War sovereign Soaring The Heavens 1872-1887
ตอนที่ 1,872 : เซี่ยวหลัน ปี้เหยา?
“เทียนเอ๋อ นับจากเวลาแล้ว…เซี่ยวหลันกับปี้เหยาสมควรกลับมาถึงตำหนักเมฆาครามช่วงนี้พอดี”
ในขณะที่กำลังจะเดินทางเข้าเขตตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนทันที
เซี่ยวหลัน…
ปี้เหยา…
เมื่อได้ยิน 2 ชื่อนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปทันใด ในแววตาเต็มไปด้วยความกังวล มองไปยังสุดขอบฟ้าทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามอย่างเหม่อลอย
หลังจากรับทราบว่าบิดาเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม จนเดินทางมาถึงกระทั่งอยู่อาศัยที่ตำหนัก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มนึกถึงสตรีสองคนที่มารดาของเขาพาติดสอยห้อยตามมาจากทวีปเมฆาล่องเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเขาได้รับทราบจากมารดาว่า เซี่ยวหลันกับปี้เหยาได้ออกเดินทางท่องหล้าเพื่อหาประสบการณ์ตั้งแต่หลายปีก่อน และต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะถึงกำหนดกลับมา
วันนั้นด้วยความที่เขาเองก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทั้ง 2 พอได้ฟังจึงรู้สึกโล่งอกไม่น้อย
ตอนนี้พอได้ยินบิดากล่าวถึงสตรีทั้ง 2 ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายถูกฟ้าผ่า คนถึงกับหยุดนิ่งไปทันที
“น้องหลิงเทียน…”
ต้วนหลิงเทียนอยู่ดีๆก็หยุดลงเช่นนี้ กู่ลี่ก็หยุดมองไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมันที่คิดถามไถ่พึ่งปริปากได้ไม่ทันไร ก็เห็นสายตาของต้วนหรูเฟิงที่มองมาพร้อมส่ายหน้าเบาๆ
ทันใดนั้นมันก็ปิดปากเงียบคำทันที
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคล้ายจมอยู่ในความคิด เมินเฉยทั้ง 3 อย่างสมบูรณ์
ไม่ทันรู้ตัว ความคิดเขาก็ลอยล่องไปยังวันวาน ครั้นที่เขายังอยู่ในเมืองประกายแสงของอาณาจักรนภาล่อง
ตอนนั้นเขาได้พบกับเซี่ยวหลันและปี้เหยา
เขายังจดจำได้ดี ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเซี่ยวหลันนั้น เป็นวันที่เขาเดินทางไปยังตระกูลเซี่ยวหมายเข้าร่วมประลองชิงอันดับ 1 ในรายนามมังกรซ่อนที่ตระกูลเซี่ยวเป็นเจ้าภาพ
ฉากที่พบเจอกับเซี่ยวหลันเป็นครั้งแรกก็ยังชัดอยู่ในใจ ภาพจำในวันวานสดใหม่เหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ผมดำขลับของนางที่ทอดยาวลงมาดั่งม่านน้ำตก ร่างบางเพียงยืนอยู่นิ่งๆโดยมีฉากหลังเป็นไอหมอกที่ลอยลงต่ำยามเช้า กลับให้ความรู้สึกเสมือนหมอกควันล่องลอยไม่อาจจับต้อง ปานนางฟ้าน้อยนางหนึ่งลงมาเที่ยวเล่นโลกมนุษย์ด้วยความซุกซน
ในตอนนั้นเขาเองก็ได้ยินมาไม่น้อย ว่าเซี่ยวหลันถือเป็น 1 ใน 3 โฉมงามของเมืองประกายแสง…
ส่วนครั้งแรกที่เขาได้พบกับองค์หญิงปี้เหยานั้น เป็นวังขององค์ชาย 3 ของอาณาจักรนภาล่อง
ตอนนั้นนางนั่งข้างๆองค์ชาย 3 เงียบงัน ผมดำเงางามของนางทอดยาวลงมาปกไหล่ แก้มสีชมพูระเรื่อช่างมีอำนาจเย้ายวนใจผู้คนให้หลงไหลตั้งแต่แรกพบ ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนคล้ายแฝงมนต์มารให้ผู้คนปรารถนาดูดดื่ม
แรกพบดรุณีน้อยงามล่มเมืองทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนเพียงเห็นทั้งคู่เป็นสหายเท่านั้น
แต่ผู้ใดจะไปคิดคาดว่าสตรีทั้ง 2 กลับหลงรักเขา กระทั่งยังรักลึ้งซึ้งอย่างยากจะถอน เซี่ยวหลันยังถึงกับเลือกออกเดินทางจากเมืองประกายแสงเพื่อตามเขาไปที่เมืองหลวงนภาล่อง
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดว่านี่คงเป็นรักแรกพบของดรุณีน้อยวัยใสไร้เดียงสา หลังเขาเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องแล้วพวกนางคงลืมเลือนเขาไปเอง
แต่ผู้ใดจะไปคิดไปฝัน ว่าสตรีทั้ง 2 กลับประทับเขาตรึงตราในใจ แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่พวกนางก็หมั่นมาดูแลมารดาของเขา ราวกับจะตอบแทนคุณมารดาแทนเขา…พาลให้มารดาเขาเห็นพวกนางเป็นดั่งลูกสาว หาไม่แล้วคงไม่นำพาพวกนางมาตำหนักเมฆาครามด้วยแบบนี้
‘นี่มันก็ผ่านไปหลายปีดีดัก…บางทีใจของพวกนางคงแปรเปลี่ยนไปแล้ว จะอย่างไรตอนนั้นพวกนางก็ยังเยาว์นัก แค่รักวัยใสของเด็กน้อย…’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิด
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาไปเองถ่ายเดียว
หากเป็นแบบนี้จริง เรื่องราวก็นับว่าจบลงด้วยดี ทุกคนมีความสุข และเขาไม่ได้กระทำผิดต่อคู่หมั้นทั้ง 2 และเฟิ่งเทียนหวู่
หากเป็นไปได้เขาก็จะยินดีดูแลพวกนางทั้ง 2 ให้เหมือนน้องสาวของเขาเช่นกัน จะอย่างไรพวกนางก็ดูแลมารดาเขาอย่างชิดใกล้มานานปี ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะเห็นพวกนางเป็นดั่งคนในครอบครัว
แม้จะคิดแบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าเป็นเพียงเขาคิดไปฝ่ายเดียวเท่านั้น
เขาไม่อาจบอกได้ว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยาคิดอย่างไร
การตัดสินใจของพวกนางสำคัญที่สุด
หากพวกนางเห็นพ้องต้องกันกับเขามันก็ดี แต่ถ้าไม่…ก็เรียกว่างานเข้าแล้วจริงๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี!
แต่แน่นอนว่าเขาไม่คิดหลบหนีโดยไม่รับผิดชอบเรื่องนี้!
“ท่านพ่อ…พวกนาง…”
หลังจากเริ่มออกเดินทางต่อได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็เรียกหาบิดา แต่วาจากลับไม่อาจกล่าวจนจบ
“เทียนเอ๋อเจ้าคิดอย่างไรกับเซี่ยวหลันและปี้เหยา”
ต้วนหรูเฟิงเห็นดังนั้นพลันกล่าวถามออกมาตรงๆ
“ท่านพ่อ ข้าเห็นพวกนางเป็นสหายอันดีเท่านั้นไม่คิดใดอื่น…ข้าคิดว่าพวกนางจะลืมข้าหลังข้าออกจากอาณาจักรนภาล่อง…แต่ใครจะไปรู้ ว่าพวกนางไม่เพียงไม่ลืมข้าแต่กลับคอยดูแลปรนนิบัติท่านแม่อย่างดีแทนข้ามาโดยตลอด”
กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมาราวกับจนปัญญาแล้วจริงๆ
“อย่าได้โทษแม่เจ้าเลย ที่นางพาทั้งคู่มายังตำหนักเมฆาครามนั้น เพราะแม่เจ้าเห็นแล้วว่าทั้งคู่เป็นอย่างไร นอกจากนี้นิสัยของทั้งคู่ก็ดี แม่เจ้าเพียงหวังดีกับเจ้าเท่านั้น…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
“ข้าเข้าใจ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ถึงแม้เรื่องนี้เขาจะคิดว่ามารดาทำเกินไปอยู่บ้าง แต่เจตนาของนางก็ไม่ใช่เรื่องร้าย
เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นสาวน้อยทั้ง 2 ที่คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนมารดาเขาในวันที่เขาไม่อยู่ มารดาเขาย่อมเห็นทั้งสองเป็นลูกสะใภ้อันดี…
ความคิดของมารดาเขาเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ
เพียงแค่เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเซี่ยวหลันและปี้เหยาอย่างไรเท่านั้น
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้เจอพวกนางหลายปีแล้ว…จากที่ท่านเห็น ตอนนี้พวกนางคิดยังไงกับข้าหรือ?”
สูดลมหายใจลึกๆเฮือกหนึ่ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“พวกนางรู้สึกกับเจ้าอย่างไร? เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร…กลับไปแล้วเจ้าก็ไปเผชิญหน้ากับพวกนางแล้วถามเอาเองเถอะ เท่านี้เจ้าก็ได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว!”
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ในฐานะบิดา มันจะไปรู้ความรู้สึกของสตรีที่สนใจบุตรชายดีเท่าเจ้าตัวได้อย่างไร
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างนั้น
สุดท้ายที่จะเกิดอย่างไรก็ต้องเกิด เขาทำได้แค่เผชิญหน้ากับมัน…
“เทียนเอ๋อ”
ทันใดนั้นเองต้วนหรูเฟิงพลันกล่าวออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงคราวนี้ยังจริงจังไม่น้อย “ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยวหลันหรือปี้เหยา แม่เจ้ากับข้าต่างก็เอ็นดูพวกนางนัก ทั้งคู่ล้วนเป็นสตรีที่ดี เจ้าอย่าได้รังแกทำร้ายน้ำใจพวกนางเด็ดขาด! ไม่ง่ายเลยที่พวกนางจะละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อเจ้าแบบนี้”
มีเรื่องหนึ่งที่ต้วนหรูเฟิงไม่ได้บอกกับต้วนหลิงเทียน
นั่นก็คือ
หลังจากที่มันกับภรรยาพาทั้งคู่มาถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว ก็ได้มีถามไถ่ทั้งคู่อยู่หลายครั้ง ว่าคิดจะกลับไปยังอาณาจักรนภาล่องหรือไม่
หากพวกนางอยากกลับ ก็ยินดีจะพาไปส่งถึงที่
อย่างไรก็ตามทุกครั้งคำตอบที่พวกนางให้ก็เหมือนเดิม
พวกนางเลือกที่จะอยู่…
เหตุผลที่ต้วนหรูเฟิงไม่บอกต้วนหลิงเทียนเรื่องนี้ เพราะกลัวจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ และสร้างความกดดันให้ต้วนหลิงเทียน
ทุกอย่างเพียงรอให้เจ้าตัวไปเผชิญหน้าเองเถอะ!
แน่นอนว่าแม้มันคิดให้บุตรชายไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง แต่วาจาที่ต้องกล่าวก็จำเป็นต้องกล่าว เพื่อไม่ให้ลูกชายรังแกทำร้ายจิตใจของสตรีทั้ง 2
“ท่านพ่อ…ข้าจะไปรังแกพวกนางได้ยังไง”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาอย่างขื่นขมหลังได้ยินคำบิดา
“ข้ากับแม่เจ้าคุยกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว หากพวกเจ้าที่ไม่พบหน้ากันมานานปียามพบกันอีกครั้งกลายเป็นไร้ความรู้สึกเยื่อใยใดแล้ว พวกข้าก็ไม่คิดบังคับอะไร…และข้ากับแม่เจ้าก็เลือกจะรับพวกนางเป็นบุตรบุญธรรม ให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เพียงคิดเสียว่าพวกเจ้าไม่มีวาสนาต่อกันเท่านั้น”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวต่อ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ
ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีแค่นี้
ทั้งหมดทั้งมวลต้องดูก่อนว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยาคิดอย่างไร
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนหวังว่าพวกนางจะไม่คิดอะไรกับเขาอีกต่อไป
ด้วยวิธีนี้เขาจะได้ไม่ทำร้ายน้ำใจของคู่หมั้นทั้ง 2 และเฟิ่งเทียนหวู่
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ก็คงจะเป็นเรื่องโกหกหากให้เขาบอกว่าไม่ได้อยากมีภรรยางดงามหลายคนคอยเอาอกเอาใจ ใช้ชีวิตราวกับได้รับพรจากฟ้าเหมือนฮ่องเต้เจ้าสำราญ!
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นแก่คาวมปรารถนาส่วนตัวหวังเป็นฮ่องเต้เจ้าสำราญทำนองนั้นได้ เขาจำต้องคำนึงถึงความรู้สึกเค่อเอ๋อลี่เฟยและเฟิ่งเทียนหวู่ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เค่อเอ๋อกับลูก ยังถูกจับตัวไปที่ลัทธิบูชาไฟในภูมิภาคเบื้องบนจนไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้
ในเวลาแบบนี้หากเขายังมีกะจิตกะใจไปอยู่กับเซี่ยวหลันและปี้เหยา เขายังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ?
‘หากใจพวกนางยังมีข้าไม่เคยเปลี่ยนไป…ข้าทำได้แค่ให้สัญญากับพวกนางเท่านั้น ว่าข้าจะถามความเห็นเค่อเอ๋อ ลี่เฟย และเฟิ่งเทียนหวู่ก่อน หากทั้ง 3 อนุญาต…เช่นนั้นพวกนางจะอยู่ด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร’
‘หากเรื่องนี้ไม่อาจเป็นไปได้ ข้าก็จะให้ท่านพ่อท่านแม่รับพวกนางเป็นบุตรบุญธรรมเสีย…’
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้
อย่างน้อยๆไม่ว่าสถานการณ์จะมาอีหร็อบไหน เขาก็สามารถสู้หน้าได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานนัก ทะเลสาบมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไกลตา ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆย่อมจดจำได้ชัดเจนว่านั่นคือทะเลสาบผานหลง อาณาเขตของตำหนักเมฆาคราม!
เห็นทะเลสาบผานหลง ประหนึ่งได้เห็นบ้าน!
ในอดีตนั้น ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ไม่มีที่ไหนที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเรียกว่าบ้านได้เลย เขาเสมือนคนพเนจรไร้ราก
เมื่อรู้ว่าบิดาของเขาเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม พอมาถึงที่นี่เขาก็ยึดถือว่ามันเป็นบ้านของเขาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอันกว้างใหญ่แห่งนี้
ทั้งหมดไม่ใช่เพราะอะไรอื่น…
นั่นเพราะครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่…
ครอบครัวเขาอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คือบ้านเขา!
หลังกลับมาถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาลี่เฟิงก่อนใคร
เหตุผลที่เขาไม่ไปหามารดาก่อนไม่ใช่เพราะเห็นสตรีดีกว่าแม่แต่อย่างไร แต่เพราะบิดาของเขาย่อมไปหามารดาเขาก่อนใคร
ไปหามารดาตอนนี้ ก็เสมือน ‘ก้างขวางคอ’ บิดาเขาเท่านั้น
“ท่านพ่อ!”
ทันทีที่เปิดประตูบ้านพักเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างหนึ่งวิ่งหลุนๆ ก่อนที่จะกระโดดย่ำอากาศไม่กี่ก้าวค่อยถลาเข้าอ้อมอกเขา เป็นลูกชายตัวน้อยของเขาเอง ต้วนเนี่ยนเทียน
“เนี่ยนเอ๋อคนเก่ง คิดถึงพ่อรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนลูบหัวลูกน้อยเบามือ กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“คิดถึงมากๆ!”
ต้วนเนี่ยนเทียนพยักหน้าน้อยๆระรัวราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก ก่อนที่จะทำตาโตกล่าวออก ค่อยหันหน้าไปด้านหลัง “เนี่ยนเอ๋อไม่ได้คิดถึงท่านพ่อคนเดียวนะ ท่านแม่ก็คิดถึงท่านพ่อด้วย!”
“ท่านแม่! ท่านพ่อกลับมาแล้ว! มาหาท่านพ่อเร็วๆ!”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะตอบสนองอะไร ต้วนเนี่ยนเทียนก็หันไปมองในบ้านพร้อมตะโกนเสียงดังแล้ว
ครู่ต่อมาร่างงามอันมีเสน่ห์เย้ายวนใจก็ค่อยๆก้าวเดินออกมา เป็นลี่เฟยที่กำลังแย้มยิ้มกล่าวออกอย่างยินดี “กลับมาแล้วหรือ?”
“ข้ากลับมาแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงอ่นด้วยแววตาอ่อนโยนก้าวเข้าหานาง ค่อยอุ้มลูกด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด ค่อยฝังจมูกลงบนศีรษะลี่เฟย
เมื่อหอมไปฟอดหนึ่ง ชื่นชมกลิ่นหอมจากเรือนผมนางจนชื่นใจก็กล่าวออกเสียงอ้อน “เสี่ยวเฟยเอ๋อ…ข้าคิดถึงเจ้า”
ตอนที่ 1,873 : หลายปีพ้นผ่าน พบพานอีกครั้ง
ลูกน้อยในอ้อมแขนข้างหนึ่ง ส่วนอ้อมแขนอีกข้างก็มีลี่เฟย
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนเขาเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
“เสี่ยวเฟยเอ๋อ…เนี่ยนเอ๋อเองก็โตแล้ว พวกเราเข้าพิธีวิวาห์กันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกลี่เฟยเสียงอ่อน
ตอนนี้ลี่เฟยยังไม่ได้แต่งงานกับเขาแต่อย่างไร จึงถือว่ายังเป็นเพียง คู่หมั้นของเขาเท่านั้น
ลี่เฟยจะถือเป็นภรรยาเขาได้ ก็ต่อเมื่อแต่งงานแล้วเท่านั้น
“ข้าอยากรอน้องหญิงเค่อเอ๋อ…”
อย่างไรก็ตามได้ยินคำถามนี้ ลี่เฟยกลับตอบต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ข้ากับน้องหญิงเค่อเอ๋อตกลงกันแล้วว่าพวกเราจะเข้าพิธีวิวาห์เป็นเจ้าสาวของเจ้าพร้อมกัน…แล้วข้าจะมีหน้ามาแต่งกับเจ้าอย่างสบายใจตอนนี้ได้อย่างไร ในเมื่อนางกับลูกถูกลัทธิบูชาไฟจับไปไว้ในภูมิภาคเบื้องบนแบบนี้? ตัวเลวร้ายเจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่…ว่าเจ้าจะไม่โกรธข้าเรื่องนี้?”
“ทำไมเจ้าเจ้าต้องรอให้ปวดใจด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นสายตาแน่วแน่ของลี่เฟย เขาก็ได้แต่โอนอ่อนตามนาง “เอาล่ะ ข้าสัญญากับเจ้า…แต่ถึงข้าจะไม่ได้เขาพิธีวิวาห์กับพวกเจ้า แต่ในใจข้าเห็นเจ้ากับเค่อเอ๋อเป็นภรรยามานานแล้ว!”
ลี่เฟยพอได้ฟังก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก เพียงฝังหัวลงอ้อมอกต้วนหลิงเทียน ดูดซับช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้ไว้อย่างหวงแหน
ลี่เฟยยังกอดต้วนหลิงเทียนเอาไว้แน่นนัก คล้ายหวาดกลัวว่าห้วงเวลาเหล่านี้อาจหายไปได้ทุกเวลา
“ตัวเลวร้าย…เจ้าจะไปภูมิภาคเบื้องบนเมื่อไหร่หรือ?”
ไม่ทราบผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ในที่สุดลี่เฟยก็กล่าวถามออกมาเสียงเบา
“อีกไม่นานแล้ว”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวูบหนึ่ง กล่าวตอบ
“เจ้าต้องพาน้องหญิงเค่อเอ๋อพร้อมลูกกลับมานะ…”
ลี่เฟยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเสียใจ “เสียดายนักที่ข้ามันไร้ประโยชน์ มิอาจช่วยอะไรเจ้าได้เลย…”
ยิ่งกล่าวน้ำเสียงลี่เฟยก็เต็มไปด้วยความโทษตัวเอง ใบหน้ายังเผยความละอายทั้งเสียใจออกมา
“เสี่ยวเฟยเอ๋อ…เจ้าจะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร? คำพูดเหล่านี้ต่อไปอย่าได้กล่าวแล้ว! หากไม่มีเจ้าไหนเลยข้าจะมีลูกชายน่ารักเช่นนี้ได้?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาค่อยหันมองยังอ้อมแขนอีกข้าง แต่เขาพบว่าลูกชายตัวน้อยของเขาผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ…ยังหลับสนิทจนเสียงสนทนายังไม่อาจปลุกให้ตื่น
“ตลอด 3 เดือนที่เจ้าไม่อยู่ เนี่ยนเอ๋อมองหาเจ้าทุกวัน จนเมื่อเดือนที่แล้วยังเอาแต่ถามข้าว่าใช่เจ้าทิ้งเขาไปแล้วหรือไม่…แม้ข้าจะอธิบายให้ลูกฟังเท่าไหร่ แต่เนี่ยนเอ๋อยังมักสะดุ้งตื่นยามหลับ ร้องเรียกหา ‘ท่านพ่อ’ บ่อยๆ”
ลี่เฟยรู้สึกอิ่มเอมใจไม่น้อยเมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองลูกชายตัวน้อยในอ้อมแขน
แต่เดิมนางเป็นห่วงว่าลูกชายตัวน้อยอาจไม่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นพ่อและทั้งคู่ยากจะสนิทสนมกันได้ในเวลาอันสั้น แต่นางไม่คิดเลยว่าลูกน้อยจะสนิทสนมกับบิดาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
คงเป็นเพราะความผูกพันทางสายเลือดเป็นแน่แท้ แม้ต้วนเนี่ยนเทียนจะเจอต้วนหลิงเทียนได้ไม่ทันไร ก็รู้สึกสนิทใจกับต้วนหลิงเทียนแล้ว
“เซี่ยวหลันกับองค์หญิงปี้เหยาใกล้กลับมาแล้ว…”
ลี่เฟยมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“อ่า ข้าได้ยินท่านพ่อบอกแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ลี่เฟยอิงหัวแนบกายต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ค่อยกล่าว “ตัวเลวร้าย ข้ารู้ว่าเจ้ามิมีอารมณ์ยอมรับสตรีคนอื่นเข้ามาในชีวิต…หากแต่เซี่ยวหลันกับปี้เหยานั้นแตกต่างกัน ตั้งแต่ข้ามาอยู่ตำหนักเมฆาคราม ข้าเห็นพวกนางดูแลท่านแม่ราวกับเป็นแม่ของพวกนาง…ข้ารู้ดีว่าที่พวกนางทำทั้งหมดนี้เพราะเจ้า”
“เมื่อเค่อเอ๋อกลับมา เจ้าก็ยอมรับพวกนางเถอะ…ข้าไม่คิดคัดค้านอะไร”
มิคาด…ลี่เฟยกลับเป็นผู้กล่าวเรื่องนี้ออกมาก่อน!
ราวกับนางไม่คิดอิจฉาหรือไม่พอใจอะไรเลย
แน่นอนหากให้กล่าวว่าในใจนางไม่คิดอิจฉาหรือขัดข้องอะไรเลยก็คงเป็นการโกหก
อย่างไรก็ตามลี่เฟยเป็นสตรีที่เข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจน นางรู้ดีว่าลี่หลัวมารดาต้วนหลิงเทียนเอ็นดูทั้งคู่ อีกทั้งนางเองก็ใจอ่อนเมื่อเห็นรักมั่นของเซี่ยวหลันกับปี้เหยาที่มีต่อต้วนหลิงเทียน จึงไม่คิดคัดค้านอะไร
“เจ้าพูดอะไร ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น!”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมากล่าวปฏิเสธออกไปทันที ก่อนที่จะกอดลี่เฟยเอาไว้แนบแน่น การที่ลี่เฟยเปิดใจกล่าวออกด้วยความเข้าใจแบบนี้ ทำให้ใจเขาแทบละลายลงตรงนี้แล้ว…
เขาต้วนหลิงเทียน กลับได้พบภรรยาอันประเสริฐเช่นนี้ในชีวิต!
นับเป็นพรจากฟ้าแล้วจริงๆ!
“ตอนพวกนางมีใจให้ข้า พวกนางยังเป็นแค่ดรุณีน้อยเท่านั้น…แถมนี่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พวกนางอาจไม่ได้มีใจให้ข้าเหมือนกาลก่อนแล้วก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจสังเกตเห็นได้เลยว่า ในขณะที่เขากล่าวคำนี้ออกมาลี่เฟยที่อิงซบเขาอยู่ ได้เผยรอยยิ้มเจื่อนๆออกมา
นั่นเพราะนางรู้ดีแก่ใจ ว่าแม้จะผ่านไป 20 กว่าปี หากแต่ใจปี้เหยากับเซี่ยวหลันล้วนไม่เคยแปรเปลี่ยน พวกนางยังคงปักใจอยู่กับบุรุษของนางตลอดเวลา
แน่นอนว่าแม้นางจะรู้ดีถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่คิดบอกต้วนหลิงเทียน
หลังจากวันนี้ไปต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดออกไปไหน เพียงอยากอาศัยอยู่ในบ้านกับลี่เฟยและลูกน้อยดูแลเอาใจใส่ทั้งคู่อย่างดี
นั่นเพราะอีกไม่นานเขาเองก็ต้องออกจากภูมิภาคเบื้องล่างไปยังภูมิภาคเบื้องบนแล้ว
เช่นนั้นเขาจึงทะนุถนอมและหวงแหนช่วงเวลานี้นัก ด้วยไม่ทราบอีกนานเท่าไหร่หลังจากออกไปแล้วถึงจะได้เห็นหน้าลูกเมียอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสองสามวัน หรงหยวนก็มาหาต้วนหลิงเทียนถึงประตูหน้าบ้าน “นายน้อย ท่านจ้าวตำหนักให้ข้ามาเชิญท่าน…แม่นางเซี่ยวหลันกับแม่นางปี้เหยากลับมาแล้ว”
หรงหยวนกล่าวจุดประสงค์การมาก่อน ค่อยกล่าวเพิ่มเติม
ที่ต้องมา…ก็มาแล้ว!
ต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง พยักหน้ากล่าวออก “อาวุโสหรงรอสักครู่”
หลังจากกล่าวบอกลี่เฟย ทั้งลูบหัวต้วนเนี่ยนเทียน ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากบ้าน เหินร่างติดตามหรงหยวนไปยังโถงหลักของบิดา ก่อนจะเลยไปยังพื้นที่ส่วนหนึ่งของตำหนักที่มารดาปลูกบ้านอาศัยอยู่
ระหว่างทางแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีการเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
หลังจากนั้น ในที่สุดเขาก็ได้เห็นเซี่ยวหลันกับปี้เหยา
ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมเผชิญหน้าสักเท่าไหร่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น อีกทั้งไม่สมควรหนี…บางเรื่องจำต้องเผชิญหน้ากับมัน!!
“ท่านพ่อ…ท่านแม่”
หลังจากกล่าวทักต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวต้วนหลิงเทียนก็เบนสายตาไปมองร่างสตรีทั้ง 2 ข้างๆลี่หลัว
สตรีทั้ง 2 นับว่ามีรูปโฉมงามพิลาศล้ำทั้งคู่ มีพวกนางนั่งอยู่…ทิวทัศน์แวดล้อมโดยรอบคล้ายจะหมองลงหลายส่วน
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำได้ทันที ว่าสตรีทั้ง 2 ก็คือเซี่ยวหลันกับองค์หญิงปี้เหยา…
ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี แต่ต้วนหลิงเทียนก็จดจำพวกนางได้ทันที เทียบกับในอดีตแล้ว…รูปร่างหน้าตาของพวกนางย่อมเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หากแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร มีเพียงความสดใสไม่ประสาของดรุณีน้อยในวันวานที่จืดจางหายไป…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองเซี่ยวหลันกับปี้เหยา ทั้งคู่ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยเช่นกัน
“ต้วน…ต้วนหลิงเทียน”
เซี่ยวหลันกับองค์หญิงปี้เหยา แรกเห็นต้วนหลิงเทียนก็เหม่อมองตาค้างไปพักหนึ่ง พอรู้สึกตัวว่าเสียกิริยาก็รีบก้มหน้าลงเล็กน้อย แก้มชมพูของพวกนางเริ่มขึ้นสีระเรื่อด้วยความขวยเขิน
แม้ว่าจะเนิ่นนานแล้วหลังจากที่ได้เห็นต้วนหลิงเทียนครั้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตามความรู้สึกในใจของพวกนางยังสดใหม่แจ่มชัดราวกับพึ่งจากลากันไปเมื่อวาน
นั่นเพราะตั้งแต่ที่พวกนางมาถึงตำหนักเมฆาคราม พวกนางก็มุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะพลัง เมื่อออกจากการกักตัวฝึกฝน ก็มาดูแลลี่หลัวแทบไม่ได้คำนึงถึงวันเวลาแต่อย่างไร…
ใจที่พวกนางมีให้ต้วนหลิงเทียน จึงยังคงเดิม ไม่ได้แปรเปลี่ยนไป…
‘เฮ่อ…ที่จะเกิดอย่างไรก็ต้องเกิดจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนย่อมบอกได้ทันทีจากทีท่าเขินอายของสตรีทั้ง 2 ว่าพวกนางยังมีใจให้เขาอยู่หรือไม่…
อาการนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะเห็น
อย่างไรก็ตามแม้ไม่ต้องการยอมรับแต่ก็จำต้องยอมรับ หลังพบว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยายังมีใจให้เขาต้วนหลิงเทียนไม่ได้ผิดหวังอะไร กลับภาคภูมิใจในตัวเองเสียอีก
หลังจากทั้งหมดแล้ว…นี่ก็คือผลพวงของความหล่อและเสน่ห์เขาอย่างไรเล่า! ในฐานะผู้ชายจะไม่ให้กระหยิ่มยิ้มย่องในใจได้อย่างไร แม้จะรู้สึกว่ามันไร้สาระก็ตามที…
“ไม่พบกันเสียนาน…”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับสตรีทั้ง 2 ด้วยรอยยิ้ม
ต่างจากต้วนหลิงเทียนที่ยังมีท่าทางสงบ สตรีทั้ง 2 ที่ถูกต้วนหลิงเทียนถามด้วยรอยยิ้มกับรู้สึกปั่นป่วนอยู่บ้าง ยังไม่รู้จะกล่าวตอบอย่างไร พากันพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่…ข้าอยากคุยกับพวกนางเป็นการส่วนตัว”
เมื่อเห็นทีท่าอึกอักของสตรีทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองต้วนหรูเฟิงและลี่หลัวค่อยกล่าว
“เทียนเอ๋อ เจ้าอย่าได้รังแกหลันเอ้อกับเหยาเอ้อเด็ดขาด…หาไม่แล้วอย่าได้หาว่ามารดาผู้นี้ใจร้าย!”
ลี่หลัวกล่าวออกด้วยเสียงดังฟังชัด ยังไม่วายกล่าวกำชับตักเตือน
“เอาล่ะ พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ”
ต่างจากเสียงเตือนด้วยความดุดันของลี่หลัวแล้ว เสียงต้วนหรูเฟิงแลดูสบายๆกว่ากันมาก
ครู่ต่อมาต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวก็จากไป คงเหลือเพียง 3 คน นั่นก็คือต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหลันและปี้เหยา
หลังต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวจากไป ไม่เพียงแต่ทั้งคู่จะไม่ผ่อนคลายกล่าวคำได้ แต่ยังแลดูกดดันทั้งเคร่งเครียดกว่าเดิมเสียอีก
“ความรู้สึกที่พวกเจ้ามีให้ข้า ข้าเข้าใจดี…”
เมื่อเห็นสตรีทั้ง 2 พูดไม่ออก ต้วนหลิงเทียนมีแต่จะกล่าวออกมาก่อนเท่านั้น
และจังหวะนี้สตรีทั้ง 2 อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายในใจอยู่บ้าง
“เดาว่าพวกเจ้าก็คงรู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะยอมรับพวกเจ้าได้ในทันที…และตัวข้าเองก็กำลังจะไปภูมิภาคเบื้องบนในอีกไม่ช้า แถมพวกเจ้าเองก็คงรับรู้เรื่องที่คู่หมั้นของข้า เค่อเอ๋อ ได้ถูกลัทธิบูชาไฟพาตัวไปแล้วใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกอย่างตรงไปตรงมา “จนกว่าเค่อเอ๋อจะถูกข้าช่วยกลับมา ข้าไม่อาจรับสตรีคนใดได้…เพราะนั่นจะเป็นการไม่ให้เกียรตินางและไม่เคารพพวกเจ้า! หากข้าเป็นบุรุษเช่นนั้นจริงๆ พวกเจ้าคงมีแต่จะรังเกียจข้าเท่านั้น”
เซี่ยวหลันกับปี้เหยาพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา พวกนางก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
นอกจากนี้พวกนางก็รู้จักต้วนหลิงเทียนดี ยังรู้ว่าหากต้วนหลิงเทียนยังช่วยเหลือเค่อเอ๋อไม่ได้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีกะจิตกะใจมาสนใจพวกนาง นับประสาอะไรกับรับรัก
อย่างที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ หากในสถานการณ์นี้ถ้าต้วนหลิงเทียนยังมีใจมายอมรับพวกนาง ไม่เพียงแต่พวกนางจะดูถูกเขาเท่านั้น ยังรู้สึกว่าเขาช่างเป็นบุรุษที่ไร้ความรับผิดชอบอีกด้วยคงเสียทีที่หลงรักมาเนิ่นนาน
“นอกจากนี้…ข้ายังมีสตรีที่ข้ารักอยู่อีกคน”
ต้วนหลิงเทียนที่คิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่ พลันกล่าวออกมา
“เป็นเทียนหวู่ใช่หรือไม่?”
เซี่ยวหลันกล่าวถาม
“หือ? เจ้ารู้จักเทียนหวู่ด้วยเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
“พวกเรามักได้ยินพี่หญิงลี่เฟยกล่าวถึงเทียนหวู่…พวกเรายังรู้ด้วยว่า เพื่อเจ้าแล้ว…เทียนหวู่ยินดีสละได้กระทั่งชีวิต…”
ปี้เหยากล่าว
ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยวหลันหรือปี้เหยา พอได้รับทราบเรื่องราวของเฟิ่งเทียนหวู่ พวกนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเฟิ่งเทียนหวู่จับใจ
เพียงเพราะการกระทำของนาง ทำให้ลี่เฟยกับเค่อเอ๋อยอมรับกระทั่งยังเข้าไปอยู่ในใจต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ
กล่าวกันไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้จักเฟิ่งเทียนหวู่หลังพวกนางด้วยซ้ำ…
แต่แน่นอนว่าพวกนางยังรู้สึกชื่นชมนับถือเฟิ่งเทียนหวู่นัก…เพราะนั่นคือสตรีที่ยึดมั่นในรักโดยแท้! กระทั่งเพื่อคนที่ชอบแล้วสามารถสละได้กระทั่งชีวิต!!
เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ใครก็ทำได้…
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่สายตาจะกลายเป็นเลื่อนลอย ความคิดเริ่มปลิวย้อนไปในวันวาน
ตอนที่ 1,874 : ยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบน!
‘เทียนหวู่…ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน สบายดีหรือไม่?’
เมื่อคิดถึงคืนวันที่ใช้ร่วมกับเฟิ่งเทียนหวู่ ต้วนหลิงเทียนยิ่งเป็นกังวลถึงนาง เพราะตอนนี้เขาไม่ทราบจริงๆว่าเฟิ่งเทียนหวู่ไปอยู่ที่ไหนแล้ว
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรีบดึงสติกลับมาในเวลาอันสั้น เพราะรู้ว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยายังมองอยู่
“ข้าไม่ใช่แค่ต้องช่วยเค่อเอ๋อข้ายังต้องตามหาเทียนหวู่ด้วย…ข้าไม่อาจมีความสัมพันธ์กับสตรีอื่นใดได้อีกจนกว่าจะพบพวกนาง กระทั่งเมื่อพบพวกนางแล้วข้าก็ยังมิอาจยอมรับพวกเจ้าได้ตามใจ ข้ายังต้องกล่าวถามความเห็นของพวกนางอีกด้วยว่าจะยอมรับพวกเจ้าหรือไม่…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ วาจาประโยคหลังนี้ยามกล่าว เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับพวกนาง
เซี่ยวหลันกับปี้เหยาพอได้ยินคำตอบแล้ว ต่างหันมองหน้าสบตากันทันใด ต่างเห็นความขื่นขมในแววตาของอีกฝ่าย ทว่าพวกนางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
นี่เป็นทางที่พวกนางเลือกแล้ว…
พวกนางไม่เสียใจ!
ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในกาลก่อน ต้วนหลิงเทียนยังคงเป็นบุรุษคนเดียวที่ได้ใจของพวกนางไป
หากมิได้เคียงคู่ชายในดวงใจ พวกนางไม่คิดแต่งงาน!
ไม่มีเขา ไม่สู้อยู่คนเดียวประเสริฐกว่า!
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ…ลาแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าคำพูดนี้ของเขามันแรงนัก และเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดอึมครึมเขาก็ได้แต่หาข้ออ้างจากไป
ขณะเดียวกันในใจก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา เขารู้สึกผิดต่อเซี่ยวหลันกับปี้เหยานัก
เขาไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย…
แต่นอกจากทำแบบนี้เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
เบื้องหน้าก็น้ำใจเบื้องหลังก็ไมตรี อึดอัดนัก!
“หากข้ามีโชคชะตากับพวกเจ้า กระทั่งวันหนึ่งพวกเราได้อยู่ด้วยกันจริงๆ…ข้าจะชดเชยให้พวกเจ้าอย่างดี”
หลังจากมาแล้วต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวรำพึงออกมาเสียงอ่อน
หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยและลี่เฟย
จนกระทั่งมีคนมาท้าทายเขา!
