War sovereign Soaring The Heavens 1769-1776

 ตอนที่ 1,769 : ความลับในป่าหิน


 


“จี้เอ๋อ…เจ้า…เจ้า”


 


จ้าวเติงมองไปยังร่างบุตรชายด้วยสายตาตกตะลึง


 


มันไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าบุตรชายของมันจะเป็นคนแรกที่ถูกขับออกจาก ‘แดนลับเซียน’


 


บุตรชายของมันนั้น ก่อนที่หลิงเทียนจะเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็ถือเป็น 1 ในอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุด! พลังฝีมือเรียกว่าเหนือกว่ารุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปีกว่า 9 ส่วน!


 


ทว่าตอนนี้พึ่งผ่านไปแค่ 3 วันแต่บุตรชายมันถูกขับออกมาแล้ว?


 


อีกด้านนั้น จ้าวจี้ที่ถูกขับออกจากแดนลับเซียนก็หน้าดำทั้งอัปลักษณ์ แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น “หลิงเทียน! ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้า! ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!!”


 


ได้ยินเสียงคำรามของจ้าวจี้ สีหน้าจ้าวเติงก็เปลี่ยนไปทันที


 


เรื่องที่มันกังวลที่สุด กลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!


 


ลูกชายของมันบังเอิญเจอหลิงเทียนในแดนลับเซียน และถูกกำจัด!


 


“เฒ่าเฉียนปากของเจ้าพาซวยแล้วไง…เหอๆ”


 


จังหวะนี้หลายคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉียนผิงเชิงจ้าววังเหลืองด้วยความทึ่ง ทั้งหมดคิดว่าปากของมันร้ายกาจเกินไป เพราะเฉียนผิงเชิงพึ่งกลาวหยอกจ้าวเติงไปหยกๆว่าจ้าวจี้อาจจะเจอหลิงเทียน!


 


และตอนนี้จ้าวจี้กลับพบเจอหลิงเทียนจริงๆ และ 9 ใน 10 ส่วนก็สมควรถูกหลิงเทียนฆ่ามา!


 


“แดนลับเซียนกว้างใหญ่ไพศาล คิดหาใครสักคนยังนับว่าเป็นเรื่องยากเย็น…แต่จ้าวจี้กลับบังเอิญเจอกับหลิงเทียนเข้าจริงๆ! ข้าจะกล่าวว่าชะตาฟ้าลิขิต หรืออริหนทางคับแคบดี…”


 


เจ้าวังปฐพีระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้


 


“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ โลกนี้ถึงได้มีคำว่า ‘อริหนทางคับแคบ’ อย่างไรเล่า!”


 


จ้าววังลี้ลับเองก็แลดูสนุกสนานขบขันด้วยเช่นกัน


 


มีเพียงจ้าววังนภาเท่านั้นที่ไม่ได้ยินดี เพราะอย่างไรเสียจ้าวจี้ก็เป็นคนของวังนภามัน!


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่หลิงเทียนเองก็เป็นศิษย์วังนภาเช่นกัน ใบหน้าของมันพอได้สงบลงบ้าง เหลือก็แต่รอยยิ้มเจื่อนๆนิดหน่อยเท่านั้น


 


เรื่องนี้มันโทษหลิงเทียนได้เหรอ?


 


ไม่อาจ!


 


พอลองคิดในมุมกลับกัน หากมันเป็นหลิงเทียน เกรงว่ามันก็ไม่คิดเมตตาจ้าวจี้เช่นกัน!


 


“ท่านพ่อ! เป็นหลิงเทียน! หลิงเทียนมันฆ่าข้า ทำให้ข้าต้องถูกขับออกจากแดนลับเซียน…ข้าจะฆ่ามัน! ข้าจะฆ่ามันให้ตาย!!”


 


ตอนนี้เองจ้าวจี้ก็ฟื้นสติแล้ว มันหันมามองกล่าวกับจ้าวเติงทันที ยังกล่าวเล็ดรอดไรฟันด้วยน้ำเสียงคับแค้นอาฆาต ราวกับหากต้วนหลิงเทียนไม่ตายมันไม่มีวันสบายใจ!


 


ได้ยินวาจานี้ของจ้าวจี้ ทุกคนยกเว้นเมิ่งฉิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที


 


หากแต่แม้หน้าเมิ่งฉิงจะไม่เปลี่ยนสี แต่ก็เริ่มอึมครึมขึ้นมา


 


กลับมีคนกล้าขู่ฆ่าศิษย์ร่วมตำหนักต่อหน้ามัน?


 


เพี๊ยะ!


 


ทว่าในขณะที่หน้าเมิ่งฉิงเริ่มถมึงทึงขึ้นมานั้น กลับมีเสียงตบดังขึ้นถนัดถนี่ เป็นจ้าวเติงที่พุ่งไปหยุดเบื้องหน้าจ้าวจี้ฉับวปานภูตพรายและตบหน้ามันดังฉาด! ใบหน้าซีกหนึ่งบวมปูดขึ้นมาทันที!!


 


จ้าวจี้ถึงกับมองบิดาของมันด้วยสายตาเลื่อนลอย!


 


เมื่อครู่ในแดนลับเซียนมันก็พึ่งโดนหลิงเทียนตบหน้ามา 2 ฉาดก่อนจะถูกฆ่าทิ้ง พอออกมาก็คิดว่าบิดาจะปลอบใจ แต่ไม่คิดเลยที่รอมันอยู่…กลับเป็นอีกตบจากฝ่ามือของบิดาตัวเอง!!


 


จังหวะนี้จ้าวจี้รู้สึกเสมือนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป!


 


“เจ้าโง่! ท่านจ้าวตำหนักอยู่ตรงนี้ทั้งคน! เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?!”


 


ทว่าตอนนี้เองเสียงผ่านปราณของจ้าวเติงพลันดังขึ้นในหูจ้าวจี้ ดึงสติจ้าวจี้ให้ตื่นขึ้นมาทันที


 


พอมันคืนสติและเหลือบมองข้ามไหล่จ้าวเติงไป ก็เห็นว่าใบหน้าของจ้าวตำหนักเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้มันหวาดกลัวขึ้นมาทันที


 


“เดียรัจฉาน!”


 


ตอนนี้เองจ้าวเติงพลันตะโกนออกมาเสียงดัง “เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลเพ้อเจ้ออันใด ถึงเจ้าจะถูกหลิงเทียนจัดการในแดนลับเซียน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าอ่อนด้อยเอง ยังจะไปกล่าวโทษผู้ใดได้!”


 


หากตอนนี้จ้าวจี้ยังไม่รู้ว่าบิดากำลังทำเพื่อช่วยมันอยู่ น่ากลัวว่ามันคงโง่งมจนเกินเยียวยาแล้ว


 


“ท่านพ่อเป็นข้าผิดเอง! ข้าผิดไปแล้ว…ข้ามันไม่เอาไหน!!”


 


จ้าวจี้รีบตอบรับ ด้วยการร่ำร้องออกมาด้วยท่าทางสำนึกผิด


 


แม้จะรู้ดีว่าพ่อลูกไม่พ้นกำลังเล่นละครน้ำเน่ากันอยู่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวออกมาแบบนี้ เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจึงได้แต่เงียบไป


 


“จ้าวจี้ถึงแม้เจ้าจะถูกกำจัดออกมา แต่เจ้าก็สามารถใช้เวลาอยู่ด้านในได้ถึง 3 วัน…แล้วใน 3 วันนี้ได้อันใดดีๆมาบ้างเล่า?”


 


กู่ลี่หยีตามองจ้าวจี้ที่โชคร้ายถามออกด้วยรอยยิ้ม


 


วาจานี้ของกู่ลี่ยามดังเข้าหูจ้าวจี้ ยังต่างใดจากราดรดน้ำมันลงกองไฟ? พาลให้โทสะของจ้าวจี้พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที เรียกว่าเจียนปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ!


 


อย่างไรก็ตามจ้าวจี้ยังพบว่าหลังจากที่กู่ลี่กล่าวถามออกมาแล้ว คนอื่นๆรวมถึงบิดาของมันก็มองมาที่มันด้วยสายตาสงสัยทันที คล้ายต่างอยากรู้ว่ามันสามารถจดจำมรดกเวทย์พลังอะไรมาได้บ้างหรือไม่…


 


“ไม่เลย…”


 


จ้าวจี้กัดฟันดังกรอด กล่าวตอบพร้อมส่ายหน้า มันจะไปจดจำมรดกเวทย์พลังใน 3 วันได้อย่างไร?


 


ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งเงาของมรดกเวทย์พลังมันยังไม่เห็นด้วยซ้ำ!!


 


“ฮัยยา…ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”


 


กู่ลี่ระบายลมหายใจอย่างทอดถอนพร้อมส่ายหน้าไปมา ท่าทางเหมือนมันเสียใจกับจ้าวจี้ด้วยจริงๆ หากแต่ถ้าผู้ใดสังเกตให้ดีมุมปากกลับอมยิ้มกรุ้มกริ่มแววตายังแลดูสนุกสนานนัก


 


“หลิงเทียน…”


 


ตั้งแต่ต้นจนจบกู่มี่เพียงมองเรื่องราวอย่างเฉยเมย


 


ทว่าพอได้ยินคำ หลิงเทียน ใจมันอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไป เพราะจุดประสงค์ในการเดินทางมาของมันครั้งนี้ก็เพื่อยลโฉมหลิงเทียนที่ว่าสักครา…


 


กล่าวให้ชัดมันมาเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายใช่จ้าวตำหนักน้อย ต้วนหลิงเทียน ของมันหรือไม่…!


 


“ท่านพ่อ! หลิงเทียนนั่นมันรังแกข้า ครั้งนี้มันทำเกินไปแล้ว! ข้าอยากให้มันตาย มันต้องตาย!!”


 


จ้าวจี้มองจ้าวเติงค่อยส่งเสียงกล่าวผ่านปราณด้วยความคับแค้น


 


“จี้เอ๋อขอเจ้าอย่าได้กังวล…ในเมื่อมันทำลายโอกาสในการสืบทอดมรดกเวทย์พลังของเจ้า นับเป็นการสร้างความอัปยศอดสูถึงที่สุดให้กับตระกูลจ้าวเรา พวกเรากับมันย่อมมิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้! ตราบใดที่มีสกุลจ้าวต้องไม่มีมัน!! “


 


น้ำเสียงของจ้าวเติงยามต่อบผ่านการส่งเสียงยังเย็นชาปานผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง!


 


ลูกชายคนเดียวของมันถูกเตะออกจากแดนลับเซียน จ้าวเติงย่อมไม่ได้โกรธน้อยไปกว่าจ้าวจี้!


 


ต้องทราบด้วยว่าโอกาสในการเข้าไปยังแดนลับเซียนนั้น ชั่วชีวิตของศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างดีก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!


 


การที่หลิงเทียนเตะลูกชายมันออกจากแดนลับเซียน ย่อมหมายถึงตัดโอกาสที่ลูกชายของมันจะได้รับสืบทอดเวทย์พลัง ‘หากไม่มีหลิงเทียน ด้วยความสามารถของจี้เอ๋อต้องผ่านการทดสอบมรดกและเข้าใจเวทย์พลังระดับสูงได้แน่…ยามทะลวงถึงเซียนมนุษย์ ต้องสมควรเพาะสร้างต้นแบบและใช้งานได้!’


 


‘แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง…ล้วนพินาศด้วยน้ำมือหลิงเทียนเสียสิ้น!’


 


ตอนนี้ลึกลงไปในแววตาของจ้าวเติง พลันลุกโชนขึ้นมาด้วยเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้นชิงชัง ปานจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้!


 


ต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่องราวภายนอกเลย…


 


ตอนนี้เขาย้อนกลับมาถึงสถานที่ๆเห็นจ้าวจี้ตอนแรกแล้ว…แต่กลับพบว่า 2 คนที่เขาบอกให้รอมันกลับไม่อยู่รอเขาซะอย่างนั้น!


 


“ไอ้พวกนั้น มันกล้าหนีไปจริงๆ…ไม่สนคำข้าเลยงั้นเหรอ เหอะๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนพึมพำกับตัวพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ แต่หากใครฟังให้ดีจะพบว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยเค้าลางความเย็นเยียบจับใจ


 


“ทางนี้สินะ…”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ออกเดินทางต่อทันที ทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็เป็นทิศทางที่ศิษย์วังลี้ลับ 2 คนนั่นเหินนำมาตอนแรก


 


ห่างมุ่งหน้าไปทางนี้ตามพวกมันสองคน ปลายทางสมควรมีสถานที่ซุกซ่อนมรดกเวทย์พลังอยู่แน่


 


และในขณะที่เหินร่างข้ามฟ้าด้วยความฉับไว ต้วนหลิงเทียนก็เปิดใช้ม่านตาพิสดารเอาไว้ เพราะเขากลัวพลาดรายละเอียดอะไร จึงใช้มันเพื่อให้เห็นทุกสิ่งกระจ่างชัด


 


แม้เขาจะใช้ความเร็วสูงล้ำเหินร่างมาสักพัก แต่กลับไม่พบ 2 คนที่หนีไป…


 


‘พวกมันก็ยังนับว่าไม่โง่ ที่ไม่มาทางนี้ต่อ’


 


ผ่านไปครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เดาออกได้ไม่ยาก


 


ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งวัน ม่านตาพิสดารของต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นสถานที่ประหลาดเบื้องล่าง…เป็นป่าศิลา!


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็คิดว่ามันสมควรเป็นป่าหินธรรมดาๆ แต่ทว่าเขาดันพบว่าในขณะที่มองไปยังป่าหินดังกล่าว ภาพที่เขาแลเห็นกลับเบลอๆมัวๆ!


 


ซึ่งกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย!!


 


เพราะต้วนหลิงเทียนเปิดใช้ม่านตาพิสดารอยู่! ปกติไกลห่างเป็นลี้ๆยังเห็นชัดแจ๋วเหมือนตั้งอยู่ตรงหน้า แล้วป่าหินเบื้องล่างไฉนถึงเบลอมัวได้?


 


“ป่าหินนี่มีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว…”


 


พอต้วนหลิงเทียนพบว่าป่าหินมีอะไรผิดแปลก เขาก็เหินร่างดิ่งลงไปทันที


 


เมื่อเข้าใกล้ป่าหินสำนึกเทวะที่แผ่ออกไปของเขา ก็จับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังผันผวนแผ่วเบา…และหากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสของเขาค่อนข้างดีน่ากลัวคงไม่อาจสัมผัสถึงมันได้


 


“ค่ายกลที่ยอดเยี่ยมนัก!”


 


ในขณะที่ดิ่งร่างลงมาต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆพร้อมระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นเองเขาพลันพบว่าทัศนิวิสัยของเขาอยู่ๆก็มืดดับไป!


 


ครู่ต่อมาพอแสงสว่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง เขาก็พบว่าฉากเรื่องราวเบื้องหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปแล้ว!!


 


ภาพที่ปรากฏในสายตากลับไม่ใช่ป่าหินอีกต่อไป แต่เป็นลานโล่งๆลานหนึ่ง และห่างออกไปไม่ไกลบนลานที่ว่า ก็มีหอคอยสูง 6 ชั้นตั้งอยู่!


 


“หืม?!”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ชัดเจน ถึงกลิ่นอายพลัง 3 ขุม!


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ปรากฏร่างสัตว์ร้ายรูปร่างเหมือนกัน 3 ตัวผุดออกจากอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า


 


สัตว์ร้ายทั้ง 3 แลผ่านๆยังคล้ายเสือดาวอยู่บ้าง หากแต่พอสังเกตให้ดีจะพบว่าพวกมันที่แท้ไม่ได้คล้ายเสือดาวสักเท่าไหร่ เพราะใบหน้าของพวกมันดุร้ายกว่ามาก!


 


นอกจากนั้นบนหัวของพวกมันยังมีเขาสีเงินงอกเงยออกมา!


 


“ฮว่าสสส~!!”


 


“ฮว่าสสส~!!”


 


……


 


สัตว์ร้ายทั้ง 3 คำรามออกมาแทบจะพร้อมเพรียง ทั้งยังพุ่งร่างออกมาทันใด!


 


ทว่าพวกมันไม่ได้พุ่งร่างเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด กลับพุ่งแยกย้ายไปหยุดยืนล้อมกรอบเขา 3 มุม ดั่งจุดยอดของสามเหลี่ยม!


 


“ตอนนี้ข้าสมควรเป็นคนเดียวที่พบสถานที่แห่งนั้น…ข้าเข้าไปที่นั่นได้ไม่ทันไรข้าก็เจอกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีพลังฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเข้ามากลุ้มรุมถึง 3 ตัว อีกทั้งไม่รู้พวกมันทำได้อย่างไรแต่ดูเหมือนพวกมันจะผนึกกำลังกันได้! ข้าสู้มันไม่ไหวก็เลยรีบหนีทันที…”


 


ต้วนหลิงเทียนนึกถึงคำของศิษย์วังลี้ลับขึ้นมา


 


‘ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่ๆเจ้านั่นว่า…อืมสมควรมีค่ายกลไม่น้อยกว่า 2 ชนิดปกคลุมอยู่ แถมสัตว์ร้ายพวกนี้ก็คล้ายจะผนึกกำลังกันได้’


 


ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาเบาๆ ด้วยตระหนักว่าเขาสมควรมาถูกที่แล้ว


 


“มรดกเวทย์พลังที่ว่า…สมควรอยู่ในหอคอยนั่นสินะ”


 


ทันใดนั้นสายตาต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไปยังหอคอย 6 ชั้นที่ว่าทันที


ตอนที่ 1,770 : หอคอย ลิ่วเหอ!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่สายตาต้วนหลิงเทียนเบนไปตกยังหอคอย 6 ชั้น สัตว์ร้ายที่ปิดล้อมเขาไว้ 3 ทิศ ก็คล้ายถูกฉีดเลือดไก่กลายเป็นคึกคัก โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!


