War sovereign Soaring The Heavens 1777-1780

 ตอนที่ 1,777 : มรดกเวทย์พลังระดับสูง?


 


“ตอนนี้ในเมื่อข้อตกลงลุล่วงแล้ว…หลังจากนี้ข้าพึ่งได้แต่ตัวเองเท่านั้น”


 


เซียวตุนกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ


 


ด้วยพลังฝีมือของมัน การเดินทางในแดนลับเซียนช่างเป็นเรื่องที่ลำบากยากแค้นนัก


 


ลำพังพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับต่ำ มันคนเดียวอาจจะผ่านได้


 


แต่หากเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูงนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่มันคนเดียวจะผ่านได้


 


“ข้ายังจะต้องการอันใดมากมายกัน แค่ได้เวทย์พลังป้องกันระดับกลางมาเช่นนี้ก็นับว่าเหนือความคาดหมายมากแล้ว! ด้วยพลังฝีมืออ่อนด้อยเท่านี้คิดหวังเวทย์พลังระดับสูง นับว่าฝันเฟื่องจริงๆ!!”


 


พอคิดได้เซียวตุนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย บนหน้ายังปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา


 


มันปลงตกแล้ว


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน ขอให้ท่านโชคดีและได้รับสิ่งดีๆ”


 


มองไปยังทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนหายไปพักหนึ่ง เซียวตุนก็กล่าวด้วยความจริงใจ ก่อนที่จะหันหลังแล้วจากไป กลายเป็นหมาป่าเดียวดายตัวหนึ่งในแดนลับเซียน


 


ขณะเดียวกันด้านต้วนหลิงเทียนที่เดินผ่านค่ายกลเข้ามา ก็มาถึงพื้นที่อันประหลาดแห่งหนึ่งบรรยากาศค่อนข้างอึมครึม วิเวกวังเวง…รอบๆเป็นป่ารก ส่วนด้านหน้านั้นมองไปเห็นบึงขนาดมหึมาตั้งอยู่ไกลๆ น้ำในบึงนิ่งสงบทั้งมืดดำ ไม่ทราบมีสิ่งใดอยู่ในนั้นกันแน่


 


และสิ่งแรกที่ต้อนรับเขาก็คือ สัตว์ร้าย 4 ตัวที่พุ่งพรวดออกมาจากป่ารกโดยรอบ


 


สัตว์ร้ายทั้ง 4 ยามลงมือจู่โจมพร้อมกัน ก็มีพลังทัดเทียมกับสัตว์ร้ายทั้ง 5 ที่พระราชวังก่อนหน้า


 


เพียงแค่คราวนี้พวกมันเป็นสายพันธุ์เดียวกัน สามารถร่วมมือสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี


 


อนิจจาด่านพลังของมันก็เพียงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น แม้ร่วมมือกันแล้วจะเทียบได้กับเซียนขัดเกลาขั้นต้น ก็ไม่ได้นับเป็นตัวอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็คร้านเสียเวลา เพียงสะบัดมือคราหนึ่งปรากฏกระบี่พลังไร้สภาพมากมายผุดจากความว่างไประเบิดทำลายพวกมันหมดสิ้น


 


“อ้าว? ทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อล่ะ?”


 


หลังจากฆ่าสัตว์ร้ายทั้ง 4 ไป ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจจับความเคลื่อนไหวโดยรอบทันที แต่เขาก็พบว่าทุกที่ทางล้วนสงัดเงียบ ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ


 


ต้องทราบด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นหอคอยลิ่วเหอ หรือพระราชวังที่เขาผ่านมาก่อนหน้า พอกำจัดสัตว์ร้ายที่ขวางทางชุดแรกไป ประตูล้วนเปิดออกทั้งสิ้น


 


ตราบใดที่เข้าประตูและผ่านทดสอบด้านในได้ ก็จะสามารถได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง


 


ทว่ากับบึงประหลาดคราวนี้ หลังจากกำจัดสัตว์ร้ายทั้ง 4 ไปแล้ว กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆต่ออีกเลย


 


แล้วเช่นนั้นเขาจะไปยังบททดสอบต่อไปได้อย่างไร หรือต้องพุ่งหลาวลงไปในน้ำดำๆนั่น?


 


“หืม?”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าบังเกิดการสะเทือนขึ้นมาเบาๆ


 


ด้วยสำนึกเทวะ ต้วนหลิงเทียนได้ทำการตรวจสอบที่ทางโดยรอบอย่างละเอียด และไม่นานแรงสั่นสะเทือนบนพื้นยิ่งมาก็ยิ่งมาก แถมตอนนี้ในบึงน้ำดำเบื้องหน้า ก็เริ่มปรากฏฟองอากาศผุดลอยขึ้นมาปุดๆ! ไม่นานบึงสงบก็คล้ายจะกลายเป้นปั่นป่วน คลื่นน้ำสาดออกมาปานจะคุ้มคลั่ง!!


 


หึ่ง! หึ่ง! หึ่ง! แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!


 


……


 


และตอนนี้เองปลายรัศมีสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง บางสิ่งจำนวนมหาศาลกำลังกรูกันเข้ามาจากแนวป่าไม่หยุด! พวกมันพุ่งผ่านป่ารกมาด้วยความเร็วสูง ในบึงน้ำก็ปรากฏร่างสัตว์ประหลาดน่าเกลียดพุ่งพรวดขึ้นมาตัวแล้วตัวเล่า!!


 


“สัตว์ร้ายพวกนี้มัน..”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันพบว่า มีสัตว์ร้ายพุ่งมาทางเขาจากรอบทิศทาง จำนวนพวกมันมีมากมายมหาศาลนัก มองไปยังเหมือนฝูงตั๊กแตนที่กำลังโถมเข้าไร่นา! รูปร่างหน้าตาของมันก็คุ้นตาเขานัก!!


 


พวกมันเหมือนกันกับที่เขาฆ่าตายไปก่อนหน้าไม่มีผิด!


 


“ขั้นกลาง ขั้นเชี่ยวชาญ ขั้นสูงสุดเซียนดั้งเดิม…อะไร มีกระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นต้น?”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้เนตรเทวะหันไปว่ายมองรอบๆ เขาก็รับรู้พลังฝึกปรือของฝูงสัตว์ร้ายเหล่านี้ทันที ตัวที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดกลับเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้น!


 


แถมไม่ได้มีแค่ตัวเดียวแต่มีทั้งสิ้น 9 ตัว!


 


9 สัตว์ร้ายเซียนขัดเกลาขั้นต้น!


 


“อ๋าวววู~”


 


“วู้ววววว”


 


“วู้ววววว”


 


……


 


ฝูงสัตว์ร้ายจำนวนมหึมาดั่งห่าตั๊กแตนพลันส่งเสียงคำรามกู่ร้องดังลั่น มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าพวกมันมีไม่ต่ำกว่าพันตัว! “สัตว์ร้ายพวกนี้มันตัวอะไรกัน? กลับมากันฝูงใหญ่ขนาดนี้!?”


 


ต้วนหลิงเทียนบอกได้ว่าสัตว์ร้ายพวกนี้นั้นท่าทางจะอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก


 


แถมเขาฆ่าพวกมันไป 4 ตัว ทำให้ตอนนี้ท่าทางพวกมันจะมีโมโหไม่น้อย


 


“ฝูงสัตว์ร้ายนี่…คงไม่ใช่บททดสอบแรกของมรดกเวทย์พลังหรอกนะ?”


 


กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนอยู่ๆถึงคิดขึ้นมาแบบนี้


 


ทว่าขณะเดียวกันสองตาเขาก็ส่องประกายสว่างจ้าออกมาทันที!


 


หากฝูงสัตว์ร้ายรอบๆตัวเขามันเป็นบททดสอบแรกของพื้นที่มรดกเวทย์พลังนี้จริงๆ… นั่นไม่ได้หมายความว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นนี้ มีระดับสูงกว่าร่างทองลิ่วเหอกับปราการศิลาสวรรค์รึไง?!


 


พอคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น!


 


สำหรับฝูงสัตว์ร้ายเบื้องหน้าแม้จำนวนมันจะมีมากมาย แต่พลังของพวกมันก็ไม่นับเป็นอะไรสำหรับเขา


 


“แต่…ไหงพวกมันอาแต่จ้องข้าตาขวางล่ะ ทำไมไม่เข้ามาซะที?”


 


เมื่อเห็นว่าสัตว์ร้ายนับพันโดยรอบเพียงหยุดมองเขาตาเขม็งไม่ลงมือเสียที ต้วนหลิงเทียนก็อดแปลกใจไม่ได้


 


ทำให้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันมีเวลาสำรวจสัตว์ร้ายเหล่านี้อย่างละเอียด


 


ถึงแม้เขาจะฆ่าสัตว์ร้ายชนิดนี้ไปแล้ว 4 ตัว แต่เขาก็ไม่ทันได้สนใจอะไรพวกมันมากมาย


 


สัตว์ร้ายชนิดนี้มองไปคล้ายสัตว์อสูรอยู่บ้าง เพราะมันมีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์หากแต่บนหัวปูดโปนตะปุ่มตำป่ำ ยังมีเขางอกเงย แผ่นหลังปรากฏปีกกว้างดั่งค้างคาว ผิวหนังทั่วร่างของมันแลดูยับย่นอัปลักษณ์นัก มองไปจึงคล้ายตัวประหลาดน่ารังเกียจ!


