War sovereign Soaring The Heavens 1837-1843
ตอนที่ 1,837 : นัดหมาย 5 ปี!
ไม่กี่วันหลังจากนั้น นอกจากจะไปปรนนิบัติดูแลลี่หลัวทุกเช้าแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกับลี่เฟยและต้วนเนี่ยนเทียน
ได้อุ้มต้วนเนี่ยนเทียนพร้อมนั่งหยอกเย้าลี่เฟยแบบนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนเขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
แน่นอนว่าคงจะดีกว่านี้หากที่นี่มีเค่อเอ๋อกับลูกอยู่ด้วย
‘ตอนนี้ข้าได้พบท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋อและลูกแล้ว เรื่องที่ข้ายังค้างคาใจในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ก็เห็นแต่จะมีเพียงหาเทียนหวู่ไม่พบ หากนางยังอยู่ภูมิภาคเบื้องล่างและไม่เกิดเรื่องอันใด นางสมควรได้ยินนานแล้วว่าที่ตำหนักฟ้าลี้ลับมีอัจฉริยะนามหลิงเทียน…’
‘คราวนี้ต่อให้นางไม่มั่นใจเพียงใด นางก็จำต้องมาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อยืนยันตัวตนของข้า…แต่จนถึงวันที่ข้าจะจากมา กลับไม่มีข่าวแจ้งว่ามีใครมาขอพบข้าเลย’
แม้ต้วนหลิงเทียนคิดจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนเพื่อตามหาเค่อเอ๋อกับลูก แต่เขาก็ไม่อาจไม่ห่วงเฟิ่งเทียนหวู่ได้
ถึงแม้เขากับเฟิ่งเทียนหวู่กล่าวไปจะยังไม่ได้มีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา หากแต่ความรักก็ได้ตกผลึกแล้ว…
ก่อนนี้หากกล่าวว่าเขาเห็นเฟิ่งเทียนหวู่เป็นสหายอันดี ทว่าวันนั้นที่นางยินดีสละชีวิตเพื่อเขา ใจเขาก็ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว
ที่มีให้นางตอนนี้คือความรักจากใจ
‘เรื่องนี้ต้องปรึกษากับท่านพ่อ ยังต้องให้ท่านพ่อช่วยเหลือ’
เมื่อคิดว่าเฟิ่งเทียนหวู่อาจจะยังตามหาเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งในภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียนก็เล่นกับลูกน้อยและอยู่กับลี่เฟยอีกพักหนึ่ง ค่อยผละมาเพื่อไปหาต้วนหรูเฟิง
“ท่านพ่อ ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าตามหาคนๆหนึ่ง”
ต้วนหลิงเทียนที่มาพบต้วนหรูเฟิงก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวออก
“หาใครหรือ?”
ต้วนหรูเฟิงโค้งคิ้วถามด้วยสงสัย
“เฟิ่งเทียนหวู่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
“เทียนหวู่? อ้อ! ข้าเคยได้ยินเฟยเอ๋อกล่าวถึงนางอยู่บ้างตอนอยู่ที่ทวีปมนุษย์ ว่านางเป็นเด็กดีทั้งรักเจ้าจากใจ กระทั่งยินดีสละชีวิตเพื่อเจ้า แต่ที่ข้ารู้พวกเจ้าขาดการติดต่อกันตั้งแต่ที่ทวีปมนุษย์ไม่ใช่หรือ…หรือจนบัดนี้แล้วเจ้ายังไม่ได้เจอนาง?”
ต้วนหรูเฟิงเคยได้ยินเรื่องเฟิ่งเทียนหวู่จากลี่เฟยมาก่อนแล้ว เช่นนั้นพอได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนมันย่อมล่วงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ข้าได้เจอกับนางแล้วที่ประเทศฝูเฟิง นางอยู่ในนิกายอัคคีล่องลอยที่เป็นขุมพลังชั้น 6 ของภูมิภาคเบื้องล่างนี่เอง แต่พอเรื่องข้าครอบครองตราผนึกมารแดงออกมา ข้าก็เลยต้องรีบออกจากประเทศฝูเฟิงเลยจากนางไปโดยไม่ทันได้ลา นางเองก็กังวลเรื่องข้าไม่น้อย เลยออกตามหาข้าไปทั่วจนไปถึงบ้านสหายข้าคนหนึ่ง…แต่ตอนนั้นข้าไปทำธุระพอดี”
กล่าวถึงตรงนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหนักใจนัก
“หลังจากข้าเสร็จธุระแล้ว…กลับมาบ้านสหายก็พบว่านางออกไปก่อน ข้าจึงลองย้อนกลับไปนิกายอัคคีล่องลอย แต่ก็พบว่านางยังไม่กลับมา ทำให้ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางไปไหน…ไม่ได้ยินข่าวคราวของนางอีกเลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ช่างเป็นสาวน้อยที่รักมั่นนัก…”
ต้วนหรูเฟิงระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ขณะเดียวกันก็มองหลิงเทียนด้วยสายตาขึงขัง “เทียนเอ๋อโลกนี้มีทั้งสิ่งที่พึงกระทำและต้องกระทำ…ในเมื่อสาวน้อยเทียนหวู่รักเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าได้ปล่อยนางไปและทำให้นางเสียใจเด็ดขาด! ในโลกที่ยึดถือเพียงพลังฝีมือเข้มแข็งเป็นจ้าวเช่นนี้ ยากนักที่จะได้พบพานคนที่เสียสละให้เจ้าได้ถึงขนาดนี้!”
“ข้ารู้แล้วท่านพ่อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ตั้งแต่วันที่เขารู้ตัวว่าคิดอย่างไรกับเฟิ่งเทียนหวู่ เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยนางไปและทำให้นางผิดหวังชั่วชีวิต!
ชีวิตนี้ของเขาก็มีไว้เพื่อนางเช่นกัน!
“เอาล่ะ…เจ้าวาดรูปเหมือนของนางให้ข้ามาเถอะ ข้าจะได้เอาไปแจกจ่ายให้ทั่วฐานปฏิบัติการ! คนของตำหนักเมฆาครามจะเป็นหูเป็นตาหานางให้เจ้าเอง!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออก
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็รีบวาดรูปเฟิ่งเทียนหวู่ให้ทันที
ภาพจำและความเข้าใจของเฟิ่งเทียนหวู่ในใจเขา ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลี่เฟยและเค่อเอ๋อ
เช่นนั้นภาพเหมือนของเฟิ่งเทียนหวู่ไม่เพียงแต่จะเหมือนจริงเท่านั้น หว่างคิ้วในรูปวาดยังให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนเจ้าตัวทุกประการ
เห็นภาพในมือต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ซับซ้อน “เจ้าตัวแสบน้อยผู้นี้ไม่ทราบไปทำเสน่ห์มาจากที่ใด สตรีงดงามปานนี้กลับมาตกหลุมรักเจ้าหมดใจกระทั่งยินดีสละชีวิตเพื่อเจ้าได้! เรื่องนี้เจ้านับว่าร้ายกาจเหนือข้านัก!!”
ได้ยินวาจาครึ่งประโยคแรกของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนยังเฉยๆไม่ได้รู้สึกอะไร หากแต่วาจาครึ่งประโยคหลังของต้วนหรูเฟิงคล้ายเขาสัมผัสได้ถึงความอิจฉาประการหนึ่ง พาลให้มุมปากยกแสยะขึ้นมาทันที
“อะไรท่านพ่อ ท่านอยากมีสาวอีกสักคนหรือ? เช่นนั้นข้าไปบอกท่านแม่ให้ เผื่อท่านแม่จะได้ช่วยท่านเลือกหาอีกแรง ดีหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มถามออกมา
“เทียนเอ๋อเจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด!?”
หน้าต้วนหรูเฟิงเปลี่ยนไปทันควัน ยังมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย หากแต่ต้วนหลิงเทียนกลับหยีตามองมาเขม็งคล้ายรู้เท่าทันความคิด ต้วนหรูเฟิงจึงได้แต่หลบสายตาดังกล่าว
“อะแฮ่มๆ…”หลังจากนั้นมันค่อยกระแอมไอออกมาสองครั้งแก้เขิน “เอาล่ะข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น เจ้าอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับแม่เจ้าเชียว”
“อย่าเอาเรื่องอะไรมาบอกข้างั้นเหรอ?”
สิ้นคำต้วนหรูเฟิง ลี่หลัวที่ไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ บังเอิญได้ยินวาจาท้ายประโยคของต้วนหรูเฟิงก่อนหน้า จึงมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสงสัย
เมื่อเห็นบิดาทำหน้าเหวอทั้งลอบขยิบตามาให้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันในใจ แต่ไม่คิดจะเปิดโปงอะไร “ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่…ข้าเพียงขอให้ท่านพ่อช่วยตามหาเทียนหวู่ให้ข้าน่ะ และท่านพ่อคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องบอกท่านแม่ก็ได้ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน? สาวน้อยเทียนหวู่นั่นแม่ก็ได้ยินเรื่องเล่าของนางมาแล้ว แม่รู้สึกถูกชะตายิ่ง…สตรีที่จิตใจดีงามทั้งรักเจ้าถึงเพียงนั้นช่างหาได้ยากยิ่งนัก!”
ลีหลวกล่าวถึงเฟิ่งเทียนหวู่ในแง่ดีนัก นางเองก็ได้ยินลี่เฟยเล่าเรื่องของเทียนหวู่มาบ้างแล้ว และทราบว่าอีกฝ่ายมีใจให้กับบุตรชายของตัวเองเช่นกัน
ในโลกนี้คนที่นางห่วงใยมากที่สุดก็คือต้วนหรูเฟิงสามีของนาง และอีกคนก็คือต้วนหลิงเทียนบุตรชายของนาง นางเองก็สละได้กระทั่งชีวิตเพื่อสามีและลูกชาย
เช่นนั้นแล้วกับสตรีที่สามารถสละได้กระทั่งชีวิตเพื่อลูกชายนาง ไหนเลยนางในฐานะมารดาจะไม่รู้สึกถูกชะตาและชมชอบจากใจ?
“อา…นี่น่ะหรือแม่หนูเฟิ่งเทียนหวู่….”
ไม่นานลี่หลัวก็ได้เห็นรูปเหมือนเฟิ่งเทียนหวู่ในมือของต้วนหรูเฟิง แรกเห็นลี่หลัวก็รู้สึกถูกสตรีในภาพวาดดึงดูดนัก “ช่างเป็นโฉมงามล่มเมืองโดยแท้! ยิ่งดูยิ่งน่ารักนัก! หากนางคลอดหลานสาวให้ข้าล่ะก็…หลานข้าคนนี้โตขึ้นต้องเป็นโฉมงามล่มเมืองแน่นอน!!”
เมื่อมีหลานชายแล้ว ลี่หลัวก็อยากได้หลานสาวเช่นกัน
ถึงแม้ว่านางจะรู้ดีว่าตอนนี้เค่อเอ๋อสมควรคลอดลูกแล้ว แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาว
ได้ยินคำพูดนี้ของลี่หลัว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเขินไปเล็กน้อย เขายังไม่แม้แต่จะหาตัวเฟิ่งเทียหวู่พบด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น…
อย่างไรก็ตามเมื่อมารดามีความสุข เขาก็ไม่คิดจะกล่าวขัดอะไร
“เทียนเอ๋อลูกให้พ่อตามหาตัวเทียนหวู่แทนเช่นนี้…เพราะลูกคิดจะไปภูมิภาคเบื้องบนแล้วงั้นหรือ?”
ลี่หลัวมองถามต้วนหลิงเทียน ในแววตาของนางเผยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่แล้วท่านแม่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “แต่ข้าจะยังอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่างอีกพักหนึ่ง…ให้ข้าทะลวงด่านพลังและปรับตัวได้ก่อน ข้าถึงจะไป”
ก่อนที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนนั้น ต้วนหลิงเทียนคิดจะเพาะสร้างเวทย์พลังปีกอีกาทองคำให้บรรลุถึงรูปแบบที่ 2 เสียก่อน
ถึงตอนนั้น เมื่อด่านพลังเขาทะลวงผ่านถึงอริยะเซียนขั้นต้น ไม่เพียงแต่พลังอำนาจของเขาจะทัดเทียมกับเซียนมนุษย์ขั้นต้น ยามใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ความเร็วของเขาจะทะยานไปเทียบได้กับเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ!
อีกทั้งเวทย์พลังที่เขาครอบครองอยู่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ปีกอีกาทองคำเท่านั้น ยังมีเซียนอมตะข้ามภพ ปฐมเวทย์กลืนกิน และร่างทองลิ่วเหอ!
เวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหว เวทย์พลังสายจู่โจม เวทย์พลังสายสนับสนุน และ เวทย์พลังสายป้องกัน…
เรียกว่าเขามีครบถ้วน!
แน่นอนว่าในบรรดาเวทย์พลังที่เขามี ร่างทองลิ่วเหอนั้นเป็นแค่เวทย์พลังระดับกลางเท่านั้น ไม่คู่ควรอยู่บ้างหากจะนำไปเทียบกับเวทย์พลังอื่นๆ ‘ถึงตอนนั้นก็ทนๆใช้ไปก่อนแล้วกัน คิดซะว่ามีไว้แก้ขัด วันหน้าค่อยหาเวทย์พลังที่ดีกว่านี้แล้วเพาะสร้างมันทีหลัง’
ใจต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดวาดแผนไว้เสร็จสรรพ และน่ากลัวว่าหากใครล่วงรู้ความคิดนี้คงได้กระอักเลือดออกมาสัก 3 ถัง!
ผู้อื่นได้รับเวทย์พลังระดับกลางมาเพาะสร้างสักบทก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนเวทย์พลังระดับกลางเพียงมีไว้แก้ขัด? ทนๆใช้ไปก่อน?
แม้ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวตอบมาแบบนั้น แต่ลี่หลัวก็รู้สึกได้ว่าบุตรชายของตัวคงอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างอีกไม่นานแล้ว
หากเลือกได้นางก็หวังจะให้บุตรชายอยู่กับนางไปนานๆ ไม่ต้องไปไหนได้ก็ยิ่งดี
แต่นางรู้ดีว่านั่นจะเป็นการขัดขวางโชคชะตาของบุตรชาย
บุตรชายตัวน้อยในวันวานของนาง บัดนี้เติบใหญ่เป็นบุรุษองอาจกล้าหาญเต็มตัวแล้ว มีภาระหน้าที่และสิ่งที่ต้องกระทำมากมาย!
“หลัวเอ๋อเจ้าออกไปรอข้าก่อนสักครู่ ข้ามีเรื่องบางประการต้องพูดกับเทียนเอ๋อเป็นการส่วนตัว…”
ต้วนหรูเฟิงมองกล่าวกับลี่หลัวเสียงอ่อน
ได้ยินวาจาของสามี นางก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่สามีคิดกล่าวกับบุตรชายนั้น สามีไม่อยากให้นางได้ยิน
ดังนั้นนางจึงพยักหน้ารับ ค่อยหันหลังกลับและเดินจากไปทันที
นางรู้ดีว่าสมควรมีเรื่องบางประการที่บุตรชายนางต้องเสี่ยงอันตรายอีกแน่…สามีขอให้นางออกไปสมควรเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่อยากให้นางเป็นกังวล…
“ท่านพ่อ ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือ แถมเรื่องนี้กระทั่งท่านแม่ยังไม่อาจอยู่ฟัง?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
“สิ่งที่แม่เจ้าไม่อยากได้ยินที่สุดคือเรื่องที่เจ้าต้องไปเสี่ยงอันตราย…และพอดีสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าก็นับเป็นเรื่องที่เสี่ยง…ทั้งยังอันตรายยิ่ง!”