 


วูฟ! วูฟ! วูฟ!


 


เสียงแหวกอากาศฉับไว พริบตา 3 ร่างก็เจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน!


 


ชั่วจังหวะนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันพบว่า สัตว์ร้ายทั้ง 3 ที่คล้ายจะแยกกันลงมือต่างทิศ แต่กลิ่นอายพลังของพวกมันกลับเสมือนเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวเดียว!


 


ความรู้สึกดังกล่าวเสมือนพวกมันทั้ง 3 ร่างคือคนๆเดียวๆกัน นับเป็นการผสานพลังเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์


 


เผชิญหน้ากับการลงมือผนึกกำลังของสัตว์ร้ายทั้ง 3 ตัวนี่! ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับการลงมือของสัตว์ร้ายขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นแรกก็ไม่ปาน!


 


ต้องทราบด้วยว่าพวกมันเดิมที พวกมันเป็นเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงุสดเท่านั้น!


 


“นับเป็นการผนึกกำลังกันลงมือได้ลงตัวดีจริงๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หากแต่ก็ไม่ได้หวั่นวิตกอะไร เพียงสืบเท้าย่ำออกไปในอากาศเบาๆคราหนึ่ง ร่างก็วูบไหวเรียบง่ายดั่งเมฆเคลื่อน พลิ้วหลบการโจมตีของพวกมันทั้ง 3 ได้อย่างง่ายดาย


 


ถึงแม้สัตว์ร้ายทั้ง 3 จะผนึกกำลังกันกลุ้มรุม แต่ก็มีพลังอำนาจทัดเทียมเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น นับว่าไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วตอนนี้ต่อให้เจอสัตว์ร้ายอริยะเซียนขั้นต้นเขาก็ยังรับมือได้!


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็คิดดูว่าสัตว์ร้ายทั้ง 3 ใช้กเคล็ดวิชาอะไรกันแน่ถึงผสานพลังกันได้หมดจด ทว่าไม่นานเขาก็พบว่าพวกมันเหมือนกับจะเชื่อมโยงกันด้วยจิตวิญญาณ ยากที่จะโขมยช่วงชิงเคล็ดพลังอะไรได้


 


“ข้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว…”


 


กล่าวคำแผ่วเบาราวกระซิบออกคำหนึ่ง ปราณสุริยันแรกกำเนิดพลันปะทุออกจากร่าง ก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองมีสภาพพุ่งออกไปจากร่างเขาเล่มแล้วเล่มเล่า!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


ดั่งพิรุณกระบี่พร่างพรมรดฟ้า สัตว์ร้ายทั้ง 3 ต่างถูกกระบี่พลังมีสภาพสีทองพุ่งทะลวงเสียบจนปุพรุนในชั่วพริบตา!


 


และสัตว์ร้ายทั้ง 3 ก็ไม่ได้หลั่งโลหิตอะไรแม้แต่น้อยแม้ร่างของมันจะถูกกระบี่พลังทะลวงจนปุพรุน ทว่ากลับอันตรธานหายไปในอากาศ ราวกับไม่เคยปรากฏตัวออกมาก่อน…


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าสัตว์ร้ายทั้ง 3 ไป หอคอย 6 ชั้นเบื้องหน้า ก็คล้ายจะสั่นไหวไปเบาๆ…


 


หลังจากนั้นประตูบานเดียวที่ชั้นล่างสุดของหอคอยก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก เสียงแผ่นหินครูดดังให้ความรู้สึกหนักอึ้งพิกล


 


‘ไหนเข้าไปดูซิว่ามันมีอะไร…’


 


เพียงคิดร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบเข้าหอคอยไปปานเส้นสายอัสนี


 


กล่าวให้ชัดวูบเข้าไปในชั้นแรกของหอคอย


 


หลังจากที่เข้ามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดผลีผลามบุ่มบ่าม เลือกจะหยุดลงด้านหลังประตู มองสำรวจไปเบื้องหน้า ก็แลเห็นเพียงความว่างเปล่า…ห่างออกไปมีบันไดนำไปสู่ชั้น 2


 


แน่นอนที่กล่าวบอกว่าชั้นแรกนี้มันว่างเปล่า และมีแต่บันไดแต่มันก็ไม่ได้มีแค่นั้นจริงๆ ยังมีรูปปั้นตั้งอยู่อีก 2 รูป


 


ทังยังเป็นรูปปั้น 2 รูปที่ดูเหมือนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอย่างไม่ลงรอย


 


“หืม! รูปปั้น 2 รูปนี้มัน…”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนทอดตามองไปยังรูปปั้นทั้ง 2 อย่างละเอียด เขาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้


 


เพราะรูปปั้นทั้ง 2 รูปที่ว่า ร่างกายของพวกมันแลดูกำยำเหมือนบุรุษเข้มแข็ง แต่ศีรษะของพวกมันทั้งคู่ กลับเป็น หนู กับม้า!


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามสำรวจรูปปั้นทั้ง 2 อยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พบว่าไม่มีอะไรผิดแปลก เลยคร้านจะสนใจอะไรพวกมันอีก เดินไปยังบันไดขึ้นชั้น 2 ทันที


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนก้าวเดินไปยังบันไดขึ้นชั้น 2 นั้นเอง พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง!


 


ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก!


 


……


 


พื้นเริ่มสั่นไหวปานเขาถล่ม ต้วนหลิงเทียนรู้สึกร่างยังส่ายไปส่ายมาพร้อมหอคอย


 


หลังจากนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีเสียงแหวกฝ่าอากาศฉับไวดังขึ้น 2 สำเนียงด้านหลังเขา!


 


หนึ่งในนั้นฟังดูลับๆล่อๆ


 


ส่วนอีกหนึ่งกลับแหวกฝ่ามาฉับไว!


 


ฟุ่บ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปจากจุดเดิมทันใด ก่อนที่จะไปปรากฏตัวอีกครั้งไกลห่าง


 


และหลังจากที่วูบร่างออกมาแล้ว เขาก็หันกลับไปดูเรื่องราวทันที จนได้เห็นว่าที่แท้เป็นรูปปั้นคนที่มีหัวเป็นหนูกับม้านั่นคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมา! และตอนนี้พวกมันไม่ได้อยู่ที่เดิมในตอนแรก แต่กลับมาหยุดอยู่ตรงจุดเดิมของเขาเมื่อครู่!


 


หลังจากที่รูปปั้นคนหัวหนูกับม้าลงมือครั้งแรกล้มเหลว พวกมันก็หันมามองเขาและเริ่มลงมือสืบต่อ!


 


การลงมือของรูปปั้นคนหัวหนูแลดูลับๆล่อๆ


 


ส่วนการลงมือของรูปปั้นคนหัวม้ากลับลงมือตรงๆ เน้นความฉับไว


 


ตามลักษณะเด่นของพวกมันอย่าง หนู กับ ม้า ไม่มีผิด…


 


“จะยังไงก็ช่าง…พวกมันจะไม่อ่อนแอไปหน่อยรึไง?”


 


ภายใต้ม่านตาพิสดาร ความเร็วในการเคลื่อนไหวของรูปปั้นทั้งสองรูปมันช่างเชื่องช้าจนน่าสมเพช จากการประเมินคร่าวๆของต้วนหลิงเทียน พวกมันสมควรทัดเทียมได้กับเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น!


 


ยังอ่อนแอยิ่งกว่าสัตว์ร้าย 3 ตัวที่เขาเจอนอกหอคอยซะอีก!!


 


ชิ้ง! ชิ้ง!


 


เพียงใจคิด ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพสีทองที่เรืองรองดั่งดวงตะวันขึ้นมาในอากาศว่างเปล่า 2 เล่ม และเพียงชั่วพริบตากระบี่พลังก็พุ่งออกไปทะลวงร่างรูปปั้นทั้ง 2 ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเร็วสูง!


 


ไม่ถึงอึดใจรูปปั้นที่ถูกกระบี่พลังแยกกันพุ่งทะลวงทำลาย ก็ถล่มลงกลายเป็นขยะ 2 กอง


 


“ไหงมันอ่อนแอนักล่ะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาก่อนที่จะก้าวเดินไปยังบันไดนำขึ้นชั้น 2 …และด้วยมีบทเรียนก่อนหน้า ทำให้เขาค่อนข้างระวังตัวขึ้นไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามครู่ต่อมาเขาก็พบว่าเขาระวังตัวเกินไป


 


ระหว่างเดินมายังบันไดคราวนี้เขาไม่เจอการลอบโจมตีอะไรอีกเลย


 


และเป็นเหมือนเดิมไม่มีผิด บนชั้น 2 ก็เป็นพื้นที่โล่งๆมีเพียงรูปปั้น 2 รูป และบันไดนำขึ้นชั้น 3


 


รูปปั้น 2 รูปที่ว่าก็อยู่ในท่าเผชิญหน้ากันเหมือนกับรูปปั้น 2 รูปในชั้นแรก


 


“หืม…หัววัว? หัวแพะ?”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าหัวของรูปปั้นทั้ง 2 นั้นเป็น วัวกับแพะตามลำดับ “พวกมันอยู่ในท่าเผชิญหน้ากันเหมือนชั้นแรก และชั้นแรกเป็น หนู กับ ม้า…ท่าทางของพวกมันทำเหมือนจะเป็นศัตรูกัน…”


 


“ส่วนคราวนี้เป็น วัว กับ แพะ..”


 


ในขณะที่พึมพำกล่าว ไม่นานสองตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างขึ้น “หรือจะเป็น ลิ่วเหอ?”


(ลิ่วเหอที่ว่าคือ ลักฮะ)


 


ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ว่าในชีวิตที่แล้วประเทศทางตะวันออกที่เขาอยู่ ตอนสมัยโบราณมักจะกล่าวกันถึงเรื่อง อภิปรัชญาอะไรเสมอ


 


ลิ่วเหอ เองก็เป็นหนึ่งในอภิปรัชญาดังกล่าว ที่พูดถึงเรื่องราศี ปีนักษัตร…


 


ราศีทั้งปีนักษัตรอะไรที่ว่า มีทั้งสิ้น 12 ราศี….


 


“งั้นชั้นแรกที่เป็นคนหัวหนูกับม้าก็คือ..ชวดกับมะเมีย ส่วนชั้นที่สอง วัว กับแพะนี่ก็คือฉลูกับมะแม ต่างเป็นอริและไม่ถูกกันทั้งสิ้น…หากข้าเดาไม่ผิดชั้นที่ 3 สมควรเป็นเสือกับลิง…ชั้นที่ 4 กระต่ายกับไก่ ชั้น 5 มังกรกับสุนัข และชั้นที่ 6 สมควรเป็น งู กับหมู!”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจแล้วว่าหอคอย 6 ชั้นนี่มันสื่อถึงอะไร


 


“ดูเหมือนว่าหอคอยนี่จะใช้หลัก ลิ่วเหอ…ในแง่ของการ ชง งั้นสินะ”


(ชงก็คือไม่ถูกกัน …เวลาไปดูดวงมันจะมี ดวงสมพงษ์กับดวงชงอะ ปีไหนถูกกับปีไหน ปีไหนไม่ถูกกันประมาณนั้น…ที่ได้ยินกันบ่อยๆก็ปีชง…หมายถึงถ้าเกิดราศีนี้ ปีนี้จะซวยอะไรเทือกนั้น)


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเบาๆ


 


หลังจากรู้สึกตัวต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆมุ่งหน้าไปยังบันไดขึ้นชั้น 3 ทันที แน่นอนว่ารูปปั้นที่นิ่งอยู่ในชั้นที่ 2 ก็มีชีวิตขึ้นมาและเล่นงานเขาตามระเบียบ!


 


หากเปรียบเทียบกับรูปปั้นในชั้นแรก รูปปั้นในชั้นที่ 2 มีพลังแข็งแกร่งกว่าขีดขั้นหนึ่ง พวกมันล้วนมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง!


 


อย่างไรก็ตามต่อหน้าต้วนหลิงเทียนขอบเขตพลังเซียนดั้งเดิมไม่ว่าจะขีดขั้นใดล้วนไม่มีความแตกต่างกันทั้งสิ้น เขาทุบทำลายพวกมันได้ง่ายดายนัก


 


และเป็นดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด พอขึ้นมาชั้นที่ 3 เขาก็เจอรูปปั้นเสือกับลิง หรือขาลกับวอก…และพลังของมันก็เทียบได้กับเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญ


 


บนชั้น 4 มีรูปปั้นกระต่ายกับไก่หรือเถาะกับระกา และต่างบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดแล้ว


 


ชั้น 5 เป็นรูปปั้นมังกรกับสุนัข หรือมะโรงกับจอ ด่านพลังบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นต้น!


(มังกรในที่นี้ ก็คือ งูใหญ่)


 


และรูปปั้นในชั้นที่ 6 ก็เป็นงูกับหมู หรือมะเส็งกับกุน พวกมันบรรลุถึงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…อนิจจาแม้พวกมันจะบรรลุถึงเวียนขัดเกลาขั้นกลางและกลุ้มรุมเขาแบบนี้…


 


แต่พวกมันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรต่อหน้าเขาได้…


 


“นี่มันชั้นสุดท้ายของหอคอยนี่นา…แล้วไหนมรดกเวทย์พลังอะไรนั่นล่ะ?”


 


เมื่อทุบทำลายรูปปั้นคนหน้างูกับคนหน้าหมูจนเป็นเศษหินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปทั่วๆชั้น 6 อันเป็นชั้นสุดท้ายของหอคอยนี้


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เขาคิด บรรยากาศในชั้นก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา กลางห้องปรากฏรูปปั้นมหึมารูปหนึ่งค่อยๆผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าช้าๆ!!


 


รอบตัวรูปปั้นดังกล่าวมีม่านพลังสีกากีเข้มเปล่งออกมาน่ากลัว ให้บรรยากาศหนักอึ้งดั่งขุนเขา!


 


“ตัวอะไรกัน?”


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


และตอนนี้รูปปั้นที่มีม่านพลังสีกากีทึบอันให้ความรู้สึกเสมือนหนักอึ้งดั่งขุนเขาที่ว่า ไม่พูดไม่จาก็พุ่งวูบเขามาหาเขาฉับไวปานสายลม!


 


เพียงพริบตาร่างมันก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ยังยกขามหึมาของมันขึ้นสูง ทั้งกระทืบย่ำลงมาปานอัสนีฟาด!!


 


หากเป็นคนธรรมดาโดนรูปปั้นตัวเขื่องกระทืบใส่แบบนี้ ไม่พ้นคงได้เป็นซากเนื้อเลอะเลือนแบนติดพื้นแน่!


 


แต่เผชิญหน้ากับเท้ามหึมาของรูปปั้นตัวเขื่องที่กระทืบย่ำลงมาปานฟ้าผ่า ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่หนี ยังสืบเท้าเก้าออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ตบฟาดฝ่ามือออกไปหมายต้านทานปะทะฝ่าเท้าดังกล่าว ปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรไหลเชี่ยว แล่นไปผนึกควบรวมยังฝ่ามือ!


 


ชั่วพริบตาฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนก็ประหนึ่งอัดแน่นไปด้วยขุมพลังอันไร้สิ้นสุด!


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 


 


 


……


 


ทันใดนั้นมือของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งไปปะทะกับเท้ามหึมาอย่างเข้มแข็ง นิ้วยังจิกลงเนื้อหินไปง่ายดายคล้ายจิกลงกองโคลน ยกร่างเขื่องขึ้นมาหอบหิ้วราวกับมันเบาเหมือนนุ่น แถมจับมันเหวี่ยงหมุนไปมาเหนือหัวติ้วๆปานกังหันลม!!


 


สุดท้ายคล้ายต้วนหลิงเทียนเบื่อจะหมุนหรือไรไม่ทราบ พลันเหวี่ยงร่างมันให้ปลิวคว้างไปกระแทกผนังหอคอยด้านหนึ่งอย่างแรง!!


 


ตึงงงงงงงงงง!!!


 


เสียงสนั่นดังก้องไปทั่วชั้น 6 ของหอคอย ทว่าผนังหอคอยดังกล่าวกลับไม่ปริแตกแยกร้าวหรือมีร่องรอยความเสียหายอะไรเลย! กระทั่งรูปปั้นที่ถูกเหวี่ยงอัดผนังก็ไม่คล้ายจะเสียหายอะไรเช่นกัน!!


 


“โอ้? พลังป้องกันสูงดีนี่..”


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่น้อย หากเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางคนอื่น ถูกเขาจับหมุนควงเสริมแรงแถมเหวี่ยงออกไปแบบนั้น น่ากลัวคงได้ตัวแตกเป็นแตงโมตกตึก…


 


ทว่ารูปปั้นมหึมาที่มีด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลางนี่ กลับไม่เป็นอะไรเลย!


 


รูปปั้นตัวใหญ่ยักษ์ที่ว่าคล้ายไม่รู้สึกรู้สา มันค่อยๆลุกขึ้นยืนขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!


 


“ลองชิมกระบี่ข้าดูไอ้ยักษ์!”


 


ต้วนหลิงเทียนแค่นคำออกอย่างดุดัน ยกมือขึ้นคราหนึ่งปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรไหลผ่านชีพจรเซียน 99 สายฉับไว ไปผนึกควบรวมเป็นกระบี่พลังสีทองมีสภาพยาว 3 ฉื่อ! ตัวกระบี่ยังเปล่งแสงสว่างสีทองออกมาเจิดจ้านัก!!


 


สภาวะร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้คนกระบี่ไม่แบ่งแยก ถีบเท้าคราหนึ่งส่งร่างพุ่งวาบตัดอากาศไปฉับไว พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้ารูปปั้นตัวเขื่อง กระบี่สีทองตวัดออกแนวขวางตามอำเถอใจ บังเกิดเป็นเส้นแสงทองลากยาวในอากาศ!!


 


กึงงงง!!


