War sovereign Soaring The Heavens 1813-1820

 ตอนที่ 1,813 : สัญญาเป็นตาย


 


“ใช่แล้วอาวุโส”


 


ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนจ้าวคุนนั้นเผยทีท่าหยิ่งยะโส ทว่ายามเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสโถงเป็นตาย มันแลเรียบร้อยดั่งลูกแมว


 


ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ตอบคำอาวุโสด้วยการพยักหน้า


 


“เจ้าคือหลิงเทียนงั้นหรือ?”


 


เห็นได้ชัดว่าอาวุโสโถงเป็นตายให้ความสนใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากกว่าจ้าวคุน เพราะกับจ้าวคุนเพียงเหลือบมองผ่านๆ ส่วนต้วนหลิงเทียนกลับมองถามด้วยท่าทางให้ความสนใจ


 


เห็นฉากนี้สองตาจ้าวคุนเผยประกายเย็นเยียบสว่างวาบขึ้นมาทันที ‘เฒ่าชรานี้มีตาหามีแววไม่ เจ้ามิรู้หรือไรหลิงเทียนกำลังจะกลายเป็นคนตาย!’


 


ถึงแม้มันไม่อยากยอมรับแค่ไหนแต่มันก็ต้องยอมรับ แต่หากไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งกล่าวแค่พรสวรรค์…มันก็ไม่อาจเทียบหลิงเทียนได้เลย!


 


ถึงแม้พลังฝึกปรือของมันตอนนี้จะสูงกว่าหลิงเทียน แต่มันอายุเท่าไหร่ แล้วหลิงเทียนอายุเท่าไหร่!?


 


ไม่อาจเอามาเทียบกันได้เลย!


 


เมื่อเห็นอาวุโสโถงเป็นตายของวังนภาให้ความสนใจ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้ารับไปเบาๆกล่าวตอบ “ใช่ ข้าคือหลิงเทียน”


 


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว…ทว่าอีกคนกลับบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่าน เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าคิดลงนามในสัญญาเป็นตายและประลองเป็นตายกับคนผู้นี้? เพราะต่อให้เจ้ายอมแพ้การประลองก็มิอาจหยุด…”


 


อาวุโสวังนภากล่าวถาม


 


คราวนี้ไม่ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนจะตอบคำอะไร กลับเป็นจ้าวคุนที่รีบกล่าวออกมาก่อน “อาวุโส ทานมีหน้าที่ดูแลโถงเป็นตาย เช่นนั้นท่านก็มีหน้าที่เป็นได้แค่พยานในการประลองและลงนามเป็นตายของพวกเรา เรื่องอื่นๆไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องห่วงไม่ใช่หรือ?”


 


แม้กล่าวไปแบบนี้อาจทำให้มันผิดใจกับอาวุโสโถงเป็นตาย แต่มันก็ยอม


 


ใครจะไปรู้ เกิดปล่อยให้อีกฝ่ายโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมต่อไป หลิงเทียนเปลี่ยนใจขึ้นมามันจะทำยังไง!


 


หากหลิงเทียนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ มันจะไปร่ำร้องฟ้องใครได้?


 


มันกำลังจะฆ่าหลิงเทียน เพื่อรับรางวัลจากอาวุโสผู้พิทักษ์จ้าว!


 


“จ้าวคุน นี่เจ้าตั้งคำถามกับการทำงานของข้างั้นหรือ?”


 


ในฐานะที่เป็นถึงอาวุโสดูแลโถงเป็นตาย อาวุโสวังนภาคนนี้ไหนเลยเป็นตะเกียงขาดน้ำมัน มองถามจ้าวคุนอีกครั้งสองตาเผยประกายคมกล้าน่ากลัวนัก!


 


“จ้าวคุน มิกล้า!”


 


จ้าวคุนเร่งก้มหน้าลงไป ทว่ามันยังกล่าวออกมาสืบต่อ “ดังคำที่ว่า ‘วาจาหวังดีฟังขัดหู’ ข้าหวังว่าอาวุโสจักไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวรบกวนหน้าที่ เช่นนั้นเรื่องนี้ขอท่านอย่าได้ยุ่งเกี่ยวมากเกินไป! “


 


“ไม่ใช่ธุระอันใดของเด็กน้อยเจ้า ที่จะมากล่าวสอนว่าตาแก่เช่นข้าต้องทำงานอย่างไร!”


 


อาวุโสวังนภาไม่คิดเลยว่าจ้าวคุนยังจะกล้าทำตัวไร้เดียงสา


 


“ไม่ใช่ธุระที่มันจะกล่าวสอนเจ้าว่าควรทำงานอย่างไร แต่ข้าคิดว่าข้าสามารถเป็นธุระสอนเจ้าได้ใช่หรือไม่?”


 


ในขณะที่ทุกคนคิดว่าจ้าวคุนกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ท่าทางจะโชคร้ายแน่แล้ว พลันมีเสียงน่าเกรงขามเปี่ยมอำนาจหนึ่งดังมาแต่ไกล ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที


 


กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับอาวุโสดูแลโถงเป็นตายของวังนภา พวกมันทุกคนใคร่รู้นักว่าเป็นผู้ใด!


 


“ท่านพ่อ!”


 


จ้าวจี้เป็นคนแรกที่จดจำเสียงนี้ได้ แม้จะไม่ทันได้หันไปมองก็ตามที


 


หลังจากจำเสียงได้ จ้าวจี้ก็หันไปมองด้วยความประหลาดใจ ค่อยเห็นร่างชายวัยกลางคนหนึ่งเหินลงมาจากฟ้า ลอดประตูโถงเป็นตายเข้ามา


 


“เป็นรองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง!”


 


“ไม่คิดเลยจริงๆว่ากระทั่งรองจ้าวตำหนักจ้าวเติงก็มา! ดูเหมือนการเข่นฆ่ากันระหว่างจ้าวคุนกับหลิงเทียนนั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจนัก!”


 


“หากรู้ว่ากระทั่งรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงยังถึงกับมาเอง พวกที่ไม่คิดมาดูวันนี้ต้องเสียใจแน่!”


 


หลังจากที่รับทราบอัตลักษณ์ของผู้มาว่าคือ จ้าวเติง ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาร่วมชมอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ วาจาดังขึ้นก้องโถงทันที


 


“จ้าวเติง?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าชายคนนี้จะถ่อมาด้วย


 


มันมาทำอะไรน่ะเหรอ?


 


ไม่พ้นอยากเห็นเขาถูกจ้าวคุนฆ่าตายแน่นอน!


 


‘น่าเสียดาย ที่เจ้าต้องผิดหวัง’


 


“น้องหลิงเทียน!”


 


ทันใดนั้นเองมีอีกเสียงหนึ่งโพล่งดังมาแต่ไกล ยังเป็นเสียงที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นเคยนัก


 


“พี่กู่!”


 


เห็นคนที่เร่งรุดมา ยิ้มหายากผุดขึ้นที่มุมปากต้วนหลิงเทียน เขาไม่คิดเลยจริงๆว่ากู่ลี่จะมาด้วย


 


“หืม? รองจ้าวตำหนักจ้าวก็มาด้วยงั้นหรือ…ดูเหมือนท่านรองจ้าวก็อยากชมดูการประลองครั้งนี้ไม่น้อย!”


 


กู่ลี่ที่เข้ามาในโถงเป็นตาย ก็มองจ้าวเติงทันที ยังกล่าวทักอีกฝ่ายก่อน


 


“ข้าบังเอิญผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาชมดู”


 


จ้าวเติงกล่าวออกเสียงเรียบ


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับ หากไม่นับฐานะบรรดาศักดิ์อะไร ชาติกำเนิดของมันกับกู่ลี่ล้วนคล้ายคลึงกัน เพราะเป็นบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้งคู่


 


แต่ในแง่พรสวรรค์..มันไม่อาจเทียบกู่ลี่ได้


 


ส่วนในแง่พลังฝีมือนั้น…ตอนนี้แม้มันจะเหนือกว่ากู่ลี่ แต่นั่นเป็นเพราะมันแก่กว่ากู่ลี่มาก! หากกู่ลี่มีอายุเท่ามันในตอนนี้ น่ากลัวว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายจะเหนือกว่ามันโดยสิ้นเชิง!!


 


กระทั่งหลังจากนี้ผ่านไปไม่กี่สิบปี มีความเป็นไปได้กว่า 8 ใน 10 ที่กู่ลี่จะเอาชนะมันได้!


 


ด้วยเหตุผลทั้งมวล มันจึงไม่กล้าละเลยกู่ลี่


 


กู่ลี่พยักหน้าให้จ้าวเติงอีกครั้ง ก็ก้าวไปหยุดยืนข้างๆต้วนหลิงเทียน


 


อย่างไรก็ตามคนแรกที่มันเอ่ยทักกลับไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นผู้อาวุโสดูแลโถงเป็นตาย ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้วนหลิงเทียน “อาจารย์อาเฉิง ไม่พบกันไม่กี่ปี หากแต่ท่านยังแลดูอ่อนเยาว์เหมือนกาลก่อน!”


 


“เด็กน้อย…ส่วนเจ้ากี่ปีต่อกี่ปีก็ยังปากหวานเหมือนเคย ตอนนี้ข้าได้ยินว่าเจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรายนามฟ้าลี้ลับแล้วงั้นหรือ?”


 


อาวุโสวังนภากล่าวตอบ


 


“น้องหลิงเทียน นี่คือท่านอาจารย์อาของข้า เฉิงอวิ๋น กล่าวได้ว่าท่านเป็นศิษย์น้องของท่านพ่อข้า…ทั้งคู่มีอาจารย์คนเดียวกัน”


 


ตอนนี้เองกู่ลี่พลันแนะนำเฉิงอวิ๋นให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก


 


“อาวุโสเฉิง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทราบว่าท่านเป็นอาจารย์ของของพี่กู่…หากข้าเสียมารยาทใดไปต้องขออภัยท่านแล้ว”


 


พอรับทราบว่าอีกฝ่ายมีตัวตนเช่นไร ต้วนหลิงเทียนเริ่มกล่าวขอขมาออกมาก่อนทันที


 


อันที่จริงตอนแรกที่เฉิงอวิ๋นกล่าววาจาคล้ายจะแจ้งเตือนเขา ก็ทำให้เขางุนงงไม่น้อยว่าทำไม


 


เพราะเขาไม่รู้จักอาวุโสวังนภาคนนี้เลย ไฉนอีกฝ่ายจะต้องมาเตือนเขาด้วย


 


ตอนนี้พอทราบว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์อาของกู่ลี่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทำไม


 


เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายสมควรรู้ว่าเขากับกู่ลี่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน หาไม่แล้วคงไม่คิดกล่าวเตือนเขาแบบนั้น


 


ต้วนหลิงเทียนคิดเรื่องนี้ได้ จ้าวคุนที่ยืนข้างๆก็คิดได้ไม่ต่าง สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันใด ใจลอบภาวนาไปอย่างร้อนรน ว่าอย่าได้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอะไรอีกเลย!


 


หลิงเทียนต้องลงนามในสัญญาเป็นตายกับมัน!


 


อย่าได้มาเปลี่ยนใจเอาวินาทีสุดท้าย!


 


หากต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนใจและเลือกจะไม่ลงนามในสัญญาเป็นตาย มันย่อมไม่กล้าลงมือฆ่าคนในเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ ถึงแม้จะอยากทำแค่ไหนก็ตาม


 


“อาวุโสเฉิงในเมื่อทั้งคู่มาเพื่อลงนามในสัญญาเป็นตาย…ท่านก็เอาสัญญาเป็นตายให้ทั้งคู่ประทับลายนิ้วมือเสีย! ข้าอยากเห็นการประลองเป็นตายระหว่างพยัคฆ์มังกรเต็มที คิดว่าสมควรเป็นการต่อสู้ที่น่าดูชมยิ่ง!”


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง จ้าวเติงที่มาหยุดยืนข้างๆจ้าวจี้ก็มองกล่าวกับเฉิงอวิ๋นออกมา


 


ความหมายในวาจาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า เร่งรัดให้เฉิงอวิ๋นรีบส่งสัญญาเป็นตายให้ทั้งสองคนจัดการให้เสร็จเรื่อง ปล่อยให้จ้าวคุนกับหลิงเทียนเข่นฆ่ากันเสียที!


 


“ท่านพ่อ!”


 


จ้าวเติงที่กล่าวเร่งเฉิงอวิ๋นจบ พลันได้ยินเสียงแตกตื่นร้อนใจหนึ่งดังเข้าหู


 


จ้าวเติงย่อมจดจำได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงของบุตรชาย จึงเร่งกล่าวถามออกไปด้วยความเป็นห่วงทันที “จี้เอ๋อเกิดอะไรขึ้น?”


 


“ท่านพ่อ! ท่านรีบหยุดไม่ให้จ้าวคุนทำสัญญาเป็นตายกับหลิงเทียนเร็วเข้า!!”


 


จ้าวจี้รีบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ยังเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด


 


“ทำไมเล่า?”


 


จ้าวเติงถึงกับงุนงง “ไม่ใช่เจ้าอยากให้หลิงเทียนตายหรือไร? วันนี้ตราบใดที่มันลงนามในสัญญาเป็นตาย จ้าวคุนที่ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นแล้วต้องฆ่ามันได้แน่นอน..”


 


“ท่านพ่อ! ท่านรู้แค่ตอนนี้ข้าไม่อยากให้หลิงเทียนถูกมันฆ่าตายแบบนี้…ท่านพ่อ! ข้าอยากฆ่าหลิงเทียนด้วยตัวเองไม่อยากยืมมือผู้ใด!!”


 


จ้าวจี้กล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“จี้เอ๋อ เจ้าเวียนหัวหรือ? ไฉนตอนปู่เจ้าออกคำสั่งฆ่ามันเจ้ากลับยินดีนัก…ทำไมมาตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจแล้วเล่า?”


 


จ้าวเติงงุนงงไม่น้อย ด้วยไม่เข้าใจว่าบุตรชายมันคิดอะไรอยู่ ใช่รับประทานยาผิดขวดมาหรือไม่?


 


จ้าวจี้แน่นอนว่าไมน่ได้กินยาผิดขวด!


 


เหตุผลที่ทำให้ที่ท่ามันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะก่อนหน้านี้มันคิดว่าชั่วชีวิตไม่มีวันก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แล้ว!


 


แต่ตอนนี้ด้วยเคล็ดมารกลืนหยินที่มันกำลังจะได้รับ ทำให้มันมั่นใจมากว่าภายในปีสองปีมันต้องก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แน่ ดังนั้นมันจึงไม่คิดให้ใครชิงฆ่าต้วนหลิงเทียนไปก่อน!


 


ทว่าเรื่องนี้มันสามารถกล่าวออกมาได้หรือ?


 


“ท่านพ่อ ช่วงนี้พลังฝึกปรือข้าก้าวหน้าเชื่องช้ายิ่ง ไม่พ้นเพราะปมแค้นในใจที่ข้ามีต่อหลิงเทียนแน่…ข้ากลัวว่าหากข้าไม่อาจฆ่ามันกับมือข้า พลังฝึกปรือของข้าคงได้รับผลกระทบ!”


 


จ้าวจี้เร่งหาข้อแก้ตัวอันเหลวไหลทันที


 


“จี้เอ๋อ พ่อรู้ดีว่าเจ้าอยากล้างแค้นด้วยมือของตัวเอง…แต่ด้วยความสามารถของเจ้า ต่อไปช่องว่างระหว่างเจ้ากับหลิงเทียนรังแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น! สุดท้ายอย่าว่าแต่เจ้ากระทั่งข้ากับปู่เจ้ายังไม่อาจสู้มันได้!”


 


“และข้าเกรงว่าคงยากจะหาโอกาสอันดีที่จะจัดการกับมันแบบนี้ได้อีก!” จ้าวเติงกล่าว “เช่นนั้นอย่าหาว่าพ่อใจร้ายกับเจ้าเลย แค่ปล่อยให้จ้าวคุนฆ่ามันเถอะ!”


 


“ส่วนเรื่องที่เจ้ากล่าวนั้น สมควรเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้นยังมิร้ายแรงถึงขั้นเป็นมารในใจ เพียงเจ้าเห็นหลิงเทียนตาย มินานปมในใจนี้ก็คลี่คลาย เพราะสุดท้ายผู้ชนะก็คือผู้ที่อยู่รอด…พ่อเชื่อว่าเจ้าต้องก้าวข้ามมันและยืนหยัดได้อีกครั้ง”


 


จ้าวเติงกล่าวออกมาภายในลมหายใจเดียว


 


จากนั้นไม่ว่าจ้าวจี้จะร้องโวยวายหาข้ออ้างแค่ใด จ้าวเติงก็ไม่คิดจะหยุดจ้าวคุน


 


สุดท้ายจ้าวจี้แทบจะเปิดเผยเรื่องมารกลืนหยินออกมา หากทว่ามันยังคงมีสติมากพอจะระงับเรื่องนี้เอาไว้ได้


 


ในระหว่างที่พ่อลูกสนทนากัน อีกด้านเฉิงอวิ๋นก็ส่งเสียงคุยกับกู่ลี่เช่นกัน


 


มันพยายามให้กู่ลี่ช่วยโน้มน้าวต้วนหลิงเทียนอีกแรงว่าอย่าได้ลงนามตอบรับ ‘สัญญาเป็นตาย’ กับจ้าวคุน เพราะมันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมีโอกาสชนะ


 


กู่ลี่เองก็รับคำโดยการหันไปคุยกับหลิงเทียน


 


ทว่าหลังจากได้รับคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็ได้แต่หันไปอธิบายกับเฉิงอวิ๋น “อาจารย์อาเฉิงท่านอย่าได้กังวล…น้องหลิงเทียนไม่คิดลงมือทำอะไรที่ไม่มั่นใจแน่นอน”


 


ความเชื่อใจ! เรื่องนี้ทำให้เฉิงอวิ๋นจนใจจะกล่าวใดสืบต่อ


 


เพราะกระทั่งเจ้าตัวที่กำลังจะขึ้นไปสู้ยังแลดูสงบใจกว่ามันเสียอีก…


 


ดังนั้นพอจ้าวเติงหันมามองจี้มันอีกครั้ง มันก็หยิบ สัญญาเป็นตายออกมาทันที


 


ตึง!!


