War sovereign Soaring The Heavens 1809-1812
ตอนที่ 1809 : ระนาบเทียม
“ขาดอีกนิดเดียว…”
ต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะอย่างหลงลืมคืนวัน พลันลืมตาขึ้นมา ลมหายใจหนึ่งถูกระบายออกเสียงดังค่อยวูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปในห้วงคิดเดียว
ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาห่างอีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว…
ทว่าก้าวเดียวที่ว่ากลับเป็นจุดรอคอย ทำให้เขาต้องผ่อนคลายอารมณ์และหาโอกาสเหมาะๆในการทะลวงฝ่าในภายหลัง
“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านใช้วัตถุดิบที่ข้าให้ไปหมดแล้วหรือยัง?”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็นึกขึ้นได้ ส่งเสียงไปกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วที่ชั้น 1 ทันที
“หมดแล้ว”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามวัตถุดิบที่เข้าให้ข้ามาล่าสุดนั้นได้นำไปใช้ซ่อมแซมชั้น 4 จนถึงจุดอิ่มตัวของมันแล้ว หากิคดซ่อมแซมให้ชั้น 4 ฟื้นฟูสมบูรณ์จำต้องหาวัตถุดิบชนิดอื่นๆเพิ่ม นอกเหนือจากที่เจ้าให้มา”
“ไม่ต้องห่วงผู้เฒ่าหั่ว หลังจากนี้ต้องมีวัตถุดิบใหม่เข้ามาอีกไม่น้อยแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ “ข้าจะลองไปดูว่ามีวัตถุดิบอะไรมาเพิ่มแล้วบ้าง จะได้เอาให้ท่าน”
ตอนนี้มันก็กินเวลามาถึงครึ่งปีแล้วตั้งแต่ที่เขาปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้ง
ส่วนบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ กาลเวลาได้ไหลผ่านไป 2 ปีกว่า…
ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะปรับพลังให้เข้ากับเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้สมบูรณ์ ด่านพลังมั่นคง เขายังบ่มเพาะจนห่างอีกแค่ก้าวเดียวก็จะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูบ้านออกมา เขาก็พบว่ายังมีคนจับตาดูเขาอยู่บางส่วน
‘เหอะๆ นี่คนของสกุลจ้าวมันยังไม่ยอมแพ้กันอีกเหรอเนี่ย?’
ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเป็นปม หากแต่พักหนึ่งก็คลายออก เขาคร้านจะสนใจอะไรคนพวกนี้ เลือกที่จะมุ่งหน้าสู่ตำหนักหลักบนเกาะลอยฟ้า เพื่อพบกู่ลี่ทันที
คนของสกุลจ้าวย่อมลอบสะกดรอยตามเขาไปเป็นธรรมดา
“บัดซบ! มันปิดด่านมาตั้งนานแต่หลังออกด่านมันก็ยังไม่คิดไปไหนอีก!!”
เมื่อเห็นว่าครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพียงขึ้นไปหากู่ลี่ คนของสกุลจ้าวไม่กี่คนที่ยังคอยตามต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวร้อนปุดๆ คำด่าทอสาปแช่งประดังในใจไม่เลิกรา คล้ายการที่ต้วนหลิงเทียนไม่ออกไปนอกตำหนักฟ้าลี้ลับ ร้ายแรงเหมือนเขาไปถล่มมารดาฆ่าบิดาพวกมันมาอย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามข่าวการออกจากการปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็แพร่กระจายไปถึงหู่อาวุโสระดับสูงของสกุลจ้าวอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมาทั้งสกุลจ้าวก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรือหมายปฏิบัติภารกิจล่อลวงสังหารให้จงได้
ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องเลย
ตอนนี้เขามาเยือนคฤหาสน์ที่พักของ อาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นอีกครั้ง
“ลุงกู่ ท่านสบาย”
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนได้เจอกู่ซืออวิ๋น
“เสี่ยวเทียน เจ้ามาแล้ว”
เมื่อพบเจอต้วนหลิงเทียนกู่ซืออวิ๋นก็เผยยิ้มทักทาย หากแต่ต้วนหลิงเทียนสังเกตได้ไม่ยากว่าหว่างคิ้วอีกฝ่ายแฝงความกังวล แววตายังคล้ายหนักใจอะไรบางอย่าง
“ลุงกู่ มีเรื่องใดทำให้ท่านหนักใจงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยสงสัย
กู่ซืออวิ๋นพอได้ยินคำถามก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หากแต่ยังไม่กล่าวอะไร
“ท่านพ่อ น้องหลิงเทียนก็ไม่ใช่คนนอก…ท่านบอกน้องหลิงเทียนไปเถอะ จะอย่างไรก็เป็นน้องหลิงเทียนทีให้ข้อมูลเรื่องเคล็ดมารกลืนหยินกับพวกเราแต่แรก”
กูลี่ที่ไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กล่าวออกมาตรงๆ
กู่ซืออวิ๋นพอได้ยินก็พยักหน้า “เจ้าเล่าให้เสี่ยวเทียนฟังเถอะ”
หลังจากนั้นกู่ลี่ก็เปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาทั้งหมด ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ว่าไฉนกู่ซืออวิ๋นถึงเป็นกังวล
“จ้าววังนภา ลักพาตัวฉีจิ้งหนีไป?”
‘เหตุผลที่พาตัวฉีจิ้งหนีไปไม่พ้นต้องการเคล็ดมารกลืนกินอะไรนั่นที่ฉีจิ้งฝึกแน่…แต่ในเมื่อเคล็ดมารกลืนกินถูกคนทั้งใต้หล้าต่อต้าน ว่าเป็นอวิชชาอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรมเป็นที่ชิงชังถึงขนาดไหน แล้วทำไมจ้าววังนภาถึงได้ก่อการอย่างหุนหันแบบนี้ได้?’
“หืม? เหตุผลที่จ้าววังนภาก่อการอุกอาจแบบนี้ เพราะคิดล้างแค้นเฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน?”
หลังจากได้รับทราบเรื่องราว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มเจื่อนๆ “ดูเหมือนจ้าววังนภาจะไม่อาจปล่อยวางเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้วได้…”
เมื่อครึ่งปีที่แล้ว เรื่องที่จ้าววังนภาถูกตบหน้าท่ามกลางอาวุโสทั้งหลายกลางฟ้า หากใครตาดีเข้าหน่อยย่อมแลเห็นได้ชัดเจน ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ย่อมเห็นชัดถนัดตา
เขาเข้าใจความรู้สึกของจูลู่ฉีได้ อีกฝ่ายสมควรรู้สึกเสมือนตายเสียดีกว่าอยู่!
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดแปลกใจเลยที่จูลู่ฉีเสี่ยงก่อการอุกอาจปานคนสิ้นไร้หนทาง ลักพาตัวฉีจิ้งไปเพื่อฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแบบนี้
“อาจารย์ของจ้าววังนภาก็เป็นน้องชายของท่านบรรพจารย์ เช่นนั้นจ้าววังนภาก็เปรียบเสมือนศิษย์น้องของท่านพ่อ ปกติยามพบท่านพ่อจ้าววังนภาก็เรียกหาว่าศิษย์พี่ตลอด”
กู่ลี่กล่าวอธิบายออกมา
พอได้ยินที่กู่ลี่พูด ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนกู่ซืออวิ๋นจึงแลดูหนักใจและเป็นกังวลขนาดนั้น
“ครั้งนี้จ้าววังจูนับว่าสิ้นคิดตื้นไปแล้วจริงๆ…รู้ทั้งรู้ว่าผู้คนรังเกียจผู้ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินถึงขนาดนั้นกลับยังพยายามจะฝึกอย่างหน้ามืดตามัว…ว่าแต่ที่ว่ามันไร้มนุษย์ธรรมนั้น ที่แท้การฝึกเคล็ดมารกลืนหยินมันต้องทำอะไรงั้นเหรอลุงกู่?”
พอกล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนก็มองกู่ซืออวิ๋นด้วยสงสัย
“เคล็ดมารกลืนหยิน นั้นกล่าวกันว่าผู้ฝึกจักใช้การดูดกลืนพลังหยินรวมถึงแก่นแท้โลหิตจากสตรีมาส่งเสริมพลังบ่มเพาะของตัวเอง…และสตรีที่ถูกกลืนกินพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตไปก็ไม่อาจรอดชีวิตอยู่ได้ ยังตกตายกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว”
แววตาของกู่ซืออวิ๋นเผยประกายดุร้ายออกมา “หากจูลู่ฉีฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแล้วจริงๆ…หากเจอกันอีกครั้ง ข้าจะฆ่ามันกับมือ!”
“ดูดกลืนพลังหยิน…แก่นโลหิต”
ถึงแม้จะทราบแต่แรกว่าวิธีการบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินมันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเลยว่าจะต่ำช้าแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งใบหน้ายังมืดลง
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ชั่วร้ายจริงๆ”
ไม่นานตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเย็นเยียบออกมา เขารู้สึกว่าผู้ที่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินนั้นไม่ต่างอะไรจากเดียรัจฉานแม้แต่น้อย!
“นี่ยังกล่าวได้ว่า…ฉีจิ้งถูกช่วยเหลือไป 9 ใน 10 ก็สมควรฟื้นฟูหายดีงั้นสิ?”
