War sovereign Soaring The Heavens 1789-1800

 ตอนที่ 1,789 : ใจรู้จักพอ จึงเป็นสุขที่สุด


 


ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียน ก็ได้บุกเข้าไปในพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอเมื่อหลายวันก่อน…


 


บททดสอบแรกนั้นเป็นสัตว์ร้ายที่มีพลังฝึกปรือต้อยต่ำไม่กี่ตัว และเพียงหวางเฟยเซวียนโบกมือคราวเดียวก็ซัดปราณดาบไร้สภาพฆ่าพวกมันได้อย่างหมดจด…พวกมันเป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น!


 


“ฮัยยา ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก!”


 


ถึงแม้จะพึ่งผ่านแค่บททดสอบแรก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าระดับความยากของบททดสอบพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก เป็นเวทย์พลังที่ไม่คุ้มค่ากับการรอคอยเอาเสียเลย!


 


“ปากอีกาจริงๆ”


(*ปากพาซวย)


 


ต้วนหลิงเทียนมองหวางเฟยเซวียนตาดุ กล่าวออกเสียงห้วน


 


แน่นอนว่าถึงเขาจะกล่าวไปทั้งทำหน้าตาแบบนั้น แต่ใจจริงเขาก็ไม่ได้โทษนางแม้แต่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วหวางเฟยเซวียนจะพูดหรือไม่พูดอะไร มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังนี้ เป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำไปได้…


 


บททดสอบในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ เพียงแค่หวางเฟยเซวียนก็สามารถผ่านได้ง่ายดาย


 


ตั้งแต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่ได้ลงมือทำอะไร


 


และเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงปลายทางของพื้นที่มรดก ก็พบว่ามันเป็นเวทย์พลังระดับต่ำแสนไร้รสชาติจริงๆ


 


ถึงแม้จะไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะรับข้อมูลเวทย์พลังมา


 


ในเวลาไม่ถึง 2 วันทั้งคู่ก็กลับออกมาจากพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้


 


“ข้าเชื่อว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไปที่พวกเราจะเจอ ต้องเป็นเวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูงแน่นอน!”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนและหวางเฟยเซวียนจะพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งใหม่ หวางเฟยเซวียนพลันยิ้มกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจขณะเดินทาง มุมปากยังเผยรอยยิ้มคล้ายจะเกทับต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง


 


เพราะมรดกเวทย์พลังชิ้นหน้าจะเป็นของนาง


 


“เจ้าฝันไกลเกินไปแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ “ข้าเชื่อว่ามรดิกเวทย์พลังชิ้นหน้าก็เหมือนกับเมื่อกี้นั่นล่ะ เต็มที่ก็เวทย์พลังระดับต่ำร้ายๆ”


 


“อะไร? เจ้าไม่เชื่อความสามารถในการทำนายของท่านย่าหรือ? เมื่อครู่ท่านย่าผู้นี้ก็ทำนายระดับเวทย์พลังของเจ้าถูกเห็นๆ! ฮึ่ม..มรดกเวทย์พลังชิ้นหน้าของท่านย่ามิมีทางเป็นเวทย์พลังระดับต่ำร้ายๆหรอก!!”


 


หวางเฟยเซวียนเชิดหน้ากล่าวออกด้วยความมั่นใจ เห็นชัดว่านางเองก็กล่าวเล่นกับต้วนหลิงเทียนด้วย


 


และ 3 วันต่อมา ทั้งคู่ก็พบพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง…


 


และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นชัด ว่าหวางเฟยเซวียนอาจเดาถูกได้หนึ่งครั้ง แต่คิดจะเดาให้ถูก 2 ครั้งคงยากไปหน่อย…


 


เพราะเวทย์พลังในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้…เป็นระดับต่ำ!


 


“เจ้าสิปากอีกา! ทั้งหมดเพราะเจ้าคนเดียวเลย!”


 


ตลอดทางไม่ว่าจะฆ่าสัตว์ร้ายที่ฝ่าบททดสอบ หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหันมามองกล่าวโทษต้วนหลิงเทียนตาขวาง เรื่องนี้ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาปริบๆ ไร้คำจะกล่าว


 


นี่นางลืมไปแล้วหรือไง ว่าเป็นนางกล่าวแช่งเขาก่อน?


 


หลังจากหวางเฟยเซวียนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับต่ำชิ้นนี้แล้ว ทั้งคู่ก็ตระเวนหามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไป


 


ระหว่างทางเมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนคล้ายจะกล่าวอะไรออกมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็เร่งกล่าวดักคอนางไว้ก่อน “ข้าบอกไว้ก่อนเลย ถ้าเจ้าแช่งข้าอีกที เจ้าอย่าได้หวังว่าจะได้รับเวทย์พลังระดับสูงอะไรอีก..เลิกฝันไปได้เลย!”


 


เมื่อคิดถึงความโชคร้ายที่พึ่งผ่านมาของตัวเองและอีกฝ่าย หวางเฟยเซวียนก็เงียบปากไปไม่คิดกล่าวอะไรเหลวไหลออกมาอีก หากแต่ยังอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย


 


มีคำกล่าวที่ว่า ‘ชายหญิงร่วมมือกันงานใดล้วนลุล่วง’ นับว่าไม่ผิดเลยทีเดียว เพียงแค่ผ่านไปอีกวัน ทั้งคู่ก็พบทางเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง


 


และตามกฏการร่วมมือกัน เวทย์พลังบทนี้จะเป็นของต้วนหลิงเทียน


 


‘หวังว่าจะเป็นเวทย์พลังจู่โจมระดับกลางหรือสูงนะ…หากให้ดีก็เป็นเวทย์พลังที่เสริมพลังกระบี่อะไรทำนองนั้นทีเถอะ’


 


ขณะเดินเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลัง ต้วนหลิงเทียนก็ลอบอธิษฐานในใจ


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แม้เวทย์พลังจะดูคล้ายคลึงกับวรยุทธ์เซียนอยู่บ้าง หากแต่มันก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เวทย์พลังนั้นโดยมากแล้วจะเป็นเหมือนทักษะสนับสนุน และมักใช้เพื่อเสริมอานุภาพวรยุทธ์ แน่นอนว่ายังมีเวทย์พลังบางอย่างที่มีพลังอำนาจร้ายกาจด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาวรยุทธ์…


 


ดังนั้นหากต้วนหลิงเทียนได้รับเวทย์พลังสายจู่โจมล่ะก็ พลังความแข็งแกร่งของเขาจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นหากทะลวงถึงอริยะเซียน


 


ต้องทราบด้วยว่าเขาเพียงต้องทะลวงให้ถึงขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น เขาก็สามารถเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังและใช้งานมันได้แล้ว


 


และตอนนี้เขาก็มีเวทย์พลังที่ใช้การได้อยู่ถึง 3 อย่างแล้ว ร่างทองลิ่วเหอ ปฐมเวทย์กลืนกิน และปีกอีกาทองคำ!


 


ร่างทองลิ่วเหอนั้นเป็นเวทย์พลังสายป้องกัน ส่วนปฐมเวทย์กลืนกินนั่นเป็นเวทย์พลังเสริมพลังอันน่ากลัว ส่วนปีกอีกาทองคำเป็นเวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหว!


 


ในบรรดาเวทย์พลังทั้ง 3 ร่างทองลิ่วเหอนั้นนับว่ามีระดับต่ำที่สุด เพราะมันเป็นแค่เวทย์พลังระดับกลางเท่านั้น


 


สำหรับเวทย์พลังอีก 2 อัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันจะมีระดับมากกว่ากัน เรื่องนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้กลับร่างที่แท้จริง และกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วดู


 


อย่างไรก็ตามจิตใต้สำนึกเขาบอกว่า ‘ปีกอีกกาทองคำ’ ของผู้เฒ่าหั่วสมควรมีระดับสูงกว่า!


 


เพราะสุดท้ายแล้วผู้เฒ่าหั่วก็คืออีกาทองคำ 3 ขา! วิหกเทพสุริยันในตำนาน!!


 


แน่นอนว่าในนาคตถึงแม้เขาจะใช้ปีกอีกาทองคำที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดให้เขาได้ แต่ก็คงไม่อาจใช้มันให้มีอานุภาพเทียบกับผู้เฒ่าหั่วยามใช้เวทย์พลังนี้ด้วยตัวเองได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเวทย์พลังเฉพาะตัวเผ่าพันธุ์ของผู้เฒ่าหั่ว!


 


อย่างไรก็ตามนี่นับเป็นเวทย์พลังระดับสูงล้ำที่ไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะมีได้


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงเชื่อไปอย่างไม่รู้ตัว ว่าในบรรดาเวทย์พลังที่เขามีตอนนี้ ปีกอีกาทองคำ เป็นเวทย์พลังที่มีระดับสูงสุด


 


แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะรู้สึกว่ามันสมควรเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วน


 


เขามักรู้สึกว่าปฐมเวทย์กลืนกินเองก็ไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาๆเลย


 


‘หลังออกจากแดนลับเซียนนี่ ค่อยถามผู้เฒ่าหั่วดู…เดี๋ยวก็รู้’


 


เมื่อคิดได้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กังวลเรื่องนี้อีกต่อไป


 


จะอย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังขาดเวทย์พลังสายโจมตีอยู่


 


ถึงแม้เขาจะได้รับสืบทอดเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่อันสูงสุดอย่างยอดใจกระบี่มา แต่ยอดใจกระบี่ก็ยังจัดอยู่ในประเทภของวรยุทธ์เซียน


 


เช่นนั้นขั้นต่างๆของยอดใจกระบี่ ก็จัดเป็นวรยุทธ์แขนงหนึ่ง


 


แม้มันจะมีพลังอำนาจลี้ลับที่ทำให้หนุนเสริมวรยุทธ์อื่นได้ แต่มันก็ยังไม่ใช่เวทย์พลัง…กลวิธีการใช้พลังมันแตกต่างกัน!


 


‘จะดีที่สุดหากข้าได้เวทย์พลังจู่โจมสายกระบี่อะไรทำนองนั้นมา!’


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงฝันไปเรื่อยขณะเดินเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งใหม่


 


ยังดีที่หวางเฟยเซวียนไม่ได้ยินความคิดของต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วนางคงหัวเราะร่า เพราะความคิดนี้ของต้วนหลิงเทียนมันเพ้อฝันเกินไป!


 


และไม่นานต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนก็เผชิญหน้ากับบททดสอบแรก…


 


หลังจากกำจัดสัตว์ร้ายในบททดสอบแรกแล้ว หน้าต้วนหลิงเทียนก็ดำคล้ำเป็นน้ำหมึกทันที…


 


หวางเฟยเซวียนเองก็หน้าขึ้นสีระเรื่อ ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้สืบไป “เจ้ามิอาจตำหนิข้าได้นะ! ข้าไม่ได้แช่งเจ้าเลยนะ ไม่ได้แช่งเลย!!”


 


สัตว์ร้ายในบททดสอบแรกที่ปรากฏตัวออกมา ทั้งคู่ก็บอกได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำอีกแล้ว


 


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ


 


“เจ้าคอยดูเถอะ! มรดกเวทย์พลังชิ้นหน้าไม่มีทางเป็นระดับต่ำแน่นอน!!”


 


ขณะเดินทางค้นหามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไป หวางเฟยเซวียนก็กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ


 


“ขอให้เป็นงั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับไปส่งๆ คร้านจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับนางอีก


 


แต่ทว่าอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนไม่ได้หงุดหงิดเพราะได้รับมรดกเวทย์พลัง 2 ครั้งติดแต่อย่างใด


 


“เจ้าใจเย็นหน่า! ข้ามั่นใจว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไปของเจ้า ต้องไม่มีทางเป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำแน่นอน!!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ต่อปากต่อคำกับนางอีก หวางเฟยเซวียนก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาพิกล


 


“ตามนั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบอย่างไม่แยแส


 


“เจ้า…เจ้าเป็นไรหรือไม่?”


 


หวางเฟยเซวียนถึงกับหยุดลง ก่อนที่จะหันมามองถามต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง


 


“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ไปต่อเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว พร้อมยิ้มบางๆ


 


ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้รับเวทย์พลังสายจู่โจมระดับสูงและได้รับแค่เวทย์พลังระดับต่ำ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจ


 


เพราะที่เขาหงุดหงิดใจขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเขาได้รับเวทย์พลังระดับต่ำอะไรนั่น! แต่เพราะเขาพึ่งตระหนักได้ว่า…ไฉนอยู่ๆเขาถึงเกิดความโลภไม่รู้จักพอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว!!


 


มองย้อนกลับไป เขาพึ่งเข้ามาในแดนลับเซียนได้ไม่ทันไรก็ได้รับ ‘ร่างทองลิ่วเหอ’ อันเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลางมาแล้วแท้ๆ…


 


แถมเวทย์พลังที่ใช้การได้อีกอย่างที่เขาได้รับก็คือ ปฐมเวทย์กลืนกิน ซึ่งนี่ไม่เพียงแต่จะเป็นเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียนเท่านั้น แต่น่ากลัวว่ายังเป็นเวทย์พลังที่มีระดับสูงสุดในแดนลับเซียนแห่งนี้ด้วยซ้ำ…อย่างน้อยๆ คนของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่มีโอกาสได้รับมันอีกต่อไป!!


 


ทำให้พอสำรวจใจตัวเองและทบทวนความคิดจบ มุมมองของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที


 


สุดท้ายแล้ว ใจรู้จักพอ จึงเป็นสุขที่สุด…พอใจในสิ่งที่ตนเองมีถือเป็นลาภอันประเสริฐ!


 


ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ในการเดินทางท่องแดนลับเซียนเขาจะไม่ได้รับเวทย์พลังอื่นใดเพิ่มเติมก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะเขาได้รับของดีๆมาพอแล้ว


 


พอเขาคิดได้แบบนี้ จึงทำให้เขาแลดูเฉยๆกับทุกสิ่ง


 


แน่นอนว่าหวางเฟยเซวียนย่อมไม่อาจรับทราบห้วงคิดหรือมุมมองที่เปลี่ยนไปของต้วนหลิงเทียนได้ นางคิดว่าเขายังเสียใจและเซื่องซึมไปเพราะความผิดหวัง


 


แต่ต้องกล่าวบอกเลยว่าหวางเฟยเซวียนนับว่ามีโชคนัก


 


เพราะหลังจากนั้นอีก 2 วันทั้งคู่ก็ได้พบเจอกับพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง ความยากของบททดสอบนั้นเพียงอ่อนกว่าบททดสอบของหอคอยลิ่วเหอ กับพระราชวัง 6 โถงแค่เล็กน้อยเท่านั้น!


 


และเวทย์พลังที่มรดกเวทย์พลังชิ้นนี้บันทึกไว้ มันก็เป็นเวทย์พลังสายเดียวกับเวทย์พลังในหอคอยลิ่วเหอ และพระราชวัง 6 โถง…เวทย์พลังสายป้องกัน!


 


อย่างไรก็ตาม แม้มันจะเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลาง แต่ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าร่างทองลิ่วเหอที่ต้วนหลิงเทียนมี กับ ‘ปราการศิลาสวรรค์’ ที่เซียวตุนได้ไปอยู่บ้าง


 


หากแต่การได้รับเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลางแบบนี้ หวางเฟยเซวียนย่อมพึงพอใจมากแล้ว นางอารมณ์ดีไม่น้อย “เอาล่ะ! พวกเราไปหาพื้นที่มรดกเวทย์พลังกันต่อเถอะ!”


 


และไม่นานนักทั้งคู่ก็ได้พบพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกครั้ง


 


และคราวนี้เป็นมรดกเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียน


 


อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำอีกครั้ง…


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่ หากแต่หวางเฟยเซวียนกลับรู้สึกผิดไม่น้อย “นี่…พวกเรามาเปลี่ยนกฏกันดีหรือไม่ หากพวกเราเจอเวทย์พลังระดับต่ำอีกครั้งข้าจะรับไว้เองจนกว่าจ้าจะได้เวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูง”


 


ความโชคร้ายของต้วนหลิงเทียน กระทั่งหวางเฟยเซวียนยังไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป


 


นางกลัวจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะได้พบเจอแต่มรดกเวทย์พลังระดับต่ำ เพราะอย่างไรเสียนางก็ได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับกลางมาถึง 3 ชิ้นแล้ว


 


“ไม่ต้องหรอก”


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ปรับทัศนคติไปแล้ว มุมมองต่อโลกหล้าย่อมแปรเปลี่ยนไป เขาจึงกล่าวปฏิเสธหวางเฟยเซวียนออกมาตรงๆทันที


 


“ข้าพูดเอง! เจ้าจะหยิ่งไปทำอันใด?”


 


เผชิญหน้ากับการปฏิเสธของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนย่อมรู้สึกไม่ดี “เจ้าคิดว่าการปฏิเสธข้าถือเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของเจ้าหรืออย่างไร? ศักดิ์ศรีของบุรุษเช่นพวกเจ้ามันสำคัญกว่าอนาคตหรืออย่างไร! หรือเจ้ามิรู้ว่าเวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูงบางทีมันก็สามารถเปลี่ยนชีวิตเจ้าได้!?”


 


“เอ่อ…นี่เจ้าคิดว่า ก่อนที่ข้าจะเจอเจ้า…ข้าไม่เจอมรดกเวทยืพลังระดับกลางหรือระดับสูงมาก่อนเลยงั้นเหรอ?”


 


ได้ยินเสียงโวยวายรอบนี้ของหวางเฟยเซวียนใจต้วนหลิงเทียนกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามนางออกไปด้วยรอยยิ้ม


ตอนที่ 1,790 : เวทย์พลังสายกระบี่ระดับสูง


 


ได้ฟังคำนี้ของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ!


 


จริงด้วย!


 


กว่าที่นางจะได้พบเจอกับต้วนหลิงเทียน เวลาในแดนลับเซียนมันก็ล่วงเลยไปถึง 2 เดือนแล้ว! ด้วยพลังฝีมืออันร้ายกาจของต้วนหลิงเทียน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พบเจอพื้นที่มรดกเวทย์พลังมาก่อน!!


 


และตลอดเวลาที่ร่วมมือกันมา 9 ใน 10 ส่วนของพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เจอ ก็เป็นต้วนหลิงเทียนค้นพบทั้งสิ้น!


 


นางยังอยากจะควักลูกตาของต้วนหลิงเทียนออกมาชมดูเสียให้ได้ ว่าที่แท้มันต่างจากลูกตานางตรงไหนกันแน่ ไฉนแลดูอีกฝ่ายมองเห็นเบาะแสพื้นที่มรดกเวทย์พลังได้ง่ายดายนัก!


 


“ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้าไม่เห็นความหวังดีของข้าก็แล้วแต่เจ้าเถอะ!!”


 


หวางเฟยเซวียนฮึดฮัดหน้ามุ่ยเล็กน้อยแล้วก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก หากแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะลอบคิด ‘คอยดูกันไปเถอะ! ถ้ามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไปเป็นเวทย์พลังระดับกลางล่ะก็…ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะทำหน้าเสียใจอย่างไร!!’


 


มรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไป เป็นของหวางเฟยเซวียน


 


บางทีไม่ทราบเพราะโชคของหวางเฟยเซวียนมันดีจริงๆหรืออย่างไร มรดกเวทย์พลังที่พบเจอถัดมากลับเป็นเวทย์พลังระดับกลางจริงๆ อีกทั้งยังเป็นเวทย์พลังสายจู่โจมที่เรียกว่า ‘บุปผาเหินปลิดชีพ’


 


“เป็นไงเล่า! เจ้าเสียใจแล้วหรือไม่?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาอย่างกระแนะกระแหน หลังสืบทอดมรดกเวทย์พลังเสร็จสิ้น…


 


“ไม่เห็นมีอะไรต้องเสียใจ…”


 


ต้วนหลิงเทียนฉีกยิ้มออกมาบางๆ หากเป็นก่อนหน้าเขาอาจเสียใจอยู่บ้าง ว่าไฉนคนที่ได้รับเวทย์พลังสายจู่โจมบทนี้ไม่เป็นเขา


 


หากแต่ตอนนี้เมื่อมุมมองเปลี่ยน ท่าทางเขาจึงแลดูสบายๆนัก


 


มรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไปย่อมเป็นของต้วนหลิงเทียน และไม่ทราบมันเป็นโชคร้ายหรืออาถรรพ์นรกอันใดกันแน่ แต่ต้วนหลิงเทียนยังคงได้รับเวทย์พลังระดับต่ำต่อไป…


 


ส่วนมรดกเวทย์พลังชิ้นถัดมาย่อมเป็นของหวางเฟยเซวียน และดูเหมือนคราวนี้หวางเฟยเซวียนก็ดวงตกแล้วเช่นกัน เพราะมันเป็นแค่เวทย์พลังระดับต่ำ


 


“นี่น่าจะเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งสุดท้ายที่พวกเราได้ลุย…อีก 4 วันแดนลับเซียนก็จะขับพวกเราออกไปแล้ว”


 


หลังพบพื้นที่มรดกอีกแห่ง หวางเฟยเซวียนก็กล่าวขณะตามต้วนหลิงเทียนเข้าไป


 


“คงงั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาคิดว่าเวลา 4 วันนั้นน่าจะมากพอให้เขาได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังชิ้นนี้


 


“นี่เป็นมรดกเวทย์พลังชิ้นสุดท้ายที่เจ้าจะได้…หวังว่ามันจะเป็นเวทย์พลังระดับกลางขึ้นไป”


 


หวางเฟยเซวียนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง


 


เพราะมรดกเวทย์พลังชิ้นนี้ เป็นรอบที่ต้วนหลิงเทียนจะได้


 


“หวังว่างั้น…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ สีหน้าท่าทางแลดูเฉยๆสบายๆคล้ายไม่ได้สนใจอะไรมากมาย คล้ายไม่ว่าจะได้รับเวทย์พลังระดับสูงก็ดีระดับต่ำก็ช่าง…


 


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคล้ายไม่ได้กังวลอะไร หวางเฟยเซวียนก็ไม่พูดอะไรมากมาย


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบแรก หวางเฟยเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง “บ้าจริง! ไฉนพวกมันถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้เล่า!!”


 


เพียงแค่บททดสอบแรก หวางเฟยเซวียนที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ก็มิอาจรับมือได้ไหว ยังถึงกับต้องหนีกลับมาหาต้วนหลิงเทียนหัวซุกหัวซุน!!


 


ความยากของบททดสอบนี้ มันยากเสียยิ่งกว่าบททดสอบแรก ที่นางได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังเสิรมการเคลื่อนไหวระดับสูงอย่าง ‘ภูตมายาพันเงา’ มาเสียอีก!


 


“เวทย์พลังระดับสูง!!”


 


จังหวะนี้หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ!


 


“ท่าทางโชคข้ารอบนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มอย่างยินดี ก่อนที่จะค่อยๆก้าวออกมา


 


บททดสอบแรกที่หวางเฟยเซวียนไม่อาจรับมือไหว กลับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือของต้วนหลิงเทียน เพียงแค่ไม่ถึง 10 ลมหายใจเขาก็จัดการล้างบางสัตว์ร้ายพิทักษ์ด่านนับสิบๆ จนหมดสิ้น


 


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มบุกตะลุยฝ่าด่านไปเรื่อยๆ


 


บททดสอบหลังจากนั้น ก็ยิ่งทวีความยากเย็นขึ้นไม่น้อย เรียกว่าบททดสอบในพื้นที่มรดกเวทย์พลัง ภูตมายาพันเงา ของหวางเฟยเซวียนไม่อาจเทียบได้เลย


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนและหวางเฟยเซวียนยืนยันได้เต็ม 10 ส่วน ว่าเวทย์พลังที่บันทึกไว้ในมรดกเวทย์พลังแห่งนี้ต้องเป็นเวทย์พลังระดับสูงแน่นอน!!


 


‘คงไม่ใช่เวทย์พลังจู่โจมเกี่ยวกับกระบี่ดั่งที่ข้าหวังไว้จริงๆหรอกนะ’


 


เมื่อมาถึงบททดสอบถัดมาต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเป็นสุสานกระบี่อีกแล้ว…จึงอดไม่ได้ที่จะลอบคิดไปในใจอย่างทึ่งๆ


 


ที่สำคัญคือบททดสอบก่อนหน้าก็เป็นสุสานกระบี่เช่นกัน กล่าวตามตรงนอกจากบททดสอบแรกที่เป็นสัตว์ร้ายแล้ว บททดสอบต่อๆมาล้วนเกี่ยวข้องกับกระบี่ทั้งสิ้น


 


หากแต่ผู้พิทักษ์ประจำด่านก็ต่างกันไป


 


รูปแบบการทดสอบก็แตกต่างกัน บ้างก็ประมือกับผู้พิทักษ์กระบี่ บ้างก็ฝ่าค่ายกลกระบี่ แต่ที่รู้ๆคือมันร้ายกาจมาก!


 


อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่อะไรที่หวางเฟยเซวียนจะมีโอกาสผ่านมันได้เลย!


 


หากแต่สำหรับต้วนหลิงเทียนที่ตะลุยฝ่าบททดสอบของพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้งไป จนได้รับสืบทอดเวทย์พลังอย่างปฐมเวทย์กลืนกินมาได้ บททดสอบในพื้นที่มรดกแห่งนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่เหลือบ่ากว่าแรงเขาแม้แต่น้อย!


 


บททดสอบในบึงไร้ก้นบึ้งที่เขาเจอมา มีความยากเหนือกว่าสถานที่แห่งนี้มากมายนัก


 


‘บททดสอบในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ แม้ร้ายกาจไม่เท่าบึงไร้ก้นบึ้งที่มีปฐมเวทย์กลืนกินของอาวุโส หากแต่ยังยากกว่าเวทย์พลังเสริมเคลื่อนไหวอย่าง ภูตมายาพันเงา ของหวางเฟยเซวียน เช่นนั้นสมควรมีระดับสูงกว่า!’


 


เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากความยากของบททดสอบที่ผ่านมา


 


“เจ้าทึ่มดูเหมือนที่เจ้าโชคร้ายก่อนหน้า เป็นเพราะโชคของเจ้ามากองรวมกันครั้งนี้แน่ๆ!”


 


หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างอิจฉา


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับไม่ได้กล่าวคำใด ยังคงตะลุยฝ่าบททดสอบต่อไป


 


ถึงแม้มุมมองและความคิดเขาจะเปลี่ยนไป แต่เขาย่อมไม่คิดปฏิเสธเวทย์พลังระดับสูงที่อยู่ตรงหน้า!


