War sovereign Soaring The Heavens 1848-1851
ตอนที่ 1,848 : รูปแบบที่ 2! ทะลวงผ่าน!
แทบจะพร้อมกันกับเสียงนุ่มนวลนี้ดังขึ้น ทั่วร่างจ้าวจินก็คล้ายจะเร่งเร้าโคจรปราณแรกกำเนิดขึ้นมาทันที! อนิจจาก่อนที่มวลปราณทั่วร่างจะทันได้แผ่พุ่งใช้ออก มวลพลังที่ขับเคลื่อนในเส้นชีพจรทั่วกายก็คล้ายจะดับสลายลงในพริบตา…
วูบหนึ่งก่อนมวลปราณแรกกำเนิดทั่วกายของมันจะสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น ปรากฏเสี้ยวจันทร์เลือนลางที่พุ่งพาดผ่านลำคอของมันไป…
และเมื่อเสี้ยวจันทร์ดังกล่าวพาดผ่านลำคอไปแล้ว ร่างจ้าวจินก็หงายหลังไปนอนแน่นิ่งทันที…
“ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ มันก็เท่านี้…!”
เสียงนุ่มนวลดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหายไป
พร้อมกันนั้นเองประตูห้องโถงหลัก กระทั่งหน้าต่างทุกบานก็เริ่มเปิดออกอีกครั้ง เมื่อแสงตะวันสาดส่องเข้ามา…ภาพเรื่องราวในห้องโถงหลักก็กลับมากระจ่างสดใส!
กลางห้องโถงหลักปรากฏร่างชรานอนหงายจมกองโลหิต เห็นชัดว่าเป็นศพไร้วิญญาณศพหนึ่ง…
เจ้าของศพไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวจิน ขอบเขตพลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นต้น…
ตอนนี้มันนองจมกองเลือดโดยมีคอหอยถูกปาดไปกว่าครึ่ง!
นอกจากแผลถูกปาดคอแล้ว หว่างคิ้วของมันปรากฏหนึ่งหยดแดง! สังเกตให้ดีกลับเป็นหยาดโลหิตเล็กๆหยดหนึ่ง!!
ตอนนี้หากมีผู้ใดใช้สำนึกเทวะตรวจสอบหว่างคิ้วจ้าวจินให้ดี จะพบว่ามีรูเล็กๆที่ราวกับเส้นผ่านศูนย์กลางของสายพิณปรากฏอยู่ รูดังกล่าวยังแทงทะลวงหว่างคิ้วจนไปผุดโผล่ท้ายทอย!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เมื่อแสงตะวันส่องโถงสว่างไสวแล้ว องครักษ์เกราะทมิฬหลายนายก็พุ่งเข้าไปทันที
คนหนึ่งสะบัดมือใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้นร่างจ้าวจินทั้งควบคุมไม่ให้เลือดจากลำคอมันทะลักเลอะ อีกคนหนึ่งใช้พลังระเหยโลหิตจนแห้งค่อยม้วนพรหมปูพื้นโถงออก ส่วนคนสุดท้ายก็นำพรมใหม่ที่เตรียมไว้แต่แรกมาพาดปู
เมื่อกลิ่นโลหิตที่ยังฟุ้งในห้องโถงค่อยๆถูกสายลมพัดพาระบายออก ไม่นานห้องโถงหลักก็หวนคืนสู่ความสงบเรียบร้อย คล้ายไม่มีเรื่องราวใดๆเกิดขึ้น
“เจ้าเฒ่านี่ดูเหมือนจะเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ…”
องครักษ์เกราะทมิฬที่หอบหิ้วร่างจ้าวจิน กล่าวกับสหายที่ถือพรมเปื้อนโลหิตขณะเดินออกจากโถงหลัก
“ใช่ เห็นว่ามันเรียกจ้าวจิน อันใดนี่ล่ะ…”
สหายพยักหน้า
“เห็นว่าผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับทั้ง 2 คนล้วนบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นแล้ว…แต่เวลาที่ประตูหน้าต่างโถงปิดตัวจวบจนเปิดออกอีกครั้งกลับผ่านไปไม่ถึง 3 ลมหายใจ…และด้วยบาดแผลที่ลำคอหว่างคิ้วเช่นนี้ มิพ้นผู้ลงมือต้องเป็นใต้เท้าเย่วอู๋หยิ่งแน่!”
อีกคนที่รับหน้าที่ปูพรมกล่าว
ขณะกล่าวถึงคำ เยว่อู๋หยิ่ง ลูกตามันก็เบิกกว้างทั้งทอประกายวาบ
“มิผิด ว่ากันว่าในตำหนักเมฆาครามของพวกเรา นอกจากท่านจ้าวตำหนัก ท่านอาวุโสหรงหยวน ท่านอาวุโสกู่มี่และท่านผู้บัญชาการแล้ว มิมีผู้ใดเคยเห็นท่านเยว่อู๋หยิ่งมาก่อน”
คนแรกสุดที่หอบหิ้วศพจ้าวจินกล่าว
และในวันเดียวกัน ก็มีความประกาศออกมาจากตำหนักเมฆาคราม
“ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับจ้าวจินถูกประหาร เพราะล่วงเกินตำหนักเมฆาคราม!”
ข่าวนี้เมื่อแพร่ออกมาก็นับว่าสร้างความโกลาหลปั่นป่วนกันยกใหญ่
เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่ตายไปก็คือชนชั้นผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้น!
ข่าวล่ามาแรงนี้ หลังประกาศออกมาไม่ทันพ้นครึ่งวันก็ล่วงรู้มาถึงตำหนักฟ้าลี้ลับ!
เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ โดยมีเมิ่งฉิงเป็นผู้นำก็เร่งรุดมาประชุมหารือกันอีกครั้ง
ครั้งสุดท้ายที่ทุกคนมารวมตัวกันเป็นเพราะการตายของรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติง ทว่าวันนี้พวกมันกลับต้องมารวมตัวกันอีกครั้งเพราะการตายของจ้าวจิน ผู้พิทักษ์ของพวกมัน!
การตายของพ่อลูกสกุลจ้าว พาลให้ไก่สุนัขของตำหนักฟ้าลี้ลับเตลิดกันหมด
(อารมณ์ประมาณว่าวุ่นวายมาก! ไม่ใช่แค่คน แต่กระทั่งไก่สุนัขยังพลอยแตกตื่นไปด้วย)
“ข้าเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงรับทราบเรื่องผู้พิทักษ์จ้าวกันแล้ว…ว่าไปล่วงเกินตำหนักเมฆาครามจนถูกประหาร!”
เมิ่งฉิงกล่าวออกเสียงเครียด สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ยังจะให้ดูดีได้อย่างไร
จ้าวจินเป็น 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพี หนึ่งในเสาหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ตอนนี้เมื่อจ้าวจินตกตาย ก็เสมือนเสาหลักต้นหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับทลายลง!
“ใช่”
ทุกคนพยักหน้า
“เรื่องนี้ทุกท่านคิดเห็นเช่นไรบ้าง?”
เมิ่งฉิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าผู้พิทักษ์จ้าวต้องไม่ลงมือวู่วามเป็นแน่ สมควรมีเรื่องเข้าใจผิด!”
รองจ้าวตำหนักคนหนึ่งกล่าวออก
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น!”
หลายคนเห็นด้วยกับมัน
“ผู้พิทักษ์กู่ แล้วท่านเล่าคิดเห็นเช่นไร?”
เมิ่งฉิงหันไปมองถามกู่ซืออวิ๋น ที่ยังคงนิ่งเงียบ
“ข้ากลับไม่เห็นด้วยเหมือนทุกคน…นอกจากนี้ข้าไม่คิดว่าตำหนักเมฆาครามจะลงมือกับผู้พิทักษ์จ้าวอย่างไร้เหตุผล”
กู่ซืออวิ๋นตอบ
“เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน…ข้าจึงคิดจะไปเยือนตำหนักเมฆาครามและตรวจสอบเรื่องราวดูสักครา”
ลูกตาเมิ่งฉิงทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ท่านจ้าวตำหนักอย่าได้!”
“ไม่อาจทำได้! ท่านจ้าวตำหนัก!!”
…
หลายคนถึงกับแตกตื่นไม่น้อย เร่งกล่าวห้ามออกมายกใหญ่
ล้อกันเล่นหรือไง!
เห็นๆกันอยู่ว่าผู้พิทักษ์จ้าวตายในตำหนักเมฆาคราม!
หากจ้าวตำหนักของพวกมันตามไปตรวจสอบเรื่องราวที่ตำหนักเมฆาคราม แล้วถูกฆ่าตายอีกคนขึ้นมา เช่นนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับพวกมันจะยืนหยัดอยู่ต่อไปได้อย่างไร อนาคตของพวกมันจะลงเอยอย่างไรกัน?!
ตำหนักฟ้าลี้ลับที่ไม่มีเมิ่งฉิง ก็เหมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยว!
หากจ้าวตำหนักล้มลงอีกคน เช่นนั้นก็เสมือนไม้ใหญ่หักโค่น ฝูงลิงที่อยู่บนต้นไม้ไม่วายแตกฮือ!
เช่นนั้นพวกมันยินยอมปล่อยเรื่องราวนี้ไปแบบนี้ดีกว่า ที่จะให้จ้าวตำหนักไปเสี่ยงตาย!
เพราะเมิ่งฉิงไม่เพียงแต่จะเป็นจ้าวตำหนักของพวกมันเท่านั้น ยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับอีกด้วย!