 


ในบรรดาฝูงสัตว์ร้าย ตัวที่อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นนั้นตัวใหญ่ที่สุด มันสูงราวๆ 5 หมี่!


 


ตัวที่อ่อนแอกว่ามันขั้นหนึ่งก็สูงแค่ 4 หมี่


 


ยิ่งอ่อนแอตัวพวกมันยิ่งเล็กลง


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเอง สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนพลันสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังขุมหนึ่งในบึงน้ำด้านหลัง!


 


กลิ่นอายพลังดังกล่าวยังสูงกว่ากลิ่นอายของสัตว์ร้ายเซียนขัดเกลาขั้นต้น!!


 


ระฆังกระบี่คลุมกาย!!


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังดังกล่าวคล้ายกำลังเพ่งเล็งมาที่ตัวเขา สังหรณ์อันตรายประการหนึ่งร้องเตือนในใจ เร่งใช้ออกด้วยระฆังกระบี่คลุมกายทันที!


 


ปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรฉับไว ปะทุออกมาควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองมีสภาพนับร้อยนับพันเล่ม วนเวียนไปทั่วกายตามแนวทางวรยุทธ์ระฆังศรคลุมกาย!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ระฆังกระบี่คลุมกายปราฏขึ้น ลำแสงพลังงานสายหนึ่งก็พุ่งยิงทะลุออกมาจากบึงน้ำดำ! มันแหวกอากาศพุ่งมาถึงตัวเขาด้วยความเร็วสูง! พาลให้ระฆังกระบี่คลุมกายของเขาถึงกับสั่นไหวเป็นระลอก!!


 


อย่างไรก็ตามแม้มันจะนับว่าลอบโจมตีสำเร็จ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจฝ่าการป้องกันของระฆังกระบี่คลุมกายมาได้!


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็หันหลับมามองผู้ที่ลอบโจมตีเขา…มันเป็นสัตว์ร้ายตัวเขื่องสูงนับ 10 หมี่!


 


ลักษณะของมันก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฝูงสัตว์ร้ายโดยรอบ


 


หากแต่บนหัวของสัตว์ร้ายมหึมาตัวนี้กลับมีมงกุฏสีทองอร่ามสวมใส่อยู่ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตราวเนินเขาย่อมๆ บอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่สัตว์ร้ายธรรมดาๆ


 


“ฮู่มมมมม!!!”


 


“อ๋าวววูววว!!”


 


“ฮว่าสสสส!!”


 


……


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันพบว่าสัตว์ร้ายนับพันที่ตอนแรกมองเขาอย่างสงบ พลันหันไปมองสัตว์ร้ายตัวใหญ่ใส่มงกุฏทันที ต่างยังกู่ร้อง บ้างคำราม บ้างหอนออกมาคล้ายจะทักทายทำความเคารพ


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าตัวใหญ่นั่นจะเป็น ราชา ของเจ้าพวกนี้งั้นสิ?”


 


หากเรื่องแค่นี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทราบ หลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่มาคงนับว่าเสียเปล่าแล้ว…


 


“เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ…สัตว์ร้ายตัวใหญ่นี่กลับอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! หากสัตว์ร้ายพวกนี้เป็นบททดสอบแรกของมรดกเวทย์พลังจริงๆ มรดกเวทย์พลังที่นี่สมควรมีระดับสูงแน่! เพราะบททดสอบมันแปรผันกับมรดกเวทย์พลังโดยตรง!!”


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็ตื่นเต้นไม่น้อย แต่ทว่าต่อมาพอคิดได้เขาก็รู้สึกเสมือนมีน้ำเย็นราดรดศีรษะ พาลให้กลับมาสำนึกถึงความเป็นจริงอีกครั้ง…


 


บททดสอบแรกยังยากขนาดนี้ แล้วบดทดสอบหลังจากนี้เล่า จะง่ายดายได้หรือ?


 


เห็นได้ชัดว่าไม่ง่ายแน่ๆ!


 


‘จะยากแค่ไหนค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าต้องจัดการไอ้พวกนี้ก่อน..’


 


ไม่นานความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็กลับมาอยู่ที่ฝูงสัตว์ร้ายอีกครั้ง ตอนนี้พวกมันแลดูเหมือนกำลังรอรับคำสั่งราชาอยู่ก็ไม่ปาน แต่ละตัวยังมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่สู้ดี…


 


ก็อย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด ที่ดีไม่มา ที่มาไม่ดี!


 


“ฮู่มมมม!!”


 


ด้วยเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของราชา สัตว์ร้ายนับพันที่จ้องมองเขาตาขวาง ก็คล้ายได้รับสัญญาณปล่อยตัว สองตาพวกมันลุกวาวเผยความกระหายเลือด ต่างพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้ายทันที!!


 


สัตว์ร้ายตัวเขื่องนับพันโถมเข้ามารอบทิศแบบนี้ แม้ต้วนหลิงเทียนจะผ่านอะไรมามาก แต่เจอแบบนี้ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงเครียดอยู่บ้าง


 


แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนกลัวพวกมัน แค่ปฏิกิริยาตอบสนองไปตามธรรมชาติ


 


“คิดใช้ปริมาณเข้าว่างั้นเหรอ?”


 


เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวเขื่องนับพันที่กรูกันเข้ามาทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง มุมปากต้วนหลิงเทียนพลันเผยยิ้มแสยะขึ้น


 


ทันใดนั้นเอง อาณาบริเวณกินรัศมี 100 หมี่รอบต้วนหลิงเทียน พลันปรากฏสนามพลังปะทุออกมาแกร่งกล้า! ความว่างปั่นป่วนวุ่นวาย สุดท้ายก็กลายเป็นโดมพลังงานสีทองทรงกลมขนาดมหึมาห้อมล้อมคลุมกายเขาเอาไว้มิดชิด!


 


อย่างไรก็ตามสัตว์ร้ายนับพันคล้ายไม่หวาดกลัวอะไร พวกมันวิ่งกรูกันเข้าใส่ เขตแดนหมื่นกระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนเปิดกางออกอย่างคุ้มคลั่ง!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


ในเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียน กระบี่พลังมีสภาพสีทองนับหมื่นเล่ม พุ่งวาบไปมาจนเห็นเป็นเส้นแสง ไม่ว่าสัตว์ร้ายตัวใดที่กร้ำกลายเข้ามาแตะเขตแดน พวกมันล้วนถูกกระบี่พลังไม่ต่ำกว่า 10 เล่มพุ่งทะลวงเข้าใส่ในชั่วพริบตา ตัวที่แข็งแกร่งหน่อยก็สามารถอาศัยศพสหายรอดการโจมตีมาได้สักครั้ง แต่ทว่าเมื่อกระบี่อีกชุดพุ่งเข้าใส่ มันก็ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมปุพรุนดั่งรังผึ้งไปได้


 


ไม่นานเหล่าสัตว์ร้ายตัวเขื่องระดับเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้ง 9 ก็บุกเข้ามา


 


“รอพวกเจ้ามานานแล้ว…”


 


ตั้งแต่ที่เปิดใช้เขตแดนหมื่นกระบี่ออกจนถึงตอนนี้ สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบเฉยเมยไม่ได้ลงมืออะไรมากมาย แต่พอเห็นร่างสัตว์ร้ายเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้ง 9 ที่เข้ามา มุมปากพลันยกยิ้ม สายตาเผยประกายเย็นเยียบ มือขวายกขึ้นเบาๆ


 


พริบตาต่อมาไม่ทราบต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร ร่างคนพลันอันตรธานหายไปทันใด!


 


ทว่าหายไปเพียงชั่วพริบตา ร่างเขาก็กลับมาปรากฏที่เดิม…


 


ส่วนอีกด้านนั้น ร่างสัตว์ร้ายขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้ง 9 กลับร่วงตกจากฟากฟ้าทีละตัวๆ ร่างของมันแยกออกเป็นเสี่ยงๆกลางอากาศ ตายคาที่!


 


“ฮู่มมมม!!”


 


เมื่อสัตว์ร้ายขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้ง 9 ตกตาย ราชาสัตว์ร้ายที่อยู่นอกเขตแดนคล้ายสัมผัสได้ มันกู่ร้องคำรามเสียงดังเสียดแก้วหู ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาในเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนด้วยเช่นกัน


 


เมื่อพบว่า ราชา ของพวกมันบุกเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด สัตว์ร้ายที่ยังเหลือรอดอยู่นับร้อยๆ ก็คึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่ ต่างทวีความดุร้ายคุ้มคลั่งขึ้นมาทันที โถมกรูเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่คิดชีวิต


 


น่าเสียดาย สิ่งเดียวที่รอคอยพวกมันอยู่ก็คือชะตากรรมตายตก


 


“อะไร? คิดแก้แค้นให้ลิ่วล้อ?”


 


เมื่อหันมาเห็นราชาสัตว์ร้ายตัวเขื่องที่พุ่งเข้ามาสองตาแดงฉาน ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะเบาๆก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่มันเช่นกัน กระบี่พลังสีทองมีสภาพในมือเปล่งแสงทองสวางเรืองรองสาดส่องออกไปทุกทิศทาง!