“นายน้อย ข้าผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านสามารถเอาชนะ มังกรเทพยดาสีทอง 5 กรงเล็บ ตี้จิ่ว ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นได้ ทั้งๆที่พลังฝึกปรือของท่านเพียงอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นกลาง…ข้าใคร่ขอคำชี้แนะจากนายน้อยสักครา มิทราบนายน้อยจักเมตตาสงเคราะห์ให้ข้าได้หรือไม่”
ผู้ที่มาหาต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไป่ฟูฉางของหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬ…ถงจ้ง!
ถงจ้งคนนี้นอกจากเป็นไป่ฟูฉางขององครักษ์เกราะทมิฬแล้วยังเป็นศิษย์เอกของกู่มี่อีกด้วย!
นอกจากนั้น ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเอาชนะตี้จิ่วได้…นาม ‘เซียนมนุษย์อันดับ 1’ ก็เป็นถงจ้งถือครองไว้!
อย่างไรก็ตามการที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะตี้จิ่วที่อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นลงได้ ทำให้นามเซียนมนุษย์อันดับ 1 เปลี่ยนมือในรอบหลายปีทันที!
“นายกองถง…ท่านต้องการประลองชี้แนะกับข้าหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้งเมื่อได้ยินคำขอของถงจ้ง
ในสายตาเขาแม้ถงจ้งจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีพลังฝีมืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น
บางทีถงจ้งอาจเอาชนะเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง กระทั่งเอาชนะยอดฝีมือเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดที่ร้ายกาจที่สุดในเผ่าพันธุ์มังกรได้…แต่ถ้าให้ถงจ้งไปปะทะกับขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นทั่วไป ก็ไม่อาจเอาชนะได้เลย
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงคิดว่าถงจ้งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย
“ข้าผู้น้อยรู้ตัวดีว่ามิใช่คู่มือนายน้อย…อย่างไรก็ตามพอข้าน้อยได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวเล่าถึงความเกรียงไกรของนายน้อย ว่าสามารถเอาชนะตี้จิ่วได้อย่างไร ข้าผู้น้อยจึงหวังว่าจะได้ประมือกับนายน้อยสักครา…เพราะลำพังตัวข้ายากที่จะทะลวงขอบเขตเซียนปฐพีได้! หากได้ประมือกับนายน้อยมิแน่ว่าข้าอาจได้แรงบันดาลใจแลเห็นหนทาง กระทั่งสามารถทะลวงด่านได้สำเร็จ!”
วาจาท้ายประโยคของถงจ้ง ก็ได้เฉลยออกมาหมดสิ้นว่าไฉนต้องการประลองชี้แนะกับต้วนหลิงเทียน
มันคิดใช้แรงกดดันจากการประมือกับต้วนหลิงเทียน บุกฝ่าไปยังขอบเขตเซียนปฐพี!
ถึงแม้ว่าอาจจะทำไม่สำเร็จ แต่พลาดเพราะลงมือทำไม่สำเร็จยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
“เอาล่ะ ในเมื่อนายกองถงตั้งใจเช่นนี้ ข้าจะร่วมมือด้วย”
พอได้ยินว่าที่แท้เป็นเพราะเรื่องอะไร ต้วนหลิงเทียนก็เห็นด้วยกับคำขอทันที
สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนนอก ในเมื่อเขาสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ไฉนจะต้องคิดเล็กคิดน้อย ปฏิเสธเรื่องเพียงเท่านี้ของอีกฝ่าย
“ขอบพระคุณนายน้อย!”
ถงจ้งรู้สึกยินดีหนักหนาที่ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วย
“เอาล่ะ เจ้าเลือกสถานที่เถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกถงจ้ง
ถงจ้งพยักหน้า ก่อนที่จะเลือกประลองกับต้วนหลิงเทียนทางตอนเหนือของทะเลสาบผานหลง ห่างจากตำหนักหลักไปราวๆ 10 ลี้
ถึงแม้การสนทนานี้ของถงจ้งกับต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
แต่ด้วยในทะเลสาบผานหลงมีองครักษ์เกราะทมิฬลาดตระเวนตรวจตราความเรียบร้อยอยู่มากมาย พอเห็นทั้งคู่เหินร่างมาแบบนี้ ไหนเลยจะไม่บังเกิดความสนใจติดตามมาดูชม! และไหนเลยจะไม่อยากแบ่งปันเรื่องสนุกสนานกับสหาย!!
พลุสัญญาณเรียกระดมพลไม่ว่าจะกองหรือหมู่ ต่างจุดดังปุ้งปั้งเหนือทะเลสาบ องครักษ์เกราะทมิฬทั้งหลายก็เร่งรุดกันมาชมดูเป็นการใหญ่!
“เขาน่ะหรือ คือนายน้อยตำหนักเมฆาครามของพวกเรา?!”
สายตาของผู้ที่เร่งรุดมา ล้วนจับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนตาเป็นมัน
ท่ามกลางสายตาเหล่านี้ มีทั้งประหลาดใจ ทั้งนับถือ ทั้งหวาดกลัว
แม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะอาศัยอยู่ในตำหนักเมฆาครามมาพักหนึ่งแล้ว ทว่าด้วยความที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาจากตราผนึกมาร เขาจึงไม่ได้แพร่งพรายฐานะออกไป
อย่างไรก็ตามเมื่อต้วนหลิงเทียนเดินทางไปประลองตามสัญญา 5 ปีที่เผ่าพันธุ์มังกร สุดท้ายเรื่องที่เขาถือครองตราผนึกมาร และเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามก็แดงออกมาในที่สุด
ทันใดนั้นทุกคนในตำหนักเมฆาครามพลันตระหนักได้ทันทีว่า…
ที่แท้ตำหนักเมฆาครามของพวกมันก็มีนายน้อยดำรงอยู่ด้วย!
ไม่เพียงเท่านั้น นายน้อยของพวกมันเรียกว่าสืบทอดความร้ายกาจของท่านจ้าวตำหนักผู้เกรียงไกรของพวกมันมาครบถ้วน อายุยังเยาว์แท้ๆหากแต่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นกลางแล้ว!
นอกจากนั้นที่ทำให้พวกมันต้องตะลึงลานราวกับรู้สึกว่าฝันไปก็คือ นายน้อยสามารถอาศัยพลังฝึกปรือเซียนมนุษย์ขั้นกลาง ถล่มสังหารตี้จิ่วได้!
กล่าวกันว่าตี้จิ่วผู้นั้นได้บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลางแล้ว!
ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นกลาง สังหารมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นได้…พวกมันไหนเลยจะเคยได้ยินเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อนี้มาก่อน!
อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้มาจากเผ่าพันธุ์มังกร กระทั่งพระเอกยังเป็นนายน้อยของพวกมัน!
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันจะตื่นตระหนกกันขนาดไหน!
เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้!
“นายน้อยของพวกเรากระทั่งตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บที่บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นต้นแล้วก็ยังสังหารได้…ใต้เท้าไป่ฟูฉางท้าทายนายน้อยเช่นนี้มิใช่หาเรื่องเจ็บตัวหรือ?”
“นั่นน่ะสิ หรือเพราะนามเซียนมนุษย์อันดับ 1 เปลี่ยนมือไปอยู่กับนายน้อย…ใต้เท้าถงเลยไม่ยอมรับ เจ้าว่าเหตุผลที่เกิดการประลองนี้จะใช่แบบนี้หรือไม่?”
“เฮ่อ หากใต้เท้าถงมาท้าทายนายน้อยเพราะเรื่องนี้ ก็นับว่าหาเรื่องอับอายแล้วจริงๆ”
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าตำหนักเมฆาครามของพวกเรายังมีนายน้อยที่ร้ายกาจปานปีศาจเช่นนี้อีกคน…ด้วยมีนายน้อยอยู่ ตำหนักเมฆาครามของพวกเราไหนเลยไม่รุ่งเรืองไปอีกหลายร้อยปีได้!”
…
เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬที่มาชมดูเรื่องราว กระทั่งศิษย์ตำหนักเมฆาครามที่บังเอิญทราบเรื่องราวจนติดสอยห้อยตามมาดูชมต่าออกความเห็นกันระงม ทุกคนล้วนมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากนัก
สำหรับถงจ้งพวกมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายแทน
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยตำหนักเมฆาครามของพวกเรา ก็คือชายหนุ่มนาม ต้วนหลิงเทียน ที่โชคดีได้ตราผนึกมารไปครองผู้นั้น”
“ตราผนึกมารนั่นดั่งเผือกร้อน! ตอนนี้เรื่องราวเปิดเผยออกมาข้าเกรงว่าในอนาคตตำหนักเมฆาครามของพวกเราอาจไม่ได้อยู่กันอย่างสงบสุข…”
“ใช่ ต่อให้เป็นยอดฝีมือของภูมิภาคเบื้องบน ถ้ารู้ว่าตราผนึกมารอยู่ในตำหนักเมฆาครามของพวกเรา น่ากลัวว่าพวกมันต้องลงมือแน่…เรื่องที่นายน้อยถือครองตราผนึกมาร กล่าวไปมิใช่เรื่องดีสำหรับตำหนักเมฆาครามเราเลยจริงๆ”
……
หลายคนอดไม่ไดที่จะเผยความกลัวออกมาเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ มีคนมากมายที่อยากให้ต้วนหลิงเทียนทิ้งตราผนึกมารนี้ไปเสีย
เพราะทุกคนต่างรู้กันดี ว่าตราผนึกมารก็คือ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ พลังอำนาจสะกดปราบมารของมันมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจปานใด!
ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายๆคนต่างจับจ้องมองมาด้วยความโลภ กระทั่งยอดฝีมือภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่อาจต้านทานความหอมหวานยวนยั่วนี้ได้!
คนของตำหนักเมฆาครามจึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดประการหนึ่ง เสมือนอันตรายและเภทภัยมาจดจ่อรออยู่หน้าประตูบ้าน
อย่างไรก็ตาม ทุกคนละความสนใจเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว หันกลับมาสนใจคน 2 คนที่ลอยร่างเผชิญหน้ากันเหนือทะเลสาบทันที
เพราะตอนนี้ทั้งคู่เริ่มลงมือแล้ว!
ซู่ม!
เป็น ถงจ้ง ไป่ฟูฉางแห่งหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬที่ลงมือป้อนกระบวนท่าก่อน มันพุ่งร่างทะยานเข้าหาต้วนหลิงเทียนปานเส้นสายอัสนี
ไม่ต้องกล่าวอื่นใดมาก เพียงอาศัยความเร็วที่ถงจ้งเผยออกนี้ ก็ทำให้เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดทั้งแดนดินยิ้มแหยๆออกมาแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ความเร็วที่พวกมันจะทัดเทียมได้!
‘สมแล้วที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเซียนมนุษย์อันดับ 1 ความเร็วระดับนี้ใต้ขอบเขตเซียนปฐพีคงยากจะมีใครตามทัน!’
ได้เห็นความเร็วของถงจ้ง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม จากนั้นเขาก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว
ปง!!
มือขวาต้วนหลิงเทียนกำหมัดผนึกปราณสุริยันแรกกำเนิดขุมหนึ่ง ก่อนจะชกออกไปฉับไวปานอัสนีฟาด บังเกิดเป็นคลื่นพลังหมัดไร้สภาพพุ่งออกไปปานกระสุนปืนใหญ่!!
ถงจ้งที่พุ่งทะยานเข้ามาไม่มีความคิดหลีกหลบมันเกร็งพลังทั่วร่างผนึกแน่นลงหมัด ก่อนที่จะชกสวนออกไป! วัดพลังกันตรงๆ!!
เปรี๊ยงงงง!!
อย่างไรก็ตามแม้จะเร่งเร้าพลังออกมาสุดตัวแล้ว ทว่ายามเมื่อถงจ้งปะทะกับหมัดพลังไร้สภาพของต้วนหลิงเทียน ไม่ว่าจะพลังหมัดที่แผ่พุ่งออกไปก่อน หรือหมัดที่ชกออกเต็มกำลังก็ถูกหมัดพลังของต้วนหลิงเทียนบดขยี้จนราบเป็นหน้ากลอง!
หลังถูกพลังหมัดปะทุ ร่างถงจ้งก็สะท้านสั่นไหว โลหิตกระอักออกปากคำใหญ่ คนยังกระเด็นปลิดปลิวไปราวลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศรหลายร้อยหมี่ ค่อยหยุดร่างลงได้…
หมัดต่อหมัดปะทะกัน เป็นถงจ้งแพ้พ่ายอนาถ…
แม้ถงจ้งจะยังเหลือเรี่ยวแรงต่อสู้ แต่ในใจตอนนี้เสมือนหนทางเอาชนะได้มืดดับลงแล้ว
หมัดเมื่อครู่มันกระทั่งพุ่งออกไปก่อน พลังทั้งสภาวะต่างเร่งเร้าถึงขีดสุด ชกออกด้วยวรยุทธ์เซียนที่บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ ใช้ออกด้วยเวทย์พลังเสริมอานุภาพระดับกลางที่มี…ยังไม่อาจเอาชัยหมัดที่ต้วนหลิงเทียนนึกจะต่อยก็ต่อยออกมาได้!
ถงจ้งทุ่มสุดตัวแล้ว…
ทว่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียนพลังของถงจ้งไม่นับเป็นอะไร…แม้ใจมันจะสู้ไม่ถอยพุ่งทะยานเข้ามาลงมืออีกครา แต่สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็อาศัยความเหนือชั้นกว่าอย่างทาบไม่ติดสยบถงจ้งลงอย่างราบคาบ…เพียงไม่ถึง 10 กระบวนท่าถงจ้งก็ถอดใจโดยสมบูรณ์…
สุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนเมื่อ 3 เดือนก่อนจะเทียบได้
แค่กล่าวถึงปราณสุริยันแรกกำเนิดอย่างเดียว เมื่อด่านพลังเขาบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุด มันก็มีพลังเทียบได้กับเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด!
เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของร่างกายต้วนหลิงเทียน ไม่ต้องใช้ร่างนักรบมังกร อาศัยเพียงพลังดิบเถื่อนจากกายเนื้อที่แข็งแกร่งเหนือกว่ามังกรเทพยดา 6 กรงเล็บ ถงจ้งก็ไม่มีอะไรจะสู้
นี่เขายังไม่ได้ใช้เวทย์พลังอะไรด้วยซ้ำ
หากใช้ออกด้วยเวทย์พลังเกรงว่าหมัดเดียวก็สยบถงจ้งได้ง่ายๆ
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะถงจ้งนั้นเอง…
ณ เมืองชายแดนขนาดกลางที่ตั้งอยู่ทาง สุดขอบทิศตะวันออกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง ข่าวคราวของตราผนึกมารก็แพร่กระจายมาถึงที่นี่แล้ว
“นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ? ข้าเฝ้ารอมาหลายปี…ในที่สุดก็ได้เบาะแสเสียที ดูเหมือนการเดินทางมายังภูมิภาคเบื้องล่างของข้าครั้งนี้ไม่เสียเปล่าแล้ว…”
โต๊ะที่นั่งบริเวณมุมหนึ่งของเหลา ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาค่อยๆลุกขึ้นยืน
ชายวัยกลางคนผู้นี้ลูกตาทั้ง 2 เผยประกายมากเล่ห์ แลดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดีอันใด!
ครู่ต่อมาก็ไม่มีใครเห็นว่ามันหายตัวไปไหน อยู่ดีๆร่างมันก็อันตรธานหายไปจากเหลาอาหารราวกับวูบหายไปในอากาศว่างเปล่า แต่ต้นจนจบไม่มีใครทันสังเกตสักคน
ขณะเดียวกันเหนือน่านฟ้าสุดขอบตะวันออกของภูมิภาคเบื้องล่าง ก็คล้ายปรากฏลูกไฟพุ่งวาบตัดฟ้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามด้วยความเร็วอัศจรรย์!
ตอนที่ 1,875 : มาถึง
การที่ตำหนักเมฆาครามมีนายน้อยมากพรสวรรค์ผุดโผล่ออกมาอย่างที่ไม่มีใครทันตั้งตัวแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องอันน่ายินดีนัก!
อย่างไรก็ตาม พอพวกมันได้รับทราบว่านายน้อยของพวกมันที่แท้ก็คือ ต้วนหลิงเทียน ผู้มีตราผนึกมารไว้ในครอบครอง พวกมันก็รู้สึกหวั่นกลัว ใจยากจะสงบลงได้
นั่นเพราะในสายตาของพวกมัน ตราผนึกมารนี้ไม่ต่างใดกับ ‘ระเบิดเวลา’!
มันอาจระเบิดขึ้นเมื่อใดก็ได้!
และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกมันอาจจะต้องพลอยประสบเคราะห์ไปด้วย!
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่พวกมันก็ไม่กล้าเปิดเผยความในใจส่วนตัวออกมา กระทั่งไม่กล้าบอกเล่าเรื่องนี้ให้อาวุโสคนใดฟัง
นั่นเพราะนายน้อยคนนี้ คือบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักพวกมัน!
ในตำหนักเมฆาคราม ตัวตนจ้าวตำหนักอย่าง ต้วนหรูเฟิง ก็คือนายเหนือผู้ยิ่งใหญ่ศักดิ์ศรีบารมีดำรงอยู่สูงสุด ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน!
อย่างไรก็ตามโลกนี้ไม่มีประตูกั้นลมสมบูรณ์ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบความอึดอัดคับข้องใจของทุกคน
(ประตูในที่นี้นึกภาพประตูที่มันใช้กระดาษบุอ่ะ สมัยก่อนในหนังชอบมีเอานิ้วจุ่มน้ำลายๆป้ายๆก็ทิ่มทะลุ แอบดูอย่างง่าย)
แต่เขาไม่ได้ไม่พอใจอะไร
เพราะมันคือความจริง
การดำรงอยู่ของตราผนึกมาร ไม่ต่างอะไรกับ ‘ระเบิดเวลา’ ลูกหนึ่งจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปเยือนกู่ลี่ถึงที่พัก และกล่าวนัดหมายว่า…หลังจากนี้อีกครั้งเดือนจะออกเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบน!
หลังออกจากบ้านพักกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาบิดามารดาทันที “ท่านพ่อ ท่านแม่ อีกราวๆครึ่งเดือนข้าจะออกจากตำหนักเมฆาครามกับพี่กู่”
ต้วนหรูเฟิงที่ได้ยินก็พยักหน้ารับรู้ ด้วยทราบเรื่องราวแต่แรกจึงไม่ได้แปลกใจอะไร
กลับกัน ด้านลี่หลัวแม้จะเตรียมใจมาเนิ่นนาน แต่พอได้รู้ว่าลูกชายจะไปแล้วจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล ไม่อาจซ่อนสีหน้าห่วงใยได้ “ลูกมั่นใจแล้วหรือ?”
“ใช่ท่านแม่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ลี่หลัวสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ก่อนที่จะสามารถสงบใจลงได้ในที่สุด จากนั้นนางก็พูดว่า “ในเมื่อลูกตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ไปร่ำลาและใช้เวลากับเนี่ยนเอ๋อทั้งเฟยเอ๋อให้ดีเถิด…ทั้งคู่ย่อมลำบากใจที่จะเห็นเจ้าออกเดินทางแน่ แต่เพื่อช่วยเหลือเค่อเอ๋อ เจ้าไม่อาจไม่ไป!”
กล่าวจบในแววตาลี่หลัวก็เผยความกังวลออกมาไม่น้อย
เค่อเอ๋อ!
ในอดีตนั้น ไม่เพียงแต่นางจะอยู่กับต้วนหลิงเทียนมาตั้งแต่ยังเยาว์ แต่เด็กสาวคนนี้เป็นลูกสะใภ้ที่อยู่ด้วยกันกับลี่หลัวนานที่สุด ความรักที่นางมีให้สะใภ้นางนี้เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ารักที่มีให้บุตรชายเลย!
เมื่อรู้ว่าลูกสะใภ้ถูกลัทธิบูชาไฟจับตัวไว้ที่ภูมิภาคเบื้องบน นางย่อมกังวลใจเช่นกัน
ได้ยินคำของลี่หลัว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งพยักหน้ารับคำไปทันที
ครึ่งเดือนหลังจากนี้เขาจะไม่แยกกับภรรยาและลูกน้อย แม้จะต้องเดินทางไปยังประเทศฝูเฟิงเพื่อไปหาศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หง ลุงเฟิ่งและสหายคนอื่นๆเขาก็จะพาทั้งคู่ไปด้วย
ทุกวันหลังจากนี้ต้วนหลิงเทียนจะใช้เวลาร่วมกับลี่เฟยและลูกน้อยอย่างทะนุถนอมหวงแหน เพราะไม่รู้ว่าหากออกเดินทางแล้ว อีกนานเท่าไหร่ถึงจะกลับมาจากภูมิภาคเบื้องบน
“ไปเถอะลูก…ไปอยู่กับเฟยเอ๋อและเนี่ยนเอ๋อให้ดี”
ลี่หลัวกล่าวออกเสียงอ่อน
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าอีกครั้ง และหลังจากร่ำลาบิดามารดาแล้วก็จากไปทันที
เขาไม่ทันเห็นว่าหลังจากที่เขาจากไปแล้ว ดวงตาของลี่หลัวก็พร่ามั่ว สุดท้ายหยาดน้ำตาใสๆพลั่นหลั่งรินลงมา…
ลูกเดินทางพันลี้ มารดากังวล!
ในโลกที่ยึดถือผู้มีพลังฝีมือเป็นที่สุด อันตรายย่อมแฝงเร้นไปทุกหย่อมหญ้า หัวอกคนเป็นบิดามารดาไหนเลยจะไม่กังวลใจได้…
หลังจากต้วนหลิงเทียนแยกกับต้วนหรูเฟิงและลี่หลัวแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับบ้านหมายไปหาลี่เฟยและลูกน้อยทันที
ทว่าเดินทางกลับยังไม่ทันถึงครึ่งทาง มุมปากของต้วนหลิงเทียนจำต้องกระตุกขึ้นมา เพราะเห็นว่าเซี่ยวหลันกับปี้เหยาก็กำลังเดินมาทางนี้เช่นกัน เขาจึงต้องกล่าวคำทักทายพวกนางออกไป…
เซี่ยวหลันกับปี้เหยาเองก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอต้วนหลิงเทียนที่นี่ ตอนแรกพวกนางก็กำลังสนทนากันอย่างมีความสุขแลดูร่าเริง แต่พอเห็นต้วนหลิงเทียนทั้งคู่ก็ถึงกับนิ่งค้างไป แก้มยังขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันที…
“พวกเจ้า…”
ต้วนหลิงเทียนอ้าปากออกมาคิดกล่าวบางอย่างกับสตรีทั้งสอง แต่มิคาดยังกล่าวไม่ทันจบคำก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาซะก่อน
“หากข้าเข้าใจไม่ผิดเจ้าคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน ใช่หรือไม่?”
เสียงที่ดังขึ้นขัดคำเขานี้ ต้วนหลิงเทียนไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงมั่นใจได้ทันทีว่าเป็นคนแปลกหน้าแน่นอน!
และต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้ตอบสนองอะไร สายลมหอบหนึ่งพลันพัดผ่านเบื้องหน้า เหนือฟ้าเบื้องบนปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาในสายตา เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา!
ชายวัยกลางคนผู้นี้แววตาแลดูเจ้าเล่ห์หางตาแหลมคมให้ความรู้สึกเหมือนอสรพิษ มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดีอันใด และไม่น่ามาดีเป็นแน่!!
“เจ้าเป็นใครกัน?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามขณะมองพินิจชายวัยกลางคนเบื้องหน้า เขาเดาได้ตั้งแต่แรกเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาด้วยเจตนาดีแน่นอน สีหน้ายังแปรเปลี่ยนเป็นหวั่นเกรง สองเท้าแยกออกเผยความระวังเต็มที่
“ข้าเป็นใครเจ้าไม่ต้องรู้ และแม้แต่สิทธิ์จะรู้เจ้าก็ยังไม่มี…เพียงรู้ไว้ว่าข้ามาเพราะตราผนึกมารก็พอ”
ชายวัยกลางคนกล่าวตอบด้วยท่าทีเฉยเมย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความครอบงำถือดี
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายมาเพราะตราผนึกมาร สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันใด ขณะเดียวกันเขาก็ได้รับรู้ว่าเดาได้ถูกเผง…อีกฝ่ายไม่ได้มาดีจริงๆด้วย!
นอกจากนี้การที่อีกฝ่ายสามารถมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้โดยที่ไม่มีใครทันรู้ตัวสักนิด! ก็เผยให้เห็นว่าพลังฝีมือสมควรร้ายกาจ!!
“ตราผนึกมารมิใช่อันใดที่เศษสวะในภูมิภาคเบื้องล่างเช่นเจ้าจะถือครอง! ข้าจะให้เจ้า 3 ลมหายใจ ส่งตราผนึกมารมาเสีย หาไม่แล้วตาย!”
ทันทีที่ชายวัยกลางคนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา เจตนาฆ่าฟันของมันก็พวยพุ่งออกมากดดันในบรรยากาศทันที
เศษสวะ?
ได้ยินคำของอีกฝ่าย หน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันใด ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปากสุนัขเช่นนี้!
“ข้าไม่มีตราผนึกมาร”
ลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับโทสะในใจ ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวตอบไปด้วยสีหน้าสงบ
ขณะเดียวกันเขาก็หยั่งถึงความเป็นมาของบุคคลเบื้องหน้าได้คร่าวๆ อีกฝ่ายไม่สมควรเป็นคนของภูมิภาคเบื้องล่างแน่ หาไม่แล้วคงไม่ได้ยินคำพูดดังกล่าวจากปากอีกฝ่าย…
คำพูดที่เรียกหาเขาว่าเศษสวะของภูมิภาคเบื้องล่าง!
หากอีกฝ่ายเป็นคนของภูมิภาคเบื้องล่าง หลังคำ ‘เศษสวะ’ คงไม่มีคำ ‘ของภูมิภาคเบื้องล่าง’ อยู่
ในที่สุด 3 ลมหายใจก็ได้ผ่านพ้นไป
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ยึดถือวาจาข้าเป็นจริงจัง ถึงได้ทำหูทวนลมเช่นนี้”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกล้าจะไม่สนใจคำพูดของมัน ชายวัยกลางคนก็มีโมโหไม่น้อย แววตาทั้งคู่ยังเผยความเย็นเยียบออก กล่าวคำด้วยอำมหิต “เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ตายสมใจอยาก! หลังจากที่เจ้าตายไม่เพียงแต่ตราผนึกมารจะเป็นของข้า กระทั่งสิ่งของใดๆในแหวนพื้นที่เจ้าก็จักเป็นของข้าเช่นกัน!!”
เมื่อเสียงดังจบคำ ชายวัยกลางคนก็ลงมือทันที
ปงงง!!
ไม่อาจเห็นได้ว่ามันลงมืออย่างไรกันแน่ แต่ทว่าเมื่อมันย่ำเท้าลง พลันบังเกิดมวลพลังมหาศาลขุมหนึ่ง ถล่มลงจากฟ้าโถมใส่ต้วนหลิงเทียน!
แรงกดดันจากมวลพลังขุมนี้ พาลให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนมีขุนค้อนมหึมากำลังฟาดทุบลงมาที่เขา!
“ระวัง!”
ขณะที่ชายวัยกลางคนย่ำเท้าลงมาเซี่ยวหลันกับปี้เหยาก็พุ่งร่างเข้ามาขวางไว้เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนตามสัญชาตญาณ
เห็นได้ชัดว่าพวกนางหมายใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังปกป้องคนที่พวกนางรัก!
พริบตานี้ใบหน้าของพวกนางไม่เพียงไม่หวาดกลัว แต่ยังแลมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว!
ราวกับการได้ตกตายเพื่อคนรัก ล้วนไม่มีใดให้เสียใจ!
ด้วยวิธีนี้บางทีชายที่พวกนางรักอาจเก็บพวกนางไว้ในใจไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป…
สำหรับพวกนางแล้ว นี่อาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดก็เป็นได้!
“หลบไป!!”
พร้อมกันกับที่ชายวัยกลางคนย่ำเท้าลงมา จนเห็นความเคลื่อนไหวของเซี่ยวหลันกับปี้เหยา…ต้วนหลิงเทียนก็โคจรปราณสุริยันแรกกำเนิดขับเคลื่อนขุมพลังมังกรทันที! ร่างมนุษย์ของเขาแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บในชั่วพริบตา!!
ปีกอีกาทองคำ!
พร้อมกันนั้นปีกสีทองมหึมาคู่หนึ่ง พลันงอกเงยขึ้นมายังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่บัดนี้กลายเป็นนักรบมังกรไปแล้ว! ปีกดังกล่าวย่อมมาจากการใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำ!!
ฟุ่บ!
พริบตาต่อมาร่างต้วนหลิงเทียนไหววูบมาหยุดกลางระหว่างเซี่ยวหลันกับปี้เหยาด้วยความเร็วปานเส้นแสง! สองมือพุ่งไปผลักพวกนางออกไปทันที!!
ก่อนหน้านี้เขาเคยประสบเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน ครั้งนั้นเฟิ่งเทียนหวู่เกือบตายเพราะเขา!
ตั้งแต่วันนั้นเขาลอบสาบานในใจว่าจะไม่ให้ใครเสี่ยงชีวิตเพื่อเขาอีก! จะไม่ยอมให้มีสตรีคนใดต้องตกตายเพื่อเขา!!
เช่นนั้นทันทีที่เห็นเซี่ยวหลันกับปี้เหยาพุ่งร่างมาบังขวางปกป้องเขาแบบนี้ ใจต้วนหลิงเทียนจึงกลายเป็นว่างเปล่า ไม่ทันได้คิดอะไร ก็ปะทุพลังทั้งหมดและพุ่งตัวไปด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อผลักพวกนางออกไป!
ปงงง!!
หลังจากพุ่งร่างไปผลักปี้เหยากับเซี่ยวหลันออกไปให้พ้นทางแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทันได้ทำอะไรอื่นอีก เขาสัมผัสได้ว่ามีมวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งซัดกระแทกเข้าร่างเขา เสียงระเบิดของพลังดังขึ้นในอากาศ นอกจากเวียนหัวจนไม่รู้เหนือใต้ เขายังรู้สึกราวกับกำลังโบยบินไปในอากาศดั่งว่าวสายป่านขาด!
ตึงง!!!
จนเมื่อร่างกายของเขากระแทกตกพื้นอย่างแรงจนหินปูพื้นทางเดินแตกระแหงเป็นใยแมงมุม ความเจ็บปวดหนักหน่วงพลันแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ต้วนหลิงเทียนจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง!
แม้เขาจะแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บจนร่างกายมีความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่ากลัวแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกเสมือนกระดูกกระเดี้ยวทั่วร่างแตกร้าว! ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆได้อีก จำต้องนอนสิ้นท่าอยู่บนพื้น…!!
พลังที่ซัดกระแทกเขาแข็งแกร่งเกินไป!
‘ไม่! ก่อนที่พลังนั่นจะกระแทกซัดข้า สภาวะพลังอยู่ๆกลับอ่อนโทรมลงไปหลายส่วน…หาไม่แล้วจากกลิ่นอายพลังที่มันปลดปล่อยออกมาตอนแรก ต่อให้ข้าจะแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บข้าก็คงต้องตายคาที่! แต่…ทำไมมันถึงเลือกจะปราณีข้าเอาตอนสุดท้าย?’
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนอยากจะลุกขึ้นมาถามนัก อนิจจาแค่ลุกขึ้นเขาก็ทำไม่ได้
อาการบาดเจ็บทั่วร่างของเขาตอนนี้มันรุนแรงเกินไป กล้ามเนื้อฉีกขาดกระดูกแตกร้าว! คิดจะฟื้นฟูรักษาตัวเกรงว่าคงใช้เวลาอีกพักใหญ่!!
“เจ้า…เจ้าเป็นไรมากหรือไม่?”
ครู่ต่อมาพลันมีเสียง 2 สำเนียงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หลังจากนั้นกลิ่นน้ำหอมก็โชยมาเตะจมูกต้วนหลิงเทียน ในสายตาปรากฏร่างสตรีงาม 2 นางหยุดอยู่ข้างกาย ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซี่ยวหลันกับปี้เหยาที่น้ำตาไหลพราก…
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนพยายามลุกขึ้น พวกนางก็เร่งประคองต้วนหลิงเทียนด้วยความร้อนใจทันที ไม่ได้รังเกียจร่างต้วนหลิงเทียนที่ผิดแปลกไป ไม่ใส่ใจที่ผิวต้วนหลิงเทียนกลายเป็นเกล็ดแม้แต่น้อย
ขณะที่ช่วยพยุงต้วนหลิงเทียนให้ลุกขึ้น ในใจพวกนางมีแต่ความเศร้าเท่านั้น
แม้จะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนผลักพวกนางออกไปเพื่อช่วยเหลือพวกนาง แต่พวกนางก็ไม่รู้สึกมีความสุขเลย ยังรู้สึกขมขื่นแทน…ไฉนเทียนหวู่ได้รับอนุญาตให้สละชีวิตช่วยเหลือเจ้าได้ แต่พวกเรากลับไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะสละชีวิตเพื่อเจ้าเล่า?
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ว่าตอนนี้สตรีทั้งคู่คิดอะไรอยู่ หาไม่แล้วเขาคงหมดคำจะพูดแน่ๆ
หลังจากถูกสตรีทั้ง 2 พยุงหิ้วปีกให้ลุกขึ้นมาได้ ต้วนหลิงเทียนก็เงยหน้าขึ้นไปมองชายวัยกลางคนที่ลอยล่องเหนือฟ้าไกลตา ทันใดนั้นสองตาเขาทอประกายเรืองวูบขึ้นมาทันที เพราะเขาแลเห็นได้ชัดเจนถึงความหวาดกลัวที่ฉายออกมาในส่วนลึกของแววตาอีกฝ่าย!!
“ไม่ใช่เจ้าต้องการฆ่าข้ารึไง? ไฉนเมตตาไว้ชีวิตข้าเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกโอสถเซียนขึ้นมาจากแหวน โยนเข้าปากรับประทานลงคอก่อนจะกล่าวถามออกไปขณะโคจรพลังรักษาตัว
“เหอะ! ข้าคิดให้โอกาสเจ้าอีกสักครา…เมื่อครู่เพียงให้เจ้าเห็นถึงพลังความแข็งแกร่งของข้า! ว่าคิดฆ่าเจ้านับเป็นเรื่องอันง่ายดายเพียงใด! หากเจ้ายังไม่อยากตายก็รีบๆส่งตราผนึกมารออกมาเสีย อย่าได้คิดทดสอบความอดทนของข้า!!”
ชายวัยกลางคนตวาดคำเสียงดังสนั่นฟ้า แววตาเผยประกายเยียบเย็น!
ตอนที่ 1,876 : ความโกรธของต้วนหลิงเทียน
แม้อีกฝ่ายจะกล่าวออกมาอย่างดุร้าย ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับมองทะลุหน้ากากดุร้ายเกรี้ยวกราดที่ชายวัยกลางคนสวม!
‘ดูเหมือนมันจะกลัวอะไรสักอย่าง…แต่อะไรทำให้มันกลัวกัน? หากให้เดาสิ่งเดียวที่เป็นไปได้สมควรเป็นเกล็ดมังกรของข้า’
‘หรือว่า…มันรู้ว่าข้าคือนักรบมังกร?’
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่คิดถึงเรื่องนี้ และเขาคิดว่ามันมีโอกาสสูงที่สุด
เพราะหากคู่ต่อสู้รู้ว่าเกล็ดมังกรคืออะไร นั่นหมายความว่ามันต้องรู้ว่าเขาคือนักรบมังกร อีกทั้งยังเป็น ‘นักรบมังกร 9 กรงเล็บ’
นักรบมังกร 9 กรงเล็บนั้นจากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก กระทั่งระนาบเทวโลกยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหาง!
ปกติแล้วการที่นักรบมังกร 9 กรงเล็บจะถือกำเนิดได้ มีเพียงต้องให้มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บถ่ายทอดพรสวรรค์มังกรแปลงให้เท่านั้น!
‘มันคิดว่าข้ามีมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บหนุนหลังอยู่งั้นสินะ?’
พอคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดแปลบ
หากเขามีมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บหนุนหลังอยู่จริง ไหนเลยเขาต้องลำบากดิ้นรนหาหนทางช่วยเค่อเอ๋อด้วย…เพียงปล่อยให้มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บลั่นวาจาสักคำ ลัทธิบูชาไฟยังไม่รีบส่งตัวเค่อเอ๋อคืนมาอีกหรือ?
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่านี่เป็นเพียงเขาเท่านั้นที่ล่วงรู้ คนอื่นย่อมไม่คิดเช่นนั้น
ยอดฝีมือที่แลดูร้ายกาจจากภูมิภาคเบื้องบนคนนี้ เห็นได้ชัดว่ามันหวาดกลัวไม่น้อย หาไม่แล้วคงไม่กล่าววาจาขู่ข่มอะไรเช่นนั้นออกมา!
“เทียนเอ๋อ”
เสียงขู่ข่มของชายวัยกลางคนดังจบคำไม่ทันไร ต้วนหรูเฟิงกับกู่มี่และหรงหยวนก็วูบร่างมาถึงเรียบร้อย ทั้ง 3 มองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ถูกเซี่ยวหลันกับปี้เหยาพยุงด้วยสายตาตึงเครียด
“เทียนเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่?”