“อย่าได้บอกข้าว่าพวกเราจำต้องปล่อยเรื่องราวให้มันผ่านไปเช่นนี้! หากผู้คนรู้ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราไม่ทำอันใดสักอย่างจะให้พวกมันมองพวกเราว่าอย่างไร?”
เมิ่งฉิงกล่าวออกเสียงเข้ม
ทันใดนั้น หลายคนก็เงียบไปทันที
“ท่านจ้าวตำหนัก…”
ในที่สุดก็เป็นกู่ซืออวิ๋นที่ปริปากกล่าวออกมาทำลายความเงียบว่า “ให้ข้าไปเถอะ…หากข้ากลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากไปเยือนตำหนักเมฆาคราม นั่นหมายความว่าตำหนักเมฆาครามไม่ได้คิดมีเรื่องราวบาดหมางกับตำนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา แต่หากข้ามิกลับมานั่นหมายความว่าตำหนักเมฆาครามเจตนารบกับเรา!”
ในห้วงเวลาวิกฤตกลับมีเพียงกู่ซืออวิ๋นคนเดียวที่ยืนหยัดขึ้นมา
สุดท้ายหลังจากถูกห้ามปรามจากอาวุโสทั้งหลาย เมิ่งฉิงก็ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจไปเยือนตำหนักเมฆาครามด้วยตัวเอง..
ได้แต่ปล่อยให้กู่ซืออวิ๋น ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายออกไป!
การเดินทางไปกลับตำหนักเมฆาครามของกู่ซืออวิ๋นกินเวลาไปทั้งสิ้น 10 วันเท่านั้น
และเมื่อกู่วืออวิ๋นกลับมา บรรดาอาวุโสระดับสูงทั้งหลายไม่เว้นเมิ่งฉิงก็รีบมารวมตัวกันอีกครั้งทันที
“เรียนท่านจ้าวตำหนัก การไปเยือนตำหนักเมฆาครามครั้งนี้อีกฝ่ายต้อนรับขับสู้ข้าเป็นอย่างดี…กระทั่งท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง ก็ออกมาให้การต้อนรับข้าด้วยตัวเอง จ้าวตำหนักต้วนยังกล่าวอีกว่าหากว่าง จะมาเยี่ยมเยียนตำหนักฟ้าลี้ลับเราในฐานะแขก แถมจ้าวตำหนักต้วนยังกล่าวบอกอีกว่าหากท่านจ้าวตำหนักให้เกียรติไปเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับ ท่านจ้าวตำหนักต้วนจักให้การต้อนรับท่านอย่างดีด้วยตัวเอง…”
กู่ซืออวิ๋นกล่าวบอกเรื่องราวแก่เมิ่งฉิงต่อหน้าทุกคน
ทันใดนั้นใบหน้าที่ขึงตึงของเมิ่งฉิงก็พอได้ผ่อนคลายลง
“แม้พวกเราจะรู้กันดีว่าการผงาดขึ้นมาของตำหนักเมฆาครามนั้นรวดเร็วนัก แต่เสียงลือกันว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้นี้ก็มิใช่คนที่นิยมใช้กำลังข่มเหงรังแกผู้คนที่อ่อนแอกว่า…มาตอนนี้นับว่าพวกเราได้รับรู้แล้วว่าที่แท้จ้าวตำหนักเมฆาครามเป็นเช่นไร นับว่าไม่หยิ่งยโสเท่าที่คิด…กระทั่งยังมากอัธยาศัยนัก!”
“ใช่! จากที่ท่านผู้พิทักษ์กู่กล่าวมา ไม่คล้ายจ้าวตำหนักต้วนเป็นคนไร้เหตุผลอะไร…กระทั่งยังออกมาต้อนรับท่านผู้พิทักษ์กู่ด้วยตัวเองทั้งๆที่จำหนักเมฆาครามพึ่งมีเรื่องราวกับผู้พิทักษ์จ้าว กระทั่งยังกล่าวราวให้เกียรติตำหนักฟ้าลี้ลับของเรานัก”
“ในความคิดข้า เกรงว่าเรื่องราวครั้งนี้สมควรเป็นผู้พิทักษ์จ้าวต้องไปก่อเรื่องอันใดไว้แน่…กระทั่งเรื่องที่ก่อ ยังมิน่าจะใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว!”
ในบรรดาอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับต่างกล่าวเสนอความเห็นออกมากันมากมาย และจากวาจาไม่มีใครถือหางจ้าวจินแม้แต่น้อย แลดูจะเข้าข้างตำหนักเมฆาครามด้วยซ้ำ
“ผู้พิทักษ์กู่ แล้วท่านได้ถามถึงสาเหตุการลงมือครั้งนี้จากจ้าวตำหนักต้วนหรือไม่?”
เมิ่งฉิงมองกู่วืออวิ๋นอีกครั้ง กล่าวถามออกมาด้วยท่าทางสงสัย
“ข้าย่อมถาม”
กู่ซืออวิ๋นพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ากล่าวถามท่านจ้าวตำหนักต้วนโดยตรง…จากที่ท่านจ้าวตำหนักต้วนกล่าว เห็นว่าวันนั้นอยู่ดีๆจ้าวจินก็บุกรุกเข้ามาในเขตทะเลสาบผานหลง และถามหาจ้าวเติงกับหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬที่ทำการลาดตระเวนอยู่ตอนนั้น…พอหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬทราบเรื่อง ก็บอกให้ผู้พิทักษ์จ้าวรอคอสักพัก…”
“เพราะองครักษ์เกราะทมิฬไม่อาจละทิ้งหน้าที่ลาดตระเวนไปได้ จึงคิดรอให้หมดกะเวลา ค่อยเข้าไปสอบถามที่ศูนย์บัญชาการว่าเป็นหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่ใดที่ลาดตระเวนในช่วงเวลานั้น จะได้ถามหาคนให้ผู้พิทักษ์จ้าว…อนิจจาผู้พิทักษ์จ้าวคิดว่าองครักษ์เกราะทมิฬไม่ไว้หน้า ยังบันดาลโทสะลงมือฆ่าคน!”
“เช่นนั้นหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่ดังกล่าว จาก 10 คนก็มีแต่สือฟูฉางที่สามารถรอดตายได้อย่างหวุ่นหวิด! ส่วนองค์รักษ์เกราะทมิฬอีก 9 คนล้วนตกตายอนาถด้วยน้ำมือของผู้พิทักษ์จ้าว…ด้วยเหตุนี้ยอดฝีมือของตำหนักเมฆาครามจึงออกโรงและลงมือสังหารผู้พิทักษ์จ้าวเสีย…”
กู่ซืออวิ๋นกล่าวเล่าเรื่องราวออกมารวดเดียวจบ นับเป็นการโกหกหน้าตาย กระทั่งตายังไม่กระพริบแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามแม้มันจะแต่งเรื่องโกหกออกมา แต่มันไม่รู้สึกละอายสักนิด!
“บัดซบ! นี่มันจะมากเกินไปแล้ว! ไฉนผู้พิทักษ์จ้าวถึงเหลวไหลเช่นนี้!!”
“ผู้พิทักษ์จ้าวสูญเสียลูกหลานไม่พอยังสูญเสียสติไปแล้วหรือไร! ถึงได้ลงมือวู่วามเช่นนั้น!!”
“นั่นสิ! ผู้พิทักษ์จ้าวลงมือฆ่าคนเหลวไหลเช่นนี้ หากตำหนักเมฆาครามไม่ฆ่า แล้วจะให้ผู้ใดฆ่ากัน?”
……
‘การกระทำ’ ของจ้าวจินนับว่าทำให้ผู้คนมีโมโหแล้วจริงๆ อาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับอดไม่ได้ที่จะก่นด่าทั้งตำหนิมัน
แม้เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่พูดอะไร หากแต่มองจากหว่างคิ้วที่ขมวดย่นเป็นปมก็รู้ได้ทันทีว่าในใจมีโทสะต่อการกระทำของจ้าวจินไม่น้อย
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยกู่ซืออวิ๋นเลย
นั่นเพราะพวกมันไม่มีใครคิดใครฝันว่ากู่ซืออวิ๋นจะปั้นน้ำเป็นตัวออกมาได้หน้าตายเช่นนี้!
แต่แน่นอนว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นความจริงทั้งหมด
มันไปเยือนตำหนักเมฆาครามคราวนี้ จ้าวตำหนักเมฆาครามออกมาต้อนรับขับสู้มันด้วยตัวเองเป็นอย่างดีจริงๆ!
อย่างไรก็ตามที่อีกฝ่ายให้หน้าและปฏิบัติต่อมันด้วยดีราวกับมันเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่ใช่เพราะฐานะผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับแต่อย่างใด…แต่เป็นเพราะมันคือบิดาของ ‘กู่ลี่’ และมันเคยดูแลต้วนหลิงเทียนมาก่อน!
ด้วยประการฉะนี้ เรื่องราวการตายของจ้าวจินก็ปิดฉากลง…
ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่คิดสืบสาวราวเรื่องอะไรอีกต่อไป
และต้องกล่าวเลยว่าเมื่อจ้าวจินกับจ้าวเติงตกตายไปแบบนี้ ตระกูลจ้าวที่เสีย 2 เสาหลักที่ค้ำยันไป ก็เริ่มตกต่ำลงทันตาเห็น!
