War sovereign Soaring The Heavens 1741-1752

 ตอนที่ 1,741 : เขาคือ หลิงเทียน!


 


“ถ้าไม่ได้รับสิทธิ์เหรอ?”


 


พอได้ยินคำนี้ของหวางเฟยเซวียน คิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นทันที เพราะเรื่องนี้เขากลับลืมคิดถึงไปเสียฉิบ!


 


พอลองคิดดูมันก็มีโอกาสเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ!


 


อย่างไรก็ตามคิ้วที่ขดย่นของเขาก็คลายลงในเวลาอันสั้น “ถ้าพวกมันไม่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนงั้นข้าก็ช่วยอะไรพวกมันไม่ได้…ส่วนเรื่องติดค้างอาวุโสพวกมัน ข้าแค่หาทางชดใช้ภายหลังก็เท่านั้น”


 


หวางเฟยเซวียนที่ได้ยินคำตอบ ถึงกับตาลุกวาว


 


“ขอให้พวกมันทั้งคู่ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนเถอะ…”


 


หวางเฟยเซวียนลอบกล่าวขมุบขมิบ


 


ในสายตาของนางแม้หลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยจะได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน แต่พลังฝึกปรือของพวกมันอย่างดีก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด เขาไปในแดนลับเซียนก็รังแต่จะถ่วงมือถ่วงเท้านางกับหลิงเทียน


 


แน่นอนว่าอีกเรื่องหนึ่งก็คือ หากพวกมันชวดสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน นางก็จะได้อยู่กับหลิงเทียนเพียงลำพัง ไม่มีก้างขวางคอ!


 


นี่นับเป็นเรื่องสำคัญ!


 


สายตาเปี่ยมความคาดหวังของหวางเฟยเซวียนย่อมอยู่ในสายตาต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนพอจะเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่


 


แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก


 


ตอนนี้ในเมื่อเขาลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะร่วมมือกับหวางเฟยเซวียน เขาก็ต้องกระทำตามคำพูด


 


ส่วนหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพวกมันเอง


 


หากพวกมันไม่อาจสู้ชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้เขาก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรพวกมันได้ แต่ถ้าพวกมันชิงสิทธิ์มาได้ ในแดนลับเซียนเขาจะพยายามช่วยให้พวกมันได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูง!


 


แน่นอนว่าเขาไม่อาจรับประกันได้เต็มสิบส่วน แต่เขาจะพยายามทำให้ดีที่สุด…


 


เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในแดนลับเซียนมากมายนัก จึงไม่กล้ากล่าวชี้ชัดอะไรได้!


 


“ถึงแล้ว”


 


หลังเหินร่างลอยขึ้นมาถึงยอดเขาไม่นาน หวางเฟยเซวียนที่อยู่ข้างก็กล่าวออกพร้อมชี้มือไปทิศทางหนึ่ง


 


หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เหินร่างตัดอากาศมุ่งหน้าไปลงจอดบนมุมหนึ่งของลานศิลาขนาดใหญ่พร้อมๆกัน


 


การปรากฏตัวของทั้งสองคนแน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะไม่ว่าจะชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็หน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่ มองไปคล้ายคู่รักสวรรค์สร้าง


 


เมื่อเห็นสายตาของผู้คนมากมายที่มองจ้องมาจากทั่วทุกสารทิศ หวางเฟยเซวียนรู้สึกเขินเล็กน้อย และพอเห็นบางคนใช้สายตามองนางสลับกับหลิงเทียน ยิ่งทำให้นางรู้สึกเขินมากขึ้นไปอีก


 


“นั่นคือ หวางเฟยเซวียน!”


 


“เป็นนางจริงๆ! วีรสตรีจากคฤหาสน์ดาบทรราชนางนี้ข้าเคยเห็นมาก่อน แต่ไม่คิดเลยว่านางจะเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งเข้าร่วมวังนภาของพวกเรา!”


