War sovereign Soaring The Heavens 1852-1855
ตอนที่ 1,852 : ตี้จิ่วออกด่าน!
ได้ยินคำของกู่ลี่ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ หมดคำจะพูด
จริง!
อย่างที่กู่ลี่บอก หากวันนี้ไม่มีบิดาเขากับกู่มี่มาด้วย ลองเขาทำกับมันแบบนี้ เกรงว่าต่อให้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้วจริงๆ
เขารู้ดีว่าการใช้เนตรเทวะตรวจสอบพลังฝึกปรือผู้อื่นเป็นเรื่องเสียมารยาท
‘ถึงปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้าจะทำให้ข้าบรรลุพลังขอบเขตเซียนมนุษย์ แต่ปราณสุริยันแรกกำเนิดกลับไม่ได้เพิ่มพูนพลังวิญญาณและสำนึกเทวะอะไร! สำนึกเทวะของข้ายังคงอยู่ในขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น…ทำให้ขอบเขตการตรวจสอบโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว…ยังหยุดอยู่ที่ขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น’
‘หากเป็นขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นไป…ด้วยเนตรเทวะในตอนนี้ ยากที่จะตรวจสอบอีกฝ่ายโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
อย่างไรก็ตามพายุเล็กๆน้อยๆนี้ก็สงบลงแทบจะทันที เพราะชิงเหยียนเลือกที่จะขอโทษออกมา ไม่กล้ากระพือโหมให้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
“จ้าวตำหนักต้วน จ้าวตำหนักน้อยต้วน อาวุโสกู่ และสหายน้อยผู้นี้ โปรดตามข้ามา…”
หายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ชิงเหยียนก็มองกล่าวกับพวกต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มฝืนๆ วาจายังสุภาพนักใช้คำว่า ‘โปรด’ ขณะผายมือนำทาง
จากนั้นภายใต้การนำของชิงเหยียนทั้ง 4 คนก็มาถึงหุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่งในรังมังกร
ในหุบเขาแห่งนี้สงบร่มรื่นยังมีแปลกดอกไม้งดงาม มองไปมีบ้านพักหลังเล็กๆสร้างเรียงรายเอาไว้ 10 กว่าหลัง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็แลดูประณีตสวยงาม
“จ้าวตำหนักต้วน นัดหมายประลอง 5 ปี จะครบกำหนดในอีก 3 วัน…ก่อนหน้านั้นพวกท่านสามารถพักผ่อนได้ที่นี่”
ชิงเหยียนกล่าวกับต้วนหรูเฟิงด้วยรอยยิ้ม พอจบคำก็เตรียมตัวลาจาก
“เหอะ!”
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้ารับอย่างเฉยเมย และไม่ได้สนใจอะไรมัน
หลังจากนั้นชิงเหยียนก็เหินร่างจากมาทันที จากมาสักพักใบหน้าแย้มยิ้มของมันค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
‘จ้าวตำหนักเมฆาครามบัดซบนั่นมันหยิ่งเสียจริง! หากมิใช่เพราะในอดีตทานผู้นำมิได้เป็นคนเข้าใช้สระชำระมังกรล่ะก็ ไหนเลยตำหนักเมฆาครามจะกล้าผยองอวดดีในรังมังกรของพวกเราเช่นนี้!’
ชิงเหยียนรู้สึกคับแค้นในใจนัก
‘แต่ว่า…’
ทันใดนั้นคล้ายนึกอะไรได้ออก ลูกตาชิงเหยียนเบิกกว้างทั้งทอประกายจ้าขึ้นมาทันที ‘ก่อนหน้านี้หากข้าสัมผัสได้ไม่ผิดพลาด…สำนึกเทวะของลูกชายต้วนหรูเฟิงนั่น ไม่คล้ายจะเป็นสำนึกเทวะของขอบเขตเซียนมนุษย์หรือเหนือกว่านั้นสักนิด! ดูเหมือนจะยังอยู่แค่ขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น…กล่าวได้ว่ามันเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนงั้นหรือ?’
คิดถึงจุดนี้ ใบหน้าชิงเหยียนก็เผยความเย้ยหยันออกมา ‘อาศัยพลังฝึกปรืออ่อนด้อยเพียงเท่านี้คิดประลองกับตี้จิ่วเพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่สระชำระมังกรของพวกเรา…ฝันละเมอของตัวโง่งมนัก!!’
พลังฝีมือตี้จิ่วเป็นเช่นไรมันรู้ดี!
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตี้จิ่วก็มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกับมัน เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด…
ทว่าตอนนี้มันผ่านมา 5 ปีแล้ว ด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของตี้จิ่ว ต้องทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นแล้วแน่นอน
แต่ต่อให้ตี้จิ่วยังไม่บรรลุด่านพลัง ทว่าพลังฝีมือของตี้จิ่วตอนนี้ก็ก้าวข้ามมันไปไกล!
‘นายน้อยของตำหนักเมฆาครามนั่น ไม่แม้กระทั่งรับมือสำนึกเทวะข้าได้ด้วยซ้ำ…แต่มันยังกล้าคิดสู้กับตี้จิ่ว? รนหาที่ตาย!!‘
คิดถึงจุดนี้ ลูกตาชิงเหยียนก็ทอประกายเย็นเยียบจ้า
“แต่ว่า…ไฉนนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่น มันแลดูคุ้นตาข้าจัง…”
ชิงเหยียนคล้ายนึกอะไรได้ออก คิ้วเริ่มขมวดย่นครุ่นคิดไปพักหนึ่ง ลูกตาค่อยเบิกกว้างออกมาอย่างกะทันหัน ‘ข้านึกออกแล้ว! ไม่ใช่มันคือต้วนหลิงเทียนที่ครอบครองตราผนึกมารหรือไร? จากที่ตี้จิ่วบอกมาบุตรชายต้วนหรูเฟิงก็เรียกว่าต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…’
‘ไม่ผิดแน่…ทั้งคู่เป็นคนๆเดียวกัน’
ลูกตาชิงเหยียนยิ่งมายิ่งสว่างสดใสขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายยังจ้าปานตะวัน
หลังจากส่งคนตำหนักเมฆาครามเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ชิงเหยียนก็เดินทางไปหา ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับนัดหมายประลอง 5 ปีอีกคนทันที และไม่ใช่ใครอื่น…
มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ตี้จิ่ว!
น่าเสียดายพอมันมาถึงที่พักของตี้จิ่ว ก็พบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ออกจากการปิดด่านฝึกตน
‘นี่ก็เหลืออีกแค่ 3 วันแล้ว…ไฉนยังไม่ออกด่านมาเล่า! เวลากระชั้นเข้ามาทุกที…แถมคนของตำหนักเมฆาครามก็มากันแล้วด้วย ตี้จิ่วจะออกมาทันหรือ?! ครั้งสุดท้ายที่คุยกับท่านผู้นำก็เห็นว่ากำชับวันเวลาเอาไว้ดีแล้วมิใช่หรือไร’
ครุ่นคิดไปพักหนึ่ง สุดท้ายชิงเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “แล้วนี่ตี้จิ่วมันทำอันใดของมันอยู่กัน…”
“อาวุโสชิงเหยียน…”
ในขณะที่ชิงเหยียนคิดจะจากไป เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้น ทั้งมันยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังกล้าแข็งขุมหนึ่ง พาลให้หัวใจสะท้านไปแทบหยุดเต้น!
หลังจากหันกลับมา สิ่งที่ชิงเหยียนแลเห็นก็เป็นชายวัยกลางคนแลดูแข็งแกร่งคนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนแลดูแข็งแกร่งนั่น เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามทั้งกดดันนัก!
“ตี้จิ่ว…เจ้าทะลวงผ่านแล้ว?”
สองตาชิงเหยียนลุกวาวขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาทั่วร่างตี้จิ่ว และกลิ่นอายพลังนี้นับว่าทำให้มันกดดันไม่น้อย!
“อาวุโสชิงเหยียน ดูเหมือนท่านจะยังไม่ทะลวงผ่านงั้นสิ?”
ตี้จิ่วกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ข้าไหนเลยจะเทียบกับเจ้าได้…เจ้าเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง นับว่ามีสายเลือดขัตติยะ พรสวรรค์ยังสูงล้ำกว่าข้า! หากข้าคิดจะทะลวงผ่านยังต้องใช้เวลาอีก 30 – 50 ปี…”
ชิงเหยียนกล่าวออกอย่างทอดถอนใจ
“อาวุโสชิงเหยียน แล้วนี่ท่านมาหาข้ารึ?”
ออกด่านเปิดประตูมาเห็นชิงเหยียนแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่ตี้จิ่วจะถาม
“ใช่”
ชิงเหยียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ตี้จิ่ว อีกแค่ 3 วันก็จะครบกำหนดนัดหมายประลอง 5 ปีแล้ว แต่เจ้ามิต้องกดดันอันใด…5 ปีที่แล้วที่ต้วนหรูเฟิงมาท้าประลองนั่น ข้าก็หลงคิดว่าบุตรชายของมันจะร้ายกาจอะไรนักหนา…แต่ที่แท้มันแค่หาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น!!”
