War sovereign Soaring The Heavens 1761-1764
ตอนที่ 1,761 :แดนลับเซียนกำลังจะเปิด!
“ทราบแล้วท่านอาจารย์”
“ได้ ท่านพ่อ!”
หลังจากที่มองส่งจ้าวเติงจากไปแล้ว เว่ยเหว่ยกับจ้าวจี้ก็นั่งรอให้จ้าวเติงกลับมาอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง
พวกมันนั่งรอจนบ่ายคล้อย…
ทว่าพวกมันก็ไม่มีใครกล้าบ่นอะไร
และจ้าวเติงก็ไม่ได้กลับมา จนกระทั่งพลบค่ำ…
เมื่อกลับมาถึงจ้าวเติงก็แลดูเป็นปกติแววตาไม่คล้ายมีเรื่องหนักใจหรือร้อนรนอะไร ทว่ากลับเผยประกายแปลกๆออกมา
“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็กลับมา”
เมื่อจ้าวเติงกลับมา จ้าวจี้แลดูตื่นเต้นไม่น้อย “ตอนนี้ท่านบอกข้าได้รึยัง ว่าจักให้พี่ใหญ่จัดการกับหลิงเทียนอย่างไร”
“จี้เอ๋อ เรื่องหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าจำต้องปล่อยมันไปก่อน”
ได้ยินคำจ้าวเติง ความตื่นเต้นบนใบหน้าจ้าวจี้พลันค้างเติ่งไปทันที
และหลังกล่าวกับจ้าวจี้แล้ว จ้าวเติงก็หันไปมองกล่าวกับเว่ยเหว่ย “เหว่ยเอ้อ ตอนนี้ไม่มีใดให้เจ้าทำแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ..”
“ทราบแล้วท่านอาจารย์ ศิษย์ขอลา”
แม้ไม่ทราบว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ไฉนอยู่ดีๆท่านอาจารย์ถึงได้ล้มเลิกความคิดเล่นงานหลิงเทียน? แต่เว่ยเหว่ยก็ยังคงเชื่อฟังคำอาจารย์อย่างไร้เงื่อนไข จึงเร่งประสานมือคารวะกล่าวคำอำลา
เมื่อเว่ยเหว่ยหันหลังเดินจากไป จ้าวจี้ก็อ้าปากคิดกล่าว ทว่าแววตาของจ้าวเติงที่มองมา ก็ทำให้มันจำต้องชะงักไปทันที
จ้าวจี้ไม่ใช่ชนชั้นโง่งม เป็นธรรมดาที่มันแลเห็นถึงความนัยแววตาบิดา มันจึงเลือกสงบปากสงบคำ และเผยแววตาอยากรู้อยากเห็นแทน
จนเมื่อเว่ยเหว่ยเดินหายไปลับตา จ้าวจี้ก็อดไม่ไหว มองถามจ้าวเติงด้วยสงสัยทันที “ท่านพ่อ ท่านจ้าวตำหนักมีเรื่องอะไรหรือ…ไฉนท่านถึงปล่อยหลิงเทียนไปทั้งๆที่มันตบหน้าข้าให้อับอายท่ามกลางผู้คนเล่า! มันหยามหน้าข้าก็เหมือนหยามหน้าท่านพ่อนะ!!”
“จี้เอ๋อ พ่อรู้ว่าเจ้าเกลียดหลิงเทียนจนอยากให้มันหายไปจากโลกนี้ ไหนเลยพ่อจะไม่อยากจัดการมัน?”
จ้าวเติงส่ายหัว ค่อยกล่าวถาม “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ท่านจ้าวตำหนักเรียกหาพ่อทำอะไร?”
“หรือเป็นเพราะหลิงเทียน?”
ได้ยินคำจ้าวเติงสีหน้าจ้าวจี้เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “ใช่ท่านจ้าวตำหนักกล่าววาจาปกป้องหลิงเทียน และไม่คิดให้ท่านพ่อแตะต้องมันหรือไม่?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
จ้าวเติงส่ายหัว “คราวนี้ที่ท่านจ้าวตำหนักรีบร้อนเรียกหาข้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องนี้ทำให้หลิงเทียนได้รับความดีความชอบใหญ่หลวง หากสกุลจ้าวเรากล้าแตะหลิงเทียนมันตอนนี้ น่ากลัวว่าจ้าวตำหนักและอาวุโสทั้งหลายจะไม่พอใจมากแน่”
“ก่อนที่ข้าจะกลับมาก็แวะไปหารือกับปู่เจ้ามาแล้ว สรุปได้ว่าข้าจะไม่ทำอะไรหลิงเทียนมั่นก่อนในช่วงนี้ รอให้จบเรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสียก่อน”
จ้าวเติงร่ายยาวต่อเนื่อง
“ท่านปู่รู้เรื่องแล้วหรือ?”
จ้าวจี้เบิกตากว้าง
“วันนี้ไม่เพียงแต่ข้าที่ถูกเรียกไป ระดับสูงทั้งหมดของตำหนักฟ้าลี้ลับเราไม่เว้นปู่เจ้าล้วนไปประชุมกันทั้งสิ้น…กู่ซืออวิ๋นกับกู่ลี่ลูกมันเองก็เช่นกัน”
จ้าวเติงกล่าว
“กู่ลี่ก็ร่วมประชุมด้วย?”
จ้าวจี้ขมวดคิ้ว “ถึงแม้ข้าไม่ทราบว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราคิดทำอะไรกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่ในเมื่อท่านจ้าวตำหนักถึงกับเรียกตัวท่านปู่ ท่านพ่อและกู่ซืออวิ๋นแบบนี้ เช่นนั้นเรื่องราวต้องใหญ่หลวงแน่…กู่ลี่ไหนเลยมีคุณสมบัติเข้าร่วมประชุมได้เล่า?”
“เพราะเรื่องนี้กู่ลี่เป็นคนแจ้งกู่ซืออวิ๋น จากนั้นกู่ซืออวิ๋นก็ได้นำมาแจ้งต่อท่านจ้าวตำหนัก”
จ้าวเติงกล่าวออกอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าฟังท่านกล่าวมาตั้งนานแล้วแต่ตอนนี้ข้ายังมิรู้เลยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่…ไฉนถึงทำให้ท่านต้องล้มเลิกจัดการหลิงเทียนไปชั่วคราว?”
จ้าวีจ้ถามออกมาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเกี่ยวกับหลิงเทียนอย่างไร
“เรื่องมีอยู่ว่า…”
ถึงแม้จ้าวตำหนักจะกำชับให้จ้าวเติงและทุกคนเก็บเป็นความลับ ทว่าจ้าวจี้นั้นไม่เหมือนเว่ยเหว่ย อีกฝ่ายเป็นบุตรชายแท้ๆคนเดียวของมัน จ้าวเติงจึงไม่คิดปิดบัง
หลังจากนั้นจ้าวเติงก็เล่าให้จ้าวจี้ฟังถึงเรื่องนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้ง ที่สมควรบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง
“เคล็ดวิชารวมวิญญาณ? ฟื้นคืนชีพ? เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูง?”
จ้าวจี้ที่ได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งจนลืมหายใจไปพักหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าหากมันได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารนี่ พลังฝึกปรือของมันจะก้าวหน้าอัศจรรย์หรือไร? ไม่ใช่ว่าจะก้าวข้ามหลิงเทียนก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้?
เพราะสุดท้ายแล้ว ฉีจิ้ง ก็ใช้เวลาแค่ปีเดียวบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจากเซียนขัดเกลาขั้นต้น! แล้วหากมันได้เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาเล่า? มิใช่ว่าใช้แค่ปีเดียวก็สมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดบ้างเหรอ?!
ในเรื่องนี้จ้าวจี้เต็มไปด้วยความมั่นใจนัก!
เมื่อเห็นประกายวูบวาบในแววตาจ้าวจี้ ไหนเลยจ้าวเติงจะไม่รู้ว่าบุตรชายคิดอะไรอยู่ “หากฉีจิ้งบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงปกติ มิใช่อวิชชาชั่วร้าย ก็เป็นเรื่องดีที่เจ้าจะบ่มเพาะ…แต่หากเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกมิใช่อยู่ในวิถีทั่วไป แต่เป็นเดียรัจฉานวิชาที่สร้างหายนะเภทภัยให้ผู้คน ท่านจ้าวตำหนักย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ใดฝึกปรือ!!”