ไม่กี่วันต่อมาตระกูลจ้าวก็ล่มสลายลง กลายเป็นศิษย์สามัญทั่วไปในตำหนักฟ้าลี้ลับ ไร้ซึ่งอำนาจใดๆอีกต่อไป…บางคนก็ถูกผู้คนรุมกระทืบจนยับ ด้วยเคยใช้อำนาจรังแกผู้อื่นเอาไว้…
ณ เขตที่พักส่วนตัวของต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาคราม
บ้านลานแห่งหนึ่งที่เงียบสงบปราศจากผู้ใดแวะเวียนผ่านมารบกวน
ในมุมเล็กๆหนึ่งบริเวณหลังหัวเตียง ปรากฏฝุ่นเม็ดเล็กๆที่ยากจะมีผู้ใดสังเกตเห็นตั้งอยู่อย่างเงียบงัน แต่หามีใครรู้ไม่ว่าในฝุ่นเม็ดเล็กนั้น กลับมีอีกโลกอยู่ภายใน
“ฮ่าๆๆๆ…ในที่สุดการยกระดับเป็นรูปแบบที่ 2 ก็เสร็จสมบูรณ์เสียที!”
เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นต้วนหลิงเทียนที่สามารถปรับแต่งปีกอีกาทองคำให้กลายเป็นปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ได้สำเร็จ!
“ในที่สุดก็ได้เวลาที่ข้าจะทะลวงขอบเขตอริยะเซียนแล้ว!”
เมื่อปีกอีกาทองคำถูกปรับแต่งให้กลายเป็นรูปแบบที่ 2 ได้แล้วเสร็จ นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องระงับพลังฝึกปรือเอาไว้อีกต่อไป!
เช่นนั้นหลังจากใช้เวลา 3 วัน 3 คืนในเจดีย์ ต้วนหลิงเทียนก็ชักนำพลังให้พุ่งทะลวงด่านที่สมควรทะลวงผ่านได้เนิ่นนานสำเร็จ!
“อริยะเซียนขั้นต้น!”
อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นตื่นเต้นยินดีไม่น้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่าง
‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าสามารถใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำได้…และสามารถทำความเข้าใจเพื่อเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลัง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ ได้เสียที!’
ตอนที่ 1,849 : ความเร็วของปีกอีกาทองคำ!
เนื่องจากปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียน ทำให้แม้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะพึ่งบรรลุอริยะเซียนขั้นต้น หากแต่พลังความแข็งแกร่งกลับเทียบได้กับเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
และด้วยความที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาเทียบได้กับปราณแรกกำเนิดของเซียนมนุษย์ขั้นต้น ทำให้แม้พลังฝึกปรือจะมีเพียงอริยะเซียนขั้นต้น แต่เขาก็สามารถใช้เวทย์พลังออกมาได้!
“ปีกอีกาทองคำ!”
เพียงห้วงคิด แผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนพลันมีปีกสีทองคู่หนึ่งงอกเงยออกมา!
ปีกคู่นี้ควบรวมก่อเกิดจากปราณสุริยันแรกกำเนิด มันจึงส่องแสงสีทองสว่างสดใส มองไกลๆยังคล้ายมีสุริยันดวงน้อยสองดวงลอยล่องอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน
‘จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้ ทันทีที่ข้าบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้น ด้วยอำนาจของปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ความเร็วของข้าจะทัดเทียมกับเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ…ไหนลองดูซิ!’
สิ้นความคิดต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกระตุ้นควบคุมปีกสีทองคู่งามที่แผ่นหลังทันที
มองไปเห็นเพียงปีกสีทองกระพือสะบัดเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!
เพียงเวลาชั่วพริบตา ร่างต้วนหลิงเทียนก็พุ่งไปหยุดห่างจากผนังเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่กี่ก้าว
“โคตรเร็ว!”
ต้วนหลิงเทียนที่ทดลองใช้พลังอำนาจของปีกอีกาทองคำ ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำร่างก็บรรลุถึงขอบผนังเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียแล้ว!
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ความเร็วของเขายังพึ่งเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น…
แต่ตอนนี้ยามใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำที่ยกระดับเป็นรูปแบบที่ 2 แล้ว ความเร็วของเขาก็พุ่งทะยานไปถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ! เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่อาจตั้งตัวได้ทัน เพราะความต่างของความเร็วก่อนและหลังมันมากมายมหาศาลเกินไป!
ประหนึ่งเด็กแรกเกิดที่อยู่ๆก็กลายเป็นผู้ใหญ่ทันที จึงยากจะปรับตัวได้ในเวลาอันสั้น!
“นี่น่ะหรือ…ความเร็วของเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ!”
ต้วนหลิงเทียนคล้ายเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่ ใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำเหินเล่นไปทั่วชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่หยุด!
พริบตาต่อมาร่างเขาก็เหินร่างวนรอบชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติด้วยความเร็วสูง! ทำให้คล้ายจะมีมหาพายุก่อเกิดขึ้นทั่วชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
ร่างต้วนหลิงเทียนเองก็กลมกลืนไปกับพายุดังกล่าว
“เร็วจริงๆ!”
“จะเร็วเกินไปแล้ว!!”
“ให้ตาย! นี่มันเร็วเหลือเชื่อนัก!!”
…
ยิ่งใช้ยิ่งช่ำชองเชี่ยวชาญ ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ถึงความเร็วที่เพิ่มพูนจากเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ ตื่นเต้นไปทั้งวัน กว่าที่อารมณ์ของเขาจะสงบลงได้
ครืนนน!!
หลังจากที่หยุดร่างลง ต้วนหลิงเทียนก็สลายปีกอีกาทองคำทิ้ง หากแต่พายุใต้ฝุ่นอันรุนแรงยังไม่ซาลง
พายุใต้ฝุ่นมหึมาที่กำลังหมุนวนเร็วรี่และมีเส้นรอบวงเท่าพื้นที่ชั้น 3 ของเจดีย์นั้น เกิดจากการเคลื่อนตัวของอากาศที่รวดเร็วเกินไปเพราะการเหินบนวนรอบเจดีย์ของต้วนหลิงเทียน แต่เมื่อไร้การกระตุ้นจากต้วนหลิงเทียน ไม่นานมันก็ค่อยๆซาลงจนหายไป
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ข้อมูลอันเต็มไปด้วยเคล็ดความซับซ้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ
ข้อมูลดังกล่าว แน่นอนว่าเป็นข้อมูลของเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน!
ตอนนี้แม้มองไปคล้ายต้วนหลิงเทียนกำลังนั่งพลับตาพักฟื้นพลัง หากแต่ที่จริงแล้วเขากำลังทำความเข้าใจเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน
เมื่อใจต้วนหลิงเทียนจมดิ่งไปกับภวังค์ทำความเข้าใจ คนก็แน่นิ่งไปเป็นรูปปั้นปางสมาธิกลางหาว!
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
1 วันผ่านไป
2 วันผ่านไป
3 วันผ่านไป
……
ประมาณ 5 เดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนที่นั่งนิ่งสงบไม่ไหวติงมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว
หากมีใครมาอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนตอนนี้ และสังเกตให้ละเอียด คงพบว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในรัศมี 1 โดยมีต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง กำลังพุ่งเข้าร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วเกินจริง!
เรียกว่าราวกับพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายเขากำลังถูกสูบกลืน!
รัศมี 1 หมี่รอบตัวเขา เรียกว่ากลายเป็นสูญญากาศพลังในชั่วพริบตา!
จนเมื่อพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาเติมเต็ม พลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายเขาค่อยๆหวนคืนกลับมา
“เจ๋งจริง! นี่น่ะหรือปฐมเวทย์กลืนกิน!!”
ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนที่แน่นิ่งไม้แม้แต่จะกระพริบตามาตลอด 5 เดือนก็ลืมตาขึ้นมา ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ในเวลาเพียงแค่ 5 เดือน ปฐมเวทย์กลืนกินของข้าก็กล่าวได้ว่าบรรลุความสำเร็จขั้นตอน พื้นฐาน แล้ว…นี่มากพอจะแสดงให้เห็นว่าปฐมเวทย์กลืนกินนี่ช่างเหมาะกับข้านัก!”
หลังบ่นงึมงำไปสักพักก็คล้ายต้วนหลิงเทียนจะเริ่มเข้าข้างตัวเองเสียแล้ว
เขาใช้เวลาไป 5 เดือนก็สามารถทำความเข้าใจ กระทั่งเพาะสร้างใช้งานปฐมเวทย์กลืนกินได้
และหากผู้คนล่วงรู้ว่ามีใครบางคนใช้เวลาเพียง 5 เดือนก็สามารถเพาะสร้างเวทย์พลัง กระทั่งทำสำเร็จจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จพื้นฐาน เกรงว่าคงได้ประหลาดใจกันบ้าง
ต้องไม่ลืมว่า ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ ที่ต้วนหลิงเทียนทำความเข้าใจกระทั่งเพาะสร้างขึ้น ไม่ใช่เวทย์พลังระดับสูงธรรมดาๆ หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปต้วนหลิงเทียนคงได้เป็นประเด็นร้อนอีกครั้งแน่นอน!
5 เดือนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติชั้น 3 นั้น ด้านนอกยังพึ่งผ่านไปแค่เดือนเดียวเท่านั้น
‘นับรวมเวลาที่ข้าใช้ยกระดับรูปแบบที่ 2 ของปีกอีกาทองคำ ทั้งทะลวงด่านพลังจวบจนถึงเพาะสร้างเวทย์พลังปฐมกลืนกิน…ยังเหลือเวลาอีก 8 เดือนในโลกภายนอก ก่อนที่จะถึงกำหนดสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี!’