พอพึมพำกล่าวถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาลงทันใด ในแววตายังเผยแสงเย็นเยียบ
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เป็นคนที่เขาจะไปตามฆ่าให้ตายในวันหลัง
ตอนแรกเขาคิดว่าครั้งนี้ฉีจิ้งไม่น่ารอดพ้นชะตาตายตกแย่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะถูกจูลู่ฉีช่วยไปแบบนี้
“ก่อนที่จะหลบหนีจากไป ข้าววังจูยังทิ้งป้ายบันทึกเสียงเอาไว้ ว่าจะฆ่าฉีจิ้งทันทีหลังได้รับเคล็ดมารกลืนหยิน”
กูลี่กล่าวสืบต่อ “ถึงแม้แนวทางการกระทำของจ้าววังจูเป็นอะไรที่ยากจะยอมรับได้ หากแต่จากข้อความที่ทิ้งไว้ เห็นได้ชัดว่าทำไปเพราะไร้หนทาง คิดจะทรยศต่อตำหนักฟ้าลี้ลับแต่อย่างไร”
“ฮึ่ม! ตราบใดที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินนั่น ก็ถือว่าสมควรตายแล้ว!!”
กู่ซืออวิ๋นโพล่งออกมาด้วยโทสะ
ฆ่าฉีจิ้ง?
ได้ยินคำนี้ของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มองในแง่ดีสักเท่าไร
ในเมื่อฉีจิ้งมีวิธีล่อลวงให้จูลู่ฉีก่อการอุกอาจแบบนี้ ไหนเลยมันจะไร้หนทางเพื่อตัวเอง ไม่พ้นต้องเล่นแง่อะไรสักอย่าง ไม่คิดบอกเคล็ดมารกลืนหยินให้จูลู่ฉีทั้งหมดง่ายๆแน่นอน
ดังนั้นเขาไม่คิดว่าจูลู่ฉีจะฆ่าฉีจิ้งได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังฝีมือของจูลู่ฉีไม่สูงพอจะฆ่าฉีจิ้ง ทว่าฉีจิงคงใช้เคล็ดมารกลืนหยินมาบีบคั้นให้จูลู่ฉีไม่อาจลงมือ
‘ฉีจิ้ง…เจอกันครั้งหน้าข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ สองตายังทอประกายดุร้ายขึ้นมาวูบหนึ่ง
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันเงยหน้าขึ้นมายิ้มถามกู่ลี่ “พี่กู่ ว่าแต่วัตถุดิบที่ข้าขอให้ท่านช่วยรวบรวมให้ ไปถึงไหนแล้ว?”
“อ้อ วัตถุดิบที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้แล้ว”
กู่ลี่หยิบแหวนพื้นที่ออกมาวงหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนผูกพันธะครองแหวนและแผ่สำนึกสติลงไปตรวจสอบสิ่งของด้านใน สองตาของเขาก็ถึงกับเบิกกว้างขึ้นมาทันที
นั่นเพราะวัตถุดิบที่อยู่ในแหวนมันมากกว่าครั้งก่อนถึง 10 เท่า!
ต้วนหลิงเทียนแม้ประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
นั่นเพราะคราวนี้เขาปิดด่านบ่มเพาะพลังไปถึงครึ่งปี ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับตำหนักฟ้าลี้ลับที่จะรวบรวมวัตถุดิบเหล่านี้
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังกล่าวขอบคุณพ่อลูกแซ่กู่ ทั้งยังฝากไปขอบคุณจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงเช่นกัน
เมื่อได้รับวัตถุดิบแล้วต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรั้งอยู่นาน หลังเอ่ยคำลาสองพ่อลูกเขาก็กลับบ้านพักทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและส่งวัตถุดิบทั้งหมดให้ผู้เฒ่าหั่วทันที “ผู้เฒ่าหั่ว วัตถุดิบคราวนี้มากกว่าครั้งที่แล้วถึง 10 เท่า หากแต่วัตถุดิบหายากที่ท่านบอกมานั้นกลับไม่มีเลย…ข้าสงสัยว่ามันคงไม่มีอยู่ในโลกใบนี้”
กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ออกมาด้วยความจนปัญญา
“นั่นไม่แน่นัก…”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบทันที “อย่าได้ลืมว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด…ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และหากข้าเดามิผิด ภูมิภาคเบื้องบนที่พวกเจ้ากล่าวถึงนั้นสมควรเป็น ‘ระนาบเทียม’ ที่แยกตัวออกเป็นเอกเทศน์ แต่แม้มันจักเป็นแค่ระนาบเทียม ทว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะสมควรเหนือล้ำกว่าภูมิภาคเบื้องล่างมาก กระทั่งสมควรมีทรัพยากรมากกว่า”
“วัตถุดิบที่ภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ไม่มี ไม่ใช่ว่าด้านบนก็จะไม่มีไปด้วย”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดยีวจบ
“ระนาบเทียม?”
ต้วนหลิงเทียนพึ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าไป เขาจึงถามผู้เฒ่าหั่วออกมาทันทีว่าระนาบเทียมที่ว่าคืออะไร
“ระนาบเทียมนั้น คือระนาบที่ไม่อาจนับเป็นระนาบเฉพาะได้…เรื่องนี้ข้าเองก็ยากจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจ เจ้าเพียงรู้ไว้ว่าระนาบเทียม คือระนาบที่แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศน์เพราะห้วงมิติเกิดความแปรปรวน…โดยทั่วไปแล้วสภาพแวดล้อมในระนาบเทียมนั้นจักยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่จะเอื้อแก่การบ่มเพาะพลังสูงกว่ายังมีทรัพยากรเหนือกว่าอีกด้วย”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านี้หากข้าเดามิผิด มันสมควรเป็นระนาบเทียมที่พึ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นาน! และพอมันปรากฏออกมาเหล่ายอดฝีมือชั้นนำในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็เลือกที่จะย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการสิ่งดีๆ ทั้งอยากผูกขาดทรัพยากร…ทำให้ขุมพลังที่อ่อนด้อยกว่าก็มิอาจไปช่วงชิงแข่งขันอะไรได้ กระทั่งยังถูกจำกัดให้ไม่มีสิทธิ์…”
“สุดท้ายจึงกลายเป็นภูมิภาคเบื้องบนเบื้องล่างอะไรเช่นนี้”
ฟังจากเสียงกล่าวของผู้เฒ่าหั่วแล้ว คล้ายอีกฝ่ายเคยผ่านเรื่องราวอะไรเช่นนี้มาด้วยตัวเอง
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับไปคล้ายเข้าใจ แต่อันที่จริงเขายังไม่ได้เข้าใจซะทีเดียว
ห้วงมิติแปรปรวน?
แล้วไฉนห้วงมิติแปรปรวน ถึงทำให้เกิดเป็นระนาบเทียมที่แยกตัวเป็นอิสระอะไรแบบนี้ได้?
สำหรับระนาบอะไรที่ผู้เฒ่าหั่วว่า เขาได้รับทราบจากผู้เฒ่าหั่วเพิ่มเติม ว่ามันก็เสมือนพื้นที่ๆเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ มีม่านพลังกั้นแบ่งเอาไว้
เช่นเดียวกับโลกเก่าที่เขาอยู่ในชีวิตที่แล้ว มันก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระนาบโลกิยะ
สำหรับโลกที่เขาอยู่ในตอนนี้มันก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระนาบโลกิยะเช่นกัน แถมในระนาบโลกิยะนี้ ก็อาจมีดาวเคราะห์ที่แตกต่างกันหลายพันดวง
‘ไม่รู้ว่าโลกใบนี้กับโลกเก่าที่ข้าจากมา อยู่ในระนาบโลกิยะเดียวกันรึเปล่า’
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ขึ้นมา
ตอนที่ 1,810 : มีเรื่อง
“แบบนี้…ไม่ใช่ว่าผู้คนในภูมิภาคเบื้องล่างเสมือนถูกผู้คนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องบนกีดกันหรือทอดทิ้งอะไรทำนองนั้นหรือผู้เฒ่าหั่ว”
จากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเล่ามา ต้วนหลิงเทียนก็พอจับประเด็นบางอย่างได้
“กล่าวไป 8 ใน 10 ก็สมควรเป็นเช่นนั้น…”
ผู้เฒ่าหั่วพยักหน้า ก่อนที่จะลาต้วนหลิงเทียนเพื่อขึ้นไปซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
เนื่องจากเขาพบจุดรอคอย เช่นนั้นช่วงนี้ก็ยากที่จะบ่มเพาะพลังอะไรต่อได้ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดดันทุรังบ่มเพาะต่อ เลือกที่จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาหยุดยืนอยู่ในห้อง สักพักก็เดินออกมานอกบ้านหมายผ่อนคลายอารมณ์ “ว่าแต่…ช่วงนี้นางเป็นไงบ้างนะ?”
การที่จ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีทรยศตำหนักฟ้าลี้ลับ หวังชิงเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอย่างเคล็ดมารกลืนหยิน…สมควรเป็นระเบิดห่าใหญ่สำหรับลูกศิษย์แล้วจริงๆ!
