War sovereign Soaring The Heavens 1833-1836

 ตอนที่ 1833 : โกหก?


 


“เรื่องนี้ค่อนข้างส่วนตัวนัก…ข้าเพียงสะดวกกล่าวยามพบจ้าวตำหนักต้วนเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบคำสือฟูฉาง


 


แม้จะอยู่ในตำหนักเมฆาครามแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงระวังตัวไม่น้อย ไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนออกไปง่ายๆ


 


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาเปิดเผยตัวตนออกไปก็ไม่ใช่ว่าพวกมันจะเชื่อ!


 


เกรงว่าตอนนี้คนตำหนักเมฆาครามคงมีน้อยคนนัก ที่ล่วงรู้ว่าในตำหนักยังมีนายน้อยเช่นเขาดำรงอยู่!


 


เกิดเขาทะลึ่งบอกไปว่าเขาคือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม น่ากลัวอีกฝ่ายคงคิดว่าเขามาล้อเล่นโป้ปด เกรงว่าคงได้ซัดเขากระเด็นโดยที่ยังไม่ทันพูดกันให้รู้เรื่อง…


 


ต้วนหลิงเทียนที่ตอนนี้อยากพบหน้าครอบครัวเป็นที่สุด ย่อมไม่อยากมีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เช่นนั้นจึงค่อนข้างระมัดระวัง


 


“เช่นนั้นข้าจักส่งคนเข้าไปรายงานเบื้องบน…อย่างไรก็ตามข้าต้องการรับทราบนามของเจ้าก่อนว่าเจ้าที่แท้เป็นใคร ข้าถึงจะส่งคนเข้าไปรายงาน”


 


สือฟูฉางกล่าวถามอีกรอบ


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนนิ่งเงียบไป คล้ายไม่อยากเปิดเผยตัวตน สือฟูฉางพลันขมวดคิ้ว กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม “อะไร? อย่าได้บอกข้าว่ากระทั่งเอ่ยนามบอกมาว่าเป็นผู้ใด เจ้ายังไม่สะดวก?”


 


“สือฟูฉางข้ามีสิ่งของบางสิ่งเพื่อยืนยันตัวตน ท่านโปรดให้คนของท่านนำมันไปมอบให้จ้าวตำหนักเถอะ สิ่งนี้คือสิ่งยืนยันว่าข้ารู้จักกันกับจ้าวตำหนักของพวกท่าน…ยามเห็นมันต้องจดจำได้ทันที และหากจ้าวตำหนักของท่านยังไม่คิดพบข้าอีก ถึงตอนนั้นท่านค่อยจับข้าโยนออกไปก็ยังไม่สายไปไม่ใช่หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงยิ้มกล่าว ก่อนที่จะสะบัดมือส่งกล่องหยกวิจิตรหรูหราที่บิดาไม่เอาไหนเหลือทิ้งไว้ให้


 


แน่นอนว่าภายในกล่องหยกวิจิตรนั้นว่างเปล่าไร้สิ่งใด ป้ายวรยุทธ์เซียนกับแผ่นหยกบันทึกเสียงเขาเอาออกมาแล้ว


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงยิ้มแย้มไม่คล้าย ‘คนโกหก’ กระทั่งมอบ ‘สิ่งของแทนตัว’ ออกมาแบบนี้สือฟูฉางอดไม่ได้ที่จะงุนงง


 


เพราะตราบใดที่มีสิ่งของแทนตัว เพื่อเอาไว้ระบุตัวตนเช่นนั้นหมายความว่าต้องมีสัมพันธ์อันดีกับจ้าวตำหนักของมัน! และถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อโกหกล้อเล่นจริงๆ..


 


นั่นหมายความว่า คนผู้นี้…ไม่ใช่ใครที่พวกมันจะล่วงเกินได้!


 


“เช่นนั้น ขอท่านรออยู่ตรงนี้ก่อน”


 


เมื่อกล่าวออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงทั้งถ้อยคำของสือฟูฉางจึงอ่อนลง ทั้งเผยความสุภาพออกมาหลายส่วน


 


เพราะในสายตาของมัน คนผู้นี้ไม่คล้ายมาล้อเล่นกับพวกมันจริงๆ


 


นอกจากนี้ยังมีใครกล้ามาล้อเล่นถึงหน้าประตูตำหนักเมฆาคราม?


 


หลังจากเอื้อมมือไปรับกล่องหยกวิจิตรแล้ว สือฝูฉางก็ส่งมันไปให้องครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งอย่างระมัดระวังกับมือ “เจ้านำสิ่งนี้ไปให้ท่านจ้าวตำหนัก และบอกว่ามีแขกจากแดนไกลมาขอพบ”


 


“ทราบแล้ว ท่านสือฟูฉาง!”


 


องครักษ์เกราะทมิฬที่รับกล่องหยกมาขานรับอย่างสุภาพ ก่อนที่จะกระตุ้นสัตว์ร้ายใต้เท้าให้พุ่งเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลสาบผานหลง


 


ครู่ต่อมาก็เหลือเพียงต้วนหลิงเทียนกับ องครักษ์ 9 คน


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงลอยร่างอย่างที่เดิมอย่างสงบ สองตาหลับลงสำรวมจิตใจรอคอยเวลาอย่างเงียบงัน


 


สือฝูฉางกับองครักษ์เกราะทมิฬอีก 9 คนได้แต่ยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


 


ด้วยทีท่าสงบเยือกเย็นของอีกฝ่าย หนุนเสริมสภาวะคนให้แลดูลึกลับขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำให้พวกมันทั้งหมดบังเกิดความรู้สึกเชื่อในใจ…ว่าชายหนุ่มผู้นี้สมควรมีความสัมพันธ์กับท่านจ้าวตำหนักของพวกมันจริงๆ ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงสงวนท่าทีนัก!


 


เพราะในสายตาของพวกมัน ท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามคือตัวตนอันยิ่งใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุด! เสมือนเทพเจ้าของพวกมัน!!


 


ผู้ที่มีสัมพันธ์อันดีท่านจ้าวตำหนัก ย่อมไม่ใช่ใครที่พวกมันจะหยาบคายเสียมารยาทด้วยได้


 


ส่วนอีกด้านนั้น องครักษ์เกราะทมิฬที่นำกล่องหยกวิจิตรของต้วนหลิงเทียน ก็รุดมาถึงตำหนักหลัก และรายงานเรื่องราวออกไปแก่ผู้ดูแลหน้าโถง


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้เข้าพบจ้าวตำหนักโดยตรง


 


อันที่จริงตั้งแต่อยู่มามันยังไม่เคยพบเจอจ้าวตำหนักของมันด้วยซ้ำ!


 


ในตำหนักเมฆาคราม มีเพียงชนชั้นอาวุโสระดับสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าพบจ้าวตำหนัก


 


และในกองพันองครักษ์เกราะทมิฬของพวกมัน ก็มีเพียง 11 คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าพบจ้าวตำหนัก!


 


สำหรับคนอื่นๆที่มีตำแหน่งต่ำกว่านั้น ท่านจ้าวตำหนักประหนึ่งมังกรเทพยาดาเห็นหัวไม่เห็นหาง!


 


ด้วยเหตุนี้ในสายตาของผู้ที่มีระดับต่ำ ท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามของพวกมัน จึงแลดูลึกลับสูงส่งเป็นที่สุด!


 


“อาวุโสหรง!”


 


หน้าโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม องครักษ์เกราะทมิฬที่เร่งรุดเดินทางมา ย่อตัวลงไปนั่งชันเข่าข้างหนึ่งพร้อมโค้งคารวะชายชราที่พึ่งออกมาจากห้องโถงด้วยความสุภาพเคารพ


 


ชายชราคนนี้เปรียบดั่งแขนซ้ายแขนขวาของท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามของพวกมัน ฐานะเพียงด้อยกว่าท่านจ้าวตำหนักผู้สูงส่งเท่านั้น!


 


กระทั่งต่อให้เป็นผู้บัญชาการกองพันองครักษ์เกราะทมิฬของพวกมัน ยามพบหน้าชายชราคนนี้ยังต้องโค้งคารวะ!


 


“มีใครบางคนต้องการพบท่านจ้าวตำหนักงั้นหรือ?”


 


อาวุโสหรงคนนี้ก็คือ หรงหยวน นั่นเอง มันมององครักษ์เกราะทมิฬเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มค่อยกล่าวถาม


 


ทุกผู้คนในตำหนักเมฆาครามล้วนรู้กันดีว่าอาวุโสหรงหยวนนั้นใจดีและเป็นมิตรกับผู้คนนัก แลดูไม่คล้ายมีพิษมีภัยกับผู้ใด


 


อย่างไรก็ตามแม้อีกฝ่ายจะแลดูใจดีไร้พิษภัย แต่องครักษ์เกราะทมิฬก็ไม่กล้าหย่อนท่าที “เรียนท่านอาวุโสหรง มีชายหนุ่มคนหนึ่งบุกเข้ามาในเขตพื้นที่ตำหนักเมฆาครามของเรา และพอดีว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องลาดตระเวนช่วงนี้พอดี พวกเราจึงออกไปหยุดชายหนุ่มผู้นั้น และอีกฝ่ายแจ้งว่ารู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนัก กระทั่งยังส่งมอบของแทนตัวออกมาชิ้นหนึ่ง ยังกล่าวทำนองว่าหากท่านจ้าวตำหนักได้เห็นของสิ่งนี้ต้องจดจำได้แน่”


 


องครักษ์เกราะทมิฬมอบกล่องหยกวิจิตรที่ต้วนหลิงเทียนฝากมาออกไป


 


เมื่อเห็นกล่องหยกวิจิตรดังกล่าว หรงหยวนก็พยายามพลิกไปพลิกมาเพื่อตรวจสอบดูอย่างละเอียด หากแต่ก็ไม่พบว่ามันจะมีอะไรผิดปกติ เป็นแค่กล่องหยกวิจิตรกล่องหนึ่งเท่านั้น…


 


“เจ้ารอข้าที่นี่ครู่หนึ่ง ข้าจะนำสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านจ้าวตำหนัก”


 


หลังกล่าวบอกองครักษ์เกราะทมิฬแล้ว หรงหยวนก็ถือกล่องหยกเดินเข้าไปในห้องโถงหลัก


 


ด้านองครักษ์เกราะทมิฬก็ลุกขึ้นยืน รอคอยหน้าห้องโถงอย่างเรียบๆร้อยๆ


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


หรงหยวนเข้าไปเป็นเวลากว่า 1 เค่อ ทว่ายามออกมาสีหน้ากลับแลมิค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่


 


เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ของหรงหยวน ใจองครักษ์เกราะทมิฬดิ่งวูบลงทันใด ‘บัดซบ…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าหนุ่มนั่นมันมาล้อเล่นกับพวกเราจริงๆ นี่มันไม่กลัวตายหรืออย่างไร!?’


