War sovereign Soaring The Heavens 1765-1768

 ตอนที่ 1,765 : แดนลับเซียน


 


“มันเปิดแล้ว!”


 


“นั่นน่ะหรือ ทางเข้าแดนลับเซียน!!”


 


“แดนลับเซียนเปิดแล้ว!”


 


……


 


เมื่อวังวนมหึมาปรากฏขึ้นเหนือฟ้า และมีพลังดูดรั้งไร้สภาพขุมหนึ่งกวาดออกมา ผู้คนส่วนใหญ่ก็ละความสนใจจากต้วนหลิงเทียนไปชมดูวังวนลึกลับบนฟ้าทันที!


 


กล่าวให้ชัด ทั้งหมดกำลังชมดู “ทางเข้า” แดนลับเซียน!


 


“นั่นน่ะเหรอ…ประตูสู่แดนลับเซียน?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่แหงนมองภาพบนฟ้าหยีตาลงเล็กน้อย พลังดูดรั้งดังกล่าวก็กำลังดูดร่างเขาขึ้นไปเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามแม้พลังดูดรั้งจะไม่ได้อ่อนด้อย แต่ทว่าหากเขาไม่ปล่อยตัวมันก็ยากจะดูดเขาขึ้นไปได้


 


คนอื่นๆก็เช่นกัน


 


“เรื่องราวของแดนลับเซียนพวกเจ้าทุกคนสมควรเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว…เช่นนั้นข้าจักมิอธิบายอันใดให้มากความอีก พวกเจ้าทุกคนจงพยายามเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้านในให้มากเข้าไว้ ความตายด้านในมิใช่ความตายที่แท้จริง…แต่หากพวกเจ้าตาย นั่นหมายความว่าจักถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนทันที!”


 


เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงบ “เช่นนั้นแล้วข้าหวังว่าพวกเจ้าจักรักถนอมชีวิตของพวกเจ้าในนั้นให้มากเข้าไว้! เพื่อให้มีโอกาสได้รับสิ่งประเสริฐได้มากยิ่งขึ้น…และพวกเจ้าคงทราบกันแล้วว่าบททดสอบรับมรดกเวทย์พลังนั้น จักยากขึ้นตามระดับมรดกเวทย์พลัง บททดสอบยิ่งยากนั่นหมายความว่าเวทย์พลังที่ได้รับก็ยิ่งสูงขึ้นตาม…กระทั่งบางบททดสอบยังยากเกินตัวพวกเจ้า อย่าฝืน!”


 


“เพราะอย่างไรเสียมันก็เปิดให้แต่รุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีเท่านั้นที่เข้าไปได้…ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”


 


เมื่อวาจาของเมิ่งฉิงดังจบคำ จูลู่ฉี จ้าววังนภาพลันหันกลับมามองศิษย์วังนภาทั้ง 10 รวมถึงต้วนหลิงเทียน “ตอนนี้พวกเจ้าคงสัมผัสได้ถึงพลังดูดรั้งไร้สภาพที่กำลังดูดพวกเจ้าอยู่ใช่หรือไม่? ขออย่าได้ตกใจไป…เพียงปล่อยตัวไปตามแรงดูดนั่นเสีย…อาจมีช่วงหนึ่งที่สำนึกสติพวกเจ้ามิอาจรับรู้อันใดได้ แต่นั่นเป็นขั้นตอนการสร้างร่างอวตารของพวกเจ้าและย้ายสำนึกสติไปสถิตย์ยังร่างอวตาร…”


 


“และเพราะร่างอวตารนี้ทำให้แม้พวกเจ้าจักตกตายในแดนลับเซียน พวกเจ้าก็มิได้ตกตายจริงๆ…แต่แน่นอนว่าทันทีที่ร่างอวตารของพวกเจ้าตายตก สำนึกสติของพวกเจ้าก็จะหวนคืนสู่กายแท้…ถูกขับออกจากแดนลับเซียนทันที!”


 


“เช่นนั้นก็ดั่งที่ท่านจ้าวตำหนักกล่าวเอาไว้ หากพวกเจ้าคิดหวังสิ่งของประเสริฐก็จงรักถนอมชีวิตให้มาก เพื่อที่จักได้มีโอกาสพบพานโอกาสและวาสนาของพวกเจ้า…”


 


“เอาล่ะ ยามนี้พวกเจ้าก็เข้าไปกันได้แล้ว จงผ่อนคลายร่างกายเสีย อย่าได้แข็งขืนต่อต้าน…แดนลับเซียนจะส่งพวกเจ้าเข้าไปด้านในทีละคนๆ”


 


สิ้นคำกล่าวของจูลู่ฉี เหล่าศิษย์วังนภาก็เริ่มผ่อนคลายร่างกายทีละคน


 


และทันทีที่พวกมันปล่อยร่างกายไปตามสบาย ร่างของพวกมันก็ลอยขึ้นไปยังวังวนมหึมาบนฟ้า ก่อนที่จะถูกวังวนดังกล่าวกลืนร่างหายไป ราวกับถูกอสูรกายดุร้ายตัวเขื่องแสนน่ากลัวเขมือบ


 


แน่นอนว่าศิษย์วังนภาไม่ได้ลอยขึ้นไปทุกคน


 


ต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียน หลิวเจี้ยน และจ้าวจี้ยังไม่ได้เข้าไป


 


“พวกเจ้ารออันใดกัน?”


 


เห็นคนที่เหลือจูลู่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


 


“เหอะ!”


 


จ้าวจี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอาฆาตแค่นคำทิ้งท้ายด้วยสายตาเยียบเย็น ก่อนที่มันจะปล่อยร่างกายตามสบายและลอยหายเข้าไปในแดนลับเซียน


 


“ข้าพึ่งได้ยินมาว่าหลังจากเข้าไปในแดนลับเซียนแล้ว พวกเราจะถูกสุ่มแยกไปยังที่ต่างๆด้านใน…เช่นนั้นก่อนที่พวกเรา 3 คนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พยายามอย่ามีเรื่องอะไรกับผู้อื่น…ถึงแม้พวกเจ้าจะเจอร่องรอยมรดกเวทย์พลัง ก็อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปตามลำพัง”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงกล่าวเตือนไปยังหวางเฟยเซวียนและหลิวเจี้ยน


 


ตอนนี้ในเมื่อเขาตัดสินใจจะร่วมมือกับทั้งคู่แล้ว เขาย่อมไม่ต้องการให้ทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุอะไรจนพลาดพลั้งถูกขับออกจากแดนลับเซียน ก่อนที่จะได้รวมตัวกันด้านใน


 


“อื๊อ”


 


หวางเฟยเซวียนตอบรับ


 


“ข้าเข้าใจ”


 


หลิวเจี้ยนก็เร่งตอบกลับทันที


 


หลังจากนั้นทั้ง 3 ก็ผ่อนคลายร่างกาย ไม่แข็งขืนใดๆ ปล่อยให้แดนลับเซียนดูดกลืนร่างเข้าไปในวังวนที่เหมือนดั่งปากอสูรกายดุร้ายกลางหาว


 


หลังจากที่ถูกวังวนกลืนร่าง ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนรอบด้านมืดลง สำนึกสติคล้ายสั่นไหวบางเบา ก่อนที่จะถูกพลังลี้ลับขุมหนึ่งดึงออกจากร่างกายและพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งอันไกลแสนไกลด้วยความเร็วสูงล้ำ


 


ไม่ทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ พอต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าสำนึกสติของเขาสมควรเข้าร่างอวตารแล้ว…


 


เมื่อเปิดตาขึ้นมาต้วนหลิงเทียน ก็รู้สึกเสมือนร่างอวตารนี้…เป็นร่างที่แท้จริงของเขาก็ไม่ปาน! หากไม่ใช่เพราะนิ้วมือไร้แหวนพื้นที่คงยากที่เขาจะบอกได้ว่านี่เป็นร่างที่แท้จริงของเขาหรือร่างอวตาร!


 


ทุกอย่างสมจริงและเป็นธรรมชาติมากจนเขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรเลย!


 


ก่อนเข้าแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนก็ทราบแล้วว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง นอกจากร่างอวตารแล้ว พวกสิ่งของนอกกายอย่างแหวนพื้นที่อะไรไม่อาจนำเข้ามาในนี้ได้


 


ด้วยไร้แหวนพื้นที่มีแต่ร่างอวตาร…นั่นหมายความว่าในที่นี้ไม่มีใครสามารถพึ่งพาสิ่งของอื่นใดที่เคยมีได้เลย! ทำได้แค่พึ่งพลังฝีมือส่วนตัวตะลุยแดนลับเซียนเท่านั้น!!


 


แน่นอนว่าหากพบพานศาสตราเซียน ยันต์เต๋าหรือสิ่งของอื่นใดในแดนลับเซียน ย่อมสามารถใช้มันได้!


 


และสมบัติทั้งหลายที่ได้รับในแดนลับเซียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นศาสตราเซียนยันต์เต๋าสมุนไพรโอสถหรือวัตถุดิบอันใด มันจะไปปรากฏขึ้นข้างๆร่างที่แท้จริงยามออกจากแดนลับเซียน!


 


กล่าวได้ว่ายามสำนึกสติหวนคืนสู่ร่างกายที่แท้จริง สมบัติทั้งมวลที่ได้รับจะตามไปปรากฏขึ้นร่างกายอย่างอัศจรรย์!


