War sovereign Soaring The Heavens 1844-1847
ตอนที่ 1,844 : ตะเภาเดียวกัน
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใช้ใบหน้าที่แท้จริง
ก่อนที่จะมาพบกับจ้าวเติง เขาก็ได้เปลี่ยนชุดทั้งรูปโฉมไปเป็นหลิงเทียนเรียบร้อย
“ไม่ใช่?”
ได้ยินคำจ้าวเติงต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางเป็นต้วนหลิงเทียนไปได้ เพียงเพราะเจ้าไม่อาจมองเห็นร่องรอยการปลอมแปลงรูปโฉมใดๆงั้นสิ?”
ก่อนที่จ้าวเติงจะทันได้ตอบคำอะไร สองตามันก็เบิกโพลงปานลูกวัวแรกเกิด เพราะใบหน้าหลิงเทียนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว!
และพริบตาใบหน้าหนึ่งที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา!
หากมันไม่ได้มาเห็นเองกับตา มันคงไม่มีวันเชื่อว่าโลกหล้ามีทักษะปลอมแปลงรูปโฉมพิสดารขนาดนี้!
เห็นอยู่ชัดๆว่ามีการปลอมแปลงรูปโฉม หากแต่สำนึกเทวะกลับไม่อาจตรวจจับร่องรอยอะไรได้เลย!
“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียน!”
หลังจากหายตกตะลึง จ้าวเติงก็พินิจใบหน้าต้วนหลิงเทียนพักหนึ่ง ค่อยตระหนักได้ว่าละม้ายคล้ายเหมือนรูปภาพที่มันเคยได้รับมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนจริงๆ
และชายในรูปภาพที่ว่า ก็คือต้วนหลิงเทียน ผู้ครอบครองตราผนึกมาร!
“ใช่แล้ว ข้าคือ ต้วนหลิงเทียน คนนั้น! ว่าไง? ตอนนี้ท่านรองจ้าวเชื่อแล้วหรือยังว่าข้าเป็นคนฆ่าจ้าวจี้กับมือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอย่างเสียดสี เจตนาล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัด
หน้าจ้าวเติงจมลงโดยพลัน พอมันเห็นต้วนหลิงเทียนหวนคืนสู่รูปลักษณ์เดิมแบบนี้มันก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นความจริง…
ลูกชายมันถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าจริงๆ!
กล่าวให้ชัด ต้วนหลิงเทียนใช้ตราผนึกมารฆ่าลูกชายมัน!
มันยังจดจำได้ดี วันที่พบศพจ้าวจี้ ทั่วร่างกลับไร้ซึ่งบาดแผลอะไร ทว่าในดวงจิตกลับว่างเปล่า…บ่งบอกให้รู้ว่าวิญญาณถูกทำลายสลายไปแล้ว!
และตราผนึกมาร ก็ลงมือสะกดทำลายวิญญาณโดยตรง
ปริศนาทั้งหมด กระจ่างแล้ว…
ในที่สุดมันก็พบตัวฆาตกรฆ่าลูกชายของมัน!
“หลิงเทียน…ไม่สิ ข้าควรเรียกเจ้าว่าต้วนหลิงเทียน!”
จ้าวเติงมองไปยังต้วนหลิงเทียนเขม็ง ตอนนี้ในสายตาของมันนอกจากความเคียดแค้นชิงชังมากอาฆาต ยังเอ่อล้นไปด้วยความละโมบโลภมากต่อตราผนึกมาร “ต้องขอบคุณเจ้าที่ยอมรับว่าเป็นฆาตกรฆ่าลูกข้า…เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าตายอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวด!!”
ขณะพูด ทั่วร่างจ้าวเติงพลันปะทุพลังขุมใหญ่ออกมาทันที มันพุ่งร่างเร็วรี่จี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!
ตอนนี้ในใจจ้าวเติงหลงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น…
ฆ่าต้วนหลิงเทียน ช่วงชิงตราผนึกมารมาเสีย!!
ตราผนึกมารคือ ยอดศาสตราเซียน ที่ติด 1 ใน 10 รายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ทุกผู้คนล้วนบังเกิดความละโมบอยากได้อยากมี จ้าวเติงเองก็ไม่เว้น!
และตอนนี้คล้ายจ้าวเติงจะลืมเลือนไปเสียสิ้นว่ามันอยู่ในห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม
แถมมันไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงกล้าเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา กระทั่งยอมรับว่าฆ่าลูกชายมันตรงๆ!
ตอนนี้เหตุผลในใจจ้าวเติงหายไปไม่มีเหลือ ถูกความแค้นและความโลภเข้าครอบงำหมดสิ้น
“บังอาจ!!”
ร่างจ้าวเติงพึ่งขยับพุ่งไปได้ไม่ทันถึงไหน พลันมีเสียงสนั่นลั่นปานฟ้าผ่าดั่งออกมาจากด้านนอกโถงหลัก ยังดังเสียจนราวกับจะระเบิดแก้วหูผู้คน
หากฟังให้ดีจะพบว่าเป็นเสียงชราเสียงหนึ่ง
วูบ!
ทันใดนั้นปรากฏร่างที่วูบมาคล้ายภูตผีหยุดอยู่เบื้องหน้าจ้าวเติง!
ปงงง!!
ไม่ทราบร่างที่วูบมาปานภูตผีลงมือเคลื่อนไหวอย่างไร หากแต่จ้าวเติงที่พุ่งเข้ามาดั่งสายลมกรรโชกก่อนหน้า กลับกระเด็นปลิดปลิวละลิ่วย้อนกลับไปไม่เป็นท่า
“อั๊ค”
จ้าวเติงที่ตอนนี้นอนหมดสภาพกองกับพื้นกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่รดหน้าตัวเอง มันพยายามเอี้ยวตัวหมายจะลุกขึ้นนั่ง หากแต่กลับไร้ประโยชน์อันใด มันถูซัดจนบาดเจ็บสาหัสเกินไป! ทำได้ชะเง้อหัวขึ้นมาชมดูเรื่องราวเท่านั้น!!
และเมื่อมันมองไปด้านหน้า มันก็พบว่ามีร่างชราหนึ่ง ยืนปกป้องต้วนหลิงเทียนเอาไว้เบื้องหลัง
“หรงหยวน!”
หน้าจ้าวเติงถอดสีทันใด เมื่อเห็นชายชราที่ปกป้องหลิงเทียน
หรงหยวนนั้นเป็นดั่งมือซ้ายมือขวาของจ้าวตำหนักเมฆาคราม ชื่อเสียงเรียงนามทัดเทียมกับกู่มี่!
พลังฝีมือของคนผู้นี้เหนือล้ำเสียจนรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมันไม่มีใครเทียบชั้นได้สักคน!
ยังแข็งแกร่งกว่าอาวุโสผู้พิทักษ์ของพวกมันเสียอีก!
“ท่านจ้าวตำหนักน้อย”
อย่างไรก็ตามเมื่อจ้าวเติงเห็นหรงหยวนหันไปโค้งคารวะทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพเคารพ จ้าวเติงก็รู้สึกหนังศีรษะชาด้านพาลให้อื้ออึงดั่งต้องถูกอัสนียามแล้งฟาดผ่า
ท่านจ้าวตำหนักน้อย?
คนที่หรงหยวนจะเรียกหาว่าจ้าวตำหนักน้อยได้ สมควรมีเพียงบุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามไม่ใช่หรือไร?
หากแต่มันไม่เห็นจะเคยได้ยินว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามมีบุตรชายด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนหลิงเทียน นั่นยังเป็นฆาตกรสังหารบุตรชายคนเดียวของมัน!
“ต้วนหลิงเทียน…ต้วนหรูเฟิง…แซ่ต้วน”
เมื่อจ้าวเติงรู้สึกตัว มันก็พบว่าแซ่ของทั้งสองคนเหมือนกัน ปากพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอย ใจดิ่งลงทันใดสมองครุ่นคิดเรื่องราวเร็วรี่
‘อย่าได้บอกข้าเชียวว่าต้วนหลิงเทียนเป็นลูกชายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง…ช้าก่อน! หากมันเป็นลูกชายจ้าวตำหนักเมฆาครามจริง แล้วมันจะปลอมเป็นหลิงเทียนมาเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับทำอะไร?’
‘หรือมันหมายตาแดนลับเซียน?’
…
จ้าวเติงรู้สึกสับสนงุนงงนัก
มันไม่เคยคิดกระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน ว่าคนที่สกุลจ้าวของพวกมันเห็นเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ และพยายามฆ่าอีกฝ่ายให้ตายมานาน จะเป็นถึงบุตรชายจ้าวตำหนักเมฆาคราม!
“อาวุโสหรง”
โดนผู้ชราคำนับให้แบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าละเลยอีกฝ่าย อย่างไรเสียหรวงหยวนก็เป็นคนสนิทที่ทำงานให้บิดาไม่เอาไหนของเขามานานปี
สำหรับเรื่อง ‘เข้าใจผิด’ ก่อนหน้านี้ หรงหยวนก็ได้อธิบายแล้ว ว่าทั้งหมดเป็นคำสั่งบิดาเขา!