 


ตอนแรกคิดว่ากระบี่คงสามารถสะบั้นหัวรูปปั้นได้อย่างง่ายดาย มิคาดเขากลับคิดผิด! แสงพลังสีกากีทึบรอบกายรูปปั้นพลันส่องสว่างเรืองรองขึ้นมาครั้งใหญ่! เผยพลังป้องกันอันน่ากลัวต้านทานกระบี่ของเขาเอาไว้ได้!!


 


“เอาเรื่องเหมือนกันนี่!”


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดประหลาดใจไปไม่ได้ และตอนนี้เองเขาพลันสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ‘หือ…แสงพลังสีกากีที่ฉาบเคลือบร่างมันอยู่ ลักษณะของพลังไม่คล้ายม่านพลังที่เกิดจากวรยุทธ์เซียนหรือเคล็ดวิชาป้องกันอะไร…หรือว่านี่จะเป็นความสามารถของเวทย์พลังอะไรนั่น!?’


ตอนที่ 1,771 : เวทย์พลัง ร่างทองลิ่วเหอ!


 


หากม่านพลังสีกากีทึบที่ฉาบคลุมทั่วกายรูปปั้นมหึมาตัวนี้อยู่ เป็นการป้องกันที่เกิดจากเวทย์พลังจริงๆ ก็นับว่าเป็นเวทย์พลังป้องกันที่ใช้ได้เลยทีเดียว!!


 


ต้องทราบด้วยว่ากระบี่พลังสีทองมีสภาพที่ต้วนหลิงเทียนฟาดใส่มันเมื่อครู่ แม้จะใช้ออกส่งๆไม่จริงจัง แต่ก็เทียบได้กับการลงมือของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!!


 


ทว่าการโจมตีระดับนั้น…กลับรูปปั้นที่มีพลังเทียบได้กับเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญป้องกันเอาไว้ได้!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังมองออกได้ไม่ยาก ว่าหลังจากทานรับกระบี่ของเขาไปแล้ว ม่านพลังสีกากีทึบดังกล่าวคล้ายจะอ่อนจางลง ยิ่งไปกว่านั้นรูปปั้นที่ว่าคล้ายจะแลดูอ่อนแรง กระทั่งเชื่องช้าลง


 


‘ดูเหมือนว่าถึงเวทย์พลังนี่จะทรงพลัง แต่มันก็กินพลังงานจำนวนมากงั้นสินะ…แค่ป้องกันกระบี่เดียวของข้า พลังของมันก็แทบไม่เหลือ เสมือนลูกเกาทัณฑ์ที่แล่นไปสุดกำลังแล้ว…’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตวัดกระบี่สีทองในมือออกมาอีกครา


 


และคราวนี้ศีรษะของรูปปั้นยักษ์ก็ถูกเขาสะบั้นปลิดปลงได้ง่ายดายเหมือนตัดเต้าหู้…


 


ตึงงง โครมม!!


 


เมื่อศีรษะร่วงตกลงพื้นจนแตกออก ร่างมหึมาของมันก็พังทลายลงเป็นเศษดินเช่นกัน


 


“หืม?”


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่รูปปั้นมหึมาพังลง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าความว่างเปล่าพลันบังเกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง กลิ่นอายพลังขุมหนึ่งแผ่กำจายออกมาตลบไปทั่วชั้น 6 ของหอคอย


 


“นั่นมัน…”


 


ไม่นานสายตาต้วนหลิงเทียนก็ว่ายมองไปตกยังจุดที่กลิ่นอายพลังแผ่ออกมา


 


มองไปเสมือนอากาศอยู่ๆก็มีรอยแตก แถมในรอยแตกดังกล่าวปรากฏรูปปั้นศิลาขนาดใหญ่ค่อยๆผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า! ไม่นานมันก็โผล่พ้นช่องว่างที่ว่า ร่วงตกลงมาตั้งบนพื้นดังตึง! สะท้านสะเทือนไปทั้งหอคอย!!


 


รูปปั้นที่ว่าเพียงตั้งอยู่เฉยๆ ก็เสมือนมีกลิ่นอายพลังเก่าแก่โบราณขุมหนึ่งแผ่ออก ราวจะบอกว่าตัวมันดำรงอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว


 


“ร่างทองลิ่วเหอ? นี่คือมรดกเวทย์พลังงั้นเหรอ?”


 


เมื่อสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนแผ่ออกไปหมายตรวจสอบรูปปั้นดังกล่าว เขาก็สัมผัสได้ถึงข้อความหนึ่งส่งกลับมาถึงเขา


 


ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่ารูปปั้นเบื้องหน้าคืออะไร มันสมควรเป็นมรดกเวทย์พลังที่ถูกเก็บไว้ในหอคอยแห่งนี้! รูปปั้นนี้ก็คือมรดกเวทย์พลังที่ทุกคนอยากได้ในแดนลับเซียนนั่นเอง!!


 


‘ถ้างั้นทุกอย่างที่ข้าพบเจอ ก็เป็นการทดสอบว่าเหมาะสมจะได้เวทย์พลังหรือไม่งั้นสิ? ถ้างั้นความสามารถในการป้องกันของรูปปั้นตัวสุดท้ายนั่น…สมควรเป็นเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอไม่ผิดแน่! แต่เรียกร่างทองลิ่วเหอแท้ๆ ทำไมม่านพลังของมันกลับเป็นสีกากีทึบได้ล่ะ…’


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าม่านพลังสีกากีทึบรอบกายรูปปั้นก่อนหน้า คือเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอไม่ผิดแน่ และมันสามารถป้องกันกระบี่ของเขาเอาไว้ได้เสียด้วย…


 


‘กระบี่ที่ข้าฟันไปส่งก่อนหน้า แม้จะไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย แต่พลังสมควรเทียบได้กับการจู่โจมของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไป…ถึงมันจะกันได้แค่ครั้งเดียว แต่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญสามารถต้านทานรับการโจมตีระดับนั้นได้ ก็นับว่าไม่ธรรมดา…’


 


คิดถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าม่านพลังป้องกันจากเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอมีอานุภาพอย่างไร


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียน จะแผ่สำนึกเทวะไปยังรูปปั้นอันเป็นมรดกเวทย์พลังเบื้องหน้าต่อ เพื่อจดจำเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอ เขาก็พลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหนึ่ง ทำให้เขาหันไปแผ่สำนึกเทวะลงบันไดไปทันที


 


หลังจากนั้นเขาก็ทราบว่าคืออะไร และหลังจากรออยู่ไม่กี่สิบลมหายใจ ก็ปรากฏร่าง 3 ร่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา…


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


“ดูเหมือนแต่ละชั้นจะมีกองดินอันใดสักอย่าง 2 กองเสมอ…หอคอยผีสางนี่จักมีมรดกเวทย์พลังเก็บไว้จริงๆหรือ?”


 


……


 


ทั้ง 3 ร่างเป็นชายหนุ่ม พวกมันคุยกันไปเรื่อยเปื่อยขณะขึ้นบันใดมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


และเมื่อขึ้นมาถึงชั้น 6 ได้ไม่ทันไร พวกมันก็สังเกตเห็นรูปปั้นศิลามหึมาแผ่กลิ่นอายโบราณทันที!


 


“นั่น…ใช่มรดกเวทย์พลังหรือไม่!?”


 


ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกล่าวขึ้นมา แต่ตอนนี้ดวงตาทั้ง 3 คู่ของพวกมันลุกวาวขึ้นมาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า! พวกมันพยายามเดินเข้าไปใกล้ๆทันที หมายจะตรวจสอบว่าใช่มรดกเวทย์พลังจริงๆหรือไม่!


 


“เจอกันอีกแล้ว…”


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆด้านหลังของพวกมัน ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นต้วนหลิงเทียนที่โผล่ออกมาปานภูตผี!


 


ฟังจากคำพูดของต้วนหลิงเทียน คล้ายเขาจะรู้จักร่าง 3 ร่างที่มาใหม่ หรืออาจจะรู้จักใครในนั้นแน่นอน!


 


2 ใน 3 ร่างที่ได้ยินเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นด้านหลัง ร่างของพวกมันถึงกับชะงักค้างเป็นท่อนไม้ สีหน้าของมันกลายเป็นหวาดกลัวเสียขวัญทันที…


 


“หละ…หลิงเทียน!”


 


เสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกหูสำหรับพวกมันแต่อย่างไร เป็นเสียงของหลิงเทียนเอง! อีกฝ่ายคืออัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ! เป็นหลิงเทียนที่พวกมันเลือกจะไม่เชื่อฟังทั้งหลบหนีมาก่อนหน้า!!


 


ถูกต้องแล้ว…


 


2 ใน 3 ร่างที่พึ่งเดินขึ้นมาถึงชั้น 6 นี้ คือหูรุ่ยกับเผิงเฉิน ที่ฉวยโอกาสหลบหนีไปตอนต้วนหลิงเทียนหันไปไล่ล่าจ้าวจี้นั่นเอง!!


 


พวกมันย่อมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาเจอหลิงเทียนที่นี่!!


 


“หลิงเทียน?”


 


ตอนนี้เองชายคนสุดท้ายในบรรดา 3 คน ก็หันหลับกลับมามองต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความประหลาดใจ


 


เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับต้วนหลิงเทียนที่นี่


 


“พวกเจ้า…”


 


อย่างไรก็ตามครู่ต่อมาพอมันพบว่าเผิงเฉินกับหูรุ่ยที่หันมา แลดูหน้าซีดทั้งคล้ายจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง มันก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง! อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ท่าทางคล้ายเดาอะไรได้แล้ว..


 


ทันใดนั้นมันก็ก้าวถอยออกไปหลายก้าวใหญ่ เว้นระยะห่างจากทั้ง 2 คนนั่นทันที


 


“หลิงเทียน ข้ามิได้สนิทสนมกับพวกมันทั้ง 2 แต่อย่างไร ข้าเป็นศิษย์ของวังเหลืองที่บังเอิญผ่านมา และถูกพวกมันชักชวนให้มาสำรวจที่นี่ด้วยกันเท่านั้น…”


 


หลังถอยห่างไปไม่กี่ก้าว มันก็รีบอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังทันที


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองมันเล็กน้อยค่อยพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็ละสายตากลับมามองเผิงเฉินกับหูรุ่ย “พวกเจ้าสองคนนับว่ากล้าหาญชาญชัยไม่น้อย ถึงกับเห็นคำพูดข้าเป็นแค่ลมที่พัดผ่านหู”


 


เผิงเฉินกับหูรุ่ยถึงกับก้มหน้าลงทันใด และไม่อาจตอบอะไรกลับมาได้


 


แน่นอนว่าตอนนี้พวกมันสำนึกผิดแล้ว หากพวกมันรู้ว่าสุดท้ายต้วนหลิงเทียนจะหาที่แห่งนี้พบจากทิศทางที่พวกมันเหินบินก่อนหน้า พวกมันไม่มีวันหนีไปแบบนั้นแต่แรก


 


ฉัวะ! ฉัวะ!


 


เมื่อเห็นว่าทั้ง 2 คนไม่มีอะไรจะพูด ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะกล่าวอะไรกับพวกมันสืบต่อ สะบัดมือเบาๆ ปรากฏรังสีพลังกระบี่ 2 สายพุ่งตัดระยะกว่าครึ่งห้องในชั่วพริบตา ทะลวงสังหารพวกมันทั้งคู่!


 


กล่าวให้ชัดคือสังหารร่างอวตารของพวกมัน!


 


สำนึกสติของทั้งคู่ย่อมหลุดลอยอากจากร่างอวตารทันทีเมื่อร่างอวตารของพวกมันถูกฆ่าตาย และหวนคืนสู่ร่างกายที่แท้จริง ก่อนที่พวกมันจะถูกแดนลับเซียนขับออกไป!


 


ครู่ต่อมาก็คงเหลือหลิงเทียนกับชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่บนชั้น 6 ของหอคอย 2 คน


 


“เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ? หรืออยากจะออกไปเหมือนพวกมันด้วย?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองศิษย์คนดังกล่าวค่อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้แยแส


 


ศิษย์ของวังเหลืองยังคงอึ้งกับการลงมือสังหารผู้คนของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ไม่หาย เพราะมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกำจัดเผิงเฉินและหูรุ่ยง่ายดายแบบนั้น…มาตอนนี้พอได้ยินเสียงไร้แยแสของต้วนหลิงเทียน สติสตังมันก็กลับเข้าร่างอย่างไว และเร่งรุดโดดลงบันไดไปชั้น 5 อย่างหวาดๆ…


 


ตอนนี้ใจมันเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น รีบไปให้ไกลจากสถานที่ผีสางนี่ให้เร็วที่สุด!!


 


มรดกเวทย์พลังอะไรนั่น…มันไม่กล้าคิดแตะ!!


 


มีหลิงเทียนอยู่ทั้งคน ต่อให้นั่นเป็นมรดกเวทย์พลังระดับสูง ก็ไม่ใช่สำหรับมัน!


 


หลังจากศิษย์ของวังเหลืองจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกสติไปตรวจสอบต่ออีกสักพัก เมื่อไม่พบว่ามีใครแล้วค่อยรั้งกลับมาตรวจสอบรูปปั้นอีกครั้ง เริ่มทำความเข้าใจเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอจากมรดกเวทย์พลังดังกล่าว


 


แน่นอนว่าหากจะกล่าวให้ชัดคงไม่ใช่การทำความเข้าใจ ทำได้แค่พยายามจดจำเท่านั้น


 


และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจดจำเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอจากมรดกเวทย์พลัง เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกแดนลับเซียน ก็พบว่าทางเข้าแดนลับเซียนบังเกิดความเคลื่อนไหวอีกแล้ว!!


 


ครู่ต่อมาพวกมันก็เห็นร่างคน 2 คนพุ่งออกมาจากวังวนกลางอากาศ…


 


“เผิงเฉิน? หูรุ่ย? กะ…เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน ไฉนถูกขับออกมาเร็วนักเล่า!?”


 


เมื่อเห็นร่างทั้ง 2 จ้าววังเหลืองอดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


เพราะสองร่างเบื้องหน้าในสายตายามนี้ คือศิษย์ของวังเหลืองมัน! ที่สำคัญทั้งคู่เองก็ทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสุดแล้ว แถมพลังฝีมือของพวกมันนับว่าอยู่แถวหน้าของศิษย์วังเหลืองที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ!


 


อย่างไรก็ตาม พึ่งผ่านมาได้แค่ 3 วันพวกมันกลับถูกกำจัดออกจากแดนลับเซียน?!


 


ก่อนหน้าครึ่งวันก็เป็นจ้าวจี้ที่ถูกขับออกมา!


 


“ท่านจ้าววัง…พวกเราถูกหลิงเทียนจัดการ”


 


เผิงเฉินและหูรุ่ยได้แต่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม หากแต่พอมันมองไปยังจ้าวจี้ที่ลอยอยู่ไม่ไกล พวกมันก็ไม่รู้สึกเศร้าสักเท่าไหร่ที่ถูกขับออกมา…ถึงแม้จะเสียใจที่ถูกกำจัดก็ตาม


 


เพราะยังนับว่าพวกมันโชคดีแล้ว ที่พวกมันไม่ได้ถูกขับออกมาคนแรก…


 


โดยเฉพาะเมื่อพวกมันได้เห็นคนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าและฐานะเหนือกว่ามากอย่างจ้าวจี้ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางตายออกมาก่อนพวกมัน พวกมันก็ไม่ได้สลดใจอะไรมากมาย


 


“เป็นหลิงเทียนอีกแล้ว?”


 


ได้ยินคำของเผิงเฉินและหูรุ่ย ฉากเรื่องราวคล้ายจะระเบิดออกมาทันที “สหายน้อยนั่นคิดทำอันใดกันแน่?”


 


“พวกเจ้ากับหลิงเทียนมีเรื่องบาดหมางกันงั้นหรือ?”


 


จ้าววังลี้ลับมองเผิงเฉินกับหูรุ่ยสลับไปมาค่อยขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม


 


“ท่านจ้าววัง พวกเรามิเคยมีเรื่องราวบาดหมางกับหลิงเทียนมาก่อนเลย”


 


เผิงเฉินกล่าวออกมาอย่างขมขื่น


 


“เช่นนั้นไฉนพวกเจ้า…”


 


จ้าววังลี้ลับขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ มันเองก็คิดว่ามันดูคนไม่ผิด แม้มันจะเคยเห็นหลิงเทียนไม่กี่ครั้งและไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกัน แต่มันก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนที่ทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล…


 


เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังงุนงงไม่เข้าใจ เผิงเฉินก็เริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างพวกมันกับหลิงเทียนออกมาให้ทั้งหมดฟังทันที ร่วมถึงเรื่องที่พวกมันเลือกจะหลบหนีตอนที่อีกฝ่ายหันไปไล่ล่าจ้าวจี้…


 


“พวกเจ้านี่ก็จริงๆเลย…ไฉนพวกเจ้าถึงได้หนีไปเช่นนั้น หากเป็นคนอื่นก็ไม่มีผู้ใดคิดละเว้นพวกเจ้าหรอก!”


 


จ้าววังลี้ลับส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา มันไม่คิดตำหนิหลิงเทียนในเรื่องนี้ เพราะหากมันอยู่ในจุดเดียวกันกับหลิงเทียน มันก็ย่อมลงมือกระทำเช่นเดียวกัน…


 


ดั่งการคัดสรรของธรรมชาติ ผู้ที่อยู่รอด…ย่อมเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด!


 


นี่คือกฏแห่งป่า..


 


หลังจากนั้นไม่นานเผิงเฉินก็เล่าถึงเรื่องที่พวกมันได้เจอกับหลิงเทียนอีกครั้ง และยังกล่าวถึงรูปปั้นขนาดมหึมาคล้ายอนุเสาวรีย์ศิลาอันใดสักอย่าง ที่สงสัยว่าน่าจะเป็นมรดกเวทย์พลัง…


 


“อะไรนะ?!”


