War sovereign Soaring The Heavens 1757-1760

 ตอนที่ 1,757 : สหายคอเดียวกัน


 


ถึงแม้พวกมันจะไม่กลัวว่ากู่ลี่จะลงมือรุนแรงเกินไป แต่อย่างน้อยๆน่ากลัวว่าจ้าวจี้จะโดนสั่งสอนบทเรียนอย่างหนัก!


 


“ใช่ข้าตั้งใจจะงัดกับเจ้า แล้วมีอันใดเล่า? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดสั่งสอนบทเรียนให้ข้า?”


 


เจอคำถามของจ้าวจี้ กู่ลี่ยิ้มเย้ยกล่าวตอบไปด้วยสายตาดูแคลน


 


“เจ้า!!”


 


ได้ยินวาจานี้ของกู่ลี่ สีหน้าจ้าวจี้คล้ายสลับไปมาระหว่างเขียวขาว อนิจจามันไม่อาจกล่าววาจาอื่นใดออกมาได้


 


แถมหากลงมือไปคนที่เจ็บสมควรเป็นมันไม่ใช่กู่ลี่


 


ด้วยพลังฝีมือของมันลำพังแค่ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมันยังไม่มีปัญญาจะสู้ นับประสาอะไรกับกู่ลี่ที่บรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด?


 


“ถ้าไม่กล้าก็หุบปากไปเสีย อย่าได้สะเออะพล่ามอันใดต่อหน้าข้า!”


 


กู่ลี่มองเหยียดกล่าวออกด้วยความรังเกียจ ก่อนที่จะหันมามองยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “ศิษย์น้องหลิงเทียนข้ารู้สึกยินดียิ่งที่ได้รู้จักเจ้า พวกเราไปกันเถอะ วันนี้ไปดื่มกันสักครา!”


 


หลังจากกล่าวจบคำ กู่ลี่ก็เหินร่างขึ้นฟ้านำไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปพยักหน้าให้หวังพี หวางเฟยเซวียนแล้วก็หลิวเจี้ยน ก่อนที่จะเหินร่างจากไป…แผ่นหลังอันสง่างามของเขาค่อยๆหายไปจากสายตาของผู้คน…


 


เรื่องสนุกสนานวันนี้เป็นอันจบลง…


 


“อ๊าคคคคค!!”


 


หลังกู่ลี่กับต้วนหลิงเทียนจากไป จ้าวจี้ที่ร่างสั่นระริกไปด้วยความโกรธก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นยอดเขา ในน้ำเสียงอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นไม่ยินยอม


 


‘กู่ลี่ หลิงเทียน…ข้าจ้าวจี้ขอสาบาน ว่าข้าจะไม่มีวันเลิกรากับพวกเจ้า! ข้าไม่มีวันเลิกรากับพวกเจ้า! ไม่มีวัน!!’


 


จ้าวจี้ตะโกนในใจดังก้อง หากความคิดสามารถฆ่าคนได้ น่ากลัวว่าต่อให้กู่ลี่กับต้วนหลิงเทียนมีร้อยชีวิตก็ไม่พอตาย…


 


“เจ้าทึ่มนั่นโชคดียิ่ง…กระทั่งศิษย์พี่กู่ลี่ยังมาช่วย…”


 


เมื่อเรื่องราวจบลงเช่นนี้ หวางเฟยเซวียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก สำหรับนางนี่นับเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดแล้ว


 


หากปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนลงมือจริงๆ นางเป็นกังวลนัก


 


ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามกู่ลี่มา ก็ไปดื่มสุราทั้งรับประทานอาหารที่บ้านของกู่ลี่อย่างสบายใจ


 


ดั่งคำ พบสหายรู้ใจดื่มกันพันจอกไม่เมามาย คุยไม่ถูกคอครึ่งคำก็มากเกิน…ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถูกชะตากับกู่ลี่นัก อีกฝ่ายนับว่าเป็นสหายคอเดียวกันกับเขาเลยทีเดียว


 


“อ่า…สุราดี! ว่าแต่พี่กู่ข้าถามท่านจริงๆเถอะ วันนี้ที่มาช่วยข้านี่เพราะท่านถูกใจข้าแค่นั้นจริงๆ?”


 


หลังยกซด 3 จอกติด ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมา


 


“เพียงเท่านั้น…”


 


กู่ลี่กล่าวตอบ หากทว่าเสียงกลับอ่อนลง


 


“จริงๆ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องตากู่ลี่ไม่วาง ราวกับจะเค้นหาคำตอบจากแววตาอีกฝ่าย


 


“เอาล่ะๆ ข้ายอมเจ้าแล้วเลิกจ้องข้าที…ให้ตายเถอะ!!”


 


ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจและวิญญาณ กระทั่งกู่ลี่ก็ไม่อาจบังคับให้ดวงตาของมันโป้ปดได้ เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนจ้องเขม็งแบบนี้มันก็จนปัญญาจะปิดบังสืบไป


 


มันเทสุราเติมจอกให้เต็ม ก่อนที่จะยกซดรวดเดียวหมดจอกค่อยเปิดประตูเห็นภูผากล่าว “เหตุผลที่ข้าไปที่นั่นเพราะท่านบรรพจารย์บอกข้า…ท่านบรรพจารย์ยังบอกข้าอีกว่าพรสวรรค์ของเจ้าเหนือล้ำข้า กอปรกับข้าออกจากการปิดด่านได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินแต่ชื่อเจ้าไปทั่วตำหนักหลัก จึงทำให้ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าเป็นเช่นไร…”


 


“และความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้ามีวิสัยทัศน์มิเหมือนผู้อื่น และนับว่าเป็นคนไม่ธรรมดาๆจริงๆ”


 


กู่ลี่กล่าว


 


“ท่านบรรพจารย์?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับงงไปทันใด ด้วยไม่ทราบจริงๆว่าท่านบรรพจารย์ที่กู่ลี่ว่าเป็นใคร


 


เท่าที่เขารู้บิดาของกู่ลี่ก็เป็นถึงอาวุโสผู้พิทักษ์แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนรุ่นเดียวกับจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ นั่นหมายความว่ามีอาวุโสสูงมากๆแล้ว


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ น่ากลัวว่ายากจะหาคนที่มีฐานะสูงกว่าบิดาของกู่ลี่ได้!


 


การที่กู่ลี่เรียกหาว่าบรรพจารย์ นั่นหมายความว่าต้องมีฐานะเหนือกว่าบิดา!


 


“สระวิญญาณ…”


 


เมื่อเห็นใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความสงสัยงุนงงอกมา กู่ลี่ก็ค่อยๆปริปากกล่าววาจาออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“อ้อ! ที่แท้ท่านผู้อาวุโสก็คือบรรพจารย์ของพี่กู่!”


 


ด้วยมีกู่ลี่กล่าวเตือน ทำให้ต้วนหลิงเทียนนึกออก หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคงยากที่จะนึกได้ว่าบรรพจารย์ที่กู่ลี่กล่าวหมายถึงใครกันแน่


 


บรรพจารย์ที่กู่ลี่กล่าว ก็คือชายชราแขนเดียวที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภา!


 


“เช่นนั้นหมายความว่าท่านผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ ของอาจารย์พี่กู่งั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ท่านบรรพจารย์เป็นอาจารย์ของบิดาข้า ส่วนข้ายังไม่มีอาจารย์”


 


กู่ลี่ยิ้มกล่าว “ท่านอาจารย์ของข้าสมควรรอคอยข้าอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…”


 


“หืม? พี่กู่กำลังจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย


 


“ใช่”


 


กู่ลี่พยักหน้า “เมื่อพลังฝึกปรือของข้าทะลวงผ่านอริยะเซียนจนถึงเซียนมนุษย์เมื่อใดข้าจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบน…การขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนเป็นเป้าหมายของข้ามาโดยตลอด!”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ


 


ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ไม่ใช่กู่ลี่คนเดียวที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปภูมิภาคเบื้องบน


 


อัจฉริยะมากพรสวรรค์หลายต่อหลายคนล้วนตั้งเป้าไว้ว่าจะไปโลดแล่นบนภูมิภาคเบื้องบนทั้งสิ้น เพราะมีเพียงที่นั่นถึงจะเป็นศูนย์รวมยอดฝีมือที่แท้จริงของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ที่นั่นมีสุดยอดฝีมืออันทรงพลังที่ในภูมิภาคเบื้องล่างไม่อาจมีได้ ดำรงอยู่…


 


“อีกนานไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“อย่างมากก็หนึ่งปี”


 


กู่ลี่ยิ้มบางๆ ใบหน้าเผยความมั่นใจถึงที่สุด ว่าไม่เกินหนึ่งปีมันต้องทะลวงถึงเซียนมนุษย์ได้แน่!


