War sovereign Soaring The Heavens 1825-1832

 ตอนที่ 1,825 : ฆ่า!


 


“หลิงเทียน!”


 


จ้าวตงที่เป็นผู้มีพลังฝีมือสูงสุดของศิษย์สกุลจ้าวที่ไล่ตามต้วนหลิงเทียนออกมา มันย่อมติดตามมาถึงต้วนหลิงเทียนเร็วกว่าใคร…


 


ตั้งแต่ที่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็เห็น ‘หาง’ ของหนูสกปรกที่ลอบติดตามเขาโผล่มาเป็นพรวน…


 


แน่นอนว่าหากเขาใช้ความเร็วสูงสุดหนูสกปรกพวกนี้ไหนเลยตามเขาทัน!


 


แต่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดทำแบบนั้น


 


ในเมื่อเขารู้ดีว่าพวกมันมาทำอะไร…


 


อยากฆ่าเขา!


 


เช่นนั้นเขาก็จะให้พวกมันได้มีโอกาสเติมเต็มความปรารถนา!


 


ดังนั้นหลังออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเขาก็จงใจชะลอความเร็วให้พวกมันไล่ทัน


 


ตัวตนที่มีด่านพลังฝึกปรือตั้งแต่ขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปของสกุลจ้าวนั้น กู่ลี่จัดการสกัดขวางให้เขาแล้ว เขาจึงไม่ได้กลัวอะไรผู้ที่ติดตามมาเลย


 


“หืม? ข้าจำเจ้าได้…เจ้าคือจ้าวตง อันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ…แต่ไม่ใช่ว่าวันก่อนเจ้าพึ่งถูกพี่กู่สั่งสอนบทเรียนไปไม่ใช่หรือ นี่ยังพึ่งผ่านไปไม่กี่วันเจ้าลืมแล้ว? สมองเจ้ามีปัญหารึยังไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนจำจ้าวเติงที่หยุดขวางทางได้แทบจะทันที


 


ไม่กี่วันที่แล้ว ตอนที่กู่ลี่มาหาเขา หนึ่งในคนที่มาด้อมๆมองๆรอบบ้านเขาก็มีจ้าวตงรวมอยู่ด้วย และกู่ลี่ก็จัดการลากคอมันออกมา


 


หลังจากนั้นเป็นเขาที่คร้านเอาเรื่องราวอะไร กู่ลี่เลยไม่ได้จัดการพวกมันหนักมือ


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ผ่านไปไม่ทันไร จ้าวตงผู้นี้กลับหาญกล้ามาเสนอหน้าหยุดเขาอีก คล้ายเลอะเลือนหลงลืมบทเรียนวันก่อน!


 


“หลิงเทียนถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังปากดีอยู่ได้…อย่าได้ลืมไป ว่าวันนี้ข้างกายเจ้ามิมีกู่ลี่!!”


 


เผชิญกับวาจาเสียดสีของต้วนหลิงเทียน จ้าวตงมีโมโหนัก เพราะมันจดจำได้ดีว่ากู่ลี่เล่นงานมันยังไง


 


“อ้อ..เจ้าคิดว่าพอพี่กู่ไม่อยู่กับข้า จะทำอะไรกับข้าก็ทำได้?”


 


ยิ่งมาใบหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งเผยความเย้ยเยาะ ในแววตายังเผยความดูแคลนเบื่อหน่ายประการหนึ่ง


 


“หาที่ตาย!!”


 


เผชิญหน้ากับการท้าทายดูถูกของต้วนหลิงเทียน จ้าวตงไม่อาจทนได้ไหวสืบไป มันคำรามออกมาดังสนั่น ปราณทั่วร่างปะทุออกปานจุดระเบิด ร่างพุ่งวูบมาปานเส้นสายอัสนีจี้ตรงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด


 


ปง! ปง! ปง!


 



 


ความเร็วของจ้าวตงนับว่าดั่งฟ้าฟาด พาลให้เสียงแตกระเบิดของอากาศดังสนั่นไม่หยุด ยังบังเกิดวงคลื่นกำจายระเบิดออกไปในความว่างตามรายทาง


 


วงคลื่นอากาศระเบิดออกเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดสายลมกรรโชกอันรุนแรง


 


คลื่นพลังยังแผ่กวาดออกไปพร้อมลมกรรโชกดังกล่าว พาลให้ศิษย์สกุลจ้าวที่พึ่งเร่งรุดติดตามมาถึง ถูกพัดจนเสื้อกระพือสะบัดดังผับๆ


 


“แย่แล้ว! จ้าวตงกำลังจะลงมือสำเร็จ!!”


 


“รีบไป มีส่วนร่วมในการฆ่าหลิงเทียนให้ได้! ขอเพียงพวกเราสามารถมีส่วนร่วมในการฆ่ามันได้ คราวนี้พวกเราก็จักได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของผู้พิทักษ์จ้าว! ฐานะทัดเทียมกับท่านรองจ้าวตำหนักจ้าวเติง!!”


 


“ฆ่า!!”


 


……


 


เมื่อเห็นจ้าวตงกำลังจะลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียน ศิษย์สกุลจ้าวที่พึ่งตามมาถึงก็แตกตื่นยกใหญ่ เพราะหากจ้าวตงฆ่าหลิงเทียนไปคนเดียว โดยพวกมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จบสิ้นกัน!!


 


เช่นนั้นพวกมันจึงเร่งกันกรูไปดั่งฝูงผึ้ง หวาดกลัวชักช้าจะไม่ได้ลงมืออะไร…คราวนี้กระทั่งน้ำแกงสักถ้วยยังไม่มีเหลือให้ดื่ม!!


 


แน่นอนว่ายังมีศิษย์สกุลจ้าวบางส่วนที่ติดตามมาอยู่ด้านหลัง เพราะความเร็วสู้คนอื่นเขาไม่ได้


 


คนเหล่านี้ล้วนมีพลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…แม้จะดูเหมือนมาหาที่ตาย แต่พวกมันกลับคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่! คนตั้งเยอะแยะเกิดเก็บตกอันใดได้ไม่ใช่คุ้มค่าหรือ!?


 


ทว่าก่อนที่พวกมันจะทันได้เคลื่อนร่างตามมาถึงจนได้ลงมืออะไรอย่างใครเขา พวกมันก็จำต้องหยุดร่างลงทันใด เพราะยามมองไปยังเรื่องราวเบื้องหน้า ขาของพวกมันคล้ายถูกตะกั่วหนักๆลากถ่วง ยากจะขยับเขยื้อนได้อีก…!!


 


“พวกแมลงเม่า!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างไม่ไกล กล่าวออกมาอย่างไร้แยแส


 


สิ้นคำ ทั่วร่างพลันปรากฏปราณสุริยันแรกกำเนิดปะทุออกท่วมกาย ปราณพลังยังเปล่งแสงจ้าดั่งตะวันร้อน พริบตาก็แผ่ออกมาควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองนับร้อยเล่มพุ่งทะยานออกไปทุกทาง!!


 


การลงมืออย่างไร้เรื่องราวนี้ นอกจากจ้าวตงที่สามารถหลบหนีมาได้อย่างฉิวเฉียดแล้ว เหล่าศิษย์สกุลจ้าวที่กรูกันเข้ามาก่อนหน้าที่แม้จะมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ…ก็ไม่แม้แต่จะตอบสนองใดได้ทัน! ทั่วร่างถูกกระบี่พลังสีทองเสียบทะลวงจนปุพรุนไม่ต่างรังผึ้ง…!!


 


‘ระ…ระยำ! มันทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดแล้ว!?’


 


ถึงแม้จะหนีรอดความตายมาได้แล้ว แต่จ้าวตงก็ตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวไม่หาย หน้าเปลี่ยนสีไปทันที!


 


ในฐานะที่มันเองก็เป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุดคนหนึ่ง มันย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่าปราณแรกกำเนิดที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกนั้น มีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่ามัน…อริยะเซียนขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน!!


 


แต่แม้จะเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน แต่การปะทุใช้ออกพลังของอีกฝ่ายกลับรวดเร็วสุดที่มันจะเทียบได้ ไหนจะยังการควบคุมพลังนั่น!


 


กระบี่พลังนับร้อยนั่น…เห็นชัดว่าแม้คล้ายจะบินวนสะเปะสะปะ แต่กลับแฝงหลักค่ายกลเสริมประสานทรงอานุภาพ!


 


อย่างน้อยๆวรยุทธ์เซียนที่ร้ายกาจที่สุดของมันก็เทียบชั้นไม่ได้เลย!


 


ตอนนี้จ้าวตงตระหนักได้กระจ่างชัดในใจ แม้หลิงเทียนจะเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุดดุจเดียวกับมัน แต่พลังฝีมือของมันห่างไกลเกินกว่าจะเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายหลายขุม!!


 


ความแข็งแกร่งนี้ของหลิงเทียน น่ากลัวว่าต่อให้เป็นสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง..ก็สู้ไม่ได้!!


 


“นี่มัน…”


 


ห่างออกไปไกลๆ เหล่าศิษย์สกุลจ้าวที่หยุดร่างลงแต่แรก รู้สึกเสมือนรอดพ้นความตาย


 


พวกมันนับว่าโชคดีนัก!


 


โชคดีที่ยังทะลวงไม่ถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


หาไม่แล้วคงพุ่งไปตายเหมือนพวกก่อนหน้า!


 


ตุบ! ตุบ! ตุบ!


 


……


 


เมื่อร่างไร้วิญญาณที่พรุนเป็นรังผึ้งของสกุลจ้าวร่วงหล่นจากฟ้าสูงไปกระแทกพื้นจนกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือน เหล่าสกุลจ้าวที่ยังรอดอยู่ก็กลับมารู้สึกตัวทันที คราวนี้พอมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียน แววตาเผยความหวาดกลัวเสียขวัญให้เห็นชัด


 


กระทั่งจ้าวตงก็ไม่เว้น!


 


ตอนนี้จ้าวตงกลายเป็นเรียบๆร้อยๆไม่กล้าหืออือเหมือนก่อนหน้า หมดมาดหยิ่งผยองถือดีที่เคยมี!


 


แม้ต่างมีพลังขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุดทั้งคู่ แต่การลงมือของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้มันไม่เหลือความคิดต่อสู้อีกต่อไป…


 


ให้มันเป็นสุดยอดฝีมืออริยะเซียนขั้นสูงสุด มันก็ไม่กล้าสู้!.


 


อริยะเซียนขั้นสูงสุดกล่าวไปก็เสมือนแยกย่อยเป็น 3 6 9 และต้วนหลิงเทียนก็คือ 3 ส่วนมันเป็นได้แค่ 9! เทียบอีกฝ่ายไม่ได้เลย!!


 


“จ้าวตง ไม่ใช่เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้าหาที่ตายรึไง? ไหงนิ่งไปไม่ลงมือแล้วล่ะ?”


 


เสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นอีกครั้ง สองตามองจ้าวตงอย่างสนุกสนาน พาลให้ทุกคนแทบหยุดหายใจ


 


จ้าวตงที่ตระหนักถึงวาจายะโสก่อนหน้า อยากจะขุดหลุมแล้วเอาหน้ามุดนัก หูยังแดงขึ้นมาด้วยความอับอาย รู้ซึ้งแล้วว่าการกระทำก่อนหน้าช่างโง่เขลาปานใด ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะระเบิดพลังสังหารน่ากลัวขนาดนี้ได้!


 


เมื่อเห็นจ้าวตงเงียบไป แววตาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเย็นลง สุดท้ายก็กลายเป็นเฉยเมย จิตสังหารหนึ่งค่อยๆปรากฏ…เบื่อจะเล่นกับพวกมันแล้ว…


 


สัมผัสได้ถึงจิตสังหารในแววตาต้วนหลิงเทียน จ้าวตงร้อนรนจนหน้าถอดสี เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกทันที “ใต้เท้าหลิงเทียน เป็นข้ามีตาแต่หามีแววไม่ ไท่ซานตั้งอยู่ตรงหน้าแต่มิอาจแลเห็นความยิ่งใหญ่…ปล่อยข้าไปสักครั้งเถอะ แล้วข้าจะไม่มาให้ท่านเห็นอีกแล้ว! ข้าสัญญา!!”


 


เมื่อกล่าวออกไปแล้วแต่จิตสังหารในแววตาต้วนหลิงเทียนยังไม่จางหายไป จ้าวตงที่ขวัญหนีดีฝ่อเร่งคุกเข่าลงกลางอากาศ ยกมือขึ้นมากอบกุมเขย่าๆ คล้ายกำลังอธิษฐานขอพรด้วยท่างทางตื่นกลัว “ได้โปรดเถอะ ใต้เท้าหลิงเทียน ขอท่านละเว้นข้าสักครั้ง วาจาก่อนหน้าของข้าเป็นเพียงผายลมเหม็นคลุ้ง! ผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านอย่าได้ยึดถือสนใจอันใดเลย…”


 


เมื่อเห็นว่าตอนนี้จ้าวตงแสดงอาการน่าสมเพชขนาดไหน กระทั่งศิษย์สกุลจ้าวที่มาด้วยก็อดไม่ได้ที่จะเผยความดูถูกหยามหยัน


 


แน่นอนว่าในกลุ่มนั้นก็มีคนที่เข้าใจการกระทำนี้ของจ้าวตง พวกมันรู้สึกว่าไม่ผิดแปลกอะไร เพื่อให้มีชีวิตรอดพวกมันกระทำได้ทั้งสิ้น


 


“เหอะ!”


 


เห็นจ้าวตงคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนกลายเป็นตัวน่าสมเพช แววตาต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความรังเกียจขยะแขยง


 


ยกมือขึ้นตามอำเถอใจ ปรากฏกระบี่พลังสีทองเล่มหนึ่งพุ่งแหวกฟ้าไปฉับไว รี่เข้าหาจ้าวตงด้วยความเร็วน่าสะพรึง!


 


จ้าวตงแม้จะคุกเข่าร้องขอชีวิต แต่มันก็เตรียมตัวรับมือความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนลงมือ มันก็ตระหนักได้ เร่งปะทุพลังชั่วชีวิตดีดร่างขึ้นมาจากท่าคุกเข่า ผนึกพลังหมายต้านรับเต็มกำลัง


 


อนิจจาจ้าวตงที่พึ่งทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นสูงสุดได้ไม่ทันไร ยังไม่อาจปรับตัวจนควบคุมปราณแรกกำเนิดได้คล่องด้วยซ้ำ ยังจะเอาอะไรไปป้องกันการลงมือของหลิงเทียน!?


 


กระบี่พลังสีทองส่องสว่างปานตะวันกลางฟ้าตัดผ่าอากาศฉับไวไร้สำเนียง เสียบทะลุร่างจ้าวตงเข้ากลางใจ! ม่านพลังป้องกันที่เร่งเร้าจากปราณชั่วชีวิตสุดท้ายไม่ต่างใบไม้แห้งกรอบ ไม่อาจป้องกันต้านทานได้สักกะผีกเดียว…


 


“เจ้า…”


 


ร่างจ้าวตงสะท้านไปอย่างแรง คนก้มลงมองเห็นเพียงหลุมโลหิตหนึ่งตำแหน่งหัวใจ หยาดโลหิตพุ่งปรี๊ดๆออกมาดั่งน้ำพุ มันพยายามยกมือขึ้นชี้ไปที่ต้วนหลิงเทียน หน้าซีดปากสั่นหมายกล่าววาจาใดสักอย่าง…อนิจจาร่างไร้หัวใจไหนเลยอยู่ได้นาน สุดท้ายก็ร่วงตกจากฟ้าไปปานหุ่นกระบอกไร้ด้าย


 


ตาย!


 


ถึงแม้ตัวตนที่บรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุดอย่างจ้าวตงจะตกตายไป หากแต่ไร้ศิษย์สกุลจ้าวที่มีลมหายใจหลบหนี เพราะพวกมันไม่มีใครอยากเป็นวิหกตัวแรก…


 


นกที่โผบินออกไปตัวแรก ย่อมตกเป็นเป้าเกาทัณฑ์…


 


ไม่มีใครโง่จนไม่เข้าใจความเป็นจริงดังกล่าว…จังหวะนี้เรียกว่าใครเด่นสะดุดตาขึ้นมา ตายก่อนแน่นอน!!


 


พวกมันต่างหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดหวั่น ชมดูอีกฝ่ายเก็บสินสงครามจากร่างไร้วิญญาณต่างๆอย่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง…ทว่าสุดท้ายหลิงเทียนที่ไม่ต่างจากยมบาลในสายตาพวกมัน ก็เพียงหันมามองด้วยสายตาเฉยเมยก่อนจะเหินร่างจากไปทั้งอย่างนั้น…


 


“มัน…ไปแล้ว ไปง่ายๆเช่นนี้เลย?”


 


เห็นแผ่นหลังหลิงเทียนที่ค่อยๆหายลับไปจากสายตา ร่างศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกด้วยความหวั่นใจ แผ่นหลังยังเปียกชุ่มปานตกสระ!


 


“หรือเจ้าหวังให้มันอยู่และฆ่าพวกเราทิ้ง?”


 


ศิษย์สกุลจ้าวอีกคนกล่าวเสียดสี


 


“โชคดีนักที่พลังฝึกปรือของพวกเราอ่อนด้อยกว่าพวกนั้น หากมาไวกว่านี้น่ากลัวคงได้ตายกลายเป็นผีโง่งมเยี่ยงสุนัขข้างถนน…”


 


ศิษย์สกุลจ้าวอีกคนกล่าวออกขณะมองไปยังร่างเลอะเลือนบนพื้นด้านล่าง…


 


ได้ยินคำนี้ของมัน ทุกคนที่ยังหวาดกลัวไม่หายต่างพยักหน้าเห็นด้วย


 


“ทั้งหมดนี่ฝีมือหลิงเทียนงั้นเหรอ?”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น พาลให้ศิษย์สกุลจ้าวที่รอดตายถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ


 


ตอนแรกพวกมันก็คิดว่าหลิงเทียนย้อนกลับมาฆ่าพวกมันเสียแล้ว หน้าเบี้ยวไปคล้ายสิ้นหวังใกล้ตาย แต่พอหันกลับมา ต่างก็พบว่าเป็นน้องเล็กของพวกมันนั่นเอง


 


“ข้าถามพวกเจ้าอยู่ หูหนวกรึไง?”


 


สีหน้าจ้าวจี้มืดดำลงทันใด เมื่อถามไปแล้วไม่มีใครตอบคำ


 


มันพึ่งมาถึงก็พบเจอศพเกลื่อนพื้น


 


สำหรับมันแล้วศพบนพื้นนั้นล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่คุ้นตาของมันทั้งสิ้น…เพราะทั้งหมดคือคนของสกุลจ้าว!


 


“ใช่ เป็นมันลงมือ!”


 


“หลิงเทียนนั่นมันสัตว์ประหลาด! เพียงแค่ 2 ปีกลับกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุดแล้ว!!”


 


……


 


เหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวกล่าวออกมาทีละคนๆ ฟังจากน้ำเสียงแต่ละคนยังหวาดกลัวเสียขวัญไม่หาย


ตอนที่ 1,826 : เจ้ามีปัญญา?


 


“อริยะเซียนขั้นสูงสุด?”


