War sovereign Soaring The Heavens 1785-1788
ตอนที่ 1,785 : ปฐมเวทย์กลืนกิน
พอลองคิดดูก็สมควร…
ชายชราผู้นี้สมควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับพื้นที่มรดกเวทย์พลังอย่างบึงไร้ก้นบี้งนี่…เช่นนั้นอีกฝ่ายจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร!?
ถึงแม้ตัวตนระดับนี้จะสะกดพลังฝึกปรือเอาไว้ หากแต่ก็ยังมีข้อได้เปรียบมากมายนัก!
ประสบการณ์ทั้งเชิงยุทธ์ กระทั่งวรยุทธ์ที่ชายชราฝึกปรือมา ไม่ใช่อะไรที่ตัวตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นจะเทียบได้!
ตอนนี้นับว่าเป็นโชคครั้งใหญ่ของต้วนหลิงเทียนแล้วจริงๆ ที่อีกฝ่ายไม่อาจใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดได้!
ต้องทราบด้วยว่าที่เขาสามารถฝ่าฟันบททดสอบพื้นที่มรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียนมาได้จนถึงตอนนี้ ต้องยกความดีความชอบให้ปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งสิ้น
เพราะพลังอำนาจของปราณสุริยันแรกกำเนิดระดับเซียนขัดเกลาขั้นต้น มันไม่ได้ด้อยไปกว่าอริยะเซียนขั้นต้นแม้แต่น้อย!
“หืม? ความเร็วยังเพิ่มขึ้นได้อีก!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนฉากหลบการโจมตีจากฟ้าของชายชรา เขาก็พบว่าอีกฝ่ายสามารถปะทุความเร็วเปลี่ยนทิศทางติดตามมาลงมือต่อเนื่องได้อีกครั้ง!
ด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ออกไปตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงรอบกายตลอดเวลา ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าปราณแรกกำเนิดในร่างของชายชรายังคงอยู่ในระดับเซียนขัดเกลาขั้นต้น ไม่ได้เพิมพูนขึ้นมาแต่น้อย!
กลับเป็นวรยุทธ์ท่าร่างนั่น! ที่ทำให้ความเคลื่อนไหวของชายชรารวดเร็วพลิกแพลงได้ถึงขนาดนี้!!
“ให้ตายเถอะ…ต่อให้เป็นวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่น ก็ไม่มีทางทำให้เซียนขัดเกลาขั้นต้นบรรลุถึงความเร็วระดับนี้ได้!”
เจอกับความเร็วในการเคลื่อนไหวของชายชราตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
เพราะความเร็วที่ชายชราใช้ออกตอนนี้ น่ากลัวว่ากระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นกลางยังยากจะจับได้ไล่ทัน!
หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้อานิสงค์จากปราณสุริยันแรกกำเนิดที่ทำให้บรรลุความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้น ไม่พ้นถูกชายชราทุบตีจนสิ้นสภาพไปนานแล้ว!
ที่สำคัญการลงมือของชายชราก็นับว่าเปิดหูเปิดตาเขาแล้วจริงๆ เพียงฝ่ามือที่เหมือนจะตบฟาดออกมาส่งๆ มิคาดกลับปะทุพลังออกมาได้อย่างมหาศาล ราวกับควบรวมผนึกพลังมาเนิ่นนาน! ไม่รู้ว่าที่แท้เป็นวิชาฝ่ามือเลิศล้ำอันใดกันแน่!!
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะพลังหรือความเร็วของชายชรา ก็ล้วนถูกพลังอำนาจของต้วนหลิงเทียนครอบงำไว้ได้หมดจด ไม่มีทางที่ชายชราจะทำร้ายต้วนหลิงเทียนได้เลย กระทั่งจะสัมผัสให้ถูกตัวเขายังเป็นไปไม่ได้!
เพราะในด่านพลังฝึกปรือทัดเทียมกัน ไม่ว่าจะความเร็วหรือพลังของต้วนหลิงเทียน ล้วนเหนือกว่าอีกฝ่ายถึง 1 ขอบเขตเต็มๆ ทั้งหมดคือความสามารถอันน่าสะพรึงของปราณสุริยันแรกกำเนิด!
เช่นนั้นเมื่อเจอกับชายชราที่มีวรยุทธ์ท่าร่างทั้งจู่โจมเลิศล้ำ หากแต่พลังฝึกปรือมีเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้น จึงไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย
“โชคดีนักที่คนที่ผ่านมาถึงบททดสอบนี้เป็นข้า…หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปมาเจอบททดสอบครั้งนี้ คงยากที่ใครจะผ่านมันได้!”
ต้วนหลิงเทียนรู้เหตุผลที่ทำให้บททดสอบนี้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาดี
หากให้เขาไร้ปราณสุริยันแรกกำเนิด แต่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้ยต้น น่ากลัวว่าคงแพ้พ่ายไปแล้ว
“อ่าว ทำไมนิ่งไปไม่ลงมือแล้วล่ะ?”
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันพบว่า ชายชราที่รุกไล่เขาเมื่อครู่อยู่ดีๆก็หยุดลง อีกฝ่ายยังหันมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยค่อยกล่าว “สหายน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่ข้ากำลังรอคอยอยู่จริงๆ…หากเจ้ายังสามารถเอาชนะข้าได้หลังจากข้าใช้ ปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว ข้าจักถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้เจ้า”
วาจาครึ่งประโยคแรกของชายชราต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไร
หากแต่ยามที่ชายชรากล่าววาจาถึงท้ายประโยค ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กหยีลง!
ข้าจะถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้เจ้า!?
คำนี้ของชายชรา ไม่ได้หมายความว่าปฐมเวทย์กลืนกินคือเวทย์พลังของอีกฝ่ายงั้นเหรอ?
‘หรือบึงไร้ก้นบึ้งนี่ จะเป็นพื้นที่มรดกที่อาวุโสผู้นี้ทิ้งไว้?’
จังหวะนี้หัวใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาทันที
ถึงแม้เขาจะได้รับสืบทอดเวทย์พลังจากมรดกเวทย์พลังมาแล้ว 3 ชิ้น แต่ไม่มีชิ้นไหนเลยที่จะมีใครปรากฏตัวออกมาถ่ายทอดให้อย่างชายชรา กระทั่งแค่ทิ้งข้อความเสียงอะไรไว้ยังไม่มีด้วยซ้ำ!
ทว่าในบึงไร้ก้นบึ้งแห่งนี้ไม่เพียงแต่ชายชราจะปรากฏกายขึ้น ยังกล่าววาจากับปากตัวเองว่าจะถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้เขา หากเขาสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้!
เรื่องนี้จะไม่ให้ใจเขาเตลิดได้อย่างไร?
“หืม?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตื่นเต้นจนใจเตลิด เขาก็พบว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขากลับมีที่ท่าว่าจะรั่วไหลออกมาจากร่างกายของเขาเอง ทั้งๆที่เขาไม่ได้โคจรใช้ออก
โชคดีที่เขาตอบสนองได้ทันเวลา สามารถรั้งพลังกลับคืนได้ทัน!
หาไม่แล้วปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา คงต้องหลั่งไหลออกไปนอกร่างอย่างไม่ทันรู้ตัว
หลังจากกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าบรรยากาศรอบกายชายชราเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป
ความว่างเปล่ารอบกายชายชราเริ่มสั่นไหว ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนกลับกลายคล้ายวังวนมหึมาหนึ่ง
และวังวนมหึมาดังกล่าวก็เริ่มดูดกลืนพลังวิญญาณในฟ้าดินโดยรอบเข้าร่างอย่างไม่หยุดยั้ง!
“อะไรกัน! กลิ่นอายพลังของอาวุโสกำลังเพิ่มสูงขึ้น…!”
ด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ออกไปตรวจสอบเรื่องราวอยู่ตลอด ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายพลังในร่างกายของชายชรากำลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ! สุดท้ายพอถึงระดับหนึ่งมันก็หยุดลง!!
ในขณะเดียวกันวังวนประหลาดรอบกายชายชราก็หายไป
วู้มมม!!
ทันใดนั้นเองความว่างรอบกายชายชราพลันสะท้านสะเทือนไปอีกครั้ง สนามพลังทรงกลมน่ากลัวขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมากินรัศมี 100 หมี่โดยยึดชายชราเป็นจุดศูนย์กลาง!
ที่ประหลาดก็คือกลิ่นอายพลังของปราณแรกกำเนิดในเขตแดนนี้ ไม่ใช่กลิ่นอายพลังของปราณแรกกำเนิดระดับเซียนขัดเกลาขั้นต้น!
มันกลับเป็นกลิ่นอายพลังของปราณแรกกำเนิดของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!
แน่นอนว่ากลิ่นอายพลังปราณแรกกำเนิดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสุงสุดของชายชรา ไม่อาจเทียบกับกลิ่นอายพลังปราณแรกกำเนิดของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่แท้จริงได้!