 


“สมคำร่ำลือนัก! หวางเฟยเซวียน วีรสตรีแห่งคฤหาสน์ดาบทรราช ไม่เพียงมีพลังฝีมือสูงส่ง ร้ายกาจกล้าหาญเยี่ยงบุรุษ ยังมีรูปโฉมงามล่มเมือง…สวรรค์นับว่าลำเอียงมอบสิ่งดีๆให้นางเกินหน้าเกินตาผู้อื่นจริงๆ”


 


“สตรีคนอื่นที่มีวัยเดียวกันกับนาง เกรงว่าแค่ให้ยืนข้างนางก็ยากจะกล้ำกลืน”


 


……


 


ไม่นานหลายคนก็จดจำหวางเฟยเซวียนได้ ต่างกล่าวคำยกย่องเยินยอนางกันใหญ่ ทำราวกับนางเป็นธิดาสวรรค์ที่จุติมาเกิดบนแดนมนุษย์


 


หากเป็นปกติมาได้ยินวาจากล่าวชมเช่นนี้หวางเฟยเซวียนคงไม่รู้สึกอะไร


 


ทว่าตอนนี้ข้างกายนางกลับมีบุรุษผู้หนึ่ง ยังเป็นบุรุษที่นางชมชอบทั้งประทับใจ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ยังพยายามหันไปมองอาการบุรุษข้างกายที่ว่า


 


อนิจจาไม่นานหวางเฟยเซวียนก็ได้แต่ผิดหวัง


 


เพราะนางสังเกตว่าแม้จะมีวาจาเชยชมนางทั้งกล่าวในทำนองเหมาะสมกัน แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดขึ้นมา


 


‘เจ้าทึ่มเอ๊ย! นี่เจ้าเป็นท่อนไม้จริงๆรึไร!!’


 


หวางเฟยเซวียนได้แต่ตำโกนในใจ ‘มิรู้ไฉนเจ้าทึ่มนี่ถึงไปล่อลวงสตรีมาติดพันได้ถึง 3….ท่อนไม้เช่นมันรู้จักเอาใจอิสตรีด้วยรึ?’


 


บริเวณนี้มีคนที่จำหวางเฟยเซวียนได้ไม่น้อยพอเสียงกล่าวดังขึ้น ก็ทำให้คนทั้งลานรับทราบการมาถึงของหวางเฟยเซวียน


 


“หวางเฟยเซวียนจากคฤหาสน์ดาบทรราช สามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้ตั้งแต่ยังเยาว์! นับว่านางเป็นสตรีรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับของเรา!!”


 


“แม่นางหวางไม่เพียงพลังฝึกปรือร้ายกาจ ฐานะความเป็นมาก็ดี ยังมีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดา…ผู้ใดได้ตบแต่งกับนาง นับว่ามีวาสนายิ่งนัก!”


 


“นั่นสิหากแต่เรื่องนี้บางทีมีวาสนาดีอาจยังมิพอ เพราะข้าได้ยินมาว่าแม่นางหวางเฟยเซวียนมีมาตรฐานที่สูงนัก ในอดีตนางมิเคยชมชอบผู้ใด ท่าทางคงยากที่จะมีผู้ใดดีพอเข้าตานาง…”


 


……


 


แม้จะผ่านไปสักพักแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงพูดถึงหวางเฟยเซวียนไม่เลิก


 


“หืม? แม่นางหวางมากับบุรุษนี่ แล้วมันเป็นใครกัน?


 


“แม่นางหวางแลดูใกล้ชิดสนิทสนมกับมันไม่น้อย! นี่ใช่แม่นางหวางที่มีอีกฉายาว่า ราชินีน้ำแข็งไร้ใจจริงหรือ?”


 


……


 


ไม่นานคนก็เริ่มสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างๆหวางเฟยเซวียน เริ่มกล่าวถึงกันใหญ่


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนทำเหมือนไม่เห็นไม่ได้ยิน ยังคงเดินไปหาที่ว่างของลานศิลาหน้าตาเฉย


 


หวางเฟยเซวียนที่ได้ยินวาจา ทั้งสายตาที่มองมาจากผู้คนมากมายโดยรอบ ไม่ทราบเพราะอะไรมุมปากนางพลันบังเกิดรอยยิ้มสนุกสนานขึ้นมา แววตายังเผยประกายกระหยิ่มยิ้มย่อง


 


ทันใดนั้นภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย หวางเฟยเซวียนพลันพุ่งมือฉับไวปานสายฟ้าฟาด ไปควงแขนต้วนหลิงเทียนมากอดเอาไว้ทันที!