ณ ตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนยังคงรู้สึกกดดันไม่น้อย
แม้ตอนนี้เขาจะทำความเข้าใจกระทั่งเพาะสร้างเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินไว้ใช้งานได้แล้ว แต่มันยังพึ่งบรรลุขั้นตอนความสำเร็จพื้นฐานเท่านั้น ขอบเขตกลืนกินพลังก็มีแค่ 1 หมี่รอบตัว ยังไม่นับว่าสร้างประโยชน์ให้แก่เขามากสักเท่าไร
‘หลักการ’ ของปฐมเวทย์กลืนกิน คือดูดกลืนพลังมหาศาลรอบกายเพื่อนำมายกระดับพลังในร่างผู้ใช้ ยิ่งรัศมีการดูดกลืนพลังมากเท่าไหร่ พลังงานที่จะได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกันกับชายชราที่เขาพบเจอในบททดสอบสุดท้ายของพื้นที่สืบทอดมรดกเวทย์พลัง
อีกฝ่ายสามารถดูดกลืนพลังในรัศมีกว้างไกล ถึงขั้นยกระดับพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้…!
นี่คือพลังที่แท้จริงของปฐมเวทย์กลืนกิน!
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังนับว่าห่างไกลจากความสำเร็จเช่นนั้น!
“การดูดกลืนพลังงานรอบกายมาเพิ่มพูนให้ตัวเองนับเป็นภาระกับร่างกายไม่น้อย…แต่เพราะร่างกายของข้าแข็งแกร่งกว่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บในด่านพลังเดียวกัน! นอกจากนั้นด้วยชีพจรเซียน 99 สายในร่าง ความสามารถในการแบกรับพลังของข้าต้องเหนือกว่าชายชราคนนั้นแน่!!”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจถึงพื้นฐานของปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว สิ่งที่เขาต้องกระทำต่อไปคือเพิ่มพูนความเข้าใจ บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จที่สูงกว่านี้
“หากร่างกายของชายชรานั่นแข็งแกร่งเท่าข้า แม้มันจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินโดยมีเซียนขัดเกลาขั้นต้นเป็นฐานพลัง แต่พลังฝึกปรือของมันสมควรพุ่งไปถึงขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นได้แน่ๆ!”
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจปฐมเวทย์กลืนกินถึงระดับพื้นฐานแล้วย่อมตระหนักได้ไม่ยาก
ด้วยเหตุนี้ยามเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน เขาจะมีความได้เปรียบเหนือคนอื่นๆที่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินนัก!
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีร่างกายแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาอย่างเขา!
“ในระยะเวลา 8 เดือนหลังจากนี้ ข้าจำต้องออกจากเจดีย์ก่อนถึงกำหนดสักพัก…นั่นหมายความว่าขาคงมีเวลาเหลือในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินี่อีกแค่ราวๆ 3 ปีเท่านั้น”
ในเวลา 3 ปีนี้เขาจะทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางได้หรือไม่…
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่แน่ใจ!
แต่เขารู้ดีว่าต้องสู้สุดใจ!
นอกจากนี้แม้เขาจะเพาะสร้างเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินได้สำเร็จแล้ว แต่เขายังพึ่งมีความสำเร็จในขั้นตอนพื้นฐานเท่านั้น ยังอีกยาวไกลกว่าจะใช้งานจริงให้เกิดผลเลิศล้ำ!
ด้วยเหตุนี้ ตลอด 3 ปีหลังจากนี้ เขาทำได้แค่ทุ่มเทและพยายามให้สุดความสามารถ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้!
นอกจากนี้เขาก็ไม่อาจละเลยการฝึกปรือทำความเข้าใจยอดใจกระบี่ เพราะหากเขาสามารถบรรลุขอบเขตที่ 3 ได้ล่ะก็ พลังฝีมือของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
‘หากมีเวลาเหลือมากพอ ข้าจะลองทำความเข้าใจเวทย์พลัง ‘เซียนอมตะข้ามภพ’ นั่นด้วย…เวทย์พลังนั่นเป็นเวทย์พลังจู่โจมสายกระบี่ หากข้าผสานพลังของยอดใจกระบี่เข้าไปได้ พลังของมันสมควรเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ดังนั้นตลอดระยะเวลา 3 ปีหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงยุ่งนัก ไม่มีแม้แต่เวลาจะออกไปนอกเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…
เวลา 3 ปีในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ด้านนอกก็เป็นเวลา 7 เดือนนิดๆ
ดังนั้นถึงแม้กาลเวลาในเจดีย์จะผ่านไปพ้นไปถึง 3 ปีในมุมมองของต้วนหลิงเทียน แต่ในสายตาของคนอื่นมันก็แค่ 7 เดือนนิดๆเท่านั้น
เนื่องจากเวลามันสั้นเสียเหลือเกิน หลายคนที่ห่วงใยต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
ต้วนหรูเฟิงยังไม่เท่าไหร่
เพราะสุดท้ายแล้วสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี กับตี้จิ่ว ก็เป็นผู้เฒ่าพยากรณ์ชี้แนะให้กระทำ ด้วยความเชื่อมั่นในตัวผู้เฒ่าพยากรณ์รวมถึงความมั่นใจที่บุตรชายเผยออก ทำให้มันเลือกจะเชื่อมั่นว่าบุตรชายต้องสามารถเอาชนะตี้จิ่วได้ แต่แน่นอนว่ามันยังอดไม่ได้ที่จะกังวลในใจอยู่บ้าง…
ส่วนกู่ลี่ที่เคี่ยวกรำตัวเองด้วยการประลองช่วงชิ่งไต่อันดับในแท่นเมฆาครามนั้น มันคิดว่าครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนวู่วามมุทะลุเกินไป จึงอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นแทนต้วนหลิงเทียนอยู่บ่อยครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
มันไม่คิดว่าในเวลาแค่ 8 เดือน ต้วนหลิงเทียนจะสามารถเอาชนะตี้จิ่วได้!
เนื่องเพราะความกังวลใจเรื่องต้วนหลิงเทียน และเพราะคิดจะช่วยเหลือต้วนหลิงเทียน แต่รู้ตัวดีว่ามันยังอ่อนแอเกินไป ทำให้กู่ลี่รู้สึกกดดันไม่น้อย ยังผลให้มันขยันฝึกปรือ กระทั่งทำให้พลังบ่มเพาะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเรื่องที่มันเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน
ยิ่งกดดันยิ่งมีแรงจูงใจ!
คำนี้สามารถใช้อธิบายกู่ลี่ได้ดีทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่กังวลแทนต้วนหลิงเทียนนอกเหนือจากต้วนหรูเฟิงและกู่ลี่
ตัวอย่างเช่นลี่หลัว กับลี่เฟย
แม้ว่าต้วนหลิงเทียนกับต้วนหรูเฟิงจะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้
แต่สัญญานัดหมายประลอง 5 ปีนั่น ในที่สุดก็ถูกเผ่าพันธุ์มังกรแพร่ออกมา!
ถึงแม้ว่าข่าวนี้จะไม่ได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
แต่กระนั้น ลี่หลัวในฐานะภรรยาของจ้าวตำหนักเมหาครามย่อมล่วงรู้!
“8 เดือนหลังจากนี้เทียนเอ๋อกับตี้จิ่วนั่นต้องประลองกันหรือ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ไฉนอยู่ๆเทียนเอ๋อต้องไปประลองชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรอันใดนั่นด้วย? พี่เฟิงไปทำสัญญานัดหมายประลองกับเผ่าพันธุ์มังกรทำไม!?”
ลี่หลัวกับลี่เฟยพากันบุกไปหาต้วนหรูเฟิงทันที เมื่อรับทราบเรื่องราวการประลองและทราบถึงพลังฝึกปรืออันน่ากลัวของตี้จิ่ว!
“พี่เฟิงท่านตอบข้ามาเดี๋ยวนี้! ว่าท่านคิดบ้าอันใดอยู่กันแน่ถึงไปทำสัญญาบ้าๆนี่ให้เทียนเอ๋อได้? ตอนนั้นตี้จิ่วมันก็อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดแล้ว! ป่านนี้มันไม่ทะลวงไปถึงเซียนปฐพีแล้วหรือไร?! ท่านให้เทียนเอ๋อไปประลองชิงสิทธิ์เข้าสระบ้าบออันใดนั่น มิใช่ส่งลูกเราไปตายหรือ!?”
เมื่อพบต้วนหรูเฟิง ลี่หลัวก็กล่าวออกมาน้ำไหลไฟดับ แววตาเผยความโกรธล้นปรี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ตอนที่ 1,850 : ยุคนั้น
ถึงแม้ลี่เฟยจะไม่ได้พูดอะไร แต่นางก็มองจ้องไปยังต้วนหรูเฟิงตาเขม็ง รอฟังว่าต้วนหรูเฟิงจะตอบคำถามของลี่หลัวอย่างไร
นางเองก็ได้เห็นพลังอันน่ากลัวของตี้จิ่วมากับตา!
ในตอนนั้นตี้จิ่วเผยพลังอำนาจดั่งเทพเทวาเข่นฆ่าสังหารผู้คนราวผักปลา ทำลายนิกายหลิงเทียนจนราบพนาสูร!