 


“กล่องหยกร้ายๆใบนั้นท่านจ้าวตำหนักมิเคยเห็นมาก่อน…ไม่เพียงเท่านั้น คนผู้นั้นสมควรเสแสรงว่ารู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนัก! ไปบอกเรื่องนี้ให้หัวหน้าหมู่ของพวกเจ้ารู้ มันรู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไร!!”


 


หลังจากกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ไม่ดี หรงหยวนยังสะบัดแขนเสื้อดังฟั่บค่อยหันหลังเดินกลับเข้าห้องโถงไปด้วยท่าทางโมโห


 


‘เจ้าบ้านั่น…หากมันล้อเล่นกับพวกเราอย่างเดียวก็ไม่นับเป็นอะไร แต่มันกล้าล้อเล่นกับท่านจ้าวตำหนัก!!’


 


สีหน้าขององครักษ์เกราะทมิฬนั้นบิดเบี้ยวไปด้วยความโมโหร้าย มันเร่งรุดย้อนกลับไปริมทะเลสาบด้วยความเกรี้ยวกราด ปะทุพลังออกมาราวกับจะเร่งไปหักคอศัตรูฆ่าบิดา เช่นนั้นไม่ทันไรมันก็บรรลุถึงริมทะเลสาบผานหลง!


 


“เจ้ากลับมาแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหว ก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมคลี่ยิ้ม


 


พอได้คิดว่าเขากำลังจะได้พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ได้เห็นหน้ามารดาลี่เฟยรวมกับลูกน้อยที่สมควรรู้ความแล้ว รวมถึงบิดาไม่เอาไหน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีนัก


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเขาแลเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความโมโห รวมถึงสายตาที่มองมายังเขาด้วยความโกรธแค้นขององครักษ์เกราะดำที่เข้าไปรายงาน หว่างคิ้วพลันขมวดยู่ย่นเป็นปมทันใด ใจยังสะท้านไปด้วยความกังวล ‘ดูเหมือนเรื่องราวจะมีอะไรผิดท่าแล้ว! แต่นี่เป็นไปไม่ได้ กล่องหยกนั่นท่านพ่อขี้ตืดเป็นคนทิ้งไว้ให้ข้าที่ทวีปเมฆาล่องชัดๆ แค่เห็นก็ต้องจำได้ทันทีสิ!’


 


ขณะเดียวกัน ตอนนี้สือฟูฉางก็ได้รับรายงานจากองครักษ์เกราะทมิฬที่ย้อนกลับมาเรียบร้อยแล้ว พอรู้ตัวว่าพวกมันถูกล้อเล่น สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันใด


 


“ตัวบัดซบ! เจ้ามันช่างกล้านัก คิดล้อเล่นกับตำหนักเมฆาครามงั้นหรือ หาที่ตาย!!”


 


เมื่อสือฝูฉางมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แววตากลายเป็นเยียบเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ความสุภาพก่อนหน้าไม่มีเหลือ ตอนนี้ยังคล้ายมันอยากฉีกร่างต้วนหลิงเทียนให้เป็นชิ้นๆ


 


“ล้อเล่น?”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนเองก็เปลี่ยนไปทันใด


 


เขาไปล้อเล่นอะไรที่ไหน?


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่?


 


“สือฝูฉาง ข้าว่าเรื่องนี้ต้องเกิดเหตุผิดพลาดออะไรสักอย่างแน่…ข้าเชื่อว่าไม่มีปัญหากับสิ่งของแทนตัวที่ข้ามอบให้ เพราะนั่นเป็นของที่จ้าวตำหนักของพวกท่านมอบไว้ให้ข้า…จ้าวตำหนักเมฆาครามสมควรรู้ได้ทันที ให้ข้าถามองครักษ์เกราะดำที่นำของไปส่งมอบก่อนสักคำ…ว่าได้ส่งมันถึงมือจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งอธิบายให้สือฟูฉางฟัง ขณะเดียวกันก็หันไปมององครักษ์เกราะดำที่เร่งรุดเข้าไปรายงานก่อนหน้า


 


“เฮอะ! กล่องหยกนั่นข้ามอบมันให้กับอาวุโสหรงกับมือ ท่านอาวุโสหรงก็สมควรนำไปมอบให้ถึงมือท่านจ้าวตำหนัก…แต่ท่านผู้อาวุโสหรงบอกข้าว่าท่านจ้าวตำหนักไม่รู้จักกล่องร้ายๆนั่น! และเจ้ากำลังโกหกพวกเราอยู่ว่ารู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนัก!!”


 


องครักษ์เกราะดำตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


 


“อาวุโสหรง?”


 


คิ้วต้วนหลิงเทียนขมวดเป็นปม ครู่หนึ่งจึงคลี่คลายออกมา “ไม่ผิดแน่! อาวุโสหรงคนนี้สมควรมีปัญหา เจ้าพาข้าไปพบจ้าวตำหนักเมฆาครามของพวกเจ้าเถอะ ทันทีที่ข้าได้พบคนเรื่องราวทั้งหมดล้วนคลี่คลายทันที และถ้าข้าโกหกพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะจ้าวตำหนักของพวกเจ้าก็คงลงมือสังหารข้าทันที!!”


 


“เหอะ! ท่านผู้อาวุโสหรงน่ะหรือมีปัญหา?”


 


เมื่อได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน แววตาขององครักษ์เกราะดำทั้ง 10 รวมถึงสือฝูฉางยิ่งเยียบเย็นลงทันใด ทั้งหมดมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง จิตสังหารยังตลบคลุ้งไปในบรรยากาศ


 


ในตำหนักเมฆาครามยังมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่า อาวุโสหรงหยวน เป็น ‘โฆษก’ ของท่านจ้าวตำหนัก?


 


ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับกล้าพูดว่าอาวุโสหรงมีปัญหา?


 


วาจานี้ใช่อะไรที่ผู้ใดก็ไม่รู้ที่มาอ้างตัวว่ารู้จักกับจ้าวตำหนักสามารถกล่าวออกได้หรือ?


 


“ฆ่า!”


 


สือฟูฉางตะคอกคำสั่งออกมาเสียงเย็น องครักษ์เกราะดำทั้ง 9 ที่เตรียมพร้อมมานานพลันปะทุพลังเคลื่อนร่างทันที!!


 


สภาวะของพวกมันประหนึ่งฝูงหมาป่าหิวโหยที่ไม่ได้ดื่มกินเลือดเนื้อมาสิบวันครึ่งเดือน ได้พบพานเหยื่ออันโอชะ!


 


ร่างในเกราะดำทะมึน 9 คนเหินทะยานออกมาอย่างพร้อมเพรียง มองไปยังคล้ายเมฆฝนเคลื่อนตัว!


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นไปทั่วคุ้งน้ำ ร่างองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ที่ทะยานออกจากร่างสัตวร้ายตัวเขื่องยามนี้ออกกระบวนท่าซัดพลังไปอย่างไม่คิดจะออมรั้งยั้งมือ!!


 


ลักษณะพลังหลากสีสันปานสายรุ้งเปี่ยมล้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน โถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนมืดฟ้ามัวดิน!


 


แต่ละท่าเรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่าสังหารอย่างแท้จริง คล้ายพวกมันแต่ละคนอยากจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายในกระบวนท่าเดียว!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าองครักษ์เกราะดำจะกลายเป็น ‘คนเถื่อน’ ได้ในพริบตา วาจาสนทนากันยังไม่ทันรู้ความก็ลงมืออย่างไร้อารยะแล้ว!? แถมแต่ละคนยังดุร้ายปานสุนัขบ้า…หมายกรูกันเข้ามาฉีกทึ้งร่างเขาให้เป็นชิ้นๆ! เรื่องนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกจริงๆ!


 


อาวุโสหรงอะไรนั่นเป็นบิดาของพวกมันหรืออย่างไร?


 


พูดแตะต้องอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ?!


 


ต้องกล่าวเลยว่าองครักษ์เกราะดำของสือฟูฉางหมู่นี้แข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว!


 


นอกเหนือจากตัวสือฟูฉางที่ยังไม่ได้ลงมือแล้ว ในบรรดา 9 คนที่ออกกระบวนท่าสังหารเข่นฆ่าเข้ามา พลังฝึกปรือด้อยสุดก็ยังบรรลุถึงขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลาง และก็มี 6 คนที่อยู่ในขอบเขตพลังนี้ ส่วนอีก 3 คนนั้นเป็นอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


อย่างไรก็ตามการกลุ้มรุมกันของคนกลุ่มนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นภัยอะไรกับต้วนหลิงเทียน


 


เขาสามารถเคลื่อนร่างหลีกหลบกระบวนสังหารของพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็น คนแผ่วพลิ้วไปด้วยสภาวะดั่งเมฆเคลื่อน มองเห็นแต่มิอาจจับต้อง สีหน้าท่าทางยังคงความสงบไร้ซึ่งความกดดันอะไร


 


“อริยะเซียนขั้นสูงสุด!?”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเพียงพลิ้วกายไม่กี่ครั้งก็หลบกระบวนท่าสังหารขององครักษ์เกราะดำทั้ง 9 ที่เป็นลูกน้องของมันได้หมดจด ปราณแรกกำเนิดอันสุดไพศาลเริ่มโคจรไหลเชี่ยวไปทั่วร่างสือฝูฉางทันใด พร้อมระเบิดปะทุออกมาได้ทุกเวลา!


ตอนที่ 1,834 : ต้วนหรูเฟิงปรากฏกาย!


