War sovereign Soaring The Heavens 1813-1820
ตอนที่ 1,813 : สัญญาเป็นตาย
“ใช่แล้วอาวุโส”
ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนจ้าวคุนนั้นเผยทีท่าหยิ่งยะโส ทว่ายามเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสโถงเป็นตาย มันแลเรียบร้อยดั่งลูกแมว
ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ตอบคำอาวุโสด้วยการพยักหน้า
“เจ้าคือหลิงเทียนงั้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าอาวุโสโถงเป็นตายให้ความสนใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากกว่าจ้าวคุน เพราะกับจ้าวคุนเพียงเหลือบมองผ่านๆ ส่วนต้วนหลิงเทียนกลับมองถามด้วยท่าทางให้ความสนใจ
เห็นฉากนี้สองตาจ้าวคุนเผยประกายเย็นเยียบสว่างวาบขึ้นมาทันที ‘เฒ่าชรานี้มีตาหามีแววไม่ เจ้ามิรู้หรือไรหลิงเทียนกำลังจะกลายเป็นคนตาย!’
ถึงแม้มันไม่อยากยอมรับแค่ไหนแต่มันก็ต้องยอมรับ แต่หากไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งกล่าวแค่พรสวรรค์…มันก็ไม่อาจเทียบหลิงเทียนได้เลย!
ถึงแม้พลังฝึกปรือของมันตอนนี้จะสูงกว่าหลิงเทียน แต่มันอายุเท่าไหร่ แล้วหลิงเทียนอายุเท่าไหร่!?
ไม่อาจเอามาเทียบกันได้เลย!
เมื่อเห็นอาวุโสโถงเป็นตายของวังนภาให้ความสนใจ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้ารับไปเบาๆกล่าวตอบ “ใช่ ข้าคือหลิงเทียน”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว…ทว่าอีกคนกลับบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่าน เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าคิดลงนามในสัญญาเป็นตายและประลองเป็นตายกับคนผู้นี้? เพราะต่อให้เจ้ายอมแพ้การประลองก็มิอาจหยุด…”
อาวุโสวังนภากล่าวถาม
คราวนี้ไม่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนจะตอบคำอะไร กลับเป็นจ้าวคุนที่รีบกล่าวออกมาก่อน “อาวุโส ทานมีหน้าที่ดูแลโถงเป็นตาย เช่นนั้นท่านก็มีหน้าที่เป็นได้แค่พยานในการประลองและลงนามเป็นตายของพวกเรา เรื่องอื่นๆไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องห่วงไม่ใช่หรือ?”
แม้กล่าวไปแบบนี้อาจทำให้มันผิดใจกับอาวุโสโถงเป็นตาย แต่มันก็ยอม
ใครจะไปรู้ เกิดปล่อยให้อีกฝ่ายโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมต่อไป หลิงเทียนเปลี่ยนใจขึ้นมามันจะทำยังไง!
หากหลิงเทียนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ มันจะไปร่ำร้องฟ้องใครได้?
มันกำลังจะฆ่าหลิงเทียน เพื่อรับรางวัลจากอาวุโสผู้พิทักษ์จ้าว!
“จ้าวคุน นี่เจ้าตั้งคำถามกับการทำงานของข้างั้นหรือ?”
ในฐานะที่เป็นถึงอาวุโสดูแลโถงเป็นตาย อาวุโสวังนภาคนนี้ไหนเลยเป็นตะเกียงขาดน้ำมัน มองถามจ้าวคุนอีกครั้งสองตาเผยประกายคมกล้าน่ากลัวนัก!
“จ้าวคุน มิกล้า!”
จ้าวคุนเร่งก้มหน้าลงไป ทว่ามันยังกล่าวออกมาสืบต่อ “ดังคำที่ว่า ‘วาจาหวังดีฟังขัดหู’ ข้าหวังว่าอาวุโสจักไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวรบกวนหน้าที่ เช่นนั้นเรื่องนี้ขอท่านอย่าได้ยุ่งเกี่ยวมากเกินไป! “
“ไม่ใช่ธุระอันใดของเด็กน้อยเจ้า ที่จะมากล่าวสอนว่าตาแก่เช่นข้าต้องทำงานอย่างไร!”
อาวุโสวังนภาไม่คิดเลยว่าจ้าวคุนยังจะกล้าทำตัวไร้เดียงสา
“ไม่ใช่ธุระที่มันจะกล่าวสอนเจ้าว่าควรทำงานอย่างไร แต่ข้าคิดว่าข้าสามารถเป็นธุระสอนเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าจ้าวคุนกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ท่าทางจะโชคร้ายแน่แล้ว พลันมีเสียงน่าเกรงขามเปี่ยมอำนาจหนึ่งดังมาแต่ไกล ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที
กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับอาวุโสดูแลโถงเป็นตายของวังนภา พวกมันทุกคนใคร่รู้นักว่าเป็นผู้ใด!
“ท่านพ่อ!”
จ้าวจี้เป็นคนแรกที่จดจำเสียงนี้ได้ แม้จะไม่ทันได้หันไปมองก็ตามที
หลังจากจำเสียงได้ จ้าวจี้ก็หันไปมองด้วยความประหลาดใจ ค่อยเห็นร่างชายวัยกลางคนหนึ่งเหินลงมาจากฟ้า ลอดประตูโถงเป็นตายเข้ามา
“เป็นรองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง!”
“ไม่คิดเลยจริงๆว่ากระทั่งรองจ้าวตำหนักจ้าวเติงก็มา! ดูเหมือนการเข่นฆ่ากันระหว่างจ้าวคุนกับหลิงเทียนนั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจนัก!”
“หากรู้ว่ากระทั่งรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงยังถึงกับมาเอง พวกที่ไม่คิดมาดูวันนี้ต้องเสียใจแน่!”
หลังจากที่รับทราบอัตลักษณ์ของผู้มาว่าคือ จ้าวเติง ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาร่วมชมอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ วาจาดังขึ้นก้องโถงทันที
“จ้าวเติง?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าชายคนนี้จะถ่อมาด้วย
มันมาทำอะไรน่ะเหรอ?
ไม่พ้นอยากเห็นเขาถูกจ้าวคุนฆ่าตายแน่นอน!
‘น่าเสียดาย ที่เจ้าต้องผิดหวัง’
“น้องหลิงเทียน!”
ทันใดนั้นเองมีอีกเสียงหนึ่งโพล่งดังมาแต่ไกล ยังเป็นเสียงที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นเคยนัก
“พี่กู่!”
เห็นคนที่เร่งรุดมา ยิ้มหายากผุดขึ้นที่มุมปากต้วนหลิงเทียน เขาไม่คิดเลยจริงๆว่ากู่ลี่จะมาด้วย
“หืม? รองจ้าวตำหนักจ้าวก็มาด้วยงั้นหรือ…ดูเหมือนท่านรองจ้าวก็อยากชมดูการประลองครั้งนี้ไม่น้อย!”
กู่ลี่ที่เข้ามาในโถงเป็นตาย ก็มองจ้าวเติงทันที ยังกล่าวทักอีกฝ่ายก่อน
“ข้าบังเอิญผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาชมดู”
จ้าวเติงกล่าวออกเสียงเรียบ
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ หากไม่นับฐานะบรรดาศักดิ์อะไร ชาติกำเนิดของมันกับกู่ลี่ล้วนคล้ายคลึงกัน เพราะเป็นบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้งคู่
แต่ในแง่พรสวรรค์..มันไม่อาจเทียบกู่ลี่ได้
ส่วนในแง่พลังฝีมือนั้น…ตอนนี้แม้มันจะเหนือกว่ากู่ลี่ แต่นั่นเป็นเพราะมันแก่กว่ากู่ลี่มาก! หากกู่ลี่มีอายุเท่ามันในตอนนี้ น่ากลัวว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายจะเหนือกว่ามันโดยสิ้นเชิง!!
กระทั่งหลังจากนี้ผ่านไปไม่กี่สิบปี มีความเป็นไปได้กว่า 8 ใน 10 ที่กู่ลี่จะเอาชนะมันได้!
ด้วยเหตุผลทั้งมวล มันจึงไม่กล้าละเลยกู่ลี่
กู่ลี่พยักหน้าให้จ้าวเติงอีกครั้ง ก็ก้าวไปหยุดยืนข้างๆต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามคนแรกที่มันเอ่ยทักกลับไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นผู้อาวุโสดูแลโถงเป็นตาย ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้วนหลิงเทียน “อาจารย์อาเฉิง ไม่พบกันไม่กี่ปี หากแต่ท่านยังแลดูอ่อนเยาว์เหมือนกาลก่อน!”
“เด็กน้อย…ส่วนเจ้ากี่ปีต่อกี่ปีก็ยังปากหวานเหมือนเคย ตอนนี้ข้าได้ยินว่าเจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรายนามฟ้าลี้ลับแล้วงั้นหรือ?”
อาวุโสวังนภากล่าวตอบ
“น้องหลิงเทียน นี่คือท่านอาจารย์อาของข้า เฉิงอวิ๋น กล่าวได้ว่าท่านเป็นศิษย์น้องของท่านพ่อข้า…ทั้งคู่มีอาจารย์คนเดียวกัน”
ตอนนี้เองกู่ลี่พลันแนะนำเฉิงอวิ๋นให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
“อาวุโสเฉิง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทราบว่าท่านเป็นอาจารย์ของของพี่กู่…หากข้าเสียมารยาทใดไปต้องขออภัยท่านแล้ว”
พอรับทราบว่าอีกฝ่ายมีตัวตนเช่นไร ต้วนหลิงเทียนเริ่มกล่าวขอขมาออกมาก่อนทันที
อันที่จริงตอนแรกที่เฉิงอวิ๋นกล่าววาจาคล้ายจะแจ้งเตือนเขา ก็ทำให้เขางุนงงไม่น้อยว่าทำไม
เพราะเขาไม่รู้จักอาวุโสวังนภาคนนี้เลย ไฉนอีกฝ่ายจะต้องมาเตือนเขาด้วย
ตอนนี้พอทราบว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์อาของกู่ลี่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทำไม
เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายสมควรรู้ว่าเขากับกู่ลี่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน หาไม่แล้วคงไม่คิดกล่าวเตือนเขาแบบนั้น
ต้วนหลิงเทียนคิดเรื่องนี้ได้ จ้าวคุนที่ยืนข้างๆก็คิดได้ไม่ต่าง สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันใด ใจลอบภาวนาไปอย่างร้อนรน ว่าอย่าได้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอะไรอีกเลย!
หลิงเทียนต้องลงนามในสัญญาเป็นตายกับมัน!
อย่าได้มาเปลี่ยนใจเอาวินาทีสุดท้าย!
หากต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนใจและเลือกจะไม่ลงนามในสัญญาเป็นตาย มันย่อมไม่กล้าลงมือฆ่าคนในเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ ถึงแม้จะอยากทำแค่ไหนก็ตาม
“อาวุโสเฉิงในเมื่อทั้งคู่มาเพื่อลงนามในสัญญาเป็นตาย…ท่านก็เอาสัญญาเป็นตายให้ทั้งคู่ประทับลายนิ้วมือเสีย! ข้าอยากเห็นการประลองเป็นตายระหว่างพยัคฆ์มังกรเต็มที คิดว่าสมควรเป็นการต่อสู้ที่น่าดูชมยิ่ง!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง จ้าวเติงที่มาหยุดยืนข้างๆจ้าวจี้ก็มองกล่าวกับเฉิงอวิ๋นออกมา
ความหมายในวาจาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า เร่งรัดให้เฉิงอวิ๋นรีบส่งสัญญาเป็นตายให้ทั้งสองคนจัดการให้เสร็จเรื่อง ปล่อยให้จ้าวคุนกับหลิงเทียนเข่นฆ่ากันเสียที!
“ท่านพ่อ!”
จ้าวเติงที่กล่าวเร่งเฉิงอวิ๋นจบ พลันได้ยินเสียงแตกตื่นร้อนใจหนึ่งดังเข้าหู
จ้าวเติงย่อมจดจำได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงของบุตรชาย จึงเร่งกล่าวถามออกไปด้วยความเป็นห่วงทันที “จี้เอ๋อเกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านพ่อ! ท่านรีบหยุดไม่ให้จ้าวคุนทำสัญญาเป็นตายกับหลิงเทียนเร็วเข้า!!”
จ้าวจี้รีบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ยังเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมเล่า?”
จ้าวเติงถึงกับงุนงง “ไม่ใช่เจ้าอยากให้หลิงเทียนตายหรือไร? วันนี้ตราบใดที่มันลงนามในสัญญาเป็นตาย จ้าวคุนที่ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นแล้วต้องฆ่ามันได้แน่นอน..”
“ท่านพ่อ! ท่านรู้แค่ตอนนี้ข้าไม่อยากให้หลิงเทียนถูกมันฆ่าตายแบบนี้…ท่านพ่อ! ข้าอยากฆ่าหลิงเทียนด้วยตัวเองไม่อยากยืมมือผู้ใด!!”
จ้าวจี้กล่าวออกมาอีกครั้ง
“จี้เอ๋อ เจ้าเวียนหัวหรือ? ไฉนตอนปู่เจ้าออกคำสั่งฆ่ามันเจ้ากลับยินดีนัก…ทำไมมาตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจแล้วเล่า?”
จ้าวเติงงุนงงไม่น้อย ด้วยไม่เข้าใจว่าบุตรชายมันคิดอะไรอยู่ ใช่รับประทานยาผิดขวดมาหรือไม่?
จ้าวจี้แน่นอนว่าไมน่ได้กินยาผิดขวด!
เหตุผลที่ทำให้ที่ท่ามันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะก่อนหน้านี้มันคิดว่าชั่วชีวิตไม่มีวันก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แล้ว!
แต่ตอนนี้ด้วยเคล็ดมารกลืนหยินที่มันกำลังจะได้รับ ทำให้มันมั่นใจมากว่าภายในปีสองปีมันต้องก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แน่ ดังนั้นมันจึงไม่คิดให้ใครชิงฆ่าต้วนหลิงเทียนไปก่อน!
ทว่าเรื่องนี้มันสามารถกล่าวออกมาได้หรือ?
“ท่านพ่อ ช่วงนี้พลังฝึกปรือข้าก้าวหน้าเชื่องช้ายิ่ง ไม่พ้นเพราะปมแค้นในใจที่ข้ามีต่อหลิงเทียนแน่…ข้ากลัวว่าหากข้าไม่อาจฆ่ามันกับมือข้า พลังฝึกปรือของข้าคงได้รับผลกระทบ!”
จ้าวจี้เร่งหาข้อแก้ตัวอันเหลวไหลทันที
“จี้เอ๋อ พ่อรู้ดีว่าเจ้าอยากล้างแค้นด้วยมือของตัวเอง…แต่ด้วยความสามารถของเจ้า ต่อไปช่องว่างระหว่างเจ้ากับหลิงเทียนรังแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น! สุดท้ายอย่าว่าแต่เจ้ากระทั่งข้ากับปู่เจ้ายังไม่อาจสู้มันได้!”
“และข้าเกรงว่าคงยากจะหาโอกาสอันดีที่จะจัดการกับมันแบบนี้ได้อีก!” จ้าวเติงกล่าว “เช่นนั้นอย่าหาว่าพ่อใจร้ายกับเจ้าเลย แค่ปล่อยให้จ้าวคุนฆ่ามันเถอะ!”
“ส่วนเรื่องที่เจ้ากล่าวนั้น สมควรเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้นยังมิร้ายแรงถึงขั้นเป็นมารในใจ เพียงเจ้าเห็นหลิงเทียนตาย มินานปมในใจนี้ก็คลี่คลาย เพราะสุดท้ายผู้ชนะก็คือผู้ที่อยู่รอด…พ่อเชื่อว่าเจ้าต้องก้าวข้ามมันและยืนหยัดได้อีกครั้ง”
จ้าวเติงกล่าวออกมาภายในลมหายใจเดียว
จากนั้นไม่ว่าจ้าวจี้จะร้องโวยวายหาข้ออ้างแค่ใด จ้าวเติงก็ไม่คิดจะหยุดจ้าวคุน
สุดท้ายจ้าวจี้แทบจะเปิดเผยเรื่องมารกลืนหยินออกมา หากทว่ามันยังคงมีสติมากพอจะระงับเรื่องนี้เอาไว้ได้
ในระหว่างที่พ่อลูกสนทนากัน อีกด้านเฉิงอวิ๋นก็ส่งเสียงคุยกับกู่ลี่เช่นกัน
มันพยายามให้กู่ลี่ช่วยโน้มน้าวต้วนหลิงเทียนอีกแรงว่าอย่าได้ลงนามตอบรับ ‘สัญญาเป็นตาย’ กับจ้าวคุน เพราะมันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมีโอกาสชนะ
กู่ลี่เองก็รับคำโดยการหันไปคุยกับหลิงเทียน
ทว่าหลังจากได้รับคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็ได้แต่หันไปอธิบายกับเฉิงอวิ๋น “อาจารย์อาเฉิงท่านอย่าได้กังวล…น้องหลิงเทียนไม่คิดลงมือทำอะไรที่ไม่มั่นใจแน่นอน”
ความเชื่อใจ! เรื่องนี้ทำให้เฉิงอวิ๋นจนใจจะกล่าวใดสืบต่อ
เพราะกระทั่งเจ้าตัวที่กำลังจะขึ้นไปสู้ยังแลดูสงบใจกว่ามันเสียอีก…
ดังนั้นพอจ้าวเติงหันมามองจี้มันอีกครั้ง มันก็หยิบ สัญญาเป็นตายออกมาทันที
ตึง!!
