War sovereign Soaring The Heavens 1801-1808
ตอนที่ 1,801 : ต้วนหลิงเทียนถูกกำหนดให้ตาย?
ลี่เฟิงคือหลิงเทียน และหลิงเทียนก็คือลี่เฟิง
นอกจากตัวต้วนหลิงเทียนเองแล้ว ก็มีเพียงกู่ลี่เท่านั้นที่ล่วงรู้
ดังนั้นพอได้ยินคำถามนี้ของเมิ่งฉิง เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร
“อ่า…ป่านนี้ท่านอาจารย์สมควรรับทราบแล้ว”
เผชิญหน้ากับคำถามดังกล่าวของเมิ่งฉิง ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะพยักหน้ากล่าวตอบไปตามน้ำ เขาเองก็พอเดาได้ว่าทำไมเมิ่งฉิงถึงถามแบบนี้
ไม่มีอะไรมากไปกว่าอีกฝ่ายกังวลว่าอาจารย์ที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมา จะสนใจเคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้ง…
เมิ่งฉิงนั้นไม่ทราบวาอาจารย์ที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมาเป็นยอดฝีมือขอบเขตพลังใด ทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความหวั่นเกรงอยู่หลายส่วน ไม่กล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา…
“เคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้งนั้นหากเป็นอวิชชาชั่วร้ายขัดต่อมโนธรรม พวกเราจักทำลายมัน…แต่หากเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่มีแนวทางไม่ชั่วร้ายอันใด ถ้าอาจารย์ของเจ้าต้องการ ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราก็ยินดีที่จะแบ่งปัน”
สองตาเมิ่งฉิงทอประกายเรืองวูบกล่าวออกตามตรง
“จ้าวตำหนัก อาจารย์ข้า…”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดว่าเมิ่งฉิงจะกล่าวออกตรงๆ เขาถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง ทว่าหลังจากที่เขาจะกล่าวอธิบาย เมิ่งฉิงก็กล่าวดักคอเสียก่อน “หากมิได้ลี่เฟิงศิษย์พี่ของเจ้ากับตัวเจ้าบอกกล่าว ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราย่อมไม่อาจได้รับเบาะแสเคล็ดบำเพ็ญมารนี้มาได้”
“อย่างไรก็ตามพวกเรายังมิได้รับเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงนั่นมาครองจริงๆ…วิญญาณของฉีจิ้งยังอ่อนแอเกินไป มิอาจทานทนรับการสืบค้นวิญญาณได้ พวกเราจำต้องรอให้มันฟื้นฟูสักพัก ก่อนที่จะใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณเอาข้อมูลจากมัน และหลั…”
“จ้าวตำหนัก เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวลไป…อาจารย์ของข้าไม่สนใจเคล็ดบำเพ็ญมารอะไรนั่นหรอก….”
ทว่าคราวนี้เป็นเมิ่งฉิงที่กล่าวไม่ทันจบ แต่ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะยิ้มกล่าวออกมาเสียก่อน
“ไม่สนใจหรือ?”
และคราวนี้คำพูดของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้เมิ่งฉิงเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง
นั่นมันเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง!
ยังมีคนที่ไม่สนใจด้วย?
‘ดูเหมือนว่าอาจารย์ของลี่เฟิงกับหลิงเทียน แม้จะเป็นภูมิภาคเบื้องบนแต่ก็มิใช่ตัวตนธรรมดาๆเสียแล้ว…’
ใจเมิ่งฉิงสะท้านไปไม่น้อย ลอบคิดคาดในใจอย่างหวั่นๆ
“จ้าวตำหนักเมิ่ง ท่านมั่นใจได้เลยว่าอาจารย์ของข้าไม่คิดสนใจเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นแน่นอน และข้าศิษย์พี่รวมถึงท่านอาจารย์ก็จะเก็บความลับเรื่องตำหนักฟ้าลี้ลับได้ครองเคล็ดบำเพ็ญมารเอาไว้ไม่แพร่งพราย”
ต้วนหลิงเทียนพูดต่อ
เมิ่งฉิงที่ได้ยินก็มองเพ่งต้วนหลิงเทียนครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมาอีกครั้ง “มิว่าจะอย่างไร คราวนี้เจ้านับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวงต่อตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…ตอนแรกข้าวางแผนจะแบ่งปันเคล็ดบำเพ็ญมารนี้ให้อาจารย์ของเจ้าเพื่อเป็นการตอบแทน…”
“หากแต่ข้ามิคิดเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะไม่สนเคล็ดวิชาที่ว่า…เช่นนั้นข้าในฐานะตัวแทนตำหนักฟ้าลี้ลับก็จะตอบแทนเจ้าในรูปแบบอื่น…”
วาจาประโยคหลังเมิ่งฉิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “มิทราบว่าตอนนี้เจ้าต้องการอันใดบ้างเล่า หรือเจ้าอยากให้ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราจัดการเรื่องราวอันใดให้หรือไม่?”
“อ่า หากตำหนักฟ้าลี้ลับช่วยข้าได้เรื่องหนึ่งจะดีมาก..ข้ากำลังมีปัญหาเรื่องรวบรวมวัตถุดิบอยู่พอดี”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ทันทีว่าโอกาสอันดีที่จะใช้อิทธิพลของตำหนักฟ้าลี้ลับมาถึงแล้ว
กู่ซืออวิ๋นแม้จะเป็น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ และมีสายสัมพันธ์กว้างขวางไม่น้อย ทว่าหากเทียบกับตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหมดแล้ว ยังถือว่าด้อยกว่ามาก
หากจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงสั่งการลงไปในนามตำหนักฟ้าลี้ลับล่ะก็ การรวบรวมวัตถุดิบให้เขาจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น!
“วัตถุดิบ? วัตถุดิบอันใดหรือ?”
เมิ่งฉิงงุนงงไม่น้อย
“วัตถุดิบที่ข้าว่า อันที่จริงข้าก็พึ่งไปขอความช่วยเหลือจากอาวุโสกู่เมื่อไม่นานมานี้ บันทึกรายการจึงอยู่ที่อาวุโสกู่…หากจ้าวตำหนักคิดตอบแทนข้าจริงๆ เช่นนั้นก็ช่วยข้ารวบรวมวัตถุดิบที่ข้าต้องการอีกแรงเถอะ มันเป็นวัตถุดิบที่ข้ารวบรวมให้อาจารย์ตามคำสั่ง…พวกมันสำคัญมาก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมิ่งฉิงเร่งพยักหน้ากล่าวตอบคำ “เดี๋ยวข้าจะไปหาอาวุโสกู่และคัดลอกรายการนั่นมาและทำสำเนาแจกจ่ายออกไป…ข้าในนามตำหนักฟ้าลี้ลับรับปากว่าจะช่วยเจ้ารวบรวมวัตถุดิบพวกนั้นมาให้! ข้าสัญญา!!”
ในฐานะจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ คำมั่นของเมิ่งฉิงมีค่ามาก
ดังนั้นในเมื่อเมิ่งฉิงลั่นวาจามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่คิดบิดพลิ้ว “ขอบคุณจ้าวตำหนัก”
“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เอง…ยังเทียบกับสิ่งที่เจ้ามอบให้ตำหนักฟ้าลี้ลับเรามิได้ด้วยซ้ำ…”
เมิ่งฉิงโบกมือส่งๆ
เรื่องเล็กน้อย?
สำหรับคำพูดนี้ของเมิ่งฉิงนั้น ต้วนหลิงเทียนไร้คำจะกล่าว…จริงอยู่ที่สำหรับเมิ่งฉิงมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาทีเดียว!
วัตถุดิบเหล่านั้นเกี่ยวพันถึงการซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ในสายตาของเขามันมีค่ายิ่งกว่าเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกหลายขุม!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่อาจอธิบายอะไรออกมาได้
เขาจะพูดอะไรได้?
หรือจะให้บอกความลับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ?
เขาไม่สงสัยเรื่องนี้เลยสักนิด…ทันทีที่เขาบอกความลับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติออกไป จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิงไม่พ้นลงมือฆ่าเขาชิงของทันทีแน่!!
ความเย้ายวนใจของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันสูงเกินไป!
หากเป็นเขายืนอยู่ในจุดเดียวกันกับเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ และเผชิญหน้ากับตัวเขาเองที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าขนาดนี้ เขาก็ต้องบังเกิดความโลภและคิดช่วงชิงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาครองเองแน่!
เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันเป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์ ต่อให้เป็นภูมิภาคเบื้องบนมันก็คือสมบัติที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้!
ตำหนักฟ้าลี้ลับ ในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 การรวบรวมตามหาวัตถุดิบเช่นนี้ นับเป็นงานง่ายๆไม่ได้เหนื่อยแรกอะไรมากมาย
หลังจากที่เมิ่งฉิงถ่ายทอดคำสั่งลงไป อาวุโสทั้งหลายก็เร่งดำเนินการ ทุกฐานปฏิบัติในภูมิภาคเบื้องล่างล้วนได้รับสำเนารายการวัตถุดิบ เร่งออกภารกิจรวบรวมวัตถุดิบแลกรางวัลจ้าละหวั่น เหล่าศิษย์หรือคนนอกที่ต้องการทรัพยากรบ่มเพาะ เคล็ดวิชา ป้ายวรยุทธ์เซียนหรือหินเซียนระดับสูง ล้วนรับภารกิจตามหากันทุกคน
เพียงเวลาผ่านไปไม่นานภูมิภาคเบื้องล่างก็คล้ายจะถูกผู้คนพลิกแผ่นดินตามหาวัตถุดิบแปลกๆกันให้วุ่น…บ้างก็เคยเป็นหินขัดเท้าผู้คน บ้างก็ถูกสตรีไม่รู้ความเอาไปทับฝาผักดอง บ้างก็เป็นของประดับ บ้างก็อยู่ในซอกหลืบร้างผู้คน..เรียกว่ามีคนที่สะสมของแปลกๆไว้ร่ำรวยขึ้นมาชั่วข้ามคืนหลายคนเลยทีเดียว…
ขณะเดียวกัน วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปกว่า 3 เดือน…
จ้าวเติงกับจ้าวจินที่ตรึงกำลังไว้เฝ้าระวังที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ในที่สุดก็กลับมายังตำหนัฟ้าลี้ลับ ผลัดเปลี่ยนให้รองจ้าวตำหนักอีก 2 คนไปเฝ้าที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแทน
และทันทีที่ทั้งคู่กลับมาถึง จ้าวจี้ก็เร่งออกไปต้อนรับทั้งคู่ทันที
“ท่านพ่อ ท่านปู่ พวกท่านเจอตัวหรงฟ่านที่ว่านั่นหรือไม่?”
จ้าวจี้กล่าวถามจ้าวเติงกับจ้าวจินออกมาทันที
“ไม่”
จ้าวเติงส่ายหัว
จ้าวจินซึ่งแต่เดิมมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีทั้งเคร่งเครียด พอได้เห็นหน้าหลานชายคนเดียวอย่างจ้าวจี้ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที “จี้เอ๋อ ช่วงนี้เจ้าไม่ได้หย่อนคล้อยการบ่มเพาะใช่หรือไม่?”
“ไม่เลยท่านปู่”
จ้าวจี้ส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะเดินไปไม่กี่ก้าวมาหยุดเบื้องหน้าจ้าวจิน “ท่านปู่ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว…ท่านไม่ไปหารือกับท่านจ้าวตำหนักเรื่องใช้วิชาควาญวิญญาณกับฉีจิ้งดูเล่า?”
จ้าวจี้นั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยากฝึกฝนบ่มเพาะเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ฉีจิ้งฝึกนัก!
“จี้เอ๋อ…ปู่รู้ว่าเจ้าอยากได้เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงนั่น แต่จะอย่างไรเจ้าอย่าได้ลืมไปว่ามันก็เป็นเคล็ดบำเพ็ญมาร! ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะใช้กลวิธีชั่วร้ายก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นไปมิได้ที่เจ้าจักเอามาฝึก”
จ้าวจินส่ายหัวไปมา กล่าวเตือนด้วยความหวังดี “เรื่องนี้เจ้าเองก็ต้องเตรียมใจเอาไว้บ้าง”
จ้าวจี้ที่ได้ยินคำของจ้าวจิน ก็แย้งออกมาทันที “ท่านปู่ ท่านเป็นคนพูดเองว่าไม่แน่! ท่านไม่คิดเหรอ ว่าเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมันจะใช้วิธีการปกติ?”
“เรื่องนั้นมันก็เป็นไปได้…”
จ้าวจินพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวสืบต่อในแววตายังเผยความรักและเอ็นดูให้เห็น “จี้เอ๋อไม่ใช่ปู่ไม่อยากใช้วิชาควาญวิญญาณกับฉีจิ้งเพื่อเอาข้อมูลเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาให้เจ้า…แต่ตอนนี้วิญญาณของฉีจิ้งมันอ่อนแอเกินไป เกรงว่าจักมิอาจทานทนรับการสืบค้นวิญญาณอันใดได้ไหว! ข้ากลัวว่าไม่ทันได้ข้อมูลอันใดวิญญาณมันจะแตกสลายอย่างถาวรเสียก่อน…”
“ข้าเองก็ไปตรววจสอบอาการบาดเจ็บของมันแล้ว เกรงว่าอย่างน้อยๆต้องรออีกครั้งปี…วิญญาณของมันถึงจะฟื้นฟูมากพอให้รับการสืบค้นวิญญาณได้…”
จ้าวจินกล่าวเสริม
“อีกครึ่งปี…นานขนาดนั้นเชียว”
จ้าวจี้ย่อมผิดหวังไม่น้อย มันเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้ยังต้องรออีกถึงครึ่งปี
“จี้เอ๋อเวลาเพียงแค่ครึ่งปีก็เสมือนชั่วพริบตาเดียว…ครึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ปิดด่านบ่มเพาะให้ดีเถิด มุ่งมั่นทะลวงให้ถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญให้จงได้! ปู่สัญญากับเจ้า หากเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมิใช่อวิชชาชั่วร้าย ปู่จะเอามันมามอบให้เจ้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าซึมไปของจ้าวจี้ จ้าวจินก็เร่งกล่าวปลอบใจออกมาทันที ทำราวกับมันยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งแม้จะโตจนแทบเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว
“ขอบคุณท่านปู่”
จ้าวจี้พลันฉีกยิ้มทันที
ทว่าหลังจากนั้นไม่ทันไร ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจจ้าวจี้ ทำให้ใบหน้ามันเปลี่ยนไปทันใด ยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟันมากแค้น “หลิงเทียน!”
“ท่านพ่อ ท่านปู่ ตอนนี้เรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ถูกจัดการแล้ว…พวกเราจะจัดการกับหลิงเทียนได้รึยัง?”
พอคิดถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา สองตาจ้าวจี้พลันแดงก่ำราวอสูร มันนับว่าเคียดแค้นชิงชังต้วนหลิงเทียนเข้ากระดูกดำแล้วจริงๆ!
หากต้วนหลิงเทียนยังมีลมหายใจอยู่ มันไม่อาจกินอิ่มนอนหลับได้!
พอได้ยินวาจาเคียดแค้นทั้งแลเห็นแววตาเกลียดชังแฝงอำมหิตของจ้าวจี้ สีหน้าแย้มยิ่มอ่อนโยนของจ้าวจินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “จี้เอ๋อเรื่องนี้เจ้ามั่นใจได้เลย…อีกมินานหรอก!”
“ท่านพ่อ…”
ตอนนี้เองจ้าวเติงที่ยืนอยู่ข้างๆพลันกล่าวคำออกมา “ข้าได้ยินว่าท่านจ้าวตำหนักใช้อำนาจของตำหนักฟ้าลี้ลับเต็มกำลังเพื่อรวบรวมวัตถุดิบอะไรบางอย่างให้หลิงเทียน…ถึงแม้ท่านจ้าวตำหนักจักมิได้ยอมรับมันเป็นศิษย์ แต่ยังเห็นมันสำคัญมิใช่น้อย…ดูเหมือนในสายตาท่านจ้าวตำหนัก หลิงเทียนนั่นมิได้เลวร้ายไปกว่าศิษย์เลย
“เรื่องที่เจ้ากล่าวข้าเองก็รู้ดี แต่เหตุผลที่ท่านจ้าวตำหนักช่วยเหลือมันแบบนี้ เพราะมันปฏิเสธในนามของอาจารย์มัน ว่ามิสนใจเคล็ดบำเพ็ญมาร…ทำให้ท่านจ้าวตำหนักจึงต้องหาทางตอบแทนมันด้วยเรื่องนี้”
เรื่องบางอย่างจ้าวจินรู้นั้นจะรู้ดีกว่าจ้าวเติง
“เป็นธรรมดาที่หากพวกเราคิดฆ่าหลิงเทียน พวกเรามิอาจลงมือในตำหนักฟ้าลี้ลับได้…พวกเราต้องหาวิธีล่อให้หลิงเทียนนั่นออกเดินทางไปข้างนอกตำหนักให้จงได้! ตราบใดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันถูกใครฆ่าตาย ต่อให้มีคนสงสัยพวกเราแต่ในเมื่อไร้หลักฐาน ไหนเลยท่านจ้าวตำหนักจักเอาผิดกับพวกเราได้?!”
จ้าวจินกล่าวสืบต่อ ขณะกล่าวแววตายังเผยจิตสังหารอำมหิตออกมาไม่น้อย
จ้าวเติงพยักหน้า
หน้าจ้าวจี้เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้นทันที สองตาทอประกายเยียบเย็น สองหมัดกำแน่นขบเคี้ยวฟันกล่าวออก “หลิงเทียน เจ้ามิอาจอยู่หายใจได้อีกนาน! หากท่านปู่ข้ากำหนดให้ผู้ใดต้องตาย ก็ไม่มีหน้าไหนรอดชีวิตไปได้! เจ้าได้แต่โทษว่าเจ้าโชคร้ายที่เกิดมาเป็นศัตรูกับข้าเถอะ!!”
“กล้าล่วงเกินข้า ให้เจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอตาย!!”
ในใจจ้าวจี้นั้นตัดสินไปแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ!!
ตอนที่ 1,802 : เจตจำนงของสกุลจ้าว!
ตระกูลจ้าวนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็คือจ้าวจิน..อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลิ่วล่อง! ส่วนผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากมันก็คือจ้าวเติง ผู้เป็นบุตรชายและยังเป็นถึงรองจ้าวตำหนัก…
หลังจากนั้นก็จะเป็นอาวุโสสกุลจ้าวคนอื่นๆ
แน่นอนว่าอาวุโสสกุลจ้าวที่ว่า หลายคนแต่เดิมก็มิได้ใช้แซ่จ้าวแต่อย่างไร! หากแต่พวกมันเปลี่ยนมาใช้แซ่จ้าวเพียงเพราะหวังพึ่งพิงร่มเงา ‘ไม้ใหญ่’ อย่างสกุลจ้าวที่มีจ้าวจินกับจ้าวเติงกุมบังเหียน จึงยินดีละทิ้งแซ่ของตัวมาใช้แซ่จ้าว!
ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็ไม่ขาดศิษย์ของจ้าวจินและจ้าวเติงเช่นกัน
หากผู้คนทั้งหมดของสกุลจ้าวมาเรียงลำดับอำนาจเป็นปิรามิดแล้วล่ะก็ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดดั่งจุดยอดปิรามิดก็คือจ้าวจิน ผู้นำตระกูลจ้าว!!
ด้วยเหตุนี้ทุกถ้อยคำวาจาและการกระทำของมันก็ประหนึ่ง เจตจำนง ของสกุลจ้าว!
ยกตัวอย่างเช่นหากจ้าวจินผู้เป็นอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องถกเถียงและตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกับเมิ่งฉิน เมื่อมีการลงคะแนนเสียงเห็นชอบ…แน่นอนว่าเสียงของสกุลจ้าวทั้งหมดจะเทไปทางจ้าวจินทันที และนั่นยังถือเป็นเสียงข้างมากของตำหนักฟ้าลี้ลับอีกด้วย!
ด้วยเหตุนี้ทำให้สกุลจ้าวถือว่ามีอิทธิพลในตำหนักฟ้าลี้ลับไม่น้อย เรียกว่าถ้าจะด้อยกว่า…ก็ด้อยกว่าจ้าวตำหนักในแง่พลังฝีมืออย่างเดียว!
“ทำอย่างไรก็ได้เพื่อล่อหลิงเทียนให้ออกไปนอกตำหนักฟ้าลี้ลับ…และฆ่ามันให้ตายอย่างลับๆ?”
ไม่นานอาวุโสของสกุลจ้าว รวมถึงศิษย์สาวกที่เปลี่ยนมาใช้แซ่จ้าวทั้งหลายก็ได้รับคำสั่งดังกล่าวมา…
แน่นอนว่าทุกคนต้องเก็บเป็นความลับและรู้กันภายในสกุลจ้าว
ถึงแม้ฐานะของจ้าวจินรวมถึงสกุล้จาวในตำหนักฟ้าลี้ลับจะมากอิทธิพลไม่น้อย แต่มันเองก็ไม่อาจกระทำการอันขัดกับกฏหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ อย่างลงมือสังหารผู้คนในเขตตำหนักฟ้าลี้ลับได้…เพราะจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับและอาวุโสคนอื่นๆย่อมไม่มีทางปล่อยปละละเลยกฏเหล็กข้อนี้!
“หลิงเทียน? นามนี้…มิใช่นามของอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับเราหรอกหรือ?”
อาวุโสและศิษย์สาวกของสกุลจ้าวหลายคน ที่ปิดด่านบ่มเพาะพลังมานาน พอออกมาได้ไม่ทันไรและได้รับทราบถึงคำสั่งนี้พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะข่าวใหญ่ล่าสุดที่พวกมันรู้มาก่อนปิดด่าน ก็คือเรื่องราวของอัจฉริยะเซียนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ผู้ซึ่งเข้าร่วมตำหนักมาได้ไม่ทันไรกลับบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
สำหรับเรื่องราวบาดหมางระหว่างอัจฉริยะคนนั้นกับจ้าวจินผู้นำตระกูลอะไรนั้น พวกมันไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลายคนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายน้อยของพวกมันอย่างจ้าวจี้ถูกตบหน้าและฆ่าในแดนลับเซียน
“มิผิด เป็นอัจฉริยะคนนั้น”
“แล้วนี้มันไปก่อเรื่องอันใดมากันแน่ ใต้เท้าถึงได้ออกคำสั่งมาแบบนี้?”
“นี่เจ้าพึ่งกลับมาจากการเดินทางไกล หรือพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเล่า?”
“เอ๋? เจ้ารู้ได้อย่างไร..ข้าพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเมื่อวานนี้เอง”
“เช่นนั้นก็มิน่าแปลกใจอะไร…หลิงเทียนผู้นั้นได้สร้างความบาดหมางกับสกุลจ้าวของพวกเราอย่างที่ไม่อาจสมานฉันท์กันได้อีกต่อไป! ใต้เท้าผู้พิทักษ์ยังให้คำมั่นเอาไว้อีกด้วย…ว่าผู้ใดที่สามารถล่อหลิงเทียนไปฆ่านอกตำหนักได้ จะถูกใต้เท้ารับเป็นบุตรบุญธรรม!!”
“ว่าอะไร!? ใต้เท้าจักรับผู้ที่ลงมือสำเร็จเป็นบุตรบุญธรรม!? นั่นมิได้หมายความว่าจะมีศักดิ์ฐานะเป็นพี่น้องกับท่านรองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง หรอกรึ?”
“ใช่! ข่าวนี้ข้ายืนยันมาแล้ว มิมีผิดพลาดแน่!”
“ดูเหมือนหลิงเทียนจะสร้างความหมางใจครั้งใหญ่ให้ใต้เท้าผู้พิทักษ์แล้วจริงๆ…หาไม่แล้วใต้เท้าคงไม่ถึงขั้นออกคำสั่งล่อลวงสังหารเช่นนี้! เจ้าบอกข้าหน่อย ที่แท้หลิงเทียนทำอันใดกับสกุลจ้าวเรากันแน่ ใต้เท้าผู้พิทักษ์ถึงทำขนาดนี้?”
“หลิงเทียนผู้นั้นช่างน่าทึ่งนัก กล้าตบนายน้อยจ้าวจี้ซ้ายทีขวาทีต่อหน้าผู้คนมากมายบนยอดเขาวังนภา…หลังจากนั้นยังฆ่านายน้อยจ้าวจี้ในแดนลับเซียนตั้งแต่ 3 วันแรก ทำให้นายน้อยจ้าวจี้มิอาจได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังอันใด …กระทั่งเบาะแสพื้นที่มรดกยังไม่ทันได้รับด้วยซ้ำ”
“ให้ตายเถอะ…เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย แดนลับเซียน ตลอดชั่วชีวิตเข้าได้เพียงครั้งเดียว…การฆ่านายน้อยจ้าวจี้ในนั้นแบบนี้ ก็เท่ากับตัดหนทางก้าวหน้าของสกุลจ้าวเรา ทำลายอนาคตและความหวังทั้งมวลพินาศ…ด้วยความรักที่ใต้เท้าผู้พิทักษ์มีให้นายน้อยจ้าวจี้ หากท่านไม่ฆ่าหลิงเทียนผู้ใดยังจะฆ่าหลิงเทียนอีก?”
…
หลังได้รับคำสั่ง ไม่นานแซ่จ้าวทุกคนในตำหนักฟ้าลี้ลับก็คึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่!
ต้องทราบด้วยว่า ขอเพียงล่อลวงคนออกไปฆ่าได้สำเร็จ พวกมันก็จะได้เป็นบุตรหรือบุตรีบุญธรรมของจ้าวจิน!
นี่เป็นโอกาสอันประเสริฐ! ไก่บ้านอาจทะยานกลับกลายเป็นหงส์ฟ้าได้ในชั่วข้ามคืน! นับเป็นโอกาสดีที่ชั่วชีวิตอาจมีเพียงครั้งเท่านั้น ย่อมไม่มีใครอยากพลาด!!
แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบเลย!
ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ทราบ กระทั่งคนอื่นๆในตำหนักฟ้าลี้ลับที่ไม่ใช่คนของสกุลจ้าวก็ไม่ทราบ!!
ถึงแม้เรื่องนี้จะแพร่ออกไปทั่วถึงในหมู่อาวุโสและเหล่าศิษย์สกุลจ้าว ทว่ากลับมิยักรั่วไหลถึงหูคนนอกแม้แต่คนเดียว นั่นบอกให้รู้ว่าขุมพลังอำนาจของสกุลจ้าวมันแข็งแกร่งและเป็นปึกแผ่นขนาดไหน!
ด้วยเหตุนี้อาวุโสชราทั้งศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลายจึงหาเรื่องแวะเวียนผ่านไปยังยอดเขาวังนภาอยู่บ่อยครั้ง หมายสืบเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนในบ้านพัก
อย่างไรก็ตามพวกมันพบว่าต้วนหลิงเทียนมักจะปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ในบ้าน แม้พวกมันจะจับตาเฝ้ารออยู่เป็นเวลาสิบวันครึ่งเดือน พวกมันก็ไม่เห็นวี่แววที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากการปิดด่านบ่มเพาะพลังเลย
หลายต่อหลายคนจึงพากันกลับไปด้วยความผิดหวัง
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่เฝ้ารอคอย และไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้หากไม่เห็นต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ!
เมื่อผ่านไปอีกครึ่งเดือนก็เหลือผู้ที่เฝ้าจับตามองบ้านพักต้วนหลิงเทียนแค่ไม่กี่คน
‘รอให้มันออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเช่นนี้ออกจะเหลวไหลไปอยู่บ้าง อีกทั้งการมาเฝ้าเช่นนี้ย่อมเผยพิรุธให้คนอื่นรู้เข้าสักวัน เช่นนั้นข้ากลับไปรอคอยจนกว่าจะได้ข่าวมันออกจากการปิดด่านดีกว่า…’
อาวุโสและศิษย์สาวกตระกูลจ้าวหลายต่อหลายคนต่างคิดกันแบบนี้
หลังจากนั้นไม่นานก็เหลือคนเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวบ้านพักของต้วนหลิงเทียน คนกลุ่มนี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่ตั้งความหวังเอาไว้อย่างแรงกล้าว่าจะเป็นบุตรบุญธรรมจ้าวจินให้จงได้!
หากพวกมันก่อการสำเร็จ พวกมันก็เสมือนได้ทะยานฟ้าในก้าวเดียว! ยกระดับฐานะว่องไวดั่งจรวด!!
ไม่ว่าด้านนอกจะมีเหตการณ์วุ่นวายอะไร ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติย่อมไม่สนใจทั้งสิ้น ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาใกล้ทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเต็มที!
ตราบใดที่การทะลวงด่านคราวนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น เขาก็จะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!!
และเมื่อถึงตอนนั้นปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาจะยกระดับพัฒนาอีกครั้ง กลายเป็นมีพลังอำนาจเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นกลาง!!
‘หากทะลวงด่านได้ ตอนนั้นต่อให้ไม่พึ่งความช่วยเหลือภายนอกทั้งพลังดิบเถื่อน แต่พลังรบของข้าก็ทัดเทียมกับอริยะเซียนขั้นกลาง! กระทั่งยังสามารถเอาชนะอริยะเซียนขั้นกลางได้หากใช้พลังลึกล้ำของยอดใจกระบี่ขั้นที่ 2!’
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการทะลวงด่าน ใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย
ตอนนี้เขาไม่ได้รู้เลยว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่อยากฆ่าเขาให้ตาย เพราะมีเพียงการฆ่าเขาให้ตาย ฐานะของพวกมันจะยกระดับครั้งใหญ่ สามารถสร้างชื่อให้ตัวเองได้…
“บุตรบุญธรรม? บุตรีบุญธรรม?”
จ้าวจี้เองที่ปิดด่านบ่มเพาะไปตลอดทั้งเดือน พอออกจากการปิดด่านมาเพราะถึงจุดรอคอย ก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มถูกใจหลังได้ยินรายงานเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงที่มันปิดด่านจากศิษย์รับใช้ของตระกูลจ้าว…
“ข้ามิอยากจะเชื่อเลยว่าท่านปู่กลับกระทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้าด้วยวิธีอันประเสริฐเช่นนี้!!”
จังหวะนี้จ้าวจี้อดยิ้มแสยะไม่ได้จริงๆ “หลิงเทียน…ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะรักษาชีวิตบัดซบของเจ้าไว้ได้อีกนานแค่ไหน!!”
นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่จ้าวจี้เห็นปู่มันลงมืออย่างอุกอาจเล่นใหญ่ขนาดนี้!
นอกจากนั้นมันเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าด้วยคำมั่นที่ปู่มันให้ไว้ น่ากลัวคนกว่า 9 ส่วนของสกุลจ้าวต้องกลายเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา!
ด้วยมีสัญญาแบบนี้ ยังมีใครคิดถอดใจฆ่าหลิงเทียนได้?
หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวจี้ก็ได้รับทราบว่าตอนนี้ถึงรอบที่บิดาของมันจะต้องไปเฝ้าฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว
ด้วยความที่วิญญาณของฉีจิ้งยังไม่ฟื้นฟูหายดี มันจึงอยู่ในอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย
และตอนนี้มันก็ถูกขังเอาไว้ในคุกลับใต้ดินของวังนภา อยู่ในตำหนักหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ
คุกลับใต้ดินนี้มีรองจ้าวตำหนักของตำหนักฟ้าลี้ลับผลัดกันมาเฝ้าทุกๆเดือน
ยิ่งไปกว่านั้นคิดจะบุกมาถึงคุกลับใต้ดินที่ฉีจิ้งถูกขังอยู่ ยังต้องผ่านอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งศิษย์ที่เดินลาดตระเวนตรวจตราด้านนอกมากมาย รองจ้าวตำหนักที่เฝ้าฉีจิ้งคือปราการสุดท้าย!
และเดือนนี้ก็ถึงรอบที่จ้าวเติง บิดาจ้าวจี้ต้องไปเป็นคนเฝ้า
‘เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีอันใดทำ ข้าลองไปดูเจ้าฉีจิ้งอะไรนั่นหน่อยดีกว่า…จำได้ว่าเคยไปเจอมันด้านนอกครั้งหนึ่ง แต่มันก็แค่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหนา ข้าเลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก…’
สำหรับบุคคลทั่วไป คิดไปยังคุกลับใต้ดินของตำหนักฟ้าลี้ลับ นับเป็นเรื่องยากเย็นถึงขั้นแทบเป็นไปไม่ได้! แต่สำหรับจ้าวจี้เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก!!
นั่นเพราะมันคือนายน้อยของสกุลจ้าว!
ไม่ว่าจะศิษย์หรืออาวุโสที่ลาดตระเวณด้านนอก หรือที่คอยคุ้มกันทางเข้าอะไรด้านใน ก็จำต้องไว้หน้ายอมให้มันผ่านทางแต่โดยดี เพราะเห็นแก่พลังอำนาจของสกุลจ้าว รวมถึงเห็นแก่จ้าวเติงและจ้าวจิน
“ท่านพ่อ…”
ดังนั้นจ้าวจี้จึงเดินตัวปลิวมาอย่างสบายๆไม่ติดอันใดทั้งสิ้น ทว่าพอมันเดินมาถึงหน้าประตูคุกลับใต้ดิน ก่อนที่มันจะได้เรียกหาบิดาจบคำ ก็ปรากฏร่างหนึ่งอันเสมือนผุดจากความว่างมาโผล่ตรงหน้า
ทั่วร่างของคนผู้นี้ยังเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว
“ท่านพ่อ ข้าเอง!!”
สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่ากลัวนี้ จ้าวจี้รีบร้อนกล่าวออกไปเสียงดังทันที
“จี้เอ๋อ ไฉนเจ้ามาถึงที่นี่ได้! ใยไม่ปิดด่านบ่มเพาะพลังให้ดีเล่า?”
ผู้ที่คล้ายจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่าขวางประตูคุกลับใต้ดินเอาไว้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นรองจ้าวตำหนักที่ทำหน้าที่คุ้มกันคุกลับเดือนนี้…
บิดาของจ้าวจี้ จ้าวเติง!
เมื่อพบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าที่แท้เป็นบุตรชายของตัว จ้าวเติงก็สลายจิตฆ่าฟันทันที
“ท่านพ่อ ข้าพึ่งออกจากการปิดด่านมา พอได้ยินว่าท่านอยู่ที่นี่ก็เลยมาหา”
จ้าวจี้ยิ้มกล่าว
“มาหาข้าถึงที่นี่สมควรเป็นเรื่องโกหกมากกว่า…แท้ที่จริงเจ้ามาหาฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องล่ะสิ?”
ในฐานะบิดาของจ้าวจี้ ไหนเลยจ้าวเติงจะไม่รู้ความคิดบุตรชายตัวเอง
จ้าวจี้หัวเราะออกมาทันที
“แล้วปิดด่านบ่มเพาะคราวนี้ เจ้ามีผลเลิศล้ำอันใดหรือไม่?”
จ้าวเติงกล่าวถาม
“ครั้งต่อไปที่ข้าปิดด่านบ่มเพาะ สมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้สำเร็จ!”
จ้าวจี้ประกาศออกมาอย่างมั่นใจ
“โอ!!”
สองตาจ้าวเติงลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันใด เร่งผงกหัวอย่างแรง “ไม่เลว! เจ้าสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้รวดเร็วกว่าเกาเผิงของวังนภาเสียอีก…ถึงแม้ยังมิอาจเทียบกับหลิงเทียนได้ แต่นี่ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว!!”
วาจาท้ายประโยคนั้นจ้าวเติงเผลอกล่าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว
และทันทีที่มันพูดจบ มันก็รู้ตัวว่าพลาดแล้ว
แน่นอนว่ามันเห็นหน้าจ้าวจี้บิดเบี้ยวไปทันใด จึงเร่งกล่าวแก้ไขสถานการณ์ทันที “แต่หลิงเทียนนั่นก็มิอาจอยู่ได้นานนัก! ข้ามั่นใจว่าก่อนมาที่นี่เจ้าสมควรได้ยินเรื่องที่ท่านปู่ของเจ้าให้คำมั่นแล้วใช่หรือไม่? ครั้งนี้ท่านปู่ของเจ้าตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง ไม่แม้แต่จะถามความเห็นของข้าด้วยซ้ำ!”
“ตอนนี้พี่น้องทุกคนในสกุลจ้าวล้วนกำลังหาทางฆ่าหลิงเทียนให้เจ้าทั้งสิ้น!” กล่าวจบจ้าวเติงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ในใจของบิดามัน ตัวมันจ้าวเติงที่เป็นบุตรชาย…คล้ายจะมีความสำคัญน้อยกว่าหลานชายอย่างจ้าวจี้ ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของมันเสียอีก…
อย่างไรก็ตามทั้งหมดจ้าวจินล้วนกระทำเพื่อจ้าวจี้ลูกชายคนเดียวของมัน จ้าวเติงแน่นอนว่าย่อมไม่คิดแข่งขันแย่งชิงความรักจากบิดากับลูกตัวเอง เพียงแค่น้อยใจไปบ้างบางครั้งเท่านั้น…
“ใช่! ด้วยคำมั่นนี้ของท่านปู่ หลิงเทียนมันต้องตายแน่!!”
แววตาจ้าวจี้เผยประกายเย็นเยือกท่วมท้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน!