 


ลูกตาจ้าวจี้หดเล็กลงทันใดหลังได้ยินคำของศิษย์สกุลจ้าว แม้จะตกใจไปไม่น้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโลงใจ ‘โชคดีนักที่ข้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์แล้ว…ไม่งั้นวันนี้คงยากจะฆ่าหลิงเทียนได้!’


 


ซัวว!


 


ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของศิษย์สกุลจ้าว ร่างจ้าวจี้พลันอันตรธานหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตา!


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้หายตัวไปจริงๆ เพียงแค่ความเร็วของมันสูงเกินกว่าสายตาทั้งหมดจะมองทัน เลยเสมือนหายวับไปในอากาศว่างเปล่า…


 


“ความเร็วของศิษย์น้องเล็ก…”


 


จังหวะนี้ศิษย์สกุลจ้าวได้แต่หันหน้ามองกันด้วยความตื่นตระหนก ต่างแลเห็นถึงความเหลือเชื่อในสายตากันและกัน


 


ถึงแม้พวกมันจะโชคดีรอดมาได้เพราะเชื่องช้า แต่อย่างไรก็เป็นถึงอริยะเซียนขั้นกลาง!


 


แต่แม้จะเป็นแค่อริยะเซียนขั้นกลาง ทว่าต่อให้อริยะเซียนขั้นสูงสุดใช้ความเร็วเต็มที่ พวกมันก็ยังพอมองเห็น…ไม่มีทางหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตาพวกมันได้แบบนี้!


 


มีเพียงตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไปเท่านั้น ที่จะหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกมันราวภูตผี!


 


แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง…ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูง!


 


ในบรรดายันต์เต๋าเทพเคลื่อน ขอเพียงมีระดับสูงหน่อยก็สามารถบรรลุความเร็วระดับนี้ได้ คิดวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาอริยะเซียนขั้นกลางก็ไม่ใช่เรื่องยาก


 


“ข้ารู้มานานแล้วว่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเติงกับผู้พิทักษ์ประคบประหงมเอาใจศิษย์น้องเล็กนัก มาวันนี้ข้าได้เห็นกับตาถึงได้เข้าใจว่ามากมายเพียงใด! นั่นสมควรเป็นยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูงที่ผู้พิทักษ์มอบให้ศิษย์น้องเล็กติดตัวไว้เป็นแน่! เฮ่อ…ศิษย์น้องกลับเอามาใช้เล่นเช่นนี้…”


 


“ใช้ยันต์เต๋าระดับสูงเล่นอย่างไม่เสียดายแบบนี้ ช่างร่ำรวยยิ่ง!”


 


“เปรียบเทียบไปก็อิจฉาตายเปล่าๆ บางคนเกิดมาก็คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีทุกสิ่งให้หยิบสอยใช้งาน…ส่วนพวกเราก็ลำบากลำบนเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้อันใดสักอย่าง…เฮ่อ ไถ่ถามโลกหล้าใช่ข้าไร้วาสนาหรือฟ้าล้ำเอียง?”


 



 


เหล่าศิษย์สกุลจ้าว ไม่มีใครคิดสักคนว่าจ้าวจี้จะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์…


 


นั่นเพราะศิษย์สกุลจ้าวทุกคนล้วนรู้ ก้นบึ้ง ของจ้าวจี้ดี…


 


ถึงแม้พรสวรรค์ของจ้าวจี้จะดี แต่ตอนนี้เต็มที่ก็เป็นได้แค่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น…นับประสาอะไรกับเซียนมนุษย์! เอาแค่อริยะเซียนพวกมันยังไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ!!


 


เพราะจากสามัญสำนึกของพวกมัน เรื่องพวกนั้นเป็นไปไม่ได้เลย!


 


หากจ้าวจี้ไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน เรื่องราวก็คงเป็นไปตามสามัญสำนึกของศิษย์สกุลจ้าวว่าไว้…


 


น่าเสียดายที่จ้าวจี้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หลังจากสังเวยสตรีไปมากมาย ดูดกลืนพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตมาเต็มคราบ พลังฝึกปรือของมันจึงบรรลุถึงเซียนมนุษย์แล้ว…


 


ไกลออกไปเบื้องหน้า ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเร่งรุดเดินทางด้วยความเร็วสูง


 


คราวนี้เขาไม่คิดระงับปราณสุริยันแรกกำเนิดอะไร ใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุดทันที


 


ด้วยความเร็วที่ทัดเทียมกับยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุด ทำให้ร่างต้วนหลิงเทียนไม่ต่างใดจากกระสุนปืนใหญ่ คนพุ่งทะลวงแหวกฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ หมู่เมฆถึงกับปั่นป่วน สายลมอ่อนโยนกลายเป็นดุร้าย กวาดซัดออกไปทุกแห่งหนอย่างเกรี้ยวกราด!


 


มองจากเบื้องล่าง ด้านบนยังคล้ายมีถนนขาวเส้นหนึ่ง ตัดผ่านท้องฟ้าดิ่งลงใต้


 


ตำหนักเมฆาครามอยู่ทางทิศใต้…


 


‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ข้าเกิดความสงสารจนละเว้นคนที่คิดฆ่าข้าแบบนี้?’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


 


หากเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะรอให้ศิษย์สกุลจ้าวที่มีด่านพลังอริยะเซียนขั้นกลางเข้ามาใกล้ๆก่อน ค่อยลงมือฆ่าทีเดียว


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นศิษย์สกุลจ้าวเหล่านั้นล้าหลังมาไม่ทัน และอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญก็ทิ้งห่างมากแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดในใจบังเกิดความสงสารคนล้าหลังขึ้นมาวูบหนึ่ง เลือกที่จะฆ่าเพียงผู้ที่บุกเข้ามาใกล้มือทั้งหมดอย่างเดียว…


 


ส่วนศิษย์สกุลจ้าวที่บรรลุอริยะเซียนขั้นกลางเหล่านั้น เขาเพียงมองปรามด้วยสายตา และไม่ได้ลงมือฆ่าพวกมัน


 


หากเป็นก่อนหน้าใครคิดร้ายกับเขา คงฆ่าไม่มีละเว้นไปแล้ว


 


‘สงสัยเพราะข้ากำลังอารมณ์ดีที่จะได้เจอหน้าท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง เลยเกิดสงสารพวกมันขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…’


 


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็หาเหตุผลมาอธิบายได้


 


ซุ่มม!


 


ทันใดนั้นเสียงแหวกฝ่าสายลมด้วยความเร็วสูงหนึ่ง พลันแว่วดังขึ้นจากด้านหลังต้วนหลิงเทียน ทั้งยังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ…แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะเขาทะลวงเปิดจุดชีพจรฟ้าที่หูจนครบคงยากจะได้ยิน!


 


“เร็วจริงๆ!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ปราณสุริยันเต็มกำลังเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดถึงกับขมวดคิ้วทันที เมื่อได้ยินเสียงแหวกฟ้าใกล้เข้ามาทุกขณะ


 


ต้องทราบด้วยว่าอาศัยความเร็วที่เขาใช้ออกตอนนี้ เกรงว่าอริยะเซียนขั้นสูงสุดทั้งหลายก็คงยากจะตามติดได้ทัน…ทว่าอีกฝ่ายกลับไล่ตามกระชั้นเข้ามาได้นั้น…นั่นหมายความว่ามันมีความเร็วเหนือกว่าเขา!


 


‘ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์งั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนเดาได้ทันที มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีความเร็วดังกล่าว


 


‘ไม่ใช่พี่กู่จัดการวางกำลังสกัดพวกที่บรรลุเซียนมนุษย์ขึ้นไปแล้วหรือไง…ไฉนถึงมีปลาเล็ดรอดร่างแหมาได้?’


 


ต้วนหลิงเทียนแม้ชักสีหน้าขึงขังแต่ไม่ได้หวาดกลัวแตกตื่นอะไร


 


เพราะเขาพบว่าแม้ความเร็วของผู้ไล่ตามจะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็ไม่ได้เหนือล้ำเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้


 


‘จากเสียงแหวกอากาศ หากข้าเดาไม่ผิด…คนที่ตามมาน่าจะพึ่งทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ความสงบก็หวนคืนสู่ใบหน้าเขาอีกครั้ง


 


หากไม่มี ‘กระบี่นิลสวรรค์’ เขาอาจจะกริ่งเกรงเซียนมนุษย์ขั้นต้นอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตาม หากเขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ล่ะก็ คิดฆ่าเซียนมนุษย์ขั้นต้นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้น!


 


แน่นอนว่าเพราะความต่างชั้นระหว่างขอบเขตอริยะเซียนกับเซียนมนุษย์ก็ทวีความห่างชั้นไปอีกขีดขั้น ทำให้เขาจำต้องจ่ายออกด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดถึง 5 ส่วน จึงจะสามารถสังหารเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้…


 


‘แม้ฟังจากเสียงแล้วมันจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากที่ตามมาเป็นเซียนมนุษย์ขั้นต้น 3 คน คงเป็นปัญหาแน่…หืม? นี่มัน ปราณมาร?’


 


คนที่ไล่ตามยิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่ต้วนหลิงเทียนยิ่งสัมผัสพลังที่ไล่หลังเขามาได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น


 


ตอนนี้เองตราผนึกมารในแหวนพื้นที่เขาก็สั่นไหวขึ้นมา กอปรกับกลิ่นอายพลังที่เขาสัมผัสได้ก็ทำให้เขารู้บางอย่างชัดเจน…


 


ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ที่ไล่หลังเขามา…เป็นผู้ฝึกมาร!


 


พอยืนยันได้ว่าผู้ที่ไล่ตามเขาเป็นผู้ฝึกมาร มุมปากต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นอย่างสนุกสนาน…


 


หากอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกมาร เขาจำต้องจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงกระบี่นิลสวรรค์ถึง 5 ส่วน เพื่อให้กระบี่สำแดงพลังสังหาร!


 


ทว่าพอยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกมาร เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์แล้ว…


 


ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างเขาตอนนี้ มันมีพลังอำนาจททัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นสูงสุด นั่นหมายความว่าหากเขาใช้ตราผนึกมาร ก็สามารถฆ่าผู้ฝึกมารที่ขอบเขตพลังต่ำกว่าเซียนปฐพีได้ทุกคน!


 


‘ไหนให้ข้าดูทีเถอะ ว่าผู้ฝึกมารดวงกุดคนนี้เป็นใคร…’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ไหว ถึงกับต้องหยุดร่างลงกลางหาวก่อนที่จะหันกลับมามองย้อนกลับไป ตั้งหน้าตั้งตารอคนที่กำลังไล่ตามเขามา…


 


ห่างออกไปไกลสุดสายตา ปรากฏร่างหนึ่งอันมีปราณมารห่อหุ้มกำลังพุ่งตัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงปานดาวตก


 


ความเร็วดังกล่าวกระทั่งต้วนหลิงเทียนยังมองเห็นเป็นภาพเลือนราง


 


ม่านตาพิสดาร!


 


หลังจากที่ดวงเนตรสำแดงอานุภาพ ร่างผู้คนที่เหินตามหลังเขามาก็กลายเป็นชัดเจนมากขึ้น!


 


ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งค้างไปทันใด


 


“ฮ่าๆๆๆ! หลิงเทียน! ดูเหมือนเจ้ารู้ตัวแล้วสินะว่ามิอาจหนีข้าได้พ้น!!”


 


เสียงหัวเราะกล่าวด้วยไร้แยแสหนึ่งดังข้ามฟ้ามาแต่ไกล สุดท้ายก็มาหยุดร่างลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน!


 


“ที่แท้เป็นเจ้า!”


 


เหตุผลที่ร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งค้างไปนั้น ไม่ใช่อะไรอื่น แต่ยอดฝีมือเซียนมนุษย์ขั้นต้นผู้นี้ที่แท้กลับเป็น ‘คนกันเอง’


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าคนที่ไล่เขามาจะเป็นคนๆนี้ไปได้!


 


จ้าวจี้!!


 


หลานชายจ้าวจิน 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ บุตรชายคนเดียวของจ้าวเติง รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จ้าวจี้คนนี้สมควรยังเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น…


 


ทว่าหลังจากนั้นไม่ทันครบ 2 ปีดี อีกฝ่ายกลับทะลวงด่านพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางมาจนถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้น! ความก้าวหน้าช่างอัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนี้!!


 


ความเร็วในการก้าวหน้าของมัน กระทั่งเขาเองก็ไม่ทราบว่ามันไปฝึกฝนบ่มเพาะมาอีกท่าไหน นับว่าทำให้ตกใจไม่น้อยแล้วจริงๆ!


 


“ฮ่าๆๆๆ! หลิงเทียน…เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าจะเป็นข้า!?”


 


เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆของต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้ก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรตกตะลึงพรึงเพริด ใจมันเต็มไปด้วยความสุขความยินดีนัก!


 


‘ยังไม่ทันถึง 2 ปี แท้ๆ แต่พลังฝึกปรือของมันกลับทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้…ดูเหมือนมันจะบังเอิญไปพบวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมางั้นสินะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออก สีหน้าอึ้งๆด้วยความประหลาดใจเริ่มหายไป กลายเป็นความสงบเฉยเมย


 


“หลิงเทียนหนอหลิงเทียน…ข้าจ้าวจี้เฝ้ารอวันนี้มานานแล้ว! ทุกอย่างที่เจ้าทำกับข้าไว้ วันนี้ข้าจ้าวจี้จะให้เจ้าชดใช้ทั้งต้นทั้งดอก!!”


 


ลูกตาจ้าวจี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน วาจาท้ายประโยคยังอำมหิตดุร้ายคล้ายเจียนคุ้มคลั่ง!


 


วันยังจดจำได้ไม่มีวันลืม วันนั้นที่ยอดเขาวังนภา ต้วนหลิงเทียนตบหน้ามันซ้ายทีขวาทีต่อหน้าผู้คนมากมาย ให้มันอับอายขายหน้าอย่างที่เกิดมาไม่เคยเจอมาก่อน


 


และมันยังจดจำได้ดี ว่าโดนอีกฝ่ายฆ่าอย่างไรในแดนลับเซียน…มันยังใช้เวลาไปไม่ถึง 3 วันด้วยซ้ำกลับต้องถูกขับออกมาเป็นคนแรก! ยังกลายเป็นทุบทำลายสถิติครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์…เพียงแค่เป็นสถิติแสนอุบาทว์ที่ไม่อยากจดจำ!


 


ตอนนี้ความเคียดแค้นโกรธเกี้ยวชิงชัง คล้ายจะปะทุขึ้นมาจุกอยู่ในอกของจ้าวจี้ เสมือนภูเขาไฟเจียนระเบิดปะทุเต็มที!


 


“อ้อ ทบต้นทบดอกเลยหรือ?”


 


เผชิญหน้ากับจ้าวจี้ที่กลายเป็นดุร้ายอำมหิต ต้วนหลิงเทียนยังนิ่งไม่เปลี่ยน “ว่าแต่เจ้าจะให้ข้าชดใช้ยังไง?”


 


“ชดใช้ที่ว่าย่อมให้เจ้าตายเป็นธรรมดา! อย่างไรเสียเจ้าสามารถมั่นใจได้เลยว่าข้าจักมิปล่อยให้เจ้าตกตายโดยง่าย! ข้าจะค่อยๆทรมานเจ้าอย่างช้าๆ เชือดเนื้อเถือหนังเจ้าทีละชิ้นๆให้ครบหมื่นชิ้น! เฝ้ามองเลือดของเจ้าไหลออกไปจนหมดหยดสุดท้าย แล้วค่อยปล่อยให้เจ้าตาย!!”


 


ลูกตาจ้าวจี้แดงฉาน เปี่ยมลนไปด้วยความดุร้ายบ้าคลั่ง


 


“อ้อ จะให้ข้าตายนี่เอง…แต่เจ้าอย่าพึ่งหาว่าข้าดูถูกหรืออะไรเลยนะ เจ้ามีปัญญาทำแบบนั้นด้วยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มเย้ยออกมา สายตายังมองถามแบบเหยียดๆ


 


เขาไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่ทำกับจ้าวจี้แบบนั้น หากจ้าวจี้มันไม่โอหังวางท่าหาเรื่องสหายของเขาก่อนแล้วเขาจะลดตัวไปยุ่งกับมันแต่แรกทำไม?


 


มีคนในตำหนักฟ้าลี้ลับมากมาย หากต้วนหลิงเทียนอยากทุบตีทำร้ายผู้คนเล่นอย่างไร้เหตุผลจริงๆ ไฉนต้องจำเพาะเจาะจงกับจ้าวจี้?


 


เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยเสียใจสักครั้งกับเรื่องผ่านมา


 


“หลิงเทียน…เจ้ายังปากดีเหมือนเช่นเคย! ปัญญาข้าย่อมมีเพราะยามนี้ข้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว! มิผิดเซียนมนุษย์ขั้นต้น! คราวนี้เจ้าคิดว่าหากข้าคิดจะฆ่าอริยะเซียนขั้นสูงสุดเช่นเจ้าสักคน…ข้ายังมีปัญญาหรือไม่เล่า?”


 


จ้าวจี้กล่าวเย้ยหยันออกมาเสียงเหี้ยม ขณะเดียวกันทั่วร่างของมันก็ปรากฏปราณมารพวยพุ่งออกมาดั่งเพลิงไฟสีรัตติกาล ลุกโชนท่วมร่างเร่าๆในอากาศ ยิ่งมาไอพลังยังยิ่งหนาแน่นมากขึ้น!


ตอนที่ 1,827 : ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย!


 


“ไม่ถึง 2 ปีจากผู้ฝึกตนเซียนขัดเกลาขั้นกลาง มาเป็นผู้ฝึกมารเซียนมนุษย์ขั้นต้น…จ้าวจี้ นี่เจ้าคงไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินหรอกนะ?”


 


ในใจต้วนหลิงเทียนมีประกายความคิดหนึ่งวูบขึ้น จึงมองเย้ยจ้าวจี้ค่อยกล่าวถามชิมลางออกไป


 


ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ปราณมารที่กำลังลุกโชนดั่งเพลิงไฟทั่วร่างจ้าวจี้พลันหยุดกึก คนนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลิกคิดปิดบังอะไรสืบไป เพียงตอบอย่างตรงไปตรงมา “แล้วถ้าหากข้าบ่มเพาะมันเล่า เจ้าจะทำไม?”


 


“อะไร? เจ้ากลับฝึกมันจริงๆ!”


 


พอได้ยินวาจายอมรับของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ ต้องทราบด้วยว่าเขาเพียงกล่าวถามสุ่มๆไปเท่านั้น!


 


เพราะสุดท้ายแล้วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากว้างใหญ่สุดไพศาล ความอัศจรรย์มีร้อยแปดพันเก้า เป็นธรรมดาหากจ้าวจี้พบเจอวาสนาใดอื่น


 


ทว่าจ้าวจี้กล่าวยอมรับมาแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่แท้มันฝึกเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ!