สัญญาเป็นตายของโถงเป็นตายตำหนักฟ้าลี้ลับนี้กลับเป็นป้ายศิลามหึมาหนึ่ง พอเรียกออกมามันก็ร่วงไปตั้งตระหง่านบนพื้นทันที
เมื่อมองข้อความที่จารึกสลักเอาไว้ ก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทำความเข้าใจและยอมรับ
ล่างสุด มีที่ว่างเว้นไว้สองช่อง
“พวกเจ้าทั้งคู่ประทับรอยนิ้วมือด้วยโลหิตเสีย หลังจากนั้นสัญญาเป็นตายจักถือว่ามีผลบังคับใช้”
เฉิงอวิ๋นมองสลับระหว่างต้วนหลิงเทียนกับจ้าวคุนค่อยกล่าว
ตอนที่ 1,814 : ความจริงจะหุบปากพวกมัน!
ปึง!
ทันทีที่วาจาของเฉิงอวิ๋นดังจบคำ จ้าวคุนก็ไม่ลังเลใดสืบไปใช้พลังเฉือนมือเล็กน้อยก่อนที่จะเลือกประทับลงไปทั้งมือไม่ใช่แค่นิ้วหัวแม่โป้ง ลงนามประทับในสัญญาเป็นตายเสร็จสิ้น!
หลังกระทำเสร็จแล้วมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที แววตายังเผยอาการยั่วยุดูแคลน
แน่นอนว่าลึกลงไปยังแฝงเร้นไว้ด้วยความไม่สบายใจประการหนึ่ง
เพราะเรื่องราวมาถึงจุดสำคัญแล้ว หากหลิงเทียนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ทุกสิ่งที่มันพยายามทำมาก่อนหน้าจะกลายเป็นเสียเปล่าทันที!
“หลิงเทียนคิดทำสัญญาเป็นตายกับจ้าวคุนจริงๆหรือ?”
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ มองต้วนหลิงเทียนที่ทำเรื่องราวอยู่ในโถงเป็นตายไกลๆ ตอนนี้ในใจของพวกมันรู้สึกบีบคั้นอึดอัดกันนัก
ปัง!
จนกระทั่งต้วนหลิงเทียนเลือกลงมือกระทำตามจ้าวคุน ประทับมือลงไปในสัญญาเป็นตายนั่น ใจศิษย์ทุกคนถึงได้รู้สึกผ่อนคลาย กลับมาหายใจได้คล่องคออีกครั้ง
ทว่าหลังจากหายจากอาการอึดอัดใจแล้ว ศิษย์บางคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าดังฟืด
“หลิงเทียน…กลับกล้าประทับมือลงสัญญาเป็นตายจริงๆ! ไม่กลัวตายบ้างรึไง!?”
“นั่นสิ ถึงพลังฝีมือจะกล้าแข็งไม่ใช่ชั่ว หากแต่ก็พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น…ทว่าต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็มิอาจต้านทานตัวตนขอบเขตอริยะเซียนได้!”
“นั่นสิ หากจ้าวคุนมิได้ทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นเผลอๆมันมิใช่คู่ต่อสู้หลิงเทียนด้วยซ้ำ! ทว่าจ้าวคุนมันพึ่งทะลวงได้เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว…กระทั่งหงกังที่ไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตา กลับต้องแพ้พ่ายแก่มัน!”
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าหลิงเทียนคิดอะไรอยู่กันแน่ เห็นชัดว่านี่เป็น ‘หลุมพราง’ แต่ยังเลือกกระโดดลงไป”
“แรงกระตุ้นนับเป็นปีศาจชนิดหนึ่ง…หลิงเทียนคนนี้ น่ากลัวจะต้องตายวันนี้แล้ว!”
……
ภายนอกโถงเป็นตาย เต็มไปด้วยเสียงคุยสนทนาดังกระหึ่ม ทว่าไม่มีใครดูดีหลิงเทียนเลย
“น้องหลิงเทียน ทุกคนแลดูจะไม่มีใครเห็นดีกับเจ้าเลย”
กู่ลี่ส่งเสียงหยอกล้อถึงต้วนหลิงเทียน “ว่าแต่นี่เจ้าได้ยินแล้วคิดอย่างไรเล่า…จะออกไปอธิบายให้พวกมันหุบปากไหมหรือยังไง?”
“ไม่ต้องหรอกพี่กู่”
ต้วนหลิงเทียนเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยกล่าวตอบกู่ลี่ “เดี๋ยวความจริงก็หุบปากพวกมันเอง..”
“โฮ่! ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมาก”
กู่ลี่เพ่งตามองต้วนหลิงเทียนอย่างลึกซึ้งค่อยกล่าว
อันที่จริงกู่ลี่เองก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคิดปะทะกับอริยะเซียนขั้นต้น
แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ตัดสินใจเลือกแล้ว มันก็เลือกที่จะเชื่อมั่นอีกฝ่าย แต่ต้นจนจบเลยไม่คิดหยุด
‘หรือน้องหลิงเทียน…จะทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว!’
กู่ลี่หยีตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นใจ
“เป็นเวลานานแล้วที่ตำหนักฟ้าลี้ลับมิได้คึกคักเช่นนี้”
ตอนนี้เองจ้าวเติงพลันเดินออกมานอกโถง มันว่ายตามองทุกคนด้านนอกรอบหนึ่ง ค่อยหันไปกล่าวกับคนในโถงเป็นตายเบาๆ แม้เสียงมันจะไม่ได้ดังอะไร ทว่าทุกคนที่มายืนออรอคอยอยู่ด้านนอกโถงเป็นตายกลับได้ยินชัดเจน
“ข้าหวังว่าวันนี้พวกเจ้าจะลงมือต่อสู้กันสุดฝีมือ ให้พวกเราชมดูศึกพยัคฆ์ปะทะมังกรอย่างสนุกสนานสักครา! และในเมื่อพวกเจ้าลงนามในสัญญาเป็นตายแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะฆ่าอีกฝ่าย! เช่นนั้นก็ขอให้พวกเจ้าฆ่ากันอย่างสนุกเถอะ!!”
ต้องกล่าวเลยว่าในฐานะรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติงยังรู้จักกล่าววาจากระตุ้นผู้คนอยู่บ้าง
ทันทีที่วาจาของมันดังจบคำ ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนรู้สึกคึกคักเสมือนถูกฉีดเลือดไก่ ราวกับไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนกับจ้าวคุนที่จะเข่นฆ่ากันแต่เป็นพวกมันเอง!
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นว่ากระทั่งบิดายังไม่ฟังคำมัน จ้าวจี้ก็สบถออกมาด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป
แน่นอนว่ามันเพียงเดินห่างออกมาให้ห่างจากจ้าวเติงเท่านั้น ยังไม่ได้ออกไปพ้นลานหน้าโถงเป็นตาย
การประลองวันนี้แม้หลิงเทียนจะตาย มันก็ต้องอยู่ดูด้วยตาตัวเอง
“สัญญาเป็นตายได้ลุล่วงแล้ว พวกเจ้าเชิญเลือกสถานที่ต่อสู้กันเถอะ”
เฉิงอวิ๋น อาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตายกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและจ้าวคุน
“หลิงเทียนข้ามอบโอกาสนี้ให้แก่เจ้า…เชิญเจ้าเลือกหลุมฝังศพของเจ้าได้ตามใจชอบ จะไปหาสถานที่อันมีฮวงจุ้ยดีๆเพียงใดก็แล้วแต่เจ้าเลย”
จ้าวคุนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม วาจาที่กล่าวออกคล้ายจะตัดสินไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนตายแน่
จ้าวคุนแม้จะพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด่านพลังอะไรยังไม่มั่นคง คนไม่ได้ปรับตัว แต่มันก็ไม่กลัวหลิงเทียนที่พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่ถึงปีแม้แต่น้อย!
ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ยังไม่ทันครบปี ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ไม่มีทางจะทะลุขอบเขตอริยะเซียนได้!
ด้วยเหตุนี้จ้าวคุนจึงไม่คิดถึงความเป็นไปได้ที่ต้วนหลิงเทียน จะบุกเข้าไปในขอบเขตอริยะเซียนเลย
ไม่เพียงแต่จ้าวคุนเท่านั้น แทบทุกคนในที่นี้กระทั่งทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็ไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปยังอริยะเซียนขั้นต้นได้ในเวลาไม่ถึงปี…เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้!
แน่นอนว่ายังมีข้อยกเว้นสำหรับบางคน
หวางเฟยเซวียนกับกู่ลี่!
ทั้งคู่สงสัยว่าต้วนหลิงเทียนน่าจะทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวางเฟยเซวียน เพราะครึ่งปีที่แล้วนางเห็นต้วนหลิงเทียนใช้ความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้นในแดนลับเซียนมากับตา!
อย่างไรก็ตามตอนนั้นนางได้ถามต้วนหลิงเทียนแล้วว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วเหรอ ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบว่าไม่!
แน่นอนว่าหวางเฟยเซวียนไม่เชื่อคำตอบนี้!
“ให้ข้าเลือกหลุมฝังศพ ทั้งฮวงจุ้ยดีๆได้ตามใจ?”
ได้ยินคำนี้ของจ้าวคุนต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ใบหน้าที่ดุร้ายเอาเรื่องก่อนหน้ายังกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับพึ่งได้ยินเรื่องชวนหัวครั้งใหญ่!
“เจ้าหัวเราะอะไร?”
หน้าจ้าวคุนเปลี่ยนไปทันใด มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกำลังดูถูกมันอยู่ พาลให้มันมีโทสะขึ้นมาไม่น้อย
“หลุมฝังศพของข้าคงไม่ลำบากให้เจ้าต้องเป็นห่วงหรอก…แต่ที่นี่ก็นับว่าเหมาะจะเป็นหลุมฝังศพของเจ้าดี ไม่สิ…หากฝังเจ้าที่นี่เกรงว่าจะทำให้โถงเป็นตายติดเสนียด…”
วาจาข้างต้นต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกเสียงดังฟังชัด
ในขณะที่ทุกคนรวมถึงจ้าวคุนคิดว่าต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาอวดโอ่เกินไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันลงมือทันที
ทันใดนั้นมวลพลังขุมหนึ่งพลันปะทุออกทั่วร่างของต้วนหลิงเทียน ทั้งยังมีแสงพลังสว่างเจิดจ้าจนผู้คนแทบไม่อาจมองตรงๆได้ พาลให้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาชมดูเรื่องราวรู้สึกคล้ายกำลังจับจ้องไปยังดวงตะวันเจิดจ้ากลางฟ้า!
และไม่ทันที่ศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับจะทันได้ตอบสนองเรื่องราวอะไร ดวงตะวันจ้านั่นก็พุ่งไปฉับไวราวเส้นแสงบรรลุถึงเบื้องหน้าจ้าวคุน!
“ระวัง!!”
ในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่ในที่นี้จ้าวเติงนับว่าแข็งแกร่งที่สุด มันจึงตอบสนองต่อเรื่องราวก่อนใคร เร่งตะโกนกล่าวเตือนจ้าวคุนทันที
เพียงเพราะมันพบว่าต้วนหลิงเทียนที่เป็นศัตรูคู่ฟ้าของตระกูลจ้าว ไม่คล้ายจะใช้ปราณแรกกำเนิดอันมีขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่เป็นพลังอำนาจขอบเขตอริยะเซียน!
‘นี่มันบ้าอะไรกัน! กระทั่งอริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปยังไม่รวดเร็วเท่านี้!!’
จังหวะนี้ในใจของจ้าวจี้สัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลประกาลหนึ่ง!
เกรงว่าจ้าวคุนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนเสียแล้ว!!
ฟุ่บ!
และในขณะที่จ้าวเติงตื่นตระหนกด้วยไม่เข้าใจ ร่างต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงเบื้องหน้าจ้าวคุนด้วยความเร็วสูง!
ดั่งที่จ้าวเติงกล่าวในใจ ความเร็วของต้วนหลิงเทียนนับว่าเหนือกว่าอริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปจริงๆ
เช่นนั้นจ้าวคุนจึงไม่อาจตอบสนองเรื่องราวอันใดได้เลย แม้คู่ต่อสู้จะมาผุดโผล่ตรงหน้า
“เร็วอะไร!”
ความคิดแรกที่ผุดวาบขึ้นมาในใจจ้าวคุนก็คือเรื่องนี้!
ความเร็วนี้เหนือล้ำเกินมันไปไกล!
ในห้วงเวลาชั่วพริบตาดั่งอัสนีวาบฟ้า จ้าวคุนไม่อาจคิดได้ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงมีความเร็วสูงล้ำขนาดนี้! มันโคจรเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดทั่วร่างตามสัญชาตญาณ มวลพลังไหลผ่านชีพจรเซียนหลายสิบในร่าง คล้ายมันจะรู้สึกปลอดภัยหากมีม่านพลังจากปราณแรกกำเนิดคลุมกาย
น่าเสียดายที่ชีพจรเซียนของมันมีน้อยเกินไป
อย่างน้อยๆหากเทียบกับจำนวนชีพจรเซียนของต้วนหลิงเทียน ก็น้อยกว่ากันจนน่าเวทนา
หากมันเป็นเหมือนต้วนหลิงเทียนที่มีชีพจรเซียน 99 สาย ปราณแรกกำเนิดของมันอาจจะจ่ายออกมาก่อเกิดม่านพลังคลุมกายได้ทัน
อนิจจาตอนนี้ปราณแรกกำเนิดของมันเพียงโคจรไหลออกได้เพียงครึ่งทาง ไม่ทันถึงช่องพลังที่ผิวหนัง ฝ่ามือขวาอันอัดแน่นไปด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็ตะปบลงบนไหล่มันปานนกอินทรีย์!
และทันใดนั้นเองจ้าวคุนก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาปานลาวาร้อนอันเชี่ยวกราด สะกดทำลายปราณแรกกำเนิดทั่วกายมันไม่ให้โคจรใช้ออก!
ความเจ็บปวดที่เกิดจากปราณแรกกำเนิดถูกทำลายในร่างกายนั้นรุนแรงหนักหนานัก ทำให้จ้าวคุนรู้สึกเสมือนร่วงตกจากสวรรค์มากระแทกพื้นนรก!
และในตอนนี้หากมันยังไม่ตระหนักได้ว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนเหนือล้ำกว่ามันมาก คงเสียทีที่อยู่มาหลายปีดีดัก…
“มะ..เมตตา”
จ้าวคุนที่เจ็บปวดพยายามกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ร่างของมันตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ หากแต่ไม่ทันที่มันจะได้อ้อนวอนร้องขอชีวิตอะไร มันก็ถูกต้วนหลิงเทียนหอบหิ้วออกจากโถงเป็นตาย พุ่งร่างมุ่งหน้าไปยังหน้าผาข้างๆโถงเป็นตาย…
ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งหมดที่กำลังตกตะลึงไม่ว่าจะในโถงหรือที่มายืนออรอกันนอกโถง ต้วนหลิงเทียนพลันถอนรั้งปราณสุริยันแรกกำเนิดเข้าร่าง ทำให้แสงสว่างจ้าดับลง เผยร่างเขาและจ้าวคุนให้คนเห็นชัดถนัดตา
“เมตตา…ข้าด้วย ศะ…ศิษย์…พี่…หลิง…เทียน”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่มือขวาที่กอบกุมไหล่จ้าวคุนก่อนหน้า บัดนี้เปลี่ยนมากอบกุมลำคอเอาไว้แล้ว
แน่นอนว่าจ้าวคุนพยายามดิ้นรนแข็งขืนสุดชีวิต อนิจจามันไม่อาจหลุดพ้นจากการกอบกุมของต้วนหลิงเทียนได้ ที่มันกระทำได้มีเพียงพยายามกล่าวออกด้วยกำลังที่เหลือทั้งหมดเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าจ้าวคุนไม่อยากเร่งเร้าพลังปราณแรกกำเนิดต่อต้าน แต่ทุกครั้งที่มันพยายามเร่งเร้าโคจรพลัง มันจะถูกต้วนหลิงเทียนแผ่พุ่งพลังปราณอันน่ากลัวเข้ามาทำลายพลังในร่างของมันจนหมดสิ้น
พลังของต้วนหลิงเทียนพุ่งเข้าร่างของมันได้ง่ายดายปานนกพิราบชิงรังนกกระจอก!
และการที่สามารถกระทำกับตัวตนอริยะเซียนขั้นต้นอย่างมันได้แบบนี้ มีแต่ต้องเป็นตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น!
เพราะมีเพียงพลังปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นกลางขึ้นไป ถึงจะทำลายพลังของมันได้ง่ายดายขนาดนี้!!
‘อะ…อริยะเซียนขั้นกลาง…หละ…หลิงเทียนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลาง!!’
จ้าวคุนที่สิ้นหวังได้แต่รำพึงในใจอย่างหวาดผวา
มันเสียใจนัก
หากสวรรค์เมตตาให้โอกาสกับมันอีกสักครั้ง มันจะไม่มาหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเด็ดขาด!
แม้การฆ่าหลิงเทียนได้จะทำให้มันเป็นบุตรบุญธรรมของหัวเรือใหญ่สกุลจ้าว แต่มันก็ไม่มีความกล้ากระทำเช่นนั้นอีกแล้ว…
เพราะอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่มันไม่อาจตอแยด้วยได้!
เงียบ!