จ้าวจี้พยักหน้า แต่ในใจลอบหวั่นไหว
‘แค่ข้าเข้มแข็งขึ้นก็พอแล้วมิใชรึไง จะเป็นอวิชชาชั่วร้ายสังเวยชีวิตผู้คนแล้วจะอย่างไร…พวกสวะต้อยต่ำนั่นถึงตายไปหมดโลกก็ช่างหัวมันปะไร! ยังนับเป็นเกียรติของพวกมันด้วยซ้ำที่ชีวิตสวะของพวกมันมีส่วนสนับสนุนให้ข้าจ้าวจี้แข็งแกร่ง!’
นี่คือความจริงจากส่วนลึกของใจจ้าวจี้ ตราบใดที่มีนสามารถยกระดับพลังฝึกปรือให้ตัวเองได้ มันไม่สนวิธีการและผลที่ตามมาทั้งหมด
“ท่านพ่อ แล้วตอนนี้ท่านจะทำเช่นไรต่อไป?”
จ้าวจี้บังเกิดความละโมบต่อเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งฝึกปรือนัก ด้วยเหตุนี้มันจึงเลียบๆเคียงๆถามบิดาออกมาด้วยความอยากรู้
“ทำอย่างไรต่อนั้น…ท่านจ้าวตำหนักยังไม่สรุป ท่านคิดรอให้พวกเจ้าออกจากแดนลับเซียนกันก่อนค่อยหารือกันอีกครั้ง…เพราะถึงตอนนั้นท่านจ้าวตำหนักจึงจะว่าง”
จ้าวเติงกล่าว
“ท่านจ้าวตำหนักคิดลงมือด้วยตัวเอง?”
จ้าวจี้อึ้งเพราะจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกมันไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองนานหลายปีแล้ว ทว่าคราวนี้กลับคิดลงมือแล้วจริงๆ!
“อีกฝ่ายเป็นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แม้ไม่มีท่านจ้าวตำหนักพวกเราก็เอาชนะมันได้ แต่นั่นคงมิอาจหลีกเลี่ยงความสูญเสีย…พลังฝีมือของจ้าวคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมิได้ด้อยไปกว่าปู่ของเจ้า…มีเพียงท่านจ้าวตำหนักเท่านั้นที่เอาชนะมันได้”
จ้าวเติงกล่าวออกมาอีกครั้ง
พลังความแข็งแกร่งของขุมพลังชั้น 4 นั้น ไม่ใช่อะไรที่มองข้ามกันได้
นอกจากนี้ถึงแม้คหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่หากมองย้อนไปในอดีต…พวกมันก็เคยเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!
ขุมพลังชั้น 4 แบบนี้จะมีความแข็งแกร่งเหนือขุมพลังชั้น 4 ทั่วไปเล็กน้อย
“จี้เอ๋อข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดหลิงเทียน แต่ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะกำจัดมัน…หากเจ้าคิดกำจัดมันจำต้องรอให้จบเรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสียก่อน”
จ้าวเติงมองจ้าวจี้พร้อมกล่าวเตือน
“ท่านพ่อ หากต้องรอถึงตอนนั้นไม่ใช่ท่านจ้าวตำหนักจะรับมันเป็นศิษย์ กระทั่งเผลอๆอาจจะรับมันเป็นศิษย์ปิดสำนักไปแล้วหรือไง? มิใช่ท่านกล่าวเองหรือว่าออกจากแดนลับเซียนครั้งนี้ มีโอกาสสูงที่ท่านจ้าวตำหนักคิดรับมันเป็นศิษย์ประทั่งศิษย์ปิดสำนัก?”
เมื่อจ้าวเติงได้ยินคำพูดของจ้าวจี้ มันก็เป็นกังวลเช่นกัน
“จี้เอ๋อข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า…อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราคิดทำอะไรก็ต้องหลังออกจากแดนลับเซียน อีกทั้งจ้าวตำหนักก็ไม่แน่ว่าจะรับมันเป็นศิษย์ทันที เพราะเรื่อง ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสำคัญกว่า… “
จ้าวเติงกล่าวปลอบ
จ้าวจี้พยักหน้าและยอมวางมืออย่างไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไร
“นอกจากนี้ต่อให้หลิงเทียนมันเป็นศิษย์กระทั่งศิษย์ปิดสำนักแล้วอย่างไร…หรือท่านจ้าวตำหนักจะอยู่กับมันได้ตลอดเวลา? ตราบใดที่มันกล้าออกนอกตำหนักฟ้าลี้ลับไปไหนเพียงลำพัง มิใช่สกุลจ้าวเราคิดฆ่ามันก็ง่ายดายเหมือนฆ่าไก่หรือ?”
ขณะกล่าวประโยคนี้วาจาของจ้าวเติงเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
“ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ข้าก็อุ่นใจแล้ว”
จ้าวจี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“เอาล่ะจี้เอ๋อ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องสนใจไม่ใช่เรื่องของหลิงเทียนอะไรนั่น แต่เป็นการเตรียมตัวเข้าแดนลับเซียนในอีกสิบวันหลังจากนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับสืบทอดทั้งเข้าใจมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียน หากเจ้าสามาถบรรลุถึงเซียนมนุษย์และเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้ล่ะก็…เจ้าอาจจะได้เป็นจ้าวตำหนักคนต่อไปของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา!”
จ้าวเติงมองจ้าวจี้ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง “สกุลจ้าวเรามิเคยมีผู้ใดประสบความสำเร็จเช่นนี้…เช่นนั้นพ่อจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะได้เป็นคนแรกในสกุลจ้าวที่สามารถได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียน!”
“ท่านพ่อข้าจะขยันให้มาก ท่านไม่ต้องห่วง”
จ้าวจี้กล่าวรับเป็นมั่นเหมาะ
“การเข้าสู่แดนลับเซียนครั้งนี้ สกุลจ้าวของเรานอกจากเจ้าแล้วก็ยังมีอีก 4 คนที่ได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน…อย่างไรก็ตามที่แข็งแกร่งที่สุดก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงถ้าช่วยได้เจ้าก็ช่วยเหลือพวกมันด้วย ทว่าหากพวกมันถ่วงมือถ่วงเท้า เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ”
จ้าวเติงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง มันไม่อยากให้บุตรพลาดมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียนเพราะคนอื่น
“ข้ารู้แล้วท่านพ่อ”
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้จ้าวเติงกล่าวเตือน เพราะจ้าวจี้เป็นคนเห็นแก่ตัวถึงที่สุด มันพร้อมทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง กระทั่งให้สละคนอื่นในตระกูลเพื่อมัน…ก็สามารถทำได้โดยตาไม่กระพริบ
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนี้เขาตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ รอคอยการเปิดของแดนลับเซียนอย่างใจจดจ่อ ไม่สนเรื่องฉีจิ้งและความเป็นไปของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องใดๆทั้งสิ้น
และแน่นอนว่าต่อให้ เว่ยเหว่ย อะไรนั่นจะเป็นศิษย์คนโตของจ้าวเติง แต่ก็คงยากจะสร้างปัญหาอะไรให้ต้วนหลิงเทียนได้เพราะเขามีกระบี่นิลสวรรค์!
แต่แน่นอนว่าถึงมีกระบี่นิลสวรรค์เขาก็ไม่อาจใช้มันต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ
แรงดึงดูด ของกระบี่นิลสวรรค์น่ากลัวจะเหนือล้ำกว่าตราผนึกมารเสียอีก หากไม่พัวพันถึงชีวิตจริงๆเขาไม่คิดใช้กระบี่นิลสวรรค์ต่อหน้าผู้คนมั่วซั่วแน่นอน
หากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์เขาไม่ใช่คู่มือ เว่ยเหว่ย
เว่ยเหว่ยย่อมไม่อาจฆ่าเขาได้เพราะกลัวกฏของตำหนักฟ้าลี้ลับ ทว่าการทำร้ายทุบตีเขาจนสาหัสนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายย่อมยากจะฟื้นฟูหายดีได้ทันเข้าแดนลับเซียน และนั่นจะส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวในแดนลับเซียนของเขาแน่นอน!
