War sovereign Soaring The Heavens 1821-1824

 ตอนที่ 1,821 : เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นเรอะ!?


 


‘ตู้กูเหนือ…หรูเฟิงใต้…ให้ตายเถอะ! ข้าควรคิดได้ตั้งนานแล้ว!!’


 


พอได้รับคำยืนยันจากปากของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกฟอด หลังจากนั้นค่อยสงบจิตสงบใจลงได้


 


ที่แท้บิดาไม่เอาไหนของเขากลับเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาคราม!


 


‘ให้มันได้ยังงี้สิ…น่าเหลือเชื่อชะมัด!’


 


ถึงแม้จะยืนยันได้แล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกอึ้งทึ่งอยู่บ้าง!


 


บิดาไม่เอาไหนของเขาเนี่ยนะ จ้าวตำหนักเมฆาคราม!


 


ตำหนักเมฆาครามคืออะไร?!


 


1 ใน 2 ยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคเบื้องล่าง!!


 


ถึงแม้จะเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นกันแต่กลับมีพลังอำนาจสยบปราบได้ทุกขุมพลังกึ่งชั้น 3 แทบทั้งหมด! เป็นขุมกำลังเดียวที่มีพลังอำนาจทัดทานกับตลาดมืดหยินชานได้!


 


และว่ากันว่ามีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ตำหนักเมฆาครามสามารถงัดข้อกับตลาดมืดหยินชานได้…พลังฝีมือส่วนตัวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!


 


และจ้าวตำหนักเมฆาครามนั่น กลับเป็นบิดาไม่เอาไหนของเขา ต้วนหรูเฟิง!


 


หากไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ ถึงแม้จะได้ยินว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามเรียกว่าต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ยากที่จะโยงจ้าวตำหนักในตำนานนั่นกับบิดาไม่เอาไหนที่ปล่อยให้ลูกเมียลำบากอยู่ 20 กว่าปีได้…เพราะโลกนี้ผู้ที่ชื่อแซ่ซ้ำกันมีเยอะแยะมากมายนัก!


 


เรื่องบังเอิญเป็นเรื่องปกติ!


 


ทว่าตอนนี้เรื่องราวกลับต่างออกไป เพราะไม่เพียงแต่ชื่อจะเหมือนบิดาไม่เอาไหนแล้ว จ้าวตำหนักเมฆาครามยังมี จุดร่วม กับบิดาไม่เอาไหนของเขาอีกหลายข้อ


 


มาจากทวีปมนุษย์เช่นเดียวกัน!


 


ไม่กี่ปีที่แล้วพาครอบครัวจากทวีปมนุษย์มาอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม!


 


ผงาดขึ้นมามีชื่อเสียงในเวลาแค่ 2 ทศวรรษ!


 


บังเอิญชื่อเหมือนเรื่องหนึ่งยังพอว่า แต่หากเหมือนกัน 2 จุด กระทั่ง 3 จุดเล่า?


 


ยังจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อีกหรือ!


 


ดังนั้นหลังจากได้รับทราบข้อมูลของจ้าวตำหนักเมฆาครามเพิ่มเติมจากกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง เป็นบิดาไม่เอาไหนของเขาแน่นอน!


 


‘ที่แท้ท่านพ่อเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม…ถ้างั้นเรื่องในกาลก่อนก็มีเหตุผล’


 


พอยืนยันได้ว่าบิดาไม่เอาไหนคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนก็นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต และพบว่าทุกอย่างลงตัวพอดี


 


‘กล่าวได้ว่า…หยกบันทึกเสียงในกล่องประหลาดนั่น คือจุดนัดพบที่จะทำให้ข้าไปเจอคนของท่านพ่องั้นสินะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนจดจำเรื่องนี้ได้ดี หยกบันทึกเสียงนั่นมันบิ่นแตกไป เพราะเขาคิดเปิดกล่องด้วยการใช้กำลัง จึงทำให้ข้อความขาดหาย


 


ด้วยเหตุนั้นทำให้เขาต้องเดินทางท่องดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพียงลำพัง ใต่เต้าจากชายแดนด้วยความพยายามอย่างหนัก


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฉวี่ยไน่บอกว่าท่านพ่อไม่ธรรมดา…ไม่ธรรมดาจริงๆ’


 


พอนึกถึงเรื่องที่หานเฉวี่ยไน่กล่าวบอก ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม


 


จ้าวตำหนักเมฆาคราม!


 


1 ใน 2 สุดยอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง


 


ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ นอกจากผู้สังเกตการณ์ ที่ถูกส่งมาโดยขุมพลังชั้น 1 แล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้นำตลาดมืดหยินชาน ตู้กูเหนือ กับจ้าวตำหนักเมฆาคราม หรูเฟิงใต้ ร้ายกาจที่สุด…


 


‘หากหยกบันทึกเสียงที่พ่อทิ้งไว้ให้ข้าไม่เสียหาย…หมายความว่าป่านนี้ข้าคงอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม ได้เป็นจ้าวตำหนักน้อยอย่างสบายใจแล้วสิ?’


 


จังหวะนี้เองต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยมวลอารมณ์ซับซ้อน


 


ที่แท้บิดาไม่เอาไหนที่เขาหมายตามหาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม


 


หากเขารู้แต่แรกเขาคงไม่เถลไถลไปไหนมากมาย…


 


‘อย่างไรเสียแม้การเดินทางของข้าจะพบเจอเรื่องราวยากลำบากมากมาย…แต่ผลที่ได้ก็ดีไม่น้อย ได้เจอศิษย์พี่ป๋าย พี่กู่ หากข้าไปตำหนักเมฆาครามแต่แรกข้าคงพลาดเรื่องราวเหล่านี้’


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าที่เหนื่อยมาตลอดมันคุ้มค่าแล้ว


 


‘และหากข้าไปตำหนักเมฆาครามเลย ข้าคงไม่ได้มาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ และหากไม่ได้มาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ข้ายังจะได้เข้าแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับอีกเหรอ…เช่นนั้นก็ไม่มีทางได้รับมรดกเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน นั่นมาได้เลย’


 


ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับสูงมาถึง 2 ชนิด เวทย์พลังสายกระบี่จู่โจมอย่าง ‘เซียนอมตะข้ามภพ’ นั้น นับว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย!


 


แต่ปฐมเวทย์กลืนกินนั่น กลับต่างออกไป!


 


กระทั่งแดนลับเซียนของตำหนักเมฆาครามก็ไม่มีเวทย์พลังระดับนี้!!


 


โดยทั่วไปแล้วการที่หยกบันทึกเสียงบิ่นแตกเสียหายไป กลับเป็นเรื่องดีสำหรับต้วนหลิงเทียน


 


สิ่งที่เสียไปมีเพียงโอกาสที่จะได้เจอครอบครัวในเวลาอันสั้นเท่านั้น


 


แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ เวทย์พลังล้ำค่า 2 ชนิด และสหายอันดี!


 


‘แต่ถ้าข้าไปตำหนักเมฆาครามแต่แรกและกลายเป็นจ้าวตำหนักน้อย ข้าสามารถพาเค่อเอ๋อกับเสี่ยวเฟยเอ๋อมาที่ตำหนักเมฆาครามได้ทันที! หากเป็นแบบนั้นพวกนางก็ไม่ต้องตกระกำลำบากอะไรด้วยน้ำมือของมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บอย่างตี้จิ่วนั่น! นอกจากนั้นต่อให้พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อมาพบ นางก็ไม่น่าจะนำเค่อเอ๋อไปภายใต้ความคุ้มครองของตำหนักเมฆาคราม!’


 


คิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะดิ่งลง


 


“น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป มีเรื่องใดหรือไม่?”


 


เมื่อเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนบัดเดี๋ยวดีบัดเดี๋ยวร้าย กู่ลี่อดเป็นห่วงไม่ได้ เร่งถามออกมาทันที


 


“ข้าสบายดีพี่กู่”


 


ต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัวหลังได้ยินเสียงถามไถ่ของกู่ลี่


 


เขารู้ดีแก่ใจว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว คิดไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์!


 


ได้อย่างเสียอย่าง…ชีวิตคนเราก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นแบบนี้ตลอดหรือ?


 


“น้องหลิงเทียนเจ้าบอกว่าสบายดี…แต่ไฉนหลังจากที่เจ้าได้ยินนามของจ้าวตำหนักเมฆาครามแล้ว อารมณ์ของเจ้าแลดูตื่นเต้นนักเล่า เรื่องนี้บอกข้าได้หรือไม่?”