ตอนนี้ผู้คนไม่ว่าจะด้านในหรือด้านนอกโถงเป็นตาย ทั้งหมดถึงกับไร้คำจะกล่าว
นอกจากเสียงวิงวอนตะกุกตะกักด้วยความยากลำบากของจ้าวคุน ทุกผู้คนไม่อาจได้ยินเสียงใดอื่น
ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนจึงค่อยได้สติกลับคืน ทั้งหลายได้แต่ชมมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความอื้ออึง ปากยังอ้าออกจนกรามแทบค้าง
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
เสียงสูดลมหายใจเข้าพลันดังระงมไปทั่ว
ตอนที่ 1,815 : หลิงเทียน อริยะเซียนขั้นกลาง?!
‘ปะ…เป็นไปได้ยังไงกัน!?’
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าแน่นอนว่ามันพุ่งเข้าสองตาจ้าวจี้ชัดเจน พาลให้มันตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะสงบใจลงได้…
เดิมทีวันนี้มันคิดว่าหลิงเทียนสมควรตกตายภายใต้เงื้อมมือจ้าวคุนแน่แล้ว เพราะจ้าวคุนทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อน และหลิงเทียนก็ไม่มีทางทะลวงถึงอริยะเซียนได้…
ทว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทำให้ความคิดมันพังทลาย!
หลิงเทียนน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงถึงอริยะเซียน?
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นใดใดให้มาก เอาแค่พลังความแข็งแกร่งที่หลิงเทียนเผยออกยามนี้ สมควรเป็นพลังอำนาจของอริยะเซียนเต็ม 10 ส่วน! กระทั่งไม่ง่ายเหมือนอริยะเซียนขั้นต้นทั่วไปที่พึ่งทะลวงด่านอีกด้วย!!
ไม่เห็นหรือไร…ว่ากระทั่งจ้าวคุนยังไม่มีปัญญาจะต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย!
‘หลิงเทียนผู้นี้…ต้องกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด!’
สายตาจ้าวเติงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นถึงที่สุด หากไม่ติดว่าที่นี่คือตำหนักฟ้าลี้ลับ มันคงไม่อาจรอที่จะฆ่าหลิงเทียนได้ไหว!
ความบาดหมางระหว่างสกุลจ้าวของมันกับหลิงเทียนนั้น เลยจุดประนีประนอมไปไกลแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พินาศคงยากเลิกรา!
เป็นธรรมดาที่มันไม่อยากปล่อยให้หลิงเทียนเติบโต!
ชายหนุ่มมากพรสวรรค์เช่นนี้ หากเติบโตขึ้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันจะถูกสยบ กระทั่งบิดามันก็ไม่พ้นต้องถูกย่ำเหยียบ!
“น้องหลิงเทียน…”
กู่ลี่ที่เดินออกจากโถงตามมา หยุดมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตะลึงงัน
ด้วยความที่พลังฝึกปรือของมันบรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด มันย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่นั้น…มันแทบจะทัดเทียมกับความเร็วของผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญอยู่รอมร่อ! เหนือกว่ายอดฝีมืออริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปมากนัก!!
“ให้ตายเถอะน้องหลิงเทียน…เจ้ากลับซุกซ่อนเรื่องประนี้จากข้าได้มิดชิดนัก!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้กู่ลี่กอ้าปากค้างเหมือนผูอื่น สองตายังเผยความตกตะลึง
“ฮึ่ม! เจ้าทึ่มมันทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วจริงๆ! วันนั้นทีข้าถามปากกลับบอกว่าไม่! ไม่กับผีสิ!!”
หวางเฟยเซวียนโพล่งคำอย่างฮึดฮัด ก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หงกัง กับศิษย์จ้าววังนภา 2 คนที่อยู่ข้างๆก็หันมามองถามนางด้วยความตื่นตระหนก “หละ…หลิงเทียน ทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วหรือ?”
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เขากล้ารับคำท้าประลองเป็นตายของจ้าวคุน! ที่แท้เขาไม่ได้เห็นจ้าวคุนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!!”
…
“แถมพลังฝึกปรือของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าคงมิได้ง่ายดายดั่งที่คิด…อริยะเซียนขั้นต้นอย่างจ้าวคุน ถึงแม้จะพึ่งทะลวงผ่าน…กลับไร้ซึ่งพลังอำนาจะขัดขืน!”
หงกังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าว
ด้านอาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตาย เฉิงอวิ๋น ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาสว่างวาบ ‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก สหายน้อยนี่อายุยังมิทันถึง 40 ปี…ทว่าพลังฝึกปรือนั่น ให้เป็นทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็นับว่าเป็นอันดับ 1!’
ตอนนี้เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ค่อยๆทยอยกันรู้สึกตัวทีละคน หากแต่สายตาของพวกมันแต่ละคนยังทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!
ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกมันยังคิดอยู่เลยว่าต้วนหลิงเทียนตายแน่!
หากแต่ความจริงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ก็ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะเขิน…หน้ายังม้านไปด้วยความรู้สึกอับอาย!
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ทุกคนจึงพากันเงียบไปอีกครั้ง
“เมตตา?”
และเมื่อรอบข้างเงียบลงเสียงต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นให้ได้ยินกันชัดเจน เขากล่าวกับจ้าวคุนที่ถูกบีบคอและร้องขอความเมตตาเมื่อครู่เสียงเรียบ “ตอนเจ้าดูถูกบิดามารดาข้า เจ้าเคยคิดเรื่องขอความเมตตากับข้าไหม?”
เสียงเรียบของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายังยิ่งเข้มขรึมเย็นลง
“และหากพลังของข้าเทียบเจ้าไม่ได้ การประลองเป็นตายวันนี้เจ้าจะเมตตาข้าไหม? กระทั่งเจ้ายังจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตไปได้ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวถามจ้าวคุนด้วยคำถามโง่งมติดกัน 3 คำถาม
“ฮึ่ม!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงแค่นสบถเย็นเยือกหนึ่งดังขึ้น เป็นจ้าวเติงที่ย่ำเท้าก้าวขึ้นไปในอากาศ ท่าทางเตรียมออกเดินทางจากไป
“ทะ…ท่านรองจ้าวตำหนักเติง…ชะ…ช่วยข้าด้วย”
เมื่อเห็นจ้าวเติงจะจากไป จ้าวคุนก็ร้อนรนใจไม่น้อย! มันเร่งรีบร้องขอความช่วยเหลือจากจ้าวเติงออกมาทันที!!
เมื่อทุกสายตาหันไปมองจ้าวเติง ร่างจ้าวเติงที่คิดจากไปก็หยุดลงกลางอากาศทันที มันยังหันกลับมามองกล่าวกับจ้าวคุนด้วยสีหน้าท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม “จ้าวคุน การประลองเป็นตายล้วนเป็นเจ้าที่เป็นฝ่ายริเริ่มท้าทาย…สัญญาเป็นตายเจ้ากับหลิงเทียนก็ลงนามเรียบร้อย วันนี้อย่าว่าแต่ข้า…ต่อให้เป็นบิดาของข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเจ้า”
“หากพวกเราช่วยเจ้าให้รอด…แล้วโถงเป็นตายของตำหนักฟ้าลี้ลับจะมีไว้เพื่ออันใด? สัญญาลงนามเป็นตายจะทำไปเพื่ออะไร?”
จ้าวเติงกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงชอบธรรม พาลให้ศิษย์ทุกคนในที่นี้อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วย ทั้งหมดรู้สึกว่ารองจ้าวตำหนักคนนี้ยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งกฏ! ไม่คิดทำลายกฏระเบียบของตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงเพราะจ้าวคุนเป็นคนสกุลจ้าว!!
จ้าวเติงย่อมรู้ดีว่าสายตาของศิษย์กำลังเฝ้ามองมันว่าจะทำอย่างไร แน่นอนว่ามันย่อมไม่ทำอะไรผิดพลาดโง่งมอย่างเห็นแก่ความเป็นคนสกุลจ้าวของจ้าวคุนและให้ความช่วยเหลือ ยังเลือกจะวางตัวอย่างดีให้เป็นแบบอย่าง
“หากเจ้าคิดจะตำหนิผู้ใดสักคน ก็จงตำหนิตัวเองที่พลังฝีมืออ่อนด้อยเถอะ…”
และนี่เป็นวาจาประโยคสุดท้ายที่มีให้จ้าวคุน ก่อนที่จ้าวเติงจะจากไป
หลังจากจ้าวเติงไปแล้ว สีหน้าแววตาของจ้าวคุนก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ้นหวังถึงขีดสุด ร่างมันสั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กาย หลังส่ายหัวไปมาอย่างทดท้อไม่กี่ครั้งมันก็แน่นิ่งไปราวปลงตก
เมื่อเห็นว่าจ้าวคุนคล้ายลูกเกาทัณฑ์สิ้นแรงส่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเสียเวลาอะไรสืบต่อ โยนร่างจ้าวคุนออกไปราวหมูหมา
และหลังจากนั้นไม่ทันที่ผู้ใดจะแลเห็นว่าเขาลงมืออย่างไรกันแน่ ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนร่างจ้าวคุนที่ถูกโยนออกไปจะถูกรังสีพลังกระบี่นับร้อยพันสายทะลวงร่างจนปุพรุน มองไปไม่ต่างใดจากรังผึ้ง
สำหรับศัตรูต้วนหลิงเทียนไม่คิดปราณี..
ยังนับประสาอะไรกับศัตรูที่มาดูถูกหมิ่นหยามบุพการี!
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกไปพร้อมกู่ลี่และหวางเฟยเซวียน ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกโถงเป็นตายจึงค่อยคืนสติกลับมารู้สึกตัว
“แข็งแกร่งเหลือเกิน…”
“ข้าไม่คิดเลยว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะปรากฏยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่น่ากลัวถึงขนาดนี้…! ในภูมิภาคเบื้องล่างเคยมียอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีหรือไม่?”
“ข้ามิแน่ใจ…แต่ดูเหมือนว่าจะมีเคยมี”
“ด่านพลังฝึกปรือของหลิงเทียนนั่น น่ากลัวว่าจะทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นกลางแน่แล้ว! หาไม่แล้วคงไม่อาจจัดการจ้าวคุนได้อยู่หมัดขนาดนี้!”
“นั่นสิ! จะอย่างไรจ้าวคุนก็ถือเป็นอริยะเซียนขั้นต้น แต่ต่อหน้าหลิงเทียนกลับไม่มีพลังอำนาจจะต้านทาน…หากบอกว่าหลิงเทียนยังพึ่งทะลวงขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น ข้าไม่เชื่อ!”
“จะอย่างไรก็ตาม ที่แท้หลิงเทียนบ่มเพาะพลังอย่างไรกันแน่…ไฉนไม่ทันถึงปีพลังฝึกปรือถึงบรรลุถึงขอบเขตขีดขั้นนี้แล้วเล่า!?”
……
ในบรรดาศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาชมดู ย่อมมีตัวตนที่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นร่วมอยู่ด้วย ทั้งหมดย่อมแลเห็นได้ว่าการลงมือของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ง่ายดายเหมือนตาเห็น
“ถึงข้าจะพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางได้ไม่กี่ปี…แต่เมื่อครู่ข้าที่พยายามชมดูเรื่องราวอยู่ตลอด กล้าบอกเลยว่าต่อให้ข้าลงมือเต็มกำลังก็มิอาจมีความเร็วเทียบเท่าหลิงเทียนได้…ความแข็งแกร่งของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าแม้จะยังด้อยกว่าอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ แต่หากนับกันในบรรดาอริยะเซียนขั้นกลาง…ถือเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือ!!”
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียนขั้นกลางกล่าวออก
มันยังเป็นศิษย์ที่ทุกคนรู้จักกันดีในฐานะ ศิษย์ผู้ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับ…เช่นนั้นทั้งหลายจึงไม่สงสัยวาจาของมัน!
ทำให้ทุกคนยืนยันได้เรื่องหนึ่ง…
นั่นคือพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนทัดเทียมกับชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลาง
“อริยะเซียนขั้นกลาง?”
ท่ามกลางฝูงชน จ้าวจี้ที่ยังไม่ได้จากไปไหนย่อมได้ยินเรื่องราวชัดเจน ใบหน้าของมันยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์ ‘ข้าไม่คิดเลยว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของสารเลวนั่นจะน่ากลัวแบบนี้…หากไม่มีเคล็ดมารกลืนหยิน เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าคงทำได้แค่กินฝุ่นมัน’
‘ไม่! บางทีคิดตามไปให้ใกล้พอจะกินฝุ่นมันข้ายังทำไม่ได้!!’
จ้าวจี้คิดกับตัวเองจบ ก็รีบร้อนเหินร่างจากไปทันที
อย่างไรก็ตามแทนที่มันจะเหินกลับบ้านของมัน มันกลับออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อไปยังจุดนัดพบของมันกับจูลู่ฉี
‘ข้าต้องรีบฝึกเคล็ดมารกลืนหยินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…ไม่งั้นข้ากลัวว่าคงยากจะไล่ตามมันทัน!’
ระหว่างเดินทางใจจ้าวจี้ก็รุ่มร้อนไปด้วยความกังวลนัก
ตอนนี้มันต้องการเคล็ดมารกลืนหยินให้เร็วที่สุด…ในสายตาของมัน ตราบใดที่มันได้เคล็ดมารกลืนหยินมาครอง! ใช้เวลาไม่นานมันต้องก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แน่!!
หลังจากที่จ้าวจี้จากไป เรื่องต้วนหลิงเทียนทำสัญญาเป็นตายกับจ้าวคุนก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับดั่งไฟป่า และข่าวความตายของจ้าวคุนก็พัดไปทั่วดั่งใต้ฝุ่น
ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เว้นกระทั่งจ้าวตำหนักอย่าง เมิ่งฉิง
“หลิงเทียนทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลาง? ไม่จริง! เรื่องนี้มิมีทางเป็นไปได้!”
แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อว่าข่าวลือพรรค์นี้จะเป็นความจริง…อย่าว่าแต่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีตัวตนอัจฉริยะถึงขั้นบรรลุอริยะเซียนทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปีปรากฏขึ้นในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผู้คนกล่าวถึงกันอย่างหนาหู กระทั่งมีผู้ชมที่บรรลุอริยะเซียนขั้นกลางไปชมดู ทำให้แม้ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ก็ต้องเชื่อ!
“น้องหลิงเทียน เจ้ากลับซุกซ่อนเรื่องราวจากข้าได้มิดชิดเชียวนะ! ไม่เห็นข้าเป็นพี่แล้วสิ!!”
กู่ลี่มองจี้ต้วนหลิงเทียนราวกับมองเด็กน้อยทำความผิด “ในวันที่ข้าบอกให้เจ้ารีบทะลวงถึงอริยะเซียน เพื่อที่พวกเราจะได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน ไฉนเจ้าไม่บอกข้าเล่าว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว?”
“พี่กู่…พอดีสถานการณ์ของข้ามันค่อนข้างพิเศษ”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ากู่ลี่ไม่ได้โกรธอะไรเขาจริงจัง เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี
ในที่สุดเขาก็เลือกจะกล่าวบอกความจริงออกไป
แน่นอนว่าเป็นแค่ความจริงส่วนหนึ่งเท่านั้น
“ตอนข้าเดินทางไปผจญภัยยังที่แห่งหนึ่ง ข้าบังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์พิสดาร…และนั่นทำให้ปราณแรกกำเนิดของข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง! ยามนั้นพลังฝึกปรือของข้ามีเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น หากแต่ปราณแรกกำเนิดของข้ากลับมีพลังอำนาจมากพอจะทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นต้น…เช่นนั้นความจริงแล้ว ตัวข้าก็นับว่ายังอยู่ห่างจากขอบเขตอริยะเซียน…”
ต้วนหลิงเทียนแม้จะกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา แต่ไม่ได้บอกว่าวาสนาปาฏิหาริย์ที่เจอคืออะไร แล้วออกเดินทางไปผจญภัยที่ไหน…
ผู้เฒ่าหั่วกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา!
หากมันแพร่กระจายออกไป ต้องชักนำหายนะครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน!
เช่นนั้นเขาต้องระวังตัวถึงที่สุด
“วาสนาปาฏิหาริย์เช่นนี้มีด้วยหรือ!?”
สองตากูลี่เบิกกว้างปานลูกวัวแรกเกิด เพราะเรื่องนี้ฟังดูน่าเหลือเชื่อนัก หากแต่มันก็ยังเชื่อ!
โลกนี้กว้างใหญ่สุดไพศาล มากด้วยความอัศจรรย์นับหมื่นพันประการ
เช่นนั้นมันจึงไม่สงสัยวาจาของต้วนหลิงเทียน
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีผู้คนพบพานปาฏิหาริย์และวาสนาโดยบังเอิญมาแล้วมากมาย เรื่องพิสดารพันลึกมีเล่าไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าพูดว่าเคยพบพานเรื่องราวปาฏิหาริย์มาแล้วทุกรูปแบบ
“นี่มัน…ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ พลังฝึกปรือเจ้ายังทัดเทียมกับข้าหรือ?”
หวางเฟยเซวียนที่เหินร่างตามมาเงียบๆอยู่ด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความตกใจ
“หากนับแค่ด่านพลังฝึกปรือ ก็ใช่…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
เขาเห็นว่ากู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนเป็นสหาย เช่นนั้นจึงเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบ
ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เขาไม่ได้กล่าวถึงผู้เฒ่าหั่วหรือเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เขาจะเปิดเผยความจริงออกไปบางส่วน…
ตอนที่ 1,816 : เป็นที่นิยมอย่างหนัก
หลังได้ฟังเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ใจอดคิดไปเสียไม่ได้ว่า…ไฉนฟ้าถึงลำเอียงเช่นนี้!