เหตุผลที่ไม่อาจเทียบได้นั้น เพราะแม้ระดับพลังจะทัดเทียม หากแต่เสถียรภาพของพลังกลับไม่มี! เพราะมันเป็นพลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นมาโดยมีฐานพลังแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น!!
“บ้าน่า! นี่น่ะเหรอ พลังของปฐมเวทย์กลืนกิน!!”
เห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้าร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับสะท้าน แผ่นหลังรู้สึกเสมือนมีไอเย็นแล่นผ่าน ยังอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ! นี่ทำให้เขาตื่นตระหนกแล้วจริงๆ!!
ปฐมเวทย์กลืนกินนั่น พริบตากลับดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาแปรเปลี่ยนเป็นขุมพลังของตัวเอง…กระทั่งยังยกระดับพลังของเซียนขัดเกลาขั้นต้น ให้กลายเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ?!
เวทย์พลังนี่จะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือไง!?
เขตแดนของชายรานั้น เป็นเขตแดนที่มีบรรยากาศอึมครึมลี้ลับ ในอาณาเขตเต็มไปด้วยหมอกพลังสีเลือด!
และเมื่อต้วนหลิงเทียนเพ่งมองไปในหมอกพลังสีเลือดที่ฟุ้งตลบทั่วเขตแดนของชายชรา เขาก็พบว่ามันมีอสรพิษน่ากลัวอยู่นับพันๆตัว!
อสรพิษน่ากลัวไม่เพียงแต่ซุ่มซ่อนอยู่ในหมอกพลังสีเลือดนั่น บางครั้งพวกมันยังสามารถพุ่งออกมานอกเขตแดนได้! ทว่าหลังจากเลื้อยเลี้ยวขดร่างไปมาครู่หนึ่ง มันก็พุ่งกลับไปซ่อนตัวในเขตแดน!
ฟู่ม!!
เสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้น ต้วนหลิงเทียนทราบได้ทันทีว่าชายชราที่ควบรวมสร้างเขตแดนเสร็จได้ลงมือแล้ว!
กลิ่นอายพลังของปราณแรกกำเนิดชายชราที่มีระดับเซียนขัดเกลาสูงสุดนั้น ต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ว่ามันกำลัง ส่อสัญญาณอ่อนโทรมลงเรื่อยๆ แม้กระบวนการเสื่อมถอยของพลังจะเชื่องช้าก็ตามที
‘ดูเหมือนว่าปราณแรกกำเนิดที่ยกระดับขึ้นมาด้วยปฐมเวทย์กลืนกินไม่อาจคงสภาพไว้ได้นานเท่าไหร่…และดูท่าอาวุโสคนนี้คงคิดใช้ประโยชน์จากปราณแรกกำเนิดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ลงมือสยบข้าในกระบวนดียว!’
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนเองก็จำต้องลงมืออย่างตั้งใจแล้ว
เพราะต้องกล่าวเลยว่ายามที่พลังของชายชราบรรลุถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ความเร็วทั้งพลังนั่น เรียกว่ามันเหนือกว่าร้อยละเก้าสิบเก้าของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่เขาเคยพบเจอ!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนที่บรรลุถึงพลังและความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้น ยังคงรับมือได้ไม่ยากเย็น!
ถึงแม้ตอนนี้ปราณแรกกำเนิดของชายชราจะเร่งพลังมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด
หากแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชายชราจะสำแดงความเร็วของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่แท้จริงออกมาได้ เพราะอย่างไรเสียฐานพลังของชายชราก็มีแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น
ที่สำคัญ แม้อริยะเซียนขั้นต้นจะห่างจากเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแค่ขั้นเดียว ทว่ามันเป็น 1 ขั้นของอีกขอบเขต ความแตกต่างมันมากมายมหาศาลนัก ยังต่างมากกว่าเซียนขัดเกลาขั้นต้นกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเสียอีก…
เรียกว่าความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ เสมือนห่างกันพันลี้!
เช่นนั้นแล้วต่อให้ชายชราจะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินยกระดับพลังขึ้นมาทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ก็ยังยากที่จะแตะถูกตัวต้วนหลิงเทียนได้!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
แต่แน่นอนว่าตอนนี้ชายชราไม่ได้สู้ลำพัง ยังมีอสรพิษนับพันในเขตแดนของมันอีกด้วย เหล่าอสรพิษพยายามพุ่งออกจากหมอกพลังสีเลือดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนไม่หยุด!
“เขตแดน?”
เผชิญหน้ากับเขตแดนของชายชรา ต้วนหลิงเทียนยกยิ้มบางๆ ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างปะทุสูงขึ้นทันใด ก่อนที่สนามพลังน่ากลัวขุมหนึ่งจะแผ่กางขึ้นครอบคลุมไปทั่วร่างของเขา
เขตแดนหมื่นกระบี่!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
……
อสรพิษนับพันหรือจะสู้กับสิบพันกระบี่! อสรพิษทั้งหลายล้วนถูกกระบี่พลังในเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนสะกดเอาไว้จนสิ้นทาง ไม่อาจวาดลวดลายอะไรได้!
เขตแดนนั้นจะทรงอำนาจหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับปราณแรกกำเนิดที่จ่ายไปควบรวมสร้างทั้งสิ้น…
ด้วยความที่ปราณแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนคือปราณสุริยันแรกกำเนิด เช่นนั้นเขตแดนที่เขาควบรวมจึงเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจของขอบเขตอริยะเซียน ซึ่งเป็นอะไรที่สามารถบดขยี้พลังของเขตแดนเซียนขัดเกลาได้ทั้งมวล!
“หืม? พลังตกลงแล้ว?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันพบว่าปราณแรกกำเนิดในร่างของชายชราได้ตกลงไปอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว!
“ได้เวลาจบเรื่องแล้ว…!”
ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ หมื่นกระบี่ในเขตแดนพลันหลอมรวมสู่หนึ่ง! กลับกลายเป็นกระบี่พลังมีสภาพสีทองเล่มเขื่อง!!
มองไกลๆยังสว่างไสวคล้ายดวงตะวัน
ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนที่คิดจบเรื่องราว ก็สะบัดฝ่ามือออกไปส่งๆ
กระบี่พลังมีสภาพสีทองที่ส่องแสงจ้าดั่งดวงตะวัน พลันหันเล็งไปทางชายชราทันที! พลังอำนาจปะทุออกแกร่งกล้า พุ่งแหวกฟ้าไปฉับไว หมายทะลวงร่างชายชราอย่างไร้ปราณี!
ทว่ามิคาด พริบตานี้เองชายชราพลันใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกินอีกครั้ง! กลิ่นอายพลังที่ตกลงไปอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเริ่มเพิ่มพุนขึ้นดว้ยความเร็วอัศจรรย์!!
ปราณแรกกำเนิดของชายชราพุ่งไปหยุดอยู่ที่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดอีกครั้ง อนิจจาเมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่พลังมีสภาพสีทองที่ฉาบไว้ด้วยพลังอำนาจลี้ลับของยอดใจกระบี่ ชายชราย่อมไร้พลังอำนาจต้านทาน ปราณที่เร่งเร้ากางกั้นเป็นม่านพลังประหลาด กลับถูกกระบี่พลังมีสภาพทะลวงผ่านง่ายดายดั่งเยื่อกระดาษ กระบี่บินยังเสียบเข้ากลางอกทะลุออกแผ่นหลังไปได้อย่างง่ายดาย ร่างชราค่อยๆสลายหายไปในอากาศ…
“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าบททดสอบสุดท้ายจะกลายเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด…”
ตอนนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดไปอย่างตื่นเต้นยินดี สะบัดมืออีกครั้ง กระบี่พลังมีสภาพสีทองที่พุ่งไปทะลวงร่างชายชราก่อนหน้าก็สลายหายไป ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ลอยล่องขึ้นไปในอากาศด้วยรอยยิ้มยินดี
ก็จริง
ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในบึงไร้ก้นบึ้งแห่งนี้ แต่ละบททดสอบที่ผ่านกว่าจะมาถึงบททดสอบที่ 9 เรียกว่าลำบากไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ในสายตาของต้วนหลิงเทียนบททดสอบที่ 9 สมควรเป็นอะไรที่ยากที่สุด
ตอนที่ยังไม่ได้เผชิญกับมันจริงๆเขายังอดหวั่นใจไปเสียไม่ได้ เพราะมีวูบหนึ่งที่ใจฉุกคิดไปว่าไม่รู้เขาจะสามารถผ่านบททดสอบที่ 9 นี้ได้หรือไม่…เขาจะเอาชนะชายชรานั่นและได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังของพึงไร้ก้นบึ้งจริงหรือ?
ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ผ่านมันมาได้สำเร็จ! กระทั่งยังผ่านมาได้อย่างง่ายดายที่สุด!!
แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนต้องยกความดีความชอบให้ปราณสุริยันแรกกำเนิด!
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นน่ากลัวว่าคงไม่มีทางผ่านได้แน่!
เรื่องนี้พอคิดดูก็สมควรเป็นเช่นนั้น!
‘บึงไร้ก้นบึ้งนี่น่ากลัวจริงๆ…ปฐมเวทย์กลืนกินของอาวุโสนั่นจะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยรึไง! แถมดูเหมือนจะใช้ต่อเนื่องได้อีก…แบบนี้ปัญหาเรื่องระยะเวลาใช้งานไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยรึไง?’
พอนึกถึงปฐมเวทย์กลืนกินที่ชายชราใช้ออก สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา ในใจยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอันยากระงับ
ตอนที่ 1,786 : หนึ่งเดียว ไม่มีอีกแล้ว
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ผ่านบดทดสอบทั้งหมดในพื้นที่มรดกเวทย์พลัง บึงไร้ก้นบึ้งแล้ว…นั่นหมายความว่าเขากำลังจะได้รับสืบทอดเวทย์พลัง!
และเวทย์พลังที่ว่าก็คือ ปฐมเวทย์กลืนกิน!
‘แล้วปฐมเวทย์กลืนกินที่ว่าจะถ่ายทอดให้ข้าจะเป็นการถ่ายทอดในรูปแบบไหนนะ…จะเป็นรูปปั้นอะไรเหมือนกับร่างทองลิ่วเหอรึเปล่า?’
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างขึ้นมาก็มองไปยังอากาศว่างเปล่า กล่าวให้ชัดคือมองไปยังจุดที่มีรอยแยกปรากฏอยู่ ด้วยคิดว่าเดี๋ยวต้องมีป้ายศิลาหรืออะไรสักอย่างอันเป็นมรดกเวทย์พลังโผล่พรวดออกมาแน่ๆ
อย่างไรก็ตามเขาลอยร่างรอคอยอยู่นาน กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่มันยังไงกันแน่?!”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกงุนงงด้วยไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น “อาวุโสนั่นไม่ใช่บอกไว้เองเหรอว่าหากเอาชนะได้จะถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้? ไหนล่ะ…อย่าบอกนะว่าแค่พูดล้อเล่น?”
ต้วนหลิงเทียนเริ่มกังวลใจขึ้นมา และแม้แต่ชื่อของชายชรานั่นเขาก็ไม่รู้ จึงได้แต่ร้องตะโกน อาวุโส ออกมา…กระทั่งผ่านไปสักพัก เมื่อไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ เขาก็ไม่คิดเรียกหาอาวุโสอะไรอีกแต่เป็น ‘ตาแก่’
“ตาแก่ เจ้าคิดกลับคำพูดงั้นเรอะ!!”
ลอยร่างเหนือเวทีประลอง ต้วนหลิงเทียนอ้าปากตะโกนออกมาดังลั่น หันรีหันขวางมองไปรอบๆ
เสียงของต้วนหลิงเทียนยังไม่ใช่แค่ดัง หากแต่แฝงเร้นไปด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด ทำให้พื้นที่โดยรอบปั่นป่วนไปไม่น้อย ความว่างยังสั่นไหวไปเบาๆ
และเมื่อความว่างเปล่าสั่นไหว ต้วนหลิงเทียนก็เห็นได้ชัดว่ามีร่างหนึ่งก้าวออกจากรอยแตกกลางอากาศ…เป็นชายชราที่เขาฆ่าตายไปก่อนหน้า! ไม่คิดเลยว่าพอต้วนหลิงเทียนร้อนใจจนโวยวาย อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวออกมาเสียอย่างนั้น!!
“สหายน้อย…”
ชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างใจดี “ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าได้ผ่านทุกบททดสอบของบึงไร้ก้นบึ้งแล้ว…ต่อไปข้าจะถ่ายทอดข้อมูลทั้งหมดของปฐมเวทย์กลืนกินให้เจ้า…ยามใดที่เจ้าบรรลุถึงเซียนมนุษย์ เจ้าจักเริ่มเพาะสร้างมันได้อย่างเป็นทางการ”
ได้ยินคำกล่าวของชายชรา ตาต้วนหลิงเทียนถึงกับลุกวาววิบวับ แม้จะรู้ดีว่าเบื้องหน้านั้นเป็นเพียงร่างมายาที่ถูกกำหนดไว้ให้กระทำตามบท แต่เขายังอดกล่าวขอบคุณออกไปเสียไม่ได้ “ขอบคุณ อาวุโส!”
“ปฐมเวทย์กลืนกินมีพลังอำนาจอย่างไร เจ้าคงได้เห็นแล้วจากบททดสอบเมื่อครู่…มิผิด ปฐมเวทย์กลืนกินนั้นสามารถดูดกลืนพลังทั้งหมดที่อยู่รอบๆตัวเจ้า กระทั่งต่อให้เป็นพลังของศัตรูเจ้าก็สามารถดูดกลืนได้!”
“แต่แน่นอนถ้าหากศัตรูนั้นทรงพลังเหนือเจ้า ตัวเจ้าก็มิอาจดูดกลืนพลังของมันมาได้ เพราะมันจักสามารถต้านทานพลังดูดกลืนของปฐมเวทย์กลืนกินเจ้าได้…”
ชายชรากล่าว
สองตาต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมลุกวาวพลันเลื่อนลอยไปเล็กน้อยด้วยหวนคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้า
“สามารถดูดกลืนได้กระทั่งพลังของคู่ต่อสู้ แต่หากพลังของศัตรูเหนือกว่าก็ไม่อาจดูดกลืนได้ เพราะอีกฝ่ายจะสามารถต้านทานได้?”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจกระจ่าง มิน่าตอนที่ชายชราใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน เขารู้สึกว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาอยู่ๆก็รั่วไหลออกจากร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ…ที่แท้มันถูกปฐมเวทย์กลืนกินดูดไปนั่นเอง!
อย่างไรก็ตามด้วยความที่พลังของเขามันเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น เขาจึงต้านทานพลังดูดรั้งของปฐมเวทย์กลืนกินชายชราได้อย่างง่ายดาย ไม่ปล่อยให้ปราณสุริยันแรกกำเนิดถูกชายชราดูดกลืนไป
“ช่างเป็นเวทย์พลังที่มีความสามารถน่าสะพรึงกลัวนัก!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยความครั่นคร้าม “จากที่ชายชรากล่าวไว้ หากพลังฝึกปรือของคู่ต่อสู้ไม่เหนือกว่า ย่อมสามารถใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดกลืนได้…นั่นหมายความว่าพลังที่คู่ต่อสู้เสียไป จะมาเพิ่มเป็นพลังความแข็งแกร่งให้ข้า!”
คิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านไป
ลองนึกภาพดูว่าเรื่องนี้มันน่ากลัวขนาดไหน หากเขากำลังประมือกับสัตรูที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกัน ทว่าพอเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกินทำให้พลังศัตรูลดลงส่วนหนึ่ง ส่วนพลังของเขากลับเพิ่มพูนสูงขึ้นส่วนหนึ่ง! และนี่ยังไม่ต้องกล่าวถึงพลังโดยรอบด้วยซ้ำ!!
ถึงตอนนั้นเขาที่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินย่อมเอาชนะศัตรูได้ง่ายดาย!
เรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนที่เห็นพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินมาก่อนไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย
“หืม?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดไปถึงความร้ายกาจของปฐมเวทย์กลืนกิน เขาพลันสัมผัสได้ถึงข้อมูลมหาศาลชุดหนึ่งกำลังหลั่งไหลเข้ามาในใจของเขาพอดี
ตอนแรกเขาเผลอต่อต้านข้อมูลดังกล่าวไปอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามพอเขาพบว่าข้อมูลที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา ที่แท้เป็นข้อมูลของปฐมเวทย์กลืนกิน เขาก็ละวางปราการป้องกันจิตใจ ปล่อยให้ข้อมูลดังกล่าวไหลเข้ามาทันที
ข้อมูลนี้นับว่ามากมายมหาศาลนัก ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยายามจะทำความเข้าใจข้อมูลดังกล่าว เขาก็พบว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นอะไรที่คลุมเครือไม่ชัดเจน
ถึงแม้มันจะคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรสำหรับการรับรู้และพยายามจดจำมัน
แน่นอนว่าตอนนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพยายามรับรู้และจดจำมัน ก็เหมือนเขาอ่านภาษาที่เขาไม่รู้จัก และจดจำได้แค่ลายเส้นขีดๆเขียนๆ ทั้งหมดเป็นเพราะพลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้…ไม่อาจลองใช้ตามข้อมูลได้! จึงไม่อาจดำเนินตามขั้นตอนอะไรได้เลย!!
สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป จำต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์เสียก่อนถึงจะสามารถทำความเข้าใจ และลองเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้
แต่ต้วนหลิงเทียนที่มีปราณสุริยันแรกกำเนิด ไม่จำเป็นต้องรอให้บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แต่อย่างไร…
อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่ต้องรอให้บรรลุถึงเซียนมนุษย์ แต่ก็จำต้องรอให้บรรลุถึงอริยะเซียน…ทันทีที่เขาทะลวงผ่านเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปยังอริยะเซียนขั้นต้น ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างก็จะยกระดับไปมีพลังอำนาจทัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์!
ถึงตอนนั้นเขาก็สามารถใช้เวทย์พลังได้!
“จบแล้วหรือ? มีเท่านี้?”
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามต้วนหลิงเทียนก็พบว่าข้อมูลหยุดส่งเป็นข้อมูลของปฐมเวทย์กลืนกินได้ถูกถ่ายโอนมาสู่จิตใจเขาหมดสิ้นแล้ว
หลังได้รับข้อมูลเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงตรวจสอบข้อมูลในใจคร่าวๆอีกรอบอย่างไม่รู้ตัว เมื่อกระทำเสร็จ พอลืมตาขึ้นมาเขาก็ไม่เห็นร่างชายชราแล้ว กระทั่งเวทีประลองอันมีอัฒจันทร์ล้อมรอบก็อันตรธานหายไป
ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในทะเลทรายที่ทัศนวิสัยแทบเป็นศูนย์ บรรยากาศคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นทรายและสายลมแรง…
พื้นที่มรดกเวทย์พลัง…บึงไร้ก้นบึ้ง หายไปแล้ว!
“สหายน้อย ข้าถ่ายทอดปฐมเวทย์กลืนกินให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว นับแต่นี้ต่อไปแดนลับเซียนแห่งนี้จักมิมีบึงไร้ก้นบึ้งอีกต่อไป และจักมิมีมรดกเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินปรากฏออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง! ข้าเรียกว่า ‘เจียงเฉิง’ บางทีวันหน้าอาจมีสักวันที่พวกเราได้พบกันอีกครั้ง ข้าจักตั้งหน้าตั้งตารอพบเจ้า สหายน้อย…”
ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเห็นว่าพื้นที่โดยรอบกลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว พลันได้ยินเสียงชายชราดังขึ้นอีกครั้ง
หลังจากนั้นเสียงของชายชราก็เงียบหายไป ยังคล้ายจะหายไปจากแดนลับเซียนแห่งนี้ถาวร…
“นับแต่นี้ต่อไปแดนลับเซียนแห่งนี้จักมิมีบึงไร้ก้นบึ้งอีกต่อไป และจักมิมีมรดกเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินปรากฏออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง!”
วาจาที่ชายชรากล่าวมาก่อนหน้า คล้ายจะดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
จากเรื่องราวของแดนลับเซียนที่ต้วนหลิงเทียนรับทราบมา การเปิดออกของแดนลับเซียนแต่ละครั้ง มรดกเวทย์พลังแม้จะมีผู้สืบทอดได้แค่คนเดียวแต่นั่นก็หมายถึงในรอบที่เปิดออกเท่านั้น หากแดนลับเซียนปิดลง และเปิดออกครั้งหน้า…มันก็จะกลับมาให้ผู้คนรับสืบทอดไปอีกครั้ง!
ทว่าเวทย์พลังที่ได้รับสืบทอดแล้ว แต่มรดกเวทย์พลังจะหายไปเลยแบบนี้…เขาไม่เคยได้ยินว่ามีบันทึกมาก่อน!
และจากที่ฟัง เสียงชายชราก็ไม่คล้ายจะโกหกเขา
“ถ้าอย่างนั้น…ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครได้รับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินอีกเป็นคนที่สองในตำหนักฟ้าลี้ลับงั้นเหรอ?”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านบททดสอบของบึงไร้ก้นบึ้งจนได้รับสืบทอดปฐมเวทย์กลืนกินมา…แต่อย่างไรเสียการทำให้ศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับสิ้นโอกาสได้รับเวทย์พลังนี้ถาวร ก็ทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย
“ครั้งนี้ข้านับว่าติดหนี้บุญคุณตำหนักฟ้าลี้ลับครั้งใหญ่แล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำกล่าวออกมาเสียงอ่อน
เขานับว่าติดค้างตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วจริงๆ
“ช่างเถอะ…วันไหนที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียน และสามารถเพาะสร้างต้นแบบปฐมเวทย์กลืนกินได้ ข้าก็แค่ถ่ายทอดให้ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่เหมาะสมสักคนก็สิ้นเรื่อง! เท่านี้ก็ไม่นับว่าข้าติดค้างอะไรแล้ว!!”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อย หลังจากที่คิดวางแผนเรื่องราวไว้เสร็จสรรพ
สิ่งที่เขารู้สึกกังวลมากที่สุดก็คือหนี้บุญคุณ ไม่ว่าจะในชีวิตที่แล้วหรือชีวิตนี้เขาเป็นคนที่ไม่ชอบติดค้างใคร เพราะสำหรับเขาสิ่งที่ยากชดใช้ตอบแทนที่สุดในโลกก็คือบุญคุณคน! หากเป็นสหายที่ให้ความช่วยเหลือกันก็ว่าไปอย่าง…แต่ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ใช่!!
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รับทราบเลย ว่าปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาได้รับสืบทอดมาจากพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้งนั้นนั้น ต่อให้ว่ายตามองทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็นับเป็นเวทย์พลังที่มีระดับสูงล้ำที่สุด!!
มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่รู้ย่อมไม่กลัว’ นับว่าช่างเข้ากับต้วนหลิงเทียนตอนนี้นัก
แต่ไม่ว่าจะอะไรยังไง ตอนนี้ในเมื่อเขาได้รับมันมาแล้ว เขาก็ย่อมรู้สึกยินดีมีสุขเป็นธรรมดา..
“จะว่าไป นี่มันก็ปาเข้าไป 2 เดือนได้แล้วหลังจากที่เข้ามาในแดนลับเซียน…เหลือเวลาอีกแค่เดือนเศษ ทุกคนก็จะถูกขับออกจากแดนลับเซียน…ต้องหาพวกนั้นให้เจอให้เร็วที่สุด!”
‘พวกนั้น’ ที่ต้วนหลิงเทียนว่าย่อมหมายถึงหวางเฟยเซวียน กับหลิวเจี้ยน!
ก่อนที่จะเข้ามายังแดนลับเซียน เขาได้ตกลงกับทั้งสองคนไว้ว่าจะร่วมมือกัน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เข้าในแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พบเจอทั้งคู่เลยตลอดการเดินทาง
“หากเจอพื้นที่มรดกเวทย์พลังอะไรอีก คงไม่อาจเข้าไปสำรวจได้…ต้องเร่งหาพวกนั้นให้เจอก่อน!”
ดั่งที่กล่าวไว้ว่าหนี้บุญคุณเป็นอะไรที่ยากชดใช้ และต้วนหลิงเทียนก็ไม่ชอบความรู้สึกติดค้าง เขาจึงหวังว่าจะได้ช่วยหลิวเจี้ยนให้ได้รับเวทย์พลังให้เร็วที่สุด
ตราบใดที่เขาสามารถช่วยให้หลิวเจี้ยนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง ก็เสมือนเขาได้ตอบแทนบุญคุณอาวุโสหลิวหงกวงทางอ้อม
5 วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเข้าไม่ได้รีบร้อนเข้าไปสำรวจ
ตอนนี้ลำดับความสำคัญสูงสุดของเขาคือ หาหลิวเจี้ยน และหวางเฟยเซวียนให้พบ!
ในที่สุดหลังจากผ่านไปอีก 8 วันต้วนหลิงเทียนก็ได้เจอกับหวางเฟยเซวียน…ทว่านางอยู่คนเดียว
“เจ้ายังหาหลิวเจี้ยนไม่เจอหรือ?”
หวางเฟยเซวียนไม่ทันได้สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีต้วนหลิงเทียนก็มาโผล่ตรงหน้าและยิงคำถามออกมาแล้ว
และแน่นอนว่าการปรากฏตัวออกมาราวภูตผีของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้หวางเฟยเซวียนสะดุ้งโหยงไปด้วยความตกใจ หากแต่นางกลับไม่ได้กรี๊ดวี๊ดว้ายอะไร เพียงตั้งท่าต่อสู้เท่านั้น และพอเห็นว่าเป็นต้วนหลิงเทียน สองตาก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความยินดี “ฮ้า! ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว!!”