ต้วนหรูเฟิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“หืม? เรื่องอะไรเหรอท่านพ่อ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความสงสัย
“เจ้ายังจดจำได้หรือไม่ ว่าเกาะป้านเยว่ที่เจ้าครอบครองรวมถึงนิกายหลิงเทียนของเจ้า ถูกมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงคนหนึ่งทำลาย?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวถาม
“ตีจิ่ว!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใดหลังได้ยินคำของต้วนหรูเฟิง ลมหายใจยังรุนแรงขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว
แม้เรื่องราวมันจะผ่านมานานปีแล้วสำหรับเขา หากแต่เหตุการณ์ในตอนนั้น ภาพซากปรักหักพังของนิกายหลิงเทียน pยังมีบรรดาศพที่ไร้ใครกลบฝังนั่น ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำได้ทุกรายละเอียดไม่มีวันลืม!
กระทั่งยามค่ำคืน บ่อยครั้งที่เขาจะหลับและฝันเห็นใบหน้ามากมายที่เคยอยู่ในความดูแลของเขา ทุกคนร่ำร้องให้เขาฆ่าตี้จิ่วเพื่อล้างแค้น!
“มิผิด มันคือตี้จิ่ว!”
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้า และเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตัวมันบุกไปยังเผ่าพันธุ์มังกร กระทั่งทำสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี ที่กำลังจะครบกำเนิดในอีก 10 เดือนหลังจากนี้ออกมา “…ตอนนี้ใกล้ถึงเวลานัดหมายประลอง 5 ปีแล้ว…เจ้าจะต้องสู้กับตี้จิ่วเพื่อแย่งชิงสิทธิ์เข้าใช้สระชำระมังกร!”
“สระชำระมังกร!?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันใด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำสระชำระมังกร จึงกล่าวถามบิดาออกมา
“สระชำระมังกรเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มังกร มันจะเปิดออกทุกๆ 5,000 ปี ด้านในมีพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่สั่งสมมาเป็นเวลา 5,000 ปี เมื่อมังกรเยาว์วัยเข้าไปใช้งานต่อให้ไร้พรสวรรค์เพียงใด ก็สามารถยกระดับพลังฝึกปรือได้อย่างก้าวกระโดดทั้งสิ้น!”
หลังจากนั้นต้วนหรูเฟิงก็กล่าวเสริมออกมา “หากไม่ใช่เพราะผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนปัจจุบันไม่ได้เข้าสระชำระมังกร…ตอนนี้พลังอำนาจของเผ่าพันธุ์มังกรไม่มีทางด้อยกว่าตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชานแน่!”
……
ตอนที่ 1,838 : กดดัน ยิ่งกว่าครั้งใด
เผ่าพันธุ์มังกรนั้น ก็ถือเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมหนึ่งของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ตอนที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับ เขาก็ได้พบเรื่องนี้จากหอตำรา กระทั่งยังพบด้วยซ้ำว่าที่แท้ มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บที่มีคดีกับเขาอย่างตี้จิ่ว ที่แท้มันเป็นถึงว่าที่ผู้นำคนต่อไปของเผ่าพันธุ์มังกร!
ในปัจจุบันมีมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บสีทองเหลืออยู่แค่ 2 คนเท่านั้น
หนึ่งในนั้นก็คือผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนปัจจุบัน และอีกหนึ่งก็คือตัวตี้จิ่วเอง
ตี้จิ่วจึงถือได้ว่าเป็นว่าที่ผู้นำคนต่อไปของเผ่าพันธุ์มังกร
ตอนแรกที่ได้รับทราบเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็กระจ่างเรื่องหนึ่ง…หากคิดล้างแค้นตี้จิ่ว นั่นหมายความว่าเขาต้องเตรียมใจปะทะกับเผ่าพันธุ์มังกรทั้งเผ่า!
เพราะตี้จิ่วคือ มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ว่าที่ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนต่อไป! อำนาจสั่งการเผ่าพันธุ์มังกรเสมือนอยู่ในมือของมันครึ่งหนึ่ง และมังกรทุกตัวล้วนต้องปกป้องมัน!!
ต้วนหลิงเทียนยังทราบได้อีกอย่าง ว่าหากเขาคิดชำระแค้นให้คนนิกายหลิงเทียนของเขา…เขาต้องรอ!
อย่างน้อยๆก็ต้องรอจนกว่าพลังฝีมือของเขาจะสูงพอที่จะสามารถกวาดล้างทั้งเผ่าพันธุ์มังกรด้วยตัวคนเดียวได้!
“นัดหมายประลอง 5 ปี…ตี้จิ่ว…สระชำระมังกร…”
มาตอนนี้พอต้วนหลิงเทียนได้ทราบเรื่องนัดหมายประลอง 5 ปีจากปากบิดา…
เขาก็ได้ทราบว่า….ตราบใดที่เขาสามารถเอาชนะตี้จิ่วได้ในอีก 10 เดือนหลังจากนี้ เขาจะชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรมาจากเผ่าพันธุ์มังกรได้! และนั่นจะเป็นการทำลายความหวังที่จะรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์ทังกร!!
แถมสระชำระมังกรสมควรเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยม ที่สระวิญญาณของตำหนักฟ้าลี้ลับไม่อาจเทียบติดแน่นอน!
เพราะสุดท้ายแล้วสระวิญญาณของตำหนักฟ้าลี้ลับก็เปิดอยู่บ่อยครั้ง…
ทว่าสระชำระมังกรมันเปิดทุกๆ 5,000 ปี!
5,000 ปี เรื่องนี้จะให้คิดเช่นไร?
5,000 ปีกล่าวได้ว่ามันคือเวลาที่นานกว่าชั่วอายุคนธรรมดาถึง 50 เท่า! และหากมองในแง่ที่ว่าผู้คนสามารถมีทายาทได้ในเวลาเพียงแค่ 30 กว่าปีล่ะก็…นั่นหมายความว่าในเวลา 5,000 ปีนั้น เผลอๆอาจก่อให้เกิดการสืบเชื้อสายไปแล้วนับพันนับหมื่นรุ่น!
พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 5,000 ปีของสระชำระมังกรนั่น มากพอจะให้มังกรรุ่นเยาว์สามารถทะยานฟ้าได้ในคราวเดียว!
“ท่านพ่อ…ท่านหมายความว่าหากผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนปัจจุบันได้เข้าใช้สระชำระวิญญาณ ฐานะของเผ่าพันธุ์มังกรในภูมิภาคเบื้องล่างตอนนี้สมควรทัดเทียมกับตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชานงั้นเหรอ? สระชำระมังกรมันเลิศล้ำขนาดนั้นเชียว?”
ได้ฟังต้วนหรูเฟิงกล่าวมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง
“มันวิเศษยิ่ง!”
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้ารับ “เจ้าต้องทราบด้วยว่าในอดีตกาลนั้นพลังอำนาจของเผ่าพันธุ์มังกรไม่เพียงแค่จะทัดเทียมกับตลาดมืดหยินชาน…กล่าวไปตลาดมืดหยินชานในอดีตยังไม่กล้าแข็งข้อต่อต้านเผ่าพันธุ์มังกรด้วยซ้ำ!”
“ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเมฆาครามของเราหรือตลาดมืดหยินชาน แม้จะต้องทุ่มกำลังมากหน่อย แต่คิดกวาดล้างเผ่าพันธุ์มังกรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำไม่ได้! แต่แน่นอนว่าหากไม่มีความแค้นถึงขั้นอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันไม่ได้ ก็คงไม่มีใครคิดจะล้างเผ่าพันธุ์มังกร”
“เพราะเผ่าพันธุ์มังกรนั้นไม่ได้มีแค่ภูมิภาคเบื้องล่างนี้เท่านั้น ในภูมิภาคเบื้องบนก็มีเผ่าพันธุ์มังกรดำรงอยู่เช่นกัน! หากเผ่าพันธุ์มังกรในภูมิภาคเบื้องล่างถูกกวาดล้าง เบื้องบนย่อมรู้ได้ทันที! ถึงตอนนั้นผู้ลงมือก็คงยากจะหลีกเลี่ยงการถูกทำลายเช่นกัน…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวต่อ
แม้ว่าจะกล่าวมามากมายแต่ที่คิดจะสื่อ มีเพียง 2 เรื่องเท่านั้น
เรื่องแรกสระชำระมังกรนั้นน่าทึ่งนัก ถือว่าเป็นตัวชี้ขาดความเจริญหรือเสื่อมถอยของเผ่าพันธุ์มังกรในภูมิภาคเบื้องล่างในช่วงรอบเวลา 5,000 ปี!
ประการที่สองเผ่าพันธุ์มังกรไม่ธรรมดา! เพราะภูมิภาคเบื้องบนก็มีเผ่าพันธุ์มังกรดำรงอยู่เช่นกัน!!
“แล้วเผ่าพันธุ์มังกรในภูมิภาคเบื้องบนมันร้ายกาจขนาดไหนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเพิ่มด้วยความสงสัย
“แข็งแกร่งเพียงใดเรื่องนี้ยากที่ข้าจะล่วงรู้ได้แน่ชัด…อย่างไรก็ตามจากที่ข้าได้ยินมาจากปากของผู้สังเกตการณ์ที่ทำหน้าที่เฝ้ามองภูมิภาคเบื้องล่าง… เห็นว่ากระทั่ง 3 ลัทธิที่เป็นดั่งมหาอำนาจปกครองภูมิภาคเบื้องบน ก็มิค่อยจะเต็มใจรุกรานเผ่าพันธุ์มังกรสักเท่าไหร่!”
หลังจากกล่าวจบในแววตาต้วนหรูเฟิงเผยความหวั่นเกรงไม่น้อย
“แข็งแกร่งขนาดนั้นเลย…”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะ
เขาเข้าใจดีว่า 3 ลัทธิที่เป็นดั่งมหาอำนาจนั่นคืออะไร
จากข้อมูลที่เขาสืบทราบมา ก่อนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ภูมิภาคนั้น ทั้ง 3 ลัทธิเป็นขุมพลังยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เป็นนายเหนือของเหล่าขุมพลังทั้งมวล!
ต่อมาเมื่อดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค เหล่าขุมพลังชั้นนำ รวมถึง 3 ลัทธิ ก็ได้เดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อตั้งรกราก
ไม่เพียงแต่จะบุกเบิกภูมิภาคด้านบนจนสามารถลงหลักปักฐานได้สำเร็จ 3 ลัทธิยังสืบทอดมรดกต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ครองความเป็นใหญ่เพาะสร้างขุมกำลังอันน่ากลัว คงความเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ไร้ใดสั่นคลอน
เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงเข้าใจเรื่องราวของ 3 ลัทธินัก เพราะเข้าตั้งใจค้นคว้าเรื่องราวของพวกมัน
เพราะอย่างไร เค่อเอ๋อ คู่หมั้นเขาก็ถูก 1 ใน 3 ลัทธิพรากไป…ลัทธิบูชาไฟ!
“หากสิทธิ์ในการเข้าสระชำระมังกรครั้งนี้ถูกตี้จิ่วได้ไป มันย่อมอาศัยพลังส่วนตัวนำพาเผ่าพันธุ์มังกรให้รุ่งเรืองขึ้นมาได้ไม่ยาก ถึงตอนนั้นกระทั่งตำหนักเมฆาครามเรากับตลาดมืดหยินชานก็อาจถูกมันย่ำเหยียบ!”
ต้วนหรูเฟิงกลาวออกเสียงขรึม
“ข้าคิดว่า…ไม่ว่าจะด้วยล้างแค้นให้นิกายหลิงเทียนก็ดี หรือผลประโยชน์ส่วนตัวเจ้าก็ดี เจ้าต้องแย่งชิงสิทธิ์ในการเข้าใช้สระชำระมังกรนี้มาจากตี้จิ่วให้จงได้!
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พอได้ยินแบบนี้เขาก็ไม่อยากให้ตี้จิ่วนั่นมีโอกาสเข้าสระชำระมังกรนัก!
“ท่านพ่อจากที่ท่านกล่าวมา ล้วนแต่เป็นมังกรเยาว์วัยที่ได้เข้าใช้สระชำระมังกร…แล้วเคยมีมนุษย์ได้เข้าไปใช้สักคนไหม?”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกอะไรได้ออก ก็รีบถามออกมาทันที
“เท่าที่ข้ารู้มา ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนเข้าใช้สระชำระมังกรมาก่อน…แต่เท่าที่ข้ารู้ก็มีแค่เพียงเรื่องราวจากในบันทึกเท่านั้น สระมังกรมีประวัติศาสตร์ยาวนานนัก…ในสมัยโบราณกระทั่งสมัยดึกดำบรรพ์อาจจะมีมนุษย์เคยเข้าใช้มาแล้วเพียงแค่มันนานเกินกว่าจะมีใครบันทึก ข้าเลยไม่ทราบ”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
“งั้นหมายความว่า…ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าหากมนุษย์เข้าใช้สระมังกรแล้วผลมันจะเป็นยังไง แถมไม่รู้ว่าจะได้รับประโยชน์เหมือนมังกรรุ่นเยาว์ไหมงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามอีกครั้ง
“ก็…คงเป็นเช่นนั้นล่ะ”
คราวนี้ต้วนหรูเฟิงลังเลอยู่พักหนึ่งค่อยกล่าว
“อย่างไรเสียไม่ว่ามนุษย์จะได้ประโยชน์จากการเข้าใช้สระมังกรหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือเผ่าพันธุ์มังกรจะเสียโอกาสในรอบ 5,000 ปีไป เสมือนเจ้าตัดหนทางความก้าวหน้าของ ตี้จิ่ว นั่น! แน่นอนว่านี่หมายความว่าเจ้าต้องเอาชนะ ตี้จิ่ว ได้ในนัดหมายประลอง 5 ปีที่จะมาถึงในอีก 10 เดือนและชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรมาให้ได้เสียก่อน! ไม่ว่าเจ้าจะได้รับประโยชน์อะไรหรือไม่ จะทำลายโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มังกรได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
“แบบนี้นี่เอง…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยคลี่ยิ้มบางๆ “ถ้างั้น นัดหมายประลอง 5 ปีนั่นข้าต้องจริงจังหน่อยแล้ว”
“ว่าแต่…ท่านพ่อ นี่ท่านนึกยังไงอยู่ๆถึงได้ไปสัญญา นัดหมายประลอง 5 ปีอะไรนี่ให้ข้าได้? อย่าบอกข้านะว่าท่านมีศรัทธาในตัวข้าถึงขนาดนั้นเลย?”
ต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง หันไปจี้ถามกับต้วนหรูเฟิง
“ย่อมแน่อยู่แล้ว! ดูด้วยว่าเจ้าลูกใคร!!”
ต้วนหรูเฟิงแม้ในใจจะรู้สึกผิดเล็กน้อยน้อย แต่ก็ชักสีหน้าขึงขังโพล่งกล่าวออกมาพร้อมตบอก…
หากจะให้มันกล่าวตามความสัตย์จริงล่ะก็…บอกได้เลย ว่าไม่ว่าจะแต่ก่อนหรือตอนนี้ มันไม่เคยเชื่อมั่นเลย…ว่าลูกชายมันจะทำได้!
แถมตอนนี้เหลือเวลาแค่ 10 เดือนเท่านั้น นัดหมายประลอง 5 ปีก็จะครบกำหนดแล้ว ทว่าบุตรชายของมันยังพึ่งมีพลังฝึกปรือแค่อริยะเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น!
ถึงแม้ว่ายากนักที่ในบรรดารุ่นเยาว์จะมีใครบรรลุพลังฝึกปรือทัดเทียมกับลูกชายมันได้ ทว่านี่ยังนับว่าห่างไกลหากจะนำไปเทียบกับตี้จิ่ว!