ชายหนุ่มเบื้องหน้าด่านพลังฝึกปรือไม่ได้เหนือล้ำไปกว่านาง…เช่นนั้นหมายความว่าพรสวรรค์ก็ไม่ได้โดดเด่นมากไปกว่านาง! หากแต่พลังฝีมือกลับเทียบอริยะเซียนขั้นกลางได้! นี่มันอะไรกัน!!
จังหวะนี้ใจของหวางเฟยเซวียนรู้สึกยากยอมรับนัก!
เป็นธรรมดาที่ทำไมหวางเฟยเซวียนจะคิดแบบนี้ เพราะนางไม่ทราบที่มาของต้วนหลิงเทียน
หากนางรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนมาจากทวีปมนุษย์และไต่มาจากจุดที่ต่ำสุดในแดนดินจนมีวันนี้ได้ นางคงไม่คิดแบบนี้แน่!
ความสามารถที่ทำให้เดินทางจากจุดต่ำสุดของทวีปมนุษย์มาจนอยู่แนวหน้า ของบรรดารุ่นเยาว์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ไม่ใช่อะไรที่พรสวรรค์ของนางจะทำได้!
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้ดีแก่ใจว่าต่อให้เป็นอัจฉริยะสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างต้วนหลิงเทียน!
“น้องหลิงเทียน วาสนาปาฏิหาริย์ที่เจ้าพบพานมามันคืออันใดกันแน่…หากข้าบังเอิญไปเจอบ้าง มิใช่ว่าพลังของข้าจะกลายเป็นเทียบได้กับขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดทันทีเลยหรือ?”
กู่ลี่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปล่งประกาย อยากทราบนักว่าต้วนหลิงเทียนไปทำอีท่าไหนปราณแรกกำเนิดถึงยกระดับไปพลิกฟ้าคว่ำดินแบบนี้!
ได้ยินคำถามนี้ของกู่ลี่ สองตาหวางเฟยเซวียนก็ลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน หันไปจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
เห็นชัดว่านางเองก็สงสัยใคร่รู้ไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนไปเจออะไรมา!
“ครั้งนั้นตอนข้าไปผจญภัย ข้าบังเอิญไปกินผลไม้ลึกลับผลหนึ่ง ทำให้ปราณแรกกำเนิดในร่างข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าผลไม้ลึกลับนั้นมันคือผลไม้วิญญาณหรืออะไรกันแน่ แต่ข้าก็ย้อนกลับไปและเด็ดผลไม้นั่นมากินทั้งต้นเผื่อพลังข้าจะเพิ่มขึ้น…ทว่าพอข้ากินหมดไม่เพียงพลังไม่เพิ่มขึ้น ต้นไม้นั่นอยู่ๆก็แห้งเหี่ยวลงต่อหน้าต่อตาข้า สุดท้ายก็กลายเป็นละอองทรายหายไป…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงยามเล่ายังฟังดูตื่นเต้นทั้งเสียดายไม่น้อย แน่นอนว่าเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างโจ่งแจ้ง แถมยังดับความหวังของกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนลงในพริบตา…
“อะไร!? มีผลไม้นั่นมากกว่า 1 ผล แต่เจ้าเก็บกินหมดต้นเลย!?”
กู่ลี่เบิกตาโพลงราวลูกวัวแรกเกิด มองกล่าวกับหลิงเทียนเสียงสูง “ของขวัญจากสวรรค์…กลับต้องมาเสียเปล่าเช่นนี้รึ! น้องหลิงเทียนเจ้านี่มัน…เฮ่อ…”
“เจ้า…”
หวางเฟยเซวียนมองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็กล่าวได้เพียงไม่กี่คำ “เจ้ามันทึ่ม!!”
ถึงแม้ว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวล้วนปั้นน้ำเป็นตัว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็เป็นความจริง ผลไม้ในเรื่องเล่าสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เหมือนกับวาสนาที่เขาได้รับมา
เพราะอีกาทองคำ 3 ขา สามารถทำให้ผู้อื่นรู้แจ้งได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดชั่วชีวิต! และการรู้แจ้งนั่นก็คือความสามารถในการเพาะสร้าง ปราณสุริยันแรกกำเนิด!!
ผู้เฒ่าหั่วได้เลือกมอบมันให้เขา…
“เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเรานะ…หากคนอื่นรู้เข้า ข้าได้ปวดหัวจนตายแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเพิ่มเพื่อกำชับกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียน
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นวาสนาที่ไม่อาจมีใครได้รับอีกเป็นคนที่สอง แม้คนอื่นจะรู้ เขาก็ไม่อาจแบ่งปันอะไรให้ได้
อย่างไรก็ตามถึงจะรู้เช่นนั้น แต่ผู้คนไม่วายมาหาเขาเพื่อคลายความสงสัยแน่นอน กระทั่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องผลไม้ประหลาดที่ทำให้ปราณแรกกำเนิดพัฒนาไปอยู่ดี…
เช่นเดียวกันกับกู่ลี่ ที่ตอนนี้มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาเจิดจ้า “น้องหลิงเทียน เจ้ายังจำลักษณะผลไม้ลึกลับนั่นได้หรือไม่ แล้วต้นของมันเป็นเช่นไร?”
“ลักษณะผลไม้ลึกลับนั่นน่ะเหรอ จะว่าไปมันก็คล้ายๆแอปเปิ้ลธรรมดาๆเลย…ตอนแรกข้าก็คิดว่ามันเป็นแอปเปิ้ลนั่นล่ะ ถึงได้หยิบมากินเล่น แต่ไม่คิดเลยว่าพอกินลงไปมันจะทำให้ปราณแรกกำเนิดของข้าเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาอย่างขอไปที
แน่นอนว่าคำตอบนี้ก็ดับฝันของกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนไปอีกครั้ง
จะให้พวกมันไปไล่กินแอปเปิ้ลทั่วหล้าก็กระไรอยู่…
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าข่าวการบาดหมางระหว่างเขากับจ้าวคุน จนฆ่ากันตายหลังทำสัญญาเป็นตาย ได้แพร่กระจายไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับในเวลาอันสั้น กระทั่งยังทำให้อาวุโสระดับสูงทั้งหลายถึงกับสะท้าน!
จ้าวคุนนั้นพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไมกี่วันที่ผ่านมา…
ทว่ากลับถูกหลิงเทียนฆ่าตาย!
ยิ่งไปกว่านั้นจากการลงมือของต้วนหลิงเทียน เห็นว่าจากพลังอำนาจที่เผยออกยามฆ่าจ้าวคุน สมควรเป็นอริยะเซียนขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ!
อายุน้อยกว่า 40 ปี บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง!
อัจฉริยะเช่นนี้มากพอที่จะทำให้ตำหนักฟ้าลี้ลับพยายามโน้มน้าวรั้งตัวเอาไว้ ไม่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ก็ตาม!
เช่นนั้นระดับสูงทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับ นอกจากจ้าวจินกับกู่ซืออวิ๋น ล้วนมาประชุมกันที่โถงหลักของเมิ่งฉิงทั้งสิ้น
“ท่านจ้าวตำหนัก ด้วยพรสวรรค์ปีศาจเช่นนี้ หลิงเทียน ย่อมเติบโตกลายเป็นคนอย่างต้วนหรูเฟิงของตำหนักเมฆาครามและตู้กูแห่งตลาดมืดหยินชานได้เป็นแน่…พวกเราจำต้องโน้มน้าวให้เขาอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราให้ได้! มิว่าจะต้องจ่ายราคามากเท่าไหร่ก็ตาม! ต่อให้ต้องประกาศว่าเขาคือจ้าวตำหนักคนต่อไปพวกเราก็ต้องทำ!!”
รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนหนึ่งกล่าวเสนอออกมา
“ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าเห็นด้วย!”
……
ทันใดนั้นเหล่าอาวุโสระดับสูงทั้งหลายรีบขานรับกันทันที และไม่มีใครเห็นต่าง
“ข้าเข้าใจความต้องการของทุกท่านดี ว่าทั้งหมดพยายามจะบอกอันใดข้า…อย่างไรก็ตามหลิงเทียนประกาศไว้ชัดแล้วว่าจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเราหลังจากนี้อีกไม่กี่ปี…ด้วยเหตุนี้ข้ากลัวว่าความหวังของพวกเราจะกลายเป็นความหวังลมๆแล้งๆ”
เมิงฉิงส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ถึงแม้มันจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหลิงเทียนมากนัก แต่มันมองออกว่าหลิงเทียนไม่ใช่คนที่จะถูกผลประโยชน์ในนามตำหนักฟ้าลี้ลับล่อลวง
“ท่านจ้าวตำหนัก ที่หลิงเทียนคิดเช่นนั้นเพราะเขามิได้รู้สึกว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นครอบครัว กระทั่งไม่รู้สึกว่าเป็นเจ้าของตำหนักฟ้าลี้ลับ…หากตำหนักฟ้าลี้ลับเรายินดีจ่ายออกด้วยทุกสิ่งเพื่อตอบสนองคำขอของเขา ทั้งควบคู่ไปกับตำแหน่งว่าที่จ้าวตำหนักคนต่อไป ข้าเชื่อว่าเขามิอาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้ลงคอ!”
อาวุโสชราคนหนึ่งที่แลดูมากปัญญากล่าวออก
“ดี!”
“ข้าเห็นด้วยท่านจ้าวตำหนัก พวกเราไปลองยื่นข้อเสนอให้เขาดูกันก่อนเถอะ!”
“ใช่แล้วท่านจ้าวตำหนัก ลองพยายามแล้วมิได้ผลยังดีกว่ามิลงมือทำ! ทั้งด้วยความสำคัญของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าท่านจ้าวตำหนักต้องออกหน้าเชื้อเชิญเขาด้วยตัวเอง!!”
……
หนึ่งในรองจ้าวตำหนักกล่าวออกมาทั้งพยายามมองเมิ่งฉิงตาลุกวาว คล้ายเป็นการกดดันโดนอ้อม
อย่างไรก็ตามเมิ่งฉิงไม่ถือสาหาความอะไร เพราะมันรู้ดีว่าทุกคนทำเพื่อตำหนักฟ้าลี้ลับ
“เอาล่ะๆ พวกท่านไม่ต้องมองข้าขนาดนั้นหรอก…หากหลิงเทียนเห็นด้วยเรื่องอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ข้าก็มิเห็นว่าจักมีอันใดขัดข้องหากจะประกาศให้เขาเป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป…ในเมื่อทุกคนเห็นดีด้วยเช่นนี้ เช่นนั้นทั้งหมดติดตามข้าไปหาหลิงเทียนด้วยกันเลยเถอะ พวกเราจะไปยื่นข้อเสนอให้เขา และรอฟังคำตัดสินใจของเขาพร้อมกันว่าจะอยู่กับพวกเราหรือไม่!”
แม้เมิ่งฉิงจะรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าหลิงเทียนไม่มีทางยอมตกลงอยู่ที่นี่แน่นอน แต่เพื่อไม่ให้รองจ้าวตำหนักทั้งหลายกดดันเรื่องนี้ไม่เลิกรา ก็ได้แต่ยินยอมลองกระทำตามสักครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจพาทั้งหมดยกโขยงไปหาหลิงเทียนเสียเลย
สองตาอาวุโสทั้งหลายถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันใดหลังได้ยินคำของเมิ่งฉิง
“ท่านจ้าวตำหนักปรีชายิ่ง!”
“ข้าเชื่อมั่นว่าความจริงใจของท่านจ้าวตำหนักและพวกเรา ต้องทำให้หลิงเทียนยินดีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับต่อแน่!”
“ฮ่าๆๆ…หากหลิงเทียนยินดีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับของพวกเรา ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราต้องกลายเป็นตำหนักเมฆาครามหลังที่ 2 ได้ในเวลาไม่กี่สิบปี!!”
…
ในอดีตนั้นภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีตลาดมืดหยินชานเป็นดั่งทรราชครองแดนอยู่เพียงผู้เดียว ทำให้ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายรู้สึกอึดอัดไม่อาจหืออือ
จนกระทั่งตำหนักเมฆาครามบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน จ้าวตำหนักคนเก่าถูกล้ม จ้าวตำหนักคนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ประมุข ตั้งแต่นั้นก็เสมือนปรากฏ ‘ตลาดมืดหยินชานแห่งที่สอง’ ขึ้นในแดนดิน!
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยอดปิรามิดของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มี 2 ยอด!
เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับเชื่อมั่นนัก ว่าหากหลิงเทียนเต็มใจอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องสามารถนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับให้กลายเป็นขุมพลังอำนาจที่ทัดเทียมกับตลาดมืดหยินชานได้แน่!
พอถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็จะเป็น 1 ใน 3 ขุมพลังชั้นนำที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างร่วมกับตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชาน!
ต้องบอกเลยว่าความทะเยอทะยานของบรรดาอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นยิ่งใหญ่มาก!
แน่นอนว่าเหตุผลที่ทั้งหมดบังเกิดความทะยานอยากอันยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่มั่นใจในพลังของต้วนหลิงเทียน!
เมื่ออาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับโดยมีเมิ่งฉิงนำขบวนเดินทางมาถึง ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวคำลากับกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนเพื่อแยกย้ายกลับบ้านพอดี
เมื่อได้เห็นเมิ่งฉิงและอาวุโสทั้งหลายยกโขยงกันมาแบบนี้ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียน กระทั่งกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนก็ถึงกับต้องตกตะลึง
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ตอบสนองเรื่องราวได้เร็วไว เร่งโค้งคารวะเมิ่งฉิงทันที “คารวะท่านจ้าวตำหนักและอาวุโสรองจ้าวตำหนักทุกท่าน”
“เจ้าตำหนัก”
ต่างจากการมากมารยาทของกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนที่ทักทายเมิ่งฉิงและอาวุโสทั้งหลายอย่างสุภาพ ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้าทักทายเมิ่งฉิงเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆต้วนหลิงเทียนทำคล้ายทั้งหมดเป้นเพียงอากาศธาตุ
หากเป็นปกติ เจอศิษย์ปฏิบัติตัวแบบนี้ บรรดาอาวุโสทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับต้องของขึ้นเป็นแน่ เพราะนี่เสมือนอีกฝ่ายไม่เห็นหัวพวกมัน กระทั่งพวกมันยังรู้สึกเสมือนถูกดูหมิ่น!
ทว่าวันนี้ ‘การดูหมิ่น’ จากต้วนหลิงเทียนไม่เพียงทำให้พวกมันไม่พอใจ พวกมันยังยิ้มร่าไม่ถือสาอะไรแม้แต่น้อย
กระทั่งในใจยังกลายเป็นยกย่องต้วนหลิงเทียน…
‘วางตัวเช่นนี้สมแล้วที่เป็น ‘อัจฉริยะบุคคล’ ความภาคภูมิใจในตัวเองช่างสูงส่งไม่คิดสยบให้ผู้ใดง่ายๆนัก! ตัวตนเช่นนี้นี่ล่ะ..คือผู้ที่จะนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราไปสู่ความยิ่งใหญ่! ด้วยมีเขาตำหนักฟ้าลี้ลับเรายังกลัวไม่รุ่งเรืองอีกหรือ!?’
‘อัจฉริยะเยี่ยงปีศาจ ไหนเลยประพฤติขลาดเขลาโอนอ่อนไหลตามกระแสไปเรื่อยเหมือนสามัญชน! ดูศิษย์ทั่วไปเข้าเถอะ! มีผู้ใดหาญกล้าวางตัวอหังการเช่นหลิงเทียนผู้นี้ได้บ้าง!!’
‘ยังเยาว์อยู่แท้ๆกลับมีสภาวะท่วงท่าคล้ายไร้แยแสสรรพสิ่ง เผยให้เห็นชัดว่าสายตากว้างไกลมีความมั่นใจในตัวเองสูงส่ง…ตัวตนเช่นนี้จักต้องเติบโตเป็นจ้าวผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดแน่นอน!!’
…
หากความคิดในหัวของบรรดาอาวุโสระดับสูงเหล่านี้สามารถดังออกมาให้ได้ยินกันทั่วล่ะก็…น่ากลัวเหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับคงได้คับแค้นจนกระอักโลหิตตาย!
เห็นได้ชัดว่าหลิงเทียนผู้นี้เพียงหยิ่งยโสไม่เห็นหัวพวกท่านแท้ๆ ไฉนกลายเป็นตัวตนอหังการดั่งจ้าวอยู่เหนือผู้มากไปด้วยความมั่นใจไม่โอนอ่อนไหลตามกระแสเหมือนสามัญชนไปได้?
ตอนแรกกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนเห็นฉากนี้ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะผวา ด้วยกลัวว่าการวางตัวของต้วนหลิงเทียนจะสร้างความพิโรธเดือดดาลให้แก่เหล่าอาวุโสระดับสูงทั้งหลาย สีหน้าจึงซีดลงไปอยู่บ้าง…
อย่างไรก็ตามพอเห็นสีหน้าของอาวุโสทั้งหลาย ที่ไม่คล้ายจะมีโทสะอะไร พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ เพราะคิดว่าไม่มีใครถือสาหาความต้วนหลิงเทียน
ทว่าฉากต่อมากลับทำให้พวกมันจำต้องตะลึงลานแล้วจริงๆ
“หลิงเทียน พวกเราเคยพบกันแล้วตอนที่เจ้าออกจากแดนลับเซียนวันนั้น เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
หนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปี่ยมไมตรียิ้มกล่าวออกมาหน้าระรื่น แนะนำตัวให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
หลังจากนั้นรองจ้าวตำหนักทั้งหลายก็ผลัดกันออกมาแนะนำตัวให้ต้วนหลิงเทียนอย่างมากอัธยาศัย น้ำเสียงท่าทางแต่ละคนแลดูใจดีทั้งสุภาพอ่อนโยน ไม่คล้ายกำลังคุยกับศิษย์แต่เป็นบุตรหลานหัวแก้วหัวแหวน
กู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนถึงกับต้องหันมามองสบตากันปริบๆ แลเห็นถึงความตกตะลึงไม่เข้าใจในแววตาอีกฝ่าย
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ยากลงมือตบหน้าคนกำลังยิ้ม’
เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับการทักทายแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างขอไปที
“จ้าวตำหนัก ท่านกับรองจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลายมาหาข้าแบบนี้ ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันมองถามเมิ่งฉิงออกมา
แน่นอนว่าแม้ปากจะกล่าวถามออกไป แต่ใจรู้ดีว่านี่มันเรื่องอะไร…
หวางเฟยเซวียนนั้นยังไม่อาจคาดเดาความคิดของจ้าวตำหนักและอาวุโสคนอื่นๆได้ หากแต่กู่ลี่กลับตระหนักได้แล้วว่าทุกคนมากันทำอะไร ใบหน้าอดไม่ได้ที่จะเข้มขรึมจริงจังขึ้นมาทันที “ไม่คิดเลยว่าน้องหลิงเทียนจะกลายเป็นที่นิยมมากเพียงนี้!”
ตอนที่ 1,817 : จ้าวจี้…อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
“หลิงเทียน พวกเรามาที่นี่เพราะคิดให้เจ้าทบทวนเรื่องอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ และร่วมฟันฝ่าสู่ความยิ่งใหญ่ไปกับตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา!”
เผชิญกับคำถามของต้วนหลิงเทียน เมิ่งฉิงไม่คิดอ้อมค้อมอันใด เลือกเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกทันที “ตราบใดที่เจ้ายินดีร่วมฝ่าฟันไปกับตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่เพียงแต่จะไม่ขาดการส่งเสริมสนับสนุนเจ้าด้วยทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหมดที่เจ้าต้องการ…”
“ตัวข้ายังกล่าวรับปากกับเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยว่า…ว่าที่จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไปคือเจ้า!!”
สิ้นคำกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังของเมิ่งฉิง ทุกสายตาของบรรดาอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ ล้วนไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
ในแววตาของพวกมันแต่ละคนยังเต็มไปด้วยความวาดหวัง และความปรารถนาล้นปรี่!
ตราบใดที่ชายหนุ่มเบื้องหน้ายินดีรั้งอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ วันหน้าตำหนักฟ้าลี้ลับต้องผงาดขึ้นไปถึงจุดยอดแห่งอำนาจได้เป็นแน่ สามารถยืนหยัดทัดเทียมตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชานได้อย่างไม่ยิ่งหย่อน!!
หากชีวิตนี้ของพวกมันได้เห็นฉากนั้น แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว!
ได้ยินคำถามนี้ของเมิ่งฉิง ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคาดไว้ก่อนแล้ว
ทว่าหวางเฟยเซวียนนั้นต่างกัน นางถึงกับตะลึงเป็นตัวโง่งมอีกครั้ง
นางไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะทำให้บรรดาผู้อาวุโสระดับสูงกระทั่งจ้าวตำหนัก มากล่าวโน้มน้าวให้อยู่ต่อได้แบบนี้!
“เพ้ย! เจ้ายังยืนมึนอันใดอยู่เล่า! ยังมิรีบตอบรับไปอีกเจ้าทึ่ม!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนนิ่งไปอยู่นาน หวางเฟยเซวียนที่ร้อนใจแทน อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปกล่าวเร่ง!
ในสายตาของนาง จ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลายทำถึงขนาดนี้ก็มากพอจะเผยให้เห็นความจริงใจของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ!
น่าเสียดายที่นางถูกลิขิตให้ผิดคาด
“จ้าวตำหนัก…รองจ้าวตำหนักและอาวุโสทุกท่าน…”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะว่ายมองเมิ่งฉิงและทุกคนที่มาหาเขารอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เงียบไปไม่กี่ลมหายใจค่อยกล่าวออกเสียงดังฟังชัด “ข้าขอบคุณในความปรารถนาดีของทุกท่าน อย่างไรก็ตามข้าได้ให้คำมั่นกับท่านอาจารย์ไว้แล้ว ว่าจะมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อตามหาท่าน…เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะรั้งอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับ”
เป็นไปไม่ได้?
คำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน…กู่ลี่ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคิดไว้แล้วว่าตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ดีพอสำหรับน้องชายผู้นี้! เวทีที่เหมาะสมให้น้องชายมันคนนี้โลดแล่น มีเพียงภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้น!!
เมิ่งฉิงก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเช่นกัน เพราะคิดคาดไว้แต่แรกแล้ว
เหตุผลที่มันมาที่นี่ก็เพื่อสนองความต้องการของรองจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลาย และให้ทุกคนล้มเลิกความคิดดังกล่าวไปเสีย
หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งค้างไปราวกับรูปปั้น
รองจ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลายก็ตะลึงไปไม่ต่าง
หวางเฟยเซวียนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวปฏิเสธออกมา
ส่วนด้านอาวุโสและชนชั้นรองจ้าวตำหนักนั้นมีบ้างที่คิดไว้แล้วว่าอาจต้องผิดหวัง ส่วนบางคนก็เลือกที่จะหวัง..
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันไม่แน่ใจว่าต้วนหลิงเทียนจะอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธออกมาตรงๆทันทีแบบนี้…
ฟังจากวาจาของต้วนหลิงเทียนแล้ว ยังทราบได้ว่าไม่เว้นช่องว่างให้ต่อรอง…
“ฮึ่ม! กลับไม่รู้ว่าอันใดดีต่อตัว!!”
“เหอะ! หากตำหนักฟ้าลี้ลับมิรับตัวเจ้ามา และยินยอมให้เจ้าเข้าใช้สระวิญญาณ เจ้ายังจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้หรือ!?”
“อกตัญญู มิรู้คุณคน!”
……
กระทั่งในบรรดาอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะเป็นคนดีไปเสียทั้งหมด ด้วยเหตุนี้การตัดสินใจของต้วนหลิงเทียนก็มีทั้งผู้ที่เข้าใจ และผู้ที่สายตาคับแคบไม่อาจเข้าใจกระทั่งยังกล่าวตำหนิออกมา
ได้ยินวาจาตำหนิเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
หากตำหนักฟ้าลี้ลับไม่รับตัวเขามา เขาจะไม่มีวันนี้งั้นเหรอ?
หากไม่ได้เข้าใช้สระวิญญาณเขาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อย่างตอนนี้?
อกตัญญู ไม่รู้คุณคน?
ขอถามสักคำ มีศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกี่คนที่เข้าใช้สระวิญญาณแล้วเป็นเช่นเขาบ้าง?
แล้วมีผู้ใดในตำหนักฟ้าลี้ลับที่อายุเท่าเขาหากแต่มีพลังฝีมือทัดเทียมอริยะเซียนขั้นกลาง?
เช่นนั้นก็กล่าวได้เลยว่าต่อให้ไม่ใช่ตำหนักฟ้าลี้ลับ เขาก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้!
แต่สำหรับทุกอย่างที่ได้จากตำหนักฟ้าล้ลับ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณในใจมาโดยตลอด…ไม่ว่าจะเป็นสระวิญญาณหรือแดนลับเซียน กระทั่งความช่วยเหลือของจ้าวตำหนักและกู่ซืออวิ๋นในเรื่องรวบรวมวัตถุดิบมากมายหลายหลากให้เขาเพื่อซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะรู้คุณและมีความกตัญญูคิดตอบแทน แต่เขาก็ไม่คิดรั้งอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับเพราะคำกตัญญู
เขายังมีสิ่งที่ต้องไปกระทำ!
บางเรื่องไม่อาจล่าช้าได้!
แน่นอนว่าเขายังติดค้างตำหนักฟ้าลี้ลับในแง่ ‘ความรู้สึกที่มีต่อผู้คน’ และเขาคิดไว้แล้วว่าจะตอบแทนในภายภาคหน้า แต่ไม่ใช่การตอบรับคำของเมิ่งฉิงแบบนี้
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวคำปฏิเสธ อาวุโสมากมายของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ผิดหวัง บางคนยังจากไปด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
ในขณะเดียวกันไม่นานเรื่องราวนี้ก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับฉับไวดั่งไฟป่า พาลให้ทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับปั่นป่วนกันยกใหญ่อีกรอบ
“หลิงเทียนนั่นกลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดีหรือ?”
“เหอะๆ…ตราบใดที่มันอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ทางตำหนักคงไม่ขาดความพยายามสนับสนุนด้านทรัพยากรบ่มเพาะ กระทั่งท่านจ้าวตำหนักยังกล่าวให้คำมั่นว่ามันจะได้เป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป!”
“ข้าพเจ้ามิอาจทราบได้จริงๆ ว่าในหัวหลิงเทียนคิดอ่านอันใดอยู่กันแน่…หากเป็นข้าพเจ้าลองมีอาหารโอชะเช่นนี้ยื่นมาถึงตรงหน้าคงกัดลงไปเต็มคำแล้ว!”
……
วาจาทำนองดังกล่าวดั่งขึ้นไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ ทั้งหมดคิดว่าต้วนหลิงเทียนถือดีเกินไป และไม่รู้ว่าอะไรมันดีต่อตัว
แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้วนหลิงเทียนล้วนไม่สนใจ
ณ ตำหนักหลัก คฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง อันเป็นที่อยู่อาศัยของจ้าวจินอาวุโสผู้พิทักษ์ คฤหาสน์หลังนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่นัก การตกแต่งยังงดงามยิ่งกว่าพระราชวัง
และตอนนี้จ้าวจินกับจ้าวเติงก็กำลังนั่งสนทนาหารือกัน
“ท่านพ่อ หลิงเทียนผู้นี้ปล่อยไว้ไม่ได้…ด้วยศักยภาพของมัน ต่อไปมันต้องเป็นเภทภัยไม่สิ้นสุดกับสกุลจ้าวเราแน่!”
แววตาจ้าวเติงทอแสงเย็นเยียบ ลึกลงไปเผยให้เห็นความพรั่นกลัวประการหนึ่ง
“วันนี้หากมันรับคำของจ้าวตำหนักบางทีข้าอาจจะกลัวมันอยู่บ้าง…แต่ข้ามิคิดเลยจริงๆว่ามันจักปฏิเสธออกมาอย่างโง่งม!!”
จ้าวจินหัวเราะเยาะ
“ท่านพ่อในเมื่อมันตั้งใจจะตีจากตำหนักฟ้าลี้ลับ และมันมิได้คิดจะออกไปไหนช่วงนี้…เช่นนั้นไฉนพวกเรามิรอวันที่มันออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ ลงมือฆ่ามันให้ตายเล่า?”
จ้าวเติง ที่ชักสีหน้าขึงขังอำมหิตกล่าวเสนอ
“หากมันไม่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับช่วงนี้จริงๆ พวกเราก็ไร้ทางเลือกอื่นได้แต่ฆ่ามันวันนั้นเถอะ…”
จ้าวจินกล่าว
ในพื้นที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งมันเองก็ไม่กล้าลงมือฆ่าคนมั่วซั่ว
เพราะทันทีที่มันลงมือ มันต้องถูกเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักค้นพบได้ทันที กระทั่งกู่ซืออวิ๋นก็ต้องรับทราบทันทีด้วยเช่นกัน!
สำนึกเทวะของเมิ่งฉิงและกู่ซืออวิ๋นรวมถึงตัวมันเอง มีรัศมีกว้างพอจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ! เรียกว่าสามารถล่วงรู้ถึงความเป็นไปในตำหนักฟ้าลี้ลับได้ง่ายดาย เว้นเสียก็แต่ภายในห้องหับหรือบ้านพักส่วนตัวอะไร!!
เช่นนั้นจึงไม่มีใครในตำหนักฟ้าลี้ลับกล้าที่จะลงมือสังหารผู้ใดมั่วซั่ว!
นอกเสียแต่คนผู้นั้นเบื่อชีวิตคิดหาเรื่องตาย!
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้จ้าวเติงกับบิดาอย่างจ้าวจินกำลังหารือกันทั้งยังตั้งมั่นว่าจะฆ่าเขาให้ตาย
แม้เขาจะไม่ได้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไหน แต่ทั้งคู่ก็คิดจะลงมือฆ่าเขาให้ตายวันที่เขาออกจากตำหนัก!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างตั้งใจ พยายามทำความเข้าใจยอดใจกระบี่เพื่อให้บรรลุ
เมื่อพบกับจุดรอคอย เขาก็จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปสนทนากับกู่ลี่หรือหวางเฟยเซวียน คุยกันถึงแนวทางวรยุทธ์ทั้งหลายกระทั่งเวทย์พลัง บ้างก็ประมือกับกู่ลี่เป็นครั้งคราว
นอกจากนี้วัตถุดิบที่ทยอยส่งมาเรื่อยๆ ก็ถูกเขานำไปมอบให้ผู้เฒ่าหั่ว
การฟื้นฟูชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ เรียกว่าช่วงนี้ผู้เฒ่าหั่วทำงานมือเป็นระวิง…
กาลเวลาล่วงเลยดั่งธารไหล ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกปี
แน่นอนว่า หนึ่งปี ในที่นี้หมายถึงเวลาภายนอก
ส่วนภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันผ่านพ้นไปแล้ว 5 ปี
ภายในเวลา 5 ปีนี้…พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนก็ก้าวหน้าไปไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนการทำความเข้าใจเคล้ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ก็เจียนบรรลุถึงขั้นที่ 3 เต็มที
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้า…ยังมีบางคนที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน!
ทางพื้นที่ตะวันตกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ในสถานที่อันห่างไกลและเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างผู้ฝึกตนสองคนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างผิดปกติ ความเร็วในการบ่มเพาะของทั้งคู่เรียกว่าเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ยังเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะฝึกปรือในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียอีก!
ทว่ากลวิธีการบ่มเพาะพลังของทั้งสองคนนี้ หาใช่การดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งพลังในหินเซียนมาเพิ่มพูนพลังฝึกปรืออย่างปกติไม่…แต่พวกมันกลับดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรี! ยังเป็นสตรีจำนวนมากมายมหาศาล!!
แน่นอนว่าในบรรดาสตรีทั้งหลาย สตรีที่ยังเป็นพรหมจรรย์อยู่มีคุณค่ามากกว่า!
อีกทั้งสตรีที่ถูกพวกมันสูบกลืนพลัง ล้วนตกตายกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น!
อย่างไรเสียการกระทำชั่วร้ายนี้กลับไม่ได้แพร่งพรายออกไป
นั่นเพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่พบศพสตรีแห้งเหือดหนังหุ้มกระดูก เป็นอันต้องตกตายทุกราย…กระทั่งญาติสนิทมิตรสหายที่ออกตามหาสตรีที่หายตัวไป…ก็ตกตายอย่างลี้ลับ!
ผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอดีตจ้าววังนภา จูลู่ฉี และหลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ บุตรชายรองจ้าวตำหนัก จ้าวจี้!
“ฮ่าๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะหนึ่งดังลั่นขึ้น จ้าวจี้พลันผุดลุกขึ้นยืนก่อนที่จะผละออกมาจากพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ร่างมันเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ มองลงไปที่เท้าปรากฏซากศพแห้งๆร่างหนึ่ง
หากมองให้ละเอียดจะพบว่านี่เป็นซากศพของสตรี…
และเมื่อมองไปยังคราบโลหิตที่เปรอะเปื้อนบนพื้นบริเวณหว่างขาของนาง ก็บ่งบอกให้รู้ว่านางเคยเป็นสตรีที่ยังบริสุทธิ์มาก่อน
“อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ…ในที่สุดข้าก็ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!!”
จ้าวจี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ คล้ายพึงพอใจในพลังฝึกปรือของตัวเองถึงที่สุด! ด้วยความช่วยเหลือของสตรีใต้เท้า ทำให้มันทะลวงขอบเขตพลังได้สำเร็จ!!
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางของมัน ได้ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
ทั้งหมดต้องขอบคุณเคล็ดมารกลืนหยิน!
ตลอดปีที่ผ่านไม่ทราบมีสตรีมากมายเท่าไหร่ ที่ตกตายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวใต้เท้ามันเช่นนี้…
เรียกว่าความสำเร็จของมันในวันนี้ได้มาจากการพรากพรหมจรรย์กับแก่นแท้โลหิตของพวกนางทั้งสิ้น!
อีกทั้งความก้าวหน้านี้ เป็นอะไรที่มันในอดีตไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง!
“อย่างไรเสียแม้จะทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะเจ้านั่นได้…สุดท้ายแล้วเมื่อปีที่แล้วมันก็บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง! ข้าต้องบ่มเพาะพลังต่อไป!!”
เมื่อคิดถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา ก็คล้ายมีน้ำเย็นราดรดลงหัว ทำให้จ้าวจี้หลุดจากภวังค์ยินดี ตื่นจากฝันหวานทันที
“จ้าวจี้…”
ในขณะที่จ้าวจี้คิดออกไปหาเหยื่อรายใหม่ พลันมีเสียงชราดังขึ้น
จากนั้นร่างชราหนึ่งก็วูบมาปรากฏเบื้องหน้าจ้าวจี้
“จ้าววังจู”
มองไปยังจูลู่ฉีเบื้องหน้า จ้าวจี้พลันยิ้มกล่าว “ข้าทะลวงถึงอริยะเซียนชั้นเชี่ยวชาญแล้ว…มิทราบจ้าววังจูเป็นอย่างไรบ้าง พลังฝึกปรือก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือยัง ใช่บรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางแล้วหรือไม่?”