ตอนที่ 1,803 : ข้อตกลง
ห้องขังของคุกลับใต้ดินนั้นช่างเป็นอะไรที่โล่งโจ้งนัก นอกจากเตียงศิลาหลังหนึ่ง มันก็ไม่มีอะไรอื่นแล้ว…
และตอนนี้มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนทอดกายอยู่บนเตียงศิลาดังกล่าว
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ด้วย คงจดจำได้ทันทีว่าร่างที่นอนอยู่ร่างนี้…ก็คือฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่ถูกกระบี่พลังของเขาพุ่งทะลวงหว่างคิ้วไปในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!
ฉีจิ้งนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงอย่างไม่ไหวติง ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ ท่านปลุกให้มันตื่นได้รึยัง?”
ยืนอยู่หน้าเตียงฉีจิ้ง จ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะหันไปถามบิดา
ถามเสร็จมันก็หันมามองสำรวจฉีจิ้งบนเตียง แววตาฉายประกายแห่งความปรารถนาออกมาล้นปรี่! หากใครไม่รู้มาเห็นเขามิแคล้วคงคิดว่ามันเป็นบุรุษที่นิยมตัดแขนเสื้อ และสนใจในตัวฉีจิ้งแน่แท้!!
(ตัดแขนเสื้อ = คำเรียกพวกไม้ป่าเดียวกัน)
อย่างไรก็ตามแววตาเผยปรารถนาที่จ้าวจี้ใช้มองฉีจิ้งนั้น มิได้พิสวาสในตัวฉีจิ้งแต่อย่างใด เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงในหัวฉีจิ้งต่างหาก!!
“ไม่เลย”
ได้ยินคำถามของจ้าวจี้ จ้าวเติงส่ายหัวกล่าวตอบ “ตอนนี้วิญญาณของมันยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ หากมันคิดจะตื่นขึ้นอย่างน้อยๆวิญญาณของมันต้องฟื้นฟูหายดีถึง 8 ส่วน! หาไม่แล้วเกรงว่าคงมิอาจตื่นขึ้นมาได้”
“แล้วถ้าแค่เรื่องรับรู้เรื่องราวโดยรอบเล่า มันทำได้รึยัง?”
จ้าวจี้ถามอีกครั้ง
“สมควรทำได้แล้ว”
จ้าวเติงพยักหน้า “อย่างไรก็ตามพ่อพยายามสื่อสารกับวิญญาณของมัน ทว่าพ่อมิได้รับการตอบสนองอันใดจากมันเลย…มิรู้ว่ามันจงใจเพิกเฉย หรือไม่อาจติดต่อสื่อสารกับพ่อได้จริงๆกันแน่”
“สื่อสารกับวิญญาณ?”
ลูกตาจ้าวจี้ลุกวาวขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ…ใช่ท่านหมายถึงการส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะหรือไม่?” ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น หากบรรลุถึงขอบเขตเซียนแล้ว นอกจากส่งเสียงผ่านปราณ ยังมีวิธีการสื่อสารอีกวิธี…
หากยังไม่บรรลุขอบเขตเซียน สามารถสื่อสารเป็นการลับผ่านการส่งเสียงผ่านปราณแท้หรือพลังงานต้นกำเนิดเท่านั้น ทว่าหลังจากทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตเซียน สามารถใช้พลังวิญญาณที่แปรเปลี่ยนเป็น ‘สำนึกเทวะ’ เพื่อสื่อสารกันได้
การสื่อสารประเภทนี้เรียกว่า ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะ และส่วนมากแล้วตัวตนในขอบเขตเซียนระดับสูงที่ใช้สำนึกเทวะคล่องแคล่วแล้ว ก็มักจะใช้วิธีการสนทนาแบบนี้พอๆกับส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิด…
“ใช่”
จ้าวเติงพยักหน้าอีกครั้ง “ถึงแม้วิญญาณของมันยังอ่อนแอ แต่ไม่ควรส่งผลกระทบต่อการรับรู้เรื่องราวภายนอก…กระทั่งสมควรส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะได้แล้ว”
คราวนี้หลังได้ฟังคำจ้าวเติง จ้าวจี้ไม่ตอบคำบิดาอะไร หากแต่หันกลับไปมองยังฉีจิ้งทันที
ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของมันก็แผ่ไปยังจิตใจของฉีจิ้ง เร่งส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปทันที “ฉีจิ้ง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ ข้าคือจ้าวจี้แห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง”
อย่างไรก็ตามคำพูดที่จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปยังฉีจิ้ง กลับไร้ซึ่งการตอบสนองอันใดจากอีกฝ่าย
ทว่ามันไม่ล้มเลิกแต่เพียงเท่านี้
“ฉีจิ้ง ข้ารู้ดีว่าตอนนี้เจ้าสมควรฟื้นคืนสติ กระทั่งรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าแล้ว…และเจ้าสมควรตระหนักได้ว่ายามนี้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของเจ้าถูกทำลายลงไปด้วยน้ำมือของตำหนักฟ้าลี้ลับข้าเป็นที่เรียบร้อย…ข้ายังมั่นใจว่าเจ้าสมควรรู้เหตุผลการลงมือของตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราดี…เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง!!”
ถึงแม้ฉีจิ้งจะไม่ตอบสนอง หากแต่จ้าวจี้ยังส่งเสียงไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ไปตรวจสอบอย่างละเอียดของจ้าวจี้ มันก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณที่กระจัดกระจายของฉีจิ้งสั่นไหวไปเบาๆ
ทันใดนั้นมันก็ยืนยันได้ทันทีว่าฉีจิ้งฟื้นคืนสติแล้ว
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่เล่าว่าตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรารู้ได้อย่างไรว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างเจ้ามีเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงไว้ในครอบครอง?”
จ้าวจี้ยังคงส่งเสียงผ่านสำนักเทวะกล่าวกับฉีจิ้งอย่างไม่ลดละ
อย่างไรก็ตามคราวนี้เศษเสี้ยววิญญาณของฉีจิ้งไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ คล้ายระวังตัวไม่กล้ากระทำผิดพลาดเหมือนก่อนหน้า
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องกำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย…เช่นนั้นให้ข้าบอกเจ้า! เหตุผลที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของข้า ล่วงรู้ว่าเจ้าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง ล้วนเป็นเพราะลี่เฟิง!”
ลี่เฟิง!!
ทันทีที่ข้อความนี้ของจ้าวจี้ถูกส่งไปจบคำ จ้าวจี้ก็สัมผัสได้ทันทีว่าวิญญาณที่กระจัดกระจายของฉีจิ้งกำลังสั่นไหวครั้งใหญ่ คล้ายอารมณ์กำลังพุ่งพล่าน!
“ในสายตาของคนอื่น เจ้าได้ถูกลี่เฟิงฆ่าตายไปแล้ว…อย่างไรก็ตามลี่เฟิงที่ลงมือกับเจ้ามันสมควรได้รับแหวนพื้นที่ของเจ้ามาครอง ทำให้มันรู้ดีว่าเจ้ายังไม่ตายและเรื่องนี้มีความเป็นไปได้แค่เพียงอย่างเดียวนั้น…เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชารวมวิญญาณ!”
จ้าวจี้ยังส่งข้อความไปอย่างต่อเนื่อง “เคล็ดวิชารวมวิญญาณนี้ มีเพียงเคล็ดบำเพ็ญเต๋าระดับสูงๆของผู้ฝึกเต๋า กับเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงของผู้ฝึกมารเท่านั้นที่มักมีพวกมันพ่วงติดมาด้วย…ข้ากล่าวถูกใช่หรือไม่?”
“ลี่เฟิงมันมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับของเจ้างั้นเหรอ?”
ในที่สุดเสียงที่คล้ายไม่อาจระงับโทสะได้ไหวก็ดังขึ้นในใจจ้าวจี้…เป็นเสียงผ่านสำนึกเทวะหนึ่งที่ส่งมาถึงใจ!
ผู้ที่ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะมาถึงใจจ้าวจี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือฉีจิ้งนั่นเอง!
จ้าวจี้กล่าวถึงลี่เฟิงแบบนี้ ทำให้มันไม่อาจระงับอารมณ์ได้สืบไป หรือไม่ก็มันคร้านจะปกปิดอีกต่อไปแล้วก็ไม่ทราบ
“ลี่เฟิงมิใช่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…อย่างไรก็ตามศิษย์น้องของมันกลับเป็นศิษย์คนหนึ่งในตำหนักฟ้าลี้ลับของเรา! ขณะเดียวกันศิษย์น้องของลี่เฟิงนั่นก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของข้าด้วย!!”
ได้ยินเสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้ง จ้าวจี้ไม่ได้แปลกใจอะไร
เหตุผลที่มันกล่าวถึง ‘ลี่เฟิง’ ก็เพื่อยั่วโทสะให้ฉีจิ้งทนไม่ไหว เพราะอย่างไรเสียที่ฉีจิ้งประสบชะตาอนาถแบบนี้ก็เพราะลี่เฟิง!
และผลก็ปรากฏออกมาแล้วว่ามันกระทำสำเร็จ ฉีจิ้งไม่อาจระงับโทสะได้ไหว จนต้องกล่าวกับมันในที่สุด!
“และข่าวเรื่องที่เจ้าสมควรฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง ล้วนเป็นมันที่แจ้งตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจักมิได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไรในการจับตัวเจ้ามา หากแต่ความดีความชอบทั้งหมดล้วนเป็นของมัน!”
จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปอย่างใจเย็น
“ศิษย์น้องของลี่เฟิง?”
น้ำเสียงของฉีจิ้งเผยความรุนแรงเต็มไปด้วยโทสะอันดุร้ายทันที คล้ายมันอยากฆ่าศิษย์น้องของลี่เฟิงคนนี้ให้ตายกับมือ!
“ใช่! มันคือศิษย์น้องของลี่เฟิง!!”
จ้าวจี้ย่อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์รุนแรงที่แฝงมากับเสียงผ่านสำนึกเทวะได้ จึงกล่าวตอบกลับไปทันที “มันเรียกว่าหลิงเทียน และมีอาจารย์คนเดียวกันกับลี่เฟิง…หากเจ้าคิดล้างแค้นลี่เฟิง ข้าเกรงว่าเจ้าคงมิมีโอกาสแล้ว เพราะยามนี้ลี่เฟิงมันบรรลุถึงอริยะเซียนและจากภูมิภาคเบื้องล่าง ขึ้นไปหาอาจารย์มันที่ภูมิภาคเบื้องบนเรียบร้อย! อย่างไรก็ตามมิใช่เรื่องยากที่เจ้าจะล้างแค้นหลิงเทียน!!”
“ล้างแค้นหลิงเทียน? มิใช่ว่าพวกเจ้าเป็นคนตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นเดียวกันหรือไร? เจ้าคิดปั่นหัวข้าเล่นงั้นเรอะ?”
ฉีจิ้งส่งเสียงค่อนแคะตอบกลับผ่านสำนึกเทวะ
“ก็จริงที่ข้ากับมันเป็นคนตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นเดียวกัน…แต่ถึงมันจะเป็นคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ทว่ามันก็เป็นศัตรูของข้า! ยังเป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับข้าได้! หากเจ้าคิดฆ่ามันระบายโทสะเพื่อแก้แค้นลี่เฟิง พวกเราสามารถร่วมมือกันได้…”
จ้าวจี้กล่าวตอบ
“ร่วมมือกับเจ้า ร่วมมืออย่างไร?”
ฉีจิ้งกล่าวถามผ่านสำนึกเทวะ น้ำเสียงแฝงอยากรู้อยากเห็นและรอฟังคำตอบอยู่ไม่น้อย
“ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องร่วมือกัน ข้าต้องการทราบเรื่องหนึ่ง…เคล็ดบำเพ็ญมารที่เจ้าฝึกฝนบ่มเพาะ เป็นอวิชชาที่ใช้แนวทางอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม หรือเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะทั่วไปไม่ขัดต่อมโนธรรม…”
จ้าวจี้กล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง เรื่องนี้สำคัญไม่น้อย และมันยังอยากรู้มาตลอด
“ตอนนี้ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง เช่นนั้นเจ้าสมควรรู้ด้วยว่าข้าใช้เวลาแค่เพียงปีเดียวทะลวงขอบเขตพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาจนถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด….เจ้าคิดว่าหากเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ใช้แนวทางฝึกปรือบ่มเพาะพลังธรรมดา…เรื่องพรรค์นี้มันจักเป็นไปได้หรือ?”
เผชิญหน้ากับคำถามของจ้าวจี้ ฉีจิ้งเลือกที่จะย้อนถาม…
“แล้วเรื่องชั่วร้ายที่จำเป็นต้องทำในการบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารของเจ้าคืออันใด?”
จ้าวจี้กล่าวถามอีกครั้ง
“เฮอะ…กล่าวไปก็มิได้มีใดมาก เพียงแค่สูบกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีก็เท่านั้น! แต่หลังสูบกลืนแล้วพวกนางก็จักกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว! หากเป็นสตรีพรหมจรรย์ผลลัพธ์ที่ได้จักเพิ่มพูนเป็นสองเท่า! ที่พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์ในเวลาแค่ปีเดียว เป็นเพราะข้าเลือกจะดูดกลืนพลังหยินและแก่นแท้โลหิตจากสตรีพรหมจรรย์…แน่นอนว่าพวกนางล้วนกลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น!!”
ฉีจิ้งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย คล้ายไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด…
พอจ้าวจี้ได้ยินคำพูดนี้ของฉีจิ้งมันอดไม่ได้ที่จะขนลุกเล็กน้อย ขณะเดียวกันในใจของมันก็คล้ายมีแสงสว่างวาบ กล่าวถามออกไปผ่านสำนึกเทวะด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ไฉนลักษณะที่เจ้าอธิบายมา กลับละม้ายคล้ายวิธีการบ่มเพาะของผู้ฝึกมารที่ปรากฏตัวขึ้นในภูมิภาคเบื้องล่างเมื่อหลายปีก่อน…อย่าได้บอกข้าเชียว ว่าเจ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน…”
“เคล็ดบำเพ็ญมารอันน่ากลัว…ของมารร้ายยอดฝีมือที่สร้างเภทภัยไปทั่วหล้าครั้งอดีตนั่น!” จ้าวจี้เองก็ย่อมจดจำเรื่องนี้ได้เช่นกัน เพราะนั่นคือเคล็ดบำเพ็ญมารที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในอดีต
ตอนนั้นมารร้ายยอดฝีมือที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารๆกลืนหยินนี้ ออกอาละวาดฆ่าฟันก่อมรสุมโลหิตครั้งใหญ่ พาลให้คนทั้งใต้หล้าแค้นเคืองถึงขั้นผนึกกำลังกันหมายปราบมารร้ายผดุงคุณธรรมแทนฟ้า! จนสุดท้ายข่าวคราวของยอดฝีมือฝ่ายมารคนนั้นก็หายไป เสียงลือกันว่ามันได้ขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนแล้ว…
ถึงแม้เรื่องราวนี้จะผ่านมาหลายปีดัก หากแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายรู้สึกเสมือนการอาละวาดของผู้ฝึกมารอันร้ายกาจคนนั้นพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แถมนามเคล็ดบำเพ็ญมารอย่าง มารกลืนหยิน ก็แพร่กระจายจนรู้กันไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ด้วยเหตุนี้จ้าวจี้จึงสามารถกล่าวคำ มารกลืนหยิน ออกมาได้ทันทีหลังได้ฟังคำฉีจิ้ง!
“โฮ่! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้จัก มารกลืนหยิน ด้วย…มิผิดข้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยิน! กล่าวให้ชัดคือข้าบังเอิญได้รับสืบทอดมรดกของสุดยอดฝีมือมารร้ายผู้นั้น ที่ออกอาละวาดในครั้งอดีต!!”
ฉีจิ้งกล่าว
“หากข้าจำไม่ผิด…ยามนั้นยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเจ้าก็ถูกมารร้ายตนนั้นสังหารไปด้วยมิใช่หรือไร? หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วอายุคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเจ้าก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ สุดท้ายจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็กลายเป็นขุมพลังชั้น 4….”
จ้าวจี้ย่อมรู้ผลกระทบของเรื่องราวหลังจากนั้นดี “กล่าวไปแล้วมารร้ายยอดฝีมือที่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินคนนั้น สมควรเป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเจ้า…แล้วไฉนเจ้าถึงฝึกมารกลืนหยืนได้? คนที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันยินยอมให้เจ้าฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญมารของศัตรูคู่ฟ้าได้อย่างไร?”
“นั่นเพราะพวกมันมิได้ล่วงรู้ว่าที่ข้าฝึกปรือคือมารกลืนหยิน…ส่วนตัวข้า ข้าไม่เคยสนใจว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาอันใด ให้ชั่วร้ายเพียงไหนล้วนไร้สำคัญ ขอเพียงให้มันสามารถเพิ่มพลังฝีมือข้าให้กล้าแกร่งสูงล้ำขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น…ล้วนประเสริฐทั้งสิ้น! คนอื่นๆจะว่าอย่างไรก็ช่างหัวมันปะไร!!”
ความหยิ่งทะนงเอาแต่ใจไร้แยแสสิ่งใดของฉีจิ้ง นับว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจจ้าวจี้ไม่น้อย
“ฉีจิ้ง…”
หลังจากนั้นพักหนึ่ง จ้าวจี้พลันส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะกล่าวต่อ “ในอีกครึ่งปีหลังจากนี้ จักมีใครบางคนใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณกับเจ้า…ถึงยามนั้นเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยิน ของเจ้าก็จักตกเป็นของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…แน่นอนว่าตำหนักฟ้าลี้ลับของเราคงมิปล่อยให้ผู้ใดฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยินแน่นอน…”
“ส่วนเจ้าเมื่อถูกล้วงความลับออกกมาหมดสิ้น ย่อมไร้ประโยชน์อันใดอีก…เจ้าต้องตาย!”
น้ำเสียงที่กล่าวผ่านสำนึกเทวะท้ายประโยค จ้าวจี้พยายามเร่งเร้าอารมณ์ไม่น้อย “เช่นนั้น…พวกเรามาทำข้อตกลงกันเถอะ หากเจ้าส่งมอบเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยิน ให้ข้า…ข้าจะฆ่าศิษย์น้องของลี่เฟิงที่เรียกว่าหลิงเทียนนั่น เพื่อล้างแค้นให้เจ้า!!”
ทันทีที่วาจาผ่านสำนึกเทวะของจ้าวจี้ดังจบคำ ฉีจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่งค่อยตอบสนอง “ข้าต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของเจ้าเร่งเร้าอารมณ์ข้ามิน้อย เพียงแค่…ไฉนข้าต้องเชื่อคำเจ้าด้วยเล่า?”