ต้องทราบด้วยว่าในตอนที่ไปทำสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี…ตี้จิ่วในตอนนั้นมันก็บรรลุเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเข้าไปแล้ว!
หลังผ่านไป 5 ปี เผลอๆตี้จิ่วจะทะลวงถึงเซียนปฐพีเอา!
‘ตอนนี้ข้าหวังแค่ท่านผู้เฒ่าพยากรณ์จะไม่กล่าวออกมาอย่างไร้เหตุผล…หลังจากทั้งหมดแล้วเรื่องนัดหมายประลอง 5 ปีนี่ ก็เป็นท่านที่ขอให้ข้าไปยื่นข้อเสนอกับเผ่าพันธุ์มังกร! อย่างไรก็ตามไฉนแลดูท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ถึงได้มั่นใจในตัวเทียนเอ๋อนัก หรือท่านไม่กังวลเรื่องที่เทียนเอ๋อจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี้จิ่วเลย?’
วาจาเหล่านี้แน่นอนว่าต้วนหรูเฟิงทำได้แค่พูดในใจ
เกี่ยวกับเรื่องผู้เฒ่าพยากรณ์นั้น ต้วนหรูเฟิงไม่ได้กล่าวเล่าให้ต้วนหลิงเทียนรู้ เพราะผู้เฒ่าพยากรณ์ได้กำชับเรื่องนี้เอาไว้
“ท่านพ่อ แล้วเจ้าตี้จิ่วนั่น…ตอนนี้พลังฝึกปรือมันอยู่ระดับไหน?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนนั้นจะเคยเจอตี้จิ่วมาแล้ว แต่ตอนนั้นพลังฝึกปรือของเขาอ่อนด้อยเกินไป จึงไม่อาจหยั่งถึงพลังฝึกปรือตี้จิ่วได้…
อย่างไรก็ตามเขาทราบได้เรื่องหนึ่ง…พลังฝึกปรือของตี้จิ่วไม่ใช่ต่ำทราม!
อย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์!
“ในตอนที่ข้าไปทำสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี ตี้จิ่วมันมีพลังฝึกปรืออยู่ที่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด….”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
“ในตอนนั้นมันมีพลังฝึกปรือเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด?”
มุมปากต้วนหลิงเทียนกระตุกไปอย่างแรงเมื่อได้ยินคำของต้วนหรูเฟิง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะคาดไว้แล้วว่าพลังฝึกปรือของตี้จิ่วสมควรบรรลุเซียนมนุษย์ขั้นต้นเป็นอย่างน้อย แต่ก็ไม่คิดเลยจริงๆว่ามันจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดแล้วแบบนี้…
เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย ยังถือว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือ!
‘ไม่คิดเลยว่าตี้จิ่วที่ถูกข้าปั่นหัวในตอนนั้นจะมีพลังฝีมือน่ากลัวถึงขนาดนี้…’
นึกถึงฉากเรื่องราวตอนที่เขาหลอกล่อให้ตี้จิ่วเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อให้ผู้เฒ่าหั่วฆ่า กระทั่งฉกฉวยโอกาสหลบหนีมันมาได้อย่างไร ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไปด้วยความหวาดเสียว
ที่แท้ตี้จิ่วนั่นมันทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดแล้ว!
‘ในเมื่อตี้จิ่วมันมีพลังฝึกปรือถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด…ถ้างั้นพลังฝึกปรือของชือเม่ยที่พาตัวเค่อเอ๋อไปจะสูงส่งถึงขั้นไหนกัน? วันนั้นนางแค่พลิกฝ่ามือก็ซัดตี้จิ้วจนหมดท่าได้ง่ายๆ! หรือนางจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพี!?’
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบสูดลมหายใจเข้าอย่างลับๆ
ชือเม่ยอ้างตัวว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อแบบนั้น หมายความว่านางมีอายุเท่าๆเค่อเอ๋อ!
ทว่าในตอนนั้นนางกลับบรรลุขอบเขตพลังเซียนปฐพีแล้ว?
‘ให้ตายเถอะ…รุ่นเยาว์ของลัทธิบูชาไฟในภูมิภาคเบื้องบนกลับมีพรสวรรค์น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ…’
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ต้วนหลิงเทียนพบว่ายามนี้หัวใจของเขาเต้นรัวทั้งหนักหน่วงนัก อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับพรสวรรค์ของอัจฉริยะในภูมิภาคเบื้องบนแล้วจริงๆ!
เทียบกับชื่อเม่ยแล้ว อัจฉริยะใดๆในภูมิภาคเบื้องล่างล้วนแต่เป็นขยะทั้งสิ้น…!
‘กระทั่งรุ่นเยาว์ของลัทธิบูชาไฟยังร้ายกาจปานปีศาจขนาดนี้…แล้วพวกอาวุโสของมันเล่า ไหนจะชนชั้นยอดฝีมือเฒ่าเก่าเก็บทั้งหลาย พวกมันจะร้ายกาจปานใดกัน?’
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใจต้วนหลิงเทียนรู้สึกหนักอึ้งนัก…
เหตุผลที่เขาคิดเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนนั้น ก็เพื่อช่วยเค่อเอ๋อกับลูกให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของลัทธิบูชาไฟ…
ทว่ามาตอนนี้เขาพลันตระหนักได้ว่าพลังอำนาจของลัทธิบูชาไฟ ที่แท้มันร้ายกาจถึงเพียงใด…
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันครั้งใหญ่ ที่ตัวเขาไม่เคยพบพานมาก่อน!
“เทียนเอ๋อหากเจ้าไม่มั่นใจ…เพียงยกเลิกสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีนั่นไปเถอะ!”
เมื่อเห็นสีหน้าบุตรชายกลายเป็นเคร่งขรึมทั้งซีดลง ต้วนหรูเฟิงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังตกตะลึงกับพลังฝึกปรือของตี้จิ่ว
ในสายตาของมัน แม้บุตรชายตัวเองจะล้มเลิกนัดหมายประลอง 5 ปีนี้ไปเสีย…ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องน่าขายหน้าตรงไหน!
ตอนที่ 1,839 : มั่นใจ!
หลังจากทั้งหมดแล้วมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ตี้จิ่ว มันอยู่มานานเพียงไหนและบ่มเพาะพลังไปกี่ปีดีดัก? ส่วนต้วนหลิงเทียนยังพึ่งอายุเท่าไหร่เชียว?
ทำให้ทันทีที่พบว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังฝึกปรือแค่ อริยะเซียนขั้นสูงสุด ต้วนหรูเฟิงก็คิดให้บุตรชายล้มเลิกนัดหมายประลอง 5 ปีนั่นทันที…
นั่นเพราะด่านพลังของต้วนหลิงเทียนกับตี้จิ่วมันต่างกันเกินไป
ต้วนหรูเฟิงได้หารือกับผู้เฒ่าพยากรณ์เอาไว้แล้ว ถึงสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีของต้วนหลิงเทียน
หากต้วนหลิงเทียนไม่คิดสู้ ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็บอกไว้ว่าไม่ต้องบังคับให้สู้!
อีกทั้งจิตใจของคนเป็นพ่อ ก็ไม่อยากให้บุตรไปเสี่ยงสู้อยู่แล้ว!
เพราะหากบุตรชายของมันสู้กับตี้จิ่วที่อาจบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีล่ะก็ มันเองก็ไม่มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าจะสามารถปกป้องคุ้มครองบุตรชายให้ปลอดภัย
หากเกิดเรื่องอะไรกับลูกชายขึ้นมา อย่าว่าแต่ภรรยาของมันจะไม่อภัย กระทั่งมันก็ไม่มีวันอภัยให้ตัวเองได้!
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำตามสัญญานัดหมายประลอง 5 ปี”
ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งคืนสติจากคำถามของต้วนหรูเฟิง ก็เข้าใจได้ทันทีว่าบิดากำลังเข้าใจบางอย่างผิดไป เร่งอธิบายออกมาว่า “เมื่อครู่ข้าคิดถึงเรื่องอื่น ส่วนการประลองที่นัดไว้กับตี้จิ่ว ข้าไม่ได้คิดจะล้มเลิก…”
“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดอะไรนั่นเลย ให้มันทะลวงผ่านไปถึงเซียนปฐพีขั้นต้นข้าก็จะสู้กับมันอยู่ดี…”
วาจาท้ายประโยคแววตาต้วนหลิงเทียนเผยความมั่นใจออกมาเต็มเปี่ยม
“แต่เจ้า…เจ้ายังพึ่งเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น…”
ต้วนหรูเฟิงส่ายหัวไปมา “เพียงเวลาแค่ 10 เดือน…คิดยกระดับพลังฝึกปรือให้ทัดเทียมกับตี้จิ่ว ข้าเกรงว่าคงยากเป็นไปได้!”
“เอ้า…อะไรกันท่านพ่อ? ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ท่านมั่นใจในตัวข้าไม่ใช่รึไง? ไหงอยู่ดีๆถอดใจแล้วล่ะ?”
เมื่อเห็นท่าทีของต้วนหรูเฟิงที่คล้ายพลิกกลับ 180 องศา ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งถามไปตาปริบๆ นี่จะไม่เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปหน่อยหรือ เร็วจนผู้คนไม่ทันตั้งตัวแล้ว!?
ต้วนหรูเฟิงพอได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างละอาย
ก่อนหน้านี้มันมั่นใจตัวต้วนหลิงเทียนเพราะเชื่อในคำทำนายของผู้เฒ่าพยากรณ์
อย่างไรก็ตามพอเห็นสีหน้าซีดๆแลดูหวั่นหวาดเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน ความเชื่อมั่นของต้วนหรูเฟิงก็ดิ่งลงเหวทันที
“เทียนเอ๋อ…เจ้ามั่นใจจริงๆหรือ?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวถามเสียงเครียด “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย…เพียงเกิดเหตุผิดพลาดอันใดขึ้นมาแค่เศษเสี้ยว ก็ยากแก้ไขแล้ว!”
“เรื่องเท่านี้ขอท่านพ่ออย่าได้ห่วงไป…ข้ามั่นใจ!”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวด้วยใบหน้าสบายๆคล้ายไม่ใช่เรื่องหนักหนา เผยให้ต้วนหรูเฟิงเห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ในเวลา 10 เดือนหลังจากนี้ มันมากพอจะให้เขาขัดเกลารูปแบบที่ 2 ของปีกอีกาทองคำแล้วเสร็จ กระทั่งทะลวงผ่านถึงอริยะเซียนได้แน่นอน
และด้วยความช่วยเหลือจากชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ คิดจะบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลางก็มีโอกาสไม่น้อย
หากเขาบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลางล่ะก็ ด้วยพลังอำนาจของปราณสุริยันแรกกำเนิด จะทำให้พลังอำนาจของเขาทัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของเซียนมนุษย์ขั้นกลาง!
นอกจากนี้พอถึงเวลานั้น เขาสมควรเพาะสร้างปฐมเวทย์กลืนกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว!
พลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินมหาศาลเพียงใด เขาแลเห็นมันมาด้วยสองตา!
เขายังจดจำได้ดี บททดสอบสุดท้ายในพื้นที่มรดกเวทย์พลังนั่น ตอนที่ชายชราผู้นั้นใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน จากฐานพลังเซียนขัดเกลาขั้นต้น ก็พุ่งทะยานไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทันที!
ถึงแม้ระยะเวลาที่พลังเพิ่มพูนจะคงอยู่ไม่นานนัก แต่มันก็นานพอ!
‘หากข้าสามารถทำความเข้าใจกระทั่งเพาะสร้างต้นแบบปฐมเวทย์กลืนกินได้ ต่อให้ข้าพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น แต่พลังต่อสู้ที่แท้จริงของข้าก็จะบรรลุถึงเซียนมนุษย์สูงสุด!’
‘และถ้าหากข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางล่ะก็ ด้วยความช่วยเหลือของปฐมเวทย์กลืนกินก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะสู้กับเซียนปฐพีขั้นต้นไหว!’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจนัก
‘นอกจากนี้ข้ายังมีเวทย์พลังปีกอีกาทองคำอีก! ขอเพียงข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นข้าก็เพาะสร้างมันได้เช่นกัน! ด้วยรูปแบบที่ 2 ของปีกอีกาทองคำ พร้อมด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน…ข้าอาจเอาชนะตี้จิ่วที่ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นได้ ต่อให้ข้าจะยังเป็นแค่อริยะเซียนขั้นต้นก็ตาม!’
อันที่จริงต่อให้ไร้เวทย์พลังใดๆ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไรตี้จิ่วแม้แต่น้อย
เพราะในมือเขายังมีไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุดอีกอย่าง…กระบี่นิสวรรค์!
เขาตระหนักถึงพลังอำนาจของยอดสมบัติสวรรค์ชิ้นนี้ดี!
ไม่ต้องกล่าวใดให้มากความ ก่อนนี้นี้แม้พลังฝึกปรือเขาจะเป็นแค่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่เขากลับต้านทานรับการลงมือสุดกำลังของผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้!
ถึงแม้ว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดที่เขาจ่ายออกไปจะพร่องไปแทบหมดตัว แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านั้นเขาก็ได้ใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดไปกับอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ที่จ่ายลงกระบี่ไปจริงๆ นับว่ามีแค่ราวๆ 6 ส่วนเท่านั้น!
ถึงจะตัดเรื่องการเร่งเดินทางออกไป ลำพังการเปิดใช้ตราผนึกมารก็จำต้องใช้พลังไม่น้อยแล้ว!
‘ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้าตอนนี้ที่ให้อำนาจทัดเทียมขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นสูงสุด หากจ่ายมันลงกระบี่นิลสวรรค์ทั้งหมดเต็ม 10 ส่วน ต่อให้เป็นเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ก็น่าจะฆ่าได้…’
‘และหากข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นล่ะก็ ตอนนั้นปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้าก็จะยกระดับพัฒนาขึ้นครั้งใหญ่ ไม่แน่ว่าต่อให้เป็นเซียนปฐพีขั้นต้นก็ไม่อาจรับกระบี่ข้าได้…!’
แน่นอนว่ากระบี่นิลสวรรค์เป็นไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุดของต้วนหลิงเทียน หากเลือกได้เขาก็ไม่คิดจะใช้มันมันออกมาโดยไม่จำเป็นจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาสักแต่จะพึ่งกระบี่นิลสวรรค์ ไม่พ้นเส้นทางฝึกตนของเขาต้องเกิดปัญหาแน่!
กล่าวได้เลยว่ายิ่งพึ่งพากระบี่นิลสวรรค์มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางฝึกตนในวันหน้าของเขา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดพึ่งกระบี่นิลสวรรค์ หากมันไม่จำเป็นจริงๆ
“แม้จะไม่ทราบว่าไฉนเจ้าถึงได้มั่นใจในตัวเองนัก แต่พ่อจะเชื่อเจ้า…ตลอดระยะเวลาหลังจากนี้อีก 10 เดือน ไม่ว่าเจ้าต้องการทรัพยากรอันใดในตำหนักเมฆาคราม เจ้าสามารถเอามันไปได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
สุดท้ายมันก็ติดเชื้อความมั่นใจนี้ของต้วนหลิงเทียน พาลให้เชื่อมั่นในตัวบุตรชายตามไปด้วย
“ท่านพ่อข้าไม่ต้องการอะไรมากมาย…แต่ข้าต้องการให้ท่านช่วยรวบรวมวัตถุดิบบางอย่างให้ข้า”
เมื่อทราบว่าบิดาของตัวคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รีรออะไรที่จะขอแรงบิดาให้ช่วยหาวัตถุดิบเพื่อซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
ด้วยอิทธิพลและอำนาจของตำหนักเมฆาครามที่มีต่อภูมิภาคเบื้องล่าง การรวบรวมวัตถุดิบย่อมมีประสิทธิภาพเหนือกว่าตำหนักฟ้าลี้ลับมากมาย
“วัตถุดิบอะไรหรือ”
ต้วนหรูเฟิงถามด้วยความสนใจ
ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือส่ง บันทึกรายชื่อวัตถุดิบไปให้ต้วนหรูเฟิงดูทันที หลังมันดูไปพักหนึ่งก็โค้งคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “เห? นี่ไม่ใช่วัตถุดิบที่ตำหนักฟ้าลี้ลับส่งคนไปรวบรวมตามหาเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วหรอกหรือ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนขอให้ตำหนักฟ้าลี้ลับหาของพวกนี้เอง”
“เจ้า…เจ้าขอให้ตำหนักฟ้าลี้ลับหาวัตถุดิบพวกนี้ให้เจ้างั้นเหรอ?”