เห็นสีหน้าซีดเซียวของต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา ส่วนเรื่องที่ไฉนร่างต้วนหลิงเทียนกลับเต็มไปด้วยเกล็ดมังกรนั้น ต้วนหรูเฟิงไม่คิดใส่ใจ ห่วงก็แต่ความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
“ท่านพ่อ ข้าสบายดี”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา แม้จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ด้วยความแข็งแกร่งของร่างนักรบมังกรรวมถึงผลของโอสถรักษาระดับเซียนที่รับประทานไป กระดูกทั้งกล้ามเนื้อทั่วร่างก็กำลังฟื้นตัวด้วยความเร็วสูง
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเอง คล้ายมีสายลมหนึ่งพุ่งพัดผ่านร่างต้วนหรูเฟิง เป็นชายชราร่างผอมที่ยืนอยู่ข้างต้วนหรูเฟิงที่ไม่อาจทนได้ไหวสืบไป! มันพุ่งร่างทั้งลงมือด้วยความเกรี้ยวกราดหมายเข่นฆ่าสังหารผู้บุกรุกให้สิ้น!!
“ตำหนักเมฆาคราม ไม่ใช่ที่ๆเจ้าจะมาวางท่าโอหังได้!”
กู่มี่คำรามออกอย่างดุร้ายขณะปลดปล่อยกระบวนท่าสังหารไม้ตายออกไปทันที เถาไม้ประหลาดนับหมื่นพันงอกเงยออกจากความว่าง! ทิ่มแทงไปยังชายวัยกลางคนด้วยอำมหิต!!
“อาวุโสกู่อย่าได้!!”
หน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีไปทันใด เขาเร่งตะโกนกล่าวเตือนออกมาอย่างร้อนใจ ด้วยไม่คิดเลยว่ากู่มี่จะหุนหันลงมือใส่ชายวัยกลางคนทันทีแบบนี้!
ในฐานะคนที่ถูกชายวัยกลางคนซัดทำร้าย ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งอีกฝ่าย…พลังฝึกปรือของชายวัยกลางคนผู้นี้สมควรอยู่เหนือขอบเขต เซียนนภา แน่นอน!
ไม่ต้องกล่าวถึงกู่มี่ เกรงว่ากระทั่งบิดาเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย!
ปงงง!!
เสียงสนั่นลั่นดังขึ้นเหนือฟ้า ร่างกู่มี่ที่ปะทุพลังลงมืออยู่ดีๆก็นิ่งงัน เถาไม้ทั้งหมดคล้ายถูกลบหายไปในอากาศ ครู่ต่อมาร่างกู่มี่ก็ระเบิดออกดั่งพลุไฟ คนทั้งคนกลับกลายเป็นหมอกโลหิตอันตรธานหายไปในสวรรค์และโลก…
“เฒ่ากู่!”
สีหน้าหรงหยวนเปลี่ยนไปมหันต์ มันไม่คิดเลยว่าสหายที่รู้จักกับมันมานานปีกลับต้องมาตกตายต่อหน้าต่อตามันแบบนี้!
“อาวุโสกู่…”
หน้าต้วนหรูเฟิงก็เปลี่ยนสีไปเช่นกัน
ตั้งแต่ที่มันขึ้นแท่นรับตำแหน่งจ้าวตำหนักเมฆาคราม กู่มี่กับหรงหยวนก็เหมือนมือขวามือซ้ายคอยจัดการเรื่องราวให้มากมาย จึงไม่ได้เห็นกู่มี่เป็นคนนอกมานานแล้ว
ทว่าตอนนี้กู่มี่กลับต้องมาตกตายลงต่อหน้าต่อตา!
ยังถูกใครก็ไม่รู้ฆ่าตาย!
จังหวะนี้สองตาต้วนหรูเฟิงถึงกับแดงก่ำไปทันที
ทันใดทั่วร่างต้วนหรูเฟิงก็ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวออกมาดั่งเพลิงไฟลุกโชน! เป็นไอมารมืดดำเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายอำมหิต!!
ถึงแม้จะไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายของจิตสังหาร ทว่าต้วนหลิงเทียนเซี่ยวหลันและปี้เหยา ก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก!
ไอมารมืดดำนี้ยังคงพวยพุ่งออกมาไม่หยุด!
สนามพลังรอบกายต้วนหรูเฟิงยิ่งมาก็ยิ่งแกร่งกล้าน่ากลัวมากขึ้นทุกขณะ!
“ท่านพ่อ อย่า!”
เมื่อต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าบิดาวูบร่างหายไปจากข้างกาย สีหน้าอดไม่ได้ที่จะแปรเปลี่ยนไป รีบร้องตะโกนออกมาเสียงดังอีกครั้งทันที เพราะไม่คิดว่าบิดาจะวู่วามลงมือล้างแค้นให้กู่มี่ทันทีแบบนี้!
พลังฝีมือของชายวัยกลางคนนั่น มันสูงเกินไป!
“หืม? เป็นเพียงผู้ฝึกตนเซียนปฐพีขั้นสูงสุดแท้ๆ แต่กลับมีพลังทัดเทียมกับเซียนนภาขั้นต้นเช่นนั้นหรือ…ไม่เลวเลยทีเดียว น่าเสียดายอย่าว่าแต่เซียนนภาขั้นต้น ให้เจ้าบรรลุเซียนภาขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่คู่มือของข้า!”
เสียงไร้แยแสของชายวัยกลางคนดังขึ้น จากวาจาที่มันกล่าว…ตีความได้ว่าพลังฝึกปรือของมันเป็นอะไรที่อยู่เหนือขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดขึ้นไปอีก!
ขณะเดียวกันกับที่มันกล่าว มันก็ลงมือทันที
“ไม่!”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปร้ายแรง เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนกำลังจะลงมืออีกครั้ง!
“ไม่นะ!”
หน้างามของเซี่ยวหลันกับปี้เหยาก็เปลี่ยนสีไปเช่นกัน ลูกตาของพวกนางยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
สำหรับหรงหยวนนั้น มันปะทุพลังชั่วชีวิตพุ่งร่างตามต้วนหรูเฟิงไปแต่แรก ด้วยหมายช่วยเหลือต้วนหรูเฟิง ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อะไรที่มันจะต่อกรด้วยได้!
แต่หากชีวิตนี้ของมันสามารถตายเพื่อจ้าวตำหนักได้ มันก็ไม่เสียใจแล้ว!
ปง! ปง!
เสียงพลังปะทุระเบิดดังขึ้นสองครั้งติด พร้อมกันนั้นร่างต้วนหรูเฟิงกับหรงหยวนก็ถูกชายวัยกลางคนซัดจนปลิวกระเด็นออกมาอย่างพร้อมเพรียง ต่างปลิดปลิวละลิ่วไปไม่ต่างว่าวสายป่านขาด!
หลังกระเด็นไปไกล ในที่สุดต้วนหรูเฟิงที่สภาพไม่ค่อยสู้ดีก็หยุดร่างได้
สำหรับหรวงหยวนนั้น มันไม่อาจหยุดร่างตัวเองได้ จำต้องร่วงกระแทกกลิ้งไปกับพื้น…สภาพเป็นตายเท่ากัน!
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกอะไร เพราะความแข็งแกร่งของมันอ่อนด้อยกว่าต้วนหรูเฟิงมาก
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าการลงมือครั้งนี้ของชายวัยกลางคนได้ออมรั้งยั้งมือไว้แล้ว ไม่ได้อำมหิตเหมือนยามฆ่ากู่มี่!
หาไม่แล้วต้วนหรูเฟิงกับหรงหยวนคงไม่รอด!
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้นอีกครั้ง ครู่ต่อมาก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นตรงหน้า อีกฝ่ายอยู่ห่างเขาไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน…
เป็นชายวัยกลางคน!
หลังจากแผ่พุ่งพลังปัดร่างเซี่ยวหลันกับปี้เหยาจนปลิวกระเด็นไปแล้ว มันก็ยกขาถีบกลางอกต้วนหลิงเทียนจนปลิวไปทันที
ต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมก็ยังบาดเจ็บสาหัส มาถูกถีบซ้ำอีกครั้ง คราวนี้จึงไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
เห็นภาพนี้เซี่ยวหลันกับปี้เหยาที่ถูกชายวัยกลางคนซัดปลิวไปก่อนหน้าก็ทนไม่ไหว ชักอาวุธพุ่งเข้ามาอีกครั้งทันทีแม้จะรู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือของชายวัยกลางคนก็ตาม
“ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!”
กล่าวออกคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ชายวัยกลางคนที่ไม่ได้กระดิกแม้แต่นิ้วเดียว ร่างเซี่ยวหลันกับปี้เหยาก็ปลิวกระเด็นไปอีกครั้ง
ตึงงง!
ชายวัยกลางคนที่ย่างสามขุมมาหยุดตรงร่างต้วนหลิงเทียน พลันยกเท้าขึ้นมาก่อนจะกระทืบซ้ำลงไปกลางอกต้วนหลิงเทียน เหลือบมองลงมาด้วยสายตาเยียบเย็น “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ทดสอบความอดทนของข้า!”
“เจ้ากลัวงั้นสิ…”
ถูกชายวัยกลางคนย่ำเหยียบกลางอกเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้หวาดกลัวอะไร แสยะยิ้มเปื้อนเลือดออกมาอย่างประหลาด
“กลัว?”
ได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ร่างชายวัยกลางคนสะท้านไปทันใด หากแต่มันยังปากแข็ง “ข้ากลัวหรือ? เหลวไหลสิ้นดี! อย่างข้ายังมีอะไรต้องกลัว!”
“มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ!”
ต้วนหลิงเทียนจ้องตาชายวัยกลางคนพร้อมกล่าวออกเสียงเย็น มุมปากที่เลือดยังไหลย้อยค่อยๆแสยะยิ้มกว้างขึ้น
มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ!
ทันทีที่วาจาประโยคนี้ดังเข้าหูชายวัยกลางคน มันรู้สึกเสมือนมีอัสนีผ่าเปรี้ยงลงมากึกก้อง
เพราะต้วนหลิงเทียนเดาได้ถูกเผง!
เป็นเช่นนั้นจริงๆ…
แรกเริ่มเดิมทีชายวัยกลางคนคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย หมายชิงตราผนึกมาร
อย่างไรก็ตามพอมันเห็นร่างต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนแปลงเป็นนักรบมังกร มันก็จดจำได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนคือนักรบมังกร และพอพบว่ามือแต่ละข้างของต้วนหลิงเทียนกลับมีกรงเล็บถึง 9 กรงเล็บ ไม่ใช่ 7 กรงเล็บหรือ 8 กรงเล็บ! มันก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง…
ต้วนหลิงเทียนเป็น นักรบมังกร 9 กรงเล็บ!
หากมนุษย์คิดแปลงร่างเป็นนักรบมังกร จำต้องได้รับการถ่ายทอดพรสวรรค์มังกรแปลงของมังกรเทยดา 7 กรงเล็บขึ้นไปเสียก่อน โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บก็จะกลายเป็นนักรบมังกร 7 กรงเล็บ
ผู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ ก็จะกลายเป็นนักรบมังกร 8 กรงเล็บ!
และในประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า นักรบมังกรที่มันเคยได้ยินมา มากที่สุดก็มีแค่ 8 กรงเล็บเท่านั้น!
นักรบมังกร 8 กรงเล็บ ก็คือตัวตนที่ดำรงอยู่แต่ในตำนานของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว!
แต่วันนี้มันกลับได้เห็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บกับตา!
นักรบมังกร 9 กรงเล็บกล่าวไปแล้วก็คือผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดพรสวรรค์มังกรแปลงจากมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ! สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
อย่างน้อยๆเท่าที่มันรู้ ก็ไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์ม้วนใด ปรากฏว่าเคยพบเห็นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บมาก่อน!
และโดยปกติทั่วไปแล้ว นักรบมังกรนั้น ก็มักจะเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ชิดใกล้สนิทสนมกับมังกรเทพยดาที่ถ่ายทอดพรสวรรค์มังกรแปลงให้
มันย่อมไม่กล้าเสี่ยงลงมือผลีผลาม เพราะเกิดมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ล่ะก็ ชายวัยกลางคนรู้ตัวดีว่ามันตายแน่! ขุมพลังมันก็ไม่มีทางช่วยเหลือมันได้เลย! มันจึงไม่กล้าลงมือสังหารต้วนหลิงเทียน!!
หากก่อนหน้ามันยั้งมือไม่ทัน ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บก็ต้องตาย!
“เจ้าฉลาดนัก!”
เช่นนั้นแล้ว หลังได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถึง ‘มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ’ หน้าชายวัยกลางคนก็ถอดสีไปทันที สุดท้ายก็ไม่คิดปฏิเสธเพียงยอมรับ และกล่าวชมต้วนหลิงเทียนแทน
“อย่างไรก้ตามข้ายังยืนยันคำเดิม เจ้าจงส่งมอบตราผนึกมารมาให้ข้าเสีย! ถึงแม้ข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้ากับคนใกล้ชิดของเจ้าเพราะกริ่งเกรงมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเบื้องหลังเจ้า…แต่สำหรับคนอื่นข้าอยากให้ตายก็ง่ายดายนัก!”
ชายวัยกลางคนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หากเจ้ามิอยากให้ตำหนักเมฆาครามเจิ่งนองไปด้วยธารโลหิต…เช่นนั้นก็รีบส่งตราผนึกมารมาเสีย!”
“เจ้า…เจ้ากล้า!?”
ต้วนหลิงเทียนคิดว่าอีกฝ่ายจะเลิกราแต่โดยดี แต่ไม่คิดเลยว่าจะยังขู่เขาแบบนี้!
ให้ตำหนักเมฆาครามเจิ่งนองไปด้วยสายธารโลหิตงั้นหรือ…
“อย่าได้คิดสงสัยวาจาข้าอีก ข้ากล่าวอันใดข้าก็ทำเช่นนั้น!”
ชายวัยกลางคนกล่าวออกอย่างไร้แยแส แววตาของมันยามกล่าวยังดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
มันรู้ดีถึงอัตตาของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ ขอแค่มันไม่ฆ่านักรบมังกร 9 กรงเล็บ หรือบุคคลที่ใกล้ชิดอีกฝ่าย เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนระดับนั้นจะลงมือเพราะมันปล้นยอดศาสตราเซียนแบบนี้
เผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนที่ใจอำมหิตดั่งเดรัจฉานเลือดเย็น ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่ายากจะต่อรองได้ สุดท้ายเขาก็ทำได้แต่ยอมลง ส่งมอบตราผนึกมารให้อีกฝ่ายแต่โดยดี
เพราะเขาไม่อยากให้ตำหนักเมฆาครามต้องเกิดเรื่อง
หลังได้รับตราผนึกมาร ชายวัยกลางคนก็แสยะยิ้มออกมา “ฮึ่ม…เจ้ามันไร้เดียงสานัก จริงอยู่ที่ข้ากริ่งเกรงมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเบื้องหลังเจ้าจนไม่กล้าฆ่าเจ้าหรือคนใกล้ชิดของเจ้า แต่มิได้หมายความว่าข้าไม่กล้าฆ่าคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า!”
“ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ล้วนแค่หลอกเจ้า…เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า!”
“หากข้าไม่พอใจอะไรข้าไม่เคยคิดทน วันนี้ข้าจะละเลงเลือดที่นี่เสีย!”
สิ้นคำ หลังชายวัยกลางคนที่เก็บตราผนึกมารไว้ดีแล้ว จิตสังหารมันก็เริ่มเอ่อล้นออกมาทั่วร่าง
“เจ้ากล้า!?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นดุร้าย เขาไม่คิดเลยว่าชายวัยกลางคนจะกลับคำพูดหลังได้รับตราผนึกมารไปแล้วแบบนี้
จังหวะนี้เขารู้สึกเหมือนโทสะในใจเจียนระเบิดออก!
“ชีวิตนี้หากข้าต้วนหลิงเทียนไม่ฆ่าเจ้าให้ตาย ข้าไม่ขออยู่เป็นคน!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลูกตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นแดงฉาน จิตสังหารพลันเอ่อล้นออกมาท่วมร่างเขาเช่นกัน
เขาไม่ได้มีโมโหขนาดนี้มานาน
ยังเนิ่นนานมากแล้วที่รู้สึกอยากฆ่าใครสักคนให้ตายแบบนี้!
ตอนที่ 1,877 : เซี่ยจง ลัทธิอารามทมิฬ!
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ตัวตน ‘นักรบมังกร’ มีความพิเศษนัก
นั่นเพราะนักรบมังกรจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ จำเป็นต้องมีมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บขึ้นไปอยู่เบื้องหลัง
และมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บขึ้นไปแต่ละตัว ชั่วชีวิตก็สามารถถ่ายทอดพรสวรรค์มังกรแปลงให้มนุษย์ได้ครั้งเดียว
ด้วยเหตุนี้ทำให้เบื้องหลังของนักรบมังกร ล้วนมีมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บขึ้นไปอยู่เบื้องหลังเสมอ!
เบื้องหลังนักรบมังกร 7 กรงเล็บ ก็คือมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บ
เบื้องหลังนักรบมังกร 8 กรงเล็บ ก็คือมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ
เช่นนั้นเบื้องหลังนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ก็คือมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ!
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า นักรบมังกร 7 กรงเล็บนั้นมีอยู่มากมาย ส่วนนักรบมังกร 8 กรงเล็บพบได้น้อยคน
ครั้งหนึ่งเคยมีคนลงมือสังหารนักรบมังกร 7 กรงเล็บ สุดท้ายก็ถูกมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บตามมาฆ่าล้างแค้น…
ในอดีตเคยมีคนหาญกล้า ฆ่าคนใกล้ชิดของนักรบมังกร 8 กรงเล็บ..สุดท้ายมันก็โดนมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บฆ่า!
บางคนเคยทำลายนิกาย,สำนักของนักรบมังกร 8 กรงเล็บ หากแต่ไม่ได้แตะต้องญาติสนิทมิตรสหายของนักรบมังกร 8 กรงเล็บ …แต่ทว่ามังกรเทพยดา 8 กรงเล็บก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อฆ่าผู้ลงมือแต่อย่างไร
บางคนเคยแย่งชิงยอดศาสตราเซียนจากนักรบมังกร มังกรเทพยดาก็ไม่ได้ลงมือล้างแค้นให้นักรบมังกรผู้นั้น
เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เหล่านี้บ่งบอกได้ถึงเรื่องหนึ่ง…
ความคุ้มครองของมังกรเทพยดาที่มีให้นักรบมังกรนั้นก็มีขอบเขตเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ยอดฝีมือที่อันร้ายกาจที่บุกมาตำหนักเมฆาครามเพื่อชิงตราผนึกมารคนนี้ จึงไม่ได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนเมื่อเห็นเขาแปลงกายเป็นนักรบมังกร
‘ไฉนเจ้าเด็กนี่มันถึงต้องเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บด้วย หากมันเป็นแค่นักรบมังกร 7 กรงเล็บ ข้าจะฆ่ามันให้ตาย! ข้าเซี่ยจง ไหนเลยจะกลัวมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บในภูมิภาคเบื้องบน!’
หลังจากรับตราผนึกมารมาจากมือต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนนาม เซี่ยจง ก็เหินร่างออกมาทันที มันคิดลงมือฆ่าล้างผู้คนในตำหนักเมฆาครามเพื่อระบายโทสะ!
จากที่มันคิด เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้หวาดกลัวมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บแม้แต่น้อย
‘ตอนนี้แค่เพียงมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ ยังมิมีในดินแดนเทพยุทธ์ซียนเต๋า…แล้วมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บมาจากที่ใดกัน? ดูท่าเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนนี่กลายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บได้ สมควรเพราะได้รับสืบทอดมรดกที่มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บเหลือทิ้งเอาไว้ตั้งแต่อดีต…มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บนั่นสมควรเยื้องย่างขึ้นสวรรค์ไปแล้ว! พลังฝีมือน่ากลัวจะสะท้านแดนดิน!’
แม้เซี่ยจงไม่แน่ใจว่ามังกรเทพยดา 9 กรงเล็บที่ว่าจะให้ความสำคัญกับต้วนหลิงเทียนมากหรือไม่ แต่มันไม่ก็กล้าเสี่ยง!
เพราะหากมันเสี่ยงแล้วเดิมพันผิด มันตายแน่นอน!
เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้เป็นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ ตลอดชั่วชีวิตก็ถ่ายทอดพรสวรรค์มังกรแปลงได้แค่ครั้งเดียว!
หากจะกล่าวว่ามังกรเทพยดานั่น คงไม่ให้ความสำคัญอะไรต้วนหลิงเทียนมาก เห็นทีว่าคงเป็นไปไม่ได้!
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนและลงมือกับคนใกล้ชิดของต้วนหลิงเทียน
แน่นอนว่าการอดทนไม่ลงมือ ย่อมทำให้มันรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ!
“หืม?”
ทันใดนั้นเอง ในสายตาของเซี่ยจงพลันปรากฏร่างกลุ่มคนในชุดเกราะสีดำสนิทกลุ่มหนึ่ง ทำให้สองตามันลุกวาวขึ้นมาทันที
“ผู้ใด!?”
เมื่อเซี่ยจงเหินร่างเข้ามาหาโต้งๆ องครักษ์เกราะทมิฬกลุ่มดังกล่าวก็ตรวจพบได้ทันที หลังจากที่ตะโกนถามออกมาแล้ว ทั้งหมดก็กระจายกันปิดล้อมคนแปลกหน้าทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกมันก็พบว่า…
แม้ชายวัยกลางคนผู้นี้จะไม่แม้แต่กระดิกนิ้วอะไร หากแต่มวลอากาศรอบกายของพวกมันก็คล้ายจะบีบอัดหดตัว! โถมถันเข้ามาทุกทิศทาง บดขยี้ร่างของพวกมันอย่างไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน!
ปง! ปง! ปง!
…
เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นชุด ร่างเหล่าองครักษ์เกราะทมิฬในสายตาเซี่ยจง ล้วนถูกพลังน่ากลัวระเบิดทำลายเป็นละอองโลหิตหมดสิ้น…
หลังฆ่าองครักษ์เกราะทมิฬไปหมู่นึง เซี่ยจงก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย
“พวกสวะ! นี่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น…”
เซี่ยจงหันมองไปซ้ายทีขวาที มุมปากแสยะยิ้มแววตาเผยความวิปลาศ คล้ายหากไม่ได้ฆ่าคนใจคงไม่สงบ!
“หยุดมือ!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล เป็นต้วนหรูเฟิงที่เหินร่างตามมาหมายหยุดเซี่ยจง
“เฮอะ! หากเจ้ามิใช่บิดาของต้วนหลิงเทียนนั่น เจ้าคงตายไปนานแล้วจ้าวตำหนักเมฆาคราม…เป็นแค่ผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 กลับหาญกล้าขึ้นเสียงต่อหน้าข้าเซี่ยจง?”
เซี่ยจงเหลือบมองต้วนหรูเฟิงด้วยสายตาเย็นชา กล่าวเย้ยหยันไปคำหนึ่ง
และทันใดนั้นเองความว่างเปล่าพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา พลังไร้สภาพยากมองเห็นอันสุดไพศาลขุมหนึ่ง พุ่งซัดกระแทกร่างต้วนหรูเฟิงจนปลิดปลิวไปอีกครั้ง!
ต่อหน้าพลังอันมหาศาลนี้ต้วนหรูเฟิงไม่อาจต้านทานได้เลย
“หืม?”
ทันใดนั้นเองคล้ายสังเกตเห็นบางสิ่ง ลูกตาของเซี่ยจงพลันหรี่ลงเผยประกายเย็นชาเรืองวาบ มือยกขึ้นสะบัดตบออกไปทันที
ปงงง!!
เสียงสนั่นกึกก้องจนความว่างเปล่าสะท้านสะเทือน ร่างหนึ่งถูกซัดกระเด็นเผยตัวออกจากการซุ่มซ่อนทันที
เป็นชายในชุดดำ
เนื่องจากเป็นชุดโม่งคลุมสีดำสนิท ทั้งมีผ้าปิดปากจึงยากจะมองเห็นรูปลักษณ์ได้ชัดเจน
“อั๊ค!”
อย่างไรก็ตามแต่ หลังถูกซัดจนเผยตัว ร่างในชุดโม่งดำก็กระอักโลหิตออกมา ผ้าปิดปากถึงกับชุ่มโชกไปด้วยเลือด!
“เยว่อู๋หยิ่ง”
เห็นฉากนี้ ต้วนหรูเฟิงที่ถูกซัดจนกระเด็นไปไกลก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
เพราะผู้ที่ลอบโจมตีเซี่ยจงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ‘เยว่อู๋หยิ่ง’
เยว่อู๋หยิ่งนั้นเป็นตัวตนลึกลับดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหางของตำหนักเมฆาคราม
ตราบใดที่เป็นคนของตำหนักเมฆาคราม ย่อมรู้กันดีว่าเยว่อู๋หยิ่งคนนี้พบเห็นได้ยากยิ่งกว่าจ้าวตำหนักเสียอีก!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เยว่อู๋หยิ่งผู้นี้เจนจัดในเรื่องการลอบสังหารนัก! ประหนึ่งปีศาจราตรีที่ลงมือในความมืดมิดสมชื่อ!!
(เยว่อู๋หยิ่ง = จันทร์ไร้เงา)
ถึงแม้พลังฝีมือของมันจะนับว่าด้อยกว่าต้วนหรูเฟิง หากแต่คนที่มันสังหารได้ ต้วนหรูเฟิงก็ไม่แน่ว่าจะสังหารได้!
อย่างไรก็ตาม วันนี้กระทั่งเยว่อู๋หยิ่งยังไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือ!
บอกให้รู้ได้ทันทีว่าพลังฝีมือของเซี่ยจงอยู่เหนือขอบเขตการสังหารของเยว่อู๋หยิ่งไปไกล!
‘ด้วยการลอบโจมตีของเยว่อู๋หยิ่งต่อให้เป็นเซียนนภาขั้นต้นก็ไม่อาจรอดพ้นชะตาตายตก หากถูกลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว…แต่กับเซี่ยจงนั่นกระทั่งเยว่อู๋หยิ่งยังไม่ทันลงมืออะไรก็ถูกเปิดเผยตัว! หรือที่มันกล่าวว่ากระทั่งเซียนนภาสูงสุดยังไม่อาจฆ่ามันได้จะเป็นเรื่องจริง!’
มองเซี่ยจงอีกครั้งในแววตาต้วนหรูเฟิงยังเผยความหวาดกลัวชัดเจน ‘เช่นนั้นด่านพลังฝึกปรือของมันสมควรเหนือกว่าขอบเขตเซียนนภา!’
“ใต้เท้าเซี่ยจง…”
ในขณะที่เซี่ยจงเผยประกายเย็นเยียบคิดสังหารเยว่อู๋หยิ่งนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นก็มีร่างชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากฟากฟ้า
เซี่ยจงมองไปปราดเดียวก็จดจำได้ทันทีว่าชายชราผู้มาใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ผู้สังเกตการณ์ ของภูมิภาคเบื้องล่าง ยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาที่ขุมพลังชั้น 1 ในภูมิภาคเบื้องบนส่งมา…
“มีอะไร?”
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับผู้สังเกตการณ์สีหน้าของเซี่ยจงยังเฉยเมยไร้แยแส อันที่จริงหากสังเกตให้ชัดจะเห็นว่าเซี่ยจงยังเผยความรำคาญออกมาให้เห็น ราวกับไม่ได้เห็นชายชราอยู่ในสายตา!
อีกทั้งตัวชายชราเองพอถูกเซี่ยจงถามเสียงเย็น ทีท่าก็แลดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างเห็นได้ชัด
มันยังไม่สงวนท่าทีได้หรือ?
เซี่ยจงที่อยู่เบื้องหน้ามันคนนี้ไม่เพียงจะมีพลังฝึกปรือเหนือมัน ขุมพลังเบื้องหลังอีกฝ่ายยังไม่ใช่อะไรที่มันจะตอแยล่วงเกินได้!
ถึงแม้ขุมพลังเบื้องหลังมันจะเป็นขุมพลังชั้น 1 ในภูมิภาคเบื้องบน แต่มันก็เป็นแค่อาวุโสฝ่ายนอกธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น หาไม่แล้วคงไม่ถูกส่งมาประจำการที่ภูมิภาคเบื้องล่างแบบนี้…
ทว่าเซี่ยจงที่อยู่เบื้องหน้าของมันนั้นเป็นถึงหนึ่งในอาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ! 1 ใน 3 ลัทธิอันทรงพลังของภูมิภาคเบื้องบน แถมฐานะของอีกฝ่ายในลัทธิอารามทมิฬยังมิใช่ธรรมดาอีกด้วย!
เช่นนั้นไม่ต้องกล่าวถึงตัวมันด้วยซ้ำ กระทั่งเป็นผู้นำขุมพลังชั้น 1 ของมันยามพบเจอเซี่ยจง ยังต้องก้มหัวคารวะด้วยความสุภาพ…
“ใต้เท้าเซี่ยจง ‘กฏ’ ห้ามยอดฝีมือตั้งแต่ขอบเขตเซียนนภาขึ้นไปลงมือทำร้ายกระทั่งสังหารผู้ใดในภูมิภาคเบื้องล่างตามใจนั้น…ได้รับความเห็นชอบจาก 3 ลัทธิรวมถึงลัทธิของท่านด้วย เช่นนั้นมันจะดีหรือที่ท่านลงมือสังหารผู้คนเช่นนี้? ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบจะอธิบายให้ท่านผู้นำฟังอย่างไร หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป…”
เผชิญหน้ากับเซี่ยจง ชายชราได้แต่ยิ้มกล่าวออกมาอย่างขื่นขม
“เหอะ!”
ได้ยินคำของผู้สังเกตการณ์เซี่ยจงพ่นลมดูแคลนออกคำหนึ่ง “หากมีใครกล้าลงโทษเจ้าว่าละเลยหน้าที่เพราะเหตุนี้ล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าให้มันโผล่หัวมาลัทธิอารามทมิฬแล้วมาขอคำอธิบายกับข้า เซี่ยจง ผู้นี้เถอะ!”
ไปลัทธิอารามทมิฬ?
ขอคำอธิบายจากท่าน?
ผู้สังเกตการณ์ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา เพราะเรื่องนี้เกรงว่าผู้นำขุมพลังชั้น 1 ของมันก็ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าไปลัทธิอารามทมิฬด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับร้องหาคำอธิบายกับเซียจง!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เซี่ยจงเป็นผู้อาวุโสระดับสูงเลย…ลำพังแค่บิดาของมันที่เป็นถึง 1 ใน 4 ธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬก็ไม่กล้ามีใครล่วงเกินมันแล้ว!
ในลัทธิอารามทมิฬนั้น 4 ธรรมราชา หากเห็นพ้องต้องกันยังสามารถถอดถอนจ้าวลัทธิลงจากตำแหน่งได้!!
เช่นนั้นอำนาจและฐานะของมันสูงส่งเพียงใด เท่านี้ก็ทราบได้!
สายตาเซี่ยจงหันไปมองเยว่อู๋หยิ่งอย่างเหยียดหยามอีกครั้ง ค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มเย็นๆ “เจ้าสมควรมิใช่ญาติอันใดของต้วนหลิงเทียน…เช่นนั้นให้ข้าส่งเจ้าไปตามทางเถอะ!”
สิ้นคำเซี่ยจงสีหน้าต้วนหรูเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าของเยว่อู๋หยิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าก็ซีดลงเช่นกัน
“เหอะๆ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่อาวุโสของอารามทมิฬนิยมลงมาวางท่าอวดโอ่พลังอำนาจที่ภูมิภาคเบื้องล่างเช่นนี้…”
ทว่าในขณะที่เซี่ยจงกำลังจะลงมือสังหารเยว่อู๋หยิ่งนั้นเอง พลันมีเสียงอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้นมาจากทุกทั่วสารทิศ
อย่างน้อยๆก็ดังขึ้นทุกสารทิศในหูคนอื่นยกเว้นเซี่ยจง
ส่วนด้านเซี่ยจง ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ มันหันขวับทั้งเงยหน้าขึ้นไปมองยังหมู่เมฆทิศเหนือทันที! ก่อนที่จะคำรามออกด้วยเสียงผสานสำนึกเทวะเข้มต่ำ “ผู้ใด!?”
ต้วนหรูเฟิงซึ่งแต่เดิมกลัวเกิดเรื่องกับเยว่อู๋หยิ่ง พอได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นสองตาพลันลุกวาวทันใด สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยินดี ยังรีบหันไปมองตามทิศทางเดียวกันกับสายตาของเซี่ยจง!
ได้ยินเสียงนี้แม้ใบหน้าเยว่อู๋หยิ่งจะถูกปกปิดมิดชิดยากที่ใครจะมองเห็นได้ แต่หากใครสังเกตให้ดีจะพบว่าร่างมันสั่นสะท้านไปเบาๆเช่นกัน
ผู้สังเกตการณ์เองก็หันไปมองทางทิศเหนือ
สูงขึ้นไปบนฟ้า หลังเมฆก้อนหนึ่งปรากฏร่างๆหนึ่งลอยล่องอยู่อย่างสงบ
เป็นชายชราในชุดคลุมสีเทาอ่อน
เพียงชายชราลอยล่องอยู่เฉยๆกลับให้บรรยากาศดั่งเซียนอมตะ…
“ผู้เฒ่าพยากรณ์!”
เมื่อได้เห็นหน้าค่าตาของชายชราที่กล่าวคำเสียดสี สองตาของเซี่ยจงถึงกับลุกวาวขึ้นมาทันที ลมหายใจยังหอบถี่ หัวใจยังคล้ายจะเต้นรัวปานกลองศึก!
ชายชราที่ปรากฏกายมาปานเทพเซียนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นผู้สืบทอดนาม ความลับสวรรค์! ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้! ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นดั่งหนามยอกอกของลัทธิทั้ง 3 อีกด้วย!!
‘หากข้าฆ่าไอ้เฒ่าพยากรณ์นี่ได้แล้วเอาหัวมันกลับไปล่ะก็…โอกาสที่ข้าจะได้ขึ้นเป็นจ้าวลัทธิย่อมสูงขึ้นแน่!’
ยิ่งมาใจเซี่ยจงก็ยิ่งเต้นรัวขึ้น
“ผู้เฒ่าพยากรณ์ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากระทั่งเจ้าก็ถูกตราผนึกมารล่อลวงจนต้องโผล่หัวออกมาเช่นนี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ตราผนึกมารได้ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว…แต่ในเมื่อเจ้าโผล่หัวมาแล้ว ก็อย่าได้คิดจะจากไปง่ายๆ!!”
กล่าวจบคำร่างเซี่ยจงก็อันตรธานหายไปทันที!
อย่างน้อยๆผู้คนในที่นี้ไม่ว่าจะเป็น ต้วนหรูเฟิง หรือเยว่อู๋หยิ่ง ทั้งคู่ก็ไม่มีใครมองตามความเคลื่อนไหวของทันได้ทัน
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ที่ด่านพลังอยู่ในขอบเขตเซียนนภาแล้ว ก็แทบไม่อาจมองตามความเคลื่อนไหวของเซี่ยจงได้ทัน!
ตอนที่ 1,878 : เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!
“คิดให้ข้าอยู่…ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถหรือไม่!”
ผู้เ?พยากรณ์แสยะยิ้มกล่าว…วาจาท้ายประโยคน้ำเสียงยังเปลี่ยนไปเป็นท้าทาย!
และทันทีที่กล่าวจบคำร่างผู้เฒ่าพยากรณ์ก็วูบหายไปทันที พริบตาก็จากไปไกลสุดฟ้า!
ด้านเซี่ยจงที่คิดฆ่าผู้เฒ่าพยากรณ์สร้างผลงานให้จงได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทะยานร่างหนีไป ก็ปะทุพลังสุดตัวรีบพุ่งร่างตามไปอย่างไม่กล้ารอช้า!
ตอนนี้มันลืมเยว่อู๋หยิ่ง กระทั่งลืมเลือนตำหนักเมฆาครามไปหมดสิ้น
ในหัวมีแต่คำ ผลงาน! ผลงานยิ่งใหญ่และตำแหน่งจ้าวลัทธิรำไร!!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างผู้เฒ่าพยากรณ์กับเซี่ยจงก็หายไปจากเขตตำหนักเมฆาครามอย่างไร้ร่องรอย
จังหวะนี้จึงเหลือเพียงเยว่อู๋หยิ่ง ต้วนหรูเฟิง และก็ผู้สังเกตการณ์เท่านั้นที่ยังอยู่
“จ้าวตำหนักต้วน ที่แท้มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ไฉนใต้เท้าเซี่ยจงถึงบุกมาฆ่าคนในตำหนักเมฆาครามของท่านได้?”
ผู้สังเกตการณ์มองถามต้วนหรูเฟิงด้วยใบหน้ามึนงงสงสัย
เหตุผลที่มันสามารถมาถึงที่นี่ได้ทันเวลา เพราะมีคนลึกลับลอบส่งรายงานมาให้มัน…ว่ามียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนคนหนึ่งกำลังจะลงมาเข่นฆ่าสังหารคนของตำหนักเมฆาครามราวผักปลาโดยไม่สนกฏระเบียบ…
อนิจจาสุดท้ายมันก็ยังมาสายเกินไป คนของตำหนักเมฆาครามได้ตกตายไปแล้วหลายคน
ตอนแรกมันก็ไม่ทราบว่ายอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนที่ว่าเป็นใคร
จนกระทั่งมันมาถึงตำหนักเมฆาคราม จึงได้รู้ว่ายอดฝีมือคนนั้นที่แท้กลับเป็นถึงเซี่ยจง อาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ!
หากมันรู้มาก่อนว่าผู้ลงมือจะเป็นเซี่ยจงล่ะก็…มันคงไม่กล้ามาเสนอหน้าที่นี่แต่แรก! ผู้ยิ่งใหญ่ทำอะไรไหนเลยปลาซิวปลาสร้อยเช่นมันจะวุ่นวายได้!!
“มันมาเพื่อชิงตราผนึกมาร”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวตอบเสียงเข้ม
“ตราผนึกมาร?”
ผู้สังเกตการณ์ได้ฟังคำของต้วนหรูเฟิง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ตราผนึกมารมิใช่หายสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีก่อนหรอกหรือ…เห็นว่ามันหายไปพร้อมกับเด็กหนุ่มนาม ต้วนหลิงเทียน ที่อยู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย?”