 


เพียงดูก็รู้เลยว่า…องครักษ์เกราะทมิฬแต่ละคนที่ลงมือ ล้วนไม่มีใครหวาดกลัวความตาย!


 


ถึงแม้ว่าพวกมันจะรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่เบื้องหน้ามีพลังฝึกปรือร้ายกาจเหนือพวกมันมาก หากแต่พวกมันก็ไม่มีความคิดล่าถอย ยังคงพยายามผนึกกำลังกันลงมือสุดชีวิต!


 


เห็นแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนับถือหัวใจของพวกมันอยู่บ้าง


 


หากเป็นชนชั้นขลาดเขลา เพียงพบว่าศัตรูแข็งแกร่งกว่าเกรงว่าหากไม่หาทางหลบหนีก็ต้องร้องขอความเมตตา


 


ทว่าองครักษ์ทมิฬทั้ง 9 ที่กลุ้มรุมเขาอยู่ แม้รู้ทั้งรู้ว่าสู้ไม่ได้พวกมันก็ยังสู้! แววตาแต่ละคนมีเพียงความมุ่งมั่นไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย!!


 


เห็นกลุ่มคนที่มีธาตุทรหดเข้มแข็งแบบนี้ พาลให้เลือดในกายต้วนหลิงเทียนรู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาอยู่บ้าง คล้ายเขาได้ย้อนเวลากลับไปสมัยที่ยังต่อสู้ในโลกใต้ดินย่ำก้าวเดินบนเส้นทางโลหิตในชีวิตที่แล้ว…


 


องครักษ์ทมิฬทั้ง 9 ทำให้เขารู้สึกนับถือหัวจิตหัวใจจริงๆ


 


“พวกเจ้าสมแล้วที่เป็นองครักษ์ทมิฬของตำหนักเมฆาคราม! ช่างสมคำร่ำลือนัก!!”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา เมื่อมีบางคนยินดีบาดเจ็บเพื่อเปิดโอกาสให้สหาย!


 


“พลังฝีมือของท่านข้ายอมรับว่าร้ายกาจ! แต่ท่านกลับโกหกพวกเรา กระทั่งหาญกล้าลามปามถึงท่านจ้าวตำหนักของพวกเรา ไม่เพียงเท่านั้นท่านกระทั่งว่าร้ายท่านผู้อาวุโสหรง! บาปนี้ของท่านข้าพเจ้ามิอาจอภัยให้ได้! วันนี้หากพวกเราองครักษ์เกราะทมิฬฆ่าท่านไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่คู่ควรกับชื่อเสียง!”


 


สุดท้ายสือฟูฉางก็ลงมือ มันพุ่งร่างทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ทันที


 


ในฐานะที่เป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุด พลังฝีมือของสือฟูฉางนับว่าไม่ใช่ต่ำทราม ยังน่าประทับใจไม่น้อย!


 


และทันทีที่สือฟูฉางลงมือเร่งเร้าพลังออกมา ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ทันทีถึงความเข้มแข็งปราณ แม้จะมีด่านพลังทัดเทียมกัน แต่อีกฝ่ายนับว่าแข็งแกร่งกว่าจ้าวตง ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ คนของสกุลจ้าวที่เขาฆ่าไปวันก่อนมาก!


 


ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังบีบให้เขาต้องออกแรงอยู่บ้าง!


 


ฟุ่บ!


 


อาวุธของสือฟูฉางนั้นคือหอกยาว 7 ฉื่อ ยามทิ่มแทงทะลวงฟ้ามา สภาวะเกรี้ยวกราดปานมังกรทะยานออกจากถ้ำ!


 


ปราณแรกกำเนิดอันสุดไพศาลที่ฉาบเคลือบหอก 7 ฉื่อเอาไว้ ยังเพาะสร้างคลื่นพลังหมุนวนขุมหนึ่งให้ม้วนพันไปรอบตัวหอกดั่งเกลียว!


 


ด้วยมีพลังหมุนวนดั่งเกลียวม้วนพันรอบหอก ทั้งแลดูจะมีความเร็วรอบสูงล้ำแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนสามารถบอกได้ทันทีเลยว่า…อานุภาพเจาะทะลวงของมันต้องไม่ใช่ชั่วแน่นอน!!


 


“สว่านมังกรปฐพี!”


 


พร้อมกันกับที่สือฟูฉางคำรามออก พลังปราณทั่วหอกปะทุออกเข้มแข็ง ม้วนเกลียวรอบหอกพลันหมุนวนด้วยความเร็วรอบอัศจรรย์ เสริมส่งพลังเจาะทะลวงให้เพิ่มพูนขึ้นจนน่ากลัว!!


 


หอกทิ่มทะลวงไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วปานฟ้าผ่า ปลายหอกยังจี้เล็งทะลวงไปยังตำแหน่งหัวใจ!


 


“มาได้ดี! รับประทานกระบี่ข้าดู!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบหลังสือฟูฉางคำราม มุมปากยกยิ้มขึ้นบางๆ


 


สิ้นคำไม่ทันไร ในมือพลันปรากฏมวลปราณสุริยันแรกกำเนิดขุมหนึ่ง พวกมันผนึกควบแน่นก่อเกิดกระบี่พลังมีสภาพสีทอง!


 


ฟั่บ!


 


กระบี่แม้กวัดแกว่งออกไปตามอำเภอใจ ทั้งวิถีกระบี่แลดูเรียบง่ายไร้เรื่องราว หากแต่กลับมีความลึกล้ำสุดหยั่งแฝงเร้นไว้!


 


เป็นธรรมดาเพราะกระบี่นี้ได้บรรจุไว้ด้วยพลังอำนาจจากขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่! ทั้งกระบี่ยังบรรลุถึงความเร็วอันน่ากลัว กระทั่งหอก 7 ฉื่อยังสุดที่จะทัดทาน!!


 


เคร๊ง! เคร๊ง! เคร๊ง!


 



 


กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนแกว่งไกวออกไปอย่างไร้กระบวนท่า ปัดป่ายไปมาตามอำเภอใจ หากแต่กลับฟันถูกปลายหอกที่ทะลวงมาอย่างดุร้ายได้ทุกครั้ง! หอกที่ทะลวงมาอย่างเข้มแข็งจำต้องถูกกระบี่เบี่ยงเบนทิศทางครั้งแล้วครั้งเล่า! เสียงระเบิดของพลังดังขึ้นไม่หยุด! คลื่นพลังสังหารพุ่งทะลวงทำลายไปทั่วทิศ!!


 


นับเป็นการปะทะกันของยอดฝีมืออย่างแท้จริง!


 


อย่างไรก็ตาม หลังปะทะกันไม่กี่กระบวนสือฟูฉางพลันตระหนักได้ว่า พลังที่ควบแน่นไว้ในหอกคล้ายจะอ่อนด้อยกว่ากระบี่พลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย มันพยายามเจียดปราณที่คุ้มกันร่างโคจรถ่ายเทไปเสริมกำลังที่หอกทันที!


 


ทันใดนั้นปราณแรกกำเนิดที่ตัวหอกก็ปะทุพลังแกร่งกล้าขึ้นมาในฉับพลัน!


 


อนิจจาสือฟูฉางเร่งเร้าจ่ายพลังเพิ่มเติมได้รวดเร็วขณะต่อสู้ แล้วต้วนหลิงเทียนที่ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ถึง 99 จุดจะทำบ้างไม่ได้หรือ? กระทั่งความเร็วในการผนึกพลังยังเหนือชั้นกว่ากันคนละเรื่อง!!


 


เพียงห้วงคิดปราณสุริยันแรกกำเนิดขุมหนึ่งก็ปะทุไหลไปตามชีพจรเซียนดั่งน้ำหลาก บรรจุควบแน่นลงกระบี่พลังสีทองมีสภาพฉับไว พาลให้ตัวกระบี่ส่งเสียงกู่ร้องดังวิ๊งๆ แสงสีทองยังเรืองรองจ้าขึ้น!


 


“พี่ชายนายกอง อย่าได้หาว่าข้ารังแกท่านล่ะ…ข้าเพียงเพิ่มพลังในกระบี่ให้ทัดเทียมกับหอกของท่านเท่านั้น!”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวแซวออกมามาด้วยรอยยิ้ม


 


พลังอำนาจในกระบี่พลังมีสภาพสีทองของเขาตอนนี้ มันเทียบเท่ากับหอกที่ฉาบไว้ด้วยปราณแรกกำเนิดกว่า 9 ส่วนของสือฟูฉางได้อย่างพอดิบพอดี! และทีเขากล่าวก็เพราะรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายผนึกพลังมากกว่านี้ มิพ้นไม่เหลือพลังคลุมกาย ไม่อาจทนรับพลังสะท้อนหลังจากนี้ไม่ไหว ถึงขั้นได้ตกตายแน่!


 


ทว่าหากไม่รู้เจตนาความที่ฟังย่อมไม่เข้าใจ เมื่อได้ฟังวาจายียวนของต้วนหลิงเทียนสือฟูฉางกลายเป็นมีโมโหไม่น้อย ตั้งท่าอีกครั้งพร้อมลงมือสุดกำลังเพื่อตัดสินชัย แน่นอนว่ามวลพลังในตัวหอกยังคงเท่าเดิม…


 


ในฐานะที่เป็นคนขององครักษ์เกราะดำ มันย่อมยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวมาแบบนี้หากมันเลือกจะผนึกพลังลงหอกเพิ่มเติม ก็เสมือนยอมรับว่ามันด้อยกว่า!


 


นอกจากนั้น ตัวมันที่เมื่อครู่กว่าจะเร่งเร้าพลังเพิ่มลงหอกได้อีกส่วนยังต้องใช้เวลาชั่วอึดใจ แต่อีกฝ่ายคล้ายเพียงห้วงคิดก็ทำได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้นจากท่าทีสงบไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย มันบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังออมรั้งยั้งมือไว้หลายส่วน!


 


วุ้ม! วุ้ม! วุ้ม! วุ้ม! วุ้ม!


 


ซู่มมม!!


 


ร่างสือฟูฉางชี้หอกไปทางต้วนหลิงเทียนเขม็ง และหอก 7 ฉื่อที่ชี้จี้มายามนี้ มันกำลังสั่นสะเทือนอย่างแรง! เกลียวพลังที่หมุนวนรอบหอกก็มีความเร็วรอบสูงล้ำน่ากลัวนัก!!