 


“บททดสอบสุดท้ายแล้ว…ในที่สุดข้าก็จะได้รู้สักทีว่าเวทย์พลังระดับใดที่อยู่ในมรดกเวทย์พลังชิ้นนี้”


 


ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่บททดสอบระดับสุดท้าย หวางเฟยเซวียนพลันกล่าวออกมา


 


บททดสอบของพื้นที่มรดกเวทย์พลังนั้น หากเป็นบททดสอบสุดท้าย มักจะเผยพลังอำนาจของมรดกเวทย์พลังที่จะได้รับให้เห็น


 


เวทย์พลังที่ศัตรูคนสุดท้ายใช้ก็คือเวทย์พลังในมรดกเวทย์พลังที่จะได้รับสืบทอด!


 


และผู้พิทักษ์ด่านสุดท้ายของพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ที่ปรากฏตัวออกมาตรงหน้าต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนก็คือ…มือกระบี่หนุ่มในชุดจอมยุทธ์สีขาว


 


อีกฝ่ายยืนถือกระบี่ยาวพร้อมฝักตัวตรงดั่งหอก หากแต่มองไปไม่คล้ายผู้คน…เสมือนมันเป็นกระบี่คมเล่มหนึ่ง!


 


“มือกระบี่?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น ทั่วกายปรากฏกลิ่นอายพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมาทันใด เป็นจิตต่อสู้ที่ระอุขึ้นมา!


 


หลังได้รับถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่ระดับสูงอย่างยอดใจกระบี่มา เขาเองก็บรรลุสำนึกกระบี่ไม่น้อย ทำให้ตอนนี้เขาเองก็ถือเป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง! ในเมื่อได้พบพานกับสหายร่วมวิถี ในใจย่อมบังเกิดความฮึกเหิมคิดท้าทายวัดเชิงให้รู้เรื่อง!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 



 


ทันทีที่จิตต่อสู้ปะทุออก ร่างมือกระบี่หนุ่มชุดขาวเองก็ปะทุจิตต่อสู้ขึ้นมาเช่นกัน ปราณทั่วร่างระเบิดออกมาดั่งเพลิงไฟ คนอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา!


 


แน่นอนว่าเพียงหายไปต่อหน้าต่อตาหวางเฟยเซวียน


 


ในสายตาของต้วนหลิงเทียน เขาเห็นชัดว่ามือกระบี่หนุ่มชุดขาวได้เหินพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!


 


อย่างไรก็ตามแม้ความเร็วของอีกฝ่ายจะนับว่ารวดเร็ว หากแต่เป็นความรวดเร็วของขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด


 


ยังด้อยกว่าความเร็วสูงสุดเขามาก


 


อีกทั้งยังไม่ได้รวดเร็วไปกว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวของผู้พิทักษ์สตรีที่เป็นผู้พิทักษ์ด่านคนสุดท้ายของพื้นที่มรดกเวทย์พลัง ภูตมายาพันเงา แม้แต่น้อย!


 


ทว่าความเร็วของผู้พิทักษ์สตรีนางนั้น เป็นเพราะนางใช้ออกด้วยเวทย์พลังภูตมายาพันเงา จึงบรรลุขอบเขตความเร็วทัดเทียมกับต้วนหลิงเทียน


 


หากแต่มือกระบี่หนุ่มในชุดขาว ไม่มีเวทย์พลังเช่นนั้น!


 


“พลังรบโดยรวม…ผู้พิทักษ์สตรียังด้อยกว่ามือกระบี่คนนี้มาก!”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังแกร่งกร้าวของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวยามชักกระบี่ออกมาจากฝัก ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


และนี่อีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้เวทย์พลังอันใดด้วยซ้ำ!


 


หากใช้เวทย์พลังด้วยล่ะก็ เกรงว่าพลังฝีมือจะยิ่งร้ายกาจมากไปกว่านี้!


 


‘เวทย์พลัง…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมควรเป็นเวทย์พลังสายกระบี่ระดับสูงแน่นอน! แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นชนิดใด จู่โจม ป้องกัน หรือหนุนเสริม?’


 


เวทย์พลังสายกระบี่เองก็จำแนกออกได้เป็นหลายชนิดเช่นกัน


 


และไม่นานมือกระบี่หนุ่มชุดขาวก็แสดงคำตอบให้แก่ต้วนหลิงเทียน


 


วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!


 



 


หลังชักกระบี่ มือกระบี่หนุ่มชุดขาวก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด หยุดลอยกลางฟ้าแน่นิ่ง…หากทว่ารอบกายกลับปรากฏร่างแยกขึ้นมาอีก 9 ร่าง!!


 


ร่างแยกทั้ง 9 นั้น เหมือนกับร่างต้นไม่มีผิด! ทุกร่างถือกระบี่ที่ชักออกฝักไว้ในมือ สองตามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง!!


 


‘ช่างเป็นร่างแยกที่สมจริงเสมือนมีชีวิตนัก!’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นร่างทั้ง 10 เริ่มเคลื่อนไหว เขาก็แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทุกร่างทันที แต่มิคาดเขากลับไม่อาจบอกได้เลยว่าร่างไหนเป็นร่างที่แท้จริง!!


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าทั้ง 10 ร่างกำลังทยอยกันพุ่งเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง!


 


กระบี่สามฉื่อในมือของพวกมัน ตวัดยิงรังสีพลังกระบี่ยาว 7 ฉื่อออกมาฉับไว ทั้งหมดยังเล็งจี้หมายทะลวงศีรษะของเขา!!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


มือกระบี่หนุ่มชุดขาวทั้งหลายคล้ายเทพกระบี่ที่จุติลงมาจากฟากฟ้า ความเร็วของพวกมันยามเสือกกระบี่ปลดปล่อยรังสีพลังกระบี่สังหารใส่ต้วนหลิงเทียนนับว่าสูงล้ำไม่ใช่ชั่ว!!


 


“รังสีกระบี่ที่ว่องไวนัก!”


 


จังหวะนี้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้จะเผยความเคร่งขรึมจริงจังออกมา เขาพบว่ารังสีพลังกระบี่สังหารที่พวกมันจี้ยิงออกมานั้น แต่ละสายเทียบเท่ากับการโจมตีของสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั้งสิ้น!!


 


เรียกว่ารังสีพลังกระบี่สังหารแต่ละสาย เสมือนการลงมือสุดตัวของยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


รังสีพลังกระบี่สังหารของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวคนแรก พุ่งปะทะเข้ากับม่านพลังจากระฆังกระบี่คลุมกายของต้วนหลิงเทียนที่พึ่งก่อเกิดขึ้นมมาเข้าอย่างจัง เสียงพลังปะทุดังสนั่นหวั่นไหว ม่านพลังของระฆังกระบี่คลุมกายยังกระเพื่อมสั่นไหวอย่างแรง!!


 


เปรี๊ยงง!!!


 


รังสีพลังสังหารของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวอีกคนบรรลุถึง พาลให้บรรยากาศรอบกายต้วนหลิงเทียนเย็นเยือกลงทันใด!


 


เปรี๊ยงง!!


 


และเมื่อรังสีพลังกระบี่สังหารของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวคนที่ 3 มาถึง ระฆังกระบี่คลุมกายของต้วนหลิงเทียนก็แตกสลายไปทันที!


 


ถึงแม้ว่าม่านพลังป้องกันของระฆังกระบี่คลุมกายของต้วนหลิงเทียน จะเทียบได้กับการป้องกันของอริยะเซียนขั้นต้น หากแต่มันก็สามารถทานรับการจู่โจมของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้แค่ 2 คนเท่านั้น…ไม่อาจต้านรับการโจมตีครั้งที่ 3 ได้!!


 


เพียง 3 กระบี่กลับสามารถทำลายม่านพลังป้องกันของต้วนหลิงเทียนได้!!


 


นอกจากนี้ยังเหลือมือกระบี่หนุ่มชุดขาวอีกตั้ง 7 คน พวกมันทั้งหมดเองก็ลงมือจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยเช่นกัน!!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ภายใต้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ หากยังยืนรับตรงๆก็โง่เขลาเต็มที ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะวูบร่างหลบหลีกทันที! เพียงวูบร่างออกไปซ้ายขวาเล็กน้อย ก้หลบรังสีพลังกระบี่สังหารอีก 7 สายได้ไม่ยากเย็น!!


 


อย่างไรก็ตามแม้เขาจะฉากหลบรังสีพลังกระบี่สังหารไปได้ หากแต่ร่างของมือกระบี่หนุ่มทั้ง 10 ก็ยังคงพุ่งจี้ลงจากฟ้ามาทางเขาไม่ลดละ!!


 


มือกระบี่หนุ่มจี้กระบี่สังหารพุ่งกรีดฟ้าลงมาก่อให้เกิดเป็นเส้นแสงลากยาวขวางฟ้า มองไปยังคล้ายแผ่นฟ้าถูกกระบี่ทั้ง 10 กรีดผ่าอยู่บ้าง!


 


วิ้ง!!


 


ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงกระบี่กรีดฟ้าที่ฉับไวกว่าเสียงใดเข้าหู!


 


และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาตามสัญชาตญาณเขาก็พบว่า กระบี่ 3 ฉื่อที่อยู่ในมือของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวคนหนึ่ง กำลังจี้แทงลงมาจากฟ้าด้วยความเร็วสูงล้ำ! ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการพุ่งตกของมันคล้ายจะเหนือกว่าความเร็วก่อนของร่างแยกมันก่อนหน้าเสียอีก!!


 


“เจ้านี่มันร่างจริง!!”


 


และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็พบว่าร่างแยกอีก 9 ร่างที่เหลือที่กำลังพุ่งจี้กระบี่ลงมาก็หวนกลับคืนสู่ร่างกายที่แท้จริงในชั่วพริบตา!


 


อีกทั้งคล้ายร่างแยกแต่ละร่างจะเสริมพลังให้ร่างจริงหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่คนกระบี่ที่จี้แทงลงมากลับปะทุความเร็วออกมาปานจุดระเบิด!!


 


สุดท้ายความเร็วของร่างจริงมือกระบี่หนุ่มชุดขาวที่จี้แทงลงมาจากฟ้าด้วยสภาวะปานดาวตก มันก็บรรลุถึงขอบเขตความเร็วระดับอริยะเซียนขั้นกลาง!


 


“เร็วเกินไป!”


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างมหันต์


 


เพราะกระบี่ในมือของชายหนุ่มชุดขาวตอนนี้ไม่เพียงแต่จะเร็ว ยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังสังหารแสนอันตราย! พลังสังหารดังกล่าวยังเหนือกว่าการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ต้วนหลิงเทียนจะใช้ออกได้ตอนนี้เสียอีก!!


ตอนที่ 1,791 : เวทย์พลัง เซียนอมตะข้ามภพ


 


กระบี่นี้ของมือกระบี่หนุ่มชุดขาว มันรวดเร็วเกินกว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะหลบได้ทัน!


 


‘กระบี่นี้ ข้าต้องรับให้ได้!!’


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ปราณสุริยันแรกกำเนิดทั่วร่างโคจรพุ่งพล่านดั่งสายธารเชี่ยว คิดควบรวมก่อเกิดเขตแดนหมื่นกระบี่ให้เร็วที่สุด!!


 


อย่างไรก็ตามกระบี่เปี่ยมสภาวะดาวตกร่วงฟ้าของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวนี้ มาได้รวดเร็วเกินไป! ไม่ทันที่เขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนจะควบรวมแล้วเสร็จ อีกฝ่ายก็พุ่งทำลายสนามพลังที่พึ่งก่อตัวไปเสียฉิบ!!


 


เมื่อเขตแดนหมื่นกระบี่ถูกทำลายในช่วงเวลาควบรวมก่อเกิด ปราณสุริยันแรกกำเนิดที่จ่ายออกพลันตีกลับเข้าร่างต้วนหลิงเทียนทันที! พาลให้อวัยภายในของต้วนหลิงเทียนบาดเจ็บไม่น้อย!!


 


“อั๊ค!!”


 


เลือดลมภายในตีย้อนขึ้นมาในลำคอ สุดท้ายค่อยกระอักออกปากคำโต บรรยากาศพลันคาวคลุ้งไปด้วยโลหิต!


 


หากแต่ยามนี้ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะมีเวลาแยแสอาการบาดเจ็บ?


 


ชายหนุ่มในชุดขาวที่พุ่งกระบี่แทงลงมาดั่งเทพเซียนตกแดนสวรรค์ เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารหมายฆ่าเขาให้ตาย!


 


เมื่อเขตแดนหมื่นกระบี่ถูกทำลาย แม้พลังจะตีกลับเข้าร่างจนบาดเจ็บ หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดให้พลังขุมนี้เสียเปล่า! พลันโคจรเร่งเร้าพลังสุดตัว ชักนำขุมพลังดังกล่าวแล่นผ่านชีพจรเซียน 99 สายรวดเร็วดั่งธารเชี่ยวไปผนึกควบรวมเป็นกระบี่พลังมีสภาพสีทองยาว 3 ฉื่อ กระชับแน่นในมือขวา!!


 


มองจากไกลๆ แลคล้ายสุริยันร้อนดวงเล็กปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่า แสงทองเจิดจ้าพุ่งแทงแยงตา


 


วู้มมม!!


 


ชายหนุ่มชุดขาวไม่นำพาแสงทอง สีหน้ามันว่างเปล่าไร้อารมณ์ กระบี่ที่แทงลงในมือประหนึ่งเคียวยมทูตที่หมายเก็บเกี่ยววิญญาณ!


 


ถึงแม้การถูกชายหนุ่มชุดขาวฆ่าตายในที่นี้จะไม่ใช่การตายจริง หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อยากถูกมันฆ่า!


 


เพราะร่างที่กำลังพุ่งลงมาเบื้องหน้าจากฟ้าคนนี้ คือผู้พิทักษ์ด่านคนสุดท้ายของพื้นที่มรดกเวทย์พลัง! หากเขาเอาชนะมันได้ เขาก็จะได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง!!


 


ตัดสินจากการลงมือของมือกระบี่หนุ่มชุดขาว เวทย์พลังที่อีกฝ่ายใช้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเวทย์พลังสายกระบี่!


 


และเวทย์พลังสายกระบี่เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนต้องการเป็นที่สุด!


 


ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนยังหดหู่ไม่น้อยที่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับเวทย์พลังสายกระบี่อันใดแล้ว…


 


ทว่าตอนนี้ความหวังกลับมาปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า! ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่เต็มใจจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป ‘ข้าจะลงมือเต็มกำลัง ฆ่ามันเพื่อรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังนี่มาให้ได้…ต่อให้เอาชนะมันไม่ได้ แต่หากพยายามถึงที่สุดแล้วข้าก็ไม่เสียใจ!!’


 


จิตต่อสู้อันเหี้ยมหาญปะทุออกทั่วร่างต้วนหลิงเทียนอย่าบ้าคลั่ง สภาวะคนแปรเปลี่ยนกลับกลายwxดั่งกระบี่คมแฝงเร้นไปด้วยพลังอำนาจอันเกรี้ยวกราด!!


 


ภายใต้จิตต่อสู้อันบ้าคลั่ง กระบี่พลังมีสภาพสีทอง 3 ฉื่อในมือคล้ายได้รับพลังหนุนเสริมจากทวยเทพ ตวัดแทงสวนออกไปราวสายฟ้าฟาด คิดต้านทานปะทะกับกระบี่หล่นฟ้าของมือกระบี่ชุดขาวอย่างไร้ครั่นคร้าม!!


 


วู้มมม!!


 


อนิจจากระบี่ของชายหนุ่มชุดขาวนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจของอริยะเซียนขั้นกลาง…


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะลงมือเต็มพลัง หากแต่กระบี่ที่เขาแทงสวนขึ้นไป สภาวะพลังที่เปล่งออกเห็นชัดว่าอ่อนโทรมกว่ากระบี่ของอีกฝ่าย!!


 


เคร๊ง!! เปรี๊ยงงง!!!


 


ในที่สุดกระบี่ 3 ฉื่อของชายหนุ่มชุดขาวที่พุ่งลงมาปานเทพเซียนตกสวรรค์ก็ปะทะเข้ากับกระบี่พลังสีทองมีสภาพ 3 ฉื่อของต้วนหลิงเทียนที่ทิ่มแทงสวนขึ้นมาด้วยพลังสุดตัว! มวลพลังสองขุมแผ่พุ่งผ่านกระบี่ไปปะทะกันตรงปลายกระบี่อย่างจัง! คลื่นพลังสะท้อนอันมหาศาลกำจายซัดออกเป็นวง พื้นดินใต้เท้าต้วนหลิงเทียนถึงกับปริแตกออกอย่างแรงปานโลกเจียนถึงกาลอวสาน!!


 


‘ร้ายกาจนัก!’


 


แรกปะทะ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าพรั่นพรึงจากมือกระบี่หนุ่มชุดขาวได้ทันที!!


 


พลังที่อัดแน่นอยู่ในกระบี่ของชายหนุ่มชุดขาวเหนือกว่าพลังกระบี่ของเขาทุกทาง! และตอนนี้พลังอำนาจมหาศาลน่ากลัวนั่นก็พุ่งชำแรกผ่านปลายกระบี่แล่นไหลฉับไวมาถึงมือเขา!!


 


พลังอันมหาศาลร้ายกาจขุมดังกล่าวเริ่มแผลงอำนาจทำลาย! สร้างความเสียหายในร่างของต้วนหลิงเทียนอย่างน่ากลัว!!


 


และแม้ต้วนหลิงเทียนจะพยายามเร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิดหมายต้านทานต่อสู้กับขุมพลังร้ายกาจเพียงใด อนิจจากลับยากที่จะต้านทานรับได้!


 


“แย่แล้ว!”


 


ร่างต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด หน้ายังเปลี่ยนสีไปอย่างร้ายแรง


 


ในขณะเดียวกันนั้น หวางเฟยเซวียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ถึงกับกระอักโลหิตออกมาเบาๆเพราะพลังสะท้อนจากการปะทะกันของกระบี่!


 


ด้วยพลังฝึกปรือของนาง จึงมิอาจช่วยอะไรต้วนหลิงเทียนได้เลย…ทว่าพอนางเห็นต้วนหลิงเทียนที่ปะทะกระบี่กับชายหนุ่มชุดขาวชักสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีคล้ายกำลังตกเป็นรอง หวางเฟยเซวียนพลันปะทุพลังสุดตัว ร่างบางแปรเปลี่ยนไปคล้ายสายลมหอบหนึ่งพุ่งปรี่เข้าใส่ชายหนุ่มชุดขาวทันที!!


 


สุดท้ายแล้วจะอย่างไรหวางเฟยเซวียนก็เป็นถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางคนหนึ่ง การโจมตีทุ่มสุดตัวของนางก็ไม่ใช่อ่อนแอ ร่างบางยามนี้ปรากฏปราณมีสภาพฉาบคลุมทั่วกาย จนคนคล้ายดาบเล่มเขื่อง!!


 


ถึงแม้มือกระบี่หนุ่มชุดขาวจะมีพลังฝึกปรือเหนือกว่ามาก หากแต่เมื่อต้องรับมือการจู่โจมที่โถมมาสุดตัวปานดาบผ่าฟ้าของหวางเฟยเซวียน มันก็จำต้องแบ่งจ่ายพลังออกไปบางส่วน และมวลพลังขุมนั้นก็ควบรวมเป็นกระบี่พลังมีสภาพข้างกายฉับไว ก่อนที่จะพุ่งทะยานตัดฟ้าเป็นลำแสงยิงพุ่งไปทางหวางเฟยเซวียน!!


 


ฟึ่บ!!


 


ฉัวะ!!


 


นอกจากเสียงกรีดอากาศบางเบาที่ดังขึ้นในชั่วพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ หวางเฟยเซวียนก็ไม่อาจแลเห็นการโจมตีอะไรของมือกระบี่หนุ่มชุดขาวได้เลย แต่ต้นจนจบไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน…


 


“ระ…เร็วเกินไปแล้ว…”


 


นี่เป็นความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวของหวางเฟยเซวียนก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นหมอกควัน…


 


‘หลิงเทียน เจ้าต้องทำได้!!’


 


ทันทีที่สำนึกสติของหวางเฟยเซวียนหวนคืนสู่ร่างกายที่แท้จริง นางพลันคิดในใจอย่างวาดหวัง ก่อนที่ทัศนวิสัยเบื้องหน้าจะมืดดับไป ถูกแดนลับเซียนขับออก…


 


ก่อนหน้านี้…ห้วงเวลาพริบตาที่มือกระบี่หนุ่มชุดขาวหันเหความสนใจไปฆ่าหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง ก็สามารถถฉกชิงโอกาสในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตานี้ไว้ได้ทัน! พอมีเวลาให้สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง!!


 


และโอกาสที่ปรากฏในเสี้ยวพริบตานี้ ต้วนหลิงเทียนก็ใช้มันสำนึกถึงเคล็ดพลังของยอดใจกระบี่!


 


‘สำนึกกระบี่อยู่ที่ใจ เพียงใจคิดกระบี่เคลื่อน!’


 


ขุมพลังอันร้ายกาจของชายหนุ่มชุดขาวที่ชำแรกเข้าร่างของต้วนหลิงเทียนนั้น ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นพลังอำนาจของเวทย์พลังสายกระบี่ทั้งสิ้น เช่นนั้นมันก็ถือเป็นพลังกระบี่ชนิดหนึ่ง


 


และยอดใจของกระบี่ของต้วนหลิงเทียน นั้นก็คือสำนึกกระบี่อันสูงล้ำ ถึงแม้เขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นสูงสุด หากแต่เพียงขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ที่บรรลุถึง เพียงเร่งเร้าใช้พลังอำนาจของมันออกมา! เวทย์พลังกระบี่ที่อยู่ในร่างของชายหนุ่มชุดขาว ก็ถูกต้วนหลิงเทียนควบคุมขับไล่ออกไปจากร่างได้ในชั่วพริบตา…!!


 


และตอนนี้ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างของหวางเฟยเซวียนระเหยหายกลายเป็นไอ…


 


“ตายซะ!!”


 


แววตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเยียบเย็น และก่อนที่มือกระบี่หนุ่มชุดขาวจะทันได้หันมาทุ่มสมาธิกับเขา กระบี่พลังมีสภาพสีทอง 3 ฉื่อในมือต้วนหลิงเทียนก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างแรง!!


 


ในเวลาเสี้ยวลมหายใจนี้ มวลพลังลี้ลับจากเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ พลันฉาบคลุมไปทั่วตัวกระบี่พลัง ผสานหลอมรวมเข้ากับปราณสุริยันแรกกำเนิด กระทั่งยังชักนำเวทย์พลังของชายหนุ่มชุดขาวที่พึ่งถูกขับออกมาเมื่อครู่ให้มาควบรวมผสานเข้าด้วยกันอย่างพิสดาร พาลให้กระบี่พลังสีทอง 3 ฉื่อในมือต้วนหลิงเทียนตอนนี้กอปรไปด้วยพลังอำนาจ 3 ขุมอันร้ายกาจ! มันพุ่งทะยานออกไปดั่งมังกรพิโรธโจนทะยานออกถ้ำ แทงใส่ชายหนุ่มชุดขาวอย่างเกรี้ยวกราด!!


 


ฉัวะ!!


 


วินาทีที่กระบี่ต้วนหลิงเทียนปะทุพลังที่ควบรวมกันอย่างพิสดาร 3 ขุม กลิ่นอายพลังกระบี่อันเย็นเยียบยังพาลให้อุณหภูมิโดยรอบเสืมอนลดต่ำลง!


 


สุดท้ายกระบี่ของต้วนหลิงเทียนก็บดขยี้กระบี่ 3 ฉื่อตรงหน้า ทั้งพุ่งทะลวงผ่านร่างของชายหนุ่มชุดขาวเข้ากลางใจ…อนิจจาฉากเลือดสาดกลับมิปรากฏให้เห็น!


 


“ในที่สุดข้าก็ฆ่ามันได้!”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อยหลังจากฆ่ามือกระบี่หนุ่มชุดขาวได้สำเร็จ ลึกลงไปในใจยังอดหวาดกลัวฉากเรื่องราวเมื่อครู่ไม่หาย


 


‘โชคดีนักที่ในช่วงเวลาสำคัญเมื่อกี้ข้าเรียกใช้พลังของยอดใจกระบี่ได้ทัน สามารถขับพลังของมันออกไปจากร่างได้สำเร็จ! แต่ทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณหวางเฟยเซวียน..หากไม่ใช่เพราะนางดึงความสนใจของมันไป จนทำให้มันเสียสมาธิไปครู่หนึ่ง ข้าคงยากที่จะขับพลังมันออกจากร่างได้ถึงแม้จะเรียกใช้พลังของยอดใจกระบี่ได้ทัน ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ใช้พลังของมันไปทำร้ายมัน…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างหวาดเสียว


 


เปรี๊ยะ!


 


ทันใดนั้นเอง ความว่างเหนือฟ้าพลันบังเกิดเสียงปริแตกดังขึ้น


 


หลังได้ยินเสียงดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็แหงนมองขึ้นไปบนฟ้าทันที จนเห็นรอยแตกกลางฟ้าชัดถนัดตา ในรอยแตกยังมีกระบี่ศิลาเล่มหนึ่งค่อยๆผุดโผล่ออกมา…


 


กระบี่ศิลานั่นร่วงตกลงมาจากฟ้าหันด้านคมจี้เข้าพื้น สุดท้ายก็หล่นลงมาปักตระหง่านอยู่บนผืนดิน


 


“รอบนี้กลับไม่ใช่ป้ายศิลา…”


 


จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในพื้นที่มรดกเวทย์พลังนั้น เวทย์พลังแทบทั้งหมดนั้นจะบันทึกไว้ในป้ายศิลาทั้งสิ้น ยกเว้นก็แต่ ปฐมเวทย์กลืนกิน


 


หากแต่เป็นกระบี่ศิลาเช่นนี้…เขาเองก็พึ่งเคยเห็นมันครั้งแรก


 


อย่างไรก็ตามเมื่อสำนึกเทวะของเขาแผ่ไปสัมผัสกระบี่ศิลา ไม่ทันไรเขาก็ตระหนักได้ว่ากระบี่ศิลาเล่มนี้ก็คือมรดกเวทย์พลังเหมือนที่อื่น…


 


“เป็นเวทย์พลังจู่โจมสายกระบี่จริงๆ…ยังเป็นเวทย์พลังระดับสูง เซียนอมตะข้ามภพ!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะไปในกระบี่ศิลา ไม่ทันไรก็รับทราบได้ว่า เวทย์พลังจู่โจมสายกระบี่ที่ชายหนุ่มชุดขาวใช้ออกมาเมื่อครู่เรียกว่าอะไร…


 


ก่อนหน้านี้ ยามลงมือชายหนุ่มนั้นร่วงลงมาจากฟ้าด้วยความเร็วฉับไวเหลือเชื่อ ปานเซียนอมตะตกสวรรค์!