หรงหยวนได้นำกล่องหยกวิจิตรนั่นไปมอบให้ถึงมือบิดาเขาแล้ว และก็เป็นบิดาเขาเองที่สั่งให้หรงหยวนมาสั่งองครักษ์เกราะทมิฬอีกทอดว่าให้ทำอย่างนั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเพราะบิดาอยากทดสอบพลังฝีมือเขา…
เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ หรงหยวนไม่ได้มีเรื่องไหนผิดใจกับเขาเลย
“ท่านจ้าวตำหนักน้อย จะให้ข้าจัดการเจ้านี่อย่างไรดี?”
ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ท่าทางหรงหยวนแลดูสุภาพเรียบร้อยนัก คล้ายเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นเหมือนต้วนหรูเฟิง!
รักบ้านแล้วย่อมรักคนในบ้านด้วย!
“จับตัวมันไว้ เดี๋ยวข้าจัดการมันเอง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ทราบ!”
หรงหยวนพยักหน้ารับคำด้วยเคารพ ก่อนที่จะพลิกฝ่ามือเบาๆสะกดร่างจ้าวเติงที่ไร้หนทางตอบโต้
ด้วยพลังอำนาจขอบเขตเซียนปฐพี จ้าวเติงที่เป็นเพียงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญย่อมไร้หนทางต่อต้านอย่างสิ้นเชิง พริบตามวลพลังก็ชำแรกแทรกซึมเข้าไปในกาย ระงับพลังฝึกปรือของจ้าวเติงได้อย่างชะงัด!
จ้าวเติงที่พยายามจะลุกขึ้นมาด้วยคิดหลบหนี สุดท้ายก็ต้องทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนเดิม
ต้วนหลิงเทียนก้าวเข้าไปหาจ้าวเติงอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อบรรลุถึงข้างร่างจ้าวเติงก็ก้มลงไปมองตาปริบๆ เดาะลิ้นกล่าวถามออกมาอย่างสนุกสนาน “ฮัยยา ท่านรองจ้าวตำหนักจ้าว ตอนนี้ท่านยังไหวรึเปล่า?”
จ้าวเติงที่นอนหมดสภาพ หน้าถอดสีไปทันที
ความเคียดแค้นชิงชังทั้งความโลภในแววตาของมันมลายหายไปหมดสิ้น แทนที่ด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง!
ความคิดแก้แค้นเอย ความโลภหมายครอบคองตราผนึกมารเอย ล้วนถูกโยนทิ้งไว้ด้านหลัง!
ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดสำหรับมันมีเพียงชีวิตของมันเท่านั้น!
เรื่องอื่นล้วนช่างหัวมันเถอะ!
หากตกตายไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย!
“ทะ ท่านจ้าวตำหนักน้อย!”
ทว่าทันใดนั้นเองฉากเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าต้วนหลิงเทียน
จ้าวเติงที่ถูกหรงหยวนใช้พลังสะกดร่างจนไร้พลังฝึกปรือ เสมือนตาแก่ธรรมดาๆคนหนึ่ง เมื่อครู่ยังนอนหมดสภาพอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้ผุดลุกขึ้นมาราวผีลืมหลุม คุกเข่าลงตรงหน้าเขาเสียอย่างนั้น!
“ท่านจ้าวตำหนักน้อย ผู้น้อยจ้าวเติงมีตาแต่หามีแววไม่ ไท่ซานตั้งอยู่เบื้องหน้ากลับมิอาจแลเห็นความยิ่งใหญ่! ผู้น้อยผิดพลาดไปแล้ว! ขอเพียงท่านจ้าวตำหนักน้อยเมตตาละเว้นชีวิตสุนัขของผู้น้อยสักครา ผู้น้อยขอสาบานว่าต่อไปจักมิมีวันล่วงเกินวุ่นวายท่านจ้าวตำหนักน้อยอีก! ผู้น้อยยินดีสาบานให้ฟ้าพิฆาตตายตก!!”
ตอนนี้เรียกว่าจ้าวเติงได้ละทิ้งศักดิ์ศรีใดๆที่เคยมีไปหมดสิ้น ไม่เหลือมาดของรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับแม้แต่น้อย
ตอนนี้ในใจขอมันหลงเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
เอาตัวรอด!
จะอย่างไรก็ต้องเอาตัวเองให้รอด!
มันยังเสพสุขไม่พอ มันยังไม่อยากตาย!
“ให้มันได้ยังงี้สิ ขยะเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูกจริงๆ…ล้วนตะเภาเดียวกัน! จ้าวเติงเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้ากับจ้าวจี้ล้วนกระดิกหางเห่าหอนออกมาภาษาเดียวกันไม่มีผิด ก่อนตายมันก็ร่ำร้องขอความเมตตาเหมือนเจ้า…”
หากจ้าวเติงยังหยิ่งทะนงไม่กลัวความตาย อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนคงรู้สึกนับถือมันอยู่บ้าง
หากแต่การกระทำนี้ของจ้าวเติง ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายนัก
คำพูดต้วนหลิงเทียน จ้าวเติงล้วนได้ยินชัดถนัดหู
ถึงแม้ในใจจะโกรธแค้นเดือดดาลแทบคลั่ง แต่มันก็ได้แต่อดกลั้นกักเก็บไม่กล้าเผยออก ยังคงกระทำตัวต้อยต่ำร่ำร้องขอชีวิตไม่หยุด
“ท่านจ้าวตำหนักน้อย หากท่านเต็มใจผู้น้อยยินดีกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจักเป็น ‘สุนัข’ รับใช้ของท่าน…จากนี้ไม่ว่าท่านให้ทำอะไรผู้น้อยล้วนเชื่อฟัง”
ท่าทางต้อยต่ำเจียมตัวของจ้าวเติง ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับขมวดคิ้วแล้วจริงๆ
นี่ใช่ชนชั้นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจริงๆหรือ?
กู่ลี่ที่ยืนชมเรื่องราวอยู่เงียบๆและไม่ได้กล่าวอะไรออกมานาน พอเห็นการกระทำของจ้าวเติงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ “จ้าวเติง เจ้ามันไม่คู่ควรเป็นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา! เจ้านับว่าทำให้ตำหนักฟ้าลี้ลับของเราเสื่อมเสียทั้งอับอายขายหน้าผู้คนแล้ว!!”
อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกกู่ลี่ตำหนิ แต่จ้าวเติงก็ไม่หืออือแม้แต่น้อย ยังเขย่ามือก้มหัวให้ต้วนหลิงเทียนงกๆ ราวขอทาน
ตอนนี้มันหวังเพียงรอดชีวิตไปให้ได้เท่านั้น
อื่นใดที่เหลือมันไม่สนใจ!
ตอนนี้กระทั่งหรงหยวนยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าความขลาดเขลากลัวตายราวกับไร้กระดูกสันหลังของจ้าวเติง ทำให้มันทนมองไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ท่านจ้าวตำหนักน้อยเมตตาละเว้นชีวิตสุนัขของผู้น้อยสักครั้งเถอะ”
จ้าวเติงยังร้องขอความเมตตาไม่หยุด
“อาวุโสหรง ข้าไม่อยากเห็นมันให้รกนัยน์ตาข้าแล้ว”
แววตาต้วนหลิงเทียนเผยแววขยะแขยงรังเกียจ ตอนนี้เขาไม่อยากมองจ้าวเติงต่อแม้วินาทีเดียว
“เจ้าจะอย่างไรก็เป็นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนหนึ่ง ข้าไม่คิดจริงๆว่าเพื่อชีวิตแล้วเจ้าจะทำตัวน่าสมเพชได้ถึงขนาดนี้! ข้าไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ!!”
“ไม่!!”
ได้ยินคำปรามาสด้วยรังเกียจของต้วนหลิงเทียน สองตาจ้าวเติงเบิกกว้างปานถ้วยชาม ยังเต็มไปด้วยความหวาดผวาเสียขวัญ มันได้แต่โขกหัวลงพื้นระรัว ร่ำร้องออกมาเสียงหลง
อนิจจาด้วยพลังถูกระงับ มันก็ไม่ต่างใดจากปลาบนเขียงรอให้ผู้คนแล่สับได้ตามใจ
ปงง!!
หลังจากป่นร่างจ้าวเติงทิ้งโดยไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี หรงหยวนก็คารวะต้วนหลิงเทียนอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องโถงหลัก
“อาจารย์ลุง”
ถงจ้ง ไป่ฟูฉางแห่งหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬที่ยืนเฝ้าข้างประตูทางเข้าโถงหลัก เมื่อเห็นหรงหยวนเดินออกมามันก็โค้งคารวะด้วยความเคารพทันที
อาจารย์ของถงจ้งก็คือกู่มี่ ผู้ที่มีชื่อเสียงเรียงนามทัดเทียมกับหรงหยวนในตำหนักเมฆาคราม
ถึงแม้หรงหยวนกับกู่มี่จะไม่ได้มีสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเพราะไม่ได้มีอาจารย์คนเดียวกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นสหายอันดีกันมานานปี เรียกว่าเสมือนเป็นพี่น้องกันไปแล้ว
เช่นนั้นศิษย์ของกู่มี่ล้วนเรียกหาหรงหยวนว่าอาจารย์ลุง
ส่วนศิษย์ของหรงหยวนก็จะเรียกหากู่มี่ว่าอาจารย์อา
เพราะอายุของหรงหยวนมากกว่ากู่มี่เล็กน้อย
หลังจากหรงหยวนจากไปแล้ว ในโถงหลักของตำหนักเมฆาครามก็เหลืแต่กู่ลี่กับต้วนหลิงเทียน 2 คน ทั้งคู่หันมามองหน้ากันค่อยเผยยิ้มเจื่อนๆออกมา
“พี่กู่…”
สุดท้ายก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่ทำลายความเงียบเลือกจะกล่าวออกมาก่อน “ข้าต้องขออภัยท่านด้วย แต่ดูเหมือนข้ายังไม่อาจขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมท่านได้ในตอนนี้…เพราะข้าจำต้องรั้งอยู่ที่นี่ไปอีกราวๆ 1 ปีหรือมากกว่านั้น”
อีกสิบเดือนหลังจากนี้…ต้วนหลิงเทียนต้องเดินทางไปยังเผ่าพันธุ์มังกร เพื่อเติมเต็มสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี!
