายเขาได้ผสานเข้ากับดวงเนตรของแร้งมารตาเดียว และเขาเองก็ได้รับความสามารถพิเศษจากมัน


 


อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของความสามารถเหล่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณที่เขามี…


 


และด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนมีทักษะมากมายหลายอย่างที่สามารถเพิ่มพูนพลังสู้รบได้ จนทำให้เขามักจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่ามาโดยตลอด ทำให้ม่านตาพิสดารที่เลิศล้ำจึงมีความสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายต้วนหลิงเทียนเสมือนมีมันไว้ใช้มองสิ่งต่างๆในระยะไกลเท่านั้น…


 


ทว่าวันนี้ด้วยไม่ทราบว่าเพราะเหตุอะไร แต่เสมือนว่ามันกำลังบังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง!


 


“หืม!?”


 


แม้ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนพลันพบว่าหลังจากพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ดวงตาข้างซ้ายไปพักหนึ่ง ลูกตาดวงนี้ของเขาก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ! และหลังจากนั้นไม่ทันไรเขาก็พบว่าพลังวิญญาณที่คล้ายปั่นป่วนไม่อาจควบคุมได้ก่อนหน้า พลันอันตรธานหายไปจากตาซ้ายของเขาอย่างไร้ร่องรอย!!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนดวงตาข้างซ้ายมันว่างเปล่าและไร้ซึ่งความสามารถอะไรอีกต่อไป


 


อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอีกอย่าง


 


อีกทั้งต้วนหลิงเทียนยังตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย เพราะเขาพบว่าพลังวิญญาณที่อันตรธานหายไปจากตาซ้ายนั้น ดูเหมือนที่แท้มันจะไปอยู่ในชีพจรเซียน 99 จุดสายทั่วร่าง!!


 


หลังจากนั้นไม่ทันไรเขาก็พบว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม เคล็ดที่สิบ 9 มังกรของเขามันเริ่มโคจรด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ!


 


แน่นอนว่าเคล็ด 9 มังกรที่ว่า ก็เป็นเคล็ดโคจรเพาะสร้างพลังที่ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาจากสระชำระมังกรเรียบร้อยแล้ว…


 


อย่างไรก็ตามการโคจรของเคล็ด 9 มังกรรอบนี้กลับพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง เพราะมันไม่ได้ชักนำพลังเซียนของเขาไปโคจตรอะไร!


 


เคล็ด 9 มังกรที่เริ่มต้นโคจรด้วยตัวเองตอนนี้…กลับชักนำพลังวิญญาณของเขาไปโคจรหมุนเวียนแทน!


 


‘อะไรกัน!? พลังวิญญาณถูกชักนำให้โคจรตามเส้นทางแบบนี้ได้ด้วย?’


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับอื้ออึงไปทันทีเมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องราวแปลกประหลาดแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาเห็นพลังวิญญาณของเขาโคจรหมุนเวียนแบบนี้ อีกทั้งเขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาก่อน


 


‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?’


 


ต้วนหลิงเทียนงุนงงแล้วจริงๆ


 


ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบอีกว่า…


 


พลังวิญญาณของเขาที่หลุดพ้นการควบคุม หลังโคจรหมุนเวียนตามเคล็ด 9 มังกร…ดูเหมือนมันจะไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป  คล้ายจะมีบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น…!


 


แต่เนื่องจากตอนนี้พลังวิญญาณมันหลุดการควบคุมของเขาไปแล้ว เขาก็เลยไม่อาจตรวจสอบได้ว่าบางสิ่งที่ว่า มันคืออะไรกันแน่!


 


แต่เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าอะไรก็ตามที่แฝงอยู่ในพลังวิญญาณของเขา ไม่สมควรเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเขา…


 


ไม่ทราบว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วกันแน่…


 


บางครั้งก็รู้สึกเนิ่นนานปานศตวรรษ หากแต่บางครั้งก็เสมือนชั่วพริบตาอันแสนสั้น


 


แต่ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็พบว่า เคล็ด 9 มังกร ของเขาหยุดโคจรหมุนเวียนลงแล้ว และพลังวิญญาณที่หลุดพ้นความควบคุม ในที่สุดก็กลับมาอยู่ในความคิดของเขาอีกครั้ง พวกมันพากันหลั่งไหลไปกักเก็บไว้ในดวงจิตอย่างที่ควรจะเป็น…


 