ผู้บริสุทธิ์บนเกาะป้านเยว่ทั้งเกาะ ตกตายด้วยน้ำมือของมัน!
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลี่เฟยยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจับใจ
“หลัวเอ๋อ…สัญญานัดหมายประลอง 5 ปี เป็นท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ชี้แนะให้ข้าไปทำ…เช่นนั้นเจ้ามั่นใจได้เลยว่าเทียนเอ๋อต้องปลอดภัยแน่!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวปลอบลี่หลัว “ยิ่งไปกว่านั้น วันประลองตามสัญญานัดหมาย 5 ปี ข้าเองก็อยู่ข้างๆเทียนเอ๋อ…ข้าสัญญากับเจ้า…หากวันนั้นหากเทียนเอ๋อมีทีท่าว่าจะสู้ไม่ได้ข้าจะรีบลงมือทันที”
ต้วนหรูเฟิงได้เตรียมตัวอธิบายเรื่องนี้มานานแล้ว จึงสามารถกล่าวปลอบลี่หลัวได้ไม่ยาก
ผู้เฒ่าพยากรณ์! อาวุโสแสนลึกลับ!!
เมื่อได้ยินคำของต้วนหรูเฟิงลี่หลัวก็ตกใจไม่น้อย แน่นอนว่านางรู้จักผู้เฒ่าพยากรณ์ที่สามีกล่าวถึง อีกฝ่ายคือตัวตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งภูมิภาคเบื้องบนและภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
เมื่อนึกถึงผู้เฒ่าพยากรณ์ ทั้งคำรับประกันจากปากของต้วนหรูเฟิง ลี่หลัวจึงเริ่มใจเย็นลง
“ไม่เป็นไรแน่หรือ?”
หากแต่แม้จะใจเย็นลง แต่ลี่หลัวก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ต้องกังวล”
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้าทั้งยืนยันกับลี่หลัว ก่อนที่จะหันไปมองลี่เฟยด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “เฟยเอ๋อเจ้าเองก็วางใจได้เลย…เทียนเอ๋อจะอย่างไรก็เป็นลูกชายข้า ข้าไม่มีวันปล่อยให้ใครทำร้ายเขาได้! โอกาสในการเข้าใช้สระชำระมังกรนั้นสำคัญกับเทียนเอ๋อนัก และเทียนเอ๋อก็เลือกที่จะสู้ด้วยตัวเอง มิใช่ถูกข้าบังคับ…”
ลี่เฟยอาศัยอยู่ในตำหนักเมฆาครามมานานแล้ว เรื่องราวต่างๆนางเองก็ได้รับทราบจากลี่หลัว
เมื่อต้วนหรูเฟิงกล่าวถึงผู้เฒ่าพยากรณ์ นางเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันทีเหมือนลี่หลัว
ยิ่งได้ยินคำรับประกันด้วยท่าทางมั่นใจของต้วนหรูเฟิง นางก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังและคล้อยตามทันที
ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่บุรุษของนางเลือก นางก็ย่อมสนับสนุนเขาเต็มที่
หากเขาปลอดภัยก็ดีไป แต่หากเกิดเรื่องอะไรกับเขาขึ้นมา นางก็ไม่คิดอยู่คนเดียว!
กษัตริย์อยู่คนอยู่ กษัตริย์ตายคนตาย!
นี่คือความรักที่ลี่เฟยมีต่อต้วนหลิงเทียน นางเสมือนแมลงเม่าที่แม้นรู้ว่าบินเข้ากองไฟแล้วต้องตาย แต่นางก็ยินดีที่จะบินเข้าไป! ถึงแม้นี่จะแลดูเป็นการประทำไร้ค่า แต่คิดกระทำยังต้องใช้ความกล้าไม่น้อย
แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ว่า ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลยสักนิด
ตอนนี้เขากำลังขยันตรากตรำอย่างหนักในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
ณ ตลาดมืดหยินชานสาขาหลัก ผู้นำอย่างตู้กูเองก็ได้รับทราบข่าวที่เผ่าพันธุ์มังกรปล่อยออกมาเช่นกัน นับว่าสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีระหว่างบุตรชายของต้วนหรูเฟิงกับตี้จิ่วแห่งเผ่าพันธุ์มังกรเป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับมันนัก นอกจากนั้นมันยังรู้ว่าอีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะถึงเวลานัดหมายแล้ว!!
“ลูกชายของต้วนหรูเฟิงไม่ใช่ว่าหายตัวไปแล้วหรอกหรือ…มันจะมาปรากฏตัวทันนัดหมายประลอง 5 ปีนี่หรือไร?”
ตู้กูสงสัยไม่น้อย
ในตอนนั้นเมื่อข่าวบุตรชายต้วนหรูเฟิงอย่างต้วนหลิงเทียนมีตราผนึกมารในครอบครองแพร่กระจายออกมา มันเองก็ได้สั่งลูกน้องให้ตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียนโดยไม่สนใจค่าใช้จ่าย
ทว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้แม้พวกมันจะไม่ได้หยุดค้นหา แต่พวกมันก็ทำได้แค่คว้าน้ำเหลวและได้ข้อมูลมาแค่เล็กๆน้อยๆเท่านั้น
กระทั่งตอนนี้รอบๆตำหนักเมฆาคราม ตู้กูยังส่งคนไปลอบจับตามองเรื่องราวอยู่ไม่ขาด
การคงอยู่ของคนเหล่านี้คือขัดขวางไม่ให้ต้วนหลิงเทียนกลับตำหนักเมฆาครามได้สำเร็จ
น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหลายปีดีดัก ต้วนหลิงเทียน ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่เคยกลับมายังตำหนักเมฆาครามเลย!
อย่างน้อยๆในสายตาของยอดฝีมือที่ไปจับตาดูรอบๆตำหนักเมฆาคราม ก็ไม่มีใครเห็นต้วนหลิงเทียนกลับตำหนัก
พวกมันไม่ได้รู้เลยว่าไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะกลับมาถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว แต่ยังบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขันในตำหนักเมฆาคราม จนพลังฝีมือก้าวหน้าว่องไว เตรียมพร้อมรับมือสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีที่จะครบกำหนดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า!
ไม่ต้องกล่าวถึงพวกมันด้วยซ้ำ กระทั่งต่อให้ตัวผู้นำตลาดมืดหยินชานอย่างตู้กูมาเอง เกรงว่าคงไม่อาจมองการแปลงโฉมของต้วนหลิงเทียนได้ออก สุดท้ายคงเห็นแค่ว่าชายหนุ่มหน้าตาซือบื้อโง่งมคนหนึ่งหายเข้าไปในตำหนักเมฆาครามเท่านั้น…
นั่นเพราะ ทักษะลับแปลงโฉม ของต้วนหลิงเทียนที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดให้มามันเลิศล้ำเกินไป! เขาจึงกลับมาตำหนักเมฆาครามได้ทั้งๆที่มีสายตาของยอดฝีมือจับจ้องอยู่มากมาย!!
หาไม่แล้วต่อให้ไม่ตายเขาก็ต้องถูกตลาดมืดหยินชานจับตัวไว้
“ท่านผู้นำ ไหนๆช่วงนี้พวกเราก็ว่างกันอยู่ ไฉนพวกเราไม่ไปชมดูเรื่องราวสนุกสนานเล่าขอรับ? ไปดูให้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นที่แท้จะปรากฏตัวขึ้นมาหรือไม่?”
รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน เฝิงปู่อี้ ที่ยืนอยู่ด้านขวาของตู้กูกล่าวเสนอออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพเคารพ
มันไม่อาจไม่เคารพ!
ถึงแม้ผู้นำคนนี้จะมีอายุน้อยกว่ามันมาก แต่พลังฝีมือกลับเหนือล้ำก้าวข้ามมันไปแสนไกล!
ในสายตาของมันทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ที่สามารถทัดเทียมประชันขันแข่งกับผู้นำตลาดมืดหยินชานผู้นี้ของมันได้ในตอนนี้ เห็นทีจะมีเพียงแต่จ้าวตำหนักเมฆาครามคนเดียวเท่านั้น!
สำหรับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เป็นดั่งดาวรุ่งก็เห็นแต่จะมีเพียง หลิงเทียน เท่านั้นที่ในอนาคตสามารถทัดเทียมกับผู้นำของมันได้
“เอาสิ พวกเราไปชมดูเรื่องราวที่เผ่าพันธุ์มังกรกัน”
ตู้กูพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะหยีตากล่าวออก “ต้วนหรูเฟิง ข้าหวังว่าวันนั้นลูกชายเจ้าจะมานะ…ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าลูกชายของปีศาจเช่นเจ้า จะสร้างความประหลาดใจอันใดให้ข้าได้หรือไม่! อืม…วันนั้นจากที่ตี้จิ่วกล่าวไว้ ลูกชายของเจ้ายังไม่แม้จะทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมด้วยซ้ำเมื่อ 5 ปีที่แล้ว!”
ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ด้วยฐานะผู้นำของตลาดมืดหยินชาน ตู้กู ก็คือสุดยอดอัจฉริยะที่นับร้อยนับพันปีจะมีสักคน! ทำให้ตัวมันรู้สึกเหงาด้วยไร้คู่ต่อกรไม่น้อย…กระทั่งในยามอ้างว้างเดียวดาย มันยังยกจอกเมรัยไถ่ถามฟ้าอยู่บ่อยครั้ง ว่าวันใดที่มันจะมีคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อ
จนกระทั่งจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงปรากฏตัวขึ้นมาดั่งฟ้าตอบรับคำขอ…จึงทำให้ชีวิตของมันรู้สึกมีสีสันขึ้นมาทันตา!