 


“จะอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย ข้าบอกเจ้าไปก็มิเห็นจะเป็นอะไร! จ้าววังจูลู่ฉี กับฉีจิ้ง ล้วนถูกข้าคนนี้ปั่นหัว! สุดท้ายจ้าววังจูก็อดใจไม่ไหว ลักพาตัวฉีจิ้งเพื่อเคล็ดมารตามแผนของข้า…และไม่เพียงแต่จ้าววังจูจะได้เคล็ดมารสมใจ ข้าก็ได้ด้วย!!”


 


ในสายตาของจ้าวจี้ วันนี้ต้วนหลิงเทียนไม่มีโอกาสรอดชีวิตไปไหนได้


 


เช่นนั้นมันจึงกล้ากล่าวโพล่งออกมาอย่างไม่แยแส เพราะอย่างไรเสียคนตายก็ไม่อาจพูด…


 


“ที่แท้กลับมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ด้วย…”


 


พอต้วนหลิงเทียนได้ฟังคำจ้าวจี้ เขาก็ตระหนักถึงเรื่องราวสมคบคิดได้ไม่ยาก “ถ้างั้นเหตุวุ่นวายและอาชญากรรมทางพื้นที่ตะวันตก สตรีทั้งหลายที่ตกตายกลายเป็นซากแห้ง ก็ไม่ใช่ผลงานของจ้าววังจูคนเดียวงั้นสินะ…”


 


“ถูกแล้ว! สตรีโง่งมเหล่านั้นล้วนถูกข้าจ้าวจี้ผู้นี้ถล่มและดูดพลังจนแห้งตาย…อย่างไรก็ตามข้าจ้าวจี้ไม่ปัญญาอ่อนเหมือนจ้าววังจูที่ไม่คิดแตะต้องสตรีบริสุทธิ์ทั้งอ่อนวัย! ข้าจ้าวจี้ไม่ว่าจะเด็กน้อย สตรีมีครรภ์ กระทั่งหญิงชราไม่มีละเว้น! โดยเฉพาะพวกดรุณีน้อยไม่เดียงสาเหล่านั้น…ยามพวกนางร้องขอชีวิตตอนข้าถล่มช่างอภิรมย์นัก! สุดท้ายด้วยพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของพวกนาง ข้าถึงได้ทะลวงผ่านมายังเซียนมนุษย์ได้ในเวลาอันสั้น!!”


 


กล่าวถึงจุดนี้จ้าวจี้ยังแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเผยยิ้มวิปริต แววตายังเผยความหิวกระหายคล้ายอยากก่อการอันใดอีก


 


“เดียรัจฉาน!!”


 


ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความดุร้ายเอาเรื่องขึ้นมาทันใด “เจ้าฝึกมารกลืนหยินแบบนี้ ไม่กลัวเป็นศัตรูของสาธารณะชนหรือไร?”


 


“ฮ่าๆๆๆ! ศัตรูของผู้คนคือจูลู่ฉี! ส่วนข้า…ในสายตาคนอื่นๆก็แค่คนที่โชคดีได้รับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ จากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์!!”


 


จ้าวจี้แย้มยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ!


 


“แล้วนี่เจ้าไม่กลัวข้ากระจายข่าวเรื่องนี้ออกไปรึไง?”


 


ประกายเย็นเยือกหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในลูกตาต้วนหลิงเทียน กล่าวถามออกไปเสียงเรียบ


 


“กระจายออกไป? ฮ่าๆๆ! คิดทำเช่นนั้น วันนี้เจ้าต้องรอดไปให้ได้ก่อน!”


 


จ้าวจี้หัวเราะเย้ยเยาะด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “หลิงเทียนหนอหลิงเทียน…ศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้าน่ากลัวจริงๆ หากเจ้าสามารถเติบโตได้อย่างไร้เรื่องราว วันหน้าเจ้าไม่พ้นต้องกลายเป็นตัวตนทรงอำนาจ ที่สามารถย่ำเหยียบไปได้ทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า! น่าเสียดายที่เจ้าไม่รู้ว่าโลกนี้สิ่งที่ไม่ควรที่สุดคือเป็นศัตรูกับข้า จ้าวจี้…เป็นเจ้าทำลายตัวเองแท้ๆ!!”


 


จ้าวจี้จ้อคำออกมาน้ำไหลไฟดับ จากวาจาคล้ายมันฟันธงไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ


 


“อ่า อยากให้ข้าตายก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถพอรึเปล่า…”


 


เห็นจ้าวจี้กล่าวออกมาอย่างมาดมั่น ลูกตาต้วนหลิงเทียนเรืองสว่างขึ้นมาวูบหนึ่ง กล่าวท้าทายออกไปเสียงเย็น


 


“ไม่ต้องห่วงไป! แต่ข้าไม่รีบร้อนฆ่าเจ้านักหรอก…ข้าจะให้เจ้าค่อยๆตายอย่างช้าๆ!!”


 


น้ำเสียงจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งอำมหิตเย็นเยือก ปราณมารยังแผ่พุ่งออกมาจากร่างมากขึ้นทุกขณะ


 


ไม่ทันไรกลิ่นอายพลังของจ้าวจี้ก็แทบจะถมบรรยากาศ อาณาบริเวณคล้ายจะมืดดำลงทันใดเพราะปราณมารของมัน เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนปรากฏร่างแลดูเสมือนดั่งเทพปีศาจจุติลงมายังโลกหล้าอะไรทำนองนั้น


 


บึมมม!!


 


หนึ่งหมัดชกออก สภาวะประหนึ่งขุนเขาถล่มทลาย หมัดพลังโถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด


 


แม้หมัดนี้ของจ้าวจี้จะคล้ายชกออกอย่างไร้เรื่องราว หากแต่กลับนำพาความกดดันอันใหญ่หลวงมาสู่ต้วนหลิงเทียน!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 



 


ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวนับไม่ถ้วนดังขึ้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพสีทองนับร้อยพัน โคจรหมุนเวียนวนรอบกายความเร็วสูง ก่อเกิดม่านพลังดั่งระฆังอันเขื่องคลุมครอบ เป็นระฆังกระบี่คลุมกาย!


 


หากแต่คราวนี้ไม่คล้ายคลุมครอบคว่ำลง ทว่ากลับหันด้านแหลมของหัวระฆังไปทางหมัดจ้าวจี้ หัวระฆังดังกล่าวยังมีพลังกระบี่ขุมหนึ่งผนึกไว้แกร่งกล้า หมายทะลวงสู้หมัดพลังจ้าวจี้ให้รู้กันไป!


 


“เฮอะ! ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!!”


 


จ้าวจี้เห็นดังนั้นก็แค่นคำสบถดูแคลนออกคำหนึ่งค่อยเร่งเร้าปราณมารอีกระลอก สภาวะหมัดคล้ายปะทุพลังกล้าแกร่งอีกขั้น พุ่งชกทำลายปลายระฆังอันมีพลังกระบี่ร้ายกาจของต้วนหลิงเทียนไปได้อย่างง่ายดาย! อีกทั้งหมัดยังไม่สิ้นสภาวะ พุ่งจี้เข้ามาสืบต่อ หมายป่นร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลก!!


 


“ร้ายกาจจริง!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่อาจหาญหยั่งวัดพลัง เมื่อได้สัมผัสเข้ากับพลังอำนาจของเซียนมนุษย์อย่างชัดแจ้งจึงรู้ซึ้งถึงใจ ทราบดีว่าพลังระดับนี้ไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาตอนนี้จะเอาชนะได้ง่ายๆ!


 


อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อาจเอาชนะจ้าวจี้ได้หากไม่ใช่กระบี่นิลสวรรค์ หรือตราผนึกมาร!


 


ฟุ่บ!


 


ด้วยเหตุนี้หลังปะทะหยั่งเชิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะหลบหมัดของจ้าวจี้…


 


อนิจจาแม้ต้วนหลิงเทียนจะเร็วหากแต่หมัดของจ้าวจี้กลับเร็วกว่า!


 


ปงงง!!


 


ถึงกำปั้นจ้าวจี้จะไม่ได้ชกทำลายไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนโดยตรง แต่มันก็ปะทะเข้ากับระฆังกระบี่คลุมกายอย่างจัง!


 


ชั่วพริบตาระฆังกระบี่ก็ถูกบดขยี้จนแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจต้านทานรับไหว!


 


เมื่อระฆังกระบี่คลุมกายถูกทำลาย ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมได้รับผลกระทบจากพลังตีกลับและพลังหมัดปะทุ หากแต่คนเลือกปล่อยตัวให้พลังสะท้อนทั้งคลื่นกระแทกดังกล่าวซัดร่างปลิดปลิวกระเด็นออกไปโดยง่าย ไม่คิดแข็งขืนต้านทานดั่งกิ่งหลิวลู่ลม


 


ร่างต้วนหลิงเทียนปลิวละลิ่วไปดั่งว่าวสายป่านขาดกว่า 100 หมี่ค่อยหยุดลง ตอนนี้เรียกว่าเลือดลมในกายปั่นป่วนไปราวมีใต้ฝุ่นก่อเกิดภายใน หากแต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นกระอักโลหิตอะไรออกมา…


 


นั่นเพราะเขามีร่างกายอันแข็งแกร่ง หากเป็นผู้ฝึกตนเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคนอื่น น่ากลัวว่าคงได้ตัวแตกระเบิดตายตกเพราะพลังสะท้อนจากหมัดจ้าวจี้ไปแล้ว…


 


“หือ!?”


 


จ้าวจี้เองก็ประหลาดใจไปไม่น้อยเมื่อเห็นว่า ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


ต้องทราบด้วยว่าแม้หมัดมันจะไม่ได้ชกถูกร่างกายต้วนหลิงเทียนตรงๆ แต่พลังปะทุจากหมัดของมันที่ซัดกระแทกใส่ร่างต้วนหลิงเทียนไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย!


 


ต้วนหลิงเทียนสมควรตัวแตกตาย หรือไม่อย่างน้อยๆก็ต้องบาดเจ็บสาหัส!


 


ทว่าเท่าที่เห็น…หมัดของมันเพียงทำให้ต้วนหลิงเทียนบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น!


 


“เช่นนี้ก็ดี…ข้าจักได้มีเวลาละเล่นกับเจ้าให้นานๆ!!”


 


จ้าวจี้แสยะยิ้มออกมา แววตาสนุกสนานไม่น้อยเห็นได้ชัดว่ามันยังมั่นใจในชัยชนะของตัว


 


“หลิงเทียน เจ้ามีดีเพียงเท่านี้หรือ? ช่างน่าผิดหวังนัก!”


 


ขณะเดียวกันจ้าวจี้ก็ไม่ลืมเย้ยเยาะต้วนหลิงเทียนด้วยวาจา สายตาของมันเต็มไปด้วยความถือดีหยิ่งผยองนัก


 


“จ้าวจี้…”


 


เผชิญหน้ากับการเย้ยเยาะท้าทายของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนที่ลมหายใจยังสงบไม่เปลี่ยน กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าจริงใจเปิดเผยกล่าวบอกความจริงทั้งหมดให้ข้ารู้ ข้าเองก็คิดว่าสมควรจริงใจเปิดเผยเช่นกัน เพราะข้ามีเรื่องปิดบังเจ้าไว้มากมายเหลือเกิน…”


 


กล่าวจบคำ ภายใต้กสายตามองมาด้วยความฉงนของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดมือเรียกป้ายศิลาแผ่นหนึ่งมาถือเอาไว้


 


ป้ายศิลานี้แลดูเก่าแก่โบราณ แถมมีมุมหนึ่งแหว่งหายไป แถมบนตัวป้ายยังมีอักขระโบราณจารึกไว้มากมายราวแผ่นศิลาจารึกประวัติศาสตร์…


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอักขระเหล่านั้นมันมีความหมายอะไรกันแน่ เพราะแลดูยึกยือพิลึกพิลั่นไม่คล้ายตัวอักษรที่ใช้ในแดนดิน


 


และตอนนี้ป้ายศิลาดังกล่าวก็เริ่มสั่นไหวไปไม่หยุด คล้ายพยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือของต้วนหลิงเทียน


 


“นั่นมันอะไร…”


 


จ้าวจี้เองก็ไม่ทราบว่าทำไม แต่พอเห็นป้ายศิลาประหลาดที่ต้วนหลิงเทียนหยิบออกมา ในใจบังเกิดความรู้สึกสังหรณ์ประหลาด!


 


ความรู้สึกดังกล่าวทำให้มันอึดอัดนัก แต่มันก็พยายามสงวนท่าทีไม่เผยให้ต้วนหลิงเทียนเห็น


 


อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาความสนใจของจ้าวจี้ก็ถูกเรื่องอื่นดึงไป


 


เพราะมันเห็นใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มขยุกขยุย ก่อนที่จะค่อยๆแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นใบหน้าหล่อเหลาเอาเรื่อง!


 


ไฉนใบหน้านี้มันแลดูคุ้นๆนัก?


 


พอเห็นหน้าต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้เองก็ไม่รู้ว่าทำไมมันรู้สึกแบบนั้น


 


คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก…


 


“แล้วก็…จริงๆแล้วหลิงเทียนเป็นแค่ชื่อของข้า…และข้าก็ไม่ได้แซ่หลิง แต่ข้าแซ่ต้วน”


 


จากนั้นคำพูดของหลิงเทียนก็ดังเข้าหูจ้าวจี้อีกครั้ง


 


หลิงเทียนเป็นเพียงแค่ชื่อ?


 


ไม่ได้แซ่หลิง? แต่ทว่าแซ่ต้วน?


 


“เจ้าจะบอกข้าว่า…”


 


จ้าวจี้อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว หากแต่ก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบคำ ก็คล้ายมันนึกอะไรได้ออก ลูกตาของมันหดเล็กลงทันใด ใบหน้ายังเผยความแตกตื่นออกมา “ต้วน…หลิงเทียน? ต้วนหลิงเทียน…นั่นมิใช่ผู้ที่ครอบครอง ตราผนึกมาร ในข่าวลือหรือไร?”


 


“ข้าจำได้แล้ว!!”


 


คราวนี้มองหน้าต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง จ้าวจี้ก็จดจำใบหน้านี้ได้ เพราะใบหน้าปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน เหมือนกับรูปวาดที่แพร่ออกมาก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน…และรูปวาดนั่นก็คือใบหน้าของผู้ครอบครองตราผนึกมาร ต้วนหลิงเทียน!


 


“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ!?”


 


สุดท้ายแววตาจ้าวจี้ยามมองต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างใดจากคนกำลังเห็นผี!


 


และก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำถามอะไร สายตามันก็เบนไปตกยังป้ายศิลาประหลาดมุมแหว่งในมือต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นในใจจ้าวจี้บังเกิดความคิดน่ากลัวประการหนึ่ง!


 


‘หากมันคือต้วนหลิงเทียนจริง…เช่นนั้นป้ายหินประหลาดนั่น ก็คือดาวข่มของผู้ฝึกมารทั่วหล้า…ตราผนึกมาร!!’


 


1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ตราผนึกมาร! ผู้ใดก็ตามที่ถือครองมัน สามารถสยบปราบผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่า 1 ขอบเขตได้อย่างง่ายดาย


 


“มันเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุด…เช่นนั้นหมายความว่าหากมันใช้ตราผนึกมารก็สามารถจัดการผู้ฝึกมารใต้เซียนปฐพีทั้งมวลได้ง่ายๆ!”


 


นึกถึงเรื่องนี้ ลูกตาจ้าวจี้ก็เผยความหวาดผวาเสียขวัญออกมาทันที ใจยังแทบกระดอนออกนอกอกด้วยความหวาดกลัว!


 


หากแต่มันยังอดคิดไปไม่ได้ว่ายามนี้ฟ้ากำลังเล่นตลกกับชีวิตมันอยู่!


 


มันฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินจนในที่สุดก็ทะลวงผ่านมาถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้สำเร็จ พลังฝึกปรือก้าวข้ามหลิงเทียนที่มันเคียดแค้นเข้ากระดูกดำ!


 


ทว่าตอนนี้มันกำลังจะล้างแค้นได้แล้วแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับหยิบควักยอดศาสตราเซียนในตำนานอย่างตราผนึกมารออกมาเสียอย่างนั้น!


 


“ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้…หรือหลิงเทียนผู้นี้ ถูกฟ้าส่งมาสะกดข่มข้าโดยเฉพาะ?”


 


ใจจ้าวจี้เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมทั้งน้อยใจ ความรู้สึกของมันดั่งคำ ‘ฟ้าส่งจิวยี่มาเกิด ไฉนส่งขงเบ้งมาเกิดด้วย’ ไม่มีผิด…


 


หลังจากเห็นสายตาของจ้าวจี้หันมามองตราผนึกมารในมือ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นหวาดผวา ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าจ้าวจี้คงรู้แล้วว่าของในมือเขาคือ ตราผนึกมาร กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านึกออกแล้ว?”


 


“ทำไมตอนนี้เจ้าเงียบไปแล้วล่ะ? ไม่ใช่เจ้าบอกไว้ก่อนหน้าหรือว่าจะค่อยๆทรมานข้าให้ตายอย่างช้าๆ…แล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะเชือดเนื้อเถือหนังข้าหมื่นชิ้นรึไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยเยาะถามไป


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเปิดเผยตัวตนพร้อมหยิบชักตราผนึกมารออกมา สถานการณ์เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปดั่งพลิกฟ้าคว่ำดินกันเลยทีเดียว!


 


จ้าวจี้ที่เคยได้เปรียบตอนนี้หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ถูกชกจนบาดเจ็บเล็กน้อยเมื่อครู่ ตอนนี้เป็นคนคุมสถานการณ์ไว้หมดสิ้น


ตอนที่ 1,828 : คนที่อยู่เหนือความคาดหมาย…


 


“ไม่! เป็นไปไม่ได้!!”


 


“ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้! หลิงเทียนมันจักเป็นต้วนหลิงเทียนคนนั้นได้อย่างไร!?”


 


……


 


จ้าวจี้ยากจะทำใจรับความเป็นจริงเรื่องนี้!


 


นั่นเพราะหากหลิงเทียนเบื้องหน้าคือต้วนหลิงเทียนคนนั้นจริง เช่นนั้นีท่อีกฝ่ายหยิบออกมาก็คือตราผนึกมาร 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ดาวข่มของผู้ฝึกมารทั่วหล้า!


 


และด้วยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนที่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนแล้ว นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายสามารถฆ่าได้กระทั่งผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด!


 


ตัวมันเป็นแค่เซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…


 


จังหวะนี้จ้าวจี้อยากให้มันกำลังถูกหลอก อยากให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำลวงขู่ข่มของหลิงเทียน และในมือนั่นมันไม่ใช่ตราผนึกมารในตำนานแต่เป็นป้ายศิลาโง่ๆอันใดสักอย่าง..


 


“มันจบแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจ้าวจี้ด้วยสายตาเฉยเมย คร้านจะกล่าววาจาอะไรกับมันสืบไป


 


วู้ม!


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนสะบัดมือคราหนึ่ง ปราณสุริยันแรกกำเนิดหลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ตราผนึกมาร


 


ครู่ต่อมาตราผนึกมารก็สั่นระรัวอย่างแรง


 


ไอพลังดั่งม่านหมอกสีดำเริ่มแผ่ซ่านออกมาปกคลุมไปทั่ว


 


สุดท้ายยังปรากฏอัสนีสีดำแล่นวาบแปลบปลาบ แลดูทรงพลังอำนาจนัก!


