War sovereign Soaring The Heavens 1781-1784

 ตอนที่ 1,781 : เสี่ยงอันตราย!


หลังจากที่โผล่พ้นอุโมงค์มาย่ำเหยียบลงบนพื้นราบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปดู พบว่ามีมวลพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาล กำลังสาดถล่มลงมาจากฟ้าราวกับม่านน้ำตก ให้ความรู้สึกคล้ายพุ่งผ่านออกมาจากถ้ำน้ำตกอยู่บ้าง!


 


พลังงานอันน่ากลัวดั่งกล่าวมันเป็นมวลพลังที่จับตัวแน่นจนเป็นของเหลวสีขุ่นราวน้ำนม กลิ่นอายพลังที่แผ่กำจายออกมานับว่าทรงอำนาจไม่น้อย


 


“พลังนั่น…คล้ายจะถูกกระตุ้นให้สาดถล่มลงมาหลังจากที่ข้าออกจากอุโมงค์มืด…โชคดีที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดในกายข้าเปรียบได้กับปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นต้น ไม่งั้นข้าเจ็บหนักแน่!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกหวาดเสียวในใจ “ต่อให้เป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…ลองถูกมวลพลังเหลวนั่นซัดถล่ม ไม่ตายก็ต้องสาหัส!”


 


ณ จุดนี้ ต้วนหลิงเทียนที่เหมือนคนอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมเข้าใจชัดเจน!


 


“ไม่รู้ว่าบททดสอบที่ 3 จะเป็นยังไง…”


 


ระหว่างกล่าวพึมพำถึงเรื่องนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนที่จะหันไปมองมวลพลังสีขาวราวน้ำนมที่ยังถล่มลงมาดั่งม่านน้ำตกด้านหลัง ใจครุ่นคิดไป ‘อย่าบอกข้านะว่านั่นเป็นบททดสอบที่ 3 ของบึงไร้ก้นบึ้งนี่?’


 


ในตอนแรกต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกหวาดเสียวในใจไม่ทันคิดว่านั่นอาจจะเป็ยบททดสอบที่ 3 พอใจสงบลงจึงอดคิดไปไม่ได้


 


อย่างไรก็ตามหลังจากคิดแบบนี้ เขาก็เริ่มสงสัยในข้อสันนิษฐานของตัวเองขึ้นมา ‘แต่มันจะใช่เหรอ บททดสอบที่ 3 คงไม่ง่ายดายแบบนี้หรอกมั้ง?’


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกลังเลไม่มั่นใจ ว่ามันใช่บททดสอบที่ 3 หรือไม่…


 


“ช่างมัน…จะเป็นบททดสอบที่ 3 หรือไม่มันสำคัญยังไง? สุดท้ายก็ต้องมุ่งหน้าไปต่ออยู่ดี จนกว่าจะผ่านครบ 8 บททดสอบถึงจะได้เจอเจ้าของเสียงชรานั่น…แถมบททดสอบสุดท้ายสมควรเกี่ยวข้องกับเจ้าของเสียงนั่นแน่ ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะรอข้าที่บททดสอบสุดท้ายแบบนี้”


 


คิดถึงเสียงชราลึกลับหลังผ่านบดทดสอบแรก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


 


หากเขาผ่านบททดสอบทั้ง 9 ของบึงไร้ก้นบึ้ง รวมถึงการทดสอบสุดท้ายที่เจ้าของเสียงชรานั่น ก็หมายความว่าเขาจะได้รับสืบทอดเวทย์พลังจากที่นี่! และประเมินจากความยากที่เขาพบเจอ เวทย์พลังที่เขาจะได้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ดึงใจที่พุ่งพล่านให้สงบลงได้ ก่อนที่จะละสายตาจากพลังที่ถล่มลงจากฟ้าดั่งม่านน้ำตก และหันกลับมาดูเรื่องราวเบื้องหน้า


 


มาตอนนี้พอได้พินิจที่ทางโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขากำลังยืนอยู่ที่ปลายสะพานโค้งสะพานหนึ่ง


 


อีกด้านหนึ่งของสะพานโค้งเต็มไปด้วยหมอกสีขาวที่เจือไว้ด้วยสีแดงปกคลุมไปทั่ว บดบังทัศนวิสัยของต้วนหลิงเทียนจนไม่อาจแลเห็นสิ่งใดหลังม่านหมอกขาวแดงนั่นได้เลย


 


สะพานโค้งตรงหน้าก็กว้างใหญ่ไม่น้อย หากแต่มันพาดผ่านแม่น้ำที่คล้ายจะแห้งขอดไปแล้ว เพราะมองไปเบื้องล่างไม่เห็นสายธารสักหยาดหยด


 


“ข้ามไปดูก่อนแล้วกัน…”


 


ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะล้มเลิกย้อนกลับ เขาจึงก้าวออกไปยังสะพานโค้งเบื้องหน้า หมายเดินข้ามไปอีกฝั่ง


 


และทันทีที่เท้าเขาย่ำเหยียบลงบนสะพานโค้งได้ไม่ทันไร เขาก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งเพ่งเล็งมาที่ร่างเขา!


 


‘หรือนี่จะเป็นบททดสอบที่ 4’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคิดไปในใจ


 


และทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงประดังขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า เสมือนดั่งขุนเขากำลังถล่มลงก็ไม่ปาน


 


ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาคือโดดลอยขึ้นไปเหินร่างบนอากาศ หลีกเลี่ยงแผ่นดินไหวนี่เสีย!


 


อย่างไรก็ตามไม่ทันไรเขาก็พบว่าแรงกดดันที่เคยเพ่งเล็งเขา ที่แท้มันเป็นพลังอำนาจอาคมจากค่ายกลห้ามบินขั้นสูง ทำให้เขาไม่อาจลอยตัวหลีกเลี่ยงการยืนอยู่บนสะพานโค้งที่กำลังสั่นสะเทือนนี้ได้!


 


ครืน! เปรี๊ยะ! ครืน! แคร่ก! แคร่ก!!


 


……


 


นอกเหนือจากเสียงสะเทือนเลือนลั่นแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังได้ยินเสียงปริแตกชัดเจน มองไปก็พบว่าตอนนี้สะพานโค้งเริ่มปริร้าว คล้ายกำลังจะพังทลายลงในไม่ช้า!


 


อย่างไรก็ตาม พอต้วนหิงเทียนมองลงไปเห็นแม่น้ำที่แห้งขอดเขาก็ไม่ได้หวั่นวิตกอะไร เพราะต่อให้สะพานจะพังไปก็ไม่นับว่ามีปัญหาแม้แต่น้อย


 


ตึงงงงง!!


 


เสียงแตกหักดังขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง สะพานโค้งที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ กำลังถล่มลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว!


 


“ไหงถล่มเร็วนักล่ะ!?”


 


เห็นภาพนี้ต้วนหลิงเทียนก้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง การถล่มลงของสะพานมันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้


 


และตอนนี้ต่อให้เขาคิดหนีไป ก็คงยากจะออกจากสะพานโค้งนี่ได้ทันก่อนที่มันจะถล่ม!


 


เช่นนั้นเมื่อสะพานถล่มลง เขาก็โคจรเร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิดให้แผ่พุ่งออกมาทั่วร่างฉับไว ก่อเกิดเป็นระฆังกระบี่คลุมกาย หมายป้องกันการตกและแรงกระแทกการสะพานถล่ม…


 


นอกจากนี้ยังป้องกันเศษหิน ราวมถึงฝุ่นธุลีต่างๆที่จะกระเด็นเข้าใส่จากสะพานถล่มอีกด้วย


 


“สะพานนี่…ดูเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ”


 


ขณะเดียวกันสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เคร่งขรึมขึ้นทันที เพราะเขารู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้สมควรเป็นภาพมายาเสมือนจริง ไม่ใช่สิ่งของที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วการที่สะพานโค้งที่เขาพึ่งเดินขึ้นมาได้ไม่ทันไรพังลงแบบนี้ ต้องมีเหตุผลแน่นอน!!


 


ครืนนน! ครืนนน! ครืนนน! ครืนนน!


 


……


 


ในขณะที่ร่างของต้วนหลิงเทียนกำลังร่วงตกไปยังลำน้ำแห้งขอดพร้อมซากสะพาน เขาก็ได้ยินเสียงกระหึ่มดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฟังแล้วเสมือนเสียงน้ำป่าไหลหลาก!


 


ไม่สิ!


 


เสียงดังจากด้านหลัง มันฟังดูรุนแรงกว่าน้ำป่าไหลหลาก!


 


พอต้วนหลิงเทียนหันหน้ากลับไปดูตามสัญชาตญาณ เขาก็พบเห็นเป็นมวลพลังเหลวสีขาวราวน้ำนม ที่ไหลราวกับม่านน้ำตกก่อนหน้าที่ยังคงร่วงลงมาจากฟ้าไม่หยุด…


 


แต่ทว่าตอนนี้มวลพลังเหลวสีขาวนั่นก็คล้ายจะถล่มลงจากฟ้าด้วยปริมาณที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว! จนพื้นที่ด้านหลังเริ่มเอ่อท่วม! ทั้งมวลพลังเหลวนั่นยังเริ่มไหลมาเรื่อยๆปานจะเติมเต็มลำน้ำพร้อมเศษซากสะพานนี่!!


 


ตอนนี้ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนถูกจำกัดเอาไว้ด้วยอาคมห้ามบิน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจหนีไปไหนได้ นอกจากจะวิ่งข้ามลำน้ำแห้งขอดนี่ไปยังอีกฝั่งให้เร็วที่สุด!!