6 เดือนที่แล้วด่านพลังฝึกปรือของจูลู่ฉีที่เดิมอยู่ที่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ได้ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นที่มันเคยวาดฝันเอาไว้ได้สำเร็จ หลังจากนั้นด้วยความช่วยเหลือของเคล็ดมารกลืนหยิน พลังฝึกปรือของมันก็ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ…
“ขาดอีกแค่เล็กน้อย…”
จู่ลู่ฉีส่ายหัวไปมา ก่อนที่แววตาจะทอแสงเรืองวูบ “อีกมิเกิน 3 เดือนข้าสมควรทะลวงผ่าน!”
ตอนที่ 1,818 : เรื่องแดง…
“เช่นนั้นนับว่าท่านช้ากว่าข้ามาก…”
จ้าวจี้กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจหลังได้ยินคำตอบของจูลู่ฉี
ใช้เวลาไป 1 ปีเท่ากัน หากแต่มันกลับสามารถทะลวงขอบเขตพลังได้ถึง 5 ขีดขั้น จากเซียนขัดเกลาขั้นกลางจนบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
แน่นอนว่าอันที่จริงแล้วสมควรกล่าวว่ามันสามารถบรรลุได้ถึง 4 ขั้น เพราะแม้มันจะไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน แต่เดิมทีมันก็เจียนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญอยู่แล้ว…
อย่างไรก็ตามแม้มันจะทะลวงด่านพลังได้ถึง 4 ขั้น แต่ก็ยังนับว่าเหนือกว่าจูลู่ฉีที่ทะลวงผ่านได้ 1 ขั้นพลัง
“เท่าที่ข้ารู้มา…ท่านกระทั่งดูดซับพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีไปมากมายยิ่งกว่าข้าเสียอีก…”
จ้าวจี้ยิ่งกล่าวออกมา ยิ่งเผยความกระหยิ่มยิ้มย่องมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตลอดปีที่ผ่านมาแม้จำนวนสตรีที่ข้าดูดซับพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตจะมีมากกว่าเจ้า แต่ด่านพลังเจ้าตอนแรกอยู่ด่านใดส่วนข้าอยู่ด่านใด…มันเอามาเทียบกันได้ด้วยหรือ?”
จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย มันรู้สึกว่าจ้าวจี้ผู้นี้ช่างหน้าไม่อายอย่างยิ่ง ที่มาเทียบการก้าวหน้าของพลังฝึกปรือใน 1 ปี
จ้าวจี้เดิมทีมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น ก่อนที่จะฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินและสูบพลังจากสตรี…
หากแต่ตัวมันนั้น ในอดีตก็เพียงมีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น! แม้จะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทะลวงด่านพลังได้ง่ายๆ…แค่มันสามารถทะลวงผ่านมาถึงเซียนปฐพีขั้นแรกได้ในเวลาแค่ 1 ปี มันก็พึงพอใจมากแล้ว!
“จ้าววังจู ข้าล่ะไม่เข้าใจท่านจริงๆ…เดิมทีด้วยพลังฝึกปรือของท่าน หากท่านเลือกจะดูดซับพลังจากสตรีพรหมจรรย์เพื่อบ่มเพาะพลังตามเคล็ดมารกลืนหยิน ท่านต้องบรรลุถึงเซียนปฐพีได้เร็วกว่านี้แน่นอน! สตรีเหล่านั้นก็แค่ปุถุชนธรรมดาไร้ราคาอันใดไฉนท่านถึงได้บ่ายเบี่ยงนัก กระทั่งยังมาขัดขวางข้าและไม่ให้ข้าใช้พวกนางบ่มเพาะพลังต่อหน้าอีก…”
จ้าวจี้ ขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ สตรีจะพรหมจรรย์หรือไม่พรหมจรรย์ก็มีค่าเท่ากัน ไฉนท่านถึงได้เรื่องมากนัก…”
“เฮอะ!”
จูลู่ฉีแค่นคำออกมาคำหนึ่ง หากแต่ไม่ได้ตอบอะไรจ้าวจี้
ในใจของจูลู่ฉีมีความลับเรื่องหนึ่งที่มันล่วงรู้เพียงผู้เดียว…นานมาแล้วมันก็มีบุตรีที่น่ารักซุกซนคนหนึ่ง เป็นบุตรีที่ภรรยาของมันคลอดไว้ให้มันก่อนที่นางจะตกตาย
มันจึงรักถนอมบุตรีนางนี้นัก เลี้ยงดูนางกับมือแต่เล็กจนเติบใหญ่ มอบทุกสิ่งให้ทุกอย่างประหนึ่งนางเป็นแก้วตาดวงใจ ให้นางใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงน้อย…
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาและวาสนาของผู้คนบางครั้งก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ดั่งสภาพดินฟ้าอากาศ…บางคนจำต้องจากไปก่อนวัยอันควร
วันเกิดปีที่ 16 ของบุตรีมัน ด้วยภาระหน้าที่ทำให้มันไม่อาจมาร่วมฉลองงานวันเกิดของนางได้…และวันนั้นเองสหายสนิทที่คิดไม่ซื่อคนหนึ่งของนาง ก็ได้ก่อการอุกอาจระยำ เลือกที่จะย่ำยีขืนใจนางเสียหลังจากนางไม่ยอมรับรักของอีกฝ่าย!
เมื่อมันกลับมาก็พบซากร่างไร้วิญญาณที่จากโลกไปเนิ่นนานแล้วของบุตรี
นอกจากนั้น นางยังเหลือจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง…
บุตรีของมันเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพราะทนรับความอัปยศอดสูหลังถูกข่มขืนไม่ได้…
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นมันจะลงมือฆ่าล้างโคตรของอดีตสหายอุบาทว์คิดไม่ซื่อคนนั้นของนางจนตกตายทั้ง 9 ชั่วโคตร แต่บุตรีของมันก็มิอาจย้อนคืนหวนมา…
และเป็นเพราะการตกตายของบุตรีอันเป็นที่รัก ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายของมัน…จูลู่ฉีจึงทุ่มเทจิตใจและวิญญาณให้แก่การบ่มเพาะพลัง จนมีความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
การบ่มเพาะพลังด้วยการสูบกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจาก ‘สตรีพรหมจรรย์’ นั้นให้ผลเลิศล้ำดีกว่า มันเองก็รู้ดีแก่ใจ หากแต่มันมิอาจลงมือย่ำยีสตรีบริสุทธิ์ได้ลงคอ…
เพราะยามใดก็ตามที่มันเห็นดรุณีน้อยบริสุทธิ์ไม่เดียงสา ก็อดนึกถึงบุตรีที่ตกตายไปเสียไม่ได้ จึงไม่มีใจลงมือทำร้ายดรุณีน้อยวัยใสเหล่านี้ได้ลงคอ กระทั่งยังไม่อาจทนเห็นใครย่ำยีดรุณีน้อยบริสุทธิ์เหล่านี้ต่อหน้าได้…
เหมือนเช่นตอนนี้ ที่มันเร่งรุดมาเพื่อหยุดจ้าวจี้…หากแต่มันมาสายเกินไป
ปึงง!!
เพียงจูลู่ฉีสะบัดมือคราหนึ่ง พลังไร้สภาพอันน่ากลัวพลันแยกปฐพีเป็นช่องสูบกลืนซากร่างสตรีที่เคยบริสุทธิ์จมหายลงไป ก่อนที่หน้าดินจะกลบถมพูนเป็นหลุมศพให้นางได้หลับไหลไปตลอดกาล…
“ข้าล่ะไม่เข้าใจท่านจริงๆ!”
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวจี้เห็นจูลู่ฉีกระทำอะไรแบบนี้ แต่มันก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา เพราะมันไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนจูลู่ฉีถึงได้ปกป้องสตรีพวกนี้นัก
“จ้าววังจู หวังว่าต่อไปพวกเราไม่ต้องเจอกันอีกจะประเสริฐกว่า!”
จ้าวจี้มองจูลู่ฉีด้วยสายตาเพ่งพิจครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างจะวูบเหินจากไปดั่งสายลมกรรโชก คล้ายหวาดกลัวโรคห่าอย่างไรอย่างนั้น
จูลู่ฉีก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงจากไปตามทางของตัวเช่นกัน
หากเลือกได้มันก็ไม่อยากเจอจ้าวจี้
เพราะทุกครั้งที่มันเจอจ้าวจี้ เป้าหมายของจ้าวจี้ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีบริสุทธิ์เยาว์วัยทั้งสิ้น มันเองก็ไม่อาจทนเห็นจ้าวจี้รังแกพวกนางได้ แม้สตรีบริสุทธิ์เดียงสาเหล่านี้จะไม่ใช่บุตรีของมัน แต่มันไม่อาจทนมองพวกนางถูกย่ำยีได้จริงๆ…
เรื่องนี้เสมือน ‘มารในใจ’ จูลู่ฉี
หากจูลู่ฉีไม่เลือกสรรแต่สตรีขายบริการและสตรีที่ย่างเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่เลือกสตรีที่บริสุทธิ์ด้วยเหมือนจ้าวจี้ ป่านนี้มันคงบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางไปเนิ่นนาน…และต่อให้ยังไม่บรรลุก็คงเจียนบรรลุในเวลาอันสั้น!
ทว่าตอนนี้จูลู่ฉียังต้องเสียเวลาบ่มเพาะอีกราวๆ 3 เดือนถึงจะบรรลุได้…
ต้องกล่าวเลยว่าจ้าวจี้กับจูลู่ฉีปกปิดร่องรอยได้ดีไม่น้อย นอกจากนั้นทั้งคู่ยังเลือกลงมือในพื้นที่อันห่างไกลและสงบเงียบบริเวณตะวันตกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ในพื้นที่แถบนี้อย่าว่าแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 กระทั่งขุมพลังชั้น 4 ไม่สิ…กระทั่งขุมพลังชั้น 5 ก็ไม่มี!
ดังนั้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงไม่มีใครมารบกวนหรือวุ่นวายการลงมืออำมหิตของพวกมัน!
อย่างไรก็ตามไม่มีกำแพงใดที่กั้นลมไว้ได้ตลอด เพียงผ่านพ้นไปอีกครึ่งปี ‘เรื่องประหลาด’ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันตกอันไกลห่างแห่งนี้ก็แดงขึ้นมาในที่สุด…
เป็นผู้ฝึกตนที่มีบ้านเกิดอยู่ในพื้นที่ตะวันตกดังกล่าว แพร่กระจายเรื่องประหลาดอันผิดปกตินี้ออกมา…
3 ปีที่แล้วมันออกเดินทางไปท่องเที่ยวฝึกตนขัดเกลาตัวเอง ไม่ได้กลับบ้านเกิดจนกระทั่งตอนนี้…
อย่างไรก็ตามพอมันกลับไปถึงบ้านเกิด มันก็พบว่าสรวงสวรรค์อันสงบสุขไร้เรื่องราวแก่งแย่งใดๆอย่างหมู่บ้านเล็กๆของมัน กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง…
ศพอื่นๆของผู้คนในหมู่บ้านนั้นเป็นปกติ หากแต่ซากศพของอิสตรีทุกคนกลับกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยว!
“นิ…นี่มันเกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้น?”
ฉากประหลาดเบื้องหน้าเป็นอะไรสุดที่มันจะคิดคาดจินตนาการได้นัก กระทั่งความเศร้าที่เสียสตรีคนรักในหมู่บ้านยังถูกความหวาดกลัวกลบมิด
หลังจากนั้นมันก็เริ่มสำรวจพื้นที่โดยรอบ
หากแต่ทุกที่ทางที่มันผ่านไป หมู่บ้านเล็กๆอื่นใดในอดีต ล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังทั้งสิ้น…
และศพผู้คนในหมู่บ้านเหล่านั้นก็เหมือนกันกับหมู่บ้านมันไม่ผิดเพี้ยน ศพอื่นๆไม่เป็นอะไร หากแต่ศพของสตรีทุกคนกลับกลายเป็นแห้งเหี่ยวหมดสิ้น ไร้เลือดแม้แต่หยดหยาด…หนังแห้งติดกระดูก ไม่ต่างใดจากใบไม้แห้งกรอบ
“บัดซบ ผิดท่าแล้ว!”
ด้วยเรื่องราวลึกลับไม่เข้าใจ ในที่สุดมันก็ถูกความกลัวครอบงำจิตใจไม่กล้ารั้งอยู่…เร่งรุดหลบหนีออกห่างจากพื้นที่ตะวันตกทันที
หลังจากนั้นมันก็เริ่มแพร่กระจายข่าวประหลาดที่ได้พบออกไป
“เฮ้ย! พวกเจ้าได้ยินหรือยัง…เห็นว่าแถวๆชานเมืองทางตะวันตก คนในหมู่บ้านเล็กๆทั้งหลายถูกฆ่าตายหมดสิ้น…แถมศพของสตรียังแปลกประหลาดนัก ทุกศพกลับแห้งเหี่ยวไร้โลหิต…”
“อันใด? ศพแห้งหรือ แล้วศพแห้งที่เจ้าว่ามันเป็นอย่างไรเล่า? “
“ข้ามิรู้หรอก หากเจ้าอยากรู้ ไฉนไม่ไปดูเองเล่า?”
……
เมื่อเวลาผ่านไปบทสนทนาทำนองนี้ก็ดังขึ้นบ่อยครั้งแถวๆพื้นที่ชายแดนที่ติดกับพื้นที่ส่วนตะวันตก
ในโลกใบนี้สิ่งที่ไม่เคยขาดหายก็คือความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน! และนี่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่นานเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่รับทราบเรื่องราวในพื้นที่ตะวันตก ก็ต่างเร่งรุดไปชมดูเรื่องราวให้เห็นกับตากันจ้าละหวั่น
และเมื่อพวกมันได้เห็นสถานการณ์ด้วยสองตา พวกมันก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือที่ได้ยินมาล้วนเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล!
“บัดซบ! เป็นผู้ใดลงมือวิปลาศเช่นนี้กัน?”
“เฮ่อ…สตรีเหล่านี้ช่างน่าสงสารยิ่ง กระทั่งตกตายยังมิอาจได้ตกตายในสภาพดีๆ จำต้องกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวเช่นนี้…”
“ไม่ใช่แล้ว! พวกเจ้าชมดูเร็ว! เฉพาะสตรีที่ตกตายกลายเป็นซากร่างแห้งๆ ศพของพวกนางทุกคนมิมีรอยแผลอันใดบ่งบอกถึงการถูกฆ่าแม้แต่น้อย! นอกจากนี้พวกเจ้ามิสังเกตหรือ ว่าศพของพวกนางทุกศพมิมีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น…จะใช่การลงมือของผู้ฝึกมารหรือไม่?”
“หากเป็นการกระทำของผู้ฝึกมารจริง…เคล็ดบำเพ็ญมารของมันก็นับว่าชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
..
ในบรรดาคนที่อยากรู้อยากเห็น ก็ย่อมมีคนที่มีไหวพริบไม่น้อย สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้แทบจะทันที ยังเริ่มอนุมานเรื่องราว ปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน…
มีผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม..ก่อการอุกอาจไปทั่วพื้นที่ตะวันตก!
ผู้ฝึกตนหนทางมารนั้นไม่ใช่ไม่เป็นที่ยอมรับในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…หากเป็นผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยกลวิธีที่ปกติธรรมดาไม่ขัดต่อมโนธรรมและไร้มนุษย์ธรรม ก็ย่อมไม่มีใครว่าร้ายรังเกียจอะไร
ทว่าผู้ฝึกตนหนทางมารที่บ่มเพาะพลังด้วยกลวิธีนอกรีตทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ฝึกมารที่ถูกผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าชิงชังรังเกียจ และผู้ฝึกมารเหล่านี้คือผู้ฝึกตนที่สังคมไม่ยอมรับ!
มีคนกระจ่ายข่าวคนเดียวผู้คนมากมายอาจไม่เชื่อและสงสัย
อย่างไรก็ตามหากมีคนมายืนยันเป็นร้อยเป็นพัน เรื่องราวที่สงสัยก็เปลี่ยนเป็นข้อเท็จจริงทันที!
“ข้าจำได้ว่าเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว…ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับได้ออกมาประกาศให้รู้ไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ว่าเคล็ดมารกลืนหยินได้หวนกลับมาสู่โลกหล้าอีกครา! และผู้ที่ช่วงชิงเคล็ดมารนั่นไปก็เป็นถึงอดีตจ้าววังนภา!!”
“กล่าวกันว่าเคล็ดมารกลืนหยิน เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม ใช้การดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของสตรีในการเพิ่มพูนพลัง…และสตรีทุกคนที่ถูกผู้ฝึกมารดังกล่าวดูดกลืนพลัง จักตกตายกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว…หรือที่แท้เรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันตก จักเกี่ยวข้องกับเคล็ดมารกลืนหยิน!”
“พอเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาข้าก็นึกออก…หากเป็นเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ เรื่องราวก็สมเหตุสมผลแล้ว!”
“เช่นนั้นมิว่าชาวบ้านที่ถูกฆ่าตายยกหมู่บ้านเหล่านั้น…กับซากร่างแห้งเหี่ยวของเหล่าสตรีทั้งหลาย เป็นการลงมือของผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…อดีตจ้าววังนภาจูลู่ฉี!!”