 


สัญญาเป็นตายของโถงเป็นตายตำหนักฟ้าลี้ลับนี้กลับเป็นป้ายศิลามหึมาหนึ่ง พอเรียกออกมามันก็ร่วงไปตั้งตระหง่านบนพื้นทันที


 


เมื่อมองข้อความที่จารึกสลักเอาไว้ ก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทำความเข้าใจและยอมรับ


 


ล่างสุด มีที่ว่างเว้นไว้สองช่อง


 


“พวกเจ้าทั้งคู่ประทับรอยนิ้วมือด้วยโลหิตเสีย หลังจากนั้นสัญญาเป็นตายจักถือว่ามีผลบังคับใช้”


 


เฉิงอวิ๋นมองสลับระหว่างต้วนหลิงเทียนกับจ้าวคุนค่อยกล่าว


ตอนที่ 1,814 : ความจริงจะหุบปากพวกมัน!


 


ปึง!


 


ทันทีที่วาจาของเฉิงอวิ๋นดังจบคำ จ้าวคุนก็ไม่ลังเลใดสืบไปใช้พลังเฉือนมือเล็กน้อยก่อนที่จะเลือกประทับลงไปทั้งมือไม่ใช่แค่นิ้วหัวแม่โป้ง ลงนามประทับในสัญญาเป็นตายเสร็จสิ้น!


 


หลังกระทำเสร็จแล้วมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที แววตายังเผยอาการยั่วยุดูแคลน


 


แน่นอนว่าลึกลงไปยังแฝงเร้นไว้ด้วยความไม่สบายใจประการหนึ่ง


 


เพราะเรื่องราวมาถึงจุดสำคัญแล้ว หากหลิงเทียนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ทุกสิ่งที่มันพยายามทำมาก่อนหน้าจะกลายเป็นเสียเปล่าทันที!


 


“หลิงเทียนคิดทำสัญญาเป็นตายกับจ้าวคุนจริงๆหรือ?”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ มองต้วนหลิงเทียนที่ทำเรื่องราวอยู่ในโถงเป็นตายไกลๆ ตอนนี้ในใจของพวกมันรู้สึกบีบคั้นอึดอัดกันนัก


 


ปัง!


 


จนกระทั่งต้วนหลิงเทียนเลือกลงมือกระทำตามจ้าวคุน ประทับมือลงไปในสัญญาเป็นตายนั่น ใจศิษย์ทุกคนถึงได้รู้สึกผ่อนคลาย กลับมาหายใจได้คล่องคออีกครั้ง


 


ทว่าหลังจากหายจากอาการอึดอัดใจแล้ว ศิษย์บางคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าดังฟืด


 


“หลิงเทียน…กลับกล้าประทับมือลงสัญญาเป็นตายจริงๆ! ไม่กลัวตายบ้างรึไง!?”


 


“นั่นสิ ถึงพลังฝีมือจะกล้าแข็งไม่ใช่ชั่ว หากแต่ก็พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น…ทว่าต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็มิอาจต้านทานตัวตนขอบเขตอริยะเซียนได้!”


 


“นั่นสิ หากจ้าวคุนมิได้ทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นเผลอๆมันมิใช่คู่ต่อสู้หลิงเทียนด้วยซ้ำ! ทว่าจ้าวคุนมันพึ่งทะลวงได้เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว…กระทั่งหงกังที่ไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตา กลับต้องแพ้พ่ายแก่มัน!”


 


“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าหลิงเทียนคิดอะไรอยู่กันแน่ เห็นชัดว่านี่เป็น ‘หลุมพราง’ แต่ยังเลือกกระโดดลงไป”


 


“แรงกระตุ้นนับเป็นปีศาจชนิดหนึ่ง…หลิงเทียนคนนี้ น่ากลัวจะต้องตายวันนี้แล้ว!”


 


……


 


ภายนอกโถงเป็นตาย เต็มไปด้วยเสียงคุยสนทนาดังกระหึ่ม ทว่าไม่มีใครดูดีหลิงเทียนเลย


 


“น้องหลิงเทียน ทุกคนแลดูจะไม่มีใครเห็นดีกับเจ้าเลย”


 


กู่ลี่ส่งเสียงหยอกล้อถึงต้วนหลิงเทียน “ว่าแต่นี่เจ้าได้ยินแล้วคิดอย่างไรเล่า…จะออกไปอธิบายให้พวกมันหุบปากไหมหรือยังไง?”


 


“ไม่ต้องหรอกพี่กู่”


 


ต้วนหลิงเทียนเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยกล่าวตอบกู่ลี่ “เดี๋ยวความจริงก็หุบปากพวกมันเอง..”


 


“โฮ่! ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมาก”


 


กู่ลี่เพ่งตามองต้วนหลิงเทียนอย่างลึกซึ้งค่อยกล่าว


 


อันที่จริงกู่ลี่เองก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคิดปะทะกับอริยะเซียนขั้นต้น


 


แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ตัดสินใจเลือกแล้ว มันก็เลือกที่จะเชื่อมั่นอีกฝ่าย แต่ต้นจนจบเลยไม่คิดหยุด


 


‘หรือน้องหลิงเทียน…จะทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว!’


 


กู่ลี่หยีตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นใจ


 


“เป็นเวลานานแล้วที่ตำหนักฟ้าลี้ลับมิได้คึกคักเช่นนี้”


 


ตอนนี้เองจ้าวเติงพลันเดินออกมานอกโถง มันว่ายตามองทุกคนด้านนอกรอบหนึ่ง ค่อยหันไปกล่าวกับคนในโถงเป็นตายเบาๆ แม้เสียงมันจะไม่ได้ดังอะไร ทว่าทุกคนที่มายืนออรอคอยอยู่ด้านนอกโถงเป็นตายกลับได้ยินชัดเจน


 


“ข้าหวังว่าวันนี้พวกเจ้าจะลงมือต่อสู้กันสุดฝีมือ ให้พวกเราชมดูศึกพยัคฆ์ปะทะมังกรอย่างสนุกสนานสักครา! และในเมื่อพวกเจ้าลงนามในสัญญาเป็นตายแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะฆ่าอีกฝ่าย! เช่นนั้นก็ขอให้พวกเจ้าฆ่ากันอย่างสนุกเถอะ!!”


 


ต้องกล่าวเลยว่าในฐานะรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติงยังรู้จักกล่าววาจากระตุ้นผู้คนอยู่บ้าง


 


ทันทีที่วาจาของมันดังจบคำ ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนรู้สึกคึกคักเสมือนถูกฉีดเลือดไก่ ราวกับไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนกับจ้าวคุนที่จะเข่นฆ่ากันแต่เป็นพวกมันเอง!


 


“ฮึ่ม!”


 


เมื่อเห็นว่ากระทั่งบิดายังไม่ฟังคำมัน จ้าวจี้ก็สบถออกมาด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป


 


แน่นอนว่ามันเพียงเดินห่างออกมาให้ห่างจากจ้าวเติงเท่านั้น ยังไม่ได้ออกไปพ้นลานหน้าโถงเป็นตาย


 


การประลองวันนี้แม้หลิงเทียนจะตาย มันก็ต้องอยู่ดูด้วยตาตัวเอง


 


“สัญญาเป็นตายได้ลุล่วงแล้ว พวกเจ้าเชิญเลือกสถานที่ต่อสู้กันเถอะ”


 


เฉิงอวิ๋น อาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตายกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและจ้าวคุน


 


“หลิงเทียนข้ามอบโอกาสนี้ให้แก่เจ้า…เชิญเจ้าเลือกหลุมฝังศพของเจ้าได้ตามใจชอบ จะไปหาสถานที่อันมีฮวงจุ้ยดีๆเพียงใดก็แล้วแต่เจ้าเลย”


 


จ้าวคุนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม วาจาที่กล่าวออกคล้ายจะตัดสินไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนตายแน่


 


จ้าวคุนแม้จะพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด่านพลังอะไรยังไม่มั่นคง คนไม่ได้ปรับตัว แต่มันก็ไม่กลัวหลิงเทียนที่พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่ถึงปีแม้แต่น้อย!


 


ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ยังไม่ทันครบปี ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ไม่มีทางจะทะลุขอบเขตอริยะเซียนได้!


 


ด้วยเหตุนี้จ้าวคุนจึงไม่คิดถึงความเป็นไปได้ที่ต้วนหลิงเทียน จะบุกเข้าไปในขอบเขตอริยะเซียนเลย


 


ไม่เพียงแต่จ้าวคุนเท่านั้น แทบทุกคนในที่นี้กระทั่งทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็ไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปยังอริยะเซียนขั้นต้นได้ในเวลาไม่ถึงปี…เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้!


 


แน่นอนว่ายังมีข้อยกเว้นสำหรับบางคน


 


หวางเฟยเซวียนกับกู่ลี่!


 


ทั้งคู่สงสัยว่าต้วนหลิงเทียนน่าจะทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวางเฟยเซวียน เพราะครึ่งปีที่แล้วนางเห็นต้วนหลิงเทียนใช้ความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้นในแดนลับเซียนมากับตา!


 


อย่างไรก็ตามตอนนั้นนางได้ถามต้วนหลิงเทียนแล้วว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วเหรอ ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบว่าไม่!


 


แน่นอนว่าหวางเฟยเซวียนไม่เชื่อคำตอบนี้!


 


“ให้ข้าเลือกหลุมฝังศพ ทั้งฮวงจุ้ยดีๆได้ตามใจ?”


 


ได้ยินคำนี้ของจ้าวคุนต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ใบหน้าที่ดุร้ายเอาเรื่องก่อนหน้ายังกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับพึ่งได้ยินเรื่องชวนหัวครั้งใหญ่!


 


“เจ้าหัวเราะอะไร?”


 


หน้าจ้าวคุนเปลี่ยนไปทันใด มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกำลังดูถูกมันอยู่ พาลให้มันมีโทสะขึ้นมาไม่น้อย


 


“หลุมฝังศพของข้าคงไม่ลำบากให้เจ้าต้องเป็นห่วงหรอก…แต่ที่นี่ก็นับว่าเหมาะจะเป็นหลุมฝังศพของเจ้าดี ไม่สิ…หากฝังเจ้าที่นี่เกรงว่าจะทำให้โถงเป็นตายติดเสนียด…”


 


วาจาข้างต้นต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกเสียงดังฟังชัด


 


ในขณะที่ทุกคนรวมถึงจ้าวคุนคิดว่าต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาอวดโอ่เกินไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันลงมือทันที


 


ทันใดนั้นมวลพลังขุมหนึ่งพลันปะทุออกทั่วร่างของต้วนหลิงเทียน ทั้งยังมีแสงพลังสว่างเจิดจ้าจนผู้คนแทบไม่อาจมองตรงๆได้ พาลให้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาชมดูเรื่องราวรู้สึกคล้ายกำลังจับจ้องไปยังดวงตะวันเจิดจ้ากลางฟ้า!


 


และไม่ทันที่ศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับจะทันได้ตอบสนองเรื่องราวอะไร ดวงตะวันจ้านั่นก็พุ่งไปฉับไวราวเส้นแสงบรรลุถึงเบื้องหน้าจ้าวคุน!


 


“ระวัง!!”


 


ในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่ในที่นี้จ้าวเติงนับว่าแข็งแกร่งที่สุด มันจึงตอบสนองต่อเรื่องราวก่อนใคร เร่งตะโกนกล่าวเตือนจ้าวคุนทันที


 


เพียงเพราะมันพบว่าต้วนหลิงเทียนที่เป็นศัตรูคู่ฟ้าของตระกูลจ้าว ไม่คล้ายจะใช้ปราณแรกกำเนิดอันมีขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่เป็นพลังอำนาจขอบเขตอริยะเซียน!


 


‘นี่มันบ้าอะไรกัน! กระทั่งอริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปยังไม่รวดเร็วเท่านี้!!’


 


จังหวะนี้ในใจของจ้าวจี้สัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลประกาลหนึ่ง!


 


เกรงว่าจ้าวคุนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้วนหลิงเทียนเสียแล้ว!!


 


ฟุ่บ!


 


และในขณะที่จ้าวเติงตื่นตระหนกด้วยไม่เข้าใจ ร่างต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงเบื้องหน้าจ้าวคุนด้วยความเร็วสูง!


 


ดั่งที่จ้าวเติงกล่าวในใจ ความเร็วของต้วนหลิงเทียนนับว่าเหนือกว่าอริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปจริงๆ


 


เช่นนั้นจ้าวคุนจึงไม่อาจตอบสนองเรื่องราวอันใดได้เลย แม้คู่ต่อสู้จะมาผุดโผล่ตรงหน้า


 


“เร็วอะไร!”


 


ความคิดแรกที่ผุดวาบขึ้นมาในใจจ้าวคุนก็คือเรื่องนี้!


 


ความเร็วนี้เหนือล้ำเกินมันไปไกล!


 


ในห้วงเวลาชั่วพริบตาดั่งอัสนีวาบฟ้า จ้าวคุนไม่อาจคิดได้ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงมีความเร็วสูงล้ำขนาดนี้! มันโคจรเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดทั่วร่างตามสัญชาตญาณ มวลพลังไหลผ่านชีพจรเซียนหลายสิบในร่าง คล้ายมันจะรู้สึกปลอดภัยหากมีม่านพลังจากปราณแรกกำเนิดคลุมกาย


 


น่าเสียดายที่ชีพจรเซียนของมันมีน้อยเกินไป


 


อย่างน้อยๆหากเทียบกับจำนวนชีพจรเซียนของต้วนหลิงเทียน ก็น้อยกว่ากันจนน่าเวทนา


 


หากมันเป็นเหมือนต้วนหลิงเทียนที่มีชีพจรเซียน 99 สาย ปราณแรกกำเนิดของมันอาจจะจ่ายออกมาก่อเกิดม่านพลังคลุมกายได้ทัน


 


อนิจจาตอนนี้ปราณแรกกำเนิดของมันเพียงโคจรไหลออกได้เพียงครึ่งทาง ไม่ทันถึงช่องพลังที่ผิวหนัง ฝ่ามือขวาอันอัดแน่นไปด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็ตะปบลงบนไหล่มันปานนกอินทรีย์!


 


และทันใดนั้นเองจ้าวคุนก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาปานลาวาร้อนอันเชี่ยวกราด สะกดทำลายปราณแรกกำเนิดทั่วกายมันไม่ให้โคจรใช้ออก!


 


ความเจ็บปวดที่เกิดจากปราณแรกกำเนิดถูกทำลายในร่างกายนั้นรุนแรงหนักหนานัก ทำให้จ้าวคุนรู้สึกเสมือนร่วงตกจากสวรรค์มากระแทกพื้นนรก!


 


และในตอนนี้หากมันยังไม่ตระหนักได้ว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนเหนือล้ำกว่ามันมาก คงเสียทีที่อยู่มาหลายปีดีดัก…


 


“มะ..เมตตา”


 


จ้าวคุนที่เจ็บปวดพยายามกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ร่างของมันตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ หากแต่ไม่ทันที่มันจะได้อ้อนวอนร้องขอชีวิตอะไร มันก็ถูกต้วนหลิงเทียนหอบหิ้วออกจากโถงเป็นตาย พุ่งร่างมุ่งหน้าไปยังหน้าผาข้างๆโถงเป็นตาย…


 


ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งหมดที่กำลังตกตะลึงไม่ว่าจะในโถงหรือที่มายืนออรอกันนอกโถง ต้วนหลิงเทียนพลันถอนรั้งปราณสุริยันแรกกำเนิดเข้าร่าง ทำให้แสงสว่างจ้าดับลง เผยร่างเขาและจ้าวคุนให้คนเห็นชัดถนัดตา


 


“เมตตา…ข้าด้วย ศะ…ศิษย์…พี่…หลิง…เทียน”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่มือขวาที่กอบกุมไหล่จ้าวคุนก่อนหน้า บัดนี้เปลี่ยนมากอบกุมลำคอเอาไว้แล้ว


 


แน่นอนว่าจ้าวคุนพยายามดิ้นรนแข็งขืนสุดชีวิต อนิจจามันไม่อาจหลุดพ้นจากการกอบกุมของต้วนหลิงเทียนได้ ที่มันกระทำได้มีเพียงพยายามกล่าวออกด้วยกำลังที่เหลือทั้งหมดเท่านั้น


 


ไม่ใช่ว่าจ้าวคุนไม่อยากเร่งเร้าพลังปราณแรกกำเนิดต่อต้าน แต่ทุกครั้งที่มันพยายามเร่งเร้าโคจรพลัง มันจะถูกต้วนหลิงเทียนแผ่พุ่งพลังปราณอันน่ากลัวเข้ามาทำลายพลังในร่างของมันจนหมดสิ้น


 


พลังของต้วนหลิงเทียนพุ่งเข้าร่างของมันได้ง่ายดายปานนกพิราบชิงรังนกกระจอก!


 


และการที่สามารถกระทำกับตัวตนอริยะเซียนขั้นต้นอย่างมันได้แบบนี้ มีแต่ต้องเป็นตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น!


 


เพราะมีเพียงพลังปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นกลางขึ้นไป ถึงจะทำลายพลังของมันได้ง่ายดายขนาดนี้!!


 


‘อะ…อริยะเซียนขั้นกลาง…หละ…หลิงเทียนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลาง!!’


 


จ้าวคุนที่สิ้นหวังได้แต่รำพึงในใจอย่างหวาดผวา


 


มันเสียใจนัก


 


หากสวรรค์เมตตาให้โอกาสกับมันอีกสักครั้ง มันจะไม่มาหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเด็ดขาด!


 


แม้การฆ่าหลิงเทียนได้จะทำให้มันเป็นบุตรบุญธรรมของหัวเรือใหญ่สกุลจ้าว แต่มันก็ไม่มีความกล้ากระทำเช่นนั้นอีกแล้ว…


 


เพราะอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่มันไม่อาจตอแยด้วยได้!


 


เงียบ!