ตอนที่ 1,762 : จ้าววังนภา
10 วันที่ผ่านมา ตำหนักฟ้าลี้ลับได้ถูกข่าวอันน่าตื่นตระหนกทำให้ตื่นตะลึงกันไปทั่ว
ปราณแรกกำเนิดทั้งเขตแดนของหลิงเทียน…กลับละม้ายคล้ายเหมือนปราณแรกกำเนิดและเขตแดนของลี่เฟิง สุดยอดฝีมือที่ได้รับอันดับ 1 ในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเมื่อปีก่อน! อีกทั้งยามนี้ลี่เฟิงได้ทะลวงถึงอริยะเซียนและขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนเรียบร้อยแล้ว!!
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกมามันก็เป็นดั่งมรสุมห่าใหญ่ซัดกวาดทุกสิ่งจนราบ หากไม่ใช่ผู้ที่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ไม่มีใครไม่ตกใจ
ทันใดนั้นศิษย์มากมายได้พยายามตามหาความจริงเรื่องนี้ ว่ามันใช่แน่หรือ…
อย่างไรก็ตามด้วยมีคำยืนยันจากปากของศิษย์คฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ข่าวดังกล่าวก็น่าเชื่อถือขึ้นทันที
พักหนึ่งทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับรู้สึกอื้ออึงในใจ
“เฮ่ย! เจ้าได้ยินข่าวนี้แล้วยัง หลิงเทียนที่แท้เป็นศิษย์น้อง ลี่เฟิงผู้นั้น!”
“ฮะ!? เรื่องจริง?”
“จริงแท้ที่สุด! ตอนนี้ข่าวแพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับเราแล้ว!!”
“มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนอยู่ภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของพวกเรา กลับมีสุดยอดอัจฉริยะเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาติดๆกัน ที่แท้ทั้งคู่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน!”
“ยังไม่ใช่แค่นี้นะ ข้ายังได้ยินมาอีกว่าลี่เฟิงคนนั้นได้ทะลวงถึงอริยะเซียนตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ได้ขึ้นไปตามหาอาจารย์ที่ภูมิภาคเบื้องบรนเรียบร้อยแล้ว..กระทั่งหลิงเทียนเองก็คิดไปหาอาจารย์ที่ภูมิภาคเบื้องบนเช่นกัน!!”
“อันใด!? หลิงเทียนที่แท้มีอาจารย์แล้ว!?”
……
วาจาทำนองนี้ล้วนดังไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ
“หลิงเทียนเป็นศิษย์น้องลี่เฟิงงั้นหรือ!?”
ทันทีที่ทราบข่าวนี้หวางเฟยเซวียนก็แจ้นไปหาต้วนหลิงเทียนทันที แต่นางพบว่าอีกฝ่ายกลับปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ทำให้นางทำได้แค่ระงับความอยากรู้อยากเห็นในใจแล้วกลับไปแต่โดยดี
หวางเฟยเซวียนรับทราบข่าวนี้ คนอื่นๆก็ย่อมรับทราบด้วยเป็นธรรมดา!
“ศิษย์น้องหลิงเทียนเป็นศิษย์น้องของลี่เฟิง?”
หวังพีเองก็ประหลาดใจกับข่าวนี้ไม่น้อย
“หลิงเทียน มีอาจารย์แล้วหรือ…”
เซียวยี่รองจ้าววังนภาขมวดคิ้วทันที เพราะมันรู้มาว่าจ้าวตำหนักกำลังสนใจเรื่องคิดรับหลิงเทียนเป็นศิษย์
ทว่าหากมีข่าวเช่นนี้ออกมา เกรงว่าจ้าวตำหนักคงล้มเลิกความคิดนั่นแล้ว
เพราะสุดท้ายแล้วจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับก็คิดฝากฝังตำหนักฟ้าลี้ลับและทุกอย่างให้หลิงเทียนที่เป็นศิษย์ปิดสำนัก และหวังให้หลิงเทียนนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร..
ทว่าตอนนี้พอได้ทราบว่าหลิงเทียนคิดขึ้นไปหาอาจารย์ที่ภูมิภาคเบื้องบน…นั่นหมายความว่าย่อมไม่คิดอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ จึงไม่อาจฝากฝังตำหนักฟ้าลี้ลับให้หลิงเทียนได้อีกสืบไป…
ด้วยความที่หลิงเทียนมีอาจารย์อยู่ภูมิภาคเบื้องบน และด้วยความสามารถในการเคี่ยวกรำสอนสั่งศิษย์จนเป็นอัจฉริยะเช่นนี้…เช่นนั้นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน! จ้าวตำหนักสมควรทบทวนเรื่องรับหลิงเทียนเป็นศิษย์ กระทั่งศิษย์ปิดสำนักอีกครั้ง
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
เซียวยี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เซียวยี่ทอดถอนใจเพราะรู้สึกเสียดาย แต่ทว่ากลับมีบางคนกำลังมีความสุขนัก
“ท่านพ่อ! ท่านได้ยินแล้วหรือไม่ ที่แท้หลิงเทียนนั่นมันเป็นศิษย์น้องลี่เฟิง! แถมยังมีอาจารย์อยู่ที่ภูมิภาคเบื้องบนอีก…ดูเหมือนว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วที่ท่านจ้าวตำหนักจะรับมันเป็นศิษย์!!”
หลังจากที่รับทราบข่าวนี้ จ้าวจี้ก็รีบแจ้นมาหาพ่อมันก่อนใคร
“ข้าเองก็คิดมิถึงเลยจริงๆว่าหลิงเทียนจักมีอาจารย์อยู่ภูมิภาคเบื้องบนได้…อาจารย์ของมันสมควรเป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวเป็นแน่ หาไม่แล้วคงไม่อาจเพาะสร้างอัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้ถึง 2 คน!”
จ้าวเติ้งถอนหายใจ
“ถึงแม้อาจารย์ของมันจะร้ายกาจแล้วอย่างไรเล่า ไม่ใช่อยู่ภูมิภาคเบื้องบนหรอกหรือ!? ตราบใดที่พวกเราลงมืออย่างลับๆ อาจารย์ของมันก็มิอาจสืบสาวมาถึงพวกเราได้!”
ประกายตาจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งรุนแรง ยังกล่าวออกมาด้วยเสียงอำมหิต
“ก็จริง”
จ้าวเติงพยักหน้า “หลังจบเรื่องคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พ่อจะวางแผนฆ่าหลิงเทียน…จากนั้นในสายตาผู้อื่น ให้พรสวรรค์มันจะสูงเท่าไรก็ไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายมันก็มิมีทางอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับเราอยู่ดี! เช่นนั้นก็คงไม่มีใครคิดสนใจคนที่ตายไปแล้วเช่นมัน”
“ถึงตอนนั้นกว่าที่อาจารย์มันจะออกจากภูมิภาคเบื้องบนลงมาเบื้องล่างก็สมควรผ่านไปนาน…คิดสืบสาวราวเรื่องอะไรก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”
จ้าวจี้หัวเราะออกมาทันทีหลังได้ฟัง
ความแตกตื่นของคนตำหนักฟ้าลี้ลับ และความสะใจของพ่อลูกสกุลจ้าว ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เรื่องเลย
จนกระทั่งวันเปิดแดนลับเซียนมาถึง ต้วนหลิงเทียนจึงออกจากชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติกลับมาอยู่ในห้อง ก่อนที่จะเดินออกไปนอกห้อง สุดท้ายก็เปิดประตูออกไปลานหน้าบ้าน
“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาได้เสียที!”
ต้วนหลิงเทียนออกมาได้ไม่ทันไรเสียงคุ้นหูหนึ่งก็ดังขึ้นทันที ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นหวางเฟยเซวียน
“มาแต่เช้าเชียว…”
ต้วนหลิงเทียนมองหวางเฟยเซวียนค่อยยิ้มทักทาย
“เช้าอันใดของเจ้า ตะวันโด่งแล้ว…”
หวางเฟยเซวียนแหงนมองอาทิตย์ที่ลอยสูงค่อยหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“จริงสิ!”
ทันใดนั้นสองตาหวางเฟยเซวียนก็ลุกวาวขึ้น กล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็น “ไม่นานมานี้มีข่าวลือไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ…เจ้าเป็นศิษย์น้องลี่เฟิง ทั้งยังมีอาจารย์อยู่ภูมิภาคเบื้องบนจริงหรือ?”