 


“เจ้าทำบ้าอะไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับหยุดเดิน มองถามหวางเฟยเซวียนด้วยแววตาเย็นชา


 


“เจ้าจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรมากมายเล่า หวงตัวมากหรือ…แค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้”


 


หวางเฟยเซวียนไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะถึงกับหยุดมองนางด้วยสายตาเย็นชาเพราะเรื่องเท่านี้…ในคฤหาสน์ดาบทรราชไม่ทราบมีผู้คนมากมายเพียงไหนที่อยากเอาอกเอาใจนาง


 


แต่ไม่คิดเลยว่าสตรีงดงามที่มีแต่ผู้คนหมายปองเช่นนาง คิดกอดแขนผู้อื่นก่อนเข้าหน่อยกลับถูกมองด้วยสายตาดุๆทั้งเย็นชาเช่นนี้มองมา อดทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา


 


ตอนนี้เรียกว่าอาการน้อยเนื้อต่ำใจได้เผยออกบนสีหน้าของหวางเฟยเซวียนหมดสิ้น แวววตาของนางยังกลายเป็นน่าเวทนาขึ้นหลายส่วน เห็นสตรีที่ปกติแลดูเข้มแข็งห้าวหาญซึมลงราวเด็กน้อยทำผิดเช่นนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนใจ


 


“เจ้าอยากกอดก็กอดไปเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา คร้านจะวุ่นวายอะไรอีกใครจะไปรู้ว่านางจะทำอะไรต่อหากเขาว่านาง?


 


เห็นหวางเฟยเซวียนควงแขนต้วนหลิงเทียนเดินไปด้วยกัน ผู้คนโดยรอบล้วนตกตะลึงกันใหญ่!


 


“เพ้ย! เจ้านั่นมันเป็นใครกันแน่!? แม่นางหวังของข้าถึงกับเดินควงแขนมัน! ใช่ข้าตาฝาดไปหรือไม่!?”


 


“เจ้าไม่ได้ตาฝาด ข้าเองก็เห็นตำตา! แม่นางหวางผู้ยิ่งใหญ่ที่ผู้คนมากมายล้วนติดตามคอยเอาใจ ทว่าไม่วายโดนนางไล่ตะเพิดทุบตีจนเตลิดหนีหมด…วันนี้นางกลับเป็นฝ่ายริเริ่มควงแขนผู้คน! บัดซบ ข้าอิจฉาเจ้านั่นนัก!!”


 


“เจ้าอย่าฝันไกลไปหน่อยเลย คางคกเช่นเจ้าริคิดกินเนื้อห่านฟ้างั้นหรือ…”


 


……


 


สายตาของบุรุษมากมายล้วนมองจ้องไปที่ร่างต้วนหลิงเทียนเขม็ง เกรงว่าหากสายตาฆ่าคนได้ ให้ต้วนหลิงเทียนมีร้อยชีวิตก็ไม่พอให้ตาย


 


เพราะสำหรับบุรุษทั้งหลายแล้ว หวางเฟยเซวียนไม่ต่างอะไรจากนางในฝัน!


 


อนิจจาวันนี้นางในฝันของพวกมันกลับไปควงแขนชายอื่น!


 


“ไอ้หน้าขาวนั่นมันเป็นใครกัน?”


 


“ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย”


 


……


 


แม้นามแฝงของต้วนหลิงเทียนอย่าง ‘หลิงเทียน’ จะดังไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว แต่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นเขากับตา จึงมีน้อยคนที่จดจำเขาได้


 


“นั่นมิใช่ หลิงเทียน รึไง?!”


 


“เขาคือ หลิงเทียน! ศิษย์ใหม่วังนภา!!”


 


ในที่สุดหลังจากที่บางคนมั่นใจแล้วว่าไม่ผิดคน พวกมันก็โพล่งกล่าวออกมาทันที


 


วาจาที่พวกมันกล่าวออก ประหนึ่งหินใหญ่ร่วงลงสระสงบก่อเกิดพันระลอกคลื่น!


 


“หลิงเทียน!? เจ้านั่นน่ะเหรอหลิงเทียน!?”


 


“หลิงเทียนที่สู้เสมอกัวลู่ อีกทั้งยังดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในสระวิญญาณของวังนภาได้หมดในเวลา 20 วัน?”


 


“ไม่คิดเลยว่าหลิงเทียนนั่นไม่เพียงแต่พลังฝีมือร้ายกาจ หน้าตายังหล่อเหลาไม่น้อย”


 


“อา…ใจข้าไฉนเต้นเร็วนัก! หรือตกหลุมรักเขาแล้ว!!”