 


กู่ลี่ถาม


 


หลังจากถามจบ มันก็กล่าวเพิ่มเติม “แน่นอนว่าหากเจ้าไม่สะดวกก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยถาม”


 


“พี่กู่ ถึงแม้พวกเราจะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ท่านนับว่าเป็นสหายที่ดี ข้าเชื่อใจท่าน…เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูด”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ที่ข้าตื่นเต้นไปหลังได้ยินเรื่องของจ้าวตำหนกเมฆาคราม เพราะอีกฝ่ายนั้นนามเหมือนกับบิดาข้า…”


 


“โอ้? นามบิดาเจ้ากับจ้าวตำหนักเมฆาครามเหมือนกันงั้นหรือ?”


 


กู่ลี่โพล่งกล่าวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดเลยว่าโลกนี้กลับมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้…อย่างไรก็ตามแม้นามของบิดาเจ้ากับจ้าวตำหนักเมฆาครามจะเหมือนกัน แต่ไฉนเจ้าถึงได้ตื่นเต้นนักเล่าน้องหลิงเทียน?”


 


กู่ลี่กล่าวถามสืบต่อ เพราะท่าทางตื่นเต้นก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนมันแลดูเกินไปอยู่บ้าง


 


ชื่อเหมือน?


 


ได้ยินคำของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา ค่อยกลาวต่อ “ท่านพ่อกับข้าก็มาจากทวีปมนุษย์…”


 


“อะไร!?”


 


ได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน ลุกตากู่ลี่หดเล็กลงทันใด เผยความตื่นตระหนกให้เห็น “น้องหลิงเทียนเจ้า…ที่แท้กลับมาจากทวีปมนุษย์งั้นหรือ…ผู้ที่มาจากทวีปมนุษย์ใช่เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนพวกเจ้าหมดหรือไม่ จ้าวตำหนักเมฆาครามก็คนนึงแล้ว ยังมีเจ้าอีก…”


 


“ไหนจะยังบิดาเจ้า…เจ้าร้ายกาจขนาดนี้ บิดาของเจ้าก็ไม่ควรอ่อนแอใช่หรือไม่?”


 


ฟังจากคำถามของกู่ลี่ ดูเหมือนมันจะยังไม่ได้เชื่อมโยงจ้าวตำหนักเมฆาครามกับบิดาของต้วนหลิงเทียนเข้าด้วยกัน


 


มันคิดแค่ว่าต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวบอก ต้นกำเนิด ว่าทั้งพ่อทั้งลูกล้วนมาจากทวีปมนุษย์แค่นั้น


 


“พี่กู่…จ้าวตำหนักเมฆาครามคือบิดาของข้า”


 


เมื่อเห็นว่ากู่ลี่นั้นความรู้สึกช้านัก ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะกล่าวบอกไปตรงๆ


 


เปรี๊ยง!


 


วาจาตรงๆนี้ของต้วนหลิงเทียน พอดังในหูของกู่ลี่ยังสนั่นปานอัสนียามแล้ง พาลให้กู่ลี่ตะลึงงันไปอย่างสมบูรณ์


 


จ้าวตำหนักเมฆาคราม…เป็นบิดาของศิษย์น้องหลิงเทียน?


 


“เป็นไปได้อย่างไร!?”


 


สุดท้ายกู่ลี่มองมาที่ต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวถามด้วยท่าทางไม่เข้าใจ “หากเจ้าเป็นบุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม เจ้าก็คือจ้าวตำหนักน้อย…แล้วจ้าวตำหนักน้อยเช่นเจ้าจะมาตำหนักฟ้าลี้ลับของเราทำอะไร?”


 


“ยัง…ไม่สิ! เจ้าเรียกว่าหลิงเทียน หากแต่แซ่ของจ้าวตำหนักเมฆาครามคือต้วน…ต้วน…หลิงเทียน…ต้วนหลิงเทียน! เจ้า…เจ้าคงไม่ใช่คนที่ถือครองตราผนึกมารและโด่งดังขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วหรอกนะ?”


 


“ไม่สิ! ข้าเห็นภาพคนที่ถือครองตราผนึกมารแล้ว เจ้าแลดูไม่คล้ายคนๆนั้นสักนิด…ไม่สิ! ทักษะแปลงโฉมของเจ้า….ลี่เฟิง ที่ปรากฏตัวในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับกลับไม่มีใครมองออก ทั้งหมดเพราะทักษะแปลงโฉมของเจ้า! เจ้า…เจ้าคงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนตัวจริงหรอกนะ?!”


 


ยิ่งกล่าวกู่ลี่ก็ยิ่งอื้ออึง พูดเองเออเองไปพักใหญ่ค่อยถามออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่น


 


“ถูกแล้วพี่กู่ ข้าคือต้วนหลิงเทียน…แล้วก็เป็นบุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามด้วย!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ ใบหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มเคลื่อนไหวอย่างอัศจรรย์ พริบตาก็หวนคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม!


 


“เป็นเจ้าจริงๆ!”


 


กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะถลึงตามองใบหน้าของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะรูปร่างหน้าตาของคนที่อยู่เบื้องหน้ามันตอนนี้เหมือนคนในรูปวาดเปี๊ยบ!


 


และคนในรูปนั่นก็คือ ต้วนหลิงเทียน ผู้ที่มีโชคได้ครอบครองตราผนึกมาร 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน!


 


“พอข่าวเรื่องตราผนึกมารแพร่ออกมาได้พักหนึ่ง เจ้าก็คล้ายจะหายตัวไปจากโลกหล้าอย่างไร้ร่องรอย ข้าหลงคิดว่าเจ้าถูกใครฆ่าตายไปแล้วเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะปลอมตัวเป็นลี่เฟิงไปก่อความวุ่นวายในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…สุดท้ายยังปลอมเป็นหลิงเทียนมาเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ!”


 


กู่ลี่ถอนหายใจออกมาค่อยเผยยิ้มขมขื่น มันไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องของมันคนนี้คือผู้โชคดีที่ได้รับตราผนึกมารไปครอง


 


“แต่นี่เจ้ามาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับข้า หรือเจ้าไม่กลัวหรือว่าเจ้าจะไม่ได้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ?”


 


สีหน้ากู่ลี่เผยความจริงจังออกมา


 


“พี่กู่จะขายข้ารึไง?”


 


เผชิญกับสีหน้าจริงจังของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนเพียงถามกลับด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่มีวัน”


 


กู่ลี่ก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นค่อยเผยยิ้ม แน่นอนว่ามันไม่ใช่คนประเภทที่จะทรยศสหายได้ลง!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมียอดศาสตราเซียนในครอบครอง 1 ชิ้น ให้มีสิบชิ้นร้อยชิ้นมันก็ไม่มีวันขายต้วนหลิงเทียน


 


“ตะ…แต่ว่า น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นนายน้อยของจ้าวตำหนักเมฆาครามจริงๆหรือ!?”


 


ไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าของกุ่ลี่ก็หายไปกลายเป็นจริงจัง มองถามต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ายืนยัน


ตอนที่ 1,822 : มรดกตกทอด ของสัตว์มารดึกดำบรรพ์!


 


“น้องหลิงเทียนในเมื่อเจ้าเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ด้วยฐานะของเจ้าใยปลอมตัวเป็นลี่เฟิงไปเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลี้ลับเพื่อช่วยน้องสาวเฉวี่ยไน่ของเจ้าให้ลำบากด้วยเล่า? ไม่ใช่เจ้าสั่งแค่คำเดียวก็น่าจะจบเรื่องแล้วหรอกเหรอ…คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไหนเลยจะกล้าขัดคำเจ้า?”


 


พอทราบว่าต้วนหลิงเทียนเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม กู่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องหนึ่ง


 


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเคยเล่าให้มันฟังก่อนหน้า


 


ในสายตามันด้วยฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาคราม แค่สั่งคำเดียวก็เรียกลมฝนได้แล้ว มีหรือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะหาญกล้าขัดคำ!


 


กระทั่งเป็นนายน้อยของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นกล่าววาจา คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ต้องเร่งกระทำดั่งประกาศิต! นับประสาอะไรกับคำของนายน้อยตำหนักเมฆาคราม! นั่นยิ่งกว่าประกาศิตฟ้าเสียอีก!!


 


“นอกจากนั้นเจ้าที่เป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม จะลำบากมาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับทำไม? หากเจ้าอยู่ตำหนักเมฆาคราม สมควรได้รับทรัพยากรบ่มเพาะมากกว่าที่นี่มิใช่หรือ?”