 


แต่แน่นอนว่าถ้าหากตายในแดนลับเซียน สมบัติอันใดที่มีอยู่ก็จะไม่ไปปรากฏข้างร่างกายที่แท้จริง!


 


ในแดนลับเซียนนั้นยังมีวิธีออกไปนอกจากการตายอยู่ 2 ประการ


 


หนึ่งคือยืนสงบสติ และตั้งจิตใช้สำนึกเทวะสื่อสารกับแดนลับเซียน แดนลับเซียนจะรับรู้เจตนาและส่งออกไปด้านนอกแดนลับเซียนทันที


 


ส่วนอีกอย่างก็คืออยู่ในแดนลับเซียนแห่งนี้ให้ครบกำหนด 3 เดือน พอถึงเวลานั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นใครและอยู่ที่ไหนในแดนลับเซียน ก็จะถูกบังคับส่งออกไปอย่างไม่อาจต่อต้านทันที


 


“นี่น่ะเหรอแดนลับเซียน”


 


เมื่อมองไปรอบๆต้วนหลิงเทียนก็พบป่าไม้เขียวขจี ยังกล่าวได้ว่าเป็นป่ารกชัดหนึ่ง ในสายตาเต็มไปด้วยพุ่มไม้รวมทั้งต้นไม้ใหญ่โต เถาวัลย์ห้อยระโยงระยางไปทั่ว และด้วยเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ดังขึ้นในพุ่มไม้ ก็เตือนให้เขารับทราบว่ามีอันตรายบางประการซ่อนเร้นอยู่!


 


“อ๋าววู้วววว~!”


 


ดั่งประกายอัสนีลั่นวาบ พร้อมกันกับที่เสียงหอนหนึ่งดังขึ้น ก็มีร่างสีดำมืดหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากพุ่มไม้ ปรี่ตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง!


 


เหลือบมองเพียงครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นลูกตาสีแดงทั้งร่างสีดำดังกล่าว…มองให้ดีก็พบว่ามันเป็นหมาป่าสีดำแลดูดุร้ายตัวหนึ่ง!


 


แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่หมาป่าธรรมดา!


 


ตัดสินจากความเร็วในการพุ่งกระโจนเข้ามา ต้วนหลิงเทียนบอกได้เลยว่าพลังต่อสู้ของมันสมควรทัดเทียมกับเซียนดั้งเดิมขั้นต้น!


 


และเมื่อเห็นว่ามันไร้สติปัญญาอะไร ก็บอกได้ทันทีว่ามันสมควรเป็นสัตว์ร้าย…


 


แน่นอนว่าสัตว์ร้ายในระดับนี้ย่อมไม่เป็นภัยคุกคามอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลย


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น เพียงใจคิดจิตสั่ง ปราณสุริยันแรกกำเนิดพลันโคจรไหลเชี่ยว แผ่พุ่งออกจากผิวกาย ไปควบรวมเป็นกระบี่พลังสีทองกว่า 10 เล่มในพริบตา! พวกมันลอยตระหง่านกลางอากาศเปล่งแสงสว่างปานตะวัน โคจรหมุนวนไปรอบๆร่างกายเขาดั่งดาวบริวาร!


 


ฟิ้วว! ฉัวะ! ตึงงง!!


 


ร่างหมาป่าสีดำตัวแรกที่ปราดกระโจนออกมา ถูกกระบี่พลังสีทองเล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศฉับไว พุ่งไปทะลวงผ่านร่างจนตายตกในพริบตา ซากไร้ชีวิตร่วงกลิ้งไปบนพื้นฝุ่นคลุ้ง


 


“อ๋าววูวว~”


 


“อ๋าววูวว~”


 


……


 


หลังต้วนหลิงเทียนสังหารหมาป่าตัวแรกไปได้ไม่ทันไร เสียงร้องระงมก็ดังขึ้นจากพุ่มไม้โดยรอบ!


 


พริบตาต่อมาร่างหมาป่าสีดำที่คล้ายคลึงกับหมาป่าสีดำตัวแรกก็กระโจนเข้าใส่เขาทุกทิศทาง


 


“ฝูงหมาป่างั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าการตายของหมาป่าสีดำตัวแรก ไม่เพียงขู่ขวัญพวกมัน แต่กลับดึงดูดหมาป่าสีดำตัวอื่นๆมาทั้งฝูง! หมาป่าฝูงนี้มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเสียส่วนใหญ่ บางตัวก็เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง…


 


อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว จะเซียนดั้งเดิมขั้นต้นหรือขั้นกลางก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน…


 


ปราณสุริยันแรกกำเนิดโคจรฉาบร่างบางเบาเปล่งแสงสีทองเรืองๆ กระบี่พลังมีสภาพเล่มแล้วเล่มเล่าก่อเกิด พวยพุ่งออกไปเข่นฆ่าสังหารเดียรัจฉานร่างดำทุกตัวที่หาญกล้าพุ่งเข้ามาในสายตา…


 


การตายของหมาป่าสีดำนับสิบๆ กลับไม่ได้ทำให้เหล่าหมาป่าที่กำลังทยอยกันมาทีหลังหวาดกลัวแม้แต่น้อย! กระทั่งกลิ่นโลหิตคาวคลุ้งที่ฟุ้งออกมาตลบในอากาศ ยิ่งทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งกว่าเก่า! พวกมันพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่คิดชีวิตราวเสียสติ!!


 


อนิจจาไม่ว่าพวกมันจะคุ้มคลั่งเกรี้ยวกราดเพียงใด จุดจบเดียวที่รอคอยพวกมันอยู่คือความตาย


 


สุดท้ายไม่ทราบผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด กระทั่งราชาหมาป่าก็ปรากฏตัวออกมา มันเป็นหมาป่าสีดำที่มีขนสีทองขึ้นแซม ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าหมาป่าตัวอื่นถึง 3 เท่า ด่านพลังบรรลุสูงสุดเซียนดั้งเดิม!


 


อนิจจาเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดในสายตาต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ได้ต่างไปจากขั้นต้นหรือกลางแม้แต่น้อย..ด้วยความสามารถที่กระทั่งอริยะเซียนขั้นต้นยังรบด้วยไหว การฆ่าสัตว์ร้ายเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ย่อมง่ายดายไม่ต่างเชือดคอไก่!


 


ตุบบ…


 


ด้วยการตายตกของราชาหมาป่าตัวเขื่อง การต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดลง…


 


‘ไอพวกนี้มันเป็นสัตว์ร้ายจริงๆ หรือเป็นภาพมายาจากค่ายกลลวงตากันแน่นะ…’


 


ณ จุดนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน…


 


เพราะเขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาสัมผัสได้อยู่รอบตัวตอนนี้ ไม่คล้ายของปลอมแม้แต่น้อย


 


ยิ่งไปกว่านั้นร่างอวตารของเขาก็เหมือนร่างกายที่แท้จริงของเขามาก


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้


 


‘ไปดูรอบๆก่อนแล้วกัน ไม่รู้จะเจอสองคนนั่นรึเปล่า…’


 


เมื่อคิดถึงหวางเฟยเซวียนกับหลิวเจี้ยน ต้วนหลิงเทียนก็ย่ำอากาศขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่จะเหินร่างข้ามป่าไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วสูง


 


ระหว่างทางมีสัตว์ร้ายบินได้และนกประหลาดเข้ามาเล่นงานเขามากมาย แต่ทั้งหมดล้วนตกตายในมือเขาไม่มีรอด


 


สัตว์ปีกทั้งนกประหลาดเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอในสายตาเขาทั้งสิ้น พวกมันเต็มที่ก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่า ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรต้วนหลิงเทียน


 


‘ไม่รู้คนอื่นๆไปอยู่ที่ไหนกันหมด…’


 


หลังจากเหินร่างไปพักใหญ่ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเขตป่าได้เสียที…ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองไปทางใดก็เห็นแต่ฟ้ากับหญ้า มุมปากอดยกยิ้มขึ้นมาเจื่อนๆไม่ได้…


 


แดนลับเซียนนี่มันกว้างใหญ่ขนาดไหนกัน!?


 


เมื่อศิษย์วังนภาทั้ง 10 รวมถึงต้วนหลิงเทียนเข้าไปในแดนลับเซียนแล้ว ศิษย์จากวังอื่นๆก็ทยอยกันเข้าไปในแดนลับเซียนทีละคนๆ ไม่นานทั้ง 30 คนก็เข้าไปในแดนลับเซียนหมดสิ้น


 


ชั่วครู่ด้านนอกก็เหลือคนของตำหนักฟ้าลี้ลับไม่กี่คน


 


“จ้าวเติง ข้าได้ยินมาว่าลูกเจ้ามีเรื่องกับต้วนหลิงเทียนงั้นเรอะ…เช่นนั้นมิใช่หากทั้งคู่เจอกันด้านใน ลูกเจ้าจะงานเข้าเอารึไร?”


 


เฉียนผิงเชิง จ้าววังเหลืองมองจ้าวเติงตาใสค่อยกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


ถึงแม้มันจะเป็นรองจ้าวตำหนักเช่นเดียวกับจ้าวเติง หากแต่เฉียนผิงเชิงที่ควบตำแหน่งจ้าววังเหลืองคนนี้ก็เป็นคนรุ่นเดียวกับบิดาของจ้าวเติง เช่นนั้นยามมันกล่าวกับจ้าวเติงก็เหมือนผู้ใหญ่กล่าวหยอกเด็ก


 


ได้ยินวาจานี้ของเฉียนผิงเชิง ลูกตาจ้าวเติงหดเล็กลงทันที…


 


กล่าวกันตามตรงมันไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย…! พอมานึกขึ้นได้ ใจก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปทันใด!!