ในขณะที่พลังวิญญาณกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ดวงจิต ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา


 


ความรู้สึกดังกล่าวคล้ายวิญญาณลอยล่องออกจากร่าง…


 


และเมื่อกลับมารู้สึกตัวเขาก็พบว่า ตอนนี้พลังวิญญาณได้หวนกลับมาอยู่ในความควบคุมของเขาอีกครั้ง ‘พลังวิญญาณในตอนนี้มันต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง…ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพลังวิญญาณระดับเซียนมนุษย์ แต่คล้ายจะมีบางอย่างเพิ่มเข้ามา’


 


‘และ…ดูเหมือนว่าบางอย่างที่เพิ่มเข้ามา มันอยากจะไหลไปที่ม่านตาพิสดาร’


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบความแปลกประหลาดดังกล่าว


 


ถึงแม้พลังวิญญาณของเขาจะหวนกลับมาอยู่ในความตควบคุมแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะมีชีวิตจิตใจขึ้นมา คล้ายมันอยากไหลไปหลอมรวมเข้ากับม่านตาพิสดารอย่างไรอย่างนั้น!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ก็รีบหยุดมันก่อนอื่นใด


 


หลังจากตระหนักได้ว่าแม้พลังวิญญาณจะยังคงพยายามไหลไป แต่สุดท้ายมันก็ยังอยู่ในความควบคุมของเขา ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


ความรู้สึกที่สามารถควบคุมพลังวิญญาณได้อีกครั้งเป็นอะไรที่ดีมาก!


 


‘ทำไมอยู่ๆมันถึงมีแรงกระตุ้นอะไรแปลกๆแบบนี้…อ่า! งั้นลองให้มันไหลไปรวมกับม่านตาพิสดารดู จะได้รู้ว่าที่แท้มันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่!’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เป็นฝ่ายควบคุมพลังวิญญาณให้ไหลลงสู่ตาซ้ายของเขาเอง


 


ในกระบวนการดังกล่าว แน่นอนว่าอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกกังวลและไม่สบายใจ


 


นั่นเพราะอยู่ๆพลังวิญญาณของเขาก็ผิดแปลกไปจากเดิม กระทั่งคล้ายจะดื้อรั้นแม้กระทั่งกับเจ้าของ!


 


และในขณะที่พลังวิญญาณไหลลงสู่ม่านตาพิสดารนั้น ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าตาซ้ายของเขากำลังดูดซับพลังวิญญาณอย่างโหยหิว! ราวกับแผ่นดินที่แห้งแล้งเจียนเป็นทรายดูดซับฝนแรกในรอบหลายปี!!


 


เมื่อตาซ้ายของเขาดูดซับพลังวิญญาณลงไปจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนดวงตาข้างซ้ายของเขามันร้อนขึ้น! และยังทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายอึดอัดแปลกๆ


 


พริบตานี้ไม่ทราบเพราะอะไร แต่เขารู้สึกเสมือนอยากลืมตาขึ้นมาเป็นที่สุด!


 


ลูกตาซ้ายของเขาคล้ายกักเก็บบางสิ่งเอาไว้เต็มเปี่ยม และจำต้องปลดปล่อยมันออก!


 


‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?’


 


ต้วนหลิงเทียนตอนนี้มึนงงไม่รู้เหนือใต้แล้ว ด้วยไม่ทราบจริงๆว่านี่มันอะไรกันแน่!


 


อย่างไรก็ตามเขาเลือกจะลืมตาขึ้นมา


 


และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่ายามนี้ฟ้าเริ่มแทแสงสว่างอ่อนๆ เป็นเวลาย่ำรุ่งแล้ว


 


‘มันจะระเบิดแล้ว!’


 


ทันใดนั้นความสนใจทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดกับตาซ้ายทันที ตอนนี้ม่านตาพิสดารเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ รู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น!


 


‘หืม?’


 


ในขณะเดียวกัน เมื่อต้วนหลิงเทียนพยามมองสิ่งต่างๆด้วยตาซ้าย เขาก็พบว่าทุ่งสิ่งที่เขาแลเห็นในตาข้างซ้ายไม่เพียงจะถูกขยายใหญ่เสมือนใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ยังจดจ่อเพ่งเล็งเขม็ง!


 


ความรู้สึกดังกล่าวเป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นชินมาก! มันเหมือนวินาทีสังหารยามดวงตาเขาเล็งเป้าหมายผ่านลำกล้องปืนไรเฟิลซุ่มยิง!!