 


……


 


ดวงตาหลายคู่ที่มองมายังต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนประหลาดใจ เหล่าศิษย์สตรีบางส่วนยังเผยประกายตาลุกวาว เห็นได้ชัดว่าต้องตาพึงใจไม่น้อยคล้ายหากเขาไม่รังเกียจพวกนางก็เต็มใจ…


 


เมื่อตัวตนของหลิงเทียนปรากฏออกมาหวางเฟยเซวียนก็อึ้งไปเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายเรียกว่ากลบรัศมีของนางหมดทันที อย่างไรก็ตามนางกลับรู้สึกดีไม่น้อย


 


หวางเฟยเซวียนนั้น ในตำหนักฟ้าลี้ลับตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายปี คงยากที่จะมีใครไม่รู้จักนาง


 


ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้นแม้จะพึ่งโด่งดังขึ้นมาในตำหนักฟ้าลี้ลับ แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ


 


“หลิงเทียนมาถึงแล้วงั้นเหรอ?”


 


“ไป! ไปดูกันเถอะ! ข้าอยากเห็นหน้าอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ของวังนภาเราผู้นี้สักครา!!”


 


“ข้าด้วย! เคยได้ยินมาก็แต่ชื่อ!”


 


……


 


เหล่าศิษย์วังนภาพอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมาถึงแล้ว ทั้งหลายต่างเหินร่างกันมาแต่ไกลตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


พวกมันอยากเห็นหน้าต้วนหลิงเทียน !


 


กล่าวให้ชัด พวกมันอยากเห็นใบหน้า หลิงเทียน ที่ต้วนหลิงเทียนปลอมแปลงขึ้นมา!


 


ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนกลุ่มใหญ่ แถมตอนนี้คนของวังอื่นยังเริ่มมาดูชมด้วยเช่นกัน


 


ทั้งหมดต่างอยากเห็นนัก ว่าอัจฉริยะที่ร้ายกาจของวังนภาที่แท้ใช่มี 3 เศียร 6 กรหรือไม่?


 


เมื่อผู้คนมากมายรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมาแล้ว กัวลู่เองก็ย่อมรับทราบด้วยเช่นกัน มันยังไปหาต้วนหลิงเทียนทันที ยังไม่ลืมหันไปมองทั้งยักคิ้วให้แฝดสกุลลั่ว กระทั่งส่งสายตาท้าทาย


 


หลิงเทียนอยู่ที่นี่แล้วไง พวกเจ้ากล้าท้าเขาหรือไม่!


 


ความนัยที่อยู่ในสายตาดังกล่าว ไหนเลยคู่พี่น้องแซ่ลั่วจะไม่รู้ พวกมันอดไม่ได้ที่จะมีโมโหขึ้นมา


 


ต่อมาไม่ทราบเพราะพวกมันดื้อรั้นไม่ยอมคนเป็นทุน หรือต้องการท้าทายต้วนหลิงเทียนจริงๆกันแน่ หลังจากที่กัวลู่จากไป มันก็พุ่งร่างตามผู้คนไปทันที


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียน!”


 


ต่างจากคนอื่นๆที่กระซิบกระซาบอยู่ห่างๆ กัวลู่แหวกฝูงชันเดินตรงเข้าไปหาต้วนหลิงเทียน ทั้งทักทายด้วยรอยยิ้มทันที


 


“ศิษย์พี่กัวลู่”


 


สำหรับกัวลู่คนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็มีความประทับใจอยู่ไม่น้อย จึงกล่าวทักตอบไปด้วยรอยยิ้ม


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียน อีกไม่นานพี่น้องสกุลลั่วสมควรมาท้าทายเจ้า…ไม่เป็นไรหากพวกมันท้าเจ้าประลองตัวต่อตัว แต่ถ้าพวกมันคิดร่วมมือกันสองคนประลองกับเจ้าขึ้นมา ให้เจ้ารีบปฏิเสธพวกมันไปเสีย! เพราะพวกมันจะมีพลังมากพอจะสู้กับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ยามร่วมมือกัน! ด้วยความที่พวกมันเป็นฝาแฝดจึงสามารถส่งกระแสจิตร่วมมือกันได้อย่างน่ากลัว!!”


 


หลังจากล่าวทักทาย กัวลู่ ก็เร่งกล่าวส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดถึงต้วนหลิงเทียนทันที


ตอนที่ 1,742 : แสร้งลึกลับ?


 


“พี่น้องสกุลลั่ว?”


 


ได้ยินเสียงที่ส่งมาของกัวลู่ ต้วนหลิงเทียนพลันโค้งคิ้วขึ้นราวกับเคยได้ยินชื่อพี่น้องสกุลลั่วจากที่ไหนสักแห่ง


 


“แม่นางหวางเจ้ารู้จักพี่น้องสกุลลั่วไหม?”