“หือ? ไฉนท่านกล่าวเช่นนี้?”
พอได้ยินคำของชิงเหยียน ตี้จิ่วก็รู้สึกงุนงงไม่น้อย แต่มันก็รู้ดีว่าที่ชิงเหยียนกล่าวแบบนี้เพียงแค่กระตุ้นให้มันอยากรู้
“ตี้จิ่ว ต้วนหรูเฟิงพึ่งพาลูกชายของมันมาถึงวันนี้…”
ชิงเหยียนกล่าว
และก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบคำก็จำต้องชะงักไปก่อน เพราะแววตาตี้จิ่วกลายเป็นเย็นเยียบ สีหน้าเผยความดุร้ายบ้าคลั่ง รังสีสังหารพวยพุ่งออกจากลูกตา
“ต้วน หลิง เทียน!”
ตี้จิ่วกล่าวคำ 3 คำออกมาด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน! มันไม่เคยลืมเลือนแม้แต่น้อยว่ามันถูกหลอกลวงที่ก้นทะเลอย่างไร ที่น่าเจ็บใจคือผู้ที่หลอกลวงมัน…ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมด้วยซ้ำ!!
มันสาบานว่าจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายให้จงได้!
และในที่สุดโอกาสที่ว่าก็มาถึงแล้ว!
สัญญานัดหมายประลอง 5 ปีนี่ มันฆ่าคู่ประลองเสียให้ตาย!
“อาวุโสชิงเหยียนข้าลืมตัวไปครู่หนึ่ง เชิญท่านกล่าวต่อเถอะ…”
ครู่ต่อมาตี้จิ่วก็สูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับอารมณ์ ก่อนที่จะหันมากล่าวกับชิงเหยียน
ชิงเหยียนพยักหน้า ค่อยพูดต่อว่า “ต้วนหรูเฟิงมันพาลูกชายมาถึงวันนี้…พอข้าส่งพวกมันเสร็จแล้วก็รีบมาหาเจ้าทันที และข้าบอกได้เลย ว่าต่อให้เจ้ายังไม่ทะลวงเซียนปฐพีเหมือนตอนนี้ เจ้าก็เอาชนะ ต้วนหลิงเทียน นั่นได้แน่นอน…”
“เพราะถึงแม้ข้าจะไม่ได้ตรวจสอบพลังในด้วยทักษะวิญญาณลี้ลับอันใด แต่จากสำนึกเทวะของมันที่แผ่มาตรวจสอบข้าเอง ทำให้ข้าพบว่า…ด่านพลังของมันยังพึ่งอยู่ในขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น!”
ชิงเหยียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแสยะ
“ว่าอะไร? อริยะเซียน!?”
ได้ยินคำของชิงเหยียนไม่เพียงตี้จิ่วจะไม่เผยสีหน้ายินดีตามที่ชิงเหยียนคาด กลับเผยสีหน้าอึมครึมคล้ายหวาดกลัวแทน “พึ่งผ่านไปแค่ 5 ปี…แต่พลังฝึกปรือมันทะลวงมาถึงอริยะเซียนแล้ว? นี่มันบ่มเพาะฝึกปรืออย่างไรกันแน่?!”
ไม่น่าแปลกที่ตี้จิ่วจะตกตะลึง
ต้องทราบด้วยว่าตอนที่มันเจอต้วนหลิงเทียนครั้งแรก พลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนพึ่งอยู่ในขอบเขตสู่เซียนเท่านั้น ยังไม่แม้แต่จะทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมด้วยซ้ำ…
ทว่าวันนี้มันกลับได้รับทราบจากปากชิงเหยียนว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตอริยะเซียนแล้ว!
จะไม่ให้มันแปลกใจได้อย่างไรไหว?!
“แต่…ไม่ว่าพรสวรรค์ของมันจะสูงส่งเพียงใด มันก็ยังเป็นแค่อริยะเซียนเท่านั้น! อีก 3 วันหลังจากนี้ข้าจะฆ่ามันให้ตาย!!”
หลังนิ่งไปพักหนึ่งตี้จิ่วค่อยคืนสติ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้ายน่ากลัว
“ตี้จิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นให้ตาย แต่อย่าได้ลืมไปเสีย…ว่าบิดาของมันคือต้วนหรูเฟิงจ้าวตำหนักเมฆาคราม! เพราะกริ่งเกรงเผ่าพันธุ์มังกรที่ภูมิภาคเบื้องบน ต้วนหรูเฟิงจึงมิได้ลงมือกับเผ่ามังกรของเราจริงจัง แต่หากบุตรชายมันถูกฆ่าตาย มันต้องคุ้มคลั่งเป็นแน่!”
ชิงเหยียนกล่าวออกเสียงเครียด “หากต้วนหรูเฟิงเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา มันต้องระบายโทสะกับเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราแน่นอน…ถึงแม้ว่าสุดท้ายเผ่าพันธุ์มังกรภูมิภาคเบื้องบนจะลงมาแก้แค้นให้พวกเรา แต่ต้องเผชิญกับโทสะของต้วนหรูเฟิงเช่นนั้น เกรงว่าเผ่าพันธุ์มังกรภูมิภาคเบื้องล่างของพวกเรา คงถูกต้วนหรูเฟิงฆ่าล้างหมดสิ้นแล้ว….”
แม้ตี้จิ่วจะกระเหี้ยนกระหือรือหมายฆ่าต้วนหลิงเทียนล้างแค้นส่วนตัว
และมันรู้ดีว่าสัญญานัดหมายประลอง 5 ปียังไม่ใช่เวลาที่เหมาะต่อการฆาต้วนหลิงเทียน
“แต่…ข้าอยากฆ่ามันให้ตาย!”
และถึงตี้จิ่วรู้ว่าชิงเหยียนกล่าวถูก แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ
“เจ้าใจเย็นก่อนเถอะ สักวันเจ้าต้องได้ฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นแน่ เพียงแค่เจ้ามิอาจฆ่ามันต่อหน้าต้วนหรูเฟิงเท่านั้น…ทว่าต้วนหรูเฟิงสามารถอยู่กับมันได้ตลอดเวลาหรือ?”
ลูกตาชิงเหยียนทอประกายเย็นเยียบ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
ได้ยินคำของชิงเหยียน ตี้จิ่วก็พยักหน้าเข้าใจ
มันรู้ดีว่าคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน ก็ทำได้แค่เฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสม
“จริงสิ! เจ้าเคยได้ยินเรื่องตราผนึกมารหรือไม่?”
ทันใดนั้นคล้ายจะนึกใดได้ออก ชิงเหยียนพลันกล่าวถามตี้จิ่วออกมา
“ตราผนึกมาร? 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามเซียนผู้ยิ่งใหญ่น่ะหรือ? ดาวข่มของผู้ฝึกมารทั้งมวล?”
ตี้จิ่วแปลกใจ “ข้าปิดด่านบ่มเพาะไปกว่า 5 ปี ข้าย่อมไม่ได้ยินเรื่องราวของมัน จากที่ข้าฟังท่านกล่าว ดูเหมือนตราผนึกมารจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งงั้นหรือ?”
“ไม่เพียงแต่จะปรากฏขึ้นมาสู่ใต้หล้าอีกครั้ง ตอนนี้มันยังอยู่ในมือของคนที่เจ้าเองก็รู้จัก!”
ชิงเหยียนหัวเราะ
“ใครกัน?”
ตี้จิ่วโค้งคิ้วขึ้นด้วยฉงน “เป็นอาวุโสเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเรา…หรือว่าท่านผู้นำ?”
“ไม่ใช่คนในเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราหรอก…แต่เป็นต้วนหลิงเทียน! ตราผนึกมารอยู่กับมัน!!”
กล่าวถึง ต้วนหลิงเทียน อีกครั้ง สองตาชิงเหยียนก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยประกายอำมหิต
มันไม่มีวันลืมความอัปยศอดสูก่อนหน้านี้แน่!
หากมีโอกาสมันอยากจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายคามือตัดหน้าตี้จิ่วด้วยซ้ำ!
“ต้วนหลิงเทียน!?”
ลูกตาตี้จิ่วหดหยีลง ก่อนที่ประกายแห่งความโลภจะพวยพุ่งออกมาเจิดจ้า “ตราผนึกมารอยู่กับมันงั้นเหรอ!?”
ตอนที่ 1,853 : คนของตลาดมืดหยินชานก็มา!
ตราผนึกมาร 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้เป็นยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็ต้องถูกล่อลวง!
อย่างไรก็ตาม ตี้จิ่วรู้ดีว่าแม้มันจะอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนแค่ไหน แต่มันก็ไม่อาจทำได้!
โทสะของจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิง ไม่ใช่เรื่องตลก!
ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่มัน ต่อให้เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรก็ไม่อาจทานทนรับโทสะของต้วนหรูเฟิงได้ไหว!
ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้ สองจ้าวสยบใต้หล้า!
ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ นอกเสียจากผู้สังเกตการณ์แล้ว ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตู้กูและต้วนหรูเฟิง!
เป็นเพราะมีทั้งคู่ดำรงอยู่ ตลาดมืดหยินชานและตำหนักเมฆาครามถึงได้ผงาดขึ้นมาครองอำนาจเหนือใคร!