 


“เร็วขนาดนั้น!”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


 


“หากเทียบกับคนอื่นมันอาจจะเร็ว…แต่ข้าคงไม่เร็วเท่าน้องหลิงเทียนหรอก ข้าเชื่อว่าอย่างน้องหลิงเทียน ไม่ทันถึง 50 ก็ทะลวงถึงเซียนมนุษย์ได้แล้ว!”


 


กู่ลี่นั้นชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถของต้วนหลิงเทียนนัก ยังตีค่าต้วนหลิงเทียนไว้สูงลิบ!


 


“น้องหลิงเทียน หากเจ้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์เจ้าจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยหรือไม่?”


 


กู่ลี่ถาม


 


“ข้าไปแน่!”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างไร้ลังเล


 


เขาจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนแน่นอน ทว่าคงไม่อาจไปด้วยด่านพลังเซียนมนุษย์ได้..


 


ด้วยระดับพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ เกรงว่าคงกินเวลาอีกนานกว่าจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์…เขาไม่อาจรอได้


 


เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าทันทีที่ด่านพลังของเขาบรรลุขอบเขตอริยะเซียนเมื่อไหร่ เขาจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทันที เพื่อตามหาเค่อเอ๋อกับลูกเขา


 


“ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกเราจักเหมือนกัน และไม่คิดเสียเวลาอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องล่างนี้นานนัก…ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้ายังต้องพยายามให้มากขึ้น จะได้รีบไปลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องบน ยามน้องหลิงเทียนขึ้นมาข้าจะได้ดูแลเจ้าได้”


 


กู่ลี่กล่าวจบก็หัวเราะออกมา


 


“ข้าเชื่อว่าพี่กู่ต้องทำได้ดี และลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องบนได้แน่”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาเช่นกัน


 


บางคนนั้นรู้จักกันมาทั้งชีวิต แต่อาจไม่ใช่สหาย


 


บางคนพบกันเพียงครึ่งวันคุยกันถูกคอ ก็สนิทกันดั่งสหายที่รู้จักกันมาสิบปี


 


ต้วนหลิงเทียนกับกู่ลี่ก็เช่นกัน แม้จะพบกันได้วันเดียว แต่ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นเพื่อนกันในเวลาอันสั้น นั่นเพราะนิสัยบางอย่างกลับละม้ายคล้ายคลึงกัน เรียกว่าเป็นสหายคอเดียวกันก็ว่าได้…


 


“น้องหลิงเทียนวันนี้ที่ยอดเขาวังนภาข้าเองก็ได้เห็นตอนที่เจ้าประมือกับพี่น้องสกุลลั่ว…เขตแดนเจ้ากับปราณแรกกำเนิด ดูเหมือนจะคล้ายกันกับลี่เฟิงที่ปรากฏตัวในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่มีผิดเพี้ยน นี่พวกเจ้ารู้จักกันจริงๆหรือ?”


 


ทันใดนั้นกู่ลี่คล้ายนึกอะไรได้ออก พอสบโอกาสเหมาะก็กล่าวถามออกมาทันที


 


“พี่กู่แล้วท่านรู้ได้อย่างไรหรือว่าเขตแดนกับปราณแรกกำเนิดของข้าคล้ายกับของลี่เฟิง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย


 


หากเป็นคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้าหรือคฤหาสน์คลื่นคลั่งเป็นคนพูดว่าเขตแดนกับปราณแรกกำเนิดของเขาเหมือนลี่เฟิงเขาจะไม่แปลกใจอะไรเลย


 


เพราะในวันประลองยอดนักลบฟ้าลิ่วล่องมีคนของทั้ง 2 คฤหาสน์หลายคน


 


แต่ปัญหาก็คือผู้ที่กำลังกล่าวถามเขาตอนนี้คือกู่ลี่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่ใช่คนของคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคลื่นคลั่ง…


 


“การประลองยอดนักรบครั้งที่แล้ว พอดีสหายข้าคนหนึ่งก็ไปชมดูเช่นกัน และสหายข้าคนนี้ก็เป็นปรมาจารย์ยันต์เต๋าที่เชี่ยวชาญอาคมเซียนคั่นฉ่องสะท้อนลักษณ์…วันนั้นสหายข้าก็ได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดลงในยันต์เต๋าให้ข้า””


 


กู่ลี่กล่าวสืบต่อ “ยันต์เต๋าคันฉ่องสะท้อนลักษณ์ของสหายข้าแม้ไม่อาจบันทึกได้ทุกเหตุการณ์ในหุบเขาหลิงหลง…แต่ส่วนที่บันทึกได้ก็มีการประลองของลี่เฟิง ทำให้ข้าสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าเขตแดนและปราณแรกกำเนิดของเจ้าละม้ายคล้ายกับลี่เฟิงมาก”


 


“นอกจากนั้นข้ายังได้ยินมาว่า เจ้าเป็นคนกล่าวออกมาเองในวันแรกที่เข้าร่วมวังนภา ว่าเจ้าเป็นสหายของลี่เฟิง…”


 


กล่าวถึงตรงนี้กู่ลี่ก็นิ่งมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง รอต้วนหลิงเทียนตอบกลับ


 


“พี่กู่แม้พวกเราจะพึ่งพบกันแค่วันเดียว แต่ข้ารู้สึกเหมือนรู้จักท่านมานาน เช่นนั้นเรื่องเท่านี้ข้าก็ไม่คิดจะปิดท่าน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้จักกู่ลี่ได้ไม่ทันถึงวันดี แต่เขาย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร จึงเชื่อว่าคนอย่างกู่ลี่ยากที่จะทรยศเขาได้


 


“โอ้!?”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนกู่ลี่ย่อมอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที


 


“อันที่จริงลี่เฟิงที่ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องวันนั้น ก็คือข้าเอง…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบไปตรงๆ


 


“ว่าอะไร!?”


 


กู่ลี่ถึงกับตะลึงกับวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน “น้องหลิงเทียนนี่มันเรื่องอันใดกัน เท่าที่ข้าเห็นเจ้ามิได้มีร่องรอยการปลอมแปลงโฉม…ส่วนลี่เฟิงนั่นที่ข้าเห็นจากยันต์เต๋าคันฉ่องสะท้อนลักษณ์กล่าวตรงๆ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าที่หล่อเหลาสักเพียงนิด และเรื่องรูปโฉมผู้จัดการประลองก็สมควรตรวจสอบแล้ว”


 


“นั่นเพราะข้าสำเร็จเคล็ดวิชาลับแปลงโฉมชุดหนึ่งมา ทำให้ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าด้วยปราณแรกกำเนิดได้”


 


ในขณะที่กล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างอัศจรรย์ ในที่สุดท่ามกลางสายตาตะลึงพรึงเพริดของกู่ลี่ ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นคนละคน


 


และใบหน้านี้ก็ไม่นับว่าแปลกตากู่ลี่แต่อย่างไร


 


ใบหน้าลี่เฟิงที่มันเคยเห็น ก็คือใบหน้านี้!


 


“สวรรค์! ข้ามิคิดเลยว่าใต้หล้ากลับมีเคล็ดวิชาลับแปลงโฉมเลิศล้ำเช่นนี้อยู่ด้วย!”


 


ครู่ต่อมากู่ลี่ก็คืนสติ ยังอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาด้วยความชื่นชม


 


“ว่าแต่ไฉนน้องหลิงเทียนต้องปลอมตัวไปเข้าร่วมประลองด้วยเล่า…มีเรื่องใดกวนใจเจ้าหรือ?”