 


ทันใดนั้นเองเขาสัมผัสได้ว่าผืนดินมันสั่นสะเทือนรุนแรงกว่าเดิม เสียงมวลน้ำโถมมาดั่งคลื่นก็หนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม!!


 


และมวลพลังสีขาวราวน้ำนมนั่น ก็กำลังโถมมาด้วยความเร็วและความรุนแรงปานมวลน้ำมหาศาลที่ทะลักออกมาจากเขื่อนแตก!!


 


เรียกว่าหากโดนมวลพลังเหลวดั่งเขื่อนแตกนั่นซัดเข้าล่ะก็…คงได้เจ็บหนักไม่ต่างจากโดนมวลพลังเหลวนั่นร่วงจากฟ้ามาเหมือนม่านน้ำตกซัดแน่!


 


พอต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังทั้งสภาวะมวลพลังเหลวที่โถมมา ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด!!


 


เพราะพลังทำลายของมวลพลังเหลวสีขาวยามนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เขาเร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิดเต็มพลังใช้ออกด้วยระฆังกระบี่คลุมกายก็คงยากที่จะต้านทานรับเอาไว้ได้!!


 


หากนี่เป็นร่างกายที่แท้จริงของเขา กับอีแค่มวลพลังเหลวที่ถาโถมมาดั่งเขื่อนแตกแบบนี้ เขาสามารถใช้พลังดิบเถื่อนต้านทานได้อย่างไม่ยากเย็น!


 


ปัญหาคือนี่เป็นร่างอวตาร! ร่างกายมันเหมือนผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั่วไป! ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนร่างกายที่แท้จริงของเขา จึงทำให้พึ่งได้แค่ปราณสุริยันแรกกำเนิดเท่านั้น!!


 


“ข้าโดนมวลพลังนั่นซัดไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นได้ตายคาที่แน่!!”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กล้ารอช้าอะไรสืบไป รีบพุ่งร่างโดดไปตามเศษซากสะพานด้วยความเร็วสุดชีวิตหมายไปให้ถึงอีกฝั่ง!


 


ตูมมมม!!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพุ่งร่างออกไป ก็พอดีกันกับมวลพลังเหลวสีขาวที่ทะลักออกจากฟ้าจนไหลเชี่ยวมาปานเขื่อนแตก ก็เริ่มตกลงมาในลำน้ำแห้งขอด!


 


ดั่งเทน้ำลงราง พวกมันเริ่มทะลักไหลลงมาในลำน้ำแห้งขอดอย่างเชี่ยวกราด!!


 


พริบตามวลน้ำก็ทะลักออกมาเกือบครึ่งลำน้ำแห้งขอด กำลังไหลเชี่ยวไปในทางน้ำแห้งด้วยความเร็วสูง ราวกับหากไม่อาจเติมเต็มลำน้ำแห้งขอดแห่งนี้ได้มันไม่คิดจะหยุดยั้ง!!


 


มวลพลังเหลวสีขาวที่สาดโถมเข้ามาหน้าสุด ก็โดนแรงกระแทกจากการตกและอัดทับกันมาเรื่อยๆของมวลน้ำด้านหลัง ทำให้มันทวีความเร็วและแรงกระแทกมากขึ้นเรื่อยๆ โถมมาหนักหน่วงยิ่งกว่าเขื่อนแตก!!


 


เพียงแค่พริบตาความเร็วของมวลพลังเหลว ก็เหนือกว่าความเร็วในการพุ่งร่างของต้วนหลิงเทียน ระยะห่างระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนกระชั้นขึ้นทุกวินาที!!


 


“แย่แล้ว!”


 


ถึงจะไม่ได้มองย้อนกลับไป แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าตอนนี้มวลพลังเหลวกำลังใกล้เข้ามาทุกที ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก…


 


หากในทางน้ำแห้งขอดไร้สิ่งใด เขาคงรู้สึกเสมือนอีกฝั่งมันอยู่ใกล้นัก…


 


ทว่าตอนนี้เขารู้สึกเสมือนมันไกลแสนไกล!


 


ยามกังวลใจคนรุ่มร้อน เรียกว่าสามารถอธิบายสถานการณ์ที่ต้วนหลิงเทียนเป็นอยู่ได้ชัดเจน!


 


ครืนนน!! ครืนนน!! ครืนนน!! ครืนนน!!


 


……


 


มวลพลังมหาศาลที่โถมถันเข้ามามันทวีความเร็วและความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้มันก็เจียนจะซัดแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนเต็มที!


 


ห่างจากร่างต้วนหลิงเทียนที่พุ่งด้วยความเร็วสุดชีวิตอีกแค่ไม่กี่ก้าว!


 


และตอนนี้ระยะทางระหว่างอีกฝั่งกับต้วนหลิงเทียนก็ยังหลายสิบก้าวนัก! หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงได้โดนมวลพลังเหลวที่ทะลักมาดั่งน้ำเชี่ยวซัดกระแทก กระทั่งกลืนร่างเขาหายไปในความเกรี้ยวกราดของสายธารแน่นอน!!


 


มวลพลังมหาศาลตอนนี้ด้วยความที่อยู่ห่างจากต้วนหลิงเทียนไม่กี่ก้าว มันก็เริ่มซัดทำลายระฆังกระบี่คลุมกายของเขาจนพินาศแล้ว! เจียนบรรลุถึงร่างต้วนหลิงเทียนเต็มที!!


 


“มาสิวะ!!”


 


หลังจากระฆังกระบี่คลุมกายสลายไป ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง ใบหน้าหล่อเหลาก็เผยความตึงเครียดจริงจัง ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างปะทุออกมาเต็มกำลัง หลั่งไหลผ่านชีพจรเซียน 99 สายดั่งสายธารเชี่ยว!


 


เขตแดนหมื่นกระบี่!


 


ในช่วงเวลาวิกฤต ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเปิดใช้เขตแดนหมื่นกระบี่ออกมา


 


ทันทีที่เขตแดนหมื่นกระบี่ปราฏ รัศมีของมันมันก็ห่อหุ้มมวลพลังเหลวเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งหรือชะลออันใดได้


 


ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็เร่งเร้าพลังสุดตัวเพื่อใช้ออกด้วยหมื่นกระบี่รวมหนึ่งให้เร็วที่สุด และเพียงเสี้ยวพริบตากระบี่พลังสีทองนับหมื่นก็ควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองเล่มเขื่องที่เปล่งแสงเรืองรองดั่งดวงตะวัน


 


ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเพื่อควบคุมกระบี่พลังสีทองเล่มเขื่องให้เข้ามือ เร่งจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งหมดในร่างไปยังกระบี่พลังดังกล่าว!!


 


เมื่อสัมผัสได้ว่ามวลพลังเหลวห่างจากแผ่นหลังเพียงคืบ เจียนกระแทกซัดเข้าร่างเต็มที ต้วนหลิงเทียนพลันม้วนตัวกลับมาในห้วงเวลาวิกฤต!


 


ซู่มมม!!


 


กระบี่พลังสีทองเล่มเขื่องในมือถูกฟาดออกไปสุดกำลัง และไม่เพียงแต่มันจะอัดแน่นไปด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดเท่านั้น ยังมีพลังลึกล้ำจาก ยอดใจกระบี่ อีกด้วย!


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 


……


 


กระบี่ยักษ์วาดผ่าอากาศมาด้วยความเร็วอันฉับไว ความว่างที่ถูกกรีดผ่านยังสะท้านสะเทือน ยังมีแรงต้านซัดปะทะเข้ากระบี่ไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามถึงจะมีแรงต้าน แต่ความเร็วของกระบี่ก็ไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด


 


ในที่สุดมวลพลังเหลวดั่งคลื่นน้ำที่เจียนซัดกระแทกร่างต้วนหลิงเทียน ก็ถูกกระบี่ฟาดปะทะเข้าอย่างแรง!


 


ชั่วพริบตาดั่งฟ้าแลบ ยามเมื่อกระบี่พลังมีสภาพสีทองฟาดปะทะมวลพลังเหลว ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงพลังสะท้อนและแรงกระแทกอันหนักหน่วง!!


 


ง่ามมือพลันฉีกออก พลันให้รู้สึกปวดแสบดั่งไฟลุกไหม้ มวลพลังสะท้อนที่เหลือยังแล่นผ่านตัวกระบี่ผ่านมายังมือทะลักไหลไปตามแขนก่อนที่จะพุ่งเข้ามากระแทกภายในร่างของเขาอย่างรุนแรง!!


 


“อั๊คคค!!”


 


ต้วนหลิงเทียนอ้าปากกระอักโลหิตคำใหญ่ เลือดแดงเลือดดำล้วนทะลักออกมาดังพรวด!


 


ขณะเดียวกันนั้นกระบี่พลังมีสภาพสีทองก็พังทลายลงเพราะแรงปะทะจากมวลพลังเหลวที่โถมเข้ามาดั่งคลื่นคลั่งอันเกรี้ยวกราด!


 


ปงงง!!


 


ขณะที่กระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องพังทลาย มันก็ได้คายพลังมหาศาลออกมา! พลังดังกล่าวปะทุระเบิด กระแทกเข้าร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้อย่างจัง ซัดร่างเขาจนกระเด็นปลิดปลิว!!


 


ต้วนหลิงเทียนที่คล้ายจะเตรียมใจไว้แล้วไม่แข็งขืนอะไร คนพุ่งไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร ตีวงโค้งในอากาศค่อยร่วงตกลงริมฝั่งแม่น้ำ!!