 


ได้ยินคำเล่าของเผิงเฉิน หน้าจ้าวเติงเปลี่ยนไปทันใด “เจ้าหมายความว่า…หลิงเทียนนั่น มันอาจได้มรดกเวทย์พลังไปแล้วงั้นเหรอ?”


 


จ้าวจี้ ที่ยืนอยู่ข้างๆจ้าวเติงตอนนี้ สีหน้าก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ดูไม่ได้!


 


มันถูกหลิงเทียนเตะออกแดนลับเซียนตั้งแต่ 3 วันแรก ทว่าด้านหลิงเทียนกลับได้สืบทอดมรดกเวทย์พลังตั้งแต่ 3 วันแรก! ซึ่งเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก!!


 


มันเกลียดนัก!!


 


ยังอยากจะสับร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น!!


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น…”


 


เผิงเฉินพยักหน้า


 


หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากเผิงเฉิน เหล่าอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะฮือฮากันอีกครั้ง “ให้ตายเถิด ยังพึ่งผ่านไปได้แค่ 3 วัน…หลิงเทียนกลับได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังมาแล้ว?”


 


“มิรู้ว่านั่นเป็นเวทย์พลังอันใดกันแน่?”


 


“จริงสิ! พวกเจ้าสองคน…ไหนพวกเจ้าลองเล่ามาให้ข้าฟังอีกที ว่าที่ๆพวกเจ้าพบมรดกเวทย์พลังนั่น มันมีลักษณะเป็นเช่นไร? พบเจอสัตว์ร้ายหรือค่ายกลอันใดบ้าง?”


 


ไม่นานจ้าววังปฐพีก็มองเผิงเฉินอีกครั้ง ค่อยกล่าวถามออกมาอีกรอบ


 


ในบันทึกประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ใครก็ตามที่เข้าไปในแดนลับเซียนและได้รับมรดกเวทย์พลัง ย่อมต้องกระทำตามกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับ เผยถึงกระบวนการที่ทำให้ได้รับเวทย์พลังใดๆก็ตามต่อตำหนัก…


 


ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตำหนักฟ้าลี้ลับก็ได้บันทึกกลวิธีในการได้รับเวทย์พลังเอาไว้ไม่น้อย เวทย์พลังต่างชนิดก็มีการทสอบแตกต่างกันไป พวกมันเองก็ได้รับทราบรูปแบบต่างๆมามากมาย


 


เช่นนั้นหากเจอบททดสอบที่คล้ายคลึงกัน พวกมันก็จะพอคาดเดาได้ว่าที่แท้เวทย์พลังนั่นมีระดับใด และมีความสามารถประเภทไหน…


ตอนที่ 1,772 : หนึ่งเดือนต่อมา


 


“หอคอยหกชั้น…หลังจากฆ่าสัตว์ร้ายที่ผนึกพลังกัน 3 ตัวแล้วจึงสามารถเข้าไปได้?”


 


“ด้านในหอคอยเต็มไปด้วยกองหิน 2 กอง?”


 


“บนชั้นที่ 6 นอกจากศิลา 2 กอง ยังมีกองศิลาขนาดใหญ่อีกกอง? ทั้งยังมีรูปปั้นประหลาดที่สงสัยว่าจะเป็นมรดกเวทย์พลัง?”


 


……


 


เหล่าอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับได้รับทราบข้อมูลจากปากศิษย์วังลี้ลับทั้ง 2…


 


“หากข้าจำมิผิด…นั่นสมควรเป็นหอคอยลิ่วเหอ! มรดกเวทย์พลังที่หลิงเทียนได้รับสมควรเป็น ร่างทองลิ่วเหอ!”


 


สุดท้ายก็เป็นเมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับที่รู้สึกตัวและกล่าวออกมาก่อนใคร “ร่างทองลิ่วเหอ แม้จักมิได้เป็นเวทย์พลังระดับสูง แต่ก็มิได้อ่อนด้อย…นับเป็นเวทย์พลังระดับกลางในแดนลับเซียน!”


 


“เวทย์พลังระดับกลาง!”


 


จังหวะนี้ทุกคนถึงกับฮือฮาขึ้นมาทันที


 


พวกมันหลงคิดว่าหลังเข้าแดนลับเซียนไปได้ 3 วัน หลิงเทียนจะได้พบเพียงสถานที่เก็บมรดกเวทย์พลังระดับต่ำ และได้นับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับต่ำมา…แต่มิคาดนั่นกลับเป็นเวทย์พลังระดับกลาง!


 


“ร่างทองลิ่วเหอข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง…เหมือนจักเป็นเวทย์พลังสายป้องกัน!”


 


จ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิง กล่าว


 


‘เวทย์พลังระดับกลาง…บัดซบ!’


 


พอได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับกลาง พ่อลูกสกุลจ้าวถึงกับหน้าเบี้ยว โดยเฉพาะจ้าวจี้นั้นยิ่งอัปลักษณ์นัก ความเกลียดชังต้วนหลิงเทียนยังทวีขึ้นมากมาย


 


“ดี! ดี!!”


 


จูลู่ฉี จ้าววังนภาพยักหน้าออกมาด้วยความพอใจ แววตาไม่ขาดความพึงพอใจแม้แต่น้อย


 


“เพียง 3 วันได้รับมรดกเวทย์พลังระดับกลาง?”


 


กู่มี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กระทั่งตำหนักเมฆาครามของมันเอง ก็มีผู้ที่ประสบความสำเร็จหลังเข้าไปในแดนลับเซียนได้ไม่นานเช่นนี้น้อยคนนัก


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้แต่แรกแล้วว่าเรื่องที่เขาพบมรดกเวทย์พลังไม่พ้นเผิงเฉินกับหูรุ่ยย่อมเอาไปโพทนาแน่


 


แต่เขาก็ไม่ได้คิดเลยว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจะสามารถระบุเวทย์พลังที่เขาได้รับจากข้อมูลของทั้งคู่


 


‘เวทย์พลัง ร่างทองลิ่วเหอ นี่ข้าสามารถจดจำได้แต่กลับไม่อาจอธิบายได้…ไม่แปลกที่ทุกคนกล่าวว่ามีเพียงต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ก่อน…อย่างไรเสียจากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก ข้าไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เพียงบรรลุอริยะเซียนก็จะสามารถทำความเข้าใจมันได้’


 


ต้วนหลิงเทียนทราบสถานการณ์ของตัวเองดี


 


กลางวันล่วงเลยจนมืดค่ำ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ประสบความสำเร็จในการจดจำเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอได้สำเร็จ มันเป้นข้อมูลที่เขาตระหนักถึงได้ แต่ยากอธิบายออกมา


 


และเมื่อต้วนหลิงเทียนถอนรั้งสำนึกเทวะออกมา เขาก็พบว่ารูปปั้นมหึมาแลดูโบราณก่อนหน้าหายไปแล้ว


 


อีกทั้งหอคอยลิ่วเหอเองก็หายไป…รวมถึงค่ายกลทั้งหลายก็ไม่มีอีกต่อไป


 


เขากลับมายืนอยู่กลางป่าหินโล่งๆ


 


และตอนนี้ก็ไม่อาจจับสัมผัสถึงพลังผันผวนของค่ายกลใดๆได้เลย


 


เห็นได้ชัดว่าค่ายกลรวมถึงทุกอย่างได้หายไปหลังเขาได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอ…


 


‘ไม่รู้ว่าเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอที่ข้าได้รับมันดีหรือไม่ดี และจัดเป็นระดับไหนกันแน่…หากผู้เฒ่าหั่วอยู่ด้วยคงรู้ได้ทันที’


 


ต้วนหลิงเทียนคิดในใจขณะเหินร่างออกจากป่าหิน


 


‘ที่สำคัญตอนนี้คือต้องไปหาพวกหวางเฟยเซวียนกับหลิวเจี้ยนให้เจอก่อน…ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสองคนนั่นเป็นยังไงบ้าง จะได้เจอกันแล้วรึยัง…แดนลับเซียนนี่จะกว้างใหญ่ไปไหน!? คิดหาคนไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ’


 


หลังจากนั้น ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไปอีก 20 กว่าวัน ต้วนหลิงเทียนแม้จะพบเจอคนอื่นไม่น้อย แต่ยังไม่เจอหลิวเจี้ยนกับหวางเฟยเซวียนเลย กระทั่งเบาะแสก็ไม่มี


 


แน่นอนว่าในช่วง 20 วันที่ผ่านก็ไม่ใช่ว่าเขาคว้าน้ำเหลวอะไร


 


เขาได้พบมรดกเวทย์พลังอีกอย่างและจดจำมันมาได้สำเร็จ


 


เวทย์พลังที่เขาได้มาเรียกว่าร่างแฝดอัคคี ถึงแม้นามจะฟังดูไม่เลว แต่จากสายตาของต้วนหลิงเทียนมันก็ไม่ได้ดีเท่าร่างทองลิ่วเหอ


 


เพราะไม่เพียงแต่บททดสอบที่เจอจะง่าย กระทั่งการจดจำมันยังใช้เวลาไม่นาน


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรเขาได้มากหากใช้


 


‘ยังเหลืออีก 2 เดือนกว่า…หวังว่าข้าจะเจอทั้งคู่ได้ทันเวลา’


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่เหินร่อนไปทั่วแดนลับเซียนอย่างไร้จุดหมาย พยายามหาร่องรอยมรดกเวทย์พลังและคนไปทั่ว


 


ตลอดรยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา แม้คนที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอจะไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำร้ายใคร เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีเรื่องอะไรกับเขา เขาไม่ได้คิดว่าการที่มีคู่แข่งน้อยลงแล้วจะมีโอกาสเพิ่มอะไรทำนองนั้น จึงไม่ได้ลงมือทำร้ายผู้คนมั่วซั่ว


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินร่างผ่านภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่งพลันได้ยินเสียงต่อสู้ดังก้องมาแต่ไกล อย่างไรก็ตามเสียงต่อสู้ดังกล่าวดังขึ้นไม่นานก็เงียบหายไป


 


ด้วยความอยากรู้ ต้วนหลิงเทียนจึงลดเพดานบินและมุ่งหน้าไปดูเรื่องราวทันที


 


เขาพบว่ามีร่าง 3 คน กำลังปิดล้อมร่างคนๆหนึ่งเอาไว้


 


คนที่ถูกล้อมนั้นต้วนหลิงเทียนก็จำได้ว่าเป็นคนที่เข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับพร้อมกันกับเขา แต่ก็ไม่เคยสนทนาอะไรกันมาก่อน


 


ส่วน 3 คนที่ล้อมคนอยู่เขาไม่คุ้นหน้า…ไม่ใช่คนวังนภา!


 


เมื่อเห็นว่าศิษย์ใหม่คนนั้นถูกกลุ้มรุม ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วและเลือกที่สอดมือเข้าช่วยทันที


 


ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น…ศิษย์คนนั้นเป็นคนของวังนภา!


 


“พวกเราเป็นคนของสกุลจ้าว…ตราบใดที่เจาบอกว่าโบราณสถานที่มีมรดกเวทย์พลังนั่นมันตั้งอยู่ที่ใดพวกเราจะเมตตาละเว้นเจ้า…แถมหลังออกจากแดนลับเซียนไปพวกเราจะบอกท่านรองจ้าวตำหนักจ้าวเติงถึงเรื่องนี้และให้ท่านรองตอบแทนเจ้ากระทั่งยังจะให้เจ้าเข้าร่วมสกุลจ้าว! ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมสกุลจ้าวของเรา เจ้าก็สามารถเดินเชิดหน้าชูตาในตำหนักฟ้าลี้ลับได้อย่างมิต้องกลัวผู้ใด!”


 


1 ใน 3 ศิษย์ที่ปิดล้อมคนของวังนภากล่าว


 


“ไอ้หนูด้วยพลังฝีมือของเจ้า ตัวเจ้าเองสมควรรู้ดีว่าสถานที่แห่งนั้นมันไร้ประโยชน์อะไรกับเจ้า เพราะเจ้าไม่แม้กระทั่งมีปัญญาผ่านบททดสอบเพื่อรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังนั่นได้…ดีเสียกว่าที่เจ้าจะบอกพวกเรา เพื่อเป็นการสร้างบุญคุณให้สกุลจ้าว!”


 


อีกคนกล่าวเสริม


 


“ผู้รู้เหตุการณ์ย่อมเป็นคนฉลาด หากมิอยากถูกขับออกจากแดนลับเซียนเหมือนสหายโง่งมของเจ้าก็เร่งคายสถานที่นั่นออกมาแต่โดยดี!”


 


ต่างจากอีก 2 คนก่อนหน้าที่เลือกใช้ไม้อ่อน คนสุดท้ายกลับใช้ไม้แข็ง กล่าววาจาข่มขู่ออกมา


 


“ถูกกำจัดเหมือนสหายของข้า?”


 


เผชิญหน้ากับคนสกุลจ้าวทั้ง 3 ศิษย์ใหม่วังนภาไม่เผยอารมณ์ตื่นตระหนกใดๆ กลับเลือกจะเผยยิ้มเย้ยหยัน “ถึงแม้พวกเจ้าจะกำจัดข้าออกไปก็ช่าง ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะมีปัญญหาสถานที่แห่งนั้นเจอหรือไม่?”


 


คนของสกุลจ้าวทั้ง 3 หน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที ด้วยไม่คิดว่าศิษย์ใหม่วังนภาคนนี้จะพูดยาก!


 


“เช่นนั้นเอาอย่างนี้เป็นไร! ตราบใดที่เจ้าบอกสถานที่นั้นกับพวกเรา พวกเราก็จะรับเจ้าเข้าร่วมกลุ่มเล็กๆของพวกเรา…หลังจากนั้นหากพวกเราพบเจอมรดกเวทย์พลังอื่นใดอีกพวกเราจะให้เจ้า?”


 


ต่อมาเป็นศิษย์วังลี้ลับที่เป็นคนของสกุลจ้าวกล่าวออก


 


ฟังจากวาจามันแล้ว เหมือนจะหาทางลงโดยการยื่นข้อเสนอ


 


“เหอะ! ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกเจ้าจะกลับคำหรือไม่!”


 


ทว่าเมื่อศิษย์วังนภาได้ฟังวาจายื่นข้อเสนอ ก็ฉีกยิ้มหยามเหยียดกล่าวออกด้วยความไม่เชื่อ


 


“เจ้า…แล้วเจ้าต้องการอันใด!?”


 


คนของสกุลจ้าวทั้ง 3 ที่เป็นศิษย์วังลี้ลับมีโมโหไม่น้อย เผชิญหน้ากับความหัวแข็งของศิษย์วังนภาคนนี้พวกมันไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


พวกมันคิดว่าการฆ่าสหายอีกฝ่ายทิ้งไปจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ผลอันใด


 


“หากพวกเจ้าต้องการให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มของพวกเจ้า…เช่นนั้นข้าต้องการมรดกเวทย์พลังชิ้นที่ 2 ที่เจอ! และพวกเจ้าทั้ง 3 ต้องสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าจักไม่กลับกลอกวาจา!!”


 


ศิษย์วังนภาครุ่นคิดเล็กน้อย ค่อยกล่าวบอกความต้องการของตัวเองออกมา


 


“ไม่ได้!”


 


ได้ยินเงื่อนไขของศิษย์วังนภา ศิษย์วังลี้ลับสกุลจ้าวทั้ง 3 ถึงกับกล่าวปฏิเสธออกมาพร้อมกัน


 


“มรดกเวทย์พลังชิ้นที่ 2 มิอาจให้เจ้าได้…อย่างน้อยต้องชิ้นที่ 3 พวกเราถึงจะยินดีกล่าวคำสาบาน!”


 


หนึ่งในคนสกุลจ้าวกล่าว “นี่เป็นเงื่อนไขสุดท้ายของพวกเรา! หากเจ้าไม่คิดบอกพวกเราจริงๆเช่นนั้นพวกเราก็จะกำจัดเจ้าเสีย…ต่อให้จะไม่ได้รับที่ตั้งโบราณสถานมรดกเวทย์พลังจากเจ้าก็ตาม!”


 


ศิษย์วังนภาพอได้ยินก็เริ่มชักสีหน้าลังเลออกมา


 


และในขณะที่มันกำลังอ้าปากคิดตอบตกลง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “สกุลจ้าว?”


 


พอได้ยินเสียงที่อยู่ๆก็ดังขึ้น ทั้งหมดก็หันมองไปทางต้นเสียงทันที ต่างแลเห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาหนึ่งกำลังเหินมาจากไกลตา ยังหอบพลังกดดันไร้สภาพอันน่ากลัวขุมหนึ่งมาด้วย!


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”


 


หลังได้เห็นใบหน้าผู้มาใหม่ ศิษย์วังนภาก็ชักสีหน้ายินดีทันที!


 


“หลิงเทียน!?”


 


พอได้ยินเสียงอุทานทักของศิษย์วังนภา คนสกุลจ้าวทั้ง 3 ก็หน้าเปลี่ยนสี!


 


หลิงเทียน!


 


ไม่ใช่ชื่อที่แปลกหูสำหรับพวกมันเลย…!


 


กระทั่งยังเป็นชื่อของคนที่กล้าตบหน้า จ้าวจี้ นายน้อยสกุลจ้าวหลายครั้งหลายคราต่อหน้าผู้คน! ศัตรูตัวฉกาจของสกุลจ้าวยามนี้!!


 


หลังจากที่ทั้ง 3 เห็นหลิงเทียนเหินร่างเข้ามาแต่ไกล พวกมันก็หันหน้ามาสบตากันเอง แต่ละคนหน้าดำคร่ำเครียดทั้งเผยความหวาดกลัวออกมาในแววตา ใจยังสั่นไปอย่างบอกไม่ถูก


 


“พวกเจ้าทั้ง 3 รู้หรือไม่ว่าตอนนี้จ้าวจี้อยู่ไหน?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มาหยุดขวางระหว่างกลุ่มสกุลจ้าวกับศิษย์วังนภาเอาไว้ ก็ว่ายตามองพวกมันพร้อมกล่าวถามด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“พี่หลิง…ข้ามิรู้หรอกท่าน!”