“8 ใน 10 ส่วน ไม่ผิดพลาดแน่”
…
เพียงเวลาแค่ไม่นานก็มีผู้คนที่สามารถโยงเรื่องราวเข้ากลับเคล็ดมารกลืนหยินที่เป็นเรื่องฮือฮาเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วได้ในที่สุด
เพียงเวลาแค่ไม่นาน จูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภา ก็จำต้องแบก ‘หม้อก้นดำ’ เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะคนทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ารู้ว่ามันคือผู้ที่ได้รับเคล็ดมารกลืนหยินไป แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า จ้าวจี้ ก็บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินเช่นกัน…
“จ้าววังจู ตอนนี้เรื่องราวชักผิดท่าแล้ว…ดูเหมือนว่ายามนี้พวกเราต้องซ่อนตัวพักสักระยะ ท่านมีแผนอันใดหรือไม่”
ตอนนี้เอง มุมหนึ่งของป่าศิลาในแถบพื้นที่ตะวันตกอันห่างไกลอันเป็นสถานที่ๆกระทั่งวิหกยังไม่ยากแวะเวียนมาขับถ่ายของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ปรากฏร่างจ้าวจี้กับจูลู่ฉีมารวมตัวหารือกันอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งคู่รู้แล้วว่าเรื่องราวที่พวกมันกระทำ สุดท้ายก็แดงขึ้นมา
“ข้าจักมีแผนอันใดได้? ก็ต้องไปซ่อนตัวถ่ายเดียว! ข้ามิได้เหมือนเจ้าที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…เจ้ากระทั่งสามารถกลับบ้านได้อย่างสง่าผ่าเผยด้วยซ้ำ!”
จูลู่ฉีกล่าวตอบเสียงเข้ม
“ฮ่าๆๆ…เช่นนั้นข้าคงต้องลาท่านแล้วจ้าววังจู! อ่อจริงสิ ข้าฝากฉีจิ้งไว้ให้ท่านดูแลด้วยเล่า! เพราะอย่างไรเสียพวกเราก็ยังมิได้ล่วงรู้ทุกสิ่งของเคล็ดมารกลืนหยิน!!”
ก่อนที่จะจากไป จ้าวจี้ไม่ลืมกำชับเรื่องราวกับจูลู่ฉี
“พื้นที่แถบนี้มิอาจอยู่ได้แล้ว…”
จูลู่ฉีเองก็เหินร่างจากไปทันที หลังจากที่จ้าวจี้กลับไปแล้ว
ตอนที่ 1,819 : กู่ลี่…เซียนมนุษย์!
จูลู่ฉีนั้นรู้ตัวเองดี
ถึงแม้ตอนนี้มันจะบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง หากแต่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีผู้คนมากมายนักที่เอาชนะมันได้
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้สักงเกตการณ์ ที่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนนภา ที่ถูกส่งมาจากขุมพลังชั้น 1 จากภูมิภาคเบื้องบนเพื่อควบคุมดูแลคนในภูมิภาคเบื้องล่าง ลำพังผู้นำของตำหนักเมฆาครามกับตลาดมืดหยินชานก็ฆ่ามันได้ง่ายดายราวฆ่าไก่!
ร่ำลือกันว่าพลังฝึกปรือของทั้งสองคนนั้นบรรลุถึงจุดสูงสุดขอบเขตเซียนปฐพีไปแล้ว!
นอกจากนั้นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย ไม่เว้นเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ คนเหล่านี้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็ล้วนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ!
นอกเหนือจากนั้นตัวตนที่มีชื่อเสียงอย่างรองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้ ที่บรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายนั้นเจียนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญเต็มที ไม่ใช่อะไรที่คนอย่างมันที่พึ่งจะบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางจะต่อกรด้วยได้…
“เฝิงปู่อี้…วันใดที่ข้าบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า!”
สองตาของจูลู่ฉีทอประกายอำมหิตจ้า เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันหนาแน่น ยังดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อเฝิงปู่อี้!
ผ่านไปพักหนึ่งจูลู่ฉีค่อยสงบลง “ตอนนี้ไม่เหมาะที่ข้าจะเผยตัว…นอกจากบ่มเพาะพลังแล้ว ข้าต้องรีบเพาะสร้างเวทย์พลังนั่นให้เร็วที่สุด!”
เวทย์พลัง จูลู่ฉีกล่าวนั่นคือเวทย์พลังที่มาพร้อมกับเคล็ดมารกลืนหยิน
เวทย์พลังนั้นยังไม่ใช่เวทย์พลังสามัญแน่นอน อนิจจาฉีจิ้งยังไม่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ มันจึงไม่อาจทำความเข้าใจและเพาะสร้างได้
หลังจากนั้นไม่นานจูลู่ฉีก็ออกจากพื้นที่ตะวันตก
ขณะเดียวกันข่าวเรื่องผู้ฝึกมาร ที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายผู้คนทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างก็ได้ยินข่าวเรื่องนี้
“เคล็ดมารกลืนหยิน? เคล็ดมารกลืนหยินคืออันใดหรือ?”
ถึงแม้ข่าวของเคล็ดมารกลืนหยินจะแพร่ไปทั่ว และเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่โด่งดังครั้งอดีตกาล แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จัก…
เพราะสุดท้ายเวลามันก็ผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วหลังจากที่เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้นครั้งสุดท้าย ผู้ที่รู้จักมันดีจริงๆก็มีแต่ผู้ชราที่อยู่ในขุมพลังชั้นสูงเท่านั้น
“เคล็ดมารกลืนหยินนั้นใช้กลวิธีบ่มเพาะพลังจากการสูบกลืนพลังหยินทั้งแก่นแท้โลหิตจากสตรี…และสตรีที่ถูกดูดกลืนพลังนั้นต้องตายสถานเดียว แถมยังต้องกลายเป็นซากศพเหี่ยวแห้งอีกด้วย…”
เมื่อรายละเอียดของเคล็ดมารกลืนหยินเริ่มแพร่กระจายออกไป ผู้คนที่ได้รับรู้ก็เริ่มหวาดกลัวและรู้สึกตื่นตระหนกเสียขวัญนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าสตรีที่เป็นเป้าหมายโดยตรงยิ่งกลัวจับใจ เหล่าสตรีพรหมจรรย์ทั้งหลายยังแทบไม่กล้าออกนอกบ้านด้วยซ้ำ!
เพราะพวกนางคือเป้าหมายอันดับ 1 ของเคล็ดมารกลืนหยิน!
ในขณะที่ผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างกำลังตื่นตระหนก ย่อมเป็นธรรมดาที่ขุมพลังชั้น 4 และขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็ต้องได้รับทราบข่าวนี้
“จูลู่ฉีคิดกลายเป็นมารร้ายที่เป็นศัตรูของใต้หล้าดั่งมารร้ายยอดฝีมือตนนั้นจริงๆหรือ?”
เหล่าผู้นำขุมพลังชั้น 4 ทั้งหลายเริ่มตั้งแง่
“จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับเมิ่งฉิงนั้น ตัวข้าเคยได้พบครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นคนที่มีเกียรติและน่านับถืออย่างยิ่ง มิทราบไฉนตำหนักฟ้าลี้ลับ ถึงมีคนอย่างจ้าววังนภาจูลู่ฉีได้”
อาวุโสหลายคนกล่าวไปในทำนองเดียวกัน
ขุมพลังกึ่งชั้น 3 แน่นอนว่าเริ่มเคลื่อนไหวทันทีหลังได้รับทราบข่าวเรื่องนี้ พวกมันไม่อาจเพิกเฉยเรื่องที่อาจจะกลายเป็นหายนะเภทภัยได้
“ยังไม่ทันถึง 2 ปีดี แม้จูลู่ฉีจะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หากแต่พลังฝีมือของมันตอนนี้สมควรยังไม่กล้าแข็งเท่าใด…พวกเราต้องฆ่ามันให้ได้ก่อนที่จักเติบโตมากไปกว่านี้! หากพวกเราไม่อาจฆ่ามันได้ในเวลาอันสั้น น่ากลัวว่าแผ่นดินของภูมิภาคเบื้องล่างคงได้เจิ่งนองไปด้วยโลหิตอีกครั้ง!”
เหล่าผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันเรื่องกำจัดจูลู่ฉี
ผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายจึงได้ออกคำสั่งให้เหล่าอาวุโสยอดฝีมือกระจายกำลังไปคุมพื้นที่ตะวันตก
ขุมพลังชั้น 4 ก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน
ครั้งสุดท้ายที่เคล็ดมารกลืนหยินก่อมรสุมโลหิต แม้เหล่ายอดฝือในปัจจุบันจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หากแต่ตื้นลึกหนาบางของเหตุการณ์ก็ได้รับทราบจากบันทึกกันไม่น้อย จึงรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดมารกลืนหยินดี
ยามนั้นมารร้ายยอดฝีมือที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน อาศัยพลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นสูงสุดกำแหงไปทั่วแดนดิน บรรดายอดฝีมือระดับแนวหน้าที่แม้จะผนึกกำลังกัน ก็ยังต้องล้มตายดั่งใบไม้ร่วง และแม้จะเอาจำนวนเข้าว่าจนสามารถปิดล้อมได้สำเร็จ…ทว่าอีกฝ่ายก็สามารถลบหนีความตายได้พ้น
ตำหนักฟ้าลี้ลับเองคราวนี้ก็ส่งอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ออกไปลงพื้นที่
ส่วนจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงนั้น ไม่อาจไปไหนได้ จำต้องรั้งอยู่เพื่อปกปักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ
เมิ่งฉิงที่กำลังเดินกลับมาจนถึงสวนหย่อมหลังจากส่งอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ออกไป พลันหยุดลงกะทันหัน…เพราะสัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดมาหยุดเบื้องหน้า!
หลังจากนั้นก็ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งขึ้น
ชายชราคนนี้เป็นชายชราที่มีแขนเพียงข้างเดียว
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ด้วยคงตอบได้ทันทีว่าชายชราคนนี้เป็นใคร…ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา ยังเป็นอาจารย์ของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นและบรรพจาร์ยของกู่ลี่
“อาจารย์ลุง”
ต่อหน้าชายชราแขนเดียวผู้นี้ ต่อให้เมิ่งฉิงจะเป็นถึงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ มันก็ไม่กล้าไม่เคารพ เร่งโค้งคารวะอีกฝ่ายทันที
เพราะชายชราเบื้องหน้าคือศิษย์พี่ของอาจารย์มัน!
นอกจากนั้นยังนับเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้!
“จ้าวตำหนัก อย่าได้มากมารยาทกับข้าแล้ว ที่ข้ามาหาวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งคิดกล่าว…โปรดอนุญาตให้ข้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพื่อไปตามล่าจูลู่ฉีนั่นด้วย…ข้าคิดจัดการมันด้วยตัวเอง!”
ชายชรากล่าวออกเสียงดังฟังชัด จบคำทั่วร่างก็ปรากฏจิตต่อสู้ยะเยือกขุมหนึ่งแผ่ซ่านออก แววตายังกลายเป็นอำมหิตดุดัน
“อาจารย์ลุง อาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ได้ออกไปจัดการแล้ว…ท่านยังต้องลงมืออีกหรือ?”
เมิ่งฉิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฝื่อนๆ
ไม่ใช่ว่ามันสงสัยในพลังฝีมือของชายชราเบื้องหน้า หากแต่มันทนไม่ไหวที่จะเห็นชายชราที่อายุมากขนาดนี้แล้วยังต้องไปวิ่งเต้นลงมือเพื่อตำหนักฟ้าลี้ลับอีก
“จ้าวตำหนัก สารเลวน้อยจูลู่ฉีนั่นจะอย่างไรก็เคยได้ข้าชี้แนะอยู่พักใหญ่…ถึงแม้พวกเราจะยังไม่นับเป็นศิษย์อาจารย์ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของข้า และข้าต้องสะสางมันด้วยมือข้าเอง”
ชายชรากล่าวยืนกราน
“ในเมื่ออาจารย์ลุงตัดสินใจแล้วข้าก็ไม่คิดขัดท่าน…อย่างไรเสียจูลู่ฉีก็ได้บ่มเพาะฝึกฝนอวิชชามารร้ายนั่นมา 2 ปีแล้ว…น่ากลัวป่านนี้พลังฝึกปรือของมันสมควรบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลาง…”
วาจาท้ายประโยคเมิ่งฉิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกด้วยเจตนากล่าวเตือน
“อันใดจ้าวตำหนัก หรือคิดว่าตาแก่เช่นข้ามิมีเรี่ยวแรงสู้เด็กน้อยจูลู่ฉีนั่นแล้ว?”
ชายชรากล่าวค่อนแคะจบค่อยเร่งแผ่พุ่งปราณออกมาทั่วร่าง กลิ่นอายพลังตลบแผ่ไปในบรรยากาศพริบตาก็คลุมครอบไปถึงเมิ่งฉิง พาลให้สีหน้าเมิ่งฉิงเปลี่ยนไปทันใด ในแววตายังเผยความตื่นเต้นยินดีออกมา “อาจารย์ลุง…ท่านทะลวงผ่านแล้ว!”
ซัว!
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับคำถามด้วยความตื่นเต้นยินดีของเมิ่งฉิง ชายชราเลือกที่จะวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาของเมิ่งฉิงแทนคำตอบ
ตำหนักฟ้าลี้ลับ วังนภา…
ฟุ่บ!
ปรากฏร่างหนึ่งเหาะลงมาจากตำหนักหลักด้วยความเร็ว พริบตาก็บรรลุถึงบริเวณกึ่งกลางเขาวังนภา ค่อยหยุดร่างลงที่ล้านกว้างของบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง
ไม่ใช่ใครอื่น กู่ลี่
“นั่นพวกเจ้ามาด้อมๆมองๆอันใดที่บ้านพักน้องหลิงเทียนของข้า?”
กู่ลี่ว่ายตามองไปรอบๆวูบหนึ่ง ค่อยกล่าวออกเสียงแข็ง ค่อยยกมือขึ้นอย่างไร้เรื่องราว ทว่าทันใดนั้นบรรยากาศคล้ายแปรปรวนในฉับพลัน ร่างทุกคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ถูกพลังมหาศาลซัดกระแทกอย่างแรง ยังฉุดร่างพวกมันออกจากที่ซ่อน
“อั๊ค!”
“โอ๊ย!”
…
หลายคนที่ถูกกระชากร่างออกมาไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรสำหรับกู่ลี่ พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว ตอนนี้พวกมันถูกพลังไร้สภาพกดทับร่างกายจนบาดเจ็บ กระอักโลหิตออกปากไม่หยุด
“ซะ…เซียนมนุษย์! กะ…กู่ลี่เจ้าทะลวงผ่านแล้ว!!”
หนึ่งในศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับของสกุลจ้าวที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดในที่นี้ถึงกับหน้าถอดสี ยามมองกู่ลี่ที่ลงมือทำร้ายแววตาอดไม่ได้ที่จะเผยความหวาดกลัวราวเห็นผี!
“จ้าวตง สมแล้วที่เจ้าได้รับอันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ…เพียงมองปราดเดียว กลับบอกได้ว่าข้าทะลวงผ่านแล้ว”
กู่ลี่หันไปมองร่างคนสกุลจ้าวคนหนึ่ง ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแววตาไร้แยแส
ศิษย์สกุลจ้าวที่พึ่งกล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนกนั้น มันคืออันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ พึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดเมื่อไม่นานมานี้!
และด้วยเหตุนี้เองทำให้มันรับทราบได้ทันทีว่าพลังฝึกปรือของกู่ลี่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
ถึงแม้มันจะพึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดได้ไม่นาน แต่ก็มิใช่ชนชั้นต่ำทราม ยากจะมียอดฝีมืออริยะเซียนขั้นสูงสุดคนไหนทำร้ายมันได้แบบนี้!
มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ที่สามารถจัดการมันได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือแบบนี้!
เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องคิดก็บอกได้ทันที ว่ากู่ลี่ทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นสูงสุงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
“ซะ…เซียนมนุษย์!”
ศิษย์สกุลจ้าวหลายคนที่นอนสิ้นท่าอยู่ แทบเป็นลมล้มพับหลังได้ยินคำของจ้าวตง
ตัวตนขอบเขตพลังเซียนมนุษย์นั้น เป็นอะไรที่สามารถบดขยี้ร่างพวกมันให้แหลกได้ด้วยนิ้วเดียว!
“พี่กู่ ขอแสดงความยินดีด้วย…”
และตอนนี้เองประตูบ้านพักได้เปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดขาวแลดูอารมณ์ดีก้าวออกมา ทุกย่างก้าวให้ความรู้สึกสบายๆเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“น้องหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าก็ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว?”
กู่ลี่กล่าวถาม “ข้านับว่ามาได้ถูกเวลาจริงๆ!”
“พี่กู่ข้าออกจากการปิดด่านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแลว ตอนนี้ข้ากำลังพยายามทำความเข้าใจวรยุทธ์เซียนอยู่ เลยทำให้ข้ารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกนี่ได้ทันทีอย่างไรเล่า…”
ชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจากบ้านไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียน
เนื่องจากเขาจำต้องปลอมตัวเป็น หลิงเทียน ชุดตัวเก่งสีม่วงของเขาจึงไม่อาจสวมใส่ได้ เลยเปลี่ยนมาใส่ชุดจอมยุทธ์สีขาวแทน
“น้องหลิงเทียน…แล้วคนพวกนี้เจ้าจะจัดการพวกมันยังไง?”