ตอนที่ 1,766 : การมาเยือนของกู่มี่


 


แดนลับเซียนนั้น ชั่วชีวิตของศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับล้วนมีโอกาสเข้าไปได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…


 


นั่นเพราะช่วงเวลาระหว่างการเปิดออกแต่ละครั้งของแดนลับเซียนมันห่างกันมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่ศิษย์อายุน้อยกว่า 40 ปี จะเข้าไปในแดนลับเซียนได้ 2 ครั้ง…


 


ด้วยเหตุนี้จ้าวเติงจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรชายของมันจะค้นพบมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียน กระทั่งเก็บสำนึกรู้ไว้ได้ไม่ขาดหล่น พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็สามารถยกมาทำความเข้าใจได้อย่างแตกฉาน…


 


หากกระทำได้ เรื่องที่บุตรชายมันจะเป็นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคนต่อไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!


 


ทว่าตอนนี้พอจ้าววังเหลืองกล่าวขึ้นมา มันก็เป็นกังวลทันที!


 


ด้วยความขัดแย้งบาดหมางระหว่างลูกมันกับหลิงเทียน หากทั้งคู่เจอกันในแดนลับเซียนล่ะก็ หลิงเทียนที่กระทั่งตบหน้าลูกมันยังกล้า! คงไม่ใช่คนใจดีถึงขั้นละเว้นชีวิตลูกมัน…มิวายต้องฆ่าลูกมันทิ้งทันทีแน่!


 


และเมื่อลูกชายมันตกตายในแดนลับเซียน ถึงแม้จะไม่ใช่การตกตายจริงๆ ทว่าลูกมันก็จะถูกเตะออกจากแดนลับเซียน และสูญเสียโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้สืบทอดมรดกเวทย์พลังไว้ทำความเข้าใจ…!


 


นั่นเป็นอะไรที่มันไม่อยากจะเห็น!


 


เช่นนั้นสีหน้าของจ้าวเติงจึงเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก ยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน “หากมันกล้าทำอะไรจนส่งผลให้ลูกข้าพลาดโอกาสสืบทอดมรดกเซียนไว้ทำความเข้าใจเพราะความแค้นส่วนตัวล่ะก็…ตระกูลจ้าวของข้าไม่มีวันละเว้นมันแน่!!”


 


จ้าวเติงตอนนี้คล้ายคนไร้เหตุผลไปโดยสิ้นเชิง ยังถึงขั้นลืมเลือนไปว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ก็ลอยร่างอยู่ไม่ห่าง!


 


“เหอะ!”


 


ดั่งคาดพอสิ้นคำจ้าวเติง เมิ่งฉิงก็สบถคำออกมาเสียงเย็น สองตาเผยประกายเฉียบคมหันไปจับจ้องมองร่างจ้าวเติงเขม็งทันที “รองจ้าวตำหนักจ้าว…อย่าได้ลืมเลือนกฏในแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา! ในแดนลับเซียนอนุญาตให้ศิษย์ฆ่ากันได้ เพราะพวกเรามิรู้ว่ามีเรื่องใดบังเกิดขึ้นข้างใน!”


 


สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทราบได้ว่าจะมีบุคคลที่ 3 อยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ ยามคน 2 คนปะทะกันในแดนลับเซียน


 


และหากมีสถานการณ์เช่นนั้นจริง ถึงสุดท้ายจะโดนศิษย์ร่วมตำหนักกำจัดออกมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าสามารถใส่ร้ายป้ายสีกันได้หรือ?


 


ถึงแม้ว่าผู้ที่ถูกฆ่าจะสามารถกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องน่าละอายอย่างถึงที่สุด…เพราะต่อให้กล่าวคำสาบานออกไปจนรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้วอย่างไร จะให้ตำหนักลงโทษผู้ที่ได้มรดกเวทย์พลังไปครองเพื่อผู้อ่อนด้อยไร้มรดก? เช่นนั้นทำแบบนั้นนอกจากทำให้ตัวเองดูเหมือนคนอ่อนด้อยไร้สามารถแล้ว ยังเป็นการทำให้ตำหนักอาจเสียคนเก่งที่ถือครองมรดกเวทย์พลังไปอีก!


 


นอกจากนั้นการถูกฆ่าในแดนลับเซียนยังไม่ใช่การตายจริงๆ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นตำหนักฟ้าลี้ลับหรือขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นใด ก็อนุญาตให้ฆ่ากันได้ในแดนลับเซียน


 


ผู้ที่ถูกเตะออกจากแดนลับเซียนก็ได้แต่โทษตัวเองที่มีฝีมืออ่อนด้อยเองเถอะ!


 


เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้ที่ถูกผู้อื่นฆ่าจนต้องถูกขับออกจากแดนลับเซียน…นั่นหมายความว่าเป็นคนที่อ่อนแอกว่า! คนที่อ่อนแอย่อมมีโอกาสได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลัง ทั้งทำความเข้าใจในเวทย์พลังในภายหลังได้น้อยกว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแน่นอน!!


 


“ท่านจ้าวตำหนัก ข้ากล่าวผิดไปแล้ว!”


 


ได้ยินเสียงแค่นตำหนิเย็นชาของเมิ่งฉิง จ้าวเติงเร่งโค้งขมาทันที เม็ดเหงื่อยังผุดซึมออกมาทั่วร่าง!


 


“ถึงแม้บุตรชายไม่เอาไหนของข้าจักถูกหลิงเทียนฆ่าตายจนถูกขับออกจากแดนลับเซียน ก็กล่าวได้ว่าเป็นมันพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าผู้อื่นเขา…ข้าและตระกูลจ้าวของข้า ย่อมไม่คิดแค้นกระทั่งลงมือทำอันใดผู้อื่น…”


 


จ้าวเติงรีบกลับคำพูดทันที


 


“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ตามที่พูด”


 


เมิ่งฉิงมองจ้าวเติงด้วยสายตาเฉยชา ทำให้จ้าวเติงรู้สึกเสมือนนั่งอยู่บนแพเข็ม พาลให้กระสับกระส่าย


 


ช่วงเวลา 3 เดือนนับเป็นช่วงเวลาสั้นๆของเหล่าอาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้รีบร้อนจากไปที่ใด เพียงนั่งขัดสมาธิกลางอากาศและเข้าฌาณรอคอยการออกมาจากแดนลับเซียนของเหล่าศิษย์อย่างเงียบงัน


 


หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านพ้นไป 3 วัน และในช่วง 3 วันนี้ก็ยังไม่มีศิษย์คนไหนถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนเลยแม้แต่คนเดียว


 


“ท่านจ้าวตำหนัก”


 


ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล เป็นร่างชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น


 


ชายชราที่ว่า มันก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในตำหนักฟ้าลี้ลับ…


 


อาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับคนนี้ เป็นอาวุโสที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราเรื่องราวทั่วไปในตำหนักหลักช่วงนี้ และการที่มันมาโผล่ที่นี่ได้ หมายความว่าสมควรมีเรื่องสำคัญแน่นอน!


 


ดังนั้นไม่เพียงแต่เมิ่งฉิน กระทั่งอาวุโสคนอื่นๆของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ลืมตาขึ้นมา จับจ้องมองไปที่มันด้วยความสงสัยทันที


 


ถึงแม้มันจะเป็นอาวุโสคนหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับ อนิจจาคนที่อยู่ ณ ที่นี้นอกจากกู่ลี่แล้ว ไม่มีใครที่ไม่มีฐานะสูงส่งกว่ามันเลย โดยเฉพาะจ้าวตำหนัก!


 


ต่อหน้าตัวตนระดับสูงของตำหนัก มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!


 


“เรียนท่านจ้าวตำหนัก…มีคนของตำหนักเมฆาครามมาเยือนพวกเรา”


 


เผชิญหน้ากับสายตาของระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ รวมถึงจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง ชายชราผู้ที่พึ่งมาถึงก็เร่งรุดกล่าวรายงานเรื่องราวออกไปทันที


 


“หืม? ตำหนักเมฆาคราม?”


 


ได้ยินคำรายงาน ไม่เพียงเมิ่งฉิงถึงกับขมวดคิ้ว คนอื่นๆยังอดไม่ได้ที่จะหยีตาทันใด!


 


ตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ดุจเดียวกับตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


บางทีในอดีตที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของตำหนักเมฆาครามอาจจะไม่ได้แตกต่างจากตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมันเท่าไหร่


 


อย่างไรก็ตามในวันนี้ ความแข็งแกร่งของตำหนักเมฆาครามได้สะกดข่มพวกมันโดยสมบูรณ์ ถึงขั้นที่เทียบได้กับตลาดมืดหยินชาน!


 


ทั้งหมดนี้เพียงเพราะตำหนักเมฆาครามปรากฏจ้าวตำหนักคนใหม่ ที่มีพลังอำนาจปานปีศาจ!


 


ภายใต้การนำพาของจ้าวตำหนักคนใหม่ ตำหนักเมฆาครามได้ผงาดขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่ากลัว ถึงขั้นสามารถคานอำนาจกับตำหนักมืดหยินชานได้ในเวลาไม่กี่ปี!