 


“ใช่แล้วพี่ชายหลิงเทียน พวกเราไหนเลยจะรู้ได้ หากรู้พวกเราคงอยู่กับนายน้อยแล้ว”


 


“ใช่ๆ พี่ใหญ่หลิงเทียนหากพวกเรารู้พวกเราย่อมติดตามนายน้อยไปแล้ว! เพราะหากอยู่กับนายน้อย…ด้วยพลังฝีมือของนายน้อยพวกเราก็มีโอกาสในแดนลับเซียนมากขึ้น!!”


 


ทั้ง 3 คิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมาหาจ้าวจี้เพื่อชำระแค้น จึงเร่งแย่งกันกล่าวออกมาทันทีด้วยกลัวจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายแทน


 


ได้ยินทั้ง 3 กุลีกุจอกล่าวตอบ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปตาปริบๆ ที่เขากล่าวแบบนั้นไม่ได้คิดจะถามพวกมันสักนิด…พวกมันเข้าใจผิดแล้ว!


 


“ที่จริง ข้าไม่ได้จะถามพวกเจ้าว่าจ้าวจี้อยู่ไหน…”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นชา “ข้าแค่จะบอกให้พวกเจ้ารู้…ว่าตอนนี้จ้าวจี้มันรอพวกเจ้าอยู่ข้างนอก!”


ตอนที่ 1,773 : 2 มรดกเวทย์พลัง!


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ให้เป็นตัวโง่งมเพียงใด ศิษย์แซ่จ้าวทั้ง 3 ก็เข้าใจความหมายได้ทันที! และถึงไม่เข้าใจพวกมันก็ต้องเข้าใจ เพราะจิตสังหารของต้วนหลิงเทียนเริ่มแผ่ออกมาตลบฟ้า!!


 


ทันใดนั้นสีสันบนใบหน้าทั้ง 3 คล้ายระเหยหายไป!


 


“หลิงเทียน…เจ้าฆ่าอวตารของนายน้อยจ้าวจี้?!”


 


ยามศิษย์สกุลจ้าวมองหลิงเทียนอีกครั้ง แววตาของพวกมันเผยความหวาดผวาพรั่นกลัว คนหนึ่งพยายามรวบรวมความกล้ากล่าวถามออกมา


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้เรื่องที่จ้าวจี้มีเรื่องบาดหมางกับหลิงเทียน แต่พวกมันก็ไม่คิดเลยว่าหลิงเทียนจะกล้าฆ่าจ้าวจี้ในแดนลับเซียนจริงๆ


 


ต้องทราบด้วยว่าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลจ้าวที่เข้าในแดนลับเซียนครั้งนี้คือ จ้าวจี้!


 


จ้าวจี้ยังเป็นคนที่มีแนวโน้มจะได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงมากที่สุด และถูกคาดหวังว่ายามบรรลุถึงเซียนมนุษย์ จะเข้าใจและเพาะสร้างเวทย์พลังเพื่อใช้งานกระทั่งถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อได้สำเร็จมากที่สุด!!


 


การฆ่าจ้าวจี้ ยังต่างใดจากดับอนาคตของสกุลจ้าว…ทำให้สกุลจ้าวสูญเสียความหวังหมู่บ้านไป?!


 


นี่นับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของสกุลจ้าว!!


 


“ข้าจำได้ว่าข้าเจอมันในวันที่ 3 หลังเข้ามาในแดนลับเซียน…ในเมื่อข้าถูกมันเห็นเป็นศัตรู ข้าจะไม่ดูใจบุญไปหน่อยเหรอไงหากไม่ส่งมันออกไป?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ คล้ายพูดถึงดินฟ้าอากาศ ไม่ได้สลักสำคัญอะไร


 


ศิษย์ที่ปิดล้อมคนวังนภาอยู่พอได้ยินคำยืนยันว่าจ้าวจี้ถูกกำจัดออกไปแล้วจริงๆ ก็หน้าเสียทันที! ใจยังปรากฏความกลัวเอ่อล้นขึ้นมา!!


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้ว่าหลิงเทียนกับจ้าวจี้จะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงเทียนจะฆ่าจ้าวจี้ไปแล้วแบบนี้!


 


และพอได้ยินคำอธิบายวันเวลาจากปากต้วนหลิงเทียน พวกมันยังถึงกับอื้ออึงไปทันที


 


เพียงวันที่ 3 จ้าวจี้ก็ถูกจำจัด?


 


“เหอๆ…จ้าวจี้นั่นมันจะไม่ดวงกุดไปหน่อยรึไง?”


 


ในขณะที่ศิษย์วังลี้ลับของสกุลจ้าวอึ้งไปไร้คำจะกล่าว ศิษย์วังนภาพลันกล่าวออกมาด้วยความเห็นใจ


 


3 วัน!


 


ศิษย์สกุลจ้าวพอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าจ้าวจี้ก็ตกใจมากแล้ว พอมารู้ว่าฆ่าไปตั้งแต่ 3 วันแรก พวกมันก็ขวัญหนีดีฝ่อไปกันใหญ่


 


ตอนแรกพวกมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าจ้าวจี้ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่าน


 


แต่ไม่คิดว่าจ้าวจี้จะตายตั้งแต่ 3 วันแรก!


 


ช่างซวยขนาดไหนกัน?


 


พอนึกถึงเรื่อง ‘ซวย’ ขึ้นมา ศิษย์สกุลจ้าวทั้ง 3 ก็หันมามองสบตากันทันที เพราะหากจะกล่าวถึงเรื่องซวย…ไม่ใช่พวกมันเองก็กำลังซวยอยู่หรือไง?


 


เพราะพวกมันทั้ง 3 ดันมาเจอหลิงเทียนที่กล้าฆ่ากระทั่งนายน้อยของพวกมัน!!


 


“หนีเถอะ! ถึงโอกาสจะน้อย แต่อยู่ไปพวกเราตายแน่!!”


 


“ข้าเห็นด้วย! หนีเถอะ! ข้าทางนั้น เจ้าทางนี้ เจ้าทางนู้น!!”


 


“ได้! 3 2 1 ไป!!”


 


ไม่นานศิษย์สกุลจ้าวก็เห็นพ้องต้องกัน


 


ตอนนี้พวกมันไม่สนใจศิษย์วังนภาอีกต่อไป สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคือหนีให้พ้นจากเงื้อมมือหลิงเทียนให้ได้!


 


ศิษย์สกุลจ้าวกลุ่มนี้ที่อ่อนแอที่สุดก็คือเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เซียนขัดเกลาขั้นต้น จะเอาปัญญาไหนไปต่อต้าน…เช่นนั้นพอตกลงกันได้พวกมันทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันเหินร่างไปคนละทิศคนละทางทันที!!


 


ด้วยวิธีนี้พวกมันถึงจะมีโอกาสรอด!


 


ในพวกมัน 3 คนขอให้มีคนรอดไปสักคนก็ยังดี เพราะรวมกันได้ตายหมู่แน่!!


 


สำหรับเรื่องอ้อนวอนขอความเมตตาหลิงเทียนนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของพวกมันเลย!


 


กระทั่งนายน้อยสกุลจ้าวอย่างจ้าวจี้ยังถูกฆ่าและถูกเตะออกจากแดนลับเซียนด้วยน้ำมือหลิงเทียน ให้พวกมันคุกเข่าขอร้องอย่างน่าเวทนาแค่ไหน ก็มีแค่หนทางตายที่รออยู่!


 


เช่นนั้นพวกมันไม่สู้หนีไปเสียเล่า?


 


“จ้าวจี้ยังหนีข้าไม่รอด อาศัยพวกเจ้าคิดจะหนีไปไหนได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เตรียมตัวมาแต่แรกแสยะยิ้มกล่าวออกเสียงเย็น ปราณสุริยันแรกกำเนิดที่โคจรเตรียมพร้อมในกายตลอดเวลาพลันปะทุออกมา! พอเห็นว่าพวกมันทั้ง 3 แยกย้ายกันหลบหนี มวลปราณเริ่มควบรวมเป็นกระบี่พลังสีทองมีสภาพ 6 เล่ม!!


 


ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!


 


……


 


ทันใดนั้นร่างทั้ง 3 ที่เร่งรุดหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง ก็ถูกกระบี่พลังสีทอง 6 เล่มที่อัดแน่นไปด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดแยกย้ายกันไปทิศทางละ 2 เล่ม ก่อนที่จะพุ่งตัดฟ้าเป็นเส้นแสงตามพวกมันในชั่วพริบตา…!


 


หว่างคิ้วและหัวใจของพวกมันถูกทำลวงทำลาย!


 


ร่างทั้ง 3 สลายหายกลายเป็นอากาศธาตุทันที


 


ซูด!


 


แม้จะเดาถึงจุดจบทั้ง 3 ได้นานแล้ว แต่ศิษย์วังนภาที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกลก็อดสูดลมหายใจเข้าเสียไม่ได้


 


เพียงแค่พลิกฝ่ามือก็ฆ่าศิษย์เซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้ง 2 รวมถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดได้ง่ายดาย…มีเพียงผู้ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วเช่นนี้ถึงจะทำได้!


 


หลังจากฆ่าคนสกุลจ้าวแล้ว สีหน้าท่าทางต้วนหลิงเทียนก็ผ่อนคลายลง


 


ความบาดหมางระหว่างเขากับสกุลจ้าวมันเริ่มขึ้นไปแล้ว กระทั่งเขายังตบหน้าจ้าวจี้ไปท่ามกลางสาธารณะชน เรื่องนี้ไม่มีที่ว่างให้สนทนาใดๆอีก!


 


แล้วจะปล่อยพวกมันไปทำอะไร?


 


บิดาจ้าวจี้เป็นรองจ้าวตำหนัก ปู่มันเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์


 


เรียกว่าญาติสนิททั้ง 2 ของจ้าวจี้มีฐานะสูงส่งนัก


 


การลงมือกับจ้าวจี้ก็เหมือนกับหาเรื่องสกุลจ้าว เสมือนหาเรื่องทั้งคู่!


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตัดสินใจลงมือฆ่าทั้ง 3 อย่างไม่ต้องคิด ยังลงมือฆ่าตาไม่กระพริบด้วยซ้ำ!


 


ในเมื่อมีเรื่องกันไปแล้ว มีเรื่องเพิ่มอีกจะเป็นอะไรไป?


 


พยักหน้าให้ศิษย์วังนภาเป็นการทักทาย ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับ เตรียมเหินร่างจากไป


 


เห็นฉากนี้ศิษย์วังนภาถึงกับตะลึง


 


มันเองก็คิดวุ่นวายไปมากมาย แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลังลงมือฆ่าศิษย์วังนภาทั้ง 3 แล้ว…ต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะจากไปเพียงเท่านี้ ไม่คิดกล่าวใดสักคำ!


 


อีกฝ่ายไม่ใช่ว่าสมควรได้ยินเรื่องที่มันสนทนากับพวกแซ่จ้าวแล้วหรือ? ไม่ได้ยินว่ามันรู้สถานที่ตั้งมรดกเวทย์พลัง?


 


พอมันคิดเรื่องนี้ดูก็พบว่าเป็นไปไม่ได้เลย!


 


เห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมาแบบนั้น มันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนสมควรซุ่มดูสถานการณ์อยู่สักพัก และค่อยปรากฏตัวออกมา


 


การที่เลือกจะจากไปแบบนี้นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดใช้กำลังบังคับ ให้มันมอบสถานที่ตั้งมรดกเวทย์พลัง!


 


ศิษย์วังนภาคิดถูกแล้ว แม้ต้วนหลิงเทียนจะทราบว่าอีกฝ่ายมีเบาะแสเวทย์พลังแต่เขาก็ไม่คิดช่วงชิง


 


อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนของวังนภา แถมยังได้รับอะไรจากวังนภามาไม่น้อย


 


สำหรับวังนภา เขามีความรู้สึกเสมือนเป็นบ้านอยู่บ้าง


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”


 


เมื่อเห็นว่าไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็เหินจากไปไกลแล้ว ศิษย์วังนภาก็กังวลใจไม่น้อย มันเร่งรีบตะโกนออกไปทันที


 


“เจ้ามีอะไรอีกหรือ?”


 


เมื่อได้ยินเสียงเรียก ต้วนหลิงเทียนก็สงสัย จึงหันหลังมามองถามศิษย์วังนภาที่กำลังเร่งรีบลอยมหาเขา


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน ข้าอยากร่วมมือกับท่าน!”


 


หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ศิษย์วังนภาก็กล่าวออก


 


“ร่วมมือกับข้าหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “ข้าได้ยินแล้วว่าเจ้ามีเบาะแสสถานที่ตั้งมรดกเวทย์พลัง…แต่ในเมื่อมีแค่ทีเดียว พวกเราจะแบ่งกันอย่างไร?”


 


“และหากข้าไม่ได้ร่วมมือกับใครข้าอาจจะลองคิดดู…แต่ตอนนี้ข้าได้ตกลงจะร่วมมือกับคนอื่นไปแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอก “แถมหนึ่งในคนที่ข้าร่วมมือด้วย ข้าก็คิดมอบมรดกเวทย์พลังที่ข้าเจอให้มันก่อน หากพวกเราได้เจอกัน…ปัญหาคือตอนนี้ข้ายังไม่เจอมันเลย”


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน เพียงวาจานี้ที่ท่านกล่าวออกมา…ก็ทำให้ข้าเลื่อมไสท่านนัก”


 


ศิษย์วังนภาออดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม


 


หลังจากนั้นศิษย์วังนภาก็กล่าวสืบต่อ “ศิษย์พี่หลิงเทียน เบาะแสที่ข้าพบมิใช่แค่ 1 แต่เป็นถึง 2! หากศิษย์พี่หลิงเทียนร่วมมือกับข้า พวกเราก็แบ่งกันไปคนละที่ดีหรือไม่?”


 


หลังจากกล่าวบอกแล้ว เซียวตุน ศิษย์วังนภา ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความคาดหวัง


 


“หืม? 2 มรดกเวทย์พลัง?”


 


ได้ยินวาจานี้ของเซียวตุน ต้วนหลิงเทียนก็ประหลาดใจมาก! ด้วยไม่คิดเลยว่าเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดอย่างเซียวตุนจะพบเบาะแสนำไปสู่มรดกเวทย์พลังถึง 2 ที่! ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือน!!


 


“ใช่!”


 


เซียวตุนพยักหน้า และคล้ายมันนึกอะไรขึ้นได้ อยู่ๆก็ถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน “อันที่จริงแล้วเป็นสหายของข้าที่ฝึกวิชาเนตรบางอย่าง ทำให้มันมีสายตาที่พิเศษเหนือผู้อื่น…พวกเราเลยพบเจอเบาะแสที่นำไปสู่สถานที่ตั้งมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 แห่ง…แต่ด้วยพลังฝีมือของพวกเราทำให้มีปัญหาในการรับมรดกเวทย์พลัง”


 


“ในขณะที่พวกเรากำลังหาคนมาร่วมมือเพื่อฝ่าอุปสรรคและบททดสอบเพื่อเข้ารับสืบทอดมรดกเวทย์พลังของแห่งแรก พวกเรากลับดวงซวยเจอพวกสกุลจ้าวทั้ง 3 นั่น และพวกมันก็ฆ่าสหายข้าไป…”


 


กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของเซียวตุนแลดูเสียดายไม่น้อย


 


“น่าเสียดายนัก”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาเองก็ค่อนข้างตกใจไม่น้อย เขาเองหลังเข้ามาในแดนลับเซียนได้เกือบเดือน ก็ได้รับมรดกเวทย์พลังไปแค่ 2


 


แม้สหายของเซียวตุนกับเจ้าตัวยังไม่ได้มรดกเวทย์พลังอะไร แต่ก็เจอเบาะแสถึง 2 แห่ง เรียกว่าโชคของพวกมันไม่ได้น้อยไปกว่าเขาเลย


 


‘ไม่รู้มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 ที่ว่าจะมีระดับใดกันนะ’


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสงสัยขึ้นมา จังหวะนี้คล้ายเขาลืมไปแล้วว่ายังไม่ทันตอบตกลงจะร่วมมือกับเซียวตุนเลย


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน…”


 


จนกระทั่งเซียวตุนกล่าวออกมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนค่อยดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอย “ข้าร่วมมือกับเจ้าได้ แต่พวกเราจะแบ่งมรดกเวทย์พลังกันอย่างไร?”


 


“ข้าจะบอกท่านถึงข้อมูลสถานที่ตั้งมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 ให้ศิษย์พี่หลิงเทียนตัดสินใจก่อน…ที่แรกนั้นเป็น ฯลฯ”


 


เซียวตุนไม่ปิดบังอะไร กล่าวเล่าทุกสิ่งอย่างที่มันกับสหายพบเจอออกมาหมดเปลือก


 


มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 ก็คล้ายๆกับที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอก่อนหน้านี้ มีค่ายกลลวงตาปกปิดเอาไว้ จำต้องเข้าไปในค่ายกลถึงจะแลเห็น


 


บททดสอบของมรดกเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอมาทั้ง 2 นั้น นับว่ายากกว่ากันเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้ระดับเวทย์พลังแลดูจะสูงกว่า


 


และจากที่ได้ฟังข้อมูลจากเซียวตุน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่ามรดกเวทย์พลังทั้ง 2 แห่งที่พวกมันพบเจอ คล้ายจะมีระดับความยากไม่ต่างใดจากมรดกเวทย์พลังอย่างร่างทองลิ่วเหอเลย


 


เห็นได้ชัดว่ามรดกเวทย์พลังที่ทั้งสองไปพบเจอมา มีเวทย์พลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างทองลิ่วเหออยู่!