ถึงแม้ในแง่หนึ่งมันกับต้วนหรูเฟิงจะถือว่าเป็นคู่แข่งกัน แต่มันกับต้วนหรูเฟิงก็เคารพซึ่งกันและกัน หรืออย่างน้อยๆก็เป็นมันที่ให้ความเคารพอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้แม้จะรู้ว่าบุตรชายของต้วนหรูเฟิงที่แท้จะเป็น ต้วนหลิงเทียนที่ครอบครองตราผนึกมารคนนั้น มันก็ไม่ได้แพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป…
ถึงมันจะรู้ดีแก่ใจว่าหากแพร่เรื่องราวนี้ออกไป ต้องสร้างปัญหาให้ตำหนักเมฆาครามครั้งใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้คิดทำอะไรแบบนั้น…
แน่นอนว่า ตราผนึกมารนั้นมากพอจะดึงดูดยอดฝีมือที่ร้ายกาจจากภูมิภาคเบื้องบน!
ทว่าในสายตาของตู้กู หากจะเอาชนะต้วนหรูเฟิง หรือสยบปราบตำหนักเมฆาคราม มีแต่มันหรือตลาดมืดหยินชายของมันเท่านั้นที่ลงมือ! มันไม่คิดกระทำต่ำช้าอย่างยืมมีดฆ่าคนแต่อย่างใด!!
กระทั่งตัวมันยังดูถูกความคิดยืมมีดฆ่าคนด้วยซ้ำ!
‘ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้ สองจ้าวสยบแดนดิน….ต้วนหรูเฟิง เจ้ากับข้าสักวันต้องซัดกันให้รู้แพ้รู้ชนะสักตั้ง มาดูกันว่าระหว่างพวกเราใครมันจะแน่กว่ากัน! พิกลนัก ใจหนึ่งข้าหวังว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน…แต่อีกใจข้ากลับไม่อยากให้มันมาถึง ข้าจะเหงาอีกหรือไม่? ข้าจะรู้สึกอ้างว้างเดียวดายอีกหรือไม่…หากกระทั่งเจ้าและตำหนักเมฆาครามก็ถูกข้าสยบปราบ?’
ตู้กูกล่าวรำพันในใจอย่างเงียบงัน ‘ต้วนหรูเฟิง…ข้าหวังว่าหากวันนั้นมาถึง เจ้าจะต่อสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี อย่าให้ข้าเอาชนะเจ้าได้เร็วเกินไป! อย่างน้อยๆก็อย่าให้ข้าก้าวข้ามเจ้าไปไกลก่อนที่ข้าจะออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง…’
‘หากเป็นเช่นนั้น…ข้าคงไม่ชินกับการอยู่ภูมิภาคเบื้องล่างโดยไร้คู่แข่งเช่นเจ้า…’
…
ณ สถานที่แห่งหนึ่งของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
สถานที่ตั้งเดิมของ 7 ทวาราเที่ยงแท้
(อันที่ 7 ทวาราเที่ยงแท้นี้…ผมอยากแปลว่า 7 ด่านสุดขั้ว แต่ไม่รู้อันไหนมันเข้ากว่ากัน วันนั้นโยนหัวก้อยก็เลยใช้อันแรก ถ้านึกอยากเปลี่ยนวันไหนจะบอกนะ…)
“ตอนนั้นผู้ใดหนอจะคาดคิด…ว่าวันหนึ่ง 7 ทวาราเที่ยงแท้จักตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้…”
เหนือขึ้นไปกลางเวหานภากาศ ท่ามกลางสายลมยะเยือกที่พัดโชยลิ้วหอบไอเย็นผ่านไปมา ปรากฏร่างชายชราหนึ่งลอยตัวต้านทานลมหนาว สองมือไพร่หลัง สองตาเหม่อมองไปยังซากปรักหักพังเบื้องล่าง ปากกล่าววาจารำพัน ใจหวนคำนึง…
หากต้วนหรูเฟิงมาอยู่ตรงนี้ คงจดจำอีกฝ่ายได้ทันที
ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ผู้เฒ่าพยากรณ์ ที่เป็นดั่งมังกรเทพยาดาเห็นหัวไม่เห็นหาง!
7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น มี 7 ผู้เที่ยงแท้
ชายชรา ผู้เฒ่าพยากรณ์คนนี้ ก็คือเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์!
ตอนนี้มันยังดำรงตำแหน่ง ผู้รักษาการประมุข ของ 7 ทวาเที่ยงแท้อีกด้วย! ที่สำคัญที่สุด มันก็คือคนที่ 3 ลัทธิ ทุ่มกำลังตามล่าหาตัวไปทุกแห่งหน! เรียกว่า 3 ลัทธินั้นอยากฆ่าชายชราผู้นี้ให้ตายถึงขั้นเก็บเอาไปฝัน!
7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น ในอดีตด้วยมีการนำพาของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ผู้สืบทอด หมอกพิรุณ! จึงได้สร้างมรสุมไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!
ในยุคนั้น ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ถูกแบ่งแยกออกเป็น ภูมิภาคเบื้องบนและภูมิภาคเบื้องล่าง…
หากมีผู้ใดกล่าวถามว่า…
ในยุคนั้น 7 ทวาราเที่ยงแท้แข็งแกร่งเพียงใด…
คำตอบในตอนนั้นคงจะเป็น…กระทั่ง 3 ลัทธิยังถูกไล่ต้อน จำต้องหันหน้ามาผนึกกำลังกันเป็นครั้งแรกเพื่อต่อต้าน 7 ทวาราเที่ยงแท้ แต่แม้กระนั้นพวกมันก็ทำได้แค่หนีตายไม่ก็ช่วยกันต้านทานเอาตัวรอดยามพบคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เท่านั้น!
หากพวกมันไม่ผนึกกำลังกันต้านทานแล้วไซร้ ในวันนี้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงไร้ซึ่ง 3 ลัทธิสืบไป…
เช่นนั้นแล้วหากไปถามไถ่ผู้ใดในยุคนั้น ว่าขุมพลังใดคือเอกอุในแดนดิน ทุกผู้คนล้วนต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า…
7 ทวาราเที่ยงแท้!
และในยุคนั้นหากไถ่ถามว่าผู้ใดคือจ้าวผู้อยู่เหนือ สามารถลิขิตเป็นตายได้ทุกสรรพชีวิต ทุกผู้คนก็ล้วนกล่าวออกเป็นเสียงเดียวกันว่า…
เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!
ในยุคนั้นกล่าวไปคล้าย 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้ผลพลอยได้จากนามของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ผู้สืบทอดหมอกพิรุณก็ไม่ปาน…เพราะ 7 ทวาราเที่ยงแท้ต้องพึ่งฟงชิงหยาง ทว่าตัวฟงชิงหยาง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา 7 ทวาราเที่ยงแท้แม้แต่น้อย
เพียงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็พิชิตชัยไร้ผู้ต้านทั่วแดนดินเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
ยุคนั้น 3 ลัทธิผู้มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน ทำได้แค่ผนึกกำลังกันเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
ยุคนั้น เป็นยุคของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง และ 7 ทวาราเที่ยงแท้
จนกระทั่งเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์ ท่องทะยานขึ้นไปโลดแล่นในภพภูมิที่สูงกว่า ยุคดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง…
และจุดสิ้นสุดของยุคดังกล่าวก็ถูกกำหนดให้เกิดการนองเลือด…
3 ลัทธิที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ หลังอดทนกล้ำกลืนความอัปยศมานานปี ในที่สุดพวกมันก็มีโอกาสได้ตอบโต้ระบายความอัดอั้น!
7 ทวาราเที่ยงแท้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงแม้แต่ละคนจะมีพลังฝีมือกล้าแข็ง หากแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ มิอาจทานทนรับการตอบโต้สุดกำลังของ 3 ลัทธิเอาไว้ได้ไหว เพียงเวลาแค่ 3 เดือนทุกสิ่งก็จบสิ้น…
โชคดีที่แม้ 7 ทวาราเที่ยงแท้จะถูกทำลาย แต่มรดกยังไม่ขาดหาย…
นอกเหนือจากการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นโดยคนสู่คนแล้ว การสืบทอดของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ยังเป็นรูปแบบวาสนา ให้โชคชะตานำพา!
คนในยุคก่อนทิ้งมรดกเอาไว้ทั่วแดนดิน รอวันให้ชนรุ่นหลังที่เหมาะสมถูกโชคชะตานำพามาให้พบพานกระทั่งรับสืบทอดต่อไป…
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่ารากฐานของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ยังไม่ถูกทำลาย!
เรื่องนี้แน่นอนว่า 3 ลัทธิเองก็ล่วงรู้ และพวกมันก็หวาดกลัวนักยังตื่นตระหนกไปไม่น้อย เช่นนั้นพวกมันจึงระดมพลและส่งคนกระจายออกไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพื่อตามล่าหามรดกที่ชนรุ่นก่อนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เหลือทิ้งไว้…
พวกมันทั้งหวาดกลัวทั้งกังวล ว่าในภายภาคหน้าจะอุบัติตัวตนที่เป็นเหมือนเซียนกระบี่ฟงชิงหยางขึ้นมาอีกครั้ง และฟื้นฟู 7 ทวาราเที่ยงแท้ขึ้นมาอีกครา! ทำให้พวกมันทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อตามล่าและทำลายมรดกของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อย่างเอาเป็นเอาตาย!