หากต้วนหรูเฟิงยกกำลังทั้งหมดของตำหนักเมฆาครามมา เกรงว่าต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์มังกรก็ไม่วายถูกกวาดล้างจนสิ้นสุญเผ่าพันธุ์!
“ต้วนหลิงเทียน…”
ลูกตาตี้จิ่วเผยความมุ่งมั่น “สักวันข้าต้องฆ่าเจ้าให้ตาย และตราผนึกมารนั่นต้องเป็นของข้า! หากข้าได้ตราผนึกมารมา จักไม่มีผู้ฝึกมารคนไหนที่มีพลังฝีมือเหนือข้า จะสามารถต้านทานข้าได้อีกต่อไป!”
ไม่ว่าจะเป็นตู้กูผู้นำตลาดมืดหยินชาน หรือต้วนหรูเฟิงจ้าวตำหนักเมฆาครามต่างก็เป็นผู้ฝึกมารด้วยกันทั้งคู่
หากตี้จิ่วได้รับตราผนึกมารมาครองล่ะก็…มันสามารถฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดได้! ยังนับประสาอะไรกับตู้กูและต้วนหรูเฟิงที่ยังอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุด!!
ชิงเหยียนที่อยู่ด้านข้างแม้จะอยากได้ตราผนึกมารเช่นกัน แต่มันรู้ดีว่าอาศัยพลังฝีมือของมันคงยากจะได้ครอบครอง และถึงได้ก็คงยากจะรักษา…
ดังนั้นมันจึงเลิกคิดหวังอะไรลมแล้งๆ
ในขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักหลังหนึ่งขอบหุบเขาเล็กๆแห่งนี้ ก็ไม่รู้เลยว่าตี้จิ่วออกด่านมาแล้ว กระทั่งอีกฝ่ายยังมุ่งหวังตั้งเป้าช่วงชิงตราผนึกมารของเขาอีกด้วย!
แน่นอนว่าต่อให้เขารู้เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร
นั่นเพราะตั้งแต่เขาเลือกจะลงประลองตามสัญญา 5 ปีกับตี้จิ่วเพื่อชิงสระมังกร เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวตนของเขาต้องเปิดเผยออกไปแน่!
ถึงวันประลอง ไม่เพียงแต่เผ่ามังกรจะได้รู้ว่าต้วนหรูเฟิงมีบุตรชาย แต่ทั้งใต้หล้าย่อมได้รู้ ว่าบุตรชายต้วนหรูเฟิงที่แท้ก็คือต้วนหลิงเทียนผู้ครองตราผนึกมาร…
“รอให้จบสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีนี่เมื่อไหร่…หลังข้าออกจากสระชำระมังกรอะไรนั่นและสะสางเรื่องราวที่บ้านเสร็จ ข้าจะไปภูมิภาคเบื้องบนกับพี่กู่ทันที!”
นี่เป็นทางออกที่ต้วนหลิงเทียนคิด
หลังออกจากสระชำระมังกร เขาจะกลับไปร่ำลามารดากับลี่เฟยที่ตำหนักเมฆาคราม ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคเบื้องบนทันที เพื่อตามหาคู่หมั้นอีกคนของเขา เค่อเอ๋อ
เพราะเขารู้ดีว่าหากเขายังรั้งอยู่ ไม่วายชักนำเภทภัยมาสู่ตำหนักเมฆาครามไม่รู้จบสิ้นแน่!
นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดจากไปให้เร็วที่สุด
“อีก 3 วันข้าจะได้เจอตี้จิ่วแล้ว…สารเลวตี้จิ่ว เจ้ากล้าทำลายนิกายหลิงเทียนของข้า ยังฆ่าอาวุโสและศิษย์นิกายหลิงเทียนของข้าจนหมด! ได้เวลาที่ข้าจะล้างแค้นให้ทุกคนแล้ว! หนี้เลือดมันต้องชำระด้วยเลือด!!”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งบนเตียงกล่าวออกเสียงเข้มต่ำ ในแววตายังมืดดำไปไร้ประกาย จิตสังหารฟุ้งตลบหนาแน่นนัก
ทว่าครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงเพื่อสงบจิตใจ เขาไม่คิดเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพียงเฝ้ารอเวลาให้สัญญา 5 ปีมาถึง
หลังจากที่คนของตำหนักเมฆาครามเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ด้านนอกหุบเขารังมังกร พลันมีร่าง 3 ร่างเหินบินข้ามฟ้ามาแต่ไกล ท่าทางแต่ละคนแลดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางเล็กน้อย
ผู้ที่เหินนำมาด้านหน้าสุดมาในชุดสีดำสนิท ผมยาวของมันปลิวสยายปานอสรพิษแม้ไร้ลม มองไปคล้ายพวกมันสามารถพุ่งฉกผู้คนได้ทุกเวลา
ด้านหลังของมันตามมาด้วยชายชรา 2 คน
“ผู้ใดหาญกล้าบุกรุกเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเรา!!”
ปรากฏร่างผู้คนนับ 10 เหินพุ่งออกมาจากปากทางเข้าหุบเขาของเผ่าพันธุ์มังกร หยุดขวางทั้ง 3 เอาไว้เบื้องหน้า
“ตู้กู แห่งตลาดมืดหยินชาน”
ชายหนุ่มในชุดสดำสนิทเพียงแค่เหลือบมองคนเผ่าพันธุ์มังกรที่ขวางทางอย่างเฉยเมย หากแต่นั่นก็พอทำให้ทุกคนที่มาขวางรู้สึกเสมือนมีสายลมหนาวเหน็บโชยไล้ไปทั่วเรือนกาย
และพอพวกมันได้ยินวาจาของชายชุดดำชัดถนัดหู ร่างพวกมันพลันสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวทันที
ตู้กู?
นั่นไม่ใช่ผู้นำของตลาดมืดหยินชานหรือไร!?
ทันใดนั้นคนเผ่าพันธุ์มังกรทั้งหมดถึงกับลอบหายใจเข้าลึกๆ เร่งประสานมือคารวะทักทายตู้กูกับอีก 2 คนทันที “ที่แท้เป็นผู้อาวุโสตู้กู เชิญท่านทางนี้”
หนึ่งในคนของเผ่าพันธุ์มังกร เร่งผายมือก่อนที่จะเหินร่างนำทางทันที
หลังจากกลุ่มของตู้กูเข้ามายังหุบเขามังกรได้ไม่นาน พลันมีสตรีชราชุดม่วงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
และเมื่อสตรีชราคนนี้ปรากฏตัวออกมา นางก็มองตู้กูด้วยรอยยิ้ม ทั้งคารวะทักทายอย่างสุภาพ
เผชิญหน้ากับการัทกทายของหญิงชรา ตู้กูเพียงพยักหน้ารับเบาๆแทนการทักตอบ แต่ไม่ได้กล่าวคำใดกับนาง
“จึกๆ…แม่เฒ่าสื่อชิง ไม่พบกันเสียนานเจ้าสบายดีหรือไม่เล่า?”
ชายชรารูปร่างอ้วนท้วม 1 ใน 2 ชายชราที่อยู่ด้านหลังตู้กู พลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อ้วนจง…ไม่คิดเลยจริงๆว่าป่านนี้แล้วเจ้าจะยังไม่ตายอีก”
สตรีชรานางนี้ก็คือมังกรเทพยาดาสีม่วง 5 กรงเล็บ สื่อชิง ผู้อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มังกร ทันทีที่เห็นชายชราร่างอ้วน นางก็ขมวดคิ้วทักทายตอบกลับ
แม้ยามกล่าวจะกล่าวเหมือนหยอกล้อ หากแต่ลึกลงไปในแววตาของนางคล้ายมีความหวาดกลัวฉาบซ่อนอยู่บางๆ
นั่นเพราะชายชราร่างอ้วนนาม จงฉีชาน ผู้นี้ มีพลังฝีมือเหนือกว่านางมากนัก!
“อา…ที่แท้รองผู้นำเฝิงปู่อี้เองก็มาด้วย”
ไม่นานสายตาของสื่อชิงก็เบนไปตกยังร่างชราอีกคนหลังตู้กู กล่าวทักทายออกไปด้วยรอยยิ้ม
ชายชราคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน
“แม่เฒ่าสื่อชิง พวกเรามาทำอะไร ข้าคิดว่าท่านเองก็ทราบดีอยู่แล้ว…สัญญาประลอง 5 ปีนั่น เหลืออีกกี่วันจะถึงงั้นหรือ?”
จงฉีชาน เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมา
“สัญญานัดหมายประลอง 5 ปี จักเริ่มในอีก 3 วันหลังจากนี้…”
สื่อชิงกล่าว
“แล้วจ้าวตำหนักต้วนหรูเฟิง แห่งตำหนักเมฆาครามมาถึงแล้วหรือยัง?”
จงฉีชานกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“มาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว”
สื่อชิงกล่าวตอบอีกครั้ง
“แล้วบุตรชายของมันเล่า?”