และหวางเฟยเซวียนเองก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของจูลู่ฉีเช่นกัน
ต้วนหลิงเทียนไปหาหวางเฟยเซวียนที่บ้านก่อน แต่เขาพบว่าบ้านนางว่างเปล่าร้างผู้คน
“ไปไหนนะ บ้านก็ไม่อยู่…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาไม่กี่รอบ เตรียมตัวเดินกลับ
ทว่าตอนนี้เองพลันมีศิษย์หลายคนกำลังเหินร่างผ่านมา คล้ายพวกมันรีบร้อนไปที่ไหนสักแห่ง
แม้จะเหินร่างกันเร็วไม่น้อย แต่ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ยินบทสนทนาของพวกมัน
“รีบไปเร็วเข้า! ชักช้าเดี๋ยวได้อดดูกันพอดี…หากพวกเจ้าทำข้าพลาดเรื่องสนุกสนานข้าจะทุบตีพวกเจ้าแทน!”
ศิษย์วังนภาคนหนึ่งหันไปบ่นสหายอีกคนที่เหินร่างตามหลัง
“ใจเย็นพวก ข้าก็รีบอยู่นี่ไง…ว่าแต่เรื่องนี้ไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ? ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นตัวอาจารย์กระทำ ไฉนต้องพาลไปลงกับศิษย์ด้วยเล่า…แถมคนสกุลจ้าวผู้นั้นเห็นว่าทะลวงถึงอริยะเซียนแล้วมิใช่หรือไร…มารังแกคนอื่นแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่ผิดกฏหรือ?!”
“ไม่น่า…ถึงมันจะทะลวงผ่านอริยะเซียนแล้ว แต่เจ้าอย่าลืมว่ามันพึ่งทะลวงผ่าน ยังไม่ทันขึ้นทะเบียนในรายนามฟ้าลี้ลับ กระทั่งยังไม่ได้ทำเรื่องขึ้นตำหนักหลัก เช่นนั้นมันก็ถือว่ายังมีสถานะเป็นศิษย์วังลี้ลับอยู่…ศิษย์วังลี้ลับทุบตีศิษย์วังนภายังจะผิดกฏอะไร?”
“งั้นคราวนี้พวกนั้นแย่แน่ ศิษย์ส่วนตัวของจ้าววังนภาที่บรรลุอริยะเซียนไปแล้วก็ไม่อาจลงมาช่วยเหลือได้ เพราะนั่นจะถือว่าผิดกฏตำหนักฟ้าลี้ลับที่ว่าห้ามมิให้ศิษย์ตำหนักหลักลงมือกับศิษย์ของ 4 วัง”
แม้จะไม่ชัดเจนแต่จากวาจาที่ทั้งหลายสนทนากัน ต้วนหลิงเทียนก็สามารถจับประเด็นได้!
‘ศิษย์ตระกูลจ้าวคิดหาเรื่องศิษย์จ้าววังนภางั้นเหรอ แถมคนที่มาหาเรื่องยังพึ่งบรรลุอริยะเซียนขั้นต้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เลยยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเปลี่ยนสถานะ หรือติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับอะไร?’
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นมาทันที ‘ดูเหมือนมันคิดใช้พลังขอบเขตอริยะเซียนรังแกผู้คน ยังจะหยามเหยียดศิษย์จ้าววังนภางั้นสิ…อย่าบอกข้านะว่าหวางเฟยเซวียนเองก็อยู่นั่นด้วย?’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนพลันวูบร่างตามศิษย์กลุ่มนั้นไปทันที
เขาไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับศิษย์วังนภาคนอื่นมากนัก ทั้งไม่ได้คิดจะยุ่งอะไรเรื่องที่ศิษย์จ้าววังนภาถูกทุบตีรังแก
ทว่าตอนนี้เขาสงสัยว่าสาเหตุที่หวางเฟยเซวียนไม่อยู่บ้าน เพราะนางอาจไปมีเรื่องมีราวอะไรที่ว่ากับเค้าด้วย…ในเมื่อนางเองก็เป็นศิษย์ส่วนตัวคนหนึ่งของจูลู่ฉี!
ศิษย์วังนภาที่เร่งรุดเดินทาง ไม่นานก็สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนพุ่งร่างตามมา
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนจงใจตามพวกมันมา อย่างที่ไม่ได้คิดจะซ่อนตัวอะไร
“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”
“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”
หลังจากที่พบว่าผู้ที่พุ่งร่างตามมาเป็นต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดก็หยุดร่างลงและทักทายด้วยความเคารพทันที
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเข้าร่วมวังนภาช้ากว่าพวกมันแถมมีอายุเยาว์กว่า ทว่าพวกมันก็ให้การยอมรับนับถือเรียกหาว่าศิษย์พี่โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ…
นั่นเพราะแม้ต้วนหลิงเทียนจะอายุน้อยกว่าพวกมัน แต่พลังฝีมือกลับสูงกว่า! ยังสูงกว่าพวกมันมาก!!
เช่นนั้นพวกมันจึงเรียกหาว่าศิษย์พี่ด้วยความเคารพ!!
“อ่า พวกเจ้าสบายดีนะ”
เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นการทักทาย เขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทักทายกลับ
รอยยิ้มของต้วนหลิงเทียนนี้ ทำให้หลายๆคนรู้สึกเสมือนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดพามาอย่างไรอย่างนั้น…
พวกมันยังอดคิดไปไม่ได้ ‘ศิษย์พี่หลิงเทียนผู้นี้ ที่แท้กลับมิได้หยิ่งยะโสถือดีอันใด นับว่าคนละเรื่องกับพวกตัวบัดซบที่พลังฝึกปรือสูงเข้าหน่อยก็เอาแต่มองเหยียดดูแคลนผู้อื่นนัก’
“ว่าแต่เมื่อกี้พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ ข้าได้ยินแว่วๆว่าศิษย์สกุลจ้าวรังแกศิษย์ของจ้าววังนภาจูลู่ฉีอยู่งั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
เนื่องจากอัธยาศัยอันดีและท่าทางแลดูไม่ถือตัวของต้วนหลิงเทียน ทำให้ศิษย์ทั้งหลายประทับใจไม่น้อย รู้เท่าไหร่บอกหมด
ที่แท้ศิษย์วังลี้ลับกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนของสกุลจ้าว บุกมารังแกศิษย์ของจูลู่ฉี โดยใช้ข้ออ้างว่า ‘มาจัดการเก็บกวาดคนทรยศ’ และตอนนี้ก็เผชิญหน้ากันได้สักพักแล้ว อีกไม่นานคงได้ยกพวกตีกันแน่นอน
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฏการลงมือทุบตีทำร้ายผู้อื่นนั้น…ขอเพียงไม่ถึงขั้นตกตายกับพิการล้วนกระทำได้ไม่มีปัญหา!
“ศิษย์พี่หลิงเทียนท่านเองก็สนิทกับศิษย์พี่หวางเฟยเซวียน ข้าเห็นว่านางเองอยู่กับศิษย์คนอื่นๆของจ้างวังจูด้วย ตอนนี้ข้ากลัวว่านางกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่”
หนึ่งในศิษย์วังนภากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน
ศิษย์วังนภาคนนี้เป็นคนที่ย้อนกลับมาตามเพื่อนหลังพบว่ามีเรื่องราวสนุกสนานน่าดูชมเกิดขึ้นบนยอดเขาวังนภา
‘ว่าแล้วเชียว…นางไปลุยกับคนอื่นด้วยจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ เร่งรุดเหินร่างไปยังยอดเขาวังนภาทันที
เนื่องจากคนของสกุลจ้าวกับศิษย์ของจูลู่ฉีเจอกันแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานได้ยกพวกตีกันบนยอดเขาวังนภาแน่นอน
และเมื่อต้วนหลิงเทียนขึ้นมาถึงยอดเขาวังนภา เขาก็แลเห็นเหล่าศิษย์มารวมตัวกันมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนผู้คนที่เหินมาดูชมเรื่องราวยิ่งมาก็ยิ่งมาก แถมไม่ได้มีแต่ศิษย์วังนภากับวังลี้ลับ วังปฐพีกับวังเหลืองก็มาดูชมเรื่องราวด้วยเช่นกัน!
และพื้นที่ตรงกลางลานบนยอดเขาที่ทุกคนเว้นว่างไว้ ก็ปรากฏร่างกลุ่มคน 2 กลุ่มเผชิญหน้ากันอยู่
ฝั่งหนึ่งมี 5 คน
อีกฝั่งมี 4
สายตาต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังฝั่งที่มี 4 คนทันที เพราะเขาพบว่าในนั้นมีหวางเฟยเซวียนรวมอยู่ด้วย
และตอนนี้หวางเฟยเซวียนกำลังถลึงตามอง 5 คนเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้ายเอาเรื่อง ทั้ง 5 นั่นก็เป็นคนของสกุลจ้าวทั้งสิ้น!
“จ้าวจี้?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่า ในบรรดา 5 คนของสกุลจ้าว กลับมีจ้าวจี้รวมอยู่ด้วย มันกำลังยืนอวดเบ่งวางท่าตามระเบียบ
“จ้าวจี้! มิใช่ข้ากล่าวบอกเจ้าไปชัดเจนแล้วหรือไร ว่าทุกสิ่งที่อาจารย์ของเรากระทำ พวกเรามิมีส่วนรู้เห็นอันใดด้วยเลย! นอกจากนี้ใต้เท้าเฉินผิงเชิงจ้าววังเหลืองยังกล่าวบอกเอง ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้กล่าวโทษพวกเราสำหรับความผิดของท่านอาจารย์!”