ต้วนหรูเฟิงประหลาดใจไม่น้อย “เท่าที่ข้ารู้จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง นั่น…ให้ความสำคัญกับการรวบรวมวัตถุดิบพวกนี้ไม่น้อยยังแจกจ่ายรางวัลออกไปมากมาย…ไฉนเจ้าถึงทำให้ตำหนักฟ้าลี้ลับลงแรงให้เจ้าได้ขนาดนี้เล่า? ให้ข้าเดามันต้องติดหนี้บุญคุณอะไรเจ้าสักเรื่องใช่หรือไม่?”
“ใช่ ประมาณนั้นล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เท่าที่ข้ารู้…ไม่กี่ปีที่ผ่านมาตำหนักฟ้าลี้ลับมีอัจฉริยะนามหลิงเทียน…เทียนเอ๋อ หรือนั่นจะเป็นเจ้า?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวถาม
หากเป็นก่อนหน้านี้มันคงไม่คิดโยงอัจฉริยะนามหลิงเทียนนั่นเข้ากับบุตรชายของมัน
เพราะมันให้กู่มี่ไปเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับและตรวจสอบคนด้วยตัวเองมาแล้ว และรูปโฉมของหลิงเทียนนั่น ก็ไม่ได้คล้ายกับบุตรชายมันเลย…
อย่างไรก็ตามพอได้เห็นเคล็ดวิชาแปลงโฉมเลิศล้ำของต้วนหลิงเทียนกับตา มันจึงโยงคนทั้งคู่เข้าด้วยกันทันที!
“ฮ่าๆ ข้าเองล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรียกว่าข้าอาศัยอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับพักใหญ่ก่อนที่ข้าจะมาที่ตำหนักเมฆาคราม…อ่า จริงสิ! ข้าเกือบลืมไปเลย…ท่านพ่อถ้ามีคนชื่อ กู่ลี่ มาตามหาข้าก็ให้ต้อนรับดีๆหน่อย พี่กู่เป็นสหายอันดีของข้าและยังเป็นคนเดียวในตำหนักฟ้าลี้ลับที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า”
กล่าวถึงตำหนักฟ้าลี้ลับขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดนึกถึงกู่ลี่ไม่ได้
ตอนแรกเขาบอกกู่ลี่เอาไว้แล้ว ว่าถ้าเสร็จเรื่องราวอะไรให้มาหาเขาที่ตำหนักเมฆาคราม จะได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน
หลังนับวันดูแล้ว อีกไม่นานกู่ลี่ก็คงมาถึงที่นี่
“กู่ลี่? บุตรชายคนเดียวของผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นของตำหนักเมฆาคราม คนที่ได้อันดับ 1 ในรายนามฟ้าลี้ลับนั่นน่ะเหรอ?”
ต้วนหรูเฟิงโค้งคิ้วขึ้นเพราะมันเองก็คล้ายจะได้ยินเรื่องราวอัจฉริยะคคนนี้ของตำหนักฟ้าลี้ลับมาบ้าง
“ใช่ๆ เป็นพี่กู่เอง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ลองเจ้าบอกตัวตนที่แท้จริงกับเจ้าหนุ่มนั่นเช่นนี้ นั่นหมายความว่ามันน่าเชื่อถือและไว้ใจได้…เอาล่ะในเมื่อเป็นสหายของเจ้า แน่นอนว่าเป็นสหายของตำหนักเมฆาครามเราด้วย ไม่ต้องห่วงสหายเจ้ามาเมื่อไหร่พ่อจะไปต้อนรับด้วยตัวเอง”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวยิ้ม
“นอกจากนี้…ข้ายังได้ยินมาว่าลี่เฟิงที่ปรากฏตัวในเขตพ้นที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เป็นศิษย์พี่ของหลิงเทียน…”
ต้วนหรูเฟิงมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองตาหยีลงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด ลี่ คงมาจากแซ่ของมารดาเจ้า ส่วนเฟิง มาจากชื่อพยางค์ท้ายของข้าใช่หรือไม่?”
“อ่า ลี่เฟิงเป็นข้าเอง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า กับพ่อตัวเองเรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“ฮ่าๆๆ…ตอนนั้นพ่อยังคิดอยู่เลยว่าจะรับตัวอัจฉริยะเช่นนั้นมาเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาครามของเราได้อย่างไร ไม่คิดเลยว่าที่แท้จะเป็นลูกชายของข้าต้วนหรูเฟิงนี่เอง!”
ต้วนหรูเฟิงหัวเราะร่า ใบหน้าเผยความภาคภูมิใจล้นปรี่
ต้วนหลิงเทียนบุตรชายของมันต้วนหรูเฟิงนับว่าไม่ทำให้มันเสียใจ! กระทั่งยังทำให้ภาคภูมิใจถึงที่สุด!!
“เอาล่ะ! ข้าจะไปออกคำสั่งรวบรวมวัตถุดิบพวกนี้ให้เจ้าเอง…ต่อให้ข้าต้องปล้นมันทั้งภูมิภาคเบื้องล่างก็เถอะ ข้าจะพยายามหามันมาให้ได้มากที่สุด”
มองบันทึกรายการวัตถุดิบในมือ ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกเสียงเข้ม
“จริงสิท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ท่านเกริ่นมาว่าที่ท่านเป็นจ้าวตำหนักเมฆษครามต้องขอบคุณข้า…ที่แท้มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงเรื่องราวที่ต้วนหรูเฟิงบอกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไป
“หากข้าเดาไม่ผิด…เจ้าได้รับตราผนึกมารมาจากบึงแห่งความตายที่บ้านเกิดของพวกเราใช่หรือไม่?”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิงไม่ได้ตอบออกไปทันที หากแต่เลือกจะย้อนถามแทน
ตอนที่ 1,840 : ลัทธิชะตาฟ้า
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหรูเฟิง สองตาต้วนหลิงเทียนพร่าไปคล้ายมีม่านหมอกบดบัง
ตอนนี้เขากำลังหวนรำลึกถึงเรื่องราวในวันวาน
ในตอนนั้นที่อาณาจักรนภาล่องของทวีปเมฆาคราม เขาได้ลองไปสำรวจบึงแห่งความตาย กระทั่งพบเจอตราผนึกมารในพระราชวังใต้ดินลึกลับ
และทันทีที่เขาลองแผ่พลังวิญญาณไปหมายตรวจสอบ วิญญาณอันร้ายกาจหนึ่งก็พุ่งสวนเข้ามาหมายยึดครองร่างกายของเขา!
แต่น่าเสียดายในช่วงเวลาสำคัญนั้นเอง วิญญาณนั่นกลับคล้ายถูกพลังอำนาจลี้ลับบางประการป่นสลายเป็นธุลี…
และเรื่องราวดังกล่าวก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันกับตอนที่ดวงวิญญาณของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดแหลกสลายไป ในขณะที่คิดช่วงชิงร่างของเขาเช่นกัน
‘เจ้าไม่ใช่คนของโลกใบนี้!’
เขายังจดจำได้ชัดเจน วาจาสุดท้ายที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดตะโกนออกมา
และวิญญาณที่พุ่งพรวดออกมาจากตราผนึกมารนั่น มันก็ทรงพลังและร้ายกาจกว่าจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่ทว่ามันก็ถูกทำลายไปดว้ยพลังลี้ลับบางอย่างเช่นกัน คล้ายว่าดวงจิตกับวิญญาณของเขามีบางสิ่งที่คอยปกปักษ์คุ้มครองอยู่!!
อย่างไรก็ตามจวบจนวันนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าที่แท้มันคืออะไรกันแน่
“ผู้เฒ่าหั่ว!!”
มีปัญหาอะไรให้ถามผู้เฒ่าหั่ว! เรื่องนี้เสมือนทางออกที่ดีที่สุดสำหรับต้วนหลิงเทียน!!
“ผู้เฒ่าหั่วหลังจากที่วิญญาณของข้าข้ามโลกมาอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นาน…ตอนนั้นมีวิญญาณของตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปมนุษย์คิดจะพุ่งเข้ามาในดวงจิตหมายทำลายวิญญาณเพื่อยึดครองร่างของข้า แต่ทันทีที่มันคิดจะทะลวงเข้ามาในดวงจิตของข้า วิญญาณของมันกลับแตกสลายไปเสียเองโดยที่ข้าไม่เป็นอะไรเลย! เรื่องนี้มันเป็นเพราะอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาตรงๆ
และก่อนที่ผู้เฒ่าหั่วจะทันได้ตอบอะไร เขาก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมออกไปว่า “จริงสิ! ก่อนที่วิญญาณนั่นมันจะสลายไป มันบอกว่า…ข้าไม่ใช่คนของโลกนี้!”
“นี่เป็นกฏจำเพาะของระนาบโลกียะ! ดั่งข้อจำกัดที่ไม่อาจฝ่าฝืน!”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “เมื่ออยู่ในระนาบโลกียะที่แตกต่างกัน กฏเกณฑ์ย่อมไม่เหมือนกัน…วิญญาณที่ถือกำเนิดในระนาบโลกียะนี้ก็มีกลิ่นอายตามกฏของระนาบโลกียะนี้ ส่วนวิญญาณจากระนาบโลกียะอื่นก็จักมีกลิ่นอายตามกฏระนาบโลกียะนั้นๆ”
“จากคำพูดนี้ของเจ้าสามารถทำให้ข้าสรุปได้อย่างชัดเจนทันที…พิภพเหยียนหวง หรือโลกมนุษย์ที่เจ้าจากมานั้น มิได้อยู่ในระนาบโลกียะเดียวกันกับโลกใบนี้”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ด้วยเหตุนี้วิญญาณของเจ้าที่ข้ามมาจากพิภพเหยียนหวง จึงถูกปนเปื้อนด้วยกลิ่นอายของระนาบโลกียะแห่งนั้น…เช่นนั้นกล่าวได้ว่า ในโลกใบนี้ตลอดทั้งระนาบโลกียะแห่งนี้…หากเจ้าคิดใช้วิญญาณของเจ้า รุกรานทำลายวิญญาณผู้อื่นหมายยึดครองดวงจิตควบคุมร่างใครล่ะก็ นั่นจักเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย! แน่นอนว่าคนอื่นก็ทำแบบนี้กับเจ้าไม่ได้เช่นกัน…”
“แต่แน่นอนว่านี่มิใช่หมายความว่าวิญญาณของเจ้าจะเป็นอมตะในระนาบโลกียะแห่งนี้ หากไม่ใช่การจู่โจมของวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นการใช้ทักษะโจมตีทางวิญญาณจากวิญญาณของผู้ที่มีร่างเนื้อ…พวกมันยังสามารถทำลายวิญญาณของเจ้าได้!”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ
ผู้เฒ่าหั่วแม้จะกล่าวออกมามากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนก็ใช่จะเข้าใจทุกอย่างกระจ่าง
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถจับประเด็นได้ชัด 2 เรื่อง
ประการแรกเลยก็คือ หากเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ไร้ร่างกาย พวกมันไม่มีทางเล่นงานวิญญาณเขาและยึดครองร่างเขาได้เลย เพราะเสมือนเขามีเกราะกำบังจากกฏของระนาบอะไรนั่น…และผู้ที่หาญกล้าลงมือก็รังแต่จะทำลายตัวเองเท่านั้น!
ประการที่สอง หากผู้ที่มีร่างเนื้อหรือคนทั่วไปใช้การโจมตีทางวิญญาณเล่นงานวิญญาณของเขา เกราะกำบังจากกฏที่ว่าจะไม่มีอยู่! และหากอีกฝ่ายมีการจู่โจมด้วยวิญญาณที่ทรงพลัง เขาก็ตายได้!
“เทียนเอ๋อ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนึกย้อนเรื่องราวตลอดทั้งหันไปสนทนากับผู้เฒ่าหั่ว นั่นทำให้เขาแลดูเสมือนเหม่อลอยไปใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต้วนหรูเฟิงจึงจำต้องเรียกเพื่อดึงสติเขากลับมา
“โทษทีท่านพ่อ…”
ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อลอยไปพอสติสตังกลับมาอยู่กับเนื้อตัว ก็ถามบิดาออกมาทันที “เมื่อกี้ท่านว่าอะไรนะ?”
หากเป็นคนอื่นมาเหม่อจนไม่สนใจฟังแบบนี้ล่ะก็ ต้วนหรูเฟิงคงได้มีโมโหกันบ้างแล้ว
ทว่าคนเบื้องหน้าคือต้วนหลิงเทียน ลูกชายของมันทั้งคน มันย่อมไม่ได้ขุ่นขึ้งใจอะไร
ต้วนหรูเฟิงค่อยๆกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างอดทน “ข้าพึ่งถามเจ้าว่า ‘ตราผนึกมาร’ ในมือของเจ้า…เจ้าได้มันมาจากบึงแห่งความตายในบ้านเกิดของเราใช่หรือไม่?”
“ใช่!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
ส่วนเรื่องที่บิดาเขาจะล่วงรู้ว่าเขาถือครองตราผนึกมารอยู่ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะเรื่องนี้มันได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว
กระทั่งตอนนี้ยังคงมีหลายคนที่ออกตามหาตัวเขาให้วุ่น!
แน่นอนว่าที่พวกมันหาตัวเขา ล้วนเป็นเพราะต้องการช่วงชิงตราผนึกมาร!
“แล้วเจ้าพบพานเรื่องผิดปกติอันใดบ้างหรือไม่ยามหยิบตราผนึกมารขึ้นมา…อย่างเช่นมีวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอจะหลุดจากผนึกของตราผนึกมาร และคิดช่วงชิงร่างของเจ้า?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
และนี่เป็นสิ่งที่มันอยากรู้มากที่สุด
หากมันจำไม่ผิด วิญญาณหลักของเฮยหมิงสมควรยังถูกสะกดอยู่ในตราผนึกมาร! ด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว…มันจึงต้านทานการทำลายของตราผนึกมารได้! เพียงถูกสะกดผนึกเอาไว้เท่านั้น เมื่อมีใครแตะต้องตราผนึกมาร มันย่อมฉกฉวยโอกาสอันดีนี้ลงมือชิงร่างแน่ๆ
“ใช่!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนั้นมีวิญญาณที่ทรงพลังมหาศาลคิดยึดครองร่างของข้าจริงๆ…อย่างไรก็ตามข้าไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ตอนนั้นกลับมีพลังมหาศาลอีกขุมปะทุออกจากตราผนึกมาร และทำลายวิญญาณดวงนั้นจนแหลกเป็นผุยผง!”