“ใช่”
ได้ยินคำถามของหวางเฟยเซวียนต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าตอบ
“ไฉนดูเจ้าไม่แปลกใจเลยเล่า? เจ้ามิรู้หรือว่าข่าวนี้มันแพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว? หรือเจ้าไม่ได้ปิดด่านอยู่แต่ในบ้าน?”
หวางเฟยเซวียนกล่าวถามด้วยความงุนงง
“ข้าไม่รู้หรอกว่าข่าวนี้มันจะแพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วรึยัง…แต่ในเมื่อมีคนรู้ ไม่นานมันก็ต้องแพร่ออกไปอยู่ดี”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ กล่าวออกด้วยท่าทางไม่แยแส
วันก่อนเป็นเขาจงใจกล่าวเล่าเรื่องนี้ให้เริ่นเฟยฟังเอง
เหตุผลหลักที่เขาทำแบบนี้เพราะไม่ให้จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับมาชวนเขาเป็นศิษย์
นอกจากนี้เขายังอยากให้ทางตำหนักฟ้าลี้ลับรับทราบไว้ด้วย ว่าอีกไม่นานเขาจะไปภูมิภาคเบื้องบน
แน่นอนว่าเรื่องอาจารย์นั้นเขาแต่งขึ้น แต่เรื่องที่เขาจะไปเป็นเรื่องจริง
แค่แทนที่จะไปตามหาอาจารย์ เขาจะไปตามหาเค่อเอ๋อและลูกแทน
“ไฉนตอนนี้เจ้ายังนิ่งอยู่ได้เล่า…เจ้าไม่เสียใจเลยเหรอ?”
เห็นสีหน้าท่าทางไม่แยแสของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงมากขึ้น
“แล้วทำไมข้าต้องเสียใจอะไรด้วยล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความสงสัย
“เจ้า…ฮึ่ม…”
ได้ยินคำนี้ถามนี้ของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะย่ำเท้าด้วยความหงุดหงิด “นี่เจ้ามิรู้หรือไร ว่าก่อนหน้าผู้คนพากันกล่าวว่าท่านจ้าวตำหนักคิดรับเจ้าเป็นศิษย์?”
“อ่อ…แล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“แล้วเจ้าคิดไม่ได้รึไง ว่าพอเรื่องที่เจ้ามีอาจารย์ทั้งคิดจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนกระจายออกมา มันย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจของท่านจ้าวตำหนักที่คิดรับเจ้าเป็นศิษย์กระทั่งเป็นศิษย์ปิดสำนักเพราะหวังให้เจ้าเป็นจ้าวตำหนักรุ่นต่อไป…คราวนี้ท่านจ้าวตำหนักก็ไม่คิดรับเจ้าเป็นศิษย์เพื่อฝากฝังให้เป็นจ้าวตำหนักอะไรแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าทั้งๆที่กล่าวจบแล้วแต่ต้วนหลิงเทียนยังแลดูไม่ทุกข์ร้อนหรือสลดอะไร หวางเฟยเซวียนก็ได้ถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ “นี่เจ้าไม่เสียใจอะไรเลยจริงเหรอ?”
“ไม่เห็นจะต้องเสียใจอะไร”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “ยังไงเรื่องในข่าวลือก็เป็นความจริง ต่อให้วันนี้พรุ่งนี้ไม่แพร่ออกมา วันหน้าก็ต้องแพร่ออกมาอยู่ดี…ถึงตอนนั้นหากจ้าวตำหนักยอมรับข้าเป็นศิษย์ไปแล้วคงดูไม่ดี”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนพลันกระพริบตาปริบๆ ไม่นานสายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทำราวกับมองตัวประหลาด
“มองอะไรของเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวถาม โดนมองด้วยสายตาแบบนี้เขาอึดอัดอยู่บ้าง
“มองเจ้าไง ข้าอยากรู้นักไฉนเจ้าถึงไม่รู้สึกอะไรทั้งๆที่พลาดได้เป็นศิษย์ท่านจ้าวตำหนัก…”
หวางเฟยเซวียนกล่าว
“อ่าว ไม่ใช่เจ้าก็พูดเองหรือว่าข้ามีอาจารย์อยู่ภูมิภาคเบื้องบน…หรือเจ้าคิดว่าพลังฝีมือของอาจารย์ข้าจะอ่อนด้อยกว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ได้ยินคำต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนก็ไม่รู้จะแย้งยังไงต่อ ถึงแม้นางไม่รู้ว่าอาจารย์ของต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจเพียงใด …แต่นางก็รู้ดีว่าผู้ที่สามารถเพาะสร้างศิษย์อัจฉริยะเช่นนี้ออกมาถึง 2 ย่อมไม่ธรรมดา!
อย่างน้อยๆในแง่ของการสอนสั่งก็เหนือกว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ!
“เอาล่ะๆ ไม่กล่าวแล้ว ไปรวมตัวกับคนอื่นๆที่ยอดเขาเถอะ”
หลังจากนึกถึงเรื่องสำคัญได้ หวางเฟยเซวียนก็ตัดบททันที
“ไปสิ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นเขาไปพร้อมหวางเฟยเซวียน
เมื่อมาถึงยอดเขาต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าเขากับหวางเฟยเซวียนมาค่อนข้างสาย เพราะอีก 8 คนที่เหลือมาถึงก่อนแล้ว
“หลิงเทียน!”
จ้าวจี้เป็น 1 ใน 8 คนดังกล่าว พอมันเห็นต้วนหลิงเทียน สายตามันก็ไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนทันที แววตายังเย็นชาหนาวยะเยือกเสียดกระดูก คล้ายเกลียดชังถึงขั้นจะกลืนกินเลือดเนื้อต้วนหลิงเทียนให้ได้
ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงสายตาเกลียดชังดังกล่าว แต่เขาไม่แยแสอะไร
ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือตอนนี้เขาก็ไม่เห็นจ้าวจี้อยู่ในสายตา สำหรับเขามันก็มีปัญญาทำได้แค่มองเท่านั้น
ยังดีที่จ้าวจี้ไม่อาจล่วงรู้ความคิดต้วนหลิงเทียนตอนนี้ได้ หาไม่แล้วต่อให้มันรู้ตัวดีว่าสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ มันก็จะพุ่งเข้ามาสู้กับต้วนหลิงเทียนสุดใจ
บนยอดเขานอกเหนือจาก 10 คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมแดนลับเซียนแล้ว ยังมีคนอื่นๆอยู่ด้วยเช่นกัน
คนเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของวังนภาทั้งสิ้น
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเสียงแหวกสายลมพลันดังมาแต่ไกลให้ได้ยิน 2 เสียง ครู่ต่อมาก็มีร่างอันคุ้นเคยพุ่งมาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าสายตาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ไม่ใช่ใครอื่นเป็นเซียวยี่กับหวังพี
หลังจากที่ทั้งคู่ปรากฏตัวออกมา พวกมันก็หันมองไปยังขอบฟ้าทิศทางหนึ่งทันที
“ยินดีต้อนรับท่านจ้าววัง”
หลังจากนั้นเซียวยี่กับหวังพีก็คำนับไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเคารพ
“ยินดีต้อนรับท่านจ้าววัง”
ทันใดนั้นคนอื่นๆที่อยู่ในที่นี้ก็เร่งโค้งคารวะทักทายเช่นกัน
“จ้าววังนภา…”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น มองไปยังขอบฟ้าไกลห่างด้วยความสนใจ…จะว่าไปเขาก็อยู่วังนภามาสักพักแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นจ้าววังนภามาก่อนเลย…
ตอนที่ 1,763 : จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง
ภายใต้สายตาจับจ้องของต้วนหลิงเทียน ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นตรงฟ้าไกลตา
จ้าววังนภาเป็นชายชราผมสีดอกเลา ขนคิ้วทั้งเคราะแพะยังมีสีขาว หน้าตาแลดูใจดีมีเมตตา หากแต่จากแววตาที่กระจ่างใสเผยประกายเฉียบคม บอกให้รู้ว่าไม่ใช่ธรรมดา!