“อาวุโสหลิวท่านไม่ค่อยออกจากด่าน เช่นนั้นท่านจึงคงยังไม่ทราบเรื่องนี้…ต้วนหลิงเทียนที่มีตราผนึกมารในครอบครองคนนั้นจริงๆแล้วเป็นลูกชายคนเดียวของข้าเอง…วันนี้ที่เซี่ยจงนั่นมันบุกมาตำหนักเมฆาครามกระทั่งฆ่าอาวุโสกู่ ก็เพื่อชิงตราผนึกมารของลูกข้า!”
ขณะกล่าวตอบประโยคนี้สองตาต้วนหรูเฟิงก็แดงฉานเต็มไปด้วยความคับแค้น รังสีฆ่าฟันพุ่งออกจากลูกตาเป็นสาย
“ต้วนหลิงเทียน…เป็นบุตรชายจ้าวตำหนักต้วนรึ?”
ผู้สังเกตการณ์ประหลาดใจไม่น้อย
“อาวุโสหลิว จากที่ข้าฟังท่านสนทนากับเซี่ยจง มันเป็นคนของ 1 ใน 3 ลัทธิในภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิอารามทมิฬจริงหรือ? ท่านถึงได้หวาดกลัวมันนัก?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวถาม
ตั้งแต่ที่เห็นทีท่าทั้งได้ยินเซี่ยจงกับผู้สังเกตการณ์คุยกัน ต้วนหรูเฟิงก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
ลัทธิอารามทมิฬนั้น เป็น 1 ใน 3 ลัทธิในภูมิภาคเบื้องบน
3 ลัทธิอันยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเบื้องบนได้แก่ ลัทธิบูชาไฟ ลัทธิชะตาฟ้า และก็ลัทธิอารามทมิฬ!
ต้วนหรูเฟิงเองก็รู้เรื่องนี้
“ใต้เท้าเซี่ยจงคนนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์! นอกจากนั้นบิดาของใต้เท้าเซี่ยยังเป็นถึง 1 ใน 4 ธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ! ที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม ราชันราชสีห์ทองคำ!”
กล่าวถึงประโยคท้ายท่าทางของผู้สังเกตการณ์แลดูยำเกรงหวั่นหวาด “ในลัทธิอารามทมิฬ ตำแหน่งธรรมราชาเป็นอันใดที่สูงส่งนัก มิได้ด้อยไปกว่าจ้าวลัทธิเลย…กระทั่งหากธรรมราชาทั้ง 4 เห็นพ้องต้องกัน ยังสามารถปลดจ้าวลัทธิลงจากตำแหน่งเพื่อแต่งตั้งคนใหม่ได้!”
ต้วนหรูเฟิงที่ได้ฟัง ก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังทันที…ด้วยไม่คิดว่าฐานะความเป็นมาของอีกฝ่ายจะสูงส่งเพียงนี้!
ไม่เพียงแต่เป็นชนชั้นอาวุโสสูงของลัทธิอารามทมิฬ แต่บิดาของอีกฝ่ายยังเป็นถึง ราชันราชสีห์ทองคำ 1 ใน 4 ธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬ!!
สำหรับเรื่องที่ผู้สังเกตการณ์บอกว่าเซี่ยจงมีพลังฝึกปรือในขอบเขต ‘เซียนสวรรค์’ ต้วนหรูเฟิงไม่ได้แปลกใจอะไร
เพราะมันตระหนักได้สักพักแล้วว่าพลังฝีมือที่เซี่ยจงสำแดงออกมา กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดก็ไม่อาจเทียบได้!
เช่นนั้นก็เป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น
พลังฝึกปรือของเซี่ยจงอยู่เหนือขอบเขตเซียนนภา!
และในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หลังจากด่านพลังเซียนนภาแล้วก็มีด่านพลังที่สูงส่งกว่าอยู่อีกด่านหนึ่งเท่านั้น
และด่านพลังที่ว่าก็คือ เซียนสวรรค์!
ระดับเซียนสวรรค์นั้นจะถูกแบ่งเป็นขั้นย่อยๆได้อีก 9 ขั้น หรือเรียกรวมๆว่า เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!
เมื่อฝึกปรือบ่มเพาะไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นสุดท้าย หรือ เปลี่ยนสู่สวรรค์ ก็จะสามารถชักนำพลังฟ้าดินเพื่อเรียกหา ‘ภัยพิบัติสู่สวรรค์’ ให้ปรากฏขึ้นได้!
และหากสามารถผ่านพ้นภัยพิบัติสู่สวรรค์ไปได้สำเร็จ ก็จะสามารถเยื้องย่างขึ้นสู่ระนาบเทวโลก! ก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ และกลายเป็น ‘อมตะชน’ ที่แท้จริง!!
“ท่านพ่อ!”
ต้วนหลิงเทียนที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ก็ได้เซี่ยวหลันกับปี้เหยาช่วงพยุงเหาะมาจนถึงที่เกิดเหตุ
และตอนนี้ผิวกายของต้วนหลิงเทียนก็ได้กลับมาเป็นปกติหวนคืนสู่ร่างมนุษย์ ไร้ซึ่งเกล็ดมังกรอะไร
“ท่านพ่อ เจ้านั่นมันฆ่าพี่น้องตำหนักเมฆาครามเราไปกี่คน?”
เมื่อมาถึงต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาด้วยใบหน้าคับแค้น แววตายังแลดูน่ากลัวนัก
“ตกตายไป 10 คน…”
ต้วนหรูเฟิงระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
“10 คนหรือ…”
ทว่าต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินถึงกับอึ้ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที
แค่ 10 คนเองเหรอ?
“ท่านพ่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าชายวัยกลางคนนั่นจะใช่ตัวดีที่จะเกิดมีเมตตาขึ้นมาอะไรได้!
หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเห็นเขากลายร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บล่ะก็ น่ากลัวว่าด้วยโทสะของมัน คงได้ฆ่าล้างคนตำหนักเมฆาครามจนตกตายหมดสิ้นจริงๆแน่ๆ!
ด้วยเหตุนี้พออีกฝ่ายจากไป ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับหน้าเสียด้วยคิดว่าศิษย์ของตำหนักเมฆาครามนับหมื่นพันคงไม่อาจรอดพ้นหายนะตกตายแน่แล้ว…แต่ไฉนมาตอนนี้อีกฝ่ายกลับฆ่าคนไปแค่ไม่กี่คนกันเล่า?
“มียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนลงมาเย้ยเยาะการกระทำของมันจนทำให้มันมีโทสะ…เช่นนั้นมันจึงหันไปไล่ล่ายอดฝีมือผู้มาใหม่คนนั้นแทน”
แม้ต้วนหรูเฟิงจะจดจำได้ดีว่ายอดฝีมือที่ว่าก็คือผู้เฒ่าพยากรณ์ แต่มันก็ไม่คิดกล่าวบอกความจริงออกมา
มันไม่มีวันเปิดเผยตัวตนของผู้เฒ่าพยากรณ์ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากอีกฝ่าย
“มียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนมาอีกคนงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำก็เริ่มหันมองไปรอบๆทันทีตามสัญชาตญาณ
หลังหันรีหันขวางอยู่ไม่กี่ครั้ง เขาพลันตระหนักได้ว่าในที่นี้นอกจากบิดา ยังมีชายชราคนหนึ่งลอยตัวอยู่บนฟ้า…
ส่วนเยว่อู๋หยิ่งนั่น ไม่ทราบจากไปตั้งแต่เมื่อใด
แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อได้ฟังว่าชายวัยกลางคนที่มาชิงตราผนึกมารไปจากเขาผู้นั้นจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งอก
ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก การที่ชายวัยกลางคนจากไปเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าตำหนักเมฆาครามเองก็รอดพ้นหายนะไปแล้ว!
ส่วนเรื่องลงมือแก้แค้นอะไรทำนองนั้น ตอนนี้เขายังไร้สามารถ!
ต่อให้เพลิงโทสะในใจเจียนปะทุระเบิดออกมาเผาผลาญเพียงใด แต่เขาก็ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้เท่านั้น
เพราะเขารู้ตัวดี กระทั่งต้านรับอีกฝ่ายให้ได้สักท่ายังไม่มีปัญญา ยังนับประสาอะไรกับฆ่ามันล้างแค้น?
“จ้าวตำหนักต้วน…นี่หรือต้วนหลิงเทียนบุตรชายของท่าน?”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด ชายชราที่ลอยร่างกลางหาวโรยตัวลงมา ทั้งมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสนใจ
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้าให้ชายชราคราหนึ่ง ค่อยกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียน “เทียนเอ๋อนี่คืออาวุโสหลิว ผู้สังเกตการณ์ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า”
ผู้สังเกตการณ์
ได้ยินคำแนะนำของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผู้สังเกตการณ์ภูมิภาคเบื้องล่างจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“อาวุโสหลิว”
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนก็ยังทักทายอีกฝ่ายด้วยมารยาทที่ดี
“สหายน้อยเจ้านับว่ามีโชควาสนามิธรรมดาจริงๆ กระทั่งพบเจอยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารและได้ครอบครองมันช่วงหนึ่ง …อย่างไรก็ตามยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารนั้น มันมิต่างอันใดจากเผือกร้อนสำหรับเจ้า ได้ครอบครองว่าดีแล้ว แต่มิมีอยู่ถือว่าประเสริฐกว่า! จากนี้ไปเจ้าก็มิต้องคอยหลบๆซ่อนๆหรือกริ่งเกรงว่าผู้ใดจ้องจะทำร้ายเจ้าเพื่อชิงของอีกต่อไป…นับว่าในร้ายยังมีดี”
วาจาช่วงแรกของผู้สังเกตการณ์ยังไม่อะไรมากมาย แต่วาจากลางไปจนท้ายประโยคถึงกับทำให้ต้วนหลิงเทียนเผยสีหน้าซับซ้อน
จริงด้วย!
ตราผนึกมารหลุดลอยไปจากมือเขาแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี!
แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะตระหนักได้ถึงผลดีผลเสียและรู้สึกว่าดีมากกว่าเสีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่คับแค้นชายวัยกลางคนผู้นั้น!
อีกฝ่ายไม่เพียงเหยียบย่ำหยามหยันเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังเข่นฆ่าสังหารคนตำหนักเมฆาครามตามอำเภอใจ! เขาไม่มีวันอภัยให้มันเด็ดขาด!!
แค้นนี้ต้องชำระ! และเขาจะให้มันชดใช้ในเร็ววัน!!
แต่สำหรับตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังรู้ตัวเองดี
“จ้าวตำหนักต้วน ในเมื่อตอนนี้ก็มิมีเรื่องราวอันใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอลาไปก่อน”
ผู้สังเกตการณ์กล่าวร่ำลากับต้วนหรูเฟิงเสร็จ ก็เหินร่างจากไป
ครู่ต่อมา ก็เหลือแต่ต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหลันกับปี้เหยาเท่านั้น
สำหรับหรงหยวนนั้น ได้แยกตัวไปแต่แรกเพื่อจัดการเรื่ององครักษ์เกราะทมิฬที่ตกตาย
“เจ้านั่นมันเรียกว่า เซี่ยจง มันเป็นอาวุโสระดับสูงของ 1 ใน 3 ลัทธิที่ภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิอารามทมิฬ! ด่านพลังฝึกปรือของมันอยู่เหนือกว่าขอบเขตเซียนนภา มันเป็นยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว!”
ต้วนหรูเฟิงเริ่มกล่าวออกมาทำลายความเงียบ
ยามกล่าวถึงเซี่ยจง แววตาต้วนหรูเฟิงยังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอันคับแค้น
โทสะในใจหาได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนไม่!
“คนของ 1 ใน 3 ลัทธิ!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใด เขาไม่คิดเลยว่าเขาที่ยังไม่ทันได้ช่วยเหลือเค่อเอ๋อจากลัทธิบูชาไฟที่ชั่วร้ายนั่น กลับต้องมาพัวพันกับลัทธิอารามทมิฬเพิ่มอีก!
กระทั่งยังไม่ใช่เรื่องดี!
สำหรับขอบเขตเซียนสวรรค์อะไรนั่น ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่
ตอนที่เขาอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ เขาก็ได้อ่านเจอเรื่องราวต่างๆในหอตำราหลักมากมาย ขณะค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับลัทธิบูชาไฟและข้อมูลของภูมิภาคเบื้องบน
ในบรรดาข้อมูลเหล่านั้นรวมไปถึงระดับพลังบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนด้วย
ระดับพลัง เซียนสวรรค์เองก็นับรวมอยู่ในนั้น
ด่านพลังเซียนสวรรค์นั้น เป็นด่านพลังที่อยู่ถัดจากเซียนนภา และถือเป็นด่านพลังสูงสุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้แล้ว
ตราบใดที่ฝึกฝนบ่มเพาะจนบรรลุขั้นที่ 9 เปลี่ยนสู่สวรรค์ล่ะก็ จะสามารถชักนำ ‘ภัยพิบัติสู่สวรรค์’ ที่จะมาในรูปแบบอัสนีทัณฑ์สวรรค์! สายฟ้าจะฟาดผ่าลงมาหมายพิฆาตผู้ที่ต่อต้านสวรรค์!
หากสามารถข้ามผ่านภัยพิบัติสู่สวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นผู้อมตะชน ได้เยื้องย่างขึ้นสู่ระนาบสวรรค์ ท่องไปยังแดนสวรรค์ที่เหมาะสม
อาจารย์ที่เขาไม่เคยพบหน้าอย่างเซียนประบี่ฟงชิงหยางเอง ก็ทะลวงผ่านเปลี่ยนที่ 9 เปลี่ยนสู่สวรรค์ไปได้ ประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ จึงเข้าสู่ระนาบเทวโลก
‘เซียนสวรรค์งั้นเหรอ…ไม่รู้เซี่ยจงผู้นั้น มันฝึกปรือถึงขั้นที่เท่าไหร่แล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันไม่น้อย
ที่แท้เซี่ยจงที่สังหารกู่มี่และฆ่าองครักษ์เกราะทมิฬไปนับสิบ กลับเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ มันคือตัวตนที่เขาในตอนนี้ไร้หนทางเลือกอื่นนอกจากแหงนมองขึ้นไป…
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่รู้สึกย่นย่อทดท้อ!
เซียนสวรรค์แล้วจะอย่างไร?
สักวันเขาจะเดินทางไปยังลัทธิอารามทมิฬ เข่นฆ่าเซี่ยจงนั่น เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้อาวุโสกู่มี่และพี่น้ององครักษ์เพราะทมิฬทั้ง 10 ของตำหนักเมฆาคราม!
เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะตราผนึกมารในมือเขา เช่นนั้นตัวเขาจึงต้องเป็นผู้แบกรับความรับผิดชอบ!
ดังนั้นความตายของอาวุโสกู่มี่และองครักษ์เกราะทมิฬทั้งสิบ เขาต้วนหลิงเทียนจะเป็นผู้คืนความเป็นธรรมให้แก่ทุกคน
บางทีคงมีแต่วันที่เซี่ยจงถูกเขาฆ่าตายได้แล้วเท่านั้น ปมในใจนี้ของเขาถึงจะสามารถคลี่คลายลงได้
เรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ ตำหนักเมฆาครามย่อมไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้
อันที่จริงตำหนักเมฆาครามไม่คิดปกปิด ยังโหมกระพือหมายให้ข่าวเรื่องราวแพร่กระจายไปทั่วๆด้วยซ้ำ…!
“อา…ตราผนึกมาร ที่นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนโชคดีได้รับมาครอบครอง…สุดท้ายก็ถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนบุกมาช่วงชิงไปแล้ว!”
“เห็นว่ายอดฝีมือบุกมาช่วงชิงไป ยังเป็นถึงตัวตนระดับอาวุโสสูงของลัทธิอารามทมิฬ 1 ใน 3 ลัทธิที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคเบื้องบน!”
…
ไม่นานข่าวเรื่องราวก็แพร่สะพัดออกไปทั่ว
ตอนที่ 1,879 : ญาติสนิทมิตรสหายในแดนไกล
ผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า สุดที่จะคาดคิดได้แล้วจริงๆ
พวกมันพึ่งได้รับทราบเรื่องราวว่าต้วนหลิงเทียนผู้ที่มีโชคได้ครอบครองตราผนึกมารนั้นเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามได้ไม่ทันไร ก็ได้รับทราบข่าวว่ามียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนบุกมาช่วงชิงไปเสียแล้ว!
“หากนายน้อยตำหนักเมฆาครามมิเปิดเผยตัวตนออกมา คงไม่ถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนนั่นบุกลงมาชิงตราผนึกมารไปดื้อๆเช่นนี้…”
“ตัวตนของนายน้อยล้วนถูกบีบให้เปิดเผยจากสัญญา 5 ปีแท้ๆ…ข้าว่าโอกาสในการเข้าสระชำระมังกรอันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มังกรอะไรนั่น ยังมิอาจเทียบได้กับการมีตราผนึกมารไว้ในครอบครองแม้แต่น้อย”
“นั่นสิ! หากเป็นข้าล่ะก็ ข้าไม่มีทางไปเผ่ามังกรเพื่อทำตามสัญญาประลอง 5 ปีอะไรนั่นหรอก สู้เก็บตัวแล้วถือครองตราผนึกมารเอาไว้ใช้เองดีกว่า!”
“บางทีตอนนี้นายน้อยตำหนักเมฆาครามคงมิพ้นร่ำไห้เสียใจอยู่เป็นแน่…”
……
ผู้คนมากมายในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต้าล้วนตื่นตาตื่นใจกับเรื่องนี้นัก หัวข้อสนทนาในเหลาอาหารร้านรวงล้วนมีแต่เรื่องต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น
ข่าวแพร่สะพัดออกมาทุกแห่งหนแบบนี้ ตลาดมืดหยินชานเองก็ย่อมได้รับทราบเช่นกัน
“เร็วขนาดนี้เชียว?”
ได้ยินเรื่องนี้ผู้นำตลาดมืดตู้กูอดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ มันไม่ได้แปลกใจเรื่องที่ตราผนึกมารถูกช่วงชิงแต่อย่างไร กลับเป็นเรื่องที่ถูกช่วงชิงไปอย่างรวดเร็วต่างหาก!
ตั้งแต่แรกมันก็รู้แล้วว่าลองต้วนหลิงเทียนเปิดเผยตัวตนออกมาเพื่อประลองตามสัญญา 5 ปีที่เผ่ามังกรแบบนั้น ตราผนึกมารในมือก็ยากจะถือครองเอาไว้ได้อีกนาน…
ด้วยเหตุนี้เอง มันถึงไม่มีความอยากได้อะไรในตราผนึกมารสักนิด
เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้เป็นมัน ก็คงยากจะเก็บตราผนึกมารไว้กับตัวได้นาน…
ต่อให้มันเป็น ‘ตู้กูเหนือ’ ผู้นำตลาดมืดหยินชานที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน 2 สุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างแล้วจะอย่างไร? ต่อหน้ายอดฝีมือของภูมิภาคเบื้องบน มันยังไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!
“สมน้ำหน้ามันแล้ว!”
คนเผ่ามังกรที่ได้รับทราบข่าวนี้เช่นกัน บรรดาอาวุโสทั้งหลายนอกจากตี้ชานที่ยังคงนิ่งเงียบ ทุกคนล้วนเฮฮาออกมาหน้าระรื่นทันที กระทั่งเฉวี่ยฉานอาวุโสคุมกฏที่มักมีมาดขรึมก็ยังยิ้มร่าให้เห็นฟันเหลือง ทั้งหมดมีความสุขกับคราวเคราะห์ของต้วนหลิงเทียนนัก!
พวกมันเกลียดชายหนุ่มที่สังหารว่าที่ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรอย่างตี้จิ่วเข้าไส้! ยังเกลียดที่อีกฝ่ายช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าสระชำระมังกร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่จะเปิดออกทุกๆ 5,000 ปีไปดื้อๆแบบนี้!!
“ดูเหมือนว่าต้วนหลิงเทียนคงถูกยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนสั่งสอนบทเรียนอันดี จนซึ้งไปถึงทรวงแล้วเป็นแน่!”
“สมควรเป็นเช่นนั้น! แต่ช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่มันยังมีลมหายใจอยู่!”
“อาจเป็นเพราะยามพบเจอยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบน มันละทิ้งศักดิ์ศรียอมคุกเข่าร้องขอชีวิตหรือไม่? เผลอๆอาจเป็นมันที่รีบประเคนมอบตราผนึกมารไปให้ด้วยสองมือด้วยซ้ำ!”
……
วาจาถากถางสมน้ำหน้า ทับถมซ้ำเติมมากมายถูกพ่นออกจากอาวุโสเผ่าพันุ์มังกรไม่ขาดปาก ทั้งหมดหรรษากับการล้อต้วนหลิงเทียนนัก!
ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปฉับไวดั่งไฟลามทุ่ง ยังไวยิ่งกว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยตัวตนในวันประลองสัญญา 5 ปีหลายเท่าตัว! พริบตาเดียวก็รู้กันไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว!!
ณ ประเทศฝูเฟิง…ประเทศที่อยู่ไกลห่าง อันเป็นขุมพลังชั้น 6…ตั้งแต่ได้รับทราบข่าวว่าต้วนหลิงเทียนที่โชคดีได้รับตราผนึกมารไปครอบครองนั้น ที่แท้เป็นถึงนายน้อยของตำหนักเมฆาคราม! ตระกูลซือถูก็ถูกผู้คนมากหน้าหลายตาแห่กันมาเยี่ยมเยียนจนธรณีประตูใหญ่แทบทรุด!!
กระทั่งคนของราชวงศ์เองก็กุลีกจอแห่กันมาแทบไม่ทัน!
แน่นอนว่าที่พวกมันมาเยี่ยมเยียนเช่นนี้หาได้มาเข้าพบผู้นำตระกูลซือถูหรือกระทั่งนายน้อยของตระกูลซือถูไม่!
คนที่พวกมันเร่งรุดมาเยี่ยมเยียนขอพบ ล้วนแล้วแต่เป็นนรู้จักของต้วนหลิงเทียนที่เขายึดถือเป็นดั่งญาติสนิทมิตรสหายอันประเสริฐ
อาธิเช่นป๋ายลี่หงและเฟิ่งหวู่เต้า
เรียกว่าตลอดทั้งวันหลังจากที่ได้รับทราบข่าว พวกป๋ายลี่หงเฟิ่งหวู่เต้า กระทั่งสหายรุ่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนทั้งหลาย รับการคารวะกันมือเป็นระวิง ยังไม่ทราบว่าต่างรับสุราคารวะไปแล้วกี่จอก
เรียกว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกมันจำต้องพบปะแขกเหรื่อเพื่อสังสรรค์กันไม่หยุด
“ต้วนหลิงเทียนนี่จริงๆเลย! มักทำเรื่องเหลือเชื่อให้พวกเราตกใจตลอด แถมคราวนี้ทุกเรื่องที่ทำนับว่า ‘ขู่ขวัญ’ พวกเราแทบตายแล้ว! ไม่ใช่แค่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ กระทั่งยังฆ่าตี้จิ่วที่บรรลุถึงเซียนปฐพีได้…ยังมิวายกลายเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นไปอีก! โอยเพราะมันแท้ๆผู้คนถึงได้แห่กันมาวุ่นวายมิหยุด…ของขวัญสุราคารวะข้ามิว่า แต่ดรุณีน้อยพวกนั้นมันอะไรกัน! นี่พวกมันเห็นข้าเป็นม้าพ่อพันธุ์รึไรถึงได้พยายามยัดเยียดมาทีเป็นสิบๆคน!!”
หนานกงยี่ที่นั่งๆนอนๆอยู่บนตั่งเหยียดแขนขาออกมาอย่างเกียจคร้าน กล่าวบ่นออกมาทำลายความเงียบในห้องโถงใหญ่ ที่ทุกคนมารวมตัวกันหลังผ่านมรสุม ‘ต้อนรับแขกเหรื่อ’ มาทั้งวัน
“ต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ ฆ่าตี้จิ่ว ทั้งได้กลายเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น พวกเราสมควรยินดีกับเขา…เจ้ายังบ่นอะไร แถมเจ้าเองก็เหล่มองแม่นางน้อยพวกนั้นมิวางตามิใช่หรือ…”
หนานกงเฉินเหลือบมองหนานกงยี่ด้วยสายตาระอา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
ตอนนี้หนานกงเฉินนับว่าเปลี่ยนไปจากในอดีตมาก…หาได้ปั้นหน้าเย็นชาตลอดเวลาอีกต่อไปไม่! เริ่มมีสีหน้าเบื่อหน่าย รำคาญให้เห็นบ้างแล้ว…
และอย่างน้อยๆมันก็ไม่กล่าววาจาแค่คำสองคำอีกต่อไป
“ถูกของเจ้าเฉิน…พวกเราสมควรยินดีกับเจ้าต้วนมันถึงจะถูก! สหายยี่หากเจ้าว่างจนบ่นถึงเจ้าต้วนได้…เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าออกไปรับหน้าแขกคนเดียวเป็นไง”
เฉินเฉ่าช่วยกล่าวกับหนานกงยี่พร้อมหัวเราะ
“รับแขกคนเดียวกับผีสิ! ข้าก็แค่พูดไปยังงั้นเอง…”
หนานกงยี่เบ้ปากมองหนานกงเฉินกับเฉินเฉ่าช่วยไปมา ค่อยถอนหายใจกล่าว “จนถึงตอนนี้ข้ายังรู้สึกทึ่งไม่หาย ข้าเองก็ชินกับด่านพลังที่ก้าวหน้าว่องไวเหมือนตัวประหลาดของเจ้าต้วนมันแล้ว ทะลวงถึงเซียนมนุษย์ได้ข้าก็ไม่แปลกใจอะไรมากมาย แต่คราวนี้เรื่องราวอื่นๆมันตะลึงโลกเกินไป! กลายเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามเนี่ยนะ!!”
“แล้วที่สำคัญคัญคือเจ้าต้วนมันไปทำอีท่าไหนกันแน่ถึงได้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…พวกเจ้าก็รู้ว่าตำหนักเมฆาครามเป็นอะไร นั่นมัน 1 ใน 2 ขุมพลังที่ร้ายกาจที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างนี้! แต่เจ้าต้วนไม่เพียงเป็นศิษย์ของตำหนักเมฆาครามนั่น มันเป็นถึงนายน้อย! นายน้อยเชียวนะ!!”
กล่าวถึงท้ายประโยคเสียงกลายเป็นสั่นไปเล็กน้อย เพราะจนถึงตอนนี้หนานกงยี่ยังรู้สึกเสมือนราวกับอยู่ในฝัน!
ในสายตาของมันเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทำคราวนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เป็นไปไม่ได้จนเกินไป…
“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ไม่เห็นจะเคยได้ยินเจ้าต้วนมันบอกเลย ว่าบิดาของมันเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาคราม…”
เฉินเฉ่าช่วยเผยยิ้มขื่นขมออกมา ก่อนจะรินสุราแล้วยกซดหมดจอกปานน้ำเปล่า
“บางทีต้วนหลิงเทียนคงมิรู้ว่าบิดาคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามิได้ยินหรือ…หนึ่งในเหตุผลการมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของต้วนหลิงเทียนคือตามหาบิดามารดา?”
หนานกงเฉินกล่าวเสียงเรียบ หนานกงยี่ได้ยินก็กล่าวต่อทันที “นั่นสินะ…ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าตอนที่เจ้าต้วนมันรู้ว่าที่แท้บิดาเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาคราม มันจะทำหน้าอย่างไร! อย่างไรเสียตำหนักเมฆาครามก็ไม่ใช่ขุมพลังไก่กา แต่เป็นถึง 1 ใน 2 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ร้ายกาจที่สุด!!”
“จะว่าไป…เสี่ยวเทียนฆ่าตี้จิ่วได้แล้วเช่นนี้ นับว่าได้ล้างแค้นให้คนนิกายหลิงเทียนที่ตกตายบนเกาะป้านเยว่ได้สำเร็จ! อันที่จริงวันนั้นพวกเราก็เกือบตกตายด้วยน้ำมือตี้จิ่วแล้ว…”
เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวจบ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
สิ้นคำของเฟิ่งหวู่เต้า ทุกคนกลายเป็นเงียบลงทันที
ต้วนหลิงเทียนทำตามสัญญา 5 ปี และสามารถสังหารตี้จิ่วลงได้แบบนี้ ถือเป็นการล้างแค้นตี้จิ่วที่ทั้งทำลายและฆ่าล้างคนของนิกายหลิงเทียนบนเกาะป้านเยว่ได้สำเร็จ!
อันที่จริงในวันที่นิกายหลิงเทียนล่มสลาย พวกมันในห้องนี้ก็เกือบตายทุกคน! ยังดีว่าด้วยความที่พวกมันสนิทกับต้วนหลิงเทียนที่สุด จึงพักอยู่ในพื้นที่ๆแยกออกไปอย่างสันโดษ ทำให้มีเวลาหลบหนีมากกว่าผู้อื่น!
“สารเลวตี้จิ่วนั่น จวบจนวินาทีสุดท้ายก่อนตายตกมันก็คงคิดมิถึง…ว่าหลังจากผ่านไปแค่ 5 ปี แต่ชายหนุ่มที่ราวกับมดปลวกในสายตาของมันวันนั้น จักเป็นผู้ลงมือจบชีวิตสุนัขของมัน!”
ลูกตาฉงเฉียนทอประกายเจิดจ้า กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะใจ
สิ้นคำฉงเฉวียนสีหน้าของทุกผู้คนในห้องก็เผยความสะใจออกมาเช่นกัน
“ถึงเรื่องที่พรสวรรค์ของเจ้าต้วนมันอยู่เหนือสามัญสำนึกผู้คนจะกลายเป็นเรื่องปกติแล้วก็จริง…แต่เรื่องฆ่าตี้จิ่วได้แบบนี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
หนานกงยี่หัวเราะออกมาอย่างสะใจเช่นกัน
“อะไร? เจ้าไม่คิดว่าที่ทุกคนทยอยกันมาประเคนมอบ ‘ของขวัญ’ ทั้งคอยเอาอกเอาใจเจ้า เพราะเจ้าต้วนน่าเบื่อแล้วรึไง?”
เฉินเฉ่าช่วยกล่าวล้อเล่นออกมา หนานกงยี่ก็เพียงตอบรับด้วยการถลึงตามองอย่างดุร้าย
“ว่าแต่ศิษย์น้องจักตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?”
ต่างจากพวกเฉินเฉ่าช่วยนัก ป๋ายลี่หงกลับเป็นกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน “เพราะการทำตามสัญญา 5 ปีคราวนี้ ศิษย์น้องถึงได้เปิดเผยตัวตนออกมาในฐานะผู้ถือครองตราผนึกมาร หากเป็นแค่ยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องล่างคงมิมีปัญหาอันใด แต่ข้ากลัวว่าตอนนี้กระทั่งยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็คงล่วงรู้แล้ว…”
“จะอย่างไรตราผนึกมารนั่นก็เป็นยอดศาสตราเซียน…ยอดฝีมือภูมิภาคเบื้องบนย่อมมิอาจต้านทานอำนาจล่อลวงของมันได้ ต่อให้ตำหนักเมฆาครามร้ายกาจปานใด ยังจะปกป้องตราผนึกมารของศิษย์น้องได้หรือ…”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สีหน้าของป๋ายลี่หงก็กลายเป็นเคร่งเครียดทันที
ได้ยินคำกล่าวของป๋ายลี่หง ทุกคนในห้องไม่เว้นเฟิ่งหวู่เต้าก็ชักสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันที
ไม่คิดก็แล้วไป แต่พอฉุกคิดขึ้นมาเพราะวาจาของป๋ายลี่หง บรรยากาศในห้องก็กลายเป็นอึมครึมทันที
“ข้าเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย พอได้ยินอาวุโสป๋ายลี่กล่าว เจ้าต้วนอาจตกอยู่ในอันตรายจริงๆ”
“หากยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนมาชิงตราผนึกมารจริง แล้วเจ้าต้วนส่งให้แต่โดยดีมันก็ดีไป…แต่คนอย่างเจ้าต้วนหรือจะยินยอมมอบให้โดยดี? ข้ากลัวว่ามันจะไม่ยอมส่งของกระทั่งแข็งข้อต่อต้าน จนทำให้ยอดฝีมือมีโมโหฆ่าคนชิงของเอาได้”
“ต้วนหลิงเทียนเป็นคนฉลาด ข้าเชื่อว่าเขาต้องคิดถึงเรื่องนี้ได้แน่…หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถหนีไปได้ทัน ก่อนที่ยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนจะมาเยือน”
“ด้วยไหวพริบของนายน้อย ข้าเชื่อมั่นว่านายน้อยต้องปลอดภัยแน่!”
…
หลายคนกล่าวออกมาด้วยความกังวล
พอคิดถึงสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ทุกคนอดไม่ได้ที่จะห่วงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา
ไม่กี่วันหลังจากนั้นทุกคนก็ยังคงรับรองแขกที่มามอบของขวัญหมายผูกไมตรี ไปตามเรื่องราว
ทว่าไม่นานก็มีอีกข่าวหนึ่งแพร่มาถึง ทำให้ทั้งหมดได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนไกลอีกครั้ง และข่าวนี้ยังพาลให้ทุกคนอดตื่นตระหนกไปเสียไม่ได้!
“ยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนกลับบุกไปตำหนักเมฆาครามเพื่อชิงตราผนึกมารจากต้วนหลิงเทียนจริงๆ! เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจักเป็นอันใดมากหรือไม่?”
สิ่งที่พวกมันกังวลที่สุดกลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
“เห็นว่ามิเป็นไร…ขอแค่ยังปลอดภัยดีอยู่ก็ดีแล้ว!”
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกมันได้รับทราบรายละเอียดที่เหลือ ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เป็นอะไร พวกมันก็ระบายลมหายใจกันอย่างโล่งอก
เทียบกับตราผนึกมารที่เป็นสิ่งของแล้ว พวกมันห่วงก็แต่ความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน
“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่หรือ?”
ในขณะที่ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆกำลังระบายลมหายใจอย่างโล่งอกหลังได้รับทราบข่าวเรื่องราวทั้งหมดนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ยังคล้ายดังขึ้นมาจากทุกทั่วสารทิศ ยากที่จะจำแนกทิศทางได้…
หากแต่เพียงได้ยินเสียงนี้ พวกมันก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร!
และก่อนที่พวกมันจะทันได้ตอบสนองเรื่องราว ในสายตากลับปรากฏร่าง 3 ร่างขึ้นปานภูตผี…เป็นร่าง 2 ร่างยืนเคียงกัน โดยหนึ่งในนั้นกำลังอุ้มเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง
ร่าง 2 ร่างที่ยืนเคียงกันเป็นคนที่พวกมันคุ้นเคยดี
“ศิษย์น้อง!”
“เสี่ยวเทียน!”
“ต้วนหลิงเทียน!”
“เจ้าต้วน!!”
“นายน้อย!”
“เจ้านาย!”
เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มที่อยู่ๆก็ปรากฏกายขึ้นมาชัดถนัดตา สองตาทุกคนถึงกับเบิกโพลงส่องประกายขึ้นมาด้วยความประหลาดใจทันที
พวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าคนที่พวกมันกำลังเป็นห่วง และพึ่งจะโล่งใจเพราะได้รับทราบข่าวว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีอยู่ จะมาผุดโผล่ขึ้นตรงหน้าเช่นนี้!
ได้ยินข่าวว่าต้วนหลิงเทียนปลอดภัยไร้เรื่องราว กับการได้เห็นกับตาว่าต้วนหลิงเทียนปลอดภัยไร้เรื่องราวเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
“ทุกคนสบายดีนะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เองลี่เฟยที่อุ้มเด็กชายตัวน้อยอายุราวๆ 6-7 ขวบอยู่ ก็พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้ป๋ายลี่หงเป็นการทักทาย
ทุกคนนอกจากป๋ายลี่หง นางรู้จักดีแล้ว
“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าพบแม่นางลี่เฟยได้อย่างไร?”
หนานกงยี่ที่เห็นลี่เฟยยืนข้างต้วนหลิงเทียนแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่ 1,880 : ไล่ล่าไปถึงภูมิภาคเบื้องบน!
“ตอนแรกนางหนีไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานของหานเฉวี่ยไน่ สุดท้ายก็เป็นคนของบิดาข้าที่ไปรับตัวนางกลับตำหนักเมฆาคราม…”
ได้ยินคำถามของหนานกงยี่ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปตามตรง
อย่างไรก็ตามพอกล่าวจบสีหน้าแย้มยิ้มของเขากลับกลายเป็นเย็นชา สองหมัดยังกำแน่นจนข้อขาว แววตาเผยประกายเย็นเยียบวูบวาบ
คนของบิดาเขาที่ไปรับตัวลี่เฟยมาก็คือกู่มี่…
พอนึกถึงกู่มี่ขึ้นมา…ภาพจำที่อีกฝ่ายตายตกเมื่อไม่กี่วันก่อนยังสดใหม่ในใจคล้ายพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน…
ถึงแม้ว่าการตายของชายชราจะไม่ได้เป็นเพราะเขาโดยตรง หากแต่ถ้ากล่าวถึงโดยอ้อมแล้ว มันเป็นเพราะเขาล้วนๆ…
สุดท้ายเป็นเพราะเขาครอบครอง ‘ตราผนึกมาร’ จึงชักนำยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนให้บุกมาแย่งชิงด้วยความโลภ แถมคนที่มายังเป็นถึงอาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ…เซี่ยจง!
หากไม่ใช่เพราะเขา ไหนเลยเซี่ยจงจะลงมายังภูมิภาคเบื้องล่าง? ไหนเลยมันจะบุกมาตำหนักเมฆาคราม? แล้วไหนเลยผู้อาวุโสกู่ยังต้องมาตกตายแบบนี้ได้?
อีกทั้งไหนเลยหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 10 ต้องตายตก!