 


เรื่องนี้กู่ลี่ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทันที


 


“พี่กู่ อันที่จริงเหตุผลที่ข้าไปเข้าร่วมประลองยอดนักรบฟ้าลี้ลับนั่น เพราะว่า…”


 


ในเมื่อไม่ได้คิดปกปิดตัวตนลี่เฟิงกับกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังสาเหตุ จึงกล่าวเหตุผลออกไปทันที


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…”


 


หลังได้ฟังกู่ลี่ก็พยักหน้าสองตากระจ่าง “ด้วยวิธีนี้น้องสาวเจ้าที่เรียกว่าเฉวี่ยไน่ ก็สามารถรอดพ้นสัญญาวิวาห์บัดซบนั่นได้เพราะฉีจิ้งนั่นตายตก นางคงซาบซึ้งเจ้ามากเลยสิ”


 


“ก็ใช่ แต่พี่กู่…ฉีจิ้งนั่นมันยังไม่ตาย”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเบาๆ ในแววตาเผยประกายเย็นเยือกโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงฉีจิ้ง


 


“เป็นไปได้อย่างไร!?”


 


กู่ลี่ที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่โพล่งกล่าวออกมาอย่างเหลือเชื่อ “แม้ภาพเรื่องราวที่สหายข้าส่งมามันจะมิได้สมบูรณ์แบบ แต่ข้ายังเห็นฉากที่เจ้าลอบยิงรังสีกระบี่ทะลวงหว่างคิ้วมันชัดเจน…มันไม่อาจไม่ตาย!”


ตอนที่ 1,758 : ร่างอวตาร


 


ถึงแม้กู่ลีจะไม่ได้อยู่ในสถานที่จัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง แต่ด้วยยันต์เต๋าคันฉ่องสะท้อนลักษณ์ของสหาย ทำให้มันพอได้รับรู้เรื่องในวันนั้น…


 


ถึงแม้ภาพที่บันทึกจะขาดๆหายๆ ทว่าช่วงสำคัญกลับมีครบ รวมถึงฉากที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องโดยการยิงรังสีกระบี่ทะลวงหว่างคิ้ว ก็เป็นอะไรที่ชัดเจนนัก!


 


ด้วยเหตุนี้พอต้วนหลิงเทียนบอกว่าฉีจิ้งยังไม่ตาย กู่ลี่ก็เผยอาการเหลือเชื่อออกมา


 


ต้วนหลิงเทียนไม่แปลกใจกับท่าทางของกู่ลี่ เพียงกล่าวต่อ “พี่กู่ ท่านเคยได้ยินเรื่องเคล็ดวิชารวมวิญญาณรึเปล่า?”


 


“เคล็ดวิชารวมวิญญาณหรือ?”


 


ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนกู่ลี่ก็อึ้งไปทันใด ยังเบิกตามองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาสับสน “น้องหลิงเทียน…หรือเจ้าจะบอกว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง นั่น…มันสำเร็จวิชารวมวิญญาณ?”


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“แต่เรื่องพรรค์นี้จักเป็นไปได้อย่างไรกัน…ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ข้ามิเคยได้ยินเลยว่าจักมีเคล็ดบำเพ็ญมารใดที่จะมีเคล็ดรวมวิญญาณอยู่เลย…สมควรมีแต่เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงๆของภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้นนี่นาที่จักมีเคล็ดรวมวิญญาณผสานอยู่…”


 


กู่ลี่ย่อมเคยได้ยินเรื่องเคล็ดวิชารวมวิญญาณ แต่หากบอกว่ามีผู้ฝึกมารของภูมิภาคเบื้องล่างใช้เคล็ดวิชานี้ได้ มันทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ


 


“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกพี่กู่”


 


ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งค่อยกล่าว “พี่กู่ ในเมื่อสหายของท่านไปชมดูการประลอง เช่นนั้นท่านสมควรทราบถึงความก้าวหน้าของฉีจิ้งในเวลาแค่ปีเดียวแล้วใช่หรือไม่?”


 


“อ่า”


 


กู่ลี่พยักหน้า “ข้าได้ยินสหายของข้ากล่าวบอก ว่าในระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียว ฉีจิ้งกลับทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…เจ้าจะบอกข้าว่า ที่มันประสบความก้าวหน้าเช่นนั้นมิใช่เพราะมันมีพรสวรรค์อันใด แต่เป็นเพราะเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่ว่าล้วนๆสินะ”


 


พอกล่าวออก กู่ลี่ก็ตระหนักได้


 


“ถูก ข้ากลัวว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของมันจะไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาๆ…เพราะต่อให้เป็นเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่สมควรมีแต่ในภูมิภาคเบื้องบน ก็ไม่มีทางยกระดับพลังฝึกปรือได้ไวขนาดนี้! และหากไม่ใช่อวิชชาที่ใช้ทางลัดอันชั่วร้ายจริงๆ…ไหนเลยมันจะก้าวหน้าถึง 3 ขั้นในเวลาแค่ปีเดียวได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม “ดังนั้นข้าจึงสรุปได้ว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของมันต้องเป็นระดับสูง กระทั่งยังเป็นเคล็ดที่ยอดเยี่ยมในบรรดาระดับสูงด้วยกันแถมอาจเป็นอวิชชาชั่วร้าย…ทำให้สมควรมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่ หาไม่แล้วมันไม่มีทางก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้!”


 


“หากไม่ใช่เคล็ดบำเพ็ญมาร เช่นนั้นวาสนาที่มันพบโดยบังเอิญสมควรเลิศล้ำที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ


 


“เลิศล้ำที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่าง…”


 


กู่ลี่ส่ายหัวไปมา “เทียบกับวาสนาเลิศล้ำ ข้าคิดว่าเคล็ดบำเพ็ญมารสมควรเป็นไปได้มากกว่า…ข้าเองก็มิรู้เกี่ยวกับเคล้ดบำเพ็ญมารมาก ข้าจะลองไปถามท่านบรรพจารย์ดูว่าท่านพอจะนึกอันใดออกบ้าง เพื่อท่านจะทราบว่าในภูมิภาคเบื้องล่างมีเคล้ดบำเพ็ญมารอันใดที่มีเคล้ดรวมวิญญาณแฝงอยู่บ้าง…”


 


“ว่าแต่…ในเมื่อฉีจิ้งมันยังไม่ตาย ไฉนคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงไม่ออกมาแก้ข่าวการตายที่แพร่ไปทั่วเล่า?”


 


เรื่องนี้กู่ลี่ค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย


 


“เรื่องนี้กล่าวไปก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่อ “ทั้งหมดเพราะผู้คนรับทราบว่าฉีจิ้งมันกลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว หากเรื่องที่มันยังไม่ตายแพร่ออกมา คราวนี้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคงยากหลีกเลี่ยงมรสุม…”


 


“อา ไฉนข้าคิดมิได้นะ…”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันกล่าวจบดีกู่ลี่พลันทุบโต๊ะแล้วโพล่งคำออกมา “เมื่อข่าวเรื่องฉีจิ้งไม่ตายแพร่ออกมา ผู้คนย่อมฉุกคิดได้ถึงเรื่องเคล็ดรวมวิญญาณ…ที่มักพ่วงมากับเคล้ดบำเพ็ญมารระดับสูง!”


 


“พอเรื่องฉีจิ้งฝึกเคล็ดบำเพ็ญมารระดับนั้นแพร่ออกมา…อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 เลย กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับของเราก็ต้องเคลื่อนไหว…โดดเข้าร่วมวังวนแห่งการช่วงชิงแน่นอน!”


 


กู่ลี่ก็ไม่ใช่ชนชั้นโง่งม พอได้ยินคำกล่าวแนะของต้วนหลิงเทียนมันก็เข้าใจได้ทันที


 


“ใช่แล้วพี่กู่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยแสยะยิ้มเยาะ “ไอพวกคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนับว่าไม่ใช่ตัวโง่งมจริงๆ”


 


“เฮอะ! ไม่ใช่ตัวโง่งมแล้วอย่างไร? ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง! ความลับย่อมมิมีในโลก!!”