เฝิงปู่อี้กล่าวถามออกมาเช่นกัน
“มาแล้วเช่นกัน”
สื่อชิงหันไปกล่าวตอบ
และพอได้ยินคำตอบของสื่อชิง จงฉีชานกับเฝิงปู่อี้ก็หันมองหน้าสบตากันทันใด ในแววตายังเผยความตกใจไม่น้อย…จ้าวตำหนักเมฆาคราม พาลูกชายมาแล้วจริงๆ?
“ต้วนหรูเฟิงนั่นหาตัวบุตรชายพบได้อย่างไรกัน…”
“นั่นสิ คนของตลาดมืดหยินชานเราก็ไปเฝ้าจับตาดูอยู่รอบๆทะเลสาบผานหลง ที่ตั้งตำหนักเมฆาครามแท้ๆ เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะไม่แจ้งให้พวกเรารู้หากบุตรชายของต้วนหรูเฟิงปรากฏตัว”
“นี่มันอย่างไรกันแน่?”
……
เฝิงปู่อี้กับจงฉีชานส่งเสียงตอบโต้กันไปมา ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตามพวกมันคงไม่คิดไม่ฝัน
เหตุผลที่บิดาและบุตรชายสามารถพบหน้ากันได้ โดยที่ยอดฝีมือของตลาดมืดหยินชานไม่ทันรู้ตัว ก็เพราะการปลอมแปลงรูปโฉมอันน่าทึ่งของต้วนหลิงเทียน
เมื่อใช้ทักษะลับแปลงโฉมของผู้เฒ่าหั่ว ต่อให้ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบให้ตายก็ไร้ซึ่งร่องรอยพิรุธใด…
แน่นอนว่าพวกมันไม่เคยคิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกลับตำหนักเมฆาครามโดยรูปโฉมปลอมโดยใช้ทักษะลับดังกล่าว
และไม่กี่วันที่ผ่านมาตอนต้วนหรูเฟิงพาทุกคนออกจากตำหนักเมฆาคราม ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่ยอดฝีมือของตลาดมืดหยินชานได้พบต้วนหลิงเทียน
ทว่าพบแล้วจะอย่างไร? ในเมื่อข้างกายมีต้วนหรูเฟิงอยู่ด้วย พวกมันยังกล้าลงมือเคลื่อนไหวก่อการอะไรอีกหรือ?
พวกมันเมื่อไม่กล้าลงมือต่อหน้าต้วนหรูเฟิง จึงตัดสินใจย้อนกลับไปยังตลาดมืดหยินชานหมายไปรายงานเรื่องราวให้ระดับสูงตัดสินใจ
อย่างไรก็ตามพอพวกมันกลับมาถึงตลาดมืดหยินชาน มันก็พบว่าผู้นำกับผู้อาวุโส ได้เดินทางออกจากตลาดมืดหยินชานมุ่งหน้าไปยังเผ่าพันธุ์มังกรเสียแล้ว
ทว่าต่างจากกลุ่มของต้วนหรูเฟิงอยู่บ้าง เพราะที่ตู้กูกับพวกมาครั้งนี้ เพียงคิดมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานแก้เบื่อเท่านั้น
และในเมื่อกลุ่มของตู้กูคลาดกับคนยอดฝีมือที่ย้อนกลับมารายงาน จึงไม่ทราบว่าต้วนหรูเฟิงได้พบกับบุตรชายแล้ว
และด้วยความที่ไม่รู้แต่แรก จึงทำให้เมื่อมารู้เอาตอนนี้ จึงประหลาดใจไม่น้อย
“อา เรื่องราวชักน่าสนใจขึ้นมาแล้ว…”
ต่างจากเฝิงปู่อี้และจงฉีชานที่ตกใจ ตู้กูเพียงยิ้มออกมาอย่างเฉยเมย คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างหลังได้ยินคำสื่อชิง
สมแล้วที่เป็นผู้นำตลาดมืดหยินชาน ตู้กูนับว่ายังสงบใจไม่แตกตื่นอะไร แม้จะได้รับทราบเรื่องนี้ ผิดกับอาวุโสทั้ง 2 คนนัก ที่แม้ชราแล้วแต่ก็ยังเสียอาการให้เห็น
สื่อชิงแน่นอนว่าย่อมต้อนรับขับสู้คนของตู้กูอย่างดี
และไม่ทราบว่าจงใจหรืออย่างไร หากแต่อาวุโสเผ่าพันธุ์มังกรชรานางนี้กลับพาตู้กูกับอาวุโสทั้ง 2 ของตลาดมืดหยินชาน มาพักในหุบเขาเล็กๆ เดียวกันกับที่คนของตำหนักเมฆาครามพักอยู่!
ในหุบเขาเล็กๆนั่นก็มีแค่บ้านหลังเล็กๆสิบกว่าหลังเท่านั้น แถม 4 หลังก็ถูกคนของตำหนักเมฆาครามครอบครองไปแล้ว นอกจากนี้ยังยึดทำเลอันดีไปเสียหมด…
ส่วนหลังที่เหลือก็อยู่ห่างออกไป ทำเลไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
“ผู้นำตู้กู รองผู้นำทั้ง 2…เช่นนั้นเชิญพักผ่อนตามสบาย อีก 3 วันหลังจากนี้ค่อยพบกันใหม่”
หลังจากทักทายอำลาตู้กูกับอาวุโสทั้ง 2 แล้ว สื่อชิงก็เหินร่างจากไป
และเมื่อจากมาได้ไม่นาน มุมปากของสื่อชิงก็เผยยิ้มสนุกสนาน “สุนัขกัดกัน ขนเต็มปาก!”
ฟังจากวาจาพึมพำอย่างสะใจของนาง คล้ายทราบแต่แรกแล้วว่าคนของตำหนักเมฆาครามพักอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกวานั้นนางยังหวังให้คนของตำหนักเมฆาครามกับตลาดมืดหยินชานตีกันอีก!
“มีคนอยู่แล้วหรือ?”
หลังสื่อชิงจากไป ตู้กูกับอีก 2 คนก็พบได้ทันทีว่า บ้านพัก 4 หลังที่มีทำเลดีที่สุดมีคนเข้าไปใช้อาศัยอยู่เสียแล้ว
หน้าจงฉีชานมืดลงทันใด มันก้าวอาดๆตรงไปยังบ้านพักหลังที่มีทำเลดีที่สุดในบรรดาบ้านพักทั้งหมดทันที
บ้านพักแห่งนี้ทำจากไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่มุมหนึ่งใกล้ๆน้ำตกของหุบเขา ด้านหน้าเป็นลานดอกไม้ มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ฟุ้งตลบไปด้วยละอองน้ำเย็นสบาย นับว่าร่มรื่นน่าอยู่เป็นที่สุด
“ไสหัวออกไปเสีย!”
จงฉีชานเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน ก็ไม่สนมารยาทอันใด พลันกล่าวออกด้วยเสียงดังแฝงเร้นไปด้วยปราณแรกกำเนิด หมายขับไล่ผู้คนในบ้านทันที
เสียงกล่าวนับว่ามีอานุภาพไม่น้อย ประตูไม้ถึงกับสั่นกึกๆ เรียกว่าดังสนั่นก้องบ้าน
“หนวกหู!”
และแทบจะทันทีที่สิ้นคำของจงฉีชาน พลันมีเสียงไม่สบอารมณ์หนึ่งดังขึ้นจากในบ้านทันที!
และสิ่งที่ตามมาหลังคำ ‘หนวกหู’ ก็คือ เสียงประตูไม้เปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะปิดตัวลงแทบจะทันที!
แน่นอนว่าเสียงหลังนั้นเบากว่ามาก…
“หลบเร็ว!”
ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น และทันทีที่ได้ยินเสียงนี้สีหน้าของจงฉีชานก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ในพริบตา!
ตอนที่ 1,854 : ตู้กู ไม่กลัวตราผนึกมารงั้นเหรอ?
จงฉีชานย่อมตระหนักได้ทันทีว่าเสียงที่ดังขึ้นหลังสุดเป็นเสียงของ ตู้กู้ ผู้นำตลาดมืดหยินชานของมัน!
และฟังจากน้ำเสียงของตู้กู เห็นได้ชัดว่ากำลังกล่าวเตือนมัน!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มันกำลังตกใจจนไม่อาจตอบสนองอันใดได้ทัน มันก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลพาลให้มันหายใจแทบไม่ออก!
และตอนนี้มันก็รู้สึกอึดอัดเสมือนไร้อากาศหายใจ!!
ปงงง!!
พริบตาต่อมาเสียงระเบิดของพลังก็ดันสนั่นขึ้น ร่างจงฉีชาน ถูกซัดกระเด็นปลิดปลิวละลิ่วข้ามทุ่งดอกไม้ พริบตาก็เจียนบรรลุถึงผนังผา!
ฟุ่บ!!
เมื่อร่างจงฉีชานปลิดปลิวไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคนศรเจียนกระแทกผนังผาเต็มที พลันมีร่างหนึ่งวูบมาปรากฏขวางกั้นมันกับผนังเอาไว้ปานภูตผี!
ร่างดังกล่าวผลักฝ่ามือออกไปอย่างแช่มช้า หากแต่บังเกิดเป็นคลื่นพลังหมุนวนไร้สภาพอ่อนหยุ่นขุมหนึ่งพุ่งไปรับร่างจงฉีชานเอาไว้ ทั้งยังสลายแรงกระแทกอันใดจนสลายหาย!