 


แต่นึกอยู่พักหนึ่งก็นึกไม่ออก ต้วนหลิงเทียนจึงอดหันไปถามหวางเฟยเซวียนที่อยู่ข้างๆไม่ได้


 


“พี่น้องสกุลลั่ว…มิใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุด 2 อันดับแรกของวังนภาหรอกหรือ? พลังฝีมือพวกมันนับว่าเหนือกว่ากัวลู่…! แต่ด้วยพลังฝึกปรือของเจ้าตอนนี้คิดเอาชนะพวกมันคงง่ายดายนัก ทว่าหากพวกมันร่วมมือกัน กระทั่งเจ้าอาจจะสู้ไม่ได้! เพราะยามร่วมมือกัน..พวกมันจะมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมากฝีมือ”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยเป็นฝ่ายกล่าวกับหวางเฟยเซวียนก่อน ดังนั้นพอนางได้ยินเขาถาม หวางเฟยเซวียนจึงเร่งตอบออกมาทันที…ด้วยกลัวว่าหากตอบช้าไปจะมีคนแย่งตอบอีกฝ่าย!


 


ในตอนนี้นางกระทั่งลืมเลือนไปว่า…เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนถามนางด้วยการส่งเสียงผ่านปราณ…


 


“อ้อ ข้านึกออกแล้ว!”


 


เมื่อมีหวางเฟยเซวียนเตือนความจำ ต้วนหลิงเทียนจึงนึกออกทันที


 


ในวันที่เขาประลองเสมอกับกัวลู่ เขาก็ได้ยินศิษย์วังนภากล่าวออกมาบ้าง ว่ากัวลู่เป็น 1 ใน 3 ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ และพลังฝีมือเพียงด้อยกว่าคน 2 คนเท่านั้น และนั่นคือ พี่น้องสกุลลั่ว!


 


อย่างไรก็ตามตอนนั้นเขาเพียงฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไปเท่านั้น เพราะในเมื่ออีกฝ่ายพลังฝีมือทัดเทียมกับกัวลู่ ก็ไม่ได้มีอะไรให้เขาสนใจ


 


“คู่แฝด? ส่งกระแสจิต?”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยได้ยินเรื่องพี่น้องสกุลลั่วมาบ้าง แต่เขาก็ไม่รู้อะไรมากนัก พึ่งมารู้ก็ตอนที่กัวลู่กับหวางเฟยเซวียนกล่าวบอกเท่านั้น


 


“ศิษย์พี่กัวลู่ พี่น้องสกุลลั่วกับข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมพวกมันถึงต้องมาท้าข้าด้วยล่ะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงกล่าวถาม


 


กัวลู่ไม่คิดปิดบังอะไร กล่าวบอกเรื่องราวความบาดหมางของมันกับพี่น้องสกุลลั่วออกไปทันที สุดท้ายยังกล่าวขอขมาต่อต้วนหลิงเทียน “ศิษย์น้อหลิงเทียน ข้าต้องขออภัยต่อเจ้าด้วย ข้ามิคิดลากเจ้าลงปลักโคลนเช่นนี้ แต่ทั้งสองคนนั่นมันทำเกินไป…นอกจากนี้ข้าคิดว่าด้วยพลังฝีมือของเจ้า คิดเอาชนะพวกมันคงไม่ใช่เรื่องยาก”


 


“อย่างไรก็ตามหากพวกมันขอร่วมมือกันกลุ้มรุมเจ้าล่ะก็ เจ้าอย่าได้ตอบรับพวกมันเด็ดขาด…เพราะถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าไม่สู้ก็ไม่มีใครว่าอะไรเจ้าได้ ยังจะมีแต่คนว่าพวกมันว่าสู้ตัวๆไม่ได้จำต้องกลุ้มรุม”


 


วาจาท้ายประโยคของกัวลู่ย้ำเตือนอีกครั้ง


 


หลังได้ยินกัวลู่เล่าเรื่องพี่น้องสกุลลั่วแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกรังเกียจพวกมันทันที


 


หากพวกมันมาท้าประลองเพราะอยากขัดเกลายกระดับฝีมือก็ไม่นับเป็นอะไร เพราะนั่นเป็นเรื่องปกติของชาวยุทธ์ที่แสวงหาความแข็งแกร่ง


 


ทว่าพี่น้องสกุลลั่วกลับมาท้าประลองผู้ที่เคยพ่ายแพ้พวกมันไปแล้วอย่างกัวลู่ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งยังท้าทายกัวลู่ต่อหน้าผู้คน หมายทุบตีรังแกให้กัวลู่อับอายขายหน้า…


 


ในสายตาของเขาความคิดของพี่น้องสกุลลั่วเข้าขั้น ‘วิปริต’ ยังทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนนัก


 


“มีเพียงอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อย่างต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ถึงจะคู่ควรกับแม่นางหวาง!”