 


และตั้งแต่ที่ตำหนักเมฆาครามปรากฏจ้าวตำหนักคนใหม่ อีกฝ่ายก็ไม่เคยมาเยือนพวกมันเลย ด้วยเหตุนี้จ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง และอาวุโสทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับจึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


ไฉนอยู่ดีๆคนของตำหนักเมฆาครามจึงมาหาพวกมันได้?


 


นอกจากนั้นยังเลือกมาในเวลานี้…


 


“ผู้มาเป็นใคร?”


 


เมิ่งฉิง มองจี้ไปยังอาวุโสที่เข้ามารายงาน กล่าวถามเสียงเรียบ


 


“เป็น กะ…กู่มี่!”


 


ในขณะที่อาวุโสดังกล่าวพูดนามของผู้มาเยือน น้ำเสียงมันสั่นขึ้นมาทันที


 


กู่มี่!


 


ได้ยินคำที่พ้นลำคอของอาวุโสดังกล่าว เว้นแต่เมิ่งฉิงที่เพียงขมวดคิ้วเป็นปม คนอื่นๆถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที!


 


กู่มี่นั้นเป็นคนที่มีหน้ามีตาในตำหนักเมฆาครามนัก ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘คู่คนฟ้าพิสดาร’ ร่วมกันกับยอดฝีมืออีกคนของตำหนักเมฆาคราม เป็นดั่งมือซ้ายมือขวาของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!


 


ในแง่ของพลังฝีมือแล้ว กู่มี่กับยอดฝีมืออีกคนหนึ่งที่เรียกว่า หรงหยวน ของตำหนักเมฆาคราม ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 คนของตำหนักฟ้าลี้ลับเลย…กระทั่งยังเหนือกว่าด้วยซ้ำ!


 


การที่กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาครามมาด้วยตัวเองแบบนี้ น่ากลัวว่าต้องมีเรื่องสำคัญไม่น้อย!


 


เรื่องนี้เมิ่งฉิงกับคนอื่นๆ ก็พอตระหนักได้


 


“เจ้าไปเชิญมันมาที่นี่เถอะ”


 


เมิ่งฉิงมองกล่าวไปยังอาวุโสที่มารายงาน


 


หากเป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามมาเอง เมิ่งฉิงย่อมออกไปต้อนรับเป็นการส่วนตัว


 


อย่างไรก็ตามครั้งนี้เป็นกู่มี่ที่มา นับว่ายังไม่มีคุณสมบัติพอให้มันออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง!


 


“ทราบ”


 


อาวุโสตำหนักฟ้าลี้ลับคนดังกล่าวรับคำแล้วเร่งรุดจากไป


 


หลังจากที่ชายชราดังกล่าวออกไปไปแล้ว นอกจากเมิ่งฉิง อาวุโสคนอื่นๆของตำหนักเมฆาครามอดไม่ได้ที่จะสนทนากันเสียงเครียด


 


“กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาครามนั่นเป็นตัวอำมหิตฝีมือร้ายกาจ…มันมาตำหนักฟ้าลี้ลับของเราเพื่อทำอันใดกันแน่?”


 


“ในตำหนักเมฆาคราม ฐานะของกู่มี่กับหรงหยวนเทียบได้กับอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา…มันมาเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับเราด้วยตัวเอง สมควรต้องมีเรื่องสำคัญ…”


 


“แต่หลายปีมานี้ตำหนักฟ้าลี้ลับเรากับตำหนักเมฆาครามของพวกมัน ก็มิเคยข้องเกี่ยวกันเลย…ไฉนวันนี้มันถึงมาได้?”


 


……


 


ในขณะที่อาวุโสกำลังสนทนากันนั้น น้ำเสียงของพวกมันแฝงเร้นไว้ด้วยความกลัว..


 


กระทั่งจูลู่ฉีที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกมัน ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวยามเอ่ยถึงกู่มี่


 


ถึงแม้มันกับกู่มี่จะเป็นคนในรุ่นเดียวกัน หากแต่ชื่อเสียงและวีรกรรมของอีกฝ่าย ยามมันได้ฟังคราใด ก็อดไม่ได้ที่จะหนาวไปถึงไขสันหลัง !


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมัน น่ากลัวว่าจะมีเพียงจ้าวตำหนักของพวกมันคนเดียวเท่านั้นที่สยบกู่มี่ได้!


 


ไม่นานอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับที่เร่งรุดจากไปก็ย้อนกลับมาพร้อมชายชราร่างผ่ายผอมคนหนึ่งที่มาในชุดคลุมลมดำ


 


ยามชายชราผอมแห้งในชุดคลุมลมดำนี้ปรากฏตัว บรรยากาศโดยรอบคล้ายจะเย็นเยือกลงทันใด


 


ยกเว้น เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักเมฆาครามแล้ว คนอื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบไปจับไขสันหลัง นั่นเพราะกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาจากร่างชายชราในชุดคลุมลมดำมันหนักเกินไป…หนักหนาจนพวกมันทานทนรับแทบไม่ไหว!


 


“กู่มี มิได้พบจ้าวตำหนักเสียนาน”


 


ชายชราในชุดคลุมลมดำโค้งตัวทั้งพยักหน้าเบาๆให้เมิ่งฉิงกล่าวคำทักทาย


 


“ผู้เฒ่ากู่ นับว่าพลังฝีมือของท่านก้าวหน้าจากครั้งก่อนที่พวกเราพบกันมิน้อย…”


 


เมิ่งฉิงมองชายชราในชุดคลุมลมดำ ในแววตาเผยประกายประหลาดใจออกมา


 


“จ้าวตำหนักล้อข้าเล่นแล้ว แม้ข้าจะก้าวหน้าขึ้นมาแต่ยังนับว่าห่างไกลจากท่านนัก”


 


ชายชราในชุดคลุมลมดำ กู่มี่ ของตำหนักเมฆาคราม เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็แผ่กลิ่นอายพลังกดดันอันน่ากลัวออกมา


 


มีเพียงเมิ่งฉิงคนเดียวที่สามารถเพิกเฉยพลังกดดันนี้ได้


 


“มิทราบลมอันใดหอบผู้เฒ่ากู่มาถึงตำหนักฟ้าลี้ลับของข้าได้เล่า?”


 


เมิ่งฉิงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


กู่มี่มาคนเดียวมันอาจไม่เห็นอยู่ในสายตา ทว่าด้วยตำหนักเมฆาครามที่หนุนหลังอีกฝ่ายอยู่ ถึงแม้มันจะมีตำหนักฟ้าลี้ลับหนุนหลังอยู่เช่นกัน แต่มันก็ไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายแม้แต่น้อย!


 


ทำให้ยามเผชิญหน้ากับกู่มี่มันก็ยังมากมารยาทไม่กล้าเพิกเฉย


 


“ท่านจ้าวตำหนัก…ข้ารู้ว่าท่านเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดอ้อมค้อม…ข้ามาที่นี่เพื่อพบศิษย์ใหม่คนหนึ่ง…ที่พึ่งเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับของท่าน”


 


กู่มี่ไม่ได้อ้อมค้อมอะไร กล่าวออกมาตรงๆ


 


“ศิษย์ใหม่รึ?”


 


เมื่อวาจานี้ของกู่มี่ดังออก ทำให้เมิ่งฉิงและคนอื่นๆอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานในใจของพวกมันก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา…


 


เจ้าของร่างดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ต้วนหลิงเทียน!


 


แน่นอนว่าในสายตาของเมิ่งชิงและอาวุโสคนอื่นๆของตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้าของร่างดังกล่าวเรียกว่า ‘หลิงเทียน’


 


“ผู้เฒ่ากู่…หรือท่านมาที่นี่เพื่อพบหลิงเทียน?”


 


เมิ่งฉิงกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา


 


“เป็นเช่นนั้น”


 


กู่มี่ตอบ


 


“ข้าทราบได้หรือไม่ ว่าผู้เฒ่ากู่มาหาหลิงเทียนเพื่ออันใด?”


 


เมิ่งฉิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


อันที่จริงเมิ่งฉิงยังรู้สึกว่าคำถามนี้ของมันออกจะเกินจำเป็นไปบ้าง อีกฝ่ายเป็นดั่งมือขวามือซ้ายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม ไม่พ้นมาเพื่อนำตัวหลิงเทียนกลับไปตำหนักเมฆาครามเป็นแน่!


ตอนที่ 1,767 : อริหนทางคับแคบ


 


“จ้าวตำหนักเมิ่งและทุกคนในที่นี้…หากข้าเดามิผิดพวกท่านต้องกำลังคิดว่าข้ามาเพื่อดึงตัวคนตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกท่านไปใช่หรือไม่?”


 


ทันใดนั้นกู่มี่พลันกล่าวออกมาโต้งๆ เห็นชัดว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชมชอบปกปิดอะไร


 


“แล้วมิใช่เช่นนั้นหรือไร?”


 


คราวนี้เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักยังไม่ทันกล่าวคำใด จูลู่ฉี จ้าววังนนภาพลันกล่าวถามออกมาก่อน น้ำเสียงแววตายังแลดูประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด


 


ต้องทราบด้วยว่าหลิงเทียนเป็นคนวังนภาของมัน! คิดดึงคนของมันไป ต้องถามมันก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่!!


 


“ย่อมไม่”


 


เผชิญหน้ากับท่าทางประชดประชันของจูลู่ฉี กู่มี่เพียงหัวเราะออกมา หันไปว่ายตามองทุกคนอย่างจริงจัง ค่อยกล่าวออกเสียงเรียบ “ข้ามาที่นี่เพื่อพบหน้าอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับเท่านั้น! โปรดให้ข้าสมปรารถนาด้วย และตราบใดที่ข้าได้เห็นคนแล้ว ข้าจะกลับไปทันที!”