 


เมื่อกลิ่นอายพลังของมันเริ่มกำจายออกมา ตอนนี้ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกมารก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นเกรงไอพลังลี้ลับน่ากลัวดังกล่าวจนตัวสั่น!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจ่ายพลังลงสู่ตราผนึกมารจนตัวป้ายศิลามุมแหว่งเปล่งพลังอำนาจลี้ลับน่ากลัว ร่างจ้าวจี้ก็ถึงกับสะท้านไปทันใด! เพราะมันสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายพลังร้ายกาจขุมหนึ่งเพ่งเล็งจดจ่อมาที่มัน!!


 


ต่อหน้ากลิ่นอายพลังนี้ มันไม่อาจแข็งขืนต้านทานอันใดได้เลย!


 


นอกจากนี้ภายใต้การเพ่งเล็งของกลิ่นอายพลังลี้ลับดังกล่าว จ้าวจี้ตระหนักได้ทันใดว่าปราณมารทั่วกายคล้ายกลับกลายเป็นแสงไฟอิดโรยของตะเกียงที่น้ำมันเจียนหมด! ถึงกับต้องโคจรเร่งเร้าขึ้นมาประคองสภาวะยกใหญ่!!


 


“ไม่…!!”


 


จ้าวจี้หวาดกลัวจับขั้วหัวใจแล้วจริงๆ!


 


จังหวะนี้มันมั่นใจได้เต็มสิบส่วน ว่าป้ายศิลาน่ามุมแหว่งในมือต้วนหลิงเทียนนั่น…คือตราผนึกมารในตำนานไม่ผิดแน่!


 


หากไม่ใช่ตราผนึกมารไหนเลยมีพลังอำนาจครอบงำมันขนาดนี้


 


และตัวตนที่แท้จริงของหลิงเทียนก็คือ ต้วนหลิงเทียนจริงๆ!


 


“ต้วนหลิงเทียนข้าผิดไปแล้ว! ทั้งหมดข้าผิดไปแล้ว!! ข้าไม่ควรหยิ่งยะโสถือดี! ไม่ควรใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกผู้อื่น เจ้าตีข้าก็สมควรแล้ว ตบหน้าข้าเช่นนั้นล้วนสมควรแล้ว! นอกจากนั้นเรื่องที่เจ้าเตะข้าออกจากแดนลับเซียน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะข้ามันอ่อนด้อยเอง!!”


 


“วันนี้ขอเพียงเจ้าเมตตาละเว้นชีวิตข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้า ข้าจะลืมเรื่องราวบาดหมางทั้งหมดระหว่างเราให้หมดสิ้น! ไม่คิดแค้นตอแยอันใดเจ้าอีก! ข้าจะสาบาน! ข้าจะกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าตอนนี้เลย!!”


 


“ปล่อยข้าไปเถอะ…ข้าขอร้องเจ้าแล้ว!!”


 


ต่อหน้าตราผนึกมารในมือต้วนหลิงเทียนที่สามารถทำลายมันได้ตลอดเวลา จ้าวจี้ได้แต่คุกเข่าลงทั้งวิงวอนร้องขอความเมตตา ไม่สนหน้าตาศักดิ์ศรีอะไรสืบไป!


 


เพราะหากมันไม่อ้อนวอนร้องขอ ต้วนหลิงเทียนเพียงเขวี้ยงตราผนึกมารนั่นมา มันตายอนาถแน่!!


 


เผชิญหน้ากับความตายที่กล้ำกรายเข้ามา จ้าวจี้ที่ให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด ไม่หลงเหลือความคิดอื่นไหนนอกจาก ต้องรอด! สิ่งอื่นใดนั้นไม่สำคัญกับมันอีกต่อไป!!


 


ตอนนี้ต่อให้จ้าวจี้ถูกต้วนหลิงเทียนสั่งให้ไปฆ่าบิดาและปู่มันเสีย มันก็ยินดีกระทำไม่อิดออด!!


 


ภายใต้พลังอำนาจของตราผนึกมาร เคล็ดวิชารวมวิญญาณที่มันฝึกฝนมาก็กลายเป็นไร้ประโยชน์!


 


เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมของตราผนึกมาร วิญญาณของผู้ฝึกมารจะถูกดูดไปสะกดทำลายในตราผนึกมาร!!


 


อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับการร้องขอชีวิตของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้กล่าววาจาใดสักคำ ยังเขวี้ยงตราผนึกมารในมือออกมาอย่างไร้แยแส


 


บูมมม!!


 


ทันทีที่ตราผนึกมารหลุดออกจากมือ มันก็ระเบิดพลังน่ากลัวจนมวลอากาศแตกระเบิดออกไปเป็นวง ก่อนที่จะพุ่งทะยานออกไปปานกระสุนปืนใหญ่ คลื่นลมแรงม้วนตลบซัดกวาดออกไปทั่วทิศ!


 


ปงงงงง!!


 


เสียงสนั่นปานอัสนีผ่าลั่นดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า ตราผนึกมารแหวกอากาศฉับไว พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าจ้าวจี้!!


 


‘ไม่!!’


 


ต่อหน้าตราผนึกมาร จ้าวจี้ทำได้แค่ร่ำร้องในใจอย่างสิ้นหวังเท่านั้น


 


ด้านต้วนหลิงเทียนหลังเขวี้ยงตราผนึกมารออกไปแล้ว ก็ชมมองเรื่องราวด้วยสายตาดูแคลน


 


ในสายตาของเขาคิดฆ่าจ้าวจี้ที่เป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว เขาลำบากเพียงจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดเพียงเล็กน้อยลงตราผนึกมารเท่านั้น


 


และจ้าวจี้นั่น มันต้องตายแน่นอน!


 


ซู่มมม!!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อตราผนึกมารอยู่ห่างจากจ้าวจี้ไม่กี่ก้าว พลันมีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากฟากฟ้า


 


และพร้อมกันกับเสียงที่ดังขึ้นมานี้ กลิ่นอายพลังอันสุดไพศาลหนึ่งก็ตลบคลุ้งไปในบรรยากาศ เป็นกลิ่นอายพลังจากปราณมารเสียด้วย!


 


“ใคร!?”


 


ได้ยินเสียงดังสนั่นจากฟ้า ทั้งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันน่ากลัว ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าเรียกกระบี่นิลสวรรค์ออกมาถือเอาไว้ทันที หน้าเงยขึ้นฟ้า สองตาจับจ้องมองไปอย่างระวัง!


 


เสียงดังสนั่นเมื่อครู่เกิดจากการระเบิดของพลัง และมันมาจากทิศทางนั้น!


 


คลื่นพลังดังกล่าวไม่เพียงแต่ทรงพลัง หากแต่ปริมาณปราณมารที่แผ่ออกยังเหนือล้ำยิ่งกว่าจ้าวจี้เสียอีก บ่งบอกให้รู้ว่าผู้มาคือผู้ฝึกมารอันทรงพลัง!!


 


วู้ม!!


 


ห่างออกไปเล็กน้อย ตราผนึกมารที่ตอนนี้พุ่งไปจนอยู่ห่างจากร่างจ้าวจี้ไม่กี่สิบก้าว อยู่ๆ ก็หยุดลงคล้ายมันสังเกตเห็นบางสิ่ง ป้ายศิลาลอยคว้างท่ามกลางอากาศว่างเปล่าหน้าจ้าวจี้ อย่างแน่นิน่งไร้พลังสภาวะอันใด


 


อย่างไรก็ตามหลังจากหยุดลงไปครู่หนึ่ง มันก็ไม่ได้เปลี่นเป้าหมายอะไร ยังคงเพ่งเล็งไปที่จ้าวจี้ และเริ่มพุ่งเข้าใส่จ้าวจี้เหมือนเดิม


 


และในชั่วพริบตาที่ตราผนึกมารเริ่มพุ่งเข้าใสจ้าวจี้นั้นเอง พลันมีร่างบางหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาของต้วนหลิงเทียนรวดเร็วดั่งฟ้าผ่า!


 


ร่างดังกล่าวยังพุ่งจี้ลงมากหาเขาด้วยความเร็วสูงล้ำ เปี่ยมล้นไปด้วยเจตนาคุกคามอย่างเห็นได้ชัด


 


“เป็นนาง!!”


 


ร่างบางที่อยู่ๆก็โผล่มาปรากฏตัวในสายตาของต้วนหลิงเทียนนั้น เมื่อเข้ามาใกล้…รูปร่างหน้าตาของนางก็เผยให้ต้วนหลิงเทียนเห็นชัดเจน!


 


และต้วนหลิงเทียนก็คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าจะมาเจอนางที่นี่ได้!


 


ถึงแม้หน้าตาของนางจะแปรเปลี่ยนไปบ้างเพราะผ่านมาหลายปี แต่ต้วนหลิงเทียนก็จดจำนางได้อย่างแม่นยำ!


 


สตรีนางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ‘คุณหนูรอง’ สันดารเสีย ที่ต้วนหลิงเทียนเคยเจอแถวๆพื้นที่เก้าพันธมิตร โอวหยางหลัว จากตระกูลโอวหยางแห่งเมืองหานเหอ!


 


และเป็นเพราะบุตรไม่รักดีของสกุลโอวหยาง…สุดท้ายตระกูลโอวหยางก็มีความบาดหมางกับเขา กระทั่งพวกมันยังกล้าอ้างชื่อตลาดมืดหยินชาน


 


สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินข่าวเรื่องตระกูลโอวหยางได้ถูกทำลายจนราบคาบ


 


ตอนแรกเขาก็คิดว่าคุณหนูรองตระกูลโอวหยางคงถูกฆ่าล้างไปด้วยแล้ว ทว่าไม่เพียงแต่นางจะยังไม่ตาย แต่นางกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง!!


 


ที่สำคัญหลังจากผ่านไปไม่กี่ปี พลังฝีมือของโอวหยางหลัวดูเหมือนจะก้าวข้ามเขาไปแล้ว!


 


ไม่ใช่…


 


ไม่เพียงแต่จะก้าวข้ามเขา นางกระทั่งยังร้ายกาจกว่าจ้าวจี้!!


 


ต้องทราบด้วยว่าย้อนกลับไปตอนนั้น โอวหยางหลัวยังเป็นตัวตนที่อ่อนแอในสายตาเขา!


 


‘โอวหยางหลัว…นางไปเจอกับอะไรมากันแน่! ไม่กี่ปีที่แล้วพลังฝึกปรือของนางยังไม่เท่าข้า แต่วันนี้ไม่เพียงจะเหนือกว่าข้า ยังทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ!!’


 


ในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจละอองไฟวาบ ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอะไรไปมากมาย


 


“ต้วนหลิงเทียน! เจ้าฆ่าพี่ชายของข้า ทั้งยังทำให้ตระกูลโอวหยางของข้าถูกทำลาย…วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าล้างแค้นให้ท่านพี่และสกุลโอวหยาง!!”


 


ตอนนี้เองแก้วหูต้วนหลิงเทียนถึงกับสะท้านสะเทือนไปทันใด เสียงแหลมด้วยอาฆาตดังขึ้น เป็นเสียงของโอวหยางหลัว!


 


ด้วยนางมาได้รวดเร็วเกินไป ต้วนหลิงเทียนจึงแทบไม่ทันได้ตอบสนองอะไรมาก ร่างโอวหยางหลัวก็เจียนบรรลุถึงตรงหน้าแล้ว สองตานางยังแดงฉานดั่งยักษ์มาร จิตฆ่าฟันอำมหิตแทบจะพุ่งทะลุลูกตา!


 


ทั่วร่างบางยังอัดแน่นไปด้วยพลังอันน่ากลัว ปราณมารคลุ้งกลิ่นกระหายเลือดหนาแน่น! สร้างแรงกดดันให้ต้วนหลิงเทียนใหญ่หลวงนัก!!


 


‘นางเป็นผู้ฝึกมารเช่นกัน!’


 


ต้วนหลิงเทียนชักหน้าเครียดเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา


 


วู้มม!!


 


คล้ายตระหนักได้ถึงอันตรายของผู้เป็นนาย ตราผนึกมารที่อยู่ห่างจากร่างจ้าวจี้เพียงคืบพลันหยุดลงอีกครั้ง ก่อนที่จะละทิ้งจ้าวจี้ พุ่งย้อนกลับมาด้วยความเร็วปานฟ้าผ่า!!


 


“ตาย!!”


 


หากทว่าก่อนที่ตราผนึกมารจะทันได้มาถึง โอวหยางหลัวกลับบรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว ในมือปรากฏกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง ใบกระบี่อัดแน่นไปด้วยปราณมารอำมหิต รังสีพลังแผ่พุ่งออกมาปานจะแยกฟ้า ตวัดมาด้วยพลังชั่วชีวิตหมายสับสะพายแล่งร่างต้วนหลิงเทียน!


 


ในแววตาของโอวหยางหลัวท่วมท้นไปด้วยความเกลียดชังคับแค้นนัก ราวกับในสายตาของนางโลกหล้าไม่มีสิ่งใดอีกแล้วนอกจากต้วนหลิงเทียน! กระทั่งไม่แยแสตราผนึกมารที่เปลี่ยนทิศทางเป็นพุ่งเข้ามา!!


 


เห็นได้ชัดว่านางต้องการฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย ต่อให้นางต้องตายก็ตามที!!


 


ในสายตาของนาง หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียน ตระกูลโอวหยางของนางคงไม่พินาศ พี่ชายของนางคงไม่ต้องถูกส่งไปยังสถานที่น่ากลัวนั่น และสุดท้ายยังเป็นสถานที่ตายของพี่ชายนาง!!


 


ตัวนางที่ติดตามไป…ก็ทันได้เห็นวาระสุดท้ายของพี่ชายกับตา! วันนั้นนางรู้สึกเสมือนทุกอย่างในชีวิตสูญสิ้นไม่มีเหลือ! นางเลือกจะลงลึกไปยังหุบยมโลก และไม่ว่าบททดสอบทั้งความทุกข์ทรมานใดๆ ล้วนถูกแรงแค้นของสตรีบอบบางนางหนึ่งทำลายสิ้น! ความทุกข์ทรมานที่กระทั่งบุรุษนับพันหมื่นในตระกูลไม่อาจทานต้าน นางกลับทนรับมันได้! สุดท้ายนางก็บรรลุถึงใจกลางที่ลึกที่สุดของหุบยมโลกและได้รับสืบทอดมรดกของผู้ฝึกมารอันน่าพรั่นพรึง!!


 


และมรดกของผู้ฝึกมารที่ซุกซ่อนอยู่ณ ส่วนลึกของใจกลางหุบยมโลกนั้น…ก็เป็นมรดกที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์! ทำให้นางสามารถก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี!!


 


จนวันนี้ นางก็ทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญแล้ว!


 


หากเทียบกับจ้าวจี้ พลังฝึกปรือนางยังเหนือกว่าถึง 2 ขีดขั้น!


 


ขณะที่โอวหยางหลัวจู่โจมสังหารเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกกดดันอย่างหนัก!


 


แรงกดดันนั่นยังบีบคั้นจนเขาหายใจแทบไม่ออก


 


และสุดท้ายก็เป็นนางที่ลงมือก่อน… แม้ตราผนึกมารจะรวดเร็ว แต่ระยะทางก็ห่างเกินไป!


 


เช่นนั้นเกรงว่าตราผนึกมารคงไม่อาจไปช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนได้ทันเวลา!


 


อย่างน้อยๆ ก็ไปไม่ทันกระบี่สั้นของนาง!


 


‘กระบี่นิลสวรรค์ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!!’


 


ก่อนที่โอวหยางหลัวลงมือจู่โจมมาด้วยพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นตัวรอรับมือเอาไว้ตั้งแต่ได้ยินเสียงจากฟ้า


 


ทำให้ปราณสุริยันแรกกำเนิดต่างไหลผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายมายังช่องพลังพร้อมใช้งานแต่แรก!


 


และเมื่อเห็นว่าโอวหยางหลัวลงมือเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็ปะทุปราณทั้งหมด ถ่ายทอดลงกระบี่นิลสวรรค์เตรียมต้านทานรับมือทันที!


 


และด้วยเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นตาย ผิดพลาดเพียงนิดคงยากรอดชีวิตไปได้


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงใช้ออกด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งหมด ผนึกแน่นลงกระบี่นิลสวรรค์เผยพลังอานุภาพกระบี่สวรรค์เต็มกำลัง!!


 


ทันทีที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดทั่วร่างต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดลงสู่กระบี่นิลสวรรค์ ตัวกระบี่พลันเรืองแสงสว่างจ้าออกมาทันใด หลังจากนั้นกลิ่นอายพลังคมกล้าน่าพรั่นพรึงก็ทะลักออก!


 


แสงพลังสีทองหนึ่งเริ่มเรื่องรองรอบๆตัวกระบี่!


 


วู้มมมม! ฟั่บ!!


 


ดูดกลืนปราณสุริยันแรกกำเนิดที่ต้วนหลิงเทียนจ่ายไปหมดสิ้น กระบี่นิลสวรรค์ส่งเสียงกู่ร้องขับขาน! ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าม่านตาพิสดารเปิดใช้เต็มกำลัง อ่านวิถีกระบี่สั้นในมือโอวหยางหลัว ก่อนจะตวัดกระบี่นิลสวรรค์ออกไปไวดั่งฟ้าผ่า!!


ตอนที่ 1,829 : ปราบมาร!


 


“ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!!”


 


แม้โอวหยางหลัวจะสัมผัสได้ว่ากระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้ไม่ธรรมดา แต่นางก็ไม่ได้แยแสอะไรมากมาย!


 


ในสายตาของนางอีกฝ่ายก็แค่อริยะเซียนขั้นสูงสุด ต่อให้ใช้ยอดศาสตราเซียนอย่างกระบี่ 9 แดนสรวง ที่เป็น 1 ใน 10 รายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่มีทางต้านรับนางได้!


 


นี่คือความมั่นใจของนางในฐานะ ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ!


 


หากนางไม่หวาดกลัวตราผนึกมารของต้วนหลิงเทียน นางคงไม่เลือกจะหลบซ่อนตัวรอคอยเวลาเช่นนี้


 


จนกระทั่งจ้าวจี้คล้ายจะดึงดูดความสนใจจากตราผนึกมารไปแล้ว นางจึงตระหนักได้ว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะลงมือ!


 


ดังนั้นเมื่อเห็นว่าตราผนึกมารยังคงเลือกจะพุ่งเข้าหาจ้าวจี้ นางก็เลือกที่จะลงมือทันที!


 


กระทั่งเตรียมตัวตกตายพร้อมต้วนหลิงเทียน!


 


ซุ่มมม!!


 


กระบี่สั้นในมือโอวหยางหลัววาดผ่านฟ้ามาเป็นวงโค้งปานเสี้ยวจันทร์ แต่เดิมนางคิดฟันสะพายแล่งต้วนหลิงเทียน หากแต่กลับต้องปะทะกับกระบี่นิลสวรรค์ที่ต้วนหลิงเทีนตวัดฟันมาแทน!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เมื่อรังสีพลังที่ฉาบกระบี่สั้นของโอวหยางหลัว ปะทะกับรังสีพลังสีทองของกระบี่นิลสวรรค์ มวลพลังก็ปะทะหักล้างกันส่งเสียงดังระเบิดสนั่น พลังสะท้อนปะทุกวาดออก สายลมดุร้ายไม่ต่างใต้ฝุ่นม้วนตลบสาดไปทั่วสารทิศ!