 


ตอนนี้ผู้คนไม่ว่าจะด้านในหรือด้านนอกโถงเป็นตาย ทั้งหมดถึงกับไร้คำจะกล่าว


 


นอกจากเสียงวิงวอนตะกุกตะกักด้วยความยากลำบากของจ้าวคุน ทุกผู้คนไม่อาจได้ยินเสียงใดอื่น


 


ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนจึงค่อยได้สติกลับคืน ทั้งหลายได้แต่ชมมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความอื้ออึง ปากยังอ้าออกจนกรามแทบค้าง


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 



 


เสียงสูดลมหายใจเข้าพลันดังระงมไปทั่ว


ตอนที่ 1,815 : หลิงเทียน อริยะเซียนขั้นกลาง?!


 


‘ปะ…เป็นไปได้ยังไงกัน!?’


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าแน่นอนว่ามันพุ่งเข้าสองตาจ้าวจี้ชัดเจน พาลให้มันตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะสงบใจลงได้…


 


เดิมทีวันนี้มันคิดว่าหลิงเทียนสมควรตกตายภายใต้เงื้อมมือจ้าวคุนแน่แล้ว เพราะจ้าวคุนทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อน และหลิงเทียนก็ไม่มีทางทะลวงถึงอริยะเซียนได้…


 


ทว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทำให้ความคิดมันพังทลาย!


 


หลิงเทียนน่ะหรือ เป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงถึงอริยะเซียน?


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นใดใดให้มาก เอาแค่พลังความแข็งแกร่งที่หลิงเทียนเผยออกยามนี้ สมควรเป็นพลังอำนาจของอริยะเซียนเต็ม 10 ส่วน! กระทั่งไม่ง่ายเหมือนอริยะเซียนขั้นต้นทั่วไปที่พึ่งทะลวงด่านอีกด้วย!!


 


ไม่เห็นหรือไร…ว่ากระทั่งจ้าวคุนยังไม่มีปัญญาจะต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย!


 


‘หลิงเทียนผู้นี้…ต้องกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด!’


 


สายตาจ้าวเติงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นถึงที่สุด หากไม่ติดว่าที่นี่คือตำหนักฟ้าลี้ลับ มันคงไม่อาจรอที่จะฆ่าหลิงเทียนได้ไหว!


 


ความบาดหมางระหว่างสกุลจ้าวของมันกับหลิงเทียนนั้น เลยจุดประนีประนอมไปไกลแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พินาศคงยากเลิกรา!


 


เป็นธรรมดาที่มันไม่อยากปล่อยให้หลิงเทียนเติบโต!


 


ชายหนุ่มมากพรสวรรค์เช่นนี้ หากเติบโตขึ้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันจะถูกสยบ กระทั่งบิดามันก็ไม่พ้นต้องถูกย่ำเหยียบ!


 


“น้องหลิงเทียน…”


 


กู่ลี่ที่เดินออกจากโถงตามมา หยุดมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตะลึงงัน


 


ด้วยความที่พลังฝึกปรือของมันบรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด มันย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่นั้น…มันแทบจะทัดเทียมกับความเร็วของผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญอยู่รอมร่อ! เหนือกว่ายอดฝีมืออริยะเซียนขั้นกลางทั่วไปมากนัก!!


 


“ให้ตายเถอะน้องหลิงเทียน…เจ้ากลับซุกซ่อนเรื่องประนี้จากข้าได้มิดชิดนัก!”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้กู่ลี่กอ้าปากค้างเหมือนผูอื่น สองตายังเผยความตกตะลึง


 


“ฮึ่ม! เจ้าทึ่มมันทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วจริงๆ! วันนั้นทีข้าถามปากกลับบอกว่าไม่! ไม่กับผีสิ!!”


 


หวางเฟยเซวียนโพล่งคำอย่างฮึดฮัด ก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


หงกัง กับศิษย์จ้าววังนภา 2 คนที่อยู่ข้างๆก็หันมามองถามนางด้วยความตื่นตระหนก “หละ…หลิงเทียน ทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วหรือ?”


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เขากล้ารับคำท้าประลองเป็นตายของจ้าวคุน! ที่แท้เขาไม่ได้เห็นจ้าวคุนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!!”


 



 


“แถมพลังฝึกปรือของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าคงมิได้ง่ายดายดั่งที่คิด…อริยะเซียนขั้นต้นอย่างจ้าวคุน ถึงแม้จะพึ่งทะลวงผ่าน…กลับไร้ซึ่งพลังอำนาจะขัดขืน!”


 


หงกังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าว


 


ด้านอาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตาย เฉิงอวิ๋น ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาสว่างวาบ ‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก สหายน้อยนี่อายุยังมิทันถึง 40 ปี…ทว่าพลังฝึกปรือนั่น ให้เป็นทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็นับว่าเป็นอันดับ 1!’


 


ตอนนี้เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ค่อยๆทยอยกันรู้สึกตัวทีละคน หากแต่สายตาของพวกมันแต่ละคนยังทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ!


 


ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกมันยังคิดอยู่เลยว่าต้วนหลิงเทียนตายแน่!


 


หากแต่ความจริงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ก็ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะเขิน…หน้ายังม้านไปด้วยความรู้สึกอับอาย!


 


ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ทุกคนจึงพากันเงียบไปอีกครั้ง


 


“เมตตา?”


 


และเมื่อรอบข้างเงียบลงเสียงต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นให้ได้ยินกันชัดเจน เขากล่าวกับจ้าวคุนที่ถูกบีบคอและร้องขอความเมตตาเมื่อครู่เสียงเรียบ “ตอนเจ้าดูถูกบิดามารดาข้า เจ้าเคยคิดเรื่องขอความเมตตากับข้าไหม?”


 


เสียงเรียบของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายังยิ่งเข้มขรึมเย็นลง


 


“และหากพลังของข้าเทียบเจ้าไม่ได้ การประลองเป็นตายวันนี้เจ้าจะเมตตาข้าไหม? กระทั่งเจ้ายังจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตไปได้ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวถามจ้าวคุนด้วยคำถามโง่งมติดกัน 3 คำถาม


 


“ฮึ่ม!”


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงแค่นสบถเย็นเยือกหนึ่งดังขึ้น เป็นจ้าวเติงที่ย่ำเท้าก้าวขึ้นไปในอากาศ ท่าทางเตรียมออกเดินทางจากไป


 


“ทะ…ท่านรองจ้าวตำหนักเติง…ชะ…ช่วยข้าด้วย”


 


เมื่อเห็นจ้าวเติงจะจากไป จ้าวคุนก็ร้อนรนใจไม่น้อย! มันเร่งรีบร้องขอความช่วยเหลือจากจ้าวเติงออกมาทันที!!


 


เมื่อทุกสายตาหันไปมองจ้าวเติง ร่างจ้าวเติงที่คิดจากไปก็หยุดลงกลางอากาศทันที มันยังหันกลับมามองกล่าวกับจ้าวคุนด้วยสีหน้าท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม “จ้าวคุน การประลองเป็นตายล้วนเป็นเจ้าที่เป็นฝ่ายริเริ่มท้าทาย…สัญญาเป็นตายเจ้ากับหลิงเทียนก็ลงนามเรียบร้อย วันนี้อย่าว่าแต่ข้า…ต่อให้เป็นบิดาของข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเจ้า”


 


“หากพวกเราช่วยเจ้าให้รอด…แล้วโถงเป็นตายของตำหนักฟ้าลี้ลับจะมีไว้เพื่ออันใด? สัญญาลงนามเป็นตายจะทำไปเพื่ออะไร?”


 


จ้าวเติงกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงชอบธรรม พาลให้ศิษย์ทุกคนในที่นี้อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วย ทั้งหมดรู้สึกว่ารองจ้าวตำหนักคนนี้ยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งกฏ! ไม่คิดทำลายกฏระเบียบของตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงเพราะจ้าวคุนเป็นคนสกุลจ้าว!!


 


จ้าวเติงย่อมรู้ดีว่าสายตาของศิษย์กำลังเฝ้ามองมันว่าจะทำอย่างไร แน่นอนว่ามันย่อมไม่ทำอะไรผิดพลาดโง่งมอย่างเห็นแก่ความเป็นคนสกุลจ้าวของจ้าวคุนและให้ความช่วยเหลือ ยังเลือกจะวางตัวอย่างดีให้เป็นแบบอย่าง


 


“หากเจ้าคิดจะตำหนิผู้ใดสักคน ก็จงตำหนิตัวเองที่พลังฝีมืออ่อนด้อยเถอะ…”


 


และนี่เป็นวาจาประโยคสุดท้ายที่มีให้จ้าวคุน ก่อนที่จ้าวเติงจะจากไป


 


หลังจากจ้าวเติงไปแล้ว สีหน้าแววตาของจ้าวคุนก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ้นหวังถึงขีดสุด ร่างมันสั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กาย หลังส่ายหัวไปมาอย่างทดท้อไม่กี่ครั้งมันก็แน่นิ่งไปราวปลงตก


 


เมื่อเห็นว่าจ้าวคุนคล้ายลูกเกาทัณฑ์สิ้นแรงส่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเสียเวลาอะไรสืบต่อ โยนร่างจ้าวคุนออกไปราวหมูหมา


 


และหลังจากนั้นไม่ทันที่ผู้ใดจะแลเห็นว่าเขาลงมืออย่างไรกันแน่ ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนร่างจ้าวคุนที่ถูกโยนออกไปจะถูกรังสีพลังกระบี่นับร้อยพันสายทะลวงร่างจนปุพรุน มองไปไม่ต่างใดจากรังผึ้ง


 


สำหรับศัตรูต้วนหลิงเทียนไม่คิดปราณี..


 


ยังนับประสาอะไรกับศัตรูที่มาดูถูกหมิ่นหยามบุพการี!


 


จนเมื่อต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกไปพร้อมกู่ลี่และหวางเฟยเซวียน ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกโถงเป็นตายจึงค่อยคืนสติกลับมารู้สึกตัว


 


“แข็งแกร่งเหลือเกิน…”


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะปรากฏยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่น่ากลัวถึงขนาดนี้…! ในภูมิภาคเบื้องล่างเคยมียอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีหรือไม่?”


 


“ข้ามิแน่ใจ…แต่ดูเหมือนว่าจะมีเคยมี”


 


“ด่านพลังฝึกปรือของหลิงเทียนนั่น น่ากลัวว่าจะทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นกลางแน่แล้ว! หาไม่แล้วคงไม่อาจจัดการจ้าวคุนได้อยู่หมัดขนาดนี้!”


 


“นั่นสิ! จะอย่างไรจ้าวคุนก็ถือเป็นอริยะเซียนขั้นต้น แต่ต่อหน้าหลิงเทียนกลับไม่มีพลังอำนาจจะต้านทาน…หากบอกว่าหลิงเทียนยังพึ่งทะลวงขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น ข้าไม่เชื่อ!”


 


“จะอย่างไรก็ตาม ที่แท้หลิงเทียนบ่มเพาะพลังอย่างไรกันแน่…ไฉนไม่ทันถึงปีพลังฝึกปรือถึงบรรลุถึงขอบเขตขีดขั้นนี้แล้วเล่า!?”


 


……


 


ในบรรดาศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาชมดู ย่อมมีตัวตนที่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นร่วมอยู่ด้วย ทั้งหมดย่อมแลเห็นได้ว่าการลงมือของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ง่ายดายเหมือนตาเห็น


 


“ถึงข้าจะพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลางได้ไม่กี่ปี…แต่เมื่อครู่ข้าที่พยายามชมดูเรื่องราวอยู่ตลอด กล้าบอกเลยว่าต่อให้ข้าลงมือเต็มกำลังก็มิอาจมีความเร็วเทียบเท่าหลิงเทียนได้…ความแข็งแกร่งของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าแม้จะยังด้อยกว่าอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ แต่หากนับกันในบรรดาอริยะเซียนขั้นกลาง…ถือเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือ!!”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียนขั้นกลางกล่าวออก


 


มันยังเป็นศิษย์ที่ทุกคนรู้จักกันดีในฐานะ ศิษย์ผู้ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับ…เช่นนั้นทั้งหลายจึงไม่สงสัยวาจาของมัน!


 


ทำให้ทุกคนยืนยันได้เรื่องหนึ่ง…


 


นั่นคือพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนทัดเทียมกับชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นกลาง


 


“อริยะเซียนขั้นกลาง?”


 


ท่ามกลางฝูงชน จ้าวจี้ที่ยังไม่ได้จากไปไหนย่อมได้ยินเรื่องราวชัดเจน ใบหน้าของมันยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์ ‘ข้าไม่คิดเลยว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของสารเลวนั่นจะน่ากลัวแบบนี้…หากไม่มีเคล็ดมารกลืนหยิน เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าคงทำได้แค่กินฝุ่นมัน’


 


‘ไม่! บางทีคิดตามไปให้ใกล้พอจะกินฝุ่นมันข้ายังทำไม่ได้!!’


 


จ้าวจี้คิดกับตัวเองจบ ก็รีบร้อนเหินร่างจากไปทันที


 


อย่างไรก็ตามแทนที่มันจะเหินกลับบ้านของมัน มันกลับออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อไปยังจุดนัดพบของมันกับจูลู่ฉี


 


‘ข้าต้องรีบฝึกเคล็ดมารกลืนหยินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…ไม่งั้นข้ากลัวว่าคงยากจะไล่ตามมันทัน!’


 


ระหว่างเดินทางใจจ้าวจี้ก็รุ่มร้อนไปด้วยความกังวลนัก


 


ตอนนี้มันต้องการเคล็ดมารกลืนหยินให้เร็วที่สุด…ในสายตาของมัน ตราบใดที่มันได้เคล็ดมารกลืนหยินมาครอง! ใช้เวลาไม่นานมันต้องก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนได้แน่!!


 


หลังจากที่จ้าวจี้จากไป เรื่องต้วนหลิงเทียนทำสัญญาเป็นตายกับจ้าวคุนก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับดั่งไฟป่า และข่าวความตายของจ้าวคุนก็พัดไปทั่วดั่งใต้ฝุ่น


 


ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เว้นกระทั่งจ้าวตำหนักอย่าง เมิ่งฉิง


 


“หลิงเทียนทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นกลาง? ไม่จริง! เรื่องนี้มิมีทางเป็นไปได้!”


 


แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อว่าข่าวลือพรรค์นี้จะเป็นความจริง…อย่าว่าแต่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีตัวตนอัจฉริยะถึงขั้นบรรลุอริยะเซียนทั้งที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปีปรากฏขึ้นในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผู้คนกล่าวถึงกันอย่างหนาหู กระทั่งมีผู้ชมที่บรรลุอริยะเซียนขั้นกลางไปชมดู ทำให้แม้ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ก็ต้องเชื่อ!


 


“น้องหลิงเทียน เจ้ากลับซุกซ่อนเรื่องราวจากข้าได้มิดชิดเชียวนะ! ไม่เห็นข้าเป็นพี่แล้วสิ!!”


 


กู่ลี่มองจี้ต้วนหลิงเทียนราวกับมองเด็กน้อยทำความผิด “ในวันที่ข้าบอกให้เจ้ารีบทะลวงถึงอริยะเซียน เพื่อที่พวกเราจะได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน ไฉนเจ้าไม่บอกข้าเล่าว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้ว?”


 


“พี่กู่…พอดีสถานการณ์ของข้ามันค่อนข้างพิเศษ”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ากู่ลี่ไม่ได้โกรธอะไรเขาจริงจัง เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี


 


ในที่สุดเขาก็เลือกจะกล่าวบอกความจริงออกไป


 


แน่นอนว่าเป็นแค่ความจริงส่วนหนึ่งเท่านั้น


 


“ตอนข้าเดินทางไปผจญภัยยังที่แห่งหนึ่ง ข้าบังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์พิสดาร…และนั่นทำให้ปราณแรกกำเนิดของข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง! ยามนั้นพลังฝึกปรือของข้ามีเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น หากแต่ปราณแรกกำเนิดของข้ากลับมีพลังอำนาจมากพอจะทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นต้น…เช่นนั้นความจริงแล้ว ตัวข้าก็นับว่ายังอยู่ห่างจากขอบเขตอริยะเซียน…”


 


ต้วนหลิงเทียนแม้จะกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา แต่ไม่ได้บอกว่าวาสนาปาฏิหาริย์ที่เจอคืออะไร แล้วออกเดินทางไปผจญภัยที่ไหน…


 


ผู้เฒ่าหั่วกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติคือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา!


 


หากมันแพร่กระจายออกไป ต้องชักนำหายนะครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน!


 


เช่นนั้นเขาต้องระวังตัวถึงที่สุด


 


“วาสนาปาฏิหาริย์เช่นนี้มีด้วยหรือ!?”


 


สองตากูลี่เบิกกว้างปานลูกวัวแรกเกิด เพราะเรื่องนี้ฟังดูน่าเหลือเชื่อนัก หากแต่มันก็ยังเชื่อ!


 


โลกนี้กว้างใหญ่สุดไพศาล มากด้วยความอัศจรรย์นับหมื่นพันประการ


 


เช่นนั้นมันจึงไม่สงสัยวาจาของต้วนหลิงเทียน


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีผู้คนพบพานปาฏิหาริย์และวาสนาโดยบังเอิญมาแล้วมากมาย เรื่องพิสดารพันลึกมีเล่าไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าพูดว่าเคยพบพานเรื่องราวปาฏิหาริย์มาแล้วทุกรูปแบบ


 


“นี่มัน…ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ พลังฝึกปรือเจ้ายังทัดเทียมกับข้าหรือ?”


 


หวางเฟยเซวียนที่เหินร่างตามมาเงียบๆอยู่ด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความตกใจ


 


“หากนับแค่ด่านพลังฝึกปรือ ก็ใช่…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


เขาเห็นว่ากู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนเป็นสหาย เช่นนั้นจึงเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบ


 


ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เขาไม่ได้กล่าวถึงผู้เฒ่าหั่วหรือเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เขาจะเปิดเผยความจริงออกไปบางส่วน…


ตอนที่ 1,816 : เป็นที่นิยมอย่างหนัก


 


หลังได้ฟังเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ใจอดคิดไปเสียไม่ได้ว่า…ไฉนฟ้าถึงลำเอียงเช่นนี้!