 


‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ รู้สึกเหมือนพลังวิญญาณที่อัดแน่นในตาซ้ายมันจะยิงพุ่งออกมายังไงยังงั้น…ราวกับขอเพียงคิดมันก็จะยิง…อะไร!? มันยิงออกมาได้จริงๆ!!’


 


ต้วนหลิงเทียนตื่นตระหนกไม่น้อย เขาพบว่าพอคิดจะยิงอะไรสักอย่าง พลังวิญญาณที่สะสมไว้ในลูกตาข้างซ้ายกลับยิงพุ่งออกไปจริงๆ!


 


พลังวิญญาณที่ยิงพุ่งออกมามันควบแน่นจนแทบมีสภาพให้จับต้อง อีกทั้งยังอยู่ในรูปลักษณ์มังกรเทพยาดา!


 


และพลังวิญญาณลักษณ์มังกรเทพยาดาที่ว่า ก็ถูกยิงไปยังจุดที่เขาเพ่งเล็งก่อนหน้า!


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่จุดเพ่งเล็งที่ว่ามันอยู่บนฟ้า เช่นนั้นพลังวิญญาณขุมดังกล่าวก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป โดยไม่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนอะไรทั้งสิ้น


 


‘ยิงออกไปครั้งหนึ่ง กินพลังวิญญาณที่สะสมไว้ไปครึ่งงั้นเหรอ…’


 


หลังจากยิงพลังออกไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนพบว่าพลังวิญญาณที่สะสมไว้ในดวงตาข้างซ้ายยังหลงเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง


 


และตอนนี้เขายังสัมผัสได้ชัดว่าพลังวิญญาณในตาซ้ายก็เริ่มกระบวนการสะสมพลังอีกครั้ง เพื่อชดเชยเติมเต็มพลังวิญญาณส่วนที่ขาดพร่องไป…


 


‘นี่มันพลังวิญญาณจู่โจม…อำนาจจิตหรือ?’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตระหนักได้แล้วว่าพลังวิญญาณที่ตาซ้ายเขายิงพุ่งออกมาเมื่อครู่ คล้ายจะเป็นการโจมตีด้วยพลังวิญญาณ!


 


ยิ่งกว่านั้นการโจมตีด้วยพลังวิญญาณของเขายังเท่มาก! เพราะมันยิงพุ่งออกไปเป็นรูปลักษณ์มังกรเทพยาดา!!


 


‘ไปไหนหมดนะ…เจอแล้ว’


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนว่ายมองไปรอบๆพักหนึ่ง ก็พบแมลงตัวหนึ่งเกาะอยู่บนลำต้นของต้นไม้ประหลาดไกลตา เขาใช้ม่านตาพิสดารจดจ่อเพ่งเล็งมันทันที


 


‘ยิง’


 


เท่าทันความคิด ม่านตาพิสดารยิงพุ่งพลังวิญญาณลักษณ์มังกรเทพยาดาขุมหนึ่งออกไปในฉับพลัน พลังวิญญาณที่ว่าถูกควบคุมให้เล็กเท่าเข็ม มันพุ่งทะยานเข้าหัวแมลงตัวดังกล่าวที่ห่างออกไปแสนไกลเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันจะมองเห็นอย่างแม่นยำ!!


 


จากฉากนี้ เห็นชัดว่าการเล็งยิงของต้วนหลิงเทียนมันน่าขนลุกปานใด!


 


และพร้อมๆกันกับยิงพลังวิญญาณออกไป ต้วนหลิงเทียนก็แผ่พุ่งสำนึกเทวะออกไปสำรวจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น


 


จิตวิญญาณที่แสนอ่อนแอของแมลงตัวดังกล่าว เขาก็สัมผัสได้ทันที


 


ทว่าวินาทีที่พลังวิญญาณลักษณ์มังกรเล็กเท่าเข็มของเขาทะลวงเข้าศีรษะแมลงดังกล่าว สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนก็พบว่าจิตวิญญาณแสนอ่อนแอบางเบานั่น กลับหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย!


 


เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณแล้ว ร่างของแมลงดังกล่าวก็เสมือนเปลือกที่มีชีวิต ร่วงตกจากต้นไม้ราวถูกปลิดขั้ว…


 


‘นี่คืออำนาจจิตจริงๆ…แถมยังเป็นอำนาจจิตสายจู่โจมจิตวิญญาณโดยตรง!’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ทั่วร่างลุกซู่! เพราะเรื่องราวมันประหลาดจ!!