ชายวัยกลางคนที่แลดูแข็งแกร่งคนหนึ่งกล่าวคำกับจ้าวจี้ และชายวัยกลางคนแลดูแข็งแกร่งนี้ก็ยืนอยู่ข้างๆหวางเฟยเซวียน
“หงกังคำพูดนั้น…มิว่าผู้ใดก็สามารถพูดได้! เจ้ามีหลักฐานอันใดมายืนยันเล่าว่าเจ้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ? ข้าคิดว่าที่จูลู่ฉีมันหนีไปได้ภายใต้สายตาของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 แบบนี้..9 ใน 10 ส่วนล้วนมีพวกเจ้ารู้เห็นเป็นใจ!”
จ้าวจี้เชิดหน้าแสยะยิ้มกล่าวออกด้วยสายตาเยาะเย้ย
ทั้ง 4 คนที่อยู่เบื้องหน้าของมันตอนนี้ล้วนเป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าววังนภา จูลู่ฉี ทั้งสิ้น
หากเป็นปกติแล้วมันคงไม่มาหาเรื่องศิษย์ของจูลู่ฉีแบบนี้ เพราะไม่เพียงแต่มันกับจูลู่ฉีจะร่วมมือกันแต่มันยังคร้านจะสนใจ
อย่างไรก็ตามเหตุผลที่มันมาหาเรื่องอีกฝ่าย เพราะจ้าวจินปู่ของมันกล่าวแนะ
ปู่มันกล่าวบอกมาว่า ให้มันพาคนสัก 2-3 คนมาทุบตีศิษย์จูลู่ฉี
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้บุตรใช้หนี้แทนบิดา’
ถึงแม้จูลู่ฉีจะไม่ใช่บิดาของพวกมันทั้ง 4 แต่เป็นอาจารย์วันหนึ่งก็เหมือนเป็นบิดามารดาไปจนตาย
จ้าวจี้รู้ดีว่าที่ปู่ให้มันกระทำแบบนี้ เพื่อที่จะล่อให้จูลู่ฉีปรากฏตัวออกมา เพื่อที่จะได้จับกุม
ถึงแม้เรื่องนี้ฟังแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ลองกระทำก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย…
“เจ้าพล่ามเหลวไหลอันใด!?”
“ท่านอาจารย์คิดอะไรพวกเราไม่เคยรู้เรื่องด้วยซ้ำ!”
“จ้าวจี้เจ้าอย่าได้กล่าววาจาปั้นน้ำเป็นตัวป้ายสีพวกเรา!”
……
ตอนนี้ไม่เพียงแต่หงกัง อีก 3 คนที่เหลือไม่เว้นหวางเฟยเซวียนเองก็โพล่งคำออกมาด้วยโทสะ เพราะคำกล่าวหาของจ้าวจี้มันเหลวไหลเกินไป!
มีพวกมันรู้เห็นเป็นใจ? จะไปรู้เห็นบัดซบอะไรได้!!
“นายน้อยไฉนต้องเปลืองวาจากล่าวกับคนทรยศเช่นพวกมัน! ในเมื่อพวกมันไม่ยอมรับผิด ข้าจะทุบตีลงโทษพวกมันแทนอาจารย์ทรยศ คอยดูไปเถอะ…ว่าพวกมันจักทำเป็นผู้ร้ายปากแข็งได้นานเท่าใด?!”
ชายวัยกลางคนเคราดกด้านหลังจ้าวจี้กล่าวออกมาพร้อมหัวเราะร่า มันว่ายตามองหวางเฟยเซวียน หงกังและอีก 2 คนด้วยสายตาเย้ยหยัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกล่าวมาแบบนี้ สีหน้าหงกังมืดลงทันใด ยังกล่าวออกมาด้วยโทสะ “จ้าวคุนหากไม่ใช่เพราะเจ้าโชคดีทะลวงผ่านไปยังอริยะเซียนขั้นต้นได้ก่อนข้า เจ้ายังจะกล้ามาทำตัวกร่างต่อหน้าข้าเช่นนี้หรือไม่? ข้าหงกังขอสาบานเอาไว้ตรงนี้เลย วันนี้หากเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์น้องของข้า ข้าจะไม่มีวันเลิกราเรื่องนี้แน่หากข้าทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น!”
ถึงแม้พลังฝีมือของจ้าวคุนก็นับว่าไม่เลวในตอนที่ยังไม่บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้น แต่มันก็ไม่อาจเทียบชั้นหงกังได้เลย
ตอนนี้เพียงเพราะจ้าวคุนทะลวงผ่านได้ก่อนเท่านั้น จึงทำให้หงกังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“เจ้าตัดผ่านอริยะเซียนแล้วเป็นอย่างไรข้าไม่รู้…ข้ารู้แต่วันนี้เจ้า หงกัง ต้องหมอบกราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า!”
จ้าวคุนกล่าวจบก็แสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“นายน้อยจี้…”
อย่างไรก็ตามถึงแม้จ้าวคุนอยากลงมือทุบตีผู้คนมากเพียงไหน แต่มันก็ต้องขออนุญาตจ้าวจี้ก่อน เพราะมีอีกฝ่ายมาด้วยแบบนี้ มันไม่สามารถข้ามหน้าข้ามตาทำอะไรเองได้
เมื่อเห็นว่าจ้าวจี้พยักหน้า ร่างจ้าวคุนก็ปะทุพลังออกมาทันใด มันย่ำเหยียบลงพื้นอย่างแรง ระเบิดพลังร้ายกาจขุมหนึ่งส่งร่างตัวเองพุ่งทะยานเข้าหาหงกังปานพายุซัด!
มันผ่านพ้นไปที่ใด แห่งนั้นบังเกิดเสียงแตกระเบิดของอากาศดังสนั่นไม่หยุด!
ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม!
…
จ้าวคุนคล้ายกับกลายเป็นพายุก็ไม่ปาน สายลมแรงซัดกวาดไปทั่ว เสื้อผ้าผู้คนโดยรอบกระพือสะบัดวุ่นวาย!
“ต่อหน้าศิษย์พี่จ้าวคุนที่บรรลุถึงอริยะเซียนแล้ว ต่อให้เป็นหงกังก็ยากที่จะรับมือไหว…”
“เหอะๆ…อย่าว่าแต่หงกังผู้เดียวเลย ให้อีก 3 คนกลุ้มรุมก็ยากที่จะรับมือศิษย์พี่จ้าวคุนได้”
“ศิษย์พี่จ้าวคุนลงมือเช่นนี้ พวกเราคงมิต้องลงมือทำอะไรแล้ว”
อีก 3 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้าวจี้เริ่มกล่าวออกมาด้วยความสนุกสนาน แววตาแลดูเริงร่าคล้ายกำลังดูการแสดงหรรษา
“ศิษย์พี่หงระวังตัว!”
“ศิษย์พี่ระวัง!”
……
เมื่อเห็นว่าจ้าวคุนลงมือเคลื่อนไหว สีหน้าหวางเฟยเซวียนกับศิษย์อีก 2 คนของจูลู่ฉีหน้าเสียทันที ต่างเร่งกล่าวเตือนหงกังด้วยความเคร่งเครียด ทั้งแต่ละคนยังปะทุพลังสุดตัวหมายช่วยหงกังรับมือจ้าวคุน
พวกมันรู้ดี ถึงแม้ศิษย์พี่หงกังของพวกมันจะร้ายกาจเพียงใด แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือหงกังที่พลังฝึกปรือพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น!
“คิดร่วมมือกันงั้นรึ ? มาเถอะ! ข้าต่อให้พวกเจ้ามัดรวมกันเลย!!”
เห็นหวางเฟยเซวียนกับศิษย์จูลู่ฉีอีก 2 คนปะทุพลังเตรียมช่วยเหลือหงกังรับมือมัน จ้าวคุนลดความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อกล่าวเย้ยเยาะ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะและปะทุพลังพุ่งเข้าใส่ทุกคนต่อ!
ตอนที่ 1,811 : โถงเป็นตาย
ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น ปราณแรกกำเนิดของจ้าวคุนนับว่าประสบกับความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน
อย่างน้อยๆ หากให้เทียบกับปราณแรกกำเนิดของยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ก็นับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ขวับ!
เผชิญหน้ากับการร่วมมือกันของหงกังและพวกทั้ง 4 จ้าวคุนเพียงสะบัดฝ่ามือตบฟาดไปส่งๆเท่านั้น!
หากทว่าตบฟาดส่งๆนี้ กลับปรากฏมวลพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งควบแน่นบังเกิดเป็นฝ่ามือพลังขนาดมหึมา คลุมครอบร่างหงกังและอีก 3 คนไว้ให้ไร้ทางหนี!!
พวกหงกังทั้ง 4 เห็นดังนี้ ก็ปะทุพลังออกมาสุดชีวิตไม่คิดออมรั้ง! หมายต้านทานรับมือพลังฝ่ามือขุมนี้ไว้ให้จงได้!!
จังหวะนี้ให้พวกมันคิดออมรั้งก็เกรงว่าจะทำไม่ได้!