 


ชายหนุ่มเบื้องหน้าด่านพลังฝึกปรือไม่ได้เหนือล้ำไปกว่านาง…เช่นนั้นหมายความว่าพรสวรรค์ก็ไม่ได้โดดเด่นมากไปกว่านาง! หากแต่พลังฝีมือกลับเทียบอริยะเซียนขั้นกลางได้! นี่มันอะไรกัน!!


 


จังหวะนี้ใจของหวางเฟยเซวียนรู้สึกยากยอมรับนัก!


 


เป็นธรรมดาที่ทำไมหวางเฟยเซวียนจะคิดแบบนี้ เพราะนางไม่ทราบที่มาของต้วนหลิงเทียน


 


หากนางรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนมาจากทวีปมนุษย์และไต่มาจากจุดที่ต่ำสุดในแดนดินจนมีวันนี้ได้ นางคงไม่คิดแบบนี้แน่!


 


ความสามารถที่ทำให้เดินทางจากจุดต่ำสุดของทวีปมนุษย์มาจนอยู่แนวหน้า ของบรรดารุ่นเยาว์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ไม่ใช่อะไรที่พรสวรรค์ของนางจะทำได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้ดีแก่ใจว่าต่อให้เป็นอัจฉริยะสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง ก็คงยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างต้วนหลิงเทียน!


 


“น้องหลิงเทียน วาสนาปาฏิหาริย์ที่เจ้าพบพานมามันคืออันใดกันแน่…หากข้าบังเอิญไปเจอบ้าง มิใช่ว่าพลังของข้าจะกลายเป็นเทียบได้กับขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดทันทีเลยหรือ?”


 


กู่ลี่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปล่งประกาย อยากทราบนักว่าต้วนหลิงเทียนไปทำอีท่าไหนปราณแรกกำเนิดถึงยกระดับไปพลิกฟ้าคว่ำดินแบบนี้!


 


ได้ยินคำถามนี้ของกู่ลี่ สองตาหวางเฟยเซวียนก็ลุกวาวขึ้นมาเช่นกัน หันไปจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง


 


เห็นชัดว่านางเองก็สงสัยใคร่รู้ไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนไปเจออะไรมา!


 


“ครั้งนั้นตอนข้าไปผจญภัย ข้าบังเอิญไปกินผลไม้ลึกลับผลหนึ่ง ทำให้ปราณแรกกำเนิดในร่างข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าผลไม้ลึกลับนั้นมันคือผลไม้วิญญาณหรืออะไรกันแน่ แต่ข้าก็ย้อนกลับไปและเด็ดผลไม้นั่นมากินทั้งต้นเผื่อพลังข้าจะเพิ่มขึ้น…ทว่าพอข้ากินหมดไม่เพียงพลังไม่เพิ่มขึ้น ต้นไม้นั่นอยู่ๆก็แห้งเหี่ยวลงต่อหน้าต่อตาข้า สุดท้ายก็กลายเป็นละอองทรายหายไป…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงยามเล่ายังฟังดูตื่นเต้นทั้งเสียดายไม่น้อย แน่นอนว่าเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างโจ่งแจ้ง แถมยังดับความหวังของกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนลงในพริบตา…


 


“อะไร!? มีผลไม้นั่นมากกว่า 1 ผล แต่เจ้าเก็บกินหมดต้นเลย!?”


 


กู่ลี่เบิกตาโพลงราวลูกวัวแรกเกิด มองกล่าวกับหลิงเทียนเสียงสูง “ของขวัญจากสวรรค์…กลับต้องมาเสียเปล่าเช่นนี้รึ! น้องหลิงเทียนเจ้านี่มัน…เฮ่อ…”


 


“เจ้า…”


 


หวางเฟยเซวียนมองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็กล่าวได้เพียงไม่กี่คำ “เจ้ามันทึ่ม!!”


 


ถึงแม้ว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวล้วนปั้นน้ำเป็นตัว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็เป็นความจริง ผลไม้ในเรื่องเล่าสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เหมือนกับวาสนาที่เขาได้รับมา


 


เพราะอีกาทองคำ 3 ขา สามารถทำให้ผู้อื่นรู้แจ้งได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดชั่วชีวิต! และการรู้แจ้งนั่นก็คือความสามารถในการเพาะสร้าง ปราณสุริยันแรกกำเนิด!!


 


ผู้เฒ่าหั่วได้เลือกมอบมันให้เขา…


 


“เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเรานะ…หากคนอื่นรู้เข้า ข้าได้ปวดหัวจนตายแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเพิ่มเพื่อกำชับกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียน


 


สุดท้ายแล้วมันก็เป็นวาสนาที่ไม่อาจมีใครได้รับอีกเป็นคนที่สอง แม้คนอื่นจะรู้ เขาก็ไม่อาจแบ่งปันอะไรให้ได้


 


อย่างไรก็ตามถึงจะรู้เช่นนั้น แต่ผู้คนไม่วายมาหาเขาเพื่อคลายความสงสัยแน่นอน กระทั่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องผลไม้ประหลาดที่ทำให้ปราณแรกกำเนิดพัฒนาไปอยู่ดี…


 


เช่นเดียวกันกับกู่ลี่ ที่ตอนนี้มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาเจิดจ้า “น้องหลิงเทียน เจ้ายังจำลักษณะผลไม้ลึกลับนั่นได้หรือไม่ แล้วต้นของมันเป็นเช่นไร?”


 


“ลักษณะผลไม้ลึกลับนั่นน่ะเหรอ จะว่าไปมันก็คล้ายๆแอปเปิ้ลธรรมดาๆเลย…ตอนแรกข้าก็คิดว่ามันเป็นแอปเปิ้ลนั่นล่ะ ถึงได้หยิบมากินเล่น แต่ไม่คิดเลยว่าพอกินลงไปมันจะทำให้ปราณแรกกำเนิดของข้าเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาอย่างขอไปที


 


แน่นอนว่าคำตอบนี้ก็ดับฝันของกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนไปอีกครั้ง


 


จะให้พวกมันไปไล่กินแอปเปิ้ลทั่วหล้าก็กระไรอยู่…


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าข่าวการบาดหมางระหว่างเขากับจ้าวคุน จนฆ่ากันตายหลังทำสัญญาเป็นตาย ได้แพร่กระจายไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับในเวลาอันสั้น กระทั่งยังทำให้อาวุโสระดับสูงทั้งหลายถึงกับสะท้าน!


 


จ้าวคุนนั้นพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อไมกี่วันที่ผ่านมา…


 


ทว่ากลับถูกหลิงเทียนฆ่าตาย!


 


ยิ่งไปกว่านั้นจากการลงมือของต้วนหลิงเทียน เห็นว่าจากพลังอำนาจที่เผยออกยามฆ่าจ้าวคุน สมควรเป็นอริยะเซียนขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ!


 


อายุน้อยกว่า 40 ปี บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง!


 


อัจฉริยะเช่นนี้มากพอที่จะทำให้ตำหนักฟ้าลี้ลับพยายามโน้มน้าวรั้งตัวเอาไว้ ไม่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ก็ตาม!


 


เช่นนั้นระดับสูงทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับ นอกจากจ้าวจินกับกู่ซืออวิ๋น ล้วนมาประชุมกันที่โถงหลักของเมิ่งฉิงทั้งสิ้น


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ด้วยพรสวรรค์ปีศาจเช่นนี้ หลิงเทียน ย่อมเติบโตกลายเป็นคนอย่างต้วนหรูเฟิงของตำหนักเมฆาครามและตู้กูแห่งตลาดมืดหยินชานได้เป็นแน่…พวกเราจำต้องโน้มน้าวให้เขาอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราให้ได้! มิว่าจะต้องจ่ายราคามากเท่าไหร่ก็ตาม! ต่อให้ต้องประกาศว่าเขาคือจ้าวตำหนักคนต่อไปพวกเราก็ต้องทำ!!”


 


รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนหนึ่งกล่าวเสนอออกมา


 


“ข้าเห็นด้วย!”


 


“ข้าเห็นด้วย!”


 


……


 


ทันใดนั้นเหล่าอาวุโสระดับสูงทั้งหลายรีบขานรับกันทันที และไม่มีใครเห็นต่าง


 


“ข้าเข้าใจความต้องการของทุกท่านดี ว่าทั้งหมดพยายามจะบอกอันใดข้า…อย่างไรก็ตามหลิงเทียนประกาศไว้ชัดแล้วว่าจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเราหลังจากนี้อีกไม่กี่ปี…ด้วยเหตุนี้ข้ากลัวว่าความหวังของพวกเราจะกลายเป็นความหวังลมๆแล้งๆ”


 


เมิงฉิงส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ถึงแม้มันจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหลิงเทียนมากนัก แต่มันมองออกว่าหลิงเทียนไม่ใช่คนที่จะถูกผลประโยชน์ในนามตำหนักฟ้าลี้ลับล่อลวง


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ที่หลิงเทียนคิดเช่นนั้นเพราะเขามิได้รู้สึกว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นครอบครัว กระทั่งไม่รู้สึกว่าเป็นเจ้าของตำหนักฟ้าลี้ลับ…หากตำหนักฟ้าลี้ลับเรายินดีจ่ายออกด้วยทุกสิ่งเพื่อตอบสนองคำขอของเขา ทั้งควบคู่ไปกับตำแหน่งว่าที่จ้าวตำหนักคนต่อไป ข้าเชื่อว่าเขามิอาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้ลงคอ!”


 


อาวุโสชราคนหนึ่งที่แลดูมากปัญญากล่าวออก


 


“ดี!”


 


“ข้าเห็นด้วยท่านจ้าวตำหนัก พวกเราไปลองยื่นข้อเสนอให้เขาดูกันก่อนเถอะ!”


 


“ใช่แล้วท่านจ้าวตำหนัก ลองพยายามแล้วมิได้ผลยังดีกว่ามิลงมือทำ! ทั้งด้วยความสำคัญของหลิงเทียน ข้าเกรงว่าท่านจ้าวตำหนักต้องออกหน้าเชื้อเชิญเขาด้วยตัวเอง!!”


 


……


 


หนึ่งในรองจ้าวตำหนักกล่าวออกมาทั้งพยายามมองเมิ่งฉิงตาลุกวาว คล้ายเป็นการกดดันโดนอ้อม


 


อย่างไรก็ตามเมิ่งฉิงไม่ถือสาหาความอะไร เพราะมันรู้ดีว่าทุกคนทำเพื่อตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


“เอาล่ะๆ พวกท่านไม่ต้องมองข้าขนาดนั้นหรอก…หากหลิงเทียนเห็นด้วยเรื่องอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ข้าก็มิเห็นว่าจักมีอันใดขัดข้องหากจะประกาศให้เขาเป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป…ในเมื่อทุกคนเห็นดีด้วยเช่นนี้ เช่นนั้นทั้งหมดติดตามข้าไปหาหลิงเทียนด้วยกันเลยเถอะ พวกเราจะไปยื่นข้อเสนอให้เขา และรอฟังคำตัดสินใจของเขาพร้อมกันว่าจะอยู่กับพวกเราหรือไม่!”


 


แม้เมิ่งฉิงจะรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าหลิงเทียนไม่มีทางยอมตกลงอยู่ที่นี่แน่นอน แต่เพื่อไม่ให้รองจ้าวตำหนักทั้งหลายกดดันเรื่องนี้ไม่เลิกรา ก็ได้แต่ยินยอมลองกระทำตามสักครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจพาทั้งหมดยกโขยงไปหาหลิงเทียนเสียเลย


 


สองตาอาวุโสทั้งหลายถึงกับลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันใดหลังได้ยินคำของเมิ่งฉิง


 


“ท่านจ้าวตำหนักปรีชายิ่ง!”


 


“ข้าเชื่อมั่นว่าความจริงใจของท่านจ้าวตำหนักและพวกเรา ต้องทำให้หลิงเทียนยินดีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับต่อแน่!”


 


“ฮ่าๆๆ…หากหลิงเทียนยินดีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับของพวกเรา ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราต้องกลายเป็นตำหนักเมฆาครามหลังที่ 2 ได้ในเวลาไม่กี่สิบปี!!”


 



 


ในอดีตนั้นภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีตลาดมืดหยินชานเป็นดั่งทรราชครองแดนอยู่เพียงผู้เดียว ทำให้ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายรู้สึกอึดอัดไม่อาจหืออือ


 


จนกระทั่งตำหนักเมฆาครามบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน จ้าวตำหนักคนเก่าถูกล้ม จ้าวตำหนักคนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ประมุข ตั้งแต่นั้นก็เสมือนปรากฏ ‘ตลาดมืดหยินชานแห่งที่สอง’ ขึ้นในแดนดิน!


 


และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยอดปิรามิดของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มี 2 ยอด!


 


เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับเชื่อมั่นนัก ว่าหากหลิงเทียนเต็มใจอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องสามารถนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับให้กลายเป็นขุมพลังอำนาจที่ทัดเทียมกับตลาดมืดหยินชานได้แน่!


 


พอถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็จะเป็น 1 ใน 3 ขุมพลังชั้นนำที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างร่วมกับตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชาน!


 


ต้องบอกเลยว่าความทะเยอทะยานของบรรดาอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นยิ่งใหญ่มาก!


 


แน่นอนว่าเหตุผลที่ทั้งหมดบังเกิดความทะยานอยากอันยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่มั่นใจในพลังของต้วนหลิงเทียน!


 


เมื่ออาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับโดยมีเมิ่งฉิงนำขบวนเดินทางมาถึง ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวคำลากับกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนเพื่อแยกย้ายกลับบ้านพอดี


 


เมื่อได้เห็นเมิ่งฉิงและอาวุโสทั้งหลายยกโขยงกันมาแบบนี้ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียน กระทั่งกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนก็ถึงกับต้องตกตะลึง


 


อย่างไรก็ตามทั้งคู่ตอบสนองเรื่องราวได้เร็วไว เร่งโค้งคารวะเมิ่งฉิงทันที “คารวะท่านจ้าวตำหนักและอาวุโสรองจ้าวตำหนักทุกท่าน”


 


“เจ้าตำหนัก”


 


ต่างจากการมากมารยาทของกู่ลี่และหวางเฟยเซวียนที่ทักทายเมิ่งฉิงและอาวุโสทั้งหลายอย่างสุภาพ ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้าทักทายเมิ่งฉิงเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆต้วนหลิงเทียนทำคล้ายทั้งหมดเป้นเพียงอากาศธาตุ


 


หากเป็นปกติ เจอศิษย์ปฏิบัติตัวแบบนี้ บรรดาอาวุโสทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับต้องของขึ้นเป็นแน่ เพราะนี่เสมือนอีกฝ่ายไม่เห็นหัวพวกมัน กระทั่งพวกมันยังรู้สึกเสมือนถูกดูหมิ่น!


 


ทว่าวันนี้ ‘การดูหมิ่น’ จากต้วนหลิงเทียนไม่เพียงทำให้พวกมันไม่พอใจ พวกมันยังยิ้มร่าไม่ถือสาอะไรแม้แต่น้อย


 


กระทั่งในใจยังกลายเป็นยกย่องต้วนหลิงเทียน…


 


‘วางตัวเช่นนี้สมแล้วที่เป็น ‘อัจฉริยะบุคคล’ ความภาคภูมิใจในตัวเองช่างสูงส่งไม่คิดสยบให้ผู้ใดง่ายๆนัก! ตัวตนเช่นนี้นี่ล่ะ..คือผู้ที่จะนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราไปสู่ความยิ่งใหญ่! ด้วยมีเขาตำหนักฟ้าลี้ลับเรายังกลัวไม่รุ่งเรืองอีกหรือ!?’


 


‘อัจฉริยะเยี่ยงปีศาจ ไหนเลยประพฤติขลาดเขลาโอนอ่อนไหลตามกระแสไปเรื่อยเหมือนสามัญชน! ดูศิษย์ทั่วไปเข้าเถอะ! มีผู้ใดหาญกล้าวางตัวอหังการเช่นหลิงเทียนผู้นี้ได้บ้าง!!’


 


‘ยังเยาว์อยู่แท้ๆกลับมีสภาวะท่วงท่าคล้ายไร้แยแสสรรพสิ่ง เผยให้เห็นชัดว่าสายตากว้างไกลมีความมั่นใจในตัวเองสูงส่ง…ตัวตนเช่นนี้จักต้องเติบโตเป็นจ้าวผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดแน่นอน!!’


 



 


หากความคิดในหัวของบรรดาอาวุโสระดับสูงเหล่านี้สามารถดังออกมาให้ได้ยินกันทั่วล่ะก็…น่ากลัวเหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับคงได้คับแค้นจนกระอักโลหิตตาย!


 


เห็นได้ชัดว่าหลิงเทียนผู้นี้เพียงหยิ่งยโสไม่เห็นหัวพวกท่านแท้ๆ ไฉนกลายเป็นตัวตนอหังการดั่งจ้าวอยู่เหนือผู้มากไปด้วยความมั่นใจไม่โอนอ่อนไหลตามกระแสเหมือนสามัญชนไปได้?