ตอนที่ 1,845 : แท่นเมฆาคราม
“มิเป็นไร แค่ปีหรือปีกว่าข้ารอเจ้าได้ อันที่จริงข้าก็สามารถใช้ช่วงเวลานี้ปรับพลังของข้าให้มั่นคง กระทั่งยกระดับพลังฝึกปรืออีกสักเล็กน้อย…แต่คราวนี้ข้าต้องรบกวนเจ้าที่มีฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาครามสักเรื่อง เจ้าต้องหาสถานที่บ่มเพาะดีๆให้ข้าด้วยเล่า!”
กู่ลี่พยักหน้ารับฟัง ยังกล่าวออกมาด้วยท่าทางสนุกสนาน
ฟุ่บ!
แทบจะทันทีที่กู่ลี่กล่าวจบคำ บังเกิดเสียงแหวกฝ่าสายลมของวัตถุหนึ่ง ที่ราวจะผุดโผล่จากความว่างพุ่งตรงไปทางกู่ลี่
อย่างไรก็ตามความเร็วในการพุ่งนี้ไม่นับเป็นอะไรสำหรับกู่ลี่
เพียงกู่ลี่พลิกฝ่ามือ ก็สามารถรับวัตถุดังกล่าวไว้ได้อย่างง่ายดาย พอชมมองก็รู้ว่ามันเป็นป้ายที่คล้ายจะสร้างจากไม้เนื้ออ่อนที่พิเศษชนิดหนึ่ง ด้านหน้าสลักเลข 9 เอาไว้
ส่วนด้านหลังป้ายเป็นรูปภาพที่มองไปคล้าย แท่นๆหนึ่งที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ และบนแท่นแท่นคล้ายจะมีบ้านศิลาส่วนตัวตั้งอยู่ ฉากหลังเป็นหมู่เมฆสวยงาม…
มุมขวาล่างของป้ายยังมีอักขระจารึกไว้อีก 3 ตัว
แท่นเมฆาคราม
“นี่คือ…กุญแจที่ใช้สำหรับขึ้นแท่นเมฆาคราม แท่นที่ 9?”
กู่ลี่ถึงกับอ้าปากหวอ เพราะมันนึกถึงเรื่องบางประการได้ออก
แท่นเมฆาครามนั้นนับเป็นสถานที่บ่มเพาะอันประเสริฐนัก ยังเป็นสิ่งขึ้นชื่อของตำหนักเมฆาคราม! บนแท่นเต็มไปด้วยค่ายกลรวมพลังวิญญาณฟ้าดิน อีกทั้งค่ายกลยังดูดพลังจากสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 ของตำหนักเมฆาคราม! ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินพร้อมพรั่งบริบูรณ์เอื้อต่อการฝึกฝนบ่มเพาะนัก!!
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงศิษย์ที่เป็นชนชั้นสุดยอดหัวกะทิของตำหนักเมฆาครามเท่านั้นที่จะได้รับอุญาตให้ใช้แท่นเมฆาครามในการบ่มเพาะฝึกฝน
เนื่องเพราะ เมื่อคิดครองแท่นเมฆาคราม…ต้องมีพลังฝีมือสูงพอ!
แท่นเมฆาครามมีทั้งสิ้น 81 แท่น ทั้งหมดลอยล่องอยู่ในเขตน่านฟ้าของตำหนักหลัก นอกจากนั้นพวกมันยังถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ
มีแท่นเมฆาครามระดับสูงสุดอยู่ 9 แท่น พวกมันคือแท่นเมฆาครามหมายเลข 1 ถึง 9
กล่าวกันว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของแท่นเมฆาครามแท่นที่ 1 ถึง 9 นั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าสถานที่สำหรับบ่มเพาะของอาวุโสระดับสูงของตำหนักเมฆาครามเลย!
ทว่าตอนนี้ป้ายอันเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใช้งานแท่นหมายเลข 9 กลับอยู่ในมือของกู่ลี่ และมีเพียงผู้ถือกุญแจเท่านั้นที่จะเข้าใช้แท่นเมฆาครามได้!
รองจากแท่นทั้ง 9 นั้น ยังมีแท่นเมฆาครามอีก 18 แท่น อันเป็นระดับกลาง
สภาพแวดล้อมของแท่นเมฆาครามอีก 18 แท่น เพียงด้อยกว่า 9 แท่นก่อนหน้าเล็กน้อย
ลดหลั่นลงมาจากนั้นก็จะเป็น 54 แท่น ซึ่งมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะด้อยกว่า แท่นเมฆาครามด้านบนทั้ง 2 ระดับ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังเหมาะสมแก่การบ่มเพาะกว่าสถานที่ทั่วไปมาก!
เรียกว่าทั้ง 81 แทน่เมฆาคราม ศิษย์ในตำหนักเมฆาครามล้วนอยากเข้าใช้งานทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ตามหากคิดใช้งานแท่นเมฆาคราม จำต้องเอาชนะผู้ถือกุญแจเข้าแท่นให้ได้เสียก่อน…
หากมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย แม้จะได้กุญแจแท่นมาครอง แต่ก็ไม่วายต้องถูกแย่งชิงไปอยู่ดี
“สมแล้วที่เป็นบุตรชายของผู้พักษ์กู่ซืออวิ๋นแห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้จักแท่นเมฆาครามของพวกเราด้วย นั่นคือป้ายอันเป็นกุญแจเปิดใช้งานค่ายกลของแท่นหมายเลข 9! ข้าได้แจ้งผู้ดูแลไว้แล้ว…ว่าเจ้าจะเข้าใช้แท่นเมฆาครามหมายเลข 9 และศิษย์ตำหนักเมฆาครามจะไม่ไปท้าประลองเพื่อช่วงชิงแย่งป้ายอะไร เจ้าสามารถเข้าพักและบ่มเพาะพลังได้อย่างสบายใจ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมร่างชายวัยกลางคนที่หน้าตายังแลดูหนุ่มก้าวอาดๆเข้ามาในห้องโถงหลัก
ผู้ที่พึ่งมาถึงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน จ้าวตำหนกเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง!
เป็นมันที่โยนป้ายอันเป็นกุญแจของแท่นหมายเลข 9 ไปให้กู่ลี่
“ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นว่าบิดาตัวเองได้จัดการเรื่องราวเอาไว้ให้แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในใจ
“กู่ลี่ ขอคารวะท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม”
ขณะเดียวกันกู่ลี่ก็กลับมารู้สึกตัว และรีบร้อนคารวะทักทายต้วนหรูเฟิงทันที
“ข้าได้ยินมาว่ายามเทียนเอ๋ออยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้ากับพ่อของเจ้าคอยดูแลเทียนเอ๋ออย่างดี…เรื่องนี้ข้ารู้สึกขอบคุณพวกเจ้าพ่อลูกนัก ข้าต้วนหรูเฟิงจะไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้!”
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้ารับคำทักทายกู่ลี่ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสบาย “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเป็นสหายของเทียนเอ๋อก็ไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนไกล เช่นนั้นก็ไม่ต้องมากพิธีเรียกข้าจ้าวตำหนักอะไรให้วุ่นวาย เพียงเรียกข้าว่าอาต้วนเถอะ”
“ได้ อาต้วน!”
กู่ลี่ก็ไม่ใช่คนหัวแข็ง เปลี่ยนคำเรียกหาต้วนหรูเฟิงทันที
และครู่ต่อมากู่ลี่ก็ยื่นป้ายหมายเลข 9 คืนให้ต้วนหรูเฟิง
ภายใต้สายตาไม่เข้าใจของต้วนหรูเฟิง กู่ลี่พลันยิ้มกล่าวออกมา “อาต้วน ข้าได้ยินมานานแล้วว่าแท่นเมฆาครามเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดของตำหนักเมฆาคราม…เช่นนั้นระหว่างที่อยู่ที่นี่ข้าอยากใช้พลังสามารถของตัวเองไขว่ขว้ามัน!”
กู่ลี่เป็นคนตรงไปตรงมา หากได้รับสิทธิพิเศษอะไร กลับทำให้มันรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง
เป็นการประเสริฐกว่าหากพึ่งพาหมัดเท้าและความแข็งแกร่ง แผ้วถางเส้นทางสู่ความสำเร็จด้วยตัวเอง!