 


“อะไรกัน!!”


 


หน้าโอวหยางหลังเปลี่ยนสีไปทันใด เพราะวินาทีที่ปะทะนางพลันตระหนักได้ว่ารังสีพลังสีทองที่แผ่พุ่งจากกระบี่ต้วนหลิงเทียน กลับเหนือกว่ารังสีพลังของกระบี่สั้นนาง!


 


นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาได้!


 


สารเลวต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ว่าเป็นอริยะเซียนขั้นยิ่งใหญ่หรอกหรือ?


 


แล้วตั้งแต่เมื่อใดกันที่อริยะเซียนขั้นยิ่งใหญ่ กลับมีพลังสามารถถึงขั้นต้านทานรับการโจมตีเต็มกำลังของเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้?


 


ในห้วงเวลาพริบตาดุจฟ้าแลบนี้ โอวหยางหลัวไม่ทันคิดถึงเรื่องกระบี่ของต้วนหลิงเทียนเลย


 


ขณะเดียวกัน จ้าวจี้ที่รอดพ้นหายนะจากตราผนึกมาร ก็ไม่ทันแลเห็นว่าไกลตามันเกิดเรื่องราวบัดซบอะไรขึ้น รู้แต่เพียงมันยังไม่ตาย และตราผนึกมารก็พุ่งหายไปไหนแล้วไม่รู้!!


 


มันรีบฉวยโอกาสปะทุพลังชั่วชีวิตพุ่งหลบหนีไปทันที พริบตาร่างมันก็พุ่งวูบไปนู่นปานภูตผี! ห่างจากจุดปะทะของต้วนหลิงเทียนและโอวหยางหลัว!!


 


เเคร็กก!!


 


เสียงสะบั้นเหล็กดังขึ้นชัดถนัดถนี่ เป็นกระบี่นิลสวรรค์ฟันกระบี่สั้นในมือโอวหยางหลัวจนขาดครึ่ง! อย่างไรก็ตามนางยังสามารถวูบร่างหลบคมกระบี่นิลสวรรค์ที่วาดมาได้ทัน! กระทั่งคลื่นพลังสะบั้นน่ากลัวที่วัดออกก็ไม่อาจแตะได้แม้แต่ชายเสื้อของนาง!!


 


เพราะสุดท้ายแล้วนางก็เป็นถึงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ ย่อมสามารถหลบพลังสังหารของกระบี่นิลสวรรค์จากต้วนหลิงเทียนที่อ่อนแอกว่านางมากได้!


 


อย่างไรก็ตามนางสามารถหลบคลื่นพลังสังหารของกระบี่นิลสวรรค์ได้ แต่ไม่อาจหลบตราผนึกมารได้พ้น!


 


ครืนนน!!


 


ตราผนึกมารที่ทะยานข้ามแผ่นฟ้ามาฉับไว ปะทุพลังแกร่งกล้าลงมาจากฟ้าด้วยสภาวะปานขุนเขาถล่ม ทุบทำลายไปยังโอวหยางหลัวอย่างเกรี้ยวกราดราวกับจะสยบนางให้ศิโรราบ!!


 


“ไม่!!”


 


เผชิญหน้ากับตราผนึกมารที่พุ่งเข้าหา หน้าโอวหยางหลัวก็ซีดลง นางเหลือบไปมองต้วนหลิงเทียนที่ประคองตัวกลางหาวอย่างไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ด้วยสายตาไม่ยินยอม


 


“ต่อให้ตาย ข้าก็จักลากเจ้าลงนรกไปกับข้าให้ได้!!”


 


นางพยายามรีดเค้นพลังที่หลงเหลือในร่างสุดชีวิต หมายถ่ายทอดลงสู่กระบี่สั้นที่หักกลางแล้วเขวี้ยงใส่ต้วนหลิงเทียนให้ตายก่อนที่ตราผนึกมารจะฆ่านาง!!


 


นางมันใจว่าหากกระบี่หักนี้ซัดใส่ต้วนหลิงเทียนได้ล่ะก็ ต้วนหลิงเทียนตายแน่!!


 


นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนาง!


 


น่าเสียดาย ในขณะที่โอวหยางหลัวกำลังเร่งเร้าพลังขึ้นมาหมายผนึกลงกระบี่หักนั้นเอง…


 


ตราผนึกมารก็เปล่งพลังอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งฉาบคลุมไปทั่วนางเสียก่อน!


 


และยังเป็นพลังอำนาจที่เกรี้ยวกราดดั่งมหาทรราช ทะลวงฝ่าทุกสิ่งอย่างไปกอบกุมดวงจิตของนางเอาไว้โดยพลัน! หลังจากนั้นมันก็กระชากวิญญาณออกจากร่างของนางอย่างแรง ดูดกลืนเข้าไปสะกดเตรียมทำลายให้สิ้นซาก…


 


เมื่อวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง โอวหยางหลัวก็เสมือนเปลือกๆหนึ่ง ร่างนางร่วงตกจากฟ้าไปยังพื้นเบื้องล่างทันใด กระบี่หักที่ง้างเตรียมซัดก็ตกลงไปพร้อมกันทั้งอย่างนั้น…


 


“เฮ่อ…”


 


“แฮ่ก…แฮ่ก…”


 


บนฟ้าสูง ต้วนหลิงเทียนที่หอบหายใจ มองร่างโอวหยางหลัวที่ถูกตราผนึกมารสะกดปราบด้วยความโล่งใจ


 


“เวร! ไม่ได้การแล้ว! จ้าวจี้มันหนีไปได้!!”


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนที่หอบหายใจด้วยความโล่งอก ก็โล่งอกได้ไม่นาน เพราะนึกขึ้นได้ว่าจ้าวจี้ยังไม่ตาย และพอหันไปมองที่ๆมันเคยอยู่ คนก็หายไปแล้ว!!


 


“ตราผนึกมาร!”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันมองไปยังตราผนึกมารเขม็ง


 


ตราผนึกมารเองก็คล้ายสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของผู้เป็นนาย มันสะท้านสั่นไหววูบหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งทะลวงหมู่เมฆขึ้นไปบนฟ้าสูง!


 


หลังจากนั้นมันก็เริ่มบินเป็นวงกลมคล้ายจะตรวจสอบทั่วสารทิศ และพอวนได้รอบหนึ่งมันก็สั่นไหวอีกครา คล้ายยืนยันทิศทางได้สำเร็จ


 


ซู่ม!!


 


ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าตราผนึกมารที่สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก็เหินบินออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำปานดาวตก หายวับไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียน


 


ทิศทางที่ตราผนึกมารพุ่งไป สมควรเป็นทิศทางหลบหนีของจ้าวจี้!!


 


“จ้าวจี้!!”


 


หลังจากที่รวบรวมสินสงครามจากร่างโอวหยางหลัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินตามตราผนึกมารไปทันที ตอนนี้ในร่างเขาหลงเหลือปราณสุริยันแรกกำเนิดเพียงน้อยนิด ทว่าความเร็วในการเหาะก็ไม่ได้เชื่องช้า


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อปราณสุริยันแรกกำเนิดพร่องไปเจียนหมดสิ้น ความเร็วของเขาก็เริ่มตกลง


 


‘หวังว่าตราผนึกมารจะไล่ตามไปฆ่าจ้าวจี้ได้…’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่อธิษฐานในใจเท่านั้น


 


ห่างออกไปไกลๆ จ้าวจี้ที่ปะทุพลังชั่วชีวิตมา มันยังพุ่งร่างด้วยความเร็วสูงสุดไม่หยุด! ไม่กล้าผ่อนพลังลดความเร็วลงแม้แต่น้อย!!


 


และหลังจากที่มันหลบหนีมาได้สักพักและไม่ได้ยินเสียงอะไรติดตามมา มันก็ฉีกยิ้มยินดีขึ้นมาจนแก้มแทบปริยังรู้สึกคล้ายจะมีความสุขที่สุดในชีวิต!


 


อย่างไรก็ตามมันยิ้มหน้าระรื่นได้ไม่ถึง 10 ลมหายใจ ก็ได้ยินเสียงแหวกฟ้าฉับไวดั่งแว่วมาจากด้านหลังไวๆ พาลให้รอยยิ้มระรื่นหุบหาย หน้ายังซีดไปเป็นไก่ต้ม “บัดซบ…ตราผนึกมารไล่มาแล้ว!!”


 


จ้าวจี้ที่ปะทุพลังชั่วชีวิตเหินหนี หันกลับมามองด้านหลังทันที


 


และเพียงปราดเดียวมันก็เป็นบางสิ่งที่เสมือนอัสนีสีดำแล่นวาบตัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงล้ำ!


 


ความเร็วนี้นับว่าเหนือล้ำกว่าความเร็วของเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเสียอีก!!


 


เห็นอัสนีสีดำได้ไม่ทันไร ถึงขั้นที่กระทั่งยังไม่ทันได้คิดอะไรด้วยซ้ำ! อัสนีสีดำดั่งกล่าวก็วูบมาถึงหน้าจ้าวจี้เสียแล้ว!!


 


“อย่าาาาา!!”


 


จ้าวจี้ทำได้เพียงกรีดร้องโหยหวนออกมาเสียงหลง ปานจะขอความเห็นใจจากยมทูตทมิฬไร้ใจในคราบป้ายหินแหว่งๆเบื้องหน้า อนิจจาสุดท้ายร่างมันก็จำต้องร่วงตกลงจากฟ้าแต่โดยดี…


 


หากใครสังเกตให้ละเอียด จะพบว่าดวงตาของจ้าวจี้ที่ร่วงตกจากฟ้านั้น มันชืดชาไร้ประกายใดๆ


 


เห็นได้ชัดว่าวิญญาณของจ้าวจี้ถูกตราผนึกมารสูบกลืนไปสะกดทำลายเรียบร้อยแล้ว


 


ผ่านไปเค่อหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งเหินร่างมาถึงจุดเกิดเหตุ พอเขาเห็นตราผนึกมารมันเหินวนเวียนอยู่กลางอากาศ ส่วนจ้าวจี้ร่วงไปนอนแน่นิ่งบนพื้น ลมหายใจเฮือกใหญ่ก็ถูกระบายออกมาด้วยความโล่งอก


 


‘ตราผนึกมารจะอย่างไรก็เป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน…หากจ้าวจี้รอดไปได้ แล้วเรื่องนี้กระจายออกไปข้าได้งานเข้าแน่…เพราะมันเป็นอะไรที่กระทั่งภูมิภาคด้านบนก็ยังต้องการ ต่อให้ข้าจะพึ่งพลังอำนาจของตำหนักเมฆาคราม ก็ป้องกันได้แค่คนของภูมิภาคเบื้องล่างเท่านั้น…แต่สำหรับยอดฝีมือของภูมิภาคเบื้องบน ตำหนักเมฆาครามยังจะนับเป็นอะไรได้!’


 


คิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหวาดเสียว!


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยจ้าวจี้ตกตายไปแล้วแบบนี้ นั่นหมายความว่าเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยดี…


 


ข่าวที่ว่าเขาคือต้วนหลิงเทียน อย่างน้อยๆ ก็ยังไม่แพร่กระจายออกไปในช่วงนี้


 


หลังจากที่สังหารจ้าวจี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ตอนนี้ปราณในร่างตกฮวบแทบไม่มีเหลือ จำต้องขุดถ้ำในภูเขา เพื่อเข้าไปนั่งในเจดีย์หลิงหลงโคจรฟื้นพลังพักใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางสืบต่อ


 


ณ ตำหนักฟ้าลี้ลับ…


 


“ป่านนี้…จี้เอ๋อน่าจะฆ่าหลิงเทียนได้แล้ว..”


 


จ้าวเติงที่ถูกจ้าววังเหลือง เฉินผิงเชิง จับตาดูทุกฝีก้าวจนไม่อาจไปไหนได้ ก็ทำได้แค่รอฟังเรื่องราวอยู่ภายในคฤหาสน์ที่พักเท่านั้น


 


เปรี๊ยะ…


 


ทว่าทันใดนั้นเองเสียงปริแตกหนึ่งพลันแว่วดังขึ้นมาใกล้ๆ ดึงความสนใจให้จ้าวเติงหันไปมองมันทันที


 


ทันใดนั้นจ้าวเติงก็พบว่า บนหิ้งที่ตั้งไข่มุกวิญญาณอยู่ 3 เม็ดนั้น….ไข่มุกวิญญาณเม็ดขวาสุดกลับแตกลงเสียแล้ว


 


วินาทีที่เห็นไข่มุกวิญญาณเม็ดนี้แตก จ้าวเติงรู้สึกเสมือนโลกหยุดหมุน สองตาเริ่มแดงรื้นขึ้นมาทันที


 


“จี้เอ๋อออ…!!”


 


สุดท้ายหลังจากที่อื้ออึงไปพักหนึ่ง จ้าวเติงก็คำรามร้องออกมาสุดเสียง น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความปวดปร่าทรมานปานจะขาดใจตาย


 


ไข่มุกวิญญาณเม็ดนั้นเป็นของจ้าวจี้…


 


การที่ไข่มุกวิญญาณแตก ย่อมหมายความว่าวิญญาณดับสลาย…คนตายแล้ว


 


ฟุ่บบ!!


 


จ้าวเติงที่ใจท่วมท้นไปด้วยความแค้นอันแสนเศร้าพุ่งร่างออกจากบ้านก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าทันที ยังจะพุ่งออกนอกเขตตำหนักหลัก เพื่อไปตามหาร่างของลูกชายมัน!


 


มันอยากรู้นักว่าลูกชายมันตกตายได้อย่างไร! แล้วสารเลวตัวไหนเป็นคนฆ่า!!


 


อย่างไรก็ตาม เฉินผิงเชิงย่อมไม่ทราบเรื่องราวคับใจจ้าวเติง จึงพุ่งมาหยุดขวางเอาไว้ตามระเบียบ


 


“จ้าววังเฉิง ลูกชายคนเดียวของข้าถูกฆ่าตายทั้งคน ท่านยังมีหน้ามาหยุดข้าอีกงั้นเหรอ! ท่านคิดช่วยเหลือฆาตกรหรือไร? หรือที่แท้ท่านสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกรข้าลูกข้า?”


 


จ้าวเติงชักสายตาแดงก่ำเต็มไปด้วยมวลอารมณ์ดุร้ายระคนโศกเศร้ามองสบตาจ้าววังเหลือง พาลให้เฉิงผิงเชิงใจดิ่งวูบลงทันใด


 


“อะไร…จ้าวจี้ถูกฆ่าตายแล้ว?”


 


เฉิงผิงเชิงขมวดคิ้ว


 


“ข้าจะหลอกเจ้าทำอะไร? จ้าววังเฉิงท่านเลือกให้ดีเถอะ…หากท่านทำข้าชักช้าเสียเวลาจนข้าคลาดกับฆาตกร ข้าจะถือว่าท่านเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด! คราวนี้ท่านก็ไปอธิบายกับบิดาข้าเองเถอะ!!”


 


วาจาภายหลังที่ยกอ้างบิดา หรือ จ้าวจิน นั้น น้ำเสียงจ้าวเติงเต็มไปด้วยโทสะและความร้อนใจ


 


เฉิงผิงเชิงพอได้ยินก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ


 


มันย่อมมองออกว่าจ้าวเติงไม่คล้ายคนกำลังพูดล้อเล่น


 


เช่นนั้นมันจึงเปิดทางให้อีกฝ่ายทันที


 


อย่างไรก็ตามแม้จะยังอีกนานกว่าจะครบ 3 วัน แต่ตอนนี้มันคิดว่าหลิงเทียนสมควรเดินทางห่างตำหนักฟ้าลี้ลับไปไกลแล้ว ต่อให้จ้าวเติงคิดไล่ล่าไปก็ยากจะติดตามได้ทัน


 


หลังจากจ้าวเติงออกจากตำหนักหลัก มันก็ไปถามศิษย์สกุลจ้าวไม่กี่คนที่ทำหน้าที่จับตามองคนเข้าออกตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


พอทราบทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนจากไปคร่าวๆ และทราบว่าศิษย์สกุลจ้าวหลายคนก็ไล่ตามไปทางนี้ มันก็เหินร่างพุ่งออกไปทันใด


 


เพราะลูกชายมันสมควรไปทางนี้ด้วยเช่นกัน


 


และไม่นานจ้าวเติงก็พบกลุ่มศิษย์สกุลจ้าวที่กำลังเหินร่างย้อนกลับมายังตำหนักฟ้าลี้ลับ ทั้งหมดเป็นอริยะเซียนขั้นกลางที่ต้วนหลิงเทียนไว้ชีวิต จ้าวเติงจึงหยุดพวกมันเอาไว้แล้วกล่าวถามทันที “พวกเจ้าเห็นจี้เอ๋อหรือไม่?”


 


“ท่านรองจ้าวตำหนัก!”


 


เมื่อพบหน้าจ้าวเติง ศิษย์สุลจ้าวกลุ่มนี้กลายเป็นเรียบๆร้อยๆ เร่งทำความเคารพทันที ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับคำถามของจ้าวเติง


 


“ท่านรองจ้าวตำหนัก พวกเราเห็นศิษย์น้องเล็กกลางทาง…แต่ศิษย์น้องเล็กคล้ายใช้ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูง อยู่ดีๆ ก็หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเรา”


 


ศิษย์กลุ่มนั้นกล่าวออก


 


“ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูง?”


 


จ้าวเติงขมวดคิ้ว


 


อย่างไรก็ตามเมื่อสำนึกเทวะมันแผ่ออกไปหยั่งพลังฝึกปรือของศิษย์สกุลจ้าวเบื้องหน้า มันก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายกล่าวบอกมาแบบนี้


 


เพราะทุกคนเป็นแค่อริยะเซียนขั้นกลาง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองตามความเร็วขอบเขตเซียนมนุษย์ของลูกชายมันได้ทัน…


ตอนที่ 1,830 : ความโกรธของจ้าวเติง!


 


‘เช่นนั้นการที่พวกมันจะเข้าใจผิด คิดว่าจี้เอ๋อใช้ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูงก็ไม่แปลก..’


 


จ้าวเติงลอบคิดในใจ


 


“เท่าที่ข้ารู้ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลางขึ้นไปที่มิได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ล้วนออกไปตามล่าตัวหลิงเทียนทั้งสิ้น แล้วไฉนเหลือแต่พวกเจ้าเล่า จ้าวตงกับคนอื่นๆอยู่ที่ใด”


 


จ้าวเติงมองถามศิษย์สกุลจ้าวขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลางเบื้องหน้า ในใจยังบังเกิดสังหรณ์ร้ายขึ้นมาประการหนึ่ง


 


“เรียนท่านรองจ้าวตำหนัก…ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญที่ออกมาล่าหลิงเทียน ล้วนถูกหลิงเทียนฆ่าตายหมดแล้ว…กระทังศิษย์พี่จ้าวตงก็ถูกฆ่าตายเช่นกัน”


 


ไม่นานก็มีคนรวบรวมความกล้าตอบจ้าวเติงออกไป


 


“ว่าอะไร!?”