 


กู่ลี่ยิ่มออกมา ค่อยมองต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเกรงใจเล็กน้อย “น้องหลิงเทียนข่าวที่ข้าได้รับทราบจากเจ้านี้มีค่ามากนัก…เช่นนั้นข้าขอถามความเห็นเจ้าก่อน ข้าสามารถนำข่าวนี้ไปบอกต่อท่านพ่อเพื่อให้ท่านพ่อนำไปแจ้งจ้าวตำหนักได้หรือไม่?”


 


“เพราะหากเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งมันฝึก เป็นอวิชชาที่ใช้ทางลัดอย่างชั่วร้ายขัดต่อมโนธรรมในโลกหล้าจริงอย่างที่เจ้าว่า เช่นนั้นจะเป็นการดีเสียกว่าที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราจะไปชิงเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นมาเสีย ดีกว่าปล่อยให้อวิชชาชั่วร้ายเล็ดรอดออกไปในใต้หล้า…และหากมันมิใช่เคล็ดบำเพ็ญมารชั่วร้ายอันใด ก็ถือเสียว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราได้ของขวัญชิ้นโต”


 


กล่าวถึงเรื่องนี้ กู่ลี่ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง


 


“พี่กู่ ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามท่าน ข้าขอกล่าวถามอะไรเพิ่มเติมสักเรื่องได้หรือไม่?”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าจริงจังแววตาไร้ความล้อเล่นมองถามกู่ลี่ทันที


 


“น้องหลิงว่ามาเถอะ”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนจริงจังขึงขัง กู่ลี่ก็จริงจังเช่นกัน


 


“ข้าอยากรู้ว่าหากพวกท่านยืนยันได้แล้วว่าเคล็ดบำเพ็ญมารของฉีจิ้งมันเป็นอวิชชาชั่วร้าย ที่อาจสร้างความสูญเสียและหายนะให้ใต้หล้าจริง ตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำอย่างไรกับมัน…ใช่ยังจะเก็บไว้ฝึกฝนบ่มเพาะเองหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


ถึงแม้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะให้ค่าพลังความแข็งแกร่งเป็นที่สุด การฆ่าฟันนับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไป…


 


ทว่าหากเป็นอวิชชาชั่วร้ายที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์มากมาย ย่อมไม่มีผู้ใดยอมรับมันได้!


 


“ย่อมไม่!”


 


กู่ลี่ส่ายหัว “น้องหลิงเทียน เจ้าพึ่งเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับมาไม่นานบางทีเจ้าคงยังไม่รู้…แต่ในอดีตยามที่ใต้หล้าเกิดมรสุมโลหิต มารร้ายกำแหงสร้างหายนะไปทั่วหล้า บรรพบุรุษของตำหนักฟ้าลี้ลับเราก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือฝ่ายธรรมะที่ออกมาผนึกกำลังกับยอดฝีมือคนอื่นเพื่อกำราบมาร…”


 


“ดังนั้นตราบใดที่เคล็ดบำเพ็ญมารนั่นเป็นอวิชชาชั่วร้าย จ้าวตำหนักของพวกเราย่อมไม่มีทางอนุญาตให้ผู้ใดฝึกปรือเด็ดขาด! ถึงแม้จะได้รับมันมาก็ตาม!”


 


กู่ลี่กล่าวเสริม


 


ได้ยินคำของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนก็วางใจ “หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ขัดข้องเรื่องที่พวกท่านจะจัดการมัน กล่าวไปยังนับว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ…ขอให้พวกคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันร่วมมือกับพวกท่านดีๆเถอะ หาไม่แล้วพวกมันคงไม่พ้นถูกกวาดล้าง!”


 


หากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถูกกวาดล้าง นั่นหมายความว่าเขาไม่ต้องกังวลเรื่องฉีจิ้งอีกต่อไป


 


“น้องหลิง…ไม่ว่าพวกมันจะยอมส่งมาดีๆหรือไม่ พวกมันก็ต้องถูกกำจัด!”


 


กู่ลี่กล่าวออกด้วยประกายตาเย็นเยือก


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้ง “ยังไงหรือพี่กู่ ต่อให้พวกมันร่วมมือส่งมอบเคล็ดวิชามารนั่นมาแต่โดยดี พวกท่านก็ยังจะกวาดล้างมันอยู่ดี?”


 


“มิผิด พวกเรามิอนุญาตให้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของเคล็ดบำเพ็ญมารนี้เป็นดั่งปลาเล็ดรอดร่างแหเด็ดขาด! หาไม่แล้วข่าวเรื่องที่พวกเราตำหนักฟ้าลี้ลับได้มันมาครอง ย่อมไม่พ้นล่วงรู้ไปถึงหูขุมพลังอันน่ากลัวอย่างตลาดมืดหยินชานและตำหนักเมฆาครามแน่นอน! คราวนี้น่ากลัวว่ามหายักษ์ใหญ่ทั้ง 2 นั่นคงต้องเคลื่อนไหวหมายตาเคล็ดบำเพ็ญมารนั่นด้วยแน่….”


 


กู่ลี่กล่าวตอบ “คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก…น้องหลิงเทียนสมควรเข้าใจเรื่องนี้ดี”


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็พยักหน้ารับทราบ เช่นนั้นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เหลือแต่หนทางดับสิ้นเท่านั้น


 


ถึงแม้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่ก็ไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าขุมพลังกึ่งชั้น 3..


 


ในเมื่อรับรู้ว่าฉีจิ้งสมควรบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงที่มีเคล้ดวิชารวมวิญญาณร่วม กู่ลี่จึงร้อนใจคิดไปรายงานให้บิดารับทราบนัก จึงลาต้วนหลิงเทียนไปแจ้งข่าวทันที ด้านต้วนหลิงเทียนก็นั่งจิบสุราต่ออีกสักพัก ค่อยเหินร่างกลับที่พัก


 


“อีก 10 วันแดนลับเซียนก็จะเปิดแล้วสินะ”


 


ต้วนหลิงเทียนมีความคาดหวังต่อแดนลับเซียนที่จะเปิดออกในอีก 10 วันหลังจากนี้นัก เป็นธรรมดาที่เขาเองก็อยากได้มรดกเวทย์พลัง รวมถึงอยากลองตะลุยบททดสอบที่กล่าวกันว่าลำบากยากเย็น เพื่อจะรับมรดกเวทย์พลังอะไรนั่นไม่น้อย


 


เห็นว่ามีการทดสอบมากมาย แทบจะทักษะความสามารถทุกประเภท!


 


เท่าที่เขารู้มรดกเวทย์พลังนั้นมีไม่น้อยเลยในแดนลับเซียน และมีเพียงผ็ที่สามารถผ่านบททดสอบเท่านั้นถึงจะได้รับไป


 


หากมีคนคิดทดสอบรับมรดกเวทย์พลังมากกว่าหนึ่งคน เช่นนั้นก็ต้องวัดฝีมือกันแล้วว่าผู้ใดจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย…เพราะมีเพียงผู้ที่อยู่รอดเป้นคนสุดท้ายเท่านั้น ที่จะได้รับสืบทอด!!


 


“แดนลับเซียนนั่นเป็นพื้นที่ๆสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ…กล่าวกันว่าการเข้าไปจำต้องใช้สำนึกสติจำแลงลงร่างอวตารแทนตัวเพื่อเข้าไป…หากร่างอวตารตกตายในแดนลับเซียน สำนึกสติก็จะย้อนกลับเข้าร่างหลักอย่างปลอดภัย เพียงแค่จะเสียโอกาสในแดนลับเซียนไปเท่านั้น…”


 


นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนตั้งหน้าตั้งตารอเข้าไปในแดนลับเซียน!


 


ร่างอวตาร!


 


มันเป็นทักษะอะไรกันแน่ แล้วจะรู้สึกอย่างไร?


 


ต้วนหลิงเทียนพบว่ายากที่เขาจะจินตนาการได้ออก ขณะเดียวกันก็อยากลองดูด้วยตัวเองนัก ‘แดนลับเซียนนี่เห็นว่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วผู้ใดเป็นคนสร้างเอาไว้ ในหอตำราหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับยังไม่มีบันทึกถึงเรื่องนี้ไว้เลย…’


 


หลังออกจากหอตำราหลักวันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่แดนลับเซียนจะเปิดนัก!