ป้องกันไม่ให้จงฉีชานกระแทกผนังผาได้สำเร็จ
แม้จงฉีชานจะไม่ถึงขั้นตายตกหากกระเด็นไปกระแทกผนังผา แต่คงยากจะหลีกเลี่งอาการบาดเจ็บสาหัส สถานเบากระดูกสันหลังแตก สถานหนักคงกระดูกแหลกไปทั้งร่าง…
“จ้าวตำหนักต้วน ด้วยความไม่รู้คนของข้าจึงเสียมารยาทแล้ว ท่านอย่าได้ถือสามันเลย…”
จงฉีชานที่ถูกหยุดร่างเอาไว้อย่างงุนงง ไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พลันได้ยินวาจาของผู้นำดังขึ้นเสียก่อน
และฟังไปเสียงกล่าวของผู้นำ ยังแลดูสุภาพนัก
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นในภูมิภาคที่ทำให้ผู้นำของมันสามารถกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นนี้ได้…ไม่ใช่ใครอื่น…
จ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง!
เมื่อมองไปยังบ้านไม้หน้าน้ำตกไกลตา จงฉีชานก็เห็นร่างหนึ่ง ซึ่งทำให้หน้าของมันเปลี่ยนเป็นซีเเขียวทันที ‘มารดามันเถอะ! เป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิงจริงๆ!’
ก่อนที่จะเห็นต้วนหรูเฟิงกับตา จงฉีชานก็ลอบหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์และมันคาดผิด!
ทว่าพอมันพบว่าเป็นต้วนหรูเฟิงจริงๆ มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสิ้นหวัง
เพราะต้วนหรูเฟิงผู้นี้เป็นตัวตนอันน่ากลัว! อัจฉริยะภาพและพรสวรรค์ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำตู้กูของมันเลย…เช่นนั้นหมายความว่าชั่วชีวิตนี้มันไม่มีวันล้างแค้นอีกฝ่ายได้แล้ว…
“ผู้นำตู้กู”
เผชิญหน้ากับคำกล่าวของตู้กู ต้วนหรูเฟิงที่ค่อยๆก้าวเดินออกมาจากบ้านมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก็กล่าวคำทักทายออกมาพร้อมพยักหน้าลงอย่างเฉยเมย
“แอ๊ด”
“แอ๊ด”
…
ตอนนี้เองประตูบ้านไม้อีก 3 หลังที่เหลือก็ทยอยกันเปิดออก ร่างคน 3 คนก้าวเดินออกมาหยุดยืนหลังต้วนหรูเฟิง
เป็นต้วนหลิงเทียน กู่มี่ และกู่ลี่
“กู่มี่!”
เมื่อทั้ง 3 คนปรากฏกายออกมา สายตาของจงฉีชานกับเฝิงปู่อี้หันมองไปยังร่างชายชราผอมแห้งในชุดคลุมลมดำที่แลดูเย็นชาก่อนทันที ในแววตายังเผยความหวาดกลัวไม่น้อย
เพราะถึงแม้จะต่อให้พวกมันร่วมมือกัน ก็ไม่อาจมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะสามารถเอาชนะกู่มี่ได้!
ต่างจากจงฉีชานและเฝิงปู่อี้ เมื่อทั้ง 3 ปรากฏตัว สายตาของตู้กูไม่ได้เหลือบแลกู่มี่แต่อย่างใด เพียงไปหยุดอยู่ที่ร่างของต้วนหลิงเทียน!
ใบหน้านี้ก่อนหน้ามันเคยเห็นมากกว่าหนึ่งครั้ง
แน่นอนว่าที่เคยเห็นล้วนเป็นภาพวาด
อย่างไรก็ตามภาพวาดดั่งกล่าวช่างวาดได้เหมือนตัวจริงนัก เมื่อคนมายืนอยู่ตรงหน้ามันก็สามารถจดจำได้ทันทีว่าเป็นคนเดียวกันกับคนในภาพ!
“นั่นน่ะหรือบุตรชายของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียน?”
ตู้กู ยอมรับเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้ แลละม้ายคล้ายต้วนหรูเฟิงอยู่หลายส่วน
สายตาของตู้กูที่มองต้วนหลิงเทียน จงฉีชานกับเฝิงปู่อี้ย่อมสังเกตเห็นได้ในเวลาอันสั้น พวกมันจึงว่ายตามองตามไปทันที และในที่สุดก็ไปหยุดที่ร่างต้วนหลิงเทียน
เพียงแรกเห็นพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด ถึงขั้นสูดลมหายใจเข้าดั่งฟืด!
ต่อมาพวกมันก็หันมามองสบตากันอีกครั้ง ในแววตายังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเหลือเชื่อ
“พี่จงชายหนุ่มผู้นี้…มิใช่เป็นคนที่ถือครองตราผนึกมารหรือไร!?”
“นั่นสิไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้เจอตัวต้วนหลิงเทียนที่นี่! ตราผนึกมารอยู่กับมัน!!”
…
แววตาจงฉีชานกับเฝิงปู่อี้ที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนนั้น เรียกได้ว่าแทบจะยิงพุ่งรังสีความโลภรูปเงินออกมาอยู่รอมร่อ
“ช้าก่อนพี่จง!”
ทันใดนั้นเฝิงปู่อี้เป็นคนแรกที่คืนสติ “จากข่าวที่รั่วไหลออกมาจากเผ่าพันธุ์มังกร บุตรชายของต้วนหรูเฟิง เหมือนจะมีนามว่า ต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าทั้งคู่เป็นคนๆเดียวกัน!?”
สวรรค์! ผู้ครอบครองตราผนึกมารนั่น ที่แท้คือบุตรชายของต้วนหรูเฟิงงั้นหรือ?!
จงฉีชานถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ขณะเดียวกันความหวาดกลัวก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาท่วมใจเมื่อคิดถึงต้วนหรูเฟิง
ต้วนหรูเฟิงจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้นี้…คิดฆ่ามันสักคน ยังง่ายดายเสียกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่!
เช่นนั้นต่อให้ใจมันจะโลภในตราผนึกมารมากเพียงใด…
แต่ต่อหน้าความเป็นตายไหนเลยพวกมันไหนเลยยังจะละโมบได้?! หากคนตกตายแล้วไซร้ ได้รับตราผนึกมารแล้วจะเอาไปทำอะไร?!
เช่นนั้นสำหรับพวกมันแล้ว ชีวิต คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด!
สรรพสิ่งอื่นใดดุจเมฆลิ่วล่อง!
“จ้าวตำหนักต้วน นี่ท่านมิคิดจะแนะนำคนให้ข้ารู้จักสักหน่อยหรือ?”
ครู่ต่อมาตู้กูก็ละสายตาจากต้วนหลิงเทียน หันไปมองถามต้วนหรูเฟิง
หากไม่ทราบมาก่อนว่าชายในชุดสีดำผู้นี้ก็คือ ตู้กู ผู้นำตลาดมืดหยินชาน ไม่พ้นต้วนหลิงเทียนต้องเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของบิดาแน่ๆ!
เนื่องจากในแววตาท่าทางของอีกฝ่าย ไม่คล้ายมีความเป็นปรปักษ์กับบิดาของเขาเลย…เรียกว่าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนเป็น ‘ศัตรู’ กันสักเพียงนิด!
‘’ผู้นำตลาดมืดหยินชานคนนี้ ไม่ง่ายเลย…’
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความระวังต่อตู้กูไม่น้อย
ผู้ที่เก่งในการกาจซุกซ่อนปิดบังเจตนา คือผู้ที่น่ากลัวเป็นที่สุด!
ทวนเปิดเผยง่ายหลีกหลบ เกาทัณฑ์เร้นลับยากระวัง!
ศัตรูในที่แจ้งย่อมไม่น่ากลัวเท่าไหร่!!
“เจ้าคงรู้จักกู่มี่ดีอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องแนะนำอะไรอีก”
ได้ยินคำของตู้กู ต้วนหรูเฟิงพลันกล่าวออกมาก่อนที่จะหันไปมองต้วนหลิงเทียน
ในขณะที่ตู้กูคิดว่าต้วนหรูเฟิงจะแนะนำต้วนหลิงเทียนนั้นเอง มิคาดสายตาต้วนหลิงเทียนกลับเลือกเบนออกไปตกยังร่างของกู่ลี่เสียอย่างนั้น “นี่คือกู่ลี่! ข้ามั่นใจว่าเจ้าเองก็ต้องเคยได้ยินนามนี้มาก่อน ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ และยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรายนามฟ้าลี้ลับ!”
“กู่ลี่?”
ตู้กูองกู่ลี่ ค่อยพยักหน้า “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเจ้ามาก่อน…เจ้าคือบุตรชายของ กู่ซืออวิ๋น ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ?”