ตอนที่ 1,804 : เงื่อนไขของฉีจิ้ง
“ทำไมเจ้าต้องเชื่อข้างั้นเหรอ…”
ได้ยินคำของฉีจิ้ง จ้าวจี้อึ้งไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบออกไปอย่างไร้แยแส “เจ้าจำต้องเชื่อใจข้า เพราะเจ้ามิมีทางเลือก!”
จ้าวจี้คิดว่าฉีจิ้งต้องตื่นตระหนกเสียอีกหลังได้ยินเรื่องราว และสมควรถูกมันจูงจมูกได้โดยง่าย
แต่ใครจะไปรู้ว่าฉีจิ้งกลับไม่งับเหยื่อ “มิมีทางเลือก? เช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ…หลิงเทียนจักเป็นศิษย์น้องลี่เฟิงแล้วอย่างไร? สุดท้ายเป้าหมายของข้าก็คือล้างแค้นลี่เฟิงนั่น มิใช่มันเสียหน่อย…”
“ถึงแม้หากมันตายไปข้าจะมีความสุขอยู่บ้าง แต่สุดท้ายลี่เฟิงก็ยังอยู่ดี…แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด?”
วาจาท้ายประโยคของฉีจิ้งเต็มไปด้วยความเฉยชา คล้ายไม่ได้สนใจว่าศิษย์น้องลี่เฟิงอย่างหลิงเทียนจะอยู่หรือตายแม้แต่น้อย!
จ้าวจี้ที่ได้ยินถึงกับอึ้งไปแล้วจริงๆ ทุกเรื่องราวผิดจากที่มันคิดคาดไว้อย่างสิ้นเชิง!
มันไม่ควรเป็นแบบนี้!
“เจ้าคิดใช้ชีวิตหลิงเทียนแลกกับเคล็ดมารกลืนหยินของข้านับว่าฝันเฟื่องไปแล้ว! หากข้าเดามิผิด…เจ้ากลัวว่าหลังจากที่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับค้นพบเคล็ดมารกลืนหยินจากวิชาควาญวิญญาณแล้ว พวกมันจักทำลายหรือนำไปผนึกให้ฝุ่นเกาะ และห้ามมิให้ผู้ใดฝึกปรือใช่หรือไม่?”
ฉีจิ้งยังส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะมาอย่างต่อเนื่อง “มิคาดเจ้ากลับต้องการเคล็ดมารกลืนหยินจากข้า…ทั้งยังคิดบ่มเพาะโดยไม่กลัวว่าโลกหล้าจะรุมประนามเจ้า! ข้าล่ะมิอยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่านายน้อยสกุลจ้าวผู้ยิ่งใหญ่จากตำหนักฟ้าลี้ลับจะเลือกกระทำเรื่องผิดบาปเพื่อพลังอำนาจได้อย่างไม่ละอาย”
“เฮอะ! สมแล้วที่เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…เจ้านับว่าฉลาดนัก!”
หน้าจ้าวจี้ตอนนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก อย่างไรก็ตามโอกาสเดียวที่จะได้รับเคล็ดมารกลืนหยินอยู่ตรงหน้า มันย่อมไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ
หากฉีจิ้งถูกสืบค้นวิญญาณ เคล็ดมารกลืนหยินก็จะถูกเปิดโปง
ถึงตอนนั้น เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ถ้าไม่ทำลายทิ้งก็ต้องเอาไปผนึกแน่ ไม่มีทางอนุญาตให้ใครฝึกฝนมันเด็ดขาด
ถึงแม้ว่าการบ่มเพาะพลังด้วยการสูบกลืนพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตจากสตรีจะชั่วร้ายเลวทราม หากแต่กลับเป็นหนทางที่จะได้รับพลังอำนาจด้วยความเร็วอัศจรรย์ จ้าวจี้ที่เห็นแก่ตัวเป็นทุนย่อมไม่แยแส!
เช่นนั้นจ้าวจี้จึงอยากได้เคล็ดมารกลืนหยินจับใจนัก!
“เช่นนั้น…เพื่อให้เจ้าส่งมอบเคล็ดมารกลืนหยินให้ข้า เจ้าจะให้ข้าทำอะไร?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จ้าวีจ้พลันกล่าวถามออกไปผ่านสำนึกเทวะ
“อยากให้ข้ามอบเคล็ดมารกลืนหยินให้เจ้าน่ะเหรอ…”
น้ำเสียงเฉยเมยของฉีจิ้งดังขึ้นในใจจ้าวจี้ “ง่ายดายนัก…ตราบใดที่เจ้าช่วยให้ข้ารอดชีวิตจากที่นี่ไปได้ ข้าจะค่อยๆถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยินให้เจ้าทีละส่วนๆ”
ท้ายประโยค เสียงฉีจิ้งกล่าวออกคล้ายเป็นเรื่องง่ายดาย
“นั่นเป็นไปไม่ได้!”
จ้าวจี้ไม่คิดเลยว่าฉีจิ้งจะเรียกร้องเรื่องเหลวไหลแบบนี้!
ช่วยชีวิตฉีจิ้ง?
ล้อกันเล่นรึไง!
ถึงมันจะเป็นหลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์และบุตรชายของรองจ้าวตำหนัก แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยฉีจิ้งไปจากที่นี่!
เว้นเสียแต่ปู่กับบิดาของมัน จะให้ความช่วยเหลือจากมันอีกทาง
ทว่านั่นเป็นไปไม่ได้
จ้าวจี้รู้ดีว่าแม้ปู่กับบิดาของมันจะตามใจมันมากแค่ไหน แต่หากมันบอกว่าคิดจะฝึกปรือบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินล่ะก็ทั้งคู่ย่อมคัดค้านหัวชนฝาแน่!!
ไม่ใช่ว่าบิดากับปู่ของมันรับไม่ได้กับความชั่วร้ายที่สวรรค์ยังยากจะอภัย แต่บิดากับปู่ของมันกลัวมันตกเป็นเป้าของปวงชนหลังจากบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยิน!
เพราะสุดท้ายแล้วในอดีต ผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็เป็นศัตรูของผู้คนทั้งใต้หล้า!
ยังมีข่าวลือบางอย่างพูดกันด้วยซ้ำ ว่าหลังจากขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ชีวิตของผู้ฝึกมารคนนั้นก็ใช่ว่าจะราบรื่นอะไร ยังต้องหลบซ่อนๆเยี่ยงสุนัขหางจุกตูดหรือมุกสิกขลาดเขลามุดท่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็มิจำเป็นต้องสนทนาใดกันอีก…ข้าจะรอให้ยอดฝีมือตำหนักฟ้าลี้ลับมาสืบค้นวิญญาณหลังจากที่วิญญาณของข้าฟื้นฟูแล้วกัน”
ฉีจิ้งยังส่งเสียง่านสำนักเทวะมาไม่หยุด ในวาจาแฝงเร้นไปด้วยความแดกดันราว ‘หมูตายไม่กลัวน้ำเดือด’
“เจ้าสมควรรู้ว่าด้วยความสามารถของข้า การจะช่วยเจ้าให้รอดไปจากที่นี่ยังยากกว่าปีนป่ายสวรรค์…เจ้าไม่สู้เปลี่ยนคำขอเถอะ!”
จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวพไปต่อรอง
อย่างไรก็ตามคราวนี้ฉีจิ้งไม่สนใจจะตอบมัน
หากแต่การเงียบไม่ตอบของฉีจิ้ง ก็เป็นการตอบคำของจ้าวจี้ประการหนึ่ง
มันไม่เปลี่ยนเงื่อนไข
หากช่วยชีวิตมันได้ ก็จะได้รับเคล็ดมารกลืนหยิน
หาไม่แล้วก็อย่าหวัง
หลังจากที่ตะโกนผ่านสำนึกเทวะอีกพักหนึ่ง หากแต่ฉีจิ้งยังไม่ตอบสนอง ใบหน้าของจ้าวจี้ก็เผยความซึมเศร้าอับจนออกมา
“จี้เอ๋อ มีอันใดผิดปกติหรือ…รึว่าฉีจิ้งมันตอบคำเจ้า!?”
จ้าวเติงเอะใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอยู่ๆสีหน้าของจ้าวจี้เปลียนไป
“บัดซบ! เจ้ากล้าเมินข้างั้นเหรอ!!”
สิ้นคำจ้าวเติง จ้าวจี้ก็หายจากอาการซึมเซา แถมยังกลายเป็นก้าวร้าวปานถูกฉีดเลือดไก่ ยกฝ่ามือขึ้นอย่างดุร้ายก่อนที่จะตบไปยังใบหน้าฉีจิ้งอย่างเกี้ยวกราด อีกทั้งยังง้างมือขึ้นสูงอีกครา ราวกับจะตบฟาดลงไปที่ขมับของฉีจิ้งที่นอนนิ่งบนเตียงให้แหลก!
“จี้เอ๋อนั่นเจ้าคิดจะทำอันใด!?”
สีหน้าจ้าวเติงเปลี่ยนไปมหันต์เมื่อเห็นจ้าวจี้ง้างมือผนึกพลัง ยังรีบพุ่งร่างออกไปคว้าข้อมือของจ้าวจี้เอาไว้อย่างร้อนใจ ขัดขวางไม่ให้จ้าวจี้ทุบลงไปจริงๆ!
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร! หากเจ้าฆ่ามันไม่เพียงแต่จ้าวตำหนักจะไม่ปล่อยเจ้าไป…แต่เจ้าจะกลายเป็นศัตรูร่วมของเหล่าอาวุโสทั้งหลายในตำหนัก!”
“แถมเพราะเรื่องนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าไม่ว่าเจ้าประสบความสำเร็จมากเพียงใด ก็ยากที่จะได้ตำแหน่งจ้าวตำหนักมาครองแล้ว!”
วาจาท้ายประโยคของจ้าวเติงยังเปี่ยมล้นไปด้วยความรมณ์รุนแรงนัก
“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว…”
ขณะเดียวกันจ้าวจี้ก็ก้มหน้าลงไปเล็กน้อยคล้ายรู้สึกสำนึกผิดหลังโดนบิดาดุด่า
“แต่ท่านพ่อ…มันต้องแกล้งหลับเป็นแน่! ถึงแม้วิญญาณของมันจะยังกระจัดกระจายไม่หายดี แต่ไม่ควรที่มันจะสาหัสถึงขั้นที่มิอาจสื่อสารกับผู้คนได้”
วาจาท้ายประโยคของจ้าวจี้แฝงเร้นไปด้วยความขุ่นขึ้ง
ทำราวกับมันไม่อาจติดต่อสื่อสารกับฉีจิ้งได้จริงๆ
เหตุผลที่มันต้องแสดงละครเช่นนี้ เพราะมันไม่อยากให้บิดาล่วงรู้ ว่ามันได้ติดต่อกับฉีจิ้งแล้ว…
เพราะสุดท้ายแล้วบทสนทนาที่พวกมันหารือกันก็ไม่อาจเปิดเผยให้คนนอกล่วงรู้!
“สมแล้วที่เป็นนายน้อยจ้าวจี้…จึกๆดูเอาเถอะ ท่านกลับสามารถโกหกหลอกลวงบิดาได้หน้าตาเฉยถึงเพียงนี้…ฮัยยา หากข้าเป็นบิดาของท่าน มิแคล้วคงต้องกระอักโลหิตสัก 3 ถังหากรู้ว่าท่านโกหก!”
ฉีจิ้งที่เงียบไปนาน อยู่ก็กล่าวคำค่อนแคะผ่านสำนึกเทวะ
“ฉีจิ้งเจ้าอย่าได้ใจให้มันมากนัก! ข้าไม่แน่ว่าจะมีวิธีช่วยชีวิตเจ้าไปจากที่นี่ได้…และถ้าข้าไม่มีวิธีเจ้าได้ตายแน่!!”
จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปอีกครั้ง
“โอ้! หากกระทั่งนายน้อยอย่างท่านจ้าวจี้ผู้สูงส่งยังมิอาจช่วยชีวิตต้อยต่ำของข้าได้ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้วล่ะ”
ฉีจิ้งกล่าวผ่านสำนึกเทวะออกมาอย่างเฉยเมย คล้ายไม่อนาทรร้อนใจใดๆว่าจะอยู่หรือตาย
“จี้เอ๋อถึงแม้มันจะแสร้งหลับแต่พวกเราก็มิอาจทำอะไรมันได้…ทว่าต่อให้มันเสแสร้งอย่างไร อีกครึ่งปีมันก็มิอาจเสแสร้งใดๆได้อีก จำต้องเผยทุกสิ่งยามถูกสืบค้นวิญญาณ…”
“และเมื่อตำหนักฟ้าลี้ลับเราได้รับข้อมูลเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงนั่นมาจากมันแล้ว สิ่งเดียวที่รอคอยมันอยู่ก็คือความตาย…”
จ้าวเติงไม่คิดสงสัยจ้าวจี้ ยังพยายามกล่าวเพื่อให้บุตรชายสงบใจ “เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือกับคนที่ตายไปแล้ว…”
“ทราบแล้วท่านพ่อ”
จ้าวจี้พยักหน้า และหลังจากทำราวกับซึมซับวาจาสั่งสอนของบิดาจนเข้าใจแล้ว มันก็กล่าวคำลาทันที “ท่านพ่อข้าขอลาไปก่อน ข้าอยู่ที่นี่นานคงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร”
“ไปเถอะ”
จ้าวเติงเดินออกไปส่งบุตรชายหน้าทางเข้าคุกลับใต้ดิน ก่อนที่จะย้อนกลับมา
ด้านจ้าวจี้ที่ออกมาจากคุกลับใต้ดิน ก็กลับบ้านมานั่งคิดหาหนทางจ้าละหวั่น
‘จักมีวิธีอันใดที่ข้าจะช่วยฉีจิ้งนั่นออกมาจากคุกลับใต้ดินโดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้บ้าง…มิว่าอย่างไรข้าก็ต้องเอาเคล็ดมารกลืนหยินนั่นมาให้จงได้…’
‘หากข้าได้ฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน พลังฝึกปรือของ้ขาต้องก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์! พรสวรรค์ทั้งศักยภาพแต่กำเนิดฉีจิ้งอ่อนด้อยกว่าข้ามาก แต่มันใช้เวลาแค่ปีเดียวทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงขั้นสูงสุด! หากเป็นข้าต้องก้าวล้ำเหนือมันมากโข!!’
ตอนนี้ในหัวของจ้าวจี้ เคล็ดมารกลืนหยินเป็นอะไรที่เย้ายวนใจถึงขีดสุด
ในขณะที่จ้าวจี้กำลังครุ่นคิดจนหัวแทบไหม้ ด้านต้วนหลิงเทียนก็ออกจากการปิดด่านฝึกตน วูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ คิดออกไปสูดอากาศด้านนอก
ทันทีที่เขาเปิดประตูบ้านพัก สำนึกเทวะก็แผ่ออกไปรอบๆตามความเคยชินเพื่อสำรวจตรวจสอบ และนั่นทำให้เขาสัมผัสได้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังซุ่มสอดแนมเขาจากที่ลับ…กระทั่งยั่งมีมากกว่าหนึ่งคน!
“พวกตระกูลจ้าวงั้นเหรอ?”
นอกเหนือจากคนตระกูลจ้าวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็นึกไม่ออกว่าเคยไปเหยียบเท้าผู้ใดอีก ถึงทำให้อีกฝ่ายมาซุ่มจับตาดูเขาแบบนี้
“เฮ่! เจ้าออกจากการปิดด่านแล้วหรือ!?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะไปหากู่ลี่ที่บ้าน พลันมีเสียงใสๆหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล
เจ้าของเสียงเป็นสตรีแน่นอน
มองไปไกลตาปรากฏร่างสตรีนางหนึ่งกำลังโรยตัวลงมาจากฟ้าอย่างสง่างามปานธิดาสวรรค์
ด้วยความสดใสที่แผ่ออกจากร่างของนาง ทำให้ทุกสิ่งรอบกายนางคล้ายจะหมองลงไปถนัดตา
ผู้ที่มาหาเขาไม่ใชใครที่ไหน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง
“เจ้านี่เอง หายไปไหนมาตั้งนานล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม “จะว่าไปก็ตั้งแต่แดนลับเซียนปิดตัวสินะ เจ้าหายไปกับจ้าววังนภา…หลังจากนั้นข้าก็ไม่เห็นเจ้าอีกเลย”
“ทำไมเล่า? คิดถึงข้าแล้วล่ะสิ?”
สองตาหวางเฟยเซวียนกลมโตขึ้นมาทันใด ยังเผยประกายสว่างจ้าจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยความร้อนแรง
“เปล่า ข้าแค่รู้สึกไม่ชินเท่านั้น…ปกติแต่ก่อนเวลาข้าจะไปไหนเจ้าก็มาคอยวนเวียน ปานจะบินตามข้าไปทั่ว…พออยู่ๆเจ้าหายไปมันก็เลยโล่งแปลกๆน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำเปรียบเปรยออกมา นับว่าชัดเจนและเหมาะสมนัก
อย่างไรเสียหลังได้ฟังวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนชักหน้าดุขึ้นมาทันที “วนเวียนบินตามอะไร เจ้าเปรียบเทียบข้าเป็นแมลงวันหรือ!?”
“ข้ายังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำเลยนะ”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ “แต่ถ้าเจ้าร้อนตัวคิดไปเอง ข้าก็ช่วยไม่ได้”
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียน อธิบายได้คำเดียว น่ารำคาญนัก!
หวางเฟยเซวียนชักหน้าทำตาดุมองต้วนหลิงเทียนอย่างขุ่นขึ้งค่อยกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าไปบ่มเพาะพลังที่สระวิญญาณมา…จะว่าไปช่างสมแล้วที่เป็นสระวิญญาณของวังนภา! มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! ตอนแรกข้าคิดว่าสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ภายใน 2 ปี…”
“แต่ถ้าข้าได้เข้าไปใช้สระวิญญาณอีกสักครั้ง ข้าเชื่อมั่นว่าขอเวลาแค่ปีเดียวข้าต้องทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้แน่!!”
วาจาท้ายประโยคของหวางเฟยเซวียนเผยให้เห็นความมั่นใจเต็มเปี่ยม ความมั่นใจนี้คล้ายจะส่งผลต่อต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวแสดงความยินดีกับนาง
เขารู้ดีแก่ใจ ว่าลองหวางเฟยเซวียนถูกจูลู่ฉีส่งเสริม หนทางในภายภาคหน้าของนางต้องราบรื่นแน่นอน เขาเองก็รู้สึกยินดีจากใจ
เพราะสุดท้ายเขาก็เห็นนางเป็นสหายคนหนึ่ง…
การยินดีมีสุขเมื่อเห็นสหายได้ดี ก็นับเป็นเรื่องปกติ
แม้วาจาแสดงความยินดีนี้ หวางเฟยเซวียนจะได้ยินมาแล้วหลายครั้ง
หากแต่ไม่ว่าจะได้ยินมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนคุ้นชิน แต่พอมันดังผ่านปากของต้วนหลิงเทียน ความรู้สึกของนางกลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางรู้สึกเสมือนโดนสายลมในฤดูใบไม้ผลิrพัดผ่านอาบไล้ไปทั่วกายอย่างไรอย่างนั้น!