“ตอนที่วิญญาณดวงนั้นมันคิดช่วงชิงร่างกายเจ้ามันกล่าวอะไรออกมาบ้าง?”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนมันจะบอกข้าว่า ต้องโทษที่ชะตาข้าอาภัพนัก และกล่าวทำนองว่าหากข้าไม่ถ่ายพลังวิญญาณลงไปยังตราผนึกมาร จนคล้ายสะพานเชื่อมมันคงไม่อาจออกจากตราผนึกมารได้…และตราบใดที่มันทำลายดวงจิตข้าได้มันก็จะยึดร่างกายของข้า…”
“นอกจากนี้เห็นมันบอกว่า…หลังยึดร่างข้าได้มันจะออกไปหาวิญญาณส่วนที่เหลือ พอวิญญาณหลักของมันรวมตัวกับวิญญาณอื่นได้ คราวนี้มันจะจัดการตัวอุบาทว์ ที่คอยสะกดมันไว้…ประมาณนี้ล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกย้อนไปก็กล่าวทวนวาจาที่ วิญญาณ ในตอนนั้นกล่าวออกมา
เขากล่าวเล่าทุกอย่างยกเว้นความจริงที่ วิญญาณ นั่นถูกทำลายอย่างไร
เพราะสุดท้ายแล้วความจริงเรื่องนี้ ก็เกี่ยวพันกับชีวิตที่แล้วของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าบิดาไม่เอาไหนผู้นี้กับมารดาของเขาจะรับได้หรือไม่…
ในสายตาของเขา การที่ไม่บอกความจริงเรื่องนี้กระทั่งโกหกออกไปนับเป็นเรื่องดีที่สุด และไม่ต้องทำให้ใครเจ็บช้ำ…
“ตัวอุบาทว์? เฮอะ! เจ้าสิตัวอุบาทว์!!”
นับว่าสร้างความประหลาดใจให้ต้วนหลิงเทียนนัก เพราะทันทีที่เขาพูดจบ บิดาเขาต้วนหรูเฟิงอยู่ๆก็โพล่งคำด่าใครก็ไม่รู้ออกมาอย่างสะใจ สีหน้ายังแย้มยิ้มยินดีขึ้นมาทันตาเห็น “เฮยหมิงหนอเฮยหมิง…วิญญาณหลักของเจ้าคงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะ ว่าจะต้องมาพินาศเพราะลูกชายคนเดียวของข้า! เศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าพยายามชิงร่างข้ามาเกือบ 20 ปี แต่สุดท้ายก็เป็นข้าที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง! ฮ่าๆๆๆ!!”
“ท่านพ่อ…ท่านหมายความว่า ที่วิญญาณนั่นเรียกหาว่าตัวอุบาทว์ที่แท้เป็นท่านหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับชะงักค้างด้วยความตกตะลึง
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ด้วยหรือ?
แต่จากที่ต้วนหรูเฟิงเล่ามาหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องเชื่อแล้วจริงๆว่าใต้หล้ากลับมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้อยู่จริงๆ!
ที่แท้บิดาของเขาถูกเศษเสี้ยววิญญาณของเฮยหมิงยึดครองร่างไปเป็นการชั่วคราว และมันก็นำพาร่างบิดาเขาเดินทางจากออกทวีปมนุษย์มาจนถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
สำหรับพลังฝึกปรือที่พุ่งกระฉูดทะยานฟ้าของบิดาเขาทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความดีความชอบของเฮยหมิง
ช่วงแรกๆแม้วิญญาณของบิดาเขายังไม่ถูกทำลายและคอยขัดขืนอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ทำได้แค่เป็นผู้ชมเท่านั้น ไม่อาจควบคุมร่างได้เลย…
สุดท้ายเพราะความโลภของเฮยหมิง ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บโดยบังเอิญ จึงทำให้บิดาของเขามีโอกาสชิงสิทธิ์ควบคุมร่างได้สำเร็จ ทำให้ไม่ใช่เฮยหมิงที่ใช้ร่างอยู่คนเดียวอีกต่อไป
ตั้งแต่วันนั้นทั้งคู่ก็ยื้อยุดฉุดกระชากสิทธิ์ครองร่างกันไปอย่างไม่มีใครคิดจะแพ้ง่ายๆ
ในขณะที่เรื่องราวน่าปวดหัวดำเนินไปทั้งอย่างนั้น ร่างบิดาเขาก็มีพลังฝึกปรือก้าวหน้าเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งก้าวข้ามจ้าวตำหนักเมฆาครามคนเก่า สุดท้ายเรื่องราวก็ดุจดั่งนกพิราบบุกมายึดครองรังนกกระจอก!
แน่นอนว่าช่วงแรกๆตำหนักเมฆาครามก็ทุลักทุเลไม่น้อย เพราะแม้ทุกคนจะหวาดกลัวพลังอำนาจของเฮยหมิงยามที่มันคุมร่างต้วนหรูเฟิง แต่ก็มีน้อยคนที่จะยอมรับเป็นจ้าวตำหนัก
จนกระทั่งถึงช่วงที่ต้วนหรูเฟิงควบคุมร่างบ้าง ก็เลือกใช้ทั้งพระเดชพระคุณ จนในที่สุดก็เอาชนะใจคนตำหนักเมฆาครามได้ไม่น้อย
หลังจากได้ใจคนตำหนักเมฆาครามแล้วพอถึงช่วงที่เฮยหมิงคุมร่างอีกครั้ง ตำหนักเมฆาครามก็ลงมือก้าวร้าวอุกอาจทันที กระทั่งผงาดขึ้นมาเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ระดับแนวหน้า ทัดเทียมกับตลาดมืดเหยินชาน!
ในตอนนั้นเองทุกคนในตำหนักเมฆาครามก็เริ่มยอมรับนับถือจ้าวตำหนักคนใหม่
และในที่สุดวันหนึ่งวิญญาณหลักเฮยหมิงก็ถูกทำลาย ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณที่ยื้อยุดร่างกับต้วนหรูเฟิงสลายหายไป ส่งผลให้ต้วนหรูเฟิงกลายเป็นเจ้าของร่างแต่เพียงผู้เดียว!
และวันนั้นก็เป็นวันที่ที่ต้วนหรูเฟิง…ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดทันที!
เพราะที่ทวีปเมฆาล่องมีภรรยาและบุตรชายที่มันรักและเป็นห่วงมากที่สุด!
“กลับมีเรื่องน่าหวาดเสียวถึงขนาดนี้…ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าวิญญาณหลักของเฮยหมิงอะไรนั่นที่คิดยึดครองร่างข้า เศษเสี้ยววิญญาณของมันกลับกำลังยื้อยุดชิงร่างกับท่านพ่ออยู่…กล่าวไปแล้วสุดท้ายทั้งหมดท่านต้องขอบคุณข้าจริงๆ ที่ทำให้ท่านสามารถกลับมาใช้ชีวิต กระทั่งกลับบ้านที่ทวีปเมฆาล่องได้อีกครั้ง”
มองไปยังต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ท่านพ่อ…แต่ถึงวิญญาณหลักของเฮยหมิงมันจะชิงร่างข้าไม่สำเร็จ แต่พลังวิญญาณของมันตอนนั้นช่างมหาศาลเหลือเกิน ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหิ่งห้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับดวงตะวัน ท่านพ่อพอจะล่วงรู้ความเป็นมาของมันหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความอยากรู้
“ข้ารู้เพียงในครั้งที่มันยังรุ่งโรจน์ มันเป็นถึงสุดยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องบน แม้มันจะไม่ค่อยกล่าวถึงความหลังอะไรมาก แต่จากที่มันบ่นออกมาหลายครั้งข้าพอจับใจความได้ว่า มันสมควรมาจาก 1 ใน 3 ลัทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิชะตาฟ้า!”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวบอกสิ่งที่รู้ออกมา
1 ใน 3 ลัทธิของภูมิภาคเบื้องบน…ลัทธิชะตาฟ้า!
ได้ยินเรื่องนี้ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันที
ลัทธิชะตาฟ้า ในเมื่อเป็น 1 ใน 3 ลัทธิได้ เช่นนั้นพลังอำนาจของมันสมควรทัดเทียมกับลัทธิบูชาไฟ!
ในตอนนั้นวิญญาณที่ทรงพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงที่คิดช่วงชิงร่างเขา แต่กลับต้องถูกทำลายวิญญาณด้วยกฏของระนาบโลกียะ ที่แท้เป็นถึงผู้ฝึกมารยอดฝีมือของ 1 ใน 3 ลัทธิอันทรงพลัง ลัทธิชะตาฟ้า!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับต้วนหรูเฟิงกำลังคุยกันอย่างออกรสนั้นเอง
ทางด้านตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ห่างไกล กู่ลี่ก็ได้สะสางเรื่องราวต่างๆที่ค้างคาจนหมด
และหลังจากร่ำลาบิดาอย่างกู่ซืออวิ๋นเรียบร้อยแล้ว มันก็เหินร่างออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับมุ่งหน้าลงใต้ทันที
“เป็นทิศทางเดียวกันกับที่หลิงเทียนจากไปวันนั้นจริงๆ…แถมยังมิใช่ทางไปภูมิภาคเบื้องบน!”
ไม่นานหลังจากที่กู่ลี่เหินร่างจากไป ก็ปรากฏร่างหนึ่งที่วูบออกมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับปานสายลม
ในสายตาของผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย คงเห็นว่าอยู่ๆมันก็ผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า
“ดูเหมือนว่ามันจะไปหาหลิงเทียน”
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ย่อมจดจำได้ทันที
ผู้ที่ลอบสะกดรอยตามกู่ลี่มาไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือหนึ่งในบรรดารองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!
ตอนที่ 1,841 : จ้าวเติงตื่นตระหนก…
ถึงแม้กู่ลี่จะไม่เคยไปตำหนักเมฆาครามมาก่อน แต่มันก็รู้ดีว่าตำหนักเมฆาครามอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตามขณะเดินทางไปยังตำหนักเมฆาคราม กู่ลี่ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนลอบสะกดรอยตามมันมาด้วย…
ถึงกู่ลี่จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่เซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น
เมื่อต้องเจอกับการลอบสะกดรอยตามของจ้าวเติง ที่พลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ มันย่อมไม่อาจตรวจพบร่องรอยใดๆได้
ดังนั้นถึงแม้จ้าวเติงจะลอบสะกดรอยตามกู่ลี่มา แต่กู่ลี่ก็ไม่รู้ตัวเลย…
“ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าหลิงเทียนบัดซบนั่นมันไปมุดหัวอยู่ที่ใด”
จ้าวเติงที่สะกดรอยตามกู่ลี่ไม่ห่าง กล่าวพึมพำออกมาเสียงเย็น ประกายตายังเผยรังสีอำมหิตชัด
ไม่กี่วันต่อมา จ้าวเติงที่สะกดรอยตามกู่ลี่ก็อดขมวดคิ้วบ่นออกเสียไม่ได้ “ข้างหน้านี่มันก็ทะเลสาบผานหลงอันเป็นเขตของตำหนักเมฆาครามแล้วมิใช่หรือไร…กู่ลี่มันมาทำอะไรที่นี่กัน?”
ตำหนักเมฆาครามแม้จะลี้ลับอันตราย แต่อย่างไรเสียในแง่ระดับก็เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ดุจเดียวกับตำหนักฟ้าลี้ลับของมัน อนิจจาหากมองในแง่พลังอำนาจ น่ากลัวว่าตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่อาจเทียบได้เลย
มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้า ‘ประตู’ ของขุมพลังน่ากลัวระดับนี้ ถึงแม้จ้าวเติงจะเป็นถึงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวอยู่บ้าง
แน่นอนว่าตั้งแต่ต้นจนจบจ้าวเติงไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าจุดหมายปลายทางของกู่ลี่จะเป็นตำหนักเมฆาคราม
เพราะมันไม่เคยได้ยินเรื่องราวว่ากู่ลี่มีสัมพันธ์กับตำหนักเมฆาครามมาก่อน และอีกฝ่ายก็ไม่เคยกล่าวว่าหลิงเทียนมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักเมฆาคราม
มันคิดว่ากู่ลี่คงจำเป็นต้องผ่านทางนี้ และอีกประเดี๋ยวต้องเลือกที่จะอ้อมทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาครามไปแน่นอน
ตราบใดที่ไม่เข้าเขตทะเลสาบผานหลง ก็ถือว่ายังไม่ได้รบกวนตำหนักเมฆาคราม…
อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้นจ้าวเติงก็พบว่าเรื่องราวกลับผิดพลาดเหนือคาดไปหมด เพราะกู่ลี่ไม่อ้อมเลี้ยวอะไรแต่ตรงแด่วเข้าไปยังทะเลสาบผานหลงอันเป็นอาณาเขตตำหนักเมฆาครามหน้าตาเฉย!
“มัน…มันเข้าไปในทะเลสาบผานหลงแล้ว?”
ด้านนอกทะเลสาบผานหลง จ้าวเติงหยุดร่างมองชมเรื่องราวด้วยความอื้ออึง มองแผ่นหลังกู่ลี่ล่วงล้ำเข้าไปในทะเลสาบผานหลงอย่างไม่เข้าใจ
และครู่ต่อมาฉากที่มันคิดคาดไว้ก็ปรากฏ องครักษ์เกราะทมิฬพุ่งมาปิดล้อมบังขวางกู่ลี่เอาไว้อย่างขึงขัง
“กู่ลี่นั่นมันมาทำบ้าอะไรที่ตำหนักเมฆาครามกันแน่?”
จ้าวเติงยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ
มันไม่คิดว่ากู่ลี่จะเหงาจนมารนหาที่ตายแบบนี้!
เช่นนั้นเบื้องหลังการกระทำดังกล่าวต้องมีเบื้องลึกที่มันไม่รู้อยู่แน่!
“หืม? ไฉนอยู่ดีๆองครักษ์เกราะทมิฬเหล่านั้นถึงเปลี่ยนท่าทีเสียเล่า?”
ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมาไกล แต่จ้าวเติงยังเห็นได้ชัดเจนว่าท่าทีขึงขังตอนแรกขององครักษ์ทมิฬได้แปรเปลี่ยนไป ทั้งหมดคล้ายต้อนรับทักทาย กระทั่งเปิดทางให้กู่ลี่ด้วยรอยยิ้ม!
นอกจากนั้นยังมีองครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งผายเมือเชื้อเชิญ ก่อนจะเหินร่างนำกู่ลี่เข้าไปด้วยท่าทีสุภาพ!!
“อันใด!? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! ไฉนข้ามิเคยได้ยินว่ากู่ซืออวิ๋นมีสัมพันธ์อันใดกับคนของตำหนักเมฆาครามมาก่อน!?”
จนเมื่อแผ่นหลังของกู่ลี่หายลับตาไป จ้าวเติงค่อยคืนสติ
สิ่งแรกที่มันคิดก็คือ กู่ซืออวิ๋น สมควรมีสายสัมพันธ์อันใดสักอย่างกับคนของตำหนักเมฆาครามแน่นอน!
อีกทั้งคนของตำหนักเมฆาครามคนนั้นสมควรมีตำแหน่งมิใช่ชั่ว หาไม่แล้วองครักษ์เกราะทมิฬคงไม่ปฏิบัติต่อกู่ลี่ บุตรชายของกู่ซืออวิ๋นดีขนาดนี้!
ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่คิดเลยว่าจะเป็นตัวกู่ลี่เองที่มีสัมพันธ์กับคนตำหนักเมฆาคราม เพราะคุณสมบัติของกู่ลี่มันไม่พอ!
จังหวะนี้จ้าวเติงเรียกว่าลืมเรื่องหลิงเทียนไปอย่างสิ้นเชิง
กล่าวให้ชัด ต้วนหลิงเทียน ถูกลืมเสียแล้ว…
มันไม่เคยคิดคาดและเกรงว่ากระทั่งหลับยังไม่อาจฝันถึง เหตุผลที่ว่าทำไมองครักษ์เกราะทมิฬถึงปฏิบัติดีกับกู่ลี่ ล้วนเป็นเพราะจ้าวตำหนักเมฆาครามถ่ายทอดคำสั่งลงมาด้วยตัวเอง!