 


กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะงุนงง


 


“พี่กู่เป็นธรรมดาที่ท่านจะสงสัยเรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ตามท่านต้องรู้ด้วยว่า ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าบิดาข้าคือจ้าวตำหนักเมฆาครามจนกระทั่งวันนี้! ดังนั้นข้าเลยไม่รู้ว่าตัวข้ามีฐานะเป็นนายน้อยของตำหนักเมฆาคราม…ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ข้าต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง!”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ


 


“นี่มัน…จะเป็นไปได้ยังไงกัน?!”


 


กู่ลี่ถึงกับผงะไปเมื่อได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงปฏิกิริยาก่อนหน้าตอนที่ต้วนหลิงเทียนถามเรื่องจ้าวตำหนักเมฆาคราม กู่ลี่ก็เริ่มตระหนักได้ว่าสมควรเป็นเรื่องจริง


 


“น้องหลิงเทียน ไม่ใช่ว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามพึ่งย้อนกลับไปรับคนในครอบครัวมาที่ตำหนักเมฆาครามเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วหรอกหรือ ไฉนไม่พาเจ้ากลับมาด้วยเล่า?”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้กู่ลี่ก็งงอีกรอบ


 


“ท่านพ่อปล่อยให้ข้าอยู่ทวีปมนุษย์เพราะคิดเคี่ยวกรำข้า…อ่างไรก็ตาม ท่านพ่อได้ทิ้ง ‘กล่อง’ ไว้ให้ข้าใบหนึ่ง หลังจากที่ข้าบรรลุถึงด่านพลังสูงสุดของทวีปมนุษย์ข้าจะสามารถเปิดมันออกได้ และยามเดินทางมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็สามารถอาศัยเบาะแสในกล่องเพื่อรวมตัวกับครอบครัว…น่าเสียดายเพราะข้าดันทำให้เบาะแสที่บิดาทิ้งไว้ให้เสียหาย เลยเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงแบบนี้”


 


คิดถึงเรื่องที่หยกบันทึกเสียงในกล่องเสียหาย ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกรอบ


 


โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผู้คนนัก!


 


พอต้วนหลิงเทียนอธิบายออกมา กู่ลี่ก็เริ่มเข้าใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…อย่างไรก็ตามนี่นับว่าเป็นเรื่องดีอยู่บ้าง หากเจ้าไปตำหนักเมฆาครามแต่แรก พวกเราคงไม่ได้เจอกันแล้ว”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ หากแต่ลอบทอดถอนในใจ


 


“น้องหลิงเทียนในเมื่อเจ้ายืนยันได้แล้วว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคือบิดาของเจ้า แล้วเจ้าคิดจะไปหาท่านหรือไม่?”


 


กู่ลี่ถาม


 


“แน่นอน!”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ “ที่ข้าดั้นด้นเดินทางมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพราะคิดพบหน้าครอบครัวของข้าสักครั้งก่อนที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…ในเมื่อตอนนี้ข้ามีเบาะแสแล้ว ข้าย่อมต้องไปหาทุกคนเป็นธรรมดา”


 


หลังจากได้รับทราบว่าบิดาไม่เอาไหนคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนใคร่อยากให้แผ่นหลังมีปีกงอกเงยขึ้นมาสักสิบคู่ จะได้รีบโผบินไปให้เร็วที่สุด!


 


เพราะที่นั่นไม่ใช่แค่บิดามารดาเขาเท่านั้น ยังมีคู่หมั้นกับลูกน้อยของเขาอยู่ด้วย!


 


‘นับจากเวลา…ตอนนี้ลูกของข้ากับเสี่ยวเฟยเอ๋อน่าจะโตพอรู้ความแล้วสินะ?’


 


พอคิดถึงลี่เฟยกับลูกในท้องที่น่าจะโตแล้ว แววตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นอ่อนโยนลงทันใด ยังเหม่อลอยไปด้วยความคิดถึง


 


พอเห็นต้วนหลิงเทียนยื่นเหม่อทั้งยิ้มแย้มไปราวตัวโง่งม กู่ลี่ก็รู้ได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงครอบครัวอยู่ จึงไม่คิดจะรบกวนอะไร เพราะรู้ดีว่าหากไปขัดอีกฝ่ายตอนนี้ก็เสมือนมันก่ออาชญากรรมประการหนึ่ง


 


ดั่งที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ไม่มีผิด เพียงเวลาแค่ไม่นานเรื่องที่กู่ลี่ทะลวงผ่านถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วก็แพร่กระจายไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ ทำให้ทั้งตำหนักฮือฮาขึ้นมากันยกใหญ่


 


บรรยากาศอึมครึมหลังเรื่องเคล็ดมารกลืนหยินปรากฏ ก็คล้ายจะถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ


 


“จริงเรอะ! ศิษย์พี่กู่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว!”


 


“จึกๆๆ สมแล้วที่เป็นถึงบุตรชายของท่านอาวุโสผู้พิทักษ์! บุตรพยัคฆ์ไหนเลยเป็นสุนัขได้!!”


 


“เฮ่ๆ พี่ท่าน จะว่าไปกระทั่งท่านจ้าวตำหนักของเราเอง ยามทะลวงถึงขอบเขตมนุษย์มิใช่จะมีอายุมากกว่าศิษย์พี่กู่หลายปีหรอกหรือ?”


 


“หากศิษย์พี่กู่กลายเป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราอาจมีโอกาสกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เข้มแข็งอย่างตำหนักเมฆาครามกับตลาดมืดหยินชาน! เสียดายที่ศิษย์พี่กู่คิดเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนหลังบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์..”


 


“ตอนแรกก็หลิงเทียนคนนึงแล้ว มาตอนนี้ก็เป็นศิษย์พี่กู่ ทั้งคู่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่จะนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับเราให้รุ่งเรืองขึ้นทั้งนั้น…น่าเสียดายที่ใจอัจฉริยะล้วนแสวงหาจุดสูงสุด ต่างคิดขึ้นไปแสวงหาความก้าวหน้ายังภูมิภาคเบื้องบนทั้งคู่!”


 


……


 


เมื่อข่าวเรื่องที่กู่ลี่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์แพร่กระจายออกมา บรรดาอาวุโสทั้งหลายย่อมได้รับทราบ หากแต่ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงอยเหงาซึมเซาด้วยความเสียดาย…


 


พวกมันรู้ดี การที่กู่ลี่ทะลวงผ่านขอบเขตเซียนมนุษย์ได้แบบนี้ อีกฝ่ายก็คงอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับอีกไม่นานแล้ว


 


“กู่ลี่กลับทะลวงผ่านได้แล้วจริงๆ…”


 


ในคฤหาสน์ใหญ่โตหลังหนึ่ง รองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงเองก็ได้รับทราบข่าวนี้เช่นกัน


 


ขณะเดียวกันจากบทสนทนาโดยรอบที่กล่าวเปรียบเทียบมันกับกู่ลี่ ในทำนองว่ามันเทียบชั้นกู่ลี่ไม่ได้ ก็ทำให้มันรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย…


 


มันกับกู่ลี่ล้วนเป็นบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้งคู่ อนิจจายามมันมีอายุเท่ากู่ลี่ มันก็ยังเป็นได้แค่อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญแสนกระจ้อยร่อยเท่านั้น…


 


ไม่เปรียบเทียบก็แล้วไป…แต่พอเปรียบเทียบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสลดใจ! แม้พรสวรรค์ของมันจะนับว่าไม่ใช่ชั่วแล้ว แต่พอเทียบกับกู่ลี่ก็รู้สึกไร้เรื่องราวอยู่บ้าง!


 


ที่สำคัญคือพวกมันล้วนมีบิดาเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์!


 


รวมๆแล้วตอนนี้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่ทำให้บิดาอับอาย..


 


“ท่านพ่อ!”


 


ในขณะที่จ้าวเติงกำลังหดหู่ใจเพราะวาจาที่กล่าวกันไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นปลุกสติของมัน


 


ใบหน้าที่คล้ายมีเมฆหมอกปกคลุมให้อึมคลึมกลายเป็นกระจ่างใสดั่งแดดส่องทันทีเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย


 


นั่นเพราะเสียงนี้เป็นเสียงบุตรชายคนเดียวของมัน จ้าวจี้ ที่หายตัวไปเกือบ 2 ปี!


 


ตั้งแต่วันที่จ้าวคุนปะทะกับหลิงเทียนแถวโถงเป็นตาย มันก็ไม่ได้เห็นหน้าบุตรชายของมันอีกเลย…


 


อย่างไรก็ตามเพราะไข่มุกวิญญาณของบุตรชายยังอยู่ดี มันจึงไม่ได้เป็นกังวลอะไร


 


“ฮึ่ม! ตลอด 2 ที่ผ่านเจ้าไปอยู่ที่ใดมา ข้านึกว่าเจ้าลืมเลือนบิดาคนนี้แล้วเสียอีก!!”