 


บางทีอาจเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุด อย่างยอดใจกระบี่ ทำให้เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น…เขาก็สามารถจดจำรับรู้ข้อมูลทั้งหมดที่บันทึกไว้ในกระบี่ศิลาได้แล้วเสร็จ! เพียงใจคิดก็สามารถรำลึกถึงข้อมูลทั้งหมดของเวทย์พลัง ‘เซียนอมตะข้ามภพ’ ได้ทันที


 


“การเดินทางในแดนลับเซียนครั้งนี้ ข้าเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว…”


 


ชั่วพริบตาพื้นที่มรดกเวทย์พลังก็หายไป ร่างต้วนหลิงเทียนกลับมาหยุดอยู่หน้าทางเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังทันที


 


“เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวแล้ว…”


 


“งั้นก็นั่งนิ่งๆมันสักวันแล้วกัน…” หลังจากนับเวลาดูแล้วพบว่าเหลือเวลาอยู่ในแดนลับเซียนได้อีกแค่วันเดียว และพรุ่งนี้เขาก็จะถูกขับออกจากแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนจึงคร้านจะไปไหนให้วุ่นวายอีก เพียงนั่งลงมันเสียตรงนั้น หลับตาพริ้มรอคอยให้ถึงพรุ่งนี้


 


ด้านนอกแดนลับเซียน การปรากฏตัวออกมาของหวางเฟยเซวียนนับว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย


 


ต้องทราบด้วยว่าในบรรดาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ทั้ง 30 คนที่เข้าไปในแดนลับเซียนนั้น คงเหลือเพียง 5 คนเท่านั้นที่อยู่ด้านใน ก่อนที่หวางเฟยเซวียนจะออกมา


 


ตอนนี้เมื่อหวางเฟยเซวียนถูกขับออกมาแล้ว เท่ากับด้านในแดนลับเซียนเหลือคนอยู่เพียง 4


 


“แม่นางเฟยเซวียน”


 


หลิวเจี้ยนที่เห็นนางออกมา เร่งรุดเข้ามาหาและทักทายนางด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าขออภัยต่อเจ้า…เพราะข้ามันอ่อนแอเกินไป จึงมิอาจช่วยอันใดเจ้าได้เลย”


 


มันกับหวางเฟยเซวียนนั้นได้ค้นพบพื้นที่มรดกเวทย์ 2 แห่ง…แห่งแรกนั้นหวางเฟยเซวียนได้ฝ่าฝันบททดสอบทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ก่อนที่จะยกมรดกเวทย์พลังนั่นให้มัน


 


หากแต่แห่งที่ 2 นั้น มันกับนางไม่อาจผ่านได้ สุดท้ายก็เป็นมันที่ถูกกำจัดออกมาเสียก่อน


 


“เจ้าไม่ต้องขออภัยอะไรข้าหรอก ที่ข้าช่วยให้เจ้ารับมรดกเวทย์พลังเพราะคิดช่วยหลิงเทียนตอบแทนบุญคุณที่เขาติดค้างอาวุโสของเจ้าไว้…นับจากนี้ไปหลิงเทียนมิได้เป็นหนี้บุญคุณอันใดอาวุโสของเจ้าอีก เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”


 


หวางเฟยเซวียนเหลือบมองหลิวเจี้ยน ค่อยกล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


“ข้าเข้าใจ”


 


หลิวเจี้ยนพยักหน้า


 


ก่อนหน้านี้มันไม่รู้เลยว่าที่ต้วนหลิงเทียนคิดรับมันเข้าร่วมกลุ่ม เป็นเพราะคิดตอบแทนบุญคุณอาวุโสของมัน


 


มาตอนนี้มันรู้แล้ว


 


ตั้งแต่ที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของต้วนหลิงเทียนในนามหลิงเทียนกับลี่เฟิงเปิดเผยออกมา มันก็ตระหนักได้ไม่ยากว่าหลิงเทียนคิดช่วยมันเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณอาวุโสของมันแทนลี่เฟิง


 


อาวุโสของมันก็คือหลิวหงกวงแห่งคฤหาสน์ข้ามฟ้า


 


“เสี่ยวหวาง…เจ้าได้พบหลิงเทียนด้านในหรือไม่?”


 


จ้าววังนภา จูลู่ฉีมองถามหวางเฟยเซวียนด้วยสายตาสดใส


 


ผู้คนในที่นี้เองก็สนใจกับสถานการณ์ความเป็นไปในแดนลับเซียนของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย..


 


เหตุผลที่ทุกคนสนใจใคร่รู้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ทั้งหมดเพราะต้วนหลิงเทียนกลับไม่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียน แม้จะหลงเข้าไปในพื้นมรดกเวทย์พลังต้องห้ามอันดับ 1!


 


หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลย่อมมีปีศาจ!


(*หมายถึงหากสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ก็สมควรมีเรื่องผิดปกติ)


 


พวกมันอยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกจากพื้นที่มรดกเวทย์พลังต้องห้ามอันดับ 1 นั่นได้อย่างไร!


 


“อื๊อ”


 


หวางเฟยเซวียนแม้ไม่ทราบว่าไฉนจ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีอยากรู้เรื่องนี้ แต่นางก็พยักหน้ากล่าวตอบ “ข้าพบเจอเขา ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปด้วยกันตลอด 20 กว่าวันที่เหลือ”


 


สิ้นคำของหวางเฟยเซวียน ทุกคนต่างหันมาจับจ้องมองนางเป็นสายตาเดียวกัน…


ตอนที่ 1,792 : พบเจอ หากแต่ไม่คุ้นเคย!


 


“แล้วเจ้าได้ยินเขากล่าวถึงเรื่องพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ยากจะผ่าน กระทั่งหลบหนีมาได้อย่างไรหรือไม่?”


 


จ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิงมองถามหวางเฟยเซวียนด้วยความสงสัย


 


พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ยากจะผ่าน?


 


หลบหนี?


 


หวางเฟยเซวียนได้ยินก็ขมวดคิ้วส่ายหน้า “ข้ามิเคยได้ยินเขากล่าวถึงเลย”


 


“ดูเหมือนว่าเขาจักมิได้บอกเจ้า…เช่นนั้นพวกเราได้แต่รอฟังจากปากเขาวันพรุ่งนี้”


 


เฉียนผิงเฉิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ กล่าวออก


 


หลังผ่านไปอีกครึ่งวัน ก็มีผู้คนที่ถูกขับออกมา


 


คนผู้นี้ยังเป็นคนของวังนภาเช่นกัน และเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของวังนภา หากไม่นับต้วนหลิงเทียนหวางเฟยเซวียนและจ้าวจี้…เกาเผิง


 


เกาเผิงนั้นเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามสีหน้าของมันหลังถูกขับออกมามิค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่


 


จะให้ดูดีได้อย่างไร?


 


เพราะมันเกือบจะผ่านบททดสอบสุดท้ายและรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับกลางอยู่แล้ว! หากแต่ในช่วงเวลาสำคัญมันกลับพลาดพลั้งจนถูกผู้พิทักษ์ด่านคนสุดท้ายใช้เวทย์พลังจู่โจมฆ่าตาย!!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงอดได้รับเวทย์พลังจู่โจมระดับกลาง ทั้งๆที่โอกาสมาถึงตรงหน้าแล้วแท้ๆ!!


 


หลังจากที่เกาเผิงถูกขับออกมา ก็ไม่มีใครถูกขับออกจากแดนลับเซียนอีก จนกระทั่งวันต่อมาพอถึงกำหนดเวลาก็มี 3 ร่างปรากฏตัวขึ้นหน้าทางเข้าแดนลับเซียน


 


“ออกมาแล้ว…”


 


หนึ่งใน 3 ร่างที่ปรากฏย่อมมีต้วนหลิงเทียนรวมอยู่ด้วย เขาถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเล็กน้อย ก่อนที่จะลองยืดเส้นยืดสายดู ผิดจากคนอื่นๆ


 


ขณะเดียวกันตอนนี้เองเขาก็สังเกต 2 คนที่อยู่ข้างๆเขาด้วย


 


ทั้ง 2 ไม่ใช่คนของวังนภา หากแต่ภายใต้ความสามารถของเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าพลังฝึกปรือของทั้งคู่คือเซียนขัดเกลาขั้นกลาง


 


‘ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลา 2 คนที่เหลือของตำหนักฟ้าลี้ลับ’


 


ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินมาก่อนหน้าแล้ว ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับนั้น นอกจากเกาเผิง กับจ้าวจี้ของวังนภาแล้ว ยังมีอีก 2 คนที่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง คนหนึ่งมาจากวังปฐพี ส่วนอีกคนมาจากวังลี้ลับ


 


สำหรับรุ่นเยาว์ของวังเหลืองนั้น ไม่มีใครบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเลย


 


“หืม?”


 


ออกมาได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าทุกสายตาของผู้คนกลับหันมาจับจ้องมองที่เขา


 


“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามหวางเฟยเซวียนที่อยู่ด้านหลังจ้าววังนภาด้วยการส่งเสียงผ่านปราณ


 


“ทุกคนอยากรู้ว่าเจ้าสามารถหลบหนีออกมาจาก พื้นที่มรดกเวทย์พลังอันดับ 1 ในแดนลับเซียนได้อย่างไร?”


 


หวางเฟยเซวียนตอบด้วยการส่งเสียงเช่นกัน “อะไร หรือเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องพื้นที่มรดกเวทย์พลังต้องห้ามอันดับ 1 ในแดนลับเซียนมาก่อน?”


 


“พื้นที่มรดกเวทย์พลังต้องห้าม?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปวูบหนึ่งค่อยถาม “มันคืออะไร?


 


“ว่ากันว่าเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่มีความยากสูงล้ำเกินที่ผู้ใดจะผ่านได้ ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังไม่มีผู้ใดที่ผ่านได้กระทั่งบททดสอบแรกด้วยซ้ำ…”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบ


 


ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ กลับไม่มีผู้ใดผ่านการทดสอบแรกของมรดกพื้นที่เวทย์พลังนั่น?


 


ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากหวางเฟยเซวียน ใจต้วนหลิงเทียนนึกถึง บึงไร้ก้นบึ้ง ขึ้นมาทันที!


 


บททดสอบแรกของบึงไร้ก้นบึ้งนั้น เป็นอะไรที่บ้าที่สุดในบททดสอบแรกของพื้นที่มรดกเวทย์พลังทั้งมวลที่เขาพบเจอ!


 


เว้นแต่ว่าจะเป็นตัวตนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมอริยะเซียนขั้นต้น หาไม่แล้วส่วนมากคงยากจะผ่าน!


 


ฝูงสัตว์ร้ายนั่นอันตรายมาก!


 


ต้วนหลิงเทียนสอบถามเรื่องราวจากปากหวางเฟยเซวียนต่ออีกไม่กี่คำ ในที่สุดก็ยืนยันพื้นที่มรดกเวทย์พลังนั่นได้…มันเป็นบึงไร้ก้นบึ้งจริงๆ…


 


‘พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวทย์พลังที่อยู่ในพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้งคืออะไร แต่ทุกคนกลับยอมรับว่ามันเป็นเวทย์พลังอันดับ 1 ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่า ปฐมเวทย์กลืนกิน ที่เขาได้รับสืบทอดมาจะถูกขนานนามแบบนี้


 


‘ว่าแต่…ทำไมทุกคนถึงอยากรู้ว่าข้าเอาตัวรอดจากบททดสอบแรกได้ยังไง? นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนคิดว่าข้าไม่มีทางผ่านบททดสอบนั่นจนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังได้แน่ๆงั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


‘ถ้าหากข้าบอกพวกมันไปว่าข้าได้รับปฐมเวทย์กลืนกินจากบึงไร้ก้นบึ้งนั่นมาแล้ว…ตำหนักฟ้าลี้ลับคงไม่ใช้กำลังบีบคั้นเพื่อให้ข้าอยู่ที่นี่และไม่จากไปไหนหรอกนะ?’


 


ก่อนที่จะออกมาต้วนหลิงเทียนลืมฉุกคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท


 


ทว่าพอออกมาได้แล้วเจอกับท่าทีของทุกคน เขาจึงตระหนักได้ว่าปฐมเวทย์กลืนกินมีความสำคัญต่อตำหนักฟ้าลี้ลับขนาดไหน


 


ถึงแม้ว่าเขาเองจะซาบซึ้งตำหนักฟ้าลี้ลับไม่น้อย ที่ทำให้เขามีโอกาสได้รับฐมเวทย์กลืนกิน


 


ทว่าทันทีที่เขาบรรลุขอบเขตอริยะเซียน เขามีความจำเป็นที่ต้องออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพื่อไปยังภูมิภาคเบื้องบน…ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไป!


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจไม่พูดเรื่องปฐมเวทย์กลืนกิน


 


พอทราบคำถามที่เฉียนผิงเชิงถามหวางเฟยเซวียนและเห็นสายตาสงสัยของทุกคน สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจัง “หลังจากฆ่าสัตว์ร้าย 4 ตัวนั่นไปได้ไม่ทันไร ข้าก็พบว่าภายในบึงน้ำคล้ายมีฟองกากาศผุดขึ้นมาไม่หยุดราวกับน้ำเดือด…เห็นเรื่องไม่ชอบมาพากลเช่นนั้นสังหรณ์อันตรายของข้าร้องเตือนลั่นในใจ ข้าก็เลยเลือกจะหนีออกมาทันที…คิดดูแล้วหากตอนนั้นข้าไม่เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง รอให้ฝูงสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าข้าคงไม่อาจรอดมาได้…”


 


ขณะที่กล่าว ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยความหวาดกลัวออกมา แววตายังสั่นไหวไปอย่างเห็นได้ชัด


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…เจ้านับว่าโชคดีนัก!”


 


เฉียนผิงเชิงย่อมไม่คิดสงสัยในคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน


 


คนอื่นก็ไม่ต่างกัน เพราะทั้งหมดคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะมีพลังสามารถพอจะผ่านบททดสอบนั่นได้


 


“ช่างขี้ขลาดรักตัวกลัวตายจริงๆ! สัตว์ร้ายยังมิทันปรากฏตัวด้วยซ้ำกลับเลือกที่จะแจ้นหนีก่อนแล้ว!!”


 


ตอนนี้เองเสียงค่อนแคะแดกดันหนึ่งพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ ขัดกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง…เป็นจ้าวจี้!


 


“กลัวตายแล้วไง ก็ดีกว่าใครบางคนที่ถูกกำจัดออกมาหลังผ่านไปได้แค่ 3 วันไม่ใช่รึ?”


 


“หลิงเทียน!” เจอวาจาแดกดันค่อนแคะของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนเพียงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม


 


และวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนก็อดทำให้มุมปากของผู้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะขมุบขมิบ


 


หลิงเทียนผู้นี้…ที่ไม่ควรเปิดเผยกลับเปิดเผยออกมาเสียอย่างนั้น


 


อย่างไรก็ตามทุกคนไม่แปลกใจกับวาจานี้ของหลิงเทียน


 


หากจะโทษก็ต้องโทษจ้าวจี้ที่ไปกล่าววาจาแดกดันผู้อื่นเขาก่อน หาไม่แล้วหลิงเทียนจะเปิดแผลของมัน เป็นการหักหน้ามันท่ามกลางผู้คนหรอ?


 


“เจ้า…”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจ้าวจี้เปลี่ยนไปอย่างมาก มันอ้าปากคล้ายจะกล่าวอะไรบางอย่าง หากแต่บิดาของมันอย่างจ้าวเติงก็เร่งส่งเสียงไปหยุดปากของมันทันที หลังจากนั้นมันค่อยหันไปส่งเสียงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนแทน “หลิงเทียน เจ้ากับสกุลจ้าวของข้ามิมีวันอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้! ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้หากมีสกุลจ้าว…”


 


“ถ้าให้เดา ก็ต้องไม่มีข้างั้นสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงกล่าวแทรกอย่างเฉยเมยก่อนที่จ้าวจี้จะกล่าวจบ คล้ายไม่ได้กลัวอะไรจ้าวจี้เลย


 


“ฮึ่ม! คอยดูกันไปเถอะ!!”


 


จ้าวจี้ส่งเสียงสบทไปเย็นเยียบ หากแต่มันก็ไม่ได้กล่าวอะไรสืบต่อ เพียงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้ายปานจะยิงลำแสงความร้อนออกมาทำร้ายผู้คน


 


ถึงแม้จ้าวเติงที่อยู่ข้างๆจ้าวจี้จะไม่ได้พูดอะไร แต่มันก็มองต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ลึกลงไปในแววตายังมีแต่ความเย็นชาหนาวเหน็บ


 


และหากสายตาฆ่าคนได้ ต้วนหลิงเทียนคงตายไปแล้วหลายครั้ง!


 


ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตจากจ้าวเติงพ่อจ้าวจี้เช่นกัน หากแต่เขาไม่ได้สนใจ


 


ตั้งแต่เขาเลือกจะตบหน้าจ้าวจี้ซ้ายทีขวาทีวันนั้นที่ยอดเขาวังนภา เขาเองก็เตรียมใจยืนฝั่งตรงข้ามกับตระกูลจี้แล้ว


 


ด้วยเหตุนี้พอเจอจ้าวจี้ในแดนลับเซียน เขาจึงเลือกที่จะฆ่ามันทันที รวมถึงคนสกุลจ้าวด้วย


 


ในเมื่อมีเรื่องไปแล้ว จะมีเพิ่มก็ไม่เห็นเป็นอะไร!


 


‘หืม นั่นใครกัน?’


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองจ้องมาที่เขาไม่วางอย่างเงียบงัน ทว่าผู้มองกลับเป็นคนแปลกหน้าร่างผ่ายผอมที่ลอยร่างแยกตัวออกจากผู้คน


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเห็นชายชราร่างผอมผู้นี้ อีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


“อาวุโสกู่…ตอนนี้ก็ได้เห็นคนแล้วสมใจแล้ว คิดกลับเลยหรือไม่เล่า?”


 


จ้าววังนภา จูลู่ฉีมองถามกู่มี่เสียงเรียบ


 


‘อาวุโสกู่?’


 


แววตาต้วนหลิงเทียนฉายความประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าชายชราร่างผอมคนนี้จะไม่ใช่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับจริงๆ ไม่งั้นจ้าววังนภาคงไม่เรียกหาอีกฝ่ายเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงแบบนี้


 


และในขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนยังพบว่าชายชราที่มองจ้องมาทางเขา ไม่นานในแววตาก็ฉายความผิดหวังออกมา


 


‘ทำไมเห็นข้าแล้วแลดูผิดหวังล่ะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นเรื่องนี้ก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ เขาแน่ใจว่าพึ่งเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกแน่ๆ แล้วไฉนแววตาที่อีกฝ่ายมองเขากลับแลดูผิดหวังขนาดนั้น


 


เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าชายชราที่กำลังมองเขาอยู่คนนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก กู่มี่ หนึ่งในมือขวาของต้วนหรูเฟิงบิดาเขา


 


เหตุผลที่กู่มี่เผยสายตาผิดหวังนั้น เพราะพบว่าหน้าตาเขาไม่ใช่หน้าตาของต้วนหลิงเทียน


 


‘มิใช่จ้าวตำหนักน้อย’


 


กู่มี่เคยเห็นรูปเหมือนต้วนหลิงเทียนมาแล้ว และคนตรงหน้าไม่เหมือนกับจ้าวตำหนักน้อยที่มันตามหาเลย


 


อย่างไรก็ตาม กู่มี่เองก็คาดไม่ถึงจริงๆว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าจะเป็นจ้าวตำหนักน้อยที่มันกำลังตามหา!


 


ทั้งหมดเพราะจ้าวตำหนักน้อยของมันใช้เคล็ดวิชาแปลงโฉมอันเลิศล้ำเกินไป จนไร้ซึ่งพิรุธร่องรอยใดๆให้สืบสาว จึงยากที่มันจะมองออก!


 


“จ้าวตำหนักเมิ่ง ข้าขอลา”


 


เผชิญหน้ากับเสียงห้วนๆของจูลี่ฉี กู่มี่ก็ไม่ได้แยแสอะไร เลือกจะหันไปมองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ที่อยู่ไม่ไกลพร้อมกล่าวคำลา


 


การจากไปของกู่มี่ก็รวดเร็วนัก! ยังเสมือนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาคนส่วนใหญ่!!


 


มีเพียงเมิ่งฉิงคนเดียวที่เห็นความเคลื่อนไหวขณะจากไปของกู่มี่


 


“ความเร็วนี่มัน…!”


 


คนตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้แต่ชักสีหน้าเคร่งขรึม พวกมันถึงกับต้องประเมินพลังรบของตำหนักเมฆาครามครั้งใหม่แล้วจริงๆ หลังได้เห็นความเคลื่อนไหวของกู่มี่!


 


กู่มี่ร้ายกาจกว่าพวกมันมาก!!


 


หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์สงบลง ก็หันมาสนใจการเก็บเกี่ยวของรุ่นเยาว์กันต่อ


 


นอกจากต้วนหลิงเทียนที่จงใจเก็บซ่อนเรื่องราว คนอื่นๆก็กล่าวรายงานออกมาว่าได้อะไรดีๆมาบ้าง


 


การที่พวกมันได้รับเวทย์พลังดีๆมา ย่อมทำให้พวกมันได้สิทธิประโยชน์มากมาย และส่งผลอันดีต่ออนาคตในตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน


 


ผู้ที่ได้รับเวทย์พลังดีๆ จะได้รับการสนับสนุนจากตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นพิเศษ


 


“เวทย์พลังระดับสูง!!”


 


พอถึงตาที่หวางเฟยเซวียนกล่าวรายงานสิ่งที่นางได้นับมาจากพื้นที่มรดกเวทย์พลัง และทันทีที่นางกล่าวถึงเวทย์พลังเสริมท่าร่าง ภูตมายาพันเงา ออกมา อาวุโสทุกคนอดไม่ได้ที่จะเผยอาการตกใจ!


 


ทุกคนยังหันไปจ้องหวางเฟยเซวียนเป็นสายตาเดียวกันทันที


ตอนที่ 1,793 : ผู้มาเยือนจากตลาดมืดหยินชาน!


 


เวทย์พลังระดับสูง!


 


หวางเฟยเซวียนเป็นคนแรกที่รายงานออกมา ว่าได้รับเวทย์พลังระดับสูง!!


 


“ภูตมายาพันเงา…ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา ก็มีบรรพบุรุษได้รับสืบทอดเวทย์พลังนี้มาเช่นกัน หากแต่ด้วยความที่ท่านเป็นบุรุษจึงมิอาจประสบผลสำเร็จในการเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลัง…ทว่าจากบันทึกที่ท่านบรพบุรุษทิ้งไว้ หากเป็นศิษย์สตรีได้รับเวทย์พลังนี้ จักมีโอกาสสูงนักที่จะเพาะสร้างต้นแบบและใช้งานมันได้!!”


 


ตอนนี้เองจ้าววังเหลืองพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


เหล่าอาวุโสถึงกับหันไปมองหวางเฟยเซวียนตาเป็นมันทันที


 


หวางเฟยเซวียนไม่เพียงเป็นสตรี ยังเป็นสตรีมากพรสวรรค์ นั่นไม่ได้หมายความว่านางมีโอกาสเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังนี่ได้สูงรึไง?


 


“พี่จู ท่านให้นางมาอยู่วังเหลืองของข้าเถอะ!”


 


เฉินผิงเชิงหันไปมองอ้อนจูลู่ฉีทันที หมายร้องขอคนมาเข้าวังเหลืองของมันดื้อๆ “ข้าคิดรับนางเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้า!”


 


“ศิษย์น้องเฉียนเจ้ากล่าวช้าไปแล้ว…เพราะตอนนี้ข้าเองก็คิดรับนางเป็นศิษย์ส่วนตัวเช่นกัน”


 


พอทราบว่าหวางเฟยเซวียนได้รับเวทย์พลังระดับสูงอย่าง ภูตมายาพันเงามา จูลู่ฉีย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางไปวังเหลืองเป็นธรรมดา ดังนั้นพอได้ยินเจตนาของเฉียนผิงเชิง มันก็รีบเผยความตั้งใจรับหวางเฟยเซวียนเป็นศิษย์ทันที


 


ได้ยินวาจานี้ของจูลู่ฉี สองตาหวางเฟยเซวียนก็ลุกวาวขึ้นมาสว่างจ้า!


 


นางอยากได้เวทย์พลังระดับสูง ส่วนหนึ่งก็เพราะ คิดได้รับการส่งเสริมอันดีจากตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


มาตอนนี้จ้าววังนภากล่าวว่าจะรับนางเป็นศิษย์ส่วนตัว ไม่ใช่ว่านางบรรลุเป้าหมายแล้วรึไง?


 


วังนภานั้น เป็นวังที่โดดเด่ดกว่าวังอื่นๆ และจูลู่ฉียังเป็นรองจ้าวตำหนักที่ร้ายกาจที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับ! พลังฝีมือเป็นรองก็แต่จ้าวตำหนักกับอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 เท่านั้น!!


 


หวางเฟยเซวียนย่อมเผยความตื่นเต้นยินดีออกมาเป็นธรรมดา เมื่อมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของตัวตนดังกล่าว!


 


“แต่มิรู้ว่าแม่นางน้อยหวางเฟยเซวียนต้องการรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”


 


จูลู่ฉีไม่สนเฉียนผิงเชิงที่ทำสีหน้าซึมเซา เพียงหันไปมองถามหวางเฟยเซวียนด้วยรอยยิ้ม


 


“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!”


 


ภายใต้สายตาของทุกคน หวางเฟยเซวียนพลันคุกเข่ากลางอากาศและประสานมือไปเบื้องหน้าก้มหัวทำความเคารพทันที


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


เห็นดังนี้ จูลู่ฉีก็รู้สึกยินดีไม่น้อย


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยศิษย์พี่จู”


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านจ้าววัง”


 



 


ตอนนี้เองหลายคนก็เร่งประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีกับจูลู่ฉีกันใหญ่ ไม่เว้นเฉินผิงเชิงจ้าววังเหลือง ถึงแม้มันจะรู้สึกเสมือนหัวใจหลั่งโลหิตก็ตาม แต่มันก็ทำได้แค่ยอมรับ


 


อันที่จริงไม่ใช่แค่จ้าววังเหลืองเท่านั้นที่รู้สึกเสมือนใจหลั่งโลหิต


 


ในบรรดารองจ้าวตำหนักทั้งหลาย นอกจากจ้าวเติงแล้วทุกคนรู้สึกเสมือนหัวใจถูกกรีดจนเลือดไหลทั้งสิ้น


 


ศิษย์ที่มีเวทย์พลังระดับสูงเช่นนี้ มีใครบ้างไม่อยากได้รับ?