 


ผู้คนเข้ามารุมล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากศิษย์วังนภาแล้ว ยังมีศิษย์ของวังปฐพี วังลี้ลับ และวังเหลือง ต่างกรูกันเข้ามามุงล้อมมากมาย


 


บุรุษต่างมองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา ส่วนสตรีก็มองหวางเฟยเซวียนด้วยความอิจฉาเช่นกัน


 


เรียกว่าต้วนหลิงเทียนดึงดูดอิสตรี ส่วนหวางเฟยเซวียนก็ดึงดูดบุรุษ!


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียน อย่าถือว่าข้าสอดรู้สอดเห็นเลย แต่ตอนนี้พวกเราทุกคนล้วนอยากรู้อยากเห็นกันนัก! ว่าหลังจากที่เจ้าออกมาจากสระวิญญาณ เจ้าได้ทะลวงผ่านไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือไม่?”


 


ไม่นานก็มีศิษย์วัยกลางคนผู้หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาตรงๆ


 


ด้วยมีมันเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมาแบบนี้ ทำให้ทุกสายตาหันขวับไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที ต่างรอฟังคำตอบทั้งสิ้น


 


กระทั่งหวางเฟยเซวียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


เมื่อ 3 วันก่อน แม้หวางเฟยเซวียนจะเคยถามต้วนหลิงเทียนไปทีนึงแล้ว ว่าใช่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือไม่…แต่เขาดันยิ้มตอบไม่พูดไม่จา!


 


ถึงแม้นางแทบจะยืนยันได้เต็มสิบส่วนว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่ตอนนี้นางยังอยากได้ยินคำตอบ ‘ยืนยัน’ จากปากของเจ้าตัว!


 


เผชิญหน้ากับคำถามทั้งสายตาอยากรู้ของผู้คนโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบแต่กล่าวถามออกมาเสียงเรียบแทน “เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ?”


 


เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ?


 


ไม่คิดใครคิดคาดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวตอบออกมาแบบนี้ ทำให้หลายคนลอบกล่าวกันเบาๆทันที “ดูท่าหลิงเทียนยังไม่ได้ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…หาไม่แล้วคงไม่ต้องพูดจาวกวนแบบนี้”


 


“เหอะ! แสร้งแสดงลึกลับ!!”


 


ในขณะที่บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเงียบลง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


หลังจากนั้นปรากฏร่างสูงสองร่างเดินแหวกฝ่าฝูงชนออกมาจนอยู่ในสายตาของต้วนหลิงเทียน


 


พวกมันทั้งสองเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีขาว หว่างคิ้วแต่ละคนมีไฝเม็ดเขื่องแปะอยู่


 


“นี่คือคู่พี่น้องสกุลลั่ว และที่พูดเมื่อครู่เป็นคนน้องเรียกว่าลั่วเหอ!”


 


ตอนนี้เองเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดของกัวลู่พลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน บอกฐานะของอีกฝ่ายทันที


 


พี่น้องสกุลลั่ว ลั่วเหอ!


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ ก่อนที่จะหันไปมองทั้งคู่ทันที ในแววตาที่อีกฝ่ายมองมายังเต็มไปด้วยความไม่ลงรอยคล้ายเห็นเขาเป็นศัตรู


 


หากไม่ได้กัวลู่กล่าวเตือนไว้ก่อน เขาคงไม่รู้ว่าไฉนทั้งคู่ถึงเห็นเขาเป็นศัตรูแบบนี้ทั้งๆที่พึ่งเจอหน้ากันครั้งแรก…


 


อย่างไรก็ตามเพราะมีกัวลู่กล่าวเตือนไว้แล้ว เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร


 


“นั่นพี่น้องสกุลลั่วนี่!”


 


“ไฉนสีหน้าท่าทางที่พี่น้องสกุลลั่วมีต่อหลิงเทียนกลับเป็นเช่นนั้นเล่า? หรือพวกมันเคยมีเรื่องบาดหมางกันกับหลิงเทียนมาก่อน?”