คำสั่งของต้วนหรูเฟิงแน่นอนว่าสืบเนื่องมาจากต้วนหลิงเทียน!
“วันหน้าหากมีคนของตำหนักฟ้าลี้ลับที่เรียกว่า กู่ลี่ มาเยือน ขอให้ทุกคนทำการต้อนรับอย่างดี!”
แม้ว่าวาจาของต้วนหรูเฟิงจะเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่สำหรับองครักษ์เกราะทมิฬแล้ว เปรียบเสมือน พระราชโองการของฮ่องเต้!
เมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งลงมาเช่นนี้ องครักษ์เช่นพวกมันไหนเลยจะกล้าละเลย!
‘ตอนนี้ข้าควรเข้าไปถามเรื่องราวให้รู้ชัด…หรือย้อนกลับไปก่อนดี…’
จ้าวเติงเริ่มคิดถึงการล่าถอย หากแต่พอคิดว่าหลิงเทียนอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเมฆาครามโดยอาศัยสายสัมพันธ์ของกู่ซืออวิ๋น และกู่ลี่ทำการนัดพบที่นี่ มันก็อดไม่ได้ที่จะละล้าละลัง
“หลิงเทียนนั่นสมควรหลบซ่อนอยู่ด้านในตำหนักเมฆาครามเพราะกู่ลี่แนะนำให้มา โดยอาศัยเส้นสายคนรู้จักของบิดามันในตำหนักเมฆาครามเป็นแน่…ดูเหมือนพวกมันจะใช้ที่นี่เป็นจุดนัดพบและคิดไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน! หลิงเทียนหนอหลิงเทียนเจ้าคิดจริงๆหรือว่ามาอาศัยร่มเงาของตำหนักเมฆาครามแบบนี้…แล้วเจ้าจักรอดพ้นเงื้อมมือของสกุลจ้าวเรา!!”
เมื่อจ้าวเติงคาดเดาได้ดังนั้น สองตาก็ทอประกายเย็นเยียบแฝงอำมหิตทันที
ตอนนี้สิ่งที่จ้าวเติงอยากกระทำมากที่สุดคือเข้าไปลากคอหลิงเทียนออกมา!
ไม่ว่าจะมันหรือบิดาต่างรู้สึกว่าคิดหาฆาตกรฆ่าจ้าวจี้ จำต้องเริ่มสอบสวนจากหลิงเทียน!
“ช่างเถอะ แค่เข้าไปคงมิเป็นไร…หากข้าเปิดเผยฐานะรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับออกไป เพียงแค่กล่าวถามเรื่องราวไม่กี่ข้อ องครักษ์เกราะทมิฬพวกนี้ไม่สมควรไม่ไว้หน้าข้า…”
สุดท้ายจ้าวเติงก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง
ยิ่งพอมันนึกถึงฐานะของมันว่าเป็นชนชั้นรองจ้าวตำหนักคนหนึ่ง มันก็ฮึกเหิมและฟื้นความมั่นใจในตัวเองขึ้นมามาก
ฟุ่บ!
จ้าวเติงคล้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นกระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่ง มันปะทุความเร็วเคลื่อนร่างไปผุดโผล่ในอาณาเขตทะเลสาบผานหลง ก่อนที่องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 จะทันได้รู้สึกตัว!
“ผู้ใด!?”
และการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจ้าวเติง ย่อมทำให้องครักษ์เกราะทมิฬตื่นตัวเป็นธรรมดา พริบตาร่างจ้าวเติงก็ถูกองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 กระจายกำลังกันปิดล้อม
“ข้าคือรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!”
เผชิญหน้ากับการปิดล้อมขององครักษ์เกราะทมิฬ จ้าวเติงเชิดหน้าอกผ่ายไหล่ผึ่งกล่าวประกาศออกมาอย่างมั่นใจ
ขณะเดียวกันกลิ่นอายพลังทั่วกาย ก็เพาะสร้างเป็นสนามพลังไร้สภาพขุมหนึ่งกวาดแผ่ออกไปโดยรอบ พาลให้สีหน้าขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ซีดลงทันที!
จะกล่าวอย่างไรจ้าวเติงก็นับเป็นชนชั้นเซียนมนุษย์คนหนึ่ง พลังฝึกปรือยังบรรลุขั้นเชี่ยวชาญแล้ว! กลิ่นอายพลังทั้งแรงกดดันที่มันแผ่ออกมา สุดที่องครัก์เกราะทมิฬซึ่งบรรลุเพียงขอบเขตอริยะเซียนเหล่านี้จะทานทนรับได้จริงๆ!!
อย่างไรก็ตามจ้าวเติงเองก็ไม่กล้ากระทำเกินเลย หลังแผ่กลิ่นอายพลังพักหนึ่ง มันก็ถอนรั้งมวลพลังทั้งหมดทันที
อย่างไรเสียองครักษ์เกราะทมิฬเหล่านี้ก็เป็นคนของตำหนักเมฆาคราม และจากคำกล่าวที่ว่า ‘คิดตีสุนัขต้องดูนาย’ จ้าวเติงไหนเลยจะหาญกล้ารังแกคนของตำหนักเมฆาคราม!
ตำหนักเมฆาครามนั้นอย่าว่าแต่มัน ต่อให้บิดามันหอบสังขารมาเองก็ไม่กล้าจะล่วงเกินตำหนักเมฆาครามแม้แต่น้อย!
มันกระทำเช่นนั้นเพียงเพราะอยากให้องครักษ์เกราะทมิฬรับทราบพลังฝึกปรือและฐานะ อีกฝ่ายจะได้ไม่ปรามาสดูถูกมัน!
“ที่แท้เป็นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับแซ่จ้าวนี่เอง!”
ไม่นาน 1 ใน 9 องครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งก็ก้าวออกมาก่อนที่จะยื่นมือขวาออกไปโดยมีมือซ้ายป้องบัง ค่อยโค้งคารวะจ้าวเติงเล็กน้อย “ยินดีที่ได้พบรองจ้าวตำหนักจ้าว ข้า หลิวฉวน สือฟูฉางหมู่ที่ 73 แห่งตำหนักเมฆาคราม”
“คารวะรองจ้าวตำหนักจ้าว!”
องครักษ์เกราะทมิฬที่เหลืออีก 8 คนก็ป้องมือโค้งคารวะทักทายจ้าวเติงเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 คารวะทักทายอย่างสุภาพเรียบร้อย จ้าวเติงอดไม่ได้ที่จะกระหยิ่มยิ้มย่อง หน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ลำตัวยังคล้ายจะยืดยาวขึ้น ใจคิดไปว่าการสำแดงพลังเมื่อครู่ช่างได้ผลประเสริฐนัก!
“เจ้าคือสือฟูฉางเช่นนั้นหรือ?”
จ้าวตงมองหลิวฉวน ก่อนที่จะหยักหน้า “เอาล่ะ ข้ามีเรื่องคิดไถ่ถามเจ้าเรื่องหนึ่ง ตอนนี้…”
“รองจ้าวตำหนักจ้าว”
จ้าวเติงยังกล่าวไม่ทันจบคำหลิวฉวนก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน ยังผลให้หน้าจ้าวเติงถึงกับเปลี่ยนสีทันที ทว่าหลิวฉวนไม่สนใจ ยังคงกล่าวต่อออกมาว่า “ท่านจ้าวตำหนักได้กำชับพวกเราไว้แล้ว…ว่าหากท่านมาจำต้องต้อนรับท่านให้ดี และยังต้องพาท่านไปส่งที่ห้องโถงหลัก เพื่อที่ท่านจ้าวตำหนักจะได้ต้อนรับท่านด้วยตัวเอง!”
หลังได้ยินคำของหลิวฉวนสีหน้าไม่พอใจของจ้าวเติงก็สลายหายกลายเป็นตะลึงงันด้วยความยินดี “ท่านจ้าวตำหนักของพวกเจ้า…คิดต้อนรับข้าเป็นการส่วนตัวเลยงั้นหรือ!?”
จ้าวเติงถึงกับถามซ้ำด้วยกลัวฟังผิด
“ใช่”
อย่างไรก็ตามไม่ทันไรมันก็ได้ยินหลิวฉวนกล่าวตอบย้ำ
มันไม่ได้ฟังผิด!
จังหวะนี้จ้าวเติงรู้สึกเสมือนมีไอร้อนหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศรีษะ พาลให้หน้าผากรู้สึกอุ่นร้อนวูบวาบขึ้นมา
นี่คือความรู้สึกของอาการ ตื่นเต้น!
สำหรับการต้อนรับขององครักษ์เกราะทมิฬเบื้องหน้านั้น จ้าวเติงไม่ได้แยแสแม้แต่น้อยเพราะอย่างไรอีกฝ่ายอย่างดีก็แค่ขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุด
อย่างไรก็ตามจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นอะไรที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!
จ้าวตำหนักเมฆาครามคือตัวตนที่ทุกผู้คนได้แต่แหงนมอง ทว่าตอนนี้ตัวตนเช่นนั้นกำลังจะต้อนรับมันเป็นการส่วนตัว?
จังหวะนี้จ้าวเติงรู้สึกเสมือนร่างกำลังลอยล่องบนปุยเมฆ!
อย่างไรก็ตามหลังผ่านไปครู่หนึ่งจ้าวเติงพลันตระหนักได้…ต้อนรับด้วยตัวเองกับผีสิ! นี่มันไม่ใช่แล้ว!!
หลังจากถามตัวเองมันก็ตอบได้ทันที…ว่าไม่เคยรู้จักกับจ้าวตำหนักเมฆาครามมาก่อนเลย! กระทั่งบิดามันก็คงไม่มีทางสร้างสัมพันธ์กับตัวตนระดับนี้ได้!!
เช่นนั้นแล้วไฉนจ้าวตำหนักเมฆาคราม 1 ในผู้ทรงพลังที่เข้มแข็งที่สุดในแดนดินภูมิภาคเบื้องล่าง ต้องออกมาต้อนรับมันเป็นการส่วนตัวด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้นไฉนจ้าวตำหนักเมฆาครามถึงล่วงรู้ได้ว่ามันจะมา?
หากมีสิ่งใดผิดปกติย่อมมีปีศาจ!
หลังจากสงบอารมณ์จ้าวเติงก็ไม่หลงระเริงและตื่นเต้นยินดีอะไรอีกต่อไป มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวกับองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ว่า “ฝากพวกเจ้าขอบคุณท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามแทนข้าด้วย…หากแต่พอดีข้ามีธุระที่ต้องรีบไปจัดการ”
เมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องราวสมควรผิดท่า จ้าวเติงก็โยนความคิดเรื่องตามล่าหลิงเทียนและกู่ลี่ทิ้งไปทันที
ตอนนี้ในหัวหลงเหลือเพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น…หนี! หนีไปให้ไกลจากตำหนักเมฆาคราม!!
กล่าวจบคำจ้าวจี้ก็ไม่รอให้องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ตอบสนอง จ้าวเติงหันหลังและคิดออกจากทะเลสาบผานหลง!
มวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งเริ่มพุ่งพล่านขึ้นทั่วกายจ้าวเติง เตรียมปะทุพลังหลบหนีออกจากเขตพื้นที่ตำหนักเมฆาคราม!
ไม่ทราบอะไรดลใจให้มันคิดไป…แต่มันรู้สึกเสมือนว่าหากไปห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม ก็เสมือนมันก้าวเดินสู่หลุมพรางที่ลึกเกินจะปีนกลับขึ้นมา!
“เมื่อมาแล้วไฉนต้องรีบร้อนจากไปเล่า?”
จ้าวเติงที่ปะทุพลังออกมายังไม่ทันได้ใช้ออกพลันมีเสียงเย็นเยียบหนึ่งดังขึ้น ในน้ำเสียงยังแฝงเร้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน!
จ้าวเติงเร่งระงับพลังขืนร่างไว้ไม่ให้พุ่งไปทันที เพราะมันตระหนักไดว่า…มีคนหยุดลอยขวางหน้ามันเอาไว้! และอีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อใดมันก็ไม่ทราบ!!
ชายเบื้องหน้ามาในชุดเกราะดำสนิท หากแต่ชุดเกราะบนร่างของชายผู้นี้แลดูจะบางกว่าชุดเกราะขององครักษ์เกราะทมิฬด้านหลัง
และชายในชุดเกราะทมิฬผู้นี้ ตาซ้ายกลับมีรอยแผลเป็นดั่งรอยบากลากยาวตั้งลงมาผ่านลูกตาจากเหนือคิ้วจรดคางล่าง
“เจ้า…เจ้าคือไป่ฟูฉางแห่งหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬ ถงจ้ง!”
ดูเหมือนจ้าวเติงจะจดจำอัตลักษณ์ของชายหน้าบากผู้มาใหม่คนนี้ได้ สีหน้าของมันถึงกับแปรเปลี่ยนไปทันที
ถงจ้ง ไป่ฟูฉางที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งองครักษ์เกราะทมิฬ!
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด!!
ตอนที่ 1,842 : เจ้าไม่คู่ควร!
ในตำหนักเมฆาครามนั้น มีชนชั้นผู้นำบางคนที่มีพลังฝีมืออันแข็งแกร่งโดดเด่นจนเป็นที่เลื่องลือของผู้คนในตำหนัก!
ในบรรดาคนเหล่านั้น รวมถึง ถงจ้ง ไป่ฟูฉางแห่งหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬคนนี้ด้วย!
ถงจ้งนั้น นอกจากจะเป็นไป่ฟูฉางที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว มันยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเซียนมนุษย์ของตำหนักเมฆาคราม! แม้กระทั่งในภูมิภาคเบื้องล่างมันยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเซียนมนุษย์เช่นกัน!!
และถงจ้งก็ยอมรับสมญานามนี้ด้วย…เซียนมนุษย์อันดับหนึ่ง!!
กระทั่งมันยังเคยประกาศออกมาว่า
ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ หากมีขอบเขตเซียนมนุษย์คนใดไม่ยอมรับ สามารถมาท้าประลองมันได้ทุกเมื่อ!
และไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากเอาชนะมันได้ทั้งๆที่ยังมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ ก็รับสมญานาม ‘เซียนมนุษย์อันดับหนึ่ง’ ของมันไปได้เลย!
อย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนปฐพีข้ามน้ำข้ามทะเลมาท้าประลองมันกี่คนต่อกี่คน ก็จำต้องแพ้พ่ายปราชัยกลับไปทุกคน!
เรียกว่าในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ถงจ้งเสมือน ‘ตำนาน’ ที่ยังเดินได้! ตำนานเซียนมนุษย์อันดับหนึ่งตัวเป็นๆ!!
การที่ถูกยอมรับนับถือไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าว่าเป็นตัวตนระดับ ตำนาน ก็บ่งบอกให้รู้ว่าพลังฝีมือมันร้ายกาจปานใด
“คารวะใต้เท้าไป่ฟูฉาง!”
เมื่อถงจ้งปรากฏตัวออกมา สือฟูฉางนำหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬที่เหลือคารวะทักทายอีกฝ่ายทันที
หากมองให้ชัดจะพบว่าทั้ง 9 คนที่นำโดยหลิวฉวนนั้น ยามมองถงจ้งในแววตายังเผยความคลั่งไคล้เลื่อมไสไม่น้อย!
ในหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬนั้นโดยมากแล้วหัวหน้ากอง หรือไป่ฟูฉางนั้นจะเป็นยอดฝีมือที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคนกระทั่งค่อนไปทางชราแล้วรับตำแหน่ง
ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนเหล่านั้นพวกมันจึงรู้สึกยำเกรงและหวาดกลัว
แต่ทว่าต่อหน้าไป่ฟูฉางที่เป็นชายฉกรรจ์อย่าง ถงจ้ง นอกจากความยำเกรงแล้ว พวกมันยังเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมไส!