 


อย่างไรก็ตามภายในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ คงมีเพียงแต่จ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงเท่านั้น ที่สามารถแข่งขันกับจ้าววังนภาจูลู่ฉีได้


 


ดังนั้นพอจูลู่ฉีคิดรับหวางเฟยเซวียนเป็นศิษย์ พวกมันจึงไม่คิดสอดมือโดยปริยาย เพราะรู้ดีว่าต่อให้คิดสอดมือเข้ามา ก็ยากจะคว้าชิ้นปลามันนี้ได้…


 


“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนมองส่งเสียงกล่าวกับหวางเฟยเซวียนผ่านปราณ


 


“นี่ เมื่อวานหลังข้าถูกกำจัดออกมา…เจ้าฆ่ามันได้รึเปล่า?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถาม


 


เมื่อวานนางถูกผู้พิทักษ์บททดสอบสุดท้ายของพื้นที่มรดกเวทย์พลังฆ่าตาย และผู้พิทักษ์คนนั้นก็ทรงพลังเหนือจินตนาการของนางนัก


 


กระทั่งนางเองก็ไม่แน่ใจว่าต้วนหลิงเทียนจะผ่านได้หรือไม่


 


“อือ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “นับว่าโชคดีที่ข้าฆ่ามันได้”


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ได้รับเวทย์พลังระดับสูงแล้วสิ?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยกล่าวออกอีกครั้ง “หากแต่เรื่องนี้ ข้าหวังว่าเจ้า…”


 


“หวังว่าข้าจะช่วยเก็บมันเป็นความลับให้เจ้าใช่หรือไม่? อย่าห่วงเลยข้าไม่บอกใครหรอก”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้กล่าวจบคำ เป็นหวางเฟยเซวียนกล่าวส่งเสียงแทรกกลับมาเสียก่อน ยังรับปากเขาอีกด้วย “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อขึ้นไปตามหาอาจารย์เจ้าที่ภูมิภาคเบื้องบนในวันหน้า…หากอาวุโสรู้ว่าเจ้าได้รับเวทย์พลังระดับสูง ย่อมคิดผูกมัดมิปล่อยเจ้าไปไหนแน่…”


 


“ใช่…ขอบคุณเจ้ามาก”


 


เมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนเข้าใจความลำบากของเขาดี ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งในใจรู้สึกตื้นตันไม่น้อย


 


“ขอบคุณอะไรข้าเล่า หากไม่ใช่เพราะเจ้า ไหนเลยข้าจะได้รับสืบทอดภูตมายาพันเงาได้…”


 


หวางเฟยเซวียนรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ช่างเถอะเรื่องนี้เอาเป็นว่าพวกเราหายกัน…แต่ทว่าเรื่องที่ข้าช่วยหลิวเจี้ยนตอบเพื่อตอบแทนบุญคุณอาวุโสของมันแทนเจ้า…ให้ถือว่าเจ้ายังติดข้าอยู่นะ!!”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอึ้งไม่น้อย หลังได้ฟังคำนี้ของหวางเฟยเซวียน


 


ยังไม่หายกันอีกหรือ?


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวบอกออกไปว่าได้รับเวทย์พลังระดับสูงมา เพื่อที่จะไม่ได้ติดค้างอะไรนาง!


 


แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดออกมา


 


พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนับว่าสูงล้ำที่สุดนบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เข้าไปในแดนลับเซียน เช่นนั้นทุกคนจึงตั้งความหวังกับเขาเอาไว้สูง


 


แต่บางครั้งยิ่งหวังเอาไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น


 


“เวทย์พลังระดับกลางบทเดียว?”


 


พอทราบว่าต้วนหลิงเทียนได้รับเวทย์พลังระดับกลางมาเพียงบทเดียว ส่วนเวทย์พลังระดับต่ำมามากมาย อาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง เมิ่งฉิงเองก็ไม่ต่างกัน


 


มีเพียงคนของสกุลจ้าวเท่านั้นที่แลดูดี๊ด๊ามีความสุข


 


“เจ้า…ไฉนเจ้าถึงมิอาจได้รับเวทย์พลังระดับสูงมาได้เล่า ด้วยพลังฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของเจ้า บททดสอบเวทย์พลังระดับสูงมิน่าจะสร้างปัญหาให้เจ้าได้มากนี่นา?”


 


เฉินผิงเชิง จ้าววังเหลือง กล่าวถามออกมาด้วยความไม่เชื่อ ทั้งประหลาดใจ


 


“ข้าพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูงแค่ 2 แห่งเท่านั้น…”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวกล่าว “แห่งแรกก็เป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังอันดับ 1 นั่น…ส่วนแห่งที่ 2 ก็เป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลัง ภูตมายาพันเงา”


 


“หืม? เช่นนั้นเป็นเจ้าที่ช่วยให้หวางเฟยเซวียนได้รับสืบทอดเวทย์พลัง ภูตมายาพันเงา?”


 


สายตาจูลู่ฉีมองเพ่งไปยังต้วนหลิงเทียนทันที มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนมีสายตาที่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมนัก


 


เพราะหากเทียบกับสตรีแล้ว บุรุษคงมีโอกาสเพาะสร้างเวทย์พลังภูตมายาพันเงาได้น้อยกว่า


 


การมอบให้สตรีนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


“อันที่จริงมันก็ไม่เชิง…”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวบอกว่าไม่ใช่เขารู้ และคิดมอบมันให้หวางเฟยเซวียนโดยเจตนา ก็เป็นหวางเฟยเซวียนโพล่งขัดออกมาเสียงดังซะก่อน “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์! หลิงเทียนเลือกที่จะเสียสละให้ข้า…หากมิได้เขาช่วย ข้าไม่มีทางได้รับสืบทอดเวทย์พลังล้ำค่านี้หรอก…”


 


ได้ยินคำของหวางเฟยเซวียน ไม่เพียงแต่จูลู่ฉีแต่อาวุโสทั้งหลายหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาชื่นชมทันที


 


ทั้งหมดรู้สึกว่าการตัดสินใจนี้ของต้วนหลิงเทียนนับว่าถูกต้องแล้ว!


 


“เสียสละเวทย์พลังระดับสูงให้ผู้อื่น…เรื่องนี้มิใช่ผู้ใดก็สามารถกระทำได้! หลิงเทียนเจ้านับว่าประเสริฐนัก!!”


 


หนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวชม


 


“ถูกแล้ว! หากในอนาคตตำหนักฟ้าลี้ลับเราสามารถรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงนี้มาได้ล่ะก็ นามของเจ้าจะถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา!”


 


รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอีกคนยังกล่าวชมเชยออกมา


 


เช่นนั้นการเข้าไปในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับครั้งนี้ ในบรรดาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ทั้ง 30 คน ก็มีเพียงหวางเฟยเซวียนที่ได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงออกมา


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนจงใจปิดบังข้อมูล


 


นอกจากนั้นในบรรดาทั้ง 30 คนที่เข้าไปในแดนลับเซียน ก็มีแค่หลิวเจี้ยนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนขัดเกลา หากแต่ยังได้รับเวทย์พลังระดับกลาง!


 


จังหวะนี้เหล่าศิษย์ที่มีพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะมองหลิวเจี้ยนด้วยสายตาอิจฉา


 


นอกจากจ้าวจี้ที่ถูกขับออกจากแดนลับเซียนแต่หัววันแล้ว ก็มีผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาอีก 2 คนนอกจากหวางเฟยเซวียนที่ได้รับเวทย์พลังระดับกลาง


 


เกาเผิงเหมือนกับจ้าวจี้เรื่องหนึ่ง คือไม่ได้รับเวทย์พลังระดับกลาง


 


แต่แน่นอนว่ามันยังดีกว่าจ้าวจี้ตรงที่มันได้รับเวทย์พลังระดับต่ำมา 3 บท


 


อย่างไรก็ตามกลับมีผู้ฝึกตนเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดอีกไม่กี่คนที่สามารถรับสืบทอดเวทย์พลังระดับกลางมาได้ เรื่องนี้ทำให้สีหน้าท่าทางของเกาเผิงกับจ้าวจี้เปลี่ยนไปทันที!


 


แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ การเดินทางในแดนลับเซียนครั้งนี้ก็มีทั้งผู้ที่สุขและเศร้า


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา


 


สุดท้ายจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิงก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปได้ และมันก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่จะรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ออกมา


 


เห็นแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจ


 


‘ดูเหมือนว่าข่าวลือที่ข้าจงใจปล่อยออกมา จะทำลายความคิดรับข้าเป็นศิษย์ของจ้าวตำหนักจนหมด…แบบนี้นับว่าดีที่สุดแล้ว เพราะยังไงข้าก็ไม่คิดจะอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับอีกนาน…อย่างไรก็ตามหากข้าเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังของเซียนอมตะข้ามภพ ปฐมเวทย์กลืนกินรวมถึงเวทย์พลังอื่นๆได้สำเร็จเมื่อไหร่…’


 


‘ค่อยหาโอกาสส่งต่อเวทย์พลังระดับกลางและระดับต่ำที่พอใช้ได้ให้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่เหมาะสมในภายภาคหน้าแล้วกัน…


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียนขอบคุณท่านมาก”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และหวางเฟยเซวียนคิดจากไปด้วยกัน หลิวเจี้ยนก็เร่งติดตามมากล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนจากใจ


 


หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าต้วนหลิงเทียน ไหนเลยหวางเฟยเซวียนจะช่วยให้มันได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับกลางแบบนี้!


 


“อย่าได้ขอบคุณข้าเลย หากเจ้าคิดจะขอบคุณใคร ก็ไปขอบคุณอาวุโสหลิวหงกวง กับอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งเถอะ…นอกจากนี้ข้าขอฝากพวกเจ้าไปบอกทั้งคู่แทนข้าที ว่าลี่เฟิงไม่ได้คิดจะจากไปเช่นนั้น หากแต่มีธุระที่ต้องไปจัดการ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ได้! ข้าจะไปบอกให้”


 


หลิงเจี้ยนพยักหน้าทันที หลังจากนั้นมันก็จากไป ไม่คิดรบกวนเวลาพวกต้วนหลิงเทียนอีก


 


“น้องหลิงเทียนโชคเจ้าไม่ค่อยดีเลย…ถึงแม้จะพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูงถึง 2 แต่กลับยากจะผ่านที่หนึ่ง ส่วนอีกที่ก็ดันไม่เหมาะกับบุรุษเสียอย่างนั้น…”


 


กู่ลี่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเสียดาย


 


“ในชีวิตคนเราบางครั้งอะไรๆก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไปซะทุกเรื่อง…”


 


เห็นกู่ลี่กล่าวออกมาด้วยความเสียดาย ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มกล่าวออกมา


 


ประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้กู่ลี่รู้สึกเสมือนต้วนหลิงเทียนทำใจได้แล้ว หากแต่หวางเฟยเซวียนกลับรู้สึกผิดแปลกอยู่บ้าง เพราะนางรู้ว่าต้วนหลิงเทียนได้เวทย์พลังระดับสูงมา…


 


บูมม!!


 


ทันใดนั้นพลันมีเสียงอากาศแตกระเบิดดังสนั่นลั่นฟ้า ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจจนหยุดเคลื่อนไหวทันที


 


หลังจากนั้นไม่นานเสียงหนึ่งก็ดังไปก้องตำหนักฟ้าลี้ลับ “ข้าคือรองผู้นำตลาดมืดหยินชาน เฝิงปู่อี้! ข้ามาเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับวันนี้ เพราะคิดพบหน้าอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับหลิงเทียนสักครา! รบกวนสหายน้อยหลิงเทียน ออกมาพบข้าที!!”


 


รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน!


 


เฝิงปู่อี้!


 


ตำหนักฟ้าลี้ลับพลันตกอยู่ในความอลหม่านทันที


 


“มาหาข้าเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง กู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนยังหันขวับมามองเขาอย่างพร้อมเพรียง


ตอนที่ 1,794 :คำเชิญจากตลาดมืดหยินชาน!


 


“อะไรกัน! ผู้มาเป็นถึงรองผู้นำตลาดมืดหยินชาน เฝิงปู่อี้! ข้าได้ยินมาว่ามันคือมือขวาของผู้นำตลาดมืดหยินชาน พลังฝีมือยังมิได้ด้อยไปกว่าอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 คนของพวกเรา!!”


 


เฝิงปู่อี้ไม่คิดปกปิดเสียงแต่อย่างใด ทำให้วาจาของมันดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ ทุกคนที่ไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ล้วนได้ยินกันชัดถนัดหู


 


“มันมาที่นี่เพราะหลิงเทียนงั้นเหรอ?”


 


“ดูเหมือนว่าอัจฉริยะภาพของหลิงเทียนจะสร้างความตื่นตัวให้ตลาดมืดหยินชานไม่น้อย…กระทั่งรองผู้นำอย่างเฝิงปู่อี้ถึงกับมาด้วยตัวเอง”


 


“หลิงเทียนหลังเข้ารวมตำหนักฟ้าลี้ลับเรามา ก็มิได้กราบผู้ใดเป็นอาจารย์…หากเฝิงปู่อี้ดึงตัวไปได้ คงนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา!”


 


“เห็นมีข่าวลือออกมาว่าทันทีที่หลิงเทียนทะลวงถึงอริยะเซียน เขาคิดจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนเลยนี่…ตอนนี้ก็บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วมิใช่หรือไร ทำให้ท่านจ้าวตำหนักที่แต่เดิมคิดรับเขาเป็นศิษย์ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป”


 


“ใช่ ด้วยพรสวรรค์ของหลิงเทียนอีกไม่กี่ปีก็สมควรทะลวงถึงอริยะเซียนได้สำเร็จ…คงอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับของเราอีกไม่นาน”


 


“ข้าเกรงว่าการมาของเฝิงปู่อี้จะเสียเปล่าแล้ว หากข้าเป็นหลิงเทียนก็มิรู้จะไปเข้าร่วมกับตลาดมืดหยินชานเพื่ออะไร เพราะอีกไม่นานข้าก็จะต้องขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนอยู่ดี”


 


……


 


เหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ได้ยินเสียงดังเริ่มสนทนากันยกใหญ่ ไม่มีใครคิดว่าเฝิงปู่อี้จะดึงตัวต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมตลาดมืดหยินชานได้สำเร็จ


 


อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของเฝิงปู่อี้ แน่นอนว่าทำให้อาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับตื่นตระหนกกันไม่น้อย


 


นอกจากจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงแล้ว รองจ้าวตำหนักทั้งหมดที่ได้ยินเสียงของเฝิงปู่อี้ล้วนหันหลับกลับมามุ่งหน้าไปยังต้นเสียงทันที


 


“รองผู้นำเฝิง”


 


เมื่อเมิ่งฉิงไม่อยู่ก็เป็นจูลู่ฉีที่นับว่ามีอาวุโสสูงสุด มันนำเหล่ารองจ้าวตำหนักลอยร่างขึ้นไปเผชิญหน้ากับเฝิงปู่อี้ ค่อยกล่าวทักออกไป


 


เฝิงปู่อี้เป็นชายชราในชุดดำสนิท รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา เกรงว่าหากจับไปวางไว้ในฝูงชนคงยากแยกแยะ


 


ผมสีเทาโบกสะบัดไปตามสายลม มองไปยังคล้ายอสรพิษมีชีวิต


 


“เฮอะ!”


 


เผชิญหน้ากับคำทักทายของจูลู่ฉี เฝิงปู่อี้เพียงสบถแค่นคำตอบกลับ ท่าทางมันดูไม่เห็นหัวจูลู่ฉีแม้แต่น้อย “ข้ามาตำหนักฟ้าลี้ลับเพราะคิดพบหน้าสหายน้อยหลิงเทียน…ผู้ไม่เกี่ยวข้องหุบปากไปเสีย!”


 


“เจ้า…!”


 


เจอการตอบกลับอย่างไม่แยแสของเฝิงปู่อี้ สีหน้าจูลู่ฉีถึงกับแดงขึ้นมาด้วยโทสะ ตะคอกคำเจ้าออกไปอย่างโมโห


 


“เจ้า?”


 


ได้ยินคำที่กล่าวออกด้วยโทสะของจูลู่ฉีเฝิงปู่อี้แสยะยิ้มเย็นเยือก จากนั้นไม่ทราบมันเคลื่อนไหวอย่างไร หากแต่ร่างกลับอันตรธานหายไปในอากาศว่างเปล่า!


 


เห็นฉากนี้สีหน้ารองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหลายถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที


 


เผียะ!!


 


แทบจะพร้อมกันนั้นเองเสียงตบหนึ่งพลันดังขึ้น! เป็นเฝิงปู่อี้ที่ปรากฏกายตรงหน้าจูลู่ฉี ยกมือขึ้นมาตบจนหน้าจูลู่ฉีสะบัด!


 


“เจ้านับเป็นตัวอะไร ถึงกล้าขึ้นเสียงกับข้า? “


 


เสียงเฝิงปู่อี้ยังดังออกมาตามติด


 


รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งควบตำแหน่งจ้าววังนภา กลับต้องมาโดนตบต่อหน้าต่อตาผู้คน เป็นธรรมดาที่จูลู่ฉีจะมีโมโห มันผนึกพลังทั่วร่าง ตบฟาดฝ่ามือสวนไปยังเฝิงปู่อี้! มวลพลังอันสุดไพศาลปะทุออกมาในฉับพลัน!!


 


“ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!!”


 


เผชิญหน้ากับกับพลังฝ่ามือสุดไพศาลที่จู่ลู่ฉีบันดาลโทสะตบฟาดออกมา เฝิงปู่อี้ยังสงบไม่แปรเปลี่ยน แค่นคำเย็นชาเย้ยเยาะคำหนึ่ง ก่อนที่จะสะบัดมือส่งๆออกไปต้านรับฝ่ามือของจูลู่ฉี!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


สองฝ่ามือปะทะกันดังสนั่น มวลพลังมหาศาล 2 ขุมแผ่พุ่งไปปะทะต้านทานกันจนเกิดระเบิดอย่างแรง เสียงแตกระเบิดกึกก้องสนั่นไปทั่ว


 


เมฆหมอกเหนือฟ้าบริเวณนี้ยังถูกคลื่นพลังสะท้อนแผ่ออกมาซัดกวาดทำลายจนหายไปหมดสิ้น!!


 


จังหวะนี้ฉากเรื่องราวบนฟ้า ก็เปิดเผยให้ศิษย์ทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับแลเห็นชัดถนัดตา!


 


สีหน้าจูลู่ฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ร่างของมันสะท้านสั่นไหว สุดท้ายก็ปลิดปลิวกระเด็นออกไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศรนับร้อยหมี่กว่าจะขืนรั้งหยุดร่างกลางหาวได้อีกครั้ง!


 


ตรงกันข้าม เฝิงปู่อี้กลับลอยร่างอย่างสงบ ไม่ผงะถอยแม้แต่ครึ่งก้าว


 


“ไฉนมันร้ายกาจนัก!”


 


จูลู่ฉีที่ตอนนี้รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน สัมผัสได้ถึงรสสนิมเหล็กที่กำลังเอ่อล้นท่วมลำคอ หากแต่ด้วยศักดิ์ศรีของมัน ทำให้มันกล้ำกลืนฝืนรั้งเอาไว้ มิอาจปล่อยให้กระอักโลหิตออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายได้


 


เห็นฉากนี้เหล่ารองจ้าวตำหนักทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ!


 


พลังฝีมือของพวกมันยังอ่อนด้อยกว่าจูลู่ฉีเสียอีก หากกระทั่งจูลู่ฉียังไม่ใช่คู่มืออีกฝ่าย เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพวกมันแล้ว!!


 


ดังนั้นพอเห็นจูลู่ฉีบาดเจ็บ ถึงแม้พวกมันจะมีโมโหเพียงใด…พวกมันก็ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ!


 


เฝิงปู่อี้คนนี้ ทั้งหมดรู้กันดีว่าลักษณะนิสัยละม้ายคล้ายเหมือนกับผู้นำตลาดมืดหยินชานมากแค่ไหน! ทั้งคู่ล้วนเจ้าอารมณ์กระทำสิ่งใดตามใจตัว หากใครหาญกล้าทำอะไรขัดหูตา ไม่พ้นประสบชะตากรรมเดียวกับจูลู่ฉีแน่!!


 


“ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเจ้า เว้นแต่จะเป็นจ้าวตำหนัก หรือผายลมเฒ่าทั้ง 2 นั่นที่มีพลังฝีมือพอใช้ได้…ที่เหลือล้วนไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตาข้า เฝิงปู่อี้!”


 


เฝิงปู่อี้มองจูลู่ฉีก่อนที่จะว่ายตามองคนอื่นๆอย่างไร้แยแสค่อยกล่าว “ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ไม่คิดเสวนากับพวกเจ้า…ไปเรียกสหายน้อยหลิงเทียน อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของพวกเจ้ามาเสีย ข้ามีเรื่องคิดสนทนาหารือกับเขา!”


 


วาจาท้ายประโยคของเฝิงปู่อี้ ยังคล้ายจะเป็นการสั่งรองจ้าวตำหนักทั้งหลาย!


 


จังหวะนี้นอกจากจูลู่ฉีที่ไม่สนใจจะฟัง รองจ้าวตำหนักคนอื่นๆ ได้แต่หันหน้ามองตากันเอง หากแต่เนิ่นนานผ่านไปก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


 


“อะไร? ไม่มีใครคิดไปตามคนให้ข้าเลย?”


 


เห็นฉากนี้สองตาของเฝิงปู่อี้ก็เผยประกายเย็นเยียบขึ้นมา พาลให้สีหน้าของบรรดารองจ้าวตำหนักเปลี่ยนไปอีกครั้งทันใด


 


“อย่าได้ลำบากผู้อื่นเลย ข้ามาแล้ว…”


 


ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด คล้ายการต่อสู้แตกหักสามารถปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลา เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงใครที่ไหนเป็นต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างมาถึง


 


ข้างๆยังมีกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียนที่ติดตามมาด้วยกัน


 


“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นไรหรือไม่?”


 


หวางเฟยเซวียนเร่งมาหยุดข้างจูลู่ฉีทั้งกล่าวถามออกมาด้วยความกังวลทันที


 


“ไม่เป็นไร”


 


จูลู่ฉีส่ายหัวไปมา มองเฝิงปู่อี้อีกครั้งในแววตายังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน!


 


เฝิงปู่อีกผู้นี้ไม่ไว้หน้ามันสักนิด กลับลงมือตบหน้ามันต่อหน้าสาธารณะชนและศิษย์ส่วนตัว ทำให้มันอับอายขายหน้านัก!


 


เมื่อใช้ชีวิตมายาวนานอย่างจูลู่ฉี หน้าตาศักดิ์ศรีนับว่าเป็นอะไรที่สำคัญไม่น้อย


 


การกระทำก่อนหน้าของเฝิงปู่อี้ยังทำให้มันรู้สึกคับแค้นยิ่งกว่าฆ่ามันให้ตายเสียอีก!


 


อย่างไรก็ตามเฝิงปู่อี้ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย มันไม่ได้มองมาทางจูลู่ฉีเลย เรียกว่าไม่สนใจโดยสิ้นเชิง


 


สายตาของมันหันไปจับจ้องมองร่างหลิงเทียน ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะเวียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ด้วยความสนใจ ปากฉีกยิ้มกล่าวถาม “เจ้าน่ะหรือ หลิงเทียน อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ?”


 


“คำอัจฉริยะเซียนอันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับข้าไม่กล้ารับ แต่ข้าคือหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ


 


พลังฝีมือที่เฝิงปู่อี้เผยออกก่อนหน้า เขาเองก็อดแปลกใจไปไม่ได้ เพราะไม่คิดเลยว่าชนชั้นรองผู้นำของตลาดมืดหยินชานจะร้ายกาจขนาดนี้


 


อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับเฝิงปู่อี้แบบนี้ใจต้วนหลิงเทียนยังคงสงบนัก ถึงแม้อีกฝ่ายจะเผยกลิ่นอายทรงพลัง แต่ก็ยังไม่นับเป็นตัวอะไรหากเทียบกับแรงกดดันของผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


ผู้เฒ่าหั่วนั้น แม้กระทั่งว่ายตามองไปในแดนสวรรค์ทั้งหลาย ก็นับเป็นตัวตนอันทรงพลัง!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยามอยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าหั่วยังสงบใจอยู่ได้ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงชนชั้นรองผู้นำตลาดมืดหยินชาน ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…แต่ต้นจนจบเขาไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย!


 


“สหายน้อยหลิงเทียน ข้าเองก็ไม่คิดกล่าววาจาเหลวไหลให้มากความ…ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของท่านตู้กู ผู้นำตลาดมืดหยินชาน! ท่านผู้นำคิดเชิญชวนเจ้าให้เข้าร่วมกับตลาดมืดหยินชานของพวกเรา หากเจ้ายินดี…ท่านผู้นำยังคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงมีทีท่าสงบไร้อาการประหม่าทั้งๆที่อยู่ต่อหน้าตัวเอง เฝิงปู่อี้อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจ


 


ได้ยินวาจานี้ของเฝิงปู่อี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง


 


ผู้นำตลาดมืดหยินชาน…


 


คิดชวนเขาให้เข้าร่วมตลาดมืดหยินชาน?


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นที่นิยมแบบนี้?


 


จังหวะนี้จูลู่ฉีและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะเผยความเคร่งเครียดออกมา


 


อยู่ๆเฝิงปู่อี้ก็โผล่มาถึงถิ่นตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งกล่าววาจาหมายดึงคนไปเข้าร่วมตลาดมืดหยินชานดื้อๆ!


 


แถมนี่ยังเป็นความต้องการของตู้กู ผู้นำตลาดมืดหยินชาน 1 ใน 2 สุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดที่ได้รับการยอมรับกันทั่วภูมิภาคเบื้องล่าง


 


ส่วนสุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดอีกคนนั้นก็คือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง


 


เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือทั้งตู้กูและต้วนหรูเฟิงยังไม่ได้ชรา ทั้งคู่ล้วนมีพื้นที่ให้พัฒนาก้าวหน้าอีกมาก ในอนาคตการดำรงอยู่ของทั้งคู่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงเป็นได้แค่ ‘คนผ่านทาง’ เท่านั้น…


 


ด้วยศักยภาพของทั้งคู่ ไม่ช้าก็เร็วต้องขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อเฉิดฉายแน่


 


อย่างไรก็แล้วแต่…เรื่องที่ผู้นำตู้กูยังไม่ชรา นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับพวกจูลู่ฉีเป็นที่สุด!


 


พอเฝิงปู่อี้กล่าวบอกว่ามันมาตามคำสั่งของตู้กู! จูลู่ฉีและคนอื่นๆจึงไม่กล้ากล่าวขัดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ!!


 


หากล่วงเกินตู้กู จนทำให้ตู้กูมีโมโหคิดลงมืออะไรขึ้นมา ต่อให้พวกมันจะมีตำหนักฟ้าลี้ลับคุ้มกะลาหัว กระทั่งมีเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักคุ้มครอง อีกฝ่ายก็สามารถบุกมาฆ่าพวกมันได้!!


 


พลังฝีมือของจ้าวตำหนักกับอาวุโสพิทักษ์ของพวกมัน แต่เดิมก็เป็นรองผู้นำตลาดมืดหยินชานอย่างตู้กูอยู่แล้ว อีกฝ่ายยังเป็นผู้ที่เจนจัดในเรื่องลอบสังหาร! คิดลอบฆ่าพวกมันก็ง่ายดายเหมือนบี้มด!!