“สำหรับหลิวเจี้ยน…”
หวางเฟยเซวียนยิ้มเจื่อนๆ “ข้าเองก็พึ่งเจอมันเมื่อไม่กี่วันนี่เอง…แต่เมื่อวานนี้มันถูกกำจัดออกจากแดนลับเซียนไปแล้ว”
“อะไร? ถูกกำจัดไปเมื่อวาน?!”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วย่นยู่ทันที หลิวเจี้ยนถูกกำจัดไปแล้วแบบนี้ ไม่ใช่หมายความว่าเขาหมดโอกาสตอบแทนบุญคุณหลิวหงกวงหรือไร?
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเคร่งเครียด หวางเฟยเซวียนก็คล้ายเดาเรื่องราวในหัวต้วนหลิงเทียนออก พลันกล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะ “ใจเย็นๆ หนี้ที่เจ้าติดค้างอาวุโสของหลิวเจี้ยน ข้าได้ช่วยเจ้าตอบแทนแล้ว…ก่อนที่จะถูกกำจัดข้ากับหลิวเจี้ยนก็ได้ค้นพบมรดกเวทย์พลังชิ้นหนึ่ง และข้าก็ได้ทำตามกฏที่เจ้าบอกไว้ ว่าจะมอบมรดกเวทย์พลังที่พบเจอให้หลิวเจี้ยนก่อน…”
วาจานี้ของหวางเฟยเซวียนทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย
“แต่ที่ข้าพูด…นั่นหมายถึงตอนพวกเราอยู่ด้วยกัน”
ต้วนหลิงเทียนมองหวางเฟยเซวียนด้วยสายตาซับซ้อน “ในเมื่อข้าไม่ได้อยู่กับพวกเจ้า…พวกเจ้าก็ไม่เห็นจะต้องทำตามกฏที่ข้าบอกไว้ก่อนที่พวกเราจะเข้ามานี่”
ตอนที่ 1,787 : เวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหวระดับสูง
ถึงแม้ปากจะกล่าวไปแบบนั้น แต่ในใจต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณหวางเฟยเซวียนนัก!
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
หวางเฟยเซวียนยกมือขึ้นมาโบกส่งๆ ขัดคำต้วนหลิงเทียน “ไม่รู้ล่ะตอนนี้เจ้าไม่ได้ติดค้างมันแล้ว…แต่ตอนนี้เจ้าติดค้างข้าแทน! เจ้าต้องช่วยข้า!!”
“ไม่มีปัญหา ข้าต้องตอบแทนเจ้าเป็นธรรมดา!”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว “อันที่จริง 3 วันที่แล้วข้าก็พึ่งพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังมา…ไปกันเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าให้ได้รับมรดกเวทย์พลังนั่น”
“ฮ้าช่างบังเอิญยิ่ง พอดีข้าเองก็พึ่งพบเบาะแสพื้นที่มรดกเวทย์พลังมาเช่นกัน!”
หวางเฟยเซวียนพลันยิ้มกล่าวออกมาพร้อมยักคิ้ว
“อ้อ?”
ต้วนหลิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าหลังพบมรดกเวทย์พลังจนช่วยให้หลิวเจี้ยนได้รับสืบทอดไปแล้ว หวางเฟยเซวียนจะยังพบมรดกเวทย์พลังอีกแห่ง
“อันที่จริงพูดไปเจ้าหลิวเจี้ยนมันก็ตายในพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ข้าว่านี่ล่ะ…พื้นที่มรดกเวทย์พลังนั่นอันตรายยิ่งกว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่พวกเราพบเจอแห่งแรกมาก! อย่างไรก็ตามยิ่งอันตรายผลตอบแทนยิ่งสูง…เวทย์พลังที่บันทึกไว้ของที่นั่นย่อมไม่ใช่เวทย์พลังธรรมดาแน่นอน!!”
หวางเฟยเซวียนกล่าว
ต้วนหลิงเทียนเองก็เห็นด้วยกับวาจานี้ของหวางเฟยเซวียนอย่างยิ่ง
ในฐานะ ‘คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน’ ต้วนหลิงเทียนย่อมกระจ่างในเรื่องนี้เป็นธรรมดา
ก็เหมือนกันกับพื้นที่มรดกเวทย์พลังอย่าง บึงไร้ก้นบึ้ง ที่เขาพบก่อนหน้านี้ นอกจากจะมีบททดสอบมากถึง 9 บททดสอบแล้ว…บางบททดสอบยังยากเย็นนัก!
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ยากได้ ผลตอบแทนก็สูงล้ำเช่นกัน!
ปฐมเวทย์กลืนกินนั้นเป็นเวทย์พลังระดับสูงแน่นอน และต้วนหลิงเทียนยังเชื่อว่าต่อให้เป็นในบรรดาเวทย์พลังระดับสูงด้วยกัน ปฐมเวทย์กลืนกินก็ต้องอยู่อันดับต้นๆ!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รู้เลย ว่าเวทย์พลังอย่าง ปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาได้รับมา คือการดำรงอยู่ของ เวทย์พลังอันดับ 1 ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ! ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันจากบรรพชนตำหนักฟ้าลี้ลับ!!
“พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เจ้าค้นพบอยู่ไกลจากที่นี่มากหรือไม่? พวกเราไปอันที่ใกล้ก่อนดีไหม?”
หวางเฟยเซวียนกล่าวถาม พร้อมเสนอแนะ
ต้วนหลิงเทียนไม่ขัดข้องกับข้อเสนอของหวางเฟยเซวียน
หลังจากที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ก็พบว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังของหวางเฟยเซวียนใกล้กว่า จึงเริ่มจากการไปที่นั่น
“ว่าแต่เจ้าช่วยให้หลิวเจี้ยนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับใดเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“สมควรเป็นเวทย์พลังระดับกลาง…เพราะบททดสอบสุดท้ายที่ข้าผ่าน ครึ่งนึงต้องขอบคุณโชคของข้า!”
หวางเฟยเซวียน
“หลิวเจี้ยนนับว่าโชคดีไม่น้อย”
ได้ฟังคำของหวางเฟยเซวียนต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ ก่อนที่จะกล่าวออก “งั้นพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เจ้ากำลังจะพาข้าไป ต้องมีระดับสูงกว่าที่เจ้าพบกับหลิวเจี้ยนงั้นสิ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามไปอย่างนั้น เขาเองก็รู้คำตอบดีแก่ใจ
เพราะสุดท้ายแล้วที่ๆกำลังจะไป หลิวเจี้ยนก็ถึงกับพลาดพลั้งตกตาย!
และหลังจากที่หลิวเจี้ยนตายตก หวางเฟยเซวียนก็ไม่ได้รับสืบทอดเวทย์พลังอะไรมา นั่นหมายความว่านางคนเดียวไม่อาจผ่านบททดสอบได้..
“อื้อ”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับ
“แล้วจากการประเมิน เจ้าคิดว่าที่นั่นสมควรเป็นมรดกเวทย์พลังระดับใด?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
หวางเฟยเซวียนโค้งคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่ง ค่อยกล่าวตอบด้วยใบหน้าจริงจัง “สมควรเป็นเวทย์พลังระดับกลางแน่นอน…กระทั่งยังถือเป็นเวทย์พลังระดับกลางที่ยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา”
“นับว่าเจ้ามีโชคนักที่ได้พบมรดกเวทย์พลังระดับกลางถึง 2 แห่ง”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
หลังจากนั้นคล้ายมีบางอย่างกวนใจต้วนหลิงเทียนเล้กน้อย เขาจึงกล่าวออกมาอีกครั้ง “มีคำกล่าวที่ว่า พี่น้องสนิทกันบัญชียังต้องโปร่งใส…ในเมื่อพวกเรามีพื้นที่มรดกเวทย์พลังกันคนละที่เช่นนั้นจะแบ่งกันอย่างไร แล้วพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่พวกเราพบในวันหน้าจะแบ่งกันอย่างไร…ผลัดกันดีหรือไม่?”
“ส่วนตอนนี้ก็เอาแบบนี้ก่อนเป็นไง พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ข้าพบเมื่อ 3 วันก่อนก็เป็นของข้า ส่วนที่เจ้าพบก็เป็นของเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วเจ้าได้ลองเข้าไปในพื้นที่มรดกเวทย์พลังของเจ้าแล้วหรือยัง?”
หวางเฟยเซวียนไม่รีบตอบคำของต้วนหลิงเทียน หากแต่เลือกที่จะกล่าวถามออกมาแทน
“อะไร? เจ้ากลัวว่ามรดกเวทย์พลังที่ข้าพบจะมีระดับสูงกว่าของที่เจ้าพบงั้นหรือ?”
ได้ยินหวางเฟยเซวียนถามมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ได้ทันทีว่านางคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกไปเบาๆค่อยถาม “เจ้าอยากแลกไหมล่ะ?”
เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนแฉความในใจ หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา “แลกก็แลกสิ! คิดว่าข้ากลัวหรือ!?”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องแลกหรอก บอกเจ้าตามตรงมรดกเวทย์พลังที่ข้าเจอข้ายังไม่ได้ลองเข้าไปสำรวจดูด้วยซ้ำ…ข้าจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านในมันเป็นยังไง เอางี้สิ…เจ้าก็รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังของเจ้าไปก่อน พอไปถึงของข้าหากเจ้าชอบข้าจะยกให้เจ้าเป็นไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “แต่มรดกเวทย์พลังที่พบในภายหลัง 2 แห่งก็ต้องเป็นของข้า ตกลงไหม?”
มาตอนนี้หวางเฟยเซวียนจึงตระหนักได้ว่า ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จริงๆว่ามรดกเวทย์พลังที่เจอมีระดับใด หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่ถามนางออกมาแบบนี้
แถมจากวาจาอีกฝ่าย ก็บอกได้ทันทีว่ากำลังคิดเพื่อนาง
จังหวะนี้อดไม่ได้ที่แก้มของหวางเฟยเซวียนจะขึ้นสีระเรื่อ “เอาอย่างที่เจ้าว่าตอนแรกแหล่ะ…ที่ข้าพบก็เป็นของข้า ที่เจ้าพบก็เป็นของเจ้า ส่วนหากมีโชคพบมรดกเวทย์พลังที่อื่น พวกเราก็ค่อยผลัดกัน”
“ตกลงตามนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยให้หวางเฟยเซวียนนำไปยังพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่หลิวเจี้ยนตกตาย
ต้องกล่าวเลยว่าโชคของหวางเฟยเซวียนนั้นดีไม่น้อย เพราะพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้แม้จะไม่ยากเหมือนกับบึ้งไร้ก้นบึ้ง แต่ก็ยากกว่าหอคอยลิ่วเหอรวมถึงพระราชวัง 6 โถงที่ต้วนหลิงเทียนผ่านมาก่อนหน้า
“ดูเหมือนจะเป็นดั่งที่เจ้าคาดไว้จริงๆ มรดกเวทย์พลังชิ้นนี้ หากไม่ใช่ระดับสูง ก็ต้องเป็นระดับกลางค่อนไปทางสูง”
หลังผ่านบททดสอบไปไม่กี่บททดสอบต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมา
หวางเฟยเซวียนที่มากับต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ก็ได้แต่เดินมองต้วนหลิงเทียนตาปริบๆ เพราะนางไม่ทันได้ลงมือทำอะไรสักอย่างเลยตั้งแต่เข้ามา
ทุกครั้งที่เจออันตรายหรือบททดสอบ ต้วนหลิงเทียนจะจัดการในพริบตา โดยที่นางไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือ
“อย่างไรเสียหากมันเป็นเวทย์พลังระดับสูง ข้าก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเวทย์พลังระดับสูงที่อยู่ระดับล่างๆในบรรดาเวทย์พลังระดับสูงด้วยกัน”
หวางเฟยเซวียนกล่าว
“หืม? เจ้าเปลี่ยนใจแล้วรึไง? อยากแลกกันไหมเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา ค่อยกล่าวแซว
“ฮึ่ม! หากเจ้าอยากแลกข้าก็ไม่ขัดข้องนะ”
หวางเฟยเซวียนเองก็กล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ช่างเถอะ ข้าไม่แย่งเจ้าหรอก…หากพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ข้าพบเป็นระดับต่ำขึ้นมา ข้ากลัวว่าตอนนั้นเจ้าอยากร้องก็ร้องไม่ออก…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
หลังจากที่ค้นพบพื้นที่มรดกเวทย์พลัง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทันได้เข้าไปสำรวจ เพราะเขาคิดตามหาหลิวเจี้ยนกับหวางเฟยเซวียนให้เจอก่อน เขาจึงไม่รู้ว่ามันจะมีระดับใด
“หลิวเจี้ยนถูกฆ่าในบททดสอบถัดไป…ตอนนั้นข้าไม่มีเวลามากพอจะช่วยมัน”
หวางเฟยเซวียนกล่าว
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ในเมื่อเขารู้แล้วว่าหวางเฟยเซวียนได้ช่วยเขาตอบแทนบุญคุณหลิวเจี้ยน ตอนนี้ที่เขาต้องทำก็แค่ช่วยหวางเฟยเซวียนเป็นการตอบแทนนางกลับ…
ไม่นานก็มาถึงบททดสอบถัดไป
บททดสอบที่ยากที่สุดสำหรับหวางเฟยเซวียนนั้น เป็นอะไรที่ง่ายดายสำหรับต้วนหลิงเทียนนัก ใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจเขาก็สามารถกวาดล้างอุปสรรคในบททดสอบนี้ได้
เช่นเคย หวางเฟยเซวียนได้แต่ยืนอึ้งตาปริบๆ
‘พลังฝีมือของเจ้าทึ่ม…น่ากลัวว่าต่อให้เป็นขอบเขตเซียนขัดเกลาชั้นสูงสุดก็ยังเป็นชนชั้นยอดฝีมือ’
หวางเฟยเซวียนครุ่นคิดอย่างจริงจังขณะมองแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนไม่วางตา
และไม่นานก็มาถึงบททดสอบสุดท้าย
และบททดสอบสุดท้ายก็มีผู้พิทักษ์สตรี ที่มาในชุดวาบหวามที่ควรเปิดก็เปิดที่ควรปิดก็ปิด แลดูเร่าร้อนยั่วยวนนัก การเคลื่อนไหวของนางแต่ละท่วงท่าล้วนมากเสน่ห์มัดใจ
เมื่อเห็นการลงมือของผู้พิทักษ์สตรีคนนี้ สีหน้าหวางเฟยเซวียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เพราะพลังฝึกปรือของผู้พิทักษ์สตรีนางนี้กลับบรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
ซ้ำร้ายพออีกฝ่ายเริ่มใช้ออกด้วยเวทย์พลัง ความเร็วก็พุ่งสูงขึ้นไปแตะขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นทันที ใบหน้าของหวางเฟยเซวียนพลันเผยความขื่นขมยากกล้ำกลืนออกมาทันใด ‘อย่าบอกนะ ว่าข้าหวางเฟยเซวียนสิ้นไร้วาสนากับมรดกเวทย์พลังแห่งนี้จริงๆ?’
ถึงแม้ตอนนี้จะมีต้วนหลิงเทียนช่วยเหลือ หากแต่หวางเฟยเซวียนก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
บางทีความแข็งแกร่งในแง่ของพลัง ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย ทว่าพออีกฝ่ายใช้เวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหวออกมา ความเร็วก็บรรลุถึงอริยะเซียนขั้นต้นทันที!
“เร็วจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบว่าหลังใช้เวทย์พลัง ความเร็วของผู้พิทักษ์สตรีนางนี้กลับเทียบได้กับความเร็วของผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียน!
ต้องทราบด้วยว่าความเร็วสูงสุดของเขาก็ยังอยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นเช่นกัน
“หลิงเทียนถ้ามิไหวพวกเราก็รีบหนีเถอะ…”
หวางเฟยเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แม้จะไม่ยินยอมพร้อมใจแค่ไหน แต่นางก็จำต้องตัดใจกล่าวออก เพราะนางกลัวว่าหากฝืนรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปเดี๋ยวจะไม่มีแม้แต่โอกาสหลบหนี!
อย่างไรก็ตามพอกล่าวจบหวางเฟยเซวียนก็พบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ตอบสนองอะไร คล้ายจะไม่สนใจคำพูดของนาง
ทันใดนั้นนางก็คิดหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกรอบ แต่นางก็พบว่านางไม่อาจมองเห็นร่างต้วนหลิงเทียนได้เลย อีกฝ่ายกลับอันตรธานหายไปไหนแล้วไม่รู้
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
เสียงแหวกฝ่าสายลมด้วยความเร็วสูงดังขึ้นในอากาศ ไม่นานก็บังเกิดเสียงระเบิดดังปงปังจากการปะทะดังขึ้นในอากาศไม่หยุด!
“เจ้าทึ่ม…”
ตอนนี้ต่อให้ไม่เห็นหวางเฟยเซวียนก็ตระหนักได้ ว่าต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้เสียเปรียบอะไรผู้พิทักษ์สตรี! เขาสามารถตามการเคลื่อนไหวของนางได้ทัน!!
ร่างผู้พิทักษ์สตรีที่ปะทะกับต้วนหลิงเทียนนับว่าเคลื่อนไหวด้วยกลวิธีประหลาดนัก เบื้องหน้าในสายตาหวางเฟยเซวียนเต็มไปด้วยเงาติดตา! ทำให้เสมือนมีร่างผู้พิทักษ์สตรีอยู่เป็นพันคน!!
การที่มีภาพติดตาของนางอยู่นับพันเช่นนี้ ก็บ่งบอกให้รู้ว่านางกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเพียงใด!