 


ตอนแรกกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนเห็นฉากนี้ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะผวา ด้วยกลัวว่าการวางตัวของต้วนหลิงเทียนจะสร้างความพิโรธเดือดดาลให้แก่เหล่าอาวุโสระดับสูงทั้งหลาย สีหน้าจึงซีดลงไปอยู่บ้าง…


 


อย่างไรก็ตามพอเห็นสีหน้าของอาวุโสทั้งหลาย ที่ไม่คล้ายจะมีโทสะอะไร พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ เพราะคิดว่าไม่มีใครถือสาหาความต้วนหลิงเทียน


 


ทว่าฉากต่อมากลับทำให้พวกมันจำต้องตะลึงลานแล้วจริงๆ


 


“หลิงเทียน พวกเราเคยพบกันแล้วตอนที่เจ้าออกจากแดนลับเซียนวันนั้น เจ้าจำข้าได้หรือไม่”


 


หนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปี่ยมไมตรียิ้มกล่าวออกมาหน้าระรื่น แนะนำตัวให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก


 


หลังจากนั้นรองจ้าวตำหนักทั้งหลายก็ผลัดกันออกมาแนะนำตัวให้ต้วนหลิงเทียนอย่างมากอัธยาศัย น้ำเสียงท่าทางแต่ละคนแลดูใจดีทั้งสุภาพอ่อนโยน ไม่คล้ายกำลังคุยกับศิษย์แต่เป็นบุตรหลานหัวแก้วหัวแหวน


 


กู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนถึงกับต้องหันมามองสบตากันปริบๆ แลเห็นถึงความตกตะลึงไม่เข้าใจในแววตาอีกฝ่าย


 


ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ยากลงมือตบหน้าคนกำลังยิ้ม’


 


เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับการทักทายแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างขอไปที


 


“จ้าวตำหนัก ท่านกับรองจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลายมาหาข้าแบบนี้ ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นหรือ?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันมองถามเมิ่งฉิงออกมา


 


แน่นอนว่าแม้ปากจะกล่าวถามออกไป แต่ใจรู้ดีว่านี่มันเรื่องอะไร…


 


หวางเฟยเซวียนนั้นยังไม่อาจคาดเดาความคิดของจ้าวตำหนักและอาวุโสคนอื่นๆได้ หากแต่กู่ลี่กลับตระหนักได้แล้วว่าทุกคนมากันทำอะไร ใบหน้าอดไม่ได้ที่จะเข้มขรึมจริงจังขึ้นมาทันที “ไม่คิดเลยว่าน้องหลิงเทียนจะกลายเป็นที่นิยมมากเพียงนี้!”


ตอนที่ 1,817 : จ้าวจี้…อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


“หลิงเทียน พวกเรามาที่นี่เพราะคิดให้เจ้าทบทวนเรื่องอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ และร่วมฟันฝ่าสู่ความยิ่งใหญ่ไปกับตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา!”


 


เผชิญกับคำถามของต้วนหลิงเทียน เมิ่งฉิงไม่คิดอ้อมค้อมอันใด เลือกเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกทันที “ตราบใดที่เจ้ายินดีร่วมฝ่าฟันไปกับตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่เพียงแต่จะไม่ขาดการส่งเสริมสนับสนุนเจ้าด้วยทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหมดที่เจ้าต้องการ…”


 


“ตัวข้ายังกล่าวรับปากกับเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยว่า…ว่าที่จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไปคือเจ้า!!”


 


สิ้นคำกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังของเมิ่งฉิง ทุกสายตาของบรรดาอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ ล้วนไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน


 


ในแววตาของพวกมันแต่ละคนยังเต็มไปด้วยความวาดหวัง และความปรารถนาล้นปรี่!


 


ตราบใดที่ชายหนุ่มเบื้องหน้ายินดีรั้งอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ วันหน้าตำหนักฟ้าลี้ลับต้องผงาดขึ้นไปถึงจุดยอดแห่งอำนาจได้เป็นแน่ สามารถยืนหยัดทัดเทียมตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชานได้อย่างไม่ยิ่งหย่อน!!


 


หากชีวิตนี้ของพวกมันได้เห็นฉากนั้น แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว!


 


ได้ยินคำถามนี้ของเมิ่งฉิง ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคาดไว้ก่อนแล้ว


 


ทว่าหวางเฟยเซวียนนั้นต่างกัน นางถึงกับตะลึงเป็นตัวโง่งมอีกครั้ง


 


นางไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะทำให้บรรดาผู้อาวุโสระดับสูงกระทั่งจ้าวตำหนัก มากล่าวโน้มน้าวให้อยู่ต่อได้แบบนี้!


 


“เพ้ย! เจ้ายังยืนมึนอันใดอยู่เล่า! ยังมิรีบตอบรับไปอีกเจ้าทึ่ม!!”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนนิ่งไปอยู่นาน หวางเฟยเซวียนที่ร้อนใจแทน อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปกล่าวเร่ง!


 


ในสายตาของนาง จ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลายทำถึงขนาดนี้ก็มากพอจะเผยให้เห็นความจริงใจของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ!


 


น่าเสียดายที่นางถูกลิขิตให้ผิดคาด


 


“จ้าวตำหนัก…รองจ้าวตำหนักและอาวุโสทุกท่าน…”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะว่ายมองเมิ่งฉิงและทุกคนที่มาหาเขารอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เงียบไปไม่กี่ลมหายใจค่อยกล่าวออกเสียงดังฟังชัด “ข้าขอบคุณในความปรารถนาดีของทุกท่าน อย่างไรก็ตามข้าได้ให้คำมั่นกับท่านอาจารย์ไว้แล้ว ว่าจะมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อตามหาท่าน…เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะรั้งอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับ”


 


เป็นไปไม่ได้?


 


คำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน…กู่ลี่ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคิดไว้แล้วว่าตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ดีพอสำหรับน้องชายผู้นี้! เวทีที่เหมาะสมให้น้องชายมันคนนี้โลดแล่น มีเพียงภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้น!!


 


เมิ่งฉิงก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเช่นกัน เพราะคิดคาดไว้แต่แรกแล้ว


 


เหตุผลที่มันมาที่นี่ก็เพื่อสนองความต้องการของรองจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลาย และให้ทุกคนล้มเลิกความคิดดังกล่าวไปเสีย


 


หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งค้างไปราวกับรูปปั้น


 


รองจ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลายก็ตะลึงไปไม่ต่าง


 


หวางเฟยเซวียนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวปฏิเสธออกมา


 


ส่วนด้านอาวุโสและชนชั้นรองจ้าวตำหนักนั้นมีบ้างที่คิดไว้แล้วว่าอาจต้องผิดหวัง ส่วนบางคนก็เลือกที่จะหวัง..


 


อย่างไรก็ตามแม้พวกมันไม่แน่ใจว่าต้วนหลิงเทียนจะอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธออกมาตรงๆทันทีแบบนี้…


 


ฟังจากวาจาของต้วนหลิงเทียนแล้ว ยังทราบได้ว่าไม่เว้นช่องว่างให้ต่อรอง…


 


“ฮึ่ม! กลับไม่รู้ว่าอันใดดีต่อตัว!!”


 


“เหอะ! หากตำหนักฟ้าลี้ลับมิรับตัวเจ้ามา และยินยอมให้เจ้าเข้าใช้สระวิญญาณ เจ้ายังจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้หรือ!?”


 


“อกตัญญู มิรู้คุณคน!”


 


……


 


กระทั่งในบรรดาอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะเป็นคนดีไปเสียทั้งหมด ด้วยเหตุนี้การตัดสินใจของต้วนหลิงเทียนก็มีทั้งผู้ที่เข้าใจ และผู้ที่สายตาคับแคบไม่อาจเข้าใจกระทั่งยังกล่าวตำหนิออกมา


 


ได้ยินวาจาตำหนิเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม


 


หากตำหนักฟ้าลี้ลับไม่รับตัวเขามา เขาจะไม่มีวันนี้งั้นเหรอ?


 


หากไม่ได้เข้าใช้สระวิญญาณเขาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อย่างตอนนี้?


 


อกตัญญู ไม่รู้คุณคน?


 


ขอถามสักคำ มีศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกี่คนที่เข้าใช้สระวิญญาณแล้วเป็นเช่นเขาบ้าง?


 


แล้วมีผู้ใดในตำหนักฟ้าลี้ลับที่อายุเท่าเขาหากแต่มีพลังฝีมือทัดเทียมอริยะเซียนขั้นกลาง?


 


เช่นนั้นก็กล่าวได้เลยว่าต่อให้ไม่ใช่ตำหนักฟ้าลี้ลับ เขาก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้!


 


แต่สำหรับทุกอย่างที่ได้จากตำหนักฟ้าล้ลับ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณในใจมาโดยตลอด…ไม่ว่าจะเป็นสระวิญญาณหรือแดนลับเซียน กระทั่งความช่วยเหลือของจ้าวตำหนักและกู่ซืออวิ๋นในเรื่องรวบรวมวัตถุดิบมากมายหลายหลากให้เขาเพื่อซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


อย่างไรก็ตามแม้เขาจะรู้คุณและมีความกตัญญูคิดตอบแทน แต่เขาก็ไม่คิดรั้งอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับเพราะคำกตัญญู


 


เขายังมีสิ่งที่ต้องไปกระทำ!


 


บางเรื่องไม่อาจล่าช้าได้!


 


แน่นอนว่าเขายังติดค้างตำหนักฟ้าลี้ลับในแง่ ‘ความรู้สึกที่มีต่อผู้คน’ และเขาคิดไว้แล้วว่าจะตอบแทนในภายภาคหน้า แต่ไม่ใช่การตอบรับคำของเมิ่งฉิงแบบนี้


 


ในเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวคำปฏิเสธ อาวุโสมากมายของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ผิดหวัง บางคนยังจากไปด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่


 


ในขณะเดียวกันไม่นานเรื่องราวนี้ก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับฉับไวดั่งไฟป่า พาลให้ทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับปั่นป่วนกันยกใหญ่อีกรอบ


 


“หลิงเทียนนั่นกลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดีหรือ?”


 


“เหอะๆ…ตราบใดที่มันอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ ทางตำหนักคงไม่ขาดความพยายามสนับสนุนด้านทรัพยากรบ่มเพาะ กระทั่งท่านจ้าวตำหนักยังกล่าวให้คำมั่นว่ามันจะได้เป็นจ้าวตำหนักคนต่อไป!”


 


“ข้าพเจ้ามิอาจทราบได้จริงๆ ว่าในหัวหลิงเทียนคิดอ่านอันใดอยู่กันแน่…หากเป็นข้าพเจ้าลองมีอาหารโอชะเช่นนี้ยื่นมาถึงตรงหน้าคงกัดลงไปเต็มคำแล้ว!”


 


……


 


วาจาทำนองดังกล่าวดั่งขึ้นไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ ทั้งหมดคิดว่าต้วนหลิงเทียนถือดีเกินไป และไม่รู้ว่าอะไรมันดีต่อตัว


 


แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้วนหลิงเทียนล้วนไม่สนใจ


 


ณ ตำหนักหลัก คฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง อันเป็นที่อยู่อาศัยของจ้าวจินอาวุโสผู้พิทักษ์ คฤหาสน์หลังนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่นัก การตกแต่งยังงดงามยิ่งกว่าพระราชวัง


 


และตอนนี้จ้าวจินกับจ้าวเติงก็กำลังนั่งสนทนาหารือกัน


 


“ท่านพ่อ หลิงเทียนผู้นี้ปล่อยไว้ไม่ได้…ด้วยศักยภาพของมัน ต่อไปมันต้องเป็นเภทภัยไม่สิ้นสุดกับสกุลจ้าวเราแน่!”


 


แววตาจ้าวเติงทอแสงเย็นเยียบ ลึกลงไปเผยให้เห็นความพรั่นกลัวประการหนึ่ง


 


“วันนี้หากมันรับคำของจ้าวตำหนักบางทีข้าอาจจะกลัวมันอยู่บ้าง…แต่ข้ามิคิดเลยจริงๆว่ามันจักปฏิเสธออกมาอย่างโง่งม!!”


 


จ้าวจินหัวเราะเยาะ


 


“ท่านพ่อในเมื่อมันตั้งใจจะตีจากตำหนักฟ้าลี้ลับ และมันมิได้คิดจะออกไปไหนช่วงนี้…เช่นนั้นไฉนพวกเรามิรอวันที่มันออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ ลงมือฆ่ามันให้ตายเล่า?”


 


จ้าวเติง ที่ชักสีหน้าขึงขังอำมหิตกล่าวเสนอ


 


“หากมันไม่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับช่วงนี้จริงๆ พวกเราก็ไร้ทางเลือกอื่นได้แต่ฆ่ามันวันนั้นเถอะ…”


 


จ้าวจินกล่าว


 


ในพื้นที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งมันเองก็ไม่กล้าลงมือฆ่าคนมั่วซั่ว


 


เพราะทันทีที่มันลงมือ มันต้องถูกเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักค้นพบได้ทันที กระทั่งกู่ซืออวิ๋นก็ต้องรับทราบทันทีด้วยเช่นกัน!


 


สำนึกเทวะของเมิ่งฉิงและกู่ซืออวิ๋นรวมถึงตัวมันเอง มีรัศมีกว้างพอจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ! เรียกว่าสามารถล่วงรู้ถึงความเป็นไปในตำหนักฟ้าลี้ลับได้ง่ายดาย เว้นเสียก็แต่ภายในห้องหับหรือบ้านพักส่วนตัวอะไร!!


 


เช่นนั้นจึงไม่มีใครในตำหนักฟ้าลี้ลับกล้าที่จะลงมือสังหารผู้ใดมั่วซั่ว!


 


นอกเสียแต่คนผู้นั้นเบื่อชีวิตคิดหาเรื่องตาย!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้จ้าวเติงกับบิดาอย่างจ้าวจินกำลังหารือกันทั้งยังตั้งมั่นว่าจะฆ่าเขาให้ตาย


 


แม้เขาจะไม่ได้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไหน แต่ทั้งคู่ก็คิดจะลงมือฆ่าเขาให้ตายวันที่เขาออกจากตำหนัก!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างตั้งใจ พยายามทำความเข้าใจยอดใจกระบี่เพื่อให้บรรลุ


 


เมื่อพบกับจุดรอคอย เขาก็จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปสนทนากับกู่ลี่หรือหวางเฟยเซวียน คุยกันถึงแนวทางวรยุทธ์ทั้งหลายกระทั่งเวทย์พลัง บ้างก็ประมือกับกู่ลี่เป็นครั้งคราว


 


นอกจากนี้วัตถุดิบที่ทยอยส่งมาเรื่อยๆ ก็ถูกเขานำไปมอบให้ผู้เฒ่าหั่ว


 


การฟื้นฟูชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ เรียกว่าช่วงนี้ผู้เฒ่าหั่วทำงานมือเป็นระวิง…


 


กาลเวลาล่วงเลยดั่งธารไหล ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกปี


 


แน่นอนว่า หนึ่งปี ในที่นี้หมายถึงเวลาภายนอก


 


ส่วนภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มันผ่านพ้นไปแล้ว 5 ปี


 


ภายในเวลา 5 ปีนี้…พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนก็ก้าวหน้าไปไม่น้อยเช่นกัน


 


ส่วนการทำความเข้าใจเคล้ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ก็เจียนบรรลุถึงขั้นที่ 3 เต็มที


 


ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้า…ยังมีบางคนที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน!


 


ทางพื้นที่ตะวันตกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ในสถานที่อันห่างไกลและเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างผู้ฝึกตนสองคนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างผิดปกติ ความเร็วในการบ่มเพาะของทั้งคู่เรียกว่าเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ยังเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะฝึกปรือในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียอีก!


 


ทว่ากลวิธีการบ่มเพาะพลังของทั้งสองคนนี้ หาใช่การดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งพลังในหินเซียนมาเพิ่มพูนพลังฝึกปรืออย่างปกติไม่…แต่พวกมันกลับดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรี! ยังเป็นสตรีจำนวนมากมายมหาศาล!!


 


แน่นอนว่าในบรรดาสตรีทั้งหลาย สตรีที่ยังเป็นพรหมจรรย์อยู่มีคุณค่ามากกว่า!


 


อีกทั้งสตรีที่ถูกพวกมันสูบกลืนพลัง ล้วนตกตายกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น!


 


อย่างไรเสียการกระทำชั่วร้ายนี้กลับไม่ได้แพร่งพรายออกไป


 


นั่นเพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่พบศพสตรีแห้งเหือดหนังหุ้มกระดูก เป็นอันต้องตกตายทุกราย…กระทั่งญาติสนิทมิตรสหายที่ออกตามหาสตรีที่หายตัวไป…ก็ตกตายอย่างลี้ลับ!


 


ผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอดีตจ้าววังนภา จูลู่ฉี และหลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ บุตรชายรองจ้าวตำหนัก จ้าวจี้!


 


“ฮ่าๆๆๆ…”


 


เสียงหัวเราะหนึ่งดังลั่นขึ้น จ้าวจี้พลันผุดลุกขึ้นยืนก่อนที่จะผละออกมาจากพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ร่างมันเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ มองลงไปที่เท้าปรากฏซากศพแห้งๆร่างหนึ่ง


 


หากมองให้ละเอียดจะพบว่านี่เป็นซากศพของสตรี…


 


และเมื่อมองไปยังคราบโลหิตที่เปรอะเปื้อนบนพื้นบริเวณหว่างขาของนาง ก็บ่งบอกให้รู้ว่านางเคยเป็นสตรีที่ยังบริสุทธิ์มาก่อน


 


“อริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ…ในที่สุดข้าก็ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!!”


 


จ้าวจี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ คล้ายพึงพอใจในพลังฝึกปรือของตัวเองถึงที่สุด! ด้วยความช่วยเหลือของสตรีใต้เท้า ทำให้มันทะลวงขอบเขตพลังได้สำเร็จ!!


 


ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางของมัน ได้ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


ทั้งหมดต้องขอบคุณเคล็ดมารกลืนหยิน!


 


ตลอดปีที่ผ่านไม่ทราบมีสตรีมากมายเท่าไหร่ ที่ตกตายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวใต้เท้ามันเช่นนี้…


 


เรียกว่าความสำเร็จของมันในวันนี้ได้มาจากการพรากพรหมจรรย์กับแก่นแท้โลหิตของพวกนางทั้งสิ้น!


 


อีกทั้งความก้าวหน้านี้ เป็นอะไรที่มันในอดีตไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง!


 


“อย่างไรเสียแม้จะทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะเจ้านั่นได้…สุดท้ายแล้วเมื่อปีที่แล้วมันก็บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นกลาง! ข้าต้องบ่มเพาะพลังต่อไป!!”


 


เมื่อคิดถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา ก็คล้ายมีน้ำเย็นราดรดลงหัว ทำให้จ้าวจี้หลุดจากภวังค์ยินดี ตื่นจากฝันหวานทันที


 


“จ้าวจี้…”


 


ในขณะที่จ้าวจี้คิดออกไปหาเหยื่อรายใหม่ พลันมีเสียงชราดังขึ้น


 


จากนั้นร่างชราหนึ่งก็วูบมาปรากฏเบื้องหน้าจ้าวจี้


 


“จ้าววังจู”


 


มองไปยังจูลู่ฉีเบื้องหน้า จ้าวจี้พลันยิ้มกล่าว “ข้าทะลวงถึงอริยะเซียนชั้นเชี่ยวชาญแล้ว…มิทราบจ้าววังจูเป็นอย่างไรบ้าง พลังฝึกปรือก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือยัง ใช่บรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางแล้วหรือไม่?”