ตอนที่ 1,778 : บึงไร้ก้นบึ้ง!


 


ราชาสัตว์ร้ายที่อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ มันไม่ได้มีเวทย์พลังป้องกันอย่างรูปปั้นและมนุษย์ศิลา ด้วยเหตุนี้เพียงกระบี่เดียวอันบรรจุไว้ด้วยพลังจู่โจมระดับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดของต้วนหลิงเทียน ก็สามารถผ่าร่างมันได้ง่ายดาย!


 


เมื่อราชาสัตว์ร้ายตายตก สัตว์ร้ายตัวอื่นก็ไม่ได้ตื่นตระหนกหวาดกลัวจนหลบหนีอะไร กลับกันพวกมันยังคล้ายเดือดดาลจนทวีความคุ้มคลั่งมากยิ่งขึ้น!


 


กระทั่งในบึงน้ำยังปรากฏฟองอากาศผุดขึ้นมาปุดๆ ไม่นานก็มีสัตว์ร้ายพุ่งออกมาอีกหลายตัว หากแต่ไม่ได้มากมายดั่งตอนแรก รอบนี้มีเพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น


 


ในบรรดาสัตว์ร้ายที่พุ่งออกมานับร้อยรอบหลัง พวกมันมีพลังฝึกปรือเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น


 


ด้วยเหตุนี้ต่อให้พวกมันจะมีมากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้สร้างแรงกดดันอะไรให้ต้วนหลิงเทียนเลย


 


พวกมันกรูกันเข้ามาในเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ คล้ายพวกมันจะแห่กันมาตกตาย ราวกับช่วงเวลาตกตายเป็นห้วงเวลาที่พวกมันจะเจิดจ้าเปล่งประกายมากที่สุด!


 


ผ่านไปสักระยะต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกชินชากับภาพความตายอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าสัตว์ร้ายพวกนี้สมควรเป็นภาพมายาประการหนึ่ง ยามตกตายก็สลายหายไปไม่เหลือซาก แต่ยังอดอึ้งไปเล็กน้อยเสียไม่ได้ ที่พวกมันพุ่งเข้ามารับความตายอย่างกล้าหาญแบบนี้…


 


สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมืออะไร เพียงยืนอยู่เฉยๆ ใช้จิตควบคุมกระบี่ในเขตแดนหมื่นกระบี่เพื่อฆ่าพวกมัน


 


จนกระทั่งสัตว์ร้ายตัวสุดท้ายตายตก ต้วนหลิงเทียนก็พอได้โล่งใจลงหน่อย


 


ทว่าไม่ทันที่เขาจะทันได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก กลับมีเสียงหนึ่งที่ราวกับดังมาจากทุกทิศทางดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนชัดเจน


 


“สหายน้อย ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ผ่านการทดสอบแรกของบึงไร้ก้นบึ้งมาได้…ยังมีบททดสอบอีก 8 ประการรอคอยเจ้าอยู่…ข้าจักเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่บททดสอบสุดท้าย”


 


เสียงนี้ฟังแล้วสมควรเป็นเสียงของชายชรา ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็อึ้งไปพักหนึ่งค่อยบังเกิดความตื่นเต้นยินดีขึ้นมา


 


“ไม่ว่าจะเป็นหอคอยลิ่วเหอ หรือพระราชวังที่มีโถงเหยียนเทียนนั่น ตอนไปไม่เห็นมีอะไรแบบนี้เลย…แถมฝูงสัตว์ร้ายก่อนหน้าก็เป็นบททดสอบแรกของพื้นที่มรดกเวทย์พลัง บึงไร้ก้นบึ้งนี่!?”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์


 


ต้องทราบด้วยว่าตอนแรกเขาก็เดาไว้แล้วว่าการโจมตีของฝูงสัตว์ร้ายจะใช่บททดสอบแรกหรือไม่


 


เพราหากมันเป็นบททดสอบแรกล่ะก็ นั่นหมายความว่ามรดกเวทย์พลังที่อยู่ในพื้นที่นี้สมควรไม่ธรรมดาแน่นอน หรืออย่างน้อยๆก็ต้องมีระดับสูงกว่าร่างทองลิ่วเหอและปราการศิลาสวรรค์ของเซียวตุน!


 


ตอนนี้พอมาได้ยินเสียงชราที่ดังขึ้นทุกทิศทาง ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ได้อย่างชัดเจน!


 


‘เวทย์พลังในบึงไร้ก้นบึ้งนี่ต้องเป็นเวทย์พลังระดับสูงแน่นอน!’


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนยังสองจิตสองใจ ว่าร่างทองลิ่วเหอที่ได้รับมาน่าจะเป็นเวทย์พลังที่ดีไม่น้อยแล้ว แต่พอมาเจอบึงไร้ก้นบึ้งนี่ เขาก็ตระหนักได้ว่ามันสมควรเป็นแค่ระดับกลางอันธรรมดาๆเท่านั้น!


 


บททดสอบแตกต่าง ระดับเวทย์พลังย่อมต่างกัน!


 


“ฟังจากเสียงนั่น …ยังเหลืออีก 8 การทดสอบสินะ แล้วข้าจะไปรับบททดสอบที่ 2 นั่นที่ไหนกัน?”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนสงสัย เขาก็ลองแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบรอบๆอีกครั้ง และไม่นานเขาก็สัมผัสได้ว่าบนอากาศหน้าบึ้งคล้ายมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง


 


เมื่อหรี่ตามองเพ่งไป เขาก็เห็นว่ามีรอยแยกที่ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นในอากาศระดับสายตา จากนั้นประตูบานหนึ่งก็ค่อยๆโผล่มาให้เห็น…ไม่ทราบว่าประตูนี้จะนำเขาไปสู่ที่ใดกันแน่


 


‘ผ่านบททดสอบแรกก่อนถึงค่อยเปิดประตู…ไม่เหมือนกับสามมรดกเวทย์พลังที่ข้าพบก่อนหน้านี้ ปกติแค่สัตว์ร้ายชุดแรกตายประตูก็เปิดแล้ว…ที่นี่ยากกว่ากันเยอะเลย’


 


ต้วนหลิงเทียนพูดในใจ


 


‘สำหรับเรื่องที่เซียวตุนเข้าใจผิดว่าที่นี่มีระดับเดียวกันกับพระราชวัง เพราะพวกมันแค่พบว่าสัตว์ร้าย 4 ตัวมีระดับพลังไล่เลี่ยกับวิหกทั้ง 5 นั่นแน่’


 


แน่นอนว่าที่ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าทำไมเซียวตุนกับสหายถึงเข้าใจผิด เพราะทั้งคู่ไม่แม้แต่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่ปรากฏตัวขึ้นชุดแรกได้…


 


ถึงแม้สัตว์ร้ายที่นี่จะปรากฏขึ้นมาแค่ 4 ตัว แต่ด้วยความที่พวกมันเป็นสายพันธุ์เดียวกัน ทำให้พวกมันสามารถลงมือสอดประสานกันได้ จึงร้ายกาจไม่น้อยไปกว่าวิหกตัวเขื่องทั้ง 5 ที่พระราชวัง!


 


แม้พวกมันจะดูคล้ายแยกกันลงมือ ทว่าอันที่จริงแล้วกลับสอดประสานกันดี!


 


‘เข้าไปก่อน’


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างต้วนหลิงเทียนก็กระโจนเข้าประตูลึกลับเบื้องหน้าทันที


 


มีอะไรรอคอยอยู่ด้านในกันแน่?


 


ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างสงสัยในเรื่องนี้นัก


 


แต่ที่รู้ก็คือมันต้องมีความยากมากกว่าบททดสอบแรกแน่นอน!


 


และสิ่งที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้าสายตา…ก็คือความมืดมิด! มืดกระทั่งไม่อาจมองเห็นนิ้วมือทั้ง 5 สุดท้ายเขาต้องเร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิดออกมา ทำให้ทั่วกายส่องแสงสว่างปานดวงตะวัน เผยหนทางอันมืดมิดเบื้องหน้า!


 


เป็นทางยาวทอดลึกลงไป ดั่งอุโมงค์สายหนึ่ง…


 


ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามทางลงไปได้ไม่กี่ร้อยหมี่ก็พอทำความเข้าใจอุโมงค์ได้ในระดับหนึ่ง


 


‘อุโมงค์นี่ดูเหมือนจะลาดลงไปเรื่อยๆ ผ่านไปพักหนึ่ง ก็เลี้ยวหักศอกคล้ายๆ จะเหมือนบันไดเวียนลงไปเบื้องล่าง…อย่าบอกข้านะว่าข้าต้องลงไปเรื่อยๆ ถึงจะไปโผล่สถานที่สำหรับบททดสอบที่ 2…’


 


พอคิดแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็เร่งฝีเท้าในการก้าวเดินขึ้นมาทันที แน่นอนว่าคำว่าเดินในที่นี้ความเร็วย่อมไม่ใช่ชั่ว!


 


บททดสอบที่ 2 เป็นเช่นไรนั้น…


 


เขาไม่รู้!


 


ความไม่รู้นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด แต่ใครก็คงบอกได้ว่ามรดกเวทย์พลังที่เขาจะได้รับหลังผ่านอีก 8 บททดสอบ ต้องเป็นเวทย์พลังระดับสูงแน่ๆ!