ทว่าสิ่งที่ทำให้หวางเฟยเซวียนประหลาดใจก็คือ แม้ผู้พิทักษ์สตรีจะใช้การเคลื่อนไหวอันน่าตื่นตระหนก และสำแดงออกด้วยความเร็วของขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น แต่ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะรับมือได้อย่างไม่เสียเปรียบ!!
“เร็วจริงๆ…”
ตอนนี้ทางต้วนหลิงเทียนเองก็แปลกใจไม่น้อย เพราะเขาพบว่าผู้พิทักษ์สตรีที่มีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนางนี้ กลับสามารถแสดงความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้นได้ถึงจุดสูงสุด!
ในแง่ของความเร็ว นางไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเขาอีกต่อไป…
‘ปราณแรกกำเนิดของนางยังคงเป็นปราณแรกำเนิดของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแน่นอน…เหตุผลที่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของนางสูงแบบนี้ สมควรเป็นผลของเวทย์พลังที่นางใช้ออกล้วนๆ…เช่นนั้นเวทย์พลังที่เป็นมรดกตกทอดของพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ สมควรเป็นเวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหวที่นางใช้ออกไม่ผิดแน่!’
ต้วนหลิงเทียนที่สามารถตามความเร็วของสตรีผู้พิทักษ์ที่กลายเป็นเงามายานับพันได้ รู้สึกทึ่งในใจอยู่บ้าง
ตอนที่ 1,788 : ภูตมายาพันเงา
หากต้วนหลิงเทียนกับผู้พิทักษ์สตรีปะทะกันในที่เปิดโล่งด้วยความเร็วที่ทัดเทียมกัน ด้วยลูกเล่นที่นางมีเขาอาจจะพลาดพลั้งหรือเสียท่านางได้
อนิจจาตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในพื้นที่ปิด
เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้แคบอะไรขนาดนั้น หากแต่อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้กว้างเทียบเท่าด้านนอกที่มีพื้นที่อิสระ จึงทำให้แลดูแคบลงถนัดตา
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงอาศัยการก้าวย่างคุมพื้นที่อย่างแยบคาย ไม่นานก็ต้อนนางให้จนมุมได้สำเร็จ
ในแง่ของความเร็วผู้พิทักษ์สตรีเทียบได้กับต้วนหลิงเทียน
หากแต่ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวมแล้ว นับว่านางด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนมาก เพราะความเร็วที่นางได้รับมา มันเป็นผลจากเวทย์พลังเท่านั้น
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงฆ่านางได้ไม่ยากเย็น มือพุ่งไปกอบกุมลำคอก่อนที่จะออกแรงบีบเล็กน้อย ค่อยชมดูร่างที่คอหักสลายหายไปในอากาศ
“เจ้า…”
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้หวางเฟยเซวียนตะลึงลานแล้วจริงๆ นางหันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ลมหายใจยังรู้สึกขาดห้วง “กับสตรีงดงาม เจ้าต้องลงมืออำมหิตเพียงนี้…”
“อะไร? หรือเจ้าอยากให้ข้าปล่อยนางไป?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มเฉย ค่อยกล่าวตอบ
หลังจากนั้นไม่ทันไรความว่างกลางอากาศก็เริ่มสั่นไหว รอยแยกหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่นานก็มีป้ายศิลามหึมาหนึ่งค่อยเคลื่อนออกมาจากรอยแยก สุดท้ายก็ร่วงไปตั้งตระหง่านบนพื้น!
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวางเฟยเซวียนทั้งกล่าวบอกนางทันที “รีบไปรับสืบทอดเวทย์พลังนั่นเถอะ พวกเราจะได้ไปพื้นที่เวทย์พลังต่อไป…”
“อ่อ…ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่สมควรเป็นเวทย์พลังระดับสูงที่มีไว้เสริมการเคลื่อนไหว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสริม
เวทย์พลังระดับสูง?
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนจึงตระหนักได้ว่า ผู้พิทักษ์สตรีเมื่อครู่สมควรใช้เวทย์พลังบางประการ
ตอนนั้นนางเองก็คาดเดาไว้ว่าสมควรเป็นเวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหว
คราวนี้พอได้ต้วนหลิงเทียนกระตุ้นเตือน นางก็มั่นใจว่าผู้พิทักษ์สตรีใช้เวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวจริงๆ
และทันทีที่หวางเฟยเซวียนแผ่สำนึกสติไปสัมผัสป้ายศิลา ความรู้และข้อมูลที่บันทึกไว้ในนั้นก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของนาง
“เป็นเวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวระดับสูง…ภูตมายาพันเงา!”
นอกจากนั้นนางยังได้รับทราบนามของเวทย์พลังที่กำลังจะได้รับสืบทอด!
ยิ่งตระหนักถึงข้อมูลที่ได้รับมามากเท่าไหร่ หวางเฟยเซวียนก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เพราะนางพบว่าเวทย์พลังเสริมท่าร่างภูตมายาพันเงานี้ กลับเป็นเวทย์พลังระดับสูงจริงๆ! ยังเหมาะสมกับนางนัก หากนางได้รับก็เสมือนได้ผลลัพธ์สองเท่าทั้งๆที่ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว!
เพราะนี่เป็นเวทย์พลังที่เหมาะสำหรับอิสตรี!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่นางบรรลุถึงเซียนมนุษย์ นางจะทำความเข้าใจและเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังนี้ได้ง่ายดายกว่าเดิมเพราะนางเป็นสตรี!
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเวทย์พลังนี้เพียงเพาะสร้างได้แต่อิสตรี เพียงแค่หากเป็นสตรีก็ใช้ความพยายามเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์สองเท่า! หากเป็นบุรุษคิดเพาะสร้างจำต้องเหนื่อยเป็น 2 เท่าแต่ผลลัพธ์กลับได้แค่ครึ่งเดียว!!
หวางเฟยเซวียนที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว นางก็ใช้เวลาแค่ 1 วัน 1 คืนในจดจำข้อมูลเวทย์พลัง ภูตมายาพันเงา จากป้ายศิลาได้สำเร็จ ตอนนี้นางเพียงรอให้ทะลวงถึงเซียนมนุษย์เท่านั้น นางก็จะทำความเข้าใจมันและลองเพาะสร้างต้นแบบของมันได้
และพริบตาที่หวางเฟยเซวียนรับข้อมูลเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตัวเขากับหวางเฟยเซวียนได้หวนกลับมาหยุดยืนในสถานที่ก่อนหน้าที่จะเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังแล้ว…
เขาก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้
นั่นเพราะเขามีประสบการณ์แบบนี้มามากกว่า 2 ครั้งแล้ว
“ไปกันต่อเถอะ…”
ในเมื่อออกมาแล้ว นั่นก็หมายความว่าหวางเฟยเซวียนรับถ่ายทอดข้อมูลจากมรดกเวทย์พลังเสร็จสิ้น ต้วนหลิงเทียนจึงหันไปเรียกนางที่พึ่งลืมตาทันที เพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เวทย์พลังที่เขาพบก่อนหน้า
ตอนนี้เวลาอยู่ในแดนลับเซียน มันเหลืออีกแค่ 20 วันเท่านั้น
จะได้รับเวทย์พลังอะไรเพิ่มเติมอีก ก็ขึ้นอยู่กับว่าในเวลา 20 วันหลังจากนี้โชคของทั้งคู่ยังดีอยู่หรือไม่…
แน่นอนว่านอกจากพึ่งโชคแล้ว ประสิทธิภาพในการลงมือก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดเอ้อระเหย พอหวางเฟยเซวียนลืมตา ถึงได้เร่งชวนนางออกเดินทางทันที
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ต้วนหลิงเทียนเหินร่างนำอยู่ด้านหน้า ส่วนหวางเฟยเซวียนติดตามอยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าฝ่ายหลังนั้นพุ่งร่างด้วยความเร็วสูงสุด หากแต่คนหน้ากลับชะลอความเร็วไว้เพื่อให้คนหลังตามทัน
ในขณะที่เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนมา หวางเฟยเซวียนรู้สึกซับซ้อนนัก สองตามองหลังต้วนหลิงเทียนอย่างเลื่อนลอย
‘ความเร็วที่เจ้าทึ่มใช้ออกก่อนหน้า สมควรก้าวข้ามเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปแล้ว…ความเร็วนั่นเทียบได้กับชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นเลย!’
ในฐานะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวีรสตรีของขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ดาบทรราช สายตาของหวางเฟยเซวียนย่อมไม่ใช่ชั่ว นางได้เห็นความเคลื่อนไหวของอริยะเซียนขั้นต้นมามากมาย
ดังนั้นนางจึงมั่นใจนัก ว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนช่วยให้นางผ่านบททดสอบสุดท้ายของพื้นที่มรดกเวทย์พลังก่อนหน้า อีกฝ่ายเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นแน่นอน!