ได้ยินวาจาแน่วแน่ของกู่ลี่ ต้วนหรูเฟิงก็ยิ้มและพยักหน้าให้กู่ลี่ด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะรับป้ายหมายเลข 9 คืนกลับมา
“เอาล่ะ หากเจ้าต้องการอย่างนั้นข้าก็ตามใจเจ้า…แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าไว้ก่อนหากเจ้าไม่รับป้ายหมายเลข 9 นี้ไป คงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเจ้านักหากคิดเข้าใช้แท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรก…”
“นั่นเพราะในตำหนักเมฆาครามของเรา มีศิษย์มากมายที่คิดเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬให้จงได้ จึงไม่เลือกรับตำแหน่งอาวุโส…เพราะหากเป็นผู้อาวุโสแล้วจะไม่อาจเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬได้อีก!”
“ที่ข้ากล่าวไป เจ้าเข้าใจที่ข้าจะสื่อหรือไม่?”
วาจาท้ายประโยคของต้วนหรูเฟิงเป็นการถาม
“ข้าเข้าใจดีอาต้วน!”
กู่ลี่พยักหน้า
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ตำหนักเมฆาครามมาสักพักก็รู้ดีว่าที่บิดากล่าวหมายถึงอะไร
เนื่องเพราะมีกฏที่ว่าผู้อาวุโสไม่อาจเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬได้ ทำให้มีศิษย์มากมายนักที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วแต่ไม่รับตำแหน่งผู้อาวุโส! พวกมันอยากเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬให้จงได้!!
ด้วยเหตุนี้หมายความว่าทั้งหมดได้เลือกที่จะละทิ้งสถานที่บ่มเพาะสำหรับผู้อาวุโสไป ทำให้สถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดที่พวกมันจะใช้ได้ก็คือแท่นเมฆาคราม เพราะเรื่องนี้จึงทำให้การแข่งขันชิงแท่นค่อนข้างสูงนัก!
ผู้อาวุโสของตำหนักเมฆาครามแต่ละคน จะได้รับสถานที่บ่มเพาะพลังส่วนตัว และสภาพแวดล้อมก็เทียบได้กับแท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรกที่ดีที่สุด!
ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์มากมายนอกเหนือจากกลุ่มศิษย์ขอบเขตอริยะเซียนที่แข่งขันกันชิงแท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรก…
เช่นนั้นแล้ว ด่านพลังฝึกปรือที่ต้อยต่ำที่สุดที่จะได้ใช้แท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรกนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเซียนมนุษย์ให้ได้ก่อน!
ที่กู่ลี่พูดมาว่าจะใช้ความสามารถของตัวเองชิงแท่นเมฆาคราม…เพราะมันอยากเคี่ยวกรำฝึกฝนตัวเอง!
เพราะบางทีในการประลองช่วงชิงนี้มันอาจเข้าใจบางอย่างแตกฉานบางสิ่ง ซึ่งเป็นอะไรที่การนั่งบ่มเพาะพลังเฉยๆอาจไม่มีวันได้เรียนรู้
ต้วนหรูเฟิงเคารพการตัดสินใจนี้ของกู่ลี่ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็เห็นดีด้วยเช่นกัน
“พี่กู่ท่านก็พยายามเข้าล่ะ ไว้ว่างๆข้าจะไปเยี่ยมท่าน!”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับกู่ลี่ด้วยรอยยิ้ม
“อ้าว? น้องหลิงเทียนเจ้าไม่คิดไปไต่ระดับในแท่นเมฆาครามบ้างหรือ?”
กู่ลี่ยิ้มถามกลับ
“ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะชิง 9 แท่นแรก…แถมเวลาของข้าเองก็มีจำกัดนัก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
หากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ เป็นเรื่องยากสำหรับต้วนหลิงเทียนจริงๆที่จะชิง แท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรกมาได้
แต่หากคิดชิงแท่นเมฆาครามจริง เขาไม่อาจใช้กระบี่นิลสวรรค์ได้!
กระบี่นิลสวรรค์นับเป็นอาวุธสังหาร ไหนเลยจะใช้มันให้นองเลือดได้!
ผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะในแท่นเมฆาคราม ก็คือคนของตำหนักเมฆาคราม เป็นดั่งคนในบ้านของเขา!
ตลอดเวลา 10 เดือนหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ต้องการสถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุด และเขาไม่มีเวลาไปต่อสู้ช่วงชิงแท่นเมฆาครามอะไรแบบนั้น…
นอกจากนั้นเขาต้องเข้าใช้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอยู่ดี จึงต้องการแค่สถานที่อันเป็นส่วนตัวและเงียบสงบเท่านั้น
สถานที่บ่มเพาะเช่นนั้นในฐานะที่มีบิดาเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม ย่อมได้รับมาอย่างง่ายดายนัก
เขาเลยไม่คิดจะไปฝึกฝนโดยการช่วงชิงแท่นเมฆาครามอะไรนั่น
บางทีหลังจากนี้เขาอาจลองไปเล่นดู
แต่นั่นต้องรอให้จบเรื่องสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีก่อน!
“น้องหลิงเทียน เจ้ามีเรื่องร้อนใจอะไรงั้นหรือ?”
กู่ลี่รู้ดีว่าหลิงเทียนไม่ใช่คนกลัวปัญหา ดังนั้นพอได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนมันจึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติประการหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองต้วนหรูเฟิงทันทีที่ได้ยินคำถามกู่ลี่ คล้ายจะขอความเห็นจากบิดา
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้า
“พี่กู่…”
เมื่อได้รับอนุญาต ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวเล่าเรื่องสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีกับตี้จิ่วให้กู่ลี่ฟัง
“อะไร!? มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ตี้จิ่ว!?”
หลังได้ฟังเรื่องเล่าจากปากต้วนหลิงเทียน หน้ากู่ลี่เปลี่ยนสีไปทันที ยังแลดูกระวนกระวายใจไม่น้อย “ไม่ได้! เจ้าไม่อาจไปสู้กับมันได้น้องหลิงเทียน! เรื่องนี้อันตรายเกินไป เจ้าอย่ามุทะลุเลย!”
เรียกว่ากู่ลี่ร้อนรนนัก คล้ายไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนที่จะไปสู้ แต่เป็นตัวมันเองที่จะไปประลองกับตี้จิ่ว!
“พี่กู่ท่านใจเย็นก่อน…ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 10 เดือนข้ามั่นใจว่าทำได้!”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
“มั่นใจกับผีสิ!”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่โพล่งออกมาอย่างไม่ระวังถ้อยคำ “ตี้จิ่วนั่นมันเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ถือว่ามันมีสายเลือดขัตติยะ! แม้มันจะยังไม่โตเต็มที่ แต่ตอนนี้พลังฝึกปรือของมันคงเทียบได้กับอาวุโสที่อ่อนแอที่สุด…ในเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันก็อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด…”
“หลังจากผ่านไป 5 ปี ไม่พ้นมันต้องทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นแน่!”
“แม้จะถอยมาก้าวหนึ่งและมันยังไม่ทันทะลุเซียนปฐพี แต่มันก็จวนเจียนเต็มทีพลังฝีมือย่อมไม่ใช่ชั่ว! มันไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะสู้ได้ถึงมีตราผนึกมารก็ตาม เพราะมันไม่ใช่ผู้ฝึกมาร!!”
กู่ลี่ยังคงกล่าวออกมาด้วยความกลัว
“เช่นนั้น…น้องหลิงเทียนเจ้าอย่าไปตามสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีอะไรนี่เลย! แถมเรื่องนี้ต่อให้แพร่ออกไปก็ไม่มีใครสามารถตำหนิเจ้าได้! ตี้จิ่วนั่นมันอายุมากกว่าเจ้าเป็นรอบด้วยซ้ำ! ตอนมันมีชื่อเสียงไปทั่ว เจ้ายังไม่ทันเกิดเลย!”
กู่ลี่ยังคงโน้มน้าวชักชวนไม่เลิก
“พี่กู่ ท่านไม่ต้องโน้มน้าวข้าแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “พี่กู่…เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านอย่าห่วงไป ท่านเคยเห็นข้าเป็นคนล้อเล่นกับชีวิตรึไง..”
“ท่านเองก็ไม่ใช่พึ่งรู้จักข้า ท่านคิดว่าข้าเป็นคนชอบหาเรื่องใส่ตัวหรือไม่?”
วาจาประโยคหลังที่กล่าวถาม ต้วนหลิงเทียนยังแย้มยิ้มออกมา
กู่ลี่ได้ฟังก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
พอลองมองย้อนกลับไปกู่ลี่ก็พบว่าน้องชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใส่ตัวอย่างไร้เหตุผลจริงๆ
กระทั่งการประลองเป็นตายวันนั้นกับคนของสกุลจ้าว ก็เป็นอีกฝ่ายมาหาเรื่องก่อนทั้งสิ้น สุดท้ายก็เป็นน้องหลิงเทียนของมันก็ฆ่าจ้าวคุนของสกุลจ้าว ยังฆ่าด้วยพลังอำนาจที่ครอบงำอีกฝ่ายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน!
“น้องหลิงเทียน แต่คราวนี้มันต่างกัน…”
กู่ลี่เผยยิ้มขมขื่นออกมา “คู่ต่อสู้ของเจ้าคราวนี้ไม่ใช่จ้าวคุน…แต่เป็นตี้จิ่ว!”
ตอนที่ 1,846 : ตำหนักฟ้าลี้ลับปั่นป่วน!