 


อย่างน้อยๆองครักษ์เกราะทมิฬอีก 9 คนที่ปิดล้อมอยู่ ก็ไม่แม้แต่จะมองเห็นความเคลื่อนไหวของเกลียวพลังรอบตัวหอก!


 


เช่นนั้นก็บอกได้ทันทีว่ามันหมุนคว้างด้วยความเร็วน่ากลัวเพียงใด!


 


วิ๊ง!


 


ส่วนอีกด้านนั้นต้วนหลิงเทียนยังถือกระบี่ชี้ลงข้างกายอย่างไร้เรื่องราว ตัวกระบี่เพียงเรืองแสงพลังสีทองเท่านั้น ไม่คล้ายมีพลังอานุภาพสูงล้ำอันใดผนึกควบแน่น


 


อย่างน้อยๆก็ไมมีในสายตาขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9


 


“บัดซบ! เจ้ากล้าดูเบาท่านสือฟูฉางงั้นหรือ รนหาที่ตาย!”


 


“เป็นเจ้าแส่หาเรื่องเอง!”


 


……


 


องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนโอหังเกินไป ประมาทเช่นนี้ต้องพ่ายแพ้แน่นอน!


 


มีเพียงสือฟูฉางที่เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามลี้ลับประการหนึ่งจากกระบี่ที่แลดูเรียบง่ายของต้วนหลิงเทียน ให้ความรู้สึกราวกับกลิ่นอายพลังคมกล้าดังกล่าวแพ่งเล็งมาที่มันอย่างไร้หนทางหลบหนี สีหน้าของมันเปลี่ยนไปทันที! ปะทุพลังสุดตัว ทะลวงหอกทิ่มแทงออกไปด้วยทั้งหมดที่มี!!


 


ครู่ต่อมาองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ก็จำต้องชักสีหน้าเคร่งเครียด


 


เพราะเรื่องราวยังคงเป็นเช่นเดิม!


 


กระบี่สามารถสามารถฟันถูกปลายหอก กระทั่งยังหยุดสภาวะทะลวงแทงของหอกเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!


 


ในด้านของพลังปราณแรกกำเนิดนั้นไม่มีความเหลื่อมล้ำอันใด เพราะต้วนหลิงเทียนจงใจลดพลังให้ทัดเทียมกันแล้ว มวลพลังจึงปะทะหักล้างกันไป..!


 


อนิจจาการปะทะกันของผู้ฝึกตนไม่ใช่มองกันแต่ที่ปราณแรกกำเนิดอะไรเพียงอย่างเดียว ยังมีความลึกล้ำของวรยุทธ์เซียนหรือวิชาอื่นใดอีกด้วย!


 


วรยุทธ์เซียน สว่านมังกรปฐพี ของสือฟูฉาง ปะทะกับ พลังลี้ลับของยอดใจกระบี่ขั้นที่ 2! มวลพลังไร้สภาพขุมหนึ่ง เพียงต่อสู้กันชั่วพริบตาก็รู้แพ้ชนะ!


 


และตอนจบ ก็สุดที่องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 จะคิดคาดนัก!


 


เปรี๊ยง!!


 


เสียงหนึ่งดังสนั่นลั่นขึ้น คนที่พวกมันคิดว่าต้องแพ้แน่ๆกลับลอยล่องอยู่กลางหาวที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนแม้องคุลีเดียว


 


กลับกันสือฟูฉางหัวหน้าหมู่ของพวกมันกลับกระเด็นปลิดปลิวลอยละลิ่วไปนู่น สีหน้าซีดเซียว โลหิตกระอักออกปากไม่หยุด!


 


“ท่านสือฟูฉาง!”


 


เห็นภาพดังกล่าวองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ก็ไม่คิดปิดล้อมต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป พวกมันพุ่งร่างออกไปห้อมล้อมสือฟูฉางเพื่อคุ้มกันทันที!


 


แต่ละคนยังหันมามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะฉวยโอกาสลงมือซ้ำเพื่อฆ่าคน!


 


ในขณะเดียวกันใจของพวกมันก็ยังอดตกตะลึงไปเสียไม่ได้!


 


มวลพลังที่ผนึกไว้ในศาสตราของทั้งคู่ล้วนทัดเทียมกัน แถมอีกฝ่ายยังเพียงแค่ฟันกระบี่ออกมาอย่างไร้เรื่องราว ไร้กระบวนท่าอันใด!


 


ต้องทราบด้วยว่าหอกที่กระบี่ของอีกฝ่ายรับไว้กระทั่งเอาชนะได้นั้น มันทะลวงแทงออกไปด้วยวรยุทธ์เซียน สว่านมังกรปฐพี! และนั่นมันคือวรยุทธ์เซียนระดับพิภพขั้นโดดเด่น! ที่สำคัญคือสือฟูฉางของพวกมันฝึกฝนจนเจียนบรรลุความสำเร็จขั้นตอนไร้ตำหนิเต็มทีแล้ว!!


 


แต่กระนั้นสือฟูฉางของพวกมันก็ยังปราชัย!


 


“ฝีมือเจ้าร้ายกาจนัก…! อย่างไรก็ตามมิมีคนร้ายที่มาล้อเล่นโดยการกล่าววาจาเหลวไหลกับตำหนักเมฆาครามของพวกเราคนใดสามารถรอดชีวิตกลับไปได้!”


 


สือฟูฉางที่กลืนโอสถทั้งเร่งโคจรพลังย่อยโอสถ พออาการเริ่มทรงตัวก็มองจ้องไปที่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่วางตา มันสะบัดมือคราหนึ่ง ป้ายหยกผุดโผล่ขึ้นจากความว่าง ก่อนที่จะพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยควมเร็วสูง ต่อมาก็ระเบิดออกดังสนั่น!


 


และหลังจากนั้นไม่ทันไรพลันมีเสียงหวีดหวิวของสายลมดังขึ้น คล้ายมีบางสิ่งกำลังพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง!


 


และแทบจะพร้อมกันกับเสียงสายลมหวีดหวิว ผิวทะเลสาบที่อยู่ห่างไกลก็เริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!


 


ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!


 



 


ร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่องมากมายกรูกันเข้ามาทุกทั่วสารทิศ ทั้งหมดมุ่งหน้าเข้ามาทางต้วนหลิงเทียน!


 


และบนร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่อง ก็มีทหารองครักษ์เกราะดำยืนอยู่!


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูง ไม่มีใครสัมผัสได้เลยว่ามีร่าง 2 ร่างกำลังลอยล่องอยู่ หนึ่งนำหน้าอีกหนึ่งยืนสำรวมอยู่ด้านหลัง


 


ทั้งคู่กำลังมองผ่านม่านเมฆหมอกไปยังเรื่องราวเบื้องล่างเหนือทะเลสาบไกลตา


 


“ท่านจ้าวตำหนัก…นั่นจะใช่ท่านจ้าวตำหนักน้อยหรือไม่?”


 


ชายชราที่ลอยร่างอย่างสำรวยด้านหลังกล่าวออก มันไม่ใช่ใครอื่น อาวุโสหรงหยวน!


 


คนที่เป็นชนวนเหตุการปะทะต่อสู้เบื้องล่าง!


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้อยากเป็นชนวนเหตุอะไร แต่มันได้รับคำสั่งมาให้กระทำเช่นนี้!


 


“รูปร่างและเค้าโครงใบหน้านั้นเป็นเทียนเอ๋อไม่ผิดแน่ หากแต่รูปโฉมบนใบหน้ากลับมิใช่! อย่างไรก็ตามกลิ่นอายพลังทั่วกาย สมควรเป็นกลิ่นอายพลังของเทียนเอ๋ออย่างที่มิต้องสงสัยเลย!”


 


ผู้ที่ลอยร่างอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง!


 


“แปลกยิ่ง…ใบหน้านั้นก็มิได้ผ่านการปลอมแปลงแต่อย่างใด?”


 


หรงหยวนเองก็รู้สึกประหลาดใจไปไม่ต่าง


 


เพราะไม่ว่าจะเป็นต้วนหรูเฟิงหรือตัวหรงหยวนเอง พวกมันก็ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่ามีทักษะลี้ลับอะไรเช่นนี้ ที่สามารถปลอมแปลงรูปโฉมโดยที่สำนึกเทวะมิอาจตรวจพบ…


 


นี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่อาจระบุตัวผู้มาได้แน่ชัด


 


“อย่างไรเสียพลังฝีมือของสหายน้อยผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่ง ยังสมควรเป็นสุดยอดฝีมือท่ามกลางผู้ที่บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุด! ข้าเกรงว่าจะมีอริยะเซียนขั้นสูงสุดน้อยคนนักที่ต่อกรกับเขาได้!!”


 


หรงหยวนกล่าวออกอีกครั้ง ในวาจายังไม่ขาดการชื่นชมแม้แต่น้อย


 


“อาวุโสหรงท่านพาตัวเขาไปที่ห้องโถงหลักเถอะ เขาสมควรเป็นบุตรชายของข้า ต้วนหลิงเทียน ไม่ผิดแน่!”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าวบอกหรงหยวนก่อนที่ร่างจะอันตรธานหายวับไปจากฟ้า ราวกับไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน…


 


“แต่…มิมีร่องรอยการปลอมแปลงรูปโฉมอันใดเลยนี่นา…”


 


หรงหยวนเผยยิ้มออกมาอย่างขื่นขม มันเองย่อมเคยเห็นรูปเหมือนนายน้อยมาแล้ว และชายหนุ่มหน้าตาแลดูธรรมดา กระทั่งค่อนไปทางซื่อบื้อผู้นี้ ไม่ได้คล้ายนายน้อยของมันสักกะผีกเดียว!


 


แล้วจะให้มันกล่าวได้เต็มปากอย่างไรว่านี่คือนายน้อยหรือจาวตำหนักน้อยของพวกมัน?


 


หรงหยวนอาจไม่ทราบได้ แต่อย่างไรเสียต้วนหรูเฟิงก็เป็นบิดา!


 


ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับบุตรชายคนนี้นานนัก แต่มันก็คือเซียนปฐพีขั้นสูงสุด ย่อมหาตัวจับได้ยากในเรื่องสัมผัสกลิ่นอายพลัง!