ก่อนหน้านี้พอกู่ลี่ได้เห็นตู้กู ผู้ที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับต้วนหรูเฟิง ใจของมันก็อดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
มาตอนนี้พอได้ยินคำทักทายจากตู้กู ผู้นำตลาดมืดหยินชาน มันถึงกับหน้าแดงก่ำ อ้ำอึ้งไปพักหนึ่งค่อยกล่าวคำออกมา
“กู่ลี่ ยินดีที่ได้พบผู้นำตู้กู”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กู่ลี่ก็พยักหน้าทักทายตู้กู
หลังจากตู้กูพยักหน้ารับการทักทายกู่ลี่ มันก็เลิกสนใจกู่ลี่ หันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนทันที “หากข้าเดาไม่ผิดสหายน้อยผู้นี้ก็คือต้วนหลิงเทียนบุตรชายของท่านใช่หรือไม่จ้าวตำหนักต้วน? นับว่าโชควาสนาสูงล้ำนัก ตราผนึกมารนั่นเป็นสิ่งประเสริฐยิ่ง!”
ในวาจาตู้กูไม่คิดอ้อมค้อม กล่าวถึงตราผนึกมารออกมาทันที
ทันใดนั้นบรรยากาศในที่เกิดเหตุพลันกลายเป็นอึมครึมขึ้นมาทันตาเห็น
กระทั่งรองผู้นำตลาดมืดหยินชานทั้ง 2 เองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอยู่ๆ ผู้นำของพวกมันจะโพล่งคำ ‘ตราผนึกมาร’ ออกมาดื้อๆแบบนี้!
สถานการณ์ตอนนี้เดิมที่ก็นับว่าอ่อนไหวอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับมีเรื่องตราผนึกมารเข้ามาเพิ่ม!
ฟุ่บ!
แทบจะพร้อมกันกับที่ตู้กูกล่าวจบคำ ตราผนึกมารพลันปรากฏขึ้นมาในมือของต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนที่ถือตราผนึกมารไว้ ก็มองจ้องไปที่ตู้กูตาเขม็ง
ตอนนี้เขาสัมผัสได้ดี ถึงความเคลื่อนไหวของตราผนึกมาร มันอยากจะระเบิดพลังดุร้ายพุ่งไปตบฟาดตู้กู และดูดวิญญาณเข้ามาสะกดแล้วก็ป่นทำลายทิ้งให้สิ้นซาก!
ตู้กู้ผู้นำตลาดมืดหยินชานก็เหมือนกันกับบิดาเขา ต่างเป็นผู้ฝึกมารด้วยกันทั้งคู่ กระทั่งยังเป็นผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุด!
อย่างไรก็ตามด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา อันเทียบได้กับปราณแรกกำเนิดของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ แน่นอนว่ายามจ่ายพลังให้ตราผนึกมาร มันสมควรสยบปราบผู้ฝึกมารที่อยู่ภายใต้ขอบเขตพลังเซียนนภาได้ทั้งหมด!
กระทั่งผู้นำตลาดมืดหยินชาน ตู้กู ก็ไม่เว้น!
ในบรรดารองผู้นำตลาดมืดหยินชานทั้งสองคน โชคดีที่จงฉีชานไม่ใช่ผู้ฝึกมาร พอมันเห็นตราผนึกมารก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร เพียงแค่บังเกิดความสนใจใคร่รู้เท่านั้น “นี่น่ะหรือ…ตราผนึกมารที่ร่ำลือ!”
ทว่าเฝิงปู่อี้ที่ยืนข้างมันนั้น…ในฐานะผู้ฝึกมารมันเสมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายทันทีที่ต้วนหลิงเทียนหยิบตราผนึกมารออกมาถือ!
จังหวะนี้สีหน้าของมันเผยความหวั่นกลัวออกมา ยังเคร่งเครียดไปคล้ายกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิต!
“สมแล้วที่เป็นตราผนึกมาร…กลับทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตกอยู่ในอันตรายได้…”
ไม่เหมือนกับเฝิงปู่อี้ที่หวาดกลัวตราผนึกมารในมือต้วนหลิงเทียน ผู้นำตลาดมืดหยินชาน ตู้กู ยังสามารถกล่าววาจาออกมาได้อย่างไร้เรื่องราว หน้ายังไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย กระทั่งยังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่อว่า “นี่หมายความว่าผู้ถือตราผนึกมารบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์หรือสูงกว่าแล้วสินะ ถึงทำให้ข้ารู้สึแบบนี้ได้…สมแล้วที่เป็นบุตรชายของต้วนหรูเฟิง ศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้าช่างน่าทึ่งจริงๆ…”
“เจ้าไม่กลัวตายงั้นหรือ?”
เผชิญหน้ากับความสงบของตู้กู ต้นหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวถาม
ต้องทราบด้วยว่าด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาตอนนี้ ยามใช้ตราผนึกมาร สมควรกำราบผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตเซียนนภาได้ทั้งหมด!
และเท่าที่ทราบตู้กู ผู้นำตลาดมืดหยินชานก็เป็นแค่ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดเท่านั้น เช่นนั้นตามทฤษฎีกำราบมารที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่า 1 ขอบเขตของตราผนึกมาร…เขามั่นใจมากว่าสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้!
“ความตายไม่มีผู้ใดไม่กลัวข้าเองก็ไม่เว้น…อย่างไรก็ตามเจ้าคิดว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้งั้นหรือ หากเจ้าใช้ตราผนึกมารด้วยพลังฝึกปรือของเจ้าตอนนี้?”
ตู้กูกล่าวถามออกมาด้วยท่าทางสบายๆไม่ยี่หระ ราวกับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อยว่าตราผนึกมารในมือต้วนหลิงเทียนจะฆ่ามันได้
หลังจากนั้นพอมันเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขรึมขึ้นทั้งประกายตายังเย็นลง มันก็กล่าวออกโดยไม่รอคำตอบของต้วนหลิงเทียน “หากเจ้าไม่เชื่อข้าเช่นนั้นก็ลองถามบิดาของเจ้าดูเถอะ…และไม่เพียงแต่ข้า กระทั่งบิดาเจ้าเองก็ตาม หากอาศัยพลังฝึกปรือของเจ้าในตอนนี้ถึงใช้ตราผนึกมารก็ไม่อาจฆ่าได้…”
“หากเจ้าคิดจะใช้ตราผนึกมารฆ่าพวกเราจริงๆ อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือของเจ้าต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเสียก่อน…”
ตู้กูกล่าวออกมารวดเดียวจบ
เมื่อได้ยินคำของตู้กู ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองต้วนหรูเฟิงทันที
ต้วนหรูเฟิงเองก็พยักหน้ารับและอธิบายออกมาให้ฟังทันที “โดยปกติแล้วตราผนึกมารสามารถฆ่าผู้ฝึกมารที่มีด่านพลังเหนือกว่า 1 ขอบเขตได้ทั้งหมด และต่อให้เจ้าจะเป็นแค่เซียนมนุษย์ขั้นต้น ก็สามารถฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดได้!”
“อย่างไรก็ตามพลังฝึกปรือของข้ากับผู้นำตู้กูไม่ใช่แค่เซียนปฐพีขั้นสูงสุดธรรมดา…เพราะหากพวกเราต้องการ พวกเราสามารถทะลวงไปยังเซียนนภาได้ทุกเมื่อ”
กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหรูเฟิง ก็หันไปมองจ้องตู้กู ค่อยกล่าวสืบต่อ “อีกทั้งยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเราสามารถทะลวงไปยังขอบเขตเซียนนภาได้ตลอดเวลา แม้จะยังไม่ทะลวงผ่านแต่พวกเราก็ไม่หวาดกลัวตราผนึกมารเลย…เว้นเสียแต่มันจะถูกใช้ด้วยผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด เพราะพวกเรามีเวทย์พลังระดับสูง!”
เวทย์พลังขั้นสูง!
นี่คือตัวช่วยอันแข็งแกร่งของต้วนหรูเฟิงและตู้กู
ด้วยเวทย์พลังระดับสูง ต่อให้คนใช้ตราผนึกมารจะเป็นเซียนมนุษย์ขั้นกลางหรือขั้นเชี่ยวชาญก็ไร้ความหมาย ถึงแม้พวกมันจะยังอยู่ในด่านพลังเซียนปฐพีขั้นสูงุสดก็ตาม!
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง…”
หลังได้ยินคำอธิบายของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที ว่าไฉนตู้กูถึงยังสงบนิ่งอยู่ได้ แม้จะกำลังเผชิญหน้ากับตราผนึกมาร
ที่แท้อีกฝ่ายไม่ได้หวาดกลัวตราผนึกมารเลย!
กล่าวให้ชัด อีกฝ่ายไม่กลัวตราผนึกมารในมือเขา!
ตอนที่ 1,855 : หมื่นมารรุกราน!
“เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”
ตู้กูหยีตากล่าวถามต้วนหลิงเทียน
“ในเมื่อผู้นำตู้กูเสนอ เช่นนั้นข้าจะน้อมสนอง!”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำของตู้กู
และทันทีที่เขาจบคำ ปราณสุริยันแรกกำเนิดก็จ่ายลงตราผนึกมาร ก่อนที่เขาจะปาตราผนึกมารเข้าใส่ตู้กูทันที!
ซู่มมม!!
ตราผนึกมารที่ปาออกมา พุ่งดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่จี้เข้าใส่ตู้กู!