 


จ้าวเติงที่เห็นจ้าวจี้ ก็ปั้นหน้าเข้มกล่าวตำหนิออกไปทันที


 


แม้จะแลดูขึงขังจริงจัง แต่มันก็ทำเป็นเข้มไปอย่างนั้น หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าแววตาของมันมีแต่ความอ่อนโยน ทั้งดีใจที่เห็นหน้าลูกชายกลับมาไม่น้อย…


 


“ท่านพ่อ…ข้าเห็นพลังฝีมือกล้าแข็งของต้วนหลิงเทียนวันนั้น ข้าก็รู้สึกยากยอมรับ จึงออกเดินทางไปหาที่ระบายอารมณ์…อย่างไรก็ตามข้าบังเอิญไปพบพานกับสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง และได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เลิศล้ำมา…จึงใช้เวลาอยู่กับมันสักพัก!”


 


จ้าวจี้กล่าวตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม?


 


“ผลประโยชน์เลิศล้ำอันใด มิใช่ว่าพากันไปเที่ยวกับสหายเหลวไหลของเจ้าแถวหอนางโลมเมืองใหญ่ที่ไหนสักเมืองหรอกหรือ?”


 


จ้าวเติงยังคงกล่าวค่อนแคะออกไป


 


“ท่านพ่อ ออกไปคราวนี้ข้าไม่ได้ไปเหลวไหลกับสหายที่ไหนนะ แถมยังไม่ไปเจอหน้าสหายอะไรสักคน! ข้าบังเอิญไปเจอซากโบราณสถานลับแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้ดินแถวๆภาคตะวันออกต่างหาก! และดูเหมือนจะเป็นมรดกสถานของยอดคนที่บรรลุขอบเขตพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนนภาเหลือทิ้งไว้ด้วย!!”


 


วาจาท้ายประโยคสีหน้าแววตาจ้าวจี้เผยให้ความตื่นเต้นครั้งใหญ่ออกมา


 


ดูเหมือนจะเป็นมรดกสถานของยอดคนที่บรรลุขอบเขตพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนนภาเหลือทิ้งไว้งั้นเหรอ?


 


ได้ยินวาจานี้ของจ้าวจี้ สองตาจ้าวเติงถึงกับเบิกโพลงปานลูกวัวแรกเกิด รีบกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที “ว่าอะไร! เจ้าเจอซากโบราณสถานที่น่าจะเป็นมรดกของยอดคนที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าขอบเขตเซียนนภา!?”


 


“ใช่แล้วท่านพ่อ!!”


 


จ้าวจี้พยักหน้ารับแข็งขัน ค่อยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “จากข้อความที่ยอดคนผู้นั้นทิ้งไว้…พลังฝีมือของมันสมควรเหนือกว่าขอบเขตเซียนนภา…นอกจากนั้นยังเป็นตัวตนจากยุคโบราณก็ว่าได้ เพราะในยุคนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของเรายังไม่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค!!”


 


ได้ยินคำเล่าของจ้าวจี้ยิ่งมาลมหายใจจ้าวเติงยิ่งเร่งร้อน


 


ยุคที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่แบ่งแยกเป็น 2 ไม่ใช่แค่โบราณ…แต่นั่นนับเป็นยุคดึกดำบรรพ์แล้ว!


 


ซากโบราณสถานจากตัวตนในยุคนั้นล้วนเรียกหาว่า ‘ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์’


 


ในประวัติศาสตร์ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์กันไม่น้อย


 


ใครก็ตามที่ได้รับมรดกตกทอดจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์มา ล้วนมีโอกาสกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของภูมิภาคเบื้องล่างทั้งสิ้น!


 


กระทั่งยามขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนยังนับเป็นชนชั้นอัจฉริยะ!


 


และตอนนี้มันกำลังได้รู้ว่าลูกชายคนเดียวของมัน ค้นพบซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์!


 


“โดยปกติแล้วซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์มักมีมรดกตกทอดอยู่…แล้วเจ้าได้รบมรดกตกทอดอันใดมาหรือไม่?”


 


จ้าวเติงกล่าวถาม ลมหายใจถี่รัว


 


“ใช่!”


 


จ้าวจี้พยักหน้าตอบกลับแทบจะทันทีหลังจ้าวเติงกล่าวจบ “ข้าได้รับสืบทอดมรดกในซากโบราณสถานนั่นมาแล้ว!”


 


สายตาจ้าวเติงทอประกายวับวาวขึ้นมาทันใด ลูกชายของมันได้รับสืบทอดมรดกจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์!!


 


ครู่ต่อมาลมหายใจของจ้าวเติงกลายเป็นหอบถี่!


 


ขณะเดียวกันจ้าวจี้ก็ค่อยกล่าวสืบต่อ “โชคไม่ดีหลังจากที่ข้าได้รับสืบทอดมรดกมาแล้ว อยู่ๆซากโบราณสถานนั่นก็พังทลายลง…ข้ายังอยากให้ท่านพ่อกับท่านปู่ได้รับสืบทอดมรดกนั่นด้วย น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้รับเพิ่มแล้ว”


 


“เด็กโง่!”


 


จ้าวเติงย่อมมีความสุขมากเป็นธรรมดา ที่ได้ยินวาจากตัญญูจากบุตรแบบนี้ “มรดกของซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ล้วนมีผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียว เช่นนั้นมันจึงมีค่ามากมายมหาศาล! แค่เจ้าได้รับมรดกนั่นมาข้ากับปู่เจ้าก็ดีใจยิ่งแล้ว!”


 


“ว่าแต่เจ้าได้รับมรดกอันใดมาเล่า?”


 


จ้าวเติงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“มันเป็นมรดกของผู้ฝึกมาร…กล่าวให้ชัดเป็นมรดกของ สัตว์มาร!”


 


จ้าวจี้ตอบ


 


สัตว์มาร!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น นอกจากผู้ฝึกตนมนุษย์แล้ว ก็มีผู้ฝึกตนที่เป็นสัตว์เซียนด้วยเช่นกัน


(*สัตว์อสูรปีศาจ = สัตว์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ ถ้าใช้ร่างมนุษย์แล้วมักจะเรียกสั้นๆว่าปีศาจ / สัตว์เซียน = ก็เหมือนสัตว์อสูรปีศาจ หากแต่สามารถบรรลุขอบเขตเซียนได้)


 


ผู้ฝึกตนมนุษย์ที่เดินในวิถีมาร เรียกว่า ‘ผู้ฝึกมาร’


 


ส่วนสัตว์เซียนที่บ่มเพาะพลังหนทางมารจะเรียกว่า ‘สัตว์มาร’


 


“มะ…มรดกตกทอดของสัตว์มารดึกดำบรรพ์?”


 


ลูกตาจ้าวเติงทอประกายเจิดจ้าอีกครั้ง “มรดกตกทอดของสัตว์มารนั้นปกติจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่ามรดกของผู้ฝึกตนมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์เสียอีก! หลังจากที่เจ้าได้รับมรดกและลองบ่มเพาะพลังแล้วเป็นเช่นไรบ้าง?!”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่จ้าวเติงกล่าวจบคำ กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลพลันแผ่ออกมาทั่วร่างจ้าวจี้ อุณหภูมิโดยรอบคล้ายจะลดลงถนัดตา!


 


“ซะ…เซียนมนุษย์!!”


 


จ้าวเติงที่ตระหนักได้ถึงระดับของกลิ่นอายพลังนี้ ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ลมหายใจกลายเป็นขาดห้วงทันที


 


ถึงแม้มันจะรู้ว่ามรดกตกทอดของสัตว์มารดึกดำบรรพ์นั้นทรงพลังอย่างน่ากลัว แต่มันก็ไม่คิดเลยว่าจะอัศจรรย์ถึงขั้นนี้!


 


สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ในเวลาเพียงแค่ 2 ปี! ก้าวผ่านขอบเขตอริยะเซียนไปทั้งขอบเขต!!


 


อย่างไรก็ตามจ้าวเติงคงไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าบุตรชายของมันกำลังหลอกลวงมันอยู่!


 


ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์เอย มรดกตกทอดของสัตว์มารดึกดำบรรพ์เอย…เหลวไหลทั้งเพ!!


 


เคล็ดมารกลืนหยินต่างหากที่เป็นของจริง!


ตอนที่ 1,823 : ตัวแปร


 


หลังออกจากพื้นที่ตะวันตก ขณะเดินทางกลับตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวจี้ก็ได้คิดหาข้ออ้างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับอธิบายความก้าวหน้าของพลังฝึกปรือ….