ด้วยเหตุนี้ใจต้วนหลิงเทียนถึงได้รู้สึกผิดนัก อดโทษตัวเองไม่ได้เรื่องการตายของทุกคน เช่นนั้นเขาจึงลอบปฏิญาณในใจ
วันหน้า ไม่ว่าจะเป็นการล้างแค้นเซี่ยจงเรื่องที่มันทำกับองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 10 ก็ดี ล้างแค้นมันที่ฆ่าอาวุโสกู่มี่คนของตำหนักเมฆาครามก็ดี หรือกระทั่งล้างความอัปยศที่มันยัดเยียดมาให้ก็ดี…มันต้องชดใช้!
ต่อให้เซี่ยจงจะเป็นอาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ กระทั่งมีลัทธิอารามทมิฬหนุนหลัง
คนที่เขาอยากฆ่า มันต้องตาย!
ในแง่ของความภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มีไม่ด้อยไปกว่าจูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับเลย
หากแต่แม้เขาจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างจูลู่ฉี เขาก็ไม่มีวันสิ้นคิดถึงขั้นหันไปเดินบนเส้นทางมาร บ่มเพาะพลังด้วยอวิชชาชั่วร้ายพรรค์นั้นเพื่อล้างแค้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะทนมองศัตรูใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจ!
เขาจะหาหนทางล้างแค้นมันด้วยตัวเอง!
เมื่อเปรียบเทียบกับจูลู่ฉีแล้ว ข้อดีที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดก็คือ เขายังถือเป็นรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ยังมีพื้นที่ว่างให้เติบโตก้าวหน้าอีกมากมาย…ตราบใดที่มีเวลาให้มากพอ พลังฝึกปรือของเขาต้องก้าวข้ามเซี่ยจงได้แน่!
วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ก็คือวันตายของเซี่ยจง!
“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าเป็นอะไรไป ข้ากล่าวอะไรผิดหรือ?”
หนานกงยี่รีบถามออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ พอเห็นว่าหลังตอบคำถามสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก”
ได้ยินคำถามด้วยเสียงกังวลของหนานกงยี่ต้วนหลิงเทียนพลันดึงสติกลับมาทันที กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงไม่เป็นอะไร
หลังจากนั้นเขาก็ว่ายตามองทุกคนรอบหนึ่งด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะไปหยุดยังร่างป๋ายลี่หงพร้อมกล่าวแนะนำลี่เฟยออกไปทันที “ศิษย์พี่นี่คือคู่หมั้นของข้าที่เคยเล่าให้ท่านฟัง ลี่เฟย”
“ยินดีที่ได้รู้จักน้องสะใภ้!”
ป๋ายลี่หงแย้มยิ้มอย่างยินดี กล่าวทักทายลี่เฟยอย่างมากอัธยาศัย ในใจยังลอบคิดไป ‘สายตาศิษย์น้องช่างประเสริฐนัก’
“ศิษย์พี่ป๋ายลี่”
ลี่เฟยรีบตอบทันที นางเองก็รู้ดีว่าฐานะของป่ายลี่หงในใจบุรุษของนางไม่ธรรมดาเลย เช่นนั้นนางจึงไม่คิดละเลยอีกฝ่าย
หลังจากกล่าวแนะนำตัวกันแล้ว สายตาของป๋ายลี่หงก็มาหยุดจ้องที่เด็กชายตัวน้อยให้อ้อมแขนลี่เฟยทันที “เด็กน้อยนี่บุตรชายเจ้าหรือ เรียกว่าอะไรเล่า?”
“เนี่ยนเทียน ต้วนเนี่ยนเทียน”
ลี่เฟยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฮัยยา ต้วนหลิงเทียน! ยิ่งมาเจ้ายิ่งทำให้ข้าอิจฉาแทบตายแล้ว!”
หนานกงยี่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาระราน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงประชด “ไม่เพียงพรสวรรค์เจ้าจะฝืนฟ้าท้าทายสวรรค์ แต่เจ้ายังมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่น่ากลัวไปอีก…ซำร้ายเจ้ายังมีฮูหยินงดงามเช่นนี้! นับว่าประสบความสำเร็จในชีวิตยิ่งนัก! พวกเราก็มิใช่ผู้คนเหมือนกันหรือไร ไฉนสวรรค์ลำเอียงดูแลแต่เจ้าดีขนาดนี้เล่า ไม่คิดให้ผู้อื่นมีที่ยืนบ้างหรือไรกัน…”
ในน้ำเสียงของหนานกงยี่นั้นนอกจากประชดด้วยอิจฉาแล้วยังมีความน้อยใจแฝงอยู่
แต่แน่นอนว่ามันเพียงกล่าวหยอกล้อเท่านั้น
แถมสีหน้าท่าทางยามกล่าวยังแลดูตลกนัก ย่อมเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ไม่ยาก ทำให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลงทันที
“ศิษย์พี่ ลุงเฟิ่ง…พวกท่านคงได้ยินข่าวของข้าบ้างแล้ว ตอนนี้ที่ข้ากลับมาก็ไม่มีอะไรมาก ข้าคิดพาทุกคนไปยังตำหนักเมฆาคราม…เทียบกับตระกูลซือถูแล้ว ว่ากันตรงๆที่ตำหนักเมฆาครามนับว่ามีสภาพแวดล้อมดีกว่ามาก แถมยังปลอดภัยกว่ามากอีกด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวจุดประสงค์การมาครั้งนี้ออกมาตรงๆ
“ไปที่ตำหนักเมฆาครามหรือ?”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ไม่ว่าจะเป็นคู่แฝดหนานกง หรือเฉินเฉ่าช่วยก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที
มีคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำไหลลงต่ำคนขวนขวายขึ้นที่สูง’ หากมีสิ่งที่ดียิ่งกว่าไหนเลยพวกมันจะไม่ต้องการ?
การไปยังตำหนักเมฆาครามนั่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการยกระดับพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าสำหรับพวกมัน!
“ศิษย์พี่ ลุงเฟิ่ง แล้วพวกท่านว่าอย่างไรบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนรู้ได้ทันทีว่าทุกคนยินดีไม่น้อยเรื่องไปยังตำหนักเมฆาคราม สหายของเขาทั้งหลายยังถึงกับยินดีออกนอกหน้าออกตา จึงหันไปมองถามความเห็นกับเฟิ่งหวู่เต้าและป๋ายลี่หงทันที
“ข้าเห็นด้วย”
ป๋ายลี่หงยิ้มกล่าว
สำหรับมันแล้วในแดนดินนี้ที่ใดก็คงดีไม่เท่าตำหนักเมฆาครามแน่นอน…
“ข้าไม่ขัดข้องอะไร…แต่หากเทียนหวู่ย้อนกลับมา…”
เฟิ่งหวู่เต้าเผยความลังเล
“ลุงเฟิ่ง ตอนนี้เกรงว่าเรื่องราวของข้าคงแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…หากท่านเป็นเทียนหวู่ ท่านจะทำอย่างไรหลังได้ยินเรื่องของข้า?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“แน่นอนว่าต้องไปตำหนักเมฆาครามเพื่อตามหาเจ้า…ตกลง! ข้าจะไปตำหนักเมฆาครามกับเจ้า!”
เฟิ่งหวู่เต้าที่ยังลังเลสองจิตสองใจ พอได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนชี้แนะ มันก็ตาสว่างทันที!
สำหรับฉงเฉวียนกับโฉดคลุมทองนั้นต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องถาม เพราะเขารู้ดีว่าเขาอยู่ไหนทั้งคู่ล้วนอยากอยู่ที่นั่นทั้งสิ้น ส่วนครูอย่างซื่อหม่าฉางฟง ก็ยินดีติดตามเขาไปอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย งั้นไปร่ำลาผู้นำตระกูลซือถูให้เป็นเรื่องราวกับข้าเลยดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถามออกมาอีกครั้ง คิดพาป๋ายลี่หงและคนอื่นๆไปลาผู้นำตระกูลซือถู
“ได้!”
เมื่อได้ยินคำตอบของป๋ายลี่หงและคนอื่นๆว่าไม่ขัดข้องอะไร เขาก็พาทั้งหมดไปยังเรือนที่พักของผู้นำตระกูลซือถูทันที
ไม่นานก็ได้พบคน พ่อลูกตระกูลซือถูหน้าตายังแลดูไม่เปลี่ยน
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณผู้นำซือถูจากใจ เพราะเขาได้พึ่งพาอาศัยตระกูลซือถูไม่น้อย
อย่างไรก็ตามการพบกับผู้นำซือถูครั้งนี้ความสบายๆเหมือนครั้งในอดีตก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป อีกฝ่ายยังคล้ายจะกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาไปแล้ว
ในกาลก่อนแม้ผู้นำตระกูลซือถูจะเคารพเขา แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดจนถึงขั้นหวาดกลัวไม่กล้าแม้แต่จะสบตาแบบนี้
ทว่าเรื่องที่ผู้นำตระกูลซือถูเปลี่ยนแปลงไปเขาเองก็เข้าใจดี ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ฐานะ ในปัจจุบันของเขา
แต่ก่อนนั้นอีกฝ่ายเคารพนับถือเขาเพราะพลังสามารถส่วนตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นกริ่งเกรงหวาดกลัวอะไรเพราะเขาไร้ภูมิหลัง
ทว่าตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ แต่ยังเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
ตำหนักเมฆาครามคือขุมพลังกึ่งชั้น 3!
ในฐานะประมุขตระกูลซือถู มันเป็นแค่ผู้นำขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตีตัวเสมอต้วนหลิงเทียนนายน้อยตำหนักเมฆาครามอีกต่อไป
“ศิษย์น้องเจ้าคิดเดินทางออกจากภูมิภาคเบื้องล่างแล้วงั้นหรือ?”
ระหว่างเดินทางออกจากประเทศฝูเฟิงเพื่อไปยังตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนก็ได้เล่าแผนการเดินทางของเขาให้ทุกคนรับทราบ
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะทอดตามองไปยังขอบฟ้าไกลอย่างเลื่อนลอย “มีคนที่กำลังเฝ้ารอข้าอยู่ที่นั่น…”
ขณะเดียวกันในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างงามขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
ไม่ใช่ใครที่ไหน คู่หมั้นอีกคนหนึ่งของเขา เค่อเอ๋อ
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาแบบนี้ ป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆเองก็พอเดาได้ว่าคนที่เฝ้ารอต้วนหลิงเทียนอยู่เป็นใคร
จังหวะนี้กระทั่งป๋ายลี่หงเองก็เงียบไป ไม่ได้ถามไถ่เรื่องการเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนของต้วนหลิงเทียนอีก
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังนำพวกป๋ายลี่หงและคนอื่นๆเดินทางไปยังตำหนักเมฆาครามนั้น
หลังจากที่เดินทางไล่ลาคนในภูมิภาคเบื้องล่างจนมาถึงภูมิภาคเบื้องบน เซี่ยจงบัดนี้หาได้หลงเหลือความยินดีอันใดบนสีหน้าอีกต่อไป นั่นเพราะมันได้คลาดกับเฒ่าพยากรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว…
“บัดซบเอ๊ย!”
ร่องรอยของเฒ่าพยากรณ์ขาดหายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เซี่ยจงย่อมมีโมโหนัก!
เพราะนั่นหมายความว่าเฒ่าพยากรณ์ได้รอดพ้นจากเงื้อมมือมันไปได้สำเร็จ! มันไม่อาจไล่ตามได้อีกต่อไป!!
‘ไม่คิดเลยว่าความเร็วของไอแก่นั่นจะมิได้ด้อยไปกว่าข้า…บัดซบ! มิใช่มันเป็นแค่ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์หรือไร มันสมควรเป็นผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดมิใช่หรือ! หากเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 ผู้ใดจะไปสู้ได้กัน!?’
คิดถึงจุดนี้สีหน้าของเซี่ยจงก็เผยความตึงเครียดออกมาให้เห็น
ถึงแม้ว่าทั้ง 3 ลัทธิอันรวมไปถึงลัทธิอารามทมิฬของมันจะไม่อยากพูดถึงประวัติศาสตร์และเรื่องราวในกาลก่อนสักเท่าไร แต่พวกมันก็มิอาจปฏิเสธความจริงได้!
ตอนนั้นขนาดพวกมัน 3 ลัทธิร่วมมือกัน ยังทำได้แค่หนีตายจากการลงมือของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!
และสาเหตุที่ในยุคนั้น 7 ทวาราเที่ยงแท้ครองอำนาจดั่งมหาทรราช ล้วนเป็นเพราะพลังฝีมือส่วนตัวของ ทายาททวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณคนเดียว!
พลังฝีมือของทายาทหมอกพิรุณคนนั้นร้ายกาจถึงขั้นพลิกฟ้าคว่ำปฐพีได้!
และทายาทผู้นั้นถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ ฟงชิงหยาง!
ในยุคนั้นต่อให้สุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของทั้ง 3 ลัทธิผนึกกำลังกันกลุ้มรุม ก็ไม่อาจต้านทานฟงชิงหยางกับหนึ่งกระบี่ได้…
‘โชคดีนักที่คุณสมบัติของผู้สืบทอดหมอกพิรุณรุ่นต่อจากฟงชิงหยางสูงส่งนัก! ตั้งแต่วันนั้นจวบจนวันนี้ก็มิมีผู้ใดเคยได้ยินข่าวคราวว่ามีผู้สืบทอดหมอกพิรุณปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย…’
เซี่ยจงอดไม่ได้ที่จะโล่งใจขึ้นมา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
อนิจจาเซี่ยจงคงไม่เคยคิดกระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน ว่าผู้ที่มันพึ่งยัดเยียดความอัปยศและเพาะสร้างความแค้นถึงขั้นยากจะอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ในภูมิภาคเบื้องล่าง กลับเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่มันหวาดกลัว…
“ในทวาราเที่ยงแท้นอกจาก หมอกพิรุณ ผู้เป็นลำดับที่ 1 แล้ว ยังมีอีก 3 คนที่มีพลังต่อสู้ร้ายกาจ จ้าวเผด็จการ หงส์ฟ้าจรัสแสง และคนคู่! ไม่สิยังมีทวาราเที่ยงแท้ที่ชำนาญการลอบสังหารเป็นที่สุด แม้จักมิได้ร้ายกาจอันใดหากต่อสู้ตรงๆ ทว่าหากเป็นการลอบโจมตีแล้ว นับว่ามันเป็นราชันที่แท้จริง…”
เซี่ยจงบ่นพึมพำ
ฟังจากคำพูดของมัน ชัดเจนแล้วว่ามันเข้าใจ 7 ทวาราเที่ยงแท้ไม่น้อย
7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น มีทั้งสิ้น 7 ลำดับอันได้แก่…
ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ
ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์
ลำดับที่ 3 จ้าวเผด็จการ
ลำดับที่ 4 เงาอนธการ
ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสง
ลำดับที่ 6 คนคู่
ลำดับที่ 7 ธุลีแดง
ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณนั้นเปรียบได้กับจิตวิญญาณของ 7 ทวาราเที่ยงแท้และเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุด! ส่วนลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์นั้นเป็นดั่งผู้หยั่งรู้ชะตา มีความสามารถในการทำนานทายทักที่แข็งแกร่งที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้
ธุลีแดงนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องข่าวสารและการรวบรวมข้อมูล เป็นดั่งรากฐานของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ และยังเป็นตัวเชื่อมประสานของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อีกด้วย
ส่วนลำดับที่ 3 จ้าวเผด็จการ ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสง และลำดับที่ 6 คนคู่ ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้นอกเหนือจากลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ
สำหรับทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 4 เงาอนธการนั้น เป็นดั่งนามของมัน คือผู้ที่หลอมกลืนไปกับความมืด ดั่งมัจจุราชผู้เก็บเกี่ยวความตายในความมืดมิด ราชันแห่งการลอบสังหาร!
จนถึงทุกวันนี้ หากมีร่องรอยของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ปรากฏขึ้นมาแม้จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ทำให้มหาอำนาจทั้งหลายตื่นตัวกันครั้งใหญ่ กระทั่งยังส่งกำลังกันออกไปล่าตัวอย่างคุ้มคลั่ง
“ในเมื่อข้ากลับมาถึงภูมิภาคเบื้องบนแล้ว เช่นนั้นก็ย้อนกลับไปที่ลัทธิอารามทมิฬเลยแล้วกัน จักได้หลอมจิตประทับตราผนึกมารเพื่ออ้างสิทธิ์ถือครองมัน…คราวนี้ก็จักเหลือผู้ฝึกมารมิถึง 100 คนที่สามารถต่อต้านข้าได้ในแดนดิน!”
พึมพำกับตัวอย่างวาดหวังจบ ร่างเซี่ยจงก็อันตรธานหายไปทันที มันมุ่งหน้าย้อนกลับลัทธิอารามทมิฬด้วยความเร็วสูงสุด!
สำหรับตำหนักเมฆาครามและต้วนหลิงเทียนอะไรนั่น มันล้วนทิ้งไว้เบื้องหลังหมดสิ้นแล้ว…
เรียกว่าขณะที่ไล่ตามผู้เฒ่าพยากรณ์มา มันก็เลิกสนใจตำหนักเมฆาครามโดยสมบูรณ์
ตอนที่ 1,881 : ข่าวของเค่อเอ๋อ
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บได้…
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเซี่ยจงจะหวาดกลัวอะไรต้วนหลิงเทียน!
ในสายตาของเซี่ยจง ไม่ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บหรือไม่ สุดท้ายก็ยังเป็นแค่มดตัวหนึ่ง!
ในประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่เคยขาดนักรบมังกร 7 กรงเล็บ หรือกระทั่งเรื่องราวของนักรบมังกร 8 กรงเล็บก็ยังมี แต่ก็เท่านั้น…! เพราะนักรบมังกรนั้นจะดีจะชั่วหรือจะกลายเป็นตัวตนร้ายกาจหรือไม่ ยังต้องดูพรสวรรค์และศักยภาพส่วนตัวอีกด้วย!
พรสวรรค์มังกรแปลงที่ทำให้มนุษย์มีความสามารถแปลงร่างเป็นนักรบมังกร ทำได้แค่เพิ่มพลังต่อสู้เท่านั้น หาได้เพิ่มพูนศักยภาพพรสวรรค์อื่นใดไม่!
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียน แม้ตอนนี้ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด เขาจะมีพลังแข็งแกร่งทัดเทียมกับขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด แต่ต่อให้แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บและใช้ทุกสิ่งที่มี…เขาก็ไม่อาจทำอะไรผู้ฝึกตนในขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดได้เลย…
ยิ่งไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเซี่ยจง ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ไปแล้วได้…!
ในสายตาของเซี่ยจง แม้พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจะถือว่าดีในภูมิภาคเบื้องล่าง แต่ในสายตาของมันยังไม่นับเป็นอะไรได้
ในภูมิภาคเบื้องบนคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่พอมี แต่ยังมีเกลื่อนกลาด!
กระทั่งตัวมันเองตอนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับต้วนหลิงเทียน พลังฝึกปรือของมันก็บรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลางเข้าไปแล้ว…
ด้วยเหตุนี้มันจึงคิดว่า ต่อให้ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาบ่มเพาะไปตลอดชั่วชีวิต อีกฝ่ายก็ไม่มีวันไล่ตามมันได้ทัน!
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีวันไล่ตามมันได้ทันแล้ว ย่อมไม่ถือว่าเป็นภัยอะไรกับมันตามธรรมชาติ
พอตระหนักได้ถึงจุดนี้ มันก็ไม่ได้สนใจเรื่องต้วนหลิงเทียนจะอยู่หรือตาย ยังเรียกว่าไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
หากต้วนหลิงเทียนมีศักยภาพมากพอจะไล่ตามมันได้ทันล่ะก็ ถึงแม้ว่ามันจะต้องเสี่ยงกับความพิโรธของมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ แต่มันก็จะหาวิธีฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายให้จงได้
อาจกล่าวได้ว่าที่เซี่ยจงไม่สนใจตำหนักเมฆาคราม ทั้งไม่สนใจจะฆ่าต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น
“ทุกคน ด้านหน้าที่เห็นนั่นก็คือทะเลสาบผานหลงแล้ว ตำหนักเมฆาครามอยู่ข้างในนี้เอง”
10 วันต่อมาครอบครัวต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 กับป๋ายลี่หงและคนอื่นๆก็เดินทางมาถึงอาณาเขตตำหนักเมฆาครามในที่สุด ขณะเข้าสู่เขตของทะเลสาบผานหลง ต้วนหลิงเทียนยังแนะนำป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆให้องครักษ์เกราะทมิฬทั้งหลายรู้จัก
“ตำหนักเมฆาคราม!”
เมื่อตระหนักได้ว่ามาถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว ไม่ว่าจะเป็นป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง คู่แฝดหนานกงและเฉินเฉ่าช่วย สองตาอดไม่ได้ที่จะลุกวาวเป็นประกายวิบวับ!
ตำหนักเมฆาคราม คือ 1 ใน 2 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
และวันนี้พวกมันด้วยอาศัยสายสัมพันธ์ที่มีกับต้วนหลิงเทียน กำลังจะได้เป็นคนสำคัญของตำหนักเมฆาครามที่ยิ่งใหญ่นั่น!
จังหวะนี้ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น!
ด้วยมีต้วนหลิงเทียนผู้เป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาคราม นำพาเข้ามาในตำหนักเมฆาครามด้วยตัวเองแบบนี้ ป๋ายลี่แหง เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ จึงเดินทางเข้ามาได้อย่างราบรื่นกระทั่งผู้คนมากมายยังคารวะทักทายด้วยสายตาชื่นชม ทะเลสาบผานหลงจึงไม่คล้ายเป็นสถานที่ต่างถิ่นแต่อย่างใด กลับให้ความรู้สึกเหมือนสวนหลังบ้านของสหาย…
“เสี่ยวเฟยเอ๋อ เจ้าพาเนี่ยนเอ๋อกลับไปพักก่อนเถอะ”
ก่อนที่จะไปถึงโถงหลักของตำหนัก ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวกับลี่เฟยเสียงอ่อน
ลี่เฟยก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง หันไปกล่าวคำลากับทุกคน ก่อนที่จะอุ้มต้วนเนี่ยนเทียนที่ผล็อยหลับไปแล้วจากไป
ภายในห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม ป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆก็ได้พบเจอกับบิดาของต้วนหลิงเทียน จ้าวตำหนักเมฆาครามเป็นครั้งแรก
เมื่อต้องมาพบหน้าจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง ซึ่งๆหน้า ทุกคนยกเว้นฉงเฉวียนที่ติดตามต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ยังเด็ก ถึงกับอดไม่ได้ที่จะมีอาการตื่นเต้นทั้งประหม่าอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวที่ว่า ‘รักบ้านยังพาลรักไปถึงอีกาที่เกาะบนหลังคา’ ต้วนหรูเฟิงที่พบพานป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้าและทุกคนเป็นครั้งแรกก็ไม่ได้วางท่าสูงส่งอะไรแม้แต่น้อย ยังแลดูสบายๆเป็นกันเอง ต้อนรับป๋ายลี่หงกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆอย่างดี
สุดท้ายเหล่าผู้มีอายุก็สนทนากันอย่างสนุกสนาน หั่วร่อกับเรื่องราวเหลวไหลในอดีตของต้วนหลิงเทียน แลคล้ายสหายที่รู้จักกันมานานปี
“ปรมาจารย์ป๋ายลี่ พี่เฟิ่ง แล้วก็พวกเจ้าทุกคน…จากนี้ไปให้ยึดถือที่นี่เป็นบ้านเถอะ! ตราบใดที่อยู่ในตำหนักเมฆาคราม ทุกคนจักได้รับการดูแลอย่างดี นอกจากนี้ทุกคนจักได้รับที่พักอันมีสถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุด รวมถึงได้รับแจกทรัพยากรบ่มเพาะเท่าที่ต้องการ”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวกับป๋ายลี่หงและคนอื่นๆด้วยดีเห็นทุกคนเป็นดั่งญาติสนิท ยังมองสหายต้วนหลิงเทียนทุกคนด้วยสายตาเหมือนบิดากำลังมองบุตร
“ขอบคุณจ้าวตำหนักต้วนแล้ว”
ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆเร่งกล่าวขอบคุณออกมาด้วยรอยยิ้มทันที
“เทียนเอ๋อ เจ้าจัดการเรื่องที่พักให้ศิษย์พี่ลุงเฟิ่งรวมถึงสหายของเจ้าเสร็จแล้ว กลับมาหาพ่อด้วย”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะพาป๋ายลี่หงและคนอื่นๆไปเข้าที่พัก เพียงก้าวออกจากประตูโถงหลักได้ไม่ทันไร เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหูของเขา เป็นเสียงของต้วนหรูเฟิง บิดาเขาเอง
ทว่าเขาสัมผัสได้ว่าคราวนี้ในน้ำเสียงของบิดากลับฟังดูหนักอึ้งชอบกล
จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่งขึ้นมา
แม้ไม่ทราบว่าไฉนบิดาถึงให้เขาย้อนกลับไปพบหลังเสร็จเรื่อง แต่หลังจากจัดการเรื่องราวที่พักให้ป๋ายลี่หงกับทุกคนเสร็จแล้วเขาก็ย้อนกลับมาตามคำของบิดา
“ท่านพ่อให้ข้ากลับมาแบบนี้…ที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่?”
เมื่อกลับมาถึงห้องโถงหลักอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามบิดาไปด้วยความสนใจ
และตอนนี้ในห้องโถงหลักก็เหลือเพียงพ่อลูก 2 คนเท่านั้น
“เทียนเอ๋อ…พ่อได้ยินข่าวที่มิค่อยจะสู้ดีของเค่อเอ๋อและหลานสาว…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“เค่อเอ๋อ? หลานสาว?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใดเมื่อได้ยินคำของต้วนหรูเฟิง ลมหายใจยังถี่รัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้นกับเค่อเอ๋อ!? นอกจากนั้น…ข้ามีลูกสาวแล้วหรือ…ท่านพ่อรีบบอกข้าเถอะที่แท้เกิดเรื่องอะไรกับพวกนางกันแน่!?!”
จากวาจาที่บิดากล่าวออก ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่าลูกในท้องของเค่อเอ๋อคลอดออกมาเป็นผู้หญิง
อย่างไรก็ตามตอนนี้เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็น…ที่สำคัญที่สุดคือกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเค่อเอ๋อและลูกสาวของเขากันแน่!
“เทียนเอ๋อเจ้าใจเย็นลงก่อน ในตอนนี้เค่อเอ๋อกับลูกยังปลอดภัยดี…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ในตอนนี้?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนขมวดยู่เป็นปมทันใด “ท่านพ่อ ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร!?”
ต้วนหรูเฟิงระบายลมหายใจออกมาอย่างอับจน “จากข้อมูลที่ข้าได้รับมาจากคนที่ข้าร้องขอให้ช่วยสืบเรื่องเค่อเอ๋อ ตอนนี้นางกับหลานข้าถูกจองจำอยู่ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ! เพื่อรอให้จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่านฝึกตนมาตัดสินว่าจักทำอย่างไรกับเค่อเอ๋อและลูกของนาง…และจากสถานการณ์ตอนนี้เห็นชัดว่าคงยากที่พวกนางจะรอดชีวิตได้…”
“ว่าอะไร!?”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
เค่อเอ๋อกับลูกสาวของเขา ถูกขังอยู่ที่หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ? ทันทีที่จ้าวลัทธิออกจากการปิดด่านฝึกตนอย่างสันโดษ ชะตากรรมของพวกนางก็จะถูกตัดสิน?
“ท่านพ่อข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”
สูดอากาศเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพยายามสงบใจลง กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
“แม่นยำเต็มสิบส่วน!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกด้วยความมั่นใจ
หากข่าวนี้มาจากผู้สังเกตการณ์มันคงไม่กล้าเชื่อถือว่าจะมีความถูกต้องเต็มสิบส่วน…
ปัญหาคือข่าวเรื่องนี้กลับมาจากผู้เฒ่าพยากรณ์ ที่เป็นดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหางผู้นั้น!
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็ช่วยล่อเซี่ยจงให้ออกจากตำหนักเมฆาครามกระทั่งย้อนกลับไปลัทธิอารามทมิฬได้สำเร็จ และหลังจากที่สลัดเซี่ยจงหลุดแล้ว ผู้เฒ่าพยากรณ์ที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องบนก็ยังไปสืบเรื่องราวของเค่อเอ๋อจนรับทราบสถานการณ์ของทั้งคู่ชัดเจน
“ท่านพ่อ ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้อมูลเรื่องนี้ท่านได้มาจากใคร?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“เทียนเอ๋อ คนที่บอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งภูมิภาคเบื้องบนและเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ผู้เฒ่าพยากรณ์!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวตอบ
“ผู้เฒ่าพยากรณ์!”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะไปทันที
เพราะก่อนหน้านี้ตอนไปสิงอยู่ในหอตำราหลักที่ตำหนักฟ้าลี้ลับนานนับเดือน ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้รับทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และรู้ว่าผู้เฒ่าพยากรณ์คนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการทำนายทายทักอันแม่นยำ ปานหยั่งรู้อนาคตจริงๆ
ทุกคนยังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า การทำนายของผู้เฒ่าพยากรณ์ไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว!
กระทั่งผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังขนานนามว่า เซียนอมตะเดินดิน! ตำนานที่ยังมีลมหายใจ!!
“ท่านพ่อ นี่ท่านรู้จักกับผู้เฒ่าพยากรณ์ด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าบิดาของตัวกลับรู้จักผู้เฒ่าพยากรณ์ในตำนานนั่นด้วย!
ต้องทราบด้วยว่าไม่เพียงภูมิภาคเบื้องล่าง แต่กระทั่งในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้เฒ่าพยากรณ์ยังเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงนัก!
กระทั่งจ้าวลัทธิทั้ง 3 และผู้นำขุมพลังชั้นแนวหน้าไม่ว่าจะขุมพลังชั้นหนึ่งสองหรือสามอาจจะไม่มีคนรู้จักได้ แต่ไม่มีทางที่จะมีใครไม่รู้จักผู้เฒ่าพยากรณ์!
ทว่าบิดาของเขาที่เป็นเพียงผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ไม่เพียงแต่จะรู้จักผู้เฒ่าพยากรณ์ แต่คล้ายจะคุ้นเคยไม่น้อย ถึงขั้นที่สามารถสอบถามข้อมูลเรื่องราวอะไรเช่นนี้มาได้!
เขาเองก็เคยได้ยินมาไม่น้อย ว่าหากไม่ถูกชะตา ไม่ว่าจะจ้าวลัทธิหรือผู้นำขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ปานใด ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็ไม่สนใจจะทำนายทายทักอะไรให้
“บังเอิญข้าได้พบผู้เฒ่าพยากรณ์ไม่กี่ครั้ง สุดท้ายจึงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนรู้จักกัน”
ถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะกล่าวถึงผู้เฒ่าพยากรณ์และบอกถึงความสัมพันธ์ออกไป ทว่ายังไม่ได้บอกเรื่องราวของผู้เฒ่าพยากรณ์ทั้งหมดออกมาโดยละเอียด
และนี่ก็เป็นคำแนะนำจากผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวไปก่อนที่จะจากไป ว่าอย่าพึ่งให้ต้วนหลิงเทียนรับทราบถึงการคงอยู่ของมัน!
ยิ่งมาคิ้วของต้วนหลิงเทียนยิ่งขมวดเป็นปมแน่นสีหน้ามืดคล้ำดำลง เมื่อรับทราบถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ “ท่านพ่อ ในเมื่อท่านผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวบอกท่านเรื่องนี้…แล้วท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ได้กล่าวบอกไว้หรือไม่ ว่าอีกนานเท่าไหร่จ้าวลัทธิบูชาไฟนั่นถึงจะออกจากการปิดด่านฝึกตน?”
วาจากล่าวถามท้ายประโยค น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดนัก
“ไม่”
ต้วนหรูเฟิงส่ายหัวไปมา เป็นธรรมดาที่มันเองก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน เพราะนั่นคือลูกสะใภ้กับหลานสาวของมัน!
และเรื่องนี้มันก็ได้กล่าวถามผู้เฒ่าพยากรณ์ออกไปแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับกล่าวบอกมาว่าไม่ทราบ และไม่อาจทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้!
“ท่านพ่อ ข้าจะออกจากตำหนักเมฆาครามและเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนพรุ่งนี้!”
สูดอากาศเข้าเฮือกใหญ่ ต้วนหลิงเทียนพลันตัดสินใจได้ กล่าวบอกต้วนหรูเฟิงออกมาด้วยแววตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะออกเดินทางหลังจากนี้อีกไม่กี่วัน
แต่ตอนนี้พอรับทราบถึงสถานการณ์ที่คู่หมั้นและบุตรีกำลังเผชิญ ใจต้วนหลิงเทียนก็แทบจะมอดไหม้ไปด้วยไฟกังวล ยังอยากจะเร่งรุดไปยังภูมิภาคเบื้องบนให้เร็วที่สุด!
เขาไม่มีวันปล่อยให้ใครทำร้ายสตรีและลูกน้อยของเขา!
“เทียนเอ๋อ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก!”
ต้วนหรูเฟิงไม่แปลกใจที่บุตรชายตัดสินใจเช่นนี้ เพราะหากเป็นมันเกรงว่าคงตัดสินใจไม่ต่างอะไรกับบุตรชาย
อีกทั้งหากไม่ใช่เพราะมันคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ที่ต้องแบกภาระหน้าที่ปกป้องดูแลผู้คนมากมายไม่ว่าจะครอบครัวสหายหรือพี่น้องร่วมรบ มันก็อยากจะไปภูมิภาคเบื้องบนพร้อมบุตรชายให้รู้แล้วรู้รอดไปเช่นกัน!
“ท่านไม่ต้องห่วง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับกล่าวตอบเสียงขรึม ก่อนที่จะรีบไปพบมารดาเพื่อบอกถึงการตัดสินใจครั้งนี้ทันที ว่าจะออกจากตำหนักเมฆาครามและไปภูมิภาคเบื้องบนพรุ่งนี้
“เทียนเอ๋อเจ้าจะไปภูมิภาคเบื้องบนพรุ่งนี้? ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรือ?”
ลี่หลัวกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ยังตื่นตระหนกไม่น้อยกับการตัดสินใจอย่างกะทันหันของบุตรชาย “ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านแม่ มีข่าวของเค่อเอ๋อกับลูก…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบด้วยความกังวล ยังแลดูกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด “ท่านแม่ตอนนี้เค่อเอ๋อกับลูกสาวถูกขังอยู่ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ…พวกมันเพียงรอให้จ้าวลัทธิออกจากการปิดด่านฝึกตนเพื่อตัดสินชะตากรรมของพวกนาง! ท่านแม่ข้าต้องรีบไปช่วยนางกับลูกก่อนที่จ้าวลัทธินั่นจะออกจากการปิดด่านให้ได้!”
“เค่อเอ๋อกับลูกสาว?”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ลี่หลัวถึงกับตื่นเต้นไม่น้อย นอกจากหลานชายแล้วนางยังมีหลานสาวด้วยหรือ!?
อย่างไรก็ตามพอนางรู้สึกตัวและตระหนักได้ถึงสถานการณ์จากคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของนางก็มืดลงทันใด ใจยังเต็มไปด้วยความเป็นกังวลทั้งร้อนรนเรื่องความปลอดภัยของเค่อเอ๋อแม่ลูก
ตอนที่ 1,882 : อดีตจ้าววังนภา!
“เทียนเอ๋อ ลูกจงระวังให้มาก…แม้เค่อเอ๋อกับหลานสาวจำเป็นต้องช่วย! แต่แม่ก็มิอยากให้เจ้าต้องพลอยเกิดเรื่องไปด้วยอีกคน!!”
เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดเดินทางออกจากตำหนักเมฆาครามไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูก ลี่หลัวก็ไม่คิดกล่าวห้าม หากแต่กำชับให้ต้วนหลิงเทียนระวังตัวให้มาก
“ข้าทราบดี ท่านแม่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
เช่นนั้นแล้วนับได้ว่าเขาได้บอกกล่าวร่ำลาบิดามารดาเรียบร้อย…
ต่อไปก็คือกล่าวบอกลี่เฟย คู่หมั้นที่เขายึดถือว่าเป็นภรรยาเขามานาน
“ไปเถอะ! ตัวเลวร้าย…เจ้ารีบไปช่วยน้องหญิงเค่อเอ๋อกับลูกให้ได้โดยเร็ว! แต่เจ้าต้องระวังให้มากอย่าได้หุนหันรู้หรือไม่?”
เมื่อทราบว่าเค่อเอ๋อถูกจับขังอยู่ในหอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟ ชะตากรรมยังตกอยู่กับจ้าวลัทธิที่กำลังจะออกจากการกักตัวฝึกตน ลี่เฟยก็ตระหนักได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง
“ข้าจะทำให้สำเร็จ เจ้าไม่ต้องกังวล”
หลังกอดลี่เฟยอีกพักหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็คลายวงแขน ก่อนที่จะหันหลังจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เขาไม่กล้าหันกลับมา เพราะกลัวว่าหากหันกลับไปแล้วอาจจะหักใจออกเดินทางไม่ได้
ถึงแม้เขาจะมาอยู่ตำหนักเมฆาครามได้พักหนึ่งแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เพราะต้องไปประลองตามสัญญา 5 ปี เขาก็มักใช้เวลาไปกับการบ่มเพาะฝึกฝน ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับลี่เฟยและลูกชายตัวน้อยเท่าไหร่
สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็รู้ตัวดี ว่าเป็นสามีและพ่อที่แย่นัก!
เมื่อแยกกับลี่เฟยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาเซี่ยวหลันกับปี้เหยา
“เจ้าต้องเร่งรีบเดินทางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เมื่อทราบว่าต้วนหลิงเทียนต้องไปแล้ว เซี่ยวหลันกับปี้เหยาก็ตกใจไม่น้อย ในแววตาดั่งสารทฤดูเผยความลังเลไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“ข้าต้องเร่งรุดไปยังลัทธิบูชาไฟให้เร็วที่สุดเพื่อหาทางช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูก…หาไม่แล้วข้ากลัวว่าพวกนางจะเกิดเรื่อง!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยใจกังวล
“จริงสิ ชิ่งหรูยังไม่กลับมาหรือ?”