จ้าววังนภาคล้ายเหินตามลมมาเชื่องช้าทว่าพริบตาก็บรรลุถึง แถมพิกลนัก…ชุดคลุมมันกลับไม่สั่นไหวกระเพื่อมแม้ต้องลม!
“เจ้าคือหลิงเทียนหรือ?”
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน จ้าววังนภาว่ายตามาตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ประกายเฉียบคมในแววตายังอ่อนโยนลงหลายส่วน
“จ้าววัง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ
“ไม่เลว”
จ้าววังนภาพยักหน้า มุมปากแย้มยิ้มบางๆ จากนั้นก็ละสายตาไปว่ายมองทุกคน “ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว ก็ไปกันเลยเถอะ!”
หลังจากนั้นจ้าววังนภาก็เหินร่างนำไปก่อนใคร โดยมีเซียวยี่กับหวังพีตามไปติดๆ
สำหรับต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็เหินร่างตามหลังหวังพีไปอีกทอด มุ่งหน้าสู่ตำหนักหลักบนเกาะลอยฟ้า
ทางเข้าแดนลับเซียนอยู่บนตำหนักหลัก
“ดูเหมือนว่าท่านจ้าววังจะให้ความสนใจหลิงเทียนเป็นพิเศษนะ…”
“นั่นสิ ศิษย์คนอื่นก็อยู่กันตั้งมากมายแต่เลือกจะทักทายกับหลิงเทียนคนเดียว…กระทั่งกับจ้าวจี้ยังไม่เหลียวแลด้วยซ้ำ”
“สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา มิธรรมดาจริงๆ”
……
เหล่าศิษย์ไม่เพียงแต่มาดูชมที่ยอดเขาเท่านั้น แต่หลายคนยังเหินร่างตามพวกต้วนหลิงเทียนไปตำหนักหลักด้วย ระหว่างทางพวกมันก็กระซิบกล่าวกันระงม
ได้ยินเสียงกระซิบเหล่านี้คนอื่นๆก็เฉยๆไม่ได้อะไรมากมาย ทว่าสีหน้าจ้าวจี้นั้นมืดดำยังกับน้ำหมึก!
มัน จ้าวจี้เป็นบุตรชายคนเดียวของรองจ้าวตำหนัก! ปู่มันยังเป็น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!!
หากเป็นก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแต่ต้องให้ความสนใจมัน เพราะมันมีสิทธิพิเศษนัก…
อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นมา มันก็ไม่นับเป็นตัวอะไรอีก แถมยังถูกผู้อื่นเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง! ซึ่งนั่นทำให้มันที่ทะนงตัวและถือดีเป็นที่สุด ยากจะทานทนรับไหวนัก!
ขณะนั้นยามมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาของจ้าวจี้ก็ทวีความคับแค้นชิงชังมากขึ้น!
สายตาอาฆาตที่จ้าวจี้มองมา ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็ยังรับรู้ได้
อย่างไรเสียเขาไม่ได้สนใจมันเลย
สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้จ้าวจี้ก็เหมือนหมาบ้าข้างถนนที่ไล่กัดผู้คนไปทั่ว หากเขาสนใจมันก็เหมือนเขาให้ความสำคัญกับหมาบ้าข้างถนน!
ยังดีที่ความคิดนี้ของต้วนหลิงเทียนจ้าวจี้ไม่อาจรับทราบ หาไม่แล้วเกรงว่าคงได้คับแค้นจนกระอักเลือดออกมาสัก 3 ถัง…
ภายใต้การนำของจ้าววังนภา ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็มาถึงพื้นที่กว้างใหญ่ด้านหลังตำหนักหลัก
เมื่อมาถึงที่นี่ก็แลเห็นผู้คนมากมายที่มารวมตัวกันอยู่ก่อน ต้วนหลิงเทียนเองก็จดจำร่างหนึ่งในร่างที่อยู่ในกลุ่มคนนั้นได้ชัด ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นรองจ้าววังเหลืองเอง
“ศิษย์พี่จู วังนภาของท่านมาเร็วยิ่ง”
ผู้นำกลุ่มคนที่ทักทายออกมาไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าเป็นใคร มันคือจ้าววังเหลือง พอเห็นกลุ่มคนของวังนภามาถึงก็เร่งกล่าวทักทายทันที
คนที่มันทักทายก็ไม่ใช่ใคร จูลู่ฉี จ้าววังนภา!
“ศิษย์น้องเฉียน มิใช่วังเหลืองของเจ้ายังเร็วกว่าข้าหรือ..”
ได้รับคำทักทายจากจ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิง จ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์คนนี้ใช่หลิงเทียนหรือไม่ ข้าได้ยินชื่อเสียงเจ้ามานานแล้ว พอได้เห็นข้าก็รู้ทันทีว่าเจ้ามากพรสวรรค์นัก!”
ไม่นานสายตาของเฉียนผิงเชิงก็เบนมาตกยังร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในกลุ่มศิษย์วังนภา ถึงแม้มันจะไม่เคยเจอต้วนหลิงเทียนมาก่อน แต่รองจ้าววังเหลืองย่อมเคยเห็นเขาแล้ว
ดังนั้นด้วยมีรองจ้าววังเหลืองกล่าวบอก มันจึงรู้ได้โดยง่ายว่าใครคือหลิงเทียน
“ขอบคุณสำหรับคำชมของท่าน จ้าววังเฉียน”
สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นชนชั้นจ้าววัง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดละเลย กล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
เห็นฉากนี้สีหน้าจ้าวจี้ยิ่งมืดดำ ลูกตายังเริ่มแดงแววตายังดุร้ายปานจะพ่นไฟได้!ยังไงเสียมันก็ลูกรองจ้าวตำหนัก หลานอาวุโสผู้พิทักษ์ ไฉนทุกคนเอาแต่สนใจตัวบ้านนอกนั่นกันหมด!!
แน่นอนว่าแม้จ้าวจี้จะโกรธจ้าววังเหลืองที่เพิกเฉยมัน แต่มันก็เอาโทสะดังกล่าวไปลงกับต้วนหลิงเทียนทั้งหมด!
จ้าววังเหลืองคนนี้ ไม่เพียงแต่เป็นถึงชนชั้นจ้าววังคนหนึ่ง แต่ยังมีฐานะเป็นรองจ้าวตำหนักอีกด้วย! ไม่ได้ด้อยไปกว่าบิดาของมันในฐานะตำแหน่งเลย!!
กล่าวกันตามความสัตย์จริง..บิดาของมันยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ!
ในตำหนักฟ้าลี้ลับจ้าววังทั้ง 4 ไม่ว่าจะวังนภา ปฐพี ลี้ลับ เหลืองนอกจากตำแหน่งจ้าววังแล้วยังมีตำแหน่งรองจ้าวตำหนักอีกด้วย ความรับผิดชอบของพวกมันนอกจากปกป้องตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังต้องควบคุมดูแลวังทั้ง 4
วังทั้ง 4 เปรียบดั่งรากฐานของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้เด็ดขาด จึงมอบให้รองจ้าววังทั้ง 4 ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจที่สุด 4 คนดูแล
แถมจ้าววังทั้ง 4 ยังเป็นคนรุ่นเดียวกันกับปู่ของจ้าวจี้ แม้จะไม่ทรงพลังเท่าปู่ของจ้าวจี้ แต่อย่างน้อยๆก็เหนือกว่าบิดาจ้าวจี้
ในบรรดาจ้าววังทั้ง 4 จูลู่ฉีที่ดูแลวังนภานั้นมีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด!
และในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ จูลู่ฉียังได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นลำดับ 4!