 


“กู่มี่ด้วยฐานะสูงส่งของเจ้าในตำหนักเมฆาคราม ปกติพวกเราย่อมเชื่อคำพูดนี้ของเจ้า…หากแต่ถ้าเป็นเรื่องของหลิงเทียนพวกเราเองก็ต้องระวังเอาไว้ เจ้ากล่าวว่ามาเพื่อพบหน้าหลิงเทียนสักครั้ง…แต่พวกเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเจ้าจักไม่ส่งเสียงไปยื่นข้อเสนอชักชวนหลิงเทียน เพื่อดึงตัวเขาไปเข้าร่วมตำหนักเมฆาคราม?”


 


วาจาของจูลู่ฉีนั้น ไม่มีความสุภาพเหลืออยู่อีกเลย


 


เพราะตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่มันต้องสุภาพ!


 


ได้ยินวาจาของจูลู่ฉี กู่มี่เพียงพ่นลมออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ พาลให้บรรยากาศโดยรอบคล้ายเย็นลงทันตาเห็น “ข้ากู่มี่เปิดเผยจริงใจ ยังรังเกียจการกระทำลับๆล่อๆเช่นนั้นเป็นที่สุด!”


 


“ขอผู้เฒ่ากู่อย่าได้มีโมโหไป…ลู่ฉีเสียมารยาทเพราะมิรู้จักท่าน!”


 


เมิ่งฉิงเร่งกล่าวแก้สถานการณ์ออกมาทันที แม้มันจะไม่ได้หวาดกลัวกู่มี่ แต่มันต้องกลัวมหาอำนาจที่หนุนหลังกู่มี่อย่างตำหนักเมฆาคราม!


 


“ผู้เฒ่ากู่ แขกจากแดนไกลเช่นท่านมาเยือนพวกเราทั้งที ปกติข้าสมควรต้อนรับท่านอย่างดี…อย่างไรก็ตามช่วงนี้ข้ามิอาจออกไปที่ใดได้ชั่วคราว ผู้เฒ่ากู่สมควรรู้ดีว่าแดนลับเซียนของพวกเราพึ่งเปิดไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว…หากท่านคิดเห็นคนเช่นนั้นต้องรออีก 3 เดือนแดนลับเซียนของพวกเราถึงจะปิดตัว และระหว่างนั้นพวกเราเองก็ต้องอยู่ที่นี่…คงมิอาจดูแลท่านให้เหมาะสมได้”


 


เมิ่งฉิงกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“มิต้องรับรองต้อนรับอันใดข้าหรอก เพียงให้ข้าเฝ้ารอเห็นหน้าหลิงเทียนสักครั้งก็พอ”


 


กู่มี่วางแผนอยู่ที่นี่กับเมิ่งฉิงและคนอื่นๆ


 


“เจ้า…”


 


ได้ยินวาจาของกู่มี่ สีหน้าจูลู่ฉีมืดคล้ำลงทันใด มันคิดกล่าวอะไรออกมาทว่าจำต้องหยุดลงเพราะเมิ่งฉิงส่งสายตามาเสียก่อน


 


เมิ่งฉิงยังส่งเสียงกล่าวกับจูลู่ฉีทันที “เจ้าสมควรเคยได้ยินเรื่องของหลิงเทียนมาแล้ว…เจ้าหนุ่มนั่นมีอาจารย์รอคอยอยู่ภูมิภาคเบื้องบน และมิอาจรั้งอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างได้นาน… แม้จักออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเราไปเข้าร่วมตำหนักเมฆาคราม ก็มินับว่าเสียหายอันใดมาก อีกทั้งพวกเรายังมีโอกาสได้สร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาอีกด้วย…”


 


“สหายน้อยนั่น…จะอย่างไรก็สัตย์ซื่อจริงใจ”


 


เมิ่งฉิงย่อมส่งคนไปยืนยันข่าวลือมาแล้ว จึงได้ทราบว่าข่าวลือทั้งหมดมาจากเริ่นเฟยคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้า…


 


นอกจากนี้ยังได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนคิดช่วยเหลือเริ่นเฟยในแดนลับเซียน เพื่อตอบแทนบุญคุณแทนลี่เฟิง ที่เคยถูกอาวุโสของคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งช่วยเหลือเอาไว้…


 


น่าเสียดายที่เริ่นเฟยพลังฝีมืออ่อนด้อยเอง จึงมิอาจชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้ พลาดโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียนที่คิดจะช่วยให้ได้รับมรดกเวทย์พลัง กระทั่งเวทย์พลังระดับสูง!


 


ได้ยินเสียงของเมิ่งฉิง จูลู่ฉีก็เงียบไปไม่กล่าวอะไรอีก


 


ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเฝ้ารอศิษย์ทั้ง 30 คนของตำหนักฟ้าลี้ลับเพิ่มมาอีกคน…


 


ด้านต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เลยว่าตอนนี้ หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของบิดาตัวเองอย่าง ‘กู่มี่’ ได้มาถึงตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว และกำลังรอพบเขาอยู่พร้อมกับเมิ่งฉิงกับคนอื่นๆ


 


“นี่มันก็ 3 วันเข้าไปแล้ว…ข้าได้เจอคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แถมยังไม่เจอคนของวังนภาสักคน…”


 


หลังจากผ่านไป 3 วันในแดนลับเซียน มีสัตว์ร้ายตายตกด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียนเป็นเบือ นอกจากนี้เขายังเจอของดีๆหลายอย่าง แต่เขาคร้านจะสนใจอะไรพวกมันมาก ทั้งยังพกพายุ่งยากลำบากเลยไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย


 


เพราะตอนนี้เขามาตัวเปล่า แหวนพื้นที่อะไรก็ไม่มี เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ไม่อยู่…


 


เช่นนั้นไม่ว่าจะเจอของดีอันใด คิดเก็บกลับมาก็ต้องหอบหิ้วถือเอา…และแน่นอนว่าการมาเป็น ‘ไอ้บ้าหอบฟาง’ หิ้วของพะรุงพะรังในแดนลับเซียนย่อมไม่ค่อยสะดวก…


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนคล้ายจับสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างไกลๆ เขาพลันมองออกไปไกลสุดสายตาทันที จึงได้เห็นร่างที่กำลังเหินพุ่งตัดฟ้ามาฉับไว โดยมีอีกคนที่กำลังเหาะมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน…


 


หลังจากที่ทั้ง 2 คนพบกัน ก็คล้ายจะสนทนาอะไรกันบางอย่าง ท่าทางแลดูกำลังจะตกลงเรื่องราวบางประการ


 


หลังจากนั้นผู้ที่เหาะมาไม่รีบไม่ร้อนตอนแรก ก็คล้ายยอมรับข้อเสนอ จึงเหินร่างติดตามคนที่เร่งรุดเหาะมาอย่างรีบร้อนคนแรกทันที


 


ด้วยความที่พวกมันอยู่ห่างไกลจากต้วนหลิงเทียนมาก จึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงต้วนหลิงเทียนได้เลย และที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเห็นพวกมันที่อยู่ไกลตาได้แบบนี้ เพราะเขาเปิดใช้ความสามารถของ ม่านตาพิสดาร!


 


ม่านตาพิสดารนั้น หากใช้ความสามารถมองไกลเป็นเวลาสั้นๆ ย่อมไม่ได้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณอะไรมากมาย


 


“เจ้านั่นดูเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นสีหน้าอาการไม่ปกติของผู้ที่เหาะมาอย่างรีบร้อนตอนแรกก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย เขาจึงเหินร่างตามพวกมันไปทันที ด้วยอยากรู้ว่าพวกมันจะไปไหนกัน…


 


ตอนแรกการตามพวกมันไปก็ไม่มีอะไรหวือหวา ทว่าผ่านไปพักหนึ่งเขาก็พบว่ามีสัตว์ร้ายตัวเขื่องพุ่งแหวกก้อนเมฆออกมา หมายโฉบทำร้ายเขา!


 


เหลือบมองเพียงครั้งด้วยเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่านกตัวใหญ่นี่เป็นเพียงสัตว์ร้ายเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น


 


“ซวยฉิบ…ข้าโดนเจอตัวแน่…”


 


เมื่อต้องลงมือสังหารนกตัวเขื่องนั่น ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่า 2 คนที่อยู่ข้างหน้าไม่พ้นต้องรู้ตัว และหันกลับมาความเคลื่อนไหวเมื่อครู่แน่นอน…


 


เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พวกมันหันกลับมาเห็นตอนเขาฆ่านกประหลาดตัวเขื่องจริงๆ…


 


ในเมื่อพวกมันรู้ตัวแล้วเขาก็ไม่คิดหลบๆซ่อนๆอะไรอีก เร่งเหินร่างเข้าไปหาพวกมันทันที


 


“หลิงเทียน!”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังเหาะมาแต่ไกล ลูกตาทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง พวกมันคิดว่าจะได้พบสหายที่อาจร่วมกลุ่มด้วยกันได้…แต่ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะพบเจอ ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนี้แทน!


 


ต่อให้พวกมันร่วมมือกันกับใครในแดนลับเซียน ก็คงไม่อาจเทียบกับการร่วมมือกับคนเบื้องหน้าได้…


 


อนิจจาด้วยพลังฝีมือของคนเบื้องหน้าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับพวกมันสักนิด…


 


“พวกเจ้าเจออะไรงั้นรึ?”