 


6 เดือนที่แล้วด่านพลังฝึกปรือของจูลู่ฉีที่เดิมอยู่ที่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ได้ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นที่มันเคยวาดฝันเอาไว้ได้สำเร็จ หลังจากนั้นด้วยความช่วยเหลือของเคล็ดมารกลืนหยิน พลังฝึกปรือของมันก็ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ…


 


“ขาดอีกแค่เล็กน้อย…”


 


จู่ลู่ฉีส่ายหัวไปมา ก่อนที่แววตาจะทอแสงเรืองวูบ “อีกมิเกิน 3 เดือนข้าสมควรทะลวงผ่าน!”


ตอนที่ 1,818 : เรื่องแดง…


 


“เช่นนั้นนับว่าท่านช้ากว่าข้ามาก…”


 


จ้าวจี้กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจหลังได้ยินคำตอบของจูลู่ฉี


 


ใช้เวลาไป 1 ปีเท่ากัน หากแต่มันกลับสามารถทะลวงขอบเขตพลังได้ถึง 5 ขีดขั้น จากเซียนขัดเกลาขั้นกลางจนบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


แน่นอนว่าอันที่จริงแล้วสมควรกล่าวว่ามันสามารถบรรลุได้ถึง 4 ขั้น เพราะแม้มันจะไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน แต่เดิมทีมันก็เจียนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญอยู่แล้ว…


 


อย่างไรก็ตามแม้มันจะทะลวงด่านพลังได้ถึง 4 ขั้น แต่ก็ยังนับว่าเหนือกว่าจูลู่ฉีที่ทะลวงผ่านได้ 1 ขั้นพลัง


 


“เท่าที่ข้ารู้มา…ท่านกระทั่งดูดซับพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีไปมากมายยิ่งกว่าข้าเสียอีก…”


 


จ้าวจี้ยิ่งกล่าวออกมา ยิ่งเผยความกระหยิ่มยิ้มย่องมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“ตลอดปีที่ผ่านมาแม้จำนวนสตรีที่ข้าดูดซับพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตจะมีมากกว่าเจ้า แต่ด่านพลังเจ้าตอนแรกอยู่ด่านใดส่วนข้าอยู่ด่านใด…มันเอามาเทียบกันได้ด้วยหรือ?”


 


จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย มันรู้สึกว่าจ้าวจี้ผู้นี้ช่างหน้าไม่อายอย่างยิ่ง ที่มาเทียบการก้าวหน้าของพลังฝึกปรือใน 1 ปี


 


จ้าวจี้เดิมทีมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น ก่อนที่จะฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินและสูบพลังจากสตรี…


 


หากแต่ตัวมันนั้น ในอดีตก็เพียงมีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น! แม้จะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทะลวงด่านพลังได้ง่ายๆ…แค่มันสามารถทะลวงผ่านมาถึงเซียนปฐพีขั้นแรกได้ในเวลาแค่ 1 ปี มันก็พึงพอใจมากแล้ว!


 


“จ้าววังจู ข้าล่ะไม่เข้าใจท่านจริงๆ…เดิมทีด้วยพลังฝึกปรือของท่าน หากท่านเลือกจะดูดซับพลังจากสตรีพรหมจรรย์เพื่อบ่มเพาะพลังตามเคล็ดมารกลืนหยิน ท่านต้องบรรลุถึงเซียนปฐพีได้เร็วกว่านี้แน่นอน! สตรีเหล่านั้นก็แค่ปุถุชนธรรมดาไร้ราคาอันใดไฉนท่านถึงได้บ่ายเบี่ยงนัก กระทั่งยังมาขัดขวางข้าและไม่ให้ข้าใช้พวกนางบ่มเพาะพลังต่อหน้าอีก…”


 


จ้าวจี้ ขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ สตรีจะพรหมจรรย์หรือไม่พรหมจรรย์ก็มีค่าเท่ากัน ไฉนท่านถึงได้เรื่องมากนัก…”


 


“เฮอะ!”


 


จูลู่ฉีแค่นคำออกมาคำหนึ่ง หากแต่ไม่ได้ตอบอะไรจ้าวจี้


 


ในใจของจูลู่ฉีมีความลับเรื่องหนึ่งที่มันล่วงรู้เพียงผู้เดียว…นานมาแล้วมันก็มีบุตรีที่น่ารักซุกซนคนหนึ่ง เป็นบุตรีที่ภรรยาของมันคลอดไว้ให้มันก่อนที่นางจะตกตาย


 


มันจึงรักถนอมบุตรีนางนี้นัก เลี้ยงดูนางกับมือแต่เล็กจนเติบใหญ่ มอบทุกสิ่งให้ทุกอย่างประหนึ่งนางเป็นแก้วตาดวงใจ ให้นางใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงน้อย…


 


อย่างไรก็ตาม โชคชะตาและวาสนาของผู้คนบางครั้งก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ดั่งสภาพดินฟ้าอากาศ…บางคนจำต้องจากไปก่อนวัยอันควร


 


วันเกิดปีที่ 16 ของบุตรีมัน ด้วยภาระหน้าที่ทำให้มันไม่อาจมาร่วมฉลองงานวันเกิดของนางได้…และวันนั้นเองสหายสนิทที่คิดไม่ซื่อคนหนึ่งของนาง ก็ได้ก่อการอุกอาจระยำ เลือกที่จะย่ำยีขืนใจนางเสียหลังจากนางไม่ยอมรับรักของอีกฝ่าย!


 


เมื่อมันกลับมาก็พบซากร่างไร้วิญญาณที่จากโลกไปเนิ่นนานแล้วของบุตรี


 


นอกจากนั้น นางยังเหลือจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง…


 


บุตรีของมันเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพราะทนรับความอัปยศอดสูหลังถูกข่มขืนไม่ได้…


 


ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นมันจะลงมือฆ่าล้างโคตรของอดีตสหายอุบาทว์คิดไม่ซื่อคนนั้นของนางจนตกตายทั้ง 9 ชั่วโคตร แต่บุตรีของมันก็มิอาจย้อนคืนหวนมา…


 


และเป็นเพราะการตกตายของบุตรีอันเป็นที่รัก ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายของมัน…จูลู่ฉีจึงทุ่มเทจิตใจและวิญญาณให้แก่การบ่มเพาะพลัง จนมีความสำเร็จอย่างทุกวันนี้


 


การบ่มเพาะพลังด้วยการสูบกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจาก ‘สตรีพรหมจรรย์’ นั้นให้ผลเลิศล้ำดีกว่า มันเองก็รู้ดีแก่ใจ หากแต่มันมิอาจลงมือย่ำยีสตรีบริสุทธิ์ได้ลงคอ…


 


เพราะยามใดก็ตามที่มันเห็นดรุณีน้อยบริสุทธิ์ไม่เดียงสา ก็อดนึกถึงบุตรีที่ตกตายไปเสียไม่ได้ จึงไม่มีใจลงมือทำร้ายดรุณีน้อยวัยใสเหล่านี้ได้ลงคอ กระทั่งยังไม่อาจทนเห็นใครย่ำยีดรุณีน้อยบริสุทธิ์เหล่านี้ต่อหน้าได้…


 


เหมือนเช่นตอนนี้ ที่มันเร่งรุดมาเพื่อหยุดจ้าวจี้…หากแต่มันมาสายเกินไป


 


ปึงง!!


 


เพียงจูลู่ฉีสะบัดมือคราหนึ่ง พลังไร้สภาพอันน่ากลัวพลันแยกปฐพีเป็นช่องสูบกลืนซากร่างสตรีที่เคยบริสุทธิ์จมหายลงไป ก่อนที่หน้าดินจะกลบถมพูนเป็นหลุมศพให้นางได้หลับไหลไปตลอดกาล…


 


“ข้าล่ะไม่เข้าใจท่านจริงๆ!”


 


แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวจี้เห็นจูลู่ฉีกระทำอะไรแบบนี้ แต่มันก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา เพราะมันไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนจูลู่ฉีถึงได้ปกป้องสตรีพวกนี้นัก


 


“จ้าววังจู หวังว่าต่อไปพวกเราไม่ต้องเจอกันอีกจะประเสริฐกว่า!”


 


จ้าวจี้มองจูลู่ฉีด้วยสายตาเพ่งพิจครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างจะวูบเหินจากไปดั่งสายลมกรรโชก คล้ายหวาดกลัวโรคห่าอย่างไรอย่างนั้น


 


จูลู่ฉีก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงจากไปตามทางของตัวเช่นกัน


 


หากเลือกได้มันก็ไม่อยากเจอจ้าวจี้


 


เพราะทุกครั้งที่มันเจอจ้าวจี้ เป้าหมายของจ้าวจี้ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีบริสุทธิ์เยาว์วัยทั้งสิ้น มันเองก็ไม่อาจทนเห็นจ้าวจี้รังแกพวกนางได้ แม้สตรีบริสุทธิ์เดียงสาเหล่านี้จะไม่ใช่บุตรีของมัน แต่มันไม่อาจทนมองพวกนางถูกย่ำยีได้จริงๆ…


 


เรื่องนี้เสมือน ‘มารในใจ’ จูลู่ฉี


 


หากจูลู่ฉีไม่เลือกสรรแต่สตรีขายบริการและสตรีที่ย่างเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่เลือกสตรีที่บริสุทธิ์ด้วยเหมือนจ้าวจี้ ป่านนี้มันคงบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางไปเนิ่นนาน…และต่อให้ยังไม่บรรลุก็คงเจียนบรรลุในเวลาอันสั้น!


 


ทว่าตอนนี้จูลู่ฉียังต้องเสียเวลาบ่มเพาะอีกราวๆ 3 เดือนถึงจะบรรลุได้…


 


ต้องกล่าวเลยว่าจ้าวจี้กับจูลู่ฉีปกปิดร่องรอยได้ดีไม่น้อย นอกจากนั้นทั้งคู่ยังเลือกลงมือในพื้นที่อันห่างไกลและสงบเงียบบริเวณตะวันตกของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ในพื้นที่แถบนี้อย่าว่าแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 กระทั่งขุมพลังชั้น 4 ไม่สิ…กระทั่งขุมพลังชั้น 5 ก็ไม่มี!


 


ดังนั้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงไม่มีใครมารบกวนหรือวุ่นวายการลงมืออำมหิตของพวกมัน!


 


อย่างไรก็ตามไม่มีกำแพงใดที่กั้นลมไว้ได้ตลอด เพียงผ่านพ้นไปอีกครึ่งปี ‘เรื่องประหลาด’ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันตกอันไกลห่างแห่งนี้ก็แดงขึ้นมาในที่สุด…


 


เป็นผู้ฝึกตนที่มีบ้านเกิดอยู่ในพื้นที่ตะวันตกดังกล่าว แพร่กระจายเรื่องประหลาดอันผิดปกตินี้ออกมา…


 


3 ปีที่แล้วมันออกเดินทางไปท่องเที่ยวฝึกตนขัดเกลาตัวเอง ไม่ได้กลับบ้านเกิดจนกระทั่งตอนนี้…


 


อย่างไรก็ตามพอมันกลับไปถึงบ้านเกิด มันก็พบว่าสรวงสวรรค์อันสงบสุขไร้เรื่องราวแก่งแย่งใดๆอย่างหมู่บ้านเล็กๆของมัน กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง…


 


ศพอื่นๆของผู้คนในหมู่บ้านนั้นเป็นปกติ หากแต่ซากศพของอิสตรีทุกคนกลับกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยว!


 


“นิ…นี่มันเกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้น?”


 


ฉากประหลาดเบื้องหน้าเป็นอะไรสุดที่มันจะคิดคาดจินตนาการได้นัก กระทั่งความเศร้าที่เสียสตรีคนรักในหมู่บ้านยังถูกความหวาดกลัวกลบมิด


 


หลังจากนั้นมันก็เริ่มสำรวจพื้นที่โดยรอบ


 


หากแต่ทุกที่ทางที่มันผ่านไป หมู่บ้านเล็กๆอื่นใดในอดีต ล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังทั้งสิ้น…


 


และศพผู้คนในหมู่บ้านเหล่านั้นก็เหมือนกันกับหมู่บ้านมันไม่ผิดเพี้ยน ศพอื่นๆไม่เป็นอะไร หากแต่ศพของสตรีทุกคนกลับกลายเป็นแห้งเหี่ยวหมดสิ้น ไร้เลือดแม้แต่หยดหยาด…หนังแห้งติดกระดูก ไม่ต่างใดจากใบไม้แห้งกรอบ


 


“บัดซบ ผิดท่าแล้ว!”


 


ด้วยเรื่องราวลึกลับไม่เข้าใจ ในที่สุดมันก็ถูกความกลัวครอบงำจิตใจไม่กล้ารั้งอยู่…เร่งรุดหลบหนีออกห่างจากพื้นที่ตะวันตกทันที


 


หลังจากนั้นมันก็เริ่มแพร่กระจายข่าวประหลาดที่ได้พบออกไป


 


“เฮ้ย! พวกเจ้าได้ยินหรือยัง…เห็นว่าแถวๆชานเมืองทางตะวันตก คนในหมู่บ้านเล็กๆทั้งหลายถูกฆ่าตายหมดสิ้น…แถมศพของสตรียังแปลกประหลาดนัก ทุกศพกลับแห้งเหี่ยวไร้โลหิต…”


 


“อันใด? ศพแห้งหรือ แล้วศพแห้งที่เจ้าว่ามันเป็นอย่างไรเล่า? “


 


“ข้ามิรู้หรอก หากเจ้าอยากรู้ ไฉนไม่ไปดูเองเล่า?”


 


……


 


เมื่อเวลาผ่านไปบทสนทนาทำนองนี้ก็ดังขึ้นบ่อยครั้งแถวๆพื้นที่ชายแดนที่ติดกับพื้นที่ส่วนตะวันตก


 


ในโลกใบนี้สิ่งที่ไม่เคยขาดหายก็คือความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน! และนี่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่นานเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่รับทราบเรื่องราวในพื้นที่ตะวันตก ก็ต่างเร่งรุดไปชมดูเรื่องราวให้เห็นกับตากันจ้าละหวั่น


 


และเมื่อพวกมันได้เห็นสถานการณ์ด้วยสองตา พวกมันก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือที่ได้ยินมาล้วนเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล!


 


“บัดซบ! เป็นผู้ใดลงมือวิปลาศเช่นนี้กัน?”


 


“เฮ่อ…สตรีเหล่านี้ช่างน่าสงสารยิ่ง กระทั่งตกตายยังมิอาจได้ตกตายในสภาพดีๆ จำต้องกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวเช่นนี้…”


 


“ไม่ใช่แล้ว! พวกเจ้าชมดูเร็ว! เฉพาะสตรีที่ตกตายกลายเป็นซากร่างแห้งๆ ศพของพวกนางทุกคนมิมีรอยแผลอันใดบ่งบอกถึงการถูกฆ่าแม้แต่น้อย! นอกจากนี้พวกเจ้ามิสังเกตหรือ ว่าศพของพวกนางทุกศพมิมีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น…จะใช่การลงมือของผู้ฝึกมารหรือไม่?”


 


“หากเป็นการกระทำของผู้ฝึกมารจริง…เคล็ดบำเพ็ญมารของมันก็นับว่าชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”


 


..


 


ในบรรดาคนที่อยากรู้อยากเห็น ก็ย่อมมีคนที่มีไหวพริบไม่น้อย สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้แทบจะทันที ยังเริ่มอนุมานเรื่องราว ปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน…


 


มีผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม..ก่อการอุกอาจไปทั่วพื้นที่ตะวันตก!


 


ผู้ฝึกตนหนทางมารนั้นไม่ใช่ไม่เป็นที่ยอมรับในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…หากเป็นผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยกลวิธีที่ปกติธรรมดาไม่ขัดต่อมโนธรรมและไร้มนุษย์ธรรม ก็ย่อมไม่มีใครว่าร้ายรังเกียจอะไร


 


ทว่าผู้ฝึกตนหนทางมารที่บ่มเพาะพลังด้วยกลวิธีนอกรีตทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ฝึกมารที่ถูกผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าชิงชังรังเกียจ และผู้ฝึกมารเหล่านี้คือผู้ฝึกตนที่สังคมไม่ยอมรับ!


 


มีคนกระจ่ายข่าวคนเดียวผู้คนมากมายอาจไม่เชื่อและสงสัย


 


อย่างไรก็ตามหากมีคนมายืนยันเป็นร้อยเป็นพัน เรื่องราวที่สงสัยก็เปลี่ยนเป็นข้อเท็จจริงทันที!


 


“ข้าจำได้ว่าเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว…ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับได้ออกมาประกาศให้รู้ไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ว่าเคล็ดมารกลืนหยินได้หวนกลับมาสู่โลกหล้าอีกครา! และผู้ที่ช่วงชิงเคล็ดมารนั่นไปก็เป็นถึงอดีตจ้าววังนภา!!”


 


“กล่าวกันว่าเคล็ดมารกลืนหยิน เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม ใช้การดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของสตรีในการเพิ่มพูนพลัง…และสตรีทุกคนที่ถูกผู้ฝึกมารดังกล่าวดูดกลืนพลัง จักตกตายกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว…หรือที่แท้เรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันตก จักเกี่ยวข้องกับเคล็ดมารกลืนหยิน!”


 


“พอเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาข้าก็นึกออก…หากเป็นเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ เรื่องราวก็สมเหตุสมผลแล้ว!”


 


“เช่นนั้นมิว่าชาวบ้านที่ถูกฆ่าตายยกหมู่บ้านเหล่านั้น…กับซากร่างแห้งเหี่ยวของเหล่าสตรีทั้งหลาย เป็นการลงมือของผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…อดีตจ้าววังนภาจูลู่ฉี!!”