นั่นเพราะคู่ต่อสู้ของพวกมันคือตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียน!
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพึ่งทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นได้ไม่ถึงอาทิตย์ หากแต่ปราณแรกกำเนิดของอีกฝ่ายก็เป็นปราณแรกกำเนิดของขอบเขตอริยะเซียนแล้ว!!
เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดกับอริยะเซียนขั้นต้น ถึงฟังดูจะมีความต่างกันแค่ขั้นเดียว ทว่าหนึ่งขั้นนี้กลับแตกต่างกันมหาศาลอย่างที่ยากจะถมเติมช่องว่าง! ประหนึ่งมัจฉากับมังกรก็ไม่ปาน!!
หากเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเป็นมัจฉา อริยะเซียนขั้นต้นก็เสมือนปลาหลีที่ข้ามผ่านประตูมังกร กลับกลายเป็นมังกรทะยานฟ้า!
ปงงงง!!
เมื่อพลังฝ่ามือของจ้าวคุนบรรลุถึง ม่านพลังที่ทั้ง 4 คนร่วมมือกันผนึกสร้างเป็นกำแพงพลังมีสภาพ ก็พังพินาศลงในชั่วอึดใจ ไม่อาจต้านทานรับไว้ได้เพียงเสี้ยวลมหายใจ!!
นอกจากนั้นเขตแดนทั้งสัตว์ปราณก่อลักษณ์อันใดของพวกมันก็ถูกฝ่ามือนี้ของจ้าวคุนทุบทำลายไปทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ก่อตัวแล้วเสร็จเช่นกัน!
เรียกว่าแม้จ้าวคุนจะมีเพียงหนึ่งแต่ด้านหงกังมีถึง 4 กลับเป็นการต่อสู้เสมือน 1 รุม 4 ฝ่ายคนมากกลับถูกคนน้อยทุบตีจนแพ้ในทีเดียว!!
ปง! ปง! ปง! ปง!
ร่างพวกหงกังทั้ง 4 ถูกคลื่นกระแทกจากพลังฝ่ามือของจ้าวคุนซัดจนกระเด็นปลิดปลิวไปไม่เป็นท่า แต่ละคนร่วงตกพื้นด้วยสภาพอนาถดูไม่ได้…
สีหน้าที่เคยแดงมีเลือดฝาดบัดนี้ซีดไปปานกระดาษ!
ต่อหน้าจ้าวคุนที่บรรลุอริยะเซียนขั้นต้นแล้ว ให้พวกมันทั้ง 4 ผนึกพลังกันต้านทาน…ก็ไม่อาจรับได้แม้ฝ่ามือเดียว!
“ร้ายกาจนัก!”
“นี่น่ะเหรอพลังของอริยะเซียน!”
“หนึ่งบรรลุสูงสุดเซียนขัดเกลา สองเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ อีกคนก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…มิคาด 4 คนร่วมมือกลับรับจ้าวคุนไว้ไม่ได้แม้แต่ฝ่ามือเดียว!”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน จ้าวคุนยังเป็นฝ่ายถูกหงกังเอาชนะได้อย่างราบคาบอยู่เลย…ทว่าผ่านไปแค่ไม่กี่วัน กลับเป็นจ้าวคุนที่เอาชนะพวกหงกังทั้ง 4 ร่วมมือกัน! เรื่องราวนับว่าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ!!”
“จ้าวคุนทะลวงถึงอริยะเซียนก็เสมือนปลาหลีข้ามผ่านประตูมังกรกลับกลายเป็นมังกรทะยานฟ้า! ยามนี้ถึงเวลาที่มันจะผงาดแล้ว!!”
……
หลังจากอึ้งตะลึงไปกับฉากเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ศิษย์ทั้งหลายที่ชมดูอยู่ก็ดึงสติกลับมา สองตาหันไปมองจ้าวคุนค่อยอุทานกล่าวออกกันอย่างตื่นเต้น
“สัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้!”
จ้าวคุนมองหงกังกับพวกทั้ง 4 ด้วยสายตาเหยียดหยาม ใบหน้ามันเผยความใด้ใจ มุมปากยกแสยะเอ่ยวาจาทับถม
ขณะเดียวกันมันก็ค่อยๆก้าวเดินไปยังร่างทั้ง 4 ที่กระเด็นปลิดปลิวไปกองบนพื้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน คล้ายจะก่อการหยามเกียรติ
ฟุ่บ!
ทว่าทันใดนั้นเอง พลันมีสายลมกรรโชกหอบหนึ่งพัดมาหยุดขวางไว้เบื้องหน้า หยุดร่างจ้าวคุนไว้ชะงัด
“พอได้แล้ว…”
ผู้มามองกล่าวกับจ้าวคุนด้วยน้ำเสียงเฉยเมย หากแต่น้ำเสียงนี้แม้จะเฉยเมย แต่แฝงสภาวะดั่งประกาศิตไม่อาจขัดขืน!
“หลิงเทียน!”
ผู้ที่หยุดขวางเบื้องหน้าจ้าวคุนเอาไว้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนเอง!
ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา ผู้คนก็จดจำได้ทันที!
เพราะตอนนี้เขาได้รับการยอมรับไปทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ว่าเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด! ไม่ใช่หนุ่มน้อยไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่พึ่งเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับอีกต่อไป!!
“หลิงเทียน!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมา จ้าวจี้ที่ชมดูเรื่องราวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ไกลๆ พลันเบิกตากว้างทันใด ในแววตายังเผยประกายอาฆาตแสนแค้น มากล้นไปด้วยจิตสังหาร!
พอมันเห็นต้วนหลิงเทียน ก็พาลกระตุ้นเตือนให้นึกย้อนไปถึงความทรงจำที่มันถูกต้วนหลิงเทียนตบซ้ายทีขวาทีบนยอดเขานภาครานั้น! กระทั่งยังภาพเรื่องราววันที่อีกฝ่ายเตะมันออกจากแดนลับเซียน สิ้นวาสนาต่อมรดกเวทย์พลังอันใดทั้งมวล!!
หากถามว่าในชีวิตนี้มันเกลียดสิ่งใดมากที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องตอบ หลิงเทียน แน่นอน!
ถึงขั้นที่มันยอมเสี่ยงทุกสิ่งหมายชิงเคล็ดบำเพ็ญมารอย่างมารกลืนหยินมาฝึกปรือ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเพื่อล้างแค้นต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น!
“นั่นคือหลิงเทียน! หรือเขาคิดมาช่วยหงกัง?”
“เอ ข้ามิเห็นเคยได้ยินมาก่อนว่าหลิงเทียนมีสัมพันธ์อันใดกับหงกัง…เช่นนั้นคิดทำอะไรกันแน่?”
“เหอะๆ อย่าได้ลืมกันไป ว่าหลิงเทียนนั้นมีความบาดหมางกับตระกูลจ้าวเขาเส้น ไม่เพียงตบหน้าจ้าวจี้ต่อหน้าผู้คนที่ยอดเขาแห่งนี้ ยังฆ่าจ้าวจี้ในแดนลับเซียนจนมันถูกเตะออกจากแดนลับเซียนโดยมิได้มรดกเวทย์พลังอันใด…อันที่จริงคนของสกุลจ้าวอีก 3 คนก็ถูกหลิงเทียนฆ่าตายออกมาเช่นกัน!”
“วันนี้จะลงมือหรือไม่ลงมือ ทีท่าของสกุลจ้าวก็ไม่มีวันเปลี่ยน…”
“จริง…หลิงเทียนจะลงมือหรือไม่ลงมืออย่างไร้สกุลจ้าวก็คับแค้นปานจะลากมาฆ่าให้ตาย…ทว่าการปรากฏตัวตอนนี้นับเป็นเรื่องไม่ฉลาดจริงๆ เพราะที่นี่ไม่ได้มีเพียงจ้าวจี้แต่มีจ้าวคุนอยู่ด้วย!”
“พวกเจ้าลืมอันใดไปหรือไม่? หลิงเทียนกับหงกังอาจไม่รู้จักกัน ทว่ากับหวางเฟยเซวียนนั้น หลายคนเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันบ่อยครั้ง…เสียงว่ายังมีเรื่องกุ๊กกิ๊กอันใดกันด้วยซ้ำ! ความสัมพันธ์มิได้ง่ายดายแน่แท้!!”
“ฮัยยา ข้าเกือบลืมหวางเฟยเซวียนไปแล้วเชียว…จึกๆ มิพ้นหลิงเทียนต้องกำลังละเล่นฉาก ‘วีรบุรุษช่วยหญิงงาม’ เป็นแน่!!”
……
หลังจากที่สายตาผู้คนโดยรอบมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ ไม่นานก็หันไปมองหวางเฟยเซวียนด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ด้านหวางเฟยเซวียนที่ถูกจ้าวคุนทำร้ายตอนแรกก็มีสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ ทว่าพอนางเห็นต้วนหลิงเทียนโผล่ออกมาขวางและยื่นมือเข้าช่วยเหลือแบบนี้ หน้าที่ขาวซีดปานกระดาษเริ่มมีเลือดฝาด กระทั่งแดงเรื่อขึ้นมาทันตาเห็น
และยิ่งได้ฟังวาจากล่าวแซมจากผู้คนโดยรอบ แววตาของหวางเฟยเซวียนก็เผยความอ่อนโยนทั้งปลื้มใจไม่น้อย สายตายามมองร่างต้วนหลิงเทียนใสสะท้อนราวสระยามสารท ยังไม่สนอื่นใดในแวดล้อมราวกับในยอดเขานี้มีเพียงต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่…
“หลิงเทียน? เจ้าน่ะหรือคือหลิงเทียน?”