 


เมื่อเหาะมาถึงเบื้องหน้าทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนก็หรี่ตามอง จี้ถามพวกมันออกมาทันที


 


“ไม่ / ไม่เจอ!”


 


เมื่อได้ยินคำถามทั้งสายตามองจี้ของต้วนหลิงเทียน พวกมันทั้งคู่ก็แลดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ แต่ก็ยังอุตส่ากล่าวตอบปฏิเสธออกมาได้อย่างพร้อมเพรียง…


 


ล้อกันเล่นหรือไร?


 


หากให้หลิงเทียนรู้ว่าพวกมันพบเจออะไรมา น้ำแกงสักถ้วยยังจะเหลือให้พวกมันซดดื่มอีกหรือ?


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำตอบของทั้งคู่ ทั้งยังไม่ได้เผยสีหน้าโกรธเคืองอะไร เพียงส่งยิ้มกลับไปบางๆกล่าวออกเสียงเรียบ “ถ้างั้นข้าส่งพวกเจ้าออกไปข้างนอกเลยแล้วกัน…”


 


ตอนแรกพอพวกมันเห็นต้วนหลิงเทียนยิ้ม ก็คิดว่าจบเรื่องแล้ว


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่ทันได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกมันก็ได้ยินต้วนหลิงเทียนพูดขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นทำให้สีหน้าของพวกมันซีดเขียวลงทันใด!


 


ส่งออกไปข้างนอกหรือ?


 


ความหมายในวาจาของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า…ฆ่าพวกมันทิ้ง และส่งพวกมันออกไปจากแดนลับเซียน!!


 


ถ้าพวกมันถูกส่งออกไป…นั่นหมายความว่าพวกมันหมดโอกาสได้รับสิ่งดีๆในแดนลับเซียนทั้งหมด! โดยเฉพาะมรดกเวทย์พลัง! พวกมันก็คงไร้วาสนาได้รับอีกต่อไป!!


 


“เอ่อ หลิงเทียนพอดีพวกเราจำผิดน่ะ…พวกเราพึ่งเจออะไรบางอย่าง”


 


ครู่ต่อมาทั้งสองคนก็หันมามองสบตากันและแลเห็นสายตาอับจนของกันและกัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเร่งกล่าวออกมาเสียงอ่อนด้วยรอยยิ้มขมขื่น เร่งกล่าวคำแก้สถานการณ์ออกมาทันที


 


“อ้อ…แล้วพวกเจ้าเจออะไรมางั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“มันเป็นสถานที่ๆประหลาดนัก คล้ายจะมีค่ายกลหลายชุดจัดตั้งเอาไว้…ข้าคิดว่าสมควรมีมรดกเวทย์พลังอยู่ด้านใน”


 


ชายคนเดิมกล่าวออกอีกครั้ง


 


“มรดกเวทย์พลัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นค่อยมองทั้งคู่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นำทางไป”


 


“ดะ…ได้”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พวกมันทั้งคู่ก็รู้สึกกดดันนัก! เพราะพวกมันรู้ดีว่าคนเบื้องหน้าไม่ใช่คนใจดี!!


 


เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากการที่อีกฝ่ายกล้าตบหน้าจ้าวจี้ต่อหน้าผู้คน!


 


จ้าวจี้เป็นใคร!


 


บุตรชายคนเดียวของรองจ้าวตำหนักจ้าว!


 


หลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์จ้าว!


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ จ้าวจี้นับเป็นผู้ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในรุ่นแน่นอน!


 


ทว่าคนที่ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ในรุ่น กลับถูกชายเบื้องหน้าตบซ้าบตบขวาจนหน้าบวมท่ามกลางผู้คนมากมาย! เผยให้เห็นชัดแล้วว่าอีกฝ่ายโหดแค่ไหน!!


 


เผชิญหน้ากับคนโหดเหี้ยมเช่นนี้พวกมันยังเหลือหนทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากยอม?


 


เช่นนั้นพออีกฝ่ายให้พวกมันนำทาง พวกมันก็ไม่กล้ามีโทสะทั้งคิดเล่นลูกไม้ใดๆทั้งสิ้น เพราะพวกมันรู้ดีว่าถ้าพวกมันกล้าเล่นลูกไม้อะไร พวกมันอาจถูกอีกฝ่ายฆ่าเอาง่ายๆ จนมีอันต้องถูกขับออกไปจากแดนลับเซียน….


 


และนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันอยากจะเห็น!


 


“เจ้ารู้เห็นอะไรมา พูดออกมาให้หมด”


 


ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยออกมาเบาๆ


 


“ตอนนี้ข้าสมควรเป็นคนเดียวที่พบสถานที่แห่งนั้น…ข้าเข้าไปที่นั่นได้ไม่ทันไรข้าก็เจอกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีพลังฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเข้ามากลุ้มรุมถึง 3 ตัว อีกทั้งไม่รู้พวกมันทำได้อย่างไรแต่ดูเหมือนพวกมันจะผนึกกำลังกันได้! ข้าสู้มันไม่ไหวก็เลยรีบหนีทันที…”


 


ชายคนหนึ่งกล่าวเล่าออกมา “หลังจากที่หนีมาได้ ข้าก็พยายามตามหาคนรอบๆเพื่อดูว่าจะมีใครยินดีร่วมมือกับข้าบ้าง…จากนั้นข้าก็ได้เผิงเฉิน และพอดีว่าเผิงเฉินเองก็เป็นคนของวังลี้ลับเหมือนข้า แถมพลังฝึกปรือพวกเราก็ทัดเทียมกัน ข้าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเพื่อขอความร่วมมือทันที”


 


ขณะที่เล่าถึงจุดนี้มันก็หันไปมองชายหนุ่มข้างๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนทั้งกล่าวแนะนำตัว “ส่วนข้าเรียกว่า หูรุ่ย เป็นศิษย์วังลี้ลับเช่นกัน…”


 


“อ๊ะ? นั่นมันจ้าวจี้มิใช่หรือ?”


 


ในขณะที่หูรุ่ยกล่าวแนะนำตัว เผิงเฉินพลันแลเห็นอะไรบางอย่างไกลตา จนอึ้งไปพักหนึ่งค่อยกล่าวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นมันก็หันมองมาทางต้วนหลิงเทียนตามสัญชาตญาณ ครุ่นคิดไปในใจอย่างหวั่นๆ ‘หลิงเทียนคงไม่ฆ่าจ้าวจี้หรอกนะ?’


 


และพอคิดถึงจุดนี้ใจมันก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านไปทันใด


 


“หืม? จ้าวจี้?”


 


เมื่อเผิงเฉินอุทานออกมา ทั้งมองไปทิศทางหนึ่งแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ย่อมหันมองตามสายตามันไปตามสัญชาตญาณ…


 


เห็นเป็นร่างจ้าวจี้กำลังเหินมาแต่ไกล!


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเห็นจ้าวจี้ อีกฝ่ายก็เห็นเขาทันที แววตาสีหน้ายังคล้ายตื่นตระหนกเสียขวัญ จ้าวจี้ยังอดอุทานออกมาในใจด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ ‘ฉิบหาย! เจอผู้ใดไม่เจอไฉนข้าต้องเจอมันด้วย!!’


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้ไม่คิดอะไรให้มากความสิ่งแรกที่มันคิดได้คือต้องรีบหนีทันที!!


 


‘ระยำเอ๊ย! ไฉนข้าถึงได้ซวยนัก! แดนลับเซียนกว้างใหญ่ไพศาล แต่แค่ 3 วันข้ากลับเจอตัวบัดซบนี่ได้!’


 


ในขณะที่เร่งรุดหลบหนี จ้าวจี้ทั้งหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อและวิตกกังวลอย่างหนัก!


ตอนที่ 1,768 : จ้าวจี้ ผู้ทำลายสถิติ!


เมื่อเห็นจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปตาปริบๆ ในใจครุ่นคิดไปอย่างตะลึง ‘พับผ่าเถอะ! โลกมันแคบจริงๆ!!’


 


หลังจากที่เข้ามาแดนลับเซียนได้ 3 วัน คนที่เขาเจอบอกเลยว่ามีไม่ถึง 10 คน! แต่ในบรรดาไม่ถึง 10 ที่ว่ากลับมีจ้าวจี้เสียอย่างนั้น!!


 


ถึงแม้เข้าจะไม่อยากยอมรับมากเพียงใด แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับ ว่าเขามีชะตาต้องกันกับจ้าวจี้ไม่น้อย…!


 


หาไม่แล้วเขาจะพบกับจ้าวจี้ในแดนลับเซียนอันกว้างใหญ่ไพศาลรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?


 


“คิดหนีงั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นว่าจ้าวจี้กำลังเหินร่างหนีหน้าตั้งสุดชีวิต ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตัว มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มดั่งแมวที่เห็นหนูในสายตา…


 


ต้องบอกเลยว่าจ้าวจี้มันเร็วใช้ได้


 


แต่มันจะเร็วกว่าเขาไหมเล่า?


 


จ้าวจี้จะให้พูดยังไงมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น!