ตอนที่ 1,805 : เกิดเรื่อง!
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่อย่างสงบเท่าไหรนะ…”
ตอนนี้เองหวางเฟยเซวียนก็สัมผัสได้เช่นกันว่ามีหลายคนคอยจับตาดูอยู่ จึงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนออกมาทันที
“ก็นะ…ไม่สงบจริงๆนั่นล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็พบคนพวกนี้แต่แรกแล้ว
“พวกมันมิพ้นเป็นคนของสกุลจ้าว…จากกลิ่นอายของพวกมันเห็นชัดว่าล้วนเป็นอริยะเซียนทั้งสิ้น! ท่าทางตระกูลจ้าวเตรียมลงมือกับเจ้าแล้วจริงๆ…”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกเสียงเข้ม อดไม่ได้ที่จะลอบหลั่งเหงื่อเย็นแทนต้วนหลิงเทียน “นี่เจ้าทึ่ม…หลังจากนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ”
“ไม่ต้องห่วง”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆด้วยท่าทางสบายๆ “ต่อให้เป็นสกุลจ้าวแต่พวกมันก็ไม่อาจลงมือกับข้าได้ง่ายๆหากข้ายังอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับ…ไม่ว่าจะด้วยกฏเกณฑ์ก็ดี หรือจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับก็ดี ตอนนี้พวกมันไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรข้าหรอก”
“เจ้าพูดมามันก็ใช่ แต่อย่าได้ลืมว่าหากสุนัขจนตรอกมันไม่แว้งกัดก็ยังสามารถโดดข้ามกำแพงได้! ช่วงนี้เจ้าก็พยายามอย่าออกไปนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับเล่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา”
หวางเฟยเซวียนกล่าว ในวาจาของนางเผยให้เห็นนักว่ากังวลแทนต้วนหลิงเทียน
“ใจเย็นหน่า ช่วงนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ยังไม่มีเวลาออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับหรอก”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
เรื่องนี้เป็นความจริง
วันนี้ที่เขาออกจากการปิดด่านบ่มเพาะมา ก็เพื่อไปหากู่ลี่ เขาคิดดูว่าตอนนี้วัตถุดิบที่ฝากพ่อลูกไปรวบรวมเพื่อซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นอย่างไรบ้าง ไหนจะยังมีเมิ่งฉิงอีกคน เขาจึงคิดไปตามเรื่องสักหน่อยเพื่อดูว่าได้มาเท่าไหร่แล้ว
เมิ่งฉิงนั้นได้ถ่ายทอดคำสั่งลงไปเพื่อช่วยต้วนหลิงเทียนรวบรวมวัตถุดิบ ทว่าหลังจากที่รวบรวมได้ มันจะส่งวัตถุดิบไปเก็บไว้ที่บ้านของกู่ลี่ เพื่อให้กู่ลี่มอบให้เขาอีกที
นี่เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนแนะนำให้เมิ่งฉิงทำเอง
เพราะสุดท้ายเมิ่งฉิงก็เป็นถึงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ คงไม่ดีที่ต้วนหลิงเทียนจะไปหาเพื่อเอาวัตถุดิบจากเมิ่งฉิงบ่อยๆ
เช่นนั้นแล้วช่วงนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะออกไปไหนจริงๆ
เหตุผลแรกคือเขาต้องการใช้วัตถุดิบนั่นซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ หวังให้ผู้เฒ่าหั่วเฒ่าหั่วปรับปรุงชั้น 4 ให้เร็วที่สุด
เหตุผลที่ 2 คือตอนนี้เขามาถึงจุดรอคอยสุดท้ายแล้ว ขาดอีกแค่เล็กน้อยก็จะสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แล้ว!
ทันทีที่ทะลวงผ่านความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้น!
“แล้วนี่เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ?”
พอได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีเวลาออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ หวางเฟยเซวียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันก็อดถามเรื่องนี้ออกมาไม่ได้..
เพราะนางเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเหมือนกำลังจะออกจากยอดเขาวังนภา
“อ๋อ ข้าจะขึ้นไปตำหนักหลักเพื่อหาพี่กู่น่ะ”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว…กลับไปบ่มเพาะพลังต่อที่บ้านดีกว่าจักได้ทะลวงด่านเร็วๆ”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับทราบ และไม่คิดกวนต้วนหลิงเทียนอีก
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะเหินร่างจากไปทันที
มองส่งจวบจนแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายไป หวางเฟยเซวียนค่อยคืนสติกลับมาอีกครั้ง
“เจ้าทึ่ม เจ้ามันท่อนไม้!”
หลังจากรู้สึกตัวแววตาของหวางเฟยเซวียนก็แลดูฮึดฮัดขัดใจไม่น้อย “ฮึ่ม มิรู้ว่าเจ้าทึ่มมันไปล่อลวงสตรีมาเป็นคู่หมั้นได้อย่างไรถึง 2 คน ไหนจะยังมีสตรีคนรักอีกคน…โอย อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพวกนางเป็นฝ่ายไล่ตามเจ้าทึ่มก่อน?”
ฮึดฮัดฟัดเหวี่ยงอยู่อีกครู่หนึ่ง หวางเฟยเซวียนก็เหินร่างกลับบ้านพักของนาง
หลังจากที่หวางเฟยเซวียนเหินร่างจากไป คนสกุลจ้าวไม่กี่คนที่จับตาดูความเคลื่อนไหวรอบบ้านพักต้วนหลิงเทียน ก็เหินร่างตามเขาไปตำหนักหลัก
‘หืม? ยังจะตามมาอีกเหรอ?’
ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็น ‘หาง’ ที่โผล่ออกมา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้สนใจอะไร
(หางในที่นี้ก็แทนพวกลับๆล่อๆ…เวลาหนูแอบข้างเสา บางทีตัวมันหลบได้แต่หางโผล่มาให้เห็น)
ต่อให้พวกมันจะคิดเล่นงานเขาและลอบตามมาแค่ไหนมันก็เท่านั้น เพราะพวกมันไม่อาจลงมือทำอะไรเขาได้
เพราะสุดท้ายแล้วตำหนักฟ้าลี้ลับมีกฏเหล็กห้ามมิให้ละเมิดโดยเด็ดขาด! นั่นคือสังหารกับทำลายผู้คนในตำหนักฟ้าลี้ลับ!!
หากละเมิดกฏ ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง!
“นี่มันไม่คิดจะออกนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับหรอกเหรอ?”
เมื่อทั้งหมดเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเพียงมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลัก ไม่ได้คิดจะออกไปนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ พวกมันก็รู้สึกผิดหวังกันไม่น้อย
ถึงแม้พวกมันจะค่อนข้างผิดหวังจนหมดอารมณ์ติดตามอยู่บ้าง หากแต่พวกมันก็ยังคอยตามต้วนหลิงเทียนต่อ ไม่นานก็ตามไปถึงส่วนตะวันออกของตำหนักหลัก
“ที่นั่นมันมิใช่ที่อยู่ของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่หรือไง?”
“นอกจากอาวุโสพิทักษ์กู่แล้ว…กู่ลี่เองก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
“ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่ากู่ลี่กับหลิงเทียนเป็นสหายกัน…ดูเหมือนว่าหลังออกจากการปิดด่านหลิงเทียนไม่ได้คิดออกไปไหนแต่มันแค่มาหากู่ลี่ที่นี่”
……
ถิ่นที่อยู่ของอาวุโสผู้พิทักษ์อย่างกู่ซืออวิ๋นนั้น ให้พวกมันมีความกล้ามากกว่านี้อีก 100 เท่าพวกมันก็ไม่กล้าติดตามเข้าไป เพราะอีกฝ่ายมีศักดิ์ฐานะทัดเทียมกับผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดในสกุลจ้าวของพวกมัน
หลังจากรอเป็นเวลานานแต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ออกมาเสียที ทำให้มีหลายคนทนไม่ไหวเลือกที่จะจากไป
ขณะเดียวกันข่าวที่ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้วก็แพร่ไปทั่วสกุลจ้าว ปานพายุใต้ฝุ่น
จังหวะนี้สกุลจ้าวเสมือนเดือดพล่านขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้ตัวเลย
เพราะตอนนี้เขากำลังรับแหวนพื้นที่จากกู่ลี่มาตรวจสอบ
สิ่งของที่อยู่ด้านในแหวนพื้นที่ ก็เป็นวัตถุดิบที่เขาขอแรงให้ช่วยรวบรวมนั่นเอง
กล่าวให้ชัดพวกมันคือวัตถุดิบสำหรับซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
“น้องหลิงเทียน หากมิมีความช่วยเหลือของท่านจ้าวตำหนัก อาศัยแค่ข้ากับท่านพ่อ เกรงว่าคงรวบรวมมาได้ไม่ถึง 1 ใน 10 ของแหวนหรอก”
หลังมอบแหวนพื้นที่ให้ต้วนหลิงเทียน กู่ลี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“ไม่ว่ายังไงครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณพี่กู่แล้วจริงๆ ว่าแต่ลุงกู่เล่า มิอยู่หรือ?”
ตั้งแต่มาต้วนหลิงเทียนยังไม่เห็นกู่ซืออวิ๋นเลย
“ท่านพ่อออกไปจัดการธุระด้านนอกน่ะ คงอีกสักพักถึงจะกลับมา…ทำไมหรือ? เจ้าต้องการพบท่านพ่อรึเปล่า?”
กู่ลี่ถาม
“เปล่าพี่กู่”
ต้วนหลิงเทียนตอบ “ข้าแค่ถามดูน่ะ เห็นว่าลุงกู่ไม่อยู่แค่นั้น…ว่าแต่แล้วตอนนี้พลังฝึกปรือท่านเป็นไงบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนตอบคำ ค่อยถามเปลี่ยนเรื่อง
กู่ลี่ได้บอกเขาไว้ก่อนหน้านี้ ว่าหากทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์เมื่อไหร่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนทันที เพื่อไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
และตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือของกู่ลี่ก็บรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุดแล้ว เรียกว่าขาดอีกแค่เพียงไม่กี่ก้าวก็จะบรรลุถึงเซียนมนุษย์
“ก็ยังทรงๆอยู่…คิดว่าน่าจะเกือบๆ 2 ปีกว่าข้าจะทะลวงได้”
กู่ลี่หัวเราะ “น้องหลิงเทียน เจ้าก็รีบทะลวงให้ถึงอริยะเซียนเข้าเล่า ในเมื่อเจ้าคิดไปตามหาอาจารย์ที่ภูมิภาคเบื้องบน ข้าเองก็จะได้ไปพร้อมกันกับเจ้าเลยหลังข้าบรรลุถึงเซียนมนุษย์ เจ้าคิดว่าทะลวงด่านทันหรือไม่?”
“ทันแน่นอน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับด้วยความมั่นใจ หากได้เวลา 2 ปี และมีโอกาสได้เข้าไปใช้สระวิญญาณของวังนภาอีกสักครั้งสองครั้ง เขามั่นใจว่าคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะบรรลุถึงอริยะเซียน…
นอกจากนี้กู่ลี่ยังไม่ทราบว่าด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ยังแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น หาไม่แล้วคงได้หวาดกลัวจนหัวใจวายตายแน่!
เพราะในสายตาของทุกคนตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหมด ไม่เว้นกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนนั้นบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว และหากอีกแค่ก้าวเดียวจะบรรลุถึงอริยะเซียน
ต้วนหลิงเทียนนที่รับปากกู่ลี่ไปแล้ว ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันอยู่บ้าง!
ดังนั้นเมื่อเสร็จเรื่องวัตถุดิบแล้ว เขาจึงอำลากู่ลี่เพื่อรีบกลับไปบ่มเพาะพลังที่บ้านพักต่อทันที
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านพัก ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าอะไร เมื่อตรวจสอบว่าปิดประตูหน้าต่างดีแล้ว ก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปทันที ส่งมอบแหวนพื้นที่อันมีวัตถุดิบมากมายให้ผู้เฒ่าหั่ว “ผู้เฒ่าหั่ว พวกนี้เป็นของที่จำเป็นต้องใช้ในการซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…นี่ยังเป็นแค่ชุดแรกเท่านั้น หลังจากนี้น่าจะมีอีกมาก”
ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าด้วยความสามารถของตำหนักฟ้าลี้ลับ การรวบรวมวัตถุดิบทั่วๆไปในรายการสมควรกระทำได้ไม่ยาก
สำหรับวัตถุดิบหายากนั้น ขึ้นอยู่กับโชควาสนาแล้ว…
หลังจากส่งมอบวัตถุดิบให้ผู้เฒ่าหั่วอีกฝ่ายก็รุดไปซ่อมแซมชั้น 4 ทันที ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ไปบ่มเพาะพลังที่ชั้น 3
ไม่ทราบเป็นเพราะแรงกดดันจากสัญญาที่ให้ไว้กับกู่ลี่หรืออย่างไรไม่ทราบ หากแต่ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาบ่มเพาะพลังอีกแค่ 10 วัน ก็สามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้สำเร็จ!
10 วันบนชั้น 3 ของเจย์หลิงหลง 7 สมบัติ ก็เป็นเพียง 2 วันด้านนอก…
หลังทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียนก็ทรงพลังขึ้นเช่นกัน ตอนนี้พลังอำนาจของมันเทียบได้กับปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นกลางแล้ว
การบ่มเพาะพลังนั้น หลังจากบ่มเพาะไปนานๆเป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะพบกับ คอขวดหรือจุดรอคอย
เมื่อพบเจอสถานการณณ์เช่นนี้เขาก็จะหยิบกระบี่นิลสวรรค์ออกมา เพื่อทำความเข้าใจเคล็ดความอันลึกซึ้งของยอดใจกระบี่ โดยมีกระบี่นิลสวรรค์ช่วยเหลือ
ขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่อย่าง เงากระบี่สัมพันธ์ใจ ก็ถูกเขาทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเจียนจะเข้าสู่ขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่เต็มที
“นี่มันอันใดกัน ผ่านไปอีกเดือนแล้ว…หรือมันคิดจะปิดด่านบ่มเพาะเช่นนี้ไปตลอด?”
ตอนนี้เหล่าคนของสกุลจ้าวที่มาเฝ้าจับตานอกบ้านของต้วนหลิงเทียน ก็ร้อนใจกันแทบบ้า
“หลิงเทียนผู้นี้ยังใช่ผู้คนอีกหรือ มันพึ่งออกจากการปิดด่านได้ไม่ทันไร..กลับไปปิดด่านต่อแล้ว!? นี่ยามมันบ่มเพาะฝึกฝน มิได้มีจุดรอคอยเหมือนผู้อื่นเลยรึไง?”
ศิษย์สกุลจ้าวมากมายรู้สึกพูดไม่ออก
จุดประสงค์ของพวกมันคือพยายามล่อลวงต้วนหลิงเทียนไปฆ่านอกตำหนักฟ้าลี้ลับ
ทว่าต้วนหลิงเทียนเล่นปิดด่านบ่มเพาะทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันไปไม่รู้จบเช่นนี้ ให้มันมีพันวิธีหมื่นกลยุทธ์ก็จนใจไม่ได้ใช้ออก!
กาลเวลาผ่านไปฉับไว ดั่งลูกม้ากลายเป็นเติบใหญ่
ไม่กี่เดือนพ้นผ่านนานเป็นปี ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเงียบหายไปจากตำหนักฟ้าลี้ลับ…
ตั้งแต่ที่ปิดด่านบ่มเพาะครั้งสุดท้าย ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยออกมาจากบ้านพักอีกเลย…
เหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวแต่เดิมที่กระตือรือร้นดั่งเพลิงไฟ ยามนี้กลับเป็นใจที่ร้อนรุ่มด้วยกังวล อนิจจาเรื่องนี้สุดที่พวกมันจะทำอย่างไรได้จริงๆ…
และตอนนี้เองข่าวอันน่าตกใจหนึ่งก็แพร่ไปในบรรดาระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ
ฉีจิ้งหายตัวไป!
แน่นอนว่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ว่า ก็เป็นชนชั้นรองจ้าวตำหนักขึ้นไป
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
มองไปยังเตียงศิลาว่างเปล่าในห้องขังของคุกลับใต้ดิน สีหน้าเมิ่งฉิงแม้ไม่เผยอารมณ์ใดๆออกมา หากแต่ผู้คนสัมผัสได้ชัดเจนจากน้ำเสียงเยียบเย็นนั่น ว่ายามนี้อีกฝ่ายกำลังมีโมโหถึงเพียงใด!
“แล้วจ้าววังจูไปที่ใด?”
ตอนนี้เองรองจ้าวตำหนักคนหนึ่งพลันพบว่า มีเพียงจ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีที่ไม่อยู่
“ช่วงนี้เป็นผู้ใดที่มีหน้าที่เฝ้าฉีจิ้ง?”
เมิ่งฉิงกล่าวถาม
“สมควรเป็น…จ้าววังจู…”
รองจ้าวตำหนักอีกคนกล่าวตอบ…
ตอนที่ 1,806 : ยามเปลี่ยนเป็นโจร
เหล่าอาวุโสระดับสูงไม่ว่าจะเป็นรองจ้าวตำหนักทั้งหลาย หรือเมิ่งฉิงรีบรุดมาที่นี่ทันทีหลังได้รับรายงานว่าฉีจิ้งหายตัวไป…คาดว่าถูกคนช่วยไปแล้ว!
อย่างไรก็ตามไม่ทันไรทุกคนก็พบว่าในบรรดาระดับสูง กลับมีอีกคนที่ไม่อยู่!
และดันเป็นผู้ที่สมควรรับหน้าที่เฝ้ายามช่วงนี้พอดี…ไม่ใช่ใครที่ไหน จ้าววังนภา จูลู่ฉี!
“ท่านจ้าวตำหนัก! ทานจ้าวตำหนัก!!”
ในขณะที่บรรยากาศภายในคุกลับใต้ดินกำลังตึงเครียดบีบคั้น พลันมีเสียงหนึ่งโพล่งดังขึ้นอย่างแตกตื่นจากด้านนอก
‘จี้เอ๋อ?’
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังกล่าว จ้าวจินกับจ้าวเติงหันมองหน้าสบตากันทันที ต่างแลเห็นถึงความประหลาดใจในสายตาของกันและกัน
ไฉนถึงมาตอนนี้ได้!