7 ทวาราเที่ยงแท้เป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ฟ้าเดียวกันกับพวกมันได้!
จนกระทั่งถึงยุคที่ดินแดนเทพยุทธืเซียนเต๋าถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค 3 ลัทธิ จึงย้ายรกรากไปลงหลักปักฐานในภูมิภาคเบื้องบน และหยุดค้นหามรดกของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่ถูกทิ้งไว้ในภูมิภาคเบื้องล่าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกมันสงสัยว่าใครที่มีทีท่าว่าจะเป็นคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ และขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบน พวกมันจะฆ่าไม่ละเว้น! ฆ่าคนผิดพันคนไม่เป็นไร แต่พวกมันจะไม่ปล่อยให้คนผิดคนเดียวหนีรอดไปได้!
เช่นเดียวกับผู้สืบทอด เที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์ ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็ถูกขึ้นบัญชีดำของ 3 ลัทธิในภูมิภาคเบื้องบนเรียบร้อย
ไม่ว่ามันไปปรากฏตัวที่ใด ตราบใดที่ 3 ลัทธิรู้ข่าว พวกมันจะส่งยอดฝีมือออกมาไล่ฆ่าชายชราทันที!
“การเข้าใช้สระชำระมังกรครั้งนี้…จักทำให้ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ของพวกเรา เสมือนตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์…ยามเมื่อผู้สืบทอดหมอกพิรุณสามารถผ่านกระบวนการปลุกพลังมังกรได้ล่ะก็! เหอะๆ…ข้าแทบรอดูชมมิไหวแล้ว…”
กล่าวจบร่างผู้เฒ่าพยากรณ์ก็อันตธานหายไปในอากาศว่างเปล่า คงเหลือเพียงถ้อยคำที่ทิ้งไว้ในสายลมหนาว
ตอนที่ 1,851 : จะผายลมยังไม่กล้า!
กาลเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่ทันไรก็เหลืออีกเพียงไม่กี่วันจะครบกำหนด ‘นัดหมายประลอง 5 ปี’ แล้ว…
เหนือทางเข้าถิ่นอาศัยของเผ่าพันธุ์มังกร ปรากฏกลุ่มคนโรยตัวลงมาจากฟ้าด้วยท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางเล็กน้อย
กลุ่มคนดังกล่าวมีชายหนุ่ม 3 คนกับชายชราอีกคน…
เป็นกลุ่มคนของตำหนักเมฆาคราม…ที่นำพามาโดยต้วนหรูเฟิง!
นอกจากต้วนหรูเฟิงที่นำมาแล้ว ยังมียอดฝีมือคนสำคัญของตำหนักเมฆาครามติดตามมาอีกหนึ่ง..กู่มี่!
ส่วนอีก 2 คนนั้นแน่นอนว่าย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่
“น้องหลิงเทียน เรื่องนี้เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นว่าทางเข้า ‘รังมังกร’ อยู่เบื้องหน้า กู่ลี่ก็มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาขึงขังจริงจัง “เรื่องที่เจ้าต้องประลองกับตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บนั่นมิใช่เรื่องตลก! พลาดพลังไปเจ้าอาจตายได้!”
“พี่กู่…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ตอบกลับด้วยท่าทางจนปัญญา “ตั้งแต่ออกเดินทางมาท่านถามคำถามนี้กับข้าจะครบสิบครั้งอยู่แล้ว เรื่องนี้ท่านมั่นใจได้เลย และคำตอบของข้าก็ยังคงเดิม…แถมต่อให้ข้าสู้มันไม่ได้จริงๆ ข้าก็สามารถถอนตัวได้อย่างปลอดภัยแน่นอน…อีกทั้งยังมีบิดาข้าอยู่ทั้งคนท่านยังต้องห่วงข้าอีกรึไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ก็หันไปมองต้วนหรูเฟิง ซึ่งต้วนหรูเฟิงก็หันกลับมาพยักหน้ายืนยันกับกู่ลี่ ค่อยหันกลับไปนำทางต่อ
ไม่กี่วันที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนก็ได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
หลังออกมาจากการปิดด่านแล้ว เขาก็ไปหามารดารวมถึงคู่หมั้นและลูกน้อยทันที ใช้เวลากับครอบครัวอยู่พักหนึ่ง ค่อยติดตามบิดามายังเผ่าพันธุ์มังกร
สำหรับจุดประสงค์การมาเผ่าพันธุ์มังกรครั้งนี้ ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…
บรรลุ สัญญา 5 ปี!
สัญญา 5 ปีที่ว่าก็คือการนัดหมายประลองชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรระหว่างบุตรชายต้วนหรูเฟิงกับตี้จิ่ว!
และหลังจากผ่านไป 5 ปี วันนี้ต้วนหรูเฟิงก็ได้พาบุตรชาย ต้วนหลิงเทียน มาเผชิญหน้ากับตี้จิ่ว ผู้ที่ชนะจะได้เข้าใช้สระชำระมังกร ที่จะเปิดออกทุกๆ 5,000 ปี! มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มังกร!!
หนึ่งในกุญแจเปิดสระชำระมังกรนั้นอยู่กับต้วนหรูเฟิง ซึ่งเป็นเขาริบมาจากผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว สาเหตุเพราะเขาไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์ของเผ่าพันธุ์มังกร!
และมีเพียงต้องใช้กุญแจ 2 ดอกพร้อมกันเท่านั้น ถึงจะเปิดสระชำระมังกรได้
ไม่นานภายใต้การนำของต้วนหรูเฟิง ทั้งกลุ่มก็เหินมาถึงทางเข้าหุบเขามังกร ต่างพุ่งร่างตรงเข้าไปอย่างไม่คิดจะลดความเร็ว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
ตอนนี้เองพลันมีเงาร่างมากมายพุ่งออกมาจากหุบเขา ทั้งหมดเป็นคนของเผ่าพันธุ์มังกรที่คอยลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่โดยรอบ
“จ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง พาบุตรชายมาที่นี่เพื่อบรรลุขอตกลง 5 ปี!”
ไม่รอให้คนของเผ่าพันธุ์มังกรที่เข้ามาอ้าปากกล่าวคำใด ต้วนหรูเฟิงพลันโพล่งคำออกไปเสียงดังฟังชัด ยังดังทะลวงไปถึงหุบเขามังกรด้านหลัง พาลให้เผ่าพันธุ์มังกรที่พุ่งร่างออกมาตกใจไม่น้อย
ต้วนหรูเฟิง!
นั่นไม่ใช่นามของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือไร?!
“เชิญท่านจ้าวตำหนักต้วน”
เมื่อทราบว่ากลุ่มคนเบื้องหน้าคือพวกต้วนหรูเฟิง เคนเผ่ามังกรที่ออกมาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ค่อยต้อนรับขับสู้ด้วยสุภาพ
ถึงแม้ 5 ปีที่แล้วต้วนหรูเฟิงจะบุกมาอุกอาจและไม่ได้ไว้หน้าผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรของพวกมันแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามสุดท้ายการรบแตกหักก็ไม่ได้เกิดขึ้น ทว่าระดับสูงของเผ่ากลับตกลงประนีประนอมและเลือกที่จะให้ บุตรชายต้วนหรูเฟิง ประลองกับตี้จิ่วเพื่อชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรแทน
ต่อหน้าต้วนหรูเฟิงกระทั่งอาวุโสเผ่าพันธุ์มังกรยังต้องยอมลง พวกมันไม่สุภาพได้หรือ?!
หากพวกมันไม่สุภาพเกิดต้วนหรูเฟิงรำคาญใจอะไรขึ้นมา ตบเปรี๊ยงเดียวฆ่าพวกมันอนาถ ไหนเลยเผ่าพันธุ์มังกรจะยืนหยัดเพื่อพวกมัน?
“คนเผ่ามังกรงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ค่อยมองไปยังคนเผ่ามังกรที่กรูกันออกมา เนตรเทวะเปิดใช้งานทันที
เนตรเทวะนี้เป็นทักษะลับที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดให้เขา ไม่เพียงแต่จะมองด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายออก ยังเห็นร่างกายที่แท้จริงอีกฝ่ายด้วย
ความสามารถนี้คล้ายคลึงกับ เนตรอัคคีนัยน์ตาทอง ของผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินซุนหงอคง! ที่สามารถมองเห็นซึ้งถึงทุกสิ่ง!
แต่แน่นอนว่าเนตรเทวะยังอ่อนด้อยกว่า เนตรอัคคีนัยน์ตาทอง ของซุนหงอคงอยู่หลายส่วน
เมื่อเปิดใช้เนตรเทวะแล้ว ในสายตาของต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นว่า…ด้านหลังร่างกลุ่มคนเบื้องหน้าแต่ละคน กลับมีเงาร่างลางๆลอยล่องอยู่ กล่าวให้ชัดมันเป็นเงาร่างมังกร!
‘มังกรเทพยาดา 3 กรงเล็บงั้นเหรอ?’