 


เพียงเวลาชั่วพริบตา ร่างจ้าวจี้ก็พุ่งหายลับไปจากสายตาเผิงเฉินและหูรุ่ย


 


อย่างไรก็ตามในสายตาของต้วนหลิงเทียนที่มีม่านตาพิสดาร ร่างของจ้าวจี้ยังชัดแจ่มแจ้ง คล้ายห่างกับเขาไม่กี่ก้าวเท่านั้น…


 


“พวกเจ้า 2 คนรอข้าอยู่ตรงนี้…หากกล้าหนีไปไหน พวกเจ้าก็รอรับผลที่จะตามมาได้เลย…”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับหูรุ่ยและเผิงเฉินอย่างไม่แยแส ก่อนร่างจะไหววูบ พุ่งไล่ตามจ้าวจี้ไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!


 


เผิงเฉินกับหูรุ่ยไม่ทันรู้ตัว ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปจากสายตาของพวกมันแล้ว


 


“พวกเราหนีกันดีหรือไม่?”


 


ทั้งคู่หันมามองสบตาและกล่าวถามออกมาทันที


 


หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คล้ายจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ และรีบเหินร่างไปยังทิศทางตรงข้ามกับที่ต้วนหลิงเทียนพุ่งไล่จ้าวจี้ไปด้วยความเร็วสูงสุด “พวกเรามิอาจมุ่งหน้าไปยังหนทางเดิมได้อีก…จำต้องอ้อมไปทิศทางอื่นก่อน ค่อยวกกลับมาในอีก 2-3 วันให้หลัง…หาไม่แล้วพวกเราคงถูกหลิงเทียนจับได้ไล่ทันแน่!”


 


“อืม! พวกเราฉวยโอกาสตอนมันไล่จ้าวจี้ หนีไปอีกทางเถอะ! สมควรมีเวลามากพอให้เราสลัดหลุดการติดตามของมัน!!


 


พวกมันย่อมไม่โง่ยืนรอให้ต้วนหลิงเทียนกลับมา


 


พวกมันไม่ใช่ตัวโง่งม!


 


หากต้วนหลิงเทียนกลับมา สถานที่ๆคล้ายจะมีมรดกเวทย์พลังอยู่นั่น ต้วนหลิงเทียนยังจะแบ่งปันให้พวกมันอีกหรือ?


 


อีกด้านหนึ่งนั้น เงาหลังของจ้าวจี้ยิ่งมาก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในสายตาต้วนหลิงเทียนเรื่อยๆ


 


ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนไล่จ้าวจี้มานั้นเขาใช้ความเร็วที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเหินร่างพ้นสายตาเผิงเฉินกับหูรุ่ยมาแล้ว ก็ไม่คิดเก็บงำพลังสืบไป เร่งพุ่งร่างออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเดิมทันที!


 


และความเร็วที่เขาใช้ออกตอนนี้ก็เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น!


 


“ฟุ่บ!”


 


ร่างต้วนหลิงเทียนดั่งกระสุนปืนพุ่งไปฉับไวไม่ต่างอะไรกับอัสนีฟาดผ่านฟ้า พริบตาก็แซงร่างจ้าวจี้กระทั่งไปหยุดขวางอยู่เบื้องหน้า!!


 


ซีด!


 


เมื่อเห็นร่างหนึ่งพุ่งมาหยุดขวางทาง สีหน้าของจ้าวจี้ก็เปลี่ยนไปทันใด เมื่อมันหยุดร่างลงและแลเห็นว่าผู้ขวางทางเป็นใคร หน้ามันก็เขียวปั๊ดคล้ายมีคนเอาสีมาละเลง “หละ…หลิงเทียน!!”


 


“จึกๆ…ว่าไงคุณชายจ้าว พวกเราเจอกันอีกแล้ว”


 


ต่างจากลมหายใจที่เร่งร้อนหอบถี่ของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนแลดูปกติไม่คล้ายเหนื่อยหอบอะไร มองกล่าวทักทายจ้าวจี้ด้วยน้ำเสียงสงบ


 


ขณะที่กล่าวทัก ร่างเขายังค่อยๆย่ำอากาศเข้าไปหาจ้าวจี้อย่างช้าๆทีละก้าวๆ


 


และทุกก้าวที่ย่างเยื้องเข้าไป ก็ทำให้จ้าวจี้ผวาจนต้องก้าวถอยไปทีละก้าวๆเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามระยะห่างของทั้งคู่ก็หดสั้นลงเรื่อยๆ


 


“หลิงเทียน นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?!”


 


จ้าวจี้มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก “หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า ตระกูลจ้าวของข้าไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่!!”


 


เห็นได้ชัดว่าจ้าวจี้ตระหนักได้ถึงวิกฤตที่กำลังคืบคลานเข้ามาชัดเจน จึงเริ่มกล่าววาจาข่มขู่ต้วนหลิงเทียนออกมาทันที


 


อย่างไรก็ตามมันกลับไม่ได้คิดเลย ว่าถ้าหากต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวสกุลจ้าวของมัน แล้วจะตบหน้ามันซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมายเช่นนั้นหรือ?


 


การกระทำในวันนั้นของต้วนหลิงเทียน ก็บอกให้รู้ชัดแล้วว่าไม่กลัวอิทธิพลของสกุลจ้าว!


 


เพี๊ยะ!!


 


เสียงตบดังชัดถนัดถนี่ลั่นขึ้นในอากาศ เป็นต้วนหลิงเทียนที่ไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนคล้ายภูตผี อยู่ๆก็มาปรากฏตัวตรงหน้าจ้าวจี้แล้วตบฟาดมันไปจนแก้มปูด!


 


“ให้ตายสิ…ถึงแม้จะเป็นร่างอวตาร แต่สัมผัสกลับนุ่มละมุนเหมือนเนื้อแก้มผู้คนแท้ๆไม่มีผิด…ตบแล้วรู้สึกสนุกมือข้าดีจริงๆ”


 


ในขณะที่สีหน้าจ้าวจี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ทั้งแก้มเริ่มปูด ต้วนหลิงเทียนพลันมองฝ่ามือสลับกับหน้าจ้าวจี้ตาด้วยสายตาทึ่งๆ คิ้วยักขึ้นด้วยความแปลกใจ กล่าวจบคำก็หัวเราะเบาๆ


 


“เจ้า..”


 


จ้าวจี้ที่เจ็บใจถึงขีดสุด ตะคอกคำคล้ายคิดกล่าวอะไรออกมา


 


เพี๊ยะ!


 


ทว่าไม่ทันได้กล่าวก็ต้องรับประทานไปอีกหนึ่งตบ แน่นอนว่าเป็นแก้มอีกข้าง ทำให้ตอนนี้สองแก้มเริ่มปูดบวมคล้ายหัวหมูขึ้นมาเหมือนวันนั้น…


 


“คุณชายจ้าว…ดูเหมือนความจำเจ้าไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่เลยนะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจ้าวจี้ด้วยรอยยิ้ม กล่าวถามออกมาด้วยสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ไม่ไหวเลยจริงๆ’


 


อนิจจารอยยิ้มนี้ยามอยู่ในสายตาจ้าวจี้ ไม่ต่างใดกับยิ้มของมารร้ายแม้แต่น้อย


 


“หลิงเทียน ก่อนจะทำอะไรเจ้าต้องคิดให้ดี!”


 


ครั้งนี้จ้าวจี้ไม่กล่าวข่มขู่ออกมาเหมือนตอนแรก เพียงกล่าวด้วยวาจาทำนองคิดกระตุ้นเตือน “สถานการณ์ตอนนี้ต่างจากครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง…หากเจ้ากล้าทำให้ข้าต้องถูกขับออกจากแดนลับเซียน เท่ากับเจ้าทำให้ตระกูลจ้าวของข้าสิ้นโอกาสได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูง! ถึงยามนั้นระหว่างเจ้ากับตระกูลจ้าวของข้า จักเพาะสร้างความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้!!”


 


“ที่สำคัญท่านจ้าวตำหนักเองก็รู้เรื่องเจ้าแล้วเช่นกัน เช่นนั้นท่านย่อมมิคิดรับเจ้าเป็นศิษย์หรือศิษย์ปิดสำนักอันใดอีก…หากไร้บารมีของท่านจ้าวตำหนักคุ้มครอง ต่อให้เจ้ามีสัมพันธ์กับกู่ลี่ แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่ามันจะช่วยเจ้าทานรับโทสะของตระกูลจ้าวข้าได้?”


 


“หากวันนี้เจ้าปล่อยข้าไปเรื่องราวบาดหมางก่อนหน้าของพวกเรา รวมถึงที่เจ้าตบหน้าข้าอีก 2 ครั้งเมื่อครู่เป็นอันเลิกแล้วต่อกัน…! ตระกูลจ้าวของข้าจะไม่ยุ่งวุ่นวายอะไรกับเจ้าอีก…และไม่คิดลงมือทำร้ายเจ้า!”


 


เพื่อความอยู่รอดในแดนลับเซียน จ้าวจี้ถึงกับเลือกที่จะเลิกหัวแข็งยอมโอนอ่อนผ่อนปรน


 


สำหรับวาจาที่มันกล่าวออกมาว่าจะไม่ทำอะไรต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่ามันกล่าวอย่างขอไปที! หมายหลอกให้ต้วนหลิงเทียนไม่ลงมือกับมันก็เท่านั้น!!


 


เพราะหากต้วนหลิงเทียนคิดลงมือจัดการมันจริงๆ มันตายแน่!!


 


ถึงแม้ความตายในแดนลับเซียนจะเป็นแค่การตายของร่างอวตารและไม่ได้ตายจริงๆ แต่มันก็จะถูกขับออกจากแดนลับเซียน และทำให้ไร้วาสนาได้รับมรดกเวทย์พลังอะไรในนี้สืบไป ไม่ต้องฝันถึงมรดกเวทย์พลังระดับสูงด้วยซ้ำ!