 


เขาอดจินตนาการไปไม่ได้จริงๆ…ว่าถ้าอีกฝ่ายถูกเขาลงมือจู่โจมด้วยสิ่งนี้ทีเผลอจะเป็นอย่างไร!


 


ถึงแม้ว่าในทวีปเมฆาครามอันเป็นทวีปมนุษย์ ต้วนหลิงเทียนจะเคยมีโอกาสได้ใช้อำนาจจิตอย่างพันมายาลวงตามาบ้างแล้ว


 


แต่ความรู้สึกที่เขาได้จากการมีพันมายาลวงตา มันแตกต่างจากความรู้สึกที่มีอำนาจจิตจู่โจมจากม่านตาพิสดารวันนี้มากมายนัก!!


 


‘จากความรู้สึกเหมือนว่าอำนาจจิตจู่โจมจากม่านตาพิสดารนี่…ต่อให้เป็นเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ถ้าโดนเข้าก็ไม่น่ารอด! และถึงจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนปฐพี พวกมันก็ไม่อาจทนรับได้อย่างไร้เรื่องราวและต้องได้รับผลกระทบหนักแน่!’


 


คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าปอดดังเฮือก!


 


“สถานการณ์เรื่องราวกลับแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้…”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงหนึ่งส่งตรงถึงหู ทำให้เขาหลุดจากอาการเหม่อคิดทันที


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของเสียง


 


ยังเร่งกล่าวถามออกไปทันทีราวกับไขว่คว้าฟางช่วยชีวิต “ผู้เฒ่าหั่ว ทำไมม่านตาพิสดารของข้าอยู่ดีๆถึงเปลี่ยนไปมากเลยล่ะหลังข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์?”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเล่าสิ่งที่เขาประสบพบเจอมาเมื่อครู่ออกไปอย่างไม่มีกักเก็บ


 


“ฟังจากที่เจ้าเล่า…ดูเหมือนม่านตาพิสดารของเจ้าจะมีความสอดคล้องบางประการกลับเคล็ดบ่มเพาะที่ได้รับการพัฒนาจากสระชำระมังกร…สำหรับพลังวิญญาณที่เจ้ายิงออกไปโดยใช้ม่านตาพิสดารนั่น หากข้าไม่ผิดพลาดมันสมควรเป็นอำนาจจิตจู่โจมจริงๆ!”


 


หลังได้ยินคำอธิบายของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวตอบทันที “เจ้าจักคิดว่ามันคือความสามารถแต่กำเนิด หรือพรสวรรค์วิชาก็ได้”


 


“ความสามารถแต่กำเนิด? พรสวรรค์วิชาเหมือนอย่างที่สัตว์อสูรปีศาจหรือมนุษย์กลายพันธุ์มีน่ะเหรอ?”


 


ความสามารถแต่กำเนิดหรือพรสวรรค์วิชานั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนที่เคยอยู่ในทวีปเมฆาล่องมาก่อน


 


“ความสามารถแต่กำเนิดหรือพรสวรรค์ที่เจ้าเคยพบเจอมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นทักษะวิญญาณสืบทอดเท่านั้น! ความสามารถแต่กำเนิดหรือพรสวรรค์วิชาที่แท้จริง ล้วนเป็นทักษะเทวะและมิได้อ่อนด้อยไปกว่าเวทย์พลังระดับสูงแม้แต่น้อย!”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


ตอนที่ 1,903 : ได้อย่างเสียอย่าง!


 


“ความสามารถแต่กำเนิดที่แท้จริงเป็นทักษะเทวะที่ไม่ด้อยไปกว่าเวทย์พลังระดับสูง…”


 


เสียงของผู้เฒ่าหั่วก้องอยู่ในหูต้วนหลิงเทียน ทำลายความรู้ความเข้าใจก่อนหน้านี้ของเขาจนหมด!


 


ที่แท้อำนาจจิตพันมายาลวงตาที่เขาเคยใช้ในทวีปมนุษย์ และรู้สึกว่ามันเป็นดั่งความสามารถแต่กำเนิดของสัตว์อสูรปีศาจ…ไม่เพียงแต่จะไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถแต่กำเนิด แต่ยังเป็นอะไรที่อ่อนด้อยกว่ามาก…!