 


“รองผู้นำเฝิง ข้าต้องขออภัยท่านด้วย…รบกวนท่านไปบอกผู้นำตู้กูแทนข้าที ว่าข้าไม่มีความคิดเข้าร่วมกับตลาดมืดหยินชาน และข้าเองก็ไม่อาจอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับได้นาน ที่สำคัญคือข้ามีอาจารย์แล้ว! ภายในไม่กี่ปีนี้ข้าจะออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง เพื่อไปตามหาท่านอาจารย์ที่ภูมิภาคเบื้องบน…”


 


ต่อหน้าคำชวนของเฝิงปู่อี้ ต้วนหลิงเทียนกล่าวปฏิเสธออกมาอย่างสงบ


 


กระทั่งเฝิงปู่อี้เองก็ไม่คิดฝัน ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าจะกล่าวปฏิเสธออกมา


 


มันพึ่งกล่าวอยู่หยกๆว่ามาตามคำสั่งของผู้นำตลาดมืดหยินชานอย่างตู้กู หากแต่เด็กน้อยเบื้องหน้ากลับไม่กลัวจะสร้างความขุ่นขึ้งหมองเคืองให้พวกมัน หรือนี่อีกฝ่ายไม่กลัวตลาดมืดหยินชานเก็บแล้วจริงๆ?


 


ส่วนเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกภายหลังนั้น เฝิงปู่อี้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร


 


เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มันก็ได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับหลิงเทียนมาจากศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนอื่นๆมากมาย


 


ทั้งหมดรู้กันทั่วว่าหลิงเทียนมีอาจารย์ร้ายกาจอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน อีกทั้ง ลี่เฟิง ที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าก่อนหน้านี้ก็เป็นศิษย์พี่ของอีกฝ่าย!!


ตอนที่ 1,795 : มหาเวทย์กลืนกิน!


 


เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นยอดฝีมือที่มาจากภูมิภาคเบื้องบน กระทั่งเฝิงปู่อี้รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน ก็ยังต้องสงวนท่าทีต่ออีกฝ่าย


 


อีกทั้งมันเองก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้


 


‘หลิงเทียนผู้นี้กล่าวว่าภายในไม่กี่ปีนี้จะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับกระทั่งภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อไปตามหาอาจารย์ที่เบื้องบน…กล่าวไป ก็มิได้นับเป็นภัยคุกคามอันใดกับตลาดมืดหยินชานของพวกเรา…’


 


คิดถึงจุดนี้เฝิงปู่อี้ก็เพียงมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งอย่างไร้แยแส ก่อนที่จะจากไปทันที


 


หลิงเทียนคนนี้ หากเป็นคำสั่งแต่เดิมของผู้นำตู้กู…ลองอีกฝ่ายปฏิเสธมันแบบนี้! มันก็ได้รับคำสั่งให้เก็บไปเสียเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายภาคหน้า!!


 


ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้มันเองก็ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม!


 


เพราะสุดท้ายแล้วเบื้องหลังของหลิงเทียนอาจจะเป็นยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบน!


 


เช่นนั้นหลิงเทียนผู้นี้ยังต้องเก็บหรือไม่ มันต้องไปยืนยันคำสั่งกับผู้นำตลาดมืดหยินชานให้แน่ชัดก่อน!


 


เมื่อเห็นว่ารองผู้นำตลาดมืดหยินชาน เฝิงปู่อี้ จากไปแต่เพียงเท่านี้ นอกจากจูลู่ฉีที่ยังมีสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก บรรดารองจ้าวตำหนักทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก..


 


ก่อนที่จ้าวเติงจะจากไป มันก็หันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเปี่ยมจิตฆ่าฟันอีกครั้ง


 


“น้องหลิงเทียนครั้งนี้เจ้าแตกหักกับสกุลจ้าวแล้วจริงๆ วันหน้าเจ้าต้องระวังให้มาก…พยายามหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกหากไร้เรื่องเร่งด่วน และถ้ามีเรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องจากไปจริงๆข้าจะไปกับเจ้าด้วย พวกมันย่อมไม่กล้าลงมือทำอะไรเจ้าแน่!”


 


กู่ลี่ที่สังเกตเห็นสายตาอาฆาตของจ้าวเติงที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันก็หันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความเป็นห่วงทันที


 


“ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอบอุ่นในใจไม่น้อยหลังได้ยินคำกู่ลี่ ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกับอีกฝ่ายเนิ่นนานอะไร แต่ก็สามารถยึดถืออีกฝ่ายเป็นสหายได้ง่ายดาย


 


การปรากฏตัวของรองผู้นำตลาดมืดหยินชาน นับเป็นเรื่องราวเล็กๆฉากหนึ่งหลังแดนลับเซียนปิด…


 


ไม่นานคนตำหนักฟ้าลี้ลับก็เลิกสนใจ


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับตอนนี้ ต่างสนใจถึงเรื่องการเก็บเกี่ยวในแดนลับเซียนของอัจฉริยะเซียนทั้ง 30 คน โดยเฉพาะหวางเฟยเซวียนที่ได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงมา เริ่มเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว


 


“ข้าล่ะไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าหวางเฟยเซวียนจะได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงมา…หลิงเทียนที่ข้ามองว่าต้องมีความสำเร็จไม่น้อย กลับไม่ได้เวทย์พลังระดับสูงอะไร”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวถึงเรื่องนี้กันหนาหู


 


ในสายตาของพวกมัน หวางเฟยเซวียนเสมือนม้ามืดแล้วจริงๆ อยู่ๆก็ได้เป็นศิษย์ของจ้าววังนภาเฉย! ความสำเร็จในภายภาคหน้านับว่าไร้ขอบเขตแล้ว!!


 


หลังจากแยกกับกู่ลี่ต้วนหลิงเทียนก็กลับมายังบ้านพัก เรื่องที่ชวนให้แปลกใจก็คือหลังจากผ่านไปหลายวัน หวางเฟยเซวียนกลับไม่มาหาเขาเลย ผิดจากก่อนหน้านี้ที่นางมักมาเป็นประจำ..


 


‘ดูเหมือนช่วงนี้นางจะยุ่งไม่น้อย’


 


ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


เพราะสุดท้ายแล้วหวางเฟยเซวียนก็ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน ตอนนี้นางไม่เพียงได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับสูง ยังเป็นศิษย์ส่วนตัวของจ้าววังนภาแล้ว


 


‘อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ประหลาดดี…ก่อนหน้านี้ตอนนางมาบ่อยไปก็ทำให้ข้ารำคาญนัก แต่พอนางไม่มาก็รู้สึกแปลกๆพิกล’


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะกลับไปที่ห้องเตรียมตัวปิดด่านบ่มเพาะสักระยะหนึ่ง


 


ตลอดไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาพักผ่อนเต็มที่แล้ว


 


‘หลังออกจากการปิดด่านบ่มเพาะคราวนี้ ข้าไปขอแรงพี่กู่ให้ช่วยตามหาวัตถุดิบซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติดีกว่า…ถึงตอนนั้นพวกพี่กู่คงจัดการปัญหาเรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรียบร้อยแล้ว’


 


เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนไม่กล่าวถึงเรื่องนี้แต่แรก เพราะเขารู้ดีว่ากู่ลี่กับระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ กำลังเตรียมตัวไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


ถึงตอนนั้นอาวุโสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติงหรืออาวุโสผู้พิทักษ์ที่เป็นบิดาของจ้าวเติงก็ต้องออกไปด้วย


 


กระทั่งจ้าวตำหนักเมิ่งฉิงยังถึงกับออกโรงด้วยตัวเอง!


 


แน่นอนว่าการไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อจิบชาสนทนายามบ่ายแต่อย่างใด ทว่าไปเพื่อเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีเคล็ดรวมวิญญาณที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฝึกปรือ!


 


‘ข้ายังหลงคิดว่าพอฉีจิ้งมันฟื้นคืนชีพแล้วข้าต้องไปฆ่ามันอีกรอบซะอีก แต่ตอนนี้ท่าทางมันจะหนีไม่พ้นชะตาตายตก’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


เขาไม่คิดว่าฉีจิ้งจะรอดไปได้


 


ตราบใดที่เคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกปรือมันเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงจริงๆ คงยากที่มันจะรอดไปได้!


 


ส่วนเรื่องที่ตำหนักฟ้าลี้ลับจะลงมือสำเร็จหรือไม่ เขาไม่เคยสงสัยเลย…


 


เพราะกระทั่งเมิ่งฉิงยังออกโรงเองแบบนี้ ถ้ายังกวาดล้างคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับที่เป็นแค่ขุมพลังชั้น 4 ไม่ได้อีก ก็คงเสียทีที่เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 แล้ว!


 


บางทีตำหนักฟ้าลี้ลับอาจไม่แข็งแกร่งเท่าตลาดมืดหยินชานหรือตำหนักเมฆาคราม แต่ก็ยังไม่ใช่อะไรที่ขุมพลังชั้น 4 จะเทียบได้!


 


“ท่านผู้เฒ่าหั่ว!”


 


หลังปิดประตูห้องหับและเข้ามาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาผู้เฒ่าหั่วทันที “เวทย์พลัง ปีกอีกาทองคำ ที่ท่านถ่ายทอดให้ข้า..มันเทียบได้กับเวทย์พลังระดับใดในโลกใบนี้หรือ?”


 


ตอนนี้นอกจากเวทย์พลัง ปีกอีกาทองคำ แล้วเขายังได้รับเวทย์พลังมาอีกไม่น้อย แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเวทย์พลังระดับต่ำๆ ที่ไม่ต่ำก็มีแค่ 3 เวทย์พลัง


 


เวทย์พลังทั้ง 3 ที่ว่าก็คือ เวทย์พลังระดับกลางอย่างร่างทองลิ่วเหอ เวทย์พลังระดับสูงปฐมเวทย์กลืนกิน และ เซียนอมตะข้ามภพ


 


เวทย์พลังทั้ง 3 นั้น ในสายตาเขาที่ดีที่สุดก็คือ ปฐมเวทย์กลืนกิน


 


รองลงมาก็คือ เซียนอมตะข้ามภพ สุดท้ายก็คือ ร่างทองลิ่วเหอ


 


“หากจะให้ข้าเปรียบเทียบ ข้าก็จำต้องรู้ระดับและความสามารถของเวทย์พลังในโลกใบนี้เสียก่อน ข้าถึงจะเปรียบเทียบมันให้เจ้าได้ถูกต้อง”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า คิดเล่าเรื่องราวของเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน กับเซียนอมตะข้ามภพอันเป็นเวทย์พลังระดับสูงให้ผู้เฒ่าหั่วฟังก่อน


 


ทว่าทันทีที่เขากล่าวถึงชื่อเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกินขึ้นมาไม่ทันไร ผู้เฒ่าหั่วก็ยกมือขึ้นหยุดเขาไว้แล้วถามแทรกทันที “เจ้าแน่ใจหรือ ว่าเวทย์พลังที่เจ้าได้รับสืบทอดมา มันเรียกว่าปฐมเวทย์กลืนกิน?”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้เฒ่าหั่วถามทำไมก็ตาม หรือว่าเวทย์พลังนี้มันมีปัญหา?


 


“ไหนเจ้าลองอธิบายความสามารถของปฐมเวทย์กลืนกินที่เจ้าได้รับมาให้ข้าฟังหน่อย”


 


ผู้เฒ่าหั่วค่อยๆกล่าวถามออกมา หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


หลังระงับความอยากรู้อยากเห็นในใจเพราะเห็นผู้เฒ่าหั่วเสียอาการได้ ต้วนหลิงเทียนก็เล่าเรื่องราวความสามารถและลักษณะการใช้งานของปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาเจอมาในบททดสอบให้ผู้เฒ่าหั่วฟัง แน่นอนว่าเขาเล่าทุกรายละเอียดที่เห็นไม่มีใดขาดตก


 


“กลับเป็นปฐมเวทย์กลืนกินจริงๆ!!”


 


หลังได้ฟังเรื่องราวจากต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นลูกตาก็เผยประกายสว่างขึ้นมา พาลให้ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย “ท่านผู้เฒ่าหั่ว…ฟังแล้ว ดูเหมือนท่านจะรู้จักปฐมเวทย์กลืนกินเลย หรือท่านเคยเห็นมันมาก่อน?”


 


“ปฐมเวทย์กลืนกินนี้นับเป็นเวทย์พลังที่น่าทึ่งยิ่งนัก!”


 


ผู้เฒ่าหั่วมองต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถึงแม้หากวัดระดับกันแล้วมันจักไม่ดีเท่า ปีกอีกาทองคำ…แต่ปีกอีกาทองคำที่มีระดับเหนือกว่าก็คือปีกอีกาทองคำที่เผ่าพันธุ์อีกาทองคำของข้าชำนาญ…แต่ถ้าเป็นปีกอีกาทองคำรุ่นที่เจ้าใช้ ถือว่าพวกมันเป็นเวทย์พลังที่มีระดับพอๆกัน


 


“อะไร! มีพอๆกัน!?”


 


ถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะกล่าวว่าเป็น ปีกอีกาทองคำ รุ่นที่เขาใช้ ต้วนหลิงเทียนก็ยังอดตกใจไปไม่ได้!


 


ปีกอีกาทองคำนั้น ถึงแม้หากไม่ใช่เผ่าพันธุ์อีกาทองคำก็ยากจะแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงของมันได้ก็จริง แต่มันก็เป็นถึงเวทย์พลังที่อยู่ในแดนสวรรค์! ซึ่งเป็นอะไรที่สมควรทรงพลังเหนือโลกมนุษย์ที่เขาอยู่มากไม่ใช่เหรอ!?


 


แต่มาตอนนี้เขากลับได้รับทราบว่า ปฐมเวทย์กลืนกิน ที่เขาได้รับสืบทอดมา..กลับมีระดับไม่ได้ด้อยไปกว่า ปีกอีกาทองคำรุ่นที่เขามี! เช่นนั้นจะไม่ให้เขาแปลกใจได้อย่างไรไหว?!


 


“บอกข้า! เจ้าไปได้รับเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินมาจากที่ใด?!”


 


ผู้เฒ่าหั่วมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินก็ตอบกลับไปทันที เขาเล่าถึงแดนลับเซียนและพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้ง ยังกล่าวถึงประสบการณ์บททดสอบต่างๆในบึงไร้ก้นบึ้ง


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าในโลกใบนี้จะมีพื้นที่มรดกปฐมเวทย์กลืนกินอยู่…ปฐมเวทย์กลืนกินนี้ ต่อให้เป็นในแดนสวรรค์ก็นับเป็นเวทย์พลังอันน่าทึ่งนัก! และผู้ที่สามารถใช้มันได้ ก็ล้วนเป็นตัวตนอันทรงพลังในแดนสวรรค์ทั้งสิ้น”


 


ผู้เฒ่าหั่วถอนหายใจ


 


“อะไรกัน!?”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะคิดไว้แล้วว่าปฐมเวทย์กลืนกินไม่ธรรมดา แต่ก็ยังประหลาดใจไม่น้อยหลังได้ยินคำจากผู้เฒ่าหั่ว “ปฐมเวทย์กลืนกินนี่ กระทั่งในแดนสวรรค์ยังนับว่าน่าทึ่งเลยเหรอ?”


 


“ใช่”


 


ผู้เฒ่าหั่วพัยกหน้า “ปฐมเวทย์กลืนกิน นับเป็นเวทย์พลังที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในแดนสวรรค์…แน่นอนว่านอกเหนือจากความสามารถอันน่าทึ่งแล้ว มันยังเป็นรากฐานของ มหาเวทย์กลืนกิน ที่เจ้าจำต้องเพาะสร้างชำนาญ


 


“กล่าวได้ว่าหากเจ้าคิดเพาะสร้างมหาเวทย์กลืนกิน เจ้าจำเป็นต้องใช้ปฐมเวทย์กลืนกินให้ชำนาญให้ได้ก่อน!”


 


“มหาเวทย์กลืนกิน!”


 


ต้วนหลิงเทียนตะลึง “ยังมี มหาเวทย์กลืนกิน อยู่ด้วยหรือ มันมีพลังอำนาจเหนือกว่าปฐมเวทย์กลืนกินหรือ?”


 


“มิผิด!”


 


ผู้เฒ่าหั่วพยักหน้ารับ ในแววตาเผยประกายลี้ลับขึ้นมาค่อยกล่าว “มหาเวทย์กลืนกินเป็นเวทย์พลังอันน่าสะพรึงกลัวในบรรดาเวทย์พลังทั้งหลายของแดนสวรรค์ มันยังถือเป็นเวทย์พลังระดับสูงสุด! ผู้ที่มีมันในครอบครองยังเป็นหนึ่งในจ้าวผู้อยู่เหนือของแดนสวรรค์! พลังอำนาจของคนผู้นั้นยังติด 1 ใน 3 ตัวตนอันน่าพรั่นพรึงของแดนสวรรค์”


 


สวรรค์ช่วย!


 


สิ้นคำของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง


 


มหาเวทย์กลืนกินเป็นเวทย์พลังระดับสูงสุดในแดนสวรรค์?


 


อีกทั้งผู้ที่ครอบครองมหาเวทย์กลืนกินยังเป็นจ้าวผู้อยู่เหนือในแดนสวรรค์?


 


และในบรรดาแดนสวรรค์ทั้งมวล พลังอำนาจของตัวตนผู้นั้นยังติด 3 อันดับแรกงั้นหรือ?


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่มีข้อมูลมากพอให้รู้ว่าที่แท้มันยอดเยี่ยมถึงเพียงใด แต่ข้อมูลเหล่านี้เสมือนระเบิดห่าใหญ่ที่กระหน่ำลงมาในหัวเขาไม่มีผิด


 


“อีกทั้งยังลือกันว่า ปฐมเวทย์กลืนกินนั้นมันมาจากมหาเวทย์กลืนกิน…และผู้ที่สร้างมันขึ้นมาก็เป็นตัวตนอันทรงพลังคนเดียวกัน”


 


ในขณะกล่าวถึงตัวตนอันทรงพลังที่ว่า สีหน้าท่าทางของผู้เฒ่าหั่วยังเผยความนับถือเลื่อมไสไม่น้อย


 


“ข้าไม่คิดเลยจริงๆ…ปฐมเวทย์กลืนกินที่ข้าได้รับสืบทอดมา จะมีความเป็นมาน่ากลัวแบบนี้”


 


ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


“อย่างไรก็ตามที่ทำให้ข้าได้รับปฐมเวทย์กลืนกินมาครอง ล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งสิ้น…ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านผู้เฒ่าหั่ว! หากไม่ใช่เพราะท่านส่งเสริมจนทำให้ข้ารู้แจ้งกระทั่งเพาะสร้างปราณสุริยันแรกกำเนิดได้ ข้าคงไม่มีวันผ่านบททดสอบในบึงไร้ก้นบึ้ง และได้รับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินมาแบบนี้”


 


ผ่านบททดสอบในบึงไร้ก้นบึ้งจนได้สืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนทำได้แค่มองผู้เฒ่าหั่วด้วยความสำนึกขอบคุณ


 


บททดสอบแรกๆจนถึงก่อนสุดท้ายของบึงไร้ก้นบึ้ง หากเป็นอริยะเซียนขั้นต้นคงไม่เป็นอะไร…


 


แต่ทว่าบททดสอบสุดท้ายนั้นอย่างว่าแต่อริยะเซียนขั้นต้น ให้เป็นเซียนมนุษย์ เซียนปฐพี หรือกระทั่งให้เป็นเซียนนภามาเองเกรงว่าคงไม่มีทางผ่านไปได้!


 


นั่นเพราะพลังฝึกปรือของผู้พิทักษ์ด่านสุดท้ายจะมีระดับทัดเทียมกับผู้เข้าทดสอบ!


ตอนที่ 1,796 : ปลาที่เล็ดรอดร่างแห


 


จนถึงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเสียวในใจ ยามนึกถึงชายชราที่รับบทเป็นผู้พิทักษ์ด่านสุดท้ายของบึงไร้ก้นบึ้ง ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็มีด่านพลังฝึกปรือแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น…


 


หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะชายชราคนนั้นได้ ต่อให้ด่านพลังฝึกปรือจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดหรือเหนือกว่านั้นก็ตามที


 


เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดี ว่าการที่เขาผ่านบททดสอบนั่นและรับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินมาได้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดที่ผู้เฒ่าหั่วทำให้เขารู้แจ้งจนเพาะสร้างมันขึ้นมาได้!


 


ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนผู้เฒ่าหั่วเผยยิ้มอ่อนๆ “เจ้าได้ครอบครองเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งได้พบข้าล้วนเป็นวาสนาของเจ้า…ไม่เว้นการที่เจ้าได้รับสืบทอดมรดกของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…”


 


“สุดท้ายกระทั่งได้รับปฐมเวทย์กลืนกินครั้งนี้ ล้วนไม่ใช่เพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดแต่อย่างใด หากแต่เป็นโชควาสนาของเจ้าทั้งหมด…”


 


โชควาสนาของต้วนหลิงเทียน กระทั่งผู้เฒ่าหั่วยังอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา


 


ในสมัยก่อน บรรดาตัวตนอันทรงพลังที่ผู้เฒ่าหั่วรู้จักในแดนสวรรค์ ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เทียบต้วนหลิงเทียนได้ในแง่ของ ‘โชควาสนา’


 


แน่นอนว่าผู้เฒ่าหั่วก็ไม่คิดที่จะกล่าวบอกเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียน


 


ในสายตาของมันจะเป็นแค่การบอกเรื่องนี้ อาจสร้างอันตรายต่อต้วนหลิงเทียนอย่างใหญ่หลวง!


 


หากต้วนหลิงเทียนย่ามใจและคิดหวังพึ่งแต่โชควาสนา ไม่มานะอุตสาหะด้วยตัวเองก่อนขึ้นมา น่ากลัวว่าต่อให้มีโชควาสนาดีเพียงใดก็ยากที่จะประสบความสำเร็จและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้!


 


โชควาสนาก็แค่ส่วนหนึ่ง ไม่อาจหวังพึ่งได้ทั้งหมด!


 


ผู้เฒ่าหั่วนั้นใช้ชีวิตมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว ย่อมได้เห็น ‘โศกนาฏกรรม’ ที่ลงเอยทำนองนั้นมามากมาย เป็นธรรมดาที่มันไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนต้องผิดพลาดจนซ้ำรอยอะไรเช่นนั้น


 


ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็นิ่งเงียบไป


 


พอคิดย้อนไปแล้วเขาก็มีโชคไม่น้อย


 


แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นผู้ที่ดวงวิญญาณข้ามภพมาเขาไม่คิดว่าโชควาสนาเหล่านี้มันน่าพึ่งพอใจอะไรขนาดนั้น


 


ในสายตาของเขา การที่ดวงวิญญาณเขามีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตที่สองต่างหาก ถือเป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว!


 


หาไม่แล้วเขาคงตกตายไปเนิ่นนาน ไม่ต้องกล่าวถึงโอกาสอะไรหลังจากนั้นเลย! เช่นนั้นเขาจึงคิดว่าต้องพยายามให้มาก กระทำทุกอย่างให้ดีไม่ให้มีอะไรต้องเสียใจ…


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนเขาเห็นซึ้งถึงเรื่องนี้ชัดเจนดี


 


แน่นอนว่าผู้เฒ่าหั่วไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าต้วนหลิงเทียนมีมุมมองดังกล่าว เช่นนั้นจึงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียน


 


“ผู้เฒ่าหั่วอีกไม่นานข้าจะเริ่มหาวัตถุดิบมาซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเรื่องีน้กับผู้เฒ่าหั่ว ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อบ่มเพาะพลัง หลังออกจากการปิดด่านบ่มเพาะรอบนี้ กู่ลี่สมควรกลับมาจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องพอดี


 


การปิดด่านครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เน้นหนักไปที่การบ่มเพาะสั่งสมพลังหมายยกระดับพลังฝึกปรือ รองมาก็คือการทำความเข้าใจยอดใจกระบี่ให้ลึกซึ้ง


 


ตอนนี้เขามาถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่แล้ว แต่เคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่นั้น มีถึง 5 ขอบเขต!


 


ยังมีหนทางอีกไกลให้เขาก้าวเดิน


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะ ทางด้านขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็ประสบกับหายนะล่มสลาย!


 


คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่สงบสุข เพียงชั่วข้ามคืนความสงุบสุขนั้นก็ถูกพรากไปถาวร เพราะผู้นำคฤหาสน์กลับถูกฆ่าตาย!


 


ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเองก็นับเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กระทั่งในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังมีน้อยคนนักที่สามารถสังหารมันได้โดยที่ไม่กระตุ้นเตือนความสนใจของผู้คน!


 


นั่นทำให้เหล่าอาวุโสระดับสูงของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกับตื่นตระหนกครั้งใหญ่ เมื่อพบว่าผู้นำคฤหาสน์ของมันถูกฆ่าตาย!


 


หลังจากนั้นไม่นานบรรดาอาวุโสระดับสูงของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ถูก พายุสังหารกวาดผ่าน…ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ไม่ทันที่จะได้รวมตัวกันหารือเตรียมรับสถานการณ์


 


สุดท้ายในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไม่ว่าจะบรรดาอาวุโสระดับสูง หรือกระทั่งศิษย์ที่โดดเด่นก็ล้วนกลับกลายเป็นซากศพไร้ชีวิตจนหมด


 


ผู้ที่ตกตายในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องชุดแรกทั้งหมด ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน…นั่นคือพวกมันล่วงรู้ว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มีพลังฝึกปรือก้าวหน้าอัศจรรย์ในเวลาอันสั้น ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่!


 


เพียงแต่พวกมันไม่อาจคิด กระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน…ว่าฝูงพยัคฆ์และหมาป่าพวกนี้ จะมาเพื่อเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นของฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์พวกมัน!


 


ผู้ที่ลงมือกวาดล้างทุกชีวิตที่รู้เรื่องนี้ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…เหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


ในบรรดาผู้ที่มาจากตำหนักฟ้าลี้ลับ คนที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็คือ กู่ลี่


 


แน่นอนว่ากู่ลี่เพียงติดตามมาเก็บประสบการณ์ด้วยเท่านั้น เพราะบิดามันและคนอื่นๆเป็นคนฆ่าเป้าหมายทั้งหมดที่พบแทบจะทันที…ไม่มีแม้แต่เวลาจะให้มันลงมืออะไร


 


เพราะนอกจากกู่ลี่แล้ว ในที่นี้ผู้ที่อ่อนแอที่สุด ก็เป็นถึงชนชั้นรองจ้าวตำหนักทั้งสิ้น!


 


ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงสามารถเลาะกระดูกสันหลังของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ดับชีวิตเสาหลักของพวกมันได้ ก่อนที่พวกมันจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ!


 


“เก็บกวาดเรียบร้อยดีหรือไม่?”