สุดท้ายกู่ลี่ก็ล้มเหลวในการโน้มน้าวใจต้วนหลิงเทียน
อันที่จริงเรื่องนี้คงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจต้วนหลิงเทียนได้ เพราะตัวเขามีความมั่นใจว่าสามารถกระทำได้สำเร็จ…ต้องเอาชนะตี้จิ่วและชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรนั่นมาได้แน่!
หลังจากพากู่ลี่ไปส่งแถวๆแท่นเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนก็กลับตำหนักหลักพร้อมบิดา ก่อนจะแยกไปพักยังบ้านที่มารดามาตระเตรียมไว้ให้
ในตำหนักเมฆาคราม นอกจากสระวิญญาณ สถานที่บ่มเพาะพลังของต้วนหรูเฟิงนับว่าเป็นสถานที่ๆดีที่สุด เพราะมันเชื่อมต่อกับสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 โดยตรง
สถานที่แห่งนี้ยังฟุ้งตลบไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินตลอดทั้งปี คล้ายหมอกที่ปกคลุมเขาเขียว
อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการของต้วนหลิงเทียน สถานที่พวกนี้ยังไม่เพียงพอ กระทั่งสระวิญญาณยังไม่พอด้วยซ้ำ!
เพราะแม้เขาจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณเหลวในสระวิญญาณจนหมดได้ในเวลาอันสั้น แต่สุดท้ายยามมันหมดลงก็จะเกิดการขาดห้วงของพลังวิญญาณฟ้าดินทันที สุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อความเร็วในการบ่มเพาะของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาจะเข้าใช้สระวิญญาณทั้งหมดของตำหนักเมฆาครามก็เกรงว่าจะไม่พอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกจะบ่มเพาะอยู่ในบ้านพักส่วนตัว ที่ตั้งอยู่ในเขตบ้านพักของบิดาอย่างเงียบงัน
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมาอยู่ในตำหนักเมฆาครามสักพักแล้ว แต่เรื่องราวของเขาก็ยังไม่ได้แพร่กระจายออกไป
กระทั่งในตำหนักเมฆาครามเองก็มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ว่าเขาเป็นจ้าวตำหนักน้อย
จนถึงตอนนี้คนที่รู้ว่าตำหนักเมฆาครามมีนายน้อยแล้ว นอกจากบิดาเขาก็มีแต่อาวุโสระดับสูงที่เป็นคนสนิทบิดาเขาไม่กี่คน
และยังมีน้อยคนนักที่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในตำหนักเมฆาครามแล้ว!
เห็นผลที่ไฉนเรื่องราวของเขาจึงเงียบเชียบคล้ายคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่หวือหวานั้น…ทั้งหมดเพราะ ตราผนึกมาร!
ตราผนึกมารคือ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่พ้นต้องถูกยั่วยวนใจให้อยากได้อยากมี!
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนและตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงจึงไม่ได้แพร่กระจายข่าวว่าบุตรชายของมันคือต้วนหลิงเทียนออกไป เพราะนามต้วนหลิงเทียนเป็นอะไรที่อ่อนไหวนักในภูมิภาคเบื้องล่าง
ตราบใดที่เอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมา ทุกคนจะนึกถึงตราผนึกมารทันที!
‘ภารกิจเร่งด่วนของข้าตอนนี้คือรีบเพาะสร้างรูปแบบที่ 2 ของปีกอีกาทองคำให้เสร็จ…หลังจากนั้นจะได้ทะลวงไปยังขอบเขตอริยะเซียน! และเพาะสร้างเวทย์พลังทั้งหมด! แถมด้วยเวลาที่มีคิดทะลวงให้ถึงอริยะเซียนขั้นกลางก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร!’
แม้จะฟังเหมือนต้วนหลิงเทียนมั่นใจ…
แต่ปฐมเวทย์กลืนกินเพาะสร้างง่ายนักหรือ?
อริยะเซียนขั้นกลางคิดจะทะลวงผ่าน ก็ทะลวงผ่านได้ทันทีรึไร?
หากเขาไม่อาจทำความเข้าใจจนเพาะสร้างปฐมเวทย์กลืนกินได้สำเร็จ และไม่อาจทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางได้…นอกจากใช้กระบี่นิลสวรรค์แล้ว เขาจะเอาอะไรไปสู้กับตี้จิ่วได้?
หากไม่ได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน และไม่อาจบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง ต่อให้เขาจะทำความเข้าใจจนบรรลุขั้นที่ 3 ของยอดใจกระบี่ แต่ถ้าไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์เขาก็เอาชนะตี้จิ่วไม่ได้อยู่ดี เพราะตอนนั้นถึงเขาจะใช้ปีกอีกาทองคำ จนมีความเร็วเหนือมันได้…
แต่ในด้านพลังโจมตีเขาจะไม่ได้มีเปรียบอะไรเลย!
ถึงตอนนี้ในด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเดียวกันเขาจะแข็งแกร่งกวามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ และมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บก็เทียบเขาไม่ได้
ทว่าแม้เขาจะทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลาง แต่ร่างกายของเขาก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บในขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น
แม้มังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บจะแกร่งกว่ามังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บทั่วไป ทว่าความแข็งแกร่งของร่างกายมังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บในขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญจะไปเทียบอะไรกับมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บที่ขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้?
ต้องทราบด้วยว่ามังกรเทพยาดาสีทอง คือสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มังกร ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดพวกมันล้วนเหนือกว่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ!
‘ข้าเกือบลืมไปแล้วไง…ความแข็งแกร่งของร่างกายตี้จิ่ว ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนมนุษย์จะเทียบได้เลย!’
พอคิดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายตี้จิ่วขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นขึงขังทันที
ก่อนหน้านี้บ่อเกิดแห่งความมั่นใจของเขา เพราะคิดว่าเขากำลังจะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดหรือเซียนปฐพีขั้นต้น…
แต่ตอนนี้เขาพึ่งนึกได้ว่า…ตี้จิ่วมันคือมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ!
ลำพังมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ร่างกายมันก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวแล้ว….
เช่นนั้นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นเล่า?
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนพลันรู้สึกว่าหนังศีรษะกลายเป็นชาด้านทันที
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันไร้สภาพประการหนึ่งกำลังห้อมล้อมบีบคั้นมาจากทุกทิศทาง มันหนักอึ้งจนเขาแทบหายใจไม่ออก!
เผชิญกับแรงกดดันนี้ ต้วนหลิงเทียนเร่งเข้าไปในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนำไปเพาะสร้างปีกอีกาทองคำให้ยกระดับสู่ รูปแบบที่ 2 โดยเร็วที่สุด!
ปีกอีกาทองคำบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ใช้เวลาไม่นานมันก็ยกระดับกลายเป็น ปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ได้สำเร็จ!
ตอนนี้เขาไม่ต้องระงับพลังฝึกปรืออีกต่อไป โคจรสั่งสมพลังอีกครั้งก่อนชักนำพลังในร่างให้ไหลเชี่ยวปานน้ำหลาก ทะลวงสู่ขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นได้ในคราวเดียว!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง ทั้งเพาะสร้างเวทย์พลังนั้นเอง ตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ไกลห่างก็บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมา
“เติงเอ๋อ…เติงเอ๋อ!!”
มองไปยังไข่มุกวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยงในพานเบื้องหน้า ลูกตาของอาวุโสผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวจิน ถึงกับเบิกกว้างปานลูกวัวแรกเกิด
หลังจากนั้นในดวงตาก็คล้ายมีเส้นโลหิตฝอยสีแดงแผ่ขยายลุกลามไปทั่ว ก่อนที่จะกลับกลายเป็นแดงฉานทั้งลูกตา!
ปง! โครม! ตูม! เพล๊ง!!
…
ชุดคลุมจ้าวจินกระพือขึ้นราววิหกกระพือปีก ผมสีดอกเลายังสยายไปในลมดั่งอสรพิษ ข้าวของเครื่องใช้ ถ้วยชามภาพวาด ฉากกั้นในห้องล้วนปลิดปลิวกระเด็นจนพังเสียหายไม่เหลือชิ้นดี! เสียงข้าวของแตกหักยังแข่งกันดังสนั่นไปทั่ว!!
“ไม่ว่าเป็นผู้ใด ข้าจะฆ่ามันให้ตาย! ฆ่ามันให้ตาย!!”
จ้าวจินคำรามเสียงต่ำในลำคอ ลูกกระเดือกกระดกขึ้นลงให้เห็นชัด แม้เสียงจะไม่ดังอะไรมากมาย…หากแต่แฝงเร้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟันขุ่นคลั่ก!
ไข่มุกวิญญาณที่แตกไปนั้น ไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นของจ้าวเติงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ…ลูกชายของมัน!
แน่นอนว่าจ้าวจินไม่รู้ว่าจ้าวเติงออกเดินทางไปยังตำหนักเมฆาคราม
จ้าวเติงที่เดินทางไปถึงตำหนักเมฆาคราม ไม่ทันได้ส่งสัญญาณอะไรมันก็ต้องตกตายไปเสียก่อน
ในเวลาไม่ถึงเดือน แต่จ้าวจินต้องพบพานกับการสูญเสีย หลานชาย และบุตรชายเพียงคนเดียว นี่นับว่าเคี่ยวกรำจิตใจมันหนักหนาสาหัสนัก! คนสติดีๆกลับกลายเป็นคุ้มคลั่งอาละวาดทำลายของในบ้านปานคนบ้า!!