 


“นี่มันลงมาลึกกว่าผิวดินประมาณ 1,000 หมี่ได้แล้ว…”


 


หลังผ่านไปพักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามทางอันรู้สึกเหมือนจะทอดยาวออกไปไร้สิ้นสุดเขาก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา “โอย…มันจะต้องไปอีกไกลเท่าไหร่กัน?”


 


ถึงแม้จะร้อนใจแต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ยอมแพ้ แต่เลือกที่จะเดินต่อไป


 


พริบตาหนึ่งวันก็ผ่านพ้นไป…


 


“นี่ข้าลงมาลึกกว่า 2,000 ลี้แล้วนะ…”


 


2 วันผ่านไป…


 


“4,000 ลี้เข้าไปแล้ว…”


 


3 วันผ่านไป


 


“บัดซบ นี่มัน 6,000 ลี้เข้าไปแล้ว! ข้าจะต้องถ่อไปถึงไหนกัน?!”


 


สามวันผ่านไป ต้วนหลิงเทียนที่เดินลงมาไม่หยุดพัก ก็อดไม่ไหวจำต้องหยดสบถออกมาด้วยความหัวเสีย ไม่คิดเดินไปไหนอีก หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น “ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะเดินผ่านอุโมงค์บ้านี่ไม่ได้!!”


 


ทันทีที่กล่าวออกมาอย่างหัวเสียจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็พุ่งออกไปทันที ไม่คิดเดินไปอย่างช้าๆอะไรอีก


 


ทว่าพอผ่านไปอีกวัน และรู้สึกได้ว่ามุ่งหน้าลึกลงมาใต้ดินกว่า 20,000 ลี้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เพราะหากเป็นที่โลกเก่า ความลึกขนาดนี้มันเกือบจะเป็น 2 เท่าของความลึกแกนโลกแล้ว!!


 


อุโมงค์มืดมิดนี่มันคล้ายจะทอดยาวลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด!


 


“บัดซบ! ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง!!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่หยุดเคลื่อนไหวและยืนนิ่งอีกครั้ง คราวนี้แทนที่จะหัวเสียเขากลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “ที่แท้ที่นี่ก็คือบททดสอบที่ 2…ปีศาจเฒ่านั่นฉลาดนัก! หากไม่ใช่เพราะข้าเปิดใช้ม่านตาพิสดารข้าคงไม่รู้ตัว!!”


 


“ที่คิดว่าเดินลึกลงมา 20,000 ลี้ ที่แท้ยังห่างจากผิวดินแค่ราวๆ 1,000 ลี้เท่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะค่ายกลบัดซบนั่น!!”


 


เนื่องจากในอุโมงค์มันมีแต่ความมืดมิดและไร้กระแสพลังผันพวน จึงยากที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้ตัวว่ากำลังเดินวนเวียนอยู่ในค่ายกลมายาอันแยบคายชุดหนึ่ง!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเขาใช้ออกด้วยม่านตาพิสดาร และทำการจดจำรายละเอียดทั้งหมดในอุโมงค์ เขาจึงพบว่าร่องรอยทั้งหลายผ่านไปพักหนึ่งกลับละม้ายคล้ายกัน! ทำให้เขาพบว่าเขากำลังเดินวนเวียนอยู่ในทางเส้นเดิมตลอดเวลา!!


 


เพราะค่ายกลมายานี้มีระดับสูงเกินไป ปกปิดดีเกินไป จึงไร้กระแสพลังผันผวน!!


 


“ค่ายกลมายานี่สมควรเป็นบททดสอบที่ 2..”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบใจรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเปิดใช้ม่านตาพิสดารเต็มกำลัง มองไปรอบๆกาย


 


หากคิดทำลายค่ายกล จำต้องหาแก่นกลางอันเป็นจุดศูนย์รวมพลังของค่ายกลหรือที่เรียกกันว่า ‘ตาค่ายกล’ ให้พบ! และการจะหาสิ่งนั้นได้ จำต้องใช้ม่านตาพิสดาร!!


 


ดังนั้นการเดินสำรวจรอบนี้ต้วนหลิงเทียนจึงใช้พลังวิญญาณเพื่อเปิดใช้ม่านตาพิสดารออกมาตลอดเวลา แถมยังต้องแผ่สำนึกเทวะออกมาระวังภัยไว้ด้วย ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยละเอียดไม่กล้าประมาท


 


ในขณะที่เดินผ่านบางจุด อยู่ๆปราณสุริยันแรกกำเนิดก็ปะทุแผ่พุ่งออกมาทั่วร่าง ก่อนจะพุ่งไปทำลายที่ทาง! เรียกว่าตอนนี้หากเจอซอกหลืบน่าสงสัยอันใด เขาจะซัดพลังไปทำลายทุกสิ่งที่อยู่ด้านในทันที!!


 


แน่นอนว่าม่านตาพิสดารที่เปิดใช้ตลอดเวลาแบบนี้ มันกินพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนสูงมาก!


 


หลังจากที่พลังวิญญาณเขาพร่องไปเจียนร่อยหรอ ต้วนหลิงเทียนก็จำต้องหยุดพักเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ


 


เขากระทำเช่นนี้ไปอยู่เกือบอาทิตย์…


 


ดั่งคำฟ้าไม่ละทิ้งคนเพียร ในวันที่ 7 ต้วนหลิงเทียนก็พบบางสิ่งที่คล้ายจะเป็น ‘ตาค่ายกลในที่สุด’ เขาไม่รอช้าปะทุปราณสุริยันแรกกำเนิดควบรวมเป็นมวลพลังน่ากลัวขุมหนึ่ง ซัดออกไปปานดาวตกระเบิดทำลายมันอย่างดุร้าย!!


 


ถ้ามันเป็นตาของค่ายกลจริงๆ ค่ายกลมายานี่จะสลายหายไปทันที


 


หากแต่ถ้ามันเป็นแค่จุดพลังจุดหนึ่งของค่ายกล แม้จะทำลายไป…ก็ไม่อาจทำลายค่ายกลนี้ได้


 


และต้วนหลิงเทียนก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ว่า…


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาพบจุดพลังจุดแรกแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มีแรงฮึดมากขึ้น หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งวันเขาก็พบจุดที่ 2 และทำลายมันอีกครั้ง


 


และดูเหมือนจุดพลังของค่ายกลจุดนี้จะมีความสำคัญมากกว่าจุดแรก


 


เพราะทันทีที่มันถูกทำลาย เบื้องหน้าไกลๆของอุโมงค์อันมืดมิดก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาดั่งอรุณรุ่งแห่งความหวังทันที ถึงแม้ว่ามันจะริบหรี่เพราะอยู่ไกลแสนไกล แต่ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นได้ “นั่นคือทางออกงั้นเหรอ?”


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่าค่ายกลนี้สมควรถูกเขาทำลายลงได้แล้ว ถึงจะไม่ใช่ตาค่ายกล แต่ถ้าจุดพลังสำคัญๆเสียไป มันก็ไม่อาจส่งพลังประคองค่ายกลไว้ให้เสถียรได้!


 


“บททดสอบนี้…ช่างเสียเวลาจริงๆ”


 


ถึงแม้บททดสอบที่ 2 จะไม่ต้องฆ่าฟันอะไร…แต่มันกลับกินเวลาเขาไปทั้งสิ้น 10 วัน กระทั่งเผลอๆอาจจะมากกว่านั้น! หากเลือกได้เขาขอลุยดะอย่างบททดสอบแรกดีกว่า!!


 


บททดสอบที่ 2 ทำให้ใจอ่อนล้านัก


 


หลังจากเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ต้วนหลิงเทียนก็เร่งพุ่งร่างไปยังทางออกทันที


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 


……


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนออกมาจากอุโมงค์อันมืดมิด สังหรณ์อันตรายก็ร้องดังขึ้นในใจเขาทันที เร่งกางระฆังกระบี่คลุมกายออกมาอย่างไม่รอช้า ปราณสุริยันแรกกำเนิดปะทุระเบิด โคจรไหลไปดั่งสายธารเชี่ยวผ่าน 99 ชีพจรสายแผ่พุ่งออกทั่วผิวกาย ควบรวมสร้างกระบี่พลังมีสภาพนับพันเล่มในพริบตา! ก่อนที่พวกมันจะลอยล่องวนเวียนรอบตัวด้วยความเร็วาสูง!!


 


ปงงง! ปงงง! ปงงง!!


 


……


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ระฆังกระบี่คลุมกายปรากฏ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่า มีพลังมหาศาลขุมหนึ่งซัดกระแทกเข้าม่านพลังของเขาอย่างจัง! มวลพลังนั่นยังน่ากลัวไม่น้อย!!


ตอนที่ 1,779 : สัตว์ร้ายมีปีก!