 


เหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากแยกย้ายกันลงมือเป็นเมิ่งฉิงที่กล่าวถามออกมา


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ฝั่งตะวันออกข้าจัดการหมดแล้ว”


 


กู่ซืออวิ๋นที่ยืนข้างกู่ลี่กล่าวรายงาน


 


“ฝั่งตะวันตกก็เรียบร้อยดี มิมีผู้ใดรอด”


 


ชายชราที่อยู่ข้างๆจ้าวเติงกล่าว มันก็คือบิดาของจ้าวเติง อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับ พลังฝีมือของมันเรียกว่าทัดเทียมกับกู่ซืออวิ๋น เป็นรองก็แต่เมิ่งฉิง จ้าวตำหนัก!


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ทิศใต้เองก็จัดการหมดเรียบร้อยแล้ว”


 


จ้าววังทั้ง 4 โดยมีจูลู่ฉีเป็นผู้นำกลุ่มสังหารก็กล่าวคำรายงานออกมา


 


ส่วนรองจ้าวตำหนักที่เหลือก็ติดตามเมิ่งฉิงไปเก็บกวาดฝั่งเหนือมาด้วยกัน อีกทั้งยังต้องคอยดูแลภาพรวมเพื่อไม่ให้มีปลาเล็ดรอดร่างแหไปได้


 


เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง แม้แต่ตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามก็ต้องให้ความสนใจแน่นอนหากล่วงรู้


 


“ดี!”


 


เมิ่งฉิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “นายน้อยคฤหาสน์อย่างฉีจิ้งถูกข้าย้ายไปกักตัวไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว…ในเมื่อพวกเราเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ…จากที่ข้าตรวจสอบวิญญาณของฉีจิ้งยังมิฟื้นฟูหายดีพอที่พวกเราจะใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณล้วงความลับจากมันได้”


 


“เช่นนั้นตอนนี้เรื่องที่พวกเราทำได้ ก็มีแต่นำมันกลับไปขังไว้ก่อนเท่านั้น”


 


เมิ่งฉิงกล่าวสืบต่อ


 


“ครั้งสุดท้ายที่มันใช้เคล็ดวิชารวมวิญญาณ วิญญาณของมันก็ยังมิได้ควบรวมฟื้นฟูจนหายดี…การจะใช้วิชาควาญวิญญาณกับมัน พวกเราจำต้องรอให้มันฟื้นฟูในระดับหนึ่ง หาไม่แล้วจากสภาพมันตอนนี้เกรงว่ายังไม่ทันดึงข้อมูลเรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารอันใด วิญญาณคงได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง…”


 


กู่ซืออวิ๋นพยักหน้า


 


“รออีกปีครึ่งหรือมากกว่านั้นก็มิเป็นไร…ข้าหวังว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของมันคงมิใช่อวิชชาชั่วร้ายอะไร เช่นนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราก็จะผงาดขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องล่างได้ในเวลาอันสั้นหลังบ่มเพาะมัน!”


 


ชายชราที่ยืนถัดจากจ้าวเติงกล่าว มันคือจ้าวจิน อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ น้ำเสียงของมันยังแลดูตื่นเต้นไม่น้อย


 


และทันทีที่มันกล่าวออกมา กระทั่งเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นจนออกอาการให้เห็น


 


ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นถึงขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมหาศาลในสายตาของผู้คนทั่วๆไป


 


อย่างไรก็ตามเหล่ายอดฝีมือที่อยู่แถวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างล้วนรู้กันดี ว่าแม้ตำหนักฟ้าลี้ลับจะเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 แต่ก็ยังด้อยกว่ามากหากจะยกไปเทียบกับตำหนักเมฆาครามและตลาดมืดหยินชาน


 


“ท่านจ้าวตำหนัก…”


 


ทว่าตอนนี้เอง เฉียนผิงเชิง พลันกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าคล้ายมีเรื่องกังวลบางอย่าง ทำให้บรรยากาศยินดีก่อนหน้าหยุดชะงักลงทันที


 


จังหวะนี้ทุกสายตาพลันหันไปมองเฉียนผิงเชิงอย่างพร้อมเพรียง


 


“มีอันใดหรือ?”


 


เมิ่งฉิงกล่าวถามด้วยสงสัย


 


“ข้าคิดว่า…อาจมีปลาที่เล็ดรอดร่างแหไปได้…”


 


เฉียนผิงเชิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขมขื่น


 


ปลาที่เล็ดรอดร่างแห!


 


ทันทที่เฉียนผิงเชิงกล่าวประโยคนี้ออกมา ทุกคนรวมถึงจูลู่ฉีจ้าววังนภาอดชักหน้าเคร่งขึ้นมาไม่ได้


 


“จ้าววังจู มิใช่ท่านพึ่งกล่าวว่า ฝั่งใต้ของท่านจัดการเรียบร้อยดีแล้วหรอกหรือ?”


 


เมิ่งฉิงยังไม่ทันได้พูดอะไร เป็นจ้าวจินที่กล่าวถามออกมาก่อน สีหน้าแววตายามมองถามจูลู่ฉียังแฝงตำหนิไม่น้อย


 


“ศิษย์นองเฉียน เรื่องนี้มันยังไงกันแน่ ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนั้น?”


 


จูลู่ฉีก็มองจี้ถามเฉียนผิงเชิงเช่นกัน สีหน้ายังแลดูอัปลักษณ์ไม่น้อย ไฉนเฉียนผิงเชิงถึงไม่บอกมันก่อน…กล่าวออกมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นมันที่ต้องรับผิดชอบหรือไร


 


“พี่จูท่านจำไม่ได้หรือว่าข้อมูลที่พวกเราได้รับมา ฉีจิ้ง สมควรมีสุนัขรับใช้ที่หลังค่อมคนหนึ่ง…หากแต่วันนี้พวกเรายังมิเห็นตัวมันเลยมิใช่หรือ?”


 


เฉียนผิงเชิงมองกล่าวับจูลู่ฉี อันที่จริงมันเองก็พึ่งนึกออก


 


“หืม สุนัขรับใช้หลังค่อม?”


 


จูลู่ฉีขมวดคิ้วกล่าวออกเสียงเข้ม “มิใช่มันก็แค่ผู้ติดตามที่คอยจัดการเรื่องราวจิปาถะหรือไร…แถมจากขอมูลที่ข้าได้จากการสืบค้นวิญญาณของอาวุโสพวกนั้น ก็ไม่เห็นมีคนไหนคิดว่ามันล่วงรู้เคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้งเลย”


 


“พี่จู คนพวกนั้นล้วนเป็นชนชั้นอาวุโส…ไหนเลยจะเห็นสุนัขรับใช้เช่นนั้นอยู่ในสายตา…”


 


เฉียนผิงเชิงส่ายหัวไปมาค่อยกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “อันที่จริงข้าเองก็พึ่งนึกขึ้นได้ ข้ายังพอจดจำได้ว่าตอนที่ได้ฟังเรื่องราวมา เมื่อปีที่แล้วยามฉีจิ้งมาถึงสถานที่จัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง มันมาพร้อมกับสุนัขรับใช้ผู้นั้น…และก่อนหน้าที่จะมีการประลอง ฉีจิ้งก็ไม่ได้อยู่ในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตลอดทั้งปี…”


 


“ถ้าหากตลอดเวลาที่ผ่านมา…มันติดตามไปด้วยกันกับฉีจิ้งเล่า?”


 


ก่อนที่เฉียนผิงเชิงจะทันได้กล่าวจบ กู่ซืออวิ๋นพลันกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าขึงขัง “ทางฝั่งที่ข้ารับผิดชอบเก็บกวาด ข้าก็ได้รับทราบข้อมูลมาว่าชายหลังค่อมนั่นมันมาถึงลานประลองพร้อมฉีจิ้ง สุดท้ายยังติดตามกลุ่มอาวุโสกลับมาที่นี่…”


 


“อย่างไรก็ตามนอกจากศิษย์ที่ไปร่วมการประลองแล้ว ศิษย์ทั่วไปไม่มีใครรู้จักมันเลย เช่นนั้นฐานะของมันในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนับว่าต้อยต่ำมาก…แต่หากมันติดตามฉีจิ้งไปอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ…ข้ามั่นใจว่ามันสมควรล่วงรู้เรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกแน่!”


 


ยิ่งมาวาจาของกู่ซืออวิ๋นยิ่งเผยถึงความตึงเครียด สีหน้ากลายเป็นจริงจังขึ้นมา


 


“ฝั่งที่ข้ารับผิดชอบข้าก็ได้สืบค้นข้อมูลแล้ว แต่ข้อมูลที่ได้ก็เพียงแค่เคยเห็นคนหลังค่อมอยู่กับฉีจิ้งไม่กี่ครั้ง…ข้าก็นึกว่ามันสมควรอยู่ฝั่งของจ้าววังจู และไม่น่าจะรอดพ้นการเก็บกวาดไปแล้ว…แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะรอดไปได้!”


 


จ้าวจินมองจูลู่ฉีด้วยสายตาตำหนิ


 


“ว่าอะไร!?”


 


สีหน้าจูลู่ฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง มันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วกลับมีปลาที่เล็ดรอดร่างแหไปได้ตัวหนึ่งจริงๆ


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ถึงแม้พวกเรายังมิอาจยืนยันได้แน่ชัดว่า คนหลังค่อมที่เป็นสุนัขรับใช้ฉีจิ้งมันล่วงรู้เรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารหรือไม่แต่พวกเราก็ลองตามหามันแล้ว ทว่าไม่พบตัว…ดูเหมือนมันจะไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง”


 


เฉียนผิงเชิงกล่าว


ตอนที่ 1,797 : หรงฟ่าน


 


คำกล่าวนี้ของเฉียนผิงเชิง เสมือนช่วยให้จูลู่ฉีและจ้าววังอีก 2 คนรอดตัวก็ไม่ปาน


 


เพราะการกวาดล้างศิษย์คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก่อนหน้า มีมันคนเดียวที่จงใจออกไปตามหาผู้ติดตามหลังค่อมของฉีจิ้ง


 


ทว่าตอนที่มันพูดคำว่า ‘พวกเรา’ ได้ออกไปตามหาแล้วถึงจะไม่พบ ก็เสมือนว่าจูลู่ฉีและจ้าววังอีก 2 คนไม่ได้บกพร่องในหน้าที่แต่อย่างใด ไม่ได้ละเลยไม่สนใจผู้ติดตามฉีจิ้งที่หลังค่อมอะไรนั่น!


 


เช่นนั้นแล้วพอเฉียนผิงเชิงกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา จูลู่ฉีกับจ้าววังอีก 2 คนถึงกับหันไปมองมันด้วยสายตาซาบซึ้งตื้นตัน


 


ในเมื่อผู้ติดตามหลังค่อมของฉีจิ้งนั่นไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องวันนี้ การที่มันจะรอดพ้นไปได้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของใคร!


 


“ในเมื่อวันนี้มันมิได้อยู่ที่นี่…เช่นนั้นมันก็ยังมิทันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแน่! เช่นนั้นพวกเราออกไปตามหามันกันเถอะ…ต้องฆ่ามันให้ได้ ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม!”


 


ลูกตาเมิ่งฉิงทอประกายดุร้ายรุนแรง กล่าวออกด้วยอำมหิต


 


ในเมื่อพบว่ามี ‘ปลาที่เล็ดรอดร่างแห’ เหล่าระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับที่เตรียมเดินทางกลับเพราะคิดว่างานจบแล้ว ก็ต้องระงับการกลับไว้ก่อน


 


หากแต่ไม่มีใครบ่นเรื่องนี้


 


พวกมันทุกคนล้วนต้องการตามล่าปลาที่เล็ดรอดร่างแหตัวนั้น และฆ่ามันให้จงได้! เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต!!


 


ต้องทราบว่าเรื่องนี้มิอาจล้อเล่นได้! หากข่าวแพร่ออกไปย่อมกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมทันที!


 


หากเป็นเคล็ดบำเพ็ญมาร ที่เป็นอวิชชาชั่วร้ายไร้ซึ่งมโนธรรมก็แล้วไป เพราะย่อมไม่มีใครคิดว่าพวกมันจะกล้าฝึกปรือ


 


แต่หากเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารปกติ ที่ใช้เพียงกลวิธีพิสดารแต่ไม่ชั่วร้าย ย่อมเป็นอะไรที่ผู้คนทั่วหล้าหมายตา


 


แน่นอนว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็คงมีแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้นที่กล้าคิดหมายปองของๆตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


ขุมพลังชั้นอื่นๆคงไร้ซึ่งความกล้า…


 


แทนที่จะพูดว่าไม่กล้า กล่าวว่าพวกมันไม่มีกำลังพอจะดีกว่า


 


ในภูมิภาคเบื้องล่าง แม้ตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่กลัวขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นๆ แต่หากเป็นตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาคราม พวกมันจะต้องยำเกรง!


 


หากยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 มาเคาะประตูบ้านเรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารนี้จริงๆ พวกมันก็จนปัญญา…


 


นอกจากนั้นไม่ใช่แค่ตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามเท่านั้น ตำหนักฟ้าลี้ลับยังกลัวว่าเรื่องราวครั้งนี้อาจจะถึงขั้นดึงดูดยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบน! แม้ยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนไม่ค่อยมีใครสนใจมาวุ่นวายเรื่องราวในภูมิภาคเบื้องล่างสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี และตัวตนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ไม่ยาก


 


ด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่มีเคล็ดรวมวิญญาณเป็นส่วนประกอบ เกรงว่ากระทั่งยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่พ้นต้องถูกล่อลวง!


 


ด้วยเหตุนี้ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่อาจปล่อยให้ข่าวเรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงแพร่ออกไปได้เด็ดขาด!


 


“จากข้อมูลที่ข้าไปลองสืบมา…ผู้ติดตามหลังค่อมที่อยู่กับฉีจิ้งวันนั้น…หากมันมิได้อยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องวันนี้ก็สมควรกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด”


 


ไม่นานอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ไปรวบรวมข้อมูลก็กลับมารายงาน


 


ขณะเดียวกันมันก็ยังสืบจนพบว่า บ้านเกิด ของผู้ติดตามหลังค่อมคนนั้น อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหลายพันลี้ มันเป็นเมืองเล็กๆที่เรียกว่า ‘ถัวเฟิง’


(ถัวเฟิง = โหนกอูฐ)


 


เมืองถัวเฟิงนั้นเป็นเมืองที่นับว่ามีเอกลักษณ์อันพิเศษนัก ไม่ทราบเพราะอะไรหากแต่ชาวเมืองที่เกิดในเมือง ล้วนแล้วแต่หลังค่อมกันทั้งสิ้น!


 


และชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามอยู่ข้างกายฉีจิ้ง ก็เป็นคนเมืองถัวเฟิงที่ว่า แถมมันยังเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของเมืองถัวเฟิงอีกด้วย! แน่นอนว่าเป็นอัจฉริยะในสายตาคนเมืองถัวเฟิง หากเป็นในเมืองใหญ่ มันก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร!!


 


“โอ้ พวกเจ้ามาตามหาหรงฟ่านหรือ!? หรงฟ่านคนนั้นมันเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวเมืองถัวเฟิงเลยล่ะ ยังเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองเราด้วย…พวกเจ้ารู้จักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่เป็นถึงขุมพลังชั้น 4 หรือไม่เล่า! หรงฟ่านของพวกเราเป็นศิษย์อยู่ในขุมพลังนั้นเชียวนา!!”


 


ชาวเมืองที่ถูกคนของตำหนักฟ้าลี้ลับถามหาหรงฟ่าน เผยความกระตือรือร้นไม่น้อย


 


แน่นอนว่าคนของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ออกมาตามหาหรงฟ่านที่เมืองถัวเฟิงย่อมไม่ใช่ชนชั้นอาวุโสอะไร หากแต่เป็นศิษย์ธรรมดาๆจากฐานปฏิบัติการตำหนักฟ้าลี้ลับที่อยู่ไม่ไกล ถึงแม้จะเปิดเผยหน้าตา แต่ก็ยากที่คนแถวนี้จะรู้จักพวกมัน


 


“พี่ชายท่านนี้ ข้าเองก็มาจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหมือนกัน ที่มาหาหรงฟ่านมันเพราะมีเรื่องด่วนนี่ล่ะ…บ้านมันตั้งอยู่ที่ไหนของเมืองเล่า?”


 


1 ใน 5 ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับเข้ามาตีซี้ชายคนหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแลดูมีอัธยาศัยอันดี หากแต่ยามถามถึงหรงฟ่านก็ชักหน้าเคร่งคล้ายมีเรื่องด่วนจริงๆ


 


“ได้ข่าวว่าหรงฟ่านพึ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้ ทั้งเห็นว่าจะพักอยู่ที่บ้านสักระยะ…พวกเจ้าลองไปทางตะวันออกของเมืองดู! สังเกตมิยากหรอกปราสาทหลังใหญ่ที่สุดในเมืองนี้นั่นล่ะบ้านของเจ้าหรงฟ่านมัน”


 


ชาวเมืองถัวเฟิงที่ถูกถามที่อยู่หรงฟ่าน เผยใบหน้าภาคภูมิใจออกมา


 


หรงฟ่านนั้นนอกจากจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองถัวเฟิงแล้ว ยังได้เป็นศิษย์ของขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! เรื่องนี้นับเป็นความภาคภูมิใจและเกียรติอันสูงสุดของเมือง กลางเมืองตรงลานน้ำพุถึงกับมีรูปปั้นมันด้วยซ้ำ!!


 


“โอ้ว ฝั่งตะวันออกหรือพี่ชาย ขอบคุณท่านมาก!”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ 5 คนที่ว่า พอได้รับทราบที่อยู่ของหรงฟ่าน พวกมันก็ส่งคนไปรายงานอาวุโสระดับสูงที่มาตามหาตัวหรงฟ่านทันที


 


“อา…พวกเจ้าเองก็เป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหมือนฟ่านเอ๋อหรือ?”


 


หลังได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหมือนลูกมัน บิดามารดาหรงฟ่านตอนรับศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างดี


 


“ว่าแต่เสี่ยวฟ่านได้สร้างปัญหาอันใดไว้หรือไม่…หากใช่พวกเราต้องขอภัยแทนมันด้วย”


 


ถึงแม้บิดามารดาของหรงฟ่านจะเป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มีพลังฝึกปรือสูงส่งอะไร ย่อมกริ่งเกรงศิษย์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่น้อย


 


“ท่านลุงท่านป้าอย่าได้ห่วงไปเลย…น้องฟ่านมิได้ทำผิดอันใด เหตุผลที่เรามาหาน้องฟ่าน เพราะนายน้อยคฤหาสน์ของพวกเราฟื้นตัวแล้ว และท่านก็อยากเจอน้องฟ่าน จึงให้พวกเรามาตามตัวเท่านั้น”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มีอายุมากที่สุดกล่าวออกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


“หือ? นายน้อยฟื้นแล้วหรือ?”


 


คนนอกนั้นอาจรู้กันแค่ว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งได้ตกตายในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หากแต่ทั้งคู่เป็นบิดามารดาของหรงฟ่าน ย่อมรับทราบความจริงที่ฉีจิ้งยังไม่ตายจากปากหรงฟ่าน!


 


และในเมืองถัวเฟิงก็มีเพียงพวกมัน 2 คนเท่านั้นที่รู้ หรงฟ่านเองก็กำชับเอาไว้หลายครั้งหลายครา ว่าห้ามมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด


 


เช่นนั้นทันทีที่ทั้งคู่ได้ยินศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกมาแบบนี้ ทั้งคู่จึงผ่อนคลายความระวังทั้งหมดลงทันที เพราะเรื่องใหญ่เช่นนี้สมควรมีแต่ศิษย์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเท่านั้นที่รู้!


 


“เสี่ยวฟ่านออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าคิดว่ากว่าจะกลับก็คงมืดค่ำ พวกเราเองก็มิรู้ว่าออกไปที่ใด พวกท่านมิสู้รอที่บ้านเราเล่า?”


 


บิดามารดาหรงฟ่านแล้วแนะนำ


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับหันมองสบตากันทันที ขณะเดียวกันพวกมันก็ได้รับเสียงสั่งการผ่านปราณจากอาวุโสระดับสูงที่ซุ่มตัวรออยู่


 


“หรงฟ่านออกไปข้างนอกงั้นเหรอ?”


 


ไม่นานเมิ่งฉิงก็ได้รับทราบข่าวนี้เช่นกัน


 


“รีบไปตรึงกำลังปิดล้อมเมืองเอาไว้ให้ดี และกระจายกำลังกันค้นหาทุกซอกทุกมุมของเมืองอย่าให้พลาด อีกทั้งระวังกันให้มากอย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น”


 


เมิ่งฉิงกล่าวสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด


 


อย่างไรก็ตามเมิ่งฉิงไม่ได้รู้เลย ว่ากหรงฟ่านนั้นไม่ได้อยู่ในเมือง


 


กระทั่งชาวเมืองบางคนที่ถูกคนของตำหนักฟ้าลี้ลับถามที่อยู่ของหรงฟ่านก่อนหน้า ก็มีธุระต้องเดินทางออกนอกเมืองพอดี แถมยังออกนอกเมืองก่อนที่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับจะกระจายกำลังกันออกค้นหา


 


“อ้าว หรงฟ่าน เจ้าพึ่งกลับมาเหรอ!?”


 


ห่างออกไปจากเมืองถัวเฟิงราวๆ 100 ลี้ คนของเมืองถัวเฟิงที่พึ่งออกจากเมืองมาสักพัก ก็ได้เจอกับหรงฟ่านที่กำลังเดินทางกลับระหว่างทาง


 


“อ้าว พี่หรงหงมิใช่หรือ?”


 


หรงฟ่านหันไปเห็นร่างคนร้องทักก็แย้มยิ้มออกมาทันที “นี่ก็เย็นแล้ว พี่หงจะออกไปไหนอีกเล่า?”


 


“ข้าจะไปเมืองหนานเป่ยน่ะ ท่าทางเจ้าเองก็พึ่งกลับมาจากหนานเป่ยล่ะสิ?”


 


หรงหงตอบคำหรงฟ่านด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


หรงฟ่านพยักหน้า “ข้าไปหาซื้อของให้ท่านพ่อท่านแม่ใช้น่ะ”


 


“ฮัยยา…หรงฟ่านชีวิตเจ้านี่ดียิ่ง! ตอนแรกข้าคิดว่าฐานะของเจ้าจะตกต่ำลงเสียแล้วหลังนายน้อยฉีจิ้งตายตก แต่มิคิดเลยว่ายังยิ่งใหญ่ถึงขั้นคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องออกมาตามหาเจ้าแบบนี้!”


 


หรงหงหัวเราะร่า


 


“ว่าอะไร?”


 


หรงฟ่านได้ยินถึงกับหลุดอุทานออกมาทันที ยังอดไม่ได้ที่จะถามสืบต่อด้วยความสงสัย “พี่หง…คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องน่ะหรือ มาตามหาข้า?”


 


ความคิดแรกในหัวของหรงฟ่านคือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!


 


ในอดีตนั้นตอนที่มันติดตามรับใช้นายน้อยคฤหาสน์อย่างฉีจิ้ง แม้ฐานะของมันจะไม่สูงส่ง หากแต่ก็ไม่ได้ต้อยต่ำ ทำให้มีคนมากมายที่คอยประจบประจงมัน


 


อย่างไรก็ตามหลังดวงจิตนายน้อยถูกทำลาย วิญญาณแตกสลาย คนส่วนใหญ่ล้วนคิดว่านายน้อยของมันตกตายไปแล้ว มันจึงมิอาจมีหน้ามีตาเหมือนกาลก่อน…เรียกว่าแทบไม่มีใครให้ความสำคัญมันอีกเลย


 


สำหรับผู้ที่รู้ว่านายน้อยของมันยังไม่ตาย หากไม่ใช่ชนชั้นหัวกะทิของคฤหาสน์ ก็เป็นอาวุโสระดับสูง ก่อนเกิดเรื่องทั้งหมดก็ไม่มีใครเห็นหัวมันอยู่แล้ว หลังเกิดเรื่องแบบนี้ ยิ่งไปกันใหญ่!


 


เช่นนั้นทันทีที่หรงฟ่านได้ยินจากปากหรงหงว่ามีคนมาตามหามันแบบนี้ มันจึงรู้สึกว่าเรื่องราวผิดท่าทันที!


 


“ใครที่มาตามหาข้าหรือ แล้วพวกมันว่าไงบ้างเล่า?”


 


สีหน้าหรงฟ่านตื่นๆเล็กน้อย ยากจะบอกว่าตื่นเต้นยินดีหรือหวาดกลัว


 


“มิรู้ว่าเป็นใครนะ…นอกจากจะถามหาเจ้าแล้วก็ไม่ได้บอกอะไรอีก พวกมันมากัน 5 คนน่ะ”


 


หรงหงตอบ


 


“5 คนงั้นเหรอ?”


 


สีหน้าหรงฟ่านเปลี่ยนไปร้ายแรง


 


มี 5 คนที่อ้างตัวว่าเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาตามหามัน…


 


จังหวะนี้หากมันยังไม่รู้สึกว่าสมควรมีปีศาจ ชีวิตที่อยู่มาหลายปีคงไร้ค่ายิ่งกว่าชีวิตสุนัข…


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดว่านายน้อยของมันตกตายไปแล้วเลย ต่อให้นายน้อยของมันมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมาตามหามันถึงบ้านเกิดแบบนี้


 


หากมีสิ่งใดผิดปกติสมควรมีปีศาจ!


 


“เฮ่ เจ้าเป็นอันใดไป มีเรื่องอะไรหรือไม่?”


 


เมื่อเห็นว่าอยู่ๆสีหน้าหรงฟ่านก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม หรงหงก็ตกใจไม่น้อย อดถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเสียไม่ได้


 


“ไม่มีอะไรหรอก….”


 


หรงฟ่านส่ายหัว ค่อยหันไปมองหรงหง้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวออกเสียงเข้ม “พี่หง เรื่องที่เจอข้าวันนี้อย่าได้บอกใครเด็ดขาด…โดยเฉพาะผู้ที่อ้างตัวว่ามาจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! เรื่องนี้พี่หงต้องจำไว้ให้มั่น!!”


 


หลังกล่าวจบหรงฟ่านก็เร่งรุดจากไปทันที


 


แน่นอนว่าแทนที่จะกลับไปยังเมืองถัวเฟิง หรงฟ่านเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแทน เพราะมันรู้สึกว่าเรื่องราวมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว!


 


และเมื่อมาถึงพื้นที่ใกล้ๆคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หรงฟ่านก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันแตกต่างไปจากเดิม สมควรมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ!


 


ถึงแม้ว่ามองด้วยตามันจะไม่เห็นสิ่งผิดปกติที่ว่า แต่จากเรื่องราวที่กระตุ้นเตือนก่อนหน้า ทำให้ใจหรงฟ่านนั้นรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน!