จ้าวคุนที่มีโมโหไม่น้อยเมื่อถูกใครก็ไม่รู้มาหยุดขวาง แต่พอได้ยินวาจาสนทนาโดยรอบและได้รับทราบตัวตนคนขวาง ใจของมันก็เต้นระรัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นยินดีทันที!
มันไม่ตื่นเต้นได้หรือ!?
มันแม้มีฐานะเป็นศิษย์วังลี้ลับแต่ยังเป็นคนของสกุลจ้าว! มันได้ยินมานานแล้วว่าอาวุโสผู้พิทักษ์กล่าวให้คำมั่นเอาไว้ ว่าผู้ใดสามารถฆ่าหลิงเทียนได้ จะถูกรับเป็นบุตรบุญธรรม!!
ด้วยเหตุนี้เหล่าศิษย์ของสกุลจ้าวจึงคลั่งกันยกใหญ่!
หลายคนไปเฝ้าจับตาดูหลิงเทียนที่บ้านพักทุกวี่วัน หมายรอคอยเวลาที่อีกฝ่ายจะออกไปทำธุระนอกตำหนักฟ้าลี้ลับ หรือจะไปท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ขึงตึงหลังติดจุดรอคอย เพื่อหาโอกาสฆ่าหลิงเทียนให้ตาย!
และตอนนี้หลิงเทียนก็มาปรากฏตัวตรงหน้ามัน! กระทั่งยืนอยู่ตรงหน้ามันห่างแค่ไม่กี่ก้าว!!
มันจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว?
“หืม? ข้ารู้จักเจ้าด้วยหรือ?”
เมื่อเห็นว่าจ้าวคุนมองมาที่เขาด้วยสายตาลุกวาวทำราวกับเห็นสมบัติล้ำค่าประจำชาติ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปเล็กน้อย กล่าวถามออกมาตาปริบๆ
“มิสำคัญว่าข้าจะรู้จักเจ้าหรือไม่ ขอเพียงเจ้าคือหลิงเทียนเป็นพอ!”
จ้าวคุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆสะกดอารมณ์พุ่งพล่าน มันพยายามชักสีหน้าท่าทางให้แลดูสงบเย็นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยังมองถามต้วนหลิงเทียนพร้อมปั้นหน้าเข้ม “แล้วนี่เจ้าจักเอาอย่างไร? ขวางข้าเช่นนี้หรือคิดออกหน้าแทนพวกมัน?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้าวคุน หากแต่ไม่ตอบคำ
“เฮอะ! ต่อให้เจ้าไม่บอกข้าก็รู้!”
เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมยของต้วนหลิงเทียนและไม่เป็นไปตามที่มันคิด จ้าวคุนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กล่าวสืบต่อไปตามความตั้งใจของตัวเอง “หากเจ้าคิดออกหน้าแทนพวกมันก็ได้…ข้ายังจะให้โอกาสเจ้าดีหรือไม่? โอกาสที่เจ้าจะได้แก้แค้นให้พวกมันอย่างไรเล่า!!”
“ว่าต่อไป…”
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำออกมา น้ำเสียงยังคงเฉยเมยไร้แยแส
“เจ้าลองคิดดูเถอะ…หากสู้กับข้าที่นี่ หากเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าอย่างดีเจ้าก็ทำได้แค่ทุบตีข้า แต่ไม่มีทางฆ่าข้าหรือทำร้ายข้าจนพิการ! เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าสู้กับข้าที่โถงเป็นตาย ให้อาวุโสของโถงเป็นตายเป็นพยาน ส่วนพวกเราก็สร้างสัญญาเป็นตาย เช่นนั้นพวกเราจะได้สู้กันจนกว่าจะมีผู้ใดตายไปข้างหนึ่ง เช่นนี้ดีหรือไม่?”
จ้าวคุนค่อยๆกล่าวออกมาอย่างอดทน
วาจาท้ายประโยคนั้นน้ำเสียงแม้ฟังดูสงบ หากแต่กลับแฝงเร้นไปด้วยความเย้ายวนหมายล่อลวงต้วนหลิงเทียน “ถึงตอนนั้นแม้จะฆ่าข้าตาย เจ้าก็ไม่ได้กระทำผิดกฏอะไรของตำหนักฟ้าลี้ลับ ฆ่าข้าโดยที่ไม่ต้องถูกลงโทษ!”
โถงเป็นตาย!
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าสถานที่ๆจ้าวคุนกล่าวคืออะไร
ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำหนักหลัก วังนภา วังลี้ลับ วังปฐพี วังเหลือง แต่ละแห่งล้วนมีโถงเป็นตายทั้งสิ้น
การมีอยู่ของโถงเป็นตาย ก็เพื่อให้คนของตำหนักฟ้าลี้ลับได้สะสางความแค้น กระทั่งล้างแค้นศัตรูคู่อาฆาตได้อย่างไม่ผิดกฏ!
ตราบใดที่ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ 2 คนอยากฆ่ากันให้ตายไปข้าง ก็สามารถไปลงนามประลองที่โถงเป็นตาย และสร้างสัญญาเป็นตายขึ้นมา…
แน่นอนว่าโดยมากแล้ว ก็มีแต่ศัตรูที่แค้นกันจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้แล้วทั้งนั้น ที่จะมายังโถงเป็นตาย เพื่อทำสัญญาเป็นตาย…
และตอนนี้จ้าวคุนก็กำลังแนะนำให้ต้วนหลิงเทียนไปโถงเป็นตาย และสร้างสัญญาเป็นตาย!
โถงเป็นตาย!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆบนยอดเขาตอนนี้ถึงกับตกตะลึงจนอึ้งเงียบกันไปเป็นแถบ
จ้าวคุนท้าให้หลิงเทียนไปโถงเป็นตาย กระทั่งทำสัญญาเป็นตาย?
มันอยากฆ่าหลิงเทียนหรือ?
นี่เป็นความคิดของผู้คนโดยรอบ
“จ้าวคุนนั่น…มันคิดใช้โอกาสนี้ฆ่าหลิงเทียน?”
“นับว่าเป็นแผนการที่ดีสำหรับฆ่าหลิงเทียน คงคิดล้างแค้นให้สกุลจ้าวของพวกมันไม่ผิดแน่”
“อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ของหลิงเทียน…หากข้าเป็นหลิงเทียนก็ไม่มีทางเห็นด้วยหรอก ต่อให้มิรู้ระดับพลังฝึกปรือว่าจ้าวคุนเหนือกว่า แต่คำล่อลวงโง่งมเช่นนี้จะไปหลอกผู้ใดได้…ในเมื่อจ้าวคุนมันกล้าท้าเช่นนี้ใครก็รู้ว่ามันมั่นใจว่าจะชนะ!”
……
ผู้คนในที่นี้ ยกเว้นต้วนหลิงเทียนล้วนคิดไปในแนวทางเดียวกัน ไม่เว้นกระทั่งหวางเฟยเซวียนหรือตัวจ้าวคุนเอง ก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะเห็นด้วย
“อะไร? เจ้าไม่กล้า?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเฉยไปไม่ตอบอะไร จ้าวคุนก็เชิดหน้ามองลงด้วยสายตาเหยียดๆแสยะยิ้มกล่าวเยาะออกมา
“จ้าวคุน!”
ทันใดนั้นเองจ้าวจี้พลันส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดเข้าหูจ้าวคุนด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หยุดการกระทำโง่ๆของเจ้าเสีย! หลิงเทียนนั่น ข้าจะเป็นคนฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!!”
ถึงแม้มันเองก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะบ้าจี้รับคำท้าของจ้าวคุนที่จะไปสู้กันในโถงเป็นตาย แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวหยุดจ้าวคุนเอาไว้ ด้วยกลัวเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นมา…
หากเป็นก่อนหน้านี้มันคงไม่สนใจ หากต้วนหลิงเทียนจะถูกจ้าวคุนฆ่าตาย!!
แต่ตอนนี้อีกไม่นานมันก็จะได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินแล้ว และในเวลาอีกไม่นานกระทั่งยังคาดไว้ว่าสมควรไม่เกิน 2 ปี มันก็ต้องก้าวข้ามต้วนหลิงเทียนไปได้แน่ๆ! ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่อยากให้ใครชิงฆ่าต้วนหลิงเทียนไปก่อน เพราะมันจะเป็นคนฆ่าต้วนหลิงเทียนระบายแค้นด้วยตัวมันเอง!!
กระทั่งมันยังไปขอให้ปู่ของมันเพิกถอนคำสั่งฆ่าต้วนหลิงเทียนออกไปเสีย!!
“หืม?”
จ้าวคุนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจ้าวจี้จะส่งเสียงมากล่าวหยุดมันเอาไว้ไม่ให้แตะต้องต้วนหลิงเทียนแบบนี้
‘เจ้าน่ะเหรอคิดล้างแค้นหลิงเทียน ด้วยการฆ่าหลิงเทียนกับมือ? เจ้ามีปัญญาสามารถพอกระทำหรือ?’