ไม่นานร่างจ้าวจี้ก็ปรากกขึ้นต่อหน้าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ
“จี้เอ๋อ เจ้ามาทำอันใดที่นี่! หรือเจ้าไม่รู้ว่านี่มิใช่ที่ๆเจ้าควรจะมา!?”
จ้าวเติงมองจ้าวจี้ค่อยกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ
ครั้งสุดท้ายที่มันเข้าเวรจ้าวจี้ก็มาที่นี่เช่นกัน อย่างไรก็ตามครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน เพราะคนอื่นๆกับจ้าวตำหนักก็อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้สถานการณ์ยังมิค่อยสู้ดี เรียกว่าตึงเครียดถึงขีดสุด! มันกลัวว่าการมาของบุตรชายจะทำให้ข้าวตำหนักมีโมโห!!
“จี้เอ๋อเจ้าเชื่อฟังปู่ รีบกลับไปเสีย!”
ตอนนี้เองจ้าวจินยังกล่าวออกมาเช่นกัน
“ท่านจ้าวตำหนัก!”
ทว่าจ้าวจี้ไม่แยแสวาจาบิดากับปู่ตัว เร่งรุดไปหยุดร่างเบื้องหน้าเมิ่งฉิง ค่อยกล่าวออกด้วยท่าทีแตกตื่น “เมื่อครู่ข้าเห็นจ้าววังนภาอุ้มคนๆหนึ่ง บุกฝ่ากลุ่มอาวุโสที่ลาดตระเวณขึ้นเหนือไปอย่างรีบร้อน!”
อา! โอ! ซูด!
…
ทันทีที่วาจานี้ของจ้าวจี้ลั่นดังออกมา ใบหน้าของทุกคนในคุกลับพลันเปลี่ยนสีไปทันที
‘ยามเปลี่ยนเป็นโจร’
จังหวะนี้ในใจของระดับสูงตำหนักฟ้าลี้ลับ ปรากฏคำ 4 คำขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
ฟุ่บ!
ดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่งพัดมาในคุกลับใต้ดิน ร่างเมิ่งฉินอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน!
“ไปกัน!”
หลังจากนั้นอาวุโสผู้พิทักษ์อย่างกู่ซืออวิ๋นและจ้าวจินก็พุ่งร่างหายไปทั้งคู่
เหล่ารองจ้าวตำหนักคนอื่นๆก็เร่งรุดติดตามไปเช่นกัน
จ้าวเติงเองก็สะบัดมือใช้พลังหอบร่างจ้าวจี้ไปด้วย และในขณะที่ติดตามคนอื่นไปจ้าวเติงยังถามออกมา “จี้เอ๋อเจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่? จ้าววังจูพาคนบุกฝ่าไปทางเหนือจริงๆ?”
“ท่านพ่อเรื่องนี้ข้าไม่กล้าล้อท่านเล่นหรอก! หากท่านไม่เชื่อข้า ท่านไปถามผู้อาวุโสที่ลาดตระเวนดูก็ได้ ทั้งหมดโดนซัดทำร้ายมากับตัว ไหนเลยยังจำผิดคนได้!”
กล่าวจบ จ้าวจี้ยังถามเพิ่มออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อ…ท่านอย่าบอกนะว่าคนที่จ้าววังจูอุ้มไปเป็นฉีจิ้ง?”
“ใช่!”
สองตาจ้าวเติงทอประกายเย็นเยียบ “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจูลู่ฉีจะหาญกล้าถึงเพียงนี้…กล้าลักพาตัวฉีจิ้งไปจริงๆ! ดูเหมือนมันจักได้ข้อมูลเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงจากฉีจิ้งมาแล้วมิผิดแน่…และยังสมควรเป็นแนวทางอันชั่วร้ายไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม!”
แค่พริบตาจ้าวเติงก็คาดเดาเรื่องราวได้
เรื่องนี้ทำให้จ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะตกใจ ยังลอบปาดเหงื่อในใจอย่างลับๆ
ไม่ทันไรจ้าวตำหนักและอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ก็มาถึงแนวลาดตระเวณสุดท้ายทางทิศเหนือ
ตอนนี้มีร่างอาวุโสกลุ่มหนึ่งที่แลดูบาดเจ็บสาหัส ประคองตัวอยู่กลางอากาศ
“ท่านจ้าวตำหนัก ท่านจ้าววังจูอาศัยช่วงเวลาที่พวกเรากำลังจะออกกะบุกจู่โจมเข้ามาอย่างที่พวกเรามิทันได้ตั้งตัว ก่อนที่จะอุ้มร่างคนผู้หนึ่งหลบหนีไป…ทั้งยังมอบ ‘ป้ายหยก’ ชิ้นนี้ฝากไว้ให้ท่าน”
อาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับคนนั้นกล่าวรายงาน ก่อนที่จะยื่นป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้เมิ่งฉิงทันที
เมิ่งฉิงที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์รับป้ายหยกมาถือ ก่อนที่จะถ่ายทอดพลังลงไปทันที
กระทั่งยังจงใจปล่อยให้เสียงดังออกมา
เสียงจากป้ายหยกดังว่า “ท่านจ้าวตำหนัก เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ฉีจิ้งบ่มเพาะที่แท้เป็นเคล็ดมารกลืนหยินที่เคยโด่งดังในอดีต…กลวิธีบ่มเพาะนับว่าชั่วร้ายและไร้ซึ่งมนุษย์ธรรมนัก”
“หากท่านพบ มิพ้นมันต้องถูกทำลายก็ต้องถูกปิดผนึกให้ฝุ่นเกาะอยู่ในคลังของตำหนักฟ้าลี้ลับเราเป็นแน่…ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจลักพาตัวฉีจิ้งหนีไป เพราะข้าต้องการฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินนั่น…เพื่อใช้มันล้างความอัปยศที่เฝิงปู่อี้รองผู้นำตลาดมืดหยินชานยัดเยียดให้ข้าวันนั้น!”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของจูลู่ฉีนั่นเอง “ข้าคิดว่าด้วยพลังของข้า เป็นเช่นนี้ต่อไปชั่วชีวิตคงมิมีวันล้างแค้นเฝิงปู่อี้ได้แน่…มีเพียงพึ่งเคล็ดมารกลืนหยินนี่เท่านั้น ถึงจะทำให้ข้ามีหวังล้างแค้นมันได้! เรื่องนี้ข้าไตร่ตรองคิดทบทวนอยู่นาน และในที่สุดก็เลือกจะลักพาตัวฉีจิ้ง เพื่อครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน”
“ขอท่านจ้าวตำหนักโปรดวางใจ ตราบใดที่ข้าฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินจนสำเร็จ ข้าจะกำจัดฉีจิ้งทิ้งเพื่อขจัดเสี้ยนหนามสุดท้ายของตำหนักฟ้าลี้ลับ…และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจูลู่ฉี ขอตัดขาดกับตำหนักฟ้าลี้ลับ เรื่องราวที่ข้าจะกระทำในภายภาคหน้า มิมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักฟ้าลี้ลับ ยิ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับวังนภา!”
“ข้าหวังว่าท่านจ้าวตำหนักจักเมตตาลูกศิษย์ของข้า ทั้งหมดล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์และมิมีส่วนรู้เห็นอันใดกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น อย่าได้ทำร้ายหรือสร้างความลำบากให้เด็กน้อยทั้งหลาย…ขอวิงวอนขอความเมตตาทั้งขอขมาต่อท่านสักครั้ง!”
ข้อความเสียงในป้ายหยกดังถึงตรงนี้ เสียงของจูลู่ฉีก็ดับไป
“เคล็ดมารกลืนหยิน!”
จังหวะนี้ทุกคนยกเว้นจ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
สำหรับพวกมันเคล็ดมารกลืนหยินคืออวิชชาในตำนาน กลวิธีการฝึกปรือนั้นเป็นอะไรที่ชั่วร้ายและไร้มนุษย์ธรรมถึงขีดสุด!
ผู้ฝึกมารที่เคยฝึกฝนด้วยเคล็ดนี้ ก็เป็นมารร้ายที่ก่อเภทภัยไปทั่วใต้หล้า จนทำให้ยอดฝีมือของภูมิภาคเบื้องล่างจำต้องผนึกกำลังกันจัดการ!
อย่างไรก็ตาม แม้จะตกอยู่ภายใต้การกลุ้มรุมของยอดฝีมือจากทัวสารทิศ มารร้ายไม่เพียงไม่หวาดกลัว ยิ่งมากลับยิ่งเหิมเกริม บุกฝ่าทะลวงการปิดล้อมครั้งแล้วครั้งเล่า ยังเข่นฆ่าผยอดฝีมือราวผักปลา! ผักปลาที่ว่านั่นรวมถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุด!!
สำหรับผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่านั้น ตกตายจนนับแทบไม่ถ้วน!
การต่อสู้กันครั้งนั้น เรียกว่าเป็นสงครามโลกของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเบื้องล่างก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามสุดท้ายการกลุ้มรุมล้อมปราบก็ไม่เป็นผล มารร้ายคนนั้นกลับรอดชีวิตไปได้ เพียงบาดเจ็บสาหัสเท่านั้นและกล่าวกันว่ามันได้หนีไปยังภูมิภาคเบื้องบนสำเร็จ
อย่างไรก็ตามแม้มันจะจากไปแล้วแต่มารร้ายผู้นั้นก็ได้กลายเป็น ‘ตำนาน’ ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเบื้องล่าง
แน่นอนว่าเรื่องราวของบุคคลในตำนานผู้นี้ ก็เหลือทิ้งไว้แต่เรื่องราวอันเลวทรามต่ำช้า! จนบัดนี้ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ว่าที่แท้มีสตรีมากมายเท่าไหร่ที่ถูกมันฆ่าตายอย่างอำมหิตเพื่อฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน…
รู้เพียงแต่สตรีทั้งหลายที่ถูกมันจับไปไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาได้ ทั้งหมดล้วนถูกสูบกลืนพลังหยินกระทั่งแก่นแท้โลหิตจนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น…
ความชั่วร้ายและอาชญากรรมของมันต่ำช้าถึงขั้นที่สวรรค์ยังไม่อาจอภัยให้ได้!
และเพราะการกระทำอันเลวทรามต่ำช้าจนฟ้าไม่อาจอภัยนี้เอง ทำให้เคล็ดบำเพ็ญมารที่มารร้านตนนั้นบ่มเพาะฝึกปรืออย่าง ‘มารกลืนหยิน’ กลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ทุกคนยังยกให้เป็นอวิชชาที่ชั่วร้ายและไร้มนุษย์ธรรมที่สุด!
กระทั่งเรื่องราวมันผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ทว่านามเคล็ดบำเพ็ญมารแสนชั่วร้ายอย่าง ‘มารกลืนหยิน’ ยังคงเล่าขานสืบต่อกันมาจนผู้คนรู้กันทั่ว…
เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับแน่นอนว่าย่อมต้องเคยได้ยิน
ด้วยเหตุนี้สีหน้าท่าทางของทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เมื่อรับทราบว่าเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ฉีจิ้งฝึกปรือที่แท้กลับเป็นเคล็ดมารกลืนหยินในตำนาน!
“เสียสติไปแล้ว! พี่จูเสียสติไปแล้ว!!”
ในที่สุดเฉียนผิงเชิงจ้าววังเหลืองก็อดไม่ไหว ร้องโพล่งออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ต่อให้ฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินจนล้างแค้นได้แล้วจะอย่างไร? สุดท้ายกลับต้องกลายเป็นศัตรูของผู้คนทั่วหล้า! มันคุ้มค่ากันแล้วหรือ..กับเรื่องราวบาดหมางเล็กๆน้อยๆกับเฝิงปู่อี้?”
“เฮ่อ…ความบาดหมางระหว่างศิษย์พี่จูกับเฝิงปู่อี้ ในสายตาพวกเรามันอาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ…แต่ใช่ทุกคนลืมไปแล้วหรือไม่ว่าศิษย์พี่จูเป็นคนเช่นไร? ลองคิดดูหากเป็นพวกเราถูกกระทำเช่นนั้นจักมีโมโหถึงเพียงไหน กระทั่งข้าเองก็คงอึดอัดแทบตายเป็นแน่หากเฝิงปู่อี้ทำกับข้าเช่นนั้น…ศิษย์พี่จูยิ่งแล้วใหญ่”
จ้าววังปฐพีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทอดถอน “ศิษย์พี่จูเลือกหนทางเช่นนี้แม้จะสร้างความแปลกใจให้พวกเราอยู่บ้าง แต่ข้าก็พอเข้าใจ…”
“เพื่อเฝิงปู่อี้คนเดียวกลับยินยอมเป็นศัตรูกับทั่วหล้า….คุ้มกันแล้วหรือ…”
จ้าววังลี้ลับเองก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน
“ท่านจ้าวตำหนัก จ้าววังนภาจูลู่ฉีกลับลักพาตัวฉีจิ้งทั้งเคล็ดมารกลืนหยินไป! นับว่ากระทำผิดร้ายแรงอย่างที่มิอาจอภัยให้ได้ พวกเรามิอาจละเว้น! พบเห็นต้องจับตายสถานเดียว!!”
อาวุโสผู้พิทักษ์ จ้าวจิน กล่าวออกเสียงเหี้ยม
“ก่อนจ้าววังจูจากไปก็ได้ลั่นวาจาทิ้งไว้ว่าขอตัดขาดกับตำหนักฟ้าลี้ลับเรา เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาดีไม่อยากให้ตำหนักฟ้าลี้ลับเราพลอยถูกผู้คนครหาไปด้วย! ถึงแม้จะกระทำผิดร้ายแรง หากแต่คุณงามความดีในกาลก่อนจ้าววังจูก็มีไม่น้อย หากพบเจอตัวเพียงหยุดไว้ นับตัวมากักขัง และระวังมิให้บ่มเพาะเคล็ดมารกลืนกินก็พอ…ความผิดยังไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นต้องจับตาย…”
กู่ซืออวิ๋น อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนเห็นต่าง
เรียกว่าข้อเสนอของอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ต่างกันคนละเรื่อง
หน้าจ้าวจินที่ถูกโต้แย้งมืดดำลงทันใด มันหันไปมองกู่ซืออวิ๋นด้วยสายตาไม่พอใจ ทว่าในขณะที่มันคิดจะกล่าวแย้งอะไรออกมาสืบต่อ ระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับโดยรอบพลันกล่าวออกมาเสียก่อน
“ข้าเห็นด้วยกับผู้พิทักษ์กู่!”
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับผู้พิทักษ์กู่!”
“ข้าเห็นด้วยกับผู้พิทักษ์กู่เช่นกัน”
……
เรียกว่าเหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับในที่เกิดเหตุ เห็นชอบกับข้อเสนอของกู่ซืออวิ๋นหมด ทำให้จ้าวจินกลืนคำที่คิดกล่าวลงคอไปทันที
ต่อให้มันไม่ยินยอม แต่ตอนนี้ก็จำต้องทน…
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พลังฝีมือของมันเพียงทัดเทียมกับกู่ซืออวิ๋นไม่ได้เหนือกว่า ตอนนี้ทุกคนยังเห็นชอบกับกู่ซืออวิ๋นอย่างเป็นเอกฉันท์! มันจะแย้งอะไรได้อีก?
สุดท้ายมันก็เป็นแค่อาวุโสผู้พิทักษ์ ไม่ใช่ยอดฝีมือไร้ผู้ต้าน…
“ข้าเชื่อมั่นว่าหากเคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้ง มิใช่เคล็ดมารกลืนหยินแต่เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่มีแนวทางปกติ จ้าววังจูคงไม่เสี่ยงก่อการเช่นนี้…และจากวาจาที่ยังคิดถึงตำหนักฟ้าลี้ลับเราของจ้าววังจู เห็นชัดว่าโทษยังไม่ควรถึงตาย! ทว่าโทษตายเว้นได้แต่โทษเป็นยังอยู่! เพราะความผิดบาปที่กระทำไม่อาจละเว้น ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 พวกท่านรับผิดชอบเรื่องพาตัวจ้าววังจูกลับมา!”
ภายใต้สายตาของทุกคน เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักพลันกล่าวสั่งออกมา และวาจานี้เป็นดั่งประกาศิตตัดสินเรื่องราว!
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆทำนองเห็นชอบกับกู่ซืออวิ๋น หากแต่การตัดสินนั้นค่อนข้างคล้ายกับข้อเสนอของกู่ซืออวิ๋น
“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”
ในตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิงไม่เพียงดำรงตำแหน่งจ้าวตำหนักอันสูงสุดเท่านั้น พลังฝีมือของมันยังแข็งแกร่งเหนือใครอีกด้วย กระทั่งกู่ซืออวิ๋นกับจ้าวจินก็ไม่อาจเทียบได้
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำสั่งของเมิ่งฉิง ทั้งคู่ย่อมไม่กล้าขัด
หลังจากตอบรับแล้ว จ้าวจินกับกู่ซืออวิ๋น ก็เร่งเหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปทันที
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ห้ามกล่าวบอกผู้ใดเด็ดขาด! ผู้ใดละเมิดฆ่าไม่ละเว้น!”
หลังจากกล่าวจบ เมิ่งฉิงก็ว่ายตามองทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี่ด้วยสายตาเยียบเย็น
“ทราบ!”
เผชิญหน้ากับวาจาเด็ดขาดของเมิ่งฉิง ทุกคนได้แต่พยักหน้ารับอย่างจริงจัง พวกมันทั้งหมดรู้ดีว่าเรื่องราวในวันนี้จะสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้ตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ในฐานะที่พวกมันก็เป็นคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไหนเลยยังอยากให้ตำหนักฟ้าลี้ลับเกิดเรื่อง?
‘สหายเฒ่ากู่กับท่านปู่ลงมือพร้อมกันแบบนี้…จ้าววังจูจะหนีรอดหรือไม่?’
ในขณะที่เหินร่างตามจ้าวเติงขึ้นเหนือ จ้าวจี้ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจด้วยความกังวล
ตอนที่ 1,807 : ความโกลาหลครั้งใหญ่
จังหวะนี้ไม่เว้นจ้าวเติงบิดาของจ้าวจี้ หรือระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคน กลับไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่า…เรื่องราวครั้งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล…โดยเฉพาะเรื่องที่จูลู่ฉีพาฉีจิ้งหนีไปแบบนี้
ก่อนอื่นเลยจูลู่ฉีรู้ได้อย่างไรว่าเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งบ่มเพาะฝึกปรือเป็นเคล็ดมารกลืนหยิน?
จูลู่ฉีไม่เหมือนจ้าวจี้ ไหนเลยใช้เรื่องลี่เฟิงหรือหลิงเทียนกระตุ้นฉีจิ้งได้?
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะผู้ที่เหินอยู่ข้างๆจ้าวเติงตอนนี้ จ้าวจี้!