หลังจากที่กล่าวลาเซี่ยวหลันกับปี้เหยาและเตรียมตัวจากไป ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึง ชิ่งหรู ขึ้นมาได้ จึงกล่าวถามออกไป
ชิ่งหรูนั้นเป็นคนที่เขาว่าจ้างให้มาดูแลบ้าน ตอนที่เขาซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง และตอนที่บิดาพาทุกคนมาตำหนักเมฆาคราม นางก็ติดตามมาคอยดูแลรับใช้มารดาเขาเช่นกัน…
เขาเองก็มาอยู่ตำหนักเมฆาครามได้สักพักแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นชิ่งหรูเลย
เช่นเดียวกับปี้เหยาและเซี่ยวหลัน ชิ่งหรูเองก็ออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกด้วยเช่นกัน แต่แม้พวกนาง 3 คนจะออกไปหาประสบการณ์ที่โลกภายนอกพร้อมๆกัน แต่มีแค่เซี่ยวหลันกับปี้เหยาที่เดินทางไปด้วยกัน
ส่วนชิ่งหรูเลือกที่จะพเนจรไปเพียงลำพัง จนตอนนี้นางยังไม่ส่งข่าวว่าจะกลับมาแต่อย่างใด
“ยังไม่”
เซี่ยวหลันกับปี้เหยาส่ายหัวออกมาพร้อมกัน
“หากนางกลับมาแล้ว ฝากพวกเจ้าทักทายนางแทนข้าด้วย…เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว ถนอมตัวด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำลาเสร็จก็หันหลังเหินร่างจากไปทันที
เซี่ยวหลันกับปี้เหยาได้แต่เหม่อมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนห่างไกลออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความอื้ออึง…
กระทั่งแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนหายลับไปจากสายตาพวกนางสักพัก ทั้งคู่จึงค่อยดึงสติความคิดให้กลับคืนมาได้ หากแต่แววตายังเต็มไปด้วยความเศร้านัก…
“หากชีวิตนี้มีสักวันที่เขาปฏิบัติกับข้าได้สักครึ่งเหมือนที่ทำกับเค่อเอ๋อ ให้ข้าตายก็ไม่เสียดายแล้ว…”
เซี่ยวหลันกล่าวรำพันออกมาเบาๆ
“ข้าด้วย”
ปี้เหยาพยักหน้าเห็นด้วย
วาจารำพันปานเสียงกระซิบของสายลมจากสตรีทั้ง 2 แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้ยิน
หลังผละจากเซี่ยวหลันกับปี้เหยาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างไปยังเขตแท่นเมฆาครามทันทีเพื่อหาตัวกู่ลี่ เขาไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับกู่ลี่ว่าจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน…
แท่นเมฆาครามก็เป็นสถานที่บ่มเพาะ ที่เหล่าศิษย์หัวกะทิของตำหนักเมฆาครามมาช่วงชิงกัน
หากเป็นก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนอาจมีความสนใจในการต่อสู้ไต่อันดับชิงแท่นเมฆาครามอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้พลังฝีมือของเขาก้าวข้ามเหล่าศิษย์ตำหนักเมฆาครามเหล่านี้ไปไกลแล้ว แท่นเมฆาครามแห่งนี้จึงไร้ความท้าทายให้เขาสนใจอะไรอีกต่อไป
“อ้าว น้องหลิงเทียน”
กู่ลี่ประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นต้วนหลิงเทียนมาถึงที่นี่แบบนี้ “เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนมาหามันด้วยตัวเองแบบนี้ ไม่พ้นต้องมีเรื่องบางอย่างแน่!
แค่มันไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเท่านั้น…
“พี่กู่ท่านเตรียมตัวออกเดินทางเถอะ อีกราวๆครึ่งชั่วยามข้าจะมาหาท่าน…พวกเราจะออกจากภูมิภาคเบื้องล่างและไปยังภูมิภาคเบื้องบนกันเลย! ส่วนตอนนี้ข้าจะไปร่ำลาสหายของข้าก่อน เสร็จแล้วจะย้อนกลับมาหาท่าน”
ต้วนหลิงเทียนมาถึงก็กล่าวบอกเรื่องราวออกมาตรงๆ กล่าวจบก็รีบร้อนจากไปทันที ไม่รอให้กู่ลี่ที่ทำตาปริบๆตอบคำอะไร
เขาต้องรีบไปกล่าวคำลากับป๋ายลี่หง ลุงเฟิ่งและคนอื่นๆอีก
“จริงสิพี่กู่ เอาแบบนี้ดีกว่า…อีกครึ่งชั่วยาม ท่านไปพบข้าที่ห้องโถงหลักเลยก็ได้!”
ในขณะที่กู่ลี่กำลังอึ้งๆกับต้วนหลิงเทียนที่มาไวไปไว ในหูพลันได้ยินเสียงต้วนหลิงเทียนส่งมาถึงอีกครั้ง
“ไฉนน้องหลิงเทียนถึงได้แลดูรีบร้อนผิดปกตินัก…ช่างเถอะ อีกครึ่งชั่วยามค่อยไปถามดู”
กู่ลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
“ศิษย์น้อง เจ้าจะไปวันนี้แล้ว?”
ไม่เพียงแต่ป๋ายลี่หงจะอึ้ง เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเองก็อึ้งไปเช่นกัน เมื่อได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนจะออกจากตำหนักเมฆาครามและไปภูมิภาคเบื้องบนวันนี้!
ต้องทราบด้วยว่าขณะที่ต้วนหลิงเทียนไปรับตัวพวกมัน ตอนเดินทางมายังตำหนักเมฆาคราม อีกฝ่ายก็บอกกล่าวไว้แล้วว่าจะอยู่ตำหนักเมฆาครามอีกสิบวันครึ่งเดือนถึงจะออกเดินทาง…
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคล้ายลืมเลือนคำพูดก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
“สถานการณ์เกิดความเปลี่ยนแปลง…”
เผชิญหน้ากับความสงสัยของป๋ายลี่หงและทุกคน ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวอธิบายออกไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี “ข้าพึ่งได้ข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ของเค่อเอ๋อ…ตอนนี้ข้าเลยต้องรีบไปหานางที่ภูมิภาคเบื้องบนให้เร็วที่สุด”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที
หากเป็นเพราะสาเหตุนี้เรื่องราวก็เข้าใจได้ไม่ยาก
เมื่อกล่าวคำอำลากับป๋ายลี่หงและคนอื่นๆดีแล้ว ครบกำหนดครึ่งชั่วยามต้วนหลิงเทียนที่จัดเตรียมของลงแหวนพื้นที่พร้อมสรรพ ก็ไปรวมตัวกับกู่ลี่ที่ห้องโถงหลัก
“น้องหลิงเทียน อยู่ๆเจ้ารีบร้อนจะไปภูมิภาคเบื้องบนแบบนี้ ใช่เกิดเรื่องอันใดหรือไม่?”
มีอะไรผิดแปลกไปสมควรมีปีศาจ!
กู่ลี่รู้สึกว่าการที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนกำหนดการณ์และเร่งรีบจะไปอย่างกะทันหัน สมควรมีเรื่อง้รายๆอะไรบางอย่างแน่!
และมันก็ได้รับฟังคำตอบจากต้วนหลิงเทียนทันที
พอได้รับทราบคำตอบหว่างคิ้วกู่ลี่ก็ย่นยู่เป็นปม กล่าวออกเสียงเครียด “เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเลยเถอะน้องหลิงเทียน!”
และแล้วต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็เร่งรุดออกจากตำหนักเมฆาครามไปด้วยกัน เหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือด้วยความเร็วสูง
หนทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนอยู่ทิศทางนี้
“ตรงนั้นเป็นสถานที่ตั้งสาขาหลักของตลาดมืดหยินชาน…”
ไม่ทราบเหินร่างกันมาเนิ่นนานเท่าไหร่ กู่ลี่พลันชี้ไปเบื้องหน้าเยื้องไปทางซ้ายให้ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองไป
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็หันไปมองทันที แต่เขาพบว่ามองไปก็เห็นเป็นเพียงม่านหมอกหนาทึบปกคลุมไปถึงท้องฟ้า ยากจะแลเห็นสิ่งใดที่อยู่เบื้องหลัง
กู่ลี่เองก็ไม่ได้รู้อะไรชัดเจน เพียงรู้สถานที่ตั้งของตลาดมืดหยินชานคร่าวๆเท่านั้น
ปง! ปง! ปง!
…
ทว่าทันใดนั้นเอง จากสถานที่ๆกู่ลี่ชี้ให้ต้วนหลิงเทียนมองไป คล้ายจะมีเสียงระเบิดดังสนั่นออกมาจากม่านหมอก
ยิ่งทั้งคู่เหินร่างมุ่งหน้าไปต่อเท่าไหร่ เสียงระเบิดนั่นก็ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ
“มีคนสู้กันอยู่…”
ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่หันมามองสบตากันทันที…
“น้องหลิงเทียน พวกเราจะอ้อมไปเพื่อเลี่ยงพวกมันดี หรือจะตรงไปต่อโดยไม่ต้องสนใจพวกมัน?”
กู่ลี่มองถามต้วนหลิงเทียน
“อ้อมไปเถอะ…ข้าสัมผัสได้ว่าพลังฝีมือของพวกที่ตีกันอยู่ไม่ธรรมดา”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรีบร้อนไปยังภูมิภาคเบื้องบนนัก มีคำกล่าวที่ว่า ‘เพิ่มเรื่องหนึ่งไม่สู้ลดไปอีกเรื่องหนึ่ง’
(ยิ่งเรื่องน้อยยิ่งดี ไม่ต้องไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน…)
นอกจากนี้จากเสียงระเบิดของพลัง และคลื่นพลังปั่นป่วนที่โชยมาในบรรยากาศยังบอกเรื่องราวได้ประการหนึ่ง…
อาศัยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เขาบอกได้ทันทีว่าผู้ที่กำลังปะทะกันอยู่นั้นเป็นตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี ทั้งยังไม่ใช่แค่เซียนปฐพีขั้นต้นธรรมดาๆ!
“ได้!”
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนบอกอ้อม กู่ลี่ก็เห็นดีเรื่องอ้อมไป เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนผู้นำ!
อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่กำลังจะเลี้ยวอ้อมไปนั้น เสียงหัวเราะหนึ่งพลันดังก้องฟ้ามาให้ได้ยิน “เฝิงปู่อี้…วันที่เจ้าหยามข้าให้อัปยศ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าตัวเจ้าจักมีวันนี้!?”
“จูลู่ฉีต่อให้วันนี้เจ้าฆ่าข้าได้ แต่เจ้าก็ไม่มีวันหนีความตายได้พ้น! ผู้ที่ฝึก ‘มารกลืนหยิน’ ล้วนถูกฟ้ากำหนดไว้แล้วว่าจักมิมีวันได้ตายดี!”
จากนั้นก็มีอีกเสียงดังขึ้น
อย่างไรก็ตามหากเทียบกับเสียงแรกแล้ว เสียงหลังนั้นค่อนข้างหดหู่ไม่น้อย
ได้ยินเสียงที่ดังก้องมาจากข้างหน้า กู่ลี่กับต้วนหลิงเทียนถึงกับหันมามองหน้ากันทันที ต่างเห็นถึงความตะลึงในแววตาอีกฝ่าย
เพราะเสียงแรกที่หัวเราะกล่าวนั้น…ไม่ใช่เสียงที่ไม่คุ้นหูทั้งคู่แต่อย่างไร!
“จูลู่ฉี!”
กู่ลี่สูดอากาศเข้าดังเฮือก!
“อ่า…เป็นเสียงจ้าววังจูจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็คุ้นเสียงนั่นดี มันเป็นเสียงของอดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ จูลู่ฉี!
และฟังจากวาจาที่อีกฝ่ายกล่าว ตอนนี้คล้ายกำลังจะสู้อยู่กับเฝิงปู่อี้!
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากเสียงตอบ ดูท่าเฝิงปู่อี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจูลู่ฉีอีกต่อไป!
“พวกเราไปกันต่อเถอะพี่กู่”
ถึงแม้จะรู้แล้วว่าสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่เป็นใคร ต้วนหลิงเทียนก็ยังคิดจะอ้อมไปอยู่ดี
เพราะท้ายที่สุดแล้ว จูลู่ฉี ก็หาใช่จ้าววังจูในวันวานครั้งยังอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับอีกต่อไปไม่! อีกฝ่ายได้ก้าวเข้าสู่หนทางมาร แถมยังบ่มเพาะด้วยอวิชชาชั่วร้ายอย่างเคล็ด ‘มารกลืนหยิน’ ไปแล้ว! ใครจะไปรู้ว่าจะคุ้มดีคุ้มร้ายจนหันมาลงมือกับเขาและกู่ลี่หรือไม่?!
และเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพลังฝีมือของจูลู่ฉีตอนนี้แข็งแกร่งถึงระดับไหนแล้ว จึงไม่คิดจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
“เอาล่ะ”
กู่ลี่ที่ยกให้ต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ตัดสินใจก็เห็นดีด้วยทันที
ปง! ปง! ปง!
……
เสียงระเบิดที่หยุดไปก่อนหน้า พลันดังก้องเข้าหูต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่อีกครั้ง
และหลังจากนั้นมันก็เงียบลงไปอย่างสมบูรณ์…
“สู้กันจบแล้วงั้นหรือ?”
กู่ลี่กล่าวถาม
“คงใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ
“ฟังจากเสียงคุยกันระหว่างจูลู่ฉีกับเฝิงปู่อี้ก่อนหน้า ดูท่าตอนนี้เฝิงปู่อี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจูลู่ฉีอีกต่อไป…”
กู่ลี่กล่าวออกมาอีกครั้ง
“พี่กู่ หากจูลู่ฉีไม่มั่นใจว่าพลังฝีมือเหนือกว่าเฝิงปู่อี้ มันจะยังบุกมาเล่นงานเฝิงปู่อี้อีกหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมยิ้มแหย รู้สึกว่าวาจานี้ของกู่ลี่กล่าวซ้ำซ้อนเกินไปอยู่บ้าง
กู่ลี่ที่ได้ฟัง ก็หน้าม้านไปเล็กน้อย ค่อยคิดได้ว่าวาจานี้ของมันกล่าวมากความไปแล้วจริงๆ
ฟุ่บ!
ทว่าทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงแหวกฝ่าสายลมบางเบาแว่วมาทางนี้
อีกทั้งเสียงแหวกฝ่าสายลมยิ่งมาก็ยิ่งดังขึ้น!
“แย่แล้ว!”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันที
ขณะเดียวกันกับที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไป กู่ลี่ก็พึ่งตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งกำลังพุ่งร่างไล่ตามมาจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง พาลให้หน้ามันถอดสีไปเช่นกัน!
“ต้วนหลิงเทียน? กู่ลี่?”
ดั่งสายลมหอบหนึ่งพัดกรรโชกผ่านหน้าต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ไป
ครู่ต่อมา เบื้องหน้าทั้ง 2 ก็ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งเหินลอยขวางอยู่!
ชายชราคนนี้สำหรับต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่แล้วนับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าอันใด อดีตจ้าววังนภาตำหนักฟ้าลี้ลับ จูลู่ฉี!
จูลู่ฉีที่เหินมาดักหน้าต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่เอาไว้ ก็ชักสายตาไร้อารมณ์มองมา
“จ้าววังจู…นานแล้วไม่พบกัน”
ต่างจากหน้าที่เปลี่ยนสีสลับกลับกลายไปมาด้วยหวาดกลัวของกู่ลี่ สีหน้าต้วนหลิงเทียนได้หวนคืนสู่ความสงบ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฝ่ายริเริ่มกล่าวคำทักทายจูลู่ฉีก่อน…
ตอนที่ 1,883 : กลับใจ…
เจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง จูลู่ฉีเลือกที่จะเรียกหาเขาว่าต้วนหลิงเทียนหาใช่หลิงเทียนอีกต่อไป…
เพราะในปีนั้นตอนที่ข่าวลือเรื่องต้วนหลิงเทียนครอบครองตราผนึกมารแพร่กระจายออกมา จูลู่ฉีเองก็ได้รับภาพเหมือนต้วนหลิงเทียนมาด้วย จูลู่ฉีจึงจดจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าก็คือต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
และอีกฝ่ายยังเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ‘หลิงเทียน’ อีกด้วย!
เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางไปประลองตามสัญญา 5 ปีที่เผ่าพันธุ์มังกร การที่กู่ลี่กลับไปปรากฏตัวข้างๆจ้าวตำหนักเมฆาครามได้ ทำให้เรื่องการปลอมตัวของต้วนหลิงเทียนในอีตเปิดเผยออกมาทันที!
อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!
อัจฉริยะที่เคยเป็นที่ตกตะลึงไปทุกขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในอดีต ที่แท้เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม!
ด้วยมีข้อสรุปนี้พ่วงมา ทำให้เรื่องสัญญาประลอง 5 ปี แพร่กระจายไปฉับไวดั่งไฟลามทุ่ง!
คนอื่นๆพอได้ยินข่าวนี้อาจจะแค่ประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ทันทีที่จูลู่ฉีได้ยินข่าวนี้ เรื่องราวกลับแตกต่างออกไปแล้ว
เนื่องเพราะในอดีตมันก็คือจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นศิษย์วังนภา เช่นนั้นกล่าวได้ว่ามันกับต้วนหลิงเทียนก็เกี่ยวข้องกันในระดับหนึ่ง!
อย่างไรก็ตามมันไม่เคยคิดกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง ว่าอัจฉริยะดั่งสัตว์ประหลาดอย่างต้วนหลิงเทียน ที่แท้กลับเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามไปได้!
“อะไร? เจ้ามิกลัวข้างั้นหรือ?”
เห็นต้วนหลิงเทียนยังคงมีสีหน้าสงบทั้งกล้าริเริ่มกล่าวทัก จูลู่ฉีที่มือข้างหนึ่งหอบหิ้วศีรษะโชกเลือดพลันกล่าวถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
แม้ศีรษะในมือจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็จดจำได้ดีว่านั่นเป็นหัวของเฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน!
เฝิงปู่อี้ไม่เพียงถูกจูลู่ฉีฆ่า ยังถูกตัดหัวด้วย!
“ทำไมข้าต้องกลัวด้วยเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนตอบคำถามจูลู่ฉีด้วยคำถาม
ครู่ต่อมาจูลู่ฉีกับต้วนหลิงเทียนก็เงียบไปไม่พูดคำ เพียงลอยร่างมองหน้ากันอย่างเงียบงัน
ทั้งคู่ไม่ทุกข์ร้อน หากแต่กู่ลี่ไม่อาจไม่ร้อนรน มันส่งเสียงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวล “น้องหลิงเทียน จะอย่างไรจูลู่ฉีตอนนี้ก็หาใช่จ้าววังจูของตำหนักฟ้าลี้ลับในวันวานอีกต่อไป…มันบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินแล้ว…ตอนนี้มันคือมารร้าย!!”
“เจ้าอย่าได้ประมาทเด็ดขาด…ให้ไม่แล้วเกิดไปยั่วโทสะอันใดมัน พวกเราซวยแน่!”
ตอนนี้กู่ลี่กลัวใจเหลือเกิน ว่าต้วนหลิงเทียนจะทำให้จูลู่ฉีมีโมโห!
จูลู่ฉีนั้น เมื่อสามารถสังหารรองผู้นำตลาดมืดหยินชานอย่างเฝิงปู่อี้ได้ นั่นหมายความว่าพลังฝึกปรือสมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญไปแล้ว ไม่แน่เผลอๆก็อาจจะบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุด!!
ยอดฝีมือระดับนี้ไม่ใช่อะไรที่มันจะตอแยด้วยได้!!
สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้น ถึงแม้จะปลดปล่อยพลังทั้งหมดใช้ออกด้วยทุกสิ่ง แต่น่ากลัวว่ายังทำได้แค่ทัดเทียมกับยอดฝีมือชนชั้นเซียนปฐพีขั้นกลางเท่านั้น
ยอดฝีมือระดับนี้ หาได้นับเป็นตัวอะไรในสายตาจูลู่ฉีไม่!
เรื่องนี้กู่ลี่อนุมานเอาจากการประลองตามสัญญา 5 ปีที่พึ่งจบไป เพราะวันนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทำได้แค่หลีกหลบตี้จิ่วไม่อาจปะทะด้วยตรงๆได้
ดังนั้นกู่ลี่จึงไม่คิดว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจพอจะสู้กับจูลู่ฉี!
จูลู่ฉีนั้นไม่ได้เหมือนกันกับตี้จิ่วที่เป็นเพียงเซียนปฐพีขั้นกลางชั่วคราวเพราะใช้เวทย์พลัง แต่เป็นยอดฝีมือที่พลังฝึกปรืออย่างต่ำๆก็ต้องเหนือกว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นกลางขึ้นไป! หาไม่แล้วคงไม่อาจฆ่าเฝิงปู่อี้ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นกลางได้!!
“จ้าววังจู ที่ท่านตัดหัวเฝิงปู่อี้มาด้วยแบบนี้ คิดใช้มันประกาศให้ทุกคนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าล่วงรู้งั้นหรือ ว่าท่านเป็นคนฆ่ามัน?”
สุดท้ายเป็นต้วนหลิงเทียนที่กล่าวทำลายความเงียบออกมาก่อน
“มิผิด!”
จูลู่ฉีพยักหน้า “ต้วนหลิงเทียนเจ้านับว่าเฉลียวฉลาดนัก อย่างไรก็ตามนี่เจ้ามิได้กังวลจริงๆรึ ว่าข้าจะไม่ลงมือฆ่าเจ้า?”
ครู่ต่อมาลูกตาของจูลู่ฉีก็เผยประกายดุร้ายวูบวาบขึ้นมา
“อ้อ…แล้วท่านคิดทำแบบนั้นด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
คราวนี้จูลี่ฉีถึงกับอึ้งไปจนไร้คำจะกล่าวแล้วจริงๆ มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะยังสงบอยู่ได้แม้กระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
หลังมองสบตาต้วนหลิงเทียนเงียบๆไปอีกพักหนึ่ง จูลู่ฉีค่อยกล่าวออกมา “ย่อมไม่…”
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”
ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“เสี่ยวเฟยเซวียนกับศิษย์คนอื่นๆของข้า…ทุกคนเป็นอย่างไรแล้ว?”
สูดอากาศเข้าลึกๆคราหนึ่ง จูลู่ฉีพลันกล่าวถามออกมาเสียงอ่อน
“ตอนนี้ทุกคนสบายดี ไม่มีปัญหาอะไร”
ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้กล่าวตอบ เป็นกู่ลี่ที่กล่าวตอบออกมาเสียก่อน “หลังจากที่ท่านออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปได้พักหนึ่ง คนของสกุลจ้าวคิดสร้างปัญหาให้นางกับศิษย์คนอื่นๆ แต่ยังดีที่ได้ศิษย์น้องหลิงเทียนออกหน้าช่วยเหลือ ทุกคนจึงปลอดภัยดี แถมสุดท้ายน้องหลิงเทียนยังลงนามในสัญญาเป็นตาย กระทั่งฆ่าคนสกุลจ้าวที่มาระราน!”
“ตั้งแต่วันนั้นทุกคนจึงรับทราบกันดีว่าต่อให้มิมีอาจารย์เช่นท่าน ก็ไม่อาจรังแกพวกนางได้ง่ายๆ และมิมีใครกล้าสร้างปัญหาให้นางกับคนอื่นๆอีกเลย…”
กู่ลี่กล่าวตอบออกมาแบบนี้คล้ายมีเจตนา จะ‘ยกอ้างบุญคุณ’ ก็ไม่ปาน
และเป็นมันที่ต้องการกระทำแบบนั้นจริงๆ
ในสายตาของมันหากจูลู่ฉีรู้สึกติดค้างบุญคุณต้วนหลิงเทียนล่ะก็ บางทีอีกฝ่ายจะไม่ลงมือกับพวกมัน!
ถึงแม้ตอนนี้จูลู่ฉีจะไม่เผยเจตนาลงมืออะไรเลยก็ตาม…
แต่มันไม่อาจไม่ระวัง!
สุดท้ายมีเพียงระวังจึงแจวเรือข้ามฟากได้นับหมื่นปี!
“ขอบคุณเจ้า…”
ได้ยินคำของกู่ลี่ สีหน้าที่คล้ายมีกังวลก่อนหน้าของจูลู่ฉีพลันหวนกลับมากระจ่างแจ่มใส จากนั้นสายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังคล้ายสำนึกบุญคุณอยู่หลายส่วน
“จ้าววังจูไม่ต้องเกรงใจไป…อย่างไรหวางเฟยเซวียนก็เป็นสหายของข้า แม้จะไม่ใช่ศิษย์ท่านข้าก็ไม่คิดนิ่งดูดายมองใครรังแกนางแต่แรก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกพร้อมโบกมือปัดๆ
“มิว่าจะอย่างไรข้าก็ยังต้องขอบคุณเจ้า ข้าจูลู่ฉีรู้แยกแยะบุญคุณความแค้น!”
จูลี่ฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าเองก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้น”
เหลือบมองไปยังศีรษะชุ่มเลือดในมือจูลู่ฉี ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอย่างจริงจัง
หากไม่ใช่คนที่ยึดติดกับบุญคุณความแค้น ไหนเลยจูลู่ฉีจะยินดีตกต่ำลงถึงขนาดนี้เพื่อฆ่าเฝิงปู่อี้ มีหรือจะยอมฝึกเคล็ดมารกลืนหยินที่ใต้หล้าล้วนชิงชังรังเกียจจนใครเห็นก็อยากทุบตีราวกับมุกสิกข้ามถนน
“อย่างไรก็ตามแต่ ข้ามิคาดเลยจริงๆว่าที่แท้เจ้าจะเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาคราม…ต้วนหลิงเทียนเจ้าร้ายกาจยิ่ง! สามารถหลอกทุกคนกระทั่งข้าได้!!”
ทันใดนั้นคล้ายจูลู่ฉีนึกอะไรได้ มันมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ซับซ้อน สายตายังมองจี้ต้วนหลิงเทียนราวกับจะมองให้ทะลุ
แต่ถึงแม้จะมองจี้ทั้งกล่าวออกแบบนั้น จากทีท่าแววตาที่จูลู่ฉีเผยออก มันก็หาได้ตำหนิอะไรต้วนหลิงเทียนในเรื่องนี้ไม่
“จ้าววังจูท่านผิดแล้ว…ข้าไม่เคยคิดหลอกท่าน!”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ตอนที่ข้าไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับ แม้ข้าจะรู้ว่าบิดาอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่ข้าไม่เคยรู้เลยว่าบิดาข้าเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาคราม…ต่อมาหลังจากที่ข้ารู้ว่าข้าคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ข้าก็รีบออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อเดินทางไปหาครอบครัวข้าที่ตำหนักเมฆาครามทันที”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ!”
กู่ลี่พลันพยักหน้ากล่าวออกเสียงเข้ม เพื่อยืนยันให้ต้วนหลิงเทียน
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…”
จูลู่ฉีฟังแล้วก็ยอมรับ “เป็นข้ากล่าวโทษเจ้าผิดไป…”
เห็นได้ชัดว่าจูลู่ฉีไม่คิดสงสัยคำของต้วนหลิงเทียน เพราะต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องหลอกมันเลย
“จ้าววังจู ที่ท่านฝึกมารกลืนหยิน ทั้งหมดเพียงเพื่อแก้แค้นเฝิงปู่อี้?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามจูลู่ฉีด้วยแววตาคมกล้า
ไม่คาดอยู่ๆต้วนหลิงเทียนจะกล่าวถามเรื่องนี้ออกมา พาลให้แววตาของจูลู่ฉีเปลี่ยนไปทันที ลูกตายังหดหยีลง!
“น้องหลิงเทียน!”
กู่ลี่ถึงกับใจร่วงตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันใด เร่งส่งเสียงถึงต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวล “เจ้าจะถามเรื่องนี้ทำเพื่อ!?”
ในสายตาของกู่ลี่ เคล็ดมารกลืนหยินเสมือนแผลเป็นของจูลู่ฉี หากไม่มีใครไปแขวะเปิดก็ไม่เป็นไร แต่หากมีคนไปแขวะขึ้นมาน่ากลัวเก้าในสิบส่วนล้วนทำให้จูลู่ฉีมีโมโหแน่!
และตอนนี้คำถามของต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ต่างอะไรจากคว้านแขวะแผลเป็นของจูลู่ฉีให้เปิดเลย
“ใช่!”
อย่างไรก็ตาม นับว่าสร้างความประหลาดใจให้กู่ลี่นัก เผชิญหน้ากับคำถามจี้นี้ของต้วนหลิงเทียน จูลู่ฉีเพียงนิ่งคิดไปพักหนึ่งค่อยกล่าวตอบ
“เสียใจหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามอีกครั้ง
“ตอนแรกไม่…แต่หลังจากข้ามัน ยามนี้ข้าเริ่มรู้สึกเสียใจแล้ว…”
จูลู่ฉีระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน มองศีรษะเฝิงปู่อี้ในมืออีกครั้ง แววตายังกลายเป็นสั่นพร่า…
“ตอนนี้ท่านเสียใจแล้วจะทำอะไรได้ หรือท่านจะบอกว่าต่อไปสามารถเลิกกลืนกินพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของสตรีได้?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามพร้อมส่ายหัวไปมา
“ย่อมได้”
อย่างไรก็ตามเหนือความคาดหมายของต้วนหลิงเทียนนัก จูลู่ฉีกลับพยักหน้าตอบคำเสียอย่างนั้น “เคล็ดมารกลืนหยินนั้น เดิมทีหาได้ใช้การกลืนกินพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของสตรีเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะพลังไม่ มันใช้การดูดซับพลังหยินจากไอจันทรายามค่ำคืน กล่าวได้ว่าเป็นเคล็ดบำเพ็ญเต๋าแห่งมารขั้นสูงสุด! ทว่ากลับมีผู้คนปรับเปลี่ยนเคล็ดความดั้งเดิมของมัน เลือกจะใช้ทางลัดโดยการดูดกลืนพลังหยินจากอิสตรีและแก่นแท้โลหิต ซึ่งทำให้พลังฝึกปรือก้าวหน้ารวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าแทน…”
“ตอนนี้ในเมื่อข้าได้ล้างแค้นแล้ว…ต่อไปข้าก็ไม่คิดจะหวนไปเดินบนเส้นทางลัดนั้นอีก!”
จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะมองไปยังศีรษะชุ่มเลือดในมือ
“ข้าหวังว้าจ้าววังจูจะสามารถทำตามที่กล่าวได้…”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับจูลู่ฉีอีกครั้ง ก็หันไปพยักหน้าให้กู่ลี่ ก่อนที่จะเหินร่างจากไปโดยไม่คิดจะกล่าวลาจูลู่ฉี
และคราวนี้แทนที่จะอ้อม ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะมุ่งหน้าขึ้นเหนือตรงๆแทน
ลอยร่างนิ่งค้าง มองส่งจนแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายไปลับไปยังขอบฟ้าไกลตา ในที่สุดจูลู่ฉีก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
มันหิ้วหัวเฝิงปู่อี้ไปยังสาขาหลักของตลาดมืดหยินชาน!
ตึงงง!!
ด้วยมีเสียงสนั่นที่ดังขึ้นบริเวณประตูหน้า อันเป็นทางเข้าของตลาดมืดหยินชานสาขาหลักแบบนี้ ทำให้คนของตลาดมืดหยินชานแทบทั้งหมดตื่นตัวทันที “เกิดอันใดขึ้น!?”
เมื่อมันพวกมันหันมองไปตามเสียง พวกมันก็พบสิ่งหนึ่งพุ่งลงมากระแทกพื้นหน้าประตูทางเข้าอย่างแรง…สิ่งนั้นกลับเป็นศีรษะคน!
และครู่ต่อมาพวกมันก็จำต้องตกตะลึงอีกครั้ง
“โปรดบอกผู้นำตู้กูด้วย ว่านี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่ ‘จูลู่ฉี’ มอบให้ตลาดมืดหยินชาน!”
คนของตลาดมืดหยินชานทั้งยามเฝ้าประตูไม่ทันได้มองให้ชัดว่าเป็นศีรษะใคร เสียงหนึ่งพลันดังลงมาจากฟ้าพอดิบพอดี
และพอได้ยินเสียงดังกล่าว ทุกคนที่เร่งรุดมายังประตูหน้าถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที
ถึงขนาดนี้แล้วหากพวกมันยังไม่รู้ว่ามีคนมาหาเรื่องตลาดมืดหยินชานถึงหน้าประตู! เกรงว่าชีวิตพวกมันที่อยู่มาหลายปีคงไร้ประโยชน์!!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
…
พร้อมๆกับเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไว เหนือน่านฟ้าบริเวณทางเข้าตลาดมืดหยินชานพลันปรากฏร่างคนของตลาดมืดหยินชานที่เร่งรุดมาตรวจสอบสถานการณ์!
ต่างทยอยกันเหินร่างขึ้นมาเพื่อตามหาตัวคนร้ายที่มาท้าทายตลาดมืดหยินชานถึงถิ่น!
น่าเสียดายที่ผู้ก่อเหตุคล้ายจะเหินร่างจากไปหลังกล่าววาจาจบคำ คนตลาดมืดหยินชานเมื่อขึ้นมาคนก็ไม่อยู่แล้ว แถมยังไม่มีร่องรอยใดๆให้สืบสาว…
“ท่านรองผู้นำ!”
ตอนนี้เองผู้คุมที่เฝ้าอยู่บริเวณประตูหน้าของตลาดมืดหยินชาน ก็ได้พบแล้วว่าที่แท้ศีรษะชุ่มเลือดนั้นเป็นของใคร!
ใบหน้านั้นหาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นเฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชานของพวกมัน!
“ท่านรองเฝิงถูกสังหารแล้ว?”
“ท่านรองไม่เพียงถูกฆ่า กระทั่งยังถูกผู้คนตัดศีรษะมาประจานเช่นนี้…”
“แล้วนี่มือสังหารร้ายกาจปานใดกัน!?”
……
เหล่ายามทั้งหลายที่เฝ้าประตูอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าสยดสยอง พวกมันไม่คิดเลยว่าในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ยังมีตัวโง่งมที่หาญกล้าท้าทายตลาดมืดหยินชานซึ่งๆหน้าแบบนี้อยู่อีก!
เจ้านั่นมันไม่กลัวความตายแล้วหรือไร!?
“ช้าก่อน! เมื่อครู่…คนผู้นั้นใช่เรียกหาตัวเองว่า จูลู่ฉี หรือไม่!?”
ไม่นานก็มียามคนหนึ่งนึกอะไรขึ้นได้ จึงโพล่งถามออกมาเสียงดัง!
ตอนที่ 1,884 : มุ่งหน้า! ภูมิภาคเบื้องบน!!
จูลู่ฉี!
ชื่อนี้นับว่าล่วงรู้กันไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว!
ทันใดนั้นเหล่าผู้คุมและยามเฝ้าประตูหน้าของตลาดมืดหยินชานก็อื้ออึงไป คล้ายยังตั้งตัวไม่ทัน
จนเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว พวกมันจึงหันหน้ามองสบตากันทันที สีหน้าแววตายังเผยความหวาดผวาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!
“จูลู่ฉี…อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ ที่ฝึกฝนด้วยเคล็ดมารกลืนหยินคนนั้น?”
“ข้าเองก็ได้ยินข่าวมา…ที่จูลู่ฉีช่วงชิงเคล็ดมารกลืนหยินไปฝึกปรือ ล้วนเป็นเพราะต้องการล้างความอัปยัศที่ท่านรองผุ้นำเคยยัดเยียดให้…”
“นี่ท่านรองเฝิงถูกจูลู่ฉีสังหารจริงๆหรือ!?”
…
ไม่นานข่าวการตายของเฝิงปู่อี้ก็แพร่กระจายไปทั่วตลาดมืดหยินชานสาขาหลัก
ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าอาวุโสไม่เว้นผู้นำอย่างตู้กู ถึงกับมารวมตัวกันทันที ต่างหารือกันถึงเรื่องฆ่าจูลู่ฉีล้างแค้นให้เฝิงปู่อี้ ครั้งนี้เสมือนตลาดมืดหยินชานของพวกมันถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่แล้วจริงๆ
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ในขณะที่คนของตลาดมืดหยินชานกำลังปรึกษาหารือกัน ด้านจูลู่ฉีก็ย้อนกลับมาถึงสถานที่ๆมันใช้ซ่อนตัว…
สถานที่ๆมันใช้ซ่อนตัวนั้นอยู่ในหุบเขาลึกร้างผู้คนแห่งหนึ่ง มองไปในหุบเขาปรากฏกระท่อมไม้หลังเล็กๆตั้งอยู่ จากสภาพเห็นชัดว่าพึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือไม่นานนัก
ตัวมันอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่ง
ส่วนกระท่อมไม้อีกหลังนั้น กลับมีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่…เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง!
ตอนนี้วิญญาณของฉีจิ้งก็ฟื้นฟูใกล้สมบูรณ์เต็มที กำลังจะผสานเข้ากายหยาบแล้ว
ยามเมื่อผสานเข้ากายหยาบ มันก็เสมือนเกิดใหม่ได้มองเห็นฟ้าครามและโลกกว้างอีกครั้ง…
แอ๊ด…
ทันใดนั้นเองประตูกระท่อมไม้ของฉีจิ้งก็ถูกคนเปิดออก
“กลับมาแล้วรึ?”
ถึงแม้ตอนนี้ฉีจิ้งจะยังไม่ได้ผสานวิญญาณเข้ากับกายหยาบอย่างสมบูรณ์ หากแต่มันสามารถใช้สำนึกเทวะได้ตามใจชอบแล้ว คิดรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบหรือสนทนาย่อมง่ายดายนัก
“อืม”
และผู้ที่เข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นจูลี่ฉีเอง!