แน่นอนว่าคำถามนี้ จ้าวคุนทำได้แค่พูดในใจเท่านั้น…
ตอนที่ 1,812 : ต้วนหลิงเทียนโมโห!
อย่างไรก็ตามแม้จ้าวคุนจะไม่กล้าถามจ้าวจี้ออกมาแบบนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะฟังคำของจ้าวจี้…
ล้อกันเล่นเหรอ!?
โอกาสฆ่าหลิงเทียนตั้งอยู่ต่อหน้าต่อตา มันย่อมไม่มีวันยอมแพ้เว้นแต่มันจะเป็นตัวโง่งม!
หากมันฆ่าหลิงเทียนในโถงเป็นตายได้สำเร็จ มันก็จะได้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้นำสูงสุดสกุลจ้าว…จ้าวจิน!
ถึงตอนนั้นศักดิ์ฐานะของมันจะอยู่ในรุ่นเดียวกันกับรองจ้าวตำหนักอย่าง จ้าวเติง! ถึงแม้ความจริงมันอาจจะไม่มีอำนาจเท่าจ้าวเติง แต่ก็ยังเหนือกว่าอาวุโสคนอื่นๆแน่นอน คราวนี้กระทั่งจ้าวจี้ยามพบเห็นมันยังต้องเรียก ท่านอา!
พอนึกถึงฉากเรื่องราวนั้น จ้าวคุนก็เคลิบเคลิ้มคล้ายร่างกำลังลอยละล่องในสายธารไหลเอื่อย มีหรือจะยังสนใจฟังคำจ้าวจี้อีก!!
“แต่ถ้าหากเจ้าหวาดกลัวไม่กล้า ข้าก็เข้าใจ…”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยังเงียบไม่ตอบ จ้าวคุนพลันยิ้มกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย คล้ายจะรับหรือไม่รับคำท้าก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ทว่ารอยยิ้มของมันเห็นชัดว่าเป็นการเย้ยหยัน
แววตายังเผยความดูถูกออกมาไม่คิดปกปิด
หลังจากกล่าวจบแล้ว จ้าวคุนก็กล่าวออกมาด้วยเจตนาทับถมสืบต่อทันที “เพราะอย่างไรเสียเจ้าที่กำเนิดจากบิดามารดาขลาดเขลาดั่งมุสิก ก็สมควรเป็นตัวขี้ขลาดเหมือนกันแน่แท้! จึกๆ ชื่อหลิงเทียนหรือ…สมควรเปลี่ยนเป็นฉู่เทียน!”
(ฉู่ = หนู)
หากวาจาก่อนหน้าของจ้าวคุนเพียงกระแนะกระแหนเสียดสีอ้อมๆล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าวาจาประโยคหลังนี้จงใจเหยียดหยามดูหมิ่นชัดเจน!
“ฮ่าๆๆๆๆ!!!”
ได้ยินคำหมิ่นของจ้าวคุน คนสกุลจ้าวอีก 3 คนที่อยู่หลังจ้าวจี้ อดไม่ไหวอีกต่อไปพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ฉู่เทียนหรือ! นามอันประเสริฐนัก!!”
“ข้าว่าเหมาะสมดี อย่างน้อยๆก็ดีกว่าหลิงเทียน!”
เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังฆ่าต้วนหลิงเทียน จ้าวคุนก็แทบจะขาดการยับยั้งชั่งใจอะไรสืบไป
“จ้าวคุน เจ้ากำลังทำบ้าอะไร!?”
จ้าวจี้ถลึงมองจ้าวคุนตาขวาง ยังกล่าวออกมาด้วยโทสะ
มันมคิดไม่ฝันเลยว่าจ้าวคุนจะกล้าไม่ฟังคำสั่งของมัน ถึงขั้นทำตรงข้ามไม่สนใจมันแบบนี้
อย่างไรก็ตามแม้มันจะขึ้นเสียงแล้ว แต่จ้าวคุนก็ยังไม่คิดจะสนใจฟังอะไร!
เพราะตอนนี้จ้าวคุนต้องการฆ่าหลิงเทียนและรับรางวัลให้จงได้ กระทั่งยังเห็นภาพผู้พิทักษ์จ้าวรับมันเป็นบุตรบุญธรรม สุดท้ายมันก็ได้ใช้ชีวิตหรูหราผ่านคืนวันอันดี!
จังหวะนี้อย่าว่าแต่จ้าวจี้เลย ให้จ้าวเติงบิดาจ้าวจี้มามันก็จะไม่สนใจฟัง!
ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดมัน จ้าวคุน ไม่ให้ทะยานสู่ฟ้าได้!!
ทันทีที่คำหมิ่นหยามของจ้าวคุนดังจบ ทุกคนบนยอดเขาวังนภาถึงกับหันไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน ต่างอยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบโต้อย่างไร
“จ้าวคุนผู้นี้ไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ…คิดหลอกล่อให้หลิงเทียนไปประลองเป็นตายกับมันที่โถงเป็นตายด้วยการใช้วาจายั่วยุต่ำช้าแบบนี้?”
“นั่นสิ วาจาแบบนี้นับว่าต่ำช้าเกินไป…ถึงกับยกอ้างบิดามารดาผู้อื่นหมายให้หลิงเทียนรับคำท้า! ช่างน่ารังเกียจยิ่ง!!”
“หลิงเทียนสมควรเห็นเจตนามันชัดเจน ไม่มีทางหลงกลมันหรอก”
……
อย่างไรก็ตามเหล่าความคิดของเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ คล้ายถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องผิดพลาด
หากจ้าวคุนเพียงกล่าววาจาหยามหยันหลิงเทียนเฉยๆ เจ้าตัวคงไม่คิดสนใจ…ทว่าไม่สนใจก็เรื่องหนึ่ง เรื่องรับคำท้าประลองเป็นตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…ในเมื่อมันอยากตายนักเขาก็จะจัดให้!
ทว่ามันกลับกล้าลามปามหมิ่นหยามไปถึงบิดามารดาเขา!
มังกรทุกตัวล้วนมีเกล็ดย้อน ผู้ใดแตะต้องจับถูก ตาย!
บิดามารดาของต้วนหลิงเทียนก็เสมือนเกล็ดย้อนของเขา ซึ่งในสายตาเขาถือว่ามีค่ามากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก ทว่าวันนี้กลับต้องมาถูกสวะตัวหนึ่งหยามหมิ่น?
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังอยากจะตบร่างมันแหลกในฝ่ามือเดียว!
ทว่าด้วยความมีเหตุผลก็ยังทำให้เขาสามารถสงบใจลงได้
หากเขาลงมือฆ่าจ้าวคุนแบบนั้น มันก็ผิดกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างไม่ต้องสงสัยเลย และตอนนี้อาศัยพลังส่วนตัวก็ยากที่เขาจะต่อต้านหอคุมกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับ
เช่นนั้นเขาจึงเลือกที่จะสงบอารมณ์
แน่นอนว่าความสงบที่ว่า เป็นการสงบมากแล้วสำหรับตัวเขาเอง
ทว่าในสายตาของผู้อื่นไม่เว้นจ้าวคุน ทีท่าอาการของต้วนหลิงเทียนไม่ได้สงบแม้แต่น้อย
หลังจากถูกยั่วยุด้วยวาจาต่ำช้าของจ้าวคุน เรียกว่าสีหน้าของต้วนหลิงเทียนในสายตาคนอื่นมันไม่ได้เฉยเมยอีกต่อไป!
“แววตานั่น…ท่าทางหลิงเทียนจะโมโหแล้ว”
“เหลวไหล! จ้าวคุนกล่าววาจาลามปามถึงบุพการีเช่นนี้ หากยังไม่โมโหก็แปลกคนแล้ว! ลองมีคนมาด่าว่าบิดามารดาเจ้าดูบ้าง เจ้าจะยังใจเย็นได้อยู่หรือไม่?”
“ไม่แน่นอน ข้าพเจ้าจะทุบปากมันเสีย!”
……
ตอนนี้ผู้คนชักไม่แน่ใจแล้วว่าต้วนหลิงเทียนจะยังครองสติไว้และหนักแน่นพอจะปฏิเสธคำท้าประลองเป็นตายนั่นของจ้าวคุนหรือไม่
“ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก งั้นข้าก็จะให้เจ้าสมหวัง!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกปานผุดซึมออกมาจากหล่มน้ำแข็ง พาลให้ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก
และทันทีที่กล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็ย่ำเท้าเหินลอยขึ้นไปบนฟ้า ออกจากยอดเขาวังนภาทันที
“ยอมรับแล้วหรือ?”
ส่วนวาจาที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งกล่าว ผู้คนก็พึ่งตระหนักได้หลังจากนั้น ทว่ายังอดประหลาดใจกันเสียไม่ได้ “นี่หลิงเทียนยอมรับคำท้าประลองเป็นตายกับจ้าวคุนแล้วหรือ?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น…ฟังจากวาจาที่กล่าวเมื่อครู่ กับเหินร่างออกไปเช่นนั้น มิพ้นต้องมุ่งหน้าไปโถงเป็นตายแน่นอน!”
“ไม่จริงน่า! ไฉนยอมรับง่ายๆเช่นนี้เล่า มิวู่วามไปหน่อยรึไร?”