 


มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์!


 


ด้วยเรื่องนี้ จะทำให้มันกลายเป็นผู้ฝึกมารอย่างไร้ข้อสงสัย!


 


คราวนี้ก็ยากจะมีใครโยงมันเข้ากับเคล็ดมารกลืนหยินได้อีก แม้ในเวลาแค่ 2 ปี พลังฝึกปรือของมันจะก้าวหน้าอัศจรรย์ทะลวงถึงเซียนมนุษย์จากเซียนขัดเกลาขั้นกลางก็ตามที!


 


“จี้เอ๋อ เจ้าได้รับสืบทอดมรดกของสัตว์มารดึกดำบรรพ์ตั้งแต่แต่เมื่อใด?”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้ใบหน้าของจ้าวเติงกลับเผยความจริงจังขึ้นมา


 


ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เคยได้ยินเรื่องมรดกในซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ กระทั่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังมีผู้ที่เคยได้รับสืบทอดมรดกจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์จนพบพานกับความเปลี่ยนแปลงน่าอัศจรรย์มาแล้วหลายคน!


 


ทว่าในบรรดาผู้โชคดีเหล่านั้นไม่มีใครบังเกิดความก้าวหน้าพลิกฟ้าคว่ำดินเช่นลูกมัน!


 


ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีดี ทะลวงผ่านด่านพลังจากขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางไปจนถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น! ความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันฝืนลิขิตสวรรค์เกินไป!!


 


“หลังออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้ 1 เดือนข้าก็บังเอิญเจอซากโบราณสถานนั่น…ท่านพ่อคิดว่าพลังฝึกปรือข้าก้าวหน้ารวดเร็วหรือไม่?”


 


จ้าวจี้ตอบบิดาเสร็จค่อยกล่าวถามเพิ่ม


 


“อืม”


 


จ้าวเติงพยักหน้า “ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้าน่ากลัวเกินไป กระทั่งผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็ไม่แน่ว่าจะมีความเร็วในการบ่มเพาะถึงขนาดนี้!”


 


ได้ยินวาจานี้ของจ้าวเติง แม้จ้าวจี้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่หน้ามันก็ไม่เผยอาการอะไรออกมา


 


แม้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แต่จ้าวจี้ก็ไม่กล้ากล่าวบอกว่ามันฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน เพราะมันมั่นใจว่าทันทีที่บิดารู้เรื่องนี้ ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องบังคับให้มันทำลายพลังฝึกปรือทิ้งทันที…


 


เพราะคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน ไม่เพียงแต่ภูมิภาคเบื้องล่างกระทั่งในภูมิภาคเบื้องบนยังเป็นศัตรูร่วมของผู้คน!


 


ในฐานะที่เป็นต้นกล้าของตระกูลเจิ้งที่จะเติบใหญ่เป็นไม้หลักในวันหน้า ไหนเลยปู่กับบิดาจะยอมให้มันเสี่ยงกับเรื่องนี้


 


“จี้เอ๋อ ลูกพ่อ!!”


 


ไม่ทราบทำไมหากแต่อยู่ๆสีหน้าของจ้าวเติงก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา


 


เห็นจ้าวเติงอยู่ๆก็ขึงขังจริงจัง ใจจ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะลอบหวิวๆ ‘ไม่จริงหน่า หรือท่านพ่อสงสัยเรื่องมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ที่ข้าปั้นแต่งขึ้นมา…และสงสัยว่าข้าบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยิน?’


 


หลังจากที่ทำความผิดมา ก็อดไม่ได้ที่จ้าวจี้จะมีอาการร้อนตัวอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตามหลังจ้าวเติงปริปากกล่าวคำ จ้าวจี้ก็พอได้ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนบิดามันจะไม่ได้สงสัยเรื่องมนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน


 


“จี้เอ๋อ…เจ้าบอกพ่อมาตามตรง! มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ที่เจ้าฝึก มันใช้ทางลัดอันใด…ใช่เป็นวิธีบ่มเพาะพลังอันชั่วร้ายไร้มนุษยธรรมกระทั่งฟ้ายังมิให้อภัยหรือไม่?”


 


จ้าวเติงกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่จะยื่นคำขาด


 


“หากมันเป็นเช่นนั้น พ่อหวังว่าเจ้าจะทำลายพลังฝึกปรือนี้ของเจ้าทิ้งไปเสีย! เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของข้า และผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของสกุลจ้าว! เจ้ามิอนุญาตให้แบกรับความเสี่ยงอย่างไร้จำเป็นเช่นนั้น!!”


 


หากแต่ได้ฟังคำขาดนี้ของจ้าวเติง จ้าวจี้ลอบยินดีในใจนัก! เพราะความจริงยังไม่ได้ถูกเปิดเผย!!


 


อย่างไรก็ตามจ้าวจี้ยังคงต้องปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าวออกจริงจัง “ท่านพ่อท่านอย่าพึ่งวิตก! ถึงแม้มรดกที่ข้าได้รับสืบทอดมาจากสัตว์มารดึกดำบรรพ์จะโหดร้ายเล็กน้อย แต่มันก็เป็นการโหดร้ายต่อสัตว์ร้ายทั้งหลาย ไม่ใช่กับสัตว์เซียนหรือผู้คนด้วยกัน…ยิ่งข้าฆ่าสัตว์ร้ายและควักหัวใจมันมาบ่มเพาะพลังจากแก่นโลหิตหัวใจมากเท่าใด ด่านพลังฝึกปรือของข้าจะยิ่งก้าวหน้าเร็วขึ้นเท่านั้น!!”


 


“ดี! ดี ดี!!”


 


ได้ยินคำของจ้าวจี้ จ้าวเติงอดไม่ได้ที่จะโพล่งอุทานออกมาด้วยความสุขความยินดี


 


“ท่านพ่อ แล้วท่านปู่ไปที่ใดแล้วเล่า”


 


จ้าวจี้ก็คิดจะไปอวดด่านพลังกับจ้าวจินเช่นกัน หากแต่ปู่มันกลับไม่อยู่ที่บ้านพัก


 


“ปู่เจ้าเดินทางออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไล่ล่าจูลู่ฉีกับผู้พิทักษ์กู่ แถวชานเมืองตะวันตก”


 


จ้าวเติงกล่าวตอบ


 


“ตามหาจ้าววังจู? ทำไมถึงต้องไปตามหาจ้าววังจู?”


 


จ้าวจี้แสร้งถามออกมาอย่างโง่งม


 


“จูลู่ฉีสมควรได้รับเคล็ดความมารกลืนหยินจากฉีจิ้งแล้ว…และตอนนี้มันเริ่มบ่มเพาะพลังโดยใช้สตรีมากมายแถบพื้นที่ตะวันตก เพราะมีคนพบเจอซากศพมากมาย และเหล่าสตรีล้วนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น”


 


จ้าวเติงกล่าว “ตอนนี้จูลู่ฉีถือเป็นศัตรูร่วมของผู้คนทั้งภูมิภาคเบื้องล่าง! ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เลือกที่จะส่งยอดฝีมือออกไปกระจายกำลังตามหา! ทุกคนกังวลว่ามันจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือมารร้ายคนที่ 2!”


 


วาจาท้ายประโยค สีหน้าจ้าวเติงเคร่งเครียดไม่น้อย “อย่างไรก็ตามหากจ้าววังจูคิดซ่อนตัวจริงๆ เกรงว่าปู่เจ้ากับคนอื่นๆ ก็คงลำบากกันไม่น้อย”


 


“อะไร? จ้าววังจูฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแล้ว?”


 


จ้าวจี้เผยท่าทางตกใจ “ไม่คิดเลยว่าจะถูกความแค้นเข้าครอบงำได้ถึงขนาดนี้…ท่าทางในชีวิตนี้ของจ้าววังจู สิ่งที่สำคัญที่สุดคงเป็นการล้างแค้นเฝิงปู่อี้…ไม่แน่รองผู้นำตลาดมืดหยินชานคนนี้อาจถูกจ้าววังจูฆ่าเอาสักวัน!”


 


“หากจ้าววังจูเลือกที่จะหลบซ่อนจนกว่าพลังฝึกปรือจะสูงส่งถึงขั้น…อีกไม่กี่ปีก็สมควรฆ่าเฝิงปู่อี้ได้แน่นอน!”


 


จ้าวเติงกล่าวออกด้วยความมั่นใจ “เพราะสุดท้ายนั่นก็คือเคล็ดมารกลืนหยิน!!”