พลังฝีมือของมันเพียงด้อยกว่าจ้าวตำหนัก และอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 เท่านั้น
“เจ้านี่นับว่าหน้าใหญ่ไม่เบาจริงๆ กระทั่งจ้าววังเหลืองยังเป็นฝ่ายทักเจ้าก่อนแบบนี้”
ในหูของต้วนหลิงเทียนพลันมีเสียงหวางเฟยเซวียนดังขึ้น
หากเป็นก่อนหน้า หวางเฟยเซวียนกล่าวแบบนี้คงไม่พ้นอิจฉาต้วนหลิงเทียน ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกยินดีมีสุขกับต้วนหลิงเทียนจากใจ
10 วันที่แล้วบนยอดเขานภา ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับอริยะเซียน 2คน ทั้งป้องกันนางไว้ให้อยู่ด้านหลัง ไม่ให้นางต้องมีภัย การกระทำดังกล่าวนับว่าสัมผัสส่วนลึกในใจของนาง และทำให้ใจนางหวั่นไหวไม่น้อย
ไม่เคยมีใครสัมผัสตำแหน่งนั้นในใจของนางได้มาก่อน
ต้วนหลิงเทียนนับเป็นคนแรก และอาจเป็นผู้ชายคนเดียวที่นางเคยเจอในชีวิตที่สัมผัสที่แห่งนั้นได้
‘คอยดูเถอะเจ้าทึ่มหลิงเทียน สักวันท่านย่าผู้นี้จะบุกเข้าไปอยู่ในใจของเจ้าบ้างและเป็นผู้หญิงของเจ้าให้ได้!’
หวางเฟยเซวียนแม้เป็นสตรีห้าวหาญองอาจปากตรงกับใจ แต่นางยังอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่เห็นเรื่องนี้ อีกทั้งเขาก็แค่เห็นนางเป็นเพียงสหายที่น่าคบหาเท่านั้น
ไม่นานคนของวังปฐพีกับวังลี้ลับก็ทยอยกันมาถึง สองคนที่เหินร่างนำมาก็เป็นจ้าววังปฐพีกับวังลี้ลับ
หลังจากที่พวกมันทั้งคู่มาถึง ต่างก็ไปทักทายจ้าววังนภาก่อน หลังจากนั้นค่อยมองไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ
พวกมันเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับศิษย์ใหม่นามหลิงเทียนที่ได้รับการยอมรับทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับว่าเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดทั้งๆที่พึ่งเข้าร่วมวังนภาได้ไม่นานเหมือนกัน
พอเห็นตัวเป็นๆพวกมันก็อดไมได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย…ไฉนอัจฉริยะเช่นนี้ไม่มาเข้าร่วมกับวังของพวกมันบ้างนะ?
เมื่อเห็นว่ากระทั่งจ้าววังปฐพีกับจ้าววังลี้ลับก็มีทีท่ากระตือรือร้นนักขณะทักทายต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้ก็ยิ่งมีโมโหหนักข้อ ร่างของมันสั่นระริกเบาๆอยู่คนเดียว ใจยังรู้สึกราวกับจะระเบิดออกมา
“30 คนพอดี…”
ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองศิษย์ของอีก 3 วังที่เหลือ พอนับก็พบว่า 3 วังรวมกันได้ 20 คน เมื่อรวมกับคนวังนภาก็ครบ 30 พอดี
ตอนนี้เองเหล่าศิษย์ของอีก 3 วังก็หันมองมาที่ต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
สีหน้าแววตาของพวกมันหลากหลายอารมณ์นัก บ้างก็อิจฉา แลดูริษยาก็มี
ขวับ! ขวับ! ขวับ!
……
ทันใดนั้นเองจ้าววังทั้ง 4 พลันหันไปมองทางหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง ต้วนหลิงเทียนและเหล่าศิษย์ก็หันมองตามเช่นกัน
ห่างออกไปไกลๆ ขอบฟ้าที่เคยสงบไร้เรื่องราว ไม่นานเมฆขาวก็เริ่มปั่นป่วนปรากฏร่างคนกลุ่มหนึ่งแหวกพุ่งออกมาจากหมู่เมฆ!
หนึ่งนำสี่ตาม
ผู้ที่นำ มาในชุดคลุมสีขาวขลิบทอง เป็นชายวัยกลางคนที่ใบหน้ากระจ่างปานหยกเสลา ยามเคลื่อนไหวบรรยากาศโดยรอบคล้ายสั่นไหว ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงอากาศ คล้ายกำลังเดินบนถนนส่วนตัว
ไม่เพียงเท่านั้นทั่วกายชายวัยกลางคนดังกล่าว ยังเปล่งกลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่ไร้ผู้ใดในที่นี้เทียบได้ กลิ่นอายพลังที่ว่าหนาแน่นกว่าจ้าววังทั้ง 4 เล็กน้อย
การมาถึงของมันทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนราชากำลังจะขึ้นนั่งบัลลังก์
ตอนนี้ไม่ต้องให้ใครแนะนำกล่าวบอก ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็รับทราบตัวตนของชายวัยกลางคนผู้นี้ได้
จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง!
ในฐานะผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ชื่อเสียงของ เมิ่งฉิง นับว่าโด่งดังไม่น้อยในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับ เขาก็เคยได้ยินมาแล้วว่ามันคือสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่าง
พลังฝีมือของมันเพียงอ่อนด้อยกว่าผู้นำตลาดมืดหยินชานกับจ้าวตำหนักเมฆาครามเท่านั้น!
ตัวตนดังกล่าวเพียงกระทืบเท้าข้างหนึ่ง ก็สะท้านสะเทือนไปทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว!
เช่นนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนดังกล่าวต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดล้อเล่น ชักสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตามสีหน้าจริงจังของเขาก็คงอยู่ได้ไม่นานและกลายเป็นแปลกใจแทนเพราะดันเหลือบไปเห็นร่างคน 1 ใน 4 ที่ติดตามมาด้านหลัง ‘อ่าว นั่นพี่กู่ไม่ใช่รึไง? ไฉนถึงมาได้? ยิ่งกว่านั้นยังมากับจ้าวตำหนักอีก?’
ต้วนหลิงเทียนสังเกตมานานแล้ว ว่าพื้นที่แถบนี้แม้จะกว้างใหญ่แต่เขากลับไม่เห็นใครอื่นอีกเลย กระทั่งเหล่าศิษย์ที่ตามมาตอนแรกก็ไม่ได้ติดตามเข้ามา
ท่าทางจะจำกัดไว้ให้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาต
หาไม่แล้วป่านนี้คงมีคนมามุงดูกันเต็มไปหมด
เขาจึงไม่คิดว่าจะได้เจอกู่ลี่ที่นี่ ยังเจอในสภาพที่คล้ายมีจ้าวตำหนักนำมาแบบนี้
“น้องหลิงเทียน”
ตอนที่ต้วนหลิงเทียนพบกู่ลี่ อีกฝ่ายก็เห็นเขาเช่นกัน ยังทักทายด้วยการส่งเสียงผ่านปราณทันที
“พี่กู่ ไฉนท่านมาที่นี่ได้เล่า แถมยังมากับจ้าวตำหนักอีก?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ส่งเสียงผ่านปราณด้วยความแปลกใจ
กูลี่หัวเราะเบาๆ ค่อยส่งเสียงกล่าวตอบ “อันที่จริงทั้งหมดต้องขอบคุณเจ้า”
“ข้า?”
ต้วนหลิงเทียนแลดูงุนงง
“เพราะเรื่องเกี่ยวกับฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นที่เจ้าคุยกับข้า และอนุญาตให้ข้าเอาไปรายงานท่านพ่อและจ้าวตำหนักได้อย่างไรเล่า ท่านจ้าวตำหนักเลยอนุญาตให้ข้ามาดูการเปิดแดนลับเซียนครั้งนี้ได้”
กู่ลี่ส่งเสียงตอบกลับ
“แบบนี้นี่เอง”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้
“หืม?”
ทว่าตอนนี้เองสองตาต้วนหลิงเทียนพลันหยีลงเล็กน้อย เพราะสัมผัสได้ว่า 1 ใน 3 คนที่เหลือ ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเมิ่งฉิงมาพร้อมกู่ลี่นั้น กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร!
ตอนที่ 1,764 : ความดีความชอบ
มองไปปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็รับทราบตัวตนผู้ที่มองมาด้วยสายตาไม่ดีนั่นได้ทันที
รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง!
นอกจากนั้นมันยังเป็นบิดาของจ้าวจี้!
เหตุผลที่ทำให้เขามองไปปราดเดียวก็จำได้นั้น เพราะลักษณะหว่างคิ้วของมันกลับละม้ายคล้ายจ้าวจี้ 6-7 ส่วน!
กอปรด้วยสายตาไม่ดีที่มองมา เขาย่อมคาดเดาตัวตนมันออกได้ง่ายดาย!