“ทุกคนล้วนมีสิ่งที่มิอาจแตะต้อง…สำหรับหลิงเทียนแล้วมิแคล้วบิดามารดาคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาแน่ แม้รู้ว่าตัวเองต้องตาย แต่ก็คิดสู้เพื่อบิดามารดาของตัว….”
“การกระทำครั้งนี้ของหลิงเทียน แม้จะแลดูโง่งม แต่ข้าพเจ้าอดมิได้ที่จะชื่นชม ช่างเป็นลูกกตัญญูนัก!”
“กตัญญูบ้านเจ้า! นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ! เจ้าคิดว่าบิดามารดาหลิงเทียนอยากเห็นลูกตายเช่นนี้หรือ!?”
……
แม้บทสนทนาจะกระหึ่มออกมาดั่งระลอกคลื่นจนระงมไปทั่วยอดเขาวังนภา แต่ทุกคนก็ไม่ลืมเหินร่างมุ่งหน้าไปยังโถงเป็นตาย
แน่นอนว่ามีหลายร่างที่พุ่งแยกย้ายออกไปด้วยความเร็วสูง คล้ายจะไปพาสหายมาชมดูเรื่องสนุกสนาน
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตำหนักฟ้าลี้ลับมีโถงแห่งความตายมากมาย ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาโถงเป็นตายของวังนภาก็เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนแวะเวียนไปใช้ ไม่มีศิษย์คนใดไปทำสัญญาเป็นตายสักคน…
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย…ผู้คนย่อมให้ความสนใจการประลองเป็นตายในโถงเป็นตายวังนภาวันนี้ทั้งสิ้น! ข่าวเรื่องราวแพร่ไปไวนัก!
กระทั่งศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ในตำหนักหลัก หรือผู้ที่ติดรายนามฟ้าลี้ลับ ก็ถึงกับลงมาดู
เรียกว่าเพียงเวลาแค่ไม่นานโถงเป็นตายของวังนภาก็คาคั่งไปด้วยผู้คน! ยังมาถึงลานประลองก่อนต้วนหลิงเทียนที่ต้องไปลงทะเบียนยิบย่อยอะไรเสียอีก!
และผู้คนที่มารวมตัวกันในโถงเป็นตายก่อน ก็จงใจเว้นทางให้ต้วนหลิงเทียนที่เสร็จเรื่องแล้ว ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน…
“ศิษย์น้องหลิงเทียน!”
ทันใดนั้นปรากฏร่างหนึ่งพุ่งวูบออกมาจากฝูงชนหยุดขวางไว้เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน “เจ้าอย่าได้วู่วาม!”
คนที่มาปรากฏตัวนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหงกัง ที่อยู่กับพวกหวางเฟยเซวียนก่อนหน้า
เนื่องจากพวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัส สีหน้าจึงยังซีดเซียวอยู่ มันพยายามยืนหยัดขวางทางต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างยากลำบาก
ในสายตาของพวกมัน การที่ต้วนหลิงเทียนต้องมาตกกระไดพลอยโจร ถึงขั้นเข้าโถงเป็นตายแบบนี้ มีต้นเหตุมาจากพวกมันทั้งสิ้น!
ด้วยเหตุนี้มันไม่ต้องการให้ต้วนหลิงเทียนเกิดเรื่อง!
“ศิษย์พี่หงกัง!”
ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้ตอบคำอะไร หวางเฟยเซวียนเองก็ติดตามมาหยุดยืนข้างๆหงกัง นางกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาทันที “ตอนที่เจ้าอยู่ในแดนลับเซียน เจ้าเผยความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้นให้ข้าเห็น…เจ้ามั่นใจในการประลองกับจ้าวคุนหรือไม่ หากไม่ก็อย่าได้หุนหันลงมือเพราะวาจายั่วยุพวกนี้เลย!”
ถึงแม้หวางเฟยเซวียนจะเชื่อว่าหากไม่มั่นใจต้วนหลิงเทียนคงไม่รับคำท้าประลองเป็นตายของจ้าวคุน…
แต่ตอนนี้นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามเพื่อยืนยัน
“มันต้องตายวันนี้!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเมื่อได้ยินคำถามของหวางเฟยเซวียน ต่อมาประกายเย็นเยียบอำมหิตหนึ่งก็เรืองวูบขึ้นมา ตอบคำหวางเฟยเซวียน
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับ และเตรียมที่จะกล่าวบอกหงกังให้หลีกทาง อย่าได้ขวางต้วนหลิงเทียนอีก
ทว่าหวางเฟยเซวียนไม่ทันได้กล่าวคำใด กลับมีคนเอ่ยวาจาเย้ยหยันออกมาพอดี “ทำไม? พวกเจ้าสองคนอยากทำสัญญาเป็นตาย และขึ้นมาประลองเป็นตายกับข้าด้วยรึไง?”
เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น จ้าวคุน ที่พึ่งมาถึงโถงเป็นตาย!
วาจาที่มันกล่าวเห็นชัดว่าเจตนาพูดกับหวางเฟยเซวียนและหงกังที่ขวางทาง
“ศิษย์พี่หงกัง ท่านมั่นใจได้เลยว่าหลิงเทียนฆ่ามันได้แน่…พวกเราถอยไปกันก่อนเถอะ”
พอหวางเฟยเซวียนส่งเสียงไปกล่าวบอกหงกังจบคำ นางก็ฉุดลากหงกังออกไปอย่างดุดันโดยที่หงกังไม่ทันได้ตั้งตัว เปิดทางให้ต้วนหลิงเทียนเดินต่อท่ามกลางฝูงชน
“โฮ่! พวกเจ้าสนิทกันดีนี่!”
เมื่อเห็นหวางเฟยเซวียนกับหงกังรีบรุดจากไปทั้งคู่ จ้าวคุนก็แสยะยิ้มกล่าวเสียดสีออกมา มันคิดว่าทั้งคู่ล้วนหวาดกลัวมัน!
ผู้คนรอบๆ ก็คิดเหมือนมันเป็นธรรมดา
“ศิษย์น้อง…เจ้าบอกว่าหลิงเทียนสามารถฆ่ามันได้หรือ?”
หงกังที่ถูกมือบางๆหอบหิ้วมาราวลูกไก่ พอตั้งสติได้สองตาพลันทอแสงเรืองวาบ รีบส่งเสียงกล่าวถามหวางเฟยเซวียนทันที
“ศิษย์พี่อย่าได้ห่วงไป…หลิงเทียนมิใช่คนที่จะลงมือทำอะไรหากไม่มั่นใจ ข้าเชื่อใจเขาที่สุด!”
หวางเฟยเซวียนกล่าวรับประกันเป็นมั่นเหมาะ ทว่าพอกล่าวจบก็พึ่งรู้ตัวว่ากล่าวอะไรออกไป สีหน้าพลันแดงเรื่อขึ้นมาทันที…
ทว่าหงกังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้
วาจาของหวางเฟยเซวียนไม่ต่างใดจากอัสนียามแล้ง ที่ไร้การตั้งเค้ามาก่อน ใจมันถึงกับเลื่อนลอยว่างเปล่า กว่าจะรู้สึกตัวก็ผ่านไปสักพัก
และพอมันกลับมารู้สึกตัว ในใจก็รู้สึกว่าเรื่องราวน่าเหลือเชื่อนัก ‘มิใช่หลิงเทียนพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่นานหรือไร…ไฉนตอนนี้ศิษย์น้องทำเหมือนเขาทะลวงผ่านอริยะเซียนแล้วเล่า? ไม่มั่นใจไม่ลงมือหรือ?’
ถึงแม้มันจะไม่ได้รู้จักกับศิษย์น้องคนนี้นานนัก แต่มันรู้นิสัยนางดีว่าใช่คนชอบกล่าววาจาเหลวไหล
ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์ของจูลู่ฉีอีก 2 คนก็ตามมาถึง
“หลิงเทียนมั่นใจหรือ?”
พอพวกมันได้รับทราบเรื่องราวจากปากหวางเฟยเซวียน พวกมันก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะตกใจ แต่พวกมันก็เลือกจะเชื่อศิษย์น้องร่างบางเบื้องหน้า
โถงเป็นตายนั้นปกติว่างเปล่าร้างผู้คน ทว่าอยู่ดีๆมีศิษย์มากันแน่นขนัด เจ้าหน้าที่ทั่วไปที่รับหน้าที่ดูแลการลงทะเบียนยิบย่อยก็แตกตื่นรีบให้คนไปตามผู้ดูแลโถงกันจ้าละหวั่น และนั่นย่อมทำให้อาวุโสที่รับหน้าที่ดูแลโถงถึงกับแปลกใจไม่น้อย รีบลงมาดูเรื่องราวด้วยตัวเองทันที
เมื่ออาวุโสผู้ดูแลโถงเดินมาถึงลานประลอง มันก็ได้ยินบทสนทนาโดยรอบ ทำให้พอรับทราบถึงเรื่องราว
“พวกเจ้า 2 คน คิดลงนามในสัญญาเป็นตายงั้นเหรอ?”
สายตาของผู้อาวุโสผู้ดูแลโถงเป็นตาย มองร่างต้วนหลิงเทียนสลับไปมากับจ้าวคุน หยีตากล่าวถาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น