 


ตอนนี้เขากำลังจะได้เข้าไปในแดนลับเซียนที่ว่าในอีก 10 วันหลังจากนี้ จึงทำให้เขาอดตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ


 


‘นอกจากนี้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งนั่น ข้าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจัดการกับมันแล้ว…’


 


คิดไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดเรื่องที่สนทนากับกู่ลี่ขึ้นมา


 


ด้วยมีตำหนักฟ้าลี้ลับเขาแทรกแซง คงยากที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมีจุดจบอันดีได้! ฉีจิ้งที่เป็นผู้เกี่ยวข้องหลัก มันต้องตายแน่นอน และต่อให้มันจะใช้ลูกไม้เอาเคล็ดบำเพ็ญมารไปซ่อนก็ไม่มีทางรอด!!


 


ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณสูงล้ำ สามารถใช้สำนึกเทวะใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาควาญวิญญาณได้ เช่นนั้นการค้นข้อมูลจากผู้คนไม่ใช่เรื่องยากอะไร!


 


แน่นอนว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณสูงล้ำนั้นมีน้อยคนนัก


 


แต่หากเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนมนุษย์อย่างเซียนปฐพีล่ะก็ ย่อมสามารถใช้เคล็ดวิชาควาญวิญญาณหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย


 


ด้วยเคล็ดวิชาควาญวิญญาณต้วนหลิงเทียนไม่กลัวว่าฉีจิ้งจะไม่คายความลับ


 


ทันทีที่ฉีจิ้งมันคายความลับออกมา มันก็จะหมดประโยชน์ทันที! ถึงตอนนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่มีทางไว้ชีวิตมัน!!


ตอนที่ 1,759 : กู่ซืออวิ๋น


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นแม้จะไม่มีเซียนมนุษย์ที่มีพรสวรรค์ด้านพลังวิญญาณสูงล้ำจนมีสำนึกเทวะร้ายกาจถึงขั้นใช้วิชาควาญวิญญาณได้ หากแต่ก็ไม่ขาดเซียนปฐพี!


 


เช่นนั้นจึงไม่นับว่ายากเย็นอะไรที่ตำหนักฟ้าลี้ลับจะใช้วิชาควาญวิญญาณหาข้อมูล!


 


‘อย่างไรเสียอีกแค่ 10 วันแดนลับเซียนก็จะเปิดแล้ว…ถึงตำหนักฟ้าลี้ลับคิดลงมือจัดการคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจริง แต่อย่างน้อยๆก็คงต้องรอเรื่องแดนลับเซียนจบก่อนล่ะนะ…’


 


การเปิดแดนลับเซียนนั้น ผู้ที่จะดำเนินการเปิดก็คือจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับคงไม่ว่างไปถล่มคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย


 


ต่อให้ไม่มีแดนลับเซียน เกรงว่าการจะบุกคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ต้องใช้เวลาปรึกษาหารือ วางแผนกันให้ดีเสียก่อน


 


แม้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะด้อยพลังกว่าตำหนักฟ้าลี้ลับ แต่มันก็ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน อย่างไรเสียก็เป็นขุมพลังชั้น 4 ขุมหนึ่ง


 


หากตำหนักฟ้าลี้ลับเลือกที่จะบุกไปปะทะตรงๆไร้แบบแผน…ถึงแม้ว่าจะชนะแน่นอน แต่เกรงว่ายากจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสูญเสีย! แน่นอนว่าเรื่องเท่านี้คงไม่ได้ถึงขั้นกระทบต่อรากฐานของตำหนักฟ้าลี้ลับอะไร


 


แต่หากตำหนักฟ้าลี้ลับสามารถเอาชนะคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้โดยไร้การสูญเสีย กระทั่งสามารถบุกถล่มม้วนเดียวจบได้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องประเสริฐกว่าหรือ?


 


หากวางแผนให้ดี ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ย่อมมีพลังเช่นนั้น!


 


“ช้าก่อน!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินกลับมาจนถึงที่พัก พอเขากำลังจะเปิดประตูเข้าบ้านก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมาเสียก่อน


 


ไม่ต้องหันกลับไปดู ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร…หวางเฟยเซวียน!


 


“เจ้ามีอะไรเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวางเฟยเซวียนค่อยยิ้มถาม


 


หลังจากเกิดเรื่องก่อนหน้า ใจต้วนหลิงเทียนก็เห็นหวางเฟยเซวียนเป็นสหายคนหนึ่ง


 


ถึงแม้นางจะเป็นสตรี หากแต่ยังมีความรับผิดชอบและความกล้าหาญมากกว่าบุรุษบางคนเสียอีก


 


ตอนที่เผชิญหน้ากับจ้าวไป๋ฉวี่และจ้าวเฮยถูแม้นางจะรู้ดีว่าพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายมาก แต่นางก็ไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย


 


โลกนี้ไม่ขาดคนรอแต่งหน้าเค้ก หากแต่ผู้ที่คอยส่งถ่านกลางหิมะนั้นหายากนัก!


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับมามองทั้งส่งยิ้มให้เช่นนี้ หวางเฟยเซวียนถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที


 


อีกทั้งนางยังสัมผัสได้ชัดว่าว่าสายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองนางนั้น ได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนางไปแล้ว นับเป็นอะไรที่ทำให้นางดีใจนัก!


 


“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก…แค่อยากถามว่าเจ้ารู้จักกับศิษย์พี่กู่ลี่มาก่อนงั้นหรือ?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถาม


 


“อ๋อ ข้าไม่รู้จักพี่กู่มาก่อนหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมา อันที่จริงเขาพึ่งรู้จักกับกู่ลี่วันนี้เท่านั้น เมื่อวานกระทั่งชื่อยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ…


 


แน่นอน่วานี่ไม่ใช่เพราะกู่ลี่ไม่มีชื่อเสียง แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจเอง


 


“งั้นจริงๆเหรอที่ศิษย์พี่กู่ลี่ช่วยเจ้าทั้งๆที่ไม่รู้จัก เพราะถูกใจศักยภาพพรสวรรค์และนิสัยของเจ้า?”


 


คำพูดของต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าหวางเฟยเซวียนย่อมเชื่อถือ และนั่นทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมองถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“ก็ไม่ใช่แค่นี้หรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปิดเรื่องนี้กับหวางเฟยเซวียน “เจ้าจำผู้อาวุโสที่เฝ้าสระวิญญาณของวังนภาได้รึเปล่า…นั่นคืออาจารย์ของบิดาพี่กู่เขาน่ะ เรียกว่าท่านเป็นบรรพจารย์ของพี่กู่…และเป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าวเล่าเรื่องข้าให้พี่กู่ฟัง เขาเลยสนใจข้าขึ้นมาน่ะ”


 


“วันนี้พี่กู่ก็เลยมาหาข้า…ต่อมาก็ออกหน้าช่วยข้าเพราะถูกชะตานิสัยข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“ท่านผู้อาวุโสคนนั้น…คืออาจารย์ของท่านอาวุโสผู้พิทักษ์กู่เลยหรือ!?”


 


หลังได้ฟังคำของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง เสียงกล่าวยังสั่นไปเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าตกใจพอสมควร


 


อาวุโสผู้นั้นถึงกับเป็นอาจารย์ของอาวุโสผู้พิทักษ์กู่!


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 นั้นเพียงมีพลังฝึกปรือด้อยกว่าจ้าวตำหนักเท่านั้น!


 


นี่แสดงให้เห็นว่าฐานะของชายชราแขนเดียวที่เฝ้าสระวิญญาณนั้นไม่ใช่ต่ำต้อยเลย!


 


หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง หวางเฟยเซวียนก็ดึงสติกลับมาได้ นางหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “ข้ามาหาเจ้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง…อีกคนที่มาจากคฤหาสน์ข้ามฟ้าที่ไม่ได้อยู่ในวังนภานั้น มันไม่อาจชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้เหมือนกัน เช่นนั้นหนี้บุญคุณที่เจ้าติดค้างอาวุโสของพวกมันไว้ ครั้งนี้คงยากใช้คืนแล้ว”


 


“อา”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ เขาไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะไม่แน่ใจแต่แรกแล้วว่าศิษย์คฤหาสน์ข้ามฟ้าอีกคนจะชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้หรือไม่…


 


“เอาล่ะที่ต้องบอกก็บอกเจ้าหมดแล้ว ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว บ่มเพาะพลังให้ดีเถอะอีก 10 วันเจอกัน!”