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะมีใบหน้าแปลกปลอมไป แต่มันก็มั่นใจว่าชายหนุ่มเบื้องล่างเป็นลูกชายคนเดียวของมัน!


 


ด้านล่างเหนือทะเลสาบยามนี้ ปรากฏองครักษ์เกราะทมิฬขึ้นมาอีก 3 หมู่! นับว่าต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในวงล้อมองครักษ์ทมิฬถึง 40 คนหากนับรวมกลุ่มสือฟูฉางในตอนแรก!


 


“ฮ่าๆๆ…ฟงผิงเจ้ากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ยังมีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้อีกหรือช่างหาดูได้ยากนัก!”


 


หนึ่งในสือฟูฉางผู้มาใหม่ หันมองสือฟูฉางที่ได้รับบาดเจ็บจากการประมือกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าสนุกสนาน ยังหัวเราะออกมาเสียงดัง เห็นชัดว่ามันพึงพอใจในความโชคร้ายของอีกฝ่าย…


 


“ฮึ่ม! ไฉนเจ้าไม่ลองไปสู้ดูเล่า!?”


 


ฟงผิงได้ยินวาจาเสียดสี หน้าก็จมลงทันใด แต่ยามกล่าววาจาสวนกลับ สีหน้ายิ่งมายิ่งขึงตึงเคร่งเครียด


 


จังหวะนี้องครักษ์เกราะทมิฬที่มาใหม่ทั้ง 3 หมู่พลันหันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที บรรยากาศกลายเป็นคลุ้งกลิ่นดินปืนในทันใด ราวกับการต่อสู้แตกหักสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเวลา


 


ฟุ่บ!!


 


ทว่าทันใดนั้นเอง มีสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านมา ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในความว่างต่อหน้าทุกคน


 


เมื่อเห็นร่างผู้มาใหม่ เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้งหมดเร่งโค้งคารวะด้วยความเคารพทันที “คารวะท่านอาวุโสหรงหยวน!”


 


“อืม”


 


ผู้ที่พึ่งปรากฏกายเป็นชายชราสูงวัย มันพยักหน้ารับการทักทายคารวะพร้อมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนที่จะว่ายตามองไปยังร่างต้วนหลิงเทียน กล่าวถามว่า “เจ้าน่ะหรือ คนที่ต้องการพบท่านจ้าวตำหนักของพวกเรา?”


 


“ตาแก่ นี่เจ้าไม่ได้ส่งมอบกล่องหยกวิจิตรนั่นให้จ้าวตำหนักของเจ้าสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พบตัวตนของอีกฝ่ายก็ของขึ้นทันที ไม่เพียงไม่ตอบคำยังกล่าวถามสวนไปด้วยท่าทางไม่พอใจเสียงแข็ง!


ตอนที่ 1,835 : พ่อลูกพบหน้า


 


 


ตาแก่!?


 


ได้ยินคำเรียกหาอาวุโสหรงหยวนของต้วนหลิงเทียน องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 40 คน ถึงกับอึ้ง…


 


บัดซบ!


 


ชายหนุ่มผู้นี้หาญกล้าเรียกอาวุโสหรงหยวนที่เคารพของพวกมันว่า ‘ตาแก่’ งั้นเหรอ?!


 


แถมวาจาที่กล่าวถามยังก้าวร้าวไร้สัมมาคารวะนัก!


 


เบื่อชีวิตแล้วหรือไร?


 


ในตำหนักเมฆาครามนั้นทุกผู้คนล้วนรู้กันดีว่าอาวุโสหรงหยวนใจดีมีเมตตา แต่ทว่านี่สำหรับคนในตำหนักเมฆาครามเท่านั้น


 


ทว่ายามเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว อาวุโสหรงหยวนไม่ต่างอะไรกับ อสุรา! พร้อมเข่นฆ่าสังหารล้างบางผู้คนดั่งยักษ์มาร!!


 


ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ อาวุโสหรงหยวนล้วนเป็นที่รู้จักกันดีในนาม อสุราหน้ายิ้ม!


 


“เจ้านั่น…มันได้ตายแน่!”


 


องครักษ์เกราะทมิฬทุกคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองคนตาย!


 


“กล่องหยกของเจ้าข้าส่งมอบให้ท่านจ้าวตำหนักไปแล้ว หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านจ้าวตำหนักแล้วถามเอาเองเถอะ!”


 


หรงหยวนยังไม่ปักใจเชื่อว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าคือจ้าวตำหนักน้อย ด้วยเหตุนี้แม้มันจะไม่ขุ่นขึ้งกับวาจาก้าวร้าวของต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่ได้เผยทีท่าสุภาพนอบน้อมเพียงเพราะอีกฝ่ายอาจจะเป็นจ้าวตำหนักน้อย…


 


ต้องยืนยันเรื่องราวให้กระจ่างเสียก่อน!


 


สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินคำหรงหยวน


 


ตามไปพบจ้าวตำหนักงั้นเหรอ?


 


องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 40 คนถึงกับตะลึงงันไปทันใด!


 


มิคาดคนที่พวกมันคิดว่าชะตาขาดต้องตายตก ไม่เพียงแต่จะไม่ตกตาย…ยังได้เข้าพบท่านจ้าวตำหนักผู้ยิ่งใหญ่ของพวกมันอีก! เรื่องราวพลิกผันกลับตาลปัตรเกินไปจนพวกมันไม่อาจตั้งตัวรับไว้ได้ทัน!!


 


จนเมื่อเห็นหรงหยวนนำพาต้วนหลิงเทียนหายไป บรรยากาศเหนือทะเลสาบที่เงียบงัน ค่อยปะทุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง


 


“สวรรค์ช่วย! นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกันแน่!?”


 


“เจ้าหมอนั่นที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่ กระทั่งเรียกท่านอาวุโสหรงว่า ‘ตาแก่’ แล้วแท้ๆ แต่อาวุโสหรงไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ยังจะพามันไปหาท่านจ้าวตำหนักอีก…พวกเจ้าเองก็รู้ไม่ใช่รึไรกระทั่งท่านสือฟูฉางของพวกเรายังไม่มีโอกาสได้เข้าพบท่านจ้าวตำหนักด้วยซ้ำ!”


 


“ชายหนุ่มผู้นั้น หรือจะรู้จักกับท่านจ้าวตำหนักจริงๆ?”


 


……


 


เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 3 หมู่ที่พึ่งมาถึงในภายหลัง อดไม่ได้ที่จะระเบิดคำออกมาด้วยความสงสัย


 


สักพักสายตาของพวกมันก็หันมามองถามบรรดาองครักษ์เกราะทมิฬหมู่ของฟงผิงทั้ง 10 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทันที


 


“ฟงผิง ที่แท้นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


“นั่นสิ! มิใช่ว่าเจ้าพึ่งส่งสัญญาณระดมพลฉุกเฉินไม่ใช่หรือไร พวกเราก็คิดว่ามีศัตรูร้ายกาจบุกมา แต่ดูเหมือนคนผู้นั้นที่แท้จะเป็นแขกของท่านจ้าวตำหนัก…เจ้าสมควรเตรียมคำอธิบายไว้ให้ดี! หากท่านจ้าวตำหนักเอาเรื่องเอาราวอะไรขึ้นมาและซวยมาถึงข้า…เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!!”


 


“นั่นสิฟงผิง ที่แท้ชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนท่านอาวุโสหรงแลดูจะไว้หน้ามันขนาดนั้น?”


 


สือฟูฉางของหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่อื่นเร่งถามฟงผิงกันใหญ่ สีหน้ายังเคร่งขรึมจริงจังกันไม่น้อย


 


จะให้ดูดีได้อย่างไร?


 


ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ทันทำอะไรเป็นการล่วงเกินอีกฝ่าย แต่พวกมันก็ยกพวกมาปิดล้อมคนแล้ว เกิดอีกฝ่ายไม่พอใจคิดเอาเรื่องย้อนหลังจะให้ทำอย่างไรเล่า?!


 


อีกทั้งฟังจากคำของอาวุโสหรง อีกฝ่ายถึงขั้นสามารถเข้าพบท่านจ้าวตำหนักของพวกมันได้!


 


ตัวตนเช่นนี้ใช่คนที่พวกมันสามารถล่วงเกินได้หรือ?


 


อันที่จริงเมื่อเห็นว่าอาวุโสหรงแลดูไว้หน้าคล้ายจะเกรงใจชายหนุ่มคนนั้นไม่น้อย ฟงผิงก็ตะลึงไปแล้ว! นั่นเพราะมันเลือกที่จะลงมือหลังได้รับคำสั่งจากอาวุโสหรง! เพราะจากวาจาของผู้อาวุโสหรง..ชายหนุ่มผู้นี้สมควรเป็นคนโกหก!!


 


อย่างไรก็ตามจากทีท่าของอาวุโสหรง ตอนนี้คล้ายชายหนุ่มผู้นั้นจะรู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนักของพวกมันจริงๆ


 


“เจ้าแน่ใจใช่ไหม ว่าเจ้ารายงานคำพูดของอาวุโสหรงต่อข้าตามตรง มิได้ปั้นเสริมเติมแต่งอันใด?”


 


ไม่นานฟงผิงก็หันไปมองถามองครักษ์เกราะดำ ที่มันใช้ให้นำ ‘สิ่งแทนตัว’ ของต้วนหลิงเทียนไปดำเนินเรื่อง


 


“ท่านสือฟูฉาง ต่อให้ข้ามีความกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่า ข้าก็ไม่กล้ารายงานเท็จหรอกขอรับ…”


 


องครักษ์เกราะทมิฬคนนั้นมองฟงผิงด้วยสายตาเสียใจ


 


หากย้อนเวลากลับไปได้มันจะหาข้ออ้างปฏิเสธหน้าที่นี้เสีย ปล่อยให้ผู้อื่นนำสิ่งของแทนตัวเจ้าปัญหานั่นไปมอบเองเถอะ!