 


ในขณะที่กล่าวคำ เคล็ดมารกลืนหยิน สีหน้าท่าทางของจ้าวเติงเผยความชื่นชมไม่น้อย


 


แน่นอนว่าในขณะที่ชื่นชมเคล็ดมารกลืนหยิน ลึกลงไปในลูกตาของมันก็เผยความหวาดกลัวเช่นกัน


 


หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีข่าวหนึ่งถูกรายงานมาถึงหูจ้าวเติงกับจ้าวจี้พ่อลูก


 


“อะไร? หลิงเทียนกำลังจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงลำพัง! ท่านพ่อ..ข่าวนี้เรื่องจริงหรือ?”


 


จ้าวจี้มองถามจ้าวเติงด้วยความตื่นเต้น!


 


“เป็นความจริง!”


 


จ้าวเติงพยักหน้า “แม้ข้าไม่รู้ว่ามันคิดออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปที่ใดแต่มันต้องการไปข้างนอกจริงๆ…เรื่องนี้คนที่มารายงาน ได้ยินมันบอกหวางเฟยเซวียนมากับหู”


 


“ฮ่าๆๆๆ…ดี! ดี!!”


 


จ้าวจี้รู้สึกตื่นเต้นเหลือใดจะกล่าว เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะเดินทางออกนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียน และมันทำได้แค่ยอมรับเท่านั้น


 


ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่มันคนเก่าแล้ว หากแต่เป็นผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์! กระทั่งด้วยพลังฝึกปรือนี้และฐานะผู้ฝึกมาร ทำให้พลังฝีมือของมันเหนือกว่ากู่ลี่ด้วยซ้ำ!!


 


ในสายตาของมันด้วยพลังฝีมือขนาดนี้ คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนยังไม่พองั้นเหรอ?


 


“ทว่า…เจ้าสารเลวน้อยแซ่กู่นั่น กลับกล้าไปร้องขอให้พวกรองจ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลาย ทำการจับตาดูผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปของสกุลจ้าวเราให้รั้งอยู่แต่ในตำหนัก…”


 


จ้าวเติงกล่าวออกเสียงเข้ม “ข้าไม่คิดเลยว่าหลิงเทียนจะสนิทสนมกับกู่ลี่ถึงขั้นนี้ กระทั่งถึงขั้นขอให้กู่ลี่ทำเรื่องใหญ่พรรค์นี้ได้…ตอนนี้พวกมันจับตาดูคนของเราทุกฝีก้าว เพื่อมิให้ออกไปสร้างเภทภัยแก่หลิงเทียน!”


 


“อะไร? ให้คนของเราที่บรรลุเซียนมนุษย์ขึ้นไปรั้งอยู่ในตำหนัก?”


 


ได้ยินคำของจ้าวเติง สองตาจ้าวจี้เผยความแปลกใจไม่น้อย “ท่านพ่อ…รวมถึงท่านด้วย?”


 


“อืม”


 


จ้าวเติงพยักหน้าค่อยกล่าวออกด้วยสีหน้าอึมครึม “กระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการบ่งบอกเรื่องหนึ่งชัดเจน…หลังจากผ่านไปเกือบสองปี พลังฝีมือของหลิงเทียนยามนี้ 8 ใน 10 ส่วนสมควรไม่กลัวผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว! โชคไม่ดีที่ท่านปู่ของเจ้ามิอยู่ที่นี่…หาไม่แล้วด้วยเส้นสายของปู่เจ้า คิดใช้งานเซียนมนุษย์ที่กู่ลี่กับกู่ซืออวิ๋นไม่รู้จักคงมิยากเท่าใด”


 


“หลังจากที่กู่ลี่จัดการเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปของสกุลจ้าวเรา…ลำพังจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปโดยไร้ร่องรอยก็เป็นเรื่องยากเย็นนัก นับประสาอะไรกับตามไปฆ่าหลิงเทียน”


 


กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าจ้าวเติงก็เผยความหดหู่ออกมา เพราะมันไม่รู้จะทำอย่างไร


 


“ท่านพ่อ…เรื่องที่ข้าบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว…ท่านได้เอาไปบอกใครหรือยัง?”


 


จ้าวจีมองสบตาจ้าวเติงกล่าวถาม


 


“ยังไม่”


 


จ้าวเติงส่ายหัวไปอย่างไม่รู้ตัว หากแต่พอกล่าวจบคำ สองตาก็พลันทอประกายเรืองวูบขึ้นมาทันใด เพราะมันพึ่งเข้าใจความนัยคำถามของจ้าวจี้ พลันกล่าวออกดว้ยรอยยิ้มแสยะชั่วร้ายทันที “ลูกพ่อ! ข้ากลับลืมเจ้าไปได้อย่างไร! ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว คิดฆ่าหลิงเทียนเป็นอะไรที่ง่ายดายนัก!!”


 


“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็นึกถึงข้าได้ซะที…”


 


จ้าวจี้หัวเราะ


 


“ฮ่าๆๆๆ…สารเลวน้อยกู่ลี่นั่นกระทั่งหลับคงยังมิเคยฝันว่าเจ้าจักเป็นตัวแปรที่มิมีผู้ใดคาดคิดได้นอกเหนือจากมือดีของปู่เจ้า! กู่ลี่ให้คนตามเฝ้าจับตาดูเซียนมนุษย์ของสกุลจ้าวเรา ทว่ากลับไม่ได้ส่งใครมาจับตาดูเจ้า!!”


 


ยิ่งมารอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวเติงยิ่งกว้างขึ้น


 


“บางทีในสายตาของกู่ลี่ ข้ายังคงเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนขัดเกลาไร้ราคา!”


 


จ้าวจี้กล่าวเย้ย


 


“เช่นนี้มิดีหรือไร ไม่เพียงแต่เจ้าจะหลอกมันได้ กระทั่งเจ้ายังทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องประหลาดใจครั้งใหญ่…จี้เอ๋อลูก พ่อคราวนี้เจ้าจะได้ฆ่าหลิงเทียนกับมือล้างแค้นมันแล้ว…เจ้ามั่นใจหรือไม่?”


 


จ้าวเติงกล่าวถาม


 


“ท่านพ่อ ขอท่านโปรดวางใจ คราวนี้หลิงเทียนนั่นมันตายแน่!”


 


แววตาจ้าวจี้เผยประกายเย็นเยียบอำมหิต


 


“พ่อเชื่อในตัวเจ้า พ่อจะรอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่!”


 


จ้าวเติงพยักหน้า


 


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ปรากฏร่าง 3 คนลอยล่องอยู่เหนือฟ้าสุดเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา


 


ส่วนอีกด้านเป็นชายหนุ่มแลดูแข็งแกร่ง ข้างๆเป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง


 


คนแรกสุดคือต้วนหลิงเทียน


 


สองคนหลังคือกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียน


 


“เจ้าคิดไปคนเดียวจริงๆหรือ?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พวกคนสกุลจ้าวมันต้องไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้หลุดลอยไปแน่…ข้ากลัวว่าพวกมันจะไล่ตามเข้าไปหลังเจ้าออกนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ แม้พวกมันจะทำอะไรเจ้าในตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ แต่เจ้าออกไปแบบนี้…”


 


“ไม่ต้องห่วงไป เรื่องนี้พี่กู่จัดการให้ข้าแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ


 


“น้องหลิงเทียนเจ้าระวังตัวด้วย แต่เจ้ามั่นใจได้เลยว่า หลังจากเจ้าออกไป…คนของสกุลจ้าวที่ด่านพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไป ไม่อาจก้าวเท้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้เป็นเวลา 3 วัน!”


 


กู่ลี่กล่าวให้คำมั่น


 


ตอนแรกมันก็คิดเดินทางกับต้วนหลิงเทียนไปเยือนตำหนักเมฆาคราม จากนั้นก็ค่อยไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเลือกจะปฏิเสธเรื่องนี้


 


จากที่ต้วนหลิงเทียนบอก แม้กู่ลี่คิดขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน แต่ก็สมควรอยู่รอเจอผู้พิทักษ์กู่ก่อนค่อยไป


 


นอกจากนั้นเขาคิดจะรั้งอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามสักพักค่อยไป


 


เช่นนั้นหลังจากที่กู่ซืออวิ๋นกลับมาและกู่ลี่ได้ร่ำลาอันใดดีแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมาหาเขาที่ตำหนักเมฆาครามไม่ได้…


ตอนที่ 1,824 : พายุเริ่มตั้งเค้า


 


‘คนของสกุลจ้าวที่ด่านพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไป ไม่อาจก้าวเท้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้เป็นเวลา 3 วัน..นี่มัน’


 


วาจาของกู่ลี่ หวางเฟยเซวียนย่อมไม่คิดสงสัย อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ ย่อมสามารถร้องขอให้อาวุโสและรองจ้าวตำหนักบางคนทำอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว


 


ทว่าที่นางจำต้องประหลาดใจก็คือ ความหมายในวาจาที่กู่ลี่กล่าวรับรองกับต้วนหลิงเทียนต่างหาก…


 


เพราะที่กู่ลี่กล่าวมา มันบอกนางได้ชัดเจนถึงเรื่องหนึ่ง…


 


หลิงเทียนไม่กลัวใครใต้เซียนมนุษย์!