และในขณะจ้าวจินคุ้มคลั่งอาละวาดดั่งคนบ้า คนของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ปวดหัวเช่นกัน!
จ้าวเติงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับไม่เพียงแต่มีไข่มุกวิญญาณเก็บไว้ที่บ้านเท่านั้น แต่ในโถงวิญญาณของตำหนักก็มีเก็บไว้เช่นกัน
และวันนี้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มีเวรมาเฝ้าโถงวิญญาณ ก็อยู่ในเหตุการณ์ที่ไข่มุกวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงพอดี!
หน้ามันเคร่งขรึมขึ้นเปลี่ยนสีไปทันใด เมื่อรับทราบว่าเป็นไข่มุกวิญญาณของใคร ก็เร่งรุดรายงานไปยังเบื้องสูงทันที!
ไม่มีกำแพงใดในโลกกั้นลมได้ตลอดไป…
เมื่อมีการรายงานเบื้องสูง เช่นนั้นระหว่างผู้นำสารไปรายงานก็มีการแพร่ข้อมูลออกมา สุดท้ายเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับดั่งพายุใต้ฝุ่น!
“เฮ้! พวกเจ้าได้ยินรึยัง ว่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเติงตกตายแล้ว!!”
“อะไร!? เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดไฉนข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย! รองจ้าวตำหนักจ้าวเติงมิใช่มีบิดาเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์หรือไร ไฉนยังถูกฆ่าได้…ข่าวมั่วรึเปล่า!?”
“ข่าวสมควรเป็นจริง! เพราะเห็นว่าไข่มุกวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว…”
“ใครกันที่หาญกล้าฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเติงเช่นนี้?”
…
ในขณะที่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับตื่นตระหนกกับข่าวความสูญเสีย จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ก็ได้รับรายงานเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ยังเรียกระดมพลอาวุโสระดับสูงทั้งหมดทันที
ในบรรดาอาวุโสระดับสูงเหล่านี้ ที่มีฐานะต้อยต่ำที่สุดก็คืออาวุโสของยอดเขาวังทั้ง 4 สูงขึ้นมาก็คือชนชั้นรองจ้าววัง ต่อมาเป็นชนชั้นรองจ้าวตำหนัก ถัดไปก็อาวุโสผู้พิทักษ์แล้ว…
เมื่ออาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นมาถึง ก็เรียกว่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับมากันพร้อมหน้า ขาดก็แต่จ้าวจินคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักจ้าวจินก็มาถึง
“ข้าเสียใจด้วยอาวุโสจ้าว”
เมิ่งฉิงระบายลมหายใจออกมาทันที เมื่อเห็นสภาพจ้าวจิน ยังเร่งกล่าวปลอบออกไป
“เสียใจด้วยอาวุโสจ้าว”
หลังจากเมิ่งฉิงกล่าวคำแสดงความเสียใจ อาวุโสคนอื่นๆไม่เว้นกู่ซืออวิ๋นก็เริ่มกล่าวออกไปเช่นกัน
แน่นอนว่าบางคนเพียงกล่าวไปอย่างนั้น ในใจลอบลิงโลดยินดีไม่น้อยที่จ้าวเติงตกตาย กระทั่งแววตายังเผยประกายลุกวาวชัดเจน
“ขอบคุณทุกท่าน…”
เสียงจ้าวจินนับว่าเย็นชานัก ให้บรรยากาศราวกับจะผลักไสผู้คนให้ห่างไกลออกไปสักพันลี้
“อาวุโสจ้าว ข้าเรียกทุกคนมารวมกันเพื่อหารือเรื่องการตายของรองจ้าวตำหนักจ้าว…ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามที่ฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าว ตำหนักฟ้าลี้ลับเราไม่มีวันปล่อยมันไปง่ายๆ!”
เมิ่งฉิงกล่าว
“เอาล่ะเป็นธรรมดาที่พวกเราจำต้องหาตัวฆาตกรผู้ลงมือสังหารรองจ้าวตำหนักจ้าวให้ได้เสียก่อน…มีผู้ใดมีเบาะแสอันใดหรือไม่?”
เมิ่งฉิงว่ายตามองไปยังทุกคนในโถงประชุม
“เรียนท่านจ้าวตำหนัก”
ทันทีที่เสียงถามเมิ่งฉิงดังจบคำ พลันมีอาวุโสคนหนึ่งของวังปฐพีประสานมือกล่าวออกทันที “ไม่กี่วันที่แล้วข้าอยู่เวรเฝ้าระวังพื้นที่พอดี จึงได้เห็นรองจ้าวตำหนักจ้าว เดินทางออกจากตำหนักและมุ่งหน้าลงใต้…จริงสิ ก่อนหน้าไม่กี่ลมหายใจบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่ กู่ลี่ ก็ออกจากตำหนักและมุ่งหน้าลงใต้ด้วยเช่นกัน”
ตำหนักฟ้าลี้ลับนั้น วังทั้ง 4 อันได้แก่ วังนภา ปฐพี ลี้ลับ เหลือง จะตั้งแยกย้ายกันไปตามทิศทั้ง 4 เหนือ ใต้ ออก ตก
คิดมุ่งหน้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับทางทิศใต้ จำต้องผ่านวังปฐพีเสียก่อน
“มุ่งหน้าลงใต้งั้นหรือ?”
เมิ่งฉิงขมวดคิ้วถาม
ได้ยินคำรายงานของผู้อาวุโสวังปฐพี สีหน้าของกู่ซืออวิ๋นเปลี่ยนไปทันใด ใจยังสะท้านสะเทือนไปไม่น้อย ‘จ้าวเติงกลับออกเดินทางหลังลี่เอ๋อไม่นาน…ไม่พ้นมันต้องตามลี่เอ๋อไปเพราะคิดหาเบาะแสเสี่ยวเทียนแน่!’
ในฐานะที่เป็นถึงอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ กู่ซืออวิ๋น เรียกได้ว่าเป็นมือเก๋าคนหนึ่ง จึงไม่ยากที่จะคาดเดาเรื่องนี้ได้ออก…
กระทั่งพอคิดไปแล้วยังอดหลั่งเหงื่อเย็นแทนบุตรชายเสียไม่ได้
อย่างไรก็ตามพอตระหนักได้ว่าไข่มุกวิญญาณของจ้าวเติงแตกไปแล้ว แต่ของกู่ลี่ลูกชายมันยังอยู่ดี กู่ซืออวิ่นก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะพอจะคาดเดาได้แล้วว่าจ้าวเติงตกตายเพราะอะไร…8 ใน 10 ส่วนล้วนไม่พ้นตำหนักเมฆาคราม!!
แน่นอนว่าถึงแม้กู่ซืออวิ๋นจะพอคาดเดาสาเหตุการตายของจ้าวเติงได้ แต่มันก็ไม่คิดจะกล่าวออกมา
ถึงแม้มันกับจ้าวจินจะเป็นผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะมีมิตรไมตรีอันใดต่อกัน
กระทั่งก่อนหน้านี้ลูกชายของมันเองก็ถูกลอบสังหารหลายครั้ง! ซึ่งมันก็ตั้งเป้าสงสัยไปที่จ้าวจิน น่าเสียดายที่มันไม่อาจหาหลักฐานอะไรได้!!
จนกระทั่งบุตรชายมันกล่าวว่าไม่คิดจะอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับอีกต่อไป และคิดจะขึ้นไปแสวงหาความก้าวหน้าที่ภูมิภาคเบื้องบน การลอบสังหารใดๆจึงหยุดลง
เรียกว่าจังหวะนั้นมันแทบจะยืนยันได้ 10 ส่วนเต็มว่า จ้าวจินอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารลูกชายมันแน่นอน!
เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากมันไปรับรู้มาโดนบังเอิญว่าจ้าวจินคิดปูทางให้ลูกหลานสกุลจ้าวนั่งเก้าอีกจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะเหตุนี้มันจึงคิดกำจัดทุกคนที่อาจเป็นขวากหนามและหินที่จะกีดขวางแผนการของมัน
ตอนที่ 1,847 : เยว่อู๋หยิ่ง!
“กู่ลี่…มุ่งหน้าลงใต้?”
ได้ยินคำของอาวุโสวังปฐพี เมิ่งฉิงขมวดคิ้วทันใด ก่อนที่จะหันไปมองกู่ซืออวิ๋นด้วยสายตาไถ่ถาม “ผู้พิทักษ์กู่ท่านรู้หรือไม่ว่าไฉนกู่ลี่ถึงมุ่งหน้าลงใต้?”
“ข้าคิดว่าลี่เอ๋อคงไปหาสหายเพื่อที่จะพากันไปภูมิภาคเบื้องบน…”
กู่ซืออวิ๋นกล่าวตอบ
มันไม่ได้บอกว่ากู่ลี่ไปหาหลิงเทียน แต่เลือกใช้คำ ‘สหาย’ แทน
“กู่ลี่ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
เมิ่งฉิงกล่าวถาม
“ขอบคุณท่านจ้าวตำหนักที่เป็นห่วง ลี่เอ๋อปลอดภัยดี”
กู่ซืออวิ๋นส่ายหัวค่อยยิ้มกล่าว หากกู่ลี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมันเองก็คงไม่อาจอยู่เฉยแบบนี้ได้
“ผู้พิทักษ์กู่ บอกมาได้หรือไม่ว่าสหายคนใดที่กู่ลี่ไปหา?”