 


จ้าวเติงที่ได้ยินคำตอบนี้ สีหน้าถึงกับเปลี่ยนไปทันใด หนังศีรษะรู้สึกด้านชาประหนึ่งโดนฟ้าผ่า “กระทั่งจ้าวตง…ก็ถูกฆ่าตายแล้ว?”


 


จ้าวตงนั้นเป็นศิษย์สกุลจ้าวที่ติดอันดับแรกๆในรายนามฟ้าลี้ลับ พลังฝึกปรือบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุด…ทว่ากลับต้องมาถูกหลิงเทียนฆ่า?


 


“หลิงเทียน!”


 


ลูกตาจ้าวเติงวูบวาบด้วยประกายดุร้าย ท่าทางยังโกรธแค้นปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน


 


หลิงเทียนฆ่าจ้าวคง และสังหารหมู่ศิษย์สกุลจ้าวที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ การกระทำนี้ไม่ต้องบอกเลยว่าไม่ต่างอะไรจากบ่อนทำลายรากฐานสกุลจ้าว!


 


แม้จ้าวตงกับคนที่ตกตายไปอาจไม่ใช่เสาหลักของสกุลจ้าว แต่หลังจากนี้หลายสิบกระทั่งนับร้อยปี พวกมันก็คืออาวุโสที่สามารถพึ่งพาได้ของสกุลจ้าว…


 


ทว่าตอนนี้จ้าวตงกับคนอื่น…ตกตายหมดสิ้นแล้ว!


 


ยังตกตายด้วยน้ำมือหลิงเทียน!


 


เรื่องนี้จะไม่ให้จ้าวเติงโกรธได้อย่างไรไหว!


 


จังหวะนี้คล้ายจ้าวเติงจะลืมเรื่องราวเรื่องหนึ่งไปเสียแล้ว…


 


นั่นก็คือ…หากจ้าวตงกับศิษย์สกุลจ้าวคนอื่นๆไม่มาไล่ล่าหลิงเทียน พวกมันจะดับอนาถเช่นนี้หรือ?


 


แน่นอนว่าหากจะกล่าวว่าจ้าวเติงลืมเลือนก็ไม่ถูกซะทีเดียว..มันย่อมไม่ลืม เพียงแค่มันไม่ได้คิดเช่นนั้น!


 


เพราะในสายตาของมัน คนสกุลจ้าวของมันสามารถฆ่าผู้อื่นได้…แต่ผู้อื่นห้ามแตะต้องคนสกุลจ้าวของมัน!!


 


“พวกเจ้าพบจี้เอ๋อตั้งแต่เมื่อใด?”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จ้าวเติงก็พยายามระงับโทสะในใจ


 


มันมองไปยังกลุ่มศิษย์สกุลจ้าวเบื้องหน้าค่อยกล่าวถามออกมาอีกรอบ


 


“หลังจากที่หลิงเทียนฆ่าจ้าวตงกับทุกคนแล้วจากไปได้พักหนึ่ง ศิษย์น้องเล็กก็มาถึง”


 


หนึ่งในนั้นกล่าวตอบ


 


“เช่นนั้นหมายความว่าพวกเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ด้วย?”


 


หน้าจ้าวเติงจมลงโดยพลัน “แล้วไฉนหลิงเทียนมันไม่ฆ่าพวกเจ้า?”


 


“อาจเป็นเพราะพลังฝึกปรือพวกเราอ่อนด้อยเคลื่อนไหวเชื่องช้า จนหลิงเทียนคร้านเสียเวลาย้อนกลับมาฆ่าพวกเรา หรือบางทีมันไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา เลยไม่อยากลดตัวลงมาฆ่า…ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ท่านรองจ้าว…”


 


ผู้ตอบได้แต่ยิ้มออกมาเจื่อนๆ หากแต่สหายของมันบางคนก็ยิ้มอย่างยินดี


 


‘จี้เอ๋อต้องไล่ล่าหลิงเทียนไปแน่…หรือว่าจี้เอ๋อจะถูกหลิงเทียนฆ่า? เป็นไปไม่ได้! หลิงเทียนนั่นมันก็แค่อริยะเซียนขั้นสูงสุด มันไม่มีทางทำร้ายจี้เอ๋อได้!’


 


จ้าวเติงครุ่นคิดไปร้อยแปดพันเก้า แต่สุดท้ายร่างมันก็พุ่งวูบออกไปทางเดิม ทางที่ต้วนหลิงเทียนมุ่งหน้าไปแต่แรก…


 


มันมั่นใจได้เรื่องหนึ่ง อย่างไรเสียลูกชายมันก็ต้องไล่ตามหลิงเทียนไปแน่…


 


เช่นนั้นหากมันคิดหาเบาะแสการตายของบุตรชาย ก็มีเพียงแต่ต้องมุ่งหน้าไปตามทางนี้!


 


“ท่านรองจ้าวแลดูสีหน้ามิค่อยสู้ดีสักเท่าไร ทั้งยังรีบร้อนจากไปแบบนี้…ไม่รู้เกิดเรื่องอันใดหรือไม่?”


 


จ้าวเติงรีบร้อนจากไปโดยไม่บอกกล่าว พาลให้ศิษย์สกุลจ้าวขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลางทั้งหลายฉงนใจ พวกมันคล้ายสัมผัสได้ถึงความรีบร้อนของอีกฝ่าย…


 


“คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องกับศิษย์น้องเล็กหรอกนะ?”


 


ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดประเด็นนี้ขึ้น แต่ทุกคนถึงกับเงียบลงใช้ความคิดทันที


 


“อ่า…อาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ”


 


หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เริ่มเห็นด้วย


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกมันจะกล่าวกันมากมายแค่ไหน สุดท้ายนี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของพวกมันทั้งสิ้น ไม่นานพวกมันก็หยุดพูดถึงเรื่องนี้


 


หากพวกมันยังพูดกันไม่เลิก กระทั่งเรื่องนี้แพร่งพรายล่วงรู้ไปถึงหูอาวุโสผู้พิทักษ์ขึ้นมา พวกมันได้เดือดร้อนหนักแน่!


 


จ้าวเติงค่อยๆพุ่งร่างไปตามทาง สำนึกเทวะแผ่ออกไปสุดกำลังตรวจสอบทุกแห่งหนอย่างละเอียดยิบ


 


ไม่นานมันก็พบศพจ้าวตงและศิษย์สกุลจ้าวคนอื่นๆ


 


แม้จะได้รับทราบมาแล้วว่าจ้าวตงกับคนอื่นๆตกตาย แต่พอจ้าวเติงได้เห็นร่างไร้วิญญาณที่ตกตายบนพื้นเกลื่อนกลาด ยังอดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมาอย่างคับแค้น “หลิงเทียน…สกุลจ้าวไม่มีวันเลิกราต่อเจ้า!!”


 


“หากใต้ฟ้านี้มีสกุลจ้าวต้องไม่มีเจ้า! พวกเรามิมีวันอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้อีก! ข้าจ้าวเติงขอสาบานต่อฟ้าหากข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ข้าไม่ขออยู่เป็นคน!!”


 


น่าเสียดายที่การตีโพยตีพายของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนถูกลิขิตไว้ให้ไม่ได้ยิน


 


แต่ถึงจะได้ยินต้วนหลิงเทียนก็คงได้แต่ยิ้มเยาะ


 


แล้วยังไง? ใครสน?


 


ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าสกุลจ้าวก็พยายามฆ่าเขาให้ตายอยู่แล้วหรือไง?


 


ถ้าไม่ใช่จะส่งคนมามากมายหมายฆ่าเขาทำเพื่อ? ยังจะมาพล่ามเรื่องไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้หาสวรรค์วิมานอะไรอีก?


 


“จี้เอ๋อ…”


 


เนื่องจากจ้าวเติงร้อนใจเรื่องการตามหาฆาตกรสังหารจ้าวจี้ มันจึงหักห้ามใจระงับโทสะ เพียงมองร่างจ้าวตงกับคนอื่นๆ ด้วยสายตาสะทกสะท้อนอีกครั้ง ค่อยจากไปทันที


 


หลังเหินมาตามทางอีกสักพักมันก็พบศพอีกศพหนึ่ง


 


“สตรีนางนี้เป็นใครกัน?”


 


ร่างที่จ้าวเติงพบ เป็นร่างของน้องสาวโอวหยางเจิ้ง


 


กล่าวให้ชัดก็คือ โอวหยางหลัวที่ถูกตราผนึกมารฆ่าตาย!


 


อย่างไรก็ตาม จ้าวเติงไม่รู้จักนาง


 


แต่ถึงแม้จ้าวเติงจะไม่รู้จักนาง มันก็ทำการสำรวจศพของโอวหยางหลัวอย่างละเอียด


 


หลังจากตรวจพบบางอย่างมันก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ “ร่างกายไร้ร่องรองถูกทำร้ายอันใด…ดูเหมือนจะถูกฆ่าตายด้วยอำนาจจิตหรือทักษะวิญญาณ! ผู้ที่ลงมือสังหารนางสมควรเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญสำนึกเทวะ และมีทักษะวิญญาณสังหารอันร้ายกาจ!!”


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋า ก็จะมีผู้ที่เกิดมามีพลังวิญญาณสูงล้ำเหนือคนธรรมดาอยู่เสมอ และคนกลุ่มนี้มักมีข้อได้เปรียบเรื่องการใช้ทักษะทางวิญญาณและสำนึกเทวะ…


 


ยอดฝีมือที่มีพลังวิญญาณสูงล้ำเหล่านี้ บางคนมีทักษะวิญญาณอันร้ายกาจ สามารถพิฆาตผ่านอากาศได้ง่ายดาย! ฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอย!!


 


แต่สุดท้ายก็เป็นศพของสตรีที่ไม่รู้จัก จ้าวเติงจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก มันเริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยละเอียดต่อ และไม่นานมันก็พบร่องรอยบางอย่าง


 


ร่องรอยการหลบหนีของจ้าวจี้!


 


แน่นอนว่าในสายตาจ้าวเติงมันเป็นแค่ร่องรอยบางอย่างเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าเป็นร่องรอยการหนีตายของจ้าวจี้


 


อย่างไรก็ตามมันเลือกจะมุ่งหน้าไปตามทางนี้


 


ครึ่งชั่วยามต่อมาจ้าวเติงก็ได้พบร่างจ้าวจี้ในที่สุด…และเมื่อมันเห็นร่างไร้วิญญาณของบุตรชายนอนทอดกลายอยู่บนพื้นดินร้างผู้คนอย่างอนาถา หยาดน้ำใสๆอดไม่ได้ที่จะเอ่อล้นท่วมลูกตาสีแดง “จี้เอ๋อ…ผู้ใด…ผู้ใดมันทำกับเจ้าเช่นนี้? จี้เอ๋อ…ลูกพ่อ!!”


 


ตอนนี้จ้าวเติงแทบไม่หลงเหลือกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว มันร่ำไห้ออกมาแทบวายปราณ


 


ผ่านไปพักหนึ่งจ้าวเติงก็รู้ตัว ว่าต่อให้มันร่ำไห้ทั้งหมดอาลัยตายอยากต่อไปแค่ไหน จ้าวจี้ก็ไม่อาจฟื้นคืน กระทั่งไม่อาจล้างแค้นให้ลูกชายคนเดียวของมันได้! มันจึงพยายามสงบจิตสงบใจ และเริ่มตรวจสอบร่างไร้วิญญาณของลูกชายคนเดียวด้วยสองมือที่สั่นระริก…


 


และการตรวจสอบนี้ทำให้มันพบเบาะแสประการหนึ่ง


 


มันพบว่าทั่วร่างจ้าวจี้กลับไร้ซึ่งบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายใดๆ กระทั่งรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยก็ไม่มี “อันใดกัน…ตามตัวจี้เอ๋อเองก็ไร้บาดแผล…หรือจะถูกทำลายจิตวิญญาณจนตายตก? หรือว่า…ผู้ที่ลงมือสังหารจี้เอ๋อกับสตรีนางนั้นจักเป็นคนๆเดียวกัน?”


 


“เป็นตัวบัดซบที่ไหนฆ่าลูกชายของข้ากันแน่!?”


 


จ้าวเติงตะโกนขึ้นฟ้าอย่างคับแค้น มันแทบเป็นบ้าอยู่รอมร่อ เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วมันก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติมเลย… ร่องรอยและเบาะแสใดๆขาดหายไปเสียแล้ว


 


มันเองก็พยายามตรวจสอบร่องรอยรอบๆอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบอะไรเพิ่มเติม


 


‘ด้วยความเร็วของจี้เอ๋อ หากมุ่งหน้ามาทางนี้สมควรตามหลิงเทียนนั่นทันแล้ว…อย่างไรก็ตามตลอดทางข้ากลับมิเห็นศพหลิงเทียน! เช่นนั้นก็ไปตามทางที่หลิงเทียนมุ่งหน้าไปหลังออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับก่อนแล้วกัน’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ จ้าวเติงก็เตรียมไล่ตามต้วนหลิงเทียนต่อ


 


แน่นอนว่าร่างจ้าวจี้ถูกเก็บไว้ในแหวนพื้นที่อย่างดี


 


ตอนนี้นอกเหนือจากความโศกเศร้าแล้วใบหน้าจ้าวเติงนั้นเต็มไปด้วยโทสะแค้นอันเกรี้ยวกราดนัก


 


จ้าวตงเอย เหล่าศิษย์อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญเอย กระทั่งลูกชายคนเดียวของมัน ทั้งหมดล้วนตกตาย! ทั้งยังตายในขณะออกมาตามล่าหลิงเทียน…ทำให้มันเร่งรุดเดินทางตามล่าต้วนหลิงเทียนต่อด้วยความเร็วสูงสุด!


 


แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เนื่องอะไรเลย เขาที่ฟื้นพลังเสร็จแล้วก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และเริ่มเดินทางไปยังตำหนักเมฆาครามต่อ


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่ามีคนกำลังไล่ตามมาด้วยความเร็วสูง แต่เขาก็ได้วางมาตรการป้องกันไว้แล้ว


 


หลังจากฆ่าจ้าวจี้ตาย ต้วนหลิงเทียนก็ลบร่องรอยของตัวเองทั้งหมด กระทั่งยังเปลี่ยนไปใส่ชุดสีเทา


 


นอกจากนี้ใบหน้าของเขายังเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน กลายเป็นไอ่หนุ่มหน้ามึนแลดูไร้พิษสงคนหนึ่ง ไม่มีความหล่อเหลาหลงเหลือสักเพียงนิด หากจับไปโยนไว้ในกลุ่มคนก็คงยากจะแยกแยะได้


 


เรียกว่าตอนนี้ต่อให้มารดาเขาอย่างลี่หลัวมาอยู่ตรงหน้า ก็จดจำไม่ได้!


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เร่งรีบเดินทาง อยู่ๆพลันได้ยินเสียงแหวกฝ่าสายลมด้วยความเร็วสูงล้ำดังขึ้นจากด้านหลัง


 


‘เร็วอะไรจะขนาดนี้! ด่านพลังฝึกปรือคนผู้นี้อย่างน้อยๆก็ต้องเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างตื่นตระหนก หากแต่ความเร็วในการเดินทางยังคงเดิม สีหน้าท่าทางไม่เผยพิรุธอะไรแม้แต่น้อย


 


“หลิงเทียน!”


 


ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง กลิ่นอายพลังเย็นเยือกขุมหนึ่งยังแผ่มาเพ่งเล็งที่ตัวเขาเขม็ง


 


‘จ้าวเติง!?’


 


ได้ยินเสียงเรียกดังกล่าวต้วนหลิงเทียนจดจำได้ทันทีว่าเสียงใคร รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!


 


แต่เขาไม่ได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่ ที่จ้าวเติงจะโผล่มาแบบนี้


 


เขาฆ่าจ้าวจี้…และตราบใดที่จ้าวจี้ทิ้งไข่มุกวิญญาณไว้ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติงย่อมรู้ได้ทันทีว่าจ้าวจี้ถูกฆ่าตาย มันต้องรีบออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับและไล่ตามเบาะแสเท่าที่มีมาทันทีแน่


 


สำหรับยอดฝีมือที่กู่ลี่ฝากฝังให้ขวางทางจ้าวเติงและยอดฝีมือของสกุลจ้าวนั้น เขาคิดไว้แล้วว่าอาจจะขวางได้ไม่นาน เพราะคนเหล่านั้นอาจมาช่วยกู่ลี่เพราะเห็นแก่หน้ากู่ซืออวิ๋น แต่คงไม่มีใครอยากล่วงเกินผู้พิทักษ์อาวุโสอีกคนเพราะคนที่กำลังจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


เมื่อรู้ว่าหลานชายสุดที่รักอย่างจ้าวจี้ตายตกจ้าวจินต้องคุ้มคลั่งแน่ แล้วพวกมันจะกล้าหยุดจ้าวเติงจากการตามหาฆาตกรฆ่าลูกชายได้อย่างไร?


 


ต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้แปลกใจอะไรที่ถูกจ้าวเติงเรียกหาว่าหลิงเทียนแบบนี้ เพราะแม้เขาจะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมได้ แต่รูปร่างของเขายังเหมือนเดิม


 


หากมองจากด้านหลัง เขาก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ


 


“ท่านผู้เฒ่า ท่านเรียกหาข้าหรือ แต่ข้าชื่อเสี่ยวหนิวนะ?”


(*วัวน้อย)


 


ต้วนหลิงเทียนค่อยๆหันมามองจ้าวเติงไกลตาด้วยท่าทางงุนงงคล้ายตัวโง่งมตัวหนึ่ง


 


จ้าวเติงถึงกับขมวดคิ้วทันใดเมื่อแลเห็นหน้าตาธรรมดา ทั้งแววตาซื่อบื้อของต้วนหลิงเทียน


 


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


 


ชายเบื้องหน้ามัน มีรูปร่างเหมือนหลิงเทียนทุกประการ มองจากด้านหลังแทบจะเป็นคนๆเดียวกันแท้ๆ ไฉนใบหน้ากลับไม่ใช่หลิงเทียน?


 


สำนึกเทวะของมันแผ่พุ่งออกไปตรวจสอบอย่างละเอียดทันที แต่มันก็ไม่พบร่องรอยการปลอมแปลงรูปโฉมอะไรเลย เรื่องนี้ทำให้จ้าวเติงรู้สึกผิดหวังถึงขีดสุด!


 


อีกทั้งเมื่อเผชิญกับคำถามด้วยสีหน้าโง่งมของต้วนหลิงเทียน จ้าวเติงก็คร้านจะตอบคำอะไร เมื่อพบแล้วว่าไม่ใช่หลิงเทียนแปลงโฉม มันก็วูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียน


 


เห็นเช่นนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก แผ่นหลังยังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น


 


‘โชคดีนักที่วิชาแปลงโฉมของผู้เฒ่าหั่วลึกล้ำสุดหยั่ง สำนึกเทวะไม่อาจตรวจพบ…ไม่งั้นวันนี้ข้าได้ตายแน่!’