 


ตึงงงง!!


 


และช่วงเวลาเดียวกันกับที่ร่างต้วนหลิงเทียนปลิวกระเด็นมาตกบนริมฝั่งแม่น้ำ มวลพลังเหลวที่โถมมาดั่งคลื่นเกรี้ยวกราดก็ซัดปะทะเข้าริมตลิ่งอย่างจัง ส่งเสียงดังสนั่นปานมังกรพิโรธคำราม!


ตอนที่ 1,782 : บททดสอบ…บัดซบ!


 


“อั๊ค…แค่กๆ”


 


“แฮ่ก แฮ่ก…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พลิกร่างมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ริมฝั่ง หายใจเร็วแรงด้วยความเหนื่อยหอบ เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เหม่อมองไปยังมวลพลังเหลวที่ท่วมเต็มลำน้ำแห้งขอดก่อนหน้าจนแทบล้นตลิ่ง ในใจอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว “เกือบแล้วไง…เกือบได้ตายอนาถแล้ว!”


 


หากตายก็หมายถึงถูกขับออกจากแดนลับเซียน!


 


ในที่สุดเขาก็ได้พบพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูงทั้งที เขาย่อมไม่ยินยอมถูกกำจัดออกไปง่ายๆ


 


‘ให้ตายเถอะ…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนแรก ข้าจะหลงคิดไปได้ว่ามวลพลังสีขาวที่ตกลงจากฟ้าดั่งม่านน้ำตกตอนแรกจะเป็นบททดสอบที่ 3 ของบึงไร้ก้นบึ้งไปซะได้…เมื่อครู่ต่างหาก ที่สมควรเป็นบททดสอบที่แท้จริงของบททดสอบที่ 3!’


 


ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้แล้วว่าบททดสอบที่ 3 ไม่ควรง่ายดายแค่นั้น


 


ถึงมวลพลังเหลวที่ตกจากฟ้าจะไม่ธรรมดาก็ตาม


 


ดังนั้นเขาจึงสับสนอยู่ไม่น้อยว่านั่นมันจะใช่บททดสอบที่ 3 หรือไม่…


 


แต่พอมาเจอเรื่องราวเสียวไส้เฉียดตายเมื่อครู่ เขาจึงคิดได้ว่านั่นสมควรเป็นบททดสอบที่ 3 ที่แท้จริง


 


มวลพลังเหลวสีขาวราวน้ำนม สะพานโค้งที่พักทลาย อาคมห้ามบิน แม่น้ำแห้งขอด นี่ถึงจะสมควรเป็นบททดสอบที่ 3!


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามวลพลังเหลวสีขาวราวน้ำนมในแม่น้ำยังคงเพิ่มระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ และเจียนจะล้นตลิ่งในไม่ช้า เขาจึงไม่คิดพักฟื้นฟูพลังอะไรอีก รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“อ้าว? หมอกหายไปแล้วหรือ?”


 


พอหันกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าหมอกขาวแดงก่อนหน้าได้หายไปแล้ว ทว่าพอมองไปเบื้องหน้า กลับเห็นเป็นผนังผาแห่งหนึ่ง อีกทั้งไม่เพียงแต่จะปิดกั้นด้านหน้า แต่ในนี้เสมือนเป็นถ้ำมหึมาแห่งหนึ่ง ไร้ทางไปไหนทั้งสิ้น


 


“ทางตัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้งไม่น้อย เมื่อพบว่าตัวเองคล้ายอยู่ในถ้ำมหึมาไร้ทางออกแห่งหนึ่ง


 


เนื่องจากระดับน้ำของมวลพลังเหลวสีขาวกำลังเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วสูง จนบัดนี้มันก็ล้นตลิ่งแล้ว คิดย้อนกลับไปยังอุโมงค์มืดมิดที่เขาเข้ามาก็สายเกินกาล เพราะมวลพลังเหลวมันสูงท่วมไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะย้อนกลับเข้าไป!


 


ในเมื่อไร้ซึ่งหนทางให้ย้อนกลับ ซ้ายขวาหน้าหลังด้านบนก็เป็นผนังผาไร้ทางไป ที่พอเป็นช่องก็ดันมีมวลพลังเหลวนั่นทะลักลงมาไม่หยุด…หรือจะให้เขารอความตายอยู่ตรงนี้?


 


ครึ่ก! ครึ่ก! ครืด!!


 


……


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังกังวลใจด้วยไม่เห็นหนทางที่จะไปต่อ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเหนือศีรษะ


 


ฟังจากเสียงที่ดังเข้าหูแล้ว ต้วนหลิงเทียนบอกได้ทันทีว่าไม่ใช่เสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ!


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งเงยหน้าขึ้นไปชมดูทันที และเขาพบว่า…สูงขึ้นไปมีช่องทางหนึ่งกำลังเลื่อนเปิดออก มองไปราวกับช่องลมเล็กๆ ขนาดน่าจะพอให้คนๆหนึ่งลอดผ่านไปได้!


 


อีกทั้งยังมีแสงไฟสาดส่องออกมาจากด้านใน คล้ายกำลังชี้ทางสว่างให้ต้วนหลิงเทียนเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น


 


เนื่องเพราะอาคมห้ามบินจำกัดอยู่แค่บริเวณแม่น้ำ ทำให้ตอนนี้เขาเหินบินได้แล้ว


 


ตึงงง!


 


เท้ากระทืบถีบพื้นส่งแรงกระโดดให้ร่างลอยขึ้นมา ก่อนที่จะเหินบินไปในอากาศ มุ่งไปยังช่องลมพึ่งเปิดออกทันที


 


ขณะเดียวกันเขายังหรี่ตามองไปยังแสงสว่างที่สาดส่องออกมานั่นด้วย ว่าต้นกำเนิดแสงคือสิ่งใด


 


และจากการวัดจากระยะคร่าวๆแล้ว เขาน่าจะต้องเหินขึ้นไปอีกหลายร้อยหมี่กว่าจะถึง


 


‘ยิ่งสูงก็ยิ่งดี’


 


พอคิดว่ามวลพลังเหลวสีขาวที่ไหลลงมายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และอีกไม่นานสมควรท่วมจนเต็มไปทั่วพื้นที่แห่งนี้แน่นอน เขาก็รู้สึกดีที่จะได้ขึ้นที่สูง อันเป็นที่ๆมวลพลังเหลวนั่นจะท่วมไปไม่ถึง!


 


ขณะที่เหินร่างขึ้นไปด้านบน ใจต้วนหลิงเทียนก็อดคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อครู่ไม่ได้ ‘บททดสอบที่ 3 ช่างอันตรายจริงๆ…ไม่รู้บททดสอบต่อๆไปจะยากเย็นขนาดไหน’


 


ด้วยมีบทเรียนอันดีจากบททดสอบที่ 3 ใจต้วนหลิงเทียนรู้สึกอึมครึมขึ้นมาไม่น้อย พอคิดถึงบททดสอบต่อๆไป


 


อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนเผชิญหน้ากับบททดสอบที่ 4 จริงๆ เขาก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ด้วยไม่คิดว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้…


 


บททดสอบที่ 4 ไม่ได้ทดสอบรุนแรงอะไร หากแต่เป็นการทดสอบวรยุทธ์แทน


 


ทดสอบวรยุทธ์?


 


ต้องทราบด้วยต้วนหลิงเทียนได้ละทิ้งวรยุทธ์ส่วนใหญ่ที่ฝึกปรือมาแทบหมดสิ้นแล้ว หากแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากลำบากอะไร เพราะเขากำลังบ่มเพาะเคล็ดยอดใจกระบี่อยู่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหนือกว่าทุกวรยุทธ์วิชาที่เขาเคยฝึกปรือมาทั้งสิ้น


 


เช่นนั้นแล้วบททดสอบที่ 4 จึงง่ายดายนัก!


 


หลังจากบททดสอบที่ 4 ก็เป็นบททดสอบที่ 5


 


และบททดสอบที่ 5 ก็ไม่เกี่ยวกับพลังฝีมือและพลังฝึกปรืออะไรเลย หากแต่เป็นบททดสอบความอดทนแทน…


 


ร้อยด้ายเข้าเข็มร้อยพันเล่ม…


 


นี่คือบททดสอบที่ 5…


 


“บททดสอบความอดทนอันบัดซบ!”


 


เห็นด้ายกับเข็มเป็นแสนๆชุดเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหน้าซีด…


 


ข้างๆมีป้ายศิลาตราอักขระไว้ชัดเจน เขาต้องร้อยด้ายเข้าเข็มให้ครบแสนเล่มถึงจะผ่านบททดสอบที่ 5 นี้ไปได้…


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝึกปรือไม่ใช่ชั่ว แต่การร้อยด้ายเข้าเข็มแบบนี้พลังฝึกปรือแทบไม่ช่วยอะไรเลย ที่สำคัญทั้งด้ายทั้งเข็มยังเล็กกว่าปกติ!


 


อีกทั้งไม่รู้ว่ากลัวผู้เข้าทดสอบจะใช้พลังวิญญาณควบคุมหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงออกแบบให้เข็มมันเปราะบางต่อพลังทุกชนิด ทำได้เพียงค่อยๆหยิบจับด้วยมือและร้อยด้ายเข้ารูเข็มทีละรูๆอย่างตั้งใจ…แน่นอนว่าด้ายก็ขนแตกปลายราวพู่กันที่ผ่านการใช้งานมาสิบปีแทบจะทุกเส้น!


 


จะใช้พลังบีบอัดด้ายให้เรียวเล็ก หรือเลียมันก็สุดแล้วแต่ท่าน…เอาที่สะดวก!