 


เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วหลังจากที่แดนลับเซียนเปิดออก


 


เหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ถูกขับออกมาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และทั้งหมดก็ไม่ได้รีบร้อนจากไปไหน เพียงเฝ้ารออยู่หน้าแดนลับเซียนด้วยเช่นกัน


 


พวกมันย่อมอยากรู้ว่าผู้อื่นเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วใครได้เวทย์พลังอันใดออกมา…


 


นอกจากนี้พวกมันอยากรู้นักว่าผู้ใดจะสามารถอยู่ในแดนลับเซียนได้ครบกำหนด 3 เดือน


 


เมื่ออยู่ครบ 3 เดือน แดนลับเซียนจะส่งตัวออกมาโดยอัตโนมัติ


 


จนกว่าจะถึงตอนนั้น เว้นเสียแต่จะตกตาย หาไม่แล้วก็คงไม่มีใครอยากออกจากแดนลับเซียน


 


“มรดกเวทย์พลังที่ข้าเจอนั้นบททดสอบช่างโหดร้ายนัก! ขนาดพวกข้ามีเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด 2 คนกับเซียนขัดเกลาขั้นต้นอีกคนยังไม่อาจผ่านบททดสอบที่ 6 ได้! ตัวบ้านั่นมันเป็นถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง! พอพวกข้ารู้ว่าไม่ไหวจะสู้ ก็รีบหนีเตลิดออกมาทันที อนิจจาข้าที่บาดเจ็บก็เลยถูกจับคนช้า…ตัวบัดซบนั่นมันตบข้าทีเดียวข้าก็วูบออกมานี่เลย…”


 


หนึ่งในศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกมาอย่างออกรส กล่าวจบมุมปากยังเผยรอยยิ้มขื่นขม ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ..


 


“ดูเหมือนว่าสถานที่ทดสอบรับมรดกเวทย์พลังที่กลุ่มเจ้าพบเจอ จะมีระดับเดียวกันกับของข้า! แต่ทีมของข้าดีหน่อย เพราะนอกจากข้าที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดคนเดียว อีก 2 คนกลับเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้น…พวกเราสามารถร่วมมือกันจนผ่านบททดสอบที่ 6 มาได้…แต่พวกเรากลับล้มเหลวในบททดสอบที่ 7”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับอีกคนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม “หากข้าเดาไม่ผิดนั่นสมควรเป็นบททดสอบสุดท้ายแล้ว…เพราะคู่ต่อสู้ที่เป็นหุ่นประหลาดนั่นกลับมีระดับพลังถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! ถึงหุ่นบัดซบมันจะร้ายกาจไม่เท่าผู้ฝึกตนมนุษย์เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ 2 เซียนขัดเกลาขั้นต้นกับข้าจะจัดการได้…”


 


“อะไรนะ? หุ่นที่ว่ามันมีพลังถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเลยหรือ! แล้วนี่กลุ่มของพวกเจ้าเป็นอย่างไรเล่า? หรือตกตายกันหมด?”


 


ชายคนก่อนมองสหายร่วมวังด้วยสายตาตกใจ


 


“ไม่…สหายข้าหนีไปได้ แต่ข้าถูกจับคนช้าหนึ่งนายเหมือนเจ้า…”


 


ศิษย์คนหลังกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


“ฮัยยา…เช่นนั้นพวกเราก็เป็นสหายร่วมชะตากรรมเดียวกันสินะ”


 


คนหลังยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ และคล้ายจะนึกใดขึ้นได้จึงหันไปมองจ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิงที่อยู่ไม่ไกลทันที “ท่านจ้าววังเหลืองขอรับ พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่พวกเราเจอ…เวทย์พลังที่อยู่ในนั้นใช่เวทย์พลังระดับสูงหรือไม่?”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนนี้ ก็เป็นศิษย์ของวังเหลือง


 


“เวทย์พลังระดับสูง?”


 


อย่างไรก็ตามพอได้ยินคำถามมัน เฉียนผิงเชิงพลันส่ายหัว “ฟังจากที่เจ้ากล่าวมรดกเวทย์พลังนั่นสมควรมีระดับกลาง…หากเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูง เกรงว่ากระทั่งบททดสอบแรกพวกเจ้าก็มิอาจผ่านได้แล้ว”


 


“อะไรนะ!?”


 


ศิษย์วังเหลืองคนนั้นพอได้ยินก็ถึงกับตกใจยกใหญ่ สูดลมหายใจเด้วยความหนาวเหน็บ “บททดสอบยากเย็นเช่นนั้น…ยังเป็นเพียงมรดกเวทย์พลังระดับกลางแค่นั้นหรือ?”


 


ตอนนี้เองเฉียนผิงเชิงก็มองทั้งคู่ พร้อมกล่าวให้ความรู้ออกมา


 


“มรดกเวทย์พลังชั้นสูงนั้น ตลอดประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา มีน้อยคนนักที่สามารถรับสืบทอดมาได้…ข้ายังกล่าวได้เลยว่าหากด่านพลังฝึกปรือของเจ้ามิได้บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเป็นอย่างต่ำ คงยากที่จะผ่านบดทดสอบมรดกเวทย์พลังระดับสูง! กระทั่งต่อให้เป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านบททดสอบของมรดกเวทย์พลังระดับสูงด้วยซ้ำ!!”


 


เฉียนผิงเชิงกล่าวเพิ่มเติม “แน่นอนว่านี่หมายถึงในกรณีที่เจ้าลุยคนเดียว หากมีสหายที่ขอบเขตพลังไล่เลี่ยกัน ก็อาจฝ่าฟันบททดสอบได้ กระทั่งระดับพลังฝึกปรือต่ำกว่าสักขั้นก็ยังพอเป็นไปได้…แต่ที่แน่ๆคือทุกคนไม่อาจมีพลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!”


 


“ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา กลุ่มที่ได้รับเวทย์พลังระดับสูงมา พลังฝึกปรือที่ต่ำที่สุดก็เป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้ง 3 คน! แต่พวกมันก็เป็นสหายที่สนิทสนมกันมาก สามารถตั้งค่ายผนึกกำลังกันต้านรับศัตรูได้อย่างยอดเยี่ยม”


 


“แถมในแดนลับเซียนนั้น มรดกเวทย์พลังระดับสูงเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำดีเลว มิใช่ว่าเวทย์พลังระดับสูงทั้งหมดจะมีพลังอำนาจทัดเทียมกัน! กลุ่มนั้นที่ข้าว่า…ที่พวกมันสามารถได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูงมาได้ เพราะเป็นเวทย์พลังระดับสูงทั่วๆไป…”


 


เฉียนผิงเชิงกล่าวสืบต่อ “แน่นอนว่ายิ่งเป็นมรดกเวทย์พลังระดับสูงที่ร้ายกาจมากเข้าหน่อย บททดสอบก็ยิ่งทวีความยากเย็นมากขึ้นไปอีก กระทั่งกลุ่มเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 3 คนก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะบททดสอบได้เต็มปาก!”


 


มรดกเวทย์พลังระดับสูงยังมีแบ่งแยกสูงต่ำอีก?


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับโดยรอบเอง หลายคนก็พึ่งได้รับทราบเรื่องนี้


 


วุ้ม! วู้ม! วู้ม!!


 


……


 


ตอนนี้เองวังวนเหนือฟ้าอันเป็นทางเข้าแดนลับเซียนที่สงบมานาน พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ดึงความสนใจของทุกคนไปทันใด


 


“มีคนถูกขับออกมาอีกแล้วหรือ?”


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับหลายคนเอ่ยออก


 


ขณะเดียวกันก็มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากวังวนทางเข้าแดนลับเซียน


 


“เซียวตุน!”


 


พอเห็นร่างคนที่พุ่งออกมา ศิษย์วังปฐพีคนหนึ่งเร่งเหินร่างขึ้นมาหามันทันที “ไฉนเจ้าถึงถูกขับออกมาเล่า?”


 


ตอนนี้เองคนสกุลจ้าวทั้ง 3 ที่อยู่ด้านหลังจ้าวเติง ก็มองมาที่เซียวตุนทันที สองตาพวกมันแต่ละคนยังทอประกายเรืองวูบ


 


พวกมันย่อมจดจำได้ดี ว่าเซียวตุนเป็นคนที่พวกมันปิดล้อมเอาไว้ และกำลังยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายบอกที่ตั้งมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 แต่สุดท้ายกลับถูกหลิงเทียนเข้ามาแทรกแซง จนในที่สุดพวกมันก็ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียน…


 


พอพวกมันเห็นเซียวตุน พวกมันก็หวนนึกถึงประสบการณ์อันน่าเศร้าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนขึ้นมาอีกครั้ง


 


“เจ้ามิใช่ว่าถูกศิษย์พี่หลิงเทียนช่วยเอาไว้แล้วหรอกหรือ?”


 


ศิษย์วังปฐพีที่กล่าวถามก่อนหน้า ยิงคำถามออกมาอีกครั้งทันที มันก็คือสหายของเซียวตุน ที่มีวิชาเนตร แต่สุดท้ายกลับถูก 3 คนสกุลจ้าวฆ่าตายจนถูกขับออกจากแดนลับเซียนมาก่อน!


 


เบาะแสพื้นที่มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 เป็นมันที่เป็นผู้ค้นพบ


 


“ก็ใช่”


 


เซียวตุนพยักหน้า “ข้าได้รับการช่วยเหลือจากศิษย์พี่หลิงเทียนจริงๆ อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องเมื่อ 10 วันก่อน หลังจากที่ข้าพาศิษย์พี่หลิงเทียนไปส่งยังพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งที่ 2 ที่เจ้าพบพวกเราก็แยกทางกัน…แน่นอนว่าศิษย์พี่หลิงเทียนก็ได้ช่วยให้ข้าได้รับมรดกเวทย์พลังชิ้นหนึ่ง”


 


กล่าวถึงจุดนี้เซียวตุนก็เผยรอยยิ้มออกมา


 


ศิษย์วังปฐพีที่ได้ฟังก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา “นั่นเป็นเรื่องดียิ่ง!”