 


“โฮ่ ฟังดูดีนี่…”


 


หลังจากได้ฟังข้อเสนอของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับคล้ายเห็นด้วยจริงจัง


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเห็นด้วยกับข้อเสนอ สองตาจ้าวจี้ถึงกับลุกวาว คิดตีเหล็กตอนร้อนเร่งรีบกล่าวต่อทันที “หลิงเทียน ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนฉลาด..มีสหายเพิ่มอีกหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกคน! หากเจ้าปล่อยข้าไปวันนี้ ไม่เพียงข้าจะเป็นสหายอันดีของเจ้า สกุลจ้าวยังเห็นเจ้าเป็นสหายอันดีด้วยเช่นกัน!!”


 


“หืม! ข้าจะได้เป็นสหายอันดีกับเจ้าและตระกูลจ้าวจริงๆหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มแย้มแจ่มใส มองจ้าวจี้ด้วยสองตาลุกวาว


 


“ใช่ๆ เป็นสหายอันดีกัน!”


 


จ้าวจี้เองก็ยิ้มแย้มออกมา ด้วยคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับข้อเสนอ หากแต่ในใจลอบคิดอำมหิต ‘สารเลวหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าย่ามใจไปเถอะ…หลังออกจากแดนลับเซียนได้เมื่อไหร่ ตระกูลจ้าวของข้าจะทุ่มกำลังทั้งหมด ลากเจ้ามาสับร่างให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นให้จงได้!!’


 


“ขอโทษที พอดีข้าไม่สนใจ”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆรอยยิ้มของต้วนหลิงเทียนก็มลายหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าเย็นชาปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ!


 


เมื่อเห็นอย่างนี้ หน้าจ้าวจี้ก็เปลี่ยนเป็นสีซีดทันใด มันหันหลังกลับและคิดจะหนีไปให้ไกลทันที!


 


แต่มันคิดหนี ก็หนีได้งั้นเหรอ?


 


ฟุ่บ!


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ปรากฏกระบี่พลังสีทองมีสภาพอันควบรวมจากปราณสุริยันแรกกำเนิดเข้ามือ ตวัดข้อมือวาดกระบี่เบาๆไปคราหนึ่ง บังเกิดเป็นคลื่นพลังสะบั้นสีทองดั่งเสี้ยวจันทร์ พุ่งแหวกฟ้าผ่าอากาศไปฉับไว!!


 


เผชิญหน้ากับการลงมือของต้วนหลิงเทียน…ต่อให้จ้าวจี้คิดสู้ก็ไม่มีทางต้านรับ! ยังนับประสาอะไรกับเปิดแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้ป้องกัน?!


 


เพียงชั่วพริบตา คลื่นพลังสะบั้นสีทองก็ผ่าร่างจ้าวจี้ออกเป็น 2 ส่วน!


 


ทว่ากลับไร้ฉากนองเลือดปรากฏหลังคลื่นกระบี่ผ่าร่างจ้าวจี้ให้เห็น พอร่างมันแยกเป็น 2 เสี่ยง…ร่างมันก็อันตรธานหายไปในอากาศทันที ราวกับไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน…!


 


สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ร่างอวตาร เป็นธรรมดาที่จะไร้ฉากนองเลือดอะไร


 


“แค่ 3 วันจ้าวจี้มันก็ถูกเตะออกจากแดนลับเซียนแบบนี้…อันดับ 1 ของศิษย์ที่ถูกขับออกเร็วที่สุดจะหนีไปไหนได้”


 


หลังจากกำจัดจ้าวจี้แล้วมุมปากต้วนหลิงเทียนพลันยกยิ้มขึ้นมากล่าวออกอย่างสนุกสนาน แลดูถูกใจไม่น้อย


 


ขณะเดียวกันจ้าวจี้ที่ร่างอวตารถูกฆ่า สำนึกสติของมันก็หวนคืนสู่ร่างที่แท้จริงเช่นกัน…


 


และทันทีที่สำนึกสติของมันหวนกลับสู่ร่างกายที่แท้จริง ไม่ทันที่มันจะได้ทำอะไร มันก็สัมผัสได้ว่ามีพลังไร้สภาพผลักดันมหาศาลขุมหนึ่ง ขับไล่มันออกจากแดนลับเซียน!


 


ทางเข้าของแดนลับเซียนที่เป็นวังวนมหึมาน่ากลัวบนรอยแยกกลางอากาศนั้น ก็เป็นทางออกของผู้ที่อยู่ในแดนลับเซียนเช่นกัน…


 


และตอนนี้อาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับเมื่อ 3 วันก่อนก็เฝ้ารออยู่เบื้องหน้าครบครัน


 


แน่นอนว่านอกจากอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ยังมีชายหนุ่มแลดูกำยำแข็งแกร่งคนหนึ่ง กับชราในชุดคลุมลมดำ…


 


ชายหนุ่มคือกู่ลี่!


 


ส่วนชายชราก็คือ กู่มี่!


 


ทั้งหมดกำลังนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ สองตาหลับพริ้มคล้ายกำลังเข้าฌาณสมาธิทำความเข้าใจบางสิ่ง บ้างก็บ่มเพาะพลัง…


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ทั้งหมดคล้ายสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง ทยอยกันลืมตาขึ้นมาทีละคนๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปจับจ้องมองวังวนมหึมากลางฟ้าตาเขม็ง


 


“อันใดกัน…พึ่งผ่านไปแค่ 3 วัน กลับมีคนถูกกำจัดแล้วงั้นเหรอ?”


 


เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


ตอนนี้เองจ้าววังทั้ง 4 ก็หันมองหน้าสบตากัน ต่างภาวนาอธิษฐานในใจว่าขออย่าให้เป็นศิษย์ของวังพวกมันเลย…!


 


เพราะสุดท้ายนี่นับเป็นเรื่องน่าอายอย่างถึงที่สุด และน่าขายหน้าอย่างถึงที่สุด! ถูกขับไล่ออกจากแดนลับเซียนในเวลาแค่ 3 วัน! เรียกว่าหากเป็นศิษย์ของวังใด..ย่อมนำความอัปยศมาสู่วังนั้นๆ!!


 


วู้ม! วู้ม! วู้ม!


 


……


 


ไม่ว่าจ้าววังทั้ง 4 จะภาวนาอธิษฐานอันใดก็แล้วแต่ วังวนที่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ดั่งอสูรตัวเขื่องพ่นของแสลงออกจากปาก ส่งร่างหนึ่งออกมาท่ามกลางสายตาทุกคน!!


 


เมื่อแลเห็นร่างที่ถูกขับออกมาชัดถนัดตา…ทุกคนยกเว้นกู่มี่ถึงกับตกตะลึงกันยกใหญ่!!


 


ครู่ต่อมาในบรรดารองจ้าวตำหนักทั้งหลายของตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็เป็นจ้าวเติงที่ตอบสนองเร็วกว่าผู้ใด หน้ามันเปลี่ยนสีกลับกลายในชั่วพริบตา ยังร่ำร้องออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “จี้เอ๋อ..!!”


 


จ้าวเติงไม่เคยคิดกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง! ว่าในเวลาแค่ 3 วัน..คนแรกที่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนจะเป็นบุตรชายคนเดียวของมัน!!


 


“เฮ่ย! นั่นมันจ้าวจี้!!”


 


“นิ…นี่จักเป็นไปได้อย่างไรกัน จ้าวจี้มิเพียงแต่เป็นศิษย์ของวังนภาของพี่ลู่ฉี แต่มันยังตัดผ่านไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้วมิใช่หรือไร! ไฉนถึงถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนก่อนผู้ใดได้!?”


 


“นั่นสิ! ด้วยพลังฝีมือของจ้าวจี้เรื่องพรรค์นี้มิน่าจักเป็นไปได้เลย!”


 


“ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา ศิษย์ที่บรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ที่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนในเวลาอันสั้นที่สุด…ดูเหมือนว่าจะทนได้เดือนครึ่งมิใช่หรือ? แต่จ้าวจี้กลับถูกขับออกมาตั้งแต่ 3 วันแรก? มันนับว่าทุบทำลายสถิติกระจุยแล้ว!!”


 


“หลังจากนี้จ้าวจี้คงได้จารึกชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเราแล้วล่ะ…ในฐานะผู้ที่ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียนเร็วที่สุด!”


 


……


 


เหล่ารองจ้าววังกระทั่งรองจ้าววังนภาต่างสนทนากันตาปริบๆ ในแววตาหลากหลายอารมณ์นัก ตอนแรกก็เวทนาสงสารเห็นใจ ครู่ต่อมากลับเป็นตลกขบขัน…


 


คราวนี้จ้าวจี้คงได้จารึกนามของมันลงหน้าประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วจริงๆ…เสียดายก็แต่มิใช่เรื่องดี!


 


กล่าวกันตามตรงมันคงได้โด่งดังครั้งใหญ่จากเรื่องนี้! เพราะนี่มันเป็นเรื่องน่าละอายนัก แต่อย่างไรเสียด้วยความที่บิดามันเป็นรองจ้าวตำหนักทั้งปู่มันเป็นอาวุโสผู้พิทักษ์ ก็คงไม่มีใครกล้าลำเส้นอย่างล้อเลียนมันต่อหน้าต่อตา…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)