 


ฟงผิงพยักหน้ารับ มันย่อมเชื่อฟังคำพูดขององครักษ์เกราะดำคนนี้อย่างไม่สงสัย เพราะมันรู้จักผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ดี


 


ด้วยเหตุนี้ฟงผิงจึงรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับคำจี้ถามของเหล่าสือฟูฉาง 3 หมู่ที่รุดมา


 


อย่างไรก็ตามมันเลือกจะเล่าข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ทั้ง 3 คนฟัง


 


“ชายคนนั้นมาขอพบท่านจ้าวตำหนัก…ทั้งยังนำสิ่งของแทนตัวออกมาด้วย?”


 


“อาวุโสหรงกล่าวว่าท่านจ้าวตำหนักไม่รู้จัก ทั้งยังให้คนของเจ้ามาบอกว่าอีกฝ่ายโกหก?”


 


“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าอาวุโสหรงเป็นคนพูดเองกับปาก ว่าอีกฝ่ายเป็นคนโกหก? หากเป็นคนโกหกจริง แล้วไฉนอาวุโสหรงถึงต้องมาที่นี่กระทั่งพามันไปพบท่านจ้าวตำหนักด้วยตัวเองเล่า?”


 


สีหน้าของสือฟูฉางทั้ง 3 หมู่บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!


 


ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้ที่สามารถหยิบสิ่งของแทนตัวที่ได้รับจากจ้าวตำหนักของพวกมันออกมา…เช่นนั้นแล้วสมควรรู้จักกันกับท่านจ้าวตำหนักของพวกมันอย่างดี!


 


ตัวตนเช่นนั้นใช่คนที่พวกมันจะมาปิดล้อมสร้างปัญหาได้หรือ?


 


จังหวะนี้พวกมันรู้สึกเสมือนชุดเกราะเย็นเยียบ พาลให้เหงื่อกาฬหลั่งออกชโลมกาย!


 


“นั่นย่อมเป็นเรื่องจริง! พวกเจ้ามั่นใจได้เลยว่าคนของข้ารายงานไม่ผิดแน่ หากครั้งนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้น ข้าฟงผิง ยินดีรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว!!”


 


ฟงผิงกล่าวบอกสือฟูฉางอีก 3 คนด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


 


“เจ้าน่ะหรือจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว…อาศัยเจ้าสามารถแบกรับเรื่องนี้ได้?”


 


สือฟูฉางคนหนึ่งแค่นคำเย้ยเยาะคำหนึ่ง ก่อนที่จะพาคนของมันจากไปทันที มันเป็นคนเดียวกับที่กล่าววาจาหาเรื่องฟงผิงก่อนหน้า


 


สือฟูฉางอีก 2 คนก็ได้แต่มองฟงผิงด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนที่จะพาคนจากไป


 


ครู่ต่อมาก็เหลือแต่ฟงผิงกับหน่วยองค์รักษ์เกราะทมิฬใต้บังคับบัญชา


 


“ท่านสือฟูฉาง เรื่องนี้ข้ามิได้กล่าวเสริมเติมแต่งและมิได้โกหกท่านแม้ครึ่งคำ…ข้าสามารถกล่าวสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ได้!”


 


องครักษ์เกราะทมิฬที่เป็นคนรับคำสั่งหรงหยวนอดไม่ได้ที่จะร้อนใจเร่งกล่าวออกมา กระทั่งไม่รอการตอบสนองอะไรมันเริ่มเฉือนเนื้อหลั่งโลหิตกล่าวสาบานทันที


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!…


 



 


สิ้นคำสาบานอัสนีสวรรค์ฟาดผ่าลั่นดัง 9 คำรบ บ่งบอกว่าคำสาบานมีผลบังคับใช้ และองครักษ์เกราะทมิฬผู้นั้นก็ยังอยู่ดี เห็นชัดว่ามันพูดความจริง!


 


“นี่เจ้าทำบ้าอันใดของเจ้า!?”


 


หน้าฟงผิงเปลี่ยนสีไปทันใด ยังมององครักษ์ที่กล่าวคำสบานด้วยแววตาเอาเรื่อง “เจ้าเป็นคนของข้าฟงผิง มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อคำของเจ้า! การที่เจ้ากล่าวสาบานเช่นนี้ยังต่างอันใดจากการตบหน้าข้าอีก!?”


 


“ท่านสือฟูฉางข้า…”


 


องครักษ์เกราะทมิฬเผยสีหน้าสำนึกผิดออกมา


 


“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว เรื่องนี้พวกเรามิได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย ใยต้องกลัวโทษทัณฑ์?”


 


ฟงผิงโบกมือไปมาเป็นอันจบเรื่อง ก่อนที่จะพาทุกคนกลับเข้าไปด้านในทะเลสาบผานหลง


 


ส่วนอีกด้านนั้น ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามหรงหยวนมา ในที่สุดก็บรรลุถึงใจกลางทะเลสาบผานหลง


 


เมื่อมาถึงใจกลางทะเลสาบผานหลง จะพบเกาะมากมาย แต่ละเกาะยังมีหมอกลงต่ำคลุมครอบเอาไว้อย่างแน่นหนา หนาเสียจนบางเกาะกระทั่งแผ่นฟ้ายังมิอาจแลเห็น


 


อย่างไรก็ตามหรงหยวนไม่ได้พาต้วนหลิงเทียนไปยังเกาะใดทั้งสิ้น


 


เมื่อมาถึงจุดหนึ่งหรงหยวนก็พาต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นฟ้าในแนวดิ่ง เห็นดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็พุ่งร่างทะยานขึ้นตามติดไปดั่งจรวด


 


หลังจากเหินร่างทะลุเมฆเบื้องบน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ากลางทะเลเมฆหมอก ปรากฏเกาะมหึมาหนึ่งลอยล่องอยู่กลางหาว!


 


เกาะนี้แม้มิทราบทำอย่างไร หากแต่ลอยล่องเหนือฟ้ากลางหาวอย่างเงียบงัน ทะเลเมฆเบื้องล่างพัดพาไหลเอื่อย บางคราก็หอบไอเมฆหมอกให้พัดฟุ้งตลบไปทั่วเกาะ แลคล้ายวิมานสวรรต์ในเทพนิยายบทหนึ่ง


 


เกาะลอยฟ้านี้ยังกว้างใหญ่กว่าเกาะลอยฟ้าของตำหนักฟ้าลี้ลับหลายเท่าตัว


 


“อาวุโสหรง!”


 


“อาวุโสหรง!”


 



 


ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนพบว่าองครักษ์เกราะทมิฬมากมายที่หลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด ทยอยกันปรากฏตัวออกมากล่าวคำคารวะทักทายชายชราที่เหินร่างนำเขาอยางสุภาพ


 


องครักษ์เกราะทมิฬบางคนก็มองเขาด้วยฉงน ในแววตาเผยความประหลาดใจสงสัยไม่น้อย


 


‘ฐานะของตาแก่นี่ในตำหนักเมฆาคราม ดูเหมือนจะไม่ใช่เล่นๆ’


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ ‘มิน่าล่ะตอนข้าเรียกมันว่าตาแก่ เจ้าพวกนั้นถึงกับมองข้าด้วยสายตาราวกับมองคนตายเชียว…แต่นี่มันคิดจะทำอะไรกันแน่ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้เป็นมันบอกองครักษ์นั่นว่าข้าเป็นคนโกหกชัดๆ แต่ไหงสุดท้ายกลับมาพาข้าไปหาจ้าวตำหนัก?’


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบันเป็นบิดาเขาแน่นอน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่บ้าง


 


“เจ้าคิดว่า…ใต้ฟ้านี้มีกลวิธีปลอมแปลงรูปโฉมโดยที่สำนึกเทวะมิอาจตรวจพบหรือไม่?”


 


ตั้งแต่เหินร่างมาจนถึงเกาะลอยฟ้า หรงหยวนที่เงียบมาตลอดทางอยู่ดีๆก็กล่าวขึ้นมา และยังทำท่าราวกับกล่าวลอยๆไม่ได้หันมองมาทางต้วนหลิงเทียน


 


“ใต้หล้ากว้างใหญ่สุดไพศาล พันหมื่นพิสดารใครเล่าจะรู้ครบ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาลอยๆ ท่าทางไม่สนใจหรงหยวนเช่นกัน


 


หรงหยวนไม่กล่าวอะไรออกอีก มันพาต้วนหลิงเทียนเหินมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็เข้าถึงพื้นที่ใจกลางเกาะลอยฟ้า


 


พื้นที่ส่วนนี้นับว่ามีการลาดตระเวนและป้องกันอย่างเข้มงวดนัก องครักษ์เกราะทมิฬมีให้เห็นไปทั่ว


 


ไม่นานพระราชวังใหญ่โตยิ่งกว่าปราสาทใดๆที่ต้วนหลิงเทียนเคยเห็น ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า


 


พระราชวังหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเกาะลอยฟ้า อาณาบริเวณของมันกว้างขวางโอฬารนัก มองไกลๆคล้ายเป็นอสูรกายดึกดำบรรพ์ขนาดเทียมฟ้าฟุบหมอบ…นั่นคือตำหนักหลักของตำหนักเมฆาคราม!


 


ตอนนี้ตำแหน่งบนเกาะลอยฟ้าที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็คือใจกลางและที่เป็นตำหนักหลักของตำหนักเมฆาคราม!


 


หลังโรยตัวลงไปยังตำหนักใหญ่มหึมา หรงหยวนก็พาต้วนหลิงเทียนผ่านพื้นที่มากมาย ในที่สุดก็บรรลุถึงประตูมหึมาบานหนึ่ง ค่อยประกาศออกเสียงดังด้วยน้ำเสียงยินดี


 


“ท่านจ้าวตำหนัก คนที่ท่านให้ข้าไปนำพา มาถึงแล้ว…”


 


 


ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นแรงขึ้นทันใดหลังได้ยินคำหรงหยวน เขาหันไปมองประตูของโถงหลักเขม็ง


 


ขณะเดียวกันเงี่ยหูเฝ้ารอเสียงตอบรับจากด้านใน


 


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับบิดาไม่เอาไหนของเขามากเท่าไหร่ แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถจดจำเสียงของอีกฝ่ายได้!


 


“เข้ามา!”


 


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงน่าเกรงขามหนึ่งดังขึ้นจากด้านใน


 


ถึงแม้เสียงนี้จะฟังดูน่าเกรงขามเปี่ยมพลัง แต่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินเขาก็บอกได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงบิดาไม่เอาไหนของเขา!