 


อย่างไรก็ตามด้านเซียวตุน ได้แต่มองสหายด้วยสายตารู้สึกผิด “พี่เจิ้ง ข้ามอบ 1 ใน 2 พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ท่านพบให้ศิษย์พี่หลิงเทียนไป…เรื่องนี้ท่านคงไม่คิดตำหนิข้าใช่หรือไม่?”


 


“ข้าจะตำหนิเจ้าทำอะไรเล่า?! ข้าถูกกำจัดออกมาแล้ว มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 นั่นย่อมเป็นของเจ้าตามธรรมชาติ…ในเมื่อศิษย์พี่หลิงเทียนเมตตาช่วยเหลือเจ้าเช่นนี้ มอบให้เขาที่หนึ่งก็เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งแล้ว!”


 


ศิษย์วังปฐพีส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม


 


ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้วแบบนี้ มันไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรอีก ใจสงบลงอย่างสมบูรณ์


 


บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่ได้อย่างที่หวัง สุดมือสอยก็จำต้องปล่อยมันไป อย่ารั้น…


 


มันเองก็ปล่อยวางได้แล้ว


 


ด้วยเหตุนี้หลังจากที่มันพบว่า 2 พื้นที่เก็บมรดกเวทย์พลัง 1 ในนั้นเป็นของสหาย อีก 1 เป็นของผู้มีพระคุณสหาย มันก็รู้สึกยินดี ทั้งยังมีความสุขกับเซียวตุนจากใจจริง


 


“หลิงเทียน?”


 


ทุกคนที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างศิษย์วังนภาอย่างเซียวตุนกับศิษย์วังปฐพีที่ถูกเรียกว่าพี่เจิ้ง ย่อมบังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที กระทั่งจ้าววังเหลืองยังอดไม่ไหว เร่งกล่าวถามออกมาเสียงดัง “ศิษย์น้อยแซ่เซียววังนภา เวทย์พลังอันใดหรือที่หลิงเทียนช่วยให้เจ้าได้รับมา?”


 


ทันทีที่จ้าววังเหลืองกล่าวถามออกมา ทุกผู้คนก็หันไปมองเซียวตุนด้วยความสนใจทันที


 


รวมถึงจ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีด้วย


 


หากเป็นคนอื่นมองถามมาแบบนี้เซียวตุนอาจเพิกเฉยได้ แต่เมื่อมีจูลู่ฉีรวมอยู่ด้วยมันย่อมไม่อาจเพิกเฉย


 


เพราะอย่างไรเสียจูลู่ฉีก็เป็นจ้าววังนภา หากมันคิดมีชีวิตที่ดีในวังนภา ย่อมไม่อาจขัดใจจ้าววังได้


 


“เวทย์พลังที่ข้าได้รับมาเรียกว่า ปราการศิลาสวรรค์!”


 


ภายใต้สายตาของทุกคน เซียวตุนกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด


 


ปราการศิลาสวรรค์!


 


ทันทีที่เซียวตุนกล่าวออกมา อาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


กระทั่งเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับที่หลับตาอยู่ยังถึงกับลืมตาขึ้นมา มองเซียวตุนด้วยตาประกายตาลุกวาว


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงการมองมาของจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เซียวตุนย่อมรู้สึกกดดันไม่น้อย แรงกดดันของจ้าวตำหนักเป็นอะไรที่หนักหน่วงสำหรับมันเกินไป


 


“ท่ามกลางเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลาง…ปราการศิลาสวรรค์ของเจ้านับว่าเป็นหนึ่งในเวทย์พลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด! นับว่าเจ้ามีโชคนักที่สามารถสืบทอดมรดกเวทย์พลังอย่างปราการศิลาสวรรค์มาได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ และสามารถเพาะสร้างเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์จนใช้งานได้!”


 


เฉียนผิงเชิงกล่าวกับเซียวตุนด้วยสายตาจริงจัง “ในประวัติศาตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา แม้มีไม่น้อยที่สามารถรับมรดกเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์มาได้ แต่มีน้อยคนนักที่ทะลวงถึงเซียนมนุษย์ เช่นนั้นพวกเราจึงยังมิเคยเห็นพลังอานุภาพของเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์มาก่อน กระทั่งยังมิมีผู้ใดสามารถถ่ายทอดมันได้ในตำหนักฟ้าลี้ลับเรา!”


 


“ท่ามกลางเวทย์พลังป้องกันระดับกลาง ปราการศิลาสวรรค์…นับว่าเป็นหนึ่งในเวทย์พลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด”


 


ได้ยินวาจานี้ของเฉียนผิงเชิง สองตาเซียวตุนพลันลุกวาวขึ้นมาทันที มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเวทย์พลังป้องกันปราการศิลาสวรรค์ที่มันได้รับมา จะไม่ใช่เวทย์พลังระดับกลางสายป้องกันทั่วๆไป!


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยสหายเซียวตุน!”


 


ตอนนี้เองเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนอื่นที่ถูกขับออกมา ก็หันไปแสดงความยินดีกับเซียวตุน


 


ห่ากแต่ลึกลงไปในแววตาของพวกมันเผยความอิจฉากันไม่น้อย


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนใด ที่รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับกลางหรือสูงกว่านั้นมาได้ ทางตำหนักจะคอยดูแลสนับสนุนเป็นพิเศษ! เพื่อส่งเสริมให้ศิษย์คนนั้นบรรลุเซียนมนุษย์ในเร็ววัน กระทั่งหวังว่าจะสามารถเข้าใจจนเพาะสร้างต้นแบบใช้งานได้สำเร็จ จึงจะมีความสามารถถ่ายทอดให้กับทางตำหนัก…


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับกลางขึ้นไปในแดนลับเซียน


 


อนิจจาแม้จะมีบางคนที่สามารถรับสืบทอดเวทย์พลังได้ก่อนจะถูกขับออกมาเหมือนเซียวตุน แต่พวกมันก็ล้วนได้มาแต่เวทย์พลังระดับต่ำๆทั้งสิ้น ย่อมไม่ได้เป็นที่ต้องการอะไรมากมาย


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยเซียวตุน”


 


ตอนนี้เองจ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉี ก็ยิ้มกล่าวกับเซียวตุน ศิษย์วังนภาที่มันไม่ค่อยได้ให้ความสนใจอะไรมากมายในกาลก่อน มาตอนนี้มันต้องมองอีกฝ่ายใหม่แล้ว!


 


“ขอบคุณท่านจ้าววังขอรับ”


 


เซียวตุนรู้สึกปลาบปลื้มนัก


 


ศิษย์อีก 3 วังที่เหลือล้วนมองเซียวตุนอย่างอิจฉาตาร้อน เว้นแต่สหายของมันคนหนึ่งที่แย้มยิ้มยินดีกับสหายจนแก้มแทบปริ เพราะในเมื่อสหายรุ่งโรจน์..มันไหนเลยจะไม่พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย!


 


ด้านจ้าวเติงกับบุตรชาย รวมถึงศิษย์สกุลจ้าวทั้ง 3 ตอนนี้สีหน้ามืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!


 


ในสายตาของพวกมัน เวทย์พลังนั่นสมควรเป็นของสกุลจ้าวพวกมัน!


 


‘หลิงเทียน…หลิงเทียน!!’


 


จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเติงหรือจ้าวจี้ ความเกลียดชังที่มีต่อต้วนหลิงเทียนในใจของพวกมันล้วนเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น!


 


“ปราการศิลาสวรรค์งั้นหรือ…หากข้าจำมิผิด เจ้ากับหลิงเทียนสมควรบุกเข้าไปใน พระราชวัง 6 โถง!”


 


จูลู่ฉีมองเซียวตุนด้วยความสนใจ พอกล่าวเกริ่นจบค่อยถามออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าบอกว่าได้มอบที่ตั้งมรดกเวทย์พลังอีกที่ให้หลิงเทียนงั้นหรือ…สถานที่แห่งนั้นเป็นเช่นไรเล่า?”


 


เห็นได้ชัดว่าจูลู่ฉีอยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับสืบทอดเวทย์พลังอะไร


 


“สถานที่มรดกเวทย์พลังดังกล่าว พอพวกเราเข้าไป…พวกเราก็เจอบึงน้ำดำตั้งอยู่เบื้องหน้าไกลๆ ส่วนโดยรอบเป็นป่ารกชัด บรรยากาศมืดครึ้มอึมครึม สิ่งที่ออกมาต้อนรับพวกเราเป็นสัตว์ร้ายที่มีร่างกายคล้ายมนุษย์หน้าตาอัปลักษณ์ เขายาวหัวโตแถมปูดบวม ผิวหนังยู่ย่นปานคนชรา มีปีกใหญ่โตที่กลางหลังจำนวน 4 ตัว…”


 


เซียวตุนพยายามอธิบายออกมาอย่างละเอียด โดยเฉพาะลักษณะของสัตว์ร้ายน่ากลัวนั่น


 


“สัตว์ร้ายมีปีก!?”