‘ผู้พิทักษ์สตรีนางนั้นแม้พลังฝึกปรือมีเพียงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด หากแต่นางใช้เวทย์พลังภูตมายาพันเงาทำให้มีความเร็วสูงล้ำขนาดนั้น…ถึงขั้นเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น! แต่หลิงเทียนกลับไล่ต้อนนางได้ง่ายๆราวต้อนไก่…นั่นหมายความว่าความเร็วมิได้ด้อยไปกว่านาง! ไหนจะบีบคอนางตายง่ายๆอีก!!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกรอบ สายตาหวางเฟยเซวียนที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่ก็เผยประกายลุกวาวขึ้นมา
หัวใจของนางยังเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ
‘ไม่จริงน่า…’
หากแต่ไม่นานหวางเฟยเซวียนก็สะบัดหัวไปมา เพราะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ชายเบื้องหน้านั้น พึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่นาน และครั้งนั้นยังทำให้วังนภาปั่นป่วนครั้งใหญ่ ไม่สิโกลาหลไปทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับเลยก็ว่าได้ ‘เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าทึ่มพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ให้มีพรสวรรค์เลิศล้ำปานใด ก็ไม่อาจทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ไปถึงอริยะเซียนได้ในเวลาสั้นๆหรอก’
‘หากแต่…ถ้าเจ้าทึ่มยังมิได้ทะลวงด่านพลัง แล้วไฉนถึงบรรลุพลังกับความเร็วระดับนั้นได้เล่า?’
หวางเฟยเซวียนยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
สุดท้ายนางก็อดไม่ไหว จำต้องถามออกมาให้รู้แล้วรู้รอด “นี่…เจ้า…ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นแล้วเหรอ?”
“เจ้าถามข้า?”
ต้วนหลิงเทียนหันกลับมามองหวางเฟยเซวียนทั้งโค้งคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“เหลวไหล! พวกเรามีกันสองคนหากข้าไม่ถามเจ้าข้าจะถามใครเล่า!? หรือเจ้าคิดว่าข้าถามตัวเอง?”
หวางเฟยเซวียนที่แต่เดิมชักสีหน้าเคร่งขรึม พอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนนางก็คลายความขรึมหันกลับมากล่าวเสียงสูงด้วยความขุ่นขึ้งทันที
“ยังไม่”
เมื่อต้วนหลิงเทียนได้ยินคำถามนี้ เขาก็นิ่งไปพักหนึ่ง ค่อยส่ายหัวไปมา “ข้ายังไม่ได้ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น”
เขาเองก็อยากทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นให้เร็วที่สุดเช่นกัน เพราะตราบใดที่ทะลวงถึงขอบเขตนั้น เขาก็จะสามารถใช้เวทย์พลังที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้ได้ อีกทั้งยังเพาะสร้างเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินอันน่ากลัวนั่นไว้ใช้งานได้!
“เจ้ากลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้น ได้ แล้วไฉนยังมิใช่อริยะเซียนขั้นต้นเล่า?”
หวางเฟยเซวียนจ้องตาเขม็ง “เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
“หากข้าบอกเจ้าว่าข้าสามารถใช้เวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวได้แล้ว เจ้าจะเชื่อข้ารึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะถาม
“เพ้ย!”
หวางเฟยเซวียนจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหยียดๆ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร ถึงมาหลอกข้าว่าใช้เวทย์พลังได้ตั้งแต่ยังไม่บรรลุเซียนมนุษย์! ฝันละเมอของตัวโง่ง่ม!!”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มและไม่ได้อธิบายอะไรสืบต่อ เขาไม่อยากบอกความจริงกับนาง
สำหรับเรื่องที่เขาใช้ความเร็วของขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นได้ ล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งสิ้น…
อย่างไรก็ตาม ปราณสุริยันแรกกำเนิดนั้นเป็นความลับสำคัญของเขาอย่างหนึ่ง เพราะมันไม่เพียงเกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าหั่ว ยังพัวพันถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
‘จะว่าไปนี่ก็ผ่านมานานแล้วที่ข้าไม่ได้ตามหาวัตถุดิบเพื่อซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเลย…หลังออกจากแดนลับเซียนครั้งนี้ ลองใช้อำนาจของตำหนักฟ้าลี้ลับในการตามหาวัตถุดิบเพื่อใช้ซ่อมแซมชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติดีกว่า’
เมื่อคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็วางแผนคร่าวๆในใจ
การซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ได้ นับเป็นเรื่องที่สำคัญกับเขามาก
ก่อนอื่นเลยเขาจะได้รับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังที่ดีขึ้น!
นอกจากนี้อัตราการไหลของห้วงเวลาบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง ตามที่ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้มันยังเชื่องช้ากว่าอัตราการไหลของห้วงเวลาบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาก
ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ด้านในเจดีย์ผ่านไป 8 วัน หากแต่ด้านนอกยังพึ่งผ่านพ้นไปวันเดียวเท่านั้น!
เมื่อเทียบกับอัตราการไหลของห้วงเวลาในชั้น 3 แล้ว การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!
แน่นอนว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
เมื่อชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลงฟื้นฟูจนเสร็จสมบูรณ์ ผู้เฒ่าหั่วได้กล่าวบอกเขาเอาไว้ มิติภายในเจดีย์อาจมีเสถียรภาพ นั่นทำให้เขามีความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้น เพราะยามเจอภยันตรายใดๆ เขาสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์ได้!
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ความสามารถหลังสุดนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เย้ายวนใจเขามากที่สุด!
คนเราเกิดมามีหนึ่งชีวิต ต้วนหลิงเทียนเองก็เช่นกัน เช่นนั้นเขาจึงหวงแหนชีวิตของตัวเองนัก
หากให้กล่าวตามความสัตย์จริงก็คือ เขากลัวตาย!
อย่างไรก็ตามในโลกใบนี้นอกจากคนบ้ากับคนโง่แล้วยังมีผู้ใดบ้างที่ไม่กลัวตาย?
ยิ่งพลังฝึกปรือสูงส่งเท่าไหร่พลังฝีมือก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาทุ่มเท่ฝึกฝน ตรากตรำผ่านพ้นความยากลำบากมามากมายนาๆนับประการ ยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น
แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด
หากเป็นเขาในชีวิตที่แล้วเขาอาจคิดว่าร่างกายและชีวิตของตัวเองมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แต่ในชีวิตนี้มันไม่ใช่แบบนั้น…
ในชีวิตนี้เขามีญาติสนิทมิตรสหาย…
คนเหล่านี้คู่ควรให้เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้อง
“เวทย์พลังที่เจ้าได้รับสืบทอดมา ใช่เวทย์พลังที่ผู้พิทักษ์สตรีใช้รึเปล่า?”
เรื่องปราณสุริยันแรกกำเนิดเป็นความลับสำคัญของต้วนหลิงเทียน ดังนั้นเขาไม่คิดจะกล่าวถึงให้มากนัก จึงเลือกที่จะกล่าวถามหวางเฟยเซวียนเพื่อเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที
“มิผิด!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงเวทย์พลังที่นางได้รับ หวางเฟยเซวียนพลันฉีกยิ้มร่าเริงขึ้นมาทันที “เวทย์พลังที่ข้าได้รับสืบทอดมา เป็นเวทย์พลังของผู้พิทักษ์สตรีนั่นจริงๆ”
“มันเรียกว่าอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนถามด้วยความสงสัย
“ภูตมายาพันเงา!”
หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบ
“ภูตมายาพันเงา?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นทันที พอคิดถึงฉากที่เขาประมือกับผู้พิทักษ์สตรีก่อนหน้า เขาก็จดจำได้ว่านางเคลื่อนที่ไปรอบๆ จนก่อให้เกิดภาพติดตามากมาย “ช่างตั้งชื่อเวทย์พลังได้เหมาะสมจริงๆ…”
หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พาหวางเฟยเซวียนมาถึงพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เขาพบเจอ
“เจ้าว่าเวทย์พลังที่อยู่ในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้จะมีระดับใด”
ก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่มรดกเวทย์พลัง หวางเฟยเซวียนก็มองถามต้วนหลิงเทียนออกมา
“ไม่รู้สิ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
“หากเจ้ายังมิได้เข้าไปสำรวจ…ข้าคิดว่ามันเป็นพื้นที่เวทย์พลังระดับต่ำแน่ๆ”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาด้วยท่าทางยียวน ยังใช้นิ้วปัดขนตาเล่น
“ข้าหวังว่าปากพาซวยของเจ้าจะไม่ทำงานนะ…เพราะเวทย์พลังที่นี่เป็นของข้า!”
ต้วนหลิงเทียนถลึงตามองหวางเฟยเซวียนตาขวาง อย่างไรก็ตามทีท่าของเขากลับเป็นกันเองมากขึ้น คล้ายเป็นสหายกันมานาน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น