 


กล่าวจบหวางเฟยเซวียนก็ลาต้วนหลิงเทียนไป


 


ต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูเข้าบ้าน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง เมื่อปิดหน้าต่างอะไรดีแล้วเขาก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปทันที 10 วันด้านนอกนั้นเท่ากับ 50 วันบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง!


 


ระยะเวลาเกือบ 2 เดือนเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนปรับปรุงพลังฝึกปรือ ทั้งเข้าใจเต๋ากระบี่จากยอดใจกระบี่มากขึ้น


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังบ่มเพาะพลังในเจดีย์ ตำหนักฟ้าลี้ลับที่สงบก็คล้ายจะบังเกิดคลื่นก่อตัว


 


หลังจากที่กู่ลี่แยกกับต้วนหลิงเทียนมา มันก็เร่งไปหาบิดาของมัน 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ กู่ซืออวิ๋น ทันที


 


“ลี่เอ๋อ เจ้ารีบร้อนมาหาพ่อเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือ?”


 


หากเป็นคนอื่นบุกเข้ามาหามันตอนที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะแบบนี้ กู่ซืออวิ๋นคงหัวเสียหนักข้อแน่แล้ว ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเป็นบุตรชายคนเดียว มันไม่เพียงหัวเสีย แต่ยังยิ้มถามอย่างสนใจ


 


“ท่านพ่อขออภัยด้วย หากเลือกได้ข้าก็ไม่อยากขัดจังหวะบ่มเพาะของท่าน…ทว่าเรื่องนี้สำคัญเกินไป”


 


กู่ลี่กล่าวขอขมาบิดาตัวก่อน ค่อยกล่าวสืบต่อด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“หืม? มีเรื่องอะไรหรือ?”


 


กู่ซืออวิ๋นย่อมรู้นิสัยบุตรชายคนเดียวของมันดี หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ สีหน้าคงไม่จริงจังขนาดนี้


 


บางทีอาจเพราะติดเชื้อจากกู่ลี่ก็เป็นได้ สีหน้ากู่ซืออวิ๋นพลันจริงจังขึ้นมาเช่นกัน


 


กับบิดากู่ลี่ย่อมไม่มีอะไรปิดบัง รีบเล่าเรื่องราวที่สรุปได้จากการฟังความจากต้วนหลิงเทียนออกมาให้บิดารับฟังทีละเรื่องๆ


 


“ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…เคล็ดบำเพ็ญมาร? แฝงเคล็ดรวมวิญญาณ?”


 


หลังได้ฟังเรื่องราวจากปากกู่ลี่ สีหน้ากู่ซืออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะขรึมเคร่งขึ้นมาทันที


 


ในฐานะที่เป็นถึง 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ กู่ซืออวิ๋นย่อมรู้เรื่องราวของเคล้ดบำเพ็ญมารดีกว่ากู่ลี่!


 


มันยังรู้อีกด้วยว่าเคล็ดรวมวิญญาณนั่น สามารถทำให้ผู้ฝึกมารโกงความตาย ฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้!


 


ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงๆที่มีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่ก็หาได้ยากมากแล้ว…ภูมิภาคเบื้องล่างยิ่งแทบไม่เคยพบเจอเลย!


 


ทว่าตอนนี้มันได้ฟังจากปากของบุตรชายตัวเอง ว่าในภูมิภาคเบื้องล่างกลับมีเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงแบบนั้นอยู่!


 


ทันใดนั้นลมหายใจของกู่ซืออวิ๋นก้อดไม่ได้ที่จะถี่รัวขึ้น!


 


เคล็ดบำเพ็ญมารนั่น หากเป็นอวิชชาชั่วร้ายที่สร้างหายนะให้ผู้คนจริง มันต้องถูกทำลาย!!


 


แต่ถ้าหากไม่ใช่อวิชชาที่เบียดเบียนผู้บริสุทธิ์และเป็นภัยต่อใต้หล้า! ก็นับเป็นโอกาสอันประเสริฐของตำหนักฟ้าลี้ลับ!!


 


บางทีอาจเพราะมีเคล็ดบำเพ็ญมารนี้ อีกไม่กี่ปีตำหนักฟ้าลี้ลับอาจมีผู้ฝึกมารยอดฝีมือเกิดขึ้นมากมายก็เป็นได้! และนั่นอาจเป็นขุมพลังลับที่อาจทำให้ตำหนักฟ้าลี้ลับกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ร้ายกาจที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่าง!!


 


ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ในสายตาคนทั่วไปพวกมันเห็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 เป็นดั่งมหาอำนาจไร้ใดสั่นคลอน


 


ทว่าในความเป็นจริง มีเพียงขุมพลังกึ่งชั้น 3 แค่ 2 ขุมพลังเท่านั้นที่ถือเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริง


 


ตลาดมืดหยินชาน กับตำหนักเมฆาคราม!


ตอนที่ 1,760 : รองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง!


 


“เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง พ่อต้องไปรายงานท่านจ้าวตำหนักทันที!”


 


กู่ซืออวิ๋นกล่าวออกเสียงเข้ม “ลี่เอ๋อ เจ้าตามพ่อไปพบท่านจ้าวตำหนัก!”


 


“ได้ท่านพ่อ”


 


กู่ลี่ตอบรับ ก่อนที่จะเหินร่างตามบิดาไปหาจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับทันที


 


ส่วนอีกด้านในเวลาเดียวกันนั้น จ้าวจี้ ก็กลับมาถึงตำหนักหลักฟ้าลี้ลับ เร่งรุดเข้าพบบิดาทันที


 


“ท่านพ่อ สารเลวนั่นมันข่มเหงรังแกผู้คนเกินไป!!”


 


จ้าวจี้มองชายวัยกลางคนเบื้องหน้าด้วยความละอายทั้งคับแค้น เพลิงโทสะในหัวใจของมันลุกโชนออกมาจ้าให้เห้นในแววตา “ศิษย์ใหม่หลิงเทียนนั่นมันกล้าตบหน้าข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย…ท่านพ่อ มันไม่เพียงไม่เห็นหัวข้าเท่านั้น มันยังไม่เห็นหัวท่านด้วย!!”


 


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินอ่อน ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายจ้าวจี้ 5-6 ส่วนที่รับฟังอยู่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่น…มันคือจ้าวเติง รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


จ้าวเติงนั้นเป็นพวกที่เข้าข้างบุตรชายโดยที่ไม่สนว่าบุตรชายของมันจะทำผิดหรือถูก เพราะจ้าวจี้คือบุตรชายแท้ๆคนเดียวของมัน พอได้ฟังคำโวยวายของบุตรชายว่าโดนรังแกมาเช่นนี้ ทำให้มันอดมีโทสะขึ้นมาไม่ได้!


 


เมื่อเห็นว่าบิดามีโทสะขึ้นมาแล้ว ในจ้าวจี้ก็เต้นรัวขึ้นมาด้วยความยินดี


 


มันรู้ดีว่าตราบใดที่บิดามันมีโทสะ บิดามันต้องออกหน้าจัดการเรื่องราวให้มันแน่!


 


เช่นนั้นจ้าวจี้จึงเร่งกล่าวเรื่องราวที่มันพบเจอมาวันนี้ มันไม่ได้ปรุงแต่งเรื่องราวอะไรเลย คล้ายไม่คิดสร้างภาพอะไรทั้งสิ้น


 


แน่นอนว่ามันไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่องราวอะไรให้วุ่นวาย เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้พูดความจริงบิดาก็ยังต้องไปล้างแค้นให้มัน…ในสายตาของบิดาต่อให้มันไปฆ่าใครตายมา บิดามันก็ต้องไปตามเช็ดก้นให้มันอยู่ดี!


 


“หืม? กู่ลี่ไม่รู้จักเจ้านั่นมาก่อน แต่กลับช่วยมันงั้นเหรอ?”