 


ทันใดนั้นใจที่เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นกังวลก็พอได้สงบลง


 


จ้าวตำหนักเมฆาคราม คือบิดาไม่เอาไหนของเขาจริงๆ!


 


ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นบิดาไม่เอาไหนของเขา แต่ก็แค่มั่นใจ ทว่ายังไม่ได้รับการยืนยันข้อเท็จจริง…


 


แอ๊ด….


 


หลังมีเสียงดังขึ้นจากด้านในไม่ทันไร ประตูมหึมา 2 บานของโถงหลักก็ค่อยๆเปิดออกช้าๆ ทุกสิ่งอย่างในโถงหลักเริ่มปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนแลเห็นแทบจะทันที ถึงร่าง 3 ร่างที่ยืนอยู่ในโถงหลัก…


 


ผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบิดาไม่เอาไหนของเขาต้วนหรูเฟิง


 


และตอนนี้ต้วนหรูเฟิงกำลังมองเขาด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม


 


ในอ้อมแขนของต้วนหรูเฟิงยังอุ้มเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนัก แถมเด็กน้อยยังจ้องมองมาที่เขาตาแป๋ว


 


นอกจากนั้นยังมีสตรีอีก 2 นางที่ยืนอยู่ข้างกายต้วนหรูเฟิงทั้งซ้ายขวา


ตอนที่ 1,836 : พร้อมหน้าพร้อมตา


 


เห็นสตรีทั้ง 2 นางที่ยืนอยู่คนละข้างของต้วนหรูเฟิง ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใด ร่างยังสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น!


 


หนึ่งลี่หลัว มารดาของเขา!


 


อีกหนึ่งคือลี่เฟย คู่หมั้นของเขา!


 


สตรีทั้ง 2 นับเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา!


 


“หืม?”


 


อย่างไรก็ตามไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าไม่ว่าจะเป็นมารดาของเขาลี่หลัวหรือคู่หมั้นของเขาอย่างลี่เฟย ต่างมองเขาด้วยสายตาลังเล ไม่ได้มีความยินดีที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งแม้แต่น้อย..


 


‘บ้าจริงข้าลืมไป…ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนหน้าให้กลับเป็นเหมือนเดิม’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพึ่งนึกออกว่าเขายังใช้ใบหน้าปลอมอยู่


 


ด้วยเหตุนี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่มารดาและคู่หมั้นของเขาจะเผยสายตาลังเล


 


ขวับ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่ยืนนิ่งอยู่เมื่อครู่ อยู่ๆก็วูบร่างเคลื่อนกายดั่งสายลมหอบหนึ่งพัดไปหาคนทั้ง 4 ที่ยืนรอกลางโถง


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนวูบร่างมาเจียนถึง ใบหน้าของเขาก็เริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว หวนคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมทันที


 


“ท่านแม่”


 


ต้วนหลิงเทียนที่วูบร่างมาถึงเบื้องหน้าลี่หลัวก็คุกเข่าลงทันใด สีหน้าแววตาเผยความรู้สึกผิดออกมาไม่น้อย


 


ในฐานะที่เป็นบุตรชาย ไม่เพียงแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา กระทั่งยังหายหน้าหายตาไปหลายปี นี่ถือว่าอกตัญญูสร้างความทุกข์ใจให้บุพการีเป็นห่วงแล้ว!


 


แน่นอนว่าความรู้สึกผิดนี้เขาเพียงมีให้แต่ลี่หลัวไม่ใช่กับต้วนหรูเฟิง!


 


นั่นเพราะลี่หลัวเป็นคนลำบากตรากตรำดูแลเขามาคนเดียวตั้งแต่เล็กจนโต เป็นอะไรที่บิดาไม่เอาไหนไม่อาจเปรียบเทียบได้!


 


“เทียนเอ๋อ…เทียนเอ๋อ…เทียนเอ๋อลูกแม่…แม่มิได้ฝันไปใช่ไหม?”


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน ความลังเลในแววตาลี่หลัวก็มลายหายกลายเป็นความตื่นเต้นยินดีถึงที่สุด


 


ขณะเดียวกันนางก็รีบก้มร่างไปพยุงขึ้นมา ก่อนที่จะกอดต้วนหลิงเทียนเอาไว้แนบแน่นไม่ยอมปล่อย


 


ราวกับนางกลัวว่าหากปล่อยมือ บุตรชายของนางจะหายตัวไหนอีก


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใดหยาดน้ำใสๆสองสายพลั่นรั่งรินลงมาเป็นทางรดหน้า เป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี


 


“ท่านแม่…ท่านไม่ได้ฝันหรอก ข้าเอง!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเองก็รื้นขึ้นมา เขาเองก็กอดแม่เอาไว้แน่น ในใจยังรู้สึกสงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


อ้อมกอดของมารดาคล้ายดั่งอ่าวท่าให้หัวใจเขาได้เทียบพัก พบพานความสงบไร้กังวล


 


“ตัวเลวร้าย…”


 


เสียงอันไพเราะเสนาะหูทั้งเป็นน้ำเสียงอันคุ้นเคยหนึ่งดังขึ้น ปลุกสติต้วนหลิงเทียนให้ฟื้นคืน


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้ข้างๆกลับมีร่างอีกร่างยืนอยู่ เป็นคู่หมั้นของเขาเอง ลี่เฟย


 


ถึงแม้ลี่หลัวจะไม่อยากคลายกอดบุตรชาย แต่นางก็รู้ดีว่าควรให้เวลากับคู่รักบ้าง


 


ดังนั้นนางจึงผละออกจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะส่งสายตาให้ต้วนหรูเฟิง หลังจากนั้นค่อยเดินออกจากห้องโถงไปพร้อมต้วนหรูเฟิงและเด็กน้อย


 


เห็นฉากนี้อาวุโสหรงเองก็จากไปด้วยเช่นกัน


 


พริบตาห้องโถงหลักก็คล้ายเป็นโลกของต้วนหลิงเทียนกับลี่เฟยเพียงสองคน


 


ด้านนอกห้องโถงหลัก เด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนต้วนหรูเฟิงพลันมองถามลี่หลัวตาปริบๆ “ท่านย่าๆ…เขาคือท่านพ่อแสนร้ายกาจที่ท่านแม่มักกล่าวบอกข้าใช่หรือไม่?”


 


“ใช่แล้ว! เขาเป็นบิดาของเนี่ยนเอ๋อ! เนี่ยนเอ๋อฟังย่าให้ดี เมื่อท่านพ่อเนี่ยนเอ๋อออกมา เนี่ยนเอ๋อต้องเรียกหาว่าท่านพ่อเข้าใจหรือไม่?”


 


ลี่หลัวเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กน้อยค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


เด็กชายตัวน้อยพยักหน้ารับแข็งขัน “เนี่ยนเอ๋อเชื่อฟังท่านย่า!”


 


“เด็กน้อยนั่น…แม้แต่บิดาเช่นข้าก็ไม่ทักทาย ห่วงแต่จะสนใจคนรักกับมารดา ช่างเป็นบุตรชายที่ใช้การไม่ได้เสียจริง…”


 


ต้วนหรูเฟิงที่คล้ายไม่พอใจกล่าวออกด้วยน้ำเสียงประชด ในน้ำเสียงไม่ขาดกลิ่นน้ำส้มแม้เพียงนิด

(กลิ่นน้ำสม,ไหน้ำส้ม,น้ำสมสายชู = พวกนี้สื่อถึง หึงหวง หรือ น้อยใจ อะไรทำนองนั้น)


 


“มิใช่เพราะท่านพี่หายหน้าหายตาไปนานปีรึไร…หาไม่แล้วเทียนเอ๋อจะทำกับท่านเช่นนี้รึ?”


 


ลี่หลัวกล่าวออกด้วยความขุ่นขึ้ง


 


ต้วนหรูเฟิงพอได้ยินก็หุบปากเงียบทันที เพราะรู้ดีว่ากล่าวต่อก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว


 


และมันเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันผิด เพราะสุดท้ายมันก็เป็นคนที่หายหน้าหายตาไปนานปีกระทั่งข่าวคราวอะไรก็ไม่มีส่งมาบ้างเลยจริงๆ


 


แต่เมื่อครู่มันก็แค่พูดทั้งทำท่าไปอย่างนั้น ไม่ได้ไม่พอใจอะไรจริงๆ


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ทักษะการปลอมแปลงรูปโฉมของนายน้อยจักอัศจรรย์เกินไปแล้ว…ช่างเลิศล้ำนัก!”


 


เมื่อเห็นต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หรงหยวนที่เห็นช่องก็รีบกล่าวออกมาด้วยความทึ่ง ในน้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยความนับถือ


 


“ใช่! กระทั่งสำนึกเทวะของข้ายังไม่อาจตรวจพบความผิดปกติใดๆตอนเทียนเอ๋อแปลงโฉมได้เลย…ไม่รู้ว่าเทียนเอ๋อไปร่ำเรียนสุดยอดทักษะวิชาเช่นนี้มาแต่ที่ใด ช่างน่ามหัศจรรย์นัก!”


 


วาจานี้ของหรงหยวนต้วนหรูเฟิงเห็นด้วยเป็นที่สุด


 


ไม่ว่าจะอะไรยังไง มันก็คือตัวตนที่เป็นดั่งยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ทว่ามันเองก็ไม่เคยพบเคยเจอทักษะปลอมแปลงที่น่ากลัวถึงขั้นนี้ “ดูเหมือนเทียนเอ๋อจะไปพบพานวาสนาอันใดมาจริงๆ…”


 


“อีกทั้งนายน้อยยังเยาว์อยู่แท้ๆ แต่พลังฝึกปรือของนายน้อยกลับบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดแล้ว! ช่างร้ายกาจนัก!!”


 


หรงหยวนถอนหายใจด้วยอารมณ์


 


“อริยะเซียนขั้นสูงสุด?”


 


ทว่าด้านต้วนหรูเฟิงกลับส่ายหน้าไปมาทันทีที่ได้ยินคำนี้ของหรงหยวน ใบหน้ายังกลายเป็นวิตกกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


 


เพราะหากมันจำไม่ผิด…เหลือเวลาอีกแค่ราวๆ 10 เดือนเท่านั้น สัญญาประลองกับเผ่าพันธุ์มังกรก็จะมาถึงแล้ว!