 


สำหรับบททดสอบที่ 5 นี้ต้วนหลิงเทียนจำต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน


 


สุดท้ายยามผ่านบททดสอบ ทัศนวิสัยเขายังกลายเป็นพร่ามัวด้วยต้องหยีตามาเนิ่นนาน


 


หากเลือกได้เขาย่อมกลับไปสู้กับสัตว์ร้ายในบททดสอบแรกสัก 10 รอบดีกว่า…!


 


ไม่สิ!


 


ต่อให้ต้องย้อนไปวิ่งข้ามแม่น้ำอย่างบททดสอบที่ 3 นั่นอีกครั้งเขาก็ยินดี เพราะบททดสอบที่ 5 นี้มันกินแรงใจเขานัก ยังทำให้รู้สึกอ่อนล้าถึงที่สุด!


 


ทำให้หลังจากที่ผ่านบททดสอบที่ 5 ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบร้อนไปยังบททดสอบที่ 6 แต่เลือกที่จะนอนพักผ่อนก่อนแทน


 


เพราะตอนนี้สายตาเขาล้าเต็มที! การร้อยด้ายเข้าเข็มนั่นไม่ใช่เรื่องตลก! แถมตอนนี้มองไปทางไหนไม่รู้หลอนหรืออย่างไร ที่เห็นก็เหมือนมีแต่ด้ายกับเข็มบัดซบพวกนั้น…


 


หลังจากนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าสู่บททดสอบต่อไป


 


บททดสอบที่ 6 ก็ไม่ได้ใช้แรงแต่อย่างไร


 


“ความเข้าใจ?”


 


บททดสอบที่ 6 ไม่ต้องออกเรี่ยวออกแรงแม้แต่น้อย เป็นการทดสอบองค์ความรู้และความเข้าใจของผู้คน สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนต้องทำก็คือ ปรับปรุงวรยุทธ์เซียนที่มีเคล็ดความไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์!


 


แน่นอนว่าวรยุทธ์เซียนเหล่านี้ล้วนเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์ทั้งสิ้น


 


หากเป็นก่อนหน้า การทำอะไรแบบนี้คงเป็นเรื่องตึงมือสำหรับต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง


 


แต่หลังจากที่เขาได้รับ ยอดใจกระบี่ และตระหนักได้ถึงขอบเขตที่ 2 ของมันแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับวรยุทธ์สรรพวิชาของต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงขอบเขตที่สูงกว่าเดิมมาก


 


ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขาก็จะปรับปรุงแก้ไขวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์ให้สมบูรณ์!


 


ต้วนหลิงเทียนจึงผ่านบททดสอบที่ 6 ไปได้อย่างไม่ยากเย็น


 


ต่อมาก็เป็นบททดสอบที่ 7…


 


“ทำไมข้ารู้สึกว่าบททดสอบหลังๆของ 9 บททดสอบนี่มันจะง่ายขึ้นเรื่อยๆนะ?”


 


เมื่อคิดถึงบททดสอบ 2 บทก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้ขึ้นมา


 


แต่ไม่นานเขาก็ได้รับทราบว่าบททดสอบที่ 7 คืออะไร


 


“ความอุตสาหะ?”


 


เมื่อเห็นหัวข้อของบททดสอบที่ 7 ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มออกมาทันที เพราะเรื่องนี้ฟังแล้วเหมือนจะง่าย


 


จนเมื่อเขาดูเนื้อหาว่าในการทดสอบรอบที่ 7 มีอะไรบ้าง ยิ้มเขาถึงได้ค้างเติ่ง หน้าถึงกับตึงขึ้นมาอีกครั้ง ใจยังอดไม่ได้ที่จะลอบสบถด่า ‘บัดซบ’ ดังๆ


 


“วิ่งวนรอบเสาเบื้องหน้าไปตลอด 7 วัน 7 คืน…และอย่างน้อยต้องวิ่งให้ครบหนึ่งล้านรอบถึงจะผ่าน?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับหน้าเหวอไปทันใด มองไปเบื้องหน้าก็เห็นเสาใหญ่สิบคนโอบต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่…


 


7 วัน 7 คืน?


 


หนึ่งล้านรอบ?!


 


หลังจากลองเดินวนรอบเสามหึมา 1 รอบ มุมปากต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา “ให้วิ่งรอบเสาโง่ๆนี่ตลอด 7 วัน 7 คืนหรือ…ต่อให้เป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็คงทนไม่ไหว…ข้ามันโง่เองที่คิดว่าการทดสอบนี้จะง่าย”


 


“สมแล้วที่เป็นการทดสอบความอุตสาหะ”


 


ยิ่งมายิ้มขื่นขมบนใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งเจื่อน…


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางเลือกอื่น…


 


อันที่จริง วิ่ง 7 วัน 7 คืนรอบเสา ให้ได้อย่างต่ำล้านรอบก็ไม่นับว่าเหลือบ่ากว่าแรงอะไรสำหรับเขา…


 


ทว่าในระหว่างที่วิ่งนั้นสิ่งที่เคี่ยวกรำจิตใจที่สุดก็คือความเบื่อหน่าย หากไม่มีความพยายามและอดทนล่ะก็ คงยากที่จะกระทำได้…


 


“วิ่งก็วิ่งสิ!”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกู่ร้องให้กำลังใจตัวเองออกมา ก่อนที่จะเอื้อมมือไปกดกลไกที่ยื่นออกมาบนเสา เพื่อเปิดอาคมนับรอบและจับเวลา


 


ด้วยโคจรใช้ออกด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดขณะวิ่ง ทำให้ความเร็วของเขานับว่าสูงนัก เพียงพริบตาก็สามารถวิ่งวนรอบเสาได้หลายรอบ!


 


ช่วง 3 วันแรกต้วนหลิงเทียนยังสามารถรักษาระดับความเร็วในตอนต้นเอาไว้ได้


 


ในวันที่ 4 แม้จะเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ต้วนหลิงเทียนก็พยายามปลุกเร้ากระตุ้นตัวเอง จนยังมีความเร็วสูงอยู่ ทว่าก็ช้ากว่า 3 วันแรกอย่างเห็นได้ชัด


 


‘ตอนนี้ข้ามาถึงบททดสอบที่ 7 แล้ว อีกแค่ 2 บททดสอบก็จะได้รับเวทย์พลังระดับสูง…หากไม่ผ่านบททดสอบนี่ แล้วที่ผ่านมาไม่เสียเปล่ารึไง?’


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็พยายามเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามการปลุกเร้าแรงใจให้ฮึกเหิมครั้งนี้ก็อยู่ได้แค่วันเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับไปเบื่อหน่ายและหงุดหงิดอีกครั้ง


 


3 วันสุดท้ายนับว่าเป็นช่วงเวลาหฤโหดที่สุดสำหรับต้วนหลิงเทียนจริงๆ


 


เขายังคิดไปว่าบททดสอบระดับที่ 7 นี่ช่างยากเย็นเหนือกว่าทุกบททดสอบที่ผ่านมาเสียอีก


 


สุดท้ายหลังจากใช้เวลาไป 7 วันกับอีก 6 คืน ต้วนหลิงเทียนก็สามารถวิ่งได้ครบ 1,000,000 รอบ ทำให้คืนสุดท้ายเขาเพียงวิ่งเหยาะๆไปราวร่างไร้วิญญาณ ฝืนทนให้ครบกำหนดเวลา…


 


หลังจากที่ฟ้าสว่าง ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อปานแช่น้ำก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น


 


ถึงแม้นี่จะเป็นร่างอวตาร แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากร่างผู้คนทั่วไป ทำให้มีเหงื่อออก


 


แน่นอนว่าเป็นเพียงร่างกายผู้คนทั่วไป ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนร่างกายที่แท้จริงของเขา


 


หากเป็นร่างกายที่แท้จริงของเขาตอนนี้ อย่าว่าแต่วิ่ง 7 วัน 7 คืน ให้เป็นสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่มีปัญหา!


 


“แฮ่กๆๆ…นานเท่าไหร่แล้วกัน ที่ข้าไม่ได้เหนื่อยขนาดนี้…ไม่ไหวแล้ว! ข้าต้องนอนพักก่อนสักสามวันค่อยไปต่อ!!”


 


ถึงแม้หลังวิ่งเสร็จต้วนหลิงเทียนจะบ่นว่าต้องนอนพักถึงสามวัน แต่เอาเข้าจริงหลังนอนพักไปแค่ครึ่งวันพละกำลังของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยม จึงลุกขึ้นไปลุยบททดสอบที่ 8 ต่อ


 


บททดสอบที่ 8 นั้นตั้งอยู่ในพระราชวังใต้ดินอันกว้างใหญ่ ทันทีที่ถูกส่งตัวเข้ามาต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณประการหนึ่ง ทำให้รู้สึกเสมือนได้ย้อนกลับไปยังยุคโบราณ


 


สิ่งที่โดดเด่นในพระราชวังโบราณนี้ก็คือ ลานกว้างหน้าพระราชวังใต้ดิน มีรูปปั้นทหารเรียงรายเป็นกองทัพ


 


รูปปั้นทหารพวกนี้มาในชุดเกราะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพียบพร้อมไปด้วยทหารม้า ทหารราบ พลธนู ‘มองไปคล้ายกองทัพทหารดินเผาที่อยู่ในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เมื่อชีวิตที่แล้วของข้าเลย…อย่าบอกนะว่าทัพทหารพวกนี้คือบททดสอบที่ 8’


 


พอคิดได้ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที


ตอนที่ 1,783 : แข็งแกร่งทัดเทียมอริยะเซียนขั้นต้น!