 


“8 ใน 10 ส่วน ไม่ผิดพลาดแน่”


 



 


เพียงเวลาแค่ไม่นานก็มีผู้คนที่สามารถโยงเรื่องราวเข้ากลับเคล็ดมารกลืนหยินที่เป็นเรื่องฮือฮาเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วได้ในที่สุด


 


เพียงเวลาแค่ไม่นาน จูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภา ก็จำต้องแบก ‘หม้อก้นดำ’ เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะคนทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ารู้ว่ามันคือผู้ที่ได้รับเคล็ดมารกลืนหยินไป แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า จ้าวจี้ ก็บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินเช่นกัน…


 


“จ้าววังจู ตอนนี้เรื่องราวชักผิดท่าแล้ว…ดูเหมือนว่ายามนี้พวกเราต้องซ่อนตัวพักสักระยะ ท่านมีแผนอันใดหรือไม่”


 


ตอนนี้เอง มุมหนึ่งของป่าศิลาในแถบพื้นที่ตะวันตกอันห่างไกลอันเป็นสถานที่ๆกระทั่งวิหกยังไม่ยากแวะเวียนมาขับถ่ายของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ปรากฏร่างจ้าวจี้กับจูลู่ฉีมารวมตัวหารือกันอีกครั้ง


 


เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งคู่รู้แล้วว่าเรื่องราวที่พวกมันกระทำ สุดท้ายก็แดงขึ้นมา


 


“ข้าจักมีแผนอันใดได้? ก็ต้องไปซ่อนตัวถ่ายเดียว! ข้ามิได้เหมือนเจ้าที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…เจ้ากระทั่งสามารถกลับบ้านได้อย่างสง่าผ่าเผยด้วยซ้ำ!”


 


จูลู่ฉีกล่าวตอบเสียงเข้ม


 


“ฮ่าๆๆ…เช่นนั้นข้าคงต้องลาท่านแล้วจ้าววังจู! อ่อจริงสิ ข้าฝากฉีจิ้งไว้ให้ท่านดูแลด้วยเล่า! เพราะอย่างไรเสียพวกเราก็ยังมิได้ล่วงรู้ทุกสิ่งของเคล็ดมารกลืนหยิน!!”


 


ก่อนที่จะจากไป จ้าวจี้ไม่ลืมกำชับเรื่องราวกับจูลู่ฉี


 


“พื้นที่แถบนี้มิอาจอยู่ได้แล้ว…”


 


จูลู่ฉีเองก็เหินร่างจากไปทันที หลังจากที่จ้าวจี้กลับไปแล้ว


ตอนที่ 1,819 : กู่ลี่…เซียนมนุษย์!


 


จูลู่ฉีนั้นรู้ตัวเองดี


 


ถึงแม้ตอนนี้มันจะบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง หากแต่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีผู้คนมากมายนักที่เอาชนะมันได้


 


ไม่ต้องกล่าวถึงผู้สักงเกตการณ์ ที่เป็นตัวตนขอบเขตเซียนนภา ที่ถูกส่งมาจากขุมพลังชั้น 1 จากภูมิภาคเบื้องบนเพื่อควบคุมดูแลคนในภูมิภาคเบื้องล่าง ลำพังผู้นำของตำหนักเมฆาครามกับตลาดมืดหยินชานก็ฆ่ามันได้ง่ายดายราวฆ่าไก่!


 


ร่ำลือกันว่าพลังฝึกปรือของทั้งสองคนนั้นบรรลุถึงจุดสูงสุดขอบเขตเซียนปฐพีไปแล้ว!


 


นอกจากนั้นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย ไม่เว้นเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ คนเหล่านี้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็ล้วนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ!


 


นอกเหนือจากนั้นตัวตนที่มีชื่อเสียงอย่างรองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้ ที่บรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายนั้นเจียนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญเต็มที ไม่ใช่อะไรที่คนอย่างมันที่พึ่งจะบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลางจะต่อกรด้วยได้…


 


“เฝิงปู่อี้…วันใดที่ข้าบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นเชี่ยวชาญ วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า!”


 


สองตาของจูลู่ฉีทอประกายอำมหิตจ้า เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันหนาแน่น ยังดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อเฝิงปู่อี้!


 


ผ่านไปพักหนึ่งจูลู่ฉีค่อยสงบลง “ตอนนี้ไม่เหมาะที่ข้าจะเผยตัว…นอกจากบ่มเพาะพลังแล้ว ข้าต้องรีบเพาะสร้างเวทย์พลังนั่นให้เร็วที่สุด!”


 


เวทย์พลัง จูลู่ฉีกล่าวนั่นคือเวทย์พลังที่มาพร้อมกับเคล็ดมารกลืนหยิน


 


เวทย์พลังนั้นยังไม่ใช่เวทย์พลังสามัญแน่นอน อนิจจาฉีจิ้งยังไม่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ มันจึงไม่อาจทำความเข้าใจและเพาะสร้างได้


 


หลังจากนั้นไม่นานจูลู่ฉีก็ออกจากพื้นที่ตะวันตก


 


ขณะเดียวกันข่าวเรื่องผู้ฝึกมาร ที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายผู้คนทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างก็ได้ยินข่าวเรื่องนี้


 


“เคล็ดมารกลืนหยิน? เคล็ดมารกลืนหยินคืออันใดหรือ?”


 


ถึงแม้ข่าวของเคล็ดมารกลืนหยินจะแพร่ไปทั่ว และเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่โด่งดังครั้งอดีตกาล แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จัก…


 


เพราะสุดท้ายเวลามันก็ผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วหลังจากที่เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้นครั้งสุดท้าย ผู้ที่รู้จักมันดีจริงๆก็มีแต่ผู้ชราที่อยู่ในขุมพลังชั้นสูงเท่านั้น


 


“เคล็ดมารกลืนหยินนั้นใช้กลวิธีบ่มเพาะพลังจากการสูบกลืนพลังหยินทั้งแก่นแท้โลหิตจากสตรี…และสตรีที่ถูกดูดกลืนพลังนั้นต้องตายสถานเดียว แถมยังต้องกลายเป็นซากศพเหี่ยวแห้งอีกด้วย…”


 


เมื่อรายละเอียดของเคล็ดมารกลืนหยินเริ่มแพร่กระจายออกไป ผู้คนที่ได้รับรู้ก็เริ่มหวาดกลัวและรู้สึกตื่นตระหนกเสียขวัญนัก


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าสตรีที่เป็นเป้าหมายโดยตรงยิ่งกลัวจับใจ เหล่าสตรีพรหมจรรย์ทั้งหลายยังแทบไม่กล้าออกนอกบ้านด้วยซ้ำ!


 


เพราะพวกนางคือเป้าหมายอันดับ 1 ของเคล็ดมารกลืนหยิน!


 


ในขณะที่ผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างกำลังตื่นตระหนก ย่อมเป็นธรรมดาที่ขุมพลังชั้น 4 และขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็ต้องได้รับทราบข่าวนี้


 


“จูลู่ฉีคิดกลายเป็นมารร้ายที่เป็นศัตรูของใต้หล้าดั่งมารร้ายยอดฝีมือตนนั้นจริงๆหรือ?”


 


เหล่าผู้นำขุมพลังชั้น 4 ทั้งหลายเริ่มตั้งแง่


 


“จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับเมิ่งฉิงนั้น ตัวข้าเคยได้พบครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นคนที่มีเกียรติและน่านับถืออย่างยิ่ง มิทราบไฉนตำหนักฟ้าลี้ลับ ถึงมีคนอย่างจ้าววังนภาจูลู่ฉีได้”


 


อาวุโสหลายคนกล่าวไปในทำนองเดียวกัน


 


ขุมพลังกึ่งชั้น 3 แน่นอนว่าเริ่มเคลื่อนไหวทันทีหลังได้รับทราบข่าวเรื่องนี้ พวกมันไม่อาจเพิกเฉยเรื่องที่อาจจะกลายเป็นหายนะเภทภัยได้


 


“ยังไม่ทันถึง 2 ปีดี แม้จูลู่ฉีจะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หากแต่พลังฝีมือของมันตอนนี้สมควรยังไม่กล้าแข็งเท่าใด…พวกเราต้องฆ่ามันให้ได้ก่อนที่จักเติบโตมากไปกว่านี้! หากพวกเราไม่อาจฆ่ามันได้ในเวลาอันสั้น น่ากลัวว่าแผ่นดินของภูมิภาคเบื้องล่างคงได้เจิ่งนองไปด้วยโลหิตอีกครั้ง!”


 


เหล่าผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันเรื่องกำจัดจูลู่ฉี


 


ผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายจึงได้ออกคำสั่งให้เหล่าอาวุโสยอดฝีมือกระจายกำลังไปคุมพื้นที่ตะวันตก


 


ขุมพลังชั้น 4 ก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน


 


ครั้งสุดท้ายที่เคล็ดมารกลืนหยินก่อมรสุมโลหิต แม้เหล่ายอดฝือในปัจจุบันจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หากแต่ตื้นลึกหนาบางของเหตุการณ์ก็ได้รับทราบจากบันทึกกันไม่น้อย จึงรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดมารกลืนหยินดี


 


ยามนั้นมารร้ายยอดฝีมือที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน อาศัยพลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นสูงสุดกำแหงไปทั่วแดนดิน บรรดายอดฝีมือระดับแนวหน้าที่แม้จะผนึกกำลังกัน ก็ยังต้องล้มตายดั่งใบไม้ร่วง และแม้จะเอาจำนวนเข้าว่าจนสามารถปิดล้อมได้สำเร็จ…ทว่าอีกฝ่ายก็สามารถลบหนีความตายได้พ้น


 


ตำหนักฟ้าลี้ลับเองคราวนี้ก็ส่งอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ออกไปลงพื้นที่


 


ส่วนจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงนั้น ไม่อาจไปไหนได้ จำต้องรั้งอยู่เพื่อปกปักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


เมิ่งฉิงที่กำลังเดินกลับมาจนถึงสวนหย่อมหลังจากส่งอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ออกไป พลันหยุดลงกะทันหัน…เพราะสัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดมาหยุดเบื้องหน้า!


 


หลังจากนั้นก็ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งขึ้น


 


ชายชราคนนี้เป็นชายชราที่มีแขนเพียงข้างเดียว


 


หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ด้วยคงตอบได้ทันทีว่าชายชราคนนี้เป็นใคร…ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา ยังเป็นอาจารย์ของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นและบรรพจาร์ยของกู่ลี่


 


“อาจารย์ลุง”


 


ต่อหน้าชายชราแขนเดียวผู้นี้ ต่อให้เมิ่งฉิงจะเป็นถึงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ มันก็ไม่กล้าไม่เคารพ เร่งโค้งคารวะอีกฝ่ายทันที


 


เพราะชายชราเบื้องหน้าคือศิษย์พี่ของอาจารย์มัน!


 


นอกจากนั้นยังนับเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้!


 


“จ้าวตำหนัก อย่าได้มากมารยาทกับข้าแล้ว ที่ข้ามาหาวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งคิดกล่าว…โปรดอนุญาตให้ข้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพื่อไปตามล่าจูลู่ฉีนั่นด้วย…ข้าคิดจัดการมันด้วยตัวเอง!”


 


ชายชรากล่าวออกเสียงดังฟังชัด จบคำทั่วร่างก็ปรากฏจิตต่อสู้ยะเยือกขุมหนึ่งแผ่ซ่านออก แววตายังกลายเป็นอำมหิตดุดัน


 


“อาจารย์ลุง อาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ได้ออกไปจัดการแล้ว…ท่านยังต้องลงมืออีกหรือ?”


 


เมิ่งฉิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฝื่อนๆ


 


ไม่ใช่ว่ามันสงสัยในพลังฝีมือของชายชราเบื้องหน้า หากแต่มันทนไม่ไหวที่จะเห็นชายชราที่อายุมากขนาดนี้แล้วยังต้องไปวิ่งเต้นลงมือเพื่อตำหนักฟ้าลี้ลับอีก


 


“จ้าวตำหนัก สารเลวน้อยจูลู่ฉีนั่นจะอย่างไรก็เคยได้ข้าชี้แนะอยู่พักใหญ่…ถึงแม้พวกเราจะยังไม่นับเป็นศิษย์อาจารย์ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของข้า และข้าต้องสะสางมันด้วยมือข้าเอง”


 


ชายชรากล่าวยืนกราน


 


“ในเมื่ออาจารย์ลุงตัดสินใจแล้วข้าก็ไม่คิดขัดท่าน…อย่างไรเสียจูลู่ฉีก็ได้บ่มเพาะฝึกฝนอวิชชามารร้ายนั่นมา 2 ปีแล้ว…น่ากลัวป่านนี้พลังฝึกปรือของมันสมควรบรรลุเซียนปฐพีขั้นกลาง…”


 


วาจาท้ายประโยคเมิ่งฉิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกด้วยเจตนากล่าวเตือน


 


“อันใดจ้าวตำหนัก หรือคิดว่าตาแก่เช่นข้ามิมีเรี่ยวแรงสู้เด็กน้อยจูลู่ฉีนั่นแล้ว?”


 


ชายชรากล่าวค่อนแคะจบค่อยเร่งแผ่พุ่งปราณออกมาทั่วร่าง กลิ่นอายพลังตลบแผ่ไปในบรรยากาศพริบตาก็คลุมครอบไปถึงเมิ่งฉิง พาลให้สีหน้าเมิ่งฉิงเปลี่ยนไปทันใด ในแววตายังเผยความตื่นเต้นยินดีออกมา “อาจารย์ลุง…ท่านทะลวงผ่านแล้ว!”


 


ซัว!


 


อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับคำถามด้วยความตื่นเต้นยินดีของเมิ่งฉิง ชายชราเลือกที่จะวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาของเมิ่งฉิงแทนคำตอบ


 


ตำหนักฟ้าลี้ลับ วังนภา…


 


ฟุ่บ!


 


ปรากฏร่างหนึ่งเหาะลงมาจากตำหนักหลักด้วยความเร็ว พริบตาก็บรรลุถึงบริเวณกึ่งกลางเขาวังนภา ค่อยหยุดร่างลงที่ล้านกว้างของบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง


 


ไม่ใช่ใครอื่น กู่ลี่


 


“นั่นพวกเจ้ามาด้อมๆมองๆอันใดที่บ้านพักน้องหลิงเทียนของข้า?”


 


กู่ลี่ว่ายตามองไปรอบๆวูบหนึ่ง ค่อยกล่าวออกเสียงแข็ง ค่อยยกมือขึ้นอย่างไร้เรื่องราว ทว่าทันใดนั้นบรรยากาศคล้ายแปรปรวนในฉับพลัน ร่างทุกคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ถูกพลังมหาศาลซัดกระแทกอย่างแรง ยังฉุดร่างพวกมันออกจากที่ซ่อน


 


“อั๊ค!”


 


“โอ๊ย!”


 



 


หลายคนที่ถูกกระชากร่างออกมาไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรสำหรับกู่ลี่ พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นคนของสกุลจ้าว ตอนนี้พวกมันถูกพลังไร้สภาพกดทับร่างกายจนบาดเจ็บ กระอักโลหิตออกปากไม่หยุด


 


“ซะ…เซียนมนุษย์! กะ…กู่ลี่เจ้าทะลวงผ่านแล้ว!!”


 


หนึ่งในศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับของสกุลจ้าวที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดในที่นี้ถึงกับหน้าถอดสี ยามมองกู่ลี่ที่ลงมือทำร้ายแววตาอดไม่ได้ที่จะเผยความหวาดกลัวราวเห็นผี!


 


“จ้าวตง สมแล้วที่เจ้าได้รับอันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ…เพียงมองปราดเดียว กลับบอกได้ว่าข้าทะลวงผ่านแล้ว”


 


กู่ลี่หันไปมองร่างคนสกุลจ้าวคนหนึ่ง ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแววตาไร้แยแส


 


ศิษย์สกุลจ้าวที่พึ่งกล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนกนั้น มันคืออันดับ 5 ในรายนามฟ้าลี้ลับ พึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดเมื่อไม่นานมานี้!


 


และด้วยเหตุนี้เองทำให้มันรับทราบได้ทันทีว่าพลังฝึกปรือของกู่ลี่บรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!


 


ถึงแม้มันจะพึ่งบรรลุถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดได้ไม่นาน แต่ก็มิใช่ชนชั้นต่ำทราม ยากจะมียอดฝีมืออริยะเซียนขั้นสูงสุดคนไหนทำร้ายมันได้แบบนี้!


 


มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ที่สามารถจัดการมันได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือแบบนี้!


 


เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องคิดก็บอกได้ทันที ว่ากู่ลี่ทะลวงผ่านอริยะเซียนขั้นสูงสุงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!


 


“ซะ…เซียนมนุษย์!”


 


ศิษย์สกุลจ้าวหลายคนที่นอนสิ้นท่าอยู่ แทบเป็นลมล้มพับหลังได้ยินคำของจ้าวตง


 


ตัวตนขอบเขตพลังเซียนมนุษย์นั้น เป็นอะไรที่สามารถบดขยี้ร่างพวกมันให้แหลกได้ด้วยนิ้วเดียว!


 


“พี่กู่ ขอแสดงความยินดีด้วย…”


 


และตอนนี้เองประตูบ้านพักได้เปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดขาวแลดูอารมณ์ดีก้าวออกมา ทุกย่างก้าวให้ความรู้สึกสบายๆเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ


 


“น้องหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าก็ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว?”


 


กู่ลี่กล่าวถาม “ข้านับว่ามาได้ถูกเวลาจริงๆ!”


 


“พี่กู่ข้าออกจากการปิดด่านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแลว ตอนนี้ข้ากำลังพยายามทำความเข้าใจวรยุทธ์เซียนอยู่ เลยทำให้ข้ารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกนี่ได้ทันทีอย่างไรเล่า…”


 


ชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจากบ้านไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียน


 


เนื่องจากเขาจำต้องปลอมตัวเป็น หลิงเทียน ชุดตัวเก่งสีม่วงของเขาจึงไม่อาจสวมใส่ได้ เลยเปลี่ยนมาใส่ชุดจอมยุทธ์สีขาวแทน


 


“น้องหลิงเทียน…แล้วคนพวกนี้เจ้าจะจัดการพวกมันยังไง?”