 


“เจ้า…เจ้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว?!”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ


 


เหตุผลที่นางกล่าวถามเช่นนี้ เพราะนางรู้แล้วว่าปราณแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนมันผิดแปลก ด้วยพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของต้วนหลิงเทียนก็เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุด!


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ไฉนเร็วขนาดนี้เล่า?!”


 


หวางเฟยเซวียนแตกตื่นแทบตายแล้ว!


 


ต้องทราบด้วยว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางเหมือนนาง…


 


ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนทะลวงผ่านไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว…แต่นางพึ่งเห็นประตูของเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเอง…ด่านพลังฝึกปรือของนางยังย่ำต๊อกอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่เลย!


 


ไม่เทียบก็แล้วไปพอยกมาเทียบก็หาเรื่องให้ปวดใจนัก!


 


เรียกว่าประโยคนี้เหมาะอธิบายความรู้สึกหวางเฟยเซวียนได้เป็นอย่างดี


 


‘เร็ว?’


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำหวางเฟยเซวียน ในใจก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา


 


แม้โลกภายนอกจะผ่านไปแค่ 2 ปี ทว่าภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติชั้น 3 เขาได้ใช้เวลาบ่มเพาะไปราวๆ 7-8 ปีแล้ว!


 


ใช้เวลาไป 7-8 ปี แต่ยกระดับพลังฝึกปรือจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางไปยังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วถือว่าเป็นอะไรที่ช้ามาก!


 


หากแต่นี่ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์เขามันต่ำเตี้ยเรี่ยดินอะไร เพราะถ้าเขาบ่มเพาะพลังไปตามปกติป่านนี้เขาทะลวงถึงอริยะเซียนไปนานแล้ว


 


เหตุผลที่เขายังไม่ทะลวงด่านพลัง เพราะผู้เฒ่าหั่วให้เขาระงับพลังฝึกปรือเอาไว้ก่อน


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนทะลวงไปยังขอบเขตอริยะเซียน


 


เพราะที่ด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนี้ เขาสามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งหมดที่ได้รับและเปลี่ยนมันให้เป็นปราณสุริยันแรกกำเนิด เพื่อนำไปขัดเกลาต้นแบบเวทย์พลังปีกอีกาทองคำในร่างเขาได้!!


 


หลังจากใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลาไปถึงจุดหนึ่ง มันจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ รูปแบบที่ 2!


 


และคราวนี้หลังจากที่เขาทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนล่ะก็ ยามเมื่อใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ..รูปแบบที่ 2 นั้นจะให้ความเร็วเหนือล้ำกว่ารูปแบบที่ 1 มากนัก!


 


และช่วงเวลาที่เหมาะสมและดีที่สุดในการยกระดับพัฒนาปีกอีกาทองคำจากรูปแบบแรกให้กลายเป็นรูปแบบที่ 2 ก็คือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! แน่นอนว่านี่สำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น หากเป็นคนอื่นก็ต้องอริยะเซียนขั้นสูงสุด!!


 


สาเหตุเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของเขา มันจะเป็นอะไรที่อ่อนโยนสำหรับขัดเกลาปีกอีกาทองคำให้ยกระดับเป็นรูปแบบที่ 2…


 


หากเป็นขอบเขตอริยะเซียนแล้ว ปราณแรกกำเนิดของเขาจะมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม! จริงอยู่ที่ปราณในระดับนั้นจะสามารถขัดเกลาปีกอีกาทองคำได้ง่ายดายเพราพลังอำนาจที่รุนแรงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่มันจะทำให้ต้นแบบปีกอีกาทองคำพังทลายได้เช่นกัน!


 


ส่วนปราณสุริยันแรกกำเนิดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของเขา แม้จะอ่อนโยนจนทำให้ขัดเกลาได้ช้าหน่อยแต่มีความปลอดภัยสูงมาก! จึงรับประกันได้ว่าจะทำสำเร็จได้แน่ๆ ต่อให้กระทำเช่นนี้เสมือนพยายามมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่าแต่ได้รับผลลัพธ์ครึ่งเดียวก็ตาม…


 


ได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดสงสัยแคลงใจ


 


เช่นนั้นยามเมื่อเขามาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด และเจียนบรรลุด่านพลัง เขาก็ได้ระงับการทะลวงผ่า และเลือกจะใช้พลังทั้งหมดที่เพิ่มพูนขึ้นไปกับการขัดเกลาต้นแบบปีกอีกาทองคำรูปแบบแรก


 


แน่นอนว่าด้วยความที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาตอนนี้เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุด เขาก็มีความสามารถป้องกันตัวในระดับหนึ่ง จึงไม่ต้องรีบร้อนทะลวงด่าน และเลือกจะขัดเกลาปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 แทน!


 


กล่าวให้เข้าใจง่ายๆต้วนหลิงเทียนไม่รีบร้อนบุกฝ่าแต่คิดวางรากฐานให้แน่นหนามั่นคง! คราวนี้เมื่อเข้าก้าวหน้า พลังรบโดยรวมก็จะกลายเป็นสูงขึ้น!!


 


‘จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก…ทันทีที่ข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น และใช้ปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 มันจะมอบความเร็วที่ทัดเทียมได้กับเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญให้ข้า!’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา


 


ต้องทราบด้วยว่าหากเขาทะลวงด่านพลังไปตามปกติ ยามบรรลุอริยะเซียนขั้นต้น พลังของเขาก็เพียงทัดเทียมได้กับเซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…


 


หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากภายนอกอื่นใด ใช้แค่ปราณสุริยันแรกกำเนิด…อย่างดีเขาก็ทำได้แค่สยบยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น


 


ทว่าหากเขาใช้ออกด้วยปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ล่ะก็…ความเร็วเขาจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญทันที! นี่หมายความว่าต่อให้เซียนมนุษย์ขั้นกลางที่ร้ายกาจที่สุดคิดฆ่าเขา มันก็ไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของเขา!!


 


‘ตอนนี้ปีกอีกาทองคำขัดเกลามาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว…ขาดอีกแค่เล็กน้อยมันก็จะพัฒนาไปเป็นรูปแบบที่ 2 ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องระงับด่านพลังฝึกปรืออะไรอีก สามารถทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นได้ทันที!’


 


ความฮึกเหิมที่พุ่งขึ้นมาดับลงไปไม่ทันไร กลับพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง


 


ปีกอีกาทองคำเป็นเวทย์พลังที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดทั้งเพาะสร้างให้เขา เขาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจอะไรมันมากมาย และผู้เฒ่าหั่วก็ได้มอบองค์ความรู้ที่จำเป็นแก่เขาหมดสิ้น สิ่งที่เขาต้องทำก็มีแค่ขัดเกลาเปลี่ยนให้มันกลายเป็นรูปแบบต่างๆ


 


แน่นอนว่าในที่นี้มันแตกต่างจากการเพาะสร้างมากนัก ไม่ได้ลำบากเหมือนคนอื่นที่คิดเพาะสร้างเวทย์พลังไว้ใช้งานแม้แต่น้อย


 


และยังเป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะให้ความคาดหวังกับปีกอีกาทองคำไว้สูง…เพราะผู้เฒ่าหั่วเป็นใครเล่า?


 


“นี่…เจ้ามั่นใจนะว่าใต้เซียนมนุษย์เจ้าไม่แพ้ใครแน่ๆ?”


 


หวางเฟยเซวียนยังคงเป็นกังวลไม่หาย


 


“ข้ามั่นใจ!”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบกลับอย่างมาดมั่น


 


ตอนนี้ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างเขา มันไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นสูงสุดแม้แต่น้อย นอกจากนั้นร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งกว่าผู้คนปกติหลายขุม แถมด้วยความสามารถอื่นๆ จึงทำให้เขาไม่กลัวใครใต้เซียนมนุษย์เลย!


 


แน่นอนว่าถ้าเขาชักกระบี่นิลสวรรค์อันเป็นยอดสมบัติสวรรรค์ออกมาใช้ กระทั่งเซียนมนุษย์ทั่วไปยังจำต้องตกตายอย่างไร้หนทางต่อต้านด้วยซ้ำ…!