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาช่างโชคดีนัก


 


‘ไปต่อดีกว่า…ด้วยความเร็วระดับนี้อีกไม่กี่วันก็ถึงตำหนักเมฆาครามแล้ว…’


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินทะยานไปต่อทันที


ตอนที่ 1,831 : กู่ซืออวิ๋นตะลึงงัน


 


จ้าวเติงออกค้นหาเป็นเวลาหลายวัน หากแต่มันก็ไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ ของต้วนหลิงเทียนเลย


 


สุดท้ายมันก็ไร้หนทางเลือกอื่นนอกจากกลับ…


 


‘หวังว่าท่านพ่อจะไม่รีบร้อนกลับมา…หาไม่แล้วข้ามิรู้จะบอกท่านอย่างไรจริงๆ! ความรักที่ท่านพ่อมีให้จี้เอ๋อถึงจุดที่หากรู้ว่าจี้เอ๋อตายตก ท่านพ่อคงไม่อาจทนรับได้ไหวแน่นอน!’


 


ระหว่างเดินทางกลับ จ้าวเติงก็ลอบอธิษฐานในใจ


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่ามันทำได้แค่ฝัน เพราะเมื่อมันกลับมาถึงก็พบว่าบิดากลับมาแล้ว


 


“ข้าได้ยินว่าจี้เอ๋อกลับมาแล้ว แล้วหลานข้าอยู่ที่ใดเล่า?”


 


นี่เป็นวาจาประโยคแรกที่จ้าวจินเอ่ยทักหลังเห็นจ้าวเติง


 


ตุบ!


 


ได้ยินคำถามนี้ของจ้าวจิน จ้าวเติงทิ้งตัวคุกเข่าลงตรงหน้าทันใด ยังก้มหน้าก้มตาลงไปกล่าวออกเสียงอ่อน “ท่านพ่อ…จี้เอ๋อ…จี้เอ๋อตายแล้ว!”


 


เปรี๊ยง!


 


คำพูดจ้าวเติงยามดังในหูจ้าวจิน ประหนึ่งอัสนียามแล้งไร้การตั้งเค้าใดๆ พาลให้ลูกตาจ้าวจินหดหยีลง ใบหน้ายังเปลี่ยนไปร้ายแรง


 


มันถลึงตามองจ้าวเติงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงดุร้าย “นี่มันเกิดอันใดขึ้น! ข้าพึ่งออกไปมินานไฉนเกิดเรื่องขึ้นได้!?”


 


“ท่านพ่อ…เรื่องเป็นเช่นนี้…”


 


หลังจากนั้นจ้าวเติงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้จ้าวจินฟัง


 


ในบรรดาเรื่องเล่า มีเรื่องที่จ้าวจี้ได้พบซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์กระทั่งได้รับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์รวมอยู่ด้วย…


 


พอได้รับรู้ว่าหลานชายตัวเองสามารถบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ โดยที่อายุพึ่งจะ 40 ปี จ้าวจินก็สมควรมีความสุขนัก…


 


อนิจจามันไม่อาจยินดี กระทั่งยังไร้ซึ่งโอกาสยินดี เนื่องเพราะหลานชายของมันตกตายไปแล้ว กระทั่งยังตกตายเพราะถูกทำลายวิญญาณ คนฆ่าไม่พ้นต้องเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญอำนาจจิต!


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จ้าวเติงก็นำร่างของจ้าวจี้ออกมาเรียบร้อยแล้ว


 


“จี้เอ๋อ….”


 


เห็นร่างจ้าวจี้ทอดกายนอนอยู่บนพื้นอย่างสงบ น้ำตาจ้าวจินก็หลั่งไหลออกมาเป็นสาย มันค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะใบหน้าจ้าวจี้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่แววตาจะแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตกล่าวออกเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกว่า “เช่นนั้นหมายความว่าหลิงเทียนเป็นเหตุให้จี้เอ๋อตกตายทางอ้อม?”


 


“ใช่”


 


จ้าวเติงพยักหน้าค่อยกล่าวออกด้วยโทสะ “หากไม่ใช่เพราะหลิงเทียนมันออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ จี้เอ๋อยังจะไล่ตามมันไปทำอะไร? หากจี้เอ๋อไม่ไล่ตามมันไป ไหนเลยต้องมาตกตายแบบนี้! นี่คือเหตุผลที่หลิงเทียนทำให้จี้เอ๋อตกตายทางอ้อม!”


 


“หรือว่า…สารเลวน้อยกู่ลี่มันเป็นคนส่งยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญอำนาจจิตไปลอบคุ้มครองหลิงเทียน…เช่นนั้นพอจี้เอ๋อคิดลงมือ จึงถูกยอดฝีมือนั่นใช้อำนาจจิตทำลายวิญญาณ?”


 


จ้าวจินคาดการณ์ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง


 


“อาจเป็นได้!”


 


หากไม่ใช่เพราะจ้าวจินกล่าวแนะ เกรงว่าจ้าวเติงคงไม่ทันคิด


 


“ไป! ตามข้าไปหาสารเลวน้อยกู่ลี่!!”


 


จ้าวจินพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย ก่อนที่จะนำจ้าวเติงไปหากู่ลี่


 


กู่ลี่ได้อาศัยสายสัมพันธ์ของกู่ซืออวิ๋น กักบริเวณของคนสกุลจ้าวที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไปเอาไว้


 


ด้วยวิธีนี้จึงทำให้กู่ลี่สามารถปกป้องหลิงเทียนได้ และไม่ถือว่าทำผิดอะไรกับสกุลจ้าวมากมาย เพราะมันเพียงแค่ปกป้องสหายเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามหากกู่ลี่ส่งคนไปลอบคุ้มครองหลิงเทียน และคนผู้นั้นลงมือสังหารจ้าวจี้ล่ะก็…


 


เช่นนั้นเรื่องราวก็จะแตกต่างออกไปแล้ว!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 พ่อลูกสกุลจ้าวมาถึงคฤหาสน์ของกู่ซืออวิ๋นเพื่อหาความ กู่ลี่ที่ยืนข้างกู่ซืออวิ๋นก็ปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าแค่อาศัยสายสัมพันธ์ของท่านพ่อหยุดคนสกุลจ้าวขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไปไม่ให้ออกไปไหนเท่านั้น ข้าไม่ได้ไหว้วานยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญอำนาจจิตอะไรนั่นสักคน…ยามน้องหลิงเทียนออกไป เขาออกไปคนเดียว!”


 


“หากพวกเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าก็ยินดีเอ่ยคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า!”


 


เมื่อกู่ลี่กล่าวคำสาบานออกมา แล้วทัณฑ์ฟ้าเพียงตอบรับไม่ได้พิฆาตคน จ้าวจินกับจ้าวเติงก็รู้ได้ทันทีว่าพวกมันคาดผิด…


 


กู่ลี่ไม่ได้ส่งคนไปคุ้มครองหลิงเทียน


 


เช่นนั้นผู้ใดฆ่าจี้เอ๋อของพวกมัน?


 


หลังจากที่พ่อลูกสกุลจ้าวกลับไป กู่ซืออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ข้าไม่คิดเลยว่าจาวจี้สุดท้ายจะตายเยี่ยงสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง…อย่างไรเสียมันก็แค่เซียนขัดเกลา แล้วมันจะออกไปทำอะไร? มันคิดหรือว่าจะทำอันใดเสี่ยวเทียนได้?”


 


“เฮอะ! อาศัยพลังฝึกปรืออ่อนด้อยของมัน กล้าตามน้องหลิงเทียนไปก็รนหาที่ตายเอง!!”


 


กู่ลี่แค่นคำเย้ยเยาะ “ในความคิดข้ากว่า 9 ส่วน จ้าวจี้ สมควรถูกน้องหลิงเทียนฆ่า!”


 


“ข้าว่าครั้งนี้ผู้ลงมือมิน่าใช่เสี่ยวเทียน…เพราะพวกมันกล่าวบอกชัดว่าจ้าวจี้ตกตายเพราะถูกทำลายวิญญาณ มีเพียงยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญสำนึกเทวะถึงกระทำเช่นนั้นได้…และเท่าที่ข้ารู้เสี่ยวเทียนมิได้มีความสามารถนี้!”


 


กู่ซืออวิ๋นส่ายหัวกล่าวออก มันคิดต่าง


 


“ไม่ว่าจะอย่างไรแต่จ้าวจี้นั่นมันตายก็สมควรแล้ว! มันตายไปตำหนักฟ้าลี้ลับเราก็ลดเภทภัยที่อาจเกิดจากความถือดีของมันได้หลายส่วน!”


 


กู่ลี่กล่าวออกเสียงเบา หากแต่สีหน้าท่าทางไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความเห็นใจจ้าวจี้


 


“ลี่เอ๋อคำพูดพวกนี้เจ้ากล่าวได้เพียงแต่ในบ้าน หากเล็ดลอดออกไปจ้าวเติงกับจ้าวจินมันไม่เลิกราแน่! สำหรับพวกมันแล้วจ้าวจี้ก็เสมือนแก้วตาดวงใจ…ตอนนี้ต่อให้จ้าวเติงคิดมีบุตรอีกสักคน แต่กว่าจะเติบโตได้อย่างจ้าวจี้ต้องใช้เวลานับสิบๆปี…”


 


จ้าวจินกับจ้าวเติงรู้สึกอย่างไร กู่วืออวิ๋นเข้าใจพวกมันได้เป็นอย่างดี


 


หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับกู่ลี่ล่ะก็ มันเองก็ไม่พ้นต้องเป็นอย่างจ้าวจินและจ้าวเติง ไม่เพียงเท่านั้นมันอาจกระทั่งหนักหนาสาหัสกว่า อาจถึงขั้นคุ้มคลั่งเสียสติไปเลยก็เป็นได้


 


“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ”


 


กู่ลี่ที่รู้ว่ากู่ซืออวิ๋นกล่าวออกมาแบบนี้เพราะหวังดีต่อตัว ก็รีบรับคำอย่างเชื่อฟัง


 


“ลี่เอ๋อ ว่าแต่เสี่ยวเทียนไปที่ใดกัน ข้าคิดว่าเสี่ยวเทียนจะเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมเจ้าทันทีเลยเสียอีกหลังจากเจ้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์แล้ว อย่าได้บอกข้าว่าเสี่ยวเทียนไม่สนใจเจ้าแล้วขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนคนเดียว?”


 


กู่ซืออวิ๋นกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้


 


ตอนนี้ทั้งจ้าวจินและจ้าวเติงก็จากไปแล้ว กู่ลี่จึงสามารถเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้บิดามันฟังได้


 


อย่างไรก็ตามมันไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนออกมาโต้งๆ เลือกที่จะเกริ่นนำออกมาก่อน “ท่านพ่อ น้องหลิงเทียน ที่จริงแล้วเขามิได้แซ่หลิง…”


 


“อ้าว? มิใช่เขาเรียกว่า หลิงเทียน หรอกหรือ?”


 


กู่ซืออวิ๋นงุนงง


 


“หลิงเทียนเป็นเพียงนามของน้องหลิงเทียนเฉยๆ…ส่วนแซ่ของน้องหลิงเทียน ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วน้องหลิงเทียนแซ่อันใด?”


 


ขณะกล่าวถามกู่ลี่จงใจลากเสียงให้แลดูลึกลับ


 


“เพ้ย โลกนี้กว้างใหญ่สุดไพศาล แซ่ผู้คนมีมากมายดั่งดาราบนฟ้า…ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวเทียนใช้แซ่ใด?”


 


กู่ซืออวิ๋นโพล่งคำออกมาด้วยความหงุดหงิด “เอาล่ะ! ในน้ำเต้าเจ้าขายยาอันใดรีบกล่าว! แค่บอกข้ามาว่าเสี่ยวเทียนใช้แซ่ใด!”


 


“เขาใช้แซ่เดียวกับจ้าวตำหนักเมฆาคราม…”


 


กู่ลี่หัวเราะ


 


“แซ่เดียวกับจ้าวตำหนักเมฆาคราม? ต้วนหรูเฟิง? แซ่ของเสี่ยวเทียนคือต้วนหรือ?”


 


กู่ซืออวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย “เช่นนั้นนามเต็มของเสี่ยวเทียนไม่ใช่หลิงเทียนแต่เป็นต้วนหลิงเทียน…ช้าก่อน! ต้วนหลิงเทียน…ต้วนหลิงเทียน…ข้าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใดกันนะ ข้าจำไม่ได้แล้ว”


 


“ตราผนึกมาร”


 


กู่ลี่กล่าวแนะออกมาในเวลาอันสมควร


 


ตราผนึกมาร!


 


ได้ยินคำแนะของกู่ลี่ เสมือนเมฆหมอกรอบกายกู่ซืออวิ๋นได้อันตรธานหายไป กลายเป็นกระจ่างสดใสเริงร่าขึ้นมาทันที “โอ้! ข้าจำได้แล้ว…ชายหนุ่มที่โชคดีคนนั้นเรียกว่าต้วนหลิงเทียน! ข้าไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเทียนจะมีชื่อเดียวกัน ต้วนหลิงเทียน!”


 


“นามต้วนหลิงเทียนนับว่า…ยิ่งใหญ่ไม่น้อย! หายากนักที่จะมีผู้ใดหาญตั้ง!”


 


กู่ซืออวิ๋นหัวเราะ


 


เหตุผลที่มันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนที่มันรู้จัก คือต้วนหลิงเทียนในข่าวลือ เพราะมันมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปลอมแปลงรูปโฉม และมันก็เคยเห็นใบหน้าต้วนหลิงเทียนในข่าวลือมาก่อนแล้ว


 


ถึงแม้ทั้งคู่จะแลดูหล่อเหลาหน้าตาดี แตก็ยังมีความต่างอย่างเห็นได้ชัด


 


“ท่านพ่อ น้องหลิงเทียนเป็นคนถือครองตราผนึกมาร…”


 


เห็นชัดว่ากู่ซืออวิ๋นไม่ได้คิดโยง 2 คนเข้าด้วยกันเลย กู่ลี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ทำได้แค่กล่าวาบอกออกมาอีกครั้ง


 


“ว่าอะไร!?”


 


กู่ซืออวิ๋นที่ได้ยินคำของกู่ลี่ก็ตะลึงไปไม่น้อย ก่อนที่จะส่ายหัวไปมา “เป็นไปไม่ได้! ภาพเหมือนต้วนหลิงเทียนคนนั้นข้าเห็นมากับตา มิได้คล้ายเสี่ยวเทียนเราสักนิด…และข้ามั่นใจว่าเสี่ยวเทียนมิได้ปลอมแปลงรูปโฉม เว้นแต่ภาพต้วนหลิงเทียนคนนั้นจะเป็นภาพที่วาดจากใบหน้าปลอม หาไม่แล้วเสี่ยวเทียนมิมีทางเป็นคนๆนั้นได้!”


 


กู่ลี่ระบายลมหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ดูท่าถ้าไม่อธิบายบิดาคงไม่มีทางเข้าใจ “ท่านพ่อ เรื่องมันมีอยู่ว่า…”


 


สำหรับเรื่องที่มันจะบอกกับกู่ซืออวิ๋นนั้น กู่ลี่ได้ปรึกษากับต้วนหลิงเทียนมาก่อนแล้ว และต้วนหลิงเทียนก็เป็นคนอนุญาตให้กล่าวเล่าได้ ถ้าบอกแค่กู่ซืออวิ๋นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร


 


หลังจากที่ฟังกู่ลี่อธิบายเรื่องราวทั้งหมด กู่ซืออวิ๋นก็ตกตะลึงอึ้งไปอยู่นาน


 


อัจฉริยะที่ร้ายกาจปานปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นที่เขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ลี่เฟิง ไม่ใช่ศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียน หากแต่เป็นตัวต้วนหลิงเทียนเอง!


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนในรูปโฉมหลิงเทียนนั้น ก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริง!


 


รูปลักษณ์ที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนก็คือใบหน้าที่อยู่ในภาพเหมือน ที่เคยแพร่กระจายออกมาในอดีต!


 


กู่ซืออวิ๋นไม่เพียงแต่เคยเห็น อันที่จริงมันยังมีรูปเหมือนใบนึงอยู่กับตัวด้วยซ้ำ!


 


“เฮ่อ…”


 


หลังจากกางรูปเหมือนที่ม้วนเก็บไว้นานปีออกมาชมดู กู่ซืออวิ๋นก็ถอนหายใจออกมา “ที่แท้นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของเสี่ยวเทียน! อย่างไรก็ตามโชควาสนาของเสี่ยวเทียนนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ถึงกับได้ถือครอง 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนอย่าง ตราผนึกมาร! ตราผนึกมารนั่น..ถือเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีพลังอำนาจดั่งฝันร้ายของผู้ฝึกมารทั่วหล้า!”


 


“ลี่เอ๋อ..”


 


ทันใดนั้นสีหน้าของกู่วืออวิ๋นกลายเป็นจริงจังเคร่งเครียด สองตามองจ้องกู่ลี่อย่างหนักแน่น “ตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวเทียนเจ้ามิอาจแพร่งพรายออกไปได้เด็ดขาด…หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เสี่ยวเทียนต้องตกเป็นเป้าของผู้ชนแน่ ไม่เพียงแต่จะแค่สกุลจ้าว กระทั่งยอดฝีมือทั่วภูมิภาคเบื้องล่าง ไม่สิ กระทั่งภูมิภาคเบื้องบนต้องเคลื่อนไหวแน่!”


 


ความเย้ายวนใจของตราผนึกมารมันมากมายแค่ไหน กู่ซืออวิ๋นรู้ดี


 


หากมันไม่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นเหมือนคนในครอบครัว มันเองก็คงฆ่าคนชิงของเช่นกัน!


 


เพราะความล่อลวงเย้ายวนใจของตราผนึกมารมันมหาศาลเกินไป!


 


“ข้ารู้แล้วท่านพ่อ…”


 


กู่ลี่พยักหน้า “ที่ข้าเอาเรื่องนี้มาบอกกับท่าน เพราะข้าหารือกับน้องหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว…สำหรับคนอื่นให้ตายข้าก็ไม่มีวันพูดออกไปแน่ ถ้าน้องหลิงเทียนไม่ยินยอม!”


 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว…”


 


กู่ซืออวิ๋นพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่นี่เจ้ายังมิได้บอกข้าเลย…ว่าไฉนเสี่ยวเทียนถึงได้ออกไปโดยไม่รอเจ้า ใช่เสี่ยวเทียนไปภูมิภาคเบื้องบนคนเดียวหรือไม่?”


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นท่านพ่อ”


 


กู่ลี่ส่ายหัว “น้องหลิงเทียนไปตำหนักเมฆาคราม ส่วนข้าก็อยู่รอเพื่อบอกลาท่าน…อีกไม่กี่วันข้าเองก็จะไปหาน้องหลิงเทียนที่ตำหนักเมฆาครามเช่นกัน หลังจากนั้นพวกเราจะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน”


 


“ตำหนักเมฆาคราม? เสี่ยวเทียนไปทำอันใดที่ตำหนักเมฆาครามกัน?”


 


กู่ซืออวิ๋นขมวดคิ้ว “หรือตำหนักเมฆาครามส่งคนมาลอบยื่นข้อเสนอลับให้เสี่ยวเทียนกระทั่งข่มขู่อันใด เสี่ยวเทียนจึงคิดย้ายข้าง…เปลี่ยนไปอยู่ตำหนักเมฆาคราม?”