ครั้งที่แล้วหลังจากที่จ้าวจี้สนทนากับฉีจิ้งในคุกลับใต้ดิน จ้าวจี้ก็กลับมาครุ่นคิดจนหัวแทบแตกว่าจะช่วยฉีจิ้งอย่างไรดี
ฉีจิ้งขอให้มันช่วยชีวิต เรื่องนี้นับเป็นอะไรที่ยากเกินตัวมันนัก!
เว้นแต่ปู่กับบิดาของมันให้ความช่วยเหลือ ไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย!
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความบังเอิญจ้าวจี้พลันพบเจอจูลู่ฉีกำลังระบายอารมณ์อยู่ในหุบเขาร้างห่างไกลที่อยู่บริเวณกึ่งกลางของยอดเขาวังนภา แถมวิธีระบายอารมรณ์ยังไม่คล้ายผู้ที่อยู่มานับร้อยๆปี!!
ก่อนอื่นเลย มีการแกะสลักก้อนหินเป็นหน้าผู้คน…และคนผู้นั้นก็คือเฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน! อีกทั้งก่อนที่จะทุบทำลายรูปสลักนั่นจนแลหกเป็นผง ก็มีการตะโกนร่ำร้องด่าทอออกมาก่อน! นับว่าเป็นอะไรที่ผิดวิสัยของยอดฝีมือนัก!!
และตอนนั้นเอง ทำให้จ้าวจี้สัมผัสได้ถึงโทสะอันเกรี้ยวกราดของจูลู่ฉี…
และพริบตานั้นมันก็แลเห็น ‘ความหวัง’ ส่องสว่างขึ้นมา ใจยังคิดไป ‘หากจ้าววังจูช่วยเหลือข้า…เรื่องราวคงง่ายดายนัก!’
และด้วยเหตุนี้มันจึงพยายามเข้าหาจูลู่ฉี
ตอนแรกมันก็ไม่ได้กล่าวตรงประเด็นเพียงเลียบๆเคียงๆถามความเห็นเกี่ยวกับเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรมก่อน
หากจูลู่ฉียืนกรานและปฏิเสธเคล็ดบำเพ็ญมารที่มีวิธีการชั่วร้ายอย่างไม่มีวันอ่อนข้อ มันก็ไม่คิดจะเปิดเผยแผนการอะไรออกไป
อย่างไรก็ตามหลังจากใช้เวลาไปพักใหญ่ มันก็ยืนยันได้ว่าแม้จูลู่ฉีจะไม่เห็นด้วยกับอวิชชาชั่วร้าย ทว่าความเกลียดชังที่มีต่อเฝิงปู่อี้กลับเหนือกว่า!
เรียกว่าหากสามารถฆ่าเฝิงปู่อี้ได้ ต่อให้ต้องฝึกฝนเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายก็ยอม!
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ จ้าวจี้ก็เริ่มเกริ่นๆเรื่องช่วยเหลือฉีจิ้งเพื่อแลกกับเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอย่างมารกลืนหยินที่ฉีจิ้งฝึกปรือ
จูลู่ฉีที่ใจถูกความแค้นเข้าครอบงำ ย่อมเห็นด้วย!
สุดท้ายจึงเกิดเรื่องอย่างในวันนี้ขึ้น..
เมื่อไม่นานมานี้ก็ถึงรอบที่จูลู่ฉีต้องทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าปราการสุดท้ายของคุกลับใต้ดิน
แน่นอนว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าด้วยพลังฝีมือของจูลู่ฉีที่ถือว่าเป็นตัวตนที่ร้ายกาจที่สุดในกระบวนการป้องกัน มันย่อมสามารถช่วยเหลือฉีจิ้งออกจากคุกลับใต้ดินได้ไม่ยากเย็น ยังลงมือรวดเร็วเกินกวาที่อาวุโสคนอื่นจะทันได้รู้ตัวเสียอีก!
…
แน่นอนว่าการก่อการครั้งนี้มีเพียงฉีจิ้ง จูลู่ฉี และจ้าวจี้เท่านั้นที่ล่วงรู้!
ต้องกล่าวเลยว่าจ้าวจี้ในฐานะ รุ่นเยาว์ที่ทรงอำนาจที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่เพียงแต่มีพลังฝึกปรือไม่เลว หัวคิดยังไม่ใช่ต่ำทราม…
อย่างน้อยๆมันก็สามารถกล่อมให้จูลู่ฉีทำชั่วได้…
ด้วยพลังฝีมืออันร้ายกาจของจูลู่ฉี แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายคิดตัดจ้าวจี้ออกไป และหันไปร่วมมือกับฉีจิ้งเพียงลำพังย่อมกระทำได้ไม่ยาก
ทว่าจ้าวจี้ได้กล่าวบอกกับจูลู่ฉีเอาไว้ หากอีกฝ่ายกล้าคิดฮุบเคล็ดมารกลืนหยินไปคนเดียว มันจะไปฟ้องปู่ทันที!
สุดท้ายมันก็บีบคั้นให้จูลู่ฉียินยอมกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะไม่หักหลังมันได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็แค่รอให้จูลี่ฉีลงมือก่อการทั้งหมด ส่วนมันนั่งรอเวลาอย่างสบายใจ
เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่ต้องลงมือทำอะไรทั้งสิ้น แถมยังไม่เป็นการเปิดเผยตัวเองว่ามีเอี่ยวกับเคล็ดมารกลืนหยินอีกด้วย!
แน่นอนว่าตอนนี้มันยังไม่ได้รับเคล็ดมารกลืนหยิน เนื่องจากจูลู่ฉีกล่าวบอกไว้แล้วว่าจะส่งมอบเคล็ดมารกลืนหยินให้มัน หลังจากพาฉีจิ้งหนีออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้สำเร็จ..
‘ข้าหวังว่าจูลู่ฉีนั่นจักไม่ไร้ประโยชน์หรอกนะ…’
ตอนนี้เรื่องที่จ้าวจี้ห่วงที่สุดก็คือ จูลู่ฉีถูกปู่มันกับกู่ซืออวิ๋นจับได้! แน่นอนว่าจู่ลู่ฉีจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรมันไม่แยแส ที่มันห่วงก็มีแต่เคล็ดมารกลืนหยินเท่านั้น!!
ยังดีที่จูลู่ฉีไม่ทราบความคิดในหัวจ้าวจี้ตอนนี้ หาไม่แล้วคงได้กระอักเลือดกันบ้าง
มันเสี่ยงตายพาคนหลบหนีออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งตัวมันเองยังไม่รู้เลยว่าจะกระทำสำเร็จราบรื่นหรือไม่! ทว่าสหายที่ยั่วยุมันผู้นี้กลับไม่สนว่ามันจะเป็นตายร้ายดีแม้แต่น้อย เพียงห่วงแต่เคล็ดมารกลืนหยินเท่านั้น!
หลังผ่านไปหลายวัน ในที่สุดอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ก็กลับมามือเปล่า
หลังจากที่จูลู่ฉีพาฉีจิ้งหนีออกจากเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ คนก็คล้ายหายไปในอากาศว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย
“ข้าเกรงว่าจ้าววังจูสมควรตระเตรียมแผนการมาอย่างดี…ขนาดพวกท่าน 2 คนช่วยกันยังมิอาจหาตัวมันพบ”
จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกอย่างช่วยไม่ได้
“เช่นนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องเปลืองแรงตามหาคนแล้ว เห็นชัดว่าจ้าววังจูหมายมั่นตั้งใจว่าต้องฝึกเคล็ดมารกลืนหยินให้จงได้! ก็ดีอย่างน้อยๆตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาตามหาข้ารับใช้หลังค่อมนั่น เร่งประกาศออกไปเสียว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเรา พบคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยิน จึงผดุงคุณธรรมแทนฟ้าพิพากษาหมู่มาร ลงมือกวาดล้างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยความชอบธรรม! “
เมิ่งฉิงพยักหน้ารับคำรายงานของผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ก่อนที่จะกล่าวสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด หมายจัดการสะสางเรื่องราวของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้จบสิ้น
ในอดีตตำหนักฟ้าลี้ลับต้องส่งคนไปตรึงกำลังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กับเมืองของหรงฟ่านด้วยกลัวเรื่องราวแพร่งพราย
ตอนนี้พวกมันไม่ต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป!
“นอกจากนั้นถ่ายทอดข้อความนี้ออกไปด้วย จ้าววังนภา จูลู่ฉี ได้ถูกขับออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะลักพาตัวฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยหวังช่วงชิงเคล็ดมารกลืนหยิน! และฉีจิ้งเป็นคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคนแรกที่ฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยิน!!”
เมิ่งฉิงกล่าวสืบต่อ
เมิ่งฉิงสั่งให้ประกาศออกไปเช่นนี้เห็นชัดว่าคิดผลักไสเรื่องราวทั้งหมดให้จูลี่ฉีรับผิดชอบ
ในเมื่อจูลู่ฉีกล้าก่อการเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเตรียมตัวรับเรื่องราวเหล่านี้ไว้แล้ว
“นอกจากนี้ส่งคนไปเยือนตลาดมืดหยินชาน และแจ้งให้รองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้รับทราบ ว่าที่จูลู่ฉีลักพาตัวฉีจิ้งไปเพื่อชิงเคล็ดมารกลืนหยินนั้น ทั้งหมดเพราะคิดล้างแค้น หมายคืนความอัปยศที่เฝิงปู่อี้มอบให้วันนั้น!”
เมิ่งฉิงกล่าวออกอีกรอบ
เกี่ยวกับการตัดสินใจของเมิ่งฉิง คนตำหนักฟ้าลี้ลับไม่มีใครขัดข้อง
จ้าววังทั้ง 3 ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจูลู่ฉี ก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน…
แต่พวกมันทั้งหมดรู้ดีว่าที่จ้าวตำหนักตัดสินใจลงมือทำเรื่องพวกนี้เพราะเห็นแก่ภาพรวม ไม่ได้คิดให้ร้ายจูลู่ฉีเป็นการส่วนตัว
ด้วยเหตุนี้ข่าวอันน่าตื่นตระหนกจึงแพร่กระจายออกมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับ สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ไปทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
“เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้นอีกครั้งหรือ?”
“ขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้รับเคล็ดมารกลืนหยินมา? เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฉีจิ้งฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชานี้จึงทำให้ยังไม่ตายแม้จะถูกแทงทะลุหว่างคิ้ว?”
“ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับ พอทราบข่าวว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับเกี่ยวข้องกับเคล็ดมารกลืนหยิน ก็ลงมือเคลื่อนไหวกวาดล้างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยฉับไว เข่นฆ่าผู้ที่แข็งข้อต่อต้านและไม่ยอมกล่าวคำสาบาน…กระทั่งสุดท้ายเหลือแต่เด็กสตรีกับคนชราที่รอดชีวิต?”
“เพราะเหตุนี้เคล็ดมารกลืนหยินถึงตกไปอยู่ในมือตำหนักฟ้าลี้ลับ?”
“จ้าววังนภาจูลู่ฉี ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ลักพาตัวฉีจิ้งเพราะเห็นแก่ตัวหมายครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน…แถมตำหนักฟ้าลี้ลับยังล้มเหลวในการจับกุมตัว เช่นนั้นจึงติดประกาศภาพเหมือนจูลู่ฉีไปทั่วหล้า หมายให้ผู้คนระวังจูลู่ฉี!”
“จูลู่ฉี มิพ้นอยากฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินแน่!!”
…
เรียกว่าความสงบของภูมิภาคเบื้องล่าง ถูกข่าวนี้ทำให้เดือดพล่านขึ้นมา
หลายคนยังอดถอนหายใจออกมาเสียไม่ได้ ขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับล่มสลายไปอย่างง่ายดาย
หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญถึงพลังอันน่ากลัวของขุมพลังกึ่งชั้น 3 “สมแล้วที่เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมพลังชั้น 4 มิอาจเทียบได้เลย…คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับถูกทำลายง่ายดายเช่นนั้น!”
ขุมพลังชั้น 4 ทั้งหมดย่อมตื่นตระหนกหลังได้รับทราบข่าวนี้
“ความแข็งแกร่งของตำหนักฟ้าลี้ลับมากมายเกินไป หรือที่แท้ช่องว่างระหว่างขุมพลังกึ่งชั้น 3 กับขุมพลังชั้น 4 เรามันมากมายถึงเพียงนี้อยู่แล้ว…”
เหล่าอาวุโสของขุมพลังชั้น 4 บางแห่ง ถึงกับต้องมานั่งหารือกันด้วยความหวั่นใจ หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองตากันด้วยความตกตะลึง
“ตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่นับว่าร้ายกาจมากมายอะไรในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3…ทว่าตำหนักฟ้าลี้ลับยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ แล้วตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามที่ทรงพลังเหนือกว่า จักน่ากลัวถึงเพียงใดกัน…”
ถึงแม้จะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่พวกมันก็ไม่ใช่ว่าจะเคยปะทะกับขุมพลังกึ่งชั้น 3 ดังนั้นแม้พวกมันจะรู้ว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3 ร้ายกาจ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าพลังอำนาจที่แท้เป็นอย่างไร…
คราวนี้ตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ไมได้ใช้กำลังพลอะไรมากมาย ทว่ากลับทำลายเสาหลัก เลาะกระดูกสันหลังของขุมพลังชั้น 4 จนพินาศลงอย่างง่ายดาย! เผยให้เห็นถึงพลังอำนาจของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ชัดเจน!!
และความแข็งแกร่งดังกล่าวทำให้พวกมันหวาดกลัว
“ข้าหลงคิดว่าขอเพียงมีเวลาอีกไม่ถึงร้อยปี พวกเราจักสามารถยกระดับกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ได้มิยาก…ตอนนี้ดูเหมือนที่ข้าคิดกลับเป็นเพียงมายาฝันอันเลื่อนลอย…”
“ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทรงพลังถึงเพียงนี้เลยหรือ…ยังอีกยาวไกลนักกว่าพวกเราจะยกระดับขึ้นไปเทียบได้!”
……
ขุมพลังชั้น 4 ทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามากมาย ไม่เพียงตกตะลึงกับพลังอำนาจของขุมพลังกึ่งชั้น 3 พวกมันยังกลายเป็นหวาดกลัว ไม่กล้าเทียบชั้นหรือคิดเผยอท้าทายขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในเร็ววัน…
การลงมือปานฟ้าผ่าของตำหนักฟ้าลี้ลับ เรียกว่าเผยให้เห็นถึงพลังของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ชัดเจน!
ตำหนักเมฆาครามที่เป็น 1 ใน 2 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดแน่นอนว่าย่อมได้รับรายงานเรื่องตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นกัน
“เคล็ดมารกลืนหยินงั้นเหรอ?”
ภายในห้องโถงใหญ่โต ปรากฏร่างชายวัยกลางคนนั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ใครอื่น ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบัน
“ใช่ท่านจ้าวตำหนัก”
ชายชราที่ยืนรายงานเรื่องราวไม่ห่างกล่าวรับคำ
“เอาล่ะ อาวุโสหรงท่านกลับไปได้แล้ว”
ต้วนหรูเฟิงกล่าว
“เอ่อ…ท่านจ้าวตำหนัก เคล็ดมารกลืนหยินต้องก่อมรสุมโลหิตอีกครั้งเป็นแน่…พวกเราตำหนักเมฆาครามไม่เคลื่อนไหวอันใดบ้างหรือ…อย่างเช่นส่งคนไปฆ่าตัวทรยศของตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อกำจัดเคล็ดมาร หรือเตรียมรับมือเภทภัยอันใดในวันหน้า?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหรูเฟิงที่ได้ฟังรายงานเรื่องเคล็ดมารกลืนหยินแล้ว แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย หรงหยวนอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสนอแนะขึ้นมา
“รอดูไปก่อนเถอะ”
ต้วนหรูเฟิงตอบ
“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”
หรงหยวนพยักหน้าด้วยเคารพ ก่อนที่จะหันหลังจากไป
หลังจากที่หรงหยวนจากไป ต้วนหรูเฟิงพลันโค้งคิ้วขึ้น ‘หากข้าจำไม่ผิดเคล็ดมารกลืนหยินอะไรนี่ สมควรเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่เฮยหมิงสร้างขึ้นมากับมือ! อย่างไรก็ตามเคล็ดมารกลืนหยินฉับดั้งเดิมของเฮยหมิง เพียงฝึกฝนบ่มเพาะพลังโดยการดูดซับพลังหยินจากจันทราและพลังงานด้านลบเท่านั้น เรียกว่าแทบไม่ต่างอันใดจากเคล็ดบำเพ็ญเต๋าสายธรรมชาติด้วยซ้ำ…เพียงแค่มันรุนแรงและอันตรายมากกว่า!’
‘การที่มันกลายเป็นดูดซับพลังหยินจากสตรีและแก่นแท้โลหิตเช่นนี้ สมควรเป็นฝีมือศิษย์ไม่รักดีในความทรงจำของเฮยหมิงคนนั้นที่มันขับไล่ไปไม่ผิดแน่…’
ตอนที่ 1,808 : ลูกชาย…
เฮยหมิงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ฝึกมารที่พยายามจะยึดครองร่างของต้วนหรูเฟิง! มันเป็นถึงสุดยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!
ในตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้รับตราผนึกมารมานั้น วิญญาณหลักของเฮยหมิงยังถูกผนึกเอาไว้ในนั้น และมันยังฉวยโอกาสในจังหวะที่ต้วนหลิงเทียนแผ่พลังวิญญาณไปสำรวจตราผนึกมารเป็นดั่งสะพานเชื่อมต่อ พุ่งออกจากตราผนึกมารหมายเข้ามายึดครองร่างต้วนหลิงเทียน!
ทว่าด้วยความที่วิญญาณของต้วนหลิงเทียนมีเอกลักษณ์พิเศษเพราะมันไม่ใช่วิญญาณของพิภพนี้ ทำให้ถูกคุ้มครองด้วยกฏลี้ลับบางประการ ทำให้วิญญาณหลักของเฮยหมิงไม่เพียงไม่อาจยึดครอง ยังถูกทำลายลงด้วยกฏ!
และเมื่อวิญญาณหลักของเฮยหมิงถูกทำลาย เศษเสี้ยววิญญาณอื่นๆ อันเป็นวิญญาณย่อยก็ล้วนดับสลายไปพร้อมๆกัน และหนึ่งในนั้นก็คือเศษเสี้ยววิญญาณที่พยายามยึดครองสิทธิ์ควบคุมร่างของต้วนหรูเฟิงอย่างถาวร!
ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้วนหรูเฟิงที่ประคองสติสุดท้ายแข็งขืนต่อต้านไว้ตลอด กลับมาถือครองร่างได้สมบูรณ์อีกครั้ง
และนั่นทำให้พลังฝึกปรืออันน่ากลัวรวมถึงอำนาจทั้งหลายที่เฮยหมิงสร้างไว้ในช่วงที่ควบคุมร่างต้วนหรูเฟิง ก็กลายเป็นของต้วนหรูเฟิงไปโดยปริยาย…
ตำหนักเมฆาครามเองก็เช่นกัน มันคือขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เฮ่ยหมิงใช้พลังอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเข้าครอบครอง แต่ในเมื่อเฮยหมิงตกตายแล้วแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาที่มันจะตกเป็นของต้วนหรูเฟิง…
อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งอย่างที่เฮยหมิงสร้างขึ้นมามากมาย กลับกลายเป็นการตัดชุดวิวาห์ให้ต้วนหรูเฟิง!
‘ถึงแม้เฮยหมิงจะเป็นผู้ฝึกมารและยังเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงในตัวเองถึงที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่คนที่จะลดตัวลงไปกระทำเรื่องไร้มนุษย์ธรรมแบบนี้ได้ ในสายตาของมันมีแต่ผู้ฝึกมารกระจอกและอ่อนแอเท่านั้นที่จะพึ่งหนทางน่าสมเพชแบบนี้…สมควรเป็นฝีมือศิษย์ไม่รักดีที่มันขับไล่ไปคนนั้นแน่ ที่ปรับปรุงเคล็ดมารกลืนหยินที่เฮยหมิงเคยมอบให้ จนกลายเป็นเคล็ดวิชาอุบาทว์กลืนกินพลังหยินของสตรีและแก่นแท้โลหิตแบบนี้!’
ต้วนหรูเฟิงที่เคย ‘สนิทสนมชิดใกล้’ กับเฮยหมิงมานานปี ย่อมคาดเดาเรื่องนี้ออกได้ไม่ยาก
“ท่านปู่ ท่านปู่…”
ในขณะที่ต้วนหรูเฟิงกำลังหลับตาจมอยู่ในภวังค์คิดนั้นเอง เสียงเล็กๆเจื้อยแจ้วหนึ่งพลันดังมาจากนอกห้องโถง เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นเสียงของเด็กน้อย!
ได้ยินเสียงเด็กน้อยต้วนหรูเฟิงพลันลืมตาขึ้นมาพร้อมเผยประกายจ้า รอยยิ้มคลี่กางบนใบหน้าทันที
และพอเห็นเด็กชายตัวน้อยอายุราวๆ 3 ขวบกำลังวิ่งเข้ามาด้วยการเหยียบย่ำอากาศ! ทว่าร่างเด็กน้อยโซเซเอียงไปซ้ายทีขวาทีปานจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ พาลให้ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะหวาดเสียว เม็ดเหงื่อถึงกับผุดซึมออกมา เร่งแผ่พลังไร้สภาพอ่อนนุ่มไปรอรับเอาไว้ในพริบตา เผื่อเด็กน้อยควบคุมพลังผิดพลาดอันใด
“เนี่ยนเอ๋อ…อย่าไปกวนท่านปู่สิลูก”
ขณะเดียวกันร่างงามหนึ่งพลันตามเข้ามาในห้องโถงหลักด้วยเช่นกัน
เป็นสตรีอันมีรูปโฉมทั้งรูปร่างงดงามยากหาใดเปรียบนางหนึ่ง ยามนางปรากฏกายสภาพแวดล้อมคล้ายจะหมองลงหลายส่วน
เกษาดำขลับยาวสลวยทอดตัวลงมาดั่งม่านน้ำตก
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่คงจดจำได้ทันทีว่านางเป็นคู่หมั้นของเขา ลี่เฟย
มองดูรูปร่างหน้าตาของลี่เฟยยามนี้ เรียกว่าไม่ได้แตกต่างไปจากกาลก่อนแม้แต่น้อย ไม่คล้ายอิสตรีที่มีบุตรแล้วสักนิด
“เนี่ยนเอ๋อมาหาปู่เร็ว”
ต้วนหรูเฟิงหันไปส่ายหัวให้ลี่เฟยด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะอ้าแขนออกกว้างปล่อยให้เด็กน้อยย่ำอากาศเข้ามาสู่อ้อมกอด สุดท้ายเด็กน้อยก็ถูกจับอุ้มเอาไว้อย่างน่าเอ็นดู “ฮัยยา เนี่ยนเอ๋อของปู่ตัวหนักขึ้นแล้ว..ดี ดีมาก!”
ใบหน้าต้วนหรูเฟิงเผยรอยยิ้มร่าด้วยความยินดี แววตามากล้นไปด้วยความสุข
ในอดีตนั้น เพราะมันถูกเฮยหมิงครอบงำร่างกาย ทำให้มันไม่อาจกลับบ้านได้ถึง 20 ปีเต็มๆ…
และนั่นยังทำให้มันพลาดวัยเด็กของลูกชาย มันเองก็เสียใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอด…
ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกผิดที่ไม่อายอยู่ดูแลลูกชาย จึงถูกเปลี่ยนเป็นความรักความเอ็นดูทุ่มเทให้หลานชายในอ้อมกอดทั้งหมด เด็กชายตัวน้อยคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลานชายของต้วนหรูเฟิง!
“ท่านพ่อ”
ขณะเดียวกันลี่เฟยที่เข้ามาถึงแล้ว ก็ทักทายต้วนหรูเฟิงด้วยความเคารพ
ถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะเป็นบิดาของชายคนรัก แต่นางยังรักษามารยาทต่อหน้าต้วนหรูเฟิงอย่างดี เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อันยิ่งใหญ่ของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
นางเองก็ได้อาศัยอยู่ในตำหนักเมฆาครามมานานแล้ว ย่อมรู้เรื่องราวของขุมพลังต่างๆในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ดี
ด้วยเหตุนี้ทำให้นางรู้ว่าตำหนักเมฆาครามที่นางอยู่ คือ 1 ใน 2 มหายักษ์ใหญ่ที่ครองอำนาจสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่าง เป็นขุมพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดมืดหยินชาน
และบิดาของบุรุษนางยังเป็นถึงผู้นำขุมพลัง! 1 ใน 2 ยอดฝีมือสูงสุดในแดนดิน!!
ตู้กูเหนือ หรูเฟิงใต้!
นี่คือวาจาที่แพร่หลายไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผิวเผินมีความหมายราวกับภาคเหนือทั้งหมดล้วนถูกตู้กูผู้นำตลาดมืดหยินชานครอบครอง ส่วนทิศใต้ทั้งหมดก็เป็นของต้วนหรูเฟิงจ้าวตำหนักเมฆาคราม!
แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงคำเปรียบเปรยเท่านั้น
ความหมายที่ถูกต้องที่สุดก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ทั้งคู่คือยอดฝีมือที่มีพลังฝีมือร้ายกาจที่สุดเหนือใครในแดนดิน ไม่มีบุคคลที่ 3 ที่สามารถต้านทานรับมือทั้งคู่ได้ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้
“เฟยเอ๋อ…เจ้าเป็นดั่งลูกสาวของข้า ยังต้องมากมารยาททำอะไร”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวกับลี่เฟยด้วยรอยยิ้ม มันเองก็พึงพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้เป็นที่สุด
ยังไม่ให้ไม่พอใจได้อย่างไร!
หลานชายในวงแขนมันเป็นนางคลอดมา!
“ท่านแม่ ท่านแม่ วันนี้ข้าจะนอนกับท่านปู่!”
เด็กชายตัวน้อยหันศีรษะเล็กๆมากล่าวบอกลี่เฟยด้วยความสดใส สองแก้มป่องอมชมพูแลดูหน่าหยิกนัก
“เนี่ยนเอ๋อไม่เล่นสิลูก!”
ใบหน้าลี่เฟยเผยความเคร่งครัดออกมาทันใด ยังกล่าวบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านปู่ต้องบ่มเพาะพลัง เนี่ยนเอ๋อเด็กดีไม่กวนท่านปู่นะลูก”
เด็กชายตัวน้อยพอได้ยินวาจาบอกปัดของลี่เฟย ก็ชักสีหน้าเศร้าสลด หันไปมองต้วนหรูเฟิงน้ำตาคลอ “ท่านปู่…เนี่ยนเอ๋ออยากนอนกอดท่านปู่! คืนนี้เนียนเอ๋อจะอยู่กับท่านปู่…ท่านปู่บอกท่านแม่เร็วๆ”
“เอาล่ะๆ”
เห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของหลานชายในอ้อมแขน ต้วนหรูเฟิงไหนเลยสามารถปฏิเสธได้ หันไปมองกล่าวบอกลี่เฟยด้วยรอยยิ้มทันที “เฟยเอ๋อไม่เป็นไรหรอก คืนนี้ให้เนี่ยนเอ๋ออยู่กับข้าเถอะ”
“ค่ะท่านพ่อ”
ในเมื่อต้วนหรูเฟิงกล่าวแล้ว ลี่เฟยก็ไม่คิดขัดอะไรอีก
“ท่านพ่อ…”
ทว่าทันใดนั้นเองคล้ายลี่เฟยนึกอะไรได้ หันไปมองถามต้วนหรูเฟิงอีกครั้งด้วยแววตาวาดหวัง ยังเป็นการกล่าวถามด้วยการส่งเสียง “ท่านพ่อได้ข่าวของเขาแล้วหรือยัง…”
แม้ในห้องโถงจะมีแค่ 3 คน ทว่าการที่ลี่เฟยเลือกจะส่งเสียงกล่าวถาม นั่นหมายความว่านางไม่อยากให้เด็กชายตัวน้อยได้ยิน
“ยังไม่เลย…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวตอบลี่เฟยด้วยการส่งเสียงแน่นอนมันยังรู้ว่า ‘เขา’ ที่ลี่เฟยกล่าวถึง หมายถึงต้วนหลิงเทียนบุตรชายของมันนั่นเอง “หลังจากมีข่าวว่าเทียนเอ๋อครอบครองตราผนึกมาร ร่องรอยก็ขาดหายไปเลย…ราวกับหายตัวไปในอากาศ”
“ท่านพ่อ จักเกิดเรื่องอันใดกับเขาหรือไม่?”
ลี่เฟยกล่าวถามด้วยความกังวล
“ผ่อนคลาย..เรื่องเจ้ามิต้องห่วงไปเฟยเอ๋อ ท่านผู้เฒ่าที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ทำนายบอกข้าไว้เป็นมั่นเหมาะ มิว่าเรื่องร้ายอันใดเทียนเอ๋อก็สามารถแปรเปลี่ยนให้กลับกลายเป็นเรื่องดี…และจนถึงทุกวันนี้ท่านผู้เฒ่าก็มิเคยกล่าวผิด”
ต้วนหรูเฟิงตอบกลับ
‘ท่านผู้เฒ่า’ ที่ต้วนหรูเฟิงก็คือ ผู้เฒ่าพยากรณ์นั่นเอง…
“ข้าก็หวังไว้ว่าจักเป็นเช่นนั้น…”
ลี่เฟยพยักหน้า หากแต่ลึกลงไปในแววตายากจะปกปิดความกังวล
นางไม่เคยพบพานผู้เฒ่าพยากรณ์มาก่อนอีกทั้งไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ รวมถึงความสามารถทำนายทายทักที่แม่นยำดั่งล่วงรู้อนาคตของอีกฝ่าย
“หากน้องหญิงเค่อเอ๋อกับลูกในท้องของนางปลอดภัย…ข้าเชื่อว่ายามนี้เด็กน้อยคนนั้นก็อายุเท่ากับเนี่ยนเอ๋อแล้ว…”
ลี่เฟยมองเด็กชายตัวเล็กแสนซุกซนในอ้อมกอดต้วนหรูเฟิง ค่อยกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ
ได้ยินเสียงพึมพำของลี่เฟย สีหน้าต้วนหรูเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที ในแววตายังเผยความกังวลออกมา
มันย่อมเป็นกังวลถึงลูกสะใภ้อีกคนไม่น้อย เพราะตอนนี้นางสมควรอยู่ลัทธิบูชาไฟ มหาอำนาจที่อยู่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ถึงแม้มันจะเป็นถึงจ้าวตำหนักเมฆาครามอันมีพลังอำนาจเหนือล้ำในภูมิภาคเบื้องล่าง หากแต่ก็ไม่นับเป็นตัวอะไรในภูมิภาคเบื้องบน!
แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยมันก็ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้สังเกตการณ์ที่เฝ้ามองภูมิภาคเบื้องล่าง ให้หาข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว
ผู้เฝ้ามอง ที่ประจำการอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างนับว่ามันพอมีสัมพันธ์ด้วย หลังจ่ายราคาที่เหมาะสมอีกฝ่ายก็ยินดีให้ความช่วยเหลือมัน
อนิจจาจนถึงทุกวันนี้มันยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไร ดูเหมือนว่าผู้สังเกตการณ์ก็ยังไม่สามารถหาข่าวได้
เพราะสุดท้ายแล้วผู้สังเกตการณ์ก็เป็นเพียงศิษย์ของขุมพลังชั้น 1 เท่านั้น ยังมีพลังฝึกปรือเพียงขอบเขตเซียนนภา คิดจะหาข่าวของลัทธิบูชาไฟ อะไรที่จะทำได้ง่ายๆ…
เด็กชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนต้วนหรูเฟิง ก็คือบุตรชายของต้วนหลิงเทียนกับลี่เฟย ลี่เฟยยังตั้งชื่อให้ว่า ต้วนเนี่ยนเทียน
เนี่ยน แปลว่าคิดถึง…
ต้องกล่าวเลยว่าความคิดของลี่เฟยกับเค่อเอ๋อล้วนละม้ายคล้ายกันเป็นที่สุด กระทั่งชื่อของลูกยังมีความหมายแทบไม่ต่างกัน เค่อเอ๋อตั้งชื่อบุตรีว่า ซือหลิง ส่วนลี่เฟยตั้งชื่อว่า เนี่ยนเทียน
ซือหลิง เนี่ยนเทียน..
น่าเสียดายที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจรับรู้นามของบุตรและบุตรีของตัวเอง กระทั่งไม่แม้แต่จะเคยพบหน้าทั้งคู่
…
ตลาดมืดหยินชาน ย่อมได้รับข่าวคราวเหมือนกับตำหนักเมฆาคราม
“เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้นอีกครั้งงั้นเหรอ?”
หลังได้ยินรายงานเรื่องนี้ ผู้นำตลาดมืดหยินชาน ตู้กู ก็กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงบ
ทว่าวินาทีนี้อาวุโสทั้งหลายของตลาดมืดหยินชานที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่ากลัวที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียงสงบดังกล่าวของผู้นำพวกมัน!
หากแต่เรื่องนี้พวกมันก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
เพราะในอดีตยามเมื่อเคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้น ก็ได้มีมารร้ายยอดฝีมือที่น่ากลัวปรากฏขึ้นเช่นกัน!
เพื่อกำราบผู้ฝึกมารอันร้ายกาจคนนั้น ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลายต่างส่งยอดฝีมือออกไปกลุ้มรุมล้อมปราบ แน่นอนว่าตลาดมืดหยินชานก็ส่งคนไปด้วยเช่นกัน
และในการปะทะกันครั้งนั้นบรรพบุรุษของผู้นำตู้กูก็ถูกฆ่าตาย!
จึงกล่าวได้ว่า เคล็ดมารกลืนหยิน กับตลาดมืดหยินชาน เป็นศัตรูคู่ฟ้า กระทั่งยังลั่นวาจาไว้แล้วว่าเมื่อเจอใครฝึกเคล็ดวิชานี้จะฆ่าให้ตาย!
“เคล็ดมารกลืนหยิน…ฉีจิ้ง แล้วก็จูลู่ฉีงั้นหรอ…ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ฐานปฏิบัติการทุกแห่งออกล่าตัวพวกมัน! พบ พบเห็นเป็นฆ่า ไม่ต้องคุย!”
ประกายเย็นเยียบแผ่พุ่งออกมาจากลูกตาตู้กู กล่าวสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ทราบแล้วใต้เท้า!”
อาวุโสไม่กี่คนประสานมือโค้งรับคำสั่งอย่างเคารพ
“เฝิงปู่อี้ เจ้าตามข้าไปตำหนักฟ้าลี้ลับ…ข้าต้องการรายละเอียดของเรื่องนี้!”
ตู้กูมองไปยัง ร่างหนึ่งในบรรดาอาวุโสค่อยกล่าว
เฝิงปู่อี้ที่ว่า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือรองผู้นำตลาดมืดหยินชาน ที่ไปเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับเมื่อครึ่งปีที่แล้ว
ทว่าในขณะที่ตู้กูกับเฝิงปู่อี้จะออกจากตลาดมืดหยินชานไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับ สายลับที่แฝงตัวอยู่ในคำหนักฟ้าลี้ลับก็เข้ามารายงานเสียก่อน
“อดีตจ้าววังนภาจูลู่ฉีของตำหนักฟ้าลี้ลับ เลือกที่จะก่อการทั้งหมดเพราะคิดฝึกเคล็ดมารกลืนหยินเพื่อล้างแค้นข้า?”
หลังจากได้รับทราบรายงานเรื่องนี้ เฝิงปู่อี้ก็อึ้งไปไม่น้อย และในที่สุดมันก็นึกถึงคนที่มันตบหน้าสั่งสอนไปครั้งนั้น มาตอนนี้มันก็เข้าใจแล้วว่าที่แท้คนผู้นั้นก็คือจ้าววังนภาจูลู่ฉี ‘ข้านึกออกแล้ว…เจ้านั่นเหมือนมันจะเรียกว่าจูลู่ฉีจริงๆ! แต่มันคิดเหรอว่ามันจะล้างแค้นข้าได้หลังฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน?’
‘ช่างเหิมเกริม ไม่เจียมตัวนัก!’
ใบหน้าเฝิงปู่อี้เผยความหยันหยามออกมา
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
ได้ฟังรายงานดังกล่าว ตู้กูก็หันไปมองถามเฝิงปู่อี้ด้วยความสงสัยทันที “เจ้าไปมีความแค้นกับตัวทรยศของตำหนักฟ้าลี้ลับนั่นได้อย่างไร?”
เผชิญหน้ากับคำถามของตู้กู เฝิงปู่อี้ย่อมไม่กล้าโป้ปดแม้ครึ่งคำ กล่าวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นเมื่อครึ่งปีที่แล้วออกไปทั้งหมดไม่มีตกหล่น
“มันเป็นถึงจ้าววังนภา และยังมีตำแหน่งรองจ้าวตำหนักค้ำคอ เจ้าไปตบหน้าหยามมันต่อหน้าผู้คนเช่นนั้น ยังทำให้มันเจ็บแค้นยิ่งกว่าพยายามฆ่ามันให้ตายเสียอีก…ที่แท้เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า”
ตู้กูหยีตามองจ้องเฝิงปู้อี้เขม็ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น