 


“เอาล่ะ ส่งกันพันลี้อย่างไรก็ต้องจาก…”


 


หลังจากกล่าวจบร่างต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเหินจากไป ภายใต้สายตามองส่งของหวางเฟยเซวียนกับกู่ลี่


 


จนเมื่อแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปในขอบฟ้า ทั้งคู่ก็ค่อยละสายตาและเตรียมตัวกลับ


 


“ศิษย์พี่กู่ลี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาจักไปหาครอบครัวที่ใด?”


 


หวางเฟยเซวียนหันไปมองถามกู่ลี่


 


นางรู้แค่ว่าต้วนหลิงเทียนจะเดินทางกลับไปหาครอบครัวเท่านั้น แต่นอกจากนั้นนางก็ไม่รู้อะไรแล้ว


 


นางไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลิงเทียนที่นางรู้จักคือต้วนหลิงเทียน นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวของต้วนหลิงเทียนอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม กระทั่งต้วนหลิงเทียนก็คือ จ้าวตำหนักน้อย…บุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิง!


 


“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน…”


 


กู่ลี่ได้แต่ส่ายหัวตอบกลับ หากไม่ได้รับอนุญาตจากต้วนหลิงเทียนให้ตายมันก็ไม่คิดปริปากเผยข้อมูลใดๆเกี่ยวกับน้องหลิงเทียนของมันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะตัวตนหรือพื้นหลังอะไรก็แล้วแต่


 


หลังจากที่ทั้งคู่แยกกันกู่ลี่ก็กลับไปตำหนักหลัก ส่วนหวางเฟยเซวียนกลับไปวังนภา


 


เมื่อทั้ง 2 กลับมาแล้ว บรรดาอาวุโสและศิษย์สกุลจ้าว ก็เตรียมพร้อมลงมือ


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะพยายามเพียงใด สุดท้ายคนของสกุลจ้าวก็พบว่าไม่อาจเล็ดรอดออกไปจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้เลยเพราะมีคนขวางพวกมันเอาไว้ทุกทาง!


 


“กงซิ่วไฉนเจ้าถึงมาขวางทางข้า?”


 


อาวุโสของสกุลจ้าวคนหนึ่งที่มีพลังฝึกปรือเหนือเซียนมนุษย์ขั้นต้นแม้มันคิดว่ามันหาช่องโหว่ดีแล้ว แต่ทว่ามันกลับถูกอาวุโสคนหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับหยุดขวางเอาไว้…


 


“จ้าวเหว่ยข้าได้รับมอบหมายมา…3 วันหลังจากนี้เจ้ามิอาจก้าวเท้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้แม้แต่ครึ่งก้าว…หากเจ้าคิดไป ก็เอาชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ!”


 


เผชิญหน้ากับจ้าวเหว่ย กงซิ่วเพียงกล่าวตอบไปอย่างไร้แยแส


 


กงซิ่วแม้จะไม่ใช่คนของกู่ซืออวิ๋น แต่ยามมันยังเยาว์มันได้รับความเมตตาจากกู่ซืออวิ๋นไม่น้อย จึงทำให้มันสำนึกบุญคุณของกู่ซืออวิ๋นมาโดยตลอด


 


เช่นนั้นเมื่อกู่ลี่ บุตรชายของกู่ซืออวิ๋นมาขอแรงให้ช่วย มันย่อมยินดีลงมือเคลื่อนไหวเป็นธรรมดา!


 


“เจ้า!”


 


หน้าจ้าวเหว่ยมืดดำลงทันใด เพราะมันรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงซิ่ว


 


ขณะเดียวกันฉากเรื่องราวคล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นไปทั่ว…


 


อนิจจาไม่ว่าจะเป็นอาวุโสที่ร้ายกาจแค่ไหนของสกุลจ้าว ก็ถูกคนขวางทางเอาไว้ทั้งสิ้น


 


“รองจ้าวตำหนักจ้าว…”


 


กระทั่งชนชั้นรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงก็ยังถูกขวาง!


 


และผู้ที่ขวางมันเอาไว้ก็คือ จ้าววังเหลือง เฉินผิงเชิง!


 


“จ้าววังเฉิน กู่ลี่สามารถออกคำสั่งกับท่านได้ด้วยงั้นหรือ?”


 


สีหน้าจ้าวเติงซึมลงทันใด เมื่อถูกขวางเอาไว้แบบนี้


 


เพราะมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าคนที่ขวางมันจะเป็นจ้าววังเหลือง!


 


ต้องทราบด้วยว่าในบรรดาจ้าววังทั้ง 4 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ล้วนเป็นผู้ที่ไม่ได้ฝักฝ่ายสกุลจ้าวหรือกู่ซืออวิ๋น!


 


“ข้าเคยติดค้างผู้พิทักษ์กู่…”


 


วาจาตอบคำของเฉินผิงเชิงง่ายดายนัก “รองจ้าวตำหนักจ้าวไม่ใช่ว่าข้าอยากมีเรื่องกับท่าน…แต่ 3 วันหลังจากนี้ท่านไม่อาจไปไหนได้ หากคิดไปข้าจะหยุดท่าน!”


 


“เฮอะ!”


 


จ้าวเติงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะเหินร่างย้อนกลับไปที่บ้านทันที มันรู้ดีว่าลองมีจ้าววังเหลืองประกบ คงยากจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้แล้ว


 


‘กู่ลี่หนอกู่ลี่…เจ้าคงไม่คิดไม่ฝันเลยสินะ ว่าจี้เอ๋อของข้าจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์แล้ว!’


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน มุมปากจ้าวเติงยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างชั่วร้าย มันรู้สึกว่ากู่ลี่ช่างไร้เดียงสาเกินไป ที่คิดว่ากางกั้นข่ายฟ้าแหสวรรค์ดักเซียนมนุษย์ของสกุลจ้าวไว้ทั่วแล้ว และคิดว่าสกุลจ้าวไร้เซียนมนุษย์คนใดที่ลงมือได้!


 


ผู้ใดจะไปรู้ว่า สกุลจ้าวกลับมีตัวแปรเหนือคาด ที่บรรลุเซียนมนุษย์อยู่อีกคน!


 


“ป่านนี้..จี้เอ๋อคงไล่ตามหลิงเทียนไปทันแล้วสินะ?”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ลูกตาจ้าวเติงพลันฉายแววอำมหิตขึ้นมาทันที “หลิงเทียน…คืนวันอันดีของเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว!”


 


ดั่งที่จ้าวเติงคิด กู่ลี่ไม่เคยคิดกระทั่งหลับก็ไม่เคยฝันถึง! ว่าจ้าวจี้จะทะลวงผ่านถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ในเวลาแค่ 2 ปี!!


 


หากมันรู้มันจะจับตาดูจ้าวจี้เอาไว้ทุกฝีก้าว!!


 


เป็นธรรมดาที่เมื่อไม่มีใครรู้ว่าพลังฝึกปรือของจ้าวจี้บรรลุขอบเขตไหน ทั้งหมดก็คิดว่าจ้าวจี้สมควรยังอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาสักขั้น มันจะไปที่ใดก็เลยไม่มีใครคิดขวาง…


 


แต่ก่อนหน้านี้ก็มีศิษย์สกุลจ้าวมากมายที่มีชื่อในรายนามฟ้าลี้ลับ เดินทางออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปด้วยมั่นใจว่าสามารถจัดการต้วนหลิงเทียนได้! แน่นอนว่าพวกมันล้วนมีพลังฝึกปรือเหนืออริยะเซียนขั้นกลางทั้งสิ้น!!


 


เพราะเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าจ้าวคุนที่พึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้น เปิดเผยพลังฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลางออกมา ทำให้ไม่มีใครที่ด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียนขั้นกลางคิดหาเรื่องใส่ตัวโดยการไล่ตามต้วนหลิงเทียนไป


 


ล้อกันเล่นหรือไร!


 


อัจฉิระยะเช่นนั้น พวกมันที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียนขั้นกลางจะไล่ตามไปทำเพื่อ?


 


ส่วนในบรรดากลุ่มคนที่ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปนั้นก็มีจ้าวตงรวมอยู่ด้วย และจ้าวตงผู้นี้รั้งอยู่อันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ!


 


มันก็คือคนที่ถูกกู่ลี่สั่งสอนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แถวบ้านพักของต้วนหลิงเทียน!


 


และจ้าวตงผู้นี้ไม่กี่ปีก่อนก็บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดแล้ว! พลังฝีมือของมันก็นับว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)