กู่ลี่มองจี้ไปยังร่างของจ้าวตงอีกรอบ ค่อยกล่าวถามต้วนหลิงเทียน
“กู่ลี่ อย่าให้มันมากเกินไปนัก! ตำหนักฟ้าลี้ลับเรามีกฏเช่นไร เจ้าคงรู้ดี!!”
จ้าวตงที่ถูกกู่ลี่จี้มองด้วยสายตาเย็นเยือก อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เร่งยกฏขึ้นมากล่าวอ้างทันที
ศิษย์สกุลจ้าวที่เหลือก็เร่งหันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาน่าเวทนา ปานจะเรียกคะแนนสงสารจากต้วนหลิงเทียน
จังหวะนี้คล้ายพวกมันจะลืมเลือนไปแล้วว่าการมาเฝ้าซุ่มโป่งรอบบ้านต้วนหลิงเทียน เป็นสาเหตุที่ทำให้กู่ลี่มีโทสะ…
ตอนที่ 1,820 : หรูเฟิงใต้ ..หรูเฟิง!?
“ปล่อยพวกมันไปเถอะพี่กู่”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลาย ค่อยหันไปยิ้มกล่าวกับกู่ลี่อย่างไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
“พวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
หลังต้วนหลิงเทียนตอบคำ แต่เห็นศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลายยังนั่งบื้ออยู่กับพื้น กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะมองพวกมันด้วยอำมหิต ตะคอกคำเสียงแข็ง พาลให้ทั้งหลายเตลิดหนีปานนกหวาดเกาทัณฑ์ทันที
เมื่อคนสกุลจ้าวหนีหายไปหมด กู่ลี่ค่อยๆเดินเข้ามาในลานด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ข้าคิดจะให้ตาแก่นั่นดีใจซะหน่อยที่ข้าทะลวงด่านได้แล้ว แต่คนกลับไม่อยู่เสียได้”
“อย่าบอกนะพี่กู่…ที่ท่านมาหาข้าแบบนี้ เพราะคิดอวดด่านพลัง?”
ต้วนหลิงเทียนถามตาปริบๆ
กู่ลี่พยักหน้ารับ ยิ้มร่า
“ฮ่าๆ พี่กู่ข้ากลัวว่าข่าวเรื่องท่านทะลวงถึงเซียนมนุษย์ไม่นานก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแน่…แถมเท่าที่ข้ารู้ตอนจ้าวตำหนักอายุเท่าท่าน พลังฝีมือยังเทียบท่านไม่ได้เลย! ท่านนับเป็นสุดยอดอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับ!!”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะกล่าวชมอย่างสนุกสนาน
“เอาล่ะๆเจ้าไม่ต้องชมข้าแล้ว…คนอื่นชมข้าไม่เป็นไร แต่ไหงเจ้าชมแล้วข้ารู้สึกอึดอัดก็ไม่รู้”
กู่ลี่รีบโบกมือไปมา “ใครยังจะกล้ากล่าวถึงพรสวรรค์ต่อหน้าเจ้าได้หา? ว่าแต่ข้ารู้สึกเสมือนบรรยากาศในตำหนักมันผิดแปลกไป เจ้ารู้หรือไม่ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏตัวออกมาแล้ว!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม เขาออกจากการปิดด่านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ย่อมได้รับสราบข่าวเรื่องราวนี้แล้ว
“ไม่ใช่เคล็ดมารกลืนหยินมันปรากฏขึ้นมาแต่แรกแล้วเหรอ?”
กู่ลี่ถามด้วยความสงสัย
เกือบสองปีที่แล้ว ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ออกประกาศเรื่องมารกลืนหยินไปทั่ว
แน่นอนว่าตอนแรกพวกมันไม่รู้ว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน พอพวกมันค้นพบเรื่องนี้ได้ไม่ทันไร จ้าววังนภาก็ลักพาตัวฉีจิ้งพร้อมเคล็ดวิชานี้หนีไปเสียแล้ว!
“ตอนนี้พื้นที่แถบตะวันตกได้กลายเป็นเมืองผีไปเป็นที่เรียบร้อย…เกือบทุกคนที่อยู่แถวนั้นถูกฆ่าตายไม่มีเหลือรอด เหล่าสตรีทุกคนล้วนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม “ตอนนี้เรื่องราวพวกนี้ทุกคนรู้กันไปทั่ว…โดยเฉพาะสตรีทั้งหลายไม่ใช่แค่ด้านนอก กระทั่งสตรีในตำหนักฟ้าลี้ลับเรายังหวาดกลัวไม่กล้าไปไหน”
“เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายหายนะเภทภัยที่เกิดขึ้นในครั้งอดีต ทุกคนจึงรู้ทันทีว่ามันคือเคล็ดมารกลืนหยิน…”
“เดิมคนที่ฝึกฝนมันก็มีแต่ฉีจิ้งเท่านั้น…แต่พอถูกจ้างวังนภาช่วยไป ตอนนี้ก็สมควรมีมากกว่าหนึ่งคนแล้วที่รู้”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
“เจ้าหมายความว่า…จ้าววังจูสมควรฝึกฝนมันแล้ว และเหตุการณ์แถบพื้นที่ตะวันตกเป็นฝีมือจ้าววังจู?”
กู่ลี่สูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก ไม่คิดเลยว่าในขณะที่มันปิดด่านบ่มเพาะอยู่จะเกิดเรื่อวราวใหญ่โตขนาดนี้ขึ้น
“ฉีจิ้งนั่นสมควรยังอยู่ในอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย…แต่คงไม่ยากอะไรที่จะสื่อสารด้วยสำนึกเทวะ เช่นนั้นก็ไม่ยากอะไรที่มันจะใช้เคล็ดมารกลืนหยินแลกเปลี่ยนกับชีวิต หลอกใช้จ้าววังจู…”
ต้วนหลิงเทียนคาดเดา “ในเมื่อจ้าววังจูพาตัวฉีจิ้งไปแบบนี้ 9 ใน 10 ส่วนก็สมควรบรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว…ไม่พ้นช่วยมันเพื่อเคล็ดมารนั่นล่ะ”
“เฮ่อ…ข้ามิคิดเลยจริงๆ ว่าคนเราเพื่อล้างแค้นแล้ว กลับหน้ามืดตามัวแสวงหาพลังโดยมิสำนึกถึงผิดชอบชั่วดีได้เช่นนี้..”
กู่ลี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“บางครั้งความเกลียดชังก็ครอบงำจนทำลายคนได้ไม่ยาก…”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายจ้า กล่าวออกเสียงขรึม
จูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภานั้นแม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมด้วยสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เคยได้พบปะสนทนากัน ความประทับใจแรกที่ต้วนหลิงเทียนมีให้อีกฝ่ายก็คือ แลดูใจดี
อย่างไรก็ตามอาวุโสที่ใจดีเช่นนั้น เพราะความอัปยศที่ถูกยัดเยียดมาด้วยน้ำมือของเฝิงปู่อี้รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน จึงทำให้เมล็ดพันธ์แห่งความแค้นถูกปลูกลงในใจ
พอได้พบกับเคล็ดมารกลืนหยิน เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นในใจก็ยากระงับสืบไป มันเติบโตขึ้นมาทันที!
เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นงอกเงยเติบใหญ่แล้ว สิ่งที่จูลู่ฉีทำก็คือเลือกจะดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรี บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หมายยกระดับพลังฝึกปรือให้ก้าวหน้าขึ้นโดยเร็วที่สุด!
อย่างน้อยๆจนกว่าจะฆ่ารองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้เพื่อล้างแค้นได้…เกรงว่าผู้บริสุทธิ์ก็คงต้องเซ่นสังเวยต่อไป!
“จะอย่างไรเรื่องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเฝิงปู่อี้นั่น…มันนับว่าทำเกินไปแล้วจริงๆหากจ้าเป็นจ้าววังจู ข้าเองก็คงรู้สึกอับอายขายหน้านัก ยากจะทานทนรับได้ไหว!”
วั้นนั้นกู่ลี่เองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงกล่าวเข้าข้างจูลู่ฉี
“พี่กู่ หากท่านเป็นจ้าววังจู แล้วท่านถูกหยามเช่นนั้นแต่พลังฝีมือท่านสู้มันไม่ได้ ท่านจะเลือกหนทางมาร และฝึกเคล็ดมารกลืนหยินนั่นหรือไม่ หากท่านรู้ว่าชั่วชีวิตหากบ่มเพาะพลังปกติไม่มีทางล้างแค้นได้?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“ข้าเองก็เคยคิด…สุดท้ายข้าอาจจะเลือกเช่นเดียวกัน”
กูลี่ถอนหายใจ “สำหรับข้าถูกหยามเช่นนั้นยังหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าฆ่าข้าให้ตายเสียอีก! น้องหลิงเทียนแล้วหากเป็นเจ้าจะทำอย่างไรเล่า? หากเจ้าเป็นเหมือนจ้าววังจูที่รู้ดีว่าชั่วชีวิตไม่มีทางมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าศัตรูได้?”
“หากข้าเป็นจ้าววังจูแน่นอนว่าข้าต้องคิดล้างแค้นเฝิงปู่อี้ และให้มันชดใช้อย่างสาสม! แต่ข้าจะไม่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแน่นอน…อย่างไรเสียสตรีเหล่านั้นก็เป็นผู้บริสุทธิ์!”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ
หากเขาเป็นคนเดิมเหมือนที่เคยเป็นในโลกเก่า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเลือกหนทางเดียวกับจูลู่ฉีและกู่ลี่
ทว่าชีวิตนี้เขาได้เดินในหนทางที่แตกต่างออกไป เขาได้สัมผัสถึงความรักความห่วงใยและความอบอุ่นของครอบครัว เขาไม่มีวันใช้ชีวิตของสตรีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพื่อตัวเองเด็ดขาด
“เจ้ายินยอมอับยศอดสูไปชั่วชีวิตดีกว่าบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยินงั้นหรือ?”
กู่ลี่กล่าวถามอีกครั้ง
“ข้าไม่มีทางยอมทนแน่นอน”
แววตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นเยียบ กล่าวออกเสียงเหี้ยม “ข้าต้องคับแค้นไม่น้อยที่ถูกหยามหน้าแบบนั้น…และข้าไม่มีวันทนอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังโดยไม่ทำอะไรได้แน่นอน! แต่ถ้าหากข้าไม่อาจล้างแค้นมันได้ด้วยวิธีปกติ ข้าก็จะหาทางล้างแค้นมันด้วยวิธีอื่น!”
“โลกนี้มีวิธีการมากมาย หนึ่งในนั้นคือยืมมีดฆ่าคน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ยืมมีดฆ่าคน?”
กู่ลี่อึ้ง “เจ้าจะยืมมีดฆ่าคนอย่างไร?”
“ก็อาธิเช่นหาข้ออ้างลอบแทรกซึมไปลักพาตัวคนสำคัญของผู้นำตลาดมืดหยินชาน หรือจ้าวตำหนักเมฆาครามอะไรนั่น เพื่อใช้ชีวิตญาติสนิทมิตรสหายบีบให้ทั้งคู่ฆ่าเฝิงปู่อี้เสีย…พอเฝิงปู่อี้ตายข้าก็แค่ปล่อยคนบริสุทธิ์กลับไป”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “สุดท้ายแม้ข้าอาจจะต้องตาย แต่อย่างน้อยข้าก็ได้ล้างแค้นสำเร็จ!”
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หากจ้าววังจูได้ยินวาจานี้ของเจ้าก่อนที่จะช่วยฉีจิ้งหนีไป…มันจะดีเพียงใดกัน?”
“พี่กู่ข้าก็แค่ยกตัวอย่าง…คนอย่างผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาครามไหนเลยจะไม่วางกำลังคน และมีมาตรการปกป้องคนใกล้ชิด? เรื่องนี้พูดง่าย แต่มิใช่อะไรที่ใครคิดจะกระทำก็กระทำได้ง่ายๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกพร้อมส่ายหน้า “ดังนั้นถึงจ้าววังจูได้ยิน แต่เกรงว่าคงไม่อาจทนใช้วิธีการยากเย็นแบบนี้เพื่อล้างแค้นได้”
“บางทีหากเป็นแต่ก่อนมันอาจจะเป็นไปไม่ได้…แต่เท่าที่ข้าทราบมาจ้าวตำหนักเมฆาครามคนใหม่นั้นเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวนัก ข้าเคยได้ยินเรื่องที่จ้าวตำหนักเมฆาครามพาคนจากบ้านเกิดมาอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว”
กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “คนที่นำกลับมานั้น นับว่ามีจำนวนมากมายไม่น้อย ต่อให้เป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามก็ยากที่จะดูแลทุกคนได้ทั่วถึง ยอดฝีมือที่ถูกส่งมาคุ้มกันอย่างดีก็อาจอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ด้วยพลังฝึกปรือของจ้าววังจู คิดลอบจับมาสักคนคงไม่ยากเย็น”
“หือ? ไม่กี่ปีที่แล้วจ้าวตำหนักเมฆาคราม พาคนจากบ้านเกิดมาที่ตำหนักเมฆาครามงั้นหรือ?”
ได้ยินคำนี้ของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยสงสัย “พี่กู่ข้าเคยได้ยินเรื่องของจ้าวตำหนักเมฆาครามคนนี้มาเล็กน้อยเท่านั้น เห็นว่ายังอายุไม่มากเท่าไหร่ แถมยังพึ่งผงาดขึ้นมามีชื่อเสียงในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าโดยใช้เวลาไม่ถึง 20 ปี…และทำให้ตำหนักเมฆาครามมีพลังอำนาจมากพอจะงัดข้อกับตลาดมืดหยินชานได้งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว จ้าวตำหนักเมฆาครามนับว่าเป็นตำนานของภูมิภาคเบื้องล่างเราอย่างแท้จริง! ยังเป็นคนที่ข้าเลื่อมไสนัก!”
กู่ลี่พยักหน้ากล่าวออก “แม้ในด้านพลังฝึกปรือและอัจฉริยะภาพ ผู้นำตลาดมืดหยินชานจะไม่ได้ด้อยกว่า แต่นั่นเพราะได้รับการสนับสนุนจากตลาดมืดหยินชานมาตั้งแต่ยังเยาว์…กลับกันจ้าวตำหนักเมฆาครามเป็นคนที่มาจากทวีปมนุษย์!”
“ผู้ที่เดินทางมาจากทวีปมนุษย์กลับไต่เต้าจนบรรลุถึงจุดสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่างได้ด้วยกำลังของตัวเอง เรื่องนี้มากพอจะทำให้เป็นตำนานเล่าขานไปสืบชั่วกาลนานของภูมิภาคเบื้องล่างเราแล้ว!”
วาจาท้ายประโยค กู่ลี่ยังกล่าวออกเสียงหนักแน่นมากชื่นชม
“หืม?! มาจากทวีปมนุษย์?!”
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปทันใด “จ้าวตำหนักเมฆาครามมาจากทวีปมนุษย์งั้นเหรอ?”
จังหวะนี้เองในใจของต้วนหลิงเทียนพลันมีข้อมูลเกี่ยวกับจ้าวตำหนักเมฆาครามที่เขาได้รับรู้ผุดขึ้นมาดั่งชิ้นส่วนภาพ
ผงาดขึ้นมายังจุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างในเวลาไม่ถึง 20 ปี
ไม่กี่ปีที่ผ่าน พึ่งกลับไปพาครอบครัวจากทวีปมนุษย์มาอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม
ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้…
ยอดฝีมือทรงพลังที่เสมือนปกครองภูมิภาคเบื้องล่างไปครึ่งหนึ่ง…หรูเฟิงใต้ จ้าวตำหนักเมฆาคราม!
หรูเฟิง!
‘ตอนนั้นเสี่ยวเฟยเอ๋อถูกคนของท่านพ่อพาตัวไป! การที่จะพาเสี่ยวเฟยเอ่อออกจากน้ำมือของขุมพลังชั้น 5 ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นั่นหมายความว่าคนของท่านพ่อไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม…หรือว่า…’
จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่ง
แน่นอนว่ายังเป็นเพียงการคาดเดาจากการปะติดปะต่อภาพเรื่องราวเท่านั้น ไม่อาจยืนยันได้
“น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป?”
เมื่อเห็นว่าสายตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยคล้ายเหม่อคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นร่างคล้ายจะสั่นสะท้านไปเบาๆ มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าไฉนศิษย์น้องคนนี้อยู่ดีๆกลับมีอาการแบบนี้ขึ้นมาได้
“พี่…พี่กู่”
ต้วนหลิงเทียนพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอาการตื่นเต้น หันไปมองถามกู่ลี่ด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง “พี่กู่…ท่านรู้ชื่อแซ่เต็มๆ ของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือไม่?”
เดิมทีเห็นต้วนหลิงเทียนมีอาการผิดแปลกไปกู่ลี่ก็เครียดไม่น้อย แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล่าวถามเรื่องเพียงเท่านี้ออกมา กู่ลี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อะไร…น้องหลิงเทียนไม่รู้ชื่อแซ่เต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือ”
“พี่กู่ บอกข้าที เร็วๆ”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ร่างยังสะท้านขึ้นมาอีกครา
ยังหวะนี้กู่ลี่ย่อมพบว่าท่าทางต้วนหลิงเทียนผิดแปลกไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่มันก็รีบตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจัง “นามเต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้นั้นเรียกว่า ต้วนหรูเฟิง!”
“นามของจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้น ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆเจ้าต้องเคยได้ยินวาจาประโยคหนึ่ง ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้…สองมือปิดฟ้าบังตะวัน”
“หรูเฟิงใต้…เป็นเขาเอง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น