 


รูปปั้นทหารแต่ละทัพเรียงรายเป็นตับเป็นแถว มองจากไกลๆแลดูเรียบร้อยสวยงามนัก


 


ต้วนหลิงเทียนหันมองไปซ้ายทีขวาที ก็สามารถนับจำนวนได้คร่าวๆ


 


‘หรือการทดสอบรอบที่ 8 จะให้ข้าทำลายพวกมัน?’


 


ด้วยความสงสัยต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเดินไปยังลานจัตุรัสอันกว้างใหญ่หน้าพระราชวังอย่างไม่รีบไม่ร้อน รูปปั้นกองทัพทหารนับพัน ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอึมครึมในใจอยู่บ้าง


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบจะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไร


 


ไม่นานระยะทางระหว่างต้วนหลิงเทียนกับรูปปั้นกองทัพทหารก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


 


500 หมี่


 


300 หมี่


 


100 หมี่!


 


เมื่อห่างจากกองทัพทหารดินเผา 100 หมี่ ต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงหยุดลงทันที สีหน้ายังบึ้งตึงเคร่งขรึมไปทันใด


 


เพราะตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันพบว่ากองทัพทหารดินเผาเบื้องหน้าที่ห่างออกไป 100 หมี่! คล้ายจะฟื้นคืนชีวิตกลับมา!!


 


ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก!


 


……


 


แกรก! แกรก! แกรก!


 


……


 


เสียงปริแตกดังสนั่นลั่นไปทั่วพระราชวังใต้ดิน เนื้อหินเริ่มแตกทั้งหลุดร่วงออกมาจากกองทัพทหารดินเผาดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่น เผยให้เห็นผิวเนื้อมีสีสันหลังชั้นหิน!


 


ไม่นานกองทัพทหารที่มีเลือดเนื้อก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียน!!


 


แน่นอนว่ามีเลือดเนื้อก็เพียงมีเลือดเนื้อเท่านั้นแต่ยังไม่ใช่ผู้คน! เพราะสองตาไร้ชีวิตของพวกมันก็บอกให้รู้ชัด ว่าไม่ใช่ผู้คนแน่ๆ!!


 


“นี่มันอะไรกัน?”


 


เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าอยู่ๆกองทัพทหารดินเผาเบื้องหน้าจะกลับกลายเป็นคนมีเลือดเนื้อแบบนี้!


 


อันที่จริงแล้ว ทหารนับพันที่อยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน นอกจากสายตาที่เลื่อนลอยว่างเปล่าแล้ว พวกมันก็เหมือนผู้คนทั่วไปที่มีเลือดเนื้อทุกประการ!


 


ฮูวววววว!!


 


……


 


ตอนนี้เองพลันมีสายลมหอบหนึ่งพัดกรรโชกในพระราชวังใต้ดิน ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดแปลกนัก พื้นที่อับเช่นนี้ไหนเลยจะมีลมพัดได้!? แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีว่าไม่ใช่ลมธรรมชาติ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมา


 


“ทหารพวกนี้…”


 


ตอนนี้เองเมื่อสายตาของต้วนหลิงเทียนกลับมาจับจ้องทหารในลานจัตุรัส เขาก็พบว่าแววตาเลื่อนลอยของทหารนับพันก่อนหน้า กลับมีแสงสีเขียวเรืองสว่างขึ้นมา!


 


และทันทีที่ลูกตาของพวกมันเรืองแสงสีเขียวออกมา พวกมันก็คล้ายกลับมามีชีวิตโดยสมบูรณ์!


 


ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!


 


……


 


หลังมีชีวิตกองทัพทหารนับพันเบื้องหน้าก็เริ่มแปรขบวนรบอย่างพร้อมเพรียง การเคลื่อนไหวของพวกมันมากระเบียบราวกับฝึกมาชั่วชีวิต แถมยังไม่ต้องมีผู้ใดสั่งการ!


 


“ฆ่า!!”


 


“ฆ่า!!”


 


“ฆ่า!!”


 


……


 


หลังแปรขบวนทัพเสร็จสิ้นทหารนับพันก็ตะโกนกู่ร้องออกมาดั่งสนั่นลั่นไปทั่วพระราชวังใต้ดิน คลื่นเสียงของพวกมันยังมีอานุภาพถึงขั้นสะท้านสะเทือนความว่าง ก่อให้เกิดเป็นคลื่นกระแทกไร้สภาพขุมหนึ่งซัดกำจายออกไปโดยรอบ!!


 


จังหวะนี้กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกอื้ออึง แก้วหูสะท้านสะเทือนไปจนหลั่งโลหิต ร่างสั่นไปครู่หนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจอะไรพวกนั้น


 


เพราะตอนนี้เขาพบว่าทหารนับพันนายคล้ายจะจับจ้องมองมาที่เขาเขม็ง!


 


การที่ต้องมาถูกทหารนับพันนายที่มีตาสีเขียวราวกับตัวประหลาดจับจ้องเขม็งแบบนี้ แม้จะเป็นต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกอยู่บ้าง!


 


“ฆ่า!!”


 


เสียงกู่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง ทหารนับพันนายที่แปรขบวนทัพเสร็จสิ้น พลันพุ่งเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนอย่างทันที!


 


ทหารม้าหนึ่งกองร้อยนำมาก่อนใคร พวกมันจี้หอกชี้เข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย


 


สำหรับทหารราบ และพลหอก พวกมันกระโจนร่างขึ้นสูงเหินร่างจู่โจมลงมาจากฟากฟ้า


 


สำหรับพลธนูพวกมันควบรวมปราณแรกกำเนิดผสานกับเกาทัณฑ์อย่างน่ากลัว ก่อนที่จะยิงดอกศรอาบพลัง พุงตัดระยะมาฉับไวปานมังกรเกรี้ยวกราด!!


 


พริบตาเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็เสมือนตาข่ายฟ้าแหสวรรค์ ทหารม้า ทหารราบ พลหอก พลธนู ลงมือจู่โจม ซัดรีงสีพลังเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน!


 


ด้วยลูกตาของทหารทั้งหลายล้วนเป็นแสงสีเขียว จึงยากที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของพวกมัน!


 


อย่างไรก็ตามตัดสินจากพลังสภาวะและท่าทางของพวกมัน ท่าทางหากฆ่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คงไม่เลิกรา!!


 


พริบตา กระบวนท่าสังหารของทหารนับพันก็พุ่งถาโถมเข้าต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง!!


 


‘พลังฝึกปรือของพวกมันแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด?!’


 


ด้วยเปิดใช้เนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนจึงรับทราบพลังบ่มเพาะของกองทัพทหารนับพันทันที ทุกคนล้วนอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดทั้งสิ้น


 


ตอนแรกพอพบว่าพวกมันมีพลังฝึกปรือแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรพวกมันอีก


 


อย่างไรก็ตามสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีทันที เมื่อระฆังกระบี่คลุมกายที่เขาเปิดใช้เพื่อต้านทานรับการโจมตีของทหาร 30 คนที่บรรลุถึงก่อนใคร..


 


เพราะระฆังกระบี่คลุมกายของเขา แทบจะพังทลายลงทั้งๆที่ทานรับการโจมตีของพวกมัน 30 คนเท่านั้น!!


 


‘อะไรกัน! ถ้าเมื่อครู่เป็นทหาร 40 นายลงมือพร้อมกัน…ระฆังกระบี่คลุมกายของข้าถูกทำลายแน่!’


 


มาถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจไม่น้อย และตระหนักได้ว่าเขาประเมินศัตรูต่ำไป!


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนกายไม่หยุดนิ่ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าการโจมตีของทัพทหารง่ายๆ


 


หลังจากที่สงบใจ และเคลื่อนกายหลีกหลบไปมา ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มพินิจทหารนับพันที่รายล้อมอยู่ เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันที่คล้ายไม่มีแบบแผน ที่แท้กลับเป็นการเคลื่อนไหวอันลี้ลับประการหนึ่ง!!


 


‘พวกมันไม่ได้ลงมือปิดล้อมธรรมดา แต่เป็นค่ายกลเลิศล้ำชนิดหนึ่ง! ค่ายกลของพวกมันยังสามารถชักนำพลังจากสหายโดยรอบมาหนุนเสริมเพิ่มพูน ในรุกมีรับยามรับแฝงรุก’


 


‘ต้องกล่าวเลยว่าบททดสอบระดับ 8 ของบึงไร้ก้นบึ้งไม่ง่ายเลยจริงๆ! ทหารนับพันพวกนี้ยามผนึกพลังกันแค่ 40 คน ถึงกับมีความแข็งแกร่งทัดเทียมอริยะเซียนขั้นต้น…แล้วถ้ามากกว่านั้นเล่า’


 


ถึงแม้บททดสอบแรกจะเป็นสัตว์ร้ายสายพันธุ์เดียวกันนับพันๆตัว แต่พวกมันก็ไม่ได้มีการสอดประสานหนุนเสริมกันน่าสะพรึงถึงขั้นนี้!


 


ทัพทหารนับพันเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน แต่ละนายเป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น หากแต่การตั้งค่าย ตำแหน่งการยืนรวมถึงกลวิธีพผนึกพลังกันโจมตีของพวกมัน แฝงเร้นไปด้วยกลิ่นอายลี้ลับ เสมือนเป็นค่ายกลเทพยาดาประการหนึ่ง สามารถชักนำพลังของสหายมาหนุนเสริมพลังของตัวได้หากอีกฝ่ายยินยอมให้ความร่วมมือ!!