 


“ข้าพเจ้าไม่ทราบ”


 


“จากที่เห็น หากบอกว่ามิเคยบาดหมางกันข้าพเจ้าไม่เชื่อ…”


 


……


 


เมื่อเห็นทีท่าเป็นปรปักษ์อย่างแรงกล้าที่พี่น้องสกุลลั่วมีต่อต้วนหลิงเทียน ผู้คนที่ชมดูเรื่องราวโดยรอบอดไม่ได้ที่จะเผยแววตาลุกวาว จับจ้องมองชมเรื่องราวอย่างวาดหวัง!


 


“แสร้งแสดงลึกลับ? ลั่วเหอที่เจ้ากล่าวหมายความว่าอะไร?”


 


กัวลู่ที่ยืนข้างๆต้วนหลิงเทียน มองลั่วเหอตาขวางกล่าวถามออกไปเสียงเข้ม


 


“ก็มิใช่มันพยายามเสแสร้งทำตัวลึกลับอยู่รึไง?”


 


ลั่วเหอหัวเราะกล่าว “หากมันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ ไหนเลยจะไม่ยอมรับออกมาดีๆ? ในสายตาข้าต่อให้มันใช้สระวิญญาณมาก็ไม่แน่ว่ามันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้…เพราะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมิใช่เรื่องง่ายที่จะบรรลุ!!”


 


“อะไรกันกัวลู่…นี่เจ้าคิดถือหางมันหรือ?!”


 


ลั่วชานพลันมองกัวลู่ด้วยสายตาเย้ยเยาะ “มันเป็นแค่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังนภาแท้ๆ แต่เจ้ากลับเข้าข้างมันราวสุนัขรับใช้…”


 


กัวลู่ไม่คิดเลยว่าลั่วชานจะปากร้ายดั่งลิ้นมีพิษเช่นนี้ ใบหน้ามันขึ้นสีด้วยโทสะทันที “เหลวไหล พวกเจ้ามันก็แค่ตัวโง่งมไม่รู้อะไร!”


 


“ข้าเป็นตัวโง่งม?”


 


ความเย้ยหยันบนใบหน้าลั่วชานยิ่งมายิ่งมาก “หากเจ้าเห็นข้าเป็นตัวโง่งมกล่าวเหลวไหลจริง ไฉนเจ้าถึงได้ร้อนตัวออกมาแทนมันเช่นนี้เล่า?”


 


“เขาเป็นสหายข้า!”


 


กัวลู่กล่าวออกเสียงเข้ม


 


“สหาย? น่าขันนัก!!”


 


ลั่วชานแค่นคำด้วยรังเกียจ มุมปากเผยรอยยิ้มหยามหยัน สายตามองเหยียด “เท่าที่ข้ารู้เจ้าเคยเจอมันก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ประมือกันครั้งแรกเจ้ายังทำได้แค่เสมอ…วันนี้พอเจอหน้ามันเป็นครั้งที่สองเจ้ากลับเรียกหามันเช่นนี้…อย่าบอกข้าเชียวว่าเจ้าเห็นมันเป็นสหายแล้ว?”


 


“แล้วจะอย่างไร?!”


 


กัวลี่กล่าวออกเสียงเย็น


 


ในขณะที่ลั่วชานเปิดปากคล้ายจะกล่าววาจาใดสืบต่อ เสียง ‘ปับ’ พลันดังขึ้นเบาๆ เป็นต้วนหลิงเทียนตบบ่ากัวลู่ “ศิษย์พี่กัวลู่ บางคนนั้นสันดารถ่อยจึงไร้ผู้ใดคบค้าสมาคมนับประสาอะไรกับยึดถือเป็นสหาย…ท่านกล่าววาจาเรื่องนี้กับคนที่ไม่มีผู้ใดคบเช่นนั้น…ยังต่างใดกับดีดพิณให้วัวฟัง?”


 


ดินพิณให้วัวฟัง!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา ทุกสายตาโดยรอบพลันหันไปมองลั่วชานแปลกๆทันที


 


ในวังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ พี่น้องสกุลลั่วนับว่าถือดีและหยิ่งยโสเกินไปจริงๆ พวกมันจึงไม่มีผูใดคบหาเป็นสหายเลย และต่อให้เคยมีผู้ที่เรียกหาว่าสหาย แต่นั่นก็เป็นแค่วาจาลมปากเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น!