 


ถึงตอนนั้นบุตรชายของมันต้องประมือกับมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ตี้จิ่ว! หากเอาชนะได้ก็จะช่วงชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรมาได้!!


 


ข้อตกลงเหล่านี้เป็นผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวบอกมันมาด้วยตัวเอง


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับเหลือเวลาไม่ถึง 10 เดือนเต็มด้วยซ้ำที่จะประลองกับตี้จิ่ว ทว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนยังมีแค่อริยะเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น!


 


ระดับพลังฝึกปรือนี้ คิดเอาชนะมังกรเทพยาดาสีทองอย่างตี้จิ่ว ในเวลาแค่ไม่ถึง 10 เดือน…เกรงว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลชวนหัวใหญ่แล้ว!


 


เพราะต่อให้ตี้จิ่วจะไม่บังเกิดความก้าวหน้าเลยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยๆมันก็ยังอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด!


 


เหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 เดือน แต่อริยะเซียนขั้นสูงสุด ต้องปะทะกับเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด?


 


ยิ่งไปกว่านั้นจะอย่างไรเวลาก็ผ่านพ้นไปถึง 5 ปี ตี้จิ่วไม่ทราบมีความสำเร็จอันใด กระทั่งอาจจะทะลวงถึงเซียนปฐพีไปแล้วก็เป็นได้…!


 


‘เทียนเอ๋อ…จะมีโอกาสเอาชนะได้หรือ?’


 


หากเป็นก่อนหน้าที่จะได้เจอต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิงยังคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง เพราะเชื่อถือคำทำนายของผู้เฒ่าพยากรณ์


 


แต่ตอนนี้พอได้พบหน้ากับบุตรชายอีกครั้ง และได้พบว่าพลังฝึกปรือของลุกชายยังแค่อริยะเซียนขั้นสูงสุด มันจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นในใจ


 


ในห้องโถงหลักต้วนหลิงเทียนกับลี่เฟยยังคงกอดกันแน่น ไร้วาจาใดกล่าวออก


 


ยามนี้ทั้งสองคล้ายจะหลอมรวมเป็นหนึ่งไม่แบ่งแยกเราท่าน


 


ต้วนหลิงเทียนที่กอดลี่เฟยไว้แน่น อยากให้กาลเวลาหยุดเดินและอ้อมกอดนี้คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์


 


ไร้ห่วงหาไร้กังวล


 


ได้อยู่กับคนที่เขารักด้วยกันจนแก่เฒ่า เคียงคู่กันไปตราบชั่วฟ้าดินมลาย ให้ทะเลกลายเป็นแห้งเหือด หินผุกร่อนพังทลายไม่หายห่าง…


 


แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงความปรารถนาที่ยากจะเป็นจริง…


 


เพราะตอนนี้เขามีเรื่องราวที่ต้องไปกระทำมากมายเหลือเกิน


 


ด้านลี่เฟยที่กอดต้วนหลิงเทียนอยู่นั้นก็มีความคิดเช่นเดียวกัน


 


นางอยากกอดชายคนรักไว้แน่นๆอย่างเงียบงันตราบนานเท่านาน อื่นใดไร้สำคัญดั่งหมองควัน


 


สุดท้ายหลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ต้วนหลิงเทียนก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน “เสี่ยวเฟยเอ๋อ…เด็กชายตัวน้อยที่ท่านพ่ออุ้มอยู่เป็นลูกของพวกเราหรือ?”


 


“อื๊อ”


 


ลี่เฟยพยักหน้ากล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “เขาเป็นบุตรชายของพวกเรา เรียกว่า เนี่ยนเทียน”


 


“เนี่ยนเทียน?”


 


เมื่อได้ยินนามของบุตรชายต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนหัวใจบีบรัดคัดตรึง ขณะเดียวกันวงแขนที่กอดลี่เฟยไว้ ก็กระชับแน่นขึ้น


 


เขาย่อมล่วงรู้ความหมายชื่อบุตรชายตัวเองได้เป็นธรรมดา


 


“หากน้องหญิงเค่อเอ๋อกับลูกในท้องปลอดภัย ข้าเชื่อว่าลูกของนางก็ต้องโตเท่าเนี่ยนเอ๋อ…แต่ข้ามิรู้ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย…”


 


เสียงของลี่เฟยสั่นเล็กน้อยยามกล่าวถึงเค่อเอ๋อ นางเห็นเค่อเอ๋อเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆมานานแล้ว


 


“ทั้งคู่จะต้องปลอดภัย…ต้องไม่เป็นไรแน่!”


 


สองตาหลิงเทียนทอประกายจ้า กล่าวออกด้วยความมั่นใจอย่างถึงที่สุด


 


เขาไม่ต้องการ ทั้งไม่อนุญาตให้คู่หมั้นกับลูกน้อยของเขาเป็นอะไรไปแน่!


 


คราวนี้เมื่อได้มาถึงตำหนักเมฆาครามและได้พร้อมหน้าพร้อมตัวกับครอบครัวแล้ว เท่ากับความปรารถนาในใจของเขาก็สมหวังไปเรื่องหนึ่ง…


 


ต่อไปก็ได้เวลาไปตามหาเค่อเอ๋อกับลูกของเขาแล้ว


 


หลังจากที่กอดกับลี่เฟยไปได้อีกสักพัก ลี่เฟยก็ผละออกจากต้วนหลิงเทียนออกเบาๆ “ตัวเลวร้ายไม่ใช่ตอนนี้เจ้าควรไปทักทายท่านพ่อหน่อยหรือ? ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่พอใจเรื่องที่ท่านพ่อหายตัวไปและทิ้งเจ้ากับท่านแม่ไว้ลำพังนานปี…อย่างไรก็ตามท่านยังเป็นบิดาของเจ้า! อีกทั้งไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ท่านพ่อดูแลเนี่ยนเอ๋อดียิ่ง ความรักที่ท่านพ่อมอบให้เนี่ยนเอ๋อขนาดข้าที่เป็นมารดายังรู้สึกละอาย…”


 


“ข้ารู้ดี…ว่าท่านพ่อคิดชดเชยให้เจ้า พยายามทุ่มเทความรักความเอาใจใส่ที่ไม่อาจมอบให้เจ้าได้ในตอนนั้นให้แก่เนี่ยนเอ๋อ”


 


ลี่เฟยกล่าวออกเบาๆ


 


นางเองก็เป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียว เรื่องนี้นางทำได้เพียงแนะนำบุรุษของนางเท่านั้น ไม่อาจตัดสินใจแทนเขาได้


 


“ข้ารู้”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าก่อนที่จะเดินจูงมือลี่เฟยออกจากห้องโถงหลัก


 


“ท่านพ่อ หลายปีมานี้เสี่ยวเฟยเอ๋อกับลูกข้าลำบากท่านแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองต้วนหรูเฟิงค่อยกล่าว


 


“เทียนเอ๋ออย่างไรเสียข้าก็เป็นบิดาของเจ้า เรื่องของเจ้ายังนับว่าลำบากอันใดข้าที่ไหนกัน…นอกจากนี้เสี่ยวเฟยเอ๋อก็เป็นสะใภ้ข้า เนี่ยนเอ๋อก็เป็นหลานชายของข้า ข้าดูแลทั้งคู่ก็สมควรแล้ว!”


 


ต้วนหรูเฟิงส่ายหัวไปมา


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าท่านพ่อกลับเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาครามได้…”


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกยากคิดคาดมาโดยตลอด


 


“เรื่องนี้…กล่าวไปก็มีเหตุพิสดารอยู่บ้าง หากเจ้าอยากรู้ข้าจะเล่าให้ฟังทีหลัง…และจะว่าไปแล้วการที่ข้าได้เป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามจนสามารถอยู่ดีมีสุขได้อย่างทุกวันนี้ คนที่ข้าต้องกล่าวขอบคุณที่สุดก็คือเจ้า…”


 


ต้วนหรูเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง กล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ข้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้ง และไม่เข้าใจว่าบิดาของตัวกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เรื่องนี้มันมาเกี่ยวกับเขายังไงกัน?


 


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ไว้ข้าจะค่อยๆเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง”


 


ต้วนหรูเฟิงส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะมองไปยังเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขน ยิ้มกล่าว “เนี่ยนเอ๋อ ตอนนี้เจ้าต้องกล่าวอันใดแล้วนะ ลืมที่ท่านย่าบอกแล้วหรือไม่?”


 


ต้วนเนี่ยนเทียนนั้นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตากลมโตมาสักพักแล้ว เด็กน้อยไม่ได้แลดูตื่นคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย ยังมองจดๆจ้องๆต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าค่อยกล่าวออกมาในที่สุด “ท่านคือท่านพ่อของเนี่ยนเอ๋อเหรอ ท่านพ่อที่ร้ายกาจมากๆที่ท่านแม่บอก”


 


ท่านพ่อที่ร้ายกาจมากๆ?


 


ได้ยินคำของต้วนเนี่ยนเทียน ต้วนหลิงเทียนพลันหัวเราะออกมาดังร่า


 


ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือไปขว้าต้วนเนี่ยนเทียนจากต้วนหรูเฟิงมาอุ้มไว้ในอ้อมกอดด้วยมือเดียวค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว! ข้าคือพ่อที่ร้ายกาจมากๆของเจ้าเอง! เจ้าเรียกว่าเนี่ยนเอ๋อหรือ?”


 


“ข้าเปล่าชื่อเนี่ยนเอ๋อนะ เนี่ยนเอ๋อเป็นชื่อเล่นของข้า ข้าเรียกว่าต้วนเนี่ยนเทียน!”


 


ต้วนเนี่ยนเทียนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทาขึงขัง ชูมือกล่าวประกาศนามตัวเองออกมาอย่างแข็งขัน


 


เห็นท่าทีขึงขังของลูกน้อย ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนุกสนาน ในใจท่วมท้นไปด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกยินดีที่ยากอธิบายนัก


 


‘ข้าต้วนหลิงเทียนมีลูกชายแล้ว!’


 


จากนี้ต่อไป…บนโลกนี้มีอีกหนึ่งชีวิตที่เขาต้องปกป้องด้วยชีวิต…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)