 


“สหายเจ้า…นับว่าโชคร้ายยิ่ง”


 


ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจอย่างทอดถอน


ตอนที่ 1,774 : วังกับบึง


 


ณ ทางเข้าแดนลับเซียน ปรากฏร่างคน 3 คนถูกขับออกมา


 


ทันทีที่ทั้ง 3 ปรากฏตัวออกมา ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับไม่น้อย ทั้งหมดทยอยกันลืมตาขึ้นมาดูว่าเป็นใครทันที


 


“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า?”


 


หน้าจ้าวเติงเปลี่ยนไปทันใดเมื่อเห็นร่างทั้ง 3 …เพราะนั่นเป็นคนสกุลจ้าวของมัน!


 


ต้องทราบด้วยว่าคนของสกุลจ้าวมัน นับรวมบุตรชายอย่างจ้าวจี้แล้ว ก็มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่เข้าไปในแดนลับเซียน!


 


ทว่าภายในเวลาแค่เดือนเดียวกลับมีถึง 4 คนที่ถูกกำจัดออกมา!


 


เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจ้าวเติง ทั้ง 3 ที่พึ่งถูกขับออกจากแดนลับเซียนได้แต่ก้มหน้าลงอย่างขื่นขม หากแต่ในใจอดลอบสบถไปไม่ได้ ‘พวกเราถูกขับออกมาแล้วอย่างไรเล่า กระทั่งลูกเจ้ายังโดนเตะออกมาใน 3 วันมิใช่หรือไง? ทั้งหมดก็เพราะลูกเจ้าไปมีเรื่องหลิงเทียนทั้งสิ้น!!’


 


ไม่น่าแปลกใจที่พวกมันจะคิดแบบนี้


 


ถึงพวกมันจะเป็นคนของสกุลจ้าว แต่พวกมันก็เป็นศิษย์วังลี้ลับด้วย…ในอดีตพวกมันไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลยด้วยซ้ำ


 


แต่ต้วนหลิงเทียนกลับฆ่าร่างอวตารของพวกมัน ขับไล่พวกมันออกจากแดนลับเซียนแบบนี้เพียงเพราะพวกมันมีฐานะเป็นคนของสกุลจ้าว…


 


“พวกเราทั้ง 3 ถูกหลิงเทียนฆ่าตาย…”


 


เผชิญกับจ้าวเติงที่สีหน้าบิดเบี้ยวถมึงทึง หนึ่งในศิษย์วังลี้ลับแซ่จ้าวพลันรวบรวมความกล้ากล่าวออก “มันร้ายกาจเกินไป พวกเรามิมีปัญญาจะสู้กับมันเลย…”


 


หลิงเทียน!


 


หลิงเทียนอีกแล้ว!


 


ได้ยินคำศิษย์วังลี้ลับแซ่จ้าวกล่าวออก สายตาของอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับหันไปมองจ้าวเติงทันที ในแววตาเผยความเวทนาออกมาเล็กน้อย


 


“มันอีกแล้ว!”


 


จ้าวจี้แค่นคำออกมาเสียงเย็น จิตสังหารปะทุออกในแววตาแรงกล้า


 


“ท่านอาจารย์ เป็นพวกมันที่ฆ่าข้า”


 


ตอนนี้เองชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆจ้าววังปฐพีพลันกระซิบกล่าวออกมาเสียงเบา หากแต่ในแววตากลับเผยให้เห็นถึงความสะใจและสมน้ำหน้าไม่น้อยขณะมองไปยังร่างศิษย์วังลี้ลับแซ่จ้าวทั้ง 3


 


ศิษย์คนนี้ไม่ใช่ใครอื่น มันเป็นสหายกับเซียวตุน! และมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 แห่ง ก็เป็นมันค้นพบด้วยวิชาเนตรอันน่าทึ่งของมัน!!


 


อนิจจาหลังจากที่ค้นพบมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 แห่ง มันก็ไม่ทันได้รับสืบทอดมรดกอะไร กลับต้องมาตกตายขณะที่กำลังหาคนช่วยเสียอย่างนั้น…


 


ตอนนี้พอได้เห็นคนที่ฆ่ามันอย่างทั้ง 3 ถูกฆ่าออกมาเช่นกัน ใจมันก็รู้สึกยินดีทั้งสมใจนัก ความขุ่นเคืองอันใดก่อนหน้าสลายหายไปสิ้น


 


จ้าววังปฐพีพยักหน้า “ช่างน่าเสียดายมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 นั่นของเจ้านัก แต่ก็ยังดีที่ศิษย์วังนภาได้ไป…จากที่ทั้ง 3 นั่นถูกขับออกมาหลังเจ้าได้ไม่นาน ข้าเชื่อว่าหลิงเทียนต้องบังเอิญผ่านมาและช่วยสหายเจ้าเอาไว้แน่”


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น”


 


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ในแววตามันเผยให้เห็นถึงความอิจฉาเล็กน้อย แต่ไร้ซึ่งความริษยาแต่อย่างไร


 


เพราะมันกับศิษย์วังนภาอย่างเซียวตุนนั้นเป็นสหายอันดีกันมานาน ทั้งคู่สนิทกันตั้งแต่ยังไม่เข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นสิบๆปี พอพบว่าเซียวตุนสมควรแคล้วคลาดปลอดภัย มันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


‘บัดซบ! มรดกเวทย์พลังไม่พ้นตกเป็นของหลิงเทียนอีกแน่!’


 


จ้าวเติงรู้สึกโมโหจนแทบบ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ตรงนี้มันคงได้ลงมือด้วยความโมโหเป็นแน่


 


“อนิจจา…ดูเหมือนบางคนถูกลิขิตมาให้พลาดมรดกเวทย์พลังที่ข้าพบทั้ง 2 แห่งนั่น…”


 


ในขณะที่จ้าวเติงกับบุตรชายอย่างจ้าวจี้กำลังโมโหแทบบ้า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆจ้าววังปฐพีพลันมองศิษย์วังลี้ลับแซจ้าวทั้ง 3 พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายเสียดาย หากแต่สีหน้าแววตากลับสนุกสนานนัก


 


“เจ้าว่าอะไร?”


 


“มรดกเวทย์พลัง 2 แห่ง!?”


 


“เจ้า…เจ้าพบมรดกเวทย์พลังถึง 2 แห่ง?”


 


ทันใดนั้นศิษย์วังลี้ลับแซ่จ้าว 2 คนอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาเสียงดัง พวกมันคือ 2 ใน 3 ของคนที่พึ่งถูกหลิงเทียนฆ่าออกมา และเป็นคนที่ลงมือฆ่าศิษย์วังปฐพีคนนี้


 


“ข้าถูกพวกเจ้าฆ่าตายออกมาแล้วข้ายังจะต้องโกหกพวกเจ้าไปทำอะไร? ข้าเชื่อว่าตอนนี้ศิษย์พี่หลิงเทียนกับสหายของข้าอย่างเซียวตุนคงแบ่งปันกัน และกำลังเดินทางไปรับมรดกเวทย์พลัง 1 ใน 2 นั้นแล้วล่ะ…”


 


ศิษย์วังปฐพีกล่าวออกอีกครั้ง ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความยินดี


 


“นี่…”


 


ศิษย์วังลี้ลับแซ่จ้าวทั้ง 3 ถึงกับตะลึงไปทันใด นี่พวกมันพึ่งพลาดมรดกเวทย์พลังไปถึง 2 แห่งงั้นเหรอ?


 


“สองมรดกเวทย์พลัง!”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองจ้าวเติงที่กำลังโมโหแทบบ้า หลังได้ยินคำกล่าวของศิษย์วังปฐพี เพราะต่างรู้ดีว่าตอนนี้ใครที่กำลังเสียดายมากที่สุด และคับแค้นมากที่สุด…


 


“เป็นไปได้อย่างไรกัน! หลิงเทียนมันทำอันใดมากันแน่ ไฉนถึงมีโชคเช่นนี้ได้!!”


 


ลูกตาจ้าวจี้แดงฉานไปดวยเส้นโลหิตฝอยแลดูโมโหคับแค้นนัก แววตาเผยความไม่ยินยอมถึงขีดสุด!


 


“ฮัยยา…โชคของสหายน้อยหลิงเทียนนับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ”


 


จ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


“จริงแท้”


 


หลายคนเห็นด้วย


 


“ฮ่าๆๆ…น้องหลิงเทียนนับว่าเหนือความคาดหมายยิ่ง!”


 


กู่ลี่ยิ้มร่า


 


‘หลิงเทียนผู้นั้นกลับมีโชคขนาดนี้…ข้าสงสัยนักว่าเขาจักใช่จ้าวตำหนักน้อยของพวกเราหรือไม่?’


 


กู่มี่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศอย่างเงียบงัน หากแต่ในใจหาได้เงียบงันดังท่าทางไม่


 


ในเวลาเดียวกันด้านในแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนก็มองถามเซียวตุน “ตอนที่พวกเจ้าลองเข้าไปในเขตพื้นที่มรดกเวทย์พลัง และพบว่ามีศัตรูที่พลังฝึกปรือไล่เลี่ยกัน..นั่นหมายความว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 ที่พวกเจ้าพบสมควรมีระดับเดียวกัน…เช่นนั้นเจ้าเลือกก่อนเถอะว่าอยากได้อันใด”


 


เนื่องจากในเมื่อพวกมันมีระดับเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะสนใจอะไรมากมาย


 


“ท่านให้ข้าเลือกก่อนหรือศิษย์พี่หลิงเทียน…เช่นนั้นหากข้าเลือกอันที่อยู่ในวังเล่า?”


 


เซียวตุนมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความระมัดระวัง ในแววตาเผยความกล้าๆกลัวๆ หากแต่ลึกลงไปก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง


 


เห็นแววตามองมาทั้งกล้ากลัวๆทั้งคาดหวังของเซียวตุน ต้วนหลิงเทียนในที่สุดก็พยักหน้ารับ “เอาสิ”


 


โบราณสถานอันเป็นที่ตั้งมรดกเวทย์พลังที่เซียวตุนกับสหายค้นพบแม้จะมีระดับพอๆกัน หากแต่พวกมันก็อยู่ห่างกันแถมตั้งอยู่คนละทิศละทาง…ที่สำคัญพวกมันยังแลดูแตกต่างกันมาก


 


หนึ่งเป็นปราสาทใหญ่โตเหมือนพระราชวังอันวิจิตรหรูหรา และเซียวตุนกับสหายก็ถูกสัตว์ร้ายปรากฏกายออกมาขัดขวางตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าไปในวัง!


 


ส่วนอีกแห่งนั้นเป้นพื้นที่บึงที่แลดูลี้ลับ บรรยากาศแลดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ…ด้านนอกก็มีสัตว์ร้ายโผล่มาขวางไว้เช่นกัน


 


ถึงแม้ว่าความยากลำบาก ทั้งพลังฝีมือของสัตว์ร้ายที่โผล่ออกมาขัดขวางจะพอๆกัน แต่ตราบใดที่เป็นคนปกติย่อมเลือกที่เป็นวังเอาไว้ก่อน เพราะมันแลดูหรูหรามีระดับมากกว่า…เช่นนั้นมรดกเวทย์พลังก็น่าจะมีระดับสูงกว่า แต่แน่นอนว่าบททดสอบสมควรไม่ง่ายเลย!


 


หากให้ต้วนหลิงเทียนเลือกก่อน เขาก็ต้องเลือกอันที่อยู่ในพระราชวังหรูหรานั่นเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อเซียวตุนเลือกอันนี้แล้วเขาก็ไม่ได้อะไรมากมาย เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นเบาะแสที่เซียวตุนกับสหายหาพบ


 


หากไม่มีเซียวตุนเขาก็คงต้องงมหาไปอีกพักใหญ่กว่าจะพบมรดกเวทย์พลังอีกสักที่…


 


“ถ้างั้นพวกเราก็ไปพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เจ้าเลือกก่อนแล้วกัน…หลังจากที่ได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังนั่นแล้วเจ้าค่อยนำทางข้าไปยังพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง พอไปถึวแบ้สเจ้าก็ออกเดินทางหามรดกเวทย์พลังชิ้นอื่นต่อได้เลย ไม่ต้องรอข้าให้เสียเวลา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเซียวตุน


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน ท่านไฉนไว้ใจข้าขนาดนี้เล่า?”


 


เซียวตุนประหลาดใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะตัดสินใจแบบนี้ มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรไปที่บึงเพื่อรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังก่อนค่อยย้อนกลับมาที่วังของมันด้วยซ้ำ


 


“เจ้าก็เป็นศิษย์วังนภาไม่ใช่รึไง ทำไมข้าจะไว้ใจไม่ได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงท่าทางสบายๆ แต่พอเข้าหูเซียวตุน ก็ทำให้เซียวตุนรู้สึกตื้นตันทั้งมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย ทว่ายังทำให้มันบังเกิดความละอายใจด้วยเช่นกัน ถึงขั้นอยากจะมุดดินหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด…เพราะมันดันเลือกวังที่แลดูดีกว่าแทนที่จะเป็นบึง


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน ไฉนพวกเราไม่เปลี่ยนกันเล่า…ถึงทั้ง 2 ที่อาจะมีระดับเท่าๆกัน แต่ข้าว่าในวังน่าจะดีกว่า เช่นนั้นท่านไม่สู้รับมรดกเวทย์พลังในวังไปเถอะ…”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกใหญ่ เวียวตุนตัดสินใจกล่าวออก


 


“เจ้าสามารถกล่าวออกมาแบบนี้ได้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเจ้าเองนับว่ามีความจริงใจไม่น้อย แต่ในเมื่อพวกเราตกลงกันแล้วก็เอาตามนั้นเถอะอย่าได้คิดมากให้วุ่นวาย มรดกเวทย์พลังในวังนั่นเป็นของเจ้า”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกปัไปอย่างไม่ยี่หระ


 


“นำทางไปสิ…”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ให้เซียวตุนนำทางไปรับมรดกเวทย์พลังในวัง


 


หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนผ่านไป เซียวตุนพาต้วนหลิงเทียนเดินทางผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ก่อนที่สุดท้ายจะไปหยุดหน้าทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง


 


“เห? ทางเข้าอยู่ในทะเลสาบงันเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ


 


“ใช่แล้วศิษย์พี่”


 


เซียวตุนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะโดดลงน้ำและพุ่งดำลงไปอย่างเชี่ยวชาญปานมนุษย์มัจฉา


 


ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งตามลงไปติดๆ


 


เมื่อด่านพลังฝึกปรือมาถึงระดับนี้แล้ว คิดกางกั้นม่านพลังเพื่อไม่ให้น้ำกร้ำกรายเปียกตัวก็นับเป็นอะไรที่ง่ายดายนัก หากแต่บางคนก็เลือกที่จะเปียกน้ำเพราะความชอบส่วนตัว…


 


เมื่อเข้าใกล้ใต้ทะเลสาบต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังอาคม


 


และพอมองไปเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเซียวตุนกลับหายไปต่อหน้าต่อตา พอเขาพุ่งตามเข้าไปก็พบว่าทัศนวิสัยพลันกลับกลายเป็นมืดดำทันที


 


แต่ไม่ทันไรก็ปรากฏแสงสว่างไสว ดึงสติเขาให้กลับมาจดจ่ออยู่กับเรื่องราวเบื้องหน้า…ตอนนี้เขามาโผล่ในสถานที่แปลกตาแล้ว!


 


เป็นสถานที่อันวิจิตรงดงามนัก โดยรอบเต็มไปด้วยแก้วผลึกสวยงาม กลางพื้นที่ปรากฏพระราชวังหนึ่งตั้งตระหง่าน ด้านหน้าประตูเข้าพระราชวังโอ่อ่าวิจิตรงดงาม หากแต่น่าเกรงขามเสมือนอสูรบรรพกาลที่กำลังหมอบอยู่…


 


ทุกอย่างที่นี่เหมือนดั่งที่เซียวตุนอธิบายไว้ก่อนหน้าไม่มีผิด


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน มีสัตว์ร้ายประเภทวิหกอยู่ทั้งสิ้น 5 ตัว…พวกมันเป็นดั่งผู้พิทักษ์คอยปกป้องประตูพระราชวังหลังนี้เอาไว้ พลังฝึกปรือของมันอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด”


 


ตอนนี้เองเสียงเซียวตุนพลันดังขึ้นให้ต้วนหลิงเทียนได้ยิน “สัตว์ร้ายทั้ง 5 นั้นมันต่างสายพันธ์กัน รูปแบบการลงมือก็แตกต่าง ก่อนหน้านี้ข้ากับสหายแทบเอาตัวมิรอด…จากการประเมินของเราอย่างน้อยๆต้องใช้เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดรับมือพวกมัน 3 คนถึงจะเอาอยู่…”


 


“อย่างไรก็ตามหากเป็นผู้ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นต้นขึ้นไป ก็สมควรจัดการพวกมันได้ไม่ยาก…”


 


เซียวตุนกล่าวอธิบายถึงจุดนี้แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมา เพราะต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นขึ้นไปธรรมดาๆ!


 


ต้วนหลิงเทียนเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไป!!


 


“อืม”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะลงมือทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ถีบเท้าคราหนึ่งส่งร่างพุ่งทะยานออกไปทางประตูเข้าพระราชวังปานอัสนี


 


ตอนนี้ประตูพระราชวังยังคงปิดอยู่


 


เมื่อร่างต้วนหลิงเทียนพุ่งไปได้ครึ่งทางก็มีเสียงร้องหลายสำเนียงดังขึ้นแต่ไกล


 


จากนั้นราวกับจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า สัตว์ร้ายประเภทวิหกตัวเขื่อง 5 ตัวปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าพระราชวัง!!


ตอนที่ 1,775 : โถงเหยียนเทียน!


 


ร่างมหึมาทั้ง 5 เป็นสัตว์ร้ายประเภทวิหกดั่งที่เซียวตุนอธิบายเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน…


 


ทั้งสัตว์ร้ายประเภทวิหกทั้ง 5 ก็ต่างสายพันธ์กัน บางตัวก็แลดูดีทั้งสวยงามดั่งพญาอินทรีย์ ทว่าบางตัวกลับพิลึกพิลั่นดั่งไก่ไร้ขน หัวเกลี้ยงกลมวับวาว…


 


สิ่งเดียวที่พวกมันเหมือนกันคือพวกมันเป็นสัตว์ปีกเท่านั้น!