อย่างไรก็ตามวันนี้สายตาที่จูลู่ฉีใช้มองร่างฉีจิ้ง กลับเผยประกายเยียบเย็นกว่าที่เคย
“สหายจู…มิใช่เจ้าออกไปล้างแค้นเฝิงปู่อี้รึไร ไฉนกลับมาเร็วนักเล่า? หรือได้เรื่องอันใดแล้ว?”
ฉีจิ้งกล่าวถาม
“อ่อ มันตายแล้ว…”
จูลู่ฉีกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“เช่นนั้นก็ดี! หากข้าฟื้นตัวเต็มที่เมื่อใด ข้าจะส่งมอบเคล็ดวิชาบทสุดท้ายของเคล็ดมารกลืนหยินให้กับเจ้า! ภายภาคหน้ามีเจ้ากับข้าร่วมมือกัน ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดต้านทานพวกเราได้อีก!”
ฉีจิ้งส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะด้วยความฮึกเหิมลำพอง แลดูมันหมายมั่นตั้งใจนัก
“เกรงว่าเจ้าจักมิมีโอกาสนั้น…”
ทว่าจูลู่ฉีกลับกล่าวสืบต่อออกมาเสียงเย็นทันที
“เหอะๆ สหายจูอย่าได้ล้อเล่นแล้ว”
ฉีจิ้งคิดว่าจูลู่ฉีเพียงกล่าวล้อเล่น
“ข้ามิได้พูดเล่น”
น้ำเสียงของจูลู่ฉียิ่งมายิ่งเย็นลง
“สหายจู! อย่าได้ลืมเลือนไปว่าเจ้ากับจ้าวจี้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์แล้ว…ว่าหากไม่ใช่ข้าคิดลงมือกับพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! หากเจ้าฆ่าข้าก็ถือว่าละเมิดคำสัตย์ เช่นนั้นก็เหลือเพียงหนทางตายสถานเดียว!!”
ฉีจิ้งคล้ายไม่ได้กังวลอะไรเลย
“ผ่อนคลาย…ข้ามิได้คิดฆ่าเจ้า แต่จากคำสาบาน…ข้าไม่ฆ่าเจ้า แต่มิใช่ว่าข้าไม่อาจทำให้เจ้าไร้โอกาสเห็นแสงตะวันอีกต่อไป…”
จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยร้ำเสียงอำมหิต
“เจ้า…เจ้าคิดทำบ้าอะไร!?”
ในที่สุดน้ำเสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้งก็กลายเป็นร้อนรนขึ้นมาแล้ว! เพราะมันสัมผัสได้ว่าจูลู่ฉีไม่ได้คิดล้อเล่นกับมันจริงๆ!!
“เจ้าคิดว่า…หากเจ้ากลายเป็นคนพิกลพิการไม่อาจทำอะไรได้ เช่นนั้นวิญญาณกลับเข้าร่างแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?”
จูลู่ฉีกล่าวออกไม่ทราบกล่าวกับฉีจิ้งหรือกล่าวถามตัวเองกันแน่
“ไม่! ไม่! เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้! เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้น!อย่า!!”
ฉีจิ้งที่ได้ยินคำของจูลู่ฉี ยิ่งเป็นกังวลจนใจแทบไหม้แล้ว
อย่างไรก็ตามจูลู่ฉีไม่สนใจคำร้องของฉีจิ้งแม้แต่นิดเดียว ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ ปรากฏคลื่นพลังฉุดดึงอำมหิตขุมหนึ่ง กระชากแขนขาทั้ง 4 ของจูลู่ฉีจนขาดออกจากตัวราวดึงถอนต้นหญ้า…
“เจ้า…เจ้าไม่ต้องการเคล็ดความบทสุดท้ายของเคล็ดมารกลืนหยินแล้วรึไร!?!”
เสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้งตอนนี้กลายเป็นวุ่นวายร้อนรนหนักหนาแล้ว
ถึงแม้ว่าวิญญาณของฉีจิ้งจะยังไม่ได้ผสานเข้าร่างทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ด้วยสำนึกเทวะไหนเลยมันยังไม่ทราบว่าแขนขาของมันถูกตัดขาดไปแล้ว
“ภายภาคหน้าข้าคิดดูดซับไอพลังจันทรา ตามเคล็ดมารกลืนหยินฉบับดั้งเดิม…เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้ายังต้องการเคล็ดความบทสุดท้ายอีกหรือไม่?”
จูลู่ฉีกล่าวออกเสียงเรียบ ขณะที่คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงสะบัดมืออีกครั้งป่นทำลายแขนขาที่กระชากขาดจนกลายเป็นละอองโลหิต…
สุดท้ายฉีจิ้งก็ทำได้แค่ร่ำร้องออกมาอย่างสิ้นหวังในใจ แน่นอนว่าจูลู่ฉีก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันนอนอยู่เช่นนี้ ยังใช้พลังหอบหิ้วร่างคนที่คล้ายตอไม้มุ่งหน้าไปยังถ้ำที่มันได้ตระเตรียมเอาไว้เนิ่นนานแล้วทันที…
มันโยนร่างไร้แขนขาของฉีจิ้งเข้าไปไว้ในส่วนลึกสุดของถ้ำ ก่อนที่จะปิดผนึกถ้ำเอาไว้อย่างดี ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้เลยว่าลึกลงไปใต้หุบเขาแห่งนี้กลับมีร่างอนาถาหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้
อีกทั้งวิญญาณของฉีจิ้งที่แต่เดิมใกล้ฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ก็ถูกจูลู่ฉีฝังไอมารขุมหนึ่งเอาไว้ ซึ่งไอมารขุมนี้สามารถกัดเซาะวิญญาณของฉีจิ้งได้ หากแต่อานุภาพไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำลายดับสูญ…เพียงทำให้ดวงวิญญาณของฉีจิ้งไม่อาจฟื้นตัวได้สมบูรณ์ไปตลอดกาล…
เพราะคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า จูลู่ฉีจึงไม่อาจฆ่าฉีจิ้งได้…เช่นนั้นมันก็ทำได้แค่นี้ ให้ฉีจิ้งตกอยู่ในสภาพคนไม่ใช่ผีไม่เชิงไปจนกว่าร่างกายของมันจะสิ้นอายุขัย…
“ท่านจ้าวตำหนัก…แม้ข้าจะไม่อาจฆ่ามันเพราะข้าได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่มีวันสร้างปัญหาอันใดให้กับตำหนักฟ้าลี้ลับได้อีกต่อไป! นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ข้าจักมอบให้ตำหนักฟ้าลี้ลับได้ ก่อนที่ข้าจะลาจากภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้…”
หลังจากจัดการเก็บกวาดหลักฐานทำลายร่องรอยทุกอย่างแล้ว จูลู่ฉีก็เหินร่างขึ้นมาบนฟ้า มันหันไปมองขอบฟ้าทิศทางที่ตั้งตำหนักฟ้าลี้ลับด้วยสายตาซับซ้อนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
กล่าวจบคำมันก็เหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง
มันได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วก่อนจะลงมือฆ่าเฝิงปู่อี้
เมื่อมันฆ่าเฝิงปู่อี้ได้แล้ว มันจะกำจัดภัยคุกคามจากฉีจิ้งที่จะมีต่อตำหนักฟ้าลี้ลับจนสิ้นซาก และออกจากภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ไปยังภูมิภาคเบื้องบน
มันไปภูมิภาคเบื้องบน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่!
ด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยินฉบับดั้งเดิม มันเชื่อว่ามันสามารถสร้างหนทางให้ตัวเองก้าวเดินต่อไปได้ แม้จะไม่ต้องใช้ทางลัดอันใด…
จังหวะนี้มันยังสัมผัสได้ถึงเลือดที่เคยไหลเวียนอย่างสงบทั่วร่างชรา พลันหวนกลับมาสูบฉีดแล่นพล่านเต็มไปด้วยความฮึกเหิมคึกคักอีกครา ราวกับได้ย้อนกลับไปครั้งยังหนุ่มแน่นเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันและกำลังใจ…
“หืม?”
หลังจากเร่งรุดเดินทางไปไม่กี่วัน จูลู่ฉีที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือด้วยคิดออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง พลันแลเห็นเงาหลังไวๆเบื้องหน้าที่คุ้นๆในสายตา…
“เป็นพวกมัน! พวกมัน…คิดไปที่ภูมิภาคเบื้องบนด้วยงั้นหรือ?”
จูลู่ฉีที่คาดเดาใดได้ กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ
นั่นเพราะแผ่นหลังไวๆที่เหินนำอยู่ด้านหน้าไกลตาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกู่ลี่ กับต้วนหลิงเทียน ที่จูลู่ฉีพึ่งเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง!
ฟุ่บ!
ด้วยความเร็วในการเหินบินที่เหนือกว่า ไม่นานจูลู่ฉีก็ไล่ทั้งคู่ทัน กระทั่งแซงไปหยุดขวางเอาไว้อีกครั้ง
“จ้าววังจูท่านมีอะไรงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่ไล่หลังมาได้แต่แรก หากแต่ด้วยอีกฝ่ายไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายใดๆ เขาเลยไม่ได้สนใจจะบอกกู่ลี่
แต่เรื่องที่อยู่ๆอีกฝ่ายกลับเหินร่างแซงแล้วหยุดขวางไว้แบบนี้ ย่อมทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัย
“อะไร…เจ้าต้องการอะไร!?”
เห็นจูลู่ฉีอีกครั้ง เทียบกับต้วนหลิงเทียนที่แปลกใจสงสัยทว่าหน้านิ่ง กู่ลี่ถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวปั้นยากทันที
ใจมันคิดวุ่นวายไปหลายหลาก ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือมันคิดว่าจูลู่ฉีเสียใจที่ปล่อยมันกับต้วนหลิงเทียนไปวันก่อน และเกิดเปลี่ยนใจคิดฆ่าคนปิดปากจึงไล่ตามมาฆ่าคนเก็บงาน…
“ต้วนหลิงเทียน…นี่พวกเจ้าคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนกันหรือ?”
จูลู่ฉีถามออกไปตรงๆ
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยโค้งคิ้วขึ้นข้างหนึ่งกล่าวถามด้วยความแปลกใจ “หรือจ้าววังจูก็จะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วย?”
“อืม”
จูลู่ฉีพยักหน้า “ตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างไร้สิ่งใดให้ข้าอาลัยแล้ว…เช่นนั้นข้าจึงคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากเจ้าสนใจพวกเราเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำถามของจูลู่ฉี ก็ไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจอะไร เพียงหันไปมองกู่ลี่ และรอให้กู่ลี่กล่าวเสนอความเห็น
ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าให้ความเคารพการตัดสินใจของกู่ลี่เช่นกัน
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว
หากเขาอยู่คนเดียว ย่อมไม่คิดมากอะไรเรื่องเดินทางร่วมกับจูลู่ฉี
เพราะสุดท้ายตอนนี้จูลู่ฉีก็ได้ล้างแค้นสำเร็จแล้ว ปมในใจคลี่คลายจึงไม่มีความคิดฝึกฝนบ่มเพาะด้วย เคล็ดมารกลืนหยินฉบับลัดอีกต่อไป ถือเป็นการกลับตัวกลับใจละทิ้งความชั่วร้ายหวนคืนสู่ครรลองคลองธรรม…
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เกเรกลับใจ เอาทองมายังไม่แลก”
(ประมานว่า คนที่กลับตัวกลับใจเป็นคนดีแล้ว มีค่ามากต่อให้เอาทองมาแลกก็ไม่ยอม…ปกติใช้กับพวกเจ้าชู้ ถ้าเลิกแล้วก็จะมีรักเดียวไปเลย แบบนี้เอาทองมาแลกผู้หญิงก็ไม่ปล่อยไป…)
จูลู่ฉีที่ไม่คิดก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รังเกียจอะไรอีก
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามความเห็นกู่ลี่แบบนี้ ย่อมทำให้กู่ลี่รู้สึกตื้นตันในใจไม่น้อย
“น้องหลิงเทียน เจ้าตัดสินใจเถอะ ข้าแล้วแต่เจ้า…”
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายกู่ลี่ก็ยกมอบการตัดสินใจครั้งนี้ให้ต้วนหลิงเทียน
“จ้าววังจู เช่นนั้นพวกเราคงต้องร่วมทางกันแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบจูลู่ฉีไปด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงในใจเขาก็ยินดีไม่น้อย
สุดท้ายแล้วหากเขาไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยตัวคนเดียว เขาก็เป็นดั่งหัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้ที่พึ่งพิงทุกสิ่งเริ่มต้นจากศูนย์…
แต่หากเขามีสหายและพวกพ้องอันดีตั้งแต่แรก เรื่องราวย่อมแตกต่างออกไปแล้ว
อย่างน้อยหนทางเบื้องหน้าก็ราบรื่นขึ้นไม่น้อย
ขณะเดียวกันทางด้านกู่ลี่นั้น แม้ไม่คิดคัดค้านอะไร แต่ในแววตาก็เผยความระแวงจูลู่ฉีอยู่ไม่น้อย
จูลู่ฉีเองก็ย่อมสังเกตเห็นเรื้องนี้เป็นธรรมดา แต่มันก็ทำเฉยคล้ายไม่สนใจ
แน่นอนว่าผิวเผินไม่สนใจ หากแต่ลึกลงไปข้างในใจกลับเจ็บปวดนัก…
หากเทียบกับต้วนหลิงเทียนแล้ว ตอนที่มันอยู่ในวังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ มันสนิทสนมกับกู่ลี่ไม่น้อย ความสัมพันธ์เรียกว่าดีเลยทีเดียว
คนแรกจะอย่างไรก็แค่ศิษย์วังนภา แต่คนหลังนั้นกล่าวไปยังเป็นเหมือนหลานชายของมันด้วยซ้ำ!!
ทั้ง 3 เดินทางไปด้วยกันพักหนึ่ง ก็มาถึงบริเวณใกล้ๆกับหนทางมุ่งสูภูมิภาคเบื้องบน
ตอนนี้เบื้องหน้าของทั้ง 3 ปรากฏภูเขาหิมะลูกใหญ่มหึมาตั้งตระหง่าน
ด้วยความที่ภูมิประเทศแถวนี้ถูกหิมะปกคลุมไปตลอดทั้งปีจึงค่อนข้างหนาวเย็นนัก แถมตอนนี้ก็ยังมีพายุหิมะโหมกระหน่ำไม่หยุด ทัศนวิสัยค่อนข้างต่ำ จำต้องพึ่งสำนึกเทวะสำรวจที่ทาง
“อาวุโสหลิว!”
เมื่อเหินร่างขึ้นมาถึงยอดภูเขาหิมะ ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นผู้สังเกตการณ์ที่เฝ้าอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นเป็นอาวุโสหลิวที่เขาเคยเจอในตำหนักเมฆาคราม
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักไป ชายชราพอแลเห็น ก็จดจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มีท่กล่าวทักทายตัวก็คือนาน้อยตำหนักเมฆาคราม บุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิง
“พวกเจ้าคิดไปภูมิภาคเบื้องบนกันรึ?”
ชายชราแซ่หลิวกล่าวถาม
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ “อาวุโสหลิวถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าหนทางมุ่งหน้าสู่ภูมิภาคเบื้องบนอยู่แถวนี้…แต่พวกเราหามานานแล้วก็ยังไม่พบ…รบกวนท่านแนะนำพวกเราหน่อยได้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา มากับข้า”
ว่ายตามองจูลู่ฉีกับกู่ลี่รอบหนึ่ง อาวุโสหลิวก็พยักหน้าตอบต้วนหลิงเทียน
ขณะเดียวกันมันก็เหินร่างขึ้นฟ้า นำต้วนหลิงเทียนและคนอื่นไปยังจุดหนึ่งของภูเขาหิมะ
ตอนนี้บนยอดเขามีพายุโหมกระหน่ำรุนแรงนัก
ซัวว!!
ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียน อาวุโสหลิวพลันยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน มวลพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลขุมหนึ่งผนึกควบรวมอยู่ในมือ!
และทันทีที่อาวุโสหลิวสะบัดมือออกไป ก็ปรากฏพลังไร้สภาพไม่อาจมองเห็นขุมใหญ่ พุ่งพัดออกไปปานไม้กวาด ปาดหิมะออกไปเป็นทาง เผยให้เห็นถ้ำหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมอยู่…
มองไปภายในถ้ำ มีแต่ความมืดดำไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้!
“เอ่อ…นี่น่ะหรือช่องทางนำไปสู่ภูมิภาคเบื้องบน?”
กู่ลี่รู้สึกผิดหวังไม่น้อย เมื่อเห็นว่าทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนกลับเป็นแค่ถ้ำๆหนึ่งแบบนี้…
ตอนที่ 1,885 : ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค
อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่กู่ลี่คนเดียวที่ผิดหวัง
กระทั่งต้วนหลิงเทียนและจูลู่ฉีที่แลเห็นถ้ำเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้าง
นี่น่ะเหรอ หนทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?
มันช่างแตกต่างจากที่เคยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง!
ถึงแม้จินตนาการต้วนหลิงเทียนยังไม่เตลิดไปไกลอย่างมีบันไดแสง ค่อยๆปรากฏกลางอากาศให้เขาก้าวขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบนทีละขั้นๆโดยมีแสงสว่างสาดส่องลงมาพร้อมเสียงระฆังกังวาน แต่ก็ไม่ใช่หดหู่แลดูอนาถาเช่นนี้…
‘นั่นอาจไม่ใช่ถ้ำ…แต่เป็นพื้นที่อิสระอะไรทำนองนั้น’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบตัวเองในใจ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
กลุ่มต้วนหลิงเทียนกำลังผิดหวังอยู่หรือไม่ ผู้สังเกตการณ์แซ่หลิวไม่สนใจ ยังคงใช้พลังปัดกวาดหิมะต่อไม่หยุด
พริบตาก็ปรากฏช่องทาง ดั่งโพรงถ้ำขึ้นอีก 8 ช่องทางในสายตาของต้วนหลิงเทียน
ช่องทางราวกับปากถ้ำนี้หากมองไกลๆแล้ว จะพบว่าทางเข้าเหล่านี้เรียงตัวกันเป็นวงกลม!
“อาวุโสหลิว…แล้วทางไปภูมิภาคเบื้องบนนี่มันคือช่องไหนหรือ?”
กู่ลี่ที่รู้สึกตัวอดไม่ได้ที่จะมองถามอาวุโสหลิวด้วยความสนใจ
ตอนนี้มันรู้สึกว่าอะไรๆ อาจจะไม่ง่ายอย่างที่มันคิด
“มิใช่ทั้งหมด.. 9 ช่องที่พวกเจ้าเห็นอยู่นี้เป็นเพียงพื้นที่อิสระเอาไว้กักเก็บหินเซียนที่ใช้สำหรับเปิดใช้ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค อีกทั้งยังมีข่ายอาคมย่อยจารึกเอาไว้ด้านใน…ต้องกระตุ้นเปิดใช้ข่ายอาคมย่อยทั้ง 9 ก่อน ข่ายอาคมหลักถึงจะเริ่มต้นการทำงาน…และเมื่อนั้น ช่องทางที่จะนำพวกเจ้าไปสู่ภูมิภาคเบื้องบนถึงจะปรากฏ!”
อาวุโสหลิวหันไปมองตอบคำกู่ลี่เสียงเรียบ
ขณะเดียวกันอาวุโสหลิวก็ลงมืออีกครั้ง
ฟุ่บ!
ลำแสงพลังอันน่ากลัวพลันพุ่งยิงออกจากปลายนิ้วอาวุโสหลิว มองไปคล้ายดังอสรพิษสายฟ้า พุ่งลัดฟ้าไปในชั่วพริบตา!
‘เร็ว!’
ต้วนหลิงเทียนเพียงมองเห็นลำแสงพลังดังกล่าวได้รางๆเท่านั้น พริบตามันก็หายไปเสียแล้ว
ได้รับทราบถึงพลังอำนาจของอสรพิษสายฟ้าที่พุ่งไปฉับไวดังกล่าว ร่างจูลู่ฉีก็สะท้านไปทันที มันตระหนักได้ชัดว่าลำแสงพลังดัชนีนั่นควบแน่นไว้ด้วยพลังอันร้ายกาจปานใด…
หากดัชนีนั้นมิได้จี้ยิ่งไปยังช่องถ้ำอะไรนั่น…แต่พุ่งยิงมาที่มันล่ะก็…
ต่อให้มันจะบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุด ก็ต้องตาย!
‘ขอบเขตเซียนนภา! นี่คือพลังอำนาจของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภา!!’
จูลู่ฉีแม้จะตื่นตกใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็บังเกิดความตื่นเต้นทั้งแววตายังเผยความหลงไหลระคนวาดหวังไม่น้อย
เรื่องผู้สังเกตการณ์ที่เป็นดั่งผู้พิทักษ์ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภานั้น มันก็เคยได้ยินมาแล้ว
ตอนนี้มันยังไม่อาจเทียบกับอีกฝ่ายได้เลย
แต่ถึงแม้มันจะไม่คิดสูบกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากอิสตรี มันก็มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าด้วยเคล็ดมารกลืนหยินที่มันมี วันหน้ามันต้องไล่ตามผู้สังเกตการณ์ได้ทัน บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาได้แน่!
ต่างจากอาการทึ่งๆของต้วนหลิงเทียนกับจูลู่ฉี กู่ลี่กลับไม่เห็นอสรพิษสายฟ้าอะไรนั่น เพราะพลังฝึกปรือของมันต้อยต่ำเกินไป
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ได้ทึ่งและตกใจอะไรเหมือนต้วนหลิงเทียนและจูลู่ฉี
บึม!
ในสายตาของต้วนหลิงเทียนกับจูลู่ฉี ทันทีที่อสรพิษสายฟ้า พุ่งเข้ากึ่งกลางช่องที่คล้ายปากถ้ำได้ไม่ทันไร ก็คล้ายเกิดการระเบิดขึ้นจนปรากฏแสงสว่างสาดส่องออกมาสลายความมืดดำไปสิ้น
หลังจากนั้นภาพเดิมๆก็ฉายซ้ำ จนทุกช่องเริ่มปรากฏแสงสว่างเช่นนี้ไล่เรียงกันไปครบทั้ง 9 ช่อง!
เมื่อทั้ง 9 ช่องปรากฏแสงสว่างสาดส่องออกมา ก็มีมวลพลังขุมหนึ่งแผ่กำจายออกมาเช่นกัน ยังทำให้ต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และจูลู่ฉีรู้สึกอึดอัดกดดันไม่น้อย
“ไอพลังที่ร้ายกาจนัก! หินเซียนที่อยู่ในช่องพวกนั้นสมควรมีระดับเหนรือกว่าหินเซียนระดับ 3!”
ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ต่อให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็ได้ครอบครองแค่สายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3เท่านั้น
และสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 เป็นสายแร่หินเซียนที่ดีที่สุดของภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…
ผลผลิตที่ดีที่สุดเท่าที่สายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 จะผลิตได้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหินเซียนระดับ 3…แต่แน่นอนว่าผลผลิตที่ได้ยังถือว่าน้อยนิดนัก
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนและพวกทั้ง 3 ก็สัมผัสได้เพียงชั่วเวลาแค่พริบตา พลันปรากฏลำแสง 9 สายพุ่งยิงออกมาจาก ถ้ำทั้ง 9 ลำแสงแต่ละสายยังให้ความรู้สึกดุร้ายเหมือนม้าป่าคุ้มคลั่งตะบึงข้ามทุ่งหญ้า!
และลำแสงทั้ง 9 สายนั้น มี 7 สายที่เป็นสีรุ้งอันได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
ส่วนอีก 2 สีนั้นกลับเป็นสีดำ กับ ขาว
วู้มมม! ครืนนน!!
ภายใต้การจับจ้องมองด้วยความสนใจ ลำแสงทั้ง 9สายที่พุ่งยิงออกมา ก็มาบรรจบกัน ณ กึ่งกลาง!
ทันใดนั้นคล้ายลำแสงทั้ง 9 จะควบรวมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว!
สุดท้ายมวลพลังทั้ง 9 สายที่ถูกจ่ายออกมา ก็คล้ายจะถูกขุมพลัง 2 สายที่แข็งแกร่งที่สุดครอบงำ จนเหลือเพียง 2 สีสันที่ปรากฏให้เห็น กระทั่ง 2 สีสันดังกล่าวยังเริ่มก่อเกิดเป็นลวดลายหนึ่ง!
ไทจี๋!
ปลาหยินหยาง!
ตอนนี้เงาร่างปลาหยินหยางกำลังเวียนว่ายเป็นวงอยู่ในเงาร่างโปร่งแสงดั่งจานวงกลมที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ
และภาพปลาหยินหยางที่อยู่ในเงาร่างโปร่งแสงดั่งจานกลมสีขาวดำนั้น มันเป็นดั่ง ‘ก้น’ ของกระบอกแสงหนึ่ง!
“ทั้งหมดคือข่ายอาคมเคลื่อนย้ายสู่ภูมิภาคเบื้องบน…ตราบใดที่พวกเจ้าก้าวเข้าไป ก็จักถูกส่งตัวไปยังช่องทางที่เชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคเบื้องล่างและภูมิภาคเบื้องบน”
ตอนนี้เองเสียงของอาวุโสหลิวพลันดังขึ้น
“ช่องทางนี้กล่าวไปมิยาวมิสั้นหากแต่มีอันตรายแฝงอยู่ในนั้นมิใช่น้อย…และอันตรายที่ว่า เพียงทำร้ายได้แต่ผู้ฝึกตนที่ด่านพลังต่ำกว่าอริยะเซียนเท่านั้น…หากพลังฝึกปรือสูงกว่านั้นย่อมต้านทานได้มิยาก อีกทั้งผู้ที่มีพลังฝึกปรือสูงๆ ก็สามารถคุ้มครองผู้ติดตามด้วยพลังของตัวเองได้”
กล่าวถึงจุดนี้เสียงของอาวุโสหลิวก็หยุดลง
จังหวะนี้สองตาของต้วนหลิงเทียนก็จดจ่อไปยังข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค
เรื่องที่อาวุโสหลิวกล่าวว่ามีเพียงผู้ฝึกตนตั้งแต่ขอบเขตอริยะเซียนเป็นต้นไปถึงจะปลอดภัยนั้นไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆแปลกใจอะไร เพราะเคยได้ยินมาก่อนแล้ว
ตอนนี้ทุกคนเพียงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับข่ายอาคมเคลื่อนย้ายนี่มากกว่า
‘ในข่ายอาคมเคลื่อนย้ายนี่นอกจากพลังของอาคมเซียนจากการจารึก ยังมีพลังของยันต์เต๋าผสานอยู่ด้วย!’
ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากข่ายอาคมเคลื่อนย้ายอยู่บ้าง แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกจากข่ายอาคมนั่น
นอกจากนั้นพอเขาเปิดใช้ม่านตาพิสดาร เขาก็สามารถเห็นลวดลายจารึก กระทั่งบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในข่ายอาคมเคลื่อนย้ายได้ชัดถนัดตา…เป็นพลังจากยันต์เต๋า!
อาจกล่าวได้ว่าข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคนี้เกิดจากการผสานระหว่างพลังของอาคมเซียนที่เกิดจากปรมาจารย์จารึกเซียน และพลังที่เกิดจากปรมาจารย์ยันต์เต๋า
“อาวุโสหลิว”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็มองถามอาวุโสหลิวออกมาด้วยความสงสัย “เป็นใครที่สร้างข่ายอาคมเคลื่อนย้ายนี้ขึ้นมางั้นเหรอ…นอกจากนั้นขุมพลังที่ใช้ขับเคลื่อนข่ายอาคมนี้ที่แท้ใช้หินเซียนระดับไหนกันแน่?”
เรียกว่าใจต้วนหลิงเทียนสงสัยสิ่งใดก็กล่าวถามออกมาหมด!
เขาอยากรู้นักว่าใครกันแน่ที่สามารถสร้างข่ายอาคมระดับนี้ได้!
นอกจากนี้เขายังสงสัยเกี่ยวกับระดับหินเซียนรวมถึงปริมาณหินเซียนที่ต้องใช้ในการเปิดใช้ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายนี้ไม่น้อย!
เพราะจากคลื่นพลังที่แผ่ออก ทำให้เขาตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่พลังงานฟ้าดินที่สมควรมาจากหินเซียนระดับ 3 อะไรแน่!
เข้ากล้าพูดได้เลยว่าให้มีหินเซียนระดับ 3 หรือกึ่งระดับ 3 มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางมีพลังมากพอจะขับเคลื่อนข่ายอาคมเคลื่อนย้ายนี่ได้เลย!
“ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายนี้ ปรากฏขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาคใหม่ๆ…ยามนั้นเป็นผู้อาวุโสที่เร้นกายอยู่อย่างสันโดษกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏตัวออกมาสู่โลกหล้าอีกครั้งในรอบหลายร้อยปีและร่วมมือกันจัดตั้งข่ายอาคม ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำกลุ่มนั้น…ยังบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ส่วนคนอื่นก็บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเป็นอย่างต่ำ…ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มผู้อาวุโสดังกล่าวยังมีมากกว่าสิบคน”
กล่าวถึงจุดนี้ใบหน้าอาวุโสหลิวก็เผยความเคารพเลื่อมไสไม่น้อย
“เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนงั้นเหรอ?”
ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียน กู่ลี่หรือจูลู่ฉี พอได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…ตัวตนเช่นนี้คืออะไรเล่า?
นี่คือตัวตนที่สามารถเรียกได้ว่าห่างจากการขึ้นสู่ระนาบเทวโลก เพื่อไปโลดแล่นในแดนสวรรค์เพียงแค่ครึ่งก้าว!
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ก็ถูกขนานนามว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งสิ้น! นั่นหมายความว่าห่างจากขอบเขตเซีนอมตะเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น!!
กล่าวกันว่าทันทีที่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ชักนำหายนะจากสวรรค์ลงมา และก้าวข้ามภัยพิบัติอัสนีสวรรค์ไปได้สำเร็จ ก็จะสามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลกหลุดพ้นจากระนาบโลกียะกลายเป็นเซียนอมตะที่แท้จริงหาใช่ผู้คนอีกต่อไป…
เพียงได้ยินอาวุโสหลิวกล่าวถึงกลุ่มอาวุโสที่ร่วมมือกันสร้างข่ายอาคมเคลื่อนย้าย ต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 3 ก็ตระหนักได้ทันทีว่าโครงการนี้มันยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด..
เป็นเพราะความพยายามของชนรุ่นก่อน ชนรุ่นหลังถึงได้สะดวกสบายอย่างทุกวันนี้
รุ่นก่อนปลูกต้นไม้ รุ่นหลังได้อาศัยร่มเงาพักพิง…
บุญคุณใหญ่หลวงถึงเพียงไหนกัน!
เช่นนั้นพอได้ยินเรื่องราวของยอดฝีมือในอดีต ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกชื่นชมไม่น้อย
“สำหรับเรื่องหินเซียนที่ใช้ขับเคลื่อนข่ายอาคมนั้น ล้วนเป็นขุมพลังชั้น 1 ทั้งหมดในภูมิภาคเบื้องบนรับผิดชอบร่วมกัน ขุมพลังชั้น 1 ที่ข้าจากมาก็ไม่เว้น…และกว่า 9 ส่วนของหินเซียนที่ใช้ขับเคลื่อนค่ายกลก็เป็นหินเซียนระดับ 1! ส่วนอีกส่วนที่เหลือคือ หินเซียนระดับกึ่งสวรรค์!”
อาวุโสหลิวกล่าวสืบต่อ
“9 ส่วนเป็นหินเซียนระดับ 1? ส่วนอีกส่วนที่เหลือเป็นหินเซียนระดับกึ่งสวรรค์?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งช่างสิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือยนัก!
กู่ลี่กับจูลู่ฉีเองก็อ้าปากค้างไปแล้ว
“อาวุโสหลิว หินเซียนระดับกึ่งสวรรค์ที่ว่า มันมีคุณภาพยอดเยี่ยมยิ่งกว่าหินเซียนระดับ 1 อีกงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่แล้ว”
อาวุโสหลิวพยักหน้ารับ ก่อนที่จะกล่าวอธิบายเพิ่มเติม “หินเซียนระดับกึ่งสวรรค์นั้นโดยมากแล้วจักผลิตได้จากสายแร่หินเซียนระดับกึ่งสวรรค์…แน่นอนว่าสายแร่หินเซียนระดับ 1 ที่ขุมพลังชั้น 1 ครอบครองอยู่นานๆครั้งก็ได้รับผลผลิตเป็นหินเซียนระดับกึ่งสวรรค์อยู่บ้าง และโดยปกติขุมพลังชั้น 1 ก็มีสายแร่หินเซียนระดับ 1 ไว้ในครอบครองอย่างน้อย 2 สายแร่…”
“แล้วพวก 3 ลัทธินั่นเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา สองตาทอประกายเรืองวูบ!
ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น… 3 ลัทธิเป็นอะไรที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าขุมพลังชั้น 1! เรียกว่าพวกมันคือมหาอำนาจตัวจริง!!
“3 ลัทธิหรือ?”
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน แววตาของอาวุโสหลิวเผยร่องรอยแห่งโทสะออกมาทันที “ทั้ง 3ลัทธินั่น พวกมันล้วนแบ่งกันครอบครองสายแร่หินเซียนระดับกึ่งสวรรค์ที่มีแค่เพียง 3 แห่งโดยไม่คิดแบ่งปันกับผู้ใด! อีกทั้งพวกมันยังผูกขาดสายแร่หินเซียนระดับ 1 เอาไว้อีก 21 แห่ง!!”
“ทว่าพวกมันไม่เพียงแต่จักผูกขาดสายแร่หินเซียนมากมาย แต่พวกมันยังใช้ให้ขุมพลังชั้น 1 ทั้งหลายเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายหินเซียนประคองข่ายอาคมเคลื่อนย้ายแต่เพียงฝ่ายเดียว! โดยไม่คิดแบ่งปันหินเซียนใดๆมาสักก้อน!!”
กล่าวจบคำสีหน้าท่าทางของอาวุโสหลิวก็แลดูหัวร้อนเพราะโมโห!
นี่คือความในใจของมันในฐานะที่เป็นคนของขุมพลังชั้น 1!
และนี่คือโทสะอารมณ์ของผู้คนที่อยู่ในขุมพลังชั้น 1ทั้งมวล!!
การเอารัดเอาเปรียบของ 3 ลัทธิ ทำให้ขุมพลังชั้น 1ทุกขุมไร้คำจะกล่าวแล้วจริงๆ! อนิจจาพวกมันไหนเลยจะโวยวายแข็งขืนอันใดออกมาได้?
และในฐานะที่เป็นคนของขุมพลังชั้น 1 เช่นกัน อาวุโสหลิวย่อมกักเก็บความคับแค้นใจนี้มาโดยตลอด พอได้โอกาสย่อมระบายมันออกมาทั้งหมด!
ได้ยินคำกล่าวด้วยความโมโหของอาวุโสหลิว ต้วนหลิงเทียนถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม
กู่ลี่กับจูลู่ฉีก็ขมวดคิ้วหน้าตึงเช่นกัน
“มารดาของมัน! พวก 3 ลัทธินั่นมันจะทำเกินไปแล้ว! ผูกขาดสายแร่หินเซียนระดับกึ่งสวรรค์และสายแร่หินเซียนระดับ 1 ในมากมายยังไม่พอ กลับไม่คิดเจียดหินเซียนมาช่วยบำรุงค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคอันใดอีก! ไฉนพวกมันถึงได้ตระหนี่นักเล่า? หรือหินเซียนของพวกมันสามารถพกลงโลงไปรับประทานในโลกหน้าได้?!”
กู่ลี่สบถออกมาด้วยความขุ่นเคือง
แต่ต้วนหลิงเทียนกับจูลู่ฉียังคงนิ่งเงียบ
ถึงแม้ทั้งคู่เองจะคิดว่าทั้ง 3 ลัทธิจะเอารัดเอาเปรียบผู้คนเกินไป แต่ใครใช้ให้พวกมันแข็งแกร่งและมีพลังอำนาจเหนือขุมพลังชั้น 1 พวกนั้นเล่า?
ในโลกที่ยึดถือพลังเป็นที่สุด สำหรับคนอ่อนแอแล้วโลกนี้ย่อมโหดร้ายเป็นธรรมดา…
แต่ถ้าหากให้ขุมพลังชั้น 1 ขุมใด ไปอยู่ในจุดเดียวกันกับ 3 ลัทธิบ้าง…ต้วนหลิงเทียนก็เชื่อว่าพวกมันคงกระทำเหมือนกันกับทั้ง 3 ลัทธินั่นล่ะ…
ตอนที่ 1,886 : แรกเยือนภูมิภาคเบื้องบน
ไม่ว่าใจอาวุโสหลิวจะรู้สึกไม่ยินยอมทั้งแข็งข้อต่อต้าน 3 ลัทธิมากมายเพียงใด แต่ก็ทำได้มากสุดแค่ระบายเรื่องราวออกมาต่อหน้าพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เท่านั้น…
ถึงแม้ว่าการระบายออกมาแบบนี้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ใดๆได้เลย แต่อย่างน้อยๆใจมันก็รู้สึกโล่ง ลดทอนโทสะไปได้ส่วนหนึ่ง
เพราะมันได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา!