 


‘ลอบจับตาดูรอบๆก่อน…’


 


หรงฟ่านเลือกที่จะไปหลบซ่อน คอยจับตามองความเปลี่ยนแปลงในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจากไกลๆ


 


“หืม?”


 


หลังจากซุ่มดูอยู่ 3 วัน 3 คืน มันก็พบร่างไม่ค่อยคุ้นร่างหนึ่งกำลังเหินข้ามฟ้ามาแต่ไกล


 


‘นั่นมิใช่…จ้าวจี้จากตำหนักฟ้าลี้ลับหรอกหรือ?’


 


หรงฟ่านที่เห็นร่างผู้เหาะผ่านมาไม่ทันไร ก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นใคร…


ตอนที่ 1,798 : ภัยซ่อนเร้น


 


ถึงแม้หรงฟ่านจะไม่ได้เป็นตัวตนสำคัญอันใดในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่อย่างน้อยๆมันก็เป็นผู้ติดตามของฉีจิ้ง


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้จักหน้าค่าตาตัวตนระดับสูงๆดี


 


เมื่อราวๆ 5 ปีที่แล้วมันก็ได้ติดตามฉีจิ้งไปด้านนอก และเคยเห็นหน้าค่าตาจ้าวจี้ของตำหนักฟ้าลี้ลับมาก่อน


 


จากที่นายน้อยของมันกล่าวบอกมา จ้าวจี้ผู้นี้อาจจะเป็นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไป!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงจำหน้าค่าตาจ้าวจี้เอาไว้อย่างดี


 


นั่นคือตัวตนที่นายน้อยของมันก็ไม่กล้าล่วงเกิน!


 


วันนี้พอมันเห็นจ้าวจี้อีกครั้ง แม้จะไม่ได้คุ้นเคยแต่ก็คุ้นตา ไม่ทันไรก็จดจำอีกฝ่ายได้


 


ส่วนอีก 2 คนที่เหินร่างติดตามจ้าวจี้มามันไม่รู้จัก และไม่ได้สนใจอะไร


 


‘จากที่นายน้อยเคยกล่าวบอก จ้าวจี้เป็นถึงบุตรชายคนเดียวของรองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง…นอกจากนี้ปู่ของมันยังเป็น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!’


 


ร่างหรงฟ่านอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปวูบหนึ่งเมื่อนึกถึงฐานะของอีกฝ่าย


 


1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่ว่าใครก็มีพลังฝีมือทัดเทียมกับผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกมัน!


 


‘ไฉนจ้าวจี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…มันมาทำอะไรที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกัน?’


 


เมื่อเห็นว่าจ้าวจี้กำลังมุ่งหน้าไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หรงฟ่านอดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


เท่าที่มันรู้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับตำหนักฟ้าลี้ลับแม้แต่น้อย ไฉนจ้าวจี้ที่ขึ้นชื่อว่ารุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับถึงมาได้?


 


ในขณะที่หรงฟ่านกำลังสับสนงุนงง มันก็พบว่ามีร่างหนึ่งที่ไม่ทราบผุดโผล่มาจากที่ใด แต่อยู่ๆก็มาหยุดลอยค้างอยู่เบื้องหน้าจ้าวจี้!


 


เป็นชายวัยกลางคนที่แลดูทรงพลังน่าเกรงขาม อีกทั้งใบหน้ายังละม้ายคล้ายจ้าวจี้หลายส่วน!


 


‘คนผู้นั้น…หรือจะเป็นจ้าวเติงบิดาของจ้าวจี้…หนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ?’


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไฉนหรงฟ่านถึงเดาความเป็นมาจ้าวเติงได้ออก เพราะหน้าตาจ้าวจี้แทบจะถอดพิมพ์เดียวมาจากจ้าวเติง!


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้คือจ้าวเติงแน่นอน!


 


“จี้เอ๋อ…ไฉนเจ้ามาได้เล่า?”


 


จ้าวเติงที่ปรากฏตัวออกมากลางหาว มองถามจ้าวจี้กับอีก 2 คนที่ติดตามจ้าวจี้มาด้วยความงุนงง


 


“มิใช่ว่าข้าบอกแล้ว ว่าให้เจ้ารออยู่ที่บ้านหรือไร?”


 


น้ำเสียงของจ้าวเติงเห็นได้ชัดว่าแฝงตำหนิ


 


“ท่านพ่อ ก็ข้าเห็นว่านี่มันก็นานแล้วแต่ท่านยังไม่กลับเสียทีข้าก็เลยตามมาดู…ว่าแต่นี่พวกท่านได้เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาแล้วหรือยัง?”


 


จ้าวจี้มองถามจ้าวเติงด้วยสายตาร้อนแรงดังมีเปลวไฟลุกโชน


 


“เคล็ดบำเพ็ญมาร ต้องรอให้วิญญาณของฉีจิ้งฟื้นตัวอีกสักระยะ ถึงจะสามารถใช้วิชาควาญวิญญาณกับมันได้”


 


จ้าวเติงส่ายหัว “รอให้พวกเราจัดการเรื่องราวที่นี่จบ พวกเราจะพามันกลับไปตำหนักฟ้าลี้ลับ”


 


“อ่อ”


 


จ้าวจี้พยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ แล้วไฉนถึงได้ใช้เวลานานนักเล่า?”


 


เพราะรออยู่นานแต่จ้าวเติงไม่กลับมาเสียที จ้าวจี้จึงตามมาดูด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


นอกจากนี้มันยังกังวลใจไม่น้อย ด้วยกลัวว่าจะพลาดไม่ได้รับเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกปรือ!


 


เพราะหากมันได้มาบ้างล่ะก็ พลังฝึกปรือมันต้องก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์แน่นอน!


 


ถึงตอนนั้นกระทั่งหลิงเทียนก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอีกต่อไป และเกียรติยศทั้งหมดที่เคยเป็นของมัน ก็จะหวนกลับคืนมาสู่มัน!!


 


“เกิดเรื่องเล็กน้อย…พวกเราหาตัวผู้ติดตามของฉีจิ้งไม่พบ ตอนนี้ปู่เจ้า ท่านจ้าวตำหนักรวมถึงรองจ้าวตำหนักคนอื่นๆ ก็เดินทางไปบ้านเกิดมันแล้ว อีกไม่นานสมควรจับตัวมันได้”


 


จ้าวเติงกล่าว


 


“ผู้ติดตามของฉีจิ้ง ตัวตนเช่นนั้นสมควรไม่รู้เรื่องเคล็ดบำเพ็ญมารมิใช่หรือ?”


 


จ้าวจี้ขมวดคิ้ว “ไฉนถึงต้องไปตามล่าขี้ข้าคนเดียวให้ยุ่งยากด้วยเล่าท่านพ่อ?”


 


“ผู้ติดตามคนนั้นมิใช่ผู้ติดตามธรรมดา…ตลอดปีที่ฉีจิ้งหายตัวไปบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมาร มันก็สมควรอยู่ด้วย…เพราะยามมาประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง พวกมันมาถึงพร้อมกัน!”


 


จ้าวเติงกล่าวออกเสียงเครียด “เช่นนั้นหากมันไม่ตาย การลงมือของตำหนักฟ้าลี้ลับเราครั้งนี้อาจแพร่งพรายออกไปได้…และนั่นจักกลายเป็นภัยซ่อนเร้นอันใหญ่หลวง!”


 


“ลองท่านจ้าวตำหนักกับท่านปู่ไปด้วยตัวเองแบบนี้ มันต้องตายแน่ๆท่านพ่อ!”


 


จ้าวจี้กล่าวออกด้วยอำมหิต สองตาทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา


 


“จี้เอ๋อเจ้ากลับไปก่อนเถอะ…หากท่านจ้าวตำหนักล่วงรู้ว่าเจ้ามาทีนี่ด้วยมิพ้นเจ้าได้ถูกตำหนิอีกแน่”


 


จ้าวเติงมองกล่าวเตือนจ้าวจี้ด้วยท่าทางหวั่นใจ


 


“อะไรเล่าท่านพ่อ..มิใช่ว่ากู่ลี่มันก็มาด้วยรึไง?”


 


จ้าวจี้ขมวดคิ้ว กล่าวออกด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ


 


ในฐานะบิดาของจ้าวจี้ จ้าวเติงย่อมรู้ดีว่าลูกของตัวกำลังไม่พอใจ “เจ้าอย่าได้คิดมากเรื่องนี้เลย แม้เรื่องนี้จะเป็นความดีความชอบของหลิงเทียน แต่กู่ลี่ก็เป็นคนคาบข่าวจากหลิงเทียนมาบอกท่านจ้าวตำหนัก ทำให้มันก็มีความดีความชอบเช่นกัน…”


 


“แถมกู่ลี่มันก็มีพลังฝีมือเหนือเจ้า…” กล่าวรอบนี้ ในวาจาของจ้าวเติงเผยให้เห็นถึงความตำหนิบุตรชายเช่นกัน “หากเจ้าว่างนัก ใยไม่ปิดด่านบ่มเพาะพลังเสียเล่า! อย่าว่าแต่หลิงเทียนเลยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป กระทั่งกู่ลี่เจ้าก็ไม่อาจเทียบได้!!”


 


“หลิงเทียน!”


 


ลูกตาจ้าวจี้ทอประกายเย็นเยียบออกมาทันที ยังเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร “มันอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก!”


 


“ไป๋ฉวี่ เฮยถู พาจี้เอ๋อกลับไปเสีย”


 


จ้าวเติงมองไปยังร่าง 2 คนที่ติดตามมาด้านหลังจ้าวจี้ ค่อยกล่าวสั่งออกไป


 


คนที่ติดตามมาด้วยกันกับจ้าวจี้ทั้ง 2 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไป๋ฉวี่กับเฮยถู สองพี่น้องที่แต่งกายมาในชุดขาวกับดำ ยังเป็น 2 คนที่คิดเล่นงานต้วนหลิงเทียนที่ยอดเขาวังนภาวันที่ ต้วนหลิงเทียนตบหน้าจ้าวจี้


 


ทว่าตอนนั้นเพราะกู่ลี่มาขวางเสียก่อน ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ทันได้ปะทะกับพวกมัน


 


“ทราบแล้วท่านอาจารย์!”


 


สิ้นคำจ้าวเติงไป๋ฉวี่กับเฮยถูก็เร่งรับคำอย่างเคารพ ก่อนที่จะหันไปมองกล่าวกับจ้าวจี้เสียงอ่อน “น้องเล็กฟังท่านอาจารย์เถอะ กลับไปพร้อมพวกเราก่อน”


 


แม้จ้าวจี้อยากรั้งอยู่ติดตามเรื่องราวด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ในเมื่อจ้าวเติงไม่อนุญาตมันก็ทำได้แค่กลับไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจสักเท่าไหร่


 


หลังจากจ้าวจี้กับพวกทั้ง 3 คนจากไป จ้าวเติงก็เหินร่างกลับไปที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


“มีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่…”


 


หรงฟ่านที่ซ่อนตัวอยู่ไกลๆ ย่อมไม่ได้ยินบทสนทนาเหนือฟ้าสูงระหว่างจ้าวเติงกับจ้าวจี้


 


อย่างไรก็ตามมันยังรู้ได้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว!


 


‘จ้าวเติงผู้นั้นมันเป็นถึงรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ไฉนถึงมาเยือนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ แล้วมันมาเพื่ออันใด?’


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง หรงฟ่านก็ตัดสินใจได้ ‘ตอนนี้ข้าไม่อาจเคลื่อนไหวมั่วซั่ว มีจ้าวเติงอยู่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้งคนเช่นนั้น ข้ามิอาจเข้าไปตรวจสอบอันใดได้อีกแล้ว’


 


จังหวะนี้หรงฟ่านไม่กล้าลงมือทำอะไรสุ่มเสี่ยงอีก มันพยายามซ่อนตัวให้มิดชิด และพยายามหลบหนีไปอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงเส้นทางไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกับตำหนักฟ้าลี้ลับ หมายออกจากเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้เร็วที่สุด


 


ส่วนทางด้านเมืองถัวเฟิงที่มีเมิ่งฉิงตรึงกำลังเอาไว้ หลังจากที่ค้นหาตลอดทั้งเดือนกลับไม่พบร่องรอยของหรงฟ่านเลย


 


หรงฟ่านไม่ได้ย้อนกลับไปที่บ้านในคืนนั้นตามที่บิดามารดาของมันกล่าวบอก กระทั่งยังคล้ายจะอันตรธานหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย


 


“ตอนนี้พวกเรามั่นใจได้แล้ว ว่าหรงฟ่านต้องระแคะระคายบางอย่างแน่นอน…ตัวตนศิษย์เราถูกเปิดเผยแล้ว!”


 


กู่ซืออวิ๋น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์กล่าวออกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง น้ำเสียงไม่สบอารมร์ถึงที่สุด


 


“ในวันนั้นตอนที่พวกเรากระจายกำลังค้นหา พวกเราลงมือช้าไปจนมีคนออกจากเมืองไปได้เจ็ดคน…เกรงว่า 1 ใน 7 คนที่ออกจากเมืองไป สมควรมีใครคนหนึ่งพบหรงฟ่านเข้าระหว่างทาง และบอกมันถึงเรื่องนี้”


 


จ้าวจิน อาวุโสผู้พิทักษ์อีกคนกล่าว


 


“อาวุโสพิทักษ์ทั้ง 2 รบกวนพวกท่านไปจับตัวทั้ง 7 คนนั่นมาเถอะ และให้พวกมันสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ดูว่าพวกมันคนใดพบเจอหรงฟ่านหรือไม่!”


 


เมิ่งฉิงสั่ง


 


นอกจากนี้มันเชื่อว่ากุญแจสำคัญของเรื่องราวสมควรเป็นคนที่ออกจากเมืองไป 7 คนนั่น!


 


เมื่อกู่ซืออวิ๋นกับจ้าวจินลงมือเอง เรื่องราวย่อมลุล่วงไปด้วยความรวดเร็ว


 


“ท่านจ้าวตำหนัก…”


 


เมื่อกู่ซืออวิ๋นกับจ้าวจินกลับมา ทั้งคู่ก็พาคนมาด้วยคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น หรงหง ที่เจอหรงฟ่านระหว่างทางวันนั้น


 


หรงหงที่ถูกพาตัวมา ตอนนี้ร่างก็สั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว


 


กลิ่นอายพลังอันเข้มแข็งที่แผ่ออกจากร่างชายชราทั้ง 2 ที่จับตัวมันมา พาลให้มันหวาดกลัวจับใจ อีกฝ่ายไม่ต้องลงมือทำอะไร แค่นี้วิญญาณมันก็แทบหลุดลอยออกจากร่างแล้ว


 


หากไม่ใช่เพราะทั้งสองปราณีสะกดพลังส่วนใหญ่เอาไว้ มันคงหายใจไม่ออกตาย


 


“ใต้เท้า พวกเราจับได้คนหนึ่ง”


 


เมื่อได้ยินคำของชายชรา 1 ใน 2 คนที่กล่าวออก หรงหงถึงกับหวัดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ


 


ใต้เท้า?


 


หรือชายวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง?


 


ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาตามหาหรงฟ่านด้วยตัวเองเลยหรือ?


 


‘บัดซบ หรงฟ่าน! เจ้าไปก่อเรื่องอันใดไว้กันแน่! ชนชั้นผู้นำคฤหาสน์ถึงได้ถ่อมาหาเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้! ถึงว่าล่ะ! วันนั้นที่ข้าเจอมัน สีหน้าของมันถึงได้แลดูแปลกๆ มิพ้นต้องเกิดเรื่องใดบางอย่างเป็นแน่!”


 


‘มิน่าแปลกใจเลยที่ตลอดเดือนมานี้มันถึงได้หายหัวไม่โผล่มาให้เห็น!!’


 


พอนึกถึงเรื่องนี้สีหน้าหรงหงเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันใด มันอุตส่าเก็บงำความลับไว้ให้หรงฟ่าน แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะพาลมาถึงตัวแบบนี้


 


“ใต้เท้า!”


 


เมื่อเดาไปว่าคนเบื้องหน้าสมควรเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หรงหงก็เร่งคุกเข่าลงไปทันใด ร่างมันสั่นระริกราวลูกนกตกน้ำ กล่าวออกอย่างรีบร้อน “ขะ…ขะ…ข้ามิรู้ว่าหรงฟ่านไปก่อเรื่องอันใดมา ถึงได้พลาดพลั้งทำผิดไปอย่างโง่งม”


 


ตอนนี้เองเมิ่งฉิงก็ได้รับรู้จากอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ว่าหรงฟ่านได้เล็ดรอดไปนานแล้ว


 


“วันนั้นที่เจ้าแยกกับมัน ใช่มันกำลังมุ่งหน้าไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือไม่?”


 


เมิ่งฉิงหันไปกล่าวถามหรงหงเพื่อยืนยันอีกครั้ง


 


“ใช่ๆ”


 


หรงหงเร่งพยักหน้าเร็วรี่ปานลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย


 


เมื่อเห็นว่าหรงหงหมดประโยชน์แล้ว เมิ่งฉิงพลันสะบัดมือเบาๆ ป่นร่างมันจนกลับกลายเป็นละอองโลหิตทันที


 


“จ้าววังเฉินท่านกับศิษย์สองคนเฝ้าอยู่ที่เมืองนี้ หากหรงฟ่านมันย้อนกลับมา พบเห็นเป็นฆ่าทันที!”


(*ถ้ามีเฉียนผิงเชิงโผล่มา ขอให้รู้ไว้ว่ามันคือจ้าววังเหลืองเฉินผิงเชิงนะ บางทีผมหลอนๆชื่อเลยพิมพ์ผิด)


 


ขณะเดียวกันเมิ่งฉิงก็หันไปมองสั่งเฉินผิงเชิง จ้าววังเหลือง


 


“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”


 


เฉินผิงเชิงเร่งพยักหน้ารับคำ


 


“ส่วนคนอื่นๆติดตามข้าย้อนกลับไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…อย่างไรก็ตามข้าสงสัยว่าหรงฟ่านมันคงมิได้ย้อนกลับไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หาไม่แล้วคนที่รั้งอยู่ที่นั่นสมควรมารายงานข้านานแล้ว”


 


จังหวะนี้แม้แต่ใบหน้าของจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิง ยังบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ไม่น้อย


 


แม้ปลาที่เล็ดรอดร่างแหไปตัวนี้จะเป็นตัวตนอันต่ำต้อย แต่ตำหนักฟ้าลี้ลับต้องลากคอมันมาฆ่าให้จงได้! หาไม่แล้วหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตำหนักฟ้าลี้ลับได้เจอปัญหาแน่นอน!!


 


เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งได้รู้หลังจากที่กู่ลี่กลับมาแล้วเท่านั้น


 


“พี่กู่ นี่หมายความว่าก่อนที่พวกท่านจะกลับมา พวกท่านไม่เจอร่องรอยของหรงฟ่านคนนั้นเลยงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ไม่เจอเลย”


 


กู่ลี่ส่ายหัวไปมา ค่อยฉีกยิ้มแหยๆ “ตอนนี้ท่านจ้าววังเหลืองเองก็เฝ้าจับตาดูมันอยู่ที่เมืองถัวเฟิง ส่วนจ้าวเติงกับบิดาของมันก็เฝ้ารออยู่ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เผื่อหรงฟ่านมันจะปรากฏตัว…”


ตอนที่ 1,799 : ผู้สังเกตการณ์


 


“หรงฟ่านนั้นท่าทางจะฉลาดไม่เบา มันคงไม่ย้อนกลับไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรอก…ข้าเชื่อว่าตอนนี้มันสมควรรู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบ กล่าวออก


 


หรงฟ่านที่ว่าเขาเองก็จดจำได้ มันคือชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามฉีจิ้งมาเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่หุบเขาหลิงหลง แต่ก็ไม่นับว่ามีความสำคัญอะไร…


 


เหตุผลเดียที่ต้วนหลิงเทียนจำมันได้ก็คือ หลังมันค่อมจนมองไปคล้ายโหนกอูฐเท่านั้น! ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว!!


 


“แม้จะระแคะระคายบางอย่างแต่มันคงยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด…หาไม่แล้วก่อนที่พวกเราจะกลับมา ข่าวต้องแพร่กระจายออกไปทั่ว”


 


กู่ลี่กล่าว “ตอนนี้จ้าวเติงกับบิดาของมันได้นำกำลังคนไปเฝ้าระวังที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ใครก็ตามที่ไปเยือนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องช่วงนี้ล้วนไปได้แต่กลับมิได้! เช่นนั้นพวกเราจึงวางใจได้ว่าช่วงนี้เรื่องราวการฆ่าล้างที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสมควรมิแพร่งพรายออกไป…”


 


“หากเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไป คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นก็จะถูกลบออกจากรายนามขุมพลังชั้น 4สินะ…จะอย่างไรก็แล้วแต่กระดาษย่อมมิอาจห่อไฟได้นาน…จ้าวตำหนักคิดจัดการกับเรื่องราวหลังจากนี้ยังไงหรือพี่กู่?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามด้วยความสงสัย


 


“ท่านจ้าวตำหนักคิดให้จ้าวเติงกับบิดาของมันรั้งอยู่ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจนกว่า วิญญาณของฉีจิ้งจะฟื้นตัวจนรับการสืบค้นวิญญาณเพื่อดึงข้อมูลของเคล็ดบำเพ็ญมารได้…”


 


กู่ลี่กล่าวออกเสียงเคร่ง “หากเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นเป็นอวิชชาชั่วร้าย ตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะรีบเปิดเผยเรื่องราวครั้งนี้ออกไปทันที ว่าลงมือแทนฟ้ากำราบหมู่มารปราบปรามอธรรม! อย่างไรก็ตามหากพบว่าเคล็ดบำเพ็ญมารนี้ มิได้มีแนวทางอันชั่วร้าย พวกเราก็จะส่งคนไปตรึงกำลังไว้ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจนกว่าจะจับตัวหรงฟ่านได้!”


 


ได้ยินคำตอบของกู่ลี่ แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ค่อยเห็นดีกับการกระทำของเมิ่งฉิงสักเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจการตัดสินใจของอีกฝ่ายได้


 


แต่อย่างไรเสียถึงแม้เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นจะไม่ใช่แนวทางอันชั่วร้าย เกรงว่าสุดท้ายเรื่องราวครั้งนี้ก็คงต้องแดงออกมาอยู่วันยังค่ำ ให้ส่งคนไปตรึงกำลังที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องและฆ่าคนที่ผ่านไปมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์


 


สุดท้าย กระดาษก็ไม่อาจห่อไฟได้!


 


หากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นขุมพลังไก่กาก็ไม่มีปัญหาอะไร…


 


แต่ปัญหาก็คือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะขี้หมูขี้หมาก็เป็นขุมพลังชั้น 4 ที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมหนึ่ง! ไม่ช้าก็เร็วพวกมันก็ต้องส่งคนไปเยือนขุมพลังใต้อาณัติ!!


 


และตอนนั้นหากคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ไปเยือนตายตกหรือไม่อาจรายงานอะไรกลับมาได้ ย่อมทำให้ขุมพลึ่งกึ่งชั้น 3 ดังกล่าวรู้ตัวทันที!


 


ถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่อาจปกปิดเรื่องล้างบางคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเอาไว้ได้อีกต่อไป…


 


แน่นอนว่าต่อให้คนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ว่าไม่เกิดเรื่อง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่นานก็ต้องแดงออกมาแน่นอน ดั่งกระดาษที่ไม่อาจไฟได้นาน!


 


สุดท้ายแล้วการที่มียอดฝีมือไปเฝ้าระวังไว้แบบนั้นตลอดเวลา ตราบใดที่เป็นคนปกติย่อมตระหนักได้ว่าสมควรมีปัญหา!


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้เห็นดีกับการลงมือของเมิ่งฉิง แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรมาก เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาแค่เล็กน้อยเท่านั้น…


 


ส่วนเคล็ดบำเพ็ญมารนั่น ไม่ว่ามันจะมีระดับสูงล้ำปานไหนก็แล้วแต่ เขาไม่เคยสนใจ


 


เพราะเขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนไปเดินบนวิถีแห่งมารเลยสักครั้ง!


 


‘ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้า พลังจึงเทียบได้กับขอบเขตอริยะเซียน หากใช้ตราผนึกมาร ขอเพียงอีกฝ่ายมีระดับพลังไม่เกินเซียนมนุษย์ ข้าสามารถใช้ตราผนึกมารฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด!’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย


 


ต้องทราบด้วยว่าตัวตนที่อยู่เหนือเซียนมนุษย์ แม้กระทั่งในตำหนักฟ้าลี้ลับก็มีน้อยคนนัก


 


จากที่เขาสังเกต ในตำหนักฟ้าลี้ลับมีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่สมควรมีพลังฝึกปรือสูงกว่าขอบเขตเซียนมนุษย์ นั่นได้แก่เมิ่งฉิง กู่ซืออวิ๋น แล้วก็จ้าวจิน แน่นอนว่าเขาไม่อาจยืนยันให้แน่ชัดได้


 


“พี่กู่ ท่านเป็นลูกชายของอาวุโสกู่ เช่นนั้นท่านต้องรู้ระดับพลังฝึกปรือของอาวุโสกู่ดี…ตอนนี้อาวุโสกู่สมควรอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีแล้วใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มองกู่ลี่อยู่ก็นึกได้ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุตรชายของอาวุโสผู้พิทักษ์ เช่นนั้นต้องรู้ระดับพลังฝึกปรือของบิดาตัวเองดี


 


“ใช่”


 


ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร “ท่านพ่อเองก็ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นเช่นเดียวกับจ้าวจิน”


 


“จ้าวจินเองก็มีพลังฝึกปรืออยู่ที่เซียนปฐพีขั้นต้นด้วยงั้นหรือ” ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจ


 


“ใช่”


 


กู่ลี่พยักหน้า “จากที่ท่านพ่อข้าบอก ผู้ที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีมีเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น และผู้ที่ทรงพลังที่สุดก็คือท่านจ้าวตำหนัก ส่วนบิดาข้ากับจ้าวจี้อ่อนด้อยที่สุด”


 


“หืม? บรรลุขอบเขตเซียนปฐพี 4 คน? แต่อาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 กลับมีพลังฝีมือรั้งท้าย?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนสว่างวาบขึ้นมาทันใด “ถ้างั้นนอกจากจ้าวตำหนักกับอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 …ยอดฝีมืออีกคนเป็นใครกัน…”


 


“เจ้าลองเดาดูสิ”


 


กู่ลี่หัวเราะ


 


เมื่อเห็นกู่ลี่หัวเราะออกมาแบบนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หยีลง ทันใดนั้นร่างหนึ่งพลันปรากฏในหัว “อ่า อย่าบอกนะว่าเป็นอาวุโสที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา…บรรพจารย์ของท่านน่ะหรือพี่กู่?”


 


“ใช่!”