กลิ่นอายพลังเย็นเยียบน่าพรั่นพรึงที่แผ่ออกมาทั่วตราผนึกมาร พาลให้สีหน้าตู้กูผู้นำตลาดมืดหยินชานเผยความเคร่งขรึมทำราวกับพบพานศัตรูตัวร้าย!
ถึงแม้มันจะมั่นใจว่าไม่มีทางถูกตราผนึกมารฆ่าได้แน่นอน แต่จะอย่างไรตราผนึกมารก็มีพลังอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารนัก! เช่นนั้นมันจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย!!
บึม!
ตราผนึกมารเมื่อพุ่งเข้าใกล้ร่างตู้กู มันพลันระเบิดพลังออกมาขุมหนึ่ง ปราณมารอันน่ากลัวแผ่พุ่งออกมาผนึกหนา สภาวะคล้ายขุนเขาหนึ่งถล่มลงตู้กู!
เผชิญหน้ากับตราผนึกมารที่ปะทุพลังแกร่งกล้า ตู้กูที่นิ่งเฉยในที่สุดก็เคลื่อนไหว
วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
……
มันสืบเท้าก้าวออกไปอย่างเชื่องช้าแลดูแผ่วเบา หากทว่าทันใดนั้นเองปราณมารมหาศาลพลันปะทุขึ้นมาท่วมร่าง!
ครู่ต่อมาก็คล้ายคนกลับกลายเป็นเงาพราย ยังปรากฏร่างเงาพวยพุ่งออกมาจากร่างนับไม่ถ้วน เพียงเสี้ยวพริบตาน่านฟ้าเหนือหุบเขาก็เต็มไปด้วยเงาร่างตู้กู!
“หมื่นมารรุกราน!”
เพียงกระซิบกล่าวเสียงเบา เงาร่างนับหมื่นของตู้กูก็เริ่มเคลื่อนไหว ทั้งหมดกรูกันเข้าใส่ตราผนึกมารที่พุ่งมาด้วยสภาวะดุร้ายอย่างไร้ครั่นคร้าม!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ทุกที่ทางที่ตราผนึกมารพุ่งผ่าน ทิ้งไว้เพียงเสียงระเบิดสนั่น มวลอากาศวงแล้ววงเล่าปะทุออก ก่อเกิดคลื่นลมแรงพัดพัดจนทุ่งดอกไม้ในหุบเขาล้มเอนไปมาแทบหัก!
ปราณมารยิ่งมายังยิ่งหนาแน่นนัก ยามนี้มองไปคล้ายเมฆทะมึนตั้งเค้า!
ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว!
…
หากแต่เงาร่างนับหมื่นไร้ซึ่งความหวดาหวั่น พวกมันพุ่งกรูกันเข้าหาตราผนึกมารฉับไว บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวของสายลมไม่หยุดหย่อน!
ฟังแล้วยังคล้ายเสียงมารร้ายจากนรกคร่ำครวญอยู่บ้าง
ตราผนึกมารนั้นแต่เดิมก็คิดแต่จะสยบมาร เมื่อต้องเจอกับเงาร่างที่เกิดจากพลังมารเช่นนี้ แน่นอนว่ามันย่อมพยายามพุ่งไปทำลายให้สิ้นซาก!
หากเป็นผู้ฝึกมารที่มีชีวิตมีเลือดเนื้อ เจอตราผนึกมารพุ่งมาแบบนี้คงต้องหวาดกลัวถอยหนี
หากแต่เงาร่างดั่งภูตผีเหล่านี้ ไหนเลยรู้ได้ว่าความกลัวคืออะไร!
แม้ 10 ร่างจะถูกทำลาย แต่นับร้อย พัน หมื่น ยังอยู่!
ไม่นานเงาร่างก็ถูกทำลายไปอีกร้อย…สักพักก็เริ่มเข้าหลักพัน!
“หืม?”
เมื่อเงาร่างของตู้กูถูกทุบทำลายไปพันกว่า เงาร่างที่เหลือก็ค่อยๆเคลื่อนไหวต่างออกไปจากเดิม
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่า เงาร่างเหล่านั้นไม่ได้พุ่งเข้าไปอย่างมุทะลุเหมือนก่อนหน้า!
ตราผนึกมารเดิมทีสามารถพุ่งไปทุบทำลายเงาร่างเหล่านี้ได้ง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับยากขึ้น เพราะเงาร่างที่เคยทุบทำลายได้ง่ายดาย ตอนนี้พวกมันเสมือนคล้ายมีชีวิต…เริ่มรู้จักหลีกหลบ!
บึม!
ตราผนึกมารยังคงปะทุพลังออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ทวีความดุร้ายคึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่ พุ่งไปหมายถล่มทลายเงาร่างให้สิ้น!
ทว่าฉากเรื่องราวเบื้องหน้าครานี้ กลับต้องทำให้ต้วนหลิงเทียนตะลึงแล้วจริงๆ…
เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับเงาร่างที่เคลื่อนไหวราวกับตั้งค่ายกล ตราผนึกมารไม่อาจทุบทำลายเงาร่างใด้เพิ่มแม้แต่ตัวเดียว!
กระทั่งยังคล้ายมันจะถูกเงาร่างนับหมื่นซัดพลังออกมาปะทะเป็นระยะๆ กลายเป็นถูกจำกัดการเคลื่อนไหวไปเสียฉิบ!
เรียกว่ายามนี้เงาร่างนับหมื่นนั่น ราวกับก่อค่ายกลข่ายฟ้าแหสวรรค์ปิดล้อมพัวพันตราผนึกมารเอาไว้ ทำให้มันไม่อาจใช้พลังอานุภาพได้ออก!
“นี่คือเวทย์พลังระดับสูงที่ตู้กูมีงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ด้วยไม่คิดว่าตู้กูที่แท้จะร้ายกาจขนาดนี้ อาศัยเพียงหนึ่งเวทย์พลังก็จัดการตราผนึกมารได้อยู่หมัด!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนตู้กูถึงกล้าพูด ว่าหากคิดใช้ตราผนึกมารฆ่ามัน อย่างน้อยๆต้องบรรลุเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด!
ตู้กูคนนี้นับว่ามีพลังสามารถพอที่จะกล่าววาจาเช่นนั้นได้จริงๆ!!
เมื่อเห็นว่าตราผนึกมารไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไป ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะดันทุรังอะไรสืบต่อ
ตอนแรกเขาคิดว่าหากใช้ตราผนึกมารฆ่าตู้กูได้ จะเป็นการกำจัดปัญหาใหญ่ให้พ้นทาง แต่ไม่คิดเลยว่าตู้กูจะไม่กริ่งเกรงพลังอำนาจของตราผนึกมารแม้แต่น้อย…
เพียงห้วงคิด ตราผนึกมารก็หยุดวุ่นวายกับเงาร่างอะไรอีก พุ่งกลับมาเข้ามือต้วนหลิงเทียนทันที
“ผู้นำตู้กูนับว่าร้ายกาจสมคำร่ำลือ!”
ต้วนหลิงเทียนมองตู้กูด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนที่จะเก็บตราผนึกมารกลับไป
“สหายน้อย…เจ้าเองก็สมแล้วที่เป็นบุตรชายของต้วนหรูเฟิง ยังเยาว์อยู่แท้ๆกลับบรรลุถึงเซียนมนุษย์แล้ว…บางทีวันหน้าเจ้าอาจก้าวข้ามบิดาของเจ้าได้”
ต้วนหลิงเทียนมองพินิจตู้กู ตู้กูเองก็มองหยั่งต้วนหลิงเทียน
และในแววตาที่ตู้กูใช้มองต้วนหลิงเทียนก็แฝงเร้นไปด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ในอดีตมันก็เคยส่งคนไปพยายามจับตัวต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่ได้คิดใช้ชีวิตต้วนหลิงเทียนไปข่มขู่ต้วนหรูเฟิงแม้แต่น้อย เพียงแค่นึกสนุกอยากให้ต้วนหรูเฟิงร้อนรนใจสักครา ลดทอนจิตวิญญาณความห้าวหาญของอีกฝ่ายบ้างอะไรบ้าง
การต่อสู้ระหว่างมันกับต้วนหรูเฟิง มันไม่คิดเล่นสกปรกหรือเล่นนอกเกมส์แม้แต่น้อย!
เช่นนั้นตั้งแต่ต้นจนจบมันจึงไม่ได้มีอคติอะไรกับต้วนหลิงเทียน
กระทั่งยังชื่นชมความสามารถของต้วนหลิงเทียนจากใจ
“ขอบคุณสำหรับคำชมของท่าน ผู้นำตู้กู”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเบาๆ
“หากข้าเดาไม่ผิด…อัจฉริยะรุ่นเยาว์นาม หลิงเทียน ของตำหนักฟ้าลี้ลับก็เป็นเจ้าเองสินะ?”