 


และด้วยทหารกลุ่มนี้ไม่ได้มีสำนึกสติ จึงไม่ต้องถามไถ่เรื่องความไว้วางใจกันและกันของพวกมัน ไหนเลยยังต้องถามถึง ‘ความร่วมมือ’


 


นี่เป็นเหตุผลที่ยามพวกมันลงมือพร้อมกันแบบนี้ ถึงเป็นอะไรที่น่ากลัวนัก


 


“หากพวกสัตว์ร้ายฝูงใหญ่ในบททดสอบแรกมาเจอกับทัพทหารชุดนี้…น่ากลัวว่าเพียงการจู่โจมแค่ 3 กระบวนทัพ ฝูงสัตว์ร้ายคงตายเกลี้ยง…”


 


ณ จุดนี้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดสงสัยเรื่องที่ว่าเลย


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าประมาททัพทหารกองพันนี้สืบไป ถึงแม้พวกมันแต่ละคนจะมีพลังฝึกปรือแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดก็ตามที


 


หากเป็นเซียนดั้งเดิมสูงสุดทั่วไป ต่อให้ดาหน้ามา 2-3 พันคนต้วนหลิงเทียนก็จัดการได้ง่ายดาย


 


หากแต่เจอทัพทหารกองพันนี้ ต้วนหลิงเทียทำได้แค่หลบหลีกเพื่อหาช่องว่างจู่โจมพวกมันเท่านั้น ไม่อาจดึงดันลงมือซึ่งหน้า จำต้องหลบหลีกเพื่อหาจุดอ่อนดั่ง ‘ตาค่ายกล’ ให้พบเสียก่อน!


 


“เย็นไว้…ไม่มีอะไรยาก…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้ตัวดี ว่าตอนนี้คิดจัดการทหารนับพันเบื้องหน้า มีแต่ต้องใจเย็นๆถึงจะมีโอกาสทำลายทัพทหารนับพันเบื้องหน้า!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงประสบการณ์ในชีวิตที่แล้ว ลำพังแค่ในชีวิตนี้ที่มาเริ่มต้นใหม่ในทวีปเมฆาล่อง ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเดินขึ้นมาจากจุดที่ต่ำสุดของผู้ฝึกยุทธ์


 


เช่นนั้นประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขา ไม่ใช่อะไรที่รุ่นเยาว์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะมีได้…


 


ด้วยเหตุนี้คิดรับมือกับทัพทหารนับพันของบททดสอบที่ 8 จึงไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงของเขาแม้แต่น้อย


 


เพียงลงมืออย่างใจเย็น


 


ค่อยๆหาจุดตายและฆ่าพวกมันทีละคน ค่อยไล่ไปเป็นหมู่ ขยายออกไปเป็นกองร้อย สุดท้ายก็ฆ่าล้างพวกมันจนหมดสิ้น!


 


แน่นอนว่า 2 เรื่องราวที่ว่ายามกล่าวแม้ง่ายดาย แต่คิดกระทำใช่ง่ายดายแม้แต่น้อย!


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


ร่างต้วนหลิงเทียนพริ้วไปมาดั่งสายลมหอบหนึ่งที่มิอาจจับต้อง หลบหลีกการจู่โจมของทหารนับพันได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ม่านตาพิสดารถูกเปิดใช้เป็นระยะๆ เพื่อมองหาช่องโหว่ของทัพทหาร


 


และตราบใดที่ค้นพบช่องว่างหรือสบโอกาสเหมาะ เขาจะลงมือจู่โจมดั่งฟ้าผ่าไม่เปิดโอกาสให้พวกมันตอบโต้!


 


อย่างไรก็ตามที่ทำให้เขายังแลดูใจเย็นผิดปกติ ต้องยกความดีความชอบให้ปราณสุริยันแรกกำเนิดที่มอบพลังอำนาจขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นให้เขา หาไม่แล้วต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ก็ไม่มีทางรอดพ้นจากการลงมือของทหารทั้งกองพันได้!


 


สุดท้ายหลังผ่านไป 2 เค่อต้วนหลิงเทียนก็พบช่องโหว่ของหมู่ย่อยหมู่หนึ่งในกองพัน


 


หมู่ย่อยนี้มีทหารเพียง 30 คนเท่านั้น


 


อีกทั้งไม่ทราบบังเอิญหรืออย่างไร หมู่ย่อยที่ว่าก็ดันเป็นหมู่ย่อยที่ลงมือจู่โจมต้วนหลิงเทียนครั้งแรก!


 


อันที่จริงแล้วหมู่ย่อยที่เป็นจุดอ่อนดังกล่าว ถ้าเขาไม่ใช้ม่านตาพิสดารคงไม่อาจแลเห็น!


 


“เจ้าไปลงนรกก่อนแล้วกัน!”


 


ประกายเย็นเยียบลุกวาวขึ้นในตาต้วนหลิงเทียน เขาถูกพวกมันสลับสับเปลี่ยนกระบวนทัพไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวมากว่า 2 เค่อแล้ว! ถึงขั้นที่ไม่อาจหันกลับไปต้านทานรับมือพวกมันได้ซ้ำ…ตอนนี้พอพบจุดอ่อนของพวกมัน เขาย่อมไม่คิดปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป!!


 


วู้ม! วู้ม! ชิ้ง!!


 


……


 


ระหว่างหลีกหลบห่าเกาทัณฑ์ ต้วนหลิงเทียนพลันยกมือขึ้น ปราณสุริยันแรกกำเนิดส่องแสงสว่างขึ้นมา จากนั้นก็ควบรวมเป็นกระบี่พลังมีสภาพยาว 3 ฉื่อเล่มหนึ่ง


 


กระบี่พลังมีสภาพสีทอง 3 ฉื่อเล่มนี้ หากมองแต่ไกลคงเห็นเป็นดวงตะวันดวงหนึ่ง


 


หากแต่ดวงตะวันเจิดจ้าที่ว่า ตอนนี้ถูกกระชับอยู่ในมือต้วนหลิงเทียนอย่างแน่นหนา


 


ซัว!


 


ด้วยความที่ม่านตาพิสดารยังคงทำงานไม่หยุด ช่องโหว่ของหมู่ย่อยเล็กๆนั่นยิ่งมายิ่งเผยให้เห็นชัดเจน! ทันใดนั้นปราณแรกกำเนิดพลันปะทุออกท่วมกาย!!


 


ฟุ่บ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนเคลื่อนไหววิกแซกซ้ายขวาบนล่างฉับไวปานอัสนีฟาด หลบหลีกหอกทั้งลูกเกาทัณฑ์ได้อย่างหมดจด คนทะยานจี้เข้าหาหมู่ย่อยเล็กๆ อันเป็นจุดอ่อนด้วยความเร็วสูงสุด!!


 


การลงมือของเขาย่อมกระตุ้นความสนใจของทหารทั้ง 30 นายในหมู่ย่อยนั้นดี!


 


“ฆ่า!!”


 


ทหาร 30 นายดังกล่าวไม่ใช่หุ่นกระบอกไร้ด้าย พวกมันเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนบุกเข้ามาก็ไม่ได้หยุดนิ่งรอความตาย กู่ร้องตะโกนออกมาด้วยอำมหิต ที่ถือดาบก็จี้ดาบ ที่ถือหอกก็จี้หอก พลธนูเองก็ขึ้นสายเล็งยิง ต่างเคลื่อนร่างแยกย้ายไปประจำตำแหน่งสังหาร ลงมือใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างมีแบบแผน!


 


เรียกว่าการลงมือของทหารทั้ง 30 นายนี้ สอดประสานกันอย่างลงตัว ก่อให้เกิดเป็นพลังอำนาจลี้ลับประการหนึ่ง!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ทะยานร่างเข้ามาเผชิญหน้ากับทหารหมู่ย่อยทั้ง 30 คน ไม่ครั่นครามอันใด กระบี่สีทอง 3 ฉื่อในมือเปล่งประกายสาดแสงทองสว่าจ้าวูบหนึ่ง ค่อยตวัดกระบี่ออกไปตามอำเถอใจ ปรากฏรังสีกระบี่สีทองพุ่งยิงตัดอากาศฉับไว จี้ไปที่หว่างคิ้วพลหอกนายหนึ่ง!!


 


และพลหอกคนนี้ก็เป็นจุดอ่อนที่เขาสังเกตเห็นแต่แรก!


 


สึบ!!


 


หลุมโลหิตอันน่ากลัวปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วพลหอกดังกล่าว!


 


พริบตาต่อมาฉากที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็ปรากฏขึ้น มิคาดหว่างคิ้วของพลหอกดังกล่าวกลับมีโลหิตสีแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมา หากแต่ไม่นานร่างของมันก็ค่อยๆสลายหายไปเป็นหมอกควัน เหลือไว้เพียงหอกเล่มหนึ่งบนพื้น…


 


ทหารหมู่ย่อย 29 นายที่เหลือ พอไร้พลหอกนั้นไป การลงมือประสานก็ติดขัดทันที พลังอำนาจอ่อนโทรมลง


 


ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องหลบหลีกการลงมือต่อเนื่องของพวกมันให้เหนื่อยแรง เพียงเปิดใช้ระฆังกระบี่คลุมกายก็ต้านทานรับไว้ได้หมดจด!


 


ด้วยความตายของพลหอก คนในหมู่ย่อยที่เหลือเองก็คล้ายไม่ได้รับประทานอาหารมาก่อนออกศึก แลดูอ่อนแรงลงถนัดตา


 


ทำให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นช่องโหว่ของพวกมันได้ง่ายดาย ถึงแม้จะไม่ต้องใช้ม่านตาพิสดารก็ตามที


 


ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!