 


ทันทีที่เซียวตุนอธิบายถึงสัตว์ร้ายมีปีกที่หลังนั่นออกมา สองตาจูลู่ฉีหดหยีทันใด ยังโพล่งออกมาด้วยความตกใจเสียงดัง


 


สัตว์ร้ายร่างคล้ายมนุษย์มีปีก!


 


จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ก็ถึงกับต้องลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินคำอธิบายของเซียวตุน!


ตอนที่ 1,780 : เวทย์พลังอันดับหนึ่ง!


 


“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนั้นเป็นพื้นที่บึงอันห้อมล้อมไปด้วยป่ารกชัด ทั้งแน่ใจว่ามิได้อธิบายรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายทั้ง 4 ผิดไป?”


 


จ้าววังนภาจูลู่ฉี มองจี้ถามเซียวตุนเสียงเข้ม


 


ตอนนี้เซียวตุนพลันพบว่าบรรยากาศโดยรอบผิดแปลกไป แต่มันก็เลือกจะพยักหน้ายืนยัน “ข้าแน่ใจว่ากล่าวมิผิด เพราะก่อนหน้าข้ากับพี่เจิ้งก็ไปเจอมากับตัว…พี่เจิ้งเองก็พิสูจน์ได้ว่าข้ากล่าวจริง”


 


หลังจากกล่าวยืนยัน เซียวตุนก็หันไปมองศิษย์วังปฐพี ฉินเจิ้ง


 


เพราะตอนนั้นเป็นฉินเจิ้งค้นพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 ทั้งคู่ก็ได้พากันไปลองทั้ง 2 แห่งมาแล้ว


 


จนพบว่าด้วยพลังฝีมือของ 2 คนไม่อาจผ่านบททดสอบได้ จึงคิดจะไปหาคนมาช่วย


 


แต่ใครจะไปรู้ว่าดันไปเจอคนสกุลจ้าวทั้ง 3 ระหว่างทางเสียก่อน สุดท้ายคนสกุลจ้าวก็เลือกเชือดไก่ให้ลิงดู ฆ่าฉินเจิ้งหมายบีบคั้นให้มันกล่าวบอกตำแหน่งมรดกเวทย์พลังออกไป


 


สิ้นคำเซียวตุน สายตาของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ รวมถึงจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง ก็เบนไปตกที่ร่างฉินเจิ้งทันที


 


ฉินเจิ้งไม่กล้ารอช้า เร่งพยักหน้ายืนยันออกมาทันที “มิผิด เซียวตุนกล่าวถูกแล้ว!”


 


“เป็นสถานที่แห่งนั้นจริงๆ!”


 


หลังจากได้รับการยืนยันจากฉินเจิ้ง อาวุโสกระทั่งจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับล้วนส่ายหัวออกมาทันที


 


จ้าวเติง รองจ้าวตำหนักเองแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสนุกสนาน คล้ายกำลังสะใจกับคราวเคราะห์ของผู้อื่น


 


“ท่านจ้าววัง มีอันใดผิดพลาดหรือขอรับ?”


 


เซียวตุนที่สัมผัสได้ว่าบรรยากาศโดยรอบมันผิดแปลกไป อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามจูลี่ฉีออกมา


 


“มันก็มิมีใดผิดพลาดหรอก…”


 


จูลู่ฉีส่ายหัวกล่าว “พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เจ้าไปพบนั้น ในอดีตก็มีคนของตำหนักฟ้าลี้ลับเราไปพบเจอกันมิน้อย…หากแต่มิมีผู้ใดสามารถผ่านบททดสอบแรก ของสถานที่แห่งนั้นได้เลย! กระทั่งยังมีน้อยคนที่สามารถรอดชีวิตออกจากการทดสอบแรกมาได้!!”


 


“อะไรกัน!”


 


ได้ยินคำกล่าวของจูลู่ฉี ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่ตั้งใจฟังอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


เซียวตุนกับฉินเจิ้งเองก็อึ้งไปไม่ต่าง พวกมันทั้งคู่หันมามองหน้าสบตากัน จนได้แลเห็นแววตาไม่อยากจะเชื่อของกันและกัน


 


กระทั่งบททดสอบแรกยังมีน้อยคนที่หลบหนีออกมาได้…นี่ไม่ใช่กล่าวเกินจริงไปหน่อยรึไง?


 


“ท่านจ้าววังขอรับ ข้ากับพี่เจิ้งเองก็เข้าไปยังพื้นที่มรดกนั้นมาแล้ว…บททดสอบแรกมิใช่เป็นสัตว์ร้าย 4 ตัวหรอกหรือขอรับ ถึงแม้พวกมันทั้ง 4 จะเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดที่ มีอำนาจทัดเทียมเซียนขัดเกลาขั้นต้นยามลงมือพร้อมกัน แต่ข้ากับพี่เจิ้งยังหนีรอดกันมาได้…แล้วไฉนในประวัติศาสตร์ตำหนักฟ้าลี้ลับเราถึงมีน้อยคนรอดมาได้เล่าขอรับ?”


 


เซียวตุนอดไม่ได้ที่จะกล่าวบอกเรื่องนี้ออกมา


 


ฉินเจิ้งเองก็พยักหน้า ในฐานะที่เจอมากับตัวมันย่อมเห็นด้วยกับเซียวตุน


 


“สัตว์ร้าย 4 ตัวที่เจ้าว่า ยังมิใช่บททดสอบแรกของสถานที่แห่งนั้น…บททดสอบแรกของสถานที่แห่งนั้นจักเริ่มต้นขึ้นหลังจากเจ้าฆ่าสัตว์ร้ายทั้ง 4 นั่นลงได้!”


 


จูลู่ฉีส่ายหัว ค่อยกล่าวอธิบาย “หลังจากฆ่าสัตว์ร้ายทั้ง 4 นั่นแล้ว นอกจากบึงน้ำดำลึกลับนั่น จักมีสัตว์ร้ายชนิดเดียวกับสัตว์ร้ายทั้ง 4 นั่นนับพันๆตัวกรูกันเข้ามาจากทุกทิศทาง…แถมพวกมันยังร้ายกาจกว่าชุดแรกนัก! กระทั่งขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นยังมีนับสิบๆตัว! ทั้งพวกมันยังมี ราชา ที่มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ที่เจียนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเต็มที!!”


 


“หากจะมองในแง่พลังฝึกปรือ แม้พวกมันจะยังไม่มีตัวใดบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…แต่ในแง่ของปริมาณแล้วพวกมันมีมากมายมหาศาลนัก! สัตว์ร้ายฝูงใหญ่นับพันๆตัว ที่อ่อนแอที่สุดก็เซียนดั้งเดิมขั้นกลาง พวกมันโถมถันเข้ามามืดฟ้ามัวดิน เว้นแต่จะเป็นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นขึ้นไปเปิดใช้เขตแดนอันทรงพลังต้านทาน หาไม่แล้วผู้ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่านั้นมิมีทางต้านทานได้เลย!”


 


“ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา ครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่เป็นดั่งกลุ่มจตุรเทพในยุคนั้น ในกลุ่มบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 3 ส่วนหนึ่งในนั้นยังพึ่งตัดผ่านถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…ทว่ากลุ่มนั้นยังมิอาจต้านรับเหล่าสัตว์ร้ายที่บุกมาพร้อมกับราชาได้…ทำให้ถูกฆ่าล้างยกกลุ่ม! ภายใต้การถาโถมของทัพสัตว์ร้ายนับพัน พวกมันฆ่าได้แค่มิกี่ร้อยเท่านั้นก่อนที่จะตายตก!”


 


จูลี่ฉีกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


ซูด! ซูด! ซูด! ซูด! ซูด!


 


……


 


พอวาจาของจูลี่ฉีดังจบคำ เหล่าศิษย์ที่สนใจฟังอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ


 


“เป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังอันใดกันแน่? ไฉนถึงได้น่ากลัวนัก..แค่บททดสอบแรกยังโหดขนาดนี้แล้ว!?”


 


“ช่างหฤโหดยิ่ง”


 


“ถึงพลังฝีมือของหลิงเทียนจักร้ายกาจ แต่ก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคนหนึ่ง…หากต้องเผชิญหน้ากับกองทัพสัตว์ร้ายเช่นนั้น เกรงว่าจัก 9 ตาย 1 รอด!”


 


“หากเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูงทั่วไป ด้วยพลังฝีมือของหลิงเทียนคงสามารถบุกผ่านได้…แต่พื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูงขนาดนี้ น่ากลัวว่าคงมิใช่อันใดที่เขาจะผ่านมันได้!”


 


“พื้นที่มรดกเวทย์พลังมีบททดสอบน่ากลัวถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเวทย์พลังที่อยู่ในนั้นมิเลิศล้ำสะท้านฟ้าเลยหรือ…เพียงคิดก็น่าตกใจแล้ว!”


 


“ย่อมเป็นธรรมดาที่เวทย์พลังในนั้นจักมิธรรมดา แต่ทว่าให้ไม่ธรรมดาเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดสามารถสืบทอดได้!”