ทันใดนั้นคล้ายคิดอะไรได้ออก ตู้กูหยีตามองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวถามออกมาทันที
“ไฉนผู้นำตู้กูถึงถามแบบนี้เล่า?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกแปลกใจเป็นธรรมดา เพราะเรื่องนี้มีน้อยคนนักที่รู้
กระทั่งรองผู้นำตลาดมืดหยินชานทั้ง 2 อย่างเฝิงปู่อี้กับจงฉีชานเองก็ถึงกับหันไปมองผู้นำของตัวเองทันที “ท่านผู้นำ นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน คนนี้น่ะหรือ…จะเป็นศิษย์อัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับ หลิงเทียน คนนั้นไปได้?”
เป็นไปได้ด้วยเหรอ?!
เรื่องนี้พวกมันทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“น้องเฝิงเจ้าเองก็เคยไปตำหนักฟ้าลี้ลับมาแล้ว เจ้าสมควรเคยพบกับหลิงเทียนคนนั้น…มันใช่หน้าตาเหมือนนายน้อยตำหนักเมฆาครามหรือไม่? หรือว่ามีผู้ใดใช้หน้าปลอมอันใดทำนองนั้น?”
จงฉีชานส่งเสียงกล่าวถามเฝิงปู่อี้ทันที
เฝิงปู่อี้นั้นได้ทำตามคำสั่งของผู้นำตู้กู จนเดินทางไปยื่นกิ่งมะกอกให้ ‘หลิงเทียน’ ถึงตำหนักฟ้าลี้ลับมาแล้ว เรียกว่าไม่มีใครในตลาดมืดหยินชานจะรู้จักหลิงเทียนดีกว่ามัน!
(ยื่นกิ่งมะกอก = ยื่นข้อเสนอ)
“หลิงเทียนของตำหนักฟ้าลี้ลับผู้นั้น ข้ามั่นใจมากว่ามิได้ปลอมแปลงรูปโฉมแน่…อีกทั้งหลิงเทียนคนนั้นอย่างดีก็แค่มีรูปร่างทรงเดียวกับต้วนหลิงเทียนคนนี้และก็มีชื่อคล้ายกันเท่านั้น แต่ใบหน้ากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่ทั้งคู่เหมือนกันเลย…”
เฝิงปู่อี้กล่าวตอบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“แถมทั้งหลิงเทียนและต้วนหลิงเทียน ก็ไร้ร่องรอยแปลงโฉม…ในเมื่อคนสองคนมีใบหน้าไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย แล้วไฉนท่านผู้นำถึงสงสัยว่าจะเป็นคนๆเดียวกันไปได้?”
จากนั้นเฝิงปู่อี้ค่อยกล่าวเสริมด้วยความสงสัย มันยังงงไม่หายว่าไฉนผู้นำถึงกล่าวออกมาแบบนั้น
“ทำไมข้าถึงถามเรื่องนี้น่ะเหรอ…?”
เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน ตู้กูกล่าวย้อนด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ใบหน้าไม่เผยอารมณ์ใดออกมา “ง่ายนัก…ชื่อของเจ้า แล้วก็คนผู้นี้!”
กล่าวจบตู้กูก็หันไปมองกู่ลี่ที่ยืนข้างๆต้วนหรูเฟิง
“หากข้าจำไม่ผิด บุตรชายของผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นนั้นมีสหายน้อยคนนัก และด้วยพรสวรรค์นั่น คงยากที่จะมีสหายที่ไม่หวังผลประโยชน์…นับประสาอะไรกับสหายรู้ใจ!”
ตู้กูกล่าวออกไม่รีบไม่ร้อน
วาจาไม่กี่คำของมัน ทำให้กู่ลี่สะท้านใจไม่น้อย
แต่เรื่องที่ตู้กูจะล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร
เพราะหากข้อมูลเพียงเท่านี้ยังไม่อาจสืบค้นได้ ก็ไม่คู่ควรจะเป็นผู้นำตลาดมืดหยินชานแล้ว!
“ก่อนหน้าที่หลิงเทียนจะปรากฏตัว ข้าไม่เคยได้ยินว่ากู่ลี่จะคบหาผู้ใดในตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นสหายสักคน…สุดท้ายจึงได้เจอสหายคอเดียวกันเช่นหลิงเทียน อีกทั้งกู่ลี่ก็ได้เดินทางออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับมากว่าครึ่งปีแล้ว และเท่าที่รู้ตอนนี้กู่ลี่สมควรมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคเบื้องบนกับสหาย…ทว่าการที่วันนี้กู่ลี่กลับมาปรากฏตัวที่นี่ได้ เห็นชัดว่าเจ้าสมควรเป็นหลิงเทียนไม่ผิดแน่!”
ตู้กูกล่าวอธิบายพร้อมข้อมูล
สักพัก มันก็กล่าวเสริมสืบต่อ “แน่นอนว่าข้ายังไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเจ้าใช้กลวิธีเลิศล้ำอันใดในการแปลงโฉมกันแน่…”
ต้องกล่าวเลยว่าจากคำพูดของตู้กู ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักอะไรได้หลายอย่าง
ผู้นำตู้กูคนนี้ไม่เพียงมีพลังฝีมือกล้าแข็ง แต่ยังฉลาดไม่น้อย ยังปะติดปะต่อเรื่องราวได้เก่งนัก
ต่อหน้าตู้กู ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนตัวเปล่าคล้ายถูกจับถอดเสื้อผ้าอยู่บ้าง
ความรู้สึกนี้ทำให้เขาอึดอัดพิกล
กู่ลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินการคาดเดาของตู้กูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม
ไม่คิดเลยว่าตู้กูจะเดาได้เพราะเรื่องนี้
กลับกันด้านต้วนหรูเฟิงกับกู่มี่ไม่ได้แปลกใจอะไรสักเท่าไหร่ เพราะพวกมันก็ไม่ใช่ว่าจะพึ่งรู้จักกับตู้กูแค่วันสองวัน
“ข้ากล่าวใดผิดหรือไม่?”
เห็นต้วนหลิงเทียนมองมาแต่ไม่พูดอะไร ตู้กูก็รู้คำตอบแล้ว…
“สมแล้วที่เป็นผู้นำตลาดมืดหยินชาน มีผู้นำตู้กูทั้งคน ไหนเลยตลาดมืดหยินชานจะไม่รุ่งเรืองได้…”
สูดลมหายใจเข้าคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวชมเชยออกมา
“เฮ่ จ้าวตำหนักต้วน ท่านคงไม่ขัดข้องใจอันใดหรอกนะ ที่ได้ยินลูกชายกล่าวชมข้าแบบนี้?”
ได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวชม ตู้กูพลันหันไปยักคิ้วกล่าวถามต้วนหรูเฟิงด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ทั้งภูมิภาคเบื้องล่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าผู้นำตู้กูเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ข้ายังต้องขัดข้องใจอันใด?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวตอบด้วยใบหน้าเฉยเมย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
หลังหยีตามองต้วนหรูเฟิงพักหนึ่ง ค่อยสลับมามองต้วนหลิงเทียน ใบหน้าตู้กูก็กลายเป็นสบายๆไม่ยินดียินร้าย กล่าวออกเสียงเรียบ “เอาล่ะ เช่นนั้นก็ทักทายกันแต่เท่านี้ แยกย้ายกันพักผ่อนเถอะ อีก 2-3 วันเจอกัน…”
หลังจากนั้นตู้กูก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร เลือกบ้านพักหลังหนึ่งและเข้าไปพักผ่อนทันทีไม่สนใจใคร
ปล่อยให้เฝิงปู่อี้กับจงฉีชานยืนอื้ออึงอยู่ตรงนั้น…
‘ผู้นำตลาดมืดหยินชางคนนี้นับว่าอ่านยากจริงๆ…พิลึกคน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
ตอนแรกเขามีอคติกับผู้นำตลาดมืดหยินชานคนนี้ไม่น้อย เพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของบิดา
แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกมีอคติต่ออีกฝ่าย
แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ว่าเขาจะทำตัวเป็นกลางอะไร
หากบิดาเขาสู้กับตู้กู แน่นอนว่าเขาต้องยืนหยัดข้างบิดา
ไม่ใช่เพราอะไรอื่น แต่เป็นเพราะเป็นบิดาเขา!
‘จะ…เจ้านี่ก็คือหลิงเทียนจริงๆงั้นเหรอ?! ตั้งแต่เมื่อใดที่ภูมิภาคเบื้องล่างมีทักษะแปลงโฉมเลิศล้ำเพียงนี้!?’
หากจะถามว่าในที่นี้ใครตกใจที่สุด ก็เห็นทีจะเป็นเฝิงปู่อี้! เพราะมันเป็นคนเดินทางไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับ และยังยื่นข้อเสนอให้ ‘หลิงเทียน’ ด้วยตัวเอง…
ด้วยเหตุนี้มันจึงตกตะลึงกับทักษะแปลงโฉมอันน่าเหลือเชื่อของต้วนหลิงเทียน!
ถึงแม้จงฉีชานเองก็ตกใจ หากแต่ยังไม่เท่ากับเฝิงปู่อี้!
เพราะวันที่พบเจอหลิงเทียน เฝิงปู่อี้ได้ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบละเอียดแล้ว พอมาวันนี้มันก็ใช้สำนึกเทวตรวจสอบใบหน้าต้วนหลิงเทียนเช่นกัน แต่กลับไม่พบอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น