 


พอได้ฟังจากปากของผู้เฒ่าหั่ว วันนี้เขาเลยได้รู้ว่าไอ้ความสามารถแต่กำเนิดที่เขารู้จักในทวีปเมฆาล่อง ล้วนไม่ใช่ความสามารถแต่กำเนิดที่แท้จริงทั้งสิ้น!


 


เพราะความสามารถแต่กำเนิดที่แท้จริง มันจะไม่อ่อนด้อยไปกว่าเวทย์พลังระดับสูง!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว เช่นนั้นหมายความว่าอำนาจจิตที่ม่านตาพิสดารข้าใช้ออก…คือสิ่งที่ทัดเทียมเวทย์พลัง ทั้งยังเป็นเวทย์พลังระดับสูง?”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยายามระงับความตื่นเต้น หากแต่เสียงเขายังสั่นไม่หาย!


 


“มิผิด”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ฟังจากที่เจ้าเล่ามา…พลังทำลายของความสามารถที่เจ้าได้มา ดูเหมือนจะยังสามารถเพิ่มพูนได้อีก ยกตัวอย่างเช่นหากเจ้าลองควบแน่นพลังวิญญาณทั้งหมดเข้าสู่ม่านตาพิสดารแล้วปลดปล่อยออกมาทีเดียว อานุภาพของมันต้องรุนแรงขึ้นแน่…กระทั่งอาจจะปรับเปลี่ยนอื่นใด”


 


“แน่นอนว่าเรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า…กาลก่อนข้าเองก็พอรู้มาว่าความสามารถแต่กำเนิดของแร้งมารตาเดียวไม่ง่าย แต่ไม่คิดเลยสุดท้ายเจ้ากลับโชคดีได้รับมันมาครอง เพราะดันมีบางสิ่งสอดคล้องกับเคล็ดบ่มเพาะที่ปรับปรุงแล้วของเจ้า…”


 


กล่าวถึงประโยคท้าย ผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เวทย์พลังสายจู่โจมนั้น ปกติก็แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ เวทย์พลังสายจู่โจมกายภาพกับเวทย์พลังสายจู่โจมวิญญาณ…อย่างหลังนั้นยากที่จะหาต้นแบบเวทย์พลังไว้เพาะสร้างทำความเข้าใจ”


 


“อีกทั้งเวทย์พลังสายจู่โจมวิญญาณนั้น ก็เป็นอะไรที่ทรงพลังเหนือกว่าทักษะลับจู่โจมวิญญาณทั่วไปอย่างยิ่ง…ความต่างของมัน ก็เสมือนความแตกต่างระหว่าง เวทย์พลังระดับสูงกับวิชายุทธ์ทั่วไป…”


 


ผู้เฒ่ากล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


ได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนจำต้องนิ่งเงียบไปพักใหญ่เพื่อย่อยข้อมูลต่างๆ และทำความเข้าใจ


 


สุดท้ายเขาก็สรุปได้…


 


คราวนี้เขาโชคดีแล้ว!!


 


‘แค่ระยะเวลาชั่วข้ามคืนเท่านั้น แต่ไม่เพียงด่านพลังของข้าจะยกระดับ แต่ข้ายังมีโชคได้รับเวทย์พลังสายจู่โจมวิญญาณระดับสูงมาอีก’


 


ยิ้มกว้างเผยให้เห็นบนใบหน้าต้วนหลิงเทียนอย่างชัดเจน!


 


ตอนนี้เขาย่อมอยากยกระดับพลังฝีมือให้ได้โดยเร็วที่สุด!


 


เพราะรู้ตัวดี ว่าตอนนี้แม้จะมาถึงลัทธิบูชาไฟแล้ว แต่พลังฝีมือเขายังไม่สูงพอ คงยากที่จะช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกออกมาได้เว้นเสียแต่จะใช้ทางลัด…แต่อันที่จริงกระทั่งจะได้เห็นทั้งคู่หรือไม่เขายังไม่รู้เลย!


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เมื่อพลังฝีมือเขาสูงขึ้นเขาย่อมดีใจมาก!


 


ตลอดชั่วชีวิตเขาไม่เคยกระหายในความแข็งแกร่งมากเท่านี้มาก่อนเลย!