“ไปเถอะ…เมื่อพวกเจ้าขึ้นไปถึงภูมิภาคเบื้องบนแล้วก็จงระวังตัวให้มาก ภูมิภาคเบื้องบนนั้นโหดร้ายกว่าที่พวกเจ้าคิด! หากทำได้พวกเจ้ารีบหาขุมพลังดีๆในภูมิภาคเบื้องบนและเข้าร่วมกับพวกมันเสีย…อัตราการตายของผู้ฝึกตนพเนจรในภูมิภาคเบื้องบน สูงกว่าผู้ฝึกตนมีสังกัดมากมายนัก…”
อาวุโสหลิวปล่อยให้พวกต้วนหลิงเทียนเข้าสู่ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค พร้อมกล่าวเตือนออกมาจากใจ
ในอดีตกาลนานปี สมัยที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค และยังไม่มีคำภูมิภาคเบื้องบนเบื้องล่างอะไร
ในยุคสมัยนั้นความแข็งแกร่งโดยรวมของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านับว่าด้อยกว่าปัจจุบันมาก…
นั่นเพราะภูมิภาคเบื้องบนที่ปรากฏขึ้นในฐานะระนาบอิสระ ถึงแม้จะเป็นแค่ระนาบเทียม แต่มันก็เป็นพื้นที่ๆมีระดับสูงกว่าดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามาก
ทรัพยากรบ่มเพาะเอย สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะเอย ล้วนเป็นอะไรที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในอดีตกาลไม่อาจเทียบได้เลย
แต่ในเมื่อขึ้นชื่อว่าทรัพยากรเป็นธรรมดาที่มันจะมีจำกัด แน่นอนว่าชนชั้นสุดยอดฝีมือในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็จำต้องแก่งแย่งช่วงชิงกัน สุดท้ายก็เป็นมหาอำนาจอย่าง 3 ลัทธิและขุมพลังชั้น 1 ถึง 3 ที่ตั้งตัวเป็นจ้าวยึดครองดินแดนใหม่ที่ปรากฏขึ้น…
ด้วยเหตุนี้ในที่สุดจึงเกิดการแบ่งแยกเป็นภูมิภาคเบื้องบน ภูมิภาคเบื้องล่างขึ้นมา
บิดาของต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิง แม้จะเป็นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม และมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุด กระทั่งยามเอาจริงยังสามารถสู้ทัดเทียมกับเซียนนภาขั้นต้นได้ไม่เสียเปรียบ…นอกจากนั้นยังได้รับการขนานนามว่า 1 ใน 2 สุดยอดฝีมือ! ฟังแล้วดูร้ายกาจใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตามพลังฝีมือดังกล่าวหากอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน…ยังไม่อาจเทียบได้กับผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในโผยอดฝีมือแม้แต่น้อย! เรียกว่าไม่มีทางเบียดเข้าไปอยู่ในรายนามยอดฝีมือได้เลย!!
ในภูมิภาคเบื้องบนนั้น ไม่ว่าจะผู้ฝึกยุทธ์ผู้ฝึกเต๋าหรือผู้ฝึกมาร ชนชั้นยอดฝีมือที่แท้จริงล้วนมีชื่ออยูในรายนามสุดยอดเซียน ทั้งสิ้น…
รายนาม ‘ยอดเซียน’ นั้น เป็นรายนามการจัดอันดับของผู้ฝึกตนที่มีมาเนิ่นนานแล้ว ยังมีมาก่อนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาคเสียอีก
อาจารย์ของต้วนหลิงเทียนที่ถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 1 หมอกพิรุณ ฟงชิงหยางนั้น ก็คือผู้ที่กาลครั้งหนึ่งเคยเป็นอันดับ 1 ในรายนามยอดเซียน!
ผู้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเซียนอันดับ 1 นั้น เรียกว่าได้รับเกียรติยศสูงสุดแห่งโลกใบนี้แล้ว เพราะนี่คือเครื่องหมายบ่งบอกว่า ในแดนดินนี้ไร้ผู้ใดต้านทานท่านได้อีก เป็น 1 ในใต้หล้าอย่างแท้จริง!
เนื่องจากภายหลังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งออกเป็นสอง รายนามยอดเซียนจึงไม่ค่อยคุ้นกันในภูมิภาคเบื้องล่าง จะคุ้นเคยกันดีก็แต่ในภูมิภาคเบื้องบน…
เพราะในภูมิภาคเบื้องล่างนั้น ต่อให้เป็นสุดยอดฝีมืออย่าง ต้วนหรูเฟิง และ ตู้กู ก็ไม่อาจแม้แต่จะเบียดเข้าสู่อันดับสุดท้ายในรายนามยอดเซียนได้…
ในวันนั้นชายวัยกลางคนที่บุกมายังตำหนักเมฆาคราม และใช้กำลังช่วงชิงตราผนึกมารไปจากต้วนหลิงเทียน ที่เป็นถึงอาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ แต่หากไม่สนฐานะเพียงมองที่พลังฝีมืออย่างเดียว เกรงว่าเซี่ยจงคนนี้คงยากที่จะมีชื่อติดโผแม้จะเป็น 500 อันดับแรกในรายนามยอดเซียนก็ตาม…
เพียงเท่านี้ก็บอกได้ชัดเจน ว่าภูมิภาคเบื้องบนนั้น ที่แท้มีเสือซุ่มมังกรซ่อนอยู่มากมายเท่าใด
เซี่ยจงจะอย่างไรมันก็เป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ!
อนิจจากระทั่ง 500 อันดับแรกในรายนามยอดเซียนยังไม่มีปัญญาจะติด!
ภูมิภาคเบื้องบน เมื่อมียอดฝีมือน่ากลัวรวมตัวกันอยู่ ความอันตรายแน่นอนว่าย่อมเพิ่มพูนไปตามกัน
“ต้องขอบคุณอาวุโสหลิว สำหรับคำเตือนแล้ว”
สถานการณ์ในภูมิภาคเบื้องบนเป็นอย่างไร ต้วนหลิงเทียนกู่ลี่และจูลู่ฉีแน่นอนว่าย่อมไม่อาจกระจ่างไปกว่าอาวุโสหลิวได้ พอได้อีกฝ่ายกำชับตักเตือนด้วยความห่วงใยจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ
“ไปเถอะ”
อาวุโสหลิวหันหน้าไปมองข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาควูบหนึ่ง ค่อยหันกลับมากล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกครั้งที่ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายเปิดใช้งาน มันจะคงสภาพอยู่ได้ราวๆ 1 เค่อเท่านั้น…”
พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 พอได้ฟังก็พยักหน้ารับทราบทันที ต่างเหินร่างไปยังข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคอย่างพร้อมเพรียง
ทันทีที่เข้าไปในข่ายอาคมเคลื่อนย้าย ผ่านทางสัญญลักษณ์หยินหยางนั่น…ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังไร้สภาพอันอ่อนโยนขุมหนึ่งฉาบคลุมไปทั่วร่าง
และทันทีที่พลังดังกล่าวฉาบคลุมทั่วร่างเขาจนมิด ภาพเรื่องราวเบื้องหน้าของเขาก็มืดดับไปทันที
เมื่อเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองได้อยู่ในช่องทางประหลาดที่คล้ายจะเป็นม่านพลังโปร่งแสงอะไรทำนองนั้นช่องทางหนึ่ง…
อีกทั้งช่องทางนี้ยังทอดยาวออกไปไกลสุดสายตา ยากจะแลเห็นว่าปลายทางไปจบลงแห่งหนใด
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
…
ทันใดนั้นหูต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงหวีดหวิวดังขึ้น
พอหันไปมองตามเสียงเขาก็พบว่ามีมวลพลังคล้ายอสรพิษสายฟ้ากำลังเคลื่อนไหวไปรอบๆม่านพลังโปร่งแสงที่ก่อตัวเป็นช่องทางเดินนี่ และบางครั้งอสรพิษสายฟ้าดังกล่าวก็พุ่งทะลวงผ่านเข้ามาในช่องทางได้!
แน่นอนว่าอสรพิษสายฟ้าดังกล่าว แม้จะผ่านเข้ามาได้แต่พลังอำนาจของมันก็ลดทอนลงไปอย่างเห็นได้ชัด หาได้ร้ายกาจเหมือนตอนที่ฟาดงวงฟาดงาอยู่นอกช่องทางไม่!
ถึงกระนั้น หากต้องรับมือกับอสรพิษสายฟ้าที่ว่า ถ้ายังไม่ใช่ชนชั้นอริยะเซียนล่ะก็ เห็นทีว่าคงได้ชะตาขาดแน่แล้ว…
มีเพียงตัวตนที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่ขอบเขตอริยะเซียนขึ้นไปแล้วเท่านั้นที่สามารถต้านทานรับมือมันได้ กระทั่งทำลายมันทิ้งได้อย่างง่ายดาย
‘นี่คือ คลื่นพลังผันผวนของห้วงมิติ ที่จะเกิดขึ้นในขณะเดินทางไปมาระหว่างการเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคงั้นหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนที่สะบัดมือสลายคลื่นพลังผันผวน ที่มีรูปลักษณ์คล้ายอสรพิษสายฟ้าได้อย่างไม่ยากเย็น ครุ่นคิดอยู่ในใจด้วยความสนใจ
เหตุผลที่เขาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะผู้เฒ่าหั่วได้กล่าวเตือนเขามาก่อนหน้านี้ ว่าการเดินทางแบบนี้ จะพบเจอคลื่นพลังผันผวนของพื้นที่และห้วงมิติอะไรได้ง่ายๆ…
จากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกเอาไว้ ความผันผวนของพลังในการเดินทางข้ามพื้นที่ระดับต่ำๆของระนาบโลกียะจะไม่ได้ร้ายกาจและรุนแรงอะไร เพียงผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกปรือสูงเข้าหน่อยก็จัดการได้อย่างง่ายดาย
กระทั่งหากใช้การจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่อะไรแบบนี้ ก็สามารถสร้างสิ่งป้องกันเพื่อลดทอนพลังของมันได้หลายส่วน…
เช่นเดียวกับสถานที่ๆต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ในตอนนี้ มันคือช่องทางเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคเบื้องล่างกับภูมิภาคเบื้องบน
ช่องทางที่ว่ามันเกิดจากม่านพลังโปร่งแสงอันก่อตัวขึ้นจากค่ายกล มีหน้าที่คอยกำบังทั้งลดทอนคลื่นพลังผันผวนเชิงพื้นที่ทั้งหลาย…
ถึงแม้จะมีคลื่นพลังเล็ดรอดฝ่าเข้ามาได้ แต่มันก็อ่อนแรงลงจนอาศัยเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนก็จัดการได้ไม่ยากเย็น
แม้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะยังพึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุด แต่อย่างไรเสียด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดพลังงานในร่างของเขาก็เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดแม้แต่น้อย…
ด้วยเหตุนี้การเดินทางข้ามภูมิภาค ก็ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับเดินชมสวนหลังบ้าน…
กู่ลี่เองก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว มันเองก็เดินอย่างผ่อนคลายอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนนี่เอง
จูลู่ฉีที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่ายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
เท้าของมันย่ำเหยียบไปถึงด่านพลังเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญแล้วกว่าครึ่ง เช่นนั้นคลื่นพลังผันผวนเชิงพื้นที่อะไรนี่ กระทั่งเกาแก้คันให้มันยังทำไม่ได้…
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกู่ลี่กับจูลู่ฉี ทั้งคู่ก็กำลังหันมองมาที่เขาเช่นกัน เพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งต่างก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาจะสื่ออะไร ทั้งหมดพุ่งร่างออกไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะใช้ได้ทันที
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด…
วูบหนึ่งก็ให้ความรู้สึกพึ่งผ่านไปเดี๋ยวใจ อีกวูบหนึ่งก็ราวกับเนิ่นนานเป็นศตวรรษ
ในขณะที่พุ่งร่างไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ถึงจุดหนึ่งต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ว่า ร่างเขาถูกพลังไร้สภาพอันอ่อนโยนขุมหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้อีกครั้ง…
เหมือนเคย ทันทีที่คลื่นพลังไร้สภาพห่อหุ้มปกคลุมไปทั่วร่าง ภาพเบื้องหน้าก็มืดดับไปทันที
เมื่อสองตาแลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็รีบสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวังทันที จนพบว่าบัดนี้เขามาอยู่ใน ‘สวนสมุนไพร’ ที่ไหนสักแห่ง…
เหตุผลที่เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าสมควรมาโผล่ในสวนสมุนไพรนั้น เพราะกลิ่นของสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่ามันพุ่งตีจมูกเขาทันทีที่สูดหายใจ
และเมื่อเขาลองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีสมุนไพรมากมายร้อยแปดพันเก้าปลูกเรียงรายเป็นระเบียบ! จัดแยกพื้นที่ตามชนิดประเภทสมุนไพรได้อย่างเป็นระบบ!!
ตุบ! ตุบ!
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างตื่นตาตื่นใจเขาก็ได้ยินเสียงสองเสียงดังขึ้นข้างกาย เป็นกู่ลี่กับจูลู่ฉีที่พุ่งทะลุความว่างเปล่าออกมา
และเมื่อทั้งคู่ค้นพบว่าตัวเองอยู่ในสวนสมุนไพร ก็ถึงกับตกตะลึงไม่น้อย
“สวรรค์…สมุนไพรวิญญาณล้ำค่าทั้งนั้น! ภูมิภาคเบื้องบนช่างน่าทึ่งนัก!!”
จูลู่ฉีเองก็ถึงกับทำตาลุกวาวด้วยความตื่นตระหนก
ในภูมิภาคเบื้องล่างนั้น คิดจะเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณอะไร สิ่งที่จำเป็นก็คือสภาพแวดล้อมที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์ รวมถึงดินเองก็ต้องมีความเหมาะสม!
และดินที่ว่าในภูมิภาคเบื้องล่างก็ขายกันราคาแพงลิบลิ่ว!!
เช่นนั้นการที่ได้โผล่มาเห็นสมุนไพรวิญญาณล้ำค่า ที่แผ่กลิ่นอายพลังสมุนไพรเข้มข้นแบบนี้ ทั้งมีปริมาณมหาศาลแบบนี้ จูลู่ฉีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนฝันไป!
ส่วนดินที่ย่ำเหยียบอันเป็นรากฐานของสมุนไพรเหล่านี้ จูลู่ฉีก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นดินที่มีคุณภาพสูงล้ำมาก มีค่ามีราคามหาศาลนัก!
“ดะ…ดินวิญญาณล้ำค่ามากมายนัก! สมุนไพรวิญญาณล้ำค่ายังมากมายเช่นนี้! รวย! รวยแล้ว! พวกเราร่ำรวยแล้ว!!”
พอกู่ลี่ฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงมันก็ร่ำร้องออกมาอย่างยินดี สองตาถึงกับลุกวาวสว่างจ้า ในลูกตาคล้ายจะมีอักษรเงินส่องแสงวิบวับ มันมองสมุนไพรทั้งดินโดยรอบอย่างคันไม้คันมือ
ทว่าสีหน้าของต้วนหลิงเทียนกับจูลู่ฉีกลับไม่ได้เผยความยินดีแต่อย่างไร กระทั่งยังขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความตึงเครียด หันมามองสบตากันและเห็นความกังวลในแววตาอีกฝ่ายชัดเจน
“พี่กู่…สมุนไพรวิญญาณทั้งดินวิญญาณที่ล้ำค่าขนาดนี้สมควรมีเจ้าของ…หาไม่แล้วพวกสมุนไพรคงไม่ขึ้นเรียงรายเป็นระเบียบแบบนี้! นอกจากนี้ตัวตนที่สามารถเป็นเจ้าของสวนสมุนไพรวิญญาณล้ำค่าขนาดนี้ได้ในภูมิภาคเบื้องบน น่ากลัวว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา!”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ค่อยกล่าวเตือนกู่ลี่ออกมาได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะขุดสมุนไพรของผู้อื่นเขา…
กู่ลี่พอได้ยิน ก็จำต้องสำรวจสมุนไพรรอบๆอีกครั้ง
ไม่นานมันก็พบว่าสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ถูกปลูกเรียงรายกันเป็นระเบียบ แบ่งแยกลักษณะชัดเจนไม่ใช่การขึ้นตามธรรมชาติแน่นอน
ทันใดนั้นหน้ากู่ลี่ก็เปลี่ยนสีทันที “สมควรเป็นสวนของผู้คนจริงๆ…บัดซบ! นี่พวกเราเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคมาโผล่ที่ใดกัน!?”
ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคนั้น เบื้องล่างได้ถูกกำหนดสถานที่เข้าออกตายตัว และมีเพียงจุดเดียว
ส่วนด้านบนนั้นกลับเป็นการโผล่ออกแบบสุ่ม…
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าหากขึ้นมาแล้วจะปรากฏตัวที่ใด!
อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนอยู่ นั่นคือการขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบน ผู้คนที่เดินทางพร้อมกันจะถูกส่งไปยังสถานที่เดียวกันเสมอ
อย่างเช่นต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และจูลู่ฉีในตอนนี้
“พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ต้วนหลิงเทียนลอยร่างขึ้นไปในอากาศทันที ก่อนที่จะชวนกู่ลี่กับจูลู่ฉีให้รีบออกไปจากที่นี่
เขากลัวว่าหากเจ้าของสวนสมุนไพรมาพบพวกเขาทั้ง 3 คงได้เกิดเรื่องเข้าใจผิดอะไรทำนองนั้นแน่
และไม่ว่าเจ้าของสวนสมุนไพรแห่งนี้จะเป็นใครหรือสังกัดขุมพลังใดๆ แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับพวกเขาในตอนนี้แน่นอน!
พอได้ยินเสียงกล่าวชวนของต้วนหลิงเทียน กูลี่พลันระหนักได้ทันที ว่าการอยู่ในสวนสมุนไพรแห่งนี้ แทบไม่ต่างใดจากเหยียบย่ำอยู่บนระเบิดเวลา เช่นนั้นกู่ลี่กับจูลู่ฉีย่อมไม่คิดรั้งอยู่ต่อไป
และในขณะที่พลังทั่วร่างต้วนหลิงเทียนถูกโคจรเร่งเร้าขึ้นเตรียมออกเดินทางนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น!
“ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าได้คิดจากไป”
เสียงที่ดังขึ้นในความว่างเปล่านั้นฟังดูเป็นเสียงชายชราคนหนึ่ง น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยพลังอำนาจทั้งเผด็จการ!
พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังไร้สภาพมหาศาลขุมหนึ่งที่หนักอึ้งปานขุนเขาถล่มลงมาจากเบื้องบน
ปงงง!!
เมื่อมวลพลังมหาศาลกระแทกลงมา ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าปรานสุริยันแรกกำเนิดที่เขาเร่งเร้าขึ้นมาต้านทานกลับถูกทำลายลงอย่างไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน สุดท้ายมวพลังดังกล่าวจึงซัดร่างเขาจนร่วงตกลงไปยังสวนสมุนไพรด้วยสภาพไม่สู้ดี!
นอกจากเขาที่ถูกซัดร่วงฟ้า กู่ลี่เองก็โดนดีเช่นกัน กระทั่งจูลู่ฉีก็ประชบชะตาอนาถไม่ต่าง!
ถูกสยบสิ้นทั้ง 3 ในชั่วพริบตา!
ตอนที่ 1,887 : คนงานในสวนสมุนไพร?
เมื่อถูกซัดจนร่วงตกฟ้าด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจต้านทานได้แบบนี้ ทั้งกู่ลี่กับจูลู่ฉีเองก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที!
เจ้าของเสียงแม้ไม่ปรากฏตัวก็แผ่พุ่งพลังสยบผ่านอากาศ กำราบพวกมันได้แล้ว?
การลงมือสยบพวกมันด้วยวิธีการเช่นนี้ เกรงว่ากระทั่งให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดก็ไม่น่าจะกระทำได้!
เช่นนั้นเก้าในสิบส่วน…ผู้ลงมือสมควรเป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์!
พอตระหนักว่าพึ่งมาถึงภูมิภาคเบื้องบนได้ไม่ทันไร ก็กลายเป็นล่วงเกินยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ด้วยการล่วงล้ำดินแดนของผู้อื่นแบบนี้ ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีดลงทันที…
“ผู้อาวุโส พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินท่าน…ทั้งยังไม่มีเจตนาจะบุกรุกเข้ามาในสวนสมุนไพรของท่านแบบนี้!”
สูดอากาศเข้าเฮือกใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็ระงับเลือดลมในกายที่ปั่นป่วนให้สงบลงได้ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ “พวกเราพึ่งขึ้นมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง…พอออกมาจากข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคพวกเราก็มาโผล่ที่นี่แล้ว…และข้ายังสามารถรับประกันต่อท่านได้เลย ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่พวกเรายังไม่ได้แตะต้องแม้แต่หญ้าสักต้นของท่าน!”
ได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่พลันเร่งกล่าวเสริมออกมา “ถูกแล้วท่านผู้อาวุโส หลังจากพวกเราพบว่าสถานที่แห่งนี้สมควรเป็นสวนสมุนไพรที่มีเจ้าของ พวกเราก็คิดจากไปทันที เพราะพวกเราไม่คิดสร้างปัญหาอันใดให้ท่าน เช่นนั้นหวังว่าท่านผู้อาวุโสจักเข้าใจว่าพวกเรามิได้เจตนาบุกรุก โปรดเมตตาปล่อยพวกเราจากไปสักครั้งเถอะ”
ถึงแม้จูลู่ฉีจะไม่ได้กล่าวคำใด แต่ในใจก็กระตือรือร้นรอฟังคำตอบไม่น้อย
ไม่ใช่ว่ามันไม่อยากพูด แต่สิ่งที่มันจะพูดต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่พูดออกไปหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปพักหนึ่งกลับไร้เสียงตอบกลับอะไร…
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่และจูลู่ฉีได้แต่หันมองหน้าสบตากัน ยังเห็นแววตาขื่นขมจนปัญญาของอีกฝ่ายชัดเจน
ยอดฝีมือผู้นี้แม้จะยังไม่ทันปรากฏตัวออกมา ก็สามารถทำให้ทุกคนตกอยู่ในสภาพอนาถแบบนี้ได้แล้ว มากพอจะบอกให้รู้ว่านี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ
‘ยอดฝีมือระดับนี้ เกรงว่าต่อให้ข้าใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด ก็ไม่น่าจะทำอะไรมันได้…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ที่แท้พวกเจ้ามาจากภูมิภาคเบื้องล่างเช่นนั้นรึ?”
เสียงชราดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเชิงถามไถ่
“ถูกแล้วท่านผู้อาวุโส! พวกเรามาจากภูมิภาคเบื้องล่างจริงๆ ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคสุ่มส่งพวกเราให้ปรากฏตัวที่นี่…พวกเราถึงได้มาปรากฏตัวในสวนสมุนไพรของท่านได้อย่างไรเล่า! หาไม่แล้วด้วยพลังฝีมือเลิศล้ำของท่าน ไหนเลยจะไม่รู้ว่าพวกเราบุกรุกเข้ามา?”
กู่ลี่กล่าวตอบออกไปทันที ในวาจายังแฝงความยกยอไว้หลายส่วน
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ตั้งใจจะบุกรุกสวนสมุนไพรของข้า เช่นนั้นข้าก็จะเมตตาไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง”
เสียงชราดังขึ้นอีกครั้ง และรอบนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับอีก 2 คนลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกในใจทันที
เพราะด้วยพลังฝีมือของอีกฝ่าย เกรงว่าหากต้องการคงฆ่าพวกเขาได้ง่ายดายเหมือนตัดหญ้าฆ่าไก่!
“เช่นนั้น…ท่านผู้อาวุโสพวกเราขอตัวลา”
ต้วนหลิงเทียนและอีก 2 คนเหินร่างขึ้นฟ้าอีกครั้ง กู่ลี่ยังประสานมือไว้ที่อกเพื่อคารวะ และไม่รอให้ยอดฝีมือตอบคำอะไรกู่ลี่ก็เหินร่างจากไปก่อนใครทันที
ปงงง!!
อย่างไรก็ตามเมื่อกู่ลี่พุ่งออกไปได้ไม่ทันไรมันก็ถูกพลังมหาศาลที่ไม่ทราบผุดโผล่มาจากที่ใดซัดจนร่วงตกฟ้าอีกครั้ง ทำให้มันรู้สึกมีโมโหขึ้นมาไม่น้อย “ท่านผู้อาวุโส! มิใช่ท่านกล่าวแล้วหรือว่าท่านเมตตาไว้ชีวิตพวกเรา…ด้วยพลังฝีมือสูงส่งของท่าน คงไม่คิดล้อพวกเราเล่นหรอกนะ?”
วาจาท้ายประโยคของกู่ลี่เผยน้ำเสียงไม่ยินยอมพร้อมใจเล็กน้อย
ต้วนหลิงเทียนกับจูลู่ฉีเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว การลงมือครั้งนี้ของยอดฝีมือที่ยังไม่เผยตัวออกมาทำให้พวกเขาเป็นกังวลแล้วจริงๆ…
และหากอีกฝ่ายกลับคำจริง เช่นนั้นพวกเขาก็ไร้หนทางรอดแล้ว!
เพราะสุดท้ายต่อให้พวกเขาทั้ง 3 ผนึกกำลังกัน ก็ไม่พอเติมเต็มซอกฟันอีกฝ่ายด้วยซ้ำ…
“ข้ากล่าวไปแล้วว่าไม่คิดเอาชีวิตพวกเจ้า แน่นอนว่าข้าก็ไม่คิดเอาชีวิตของพวกเจ้า…อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกเจ้าถูกสุ่มส่งมาที่นี่ด้วยข่ายอาคมเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค เช่นนั้นก็มากพอจะเผยให้เห็นว่าพวกเจ้ามีวาสนาต้องกันกับข้า! พอดีคนงานของข้าก็ดันมาตกตายหมดสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เช่นนั้นพวกเจ้าก็อยู่ช่วยข้าดูแลสวนสมุนไพรสักพักค่อยจากไปเถอะ…”
เสียงชราดังขึ้นอีกครั้ง และเสียงกล่าวรอบนี้ยังทำให้สีหน้าทุกคนเหยเกไปทันที
เพราะฟังจากวาจาของอีกฝ่าย ใช่พวกเขาต้องกลายเป็นคนงานที่ส่วนสมุนไพรแห่งนี้ใช่หรือไม่?
นอกจากนั้นคนงานเก่าก็พึงตกตายไปไม่กี่วัน? ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องกลายเป็นคนสวนเฉพาะกิจหรือไร? ให้ทำอะไรเล่า…รดน้ำต้นไม้กับถอนวัชพืชหรือ?
“อันใด ไม่เต็มใจทำงานให้ข้ารึ? เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทาง!!”
เสียงชราก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงยังเยียบเย็นนัก
“พวกเจ้านับว่าโง่งมมิรู้ว่าอะไรดีต่อตัวแล้วจริงๆ! พวกเจ้าพึ่งมาภูมิภาคเบื้องบนครั้งแรก…หากออกไปเดินเพ่นพ่านโดยไม่รู้ประสา สักวันก็มิพ้นถูกผู้อื่นฆ่าตาย…อยู่ทำงานในสวนสมุนไพรของข้าไม่เพียงแต่พวกเจ้าจักปลอดภัย กระทั่งสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะยังเลิศล้ำกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ! มีผู้คนปรารถนาเข้ามาฝึกฝนบ่มเพาะในที่แห่งนี้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ข้าล้วนปฏิเสธไปทั้งสิ้น!”
ทันใดนั้นเสียงชราพลันดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่น้ำเสียงกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่มีอะไรมากไปกว่าคิดตบหัวแล้วลูบหลัง!
ได้ฟังประโยคก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นชักสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกเพราะต้องถูกใช้ให้มาเป็นคนสวน ไร้อิสระภาพ…
แต่พอได้ยินวาจาประโยคนี้ ทุกคนจึงค่อยสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบให้ละเอียด ยังแผ่สำนึกเทวะออกไปนอกสวนสมุนไพร
ครู่ต่อมาทุกคนจึงตระหนักได้ว่า พลังวิญญาณฟ้าดินในสวนสมุนไพรแห่งนี้นับว่าหนาแน่นบริบูรณ์มากกว่าที่อื่นมากมายหลายเท่านัก!
ทั้งหมดเป็นเพราะทุกคนยังไม่เคยไปที่ไหนในภูมิภาคเบื้องบนนอกจากสวนสมุนไพรแห่งนี้ จึงพาลคิดว่าภูมิภาคเบื้องบนล้วนมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นขนาดนี้ทุกที่!
‘หืม?’
ต้วนหลิงเทียนที่ลองสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบยังค้นพบได้ในเวลาอันสั้นเช่นกัน ว่าไม่เพียงในสวนสมุนไพรแห่งนี้จะมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นกว่าที่อื่น แต่ยังมีสิ่งที่พิเศษกว่านั้น…
นั่นคือสมุนไพรวิญญาณล้ำค่าทั้งหลายในสวน ยังแผ่พลังวิญญาณส่วนเกินออกมาไม่หยุด และพลังวิญญาณส่วนเกินดังกล่าวก็รวมผสานกลมกลืนไปกับพลังวิญญาณฟ้าดิน! ทำให้คุณภาพและปริมาณของพลังวิญญาณฟ้าดินบริบูรณ์พร้อมพรั่งมากยิ่งขึ้น แถมยังมีคุณสมบัติหนุนเสริมร่างกายอีกเล็กน้อย!!
‘ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้โกหกพวกเรา…สถานที่แห่งนี้เป็นดั่งสวรรค์ของผู้บ่มเพาะจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
แต่ถึงแม้จะรู้แบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะรั้งอยู่เป็นคนสวนที่นี่อยู่ดี เพราะเขาไม่มีเวลาให้มาเสียกับเรื่องราวไม่เป็นเรื่องแบบนี้!
เหตุผลที่เขาออกจากภูมิภาคเบื้องล่างมายังภูมิภาคเบื้องบน ทั้งหมดเพราะเค่อเอ๋อกับลูกถูกจับไปยังลัทธิบูชาไฟ!
สิ่งที่เขาต้องการทำก็คือการไปช่วยเค่อเอ๋อกับลูกสาวที่ลัทธิบูชาไฟ!
เขารู้ดีว่าด้วยพลังฝีมือของเขาตอนนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกไปช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกที่ลัทธิบูชาไฟด้วยกำลัง แต่เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะแทรกซึมเข้าไปในลัทธิบูชาไฟและเก็บรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นก่อน แล้วค่อยพิจารณาหาทางทีหลัง
อย่างไรก็ตามหากเขาต้องมาถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในสวนสมุนไพรแห่งนี้ หมายความว่าเขาคงไม่อาจไปยังลัทธิบูชาไฟได้เร็วๆนี้ กระทั่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้ไปยังลัทธิบูชาไฟตลอดกาล…
เพราะสุดท้ายแล้วยอดฝีมือชราก็กล่าวบอกว่า คนสวนของมันพึ่งตายหมดสิ้น…
คนสวนหนึ่งคนตกตายนั้นอาจเป็นเพราะปัญหาส่วนตัวหรืออะไรได้
แต่การที่กล่าวว่าคนสวนของมันตกตายกันหมดสิ้นแบบนั้น! เห็นชัดว่าสถานที่แห่งนี้ต้องมีปัญหา หรือตัวยอดฝีมือชรานั่นล่ะที่เป็นปัญหาเสียเอง!!
“ผู้อาวุโส!” สูดอากาศเข้าปอดคำใหญ่คำหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวกับความว่างเปล่า “ข้าน้อยมายังภูมิภาคเบื้องบนเพราะมีธุระสำคัญต้องไปกระทำ…หากผู้อาวุโสยินดีให้พวกเราออกจากที่นี่ ข้าน้อยต้วนหลิงเทียนจะจดจำความเมตตาครั้งนี้ของอาวุโสไว้ไม่มีวันลืม สักวันจักตอบแทนท่านอย่างเหมาะสม!”
“ข้าน้อยเองก็จะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ของอาวุโสเช่นกัน”
กู่ลี่กับจูลู่ฉีเองก็กล่าวออกมาด้วย ถึงแม้พวกมันจะไม่มีธุระด่วนอันใดในภูมิภาคเบื้องบน แต่พวกมันก็ตระหนักได้ว่าทำงานที่นี่ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องดีอันใด…!
หากเป็นไปได้พวกมันก็คิดจะจากไปให้เร็วที่สุด!!
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุผลกลใด แต่ทุกคนรู้สึกว่าสวนสมุนไพรแห่งนี้สมควรมีปัญหา! และเจ้าของสวนเองก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เจ้าของสวนสมุนไพรกล่าวบอกว่าคนสวนพึ่งตกตายหมดสิ้นไปไม่กี่วันก่อน ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหวั่นหวาด ด้วยกลัวว่าจะประสบชะตากรรมตายตกเช่นกัน…
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่…แต่คนสวนของข้าก่อนหน้านั้น ทุกคนไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตอริยะเซียน! เช่นนั้นหลังพวกมันทำงานที่สวนไปได้พักหนึ่ง จึงไม่อาจทานรับพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นและมหาศาลได้ไหวอีกต่อไป สุดท้ายร่างกายจึงไม่อาจทานทนจำต้องระเบิดออก…อย่างไรก็ตามพวกมันก็ทำงานได้ 10 กว่าปีก่อนที่จะตายตก!”
เจ้าของสวนสมุนไพรยังไม่ปรากฏตัว แต่เสียงของมันก็ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนและทุกคนชัดเจนดี “แต่สำหรับพวกเจ้าที่พลังฝึกปรือสูงกว่าพวกมัน สถานที่แห่งนี้ย่อมดีมากกว่าร้าย…เช่นนั้นพวกเจ้าก็อยู่ทำงานและบ่มเพาะพลังที่นี่สัก 10 ปีเถอะ! ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าสมควรไม่มีปัญหาอันใด…หลังผ่านไป 10 ปีแล้วข้าค่อยปล่อยให้พวกเจ้าจากไป!”
“เอาล่ะ พวกเจ้าตัดสินใจเองเถอะ! แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน หากพวกเจ้ากล้าก้าวเท้าออกไปจากสวนสมุนไพรนี่ก่อนครบกำหนด 10 ปี…ก็อย่าได้โทษข้าว่าไร้เมตตา!!”
เสียงชราดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเงียบไป
และไม่ว่ากู่ลี่จะตะโกนเรียกหาเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบอะไรกลับมา ราวกับจากไปแล้ว…
“น้องหลิงเทียน คราวนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”
สุดท้ายกู่ลี่ก็ได้แต่มองถามต้วนหลิงเทียนอย่างอับจน
“จะทำอะไรได้อีกเล่า…ในเมื่ออีกฝ่ายพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราก็จำต้องเชื่อฟังแล้วอยู่ที่นี่กันไปก่อน…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่เผยยิ้มออกมาอย่างขื่นขม
ในบรรดา 3 คนที่อยู่ตรงนี้ เขาเป็นคนที่ร้อนใจจะออกจากที่แห่งนี้มากที่สุด เพราะเขาร้อนใจอยากรุดไปช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกจากเงื้อมมือลัทธิบูชาไฟให้ได้โดยเร็ว!
ใครจะไปรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ จ้าวลัทธิบูชาไฟจะออกจากการกักตัวฝึกตน?
เมื่อถึงเวลาที่จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่าน นั่นหมายความว่าถึงเวลาตัดสินชะตาของเค่อเอ๋อแม่ลูก…
พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เป็นกังวลนัก
อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ต่อให้เขาเป็นกังวลร้อนรนไปแล้วมันจะเกิดประโยชน์อันใด?
พลังฝีมือของเจ้าของสวนสมุนไพรไม่ใช่อะไรที่เขาจะต่อกรด้วยได้!
ต่อหน้าตัวตนระดับนี้ ไม่มีทางที่เขาจะหลบหนีด้วยการใช้กำลังบุกฝ่าได้เลย…
เช่นนั้นทำได้แค่ตามน้ำไปก่อน แล้วค่อยมองหาโอกาสหลบหนี…
“เช่นนั้นพวกเราก็อยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ ผู้ใดจะไปรู้บางทีพวกเราอาจพบวิธีหลบหนีหลังอยู่ไปสักวันสองวันก็เป็นได้”
เสียงจูลู่ฉีพลันดังขึ้นให้ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ได้ยินพอดี ทั้งคู่จึงพยักหน้าเห็นด้วย
ตอนนี้เห็นที่แต่จะทำได้แค่นี้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนและอีกสองคนจึงต้องพักอาศัยกันในสวนสมุนไพรวิญญาณแห่งนี้อย่างช่วยไม่ได้
ตอนแรกทุกคนยังไม่ทราบว่าสมุนไพรวิญญาณในสวนสุมนไพรแห่งนี้ที่แท้เลิศล้ำถึงขั้นไหนกันแน่ แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่งทั้งหมดจึงตระหนักได้ว่า สมุนไพรวิญญาณในสวนนี้ไม่เพียงแต่จะล้ำค่า กระทั่งยังล้ำค่าถึงที่สุด!
กระทั่งผู้เฒ่าหั่วยังกล่าวออกมาด้วยตัวเอง ว่าหากเขาใช้สมุนไพรวิญญาณทั้งหมดในสวนสมุนไพรแห่งนี้ซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติล่ะก็…จะสามารถซ่อมแซมมันให้ฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์!
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ขนาดมีตำหนักเมฆาครามสนับสนุน เขายังรวบรวมวัตถุดิบซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปได้ไม่เท่าไหร่!
“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านไม่ได้กล่าวผิดไปใช่หรือไม่…สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้มันไม่ได้อยู่ในรายการวัตถุดิบที่ท่านให้ข้ามาก่อนหน้านี้เลยนี่นา แล้วพวกมันจะใช้ได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วด้วยความสงสัย
เพราะเขารู้สึกว่าคล้ายที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวแบบนี้ เสมือนมีเจตนาให้เขาขโมยสมุนไพรหมดสวนอย่างไรอย่างนั้น…
“พลังของข้าได้ฟื้นฟูกลับมาอีกเล็กน้อย เช่นนั้นหากข้าใช้เพลิงสุริยันของข้าขัดเกลาพวกมัน ย่อมหลอมพวกมันให้กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ได้ไม่ยาก และข้าสามารถใช้พลังนั่นซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้…”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ
ต้วนหลิงเทียนได้แต่เผยยิ้มออกมาอย่างขื่นขมเมื่อได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว “ผู้เฒ่าหั่วถึงท่านจะทำได้จริง แต่ข้าก็ไม่มีปัญญาเอาสมุนไพรให้ท่านหรอก อย่าว่าแต่ทั้งสวนเลย…กระทั่งต้นเดียวหากข้าขุดขึ้นมาซี้ซั้ว ข้าได้ตายแน่! แถมยังจะทำให้พี่กู่กับจูลู่ฉีพลอยประสบเคราะห์ไปกับข้าด้วย…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น