 


คำรามออกด้วยเสียงหวีดแหลมรอบหนึ่ง วิหกยักษ์ดุร้ายก็แยบย้ายกันโฉบถลาเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด มองไปดั่งอัสนี 5 สายปะทุฟาดลงพร้อมเพรียง


 


“แค่นกขนอุย! กลับกล้ามาร้องหนวกหูแถมวางท่าใส่ข้า?”


 


เผชิญหน้ากับวิหกยักษ์ตัวเขื่องทั้ง 5 เพียงแค่นคำออกมาด้วยความเย้ยเยาะ


 


ต่อมา ไม่ทราบต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร หากแต่ปราณสุริยันแรกกำเนิดที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกลับควบรวมกลายเป็นกระบี่พลังมากมาย พุ่งม้วนเวียนวนไปรอบกาย มองไปคล้ายระฆังใบเขื่อง!


 


เป็นระฆังกระบี่คลุมกาย ที่ต้วนหลิงเทียนประยุกต์มาจากระฆังศรคลุมกาย!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


ต้องกล่าวเลยว่าการโจมตีของวิหกยักษ์ตัวเขื่องทั้ง 5 ที่มีพลังฝึกปรือเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดมันไม่ใช่ชั่ว พลังปะทุของพวกมันเทียบได้กับเซียนขัดเกลาขั้นต้นเลยทีเดียว พาลให้ระฆังกระบี่คลุมกายของต้วนหลิงเทียนสั่นไหวกระเพื่อมไปไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามแม้จะสั่นไหวกระเพื่อม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพังทลายลงแต่อย่างไร


 


“แข็งแกร่งยิ่ง!”


 


ห่างออกไปไกลๆ เซียวตุนถึงกับตกตะลึง แม้มันรู้ดีว่าศิษย์พี่หลิงเทียนผู้นี้ร้ายกาจนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเห็นป้องกันอันน่ากลัวนั่นกับตา


 


ย้อนกลับไป…ตอนนั้นมันกับสหายถูกนกผีทั้ง 5 ไล่จิกจนหนีกันหัวซุกหัวซุน…


 


หากแต่พอเป็นศิษย์พี่หลิงเทียน เพียงใช้วรยุทธ์ป้องกันชุดเดียว ก็สามารถป้องกันการโจมตีขงนกผีนั่นได้อย่างหมดจด ไม่คล้ายหนักหนาเหนื่อยแรงอะไร เรียกว่าวิหกยักษ์ร้ายกาจทั้ง 5 นั่นไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน!


 


“แค่นกอ่อนแอไม่กี่ตัว…น่าเบื่อจริง”


 


เมื่อเห็นว่าวิหกยักษ์ทั้ง 5 ไม่อาจทำอะไรระฆังกระบี่คลุมกายได้เลย ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกคร้านจะเล่นกับมันสืบไป เพียงห้วงคิดกระบี่พลังที่วนเวียนห้อมล้อมคล้ายระฆังคลุมกาย ก็พุ่งออกไปเล่นงานวิหกทั้ง 5 ทันที!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


ทันใดนั้นเสมือนพิรุณกระบี่ถล่มฟ้าก็ไม่ปาน แน่นอนว่าพิรุณกระบี่รอบนี้ไม่คล้ายพิรุณทั่วไปที่หล่นร่วงจากฟ้า พวกมันกลับย้อนทวนทิศ พุ่งขึ้นฟ้าสูง!


 


กระบี่พลังนับร้อยๆดั่งห่าพิรุณพุ่งแหวกฟ้าไปฉับไว บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวฉีกอากาศดังระงม เสียดหูนัก!


 


สัตว์ร้ายประเภทวิหกตัวเขื่องทั้ง 5 แต่ละตัวไม่ทราบถูกกระบี่กี่เล่มทะลวง…พริบตาก่อนที่พวกมันจะสลายหายไปเรียกว่าพรุนไม่ต่างรังผึ้ง!


 


‘พลังทำลายของพวกมัน คล้ายๆกับสัตว์ร้ายหน้าหอคอยลิ่วเหอเลย’


 


หลังมองเหม่อไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็หวนนึกถึงเรื่องราวหน้าหอคอยลิ่วเหอ ที่มีมรดกเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอ


 


อย่างไรก็ตามที่หอคอยลิ่วเหอแม้จะมีสัตว์ร้ายเพียง 3 ตัว แต่พวกมันกลับผนึกพลังกันได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มีพลังอำนาจทัดเทียมกับวิหกยักษ์ทั้ง 5


 


แอ๊ดดด……ครืด ครืดดดด


 


พร้อมกันกับที่วิหกยักษ์ทั้ง 5 สลายหายไปในอากาศ ประตูพระราชวังก็คอยๆเปิดออก


 


‘เหอะๆ…เหมือนหอคอยลิ่วเหอไม่มีผิด’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ


 


ในเมื่อประตูเปิดอ้าเชื้อเชิญแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าไปโดยไม่คิดหยุดพักให้เสียเวลา


 


เซียวตุนก็เร่งสับเท้าวิ่งตามไปติดๆ แววตาที่มองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียน ลุกวาวทั้งฉายประกายคลั่งไคล้นัก


 


เมื่อเข้ามาในพระราชวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าการทดสอบละม้ายคล้ายคลึงกับหอคอยลิ่วเหอ


 


แน่นอนที่กล่าวบอกว่าคล้ายนั้น…หมายถึงระดับพลังของศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้น หากแต่ศัตรูที่ปรากฏขึ้นกลับมาในรูปของชุดเกราะอัศวินต่างๆ!


 


เซียวตุนยิ่งติดตามมาก็ยิ่งมองต้วนหลิงเทียนตาลุกวาวมากขึ้นเรื่อยๆ


 


เพราะไม่ว่าจะบททดสอบอะไรระหว่างทาง ค่ายกล ศัตรู ประตูกล รวมถึงกับดักทั้งหลายแหล่ ล้วนถูกต้วนหลิงเทียนจัดการแก้ไขในชั่วพริบตา กระทั่งจะยกมือขึ้นลงมือจู่โจมออกไปสักท่ายังไม่ทัน


 


และเป็นธรรมดาเหล่าการทดสอบที่ว่ามา หากมันมาคนเดียวก็คงต้องจอดตั้งแต่หน้าประตู…


 


“จากที่ข้าแผ่สำนึกเทวะไปตรวจขสอบ ห้องโถงข้างหน้าสมควรเป็นห้องสุดท้ายแล้ว…และถ้าข้าเดาไม่ผิด หากฆ่าผู้พิทักษ์อะไรที่ปรากฏออกมาได้ มรดกเวทย์พลังสมควรปรากฏออกมา”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เดินนำในพระราชวังใหญ่โต กล่าวบอกเซียวตุนหลังแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจตราโดยรอบ


 


เซียวตุนที่พอได้ยินก็เร่งหันมองไปยังเบื้องหน้าทันที จนแลเห็นประตูเข้าห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง บนขื่อเหนือประตูโถงมีคำสลักเอาไว้ โถงเหยียนเทียน!


 


คำ 3 คำนี้กลับแผ่พลังกดดันอันน่าเกรงขามออกมาไม่ใช่ชั่ว มีอำนาจสะกดขู่ขวัญผู้คนนัก!


 


“มรดกเวทย์พลัง!”


 


ได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน เซียวตุนย่อมตื่นเต้นไม่น้อย เพราะตอนนี้มันกำลังจะได้รับมรดกเวทย์พลังแล้ว ถึงแม้มันอาจจะไร้สามารถเพาะสร้างหรือควบคุมเวทย์พลังนี้ได้ในอนาคต แต่มีหวังก็ยังดีกว่าไม่มีหวัง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากมองถึงความยากและบททดสอบระหว่างทาง มันมั่นใจได้เลยว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นนี้ไม่ใช่มรดกเวทย์พลังระดับต่ำแน่นอน!!


 


แม้มันจะยังเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับได้ไม่นาน แต่มันก็พอรู้มาบ้างว่าในแดนลับเซียนแห่งนี้…บททดสอบของมรดกเวทย์พลังยิ่งยาก ระดับของมรดกเวทย์พลังยิ่งสูง!


 


ด้วยเหตุนี้เซียวตุนจึงบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย ขณะเดียวกันก็บังเกิดความคาดหวังอย่างแรงกล้า ด้วยอยากรู้นักว่าสุดสายปลายทางพระราชวังหลังนี้อย่างโถงเหยียนเทียน จะมีมรดกเวทย์พลังอันใดรอคอยมันอยู่…!


 


“หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว อย่าอยู่ห่างจากข้า…หากข้าเดาไม่ผิด การทดสอบสุดท้ายด้านในต้องไม่ง่ายเหมือนข้างนอก”


 


ก่อนที่จะเข้าไปในห้องโถง ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือนเซียวตุน


 


จกาประสบการณ์ที่ผ่านหอคอยลิ่วเหอมา เขาเชื่อว่าในห้องโถงสุดท้ายนี้ต้องมีศัตรูหรือบททดสอบรออยู่แน่


 


เพียงแค่มันคงไม่ใช่รูปปั้นเหมือนในหอคอยลิ่วเหอเท่านั้น


 


“ทราบแล้วศิษย์พี่หลิงเทียน”


 


เซียวตุนนั้นเคารพนับถือต้วนหลิงเทียนมานาน ย่อมเชื่อฟังคำของต้วนหลิงเทียนอย่างไร้เงื่อนไข


 


“เข้าไปกันเถอะ”


 


หลังได้รับคำตอบจากเซียวตุน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า ย่างเท้าก้าวเข้าไปในโถง สายตามองกวาดฉับไวดั่งเหยี่ยว สำนึกเทวะกระจายตัวออกไปเฝ้าระวังโดยรอบ


 


นามโถงเหยียนเทียนแม้ฟังดูดี แต่พอก้าวเข้ามาและสำรวจรอบๆดูเขากลับไม่พบอะไรเลย แถมแตกต่างไปจากห้องโถงอื่นๆที่พบเจอก่อนหน้ามากนัก! เพราะมันมีแต่ก้อนหินประหลาดๆเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด! ไร้ซึ่งเครื่องเรือนและของตกแต่งอันใด!!


 


ต้องทราบด้วยว่าทุกห้องโถงที่ผ่านมา ตกแต่งเลิศหรูแลดูดีมีระดับทั้งสิ้น หากมีแหวนมิติเขายังคิดจะเก็บเก้าอี้ทั้งของตกแต่งบางชิ้นติดมือกลับไปด้วยซ้ำ…


 


ทว่าโถงเหยียนเทียนตรงหน้าเขากลับแลดูเสมือนสถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนมาขับถ่ายเสียอย่างนั้น!


 


ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะทำหน้าอึน ด้านเซียวตุนถึงกับทำหน้าเหวอสองตากระพริบปริบๆ มองถามต้วนหลิงเทียนราวกับตัวโง่งม “ศิษย์พี่หลิงเทียน…ตอนนี้พวกเราอยู่โถงสุดท้ายของวังจริงหรือ? ไฉนข้ารู้สึกเสมือนเข้าห้องผิดเลยเล่า?”


 


เข้าห้องผิด?


 


อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็คิดแบบนี้เช่นกัน…


 


อย่างไรก็ตาม ไม่นานสีหน้าอึนๆของต้วนหลิงเทียนมลายหายไป กลายเป็นขึงขังขึ้นมาทันที


 


สองตาต้วนหลิงเทียนกลับหรี่มองก้อนหินประหลาดๆนับไม่ถ้วนที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นโถง ใจเต็มไปด้วยความสงสัย ‘หินพวกนี้ตอนแรกเหมือนวัตถุไร้ชีวิต…แต่ตอนนี้ไฉนข้ารู้สึกเสมือนพวกมันกำลังพุ่งพล่านไปด้วยพลังชีวิต..หืม? นั่นอะไรน่ะ?’


 


ทั้งหมดนี้เกิดจากสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนที่สัมผัสได้ถึงบางอย่าง


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน! ก้อนหินพวกนี้…ข้าว่ามันมีอันใดแปลกๆ”


 


ตอนนี้เองเซียวตุนก็พบว่าก้อนหินในห้องโถงมีความผิดปกติแล้วเช่นกัน


 


ตึงงงงง!!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่เซียวตุนกล่าวจบคำ เสียงหนึ่งพลันดังลั่นขึ้นมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองจากสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่ามีประตูศิลาขนาดมหึมาเลื่อนลงมาดั่งประตูกล ปิดผนึกทางออกเดียวของโถงเหยียนเทียนแห่งนี้เอาไว้แล้ว!


 


ไม่เหมือนกับต้วนหลิงเทียนที่ยังคงความสงบไม่ตื่นตระหนก เซียวตุนเรียกว่าสะดุ้งตกใจทั้งหน้าเปลี่ยนสีไปทันที


 


แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก!


 


……


 


ทว่าตอนนี้เองโถงเหยียนเทียนที่สมควรกล่าวได้ว่าเป็นห้องปิดตายไปแล้ว อยู่ดีๆกลับบังเกิดความปั่นป่วนขึ้นประการหนึ่ง ไม่ทราบสายลมมันพัดมาจากที่ใด แต่อยู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาหมุนวนในห้องโถง! พาลให้ชุดเสื้อคลุมของเซียวตุนโบกกระพือขึ้นมา!!


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน หินนั่น…หินนั่นมันขยับได้!!”


 


เซียวตุนร้องโพล่งออกมาอย่างเสียขวัญ


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ เขาเองก็เห็นแต่แรกแล้ว


 


สายลมยิ่งมายิ่งกรรโชกแรงขึ้น พาลให้ก้อนหินบนพื้นห้องโถงเริ่มสั่นไหวกระทั่งกลิ้งไปมา กระทั่งหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดดั่ง ราชาหิน ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาเบาๆ


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนกับเซียวตุนก็พบว่า ก้อนหินเล็กๆทั้งหลายในห้องโถงเริ่มลอยล่องขึ้นมา


 


หินก้อนใหญ่เองก็ค่อยๆลอยล่องขึ้นมาแล้วเช่นกัน


 


ภายใต้สายตามองจ้องด้วยความสนใจของต้วนหลิงเทียน ก้อนหินน้อยใหญ่ทั้งหลายอยู่ๆก็พุ่งไปรวมกันที่จุดๆหนึ่ง พวกมันปะติดปะต่อกันด้วยความเร็วสูง ก่อเกิดเป็นร่างที่มองไปคล้ายมนุษย์ศิลาขนาดตัวมหึมาดั่งเนินเขาขึ้นมา!!


 


มนุษย์ศิลาที่ว่าไม่มีตาไม่มีปาก หากแต่มันมีชีวิตเสมือนดั่งสัตว์ร้าย! ไม่ใช่แค่ของประดับฉากแน่ๆ!!


 


ตึงงงง!!


 


ทันใดนั้นมนุษย์ศิลาก็เริ่มเคลื่อนไหว มันก้าวย่ำออกมาก้าวหนึ่งในอากาศ ร่างวูบตกลงมายังพื้นโถงอย่างแรง เสียงหนักแน่นดังขึ้น! ฝุ่นดินคละคลุ้งขึ้นมาตลบไปในอากาศ มวลธุลีเริ่มปลิดปลิวตามลมกรรโชกฟุ้งไปทั่วโถงเหยียนเทียน ห้องโถงเองยังสนั่นหวั่นไหวสะเทือนไปปานแผ่นดินไหวพักหนึ่ง!


 


ตึง! ตึง! ตึง!!


 


……


 


มนุษย์ศิลาตัวเขื่องเริ่มก้าวย่ำออกมา ไม่กี่ก้าวที่ย่างเยื้องพาลให้โถงยิ่งสนั่นสั่นแรงขึ้น ต้วนหลิงเทียนเองที่ยืนอยู่บนพื้นยังรู้สึกสะเทือนไปทั่วร่าง


 


ตึง…….ตึง…….ตึง…ตึง…ตึง..ตึง!!


 


……


 


หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวมนุษย์ศิลาก็คล้ายจะเร่งความเร็วขึ้น จากเดินก็กลายเป็นวิ่ง ความเร็วเพิ่มพุนขึ้นทุกขณะ!


 


ตอนนี้เองทั่วกายมนุษย์ศิลายังปรากฏกลิ่นอายพลังขุมหนึ่งปะทุออกมาอย่างมหาศาล สภาวะปานคลื่นยักษ์โถมถล่มสาดออกมาท่วมโถงก็ไม่ปาน! เซียวตุนยังรู้สึกอึดอัดไปแทบหายใจไม่ออก!!


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้นยังคงเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียนระวังตัวด้วย!”


 


เซียวตุนที่อึดอัดจากกลิ่นอายพลังจนหน้าแดงก่ำ รีบร่ำร้องกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นกลัว


 


หากแต่ต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่ได้ยินเสียงเตือนของมัน หรือไม่สนใจอย่างไรก็ไม่ทราบ กลับค่อยๆเดินเข้าหาร่างมนุษย์ศิลาที่เร่งความเร็วเข้ามาอย่างไม่สนใจ


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพยาว 3 ฉื่อจากปราณสุริยันแรกกำเนิดผนึกควบแน่นถือไว้ในฝ่ามือ!


 


‘กลิ่นอายพลังของมันคงถี่ดีแล้ว…เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! ไอ้เจ้านี่มันมีระดับพลังเหมือนรูปปั้นหินตัวใหญ่บนชั้น 6 ของหอคอยลิ่วเหอเลย!’


 


หลังจากกลิ่นอายพลังของมนุษย์ศิลาเร่งเร้าขึ้นมาคงถี่ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวในใจด้วยความสนใจ


 


“ให้ข้าดูหน่อยว่า เจ้าจะทนรับกระบี่ข้าได้เหมือนไอรูปปั้นยักษ์นั่นหรือไม่!”