 


“จริงสิผู้เฒ่าหั่ว แล้วที่ท่านกล่าวว่าเรื่องราวต่างจากที่ท่านคิดไว้ มันคืออะไรหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา หลังจากที่สงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว


 


เขาเองก็ยังจำได้ ว่าประโยคแรกที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวทักก็คือ ‘สถานการณ์เรื่องราวกลับแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้’


 


 


อย่างไรก็ตามจังหวะนั้นใจเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลงของม่านตาพิสดาร ทำให้ไม่ทันสนใจคำที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าว รีบถามเรื่องม่านตาพิสดารจากผู้เฒ่าหั่วก่อน


 


มาตอนนี้ความเปลี่ยนแปลงของม่านตาพิสดารได้กระจ่างแล้ว เขาจึงนึกถึงคำของผู้เฒ่าหั่วขึ้นมาได้


 


“ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้ว…”


 


เสียงกล่าวของผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ พาลให้สติอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นแจ่มใสเบิกบานขึ้นมาอีกครา ร่างยังถึงกับสั่นเทิ้มไปด้วยความตื่นเต้น!


 


ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมเสร็จแล้ว!


 


นี่นับเป็นข่าวดีสำหรับต้วนหลิงเทียนจริงๆ!


 


“โชค 3 ชั้น! นับเป็นโชค 3 ชั้นจริงๆ!!”


 


ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความตื่นเต้นยินดีออกมาถึงขีดสุด แววตาเผยความลิงโลดออกมาอย่างไม่อาจปกปิด เนิ่นนานกว่าจะสงบลง เพราะเรื่องดีกลับเกิดขึ้นถึง 3 เรื่องติดต่อ!


 


ก่อนอื่นเลยก็คือด่านพลังของเขาสามารถบุกทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ในการทดลองทะลวงด่านเพียงครั้งเดียว! จากนั้นเรื่องดีที่สองก็คือได้รับอำนาจจิตที่เทียบได้กับเวทย์พลังสายจู่โจมวิญญาณระดับสูง เรื่องที่สามก็คือผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกว่า ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมเสร็จแล้ว!


 


โชค 3 ชั้นที่มาถึงพร้อมกัน ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจครั้งใหญ่จริงๆ!


 


“แบบนี้ต่อไปข้าก็มีสถานที่บ่มเพาะอันเลิศล้ำ…แถมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สมควรมีอัตราการไหลของเวลาช้ากว่าชั้น 3 มาก หากเดาไม่ผิดด้านใน 8 วันด้านนอกพึ่งผ่านพ้นไปได้วันเดียวเท่านั้น!”


 


ต้วนหลิงเทียนพึมพำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีถึงขีดสุด “นอกจากนี้ วันหน้าหากข้าเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจสู้ไหวข้าสามารถซ่อนตัวในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อหลบภัยได้!”


 


“ข้าเกรงว่าเจ้าคงมิอาจหลบภัยได้แล้วล่ะ…”


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังพูดคนเดียวด้วยความดีใจอยู่นั้นเอง เสียงของผู้เฒ่าหั่วพลันดังขึ้นต่อจากประโยคสุดท้ายของต้วนหลิงเทียนทันที…


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านหมายความว่าอะไร?”


 


ได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้นของต้วนหลิงเทียนชะงักลงทันที กระทั่งรอยยิ้มยินดีบนใบหน้ายังค้างเติ่ง กลับกลายเป็นขมวดคิ้วยู่ย่นทันที


 


มาตอนนี้เขาพลันตระหนักได้ถึงบางอย่าง…


 


ดูเหมือนเรื่องราวจะต่างจากที่เขาคิดเอาไว้เสียแล้ว!


 


หาไม่แล้วผู้เฒ่าหั่วคงไม่กล่าวคำขัดดั่งราดน้ำเย็นรดศีรษะเขาแบบนี้!!


 


“ถึงแม้ชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลงจะซ่อมเสร็จสมบูรณ์แล้ว หากแต่มิติภายในเจดีย์กลับมิได้มั่นคงเท่าที่คิด…ยังไม่อาจใช้มันเพื่อซ่อนตัวหลบภัยอันใดได้”


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบคำถามของต้วนหลิงเทียนกลับทันที


 


“ไฉนเป็นเช่นนั้นไปได้!”


 


ความคิดแรกสุดของต้วนหลิงเทียนคือ ไม่ปักใจเชื่อคำนี้ของผู้เฒ่าหั่ว “ผู้เฒ่าหั่ว ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่…ข้าจำได้ว่าที่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ หากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมเสร็จ ไม่ใช่ว่าห้วงมิติภายในจะมีเสถียรภาพหรอกหรือ?”