ตอนที่ 1,832 : ทัพเกราะทมิฬ ตำหนักเมฆาคราม!


 


“ท่านพ่อ…น้องหลิงเทียนกับข้าเจียนขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนอยู่รอมร่อ แล้วเขายังจะย้ายข้างไปตำหนักเมฆาครามทำอะไรเอาป่านนี้เล่า?”


 


กู่ลี่ถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง หลังได้ยินคำของกู่ซืออวิษน


 


“หากไม่ใช่เรื่องนี้…แล้วเสี่ยวเทียนไปตำหนักเมฆาครามทำอันใดเล่า?”


 


กู่ซืออวิ๋นพยักหน้ารับ ค่อยยู่คิ้วถามด้วยสงสัย


 


ก็จริงในเมื่อสหายน้อยผู้นั้นของมันคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องย้ายข้างเปลี่ยนฝั่งไปเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาคราม เพราะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย


 


“ตำหนักเมฆาครามเป็นบ้านน้องหลิงเทียน แล้วเขาจะกลับบ้านไปทำอันใดได้ หากไม่ใช่ไปพบหน้าครอบครัว?”


 


กู่ลี่ถอนหายใจออกมาด้วยมวลอารมณ์


 


“ว่าอะไร?”


 


กู่ซืออวิ๋นมองกู่ลี่ด้วยสายตาอื้ออึง “กลับบ้าน? ตำหนักเมฆาครามน่ะหรือบ้านเสี่ยวเทียน เจ้าหมายความว่าอะไร…เสี่ยวเทียนไปเกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักเมฆาคราม พบหน้าครอบครัวอันใด? ไม่สิหากเขามีสัมพันธ์อันใดกับตำหนักเมฆาคราม..แล้วจะมาเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับเราทำอะไรแต่แรก?”


 


“และหากเสี่ยวเทียนมาจากตำหนักเมฆาครามจริง ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้สมควรมิใช่ชนชั้นธรรมดา…แต่ไฉนข้ากลับมิเคยได้ยินว่าในตำหนักเมฆาครามมีอัจฉริยะเช่นนี้มาก่อน?”


 


หลังกล่าวจบประโยค กู่ซืออวิ๋นก็ส่ายหัวไปมา


 


“ท่านพ่อ ท่านยังจำต้นกำเนิดของจ้าวตำหนักเมฆาครามได้หรือไม่?”


 


กู่ลี่กล่าวถาม


 


แม้จะไม่ทราบว่าลูกชายตัวเองถามเรื่องนี้ทำไม แต่กู่ซืออวิ๋นก็พยักหน้าตอบไป “แน่นอนว่าข้าย่อมจำได้! จ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงผู้นั้น เป็นยอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดอยู่ที่ทวีปมนุษย์…และนี่ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา ที่มีคนจากทวีปมนุษย์ครองอำนาจและเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ระดับนี้”


 


“แล้วถ้าข้าบอกท่านพ่อว่า…น้องหลิงเทียนเองก็มาจากทวีปมนุษย์ด้วยเล่า?”


 


กู่ลี่กล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“อะไรนะ! เสี่ยวเทียนเองก็มาจากทวีปมนุษย์ด้วย!?”


 


กู่ซืออวิ๋นตกตะลึงไปไม่น้อย ครู่ต่อมามันก็เริ่มกล่าวพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทวีปมนุษย์สามารถเพาะสร้างยอดฝีมืออันร้ายกาจปานปีศาจได้บ่อยครั้งขนาดนี้?”


 


“ท่านพ่อ…น้องหลิงเทียนเป็นลูกชายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม ทั้งยังเป็นลูกชายคนเดียว”


 


กู่ลี่กล่าวต่อ เมื่อเห็นว่าบิดาของมันไม่คิดจะเชื่อมโยงอะไรเลย


 


คำของกู่ลี่เหมือนระเบิดลงไม่มีผิด พาลให้กู่ซืออวิ๋นอื้ออึงไปราวตัวโง่งม เนิ่นนานกว่าจะฟื้นคืนสติ อดไม่ได้ที่จะมองถามกู่ลี่ด้วยความตกใจ “ลี่เอ๋อที่เจ้ากล่าวเป็นเรื่องจริง?! เสี่ยวเทียนน่ะหรือ..เป็นบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!?”


 


“เรื่องจริง!”


 


กู่ลี่พยักหน้า


 


“แต่…ในเมื่อเสี่ยวเทียนเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม แล้วไฉนถึงต้องมาเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับเราด้วย?”


 


เรื่องนี้กู่ซืออวิ๋นยังงงไม่หาย ด้วยไม่เข้าใจจริงๆ


 


อย่างไรก็ตามหลังได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากกู่ลี่ กู่ซืออวิ๋นก็พอจะเข้าใจได้


 


ที่แท้ต้วนหลิงเทียนทำเบาะแสที่บิดาเหลือทิ้งไว้ให้ขาดหาย ทำให้ไม่ได้ไปยังตำหนักเมฆาครามตั้งแต่แรกที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และไม่รู้ถึงตัวตนของบิดาแต่แรก


 


จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พอได้ยินนามเต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาคราม และความเป็นมาที่สอดคล้องหลายๆอย่างทำให้ตระหนักได้


 


จ้าวตำหนักเมฆาครามที่แท้คือบิดาของเขา!


 


และนัน่ทำให้เขารีบเดินทางไปยังตำหนักเมฆาครามเพื่อพบหน้าครอบครัวทันที


 


“ที่แท้เรื่องราวกลับเป็นเช่นนี้นี่เอง…จ้าวเติงกับจ้าวจินมันไม่รู้ภูมิหลังของเสี่ยวเทียน…หาไม่แล้วต่อให้พวกมันมีความกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่าพวกมันก็ไม่กล้าตอแยเสี่ยวเทียน!”


 


กู่ซืออวิ๋นกล่าวคำออกแน่นหนัก สองตาทอประกายสว่างจ้า


 


“ท่านพ่ออัตลักษณ์น้องหลิงเทียนค่อนข้างละเอียดอ่อน ยากที่จะเปิดเผยออกไป…เพราะไม่เพียงแต่เขาจะเป็นลูกชายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม แต่เขายังถือครองตราผนึกมารด้วย! หากข่าวเรื่องตราผนึกมารแพร่กระจายออกไป ข้ากลัวว่ากระทั่งตำหนักเมฆาครามก็ยากจะปกป้องเขาได้ เพราะยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่พ้นถูกอำนาจของตราผนึกมารล่อลวง”


 


กู่ลี่กล่าวออกด้วยใบหน้าเป็นกังวล


 


“นั่นสิ ความเย้ายวนใจของตราผนึกมารมันมีมากเกินไปจริงๆ!”


 


กู่ซืออวิ๋นครุ่นคิดอย่างจริงจัง ค่อยมองกู่ลี่กล่าวว่า “เช่นนั้นด้วยเหตุนี้เรามิอาจเปิดเผยภูมิหลังของเสี่ยวเทียนออกไปได้เด็ดขาด…หาไม่แล้วทั้งเขาและตำหนักเมฆาครามต้องพบพานหายนะแน่! คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!”


 


“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ”


 


กู่ลี่กล่าวตอบด้วยความจริงจัง


 


ส่วนอีกด้านนั้น จ้าวเติงกับจ้าวจินได้แต่กลับบ้านไปนั่งเครียดกันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว


 


จนถึงตอนนี้พวกมันก็ไม่มีเบาะแสใดๆเลยว่าจี้เอ๋อของพวกมันตายอย่างไร..


 


พลังฝีมือของพวกมันนับว่าร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว อนิจจากลับไม่รู้จะฟาดงวงฟาดงาไปที่ใคร…


 


“หากคิดหาฆาตกรฆ่าจี้เอ๋อ ตอนนี้พวกเราเหลือวิธีเดียวเท่านั้น…”


 


จ้าวจินกล่าวออกเสียงเข้ม


 


“ท่านพ่อหมายถึงหลิงเทียนงั้นหรือ?”


 


จ้าวเติงถาม


 


“ถูกแล้ว”


 


จ้าวจินหยักหน้ารับค่อยกล่าว “เท่าที่ข้ารู้มาหลิงเทียนนั่นมันนัดกับสารเลวน้อยกู่ลี่เอาไว้แล้วว่าจะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน…หากแต่ตอนนี้มันกลับเดินทางออกไปคนเดียว ทั้งๆที่สารเลวน้อยกู่ลี่ก็บรรลุถึงเซียนมนุษย์เรียบร้อย แต่มันก็ไม่ได้ออกไปกับหลิงเทียน…”


 


“ข้าคิดมาโดยตลอด…ตอนนี้หลิงเทียนยังมิควรไปยังภูมิภาคเบื้องบนอย่างที่เจ้าบอก อีกทั้งทิศทางที่มันมุ่งหน้าไป ก็ไม่ใช่ทางไปภูมิภาคเบื้องบน…มันสมควรไปทำธุระอันใดสักอย่าง!”


 


จ้าวจินกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“ท่านพ่อ…เช่นนั้นพวกเราไม่ไปถามกู่ลี่ดูเล่าว่าหลิงเทียนมันไปไหน?”


 


สองตาจ้าวเติงทอประกายวูบวาบเร่งกล่าว


 


“ฮึ่ม! เจ้าคิดว่าสารเลวน้อยกู่ลี่มันจะบอกเจ้ารึไง?!”


 


จ้าวจินกล่าวตอบเสียงเย็นเจือความไม่สบอารมณ์ แววตาที่ใช้มองจ้าวเติงยังทำราวกับชมมองตัวโง่งม


 


หากเป็นคนอื่นใช้สายตาแบบนี้มองมา จ้าวเติงคงมีโมโหทั้งเดือดดาลแผลงฤทธิ์ใส่ไปแล้ว แต่นี่เป็นบิดาของมัน ไหนเลยมันจะกล้าเผยทีท่าไม่พอใจออกมาได้?!


 


“ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำอะไร?”


 


จ้าวเติงกล่าวถามอีกครั้ง


 


“เจ้าไปจับตาดูสารเลวน้อยกู่ลี่ไว้เสีย…หากพวกเราคิดหาตัวหลิงเทียน มันคือเบาะแสสำคัญเพียงหนึ่งเดียว! หากมันไม่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับก็ดีไป แต่หากมันออกไปพบเจอหลิงเทียนด้านนอกล่ะก็…ได้รู้กัน!”


 


จ้าวจินกล่าวออกเสียงเหี้ยม


 


“ตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่นไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง!”


 


สองตาจ้าวเติงทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันใด ยังลอบชื่นชมบิดาตัวเองไม่น้อย สมแล้วที่ว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน!


 


ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในตำหนักฟ้าลี้ลับเลย


 


ตอนนี้เขาเดินทางเข้าใกล้เขตพื้นที่ของตำหนักเมฆาครามแล้ว


 


ตำหนักเมฆาครามนั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ตำหนักหลักยังลอยล่องอยู่เหนือทะเลสาบมหึมาที่กว้างใหญ่สุดลุกหูลูกตา


 


เรียกว่ายามยืนอยู่ริมฝั่งของทะเลสาบ แล้วทอดตามองออกไปหมายชมดูอีกฝั่งล่ะก็…เกรงว่าคงต้องผิดหวัง! เพราะไม่เพียงไม่อาจแลเห็น ยังให้ความรู้สึกเสมือนยืนอยู่ริมหาดและกำลังชมมองมหาสมุทรสุดไพศาล!!


 


นี่คือทะเลสาบ ‘ผานหลง’ ที่ห้อมล้อมพื้นที่ตำหนักเมฆาครามเอาไว้


(มังกรขนด)


 


ทั้งทะเลสาบประหนึ่งมังกรตัวเขื่องที่กำลังขนดขดตัว ห้อมล้อมพื้นที่ของตำหนักตำหนักเมฆาครามเอาไว้…นับว่าสมชื่อทะเลสาบผานหลง ของมัน


 


“ตำหนักเมฆาคราม…ท่านแม่ เทียนเอ๋อคนนี้จะไปพบท่านแล้ว!”


 


“เสี่ยวเฟยเอ๋อ ข้ามาแล้ว…ข้าจะได้เจอเจ้ากับลูกของเราแล้ว!”


 


“ท่านพ่อข้ามาแล้ว…”


 


นอกทะเลสาบผานหลง ต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องอยู่เหนือฟ้า มองไปยังทะเลสาบกว้างใหญ่สุดสายตาเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น


 


หลังจากนิ่งมองอีกพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สงบอารมณ์ตื่นเต้นลงได้ ค่อยๆเหินร่างเข้าเขตทะเลสาบผานหลงทันที


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างล่วงล้ำเข้ามาเหนือน่านฟ้าทะเลสาบผานหลงได้ไม่ทันไร ทะเลสาบผานหลงที่เคยเงียบสงบคล้ายกลายเป็นลำน้ำอันเชี่ยวกราด ระลอกคลื่นซัดกวาดออกไปทั่วทิศ เสียงหนึ่งดังขึ้นดังสนั่นไปทั่ว


 


เป็นเสียงกลุ่มคนมากมาย กำลังพุ่งทะยานแหวกน่านฟ้าเหนือทะเลสาบเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง!


 


“ผู้ใดกล้าบุกเข้ามายังอาณาเขตตำหนักเมฆาครามของเรา!”


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงดังปานฟ้าร้องก็ดังก้องเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


เรียกว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนล่วงล้ำเข้ามาเหนือน่าฟ้าของทะเลสาบผานหลง ร่างกลุ่มคนที่ไม่ทราบมาจากไหนพลันเหินร่างพุ่งมาปิดล้อมเขาแทบจะทันที!


 


“สัตว์ร้าย?”


 


ขณะเดียวกันลูกตาต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังร่าง 10 ร่างที่ใหญ่โตมหึมาแลดูน่าเกรงขาม…พวกมันเป็นสัตว์ร้ายตัวเขื่อง!


 


บนด้านหลังของสัตว์ร้ายตัวเขื่องยังมีร่างสีดำยืนตระหง่านอยู่ ดูคล้ายทั้งหมดจะเป็นทหาร ต่างมากันในชุดเกราะสีดำสนิท!


 


ทหารเหล่านี้ให้ความรู้สึกเย็นชาน่าเกรงขาม แต่ละคนสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์


 


“องครักษ์เกราะทมิฬ?”


 


ก่อนที่จะมาต้วนหลิงเทียนก็ได้หาข้อมูลของตำหนักเมฆาครามเอาไว้คร่าวๆแล้ว เขารู้ว่าตำหนักเมฆาครามจะมี องครักษ์เกราะทมิฬ คอยปกปักษ์รักษาความปลอดภัยอยู่ และยังเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งลือชื่อของตำหนักเมฆาครามอีกด้วย


 


องครักษ์เกราะทมิฬที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุด ก็อยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น


 


ในตำหนักเมฆาครามนั้น มีเพียงผู้ที่บรรลุด่านพลังอริยะเซียนแล้วเท่านั้นถึงจะมีโอกาสทดสอบเพื่อเข้าร่วมกับองครักษ์เกราะทมิฬ


 


และเพราะกองกำลังองครักษ์เกราะทมิฬมักจะมีเพียง 1,000 คนเท่านั้น พวกมันจึงถูกเรียกขานกันว่า กองพันเกราะทมิฬ!


 


กองพันเกราะทมิฬนี้มีเชียนฟูฉาง 1 คน ไป่ฟูฉาง 10 คน และ สือฟูฉ่าง 100 คน


(เชียน,ไป่,สือฟูฉาง = นายพัน นายร้อย นายสิบ ขอทับศัพท์นะ)


 


และเชียนฟูฉางก็คือผู้บัญชาการทัพเกราะทมิฬ นอกจากนั้นมันยังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีของตำหนักเมฆาคราม!


 


ส่วนไป๋ฟูฉางทั้ง 10 คนนั้น มักถูกเรียกว่านายกอง พลังฝึกปรือของพวกมันผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ


 


ส่วนสือฟูฉางนั้น มักถูกเรียกว่าหัวหน้าหมู่และคนที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็บรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด!


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนกล่าวกันว่าตำหนักเมฆาครามแข็งแกร่งพอจะคานอำนาจกับตลาดมืดหยินชานได้…แต่หน่วยองครักษ์ที่มีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยยังมีพลังขนาดนี้…เทียบกับตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วคนละเรื่อง ขุมพลังของตำหนักฟ้าลี้ลับเซียนปฐพีก็มีแค่ชนชั้นจ้าวตำหนักกับผู้พิทักษ์เท่านั้น ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญขึ้นไปก็มีไม่ถึง 10’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


และขุมพลังที่น่ากลัวนี้ ก็คือกองกำลังที่อยู่ภายใต้บัญชาของบิดาเขา!


 


‘บิดาไม่เอาไหนของข้าหายตัวไปไม่ถึง 20 ปี ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในทวีปเมฆาล่อง…แสดงว่าในเวลาไม่ถึง 20 ปีไม่เพียงแต่จะสร้างชื่อให้ตัวเอง ยังไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม กระทั่งยกระดับตำหนักเมฆาครามจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เคยมีอำนาจอยู่ในระดับสามัญให้ผงาดขึ้นมาถึงยอดปิรามิดแห่งอำนาจ คานงัดกับตลาดมืดหยินชานได้อย่างไม่เสียเปรียบ!’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทึ่ง ด้วยไม่ทราบว่าในเวลาแค่นี้บิดาของเขาทำได้อย่างไร


 


หากเป็นเขาเกรงว่าคงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้


 


“หากไม่มีกิจธุระอันใด เชิญออกไปให้พ้นอาณาเขตของทะเลสาบผานหลงภายใน 10 ลมหายใจเสีย! หาไม่แล้ว ตาย!!”


 


เมื่อเห็นหลิงเทียนลอยร่างนิ่งเงียบคล้ายไม่ได้แยแสอะไรพวกมัน คนผู้หนึ่งพลันก้าวออกมาประกาศเสียงดัง น้ำเสียงดังดุร้ายน่ากลัวนัก!


 


คนที่กล่าวนั้น สมควรเป็นผู้นำของทหารเกราะทมิฬทั้ง 10


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นอีกฝ่ายก้าวออกมาประกาศคำก็ใช้เนตรเทวะสำรวจพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายทันที และเขาพบว่าพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุด…


 


‘ดูเหมือนว่าจะเป็นสือฟูฉาง…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา


 


“พี่ชายสือฟูฉาง เหตุผลที่ข้ามาเยือนตำหนักเมฆาคราม เพราะข้ามาหาจ้าวตำหนักเมฆาคราม”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เปิดเผยตัวตนในฐานะนายน้อยของพวกมันออกไป แต่บอกว่าจะมาหาจ้าวตำหนักเมฆาครามของพวกมันแทน


 


“มิทราบเจ้าเป็นผู้ใด? และต้องการพบท่านจ้าวตำหนักของพวกเราด้วยเหตุใด?”


 


สือฟูฉางกล่าวถามออกมาอีกครั้ง คราวนี้ในน้ำเสียงลดทอนความดุร้ายลงไปหลายส่วน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)