 


……


 


เสียงหอนกรีดอากาศของกระบี่ดังขึ้นไม่หยุด ทหารในหมู่ย่อยที่เหลือเริ่มทยอยกันตกตายไปภายใต้คมกระบี่ของต้วนหลิงเทียนทีละคนๆ…สุดท้ายก็ตายตกยกหมู่!


ตอนที่ 1,784 : บททดสอบสุดท้าย


 


หลังจากจัดการหมู่ย่อยเล็กๆที่มีทหาร 30 นายเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รีบเคลื่อนร่างฉากหลบหมู่ย่อยหมู่อื่นที่รุดมาปิดล้อมทันที


 


เมื่อฉากหลบออกมาได้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มใช้ประโยชน์จากความเร็วเคลื่อนร่างไปทั่วลานจัตุรัส เหล่าทหารทั้งหลายที่คิดเล่นงานเขาก็ทำได้แค่จั่วลม ไม่อาจแตะถูกได้แม้แต่ชายเสื้อของเขา


 


เพราะตอนนี้ความเร็วของต้วนหลิงเทียนเทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น ทหารเหล่านี้ไหนเลยจะจับได้ไล่ทัน!


 


สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินสืบเนื่องต่อไป กระทั่งต้วนหลิงเทียนพบช่องว่างที่เกิดขึ้นจากกากประสานไม่ลงตัวของค่ายกลในทหารหมู่ย่อยอื่นๆ ค่อยเริ่มลงมือทำลายหมู่ย่อยเล็กๆไปเรื่อยๆ


 


หลังจากใช้เวลาไปเกือบทั้งวัน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ดับชีพกองพันทหารทั้งทัพลงได้


 


“ในที่สุดก็ผ่าน…”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะผ่านบททดสอบที่ 8 ได้ในเวลาแค่วันเดียว หากแต่ทั่วร่างก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะการลงมือก่อนหน้านับว่าต้องใช้จิตสมาธิไม่น้อย มาตอนนี้ใจที่ตึงเครียดจึงพอได้ผ่อนคลายลง…


 


การเผชิญหน้ากับทหารทั้งกองพัน ที่ลำพังคนแค่ 40 คนก็เทียบเท่าการลงมือของอริยะเซียนขั้นต้น ไม่ใช่เรื่องตลก! เขาไม่กล้าประมาทหรือเหม่อแม้ชั่วลมหายใจเดียว ทำให้จิตใจของเขาค่อนข้างขึงตึงไม่น้อย


 


“ฮู่ววว…”


 


“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก…”


 


ต้วนหลิงเทียนทิ้งตัวลงไปนั่งแบกับดินอีกครา แขนยกขึ้นซับหน้าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อไหลรินออกมาดั่งสายฝน


 


พักหนึ่งค่อยหายใจหายคอได้สะดวก…


 


นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆตั้งแต่เข้ามาในพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้ง ที่ต้วนหลิงเทียนอ่อนล้าทั้งกายใจแบบนี้ เขาจึงคิดจะลุยบททดสอบต่อไปหลังจากที่พักให้เต็มที่สักวันสองวัน…


 


ทว่าหลังจากที่ผ่านบททดสอบครั้งที่ 8 แล้ว หนทางสู่บททดสอบที่ 9 ดันเปิดขึ้นทันที!


 


“หลังจากที่ผ่านบททดสอบแรก เสียงชรานั่นบอกว่าจะไปรออยู่ที่บททดสอบสุดท้าย ก็หมายความว่าบททดสอบที่ 9…เจ้าของเสียงนั่นที่แท้เป็นใครกันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย สุดท้ายก็เลือกที่จะเดินเข้าไปยังบททดสอบที่ 9 ทันที


 


หนทางเข้าสู่บททดสอบที่ 9 เป็น ม่านแสงสว่างม่านหนึ่ง


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินผ่านม่านแสงเขาก็รู้สึกเสมือนเดินผ่านม่านน้ำ ต่อมาสายตาเขาก็คล้ายจะมืดไปครู่หนึ่ง ค่อยสัมผัสได้ว่าฉากเรื่องราวกำลังเปลี่ยนแปลง


 


พระราชวังใต้ดินหายไป ฉากใหม่เบื้องหน้าปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียนชัดเจน “อย่างที่คิดเอาไว้…ทั้งหมดในนี้สมควรเป็นมายาสะท้อนลักษณ์เสมือนจริง ไม่รู้บททดสอบที่ 9 รอบนี้ข้าจะเจอกับอะไร?”


 


หลังจากพระราชวังใต้ดินหายไป แว่บแรกที่ต้วนหลิงเทียนแลเห็นก็คือสีขาวสว่างจ้า


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนนก็พบว่าเขาถูกส่งมายืนอยู่บนเวทีประลองอันกว้างขวาง รอบๆเต็มไปด้วยอัฒจันทร์ ทว่าพิกลนักกลับไม่มีผู้ชมนั่งอยู่สักคน


 


“นี่น่ะเหรอบททดสอบที่ 9?”


 


มองไปยังพื้นเวทีประลองขนาดใหญ่ที่เขายืนอยู่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “แล้วข้าต้องสู้กับอะไรกัน?”


 


ในเมื่อยืนอยู่บนเวทีประลอง ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าต้องมีการต่อสู้ ไม่พ้นบททดสอบที่ 9 นี้เขาต้องเผชิญหน้ากับใครสักคนเป็นแน่…


 


‘หรือจะเจอกับเจ้าของเสียงชรานั่น?’


 


กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบ ว่าไฉนอยู่ๆความคิดนี้ถึงปรากฏขึ้นมาในใจได้


 


และเมื่อฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็ไม่อาจหยุดคิดได้เลย…


 


และเหตุผลที่เขาคิดแบบนี้ สมควรเป็นเพราะวาจาของชายชราที่กล่าวบอกไว้หลังจบการทดสอบแรก ว่าจะรอเขาอยู่ที่บททดสอบสุดท้าย


 


‘ถึงไม่รู้ว่าตาแก่นั่นจะเป็นใคร…แต่ในเมื่อสามารถทิ้งข้อความเสียงไว้ได้แบบนั้น มั่นใจได้เลยว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆแน่! หากต้องสู้กับตาแก่นั่นจริงๆ เกรงว่าคงได้เหนื่อยกันหน่อยแล้ว’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา


 


ถึงแม้พลังฝีมือในปัจจุบันของเขาตอนนี้จะเทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น แต่เขารู้สึกว่าหากต้องประมือกับเจ้าของเสียงชรานั่นจริงๆ น่ากลัวว่าเท่านี้อาจจะยังไม่พอ


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มขื่นขมอยู่นั้น ความว่างเปล่าในอากาศเหนือเวทีพลันกระเพื่อมสั่นไหวดั่งระลอกน้ำ ก่อนที่จะปรากฏรอยแตก ไม่นานมันก็ค่อยๆแยกกว้างอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากที่รอยแตกมันกว้างมากพอ พลันปรากฏร่างชายชราหนึ่งก้าวออกจากรอยแยกกลางความว่าง มาหยุดลอยเหนือเวที ก้มลงมองมายังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยชา


 


เป็นชายชราที่มีหน้าตาอ่อนวัยมองไปละม้ายคล้ายเฒ่าทารก ชุดคลุมที่สวมใส่แลดูหลวมๆ แม้สภาวะร่างแลดูสงบ แต่ยากจะปิดซ่อนพลังฝีมืออันร้ายกาจ


 


ทั้งชายชราผู้นี้ยังสูงเกือบ 2 หมี่ ยามยืนหลังตรงให้ความรู้สึกเหี้ยมหาญตระหง่านดั่งหอคอยย่อมๆ


 


สายตาที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยความเฉยชาของชายชรา ไม่นานก็เปลี่ยนไปมุมปากยังเริ่มยกยิ้มบางๆ ในดวงตาสีโคลนหมองมัวค่อยๆปรากฏประกายสว่างจ้าขึ้นมา


 


“หนุ่มน้อย…การที่เจ้ามาถึงที่นี่ได้นับว่าเจ้าเก่งมาก…”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียน ตระหนักถึงชายชรา อีกฝ่ายก็ปริปากกล่าววาจาออกมา แน่นอนว่ามันเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่ดังขึ้นหลังจบบททดสอบแรก ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าชายชราเบื้องหน้า คือชายชราที่ทิ้งข้อความเสียงเอาไว้!


 


“อาวุโส”


 


ต่อหน้าชายชราเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าละเลย อีกฝ่ายสามารถปรากฏกายที่นี่ได้ แม้จะเป็นภาพมายาสะท้อนลักษณ์อะไรในค่ายกลลวงตาก็แล้วแต่ ทว่าอีกฝ่ายก็คู่ควรให้เขาแสดงความเคารพ…


 


ชายชราที่สามารถมาปรากฏตัวในค่ายกลมายาสะท้อนลักษณ์เสมือนจริงได้แบบนี้ ยังเป็นคนธรรมดาได้อีกหรือ?