จ้าวจินมองกู่ซืออวิ๋นด้วยสายตาเยียบเย็น น้ำเสียงที่กล่าวยังเข้มนัก เห็นชัดว่าคิดเค้นถาม
“ผู้พิทักษ์จ้าว ลูกข้าจะไปหาสหายคนใด ดูเหมือนจะไม่ใช่ธุระของท่านมิใช่หรือ?”
กู่ซืออวิ๋นกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ
“เจ้า…”
หน้าจ้าวจินเปลี่ยนไปทันใด หากแต่มันก็ไม่อาจโต้กลับใดๆได้
มันยังจะพูดอะไรได้อีก
หรือจะให้มันบอกไปว่าลูกชายของมันสะกดรอยตามกู่ลี่ไปจนเกิดเรื่อง?
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ใบหน้าจ้าวจินเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาพักหนึ่ง มันก็ขบเคี้ยวฟันดังกรอดคล้ายตัดสินใจอะไรได้
จ้าวจินพลันหันไปมองเมิ่งฉิง กล่าวออกมาว่า “ท่านจ้าวตำหนัก เหตุผลที่ลูกข้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไม่กี่วันก่อน คือคิดสะกดรอยตามลูกชายของผู้พิทักษ์กู่ กู่ลี่!”
โอ!
ไม่มีใครคิดใครฝันว่าจ้าวจินจะกล้ากล่าวเรื่องแบบนี้ออกมาตรงๆ!
จ้าวเติงลอบสะกดรอยตามกู่ลี่?
คิดจะทำอะไรกัน?
จังหวะนี้สายตาที่ทุกคนใช้มองจ้าวจินก็แปลกไปทันที
เมื่อแน่ใจแล้วว่าได้ยินคำของจ้าวจินไม่ผิด เมิ่งฉิงก็หยี่ตาถามจ้าวจินเสียงเข้มทันที “ผู้พิทักษ์จ้าวท่านหมายความว่า จ้าวเติงลูกท่าน…เพราะติดตามกู่ลี่ไปถึงเกิดเรื่อง?”
“ใช่!”
จ้าวจินพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจ้องกู่ซืออวิ๋นตาเขม็ง
“เหลวไหลสิ้นดี!”
กู่ซืออวิ๋นแค่นคำเย้ยเยาะออกมา “จ้าวจิน…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พลังฝึกปรือลูกข้าด้อยกว่าจ้าวเติงลูกเจ้า และเป็นไปไม่ได้ที่ลี่เอ๋อจะฆ่าจ้าวเติงลูกเจ้าได้เลย…ต่อให้เป็นเพราะลูกข้าลงมือฆ่าจ้าวเติงจริง แต่นั่นก็เพราะมันแส่หาเรื่องเอง! ข้าไม่ทราบจริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้ามาแต่ที่ใด ถึงได้กล้ากล่าวบอกว่าลูกเจ้าสะกดรอยตามลูกข้า…”
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าลูกชายเจ้าสะกดรอยตามลูกชายข้าเพราะพิศมัยในตัวลี่เอ๋อ…เลิกฝันเถอะ ลี่เอ๋อหาได้มีรสนิยมเช่นเดียวกับมันไม่!”
วาจาประโยคหน้าของกู่ซืออวิ๋นเป็นเรื่องปกติไม่อะไรมากมาย แต่พอวาจาประโยคหลังดังออก ทุกสายตาในที่นี้ฉายแววพิลึกพิลั่นทันที
พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ที่แท้ผู้พิทักษ์กู่ของพวกมัน จะมีลิ้นเป็น ‘พิษ’ เช่นนี้
ลูกชายของมันไม่มีรสนิยมเช่นเดียวกับจ้าวเติงหมายความว่าอะไร?
ไม่ใช่จะสื่อว่าลูกชายของผู้พิทัษ์จ้าว ‘จ้าวเติง’ เป็นผู้ที่มีรสนิยมเช่นนั้นหรือไร?
จังหวะนี้พวกมันรู้สึกเสมือนมีขนห่านมาปัดๆไปทั่วตัวพาลให้สยิวกายนัก
“กู่ซืออวิ๋น!”
สีหน้าคนอื่นเผยความอื้ออึงไปไม่เป็น หากแต่จ้าวจินกลับเต็มไปด้วยโทสะ มันตะคอกเสียงดังจนแทบจะกลายเป็นการคำรามอยู่รอมร่อ “คนก็ตายไปแล้วทั้งคน แต่เจ้ายังจะกล่าวคำฉีกหน้าลูกข้าไม่ให้เกียรติคนตายเช่นนี้! ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ!?”
“มากเกินไป?”
กู่ซืออวิ๋นแสยะยิ้มเย้ย “จ้าวจิน…ที่มากเกินไปนั่นมันเจ้าไม่ใช่หรือ!? เจ้าคิดสาดน้ำสกปรกให้เปรอะเปื้อนลูกชายข้า หวังคิดลากลูกข้าให้ลงโคลนตมการตายลูกเจ้า! ที่แท้เป็นข้ามากเกินไปหรือเจ้ามากเกินไป?!”
“พอได้แล้ว!”
สุดท้ายเป็นเมิ่งฉิงที่ตวาดออกมา หยุดการโต้เถียงครั้งนี้อย่างเหลือทน
“ผู้พิทักษ์จ้าว ไฉนจ้าวเติงต้องไปสะกดรอยตามกู่ลี่ด้วย?”
ลูกตาเมิ่งฉิงที่ทอประกายจ้าหันไปมองจ้าวจิน พร้อมยิงคำถามออกมาทันที
“ท่านจ้าวตำหนัก ข้าแน่ใจว่าท่านสมควรรับทราบข่าวการตายของหลานชายของข้าแล้ว…เบาะแสทั้งหมดที่ลูกข้าจ้าวเติงกับข้ารวบรวม ล้วนชี้ไปที่หลิงเทียน! พวกเราต้องการหาตัวมัน แต่พวกเรามิอาจหาเบาะแสใดๆเกี่ยวกับมันได้เลย เช่นนั้นพวกเราจึงต้องไปลอบจับตาดูกู่ลี่แทน!”
จังหวะนี้จ้าวจินไม่คิดปิดบังอะไรสืบไป
เพราะเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย ในเมื่อพวกมันก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายหรือสังหารกู่ลี่แต่อย่างใด
สำหรับเรื่องที่มันคิดฆ่าหลิงเทียนแน่นอนว่าใช่ แต่อยู่ต่อหน้าเมิ่งฉิงมันก็จำต้องซุกซ่อนเอาไว้ “พวกเราคิดหาหลิงเทียนจึงลอบสะกดรอยกู่ลี่ เพียงเพราะอยากถามไถ่หลิงเทียนว่าผู้ใดสังหารหลานชายของข้า! หรือเพียงแค่พวกข้าคิดถามไถ่เรื่องนี้ก็ผิดด้วย!?”
กล่าวถึงจุดนี้ร่างจ้าวจินก็สั่นเทิ้มขึ้นมา ท่าทางแลดูน่าเวทนาสงสารไม่น้อย
จังหวะนี้กระทั่งกู่ซืออวิ๋นก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ไม่คิดซ้ำเติมคนเจ็บอะไร
ถึงแม้มันจะรู้สึกว่าการตายของหลานชายและลูกชายของจ้าวจินนั้นสมควรแล้ว แต่มันก็ไม่คิดจะกล่าวอะไรออกมาตอนนี้
“ผู้พิทักษ์กู่ กู่ลี่ใช่ไปหาหลิงเทียนหรือไม่?”
เมิ่งฉิงหันมองกู่วืออวิ๋นค่อยถามออกมา
“ใช่”
กู่ซืออวิ๋นพยักหน้ารับ และเมื่อเห็นว่าเมิ่งฉิงคิดถามเพิ่มมันก็ชิงกล่าวตอบไปก่อน “แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าลี่เอ๋อไปหาหลิงเทียนที่ใด เพียงบอกข้าว่าคิดไปเจอหลิงเทียนเพื่อจะพากันไปยังภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้น…บางทีป่านนี้ทั้งคู่คงออกจากภูมิภาคเบื้องล่างและไปถึภูมิภาคเบื้องบนแล้วก็เป็นได้…”
เมิ่งฉิงพยักหน้ารับฟังคำของกู่ซืออวิ๋น ค่อยพูดว่า “ด้วยพลังฝีมือของกู่ลี่และหลิงเทียน ย่อมไม่อาจเทียบกับรองจ้าวตำหนักจ้าวได้แม้จะร่วมมือกันก็ตาม เช่นนั้นฆาตกรฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าวสมควรเป็นผู้อื่น..”
“ผู้พิทักษ์จ้าว เรื่องตามล่าฆาตกรฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าวข้าให้สิทธิ์ท่านจัดการได้เต็มที่ ยามท่านมุ่งหน้าลงใต้เพื่อค้นหาเบาะแสหากท่านต้องการความช่วยเหลืออันใด ตำหนักฟ้าลี้ลับจะคอยให้การสนับสนุนท่านอย่างดี!”