เขากับจ้าวจี้ยืนอยู่คนละฝั่ง ก็เป็นธรรมดาที่จ้าวเติงจะมองเขาด้วยสายตาเป็นอริเช่นนั้น
ส่วนชายวัยกลางคนอีก 2 คนต้วนหลิงเทียนก็พอเดาฐานะอีกฝ่ายได้เช่นกัน สมควรเป็นรองจ้าวตำหนักที่เหลือนอกจากจ้าวเติง…
ในตำหนักฟ้าลี้ลับมีรองจ้าวตำหนักทั้งสิ้น 9 คน
นอกจากรองจ้าววังทั้ง 4 แล้ว ยังมีรองจ้าวตำหนักอีก 5 คนที่คอยดูแลเรื่องราวภายนอกของตำหนักฟ้าลี้ลับ ทั้งหมดบ้างมักออกไปจัดการธุระด้านนอกตำหนักบ้างก็กลับมาจัดการเรื่องราวทั่วไปที่ตำหนัก
จ้าวเติงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คารวะใต้เท้าจ้าวตำหนัก”
หลังจากนั้นไม่ทันไร โดยมีจ้าววังนภาจูลู่ฉีเป็นผู้นำ ทุกคนก็คารวะทักทายจ้าวตำหนักด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ทั้งหลาย พอทราบว่าชายวัยกลางคนที่นำมาเป็นจ้าวตำหนัก! ร่างพวกมันถึงกับสั่นเทิ้มไปเพราะความตื่นเต้น!!
มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียว ที่แม้จะพบเจอจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับครั้งแรก แต่ยังแลสงบอยู่ได้
“อืม”
เผชิญหน้ากับการโค้งคารวะของผู้คน เมิ่งฉิงพยักหน้ากล่าวคำรับการทักทายอย่างเฉยเมย ก่อนที่จะมองไปยังจูลู่ฉี และว่ายตามองไปในกลุ่มคนของวังนภา
“หลิงเทียนคือผู้ใด?”
ครู่ต่อมาเมิ่งฉิงก็กล่าวออก คล้ายกำลังตามหาตัวต้วนหลิงเทียน
ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที คล้ายจะบอกเมิ่งฉิงเป็นนัย…
ว่านี่คือหลิงเทียนที่ท่านตามหา!
“จ้าวตำนัก”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่พลันพยักหน้าให้จ้าวตำหนัก
ตอนเผชิญหน้ากับจูลู่ฉีเขาเรียกหาอีกฝ่ายว่าจ้าววัง พอเจอหน้าเมิ่งฉิงเขาก็เรียกหาว่าจ้าวตำหนัก
นี่เป็นนิสัยที่ไม่ทราบคุ้นชินมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ในใจเขา…ทุกคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าล้วนคือคนที่สักวันเขาจะก้าวข้ามไปให้จงได้! ด้วยเหตุผลนี้ใจจึงยากนักที่จะยอมรับและเรียกหาผู้อื่นด้วยคำ ‘ใต้เท้า’ นำหน้าเหมือนคนอื่นๆ!!
“บังอาจ!”
จ้าวเติงที่ยืนอยู่ด้านหลังเมิ่งฉิงพลันตะโกนออกมาด้วยท่าทางเปี่ยมโทสะทันที สายตายังมองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง และหากสายตาฆ่าคนได้ต้วนหลิงเทียนคงตายไปแล้ว! มันตะคอกกล่าวอออกเสียงดังน้ำเสียงดุดัน “หลิงเทียนเจ้ามันสามหาวนัก! เจ้ากล้าเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักห้วนๆได้อย่างไร ไฉนเจ้าถึงได้หยาบคายเช่นนี้!?”
ในที่สุดจ้าวเติงก็ได้พบโอกาสเล่นงานต้วนหลิงเทียนทั้งที มันแน่นอนว่าไม่ยอมพลาดโอกาส “หรือเจ้าหลิงเทียนไม่เห็นใต้เท้าจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา?”
อา
พอจ้าวเติงกล่าวออกมาแบบนี้ ก็ทำให้ศิษย์ที่เหลืออื้ออึงไปทันใด
หลานคนคิดว่าจ้าวเติงคิดเลาะกระดูกจากไข่ บ้างก็คิดว่าวาจานี้ของจ้าวเติงมีเหตุผล การที่ต้วนหลิงเทียนเรียกจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักห้วนๆไม่มีคำใต้เท้าหรือแม้แต่ท่านนำหน้านับเป็นเรื่องไม่สมควร…
“รองจ้าวตำหนักจ้าวเติงเป็นบิดาของจ้าวจี้ เป็นธรรมดาที่ไม่คิดพลาดหาเรื่องให้หลิงเทียนลำบากใจ…ตอนนี้มันสบโอกาสแล้วข้าเกรงว่าคงไม่ง่ายที่หยุด”
“เรื่องนี้สมควรมองว่าเป็นการใช้ความแค้นส่วนตัวหาเรื่องผู้อื่นหรือไม่?”
“กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูก อย่างไรเสียการเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักห้วนๆก็มิควรมิใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว ใต้เท้าจ้าวตำหนัก ท่านคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับเรา! หลิงเทียนเรียกหาท่านว่าจ้าวตำหนักห้วนๆย่อมไม่สมควร!”
……
หลายคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนาเพราะรู้ดีว่าจ้าวเติงหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเพราะความแค้นส่วนตัว แต่ที่จ้าวเติงกล่าวมันก็ถูก และไม่มีใครในที่นี้กล้าหักล้างวาจามัน…เพราะนั่นจะถือว่าลบหลู่จ้าวตำหนัก!
‘ตัวบัดซบนี่!’
‘ศิษย์น้องหลิงเทียน!’
ทั้งหวางเฟยเซวียนและหวังพีอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนับว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบากแล้วจริงๆ
จ้าวเติงกระทำเช่นนี้นับว่าช่วงชิงความได้เปรียบมากนัก อย่างน้อยๆหลายต่อหลายคนก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนถึงคราวตกที่นั่งลำบาก!!
“เรียนใต้เท้าจ้าวตำหนัก น้องหลิงเทียนมิได้เป็นอย่างที่รองจ้าวตำหนักเติงกล่าวแน่นอน”
กูลี่เองก็เป็นกังวลไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวช่วยต้วนหลิงเทียนออกมา
“เหอะ!”
ไม่รอให้เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับตอบคำอะไร จ้าวเติงพลันพ่นลมออกจมูกเสียงเย็นกล่าวเย้ย “กู่ลี่ ข้ารู้ว่าเจ้ามีสัมพันธ์อันดีกับหลิงเทียน…แต่สถานการณ์เช่นนี้เจ้ายังเข้าข้างมันก็ออกจะเกินไปบ้าง…หรือที่มันไม่เคารพใต้เท้าจ้าวตักหนัก…เป็นเพราะเจ้าเสี้ยมสอนมันมาเล่า?”
วาจาจ้าวเติงดังขึ้นอีกครั้ง กระทั่งฉุดลากกู่ลี่ที่ไม่เกี่ยวข้องให้จมปลักโคลนนี้ด้วย
“เจ้า!”
กู่ลี่มีโมโหนัก หน้ายังเปลี่ยนสีไป แววตาเผยความดุร้ายออกมา
“อ้อ! ข้าไม่เคารพจ้าวตำหนักงั้นเหรอ? ใส่ร้ายกันเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันปริปากกล่าวคำออกมา ขณะมองจ้าวเติงด้วยรอยยิ้ม “รองจ้าวตำหนักจ้าว ข้าขอถามอะไรเจ้าสักเรื่อง…ตำหนักฟ้าลี้ลับใช่มีกฏเกณฑ์ข้อบังคับไว้ด้วยหรือไม่ ว่ายามเจ้าพบเห็นจ้าวตำหนัก ไม่อาจเรียกว่าจ้าวตำหนักเฉยๆได้…แต่ต้องเป็นใต้เท้าจ้าวตำหนัก?”
“ฮึ่ม! ถึงแม้จักมิมีกฏเกณฑ์ดังกล่าวตราไว้ แต่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลนักที่จะเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักโดยมีคำ ใต้เท้า นำหน้า! เรื่องนี้นับเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุด! เจ้าเรียกหาใต้เท้าจ้าวตำหนักว่าจ้าวตำหนักโดยตรง ย่อมส่อให้เห็นว่าเจ้าไม่เห็นใต้เท้าจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา!!”