 


หลังได้ฟังเรื่องราวจากปากจ้าวจี้ สีหน้าจ้าวเติงก็เริ่มมืดดำลงทันที


 


หากเป็นศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนอื่น มันคงเร่งสั่งให้ศิษย์ของมันไปสั่งสอนบทเรียนอีกฝ่ายทันที


 


ทว่าคนๆนั้นกลับเป็นกู่ลี่!


 


กู่ลี่ไม่เพียงแต่เป็นอันดับ 1 ในรายนามฟ้าลี้ลับ ยังเป็นบุตรชายคนเดียวของกู่ซืออวิ๋น 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


กู่ซืออวิ๋นมีลูกตอนชรามากแล้ว แถมกู่ลี่ยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของมัน จ้าวเติงจึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายรักถนอมกู่ลี่มากเพียงใด


 


หากมันกล้าส่งใครไปเล่นงานกู่ลี่ น่ากลัวว่ากู่ซืออวิ๋นคงมาอาละวาดถึงที่ ทุบตีมันเละเทะแน่!


 


ถึงแม้มันจะเป็นชนชั้นรองจ้าวตำหนัก แต่พลังฝีมือย่อมไม่สู้กู่ซืออวิ๋น เรียกว่าด้อยกว่ากันมากนัก!


 


กู่ซืออวิ๋นมีพลังฝีมือระดับเดียวกันกับบิดาของมัน!


 


“กู่ลี่ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักมัน!”


 


จ้าวจี้กล่าวออกด้วยโทสะ “ท่านพ่อท่านลองคิดดู หากกู่ลี่มันไม่รู้จักสารเลวหลิงเทียนนั่นจริงๆ มันจะกล้าออกหน้าอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร? ถึงปากมันจะบอกไม่รู้จักหลิงเทียนมาก่อนและช่วยหลิงเทียนเพราะถูกชะตาจริง…แต่ไฉนหลิงเทียนนั่นมันถึงกล้าตบหน้าข้าต่อหน้าผู้คนเช่นนั้นเล่า!”


 


“และท่านต้องทราบด้วยว่าตอนนั้นไม่เพียงแต่ข้า แต่ยังมีพี่ไป๋ฉวี่กับพี่เฮยถูอยู่ ทว่าหลิงเทียนนั่นมันยังสงบไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย…มันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ไฉนยังสงบต่อหน้าชนชั้นอริยะเซียนได้หากไร้ผู้คนช่วยเหลือ?”


 


จ้าวจี้กล่าวฟ้องออกมาน้ำลายแตกฟอง ยิ่งมาท่าทางของมันยิ่งมีโมโหนัก


 


“จี้เอ๋อ…”


 


จ้าวเติงมองจ้าวจี้ที่กำลังโมโหค่อยกล่าวเสียงอ่อน “เจ้าเองก็รู้ดีว่าใครหนุนหลังกู่ลี่…กระทั่งพ่อเองก็ไม่อาจแตะต้องมันได้”


 


“ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้ารู้”


 


จ้าวจี้พยักหน้ารับด้วยความโกรธแค้น “ท่านแตะต้องกู่ลี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรอย่างไรเสียบิดามันก็คืออาวุโสผู้พิทักษ์กู่ แต่พอข้าคิดว่าหลิงเทียนบัดซบนั่นมันรอดตัวไปได้ ข้าไม่อาจทนไหว! พรสวรรค์มันร้ายกาจแล้วอย่างไร? วันนี้มันยังไร้ฐานะแท้ๆ แล้วหากวันหน้ามันมีฐานะเล่า จะไม่โอหังมากกว่านี้เหรอ?!”


 


“แถมขนาดวันนี้มันมิมีฐานะอันใดมันยังกล้าตบหน้าข้าต่อหน้าผู้คน…ต่อไปวันหน้ามิใช่ว่ามันจะกล้าเหยียบหัวข้าเลยหรอ?”


 


กล่าวถึงจุดนี้จ้าวจี้พลันหันไปมองบิดาพร้อมกล่าวออกด้วยความกังวล “ท่านพ่อ ท่านบอกข้าทีตอนนี้ท่านจ้าวตำหนักใช่สนใจมันแล้วหรือไม่? หากมันเป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก ไม่เพียงแต่มันจะเหนือกว่าข้าในแง่พลังฝีมือ กระทั่งฐานะมันยังจะกดหัวข้าอีก!!”


 


“ด้วยทีท่าของมันวันนี้ หากมันมีอำนาจเหนือข้าเมื่อใดวันนั้นข้าคงไม่อาจอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับได้แล้ว”


 


กล่าวถึงประโยคนี้สีหน้าของจ้าวจี้ก็เผยความอับจนหนทางออกมา ยังก้มหน้าลงอย่างเซื่องซึม


 


จ้าวเติงย่อมไม่ทันสังเกตเห็นว่าในขณะที่จ้าวจี้ก้มหน้าลงไป ในแววตาของมันเผยประกายเจ้าเล่ห์ออกมา


 


“ฮึ่ม!!”


 


ได้ยินวาจาเสียงอ่อนสะทกสะท้อนทั้งได้เห็นท่าทางอับจนหนทางของบุตรชายคนเดียว สีหน้าจ้าวเติงพลันเย็นลงปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบ “เป็นแค่ศิษย์ใหม่วังนภาแท้ๆแต่ช่างเหิมเกริมนัก…หากมีอำนาจมิใช่จะโอหังยิ่งกว่านี้งั้นเหรอ!?”


 


“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากถูกบีบให้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับนะ”


 


จ้าวจี้เงยหน้าขึ้นมา ในววตาพลันคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำใสๆ แลดูน่าเวทนาสงสารนัก หากแต่อีกมุมก็แลดูอุบาทว์ลูกนัยน์ตาพิกล ที่ชายวัยย่าง 40 มาร่ำไห้ฟ้องบิดาเช่นนี้…


 


“จี้เอ๋อ เจ้าอย่าได้ห่วงไป ในเมื่อหลิงเทียนนั่นมันมีตาแต่ไร้แววหาญกล้าต่อต้านเจ้า พ่อย่อมไม่คิดนิ่งดูดาย…แต่อย่างไรเสียพรสวรรค์ของหลิงเทียนนั่นก็สูงล้ำจนน่ากลัวจริงๆ หากต้องฆ่าทิ้งไปนับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงนัก…”


 


วาจาท้ายประโยคยามกล่าวออก สีหน้าของจ้าวเติงยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


“ท่านพ่อ!”


 


ได้ยินจ้าวเติงกล่าวออกแบบนั้น ใจจ้าวจี้เต้นผิดจังหวะไปทันที


 


เพราะฟังจากน้ำเสียงบิดาของมันแล้ว คล้ายไม่อยากทำร้ายหลิงเทียนล้างแค้นให้มันเลย จะไม่ให้มันไม่ร้อนใจได้อย่างไร!?


 


“จี้เอ๋ออย่าได้กังวลไป ในเมื่อมันกล้าทำร้ายเจ้าที่เป็นสายเลือดเดียวของตระกูลจ้าวเรา พ่อกับปู่แม้ชมชอบอัจฉริยะ แต่ย่อมไม่คิดนิ่งดูดายแน่! ให้มันมีพรสวรรค์มากมายเพียงใดแล้วจะอย่างไร ตระกูลจ้าวเราก็มิใช่จะให้ใครมาหยามกันง่ายๆ…อัจฉริยะเช่นนี้หากไม่สยบเข้าร่วมกับตระกูลจ้าวเรา ก็นับเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเรา!!”


 


กล่าวถึงจุดนี้แววตาจ้าวเติงพลันเปล่งประกายเย็นเยือกออกมา “หอกข้างแคร่เช่นนี้จำต้องกำจัดทิ้งเสีย! ไม่อาจปล่อยให้มันเติบโตได้!!”


 


พอได้ยินวาจานี้ของจ้าวเติง จ้าวจี้จึงค่อยวางใจ


 


ในที่สุดเรื่องราวก็ลุกลามไปในทิศทางที่มันต้องการ


 


“ท่านพ่อ ท่านยังไม่ตอบข้าเลย”


 


ทันใดนั้นจ้าวจี้คล้ายนึกอะไรได้ออก เร่งกล่าวถามบิดาออกมาอีกครั้ง “ท่านจ้าวตำหนักใช่สนใจพรสวรรค์ของมัน และคิดรับมันเป็นศิษย์จริงหรือไม่?”