เมิ่งฉิงมองจ้าวจิน ค่อยกล่าวให้คำมั่น
ความหมายในวาจาของเมิ่งฉิงก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ปล่อยให้จ้าวจินทำตามใจ และตำหนักฟ้าลี้ลับจะให้การสนับสนุนอย่างดีที่สุด
ที่จ้าวจินปรากฏตัววันนี้เพราะต้องการฟังคำพูดเหล่านี้ของเมิ่งฉิง หาไม่แล้วมันคงออกไปตามเรื่องนานแล้ว
มันรู้ดี
ไม่ต้องกล่าวถึงอำนาจส่วนตัว ต่อให้ทุ่มอำนาจทั้งสกุลจ้าวสืบหาเบาะแส ก็ไม่อาจเทียบได้กับการสนับสนุนของตำหนักฟ้าลี้ลับ!
หลังได้รับคำสัญญาจากเมิ่งฉิงแล้ว มันก็ไม่คิดจะรั้งรอสืบไปให้เสียเวลา รีบออกเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ทันที
หลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดมันก็ค้นหาเบาะแสมาถึงพื้นที่ใกล้เคียงตำหนักเมฆาคราม
“ผู้พิทักษ์ จ้าวจิน แห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ ใคร่พบท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามสักครา!”
จ้าวจินป้องมือประสาน ไว้ที่ระดับอกก่อนที่จะก้มหัวโค้งคารวะกล่าวคำกลางอากาศ น้ำเสียงของมันสุภาพทั้งเรียบๆร้อยๆนัก
หากมองให้ดีจะพบว่าหน้าผากของจ้าวจินปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมออกมา
เห็นชัดว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจอย่างตำหนักเมฆาคราม ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นมันก็ต้องสงวนท่าที
อันที่จริงจ้าวจินก็ไม่คิดจะแวะมายังตำหนักเมฆาครามเช่นนี้
อย่างไรก็ตามหลังมันพยายามตามหาเบาะแสรอบๆแล้วแต่กลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย มันก็รู้สึกมืดแปดด้าน
พอคิดได้ว่าองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาคราม สมควรลาดตระเวณที่ทางแถวนี้เป็นประจำ มันจึงคิดถามไถ่เบาะแสเรื่องจ้าวเติงสักครา
ดังนั้นมันจึงเดินทางเข้าสู่ทะเลสาบผานหลง ทั้งกล่าวคำอหังการว่าอยากขอพบจ้าวตำหนักเมฆาคราม
มันต้องการให้จ้าวตำหนักเมฆาครามสอบถามหน่วยองครักษ์ทมิฬ…ว่ามีผู้ใดเห็นจ้าวเติงลูกชายของมันบ้างหรือไม่
“ข้าคือผู้พิทักษ์จ้าวจินแห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ มาขอพบท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามในนามของตำหนักฟ้าลี้ลับ!”
เมื่อนึกถึงคำมั่นสัญญาของเมิ่งฉิง จ้าวจินก็เลือกที่จะกล่าวออกมาอีกครั้ง
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
……
ไม่นานองครักษ์เกราะทมิฬ 10 นายก็ปรากฏตัวขึ้น
สือฟูฉางที่เป็นผู้นำของหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่นี้ ก้าวออกมาข้างหน้าค่อยถาม “เจ้าคือจ้าวจิน ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ?”
“ใช่!”
จ้าวจินพยักหน้ากล่าว “ท่านสมควรเป็นสือฟูฉางใช่หรือไม่ ข้ามาที่นี่ด้วยคิดขอพบท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามในนามของตำหนักฟ้าลี้ลับสักครา…รบกวนท่านนำความนี้ไปรายงานด้วย”
สือฟูฉางพอได้ยินก็พยักหน้ารับคำ ค่อยกล่าว “โปรดรออยู่ที่นี่”
จ้าวจินพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง และไม่ได้วางท่าถือดีอะไรเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นแค่สือฟูฉางและผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียน
ดังคำกล่าวที่ว่า “ใต้ชายคาผู้อื่น ไม่อาจไม่คำนับ” ตอนนี้มันกำลังขอเข้าพบจ้าวตำหนักเมฆาคราม หากมันมามีเรื่องราวอะไรกับสือฟูฉางตัวเล็กๆนี่เข้า น่ากลัวว่าจะเสียการใหญ่แล้ว
“ผู้พิทักษ์จ้าวจินจากตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องการพบท่านจ้าวตำหนักในนามตำหนักฟ้าลี้ลับงั้นเหรอ?”
แน่นอนว่าแม้จะเป็นคงครักษ์เกราะทมิฬ แต่อาศัยยศสือฟูฉางย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าพบจ้าวตำหนัก เช่นนั้นจึงเป็นหรงหยวนที่รับเรื่องนี้เอาไว้
“จ้าวจิน…ไม่ใช่ว่าเป็นบิดาจ้าวเติงหรือไร?”
ในใจหรงหยวนพลันปรากฏเรื่องหนึ่งขึ้นมา มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะ
“เอาล่ะ เจ้าไปบอกลูกน้องเจ้า ว่าให้พาจ้าวจินนั่นมารอที่ห้องโถงหลักนี่เสีย…”
กล่าวสั่งสือฟูฉางจบคำ ร่างหรงหยวนก็จากไปทันที
“ทราบ!”
แม้คนไม่อยู่ แต่สือฟูฉางก็โค้งคาระวะกล่าวคำกับความว่างเปล่าอย่างเคารพ ก่อนที่จะเหินร่างย้อนกลับไป
แม้หรงหยวนจะไม่ได้มีตำแหน่งใดๆในองครักษ์เกราะทมิฬ แต่กระทั่งผู้บัญชาการยังต้องให้ความเคารพ นับประสาอะไรกับสือฟูฉางตัวเล็กๆ
“ผู้พิทักษ์จ้าวโปรดตามข้ามา”
เมื่อย้อนกลับมาถึงทะเลสาบผานหลงด้านนอก สือฟูฉางก็มองกล่าวกับจ้าวจิน พร้อมผายมือเชื้อเชิญ มันคิดนำทางอีกฝ่ายไปห้องโถงหลักด้วยตัวเอง
“รบกวนแล้ว”
จ้าวจินพยักหน้ารับคราหนึ่ง ค่อยเหินร่างติดตามสือฟูฉางเข้าไปยังใจกลางทะเลสาบผานหลง ไม่นานก็เหินร่างติดตามจนไปถึงตำหนักหลัก ไม่เพียงเท่านั้นมันยังถูกพาไปส่งถึงหน้าห้องโถงหลัก!
ห้องโถงหลักยามนี้ว่างเปล่าร้างผู้คน จ้าวจินที่ถูกนำมาส่ง ก็เข้าไปยืนรอคอยในโถงหลักเงียบๆ ทำตัวเรียบๆร้อยๆนัก
ไม่ใช่ว่ามันชมชอบกระทำตัวเรียบๆร้อยๆอะไร แต่ที่นี่คือห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม หากมันทำอะไรที่จะทำให้จ้าวตำหนักเมฆาครามรำคาญใจขึ้นมา เช่นนั้นการเดินทางมาที่นี่คงเสียเที่ยวแล้ว
1 เค่อผ่านไป
2 เค่อผ่านไป!
กระทั่งผ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม…
จ้าวจินที่ยืนรออยู่นิ่งๆ แต่ทว่ารอแล้วรออีกจ้าวตำหนักเมฆาครามก็ไม่เข้ามาเสียที! อย่างไรก็ตามจ้าวจินไม่กล้าปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ ยังคงยืนรอคอยนิ่งๆเงียบๆ
ตึงงงง!!
หลังจากนั้นพอผ่านไปอีก 1 ชั่วยาม ประตูใหญ่ทั้ง 2 บานของห้องโถงหลักก็เริ่มขยับเคลื่อน ไม่นานก็ปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์!
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
…
ขณะเดียวกันหน้าต่างในห้องโถงหลักแต่ละบานก็เริ่มปิดตัวลงเช่นกัน!
ชั่วเวลาแค่พริบตาห้องโถงหลักก็มืดมิดไร้แสงตะวันส่องสาด พาลให้ไม่อาจแลเห็นกระทั่งนิ้วมือทั้ง 5!
“นี่น่ะหรือการต้อนรับแขกของตำหนักเมฆาคราม?”
เสียงหวาดกลัวของจ้าวจินดังขึ้นในความมืด…น้ำเสียงไม่เหลือความมั่นใจอะไร กล่าวไปยังสั่นๆเล็กน้อย
“จึกๆๆ เจ้าอย่าได้ตีค่าตัวเองสูงเกินไป อาศัยเจ้าคิดหรือว่ามีคุณสมบัติมากพอจะเป็นแขกของตำหนักเมฆาคราม?”
ในความมืดมิดพลันมีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากทั่วทิศทาง น้ำเสียงนี้ฟังแล้วนุ่มนวลคล้ายอิสตรีอยู่บ้าง หากแต่ก็ไม่อาจระบุได้ชัดว่าที่แท้เป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่!
“เจ้าเป็นใคร!?”
จ้าวจินโพล่งถามออกมา เสียงสั่นไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นพลันมีแสงสว่างหนึ่งปรากฏขึ้น เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่กำลังก้าวเข้ามาหาจ้าวจินอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“เยว่ อู๋ หยิ่ง”
(จันทร์ไร้เงา)
เสียงนุ่มก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้งชัดถ้อยชัดคำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น