 


กู่ลี่พยักหน้ารับ ก่อนที่จะระบายลหายใจออกมาอย่างทอดถอน “ท่านบรรพจารย์นับว่าชะตาอาภัพนัก เพราะท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนเสียแขน ทำให้ยากจะก้าวหน้าอันใดได้อีก หาไม่แล้วด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของท่าน ป่านนี้คงบรรลุถึงเซียนนภาไปแล้ว! ท่านบรรพจารย์คงได้เดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนบรรลุขอบเขตพลังอันร้ายกาจ มิใช่มาจมปลักอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างเช่นนี้!”


 


“ภูมิภาคเบื้องบนมิใช่ขอเพียงเป็นตัวตนขอบเขตอริยะเซียนก็ไปได้หรือพี่กู่…ด้วยพลังฝีมือของอาวุโสสมควรไปได้มิยากเย็นนี่นา?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยสงสัย


 


“เรื่องนั้นก็มิผิด…”


 


กู่ลี่พยักหน้าก่อน ค่อยตอบออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม “แต่อย่างไรเสียท่านบรรพจารย์ก็เคยเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ไหนเลยท่านบรรพจารย์จะทนมองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เติบโตมาด้วยกันก้าวหน้าจนพลังฝีมือทิ้งห่างท่านไปไกลได้…มีเพียงอยู่ภูมิภาคเบื้องล่าง และเฝ้าสระวิญญาณเอาไว้เช่นนั้น ท่านจึงยังพอรักษาความภาคภูมิใจสุดท้ายเอาไว้ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็เข้าใจ คิดไปมันก็จริงอย่างว่า


 


“พี่กู่…ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ สมควรมีตัวตนขอบเขตเซียนนภาอยู่ด้วยใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเรื่องราวที่สงสัยในใจมาสักพัก


 


“มี!”


 


ทันทีที่คำพูดของต้วนหลิงเทียนจบลง กู่ลี่ก็กล่าวตอบให้ความกระจ่างแก่เขา


 


“มีจริงๆงั้นเหรอ…แต่เท่าที่ข้าเคยอ่านผ่านตามา ไม่มีใครในขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่มีพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนนภาเลยนี่นา ที่สำคัญเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี แม้จะยังไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์ แต่เพียงพันสองพันปีสมควรไม่มีปัญหา ทว่าหลังจากอยู่มานานขนาดนั้นแต่ไม่มีใครทะลวงผ่านขอบเขตเซียนปฐพีบรรลุถึงเซียนนภาเลยงั้นเหรอ?”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนยิ่งงงไปกันใหญ่


 


“ที่ข้าบอกว่ามีมันก็ใช่ แต่ไม่ได้อยู่ในขุมพลังกึ่งชั้น 3”


 


กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “ยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาในภูมิภาคเบื้องล่าง นอกจากยอดฝีมือที่อยู่อย่างสันโดษตัดขาดจากโลกหล้าไม่คิดเข้าร่วมขุมพลังและชิงดีชิงเด่นอันใด ก็มีแค่ผู้สังเกตการณ์คนเดียวเท่านั้น”


 


“ผู้สังเกตการณ์”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “มันคืออะไรหรือ?”


 


“ผู้สังเกตการณ์ก็เสมือนผู้พิทักษ์ของภูมิภาคเบื้องล่าง เป็นยอดฝีมือที่ถูกขุมพลังชั้น 1 จากภูมิภาคเบื้องบนส่งลงมารักษาการณ์ คอยเฝ้าจับตาดูยอดฝีมือที่บรรลุถึงเซียนนภาในภูมิภาคเบื้องล่าง…ยอดฝีมือขอบเขตปฐพีคนใดเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาแล้วจะต้องขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน เพราะหากบรรลุถึงเซียนนภาแล้วจะไม่ได้รับอนุญาติให้ลงมือเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นจะถูกผู้สังเกตการณ์ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาจัดการ”


 


กู่ลี่กล่าวออกด้วยสีหน้ายำเกรง “เมื่อยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา ไม่ยอมไปภูมิภาคเบื้องบน แล้วลงมือทำร้ายผู้ใดในภูมิภาคเบื้องล่าง…เจ้าลองเดาดูสิว่าผลจะเป็นอย่างไร?”


 


“เป็นอย่างไรรึ?”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบคำถามด้วยการถามกลับอย่างสงสัย


 


เซียนนภานับว่าเป็นตัวตนอันทรงพลังในภูมิภาคเบื้องล่างจริงๆ หากคิดทำอะไรจริงคงยากที่ใครจะต้านทาน


 


“ตายสถานเดียว! ผู้สังเกตการณ์จะเป็นคนฆ่ามันเอง!!”


 


กู่ลี่กล่าวตอบ


 


“อะไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปอยู่บ้าง ตัวตนขอบเขตเซียนนภากลับไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของผู้สังเกตการณ์?


 


นี่มันผู้สังเกตการณ์หรือผู้ดูแลกันแน่?


 


“ตามกฏที่ขุมพลังชั้น 1 บนภูมิภาคเบื้องบนตราไว้ หากผู้ฝึกตนคนใดในภูมิภาคเบื้องล่างบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาสมควรต้องออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง เพื่อสร้างความสมดุลของพลังในภูมิภาคเบื้องล่าง…แน่นอนว่าแม้บรรลุแล้ว แต่ก็สามารถเลือกที่จะอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างได้ ทว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือใดๆทั้งสิ้น”


 


“เพราะทันทีที่ลงมือคิดทำร้ายผู้ใด ผู้สังเกตการณ์จะลงมือสังหารทันที…”


 


“ด้วยเหตุนี้ภายในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ยอดฝีมือทั้งหลายตราบใดที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนนภา ต่างก็เลือกที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนทั้งสิ้น…ถึงแม้อาจจะเป็นใหญ่ทรงพลังเหนือใครในภูมิภาคเบื้องล่างได้ แต่ก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าทำอันใดไม่ได้เลย แล้วจะมีความหมายอะไร…”


 


“เจ้าเองก็รู้…มีพลังฝีมือร้ายกาจแต่มิอาจใช้ออก มันอึดอัดเสมือนปวดหนักแต่มิอาจถ่ายท้อง! ทำให้ไม่ว่าใครก็คิดไปภูมิภาคเบื้องบนทั้งสิ้น เพราะนั่นเสมือนเวทีให้ไปโลดแล่นเฉิดฉาย…” กู่ลี่กล่าวออกมายืดยาว และเรื่องราวเหล่านี้เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้มาก่อน


 


เพราะพวกมันไม่ได้มีบันทึกไว้ในหอตำราที่เขาเคยไปใช้งาน


 


“ขุมพลังชั้น 1 ของภูมิภาคเบื้องบนนับว่ามีอำนาจจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“กล่าวกันว่าภูมิภาคเบื้องบนนั้น มีมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อยู่ 3 แห่งที่มีอำนาจควบคุมทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…กระทั่งขุมพลังชั้น 1 ทั้งหลายยังได้แต่รับคำสั่งและปฏิบัติตามมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 นั่นอย่างเชื่อฟัง…พวกมันคือ 3 ลัทธิ!”


 


กู่ลี่กล่าว


 


3 ลัทธิ!


 


ได้ยินวาจานี้ของกู่ลี่ ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด


 


ลัทธิบูชาไฟเองก็เป็น 1 ในมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่ว่า!


 


คู่หมั้นของเขากลับถูกมันพรากไป!


 


อย่างไรก็ตามอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนที่พุ่งพล่านขึ้นมาพลันสงบลงได้ในเวลาอันสั้น


 


“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะไม่มีตัวตนขอบเขตเซียนนภาดำรงอยู่…”


 


“ผู้สังเกตการณ์ที่คอยควบคุมและจับตาดูยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภา…” ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์


 


“ว่าแต่ตอนนี้ในบรรดายอดฝีมือของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย ข้าได้ยินมาว่าที่ร้ายกาจที่สุดก็คือผู้นำตลาดมืดหยินชาน กับจ้าวตำหนักเมฆาครามงั้นหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“ใช่แล้ว”


 


กู่ลี่พยักหน้า “ผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาครามนั้น จากที่ท่านพ่อบอกข้ามา ทั้งคู่ล้วนบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดกันแล้ว…ที่สำคัญก็คือทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ฝึกมาร ทำให้พลังฝีมือของทั้งคู่เข้มแข็งเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาในขอบเขตเดียวกัน…”


 


“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่ไม่อาจลงมือทำอะไรได้อีกแล้วไม่ใช่เหรอหากบรรลุถึงเซียนนภา? พอถึงตอนนั้นจริงไม่ใช่ตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามก็เสมือนมังกรไร้เศียรกลายเป็นไร้พิษสงรึไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“ก่อนอื่นเลย…มิใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภา…”


 


กู่ลี่ส่ายหัวไปมา “แถมทั้งคู่ล้วนมีอายุน้อยกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดคนอื่นมาก…กระทั่งทั้งคู่เองก็พึ่งบรรลุเซียนปฐพีขั้นสูงสุดได้ไม่กี่ปี! เรียกว่าด่านพลังยังไม่บรรลุถึงจุดสูงสุดเต็มขอบเขต…เช่นนั้นหมายความว่ายังมีเวลาอีกมากที่จะเพาะสร้าง ‘ผู้สืบทอด’ ที่มีคุณสมบัติสูงพอ…”


ตอนที่ 1,800 : พบกู่ซืออวิ๋นเพื่อขอความช่วยเหลือ


 


“นอกจากนี้แม้ทั้งคู่จักทะลวงถึงเซียนนภาแล้ว ก็มิใช่ว่าจักไร้พิษสงแต่อย่างไร…อย่างเช่นหากมีใครคิดบ่อนทำลายขุมพลังของทั้งคู่ๆก็สามารถลงมือได้! เพราะหากยังอายุมิถึง 100 ปี ยังสามารถลงมือใช้พลังได้โดยที่มิถือว่าขัดต่อกฏของผู้สังเกตการณ์!!”


 


กู่ลี่กล่าว


 


“อ่าวพี่กู่…ไม่ใช่ก่อนหน้าท่านบอกว่าผู้ที่บรรลุเซียนนภาไม่อาจใช้พลังได้ไม่ใช่หรือ…แต่ไหงตอนนี้ท่านบอกว่าสามารถลงมือได้เล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนงง เพราะจากตอนแรกที่ได้ฟังเหมือนผู้สังเกตการณ์จะไม่อนุญาตให้เซียนนภาลงมือทำอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้กลับสามารถลงมือได้โดยไม่ขัดต่อกฏเพราะอายุไม่ถึง 100 ปี? สรุปแล้วที่แท้มันอะไรกันแน่?


 


“ก็ใช่ที่หากเป็นตัวตนขอบเขตเซียนนภาทั่วไป มิอาจใช้พลังลงมือทำร้ายผู้ใดได้…ทว่ายังมีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง! หากตัวตนที่บรรลุขอบเขตเซียนนภานั้นอายุมิถึง 100 ปี นอกจากคิดลงมือทำร้ายผู้อื่นก่อนแล้ว สามารถใช้พลังได้ตามใจ! เพราะผู้ฝึกตนที่บรรลุเซียนนภาก่อนอายุ 100 ปี ยังถือว่าเป็นอัจฉริยะหาได้ยากแม้จะในภูมิภาคเบื้องบน…ตัวตนเช่นนี้ล้วนแล้วแต่ถูกขุมพลังชั้น 1 ให้ความสนใจและหมายดึงตัวไปเข้าร่วมทั้งสิ้น”


 


กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “ด้วยเหตุนี้หากเป็นเซียนนภาที่อายุต่ำกว่า 100 ปี ต่อให้เป็นผู้สังเกตการณ์ก็ยังคิดตีสนิทเอาใจหมายสร้างสายสัมพันธ์ ขอเพียงการลงมือไม่ร้ายแรงและขัดต่อกฏมากเกินไป พร้อมหลับตาข้างหนึ่งเสมอ…”


 


ได้ฟังคำนี้ของกู่ลี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มเจื่อนๆออกมา


 


ดูเหมือนไม่ว่าจะที่ไหนต่อที่ไหนคำ ‘เส้นสาย’ ก็ไม่เคยจางหาย


 


“ผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาคราม…ยังอายุไม่ถึง 100 ปีงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้


 


“ใช่”


 


กู่ลี่พยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยวาจาแฝงความเลื่อมไส “มิว่าจะเป็นผู้นำตลาดมืดหยินชาน หรือจ้าวตำหนักเมฆาคราม สมควรบรรลุถึงเซียนนภาก่อนที่จะมีอายุ 100 ปีทั้งคู่! ตัวตนของทั้งคู่ประหนึ่งสัตว์ประหลาดของภูมิภาคเบื้องล่างเราแล้วจริงๆ!!”


 


บรรลุเซียนนภาก่อนอายุ 100 ปี!


 


กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองยังประหลาดใจ


 


ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าตัวเองสามารถบรรลุถึงเซียนนภาได้ก่อนอายุ 100 ปี กระทั่งมั่นใจมากว่าต้องบรรลุถึงก่อนอายุ 50 ปีแน่ๆ…


 


แต่ทว่าเหตุผลที่ทำให้เขามีความมั่นใจแบบนั้น ล้วนแล้วแต่เป้นเพราะเขามีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ! การไหลของห้วงเวลาในเจดีย์ช้ากว่าภายนอกถึง 5 เท่า!


 


และนั่นยังแค่ชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!


 


หากชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมแซมแล้วเสร็จล่ะก็…ห้วงเวลาจะไหลช้าลง 8 เท่า!


 


ช้ากว่า 8 เท่า เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า บนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง ผ่านไปแล้ว 8 วัน ทว่าด้านนอกกลับพึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น!


 


นอกจากนี้สภาพแวดล้อมบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติยังเหนือกว่าชั้นที่ 3 อย่างมาก! พลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์มากยิ่งขึ้น!!


 


บอกได้เลยว่าทันทีที่ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติซ่อมเสร็จ พลังฝึกปรือของเขาต้องพัฒนาครั้งใหญ่แน่!


 


‘ต้องรีบซ่อมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้จงได้…รีบทะลวงให้ถึงอริยะเซียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพาะสร้างเวทย์พลังที่จำเป็น…หลังจากนั้นจะได้เดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบน!!’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกู่ลี่ด้วยสายตาขึงขัง กล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที “พี่กู่ ข้ามีเรื่องคิดขอความช่วยเหลือจากท่าน”


 


“ฮัยยาน้องหลิงเทียน กับข้าเจ้ายังต้องเกรงใจอันใด เพียงว่ามาเถอะหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้ามิว่าอันใดข้ายินดีช่วยเจ้าเต็มที่ ขึ้นเขาลงห้วยอันใดข้าไปได้หมด!”


 


กู่ลี่ยิ้มกล่าวออกมาทั้งรับประกัน


 


ได้ยินคำของกู่ลี่ต้วนหลิงเทียนย่อมซาบซึ้งเป็นธรรมดา รีบกล่าวออกมาอย่างไว “ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วยหรอกพี่กู่…ข้าคิดรบกวนให้พี่กู่ช่วยรวบรวมวัตถุดิบบางชนิดให้ข้า และหากไม่ขัดข้องอะไร ข้าอยากให้พี่กู่ช่วยขอแรงอาวุโสกู่เพื่อตามหาวัตถุดิบเหล่านี้ให้ข้าอีกแรง ด้วยมีอาวุโสกู่ช่วยเหลือการค้นหาย่อมเปี่ยมประสิทธิภาพแน่”


 


“ฮัยยาข้าก็คิดว่าเรื่องใหญ่อันใด! ที่แท้เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้…ไม่มีใดขัดข้องหรอก! จริงสิหากเจ้าว่างแล้วตอนนี้ก็ตามข้าไปหาท่านพ่อด้วยเลยดีกว่า ถึงท่านพ่อน่าจะปิดด่านอยู่แต่หากข้าไปเรียกเพราะเจ้ามาพบ ท่านต้องยินดีและรีบออกมาพบเจ้าแน่!”


 


กู่ลี่ตบหน้าอกตัวเองเพิ่มความมั่นใจให้ต้วนหลิงเทียน


 


“เอ่อ…นั่นไม่ดีมั้งพี่กู่ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งส่ายหัวออกมาทันที


 


กู่ลี่ยิ้ม ไม่รอช้าอีกต่อไปมันลุกขึ้นยืนทันที ยังฉุดร่างต้วนหลิงเทียนขึ้น “มาเถอะน้องหลิงเทียน! ไปหาท่านพ่อข้ากัน! ท่านพ่อเองก็กลับมาพร้อมข้า ท่านอยากเจอเจ้านานแล้วแต่เห็นเจ้าปิดด่านอยู่ จึงมิมีโอกาสได้เจอเจ้าเสียที”


 


ภายใต้การนำของกู่ลี่ ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้เจอกับกู่ซืออวิ๋น อีกฝ่ายเร่งออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจไม่น้อย


 


“เจ้าน่ะหรือหลิงเทียน! ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือนัก สมเป็นมังกรในมวลมนุษย์จริงๆ!!”


 


เมื่อกู่ซืออวิ๋นเห็นต้วนหลิงเทียน มันนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวชมไม่ขาดปาก ยังแลดูอัธยาศัยดีไม่คล้ายเป็นผู้พิทักษ์อาวุโสอะไร “รีบเข้ามานั่งก่อนเถอะ”


 


เหตุผลที่กู่ซืออวิ๋นค่อนข้างเป็นมิตรแบบนี้ เพราะต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของบุตรชาย


 


ต้องทราบด้วยว่าในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ บุตรชายของมันไม่ค่อยมีสหายมากนัก โดยเฉพาะสหายที่สามารถเปิดใจได้อย่างต้วนหลิงเทียน นับว่ายังมีแค่คนเดียวเท่านั้น


 


เหตุผลอีกอย่างนั้นนับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก เพราะต้วนหลิงเทียนสร้างความดีความชอบอันใหญ่หลวงให้บุตรชายของมัน!


 


ได้รับรู้ว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารที่มีวิชารวมวิญญาณแฝงอยู่ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างใหญ่หลวง! ด้วยเหตุนี้จ้าวตำหนักถึงกับกล่าวชมเชยบุตรชายมันทั้งให้รางวัลเป็นการส่วนตัว!!


 


ด้วยเหตุผลทั้งหมด กู่ซืออวิ๋นจึงไม่มีเหตุผลให้ไม่เป็นมิตรกับต้วนหลิงเทียน


 


“เชิญอาวุโสกู่”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ตอบรับน้ำใจ ทั้งยังรู้สึกได้รับเกียรติอย่างเหนือคาดคิด เขาเองก็ไม่ได้เผยท่าทางถือตัวเฉยเมยอะไร กลับรักษาท่าทีอ่อนน้อมดั่งรุ่นเยาว์พึงปฏิต่ออาวุโส


 


เห็นฉากนี้กู่ซืออวิ๋นก็รู้สึกยินดีนัก นับว่าบุตรชายมันคบหาสหายอันประเสริฐแล้วจริงๆ


 


แน่นอนว่ามันเองก็ไม่ได้วางท่าบ้าอำนาจอะไร ยังปฏิบัติกับต้วนหลิงเทียนด้วยความเป็นมิตร เสมือนปู่ใจดีพบพานหลานรัก


 


“หลิงเทียน ต่อไปเจ้ามิต้องเรียกข้าว่าอาวุโสกู่หรอก ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นสหายของลี่เอ๋อ เช่นนั้นเพียงเรียกหาข้าลุงกู่ก็พอแล้ว”


 


หลั่งดื่มชาไปถ้วยหนึ่ง กู่ซืออวิ๋นมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


“ลุงกู่”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนยึดติดกฏเกณฑ์ยศอย่างอะไรเป็นทุน แน่นอนว่าย่อมไม่คิดปฏิเสธ แถมในใจยังเพิ่มความเคารพกู่ซืออวิ๋นขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายถือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ควรค่าแก่การนับถือ


 


“ท่านพ่อ ที่ข้ากับน้องหลิงเทียนมาหาท่านครั้งนี้ นอกจากคิดพบเจอท่านแล้ว ยังคิดขอความช่วยเหลือจากท่านรวบรวมวัตถุดิบหายากบางอย่าง”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับกู่วืออวิ๋นกล่าวต่อกันด้วยดี และแลเห็นว่าต้วนหลิงเทียนท่าทางจะลืมจุดประสงค์การมาเอาแต่สนทนาไปเรื่อยเปื่อย กู่ลี่จึงเร่งกล่าวออกมาทันที


 


“หือ?”


 


ได้ยินดังนั้นกู่ซืออวิ๋นก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนทันที “เสี่ยวเทียนแล้ววัตถุดิบที่เจ้าอยากให้ข้าช่วยหามันคืออะไรหรือ?”


 


หลังสนทนากันพักหนึ่งคำเรียกหาของกู่ซืออวิ๋นก็เป็นมิตรมากขึ้น ยังแลดูสนิทสนมมากขึ้น


 


“ลุงกู่ วัตถุดิบที่ข้าอยากได้เป็นของพวกนี้…”


 


ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นเบาๆ ก่อนจะปรากฏบันทึกเล่มหนึ่ง ด้านในมีรูปภาพพร้อมคำอธิบายลักษณะประกอบอยู่ด้านข้าง เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ยามว่างหลังจาการบ่มเพาะ


 


“วัตถุดิบพวกนี้อาจหายากอยู่บ้าง ข้าจึงคิดขอแรงลุงกู่ให้ช่วยเหลือข้าตามหาพวกมัน และไม่ว่าพวกมันจะมีราคาเท่าใดใช้หินเซียนมากแค่ไหนลุงกู่เพียงบอกข้ามาได้เลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปด้วยความวาดหวัง หากแต่ไม่คิดเลยว่าพอกล่าวจบคำสีหน้าของกู่ลี่กับกู่ซืออวิ๋นพลันเปลี่ยนไปทันที


 


จังหวะนี้เขาพลันตระหนักได้ทันที ว่าเมื่อครู่ด้วยความดีใจดันเผลอกล่าววาจาไม่เหมาะสมออกไปแล้ว


 


และไม่ทันทีต้วนหลิงเทียนจะกล่าวใดเพิ่มเติม เป็นกู่ลี่ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังตามคาด “น้องหลิงเทียนแม้พวกเราจะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่พวกเราล้วนจริงใจต่อกัน แล้วเจ้าคิดว่าสหายที่คบหากันด้วยใจอย่างพวกเรา ยังจำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องหินเซียนอันใดด้วยหรือ?”


 


“เสี่ยวเทียน ลุงกู่มิเคยขาดหินเซียน! กล่าวบอกเจ้าตามตรงหากเจ้ามิใช่สหายอันดีของลี่เอ๋อ ให้เจ้ามอบหินเซียนให้ข้ามากมายเพียงใดข้าก็ไม่ช่วยเจ้าหรอก”


 


กู่ซืออวิ๋นยังกล่าวออกมา


 


“ลุงกู่ พี่กู่ เมื่อครู่เพราะข้าร้อนใจไปหน่อยจึงกล่าวไปไม่ทันคิด ต้องขออภัยต่อพวกท่านแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งขอโทษออกมาจากใจทันที เขาเองก็ตระหนักได้แต่แรกแล้วว่าพูดผิดไป อย่างไรก็ตามวาจาที่กล่าวออกไปดั่งน้ำที่ไหลหกจากแก้วยากจะย้อนคืน เพียงเร่งแก้ไขเท่านั้น


 


ได้ยินคำขอโทษจากใจของต้วนหลิงเทียน ท่าทีของกู่ลี่กับกู่ซืออวิ่นจึงค่อยอ่อนลง


 


“เอาล่ะ ข้าจะให้คนไปทำสำเนาบันทึกเล่มนี้ แล้วกระจายไปให้คนรู้จักของข้าช่วยรวบรวมอีกแรง…อย่างไรก็ตามข้าต้องบอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่า…ของที่เจ้าบันทึกไว้ในนี้บางชิ้นเกิดมาข้ายังมิเคยพบเจอด้วยซ้ำ! ข้าจึงไม่มั่นใจว่าจะรวบรวมมาให้เจ้าได้ทั้งหมด..”


 


กู่ซืออวิ๋นมองบันทึกคร่าวๆ มันย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือสหายของบุตรชายอย่างต้วนหลิงเทียน


 


แต่แม้ว่ามันอยากช่วยต้วนหลิงเทียนเต็มที่ แต่มันก็ไม่กล้ารับปากว่าจะหาวัตถุดิบมาได้ครบ เพราะของบางอย่างมันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ


 


“เรื่องนี้ข้าเข้าใจลุงกู่ แค่ท่านช่วยเหลือข้าก็ดีใจมากแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวออกด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ไม่หวังให้กู่ซืออวิ๋นหาวัตถุดิบให้เขาครบแต่แรกแล้ว


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้ วัตถุดิบบางอย่าง กระทั่งในแดนสวรรค์ทั้งหลายยังเป็นของที่พบพานได้ยากเย็น


 


หลังจากที่จัดการเรื่องราวรวบรวมวัตถุดิบซ่อมแซมชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง หลังจากนี้เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างสบายใจ


 


ส่วนเรื่องนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่สนใจและไม่คิดจะถามหารางวัลอะไรทั้งสิ้น


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่สนใจ และไม่คิดถามหารางวัล ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะเป็นเช่นนั้นด้วย


 


หนึ่งเดือนต่อมา ต้วนหลิงเทียนถูกจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิงเรียกพบ


 


ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้พบกับเมิ่งฉิง แต่ตอนนั้นมีคนอื่นอยู่ด้วยมากมาย ทว่าวันนี้เขากลับพบอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว ทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง


 


อย่างไรเสียรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากังวลอะไร


 


“จ้าวตำหนัก”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวทักจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักกลางโถงก่อน เช่นเดิมเขาไม่ได้เรียกหาอีกฝ่ายว่าใต้เท้าหรือท่านอะไร


 


เมิ่งฉิงก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เหมือนเคย ยิ้มทักต้วนหลิงเทียนกลับ ค่อยเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออก “หลิงเทียน ที่พวกเราได้รู้ว่าฉีจิ้งบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีเคล็ดวิชารวมวิญญาณแฝงอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าทั้งสิ้น”


 


“จ้าวตำหนัก ท่านเรียกข้ามาเพราะคิดกล่าวเรื่องนี้เองหรอกหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


“มิเชิง”


 


เมิ่งฉิงส่ายหัว ค่อยกล่าวสืบต่อ “ข้ารู้มาว่าเจ้าทราบเรื่องฉีจิ้งบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอันมีวิชารวมวิญญาณร่วมด้วย เพราะศิษย์พี่ของเจ้าลี่เฟิง…และตอนนี้ลี่เฟิงศิษย์พี่เจ้าก็ขึ้นไปหาอาจารย์ของเจ้าที่ภูมิภาคเบื้องบนแล้ว”


 


“เช่นนั้น ตอนนี้อาจารย์ของเจ้า…ก็สมควรรู้เรื่องที่ฉีจิ้งบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงแล้วใช่หรือไม่?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)