เรียกว่าในรอบหลายร้อยปีมานี้ พรสวรรค์ของถงจ้งนั้นเพียงเป็นรองก็แต่จ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบันของพวกมันเท่านั้น!
และปีนี้ถงจ้งพึ่งมีอายุได้ 50 ต้นๆเท่านั้น!
“ใต้เท้าไป่ฟูฉางถงจ้ง…มิทราบท่านคิดจะทำอะไรหรือ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด จ้าวเติงไม่กล้าที่จะไม่สุภาพ
ยังจะนับประสาอะไรกับถงจ้ง ที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งขอบเขตเซียนมนุษย์!
เอาตรงๆแค่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดอ่อนด้อยคนไหนสักคน จ้าวเติงก็ไม่มีปัญญาสู้แล้ว!
พลังฝึกปรือของมันยังแค่ เซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น..
สีหน้าถงจ้งชืดชาไร้แยแสนัก กลิ่นอายรอบกายยังไม่รับแขก
“ข้าคิดจะทำอะไร?”
ได้ยินคำถามของจ้าวเติง ถงจ้งพลันย้อนถามออกมาเสียงเย็น พาลให้จ้าวเติงหนาวสันหลังทันที
“ท่านจ้าวตำหนักอุตส่าห์คิดต้อนรับเจ้าด้วยตัวเอง นับเป็นพรอันประเสริฐถึงเพียงใด!? ยามนี้ข้ามีทางเลือกให้เจ้า 2 ทางเท่านั้น…ตามข้าไปโถงหลักหรือตาย!!”
น้ำเสียงของถงจ้งยังเย็นยะเยือกนัก ราวกับจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง บรรยากาศโดยรอบเหมือนจะเย็นลงถนัดตา
จ้าวเติงที่ยังหนาวสันหลังไม่หายพอได้ยินคำนี้หน้ายิ่งซีดไปกันใหญ่ “ถงจ้ง ข้าคือรองจ้าวตำหนักของตำหนักฟ้าลี้ลับ หากเจ้าบีบคั้นข้า ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ย่อมปล่อยผ่านเรื่องนี้ง่ายๆแน่!”
จังหวะนี้จ้าวเติงทำได้แค่ยกตำหนักฟ้าลี้ลับขึ้นมาเป็น ‘โล่’ เท่านั้น
น่าเสียดายที่ตำหนักฟ้าลี้ลับในสายตาถงจ้งไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แววตาเผยความชืดชากล่าวออกเสียงเย็นว่า “ข้าจะให้เจ้า 3 ลมหายใจ หากเจ้ายังไม่ตัดสินเลือกภายใน 3 ลมหายใจ ข้าจะถือว่าเจ้าเลือกอย่างหลัง! ตอนนี้ผ่านไป 1 ลมหายใจแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าการยกตำหนักฟ้าลี้ลับมากล่าวอ้างกลับไร้ผล สีสันบนใบหน้าจ้าวเติงคล้ายมีขางอกเงยวิ่งหนี เร่งกล่าวออกมาราวกับจะไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายทันที “บิดาข้าคืออาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับจ้าวจิน…พลังฝึกปรือของท่านพ่อข้าบรรลุเซียนปฐพีแล้ว!!”
อ้างตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ผล จ้าวเติงลองยกบิดามากล่าวอ้างสักครา
“อีกลมหายใจสุดท้าย…”
อย่างไรก็ตามถงจ้งคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของมัน ยังคงนับเวลาต่ออย่างเฉยเมย
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของถงจ้งยามกล่าวว่าเหลือลมหายใจเดียว หน้าจ้าวเติงยิ่งซีดคล้ายไก่ต้มเข้าไปทุกที ได้แต่ยอมแพ้ด้วยสีหน้าสลด “ข้าเลือกจะตามเจ้าไปโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม..”
สุดท้ายจ้าวเติงก็เลือก
ต่อหน้าถงจ้งมันไร้ซึ่งหนทางต่อต้านอันใด
หากอยากรอด ทำได้แค่ยินยอมสยบเท่านั้น
เมื่อเห็นจ้าวเติงยอมแพ้ต่อถงจ้งในเวลาแค่ไม่ถึง 3 ลมหายใจ องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ที่นำโดยหลิวฉวนพลันมองไปที่จ้าวเติงอีกครั้ง หากแต่แววตาคราวนี้กลับเผยความเหยียดหยามดูแคลนออกมาแจ่มชัด “นี่น่ะหรือรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง…ชนชั้นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับช่างไก่อ่อนเสียจริง ต่อหน้าใต้เท้าไป่ฟูฉางยังยืนหยัดได้มิถึง 3 ลมหายใจด้วยซ้ำ!”
“ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าจ้าวเติงผู้นี้มันเป็นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับได้อย่างไร…หรือตำหนักฟ้าลี้ลับไร้ใครอื่นแล้วจริงๆ?”
“ข้าได้ยินมาว่าบิดาของจ้าวเติงเป็นหนึ่งในสองอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ…ที่มันได้เป็นรองจ้าวตำหนักไม่พ้นเส้นสาย เลือกที่รักมักที่ชัง!”
“อย่างนี้นี่เอง”
……
ตอนนี้จ้าวเติงเองก็ยังไม่ได้ไปไหนไกล เสียงกล่าวขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ย่อมเสมือนแหลนพุ่งแทงเข้ารูหูมันอย่างจัง!
หน่วยองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาครามมิใช่ขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัยเคร่งครัดและเงียบขรึมหรอกหรือ?
ไฉนวาจาร้ายกาจบาดหูผู้คนนักเล่า?
จังหวะนี้จ้าวเติงคล้ายจะลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว ว่ายามปรากฏตัวครั้งแรก มันเลือกที่จะอวดเบ่งวางท่าต่อผู้อื่นเค้าก่อน…
ณ ห้องโถงหลักตำหนักเมฆาคราม…
“เข้าไปข้างใน!”
ถงจ้งมองจ้าวเติงด้วยสายตาเยียบเย็น และหลังจากที่จ้าวเติงเข้าไปด้านในห้องโถงอย่างเชื่อฟังแล้ว ถงจ้งก็เลือกที่จะไปยืนประจำที่บริเวณด้านข้างทางเข้าห้องโถงหลักราวกับยักษ์ปักหลั่น
ถึงกับให้ถงจ้งไป่ฟูฉางที่แข็งแกร่งที่สุดมาเฝ้าประตูโถงเช่นนี้…มิทราบว่าผู้ใดจะอยู่ในโถงกันแน่!
หลังจากที่จ้าวเติงเข้ามาด้านใน มันก็สังเกตเห็นร่างหนึ่ง ทั้งยังเป็นร่างคนที่มันรู้จัก!
“กู่ลี่!”
นอกจากจ้าวเติงที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้ว ในโถงหลักก็มีแค่กู่ลี่เท่านั้น…
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ไฉนเจ้ามาได้?”
กู่ลี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นจ้าวเติง
จากสีหน้าท่าทางของกู่ลี่ เผยให้รู้ว่ามันคาดไม่ถึงที่เห็นจ้าวเติงอยู่ที่นี่
จ้าวเติงไม่กล่าวอะไร
มันยังจะพูดอะไรได้?
หรือจะให้มันบอกว่า ‘ข้าลอบสะกดรอยตามเจ้ามา’?
อย่างไรก็ตามแม้จ้าวเติงไม่ตอบ แต่กู่ลี่ก็ไม่ใช่ตัวโง่งมไร้หัวคิด “เจ้า…เจ้าลอบตามข้ามา!”
“ข้าแค่อยากรู้ว่าหลิงเทียนอยู่ที่ใด…หลังจากที่เจ้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้าก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับหลิงเทียนวันนั้น…หรือเจ้ากล้าสาบานต่อฟ้าว่าเจ้ามิได้มาหามันที่นี่?”
พอคิดถึงหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จ้าวเติงจะมีโมโหขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะหลิงเทียน ลูกมันจะตายเช่นนี้หรือ?
และหากไม่ใช่เพราะหลิงเทียน ไหนเลยจ้าวเติงต้องลอบตามกู่ลี่มา จนจับพลัดจับผลูเหมือนติดกับตำหนักเมฆาครามเช่นนี้…
นอกจากนั้นจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่รู้จริงๆว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคิดทำอะไรกับมันกันแน่…
แล้วไฉนอีกฝ่ายถึงล่วงรู้ได้ว่ามันจะมาตำหนักเมฆาคราม?
ทำไมต้องมาต้อนรับมันเป็นการส่วนตัว?
“ก็ถูกของเจ้า…ข้ามาที่นี่เพื่อหาน้องหลิงเทียนนั่นล่ะ”
เมื่อเห็นว่าจ้าวเติงกลับหาญกล้าตามมาถึงตำหนักเมฆาคราม กระทั่งยังทำท่าเอาเรื่องเอาราวน้องหลิงเทียนของมันไม่เลิก กู่ลี่ก็กล่าวตอบออกมาตรงๆด้วยน้ำเสียงสบายๆอย่างไม่คิดจะปิดบัง มุมปากยังอมยิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายกำลังสนุกสนานนัก
“เช่นนั้นไฉนข้าจะติดตามเจ้ามาไม่ได้?!”
จ้าวเติงกล่าวเย้ยเยาะออกมา
“อย่างไรก็ตามข้าไม่คิดจริงๆว่ากู่ซืออวิ๋นบิดาเจ้ากลับรู้จักคนของตำหนักเมฆาครามด้วย และข้าคิดว่าคนผู้นั้นสมควรมีระดับสูงไม่น้อย ถึงขั้นที่มันคิดซ่อนตัวหลิงเทียนให้บิดาของเจ้าเช่นนี้!”
จ้าวเติงยังคงกล่าววาจาร่ายออกมาไม่หยุด สีหน้าท่าทางทำราวกับ ‘ข้าพเจ้ารู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งแล้ว’
เมื่อเห็นว่ากู่ลี่ถึงกับนิ่งไปไม่ตอบคำใด จ้าวเติงก็คิดว่ามันคาดเดาเรื่องราวได้ถูกต้องตรงเผงแล้วจริงๆ “อะไร? ไฉนเจ้ากลายเป็นไร้วาจาแล้วเล่า หรือพอถูกข้ามองทุกสิ่งออกเจ้าเลยรู้สึกอับจนถึงขั้นไร้คำจะกล่าว?”
จังหวะนี้จ้าวเติงคล้ายจะลืมเลือนไปสิ้นแล้ว ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…
หาไม่แล้วมันคงไม่กล่าวออกมาด้วยท่าทางเป็นต่อขนาดนี้
ระดับสูงของตำหนักเมฆาครามคนไหนยังจะกล้าพาคนนอกเข้ามาห้องโถงหลักสุ่มสี่สุ่มห้า?
เพราะห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม มีเพียงแขกกิตติมศักดิ์ที่จ้าวตำหนักเมฆาครามจะออกมารับรองด้วยตัวเองเท่านั้น!
เหตุผลที่กู่ลี่ไม่ตอบคำจ้าวเติงนั้น เพราะกำลัง ตะลึง กับคำพูดของจ้าวเติงจริงๆ
อย่างไรก็ตามพอนึกขึ้นได้ มันก็เข้าใจว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้จ้อเอาๆแบบนี้
เพราะสุดท้ายแล้ว จ้าวเติง ก็ยังไม่ควรล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของน้องหลิงเทียนมันจริงๆ
“อ่า…เจ้าพูดถูก ข้าหมดคำจะพูดจริงๆ…”
เผชิญหน้ากับท่าทางยะโสวางตัวเหนือกว่าของจ้าวเติง กู่ลี่ที่แม้ปากกล่าวตอบ ‘เจ้าพูดถูก’ ทว่าในใจลอบปรามาสจ้าวเติงว่าตัวโง่งมไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อจ้าวเติงแลเห็นทีท่ายอมรับโดยสดุดีนี้ของกู่ลี่ มันก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดท่าขึ้นมาทันที!
เพราะกู่ลี่ที่ยอมรับออกมาเช่นนี้คล้ายจะเป็นคนละคนกับกู่ลี่ที่มันรู้จัก!
กู่ลี่ไหนเลยเคยยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆเช่นนี้!?
ไม่เคย!!
มาตอนนี้จ้าวเติงจึงได้สงบสติอารมณ์ลงอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าตอนนี้มันอยู่ในสถานที่แห่งใด
“โถงหลักของตำหนักเมฆาคราม…เป็นสถานที่ๆจ้าวตำหนักเมฆาครามรวมถึงอาวุโสระดับสูงใช้เพื่อประชุมหารือเรื่องใหญ่ นอกจากนี้จ้าวตำหนักเมฆาครามยังใช้เป็นสถานที่รับรองแขกด้วยตัวเอง…”
“กู่ลี่ เจ้าคงมิใช่ว่า…”
ในขณะที่จ้าวเติงกำลังจะกล่าวถามกู่ลี่ว่า ใช่ถูกจ้าวตำหนักเมฆาคามกล่าวเชิญมาด้วยหรือไม่ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดคำของมันพอดี
และเสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกหูสำหรับจ้าวเติงแต่อย่างไร
“รองจ้าวตำหนักจ้าว นานแล้วไม่พบกัน!”
เสียงนี้ดังขึ้นจากนอกโถงหลัก สิ้นคำก็ปรากฏร่างหนึ่งก้าวอาดๆเข้ามา
ผู้ที่ก้าวอาดๆเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนที่ใช้รูปโฉมหลิงเทียน
“น้องหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาสีหน้ากู่ลี่ก็เผยความสุขความยินดีออกมาทันใด เร่งเข้าไปทักทายอย่างกระตือรือร้น
“ฮ่าๆๆ…พี่กู่ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
เมื่อเห็นกู่ลี่มาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะทักทายด้วยความยินดี
“หลิง เทียน!!”
ในขณะที่กุ่ลี่กับหลิงเทียนคิดถามไถ่เรื่องราวตามประสา เสียงเย็นเยียบด้วยโทสะของจ้าวเติงก็ดังแทกขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะยังไม่ตาย! คายออกมาเสีย! ว่าวันนั้นเป็นผู้ใดที่สังหารบุตรชายของข้า!?!”
น้ำเสียงจ้าวเติงเต็มไปด้วยความคาดคั้นอยากได้คำตอบ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้กู่ลี่รอบหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองจ้าวเติง กล่าวถามออกมาพร้อมคลี่ยิ้มเฉยเมยว่า “รองจ้าวตำหนักจ้าว เรื่องนี้เจ้ายังต้องลำบากถามอีกรึไง? แน่นอนว่าคนที่ฆ่าลูกชายของเจ้าก็คือข้าเอง!”
“เจ้า? อาศัยเจ้าน่ะรึ!? ไม่คู่ควร!!”
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่จ้าวเติงจะไม่โมโห กลับรู้สึกดูแคลนอย่างถึงที่สุด
จ้าวจี้ลูกมัน คือตัวตนที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
หลิงเทียนยังมีปัญญาฆ่าได้หรือ?
“ทำไม? รองจ้าวตำหนักจ้าว…นี่ท่านคงไม่ได้กำลังคิดอยู่หรอกนะ ว่าอริยะเซียนขั้นสูงสุดอย่างข้าให้ตายก็ไม่มีทางฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นอย่างจ้าวจี้ได้?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ยังเป็นรอยยิ้มที่แลดูสนุกสนานนัก
ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น!!