 


“นั่นสิ บทสอบเช่นนั้นมันยากเกินไป”


 


……


 


หลังจากคืนสติ เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ระเบิดคำสนทนากันอื้ออึง ทั้งหมดไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะผ่านบดทดสอบแรกได้เลย


 


มุมปากจ้าวจี้ยกยิ้มขึ้นมาค้างเติ่งยากจะหุบลง


 


“สัตว์ร้ายทั้ง 4 นั่น…แค่โหมโรงก่อนที่บททดสอบแรกจะเริ่มต้นงั้นหรือ?”


 


หลังได้ยินคำของจูลู่ฉี เซียวตุนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะหันไปมองฉินเจิ้ง และได้แลเห็นแววตาตกใจของอีกฝ่าย


 


พวกมันเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหนึ่งในพื้นีท่เวทย์พลังที่พวกมันพบเจอมา จะเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูงขนาดนี้!


 


“เช่นนั้น…มิใช่ศิษย์พี่หลิงเทียนตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ!?”


 


พอคิดถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา สีหน้าเซียวตุนก็ตื่นตระหนก ทั้งไม่นานก็กลายเป็นละอายใจ รู้สึกผิด


 


หากมันรู้แต่แรกว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังดังกล่าวจะอันตรายถึงขนาดนี้ มันจะไม่พาต้วนหลิงเทียนไปแน่นอน เพราะอย่างไรเสียต้วนหลิงเทียนก็เป็นผู้มีพระคุณช่วยมันไว้ มันก็ไม่ใช่ตัวบัดซบเนรคุณคน


 


“แล้วพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เจ้าว่า…หลิงเทียนเข้าไปตั้งแต่เมื่อใด?”


 


ตอนนี้เองจูลู่ฉีพลันมองจี้ถามเซียวตุนอย่างจริงจัง


 


ตอนนี้มันเองก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน


 


เพราะสุดท้ายแล้วพื้นที่มรกเวทย์พลังแห่งนั้น ก็คือพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่อันตราย กระทั่งเป็นพื้นที่ต้องห้ามอันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


คราวนี้ศิษย์ที่ร้ายกาจและมีพรสวรรค์ที่สุดในวังนภาของมัน กลับบุกเข้าไปโดยไม่รู้ตัว…


 


มันจะไม่กังวลได้อย่างไร?


 


ต้องทราบด้วยว่าการเก็บเกี่ยวในแดนลับเซียนของต้วนหลิงเทยนครั้งนี้ สำคัญกับตำหนักฟ้าลี้ลับนัก!


 


ด้วยความสามารถของต้วนหลิงเทียน ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียก่อน วันหน้าย่อมสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้แน่นอน!


 


นอกจากนี้ด้วยไหวพริบปฏิภาณ ย่อมสามารถทำความเข้าใจเวทย์พลังที่ได้รับมาจากแดนลับเซียน กระทั่งมีความเป็นไปได้ที่จะเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังถึงขั้นถ่ายทอดส่งต่อให้ชนรุ่นหลังได้มากกว่าผู้อื่น!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนถูกขับออกจากแดนลับเซียนเร็วนัก


 


“ราวๆ 10 วันก่อน…”


 


เซียวตุนครุ่นคิดเล็กน้อยค่อยกล่าวตอบออกมา


 


10 วันก่อน?


 


ได้ยินวาจานี้ของเซียวตุน กู่ลี่ที่ลอยร่างอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เข้าไปยังพื้นที่เวทย์พลังที่อันตรายขนาดนั้นตั้งแต่ 10 วันที่แล้ว ทว่ายังไม่ตกตายออกมา…ข้าคิดว่าป่านนี้น้องหลิงเทียนคงเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีแล้วล่ะ”


 


ความคิดของกู่ลี่ก็เหมือนกับความคิดของคนส่วนใหญ่


 


“ดูเหมือนว่าหลิงเทียนจะรับมือกับปัญหานั่นได้”


 


“ใช่…ผ่านไปแล้วกว่า 10 วันแบบนี้แต่มิถูกขับออกจากแดนลับเซียน หลิงเทียนน่าจะเอาตัวรอดจากบททดสอบแรกนั่นได้แล้ว!”


 


“ถึงแม้เวทย์พลังในพื้นที่มรดกเวทย์พลังนั่นจักเลิศล้ำ…แต่ก็เป็นไปมิได้เลยที่หลิงเทียนจะคว้ามันมาครองได้ โดยลงมือเพียงลำพังเช่นนี้”


 


……


 


หลายคนในตำหนักฟ้าลี้ลับล้วนคิดกันไปว่าต้วนหลิงเทียนน่าจะเอาตัวรอดจากฝูงสัตว์ร้ายได้ และเลือกหลบหนี ละทิ้งบททดสอบแรกของสถานที่แห่งนั้นไปแล้ว


 


ก่อนหน้านี้เซียวตุนที่ใจกังวลย่อมหูตาฝ้ามัว พอมันสงบใจลงได้ก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเช่นกัน ‘จริงด้วย 10 วันแล้วศิษย์พี่หลิงเทียนยังไม่ถูกขับออกมา ศิษย์พี่ต้องหนีรอดจากพื้นที่ผีสางนั่นได้แล้วเป็นแน่…ข้าหวังว่าศิษย์พี่คงไม่คิดว่าข้าคิดทำร้ายเขาหรอกนะ’


 


พอคิดถึงเรื่องหลัง เซียวตุนก็ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา


 


“10 วันแล้วแต่มันยังมิถูกกำจัด?”


 


สีหน้าจ้าวเติงมืดดำทั้งถมึงทึง ในเมื่อ 10 วันแล้วแต่อีกฝ่ายยังไม่ถูกขับออกมา นั่นหมายความว่าเอาตัวรอดจากสถานที่แห่งนั้นได้


 


ตอนนี้เองรอยยิ้มสะใจบนมุมปากจ้าวจี้ก็ค้างเติ่งไปเช่นกัน


 


ตั้งแต่ต้นจนจบทุกคนไม่เว้นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิง ไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะผ่านบททดสอบแรกนั่น กระทั่งผ่านทุกบททดสอบของพื้นที่มรดกเวทย์พลังดังกล่าวจนได้รับสืบทอดมรดกมาเลย


 


เพราะในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ สถานที่แห่งนั้น คือพื้นที่ต้องห้ามอันดับ 1 ในแดนลับเซียน!


 


เวทย์พลังที่ตกทอดอยู่ในสถานที่แห่งนั้น ได้รับการยอมรับจากสุดยอดฝีมือที่เป็นผู้บุกเบิกประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับว่าเป็น เวทย์พลังอันดับ 1 ในบรรดาเวทย์พลังมากมายที่อยู่ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


‘หลิงเทียนนั่นมีโชคนัก กระทั่งบุกเข้าไปในพื้นที่เวทย์พลังอันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับได้…อย่างไรเสียหากพลังฝึกปรือเพียงบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด คงยากที่จะสืบทอดมรดกเวทย์พลังนั่นได้’


 


แม้กู่มี่จะมาจากตำหนักเมฆาคราม แต่เรื่องเวทย์พลังอันดับ 1 ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับมันก็พอรู้มาอยู่บ้าง


 


กระทั่งบันทึกประวัติศาสตร์ของตำหนักเมฆาครามยังมีกล่าวบันทึกไว้ ว่าในแดนลับเซียนของตำหนักเมฆาคราม ก็ไม่มีพื้นที่มรดกเวทย์พลังอันใดที่มีความน่ากลัวเทียบได้กับพื้นที่ต้องห้ามอันดับ 1 ในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเลย…


 


แต่แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นตลาดมืดหยินชานหรือตำหนักเมฆาคราม ก็ไม่ได้สนใจเวทย์พลังอันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับสักเท่าไหร่


 


เนื่องจากพวกมันรู้ดีว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า คงยากจะมีใครสามารถคว้าเวทย์พลังนั่นไปได้!


 


ต้วนหลิงเทียน แน่นอนว่าไม่ได้รับรู้เรื่องราวในโลกภายนอกแม้แต่น้อย


 


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังีท่เขากำลังบุกฝ่าอยู่ตอนนี้ คือสถานที่ต้องห้ามอันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


เรีบกว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ เป็นดั่งฝันร้ายของอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ว่าได้!


 


ไม่มีใครสามารถผ่านบททดสอบแรกได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับคิดรับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง?


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เรื่องราวภายนอก คนด้านนอกก็ไม่รู้เรื่องราวของต้วนหลิงเทียน


 


พวกมันไม่ได้รู้เลยว่าต้วนหลิงเทียนสามารถผ่านบททดสอบแรกมาได้อย่างไม่ได้ยากเย็นอะไร กระทั่งผ่านบททดสอบที่ 2 ที่น่ากลัวยิ่งกว่าบททดสอบแรกมาได้แล้ว และตอนนี้กำลังจะเผชิญหน้ากับบดทดสอบที่ 3!


 


ปงงง! ปงงง! ปงงง! ปงงง!


 


……


 


ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ระฆังกระบี่คลุมกายได้ทันเวลา สามารถต้านทานรับมือกับมวลพลังอันน่ากลัวที่สาดโถมลงมาจากเบื้องบนดั่งน้ำตกเอาไว้ได้ไม่ยากเย็น คนย่างเท้าออกจากอุโมงค์ไปย่ำเหยียบพื้นราบเบื้องหน้าอย่างไม่ครั่นคร้าม…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)