 


“และเมื่อมิติภายในมันเสถียรแล้ว ข้าก็สามารถใช้มันซ่อนตัวได้ตลอดเวลา หลบลี้เภทภัยใดๆก็ได้ตามใจ…เพราะข้าจะไม่ถูกขับออกจากเจดีย์แม้ภายนอกจะมีมรสุมอันใด!”


 


กล่าวถึงเรื่องนี้ในน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนยังคงตื่นเต้นไม่น้อย


 


ที่เขาคาดหวังจากชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมากที่สุด นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันดี และห้วงเวลาที่ไหลช้าลงแล้ว ก็คือเสถียรภาพของมิติและพื้นที่ในเจดีย์!


 


และจากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกไว้ ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นเสมือนชั้นกึ่งกลาง หากชั้นนี้สมบูรณ์ดังเดิมมิติและพื้นที่ภายในก็จะมีเสถียรภาพทันที


 


ถึงตอนนั้นหากเขาอยู่ในเจดีย์ ต่อให้โลกภายนอกจะเกิดเหตุการณ์ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย เขาก็ยังอยู่ในเจดีย์ได้อย่างปลอดภัย


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากจะซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ฟื้นฟูดังเดิมเป็นอย่างมาก!


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ได้ถูกซ่อมแซมฟื้นฟูจนสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว ทว่าผู้เฒ่าหั่วกลับมาบอกกับเขาว่า มิติภายในยังไม่เสถียรภาพ มันยังคงไม่มั่นคงเหมือนกาลก่อน และหากเจอเภทภัยอะไรก็ไม่อาจใช้หลบซ่อนตัวได้…


 


จะให้เขายอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?


 


มีคำกล่าวที่ว่า ‘ยิ่งหวังไว้มากเท่าใด ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น’ ประโยคดังกล่าวนับว่าเหมาะจะอธิบายอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ได้ชัดเจน


 


“มิติภายในเจดีย์หลิงหลงกลับเสียหายหนักขึ้นหลังจากมาถึงระนาบโลกียะแห่งนี้…ยังร้ายแรงถึงขั้นที่แม้จะซ่อมชั้น 4 จนฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว แต่มิติภายในยังไม่อาจสร้างเสถียรภาพได้…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว “ในขณะที่ข้าซ่อมแซมชั้น 4 ข้าก็ตระหนักได้ถึงปัญหา…ความเสียหายเชิงพื้นที่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ กลับร้ายแรงเกินกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้มาก อีกทั้งยังเกี่ยวพันสืบเนื่องกับรากฐานของเจดีย์ ตอนนี้เว้นเสียแต่จะซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลงให้สมบูรณ์พร้อม หาไม่แล้วข้าเกรงว่ามิติและพื้นที่ภายในคงยากที่จะมีความเสถียรภาพ…”


 


“ซ่อมแซมให้สมบูรณ์พร้อม…”


 


ได้ยินคำนี้ของผู้เฒ่าหั่วต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา “นั่นต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกัน…”


 


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น…


 


ตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้น 4 มันยิ่งยากเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ!


 


จากการประเมินของต้วนหลิงเทียน เผลอๆต่อให้เขาอยู่ ณ จุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และใช้ทรัพยากรล้ำค่าทั่วทั้งแดนดิน…แต่เกรงว่าคงซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ฟื้นฟูได้ถึงชั้นที่ 6 เป็นอย่างมาก…


 


เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ความยากในการฟื้นฟูชั้นถัดไปเรียกว่ามากมายมหาศาลยิ่งกว่าชั้นก่อนหน้าจะเทียบติด อัตราความยากของมันเพิ่มพูนทวีขึ้นยิ่งกว่าเลขยกกำลังเสียอีก!


 


“ แม้ว่ามันจะเป็นชั้นหกในดินแดนแห่งการต่อสู้ดินแดนนี้อาจไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์”


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งหน้าเสียไปกันใหญ่


 


“สวรรค์นับว่าเล่นตลกกับข้าแล้วจริงๆ! ข้าหลงคิดว่าหากชั้น 4 ของเดจีย์หลิงหลง 7 สมบัติฟื้นฟูและมิติภายในมีเสถียรภาพ ข้าอาจจะลอบเข้าไปหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟโดยอาศัยพลังอำนาจของเจดีย์ กระทั่งใช้มันเพื่อช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูก…ตราบใดที่ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์คงไม่มีใครหาข้าพบ…มาตอนนี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปไม่ได้แล้ว!”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงความจริงอันโหดร้ายชัดเจน…ไร้หนทางลัดอื่นใดในการช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกอีกต่อไป


 


จำต้องเดินไปในหนทางตรงเท่านั้น!