 


เพียงใจคิดร่างเคลื่อนกระบี่ถึง! คนพุ่งออกไปดั่งฟ้าฟาดทั้งตวัดกระบี่พลังมีสภาพสีทอง 3 ฉื่อฟันฉับไปที่ร่างมนุษย์ศิลาตัวเขื่อง!!


ตอนที่ 1,776 : เวทย์พลังป้องกันอีกแล้ว!


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็กล่าวไปส่งๆ


 


แต่มิคาด ยามกระบี่ฟันถูกมนุษย์ศิลาตัวเขื่อง เขาพบว่า ‘ผิวหนัง’ ของมันสามารถหยุดกระบี่เขาได้!


 


ต้องทราบด้วยว่ากระบี่นี้ของเขา แม้จะตวัดฟันไปอย่างไร้เรื่องราว แต่ก็มีพลังทำลายของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


“เอ่อ…”


 


ฉากอันคุ้นเคยดังกล่าวยังทำให้ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาปริบๆ


 


ก้อนหน้านี้ในหอคอยลิ่วเหอ รูปปั้นมหึมานั่นก็อาศัยม่านพลังจากเวทย์พลัง ‘ร่างทองลิ่วเหอ’ หยุดกระบี่ของเขาเอาไว้ ทว่ามนุษย์ศิลาเบื้องหน้า คล้ายจะหยุดกระบี่ของเขาด้วยผิวหนังของมัน!


 


จะไม่ให้เขาแปลกใจได้อย่างไร?


 


‘ไม่สิ!’


 


ทว่าครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ


 


เพราะยามเมื่อเขามองไปยังร่างมนุษย์ศิลาอีกครั้ง เขาพบว่าผิวหนังของมัน ณ จุดที่กระบี่ฟันถูก เริ่มแตกร้าวก่อนที่จะหลุดร่วงออกมาราวผงแป้ง สุดท้ายก็ปลิวหายไปกับสายลมอย่างไร้ร่องรอย…


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันแผ่สำนึกเทวะไปสัมผัสดู ก็พบว่ากลิ่นอายพลังของมนุษย์ศิลาอ่อนจางลง คล้ายกับสิ้นสูญพลัง!


 


‘นี่ไม่ใช่ผิวหนังของมันจริงๆแต่เป็นชั้นศิลาเคลือบเอาไว้ หรือว่านี่คือ…เวทย์พลัง?’


 


ฉากด้านหน้าที่เขาพบ นับว่าเป็นอะไรที่ละม้ายคล้ายเรื่องราวบนชั้น 6 ของหอคอยลิ่วเหอนัก!


 


เพราะตอนที่เขาฟันกระบี่ใส่ม่านพลังของรูปปั้นตัวเขื่องนั่น กลิ่นอายพลังของมันก็ตกฮวบลงทันที แถมม่านพลังนั่นก็อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด


 


และมนุษย์ศิลาเบื้องหน้าก็คล้ายคลึงกัน หลังจากที่ผิวชั้นนอกของมันแตกและสลายไป กลิ่นอายพลังของมันก็ลดฮวบลงเหมือนกันไม่มีผิด!


 


ปงงง!!


 


ต้วนหลิงเทียนพุ่งฝ่ามือกระแทกเข้าร่างมนุษย์ศิลาอย่างจัง ปราณสุริยันแรกกำเนิดคล้ายสายธารเชี่ยวทะลักเข้าร่างของมนุษย์ศิลาอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ร่างมนุษย์ศิลาสะท้านไปทันใด มันคล้ายคิดต้านทานแข็งขืน หากแต่ดิ้นรนได้ครู่หนึ่งก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายปราณสุริยันแรกกำเนิดก็ทำลายพลังในร่างของมันจนหมดสิ้น!


 


สุดท้ายร่างมนุษย์ศิลาก็แตกตัวกลับกลายเป็นก้อนหินอีกครั้ง…


 


อย่างไรก็ตามคราวนี้ก้อนหินที่หล่นร่วงลงมา ไม่ทันถึงพื้นก็สลายกลายเป็นละอองคลี…ถูกปราณสุริยันป่นปี้จนเป็นผง!


 


ผงศิลาหล่นร่วงตกพื้นกลมกลืนไปกับพื้นโถง


 


ฉากนี้เซียวตุนที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะอื้ออึง “จะ…จบแล้วหรือ?”


 


อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาสีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เนื่องจากสำนึกเทวะของมันตรวจพบการสั่นสะเทือนของความว่างเปล่าอีกครั้ง!


 


หลังจากที่มนุษย์ศิลาถูกทำลาย ความว่างพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกรอบ!


 


“มนุษย์ศิลานั่นตายแล้ว…หรือยังมีบททดสอบอันใดที่ยากกว่านี้อยู่อีก?”


 


คิดถึงจุดนี้เซียวตุนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


 


โชคดีนักที่วันนี้มันมากับต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วต่อให้มีผู้ช่วยอีกสัก 2 คน เกรงว่าคงยากจะทำอะไรมนุษย์ศิลาตัวเขื่องนั่นได้!


 


“มรดกเวทย์พลังกำลังจะปรากฏออกมาแล้ว…หากข้าเดาไม่ผิดมันสมควรเป็นเวทย์พลังสายป้องกัน”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวขึ้นมา เสียงนั่นก็ดังเข้าหูเซียวตุนชัดเจน


 


มรดกเวทย์พลังกำลังจะปรากฏออกมาแล้ว?


 


เวทย์พลังสายป้องกัน?


 


“ที่ใดกัน?”


 


พอได้ฟังเซียวตุนก็แผ่สำนึกเทวะออกไป ทั้งหันรีหันขวางมองไปรอบๆทันที และไม่นานมันก็พบว่า ณ จุดที่ความว่างกำลังผันผวนอยู่นั้น กลางอากาศเริ่มปรากฏรอยแยกหนึ่งขึ้น!


 


ครู่ต่อมา รอยแยกที่ว่าก็เริ่มฉีกกว้างขึ้น หลังจากนั้นก็มีป้ายศิลามหึมาแผ่นหนึ่งหล่นร่วงลงมาจากรอยแยกดังกล่าว ก่อนที่จะไปตกลงไปตั้งบนพื้นโถงเหยียนเทียนดังตึง!


 


“เจ้าไปจดจำมันเถอะ…ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้”


 


หลังจากกล่าวบอกเซียวตุนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ลอยร่างขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ สองตาหลับลง


 


“ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่หลิงเทียน!”


 


หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความตื่นเต้นยินดีในใจอยู่ครู่หนึ่ง เซียวตุนก็เร่งขอบคุณต้วนหลิงเทียนออกมาทันที


 


วันนี้หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนยื่นมือเข้าช่วย น่ากลัวต่อให้มันมีเบาะแสสถานที่แห่งนี้และไปตามคนระดับเดียวกับมันมาช่วยกี่คนต่อกี่คน ก็คงไม่มีทางที่จะได้แตะ ‘มรดกเวทย์พลัง’ ชิ้นนี้…


 


แถมพอคิดถึงการทดสอบตามรายทางที่ผ่านมา มันอดไม่ได้ที่จะผวาอยู่บ้าง…


 


“เป็นเวทย์พลังป้องกันจริงๆ!”


 


ตอนแรกเซียวตุนไม่ได้ยึดถือคำพูดของต้วนหลิงเทียนเป็นจริงจังสักเท่าไร เพราะมรดกเวทยน์พลังยังไม่ทันได้ปรากฏออกมาเลย แล้วผู้ใดจะไปล่วงรู้ว่ามันคือมรดกเวทย์พลังประเภทป้องกันได้?


 


“ปราการศิลาสวรรค์!”


 


เวทย์พลังที่อยู่ในป้ายศิลามหึมาเรียกว่า ปราการศิลาสวรรค์! มันเป็นเวทย์พลังป้องกันจริงๆ!!


 


ให้กล่าวตามตรง เซียวตุนอดไม่ได้ที่จะผิดหวังเล็กน้อยที่มันได้เวทย์พลังป้องกัน


 


เพราะสุดท้ายแล้วในโลกใบนี้ หอก และ โล่ ก็เป็นอะไรที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันเสมอ


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หากผู้ที่มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกัน คนหนึ่งฝึกวรยุทธ์ป้องกัน อีกคนฝึกฝนวรยุทธ์จู่โจม หากระดับของวรยุทธ์ทั้งคู่ทัดเทียมกัน ยามปะทะกันแม้จะลำบากอยู่บ้าง แต่สุดท้ายผู้ที่ฝึกวรยุทธ์จู่โจมก็สามารถทำลายการป้องกันผู้ที่ฝึกวรยุทธ์สายป้องกันและเอาชนะได้อยู่ดี…


 


ดังนั้นเซียวตุนจึงหวังว่ามันจะได้รับเวทย์พลังสายโจมตี!


 


‘หากข้าเลือกเวทย์พลังอีกที่ก็คงดี…’


 


ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เซียวตุนพลันส่ายหน้าทันที ‘เลือกอีกที่กับผีเถอะ! หากไม่ได้ศิษย์พี่หลิงเทียนช่วยข้าจะมีวันได้รับเวทย์พลังนี้หรือไง? ยังจะฝันไกลอยากได้เวทย์พลังโจมตีอันใด อีกทั้ง…ข้ายังเป็นคนเลือกของข้าเองแท้ๆ’


 


นึกถึงจุดนี้หูของเซียวตุนก็แดงก่ำขึ้นมาด้วยความละอาย ‘ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เวทย์พลังอีกที่จะเป็นเวทย์พลังสายป้องกันหรือไม่ ต่อให้เป็นสายโจมตี ก็สมควรเป็นของศิษย์พี่หลิงเทียนแล้ว!’


 


สุดท้ายเซียวตุนก็คิดได้จึงเลือกที่จะยินดีไปกับมรดกเวทย์พลังตรงหน้า และเริ่มตรวจสอบป้ายศิลาทันที


 


‘เวทย์พลังป้องกันอันประเสริฐ! เวทย์พลังป้องกันนี้ถึงมิใช่ระดับสูงแต่อย่างน้อยต้องเป็นระดับกลางแน่ๆ!’


 


ยิ่งจดจำรับรู้ความของเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์มากเท่าไหร่ เซียวตุนก็ยิ่งลิงโลดมากขึ้นเท่านั้น เพราะในสายตาของมันปราการศิลาสวรรค์ไม่มีทางเป็นเวทย์พลังระดับต่ำๆแน่นอน!


 


หลังผ่านไปอีก 1 วัน 1 คืนเต็มๆ ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมา


 


‘ยังไม่เสร็จอีกเหรอ…’


 


เพราะเขาสามารถจดจำรับรู้ความจากมรดกเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอได้หลังผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าเซียวตุนสมควรใช้เวลาพอๆกัน แต่มาตอนนี้เขาก็พบว่าเป็นเขาคิดมากไปเอง


 


‘ไม่ว่ายังไงเวทย์พลังที่เซียวตุนได้ไป ก็สมควรเป็นเวทย์พลังป้องกันที่มีระดับเดียวกับร่างทองลิ่วเหอ…ไม่รู้เวทย์พลังที่บึงจะเป็นเวทย์พลังสายไหน’


 


ต้วนหลิงเทียนพลันเหม่อคิดถึงบึงในคำบอกของเซียวตุนอย่างไม่รู้ตัว


 


‘หวังว่ามันจะเป็นเวทย์พลังสายโจมตี…’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจอย่างวาดหวัง


 


ตอนนี้เขามีเวทย์พลังป้องกันอย่างร่างทองลิ่วเหอแล้ว แถมยังมีเวทย์พลังเสริมความเร็วอย่าง ปีกอีกาทองคำ ที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้ สิ่งที่เขาขาดก็คือเวทย์พลังสายโจมตี


 


‘เห็นว่ามรดกเวทย์พลังนั้นสามารถสืบทอดได้แค่คนเดียวในแต่ละครั้ง…ไม่รู้ว่าในขณะที่เซียวตุนกำลังจดจำอยู่ข้าจะลองรับรู้ด้วยได้รึเปล่า…’


 


สุดท้ายด้วยความอยากรู้อยากเห็นต้วนหลิงเทียนจึงลองแผ่สำนึกเทวะไปยังป้ายศิลาอันเป็นมรดกเวทย์พลังทันที


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่สำนึกเทวะของเขาจะได้สัมผัสถูกป้ายศิลาดังกล่าว กลับถูกพลังลี้ลับขุมหนึ่งจากป้ายศิลาแผ่ออกมาสกัดเอาไว้เสียก่อน ทำให้สำนึกเทวะของเขาไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ ‘มีพลังแผ่ออกมาต้านทานสำนึกเทวะของข้า…ดูเหมือนเรื่องที่มรดกเวทย์พลังจสามารถสืบทอดได้แค่คนเดียวจะเป็นเรื่องจริง’


 


เมื่อเห็นว่าเซียวตุนคงไม่อาจจดจำได้ในเวลาอันสั้น ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาทำสมาธิอย่างอดทน


 


เซียวตุนใช้เวลาไปอีก 2 วัน 2 คืนค่อยตื่นขึ้นมา นับว่ามันใช้เวลาจดจำไปถึงสามวันสามคืนเต็มๆ!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่เซียวตุนลืมตา ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้ร่างของเขากลับมาอยู่ริมทะเลสาบ!


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน พวกเราไปยังสถานที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่งกัน”


 


เซียวตุนไม่กล่าวใดให้มากความอีก มันรีบพาต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่งทันที


 


“จริงสิศิษย์พี่หลิงเทียน! ทั้งๆที่มรดกเวทย์พลังยังมิได้ปรากฏออกมาเลย แล้วท่านรู้ได้อย่างไรหรือว่ามันเป็นเวทย์พลังสายป้องกัน?”


 


เซียวตุนมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“เพราะบททดสอบสุดท้าย มนุษย์ศิลาอะไรนั่นมันใช้เวทย์พลังป้องกันน่ะ ข้าเองก็เคยรับมรดกเวทย์พลังมาก่อนหน้า ทำให้ข้าพอเดาได้ว่ามันจะเป็นเวทย์พลังสายอะไร”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…”


 


เซียวตุนเข้าใจได้ทันที หลังจากนั้นมันก็กล่าวถามต่อออกมาด้วยความสงสัย “แล้วเวทย์พลังที่ศิษย์พี่หลิงเทียนได้รับมาก่อนหน้าเป็นเวทย์พลังอันใดหรือขอรับ?”


 


“เหมือนๆกับของเจ้าเลย เป็นเวทย์พลังสายป้องกันเช่นกัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอีกรอบ


 


“เวทย์พลังสายป้องกัน!?”


 


เซียวตุนอึ้งไปพักหนึ่งค่อยยิ้มออกมา “เช่นนั้นนับเป็นเรื่องดียิ่งที่ศิษย์พี่มิได้เลือกที่นี่ หาไม่แล้วคงเสียเปล่า”


 


“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก…”


 


สำหรับคำนี้ของเซียวตุน ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวตอบด้วยการเสนอความเห็นเสียงสงบ “ถึงแม้จะเป็นเวทย์พลังสายป้องกันเหมือนกัน แต่พวกมันก็แบ่งแยกสูงต่ำทั้งลักษณะการใช้งาน ไม่เพียงแค่นั้นเวทย์พลังแต่ละชนิดก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะสมกับทุกคน…เพราะคนเรามีความเข้าใจไม่เหมือนกัน บางทีเวทย์พลังที่เจ้าจดจำอาจเหมาะกับข้ามากกว่า หรืออาจเป็นเวทย์พลังที่ข้าได้รับมาอาจจะเหมาะสมกับเจ้ามากกว่า..เผลอๆข้าอาจเข้าใจเวทย์พลังของเจ้าได้ แต่ของข้าเองกลับเข้าใจไม่ได้”


 


“เรื่องนี้มันก็จริง”


 


เซียวตุนพยักหน้าเห็นด้วย แม้จะเป็นเวทย์พลังป้องกันเหมือนกันและมีระดับเดียวกัน ทว่าแต่ละคนอาจถนัดไม่เหมือนกัน คงยากที่จะบอกว่ามันเสียเปล่า


 


พื้นที่มรดกเวทย์พลังชิ้นที่ 2 นั้นทางเข้าของมัน กลับอยู่ในทะเลทรายอันแห้งแล้ง!


 


แถมทะเลทรายแห่งนี้ เรียกว่าทัศนวิสัยของมันแทบเป็นศูนย์ เพราะมีลมแรงพัดฝุ่นทรายคละคลุ้ง ยากจะมองเห็นสิ่งใดได้


 


หากไม่มีเซียวตุนนำมาน่ากลัวว่าคงยากจะหาพื้นที่มรดกเวทย์พลังอันใดในนี้ได้


 


“สหายของเจ้านับว่ามีวิชาเนตรอันยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงกับสามารถหาพบว่ามีพื้นที่มรดกเวทย์พลังอยู่ในนี้…”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียน จากทางนี้ท่านเดินไปอีกมิถึง 20 หมี่ ท่านจักพบกับค่ายกล เพื่อนำท่านเข้าสู่พื้นที่มรดกเวทย์พลัง…ข้าไม่ติดตามท่านไปเพื่อถ่วงมือถ่วงเท้าของท่านแล้ว…”


 


เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางเซียวตุนก็กล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


“เอาล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรมากเขาเดินไปตามทางที่ว่าทันที


 


แน่นอนว่าหลังจากเดินมาไม่กี่สิบก้าว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าสายตาเขามืดดำมองอะไรไม่เห็น และร่างเขาก็หายลับไปจากสายตาของเซียวตุนทันที


 


“ตอนนี้ศิษย์พี่หลิงเทียนไปแล้ว หนทางข้างหน้าของข้าคงมิง่ายดายอีกต่อไป…”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนหายเข้าไปในค่ายกลต่อหน้าต่อตา เซียวตุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย ยังเสียดายเล็กน้อยที่สามารถร่วมมือกับอีกฝ่ายได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)