ก่อนที่จ้าวเติงจะตอบสนองอะไร สีหน้ากู่ลี่ก็ถึงกับซีดลงทันทีคิ้วยังขมวดยู่ย่นเป็นปม จ้าวจี้น่ะหรือผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น!?
เท่าที่มันจำได้ เมื่อ 2 ปีที่แล้วจ้าวจี้ยังย่ำต๊อกอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่เลย!
ต่อให้จ้าวจี้จะประสบความสำเร็จบังเกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเพียงใด แต่เต็มที่ก็ควรเป็นได้แค่เซียนขัดเกลาชั้นเชี่ยวชาญ!!
ตอนที่ 1,843 : ตัวโง่งม!
“หรือไม่จริง?”
จ้าวเติงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหยียดๆกล่าวคำปรามาส “ลูกข้ามีโชควาสนาอันประเสริฐ ได้พบพานซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์กระทั่งได้รับสืบทอดมรดกของสัตว์มารดึกดำบรรพ์ จึงสามารถทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางจนบรรลุถึง เซียนมนุษย์ขั้นต้น ได้ในเวลามิถึง 2 ปี! อาศัยเจ้าที่เป็นแค่อริยะเซียนขั้นสูงสุดยังจะมีปัญญาฆ่าจี้เอ๋อของข้าได้?”
มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์!
เซียนมนุษย์ขั้นต้น!
ตอนแรกกู่ลี่ก็งุนงงไม่น้อยเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน
มาตอนนี้พอได้ยินวาจาของจ้าวเติงจึงพอได้รับทราบเรื่องราว กระทั่งรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังกล่าวเรื่องจริง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปพักหนึ่ง ‘จ้าวจี้ช่างโชคดียิ่ง ถึงกับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ สามารถทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้ในเวลาไม่ถึง 2 ปีแบบนี้…’
พอคิดว่ามันต้องลำบากตรากตรำขยันบ่มเพาะพลังมานานปีกว่าจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้น กู่ลี่ก็รู้สึกว่าฟ้าไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง
“ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์? มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์?”
ได้ยินคำนี้ของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง พักหนึ่งค่อยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“ท่านรองจ้าว นี่เจ้าเชื่อจริงๆเหรอว่าลูกชายเจ้ามันไปพบซากโบราณสถานกระทั่งรับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์อะไรนั่นมา?”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับจ้าวเติงด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
“เจ้าหัวเราะอะไร?!”
หน้าจ้าวเติงจมลงโดยพลัน ด้วยมันไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนหัวเราะอะไร
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ดูเหมือนว่าลูกชายเจ้าคนนี้ กระทั่งกับเจ้ามันยังตอแหลได้…อันที่จริงจะว่าไปหากมันไม่คิดว่าข้าต้องตายแน่ๆมันก็คงไม่คายเรื่องราวออกมาจนหมด…ว่าไฉนพลังฝึกปรือของมันถึงก้าวหน้าได้รวดเร็วนัก!”
นึกถึงเรื่องราวที่จ้าวจี้กระทำในวันนั้น มุมปากต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะ
“เจ้าหมายความว่าอันใด คายเรื่องราวอันใด?”
สีหน้าจ้าวเติงเริ่มมืดลง
จังหวะนี้กู่ลี่ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน แม้ไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะพูดอะไรกันแน่ แต่มันก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟังนัก
“ความจริงก็คือ…จ้าวจี้มันไม่ได้ค้นพบซากโบราณสถานกระทั่งสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์อะไรมาทั้งนั้น! แต่มันเหมือนกับจ้าววังจู…บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน!”
เผชิญหน้ากับคำถามจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปด้วยวาจาชัดถ้อยชัดคำ กล่าวจบมุมปากยังเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยชัดเจน
“เคล็ดมารกลืนหยิน!?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบลูกตากู่ลี่หดหยีลงทันใด หันไปมองจ้าวเติงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “จ้าวเติง! เจ้ากล้าปล่อยให้ลูกชายบ่มเพาะด้วยอวิชชาอุบาทว์ชั่วช้าอย่างเคล็ดมารกลืนหยินได้อย่างไร?!”
“เหลวไหล!!”
จ้าวเติงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้าย มวลพลังมหาศาลทั่วกายคล้ายพร้อมปะทุออกทุกเวลา “หลิงเทียน! ลูกชายข้าก็ตายไปแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปรักปรำลูกข้าอีก!!”
“ปรักปรำ?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ “รองจ้าวตำหนักจ้าว…ข้าไม่ได้ใส่ร้ายปรักปรำลูกชายเจ้าแม้ครึ่งคำ ที่ข้าพูดล้วนเป็นมันสารภาพออกมาเองทั้งสิ้น…มันยังบอกข้าเองว่ามันปั่นหัวจ้าววังจูกับนายน้อยฉีจิ้ง สุดท้ายมันก็เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลักพาตัวทั้งหมด!”
“บางทีหากมันไม่ได้ชักใย จ้าววังจูคงยากจะบรรลุข้อตกลงกับฉีจิ้ง…”
วาจาท้ายประโยค แววตาต้วนหลิงเทียนเริ่มเย็นลง
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน จ้าวเติงถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง
มันยังจดจำได้วันที่จ้าวจี้พบเจอฉีจิ้งในคุกลับใต้ดิน อีกฝ่ายนิ่งไปหน้าเตียงฉีจิ้งอยู่นานสองนาน
ตอนนั้นมันคิดว่าลูกชายตัวเองติดต่อกับฉีจิ้ง แต่อีกฝ่ายบอกว่าเปล่า
วันนั้นมันไม่ได้สงสัยอะไรลูกชายตัวเองแม้แต่น้อย
แต่วันนี้พอมาได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน มันจึงรู้สึกว่าเรื่องราวในวันนั้นมีความผิดปกติอยู่บ้าง
กระทั่งใจที่มั่นคงยังเริ่มสั่นไหว
‘เป็นไปไม่ได้…ไม่จริง วันนั้นจี้เอ๋อติดต่อกับฉีจิ้งงั้นหรือ? หรือที่จี้เอ๋อไม่บอกข้าเพราะกลัวว่าข้าจะห้ามไม่ให้ฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน?!’
จ้าวเติงครุ่นคิดในใจ ยิ่งคิดใจยิ่งดิ่งลง
“หากข้าเดาไม่ผิด จ้าวจี้มันคงใช้ความแค้นที่มีต่อเฝิงปู่อี้ของจ้าววังจูเป็นชนวนเหตุ คอยหาโอกาสสุมน้ำมันราดรดกองไฟเรื่อยๆ สุดท้ายด้วยความแค้นเข้าครอบงำ จ้าววังจูเลยถูกจ้าวจี้จูงจมูกให้ลักพาตัวฉีจิ้ง!”
เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคาดเอาเองทั้งสิ้น
“หากข้าเดาไม่ผิด…ช่วงที่เกิดเรื่องในพื้นที่ตะวันตก และพบซากศพแห้งเหี่ยวจำนวนมากจ้าวจี้มันคงไม่อยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับสินะ…ไม่ใช่แค่นั้น ให้ข้าเดามันคงกลับมาตอนที่เรื่องแดงพอดีล่ะสิ?!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามจ้าวเติงออกมาเป็นชุด
จ้าวเติงที่ได้ยิน และนิ่งคิดไปก็พบว่ามันเป็นความจริง
“หากไร้หลักฐาน ก็อย่าได้ปากพล่อยกล่าวหาลูกข้า!!”
แน่นอนว่าแม้ในใจจ้าวเติงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ไหนเลยมันจะยอมรับได้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ลูกชายมันตายไปแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายยังไม่ตายและให้มันรู้ว่าลูกตัวฝึกเคล็ดมารกลืนหยินจริง มันก็ไม่ยอมรับ!
ต้องทราบด้วยว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ใดฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็ไม่ต่างจากมุสิกวิ่งข้ามถนน ผู้คนล้วนตะโกนไล่รุมตี!
“หลักฐานงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “งั้นให้ข้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าดีหรือไม่ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าไม่ได้โกหก?”
“ไม่จำเป็น! จะอย่างไรข้าก็ไม่มีวันเชื่อเจ้า!!”
ได้ยินคำท้าของหลิงเทียน จ้าวเติงกล่าวตัดบททันที เลือกปฏิเสธไม่รับฟัง
หากแต่ในใจของมันล้วนยอมรับไปแล้วว่าจ้าวจี้สมควรบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินจริง หาไม่แล้วหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าคงไม่กล้าท้าว่าจะสาบานแบบนี้
หากจะถามว่าตอนนี้ใครกำลังคิดเหมือนจ้าวเติง ก็คือกู่ลี่
“จ้าวจี้กลับกล้าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ…มันสมควรตายแล้ว!”
กู่ลี่กล่าวออกเสียงเย็น ไม่สนใจสายตาดุร้ายเอาเรื่องที่จ้าวเติงจ้องมาแม้แต่น้อย
“เอาเถอะๆ พวกเราเลิกสนใจเรื่องจ้าวจี้มันบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยินไปก่อนก็ได้ เพราะอย่างไรข้าเชื่อว่าในใจรองจ้าวตำหนักจ้าวคงรู้ดี และมีคำตอบของเรื่องนี้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยอาการไม่ยี่หระขณะมองจ้าวเติงด้วยสายตาเย้ยเยาะ
“หลิงเทียน…ข้าจะกล่าวถามเจ้าอีกครั้ง! ผู้ใดฆ่าจ้าวจี้ลูกชายข้า!? หรือคนที่ฆ่าลูกข้ามันรู้จักเจ้า หาไม่แล้วไฉนเจ้ายังมีชีวิตอยู่!?”
จ้าวเติงมองตอบต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ข้าก็บอกความจริงไปแล้วไง…จ้าวจี้น่ะ เป็นข้าฆ่ามันเองกับมือ หากท่านไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะทำยังไง”
เจอคำถามซ้ำๆของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนได้แต่ผายมือยักไหล่ กล่าวตอบไปด้วยท่าทางช่วยไม่ได้
“ดี! ในเจ้าเมื่อบอกว่าฆ่าลูกข้า เช่นนนั้นไหนเจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยเถอะ! ว่าน้ำหน้าอริยะเซียนขั้นสูงสุดอย่างเจ้าอาศัยอันใดฆ่าลูกชายข้าที่บรรลุเซียนมนุษย์ขั้นต้น!?”
สีหน้าจ้าวเติงมืดทะมึนดุร้าย กล่าวถามเสียงเหี้ยม
หากไม่ใช่เพราะอยากรู้ความจริงจากปากต้วนหลิงเทียน มันคงลงมือฆ่าคนไปนานแล้ว
“จะว่าไปด้วยพลังฝึกปรือของข้า ปกติคิดฆ่าจ้าวจี้ก็คงลำบากจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ตอบรับคำขอของจ้าวเติง
หลังจากนั้นภายใต้การมองจ้องมาอย่างไม่วางตาของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆกล่าวตอบออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “แต่ทว่าให้จ้าวจี้มันแข็งแกร่งกว่าข้าเพียงใด สุดท้ายมันก็ยังเป็นผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…ต่อหน้าข้าต่อให้เป็นผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดก็ต้องตาย เช่นนันจะนับประสาอะไรกับลูกเจ้า!!”
วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองล้นปรี่
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนไม่ว่าจะกู่ลี่หรือจ้าวเติงล้วนตกใจทั้งสิ้น
เพราะฟังจากคำของต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่ว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกมารเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ต้วนหลิงเทียนก็ฆ่าได้หรอกหรือ?
‘เอ๊ย! จริงด้วย! น้องหลิงเทียนมีตราผนึกมารนี่นา!!’
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนตอนแรกกู่ลี่ก็อื้ออึง แต่สักพักมันก็นึกขึ้นได้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใคร และมีอะไรในครอบครอง…ตราผนึกมาร!
‘ด้วยปราณแรกกำเนิดของน้องหลิงเทียน ที่เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุด…เช่นนั้นหากใช้ตราผนึกมารที่มีพลังอำนาจสยบปราบมาร ผู้ฝึกมารใต้ขอบเขตเซียนปฐพีไม่มีทางรอด!”
‘กล่าวว่าให้เป็นผู้ฝึกมารเซียนมนุษยืขั้นสูงสุดก็ฆ่าได้ คำนี้นับว่าไม่เกินเลยอะไร!’
กู่ลี่สามารถเข้าใจได้ เพราะมันล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน
หากแต่จ้าวเติงไม่ทราบอะไรเลย
“เหลวไหล!”
จ้าวเติงมองย้อนต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลนหยันหยาม “หลิงเทียน…แม้เจ้าคิดปั้นน้ำเป็นตัวอย่างน้อยๆ ก็สมควรแต่งเรื่องให้มันน่าเชื่อถือหน่อย! อริยะเซียนขั้นสูงสุดเช่นเจ้าคุยโวโอ้อวดว่าสังหารได้กระทั่งผู้ฝึกมารเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ข้าจะเชื่อได้ลงคอ?”
“หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งม?”
วาจาท้ายประโยคของจ้าวเติงยังเต็มไปด้วยความเสียดสี ทำราวกับมันล่วงรู้ทุกสิ่ง
“ฮ่าๆๆๆ”
ต้วนหลิงเทียนได้ยินก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังร่าออกมาทัน
“เจ้าหัวเราะบัดซบอะไร?”
จ้าวเติงรู้สึกอับอายทั้งมีโมโห โพล่งคำด้วยสีหน้ามิดทะมึน “หรือข้ากล่าวใดผิด?”
“รองจ้าวตำหนักจ้าว…ข้าคิดว่า ที่จริงแล้ว…ท่านเป็นตัวโง่งมตัวหนึ่งจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม ไม่กลัวสายตาถลึงมองด้วยความดุร้ายของจ้าวเติงสักนิด “นี่ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้หรือไง ว่าด้วยพลังฝึกปรือของข้า ปกติคิดฆ่ามันคงลำบากอยู่บ้าง…แต่พอดีข้ามีศาสตราชิ้นหนึ่งที่พึ่งพาได้น่ะ…”
“ไม่ทราบว่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเคยได้ยินเรื่องยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับ 1 ใน 10 รายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารทั่วหล้าหรือไม่?”
วาจาประโยคท้ายของต้วนหลิงเทียนคล้ายเป็นการกล่าวชี้นำเตือนความจำ
1 ใน 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่!
ยอดศาสตราเซียน!
ยังเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารทั่วหล้า!
“ตราผนึกมาร!”
ทันใดนั้นใจของจ้าวเติงปรากฏนามหนึ่งขึ้นมาก่อนใคร
เพราะเท่าที่มันรู้ ในบรรดา 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ มีเพียงตราผนึกมารอย่างเดียวเท่านั้นที่มีพลังอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารโดยเฉพาะ
หากใช้ตราผนึกมาร สามารถสยบผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าตัวได้ถึง 1 ขอบเขต!
“ตราผนึกมารนั่นเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วดูเหมือนว่าจะมีข่าวออกมาว่ามันปรากฏขึ้นอีกครั้ง…ทั้งยังอยู่ในมือของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียน! ต้วนหลิงเทียน….หลิงเทียน…”
ทันใดนั้นจ้าวเติงพลันมองไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับเห็นผี “จะ…เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ!?”
“ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้ตอบคำ กลับเป็นจ้าวเติงที่คำรามออกมาทั้งส่ายหัว ปฏิเสธคำของตัวเอง
มันได้เห็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียนแล้ว และเทียบกับหลิงเทียนที่อยู่ตรงหน้า ก็เป็นคนละคนอย่างเห็นได้ชัด แถมใบหน้าหลิงเทียนเอง ก็ไร้ซึ่งร่องรอยการปลอมแปลงรูปโฉมแม้แต่น้อย…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น