 


หนทางใช้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติด้วยอาศัยกลยุทธ์ที่คิดว่าเป็นทางลัดกลับตันเสียแล้ว!


 


ตอนแรกแม้ทางลัดนี้อาจจะเสี่ยงและไม่แน่ใจว่าจะใช้การได้หรือไม่ หากแต่ก็ทำให้เขาเห็นแสงแห่งความหวัง…


 


ทว่าตอนนี้ความหวังดังกล่าวได้ดับลงอย่างสมบูรณ์แล้ว


 


“นอกจากล้มเหลวเรื่องสร้างเสถียรภาพของมิติภายในเจดีย์ แต่หลังจากที่ข้าซ่อมแซมชั้น 4 จนฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ข้ากลับพบว่าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เสียหายรุนแรงกลับพบเรื่องดีในร้ายประการหนึ่ง…และเรื่องนี้ยังทำให้ข้าประหลาดใจไม่น้อย”


 


เสียงของผ็เฒ่าหั่วพลันดังขึ้นอีกครั้ง


 


“พบเรื่องดีในร้าย? น่าประหลาดใจ?”


 


ต้วนหลิงเทียนสงสัยทันที


 


“อันที่จริงแล้วการไหลของห้วงเวลาในชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติกลับไม่ใช่ 8 ต่อ 1 เมื่อเทียบกับห้วงเวลาภายนอก…อัตราการไหลของห้วงเวลา 8 ต่อ 1 นั้น มันเป็นตอนก่อนที่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจะได้รับความเสียหายตั้งแต่แรกๆ อย่างไรก็ตามเนื่องจาก หลี่จิ้ง มิได้สนใจการไหลของห้วงเวลาในชั้นที่ 4 เพราะมิมีความสำคัญอันใดกับมันอีกต่อไป กระทั่งหลี่จิ้งยังอาจลืมเลือนไปแล้วเสียด้วยซ้ำ…จึงไม่เคยคิดจะซ่อมแซมมันมาก่อนเลย จนสุดท้ายก็มาเกิดเรื่องขึ้น…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


หลี่จิ้ง เป็นเจ้าของที่ถือครองเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นคนสุดท้าย และอีกฝ่ายยังเป็นตัวตนที่มีอยู่ในตำนานของต้วนหลิงเทียนเมื่อชีวิตที่แล้ว ‘โลกบาลหลี่ผู้ถือเจดีย์’ ขุนพลสวรรค์ที่เคยใช้เจดีย์ 7 ชั้นจับซุนหงอคงเอาไว้!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านอย่าบอกข้านะว่า หลังจากที่ท่านซ่อมแซมชั้นที่ 4 จนฟื้นฟูหายดีแล้ว ท่านพบว่าอัตราการไหลของห้วงเวลากลายเป็นช้าลงกว่าของเดิม?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ตัวโง่งม เขาย่อมคาดเดาได้ทันที


 


“ถูกแล้ว”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ตอนนี้อัตราการไหลของห้วงเวลาที่แท้จริงของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลงนั้นก็คือ 10 ต่อ 1…ภายในเจดีย์พ้นผ่านสิบวัน ด้านนอกนั้นพึ่งผ่านพ้นเพียงวันเดียว…”


 


10 ต่อ 1!


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ยังถึงกับต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าเผยความตกตะลึงทั้งตกใจ


 


อันตราการไหลของห้วงเวลาคือ 10 ต่อ 1!


 


หากเทียบกับชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว กล่าวได้ว่ามันช้ากว่ากันถึง 2 เท่า!


 


กล่าวง่ายๆก็คือ…


 


โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลัง อาศัยเพียงการไหลตัวของห้วงเวลาภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาสมควรมากกว่าชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถึง 2 เท่าตัว!


 


 


 


 


 


ปล.อีกไม่กี่วันน่าจะกลับมา 4 ตอนได้แล้ว! รอหน่อยน้า…ตอนนี้นิ้วก้อยเริ่มกระดิกได้แล้ว! แขนก็งอได้นานกว่าเดิมไม่ค่อยชา!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)