 


อย่างไรก็ตามชายชราแลดูจะไม่แยแสคำทักทายของต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายไม่ตอบสนองอันใดเลย เลือกที่จะกล่าวสืบต่อ “ก่อนหน้าข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะรอคอยเจ้าอยู่ที่บททดสอบสุดท้าย…ตอนนี้ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ จักเป็นของเจ้า”


 


“แต่หากเจ้าเอาชนะไม่ได้ เพียงกล่าวว่าเจ้าไร้วาสนากับ ปฐมเวทย์กลืนกิน ของข้าเถอะ”


 


ชายชราพูดต่อ


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้เรื่องหนึ่ง ถึงชายชราเบื้องหน้าแม้แลดูเสมือนผู้คนที่มีสติปัญญา หากแต่อีกฝ่ายกลับกล่าวตามบท คล้ายเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง


 


จุดนี้สามารถเห็นได้ชัดจากการที่อีกฝ่ายเมินเฉยคำทักทายของเขา


 


จุดประสงค์การดำรงอยู่ของชายชราผู้นี้ สมควรมีไว้เพื่อการทดสอบเท่านั้น! ไร้ซึ่งสำนึกสติและจิตวิญญาณส่วนตัวอะไร ทำให้ไม่อาจสื่อสารกับเขาได้!!


 


ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายชราจะแสดงความเมตตา ออมมือให้เขา!


 


‘ปฐมเวทย์กลืนกิน ที่อาวุโสกล่าวออก..หรือจะเป็น เวทย์พลัง ที่อยู่ในพื้นที่มรดกเวทย์พลังบึงไร้ก้นบึ้งแห่งนี้กัน?’


 


เมื่อตระหนักได้ถึงวาจาของชายชรา ลมหายใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเร่งร้อนขึ้นมา


 


ทำไมเขาต้องลำบากตากตรำมาถึงตอนนี้เล่า…


 


ไม่ใช่เพื่อเวทย์พลังนั่นรึไง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นความยากลำบากของบททดสอบที่เขาเผชิญมาในพื้นที่มรดกบึงไร้ก้นบึ้งแห่งนี้ พื้นที่มรดกอื่นที่เขาเจอมาไม่อาจเทียบได้แม้เพียงเศษเสี้ยว!


 


ดังนั้นเขาจึงมั่นใจเต็ม 10 ส่วน ว่าเวทย์พลังในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ ไม่ใช่เวทย์พลังธรรมดาๆแน่นอน!


 


แน่นอนว่าทั้งหมดยังเป็นเพียงการคาดเดาของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย ว่าพื้นที่เวทย์พลังที่เขาบุกตะลุยเข้ามานั้น เป็นพื้นที่เวทย์พลังที่ลึกลับที่สุดในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังถูกเรียกว่าพื้นที่เวทย์พลังต้องห้ามอันดับ 1!


 


ถึงแม้ว่าคนของตำหนักฟ้าลี้ลับเองจะยังไม่รู้ว่าเวทย์พลังในที่นี้เป็นเวทย์พลังอันใด แต่ตัดสินจากความยากของบททดสอบแรก ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าระดับต้องมิใช่ชั่วแน่!


 


“เอาชนะอาวุโส?”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึก พอมองไปที่ร่างชายชราอีกครั้ง เขาก็รู้สึกเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ…ทำลายความเร่งร้อนตื่นเต้นของเขาไปทันที


 


เขาจะเอาชนะชายชราคนนี้ได้ยังไง?


 


ถึงแม้ร่างชราที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าสมควรเป็นสิ่งที่เกิดจากมายาสะท้อนลักษณ์เสมือนจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่เขาจะจัดการได้!


 


จังหวะนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความขื่นขม


 


เขาพึ่งเปิดใช้เนตรเทวะสำรวจพลังฝึกปรือของชายชรา แต่ทว่ายามสำนึกเทวะของเขาสัมผัสถึงชายชรา มันก็จมหายไปดั่งก้อนหินจมลงไปในทะเลลึก ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ


 


นั่นบอกให้รู้ว่าพลังฝึกปรือของชายชรามันยากแท้หยั่งถึงขนาดไหน!


 


อย่างไรก็ตามวาจาประโยคถัดมาที่ชายชรากล่าวออก ก็ได้ขจัดความขื่นขมออกไปจากใจต้วนหลิงเทียนทันที!


 


“ข้าจักระงับพลังฝึกปรือของข้าให้อยู่ในระดับเดียวกันกับพลังฝึกปรือของเจ้า…พลังฝึกปรือของเจ้าอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น เช่นนั้นยามประมือกับเจ้าข้าก็จะสะกดพลังฝึกปรือของข้าให้อยู่ในระดับเซียนขัดเกลาขั้นต้น+ อย่างไรก็ตามนอกจากสะกดพลังฝึกปรือให้ทัดเทียมกับเจ้าแล้ว ข้ายังจะใช้ ปฐมเวทย์กลืนกิน!”


 


นี่คือคำกล่าวของชายชรา


 


ลดพลังฝึกปรือให้เหลือเซียนขัดเกลาขั้นต้น?


 


อีกฝ่ายคิดใช้พลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นสู้กับเขางั้นหรือ!?


 


ได้ยินวาจานี้ของชายชรา ต้วนหลิงเทียนถึงกับยินดีมีสุข ยังแทบหลุดหัวเราะร่าออกมา!


 


‘ไม่สิ! หากชายชราสามารถจำลองปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้าได้เล่า? มิใช่ว่าพลังของมันก็เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้นเหมือนข้ารึไง! นอกจากนี้ยังมีเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน นั่นอีก!’


 


พอคิดถึงจุดนี้ความสุขความยินดีที่ปรากฏขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ก็ดับมอดลงทันที!


 


ทว่าวินาทีต่อมา พอเห็นปราณที่ชายชราเร่งเร้าใช้ออก ความหวังพลันส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง!


 


นั่นเพราะปราณที่ชายชราใช้กลับเป็นปราณแรกกำเนิด ไม่ใช่ปราณสุริยันแรกกำเนิด! แถมยังเป็นปราณแรกกำเนิดของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น!!


 


‘หากเป็นคนธรรมดาน่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะผู้ฝึกตนในขอบเขตพลังเดียวกันแต่สามารถใช้ ปฐมเวทย์กลืนกิน อะไรนั่นได้…น่าเสียดาย ที่เรื่องนี้ไม่นับเป็นปัญหาอะไรสำหรับข้า!’


 


ต้วนหลิงเทียนเชื่อมั่นว่า ถึงแม้เวทย์พลังอย่าง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ นั่นจะเป็นเวทย์พลังระดับสูง แต่ชายชราก็ไม่น่าจะเอาชนะเขาได้หากมีฐานพลังฝึกปรือเพียงแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้น!


 


เพราะพลังความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังฝึกปรือ หากแต่เป็นความเลิศล้ำของ ปราณสุริยันแรกกำเนิด!


 


ปราณสุริยันแรกกำเนิดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น มันเทียบได้กับปราณแรกกำเนิดของผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น!


 


โดยทั่วไปแล้ว หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาเผชิญหน้ากับเขา ปราณทั่วร่างของมันจะเสมือนถูกสะกดข่มอย่างหนักหน่วง ทำให้ไม่อาจใช้ออกได้ดั่งใจ!


 


‘ดูเหมือนว่าบททดสอบสุดท้ายนี่จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับข้า!’


 


อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนตอนนี้เรียกว่าเริงร่านัก ตอนแรกเขาคิดว่าบททดสอบสุดท้ายคงยากเย็นแสนเข็ญแน่แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์ที่คิดว่าร้ายจะกลายเป็นดีเยี่ยมขนาดนี้!


 


แน่นอนว่าหากเป็นคนธรรมดาพบเจอสถานการณ์เช่นนี้คงได้ปวดหัวตาย


 


แต่สำหรับต้วนหลิงเทียน ปวดหัวไม่มี มีแต่ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ!


 


‘ถึงพลังความแข็งแกร่งของอาวุโสยามสะกดพลังจะไม่เท่าข้า แต่สามารถใช้ปฐมเวทย์กลืนกินที่น่าจะเป็นเวทย์พลังขั้นสูงนั่นได้ ข้าเองก็ไม่อาจประมาทได้ถึงแม้จะมีโอกาสชนะมากกว่า 9 ส่วนก็ตาม เพราะเวทย์พลังนั่นน่ากลัวจะเป็นอะไรที่ล้ำลึกแน่นอน ‘


 


‘แถมนี่ก็เป็นบททดสอบที่ 9 ซึ่งเป็นบททดสอบสุดท้ายแล้ว ข้าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!’


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ ต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นขึงขังจริงจัง ท่าร่างรัดกุมไร้ช่องโหว่สำนึกเทวะแผ่พุ่งออกไปตรวจสอบทุกความเปลี่ยนแปลงรอบกาย ปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรทั่วกายพร้อมปะทุ


 


หากทำเรือล่มในหนองของตัว เขาจะไปร่ำร้องฟ้องใครได้?


 


ครู่ต่อมาปราณแรกกำเนิดทั่วร่างชายชราก็ปะทุลุกโหมขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ


 


ทันใดนั้นร่างที่ลอยกลางหาวก็ไหววูบพุ่งโฉบลงมาจากฟากฟ้าดั่งพญาอินทรีย์!


 


“เร็วจริง!”


 


ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความอึ้งเล็กน้อย ความเร็วที่ชายชราเผยออกนับว่าเหนือล้ำกว่าเซียนขัดเกลาขั้นต้นมากมายนัก เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางเลยด้วยซ้ำ


 


“วรยุทธ์ท่าร่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ…”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเรื่องนี้


 


ถึงแม้ชายชราจะสะกดพลังให้อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น หากแต่วรยุทธ์ท่าร่างนั่น ไม่น่าจะมีเซียนขัดเกลาขั้นต้นคนใดสามารถบรรลุได้!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)