 


“จี้เอ๋อ บิดาไม่คิดหลอกเจ้า…มีโอกาสมากกว่า 8 ส่วนที่จ้าวตำหนักจะรับหลิงเทียนนั่นไปเป็นศิษย์ส่วนตัว และเรื่องนี้ท่านจ้าวตำหนักคิดจะประกาศในวันที่พวกเจ้าออกมาจากแดนลับเซียน อันที่จริง…กระทั่งอาจรับมันเป็นศิษย์ปิดสำนักด้วยซ้ำ!”


 


จ้าวเติงกล่าวออกเสียงขรึม


 


“อะไร! ศิษย์ปิดสำนัก!?”


 


วาจานี้ยามดังเข้าหูจ้าวจี้ ไม่ต่างใดจากอัสนีบาตฟาดลงยามแล้งที่ไร้ซึ่งการตั้งเค้าใดๆมาก่อน พาลให้หนังศีรษะของมันด้านชาขึ้นมา…


 


ศิษย์ส่วนตัว กับศิษย์ปิดสำนักต่างกันเพียงใด มันย่อมรู้ดี!


 


“ไม่! ท่านพ่อ! ท่านปล่อยให้มันเป็นศิษย์ปิดสำนักของท่านจ้าวตำหนักไม่ได้นะ!!”


 


ตอนนี้จ้าวจี้รู้สึกกังวลใจอย่างหนัก!


 


มันย่อมจินตนาการออกได้เลยว่าหากต้วนหลิงเทียนได้เป็นศิษย์ปิดสำนักของจ้าวตำหนักจริงจะเป็นอย่างไร ชื่อรุ่นหลังที่ทรงอำนาจมากที่สุดน่ากลัวต้องเปลี่ยนคนแล้ว!


 


นอกจากนี้ด้วยความขัดแย้งระหว่างมันกับหลิงเทียน อีกฝ่ายจะปล่อยมันไปง่ายๆหรือ?


 


“จี้เอ๋อ เจ้าไม่ต้องห่วง”


 


“เรื่องหลิงเทียนจะเป็นศิษย์ส่วนตัวหรือศิษย์ปิดสำนักยังมิมีใดแน่นอน สุดท้ายล้วนต้องดูวันที่ออกจากแดนลับเซียนเสียก่อน…ตอนนี้เจ้าไปตามศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ามาพบพ่อก่อนเถอะ พ่อมีแผนแล้ว”


 


“ได้ท่านพ่อ!”


 


แม้จ้าวจี้ไม่รู้ว่าบิดามีแผนอย่างไร แต่มันก็รีบไปตามศิษย์พี่ใหญ่ของมันอย่างเชื่อฟัง


 


ศิษย์พี่ใหญ่ของจ้าวจี้ที่ว่านี้ ก็คือศิษย์คนโตของจ้าวเติง อีกฝ่ายยังเป็นอันดับ 3 ในรายนามฟ้าลี้ลับ และเช่นเดียวกันกับกู่ลี่ มันเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุด!


 


แต่ถึงแม้มันจะมีด่านพลังฝึกปรือเดียวกันกับกู่ลี่ ทว่าพลังฝีมือทั้งความสามารถของมันกลับด้อยกว่ากู่ลี่มาก


 


และศิษย์พี่ใหญ่ของจ้าวจี้ผู้นี้ก็เรียกว่า เว่ยเหว่ย แลดูเป็นชายวัยกลางคนร่างเตี้ยหากแต่กำยำ ดวงตากระจ่างเผยประกายคมกล้า คิ้วหนาแลดูองอาจน่าประทับใจไม่น้อย


 


“น้องเล็ก…ท่านอาจารย์เรียกหาข้าหรือ?”


 


พอรู้ว่าจ้าวเติงกำลังเรียกหามันอยู่ เว่ยเหว่ยย่อมไม่กล้ารอช้า มันหยุดบ่มเพาะพลังและติดตามจ้ามจี้ไปหาจ้าวเติงทันที ระหว่างเดินทางยังกล่าวถามจ้าวจี้ออกมา “น้องเล็กแล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าไฉนท่านอาจารย์ถึงเรียกหาข้า?”


 


“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าที่ท่านพ่อเรียกท่าน เพราะคิดให้ท่านลงมือล้างแค้นคนที่มารังแกข้า”


 


จ้าวจี้ตอบ


 


“หืม? เกิดอันใดขึ้น?”


 


หน้าเว่ยเหว่ยจมลงทันใด ในแววตาเผยประกายโทสะขึ้น มันไม่คิดเลยว่ามีคนกล้ารังแกน้องเล็กของมัน ช่างกล้านัก!!


 


เว่ยเหว่ยในฐานะศิษย์คนโต มันย่อมรักและเคารพจ้าวเติงมากกว่าใคร กระทั่งยังเข้าขั้นเห็นจ้าวเติงเป็นดั่งเทพเจ้าไปแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้มันเองก็รักและเอ็นดูลูกชายคนเดียวของจ้าวเติงเช่นกัน ยังเห็นเหมือนน้องชายคนเล็กที่มันต้องคอยปกป้อง


 


พอมาได้ยินว่าน้องชายคนเล็กของมันถูกคนรังแก จะไม่ให้มันมีโทสะได้อย่างไรไหว!


 


หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากปากจ้าวจี้ สีหน้าเว่ยเหว่ยเปลี่ยนเป็นมืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก “หลิงเทียนงั้นเหรอ ข้าเคยได้ยินมาบ้าง…ข้าหลงคิดว่าอัจฉริยะเช่นมันสมควรเป็นแบบอย่างอันดีให้เหล่าศิษย์ในตำหนักฟ้าลี้ลับ แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้มันจะหยิ่งยโสจองหอง! คนเช่นนี้เติบโตไป ใช่ว่าจะเป็นผลดีกับคำหนักฟ้าลี้ลับเรา!!”


 


“อย่างไรเสียกูลี่นั่นกระทั่งปกป้องมันออกหน้าเช่นนี้ ท่าทางสัมพันธ์ของพวกมันต้องไม่ธรรมดาแน่…หากมีกู่ลี่อยู่ข้าเกรงว่าคงไม่ง่ายที่จะทำอะไรมัน”


 


ถึงแม้เว่ยเหว่ยอยากสั่งสอนหลิงเทียนเพื่อน้องเล็กมันเพียงใด


 


แต่หากหลิงเทียนได้รับความคุ้มครองจากกู่ลี่ มันก็ไม่อาจลงมือกับหลิงเทียนได้ เพราะมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู่ลี่!


 


“พี่ใหญ่ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับท่าน…แต่ท่านพ่อให้ข้ามาตามท่านไปพบ เช่นนั้นท่านพ่อสมควรมีแผนบางอย่าง”


 


เรื่องที่เว่ยเหว่ยกล่าวออกจ้าวจี้เองก็คิดได้แต่แรก แต่มันก็ยังเลือกที่จะเชื่อบิดา


 


“ข้าเองก็เชื่อว่าท่านอาจารย์สมควรมีทาง!”


 


เว่ยเหว่ยพยักหน้า มันเองก็เชื่อใจอาจารย์ของมันอย่างไร้เงื่อนไข


 


“ท่านอาจารย์..”


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเว่ยเหว่ยกับจ้าวจี้กลับมาถึง พอมันคำนับจ้าวเติงเสร็จไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรต่อ พลันมีเสียงดังขึ้นจากด้านนอก


 


“ท่านรองจ้าวตำหนัก ท่านจ้าวตำหนักให้ท่านรีบไปพบทันที”


 


เสียงดังกล่าวยังรีบร้อนไม่น้อย


 


เพียงฟังจากน้ำเสียงรีบร้อนนี้ จ้าวเติงก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นเหตุฉุกเฉิน! มันจึงรีบออกไปทันที!!


 


ทว่าก่อนที่มันจะออกไป มันไม่ลืมหันมามองกล่าวกับเว่ยเหว่ยและจ้าวจี้ “เหว่ยเอ้อ จี้เอ๋อ พวกเจ้ารอข้ากลับมาอยู่ที่นี่…ข้าไปเข้าพบท่านจ้าวตำหนักก่อน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)