ขณะเดียวกันจากเงาร่างดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็สามารถระบุจำนวนกรงเล็บ และรู้ถึงระดับของพวกมันได้ทันที
“ยินดีที่ได้พบท่านจ้าวตำหนักต้วน ท่านผู้อาวุโสกู่มี่”
ภายใต้การนำทางของคนเผ่ามังกร พวกต้วนหรูเฟิงก็เหินร่างเข้าไปยังหุบเขาอันเป็นรังมังกรอย่างสะดวก และเข้ามาได้ไม่ทันไรพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล
พร้อมกับเสียงก็ปรากฏร่างชายชราร่างใหญ่มาในชุดสีเขียวขึ้นเบื้องหน้ากลุ่มต้วนหรูเฟิง
“อาวุโสชิงเหยียน”
เมื่อคนของเผ่าพันธุ์มังกรที่ทำหน้าที่นำทางต้วนหรูเฟิงเห็นชายชราในชุดสีเขียว พวกมันก็เร่งประสานมือคารวะทำความเคารพทันที และต่างเหินลอยไปหยุดยืนด้านหลังชายชราอย่างนอบน้อม
“ท่านจ้าวตำหนักน้อย มันคือมังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บเรียกว่าชิงเหยียน เมื่อ 5 ปีที่แล้วด่านพลังมันอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดซึ่งทัดเทียมกับตี้จิ่ว…หากแต่ตอนนี้มันไม่น่าจะเทียบตี้จิ่วได้แล้ว”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงชราดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ
ผู้ที่ส่งเสียงกล่าวบอกตัวตนอีกฝ่ายให้เขารู้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกู่มี่เอง
เมื่อต้วนหลิงเทียนมาอยู่ในตำหนักเมฆาคราม บิดาของเขาก็ได้แนะนำให้เขารู้จักกับกู่มี่เรียบร้อยแล้ว
แต่หากให้กล่าวไป นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้เจอกู่มี่
เจอกันครั้งแรกนั้นเป็นวันที่เขาออกจากแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ
ต่อมาจึงค่อยทราบว่าที่กู่มี่ไปวันนั้นเพราะไปเพื่อยืนยันตัวตนของเขานั่นเอง แต่น่าเสียดายด้วยทักษะแปลงโฉมอันแยบคายของเขา กู่มี่ยากที่จะมองได้ออก
แม้กู่มี่คนนี้จะแลดูเย็นชาไม่สุงสิงกับผู้ใด
แต่ตอนอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนอีกฝ่ายมักแย้มยิ้มอยู่บ่อยครั้งถึงรอยยิ้มจะแลดูน่าเกลียดปานคนร่ำไห้ก็ตามที…
‘มังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บ ชิงเหยียน?’
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ เขาเองก็ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บทันทีที่เข้ามาในรังมังกร
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนจึงเปิดใช้เนตรเทวะทันที
“ฮึ่ม!”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่สำนึกเทวะของเขาจะแผ่พุ่งออกไปตรวจสอบ อีกฝ่ายก็สามารถค้นพบได้ก่อน กระทั่งยังแผ่พุ่งสำนึกเทวะอันร้ายกาจออกมาทำลายสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนโดยตรง!
“อั๊ค!”
หน้าต้วนหลิงเทียนซีดไปทันที ยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะปานโลกหมุน โลหิตตีกลับกระทั่งกระอักออกปากคำใหญ่!
วูบ! วูบ! วูบ!
ทันใดนั้นสีหน้าต้วนหรูเฟิง กู่มี่ และกู่ลี่เปลี่ยนไปทันที
ปงงง!!
ไม่ทราบลงมืออย่างไร หากแต่ตอนนี้กู่มี่วูบร่างหายไปจากจุดเดิม ก่อนที่จะไปปรากฏตัวอีกครั้งในที่ๆชิงเหยียนยืนอยู่เมื่อครู่ ส่วนชิงเหยียนนั้นปลิดปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่าราวลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร!
อั๊ค! อ๊อค!!
……
ชิงเหยียนที่ปลิดปลิวกระเด็นไปกระอักโลหิตไม่หยุด เลือดแดงเรียงเป็นเส้นลากยาวกลางฟ้าแลดูงดงามพิกล ก่อนที่พวกมันจะหล่นร่วงกลับกลายเป็นบุปผางามเบ่งบานกลางหาวในชั่วพริบตา ค่อยกระซ่านกระเซ็นหายไป
“ท่านจ้าวตำหนักน้อยของข้าอุตส่าห์ตรวจสอบเจ้า ก็นับว่าเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว! หากเจ้ากระทำตัวโง่เขลาอีกครั้ง ตาย!”
ไม่ทันไรกู่มี่ก็อันตรธานหายไปอีกครั้ง ค่อยกลับมาหยุดยืนถัดจากต้วนหรูเฟิง ราวกับมันสามารถหายตัวไปโผล่ที่ใดก็ได้ กล่าวออกด้วยสีหน้าเย็นชา พาลให้ผู้คนที่ได้ยินหนาวสะท้านจับใจ
คนเผ่ามังกรที่เหลืออดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนตัวสั่น
กระทั่งผู้อาวุโสของพวกมันยังถูกจัดการง่ายดายเพียงนี้ นับประสาอะไรกับพวกมัน!
ตอนนี้พวกมันหวังเพียงว่าอีกฝ่ายจะไม่พาลมีโมโหมาถึงพวกมัน
“ที่แท้เป็นท่านจ้าวตำหนักน้อยนี่เอง…ข้าไม่ทราบตัวตนของท่านมาก่อน จึงกระทำการล่วงเกินท่านแล้ว ท่านจ้าวตำหนักน้อยโปรดอภัยให้ข้าด้วย…”
ชิงเหยียนที่ถูกซัดสาหัสไม่เพียงไม่โมโห ยังเร่งมองไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาขอขมาออกมา
วาจายังทำราวกับกล่าวออกมาจากใจจริง
เห็นเช่นนี้มุมปากของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกไปวูบหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าให้ชิงเหยียนเบาๆคราหนึ่ง
เมื่อเห็นชิงเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอกราวกับรอดตัวไป ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะเขาคิดตรวจสอบพลังฝึกปรือผู้อื่นด้วยเนตรเทวะก่อนแท้ๆ…เรียกได้ว่าเขาผิดเอง!
การที่เขาไปตรวจสอบผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจนโดนทำลายสำนึกเทวะที่แผ่ออกไป ก็นับว่าเขารนหาที่เอง!
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นเขาบาดเจ็บ กู่มี่ไม่เพียงแต่จะลงมือทุบตีผู้คน กระทั่งยังข่มขูชิงเหยียนจนอีกฝ่ายขอโทษเขาแบบนี้
นี่มันตรรกะอะไรกัน!
“น้องหลิงเทียน หลังจากพวกเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่คุ้นชินอีกหรือ…ชนะเป็นจ้าวแพ้เป็นโจร หากวันนี้ไม่มีอาต้วนกับอาวุโสกู่มาด้วย แม้พวกเราจะไม่ตายก็น่ากลัวจะเลี้ยงไม่โตกันแล้ว…”
กู่ลี่ที่คล้ายแลเห็นความรู้สึกผิดของต้วนหลิงเทียนส่งเสียงกล่าว
“มองให้ดีเถอะ ลึกลงไปในแววตาชิงเหยียนนั่น มันเต็มไปด้วยความคับแค้นใจนัก…”
เสียงของกู่ลี่ยังคงดังต่อเนื่อง
ไม่ต้องให้กู่ลี่กล่าวบอก อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นแล้วว่าลึกลงไปในแววตาของชิงเหยียนนั้นเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ความอึดอัดที่ต้องฝืนทนกล้ำกลืนความอัปยศอดสู กระทั่งยังแฝงเร้นไปด้วยจิตสังหาร
“ว่ากันว่ามังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บทั้งหลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคามภาคภูมิใจในตัวเองสูงล้ำ แต่วันนี้นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ เพราะพวกมันกลับมีความอดทนเป็นเลิศแบบนี้ด้วย”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
“อะไร! มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ?”
ได้ยินเสียงตอบกลับของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ถึงกับตะลึง เร่งส่งเสียงผ่านปราณกล่าวถามออกมาอีกครั้งทันที “น้องหลิงเทียน! เจ้าบอกว่าตาแก่นี่เป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บงั้นเรอะ?!”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ “ก่อนหน้านี้อาวุโสกู่มี่ส่งเสียงมาบอกข้าว่า…มันคือมังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บ เห็นว่าชื่อ ชิงเหยียน ทำไ…”
“มังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บ ชิงเหยียน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวไม่ทันจบคำดี กู่ลี่โพล่งออกมาอีกครั้งด้วยความตกใจ “ข้าเคยได้ยินมาก่อน เห็นว่าพลังฝึกปรือของมันบรรลุเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด…ทว่าด้วยร่างกายที่แท้จริงของมันคือมังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บ พลังฝีมือของมันจึงนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดทั้งภูมิภาคเบื้องล่าง!”
“กระทั่งต่อให้เป็นอดีตจ้าววังนภา จูลู่ฉี ของพวกเรา ยังห่างไกลกว่าจะเทียบกับมังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บชิงเหยียนผู้นี้ได้…ถึงแม้จ้าววังจูจะถูกขนานนามว่าเซียนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับก็ตาม!”
กล่าวถึงจุดนี้กู่ลี่พลันถอนหายใจ “วันนี้ข้าได้เห็นแล้วว่าตำหนักเมฆาครามน่าทึ่งถึงเพียงใด…มังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บไม่กล้าแม้แต่จะผายลมต่อหน้าอาวุโสกู่มี่ด้วยซ้ำ! ไม่เพียงมันจะกล้ำกลืนฝืนทนความอัปยศกระทั่งเป็นฝ่ายกล่าวขอขมาลาโทษต่อเจ้า…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น