จ้าวเติงตะโกนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ฮ่าๆๆ…รองจ้าวตำหนักจ้าว ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าข้าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าว่าข้าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา!”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะร่า ค่อยกล่าวออกมาเสียงดังตามอำเภอใจ
เงียบ!
ทันทีที่วาจาประโยคนี้ดังพ้นลำคออกมา ก็พาลให้ผู้คนในที่นี้เงียบลงทันใด
ยกเว้นจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างเมิ่งฉิง ทุกคนไม่เว้นจ้าวเติงถึงกับตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวอะไรออกมาแบบนี้ดื้อๆ
เมิ่งฉิงเพียงมองต้วนหลิงเทียนอย่างเงียบงัน หน้ายังไม่แปรเปลี่ยน ไม่ทราบว่าในใจมันคิดอะไรอยู่
‘เจ้าทึ่มเอ๊ย! นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรกัน!’
หวางเฟยเซวียนพอได้ฟังถึงกับหน้าซีด ยังกังวลไปใจแทบหยุดเต้น
“น้องหลิงเทียน”
สีหน้ากูลี่เองก็ซีดลงเช่นกัน ด้วยไม่คิดว่าน้องหลิงเทียนของมันจะแข็งกร้าวเช่นนี้ ยังถึงขั้นกล่าวพูดเรื่อง ‘ไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา’ ออกมาดื้อๆ!
นี่ยังต่างใดจากเอาหน้าไปขวางทางปืน?
ในสายตาของมันการกระทำเช่นนี้มันเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ!
จ้าววังนภา จ้าววังปฐพี จ้าววังลี้ลับ และจ้าววังเหลืองเองยังอดไม่ได้ที่จะงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงกล่าวคำอุกอาจปานเป็นกบฏคิดคดทรยศเช่นนี้ออกมาได้
เพราะดูแล้วต้วนหลิงเทียนไม่คล้ายคนบ้าบิ่นทำอะไรไม่คิดอย่างนั้นเลย…
“ทรยศ! เจ้ามันตัวทรยศ!!”
ตอนนี้เองจ้าวเติงพึ่งได้รู้สึกตัว ตอนแรกมันหลงคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของมัน แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือกับมันแต่โดยดีช่วยขุดหลุมฝังศพตัวเอง
“หลิงเทียน เจ้ากล้ากบฏต่อใต้เท้าจ้าวตำหนักต่อหน้าต่อตา! เจ้ามันมิมีคุณสมบัติอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้อีกต่อไป!!”
จ้าวเติงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าดุร้ายสะใจ วาจาที่กล่าวออกเต็มไปด้วยความชอบธรรม ราวกับมันกำลังผดุงความยุติธรรมอยู่
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ข้าจะมีคุณสมบัติอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับหรือไม่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ในดุลยพินิจและการตัดสินใจของเจ้าไม่ใช่หรือไง… นอกจากนั้นข้ายังพูดไม่ทันจบ แต่เจ้ากลับใส่ร้ายข้าว่าทรยศบ้างล่ะ กบฏบ้างล่ะ นี่เจ้าจะไม่ใจเร็วด่วนได้เกินไปหน่อยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขัดจ้าวเติงด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“เฮอะ! เป็นเจ้าพูดเองมิใช่หรือไงว่าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา! หรือเจ้าคิดว่ากล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีคุณสมบัติอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับได้!?”
จ้าวเติ้งกล่าวเย้ย
“ฟังข้าพูดให้จบก่อนเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจ้าวเติงด้วยสายตาไม่แยแส ก่อนที่จะหันไปมองเมิ่งฉิงด้วยสายตาลึกซึ้ง กล่าวออกด้วยวาจาน้ำเสียงฉะฉาน “ข้าไม่เห็นจ้าวตำหนักอยู่ในสายตา แต่ข้านับถือจ้าวตำหนักอยู่ในใจ…หาไม่แล้วข้าคงไม่มอบ ‘ข้อมูลลับ’ อันสำคัญเช่นนั้นให้แก่จ้าวตำหนักหรอก!”
“จ้าวตำหนัก เรื่องนี้ท่านว่าจริงหรือไม่?”
กล่าวถึงประโยคนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งยิ้มให้จ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิง
“วาจาที่กลับกลอกนัก!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หน้าจ้าวเติงเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันใด มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะนำเรื่อง ‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง’ มายกอ้างแบบนี้ ถึงแม้มันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนให้ข้อมูลเรื่องนี้ก็ตาม!
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว!”
อย่างที่จ้าวเติงคิดไว้ไม่มีผิด หลังได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน จ้าวตำหนักพลันหยุดการโต้เถียงออกมาด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวสืบต่อ “คำพูดย่อมเป็นเพียงคำพูด มิว่าผู้ใดล้วนพูดได้…บางคนเรียกหาข้าว่าใต้เท้า แต่ใจหาได้เคารพเห็นหัวข้าไม่…บางคนไม่ได้เรียกหาข้าเช่นนั้น ทว่ากลับปฏิบัติต่อข้าด้วยดียิ่งกว่าหลายๆคน”
ในวาจาที่เมิ่งฉิงกล่าวออก เห็นชัดว่ายอมรับคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน และเสมือนตบหน้าจ้าวเติงดังฉาด!
‘สารเลวเอ๊ย!’
จ้าวจี้เดิมทีคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องโดนบิดามันทำขายหน้าแล้ว กระทั่งยังสามารถขับไล่ต้วนหลิงเทียนไปให้พ้นจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้ แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะยกอ้างเรื่อง ‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง’ ออกมาแบบนี้
มันย่อมรู้ดีว่าจ้าวตำหนักให้ความสำคัญเรื่องนี้เพียงใด
ด้วยความดีความชอบดังกล่าว จ้าวตำหนักย่อมไม่ปล่อยให้บิดามันขับไล่หลิงเทียนออกไปแน่นอน!
อย่างไรก็ตามถึงแม้มันจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ในใจก็ยากจะยอมรับได้
“ข้อมูลลับ?”
“ข้อมูลลับที่ว่า นี่มันเรื่องอันใดกันหรือ?”
“หากพวกเรารู้ยังจะเรียกว่าข้อมูลลับหรือไม่? แต่ข้าคิดว่าสมควรเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญยิ่ง แม้ข้าจักมิรู้ว่ามันเป็นข้อมูลอะไรก็ตามที…”
……
ยกเว้นเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับและอาวุโสอีก 7 คน ก็มีเพียงต้วนหลิงเทียน กู่ลี่ และจ้าวจี้เท่านั้นที่รู้ว่า ‘ข้อมูลลับ’ นี่มันคือเรื่องอะไร
คนอื่นย่อมไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้ที่แท้เป็นเรื่องอะไรกันแน่ และ ‘ข้อมูลลับ’ ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกคืออะไร…
แต่ไม่ว่าจะอะไรยังไง สุดท้ายเรื่องตลกดังกล่าวก็จบลงด้วยดี แม้คนส่วนใหญ่จะยังรู้สึกอื้ออึงเหลือเชื่อ แต่มันก็จบลงเช่นนี้…
ขณะเดียวกันผู้ที่ลอบเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
วู้ม! วุ้ม! วู้ม!
……
ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน ความว่างเปล่าสูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือหัวผู้คน อยู่ๆกลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพิสดาร! หมู่เมฆเคลื่อนออกพัลวัน…เผยให้เห็นช่องว่างอากาศน่ากลัวช่องหนึ่ง!
ในช่องว่างอากาศดังกล่าวยังคล้ายมีวังวนก่อตัวขึ้น!
เสียงยิ่งดังมากขึ้นเท่าไหร่ ช่องว่างที่คล้ายรอยแตกของท้องฟ้าก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมวังวนดังกล่าวก็ยิ่งหมุนคว้างด้วยความเร็วสูงขึ้นทั้งยังใหญ่โตขึ้น!
พริบตานั้นเองบังเกิดพลังดูดรั้งไร้สภาพขุมหนึ่งกำจายออกมาโอบคลุมทุกผู้คนเอาไว้ในฉับพลัน! ราวกับมันจะดูดกลืนผู้คนลงไป!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น