 


กู่ลี่มองจี้ไปยังร่างของจ้าวตงอีกรอบ ค่อยกล่าวถามต้วนหลิงเทียน


 


“กู่ลี่ อย่าให้มันมากเกินไปนัก! ตำหนักฟ้าลี้ลับเรามีกฏเช่นไร เจ้าคงรู้ดี!!”


 


จ้าวตงที่ถูกกู่ลี่จี้มองด้วยสายตาเย็นเยือก อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เร่งยกฏขึ้นมากล่าวอ้างทันที


 


ศิษย์สกุลจ้าวที่เหลือก็เร่งหันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาน่าเวทนา ปานจะเรียกคะแนนสงสารจากต้วนหลิงเทียน


 


จังหวะนี้คล้ายพวกมันจะลืมเลือนไปแล้วว่าการมาเฝ้าซุ่มโป่งรอบบ้านต้วนหลิงเทียน เป็นสาเหตุที่ทำให้กู่ลี่มีโทสะ…


ตอนที่ 1,820 : หรูเฟิงใต้ ..หรูเฟิง!?


 


“ปล่อยพวกมันไปเถอะพี่กู่”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลาย ค่อยหันไปยิ้มกล่าวกับกู่ลี่อย่างไม่ได้สนใจอะไรมากมาย


 


“พวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไปอีก!”


 


หลังต้วนหลิงเทียนตอบคำ แต่เห็นศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลายยังนั่งบื้ออยู่กับพื้น กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะมองพวกมันด้วยอำมหิต ตะคอกคำเสียงแข็ง พาลให้ทั้งหลายเตลิดหนีปานนกหวาดเกาทัณฑ์ทันที


 


เมื่อคนสกุลจ้าวหนีหายไปหมด กู่ลี่ค่อยๆเดินเข้ามาในลานด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ข้าคิดจะให้ตาแก่นั่นดีใจซะหน่อยที่ข้าทะลวงด่านได้แล้ว แต่คนกลับไม่อยู่เสียได้”


 


“อย่าบอกนะพี่กู่…ที่ท่านมาหาข้าแบบนี้ เพราะคิดอวดด่านพลัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามตาปริบๆ


 


กู่ลี่พยักหน้ารับ ยิ้มร่า


 


“ฮ่าๆ พี่กู่ข้ากลัวว่าข่าวเรื่องท่านทะลวงถึงเซียนมนุษย์ไม่นานก็แพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแน่…แถมเท่าที่ข้ารู้ตอนจ้าวตำหนักอายุเท่าท่าน พลังฝีมือยังเทียบท่านไม่ได้เลย! ท่านนับเป็นสุดยอดอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับ!!”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะกล่าวชมอย่างสนุกสนาน


 


“เอาล่ะๆเจ้าไม่ต้องชมข้าแล้ว…คนอื่นชมข้าไม่เป็นไร แต่ไหงเจ้าชมแล้วข้ารู้สึกอึดอัดก็ไม่รู้”


 


กู่ลี่รีบโบกมือไปมา “ใครยังจะกล้ากล่าวถึงพรสวรรค์ต่อหน้าเจ้าได้หา? ว่าแต่ข้ารู้สึกเสมือนบรรยากาศในตำหนักมันผิดแปลกไป เจ้ารู้หรือไม่ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


“เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏตัวออกมาแล้ว!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม เขาออกจากการปิดด่านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ย่อมได้รับสราบข่าวเรื่องราวนี้แล้ว


 


“ไม่ใช่เคล็ดมารกลืนหยินมันปรากฏขึ้นมาแต่แรกแล้วเหรอ?”


 


กู่ลี่ถามด้วยความสงสัย


 


เกือบสองปีที่แล้ว ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ออกประกาศเรื่องมารกลืนหยินไปทั่ว


 


แน่นอนว่าตอนแรกพวกมันไม่รู้ว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน พอพวกมันค้นพบเรื่องนี้ได้ไม่ทันไร จ้าววังนภาก็ลักพาตัวฉีจิ้งพร้อมเคล็ดวิชานี้หนีไปเสียแล้ว!


 


“ตอนนี้พื้นที่แถบตะวันตกได้กลายเป็นเมืองผีไปเป็นที่เรียบร้อย…เกือบทุกคนที่อยู่แถวนั้นถูกฆ่าตายไม่มีเหลือรอด เหล่าสตรีทุกคนล้วนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม “ตอนนี้เรื่องราวพวกนี้ทุกคนรู้กันไปทั่ว…โดยเฉพาะสตรีทั้งหลายไม่ใช่แค่ด้านนอก กระทั่งสตรีในตำหนักฟ้าลี้ลับเรายังหวาดกลัวไม่กล้าไปไหน”


 


“เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายหายนะเภทภัยที่เกิดขึ้นในครั้งอดีต ทุกคนจึงรู้ทันทีว่ามันคือเคล็ดมารกลืนหยิน…”


 


“เดิมคนที่ฝึกฝนมันก็มีแต่ฉีจิ้งเท่านั้น…แต่พอถูกจ้างวังนภาช่วยไป ตอนนี้ก็สมควรมีมากกว่าหนึ่งคนแล้วที่รู้”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ


 


“เจ้าหมายความว่า…จ้าววังจูสมควรฝึกฝนมันแล้ว และเหตุการณ์แถบพื้นที่ตะวันตกเป็นฝีมือจ้าววังจู?”


 


กู่ลี่สูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก ไม่คิดเลยว่าในขณะที่มันปิดด่านบ่มเพาะอยู่จะเกิดเรื่อวราวใหญ่โตขนาดนี้ขึ้น


 


“ฉีจิ้งนั่นสมควรยังอยู่ในอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย…แต่คงไม่ยากอะไรที่จะสื่อสารด้วยสำนึกเทวะ เช่นนั้นก็ไม่ยากอะไรที่มันจะใช้เคล็ดมารกลืนหยินแลกเปลี่ยนกับชีวิต หลอกใช้จ้าววังจู…”


 


ต้วนหลิงเทียนคาดเดา “ในเมื่อจ้าววังจูพาตัวฉีจิ้งไปแบบนี้ 9 ใน 10 ส่วนก็สมควรบรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว…ไม่พ้นช่วยมันเพื่อเคล็ดมารนั่นล่ะ”


 


“เฮ่อ…ข้ามิคิดเลยจริงๆ ว่าคนเราเพื่อล้างแค้นแล้ว กลับหน้ามืดตามัวแสวงหาพลังโดยมิสำนึกถึงผิดชอบชั่วดีได้เช่นนี้..”


 


กู่ลี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง


 


“บางครั้งความเกลียดชังก็ครอบงำจนทำลายคนได้ไม่ยาก…”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายจ้า กล่าวออกเสียงขรึม


 


จูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภานั้นแม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมด้วยสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เคยได้พบปะสนทนากัน ความประทับใจแรกที่ต้วนหลิงเทียนมีให้อีกฝ่ายก็คือ แลดูใจดี


 


อย่างไรก็ตามอาวุโสที่ใจดีเช่นนั้น เพราะความอัปยศที่ถูกยัดเยียดมาด้วยน้ำมือของเฝิงปู่อี้รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน จึงทำให้เมล็ดพันธ์แห่งความแค้นถูกปลูกลงในใจ


 


พอได้พบกับเคล็ดมารกลืนหยิน เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นในใจก็ยากระงับสืบไป มันเติบโตขึ้นมาทันที!


 


เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นงอกเงยเติบใหญ่แล้ว สิ่งที่จูลู่ฉีทำก็คือเลือกจะดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรี บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หมายยกระดับพลังฝึกปรือให้ก้าวหน้าขึ้นโดยเร็วที่สุด!


 


อย่างน้อยๆจนกว่าจะฆ่ารองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้เพื่อล้างแค้นได้…เกรงว่าผู้บริสุทธิ์ก็คงต้องเซ่นสังเวยต่อไป!


 


“จะอย่างไรเรื่องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเฝิงปู่อี้นั่น…มันนับว่าทำเกินไปแล้วจริงๆหากจ้าเป็นจ้าววังจู ข้าเองก็คงรู้สึกอับอายขายหน้านัก ยากจะทานทนรับได้ไหว!”


 


วั้นนั้นกู่ลี่เองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงกล่าวเข้าข้างจูลู่ฉี


 


“พี่กู่ หากท่านเป็นจ้าววังจู แล้วท่านถูกหยามเช่นนั้นแต่พลังฝีมือท่านสู้มันไม่ได้ ท่านจะเลือกหนทางมาร และฝึกเคล็ดมารกลืนหยินนั่นหรือไม่ หากท่านรู้ว่าชั่วชีวิตหากบ่มเพาะพลังปกติไม่มีทางล้างแค้นได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ข้าเองก็เคยคิด…สุดท้ายข้าอาจจะเลือกเช่นเดียวกัน”


 


กูลี่ถอนหายใจ “สำหรับข้าถูกหยามเช่นนั้นยังหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าฆ่าข้าให้ตายเสียอีก! น้องหลิงเทียนแล้วหากเป็นเจ้าจะทำอย่างไรเล่า? หากเจ้าเป็นเหมือนจ้าววังจูที่รู้ดีว่าชั่วชีวิตไม่มีทางมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าศัตรูได้?”


 


“หากข้าเป็นจ้าววังจูแน่นอนว่าข้าต้องคิดล้างแค้นเฝิงปู่อี้ และให้มันชดใช้อย่างสาสม! แต่ข้าจะไม่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแน่นอน…อย่างไรเสียสตรีเหล่านั้นก็เป็นผู้บริสุทธิ์!”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ


 


หากเขาเป็นคนเดิมเหมือนที่เคยเป็นในโลกเก่า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเลือกหนทางเดียวกับจูลู่ฉีและกู่ลี่


 


ทว่าชีวิตนี้เขาได้เดินในหนทางที่แตกต่างออกไป เขาได้สัมผัสถึงความรักความห่วงใยและความอบอุ่นของครอบครัว เขาไม่มีวันใช้ชีวิตของสตรีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพื่อตัวเองเด็ดขาด


 


“เจ้ายินยอมอับยศอดสูไปชั่วชีวิตดีกว่าบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยินงั้นหรือ?”


 


กู่ลี่กล่าวถามอีกครั้ง


 


“ข้าไม่มีทางยอมทนแน่นอน”


 


แววตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นเยียบ กล่าวออกเสียงเหี้ยม “ข้าต้องคับแค้นไม่น้อยที่ถูกหยามหน้าแบบนั้น…และข้าไม่มีวันทนอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังโดยไม่ทำอะไรได้แน่นอน! แต่ถ้าหากข้าไม่อาจล้างแค้นมันได้ด้วยวิธีปกติ ข้าก็จะหาทางล้างแค้นมันด้วยวิธีอื่น!”


 


“โลกนี้มีวิธีการมากมาย หนึ่งในนั้นคือยืมมีดฆ่าคน…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ยืมมีดฆ่าคน?”


 


กู่ลี่อึ้ง “เจ้าจะยืมมีดฆ่าคนอย่างไร?”


 


“ก็อาธิเช่นหาข้ออ้างลอบแทรกซึมไปลักพาตัวคนสำคัญของผู้นำตลาดมืดหยินชาน หรือจ้าวตำหนักเมฆาครามอะไรนั่น เพื่อใช้ชีวิตญาติสนิทมิตรสหายบีบให้ทั้งคู่ฆ่าเฝิงปู่อี้เสีย…พอเฝิงปู่อี้ตายข้าก็แค่ปล่อยคนบริสุทธิ์กลับไป”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว “สุดท้ายแม้ข้าอาจจะต้องตาย แต่อย่างน้อยข้าก็ได้ล้างแค้นสำเร็จ!”


 


ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หากจ้าววังจูได้ยินวาจานี้ของเจ้าก่อนที่จะช่วยฉีจิ้งหนีไป…มันจะดีเพียงใดกัน?”


 


“พี่กู่ข้าก็แค่ยกตัวอย่าง…คนอย่างผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาครามไหนเลยจะไม่วางกำลังคน และมีมาตรการปกป้องคนใกล้ชิด? เรื่องนี้พูดง่าย แต่มิใช่อะไรที่ใครคิดจะกระทำก็กระทำได้ง่ายๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกพร้อมส่ายหน้า “ดังนั้นถึงจ้าววังจูได้ยิน แต่เกรงว่าคงไม่อาจทนใช้วิธีการยากเย็นแบบนี้เพื่อล้างแค้นได้”


 


“บางทีหากเป็นแต่ก่อนมันอาจจะเป็นไปไม่ได้…แต่เท่าที่ข้าทราบมาจ้าวตำหนักเมฆาครามคนใหม่นั้นเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวนัก ข้าเคยได้ยินเรื่องที่จ้าวตำหนักเมฆาครามพาคนจากบ้านเกิดมาอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว”


 


กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “คนที่นำกลับมานั้น นับว่ามีจำนวนมากมายไม่น้อย ต่อให้เป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามก็ยากที่จะดูแลทุกคนได้ทั่วถึง ยอดฝีมือที่ถูกส่งมาคุ้มกันอย่างดีก็อาจอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ด้วยพลังฝึกปรือของจ้าววังจู คิดลอบจับมาสักคนคงไม่ยากเย็น”


 


“หือ? ไม่กี่ปีที่แล้วจ้าวตำหนักเมฆาคราม พาคนจากบ้านเกิดมาที่ตำหนักเมฆาครามงั้นหรือ?”


 


ได้ยินคำนี้ของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยสงสัย “พี่กู่ข้าเคยได้ยินเรื่องของจ้าวตำหนักเมฆาครามคนนี้มาเล็กน้อยเท่านั้น เห็นว่ายังอายุไม่มากเท่าไหร่ แถมยังพึ่งผงาดขึ้นมามีชื่อเสียงในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าโดยใช้เวลาไม่ถึง 20 ปี…และทำให้ตำหนักเมฆาครามมีพลังอำนาจมากพอจะงัดข้อกับตลาดมืดหยินชานได้งั้นเหรอ?”


 


“ใช่แล้ว จ้าวตำหนักเมฆาครามนับว่าเป็นตำนานของภูมิภาคเบื้องล่างเราอย่างแท้จริง! ยังเป็นคนที่ข้าเลื่อมไสนัก!”


 


กู่ลี่พยักหน้ากล่าวออก “แม้ในด้านพลังฝึกปรือและอัจฉริยะภาพ ผู้นำตลาดมืดหยินชานจะไม่ได้ด้อยกว่า แต่นั่นเพราะได้รับการสนับสนุนจากตลาดมืดหยินชานมาตั้งแต่ยังเยาว์…กลับกันจ้าวตำหนักเมฆาครามเป็นคนที่มาจากทวีปมนุษย์!”


 


“ผู้ที่เดินทางมาจากทวีปมนุษย์กลับไต่เต้าจนบรรลุถึงจุดสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่างได้ด้วยกำลังของตัวเอง เรื่องนี้มากพอจะทำให้เป็นตำนานเล่าขานไปสืบชั่วกาลนานของภูมิภาคเบื้องล่างเราแล้ว!”


 


วาจาท้ายประโยค กู่ลี่ยังกล่าวออกเสียงหนักแน่นมากชื่นชม


 


“หืม?! มาจากทวีปมนุษย์?!”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปทันใด “จ้าวตำหนักเมฆาครามมาจากทวีปมนุษย์งั้นเหรอ?”


 


จังหวะนี้เองในใจของต้วนหลิงเทียนพลันมีข้อมูลเกี่ยวกับจ้าวตำหนักเมฆาครามที่เขาได้รับรู้ผุดขึ้นมาดั่งชิ้นส่วนภาพ


 


ผงาดขึ้นมายังจุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างในเวลาไม่ถึง 20 ปี


 


ไม่กี่ปีที่ผ่าน พึ่งกลับไปพาครอบครัวจากทวีปมนุษย์มาอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม


 


ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้…


 


ยอดฝีมือทรงพลังที่เสมือนปกครองภูมิภาคเบื้องล่างไปครึ่งหนึ่ง…หรูเฟิงใต้ จ้าวตำหนักเมฆาคราม!


 


หรูเฟิง!


 


‘ตอนนั้นเสี่ยวเฟยเอ๋อถูกคนของท่านพ่อพาตัวไป! การที่จะพาเสี่ยวเฟยเอ่อออกจากน้ำมือของขุมพลังชั้น 5 ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นั่นหมายความว่าคนของท่านพ่อไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม…หรือว่า…’


 


จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความคิดอุกอาจประการหนึ่ง


 


แน่นอนว่ายังเป็นเพียงการคาดเดาจากการปะติดปะต่อภาพเรื่องราวเท่านั้น ไม่อาจยืนยันได้


 


“น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป?”


 


เมื่อเห็นว่าสายตาต้วนหลิงเทียนกลายเป็นมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยคล้ายเหม่อคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นร่างคล้ายจะสั่นสะท้านไปเบาๆ มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าไฉนศิษย์น้องคนนี้อยู่ดีๆกลับมีอาการแบบนี้ขึ้นมาได้


 


“พี่…พี่กู่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอาการตื่นเต้น หันไปมองถามกู่ลี่ด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง “พี่กู่…ท่านรู้ชื่อแซ่เต็มๆ ของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือไม่?”


 


เดิมทีเห็นต้วนหลิงเทียนมีอาการผิดแปลกไปกู่ลี่ก็เครียดไม่น้อย แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล่าวถามเรื่องเพียงเท่านี้ออกมา กู่ลี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อะไร…น้องหลิงเทียนไม่รู้ชื่อแซ่เต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาครามหรือ”


 


“พี่กู่ บอกข้าที เร็วๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ร่างยังสะท้านขึ้นมาอีกครา


 


ยังหวะนี้กู่ลี่ย่อมพบว่าท่าทางต้วนหลิงเทียนผิดแปลกไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่มันก็รีบตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจัง “นามเต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้นั้นเรียกว่า ต้วนหรูเฟิง!”


 


“นามของจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้น ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆเจ้าต้องเคยได้ยินวาจาประโยคหนึ่ง ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้…สองมือปิดฟ้าบังตะวัน”


 


“หรูเฟิงใต้…เป็นเขาเอง!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)