 


ดังนั้นการที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา จึงไม่ต่างใดกับจี้เข็มลงจุดอ่อน พาลให้ใบหน้าของสองพี่น้องสกุลลั่วจมลงโดยพลัน


 


“ประเสริฐ! ดีดพิณให้วัวฟังอันประเสริญ!! ฮ่าๆๆๆ! วาจาเปรียบเปรยนี้ช่างเหมาะเจาะนัก!!”


 


ผู้ชมมากมายระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมา


 


คนเหล่านี้ไม่มีใครกริ่งเกรงพี่น้องสกุลลั่ว บ้างก็เป็นคนจากตำหนักหลัก


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียนกล่าวถูกแล้ว เป็นข้าตีค่าพวกมันสูงเกินไป…”


 


กัวลู่ที่ได้ยินคำอุปมาของต้วนหลิงเทียน มุมปากยังอดไม่ได้ที่จะกระตุกตงิดๆ คล้ายพยายามกลั้นขำสุดชีวิต ขณะเดียวกันก็ชักสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้ากล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม…ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี


 


“หลิงเทียน! ทุกคนเพียงกล่าวว่าเจ้ามากพรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือร้ายกาจ…แต่ไม่คิดเลยว่าฝีปากเจ้าจักร้ายกาจเช่นกัน! เจ้าในฐานะอัจฉริยะที่ถูกยอมรับว่าร้ายกาจที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์..หาญกล้าประมือกับข้าหรือไม่!?”


 


ลั่วเหอที่สีหน้าถทึงทึงก้าวออกมาประจัญหน้ากับต้วนหลิงเทียน ค่อยเชิดหน้ากล่าวท้าต้วนหลิงเทียนออกมาตาขวาง


 


โอ้ว!!


 


แม้จะคาดเดากันไว้แล้วว่ามิวายมีเรื่องกันแน่ แต่พอได้เห็นเรื่องราวเป็นไปตามคาด ผู้คนโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นสนุกสนานขึ้นมา!


 


ลั่วเหอท้าประลองหลิงเทียน!


 


พลังฝีมือลั่วเหอนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับศิษย์วังนภาแต่อย่างไร


 


ลั่วเหอนั้นเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ พลังฝีมือของมันนับเป็นอันดับ 2 ของบรรดายอดฝีมือขอบเขตพลังนี้ เรียกว่าเป็นรองก็แต่ลั่วชาน พี่ชายฝาแฝดของมันเท่านั้น!


 


ในฐานะที่มันเป็นศิษย์เก่าวังนภา ย่อมได้รับการยอมรับจากผู้คนอย่างกว้างขวาง


 


เพราะแม้จะว่ายตามองทั่วทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ ในบรรดายอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ลั่วเหอก็สามารถติด 1 ใน 5 ได้อย่างง่ายดาย!


 


ไม่เหมือนกันกับลั่วเหอ หลิงเทียนนั้นเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว


 


อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นเวลาแค่ไม่นานแต่ต้วนหลิงเทียนกลับเป็นที่รู้จักของผู้คนมากกว่าลั่วเหอ! ชื่อเสียงยังโด่งดังมากกว่าลั่วเหอเสียอีก!!


 


ในวังนภาบางทีทุกคนอาจจะรู้จักลั่วเหอและหลิงเทียน แต่ถ้านับกันทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับล่ะก็…กลับเป็นนาม หลิงเทียน ที่มีผู้คนรู้จักมากกว่า! เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ในตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งบางคนยังเริ่มกล่าวกันว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับยังคิดรับหลิงเทียนเป็นศิษย์!!


 


ทว่าตอนนี้ ลั่วเหอ กำลังท้าทายหลิงเทียน!


 


“เจ้าลั่วเหอนี่…มันไม่กลัวว่าหลิงเทียนจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆบ้างหรือ?”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะหันมองหน้าสบตากระซิบกระซาบกัน


 


“อย่างที่ลั่วเหอมันบอก จากวาจาตอบคำของหลิงเทียนก่อนหน้า…ดูเหมือนว่าหลิงเทียนจะยังมิได้บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…เพราะเหตุนี้มันจึงกล้าที่จะท้าหลิงเทียน!”


 


หลายคนเริ่มกระซิบกล่าวสนทนากันจนเสียงดังระงม


ตอนที่ 1,743 : สัตว์ปราณปะทะเขตแดน?!


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว หากมันยืนยันได้ว่าหลิงเทียนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว…มันยังจะยังมีความกล้าท้าหลิงเทียนประลองอีกหรือ?”


 


“หากหลิงเทียนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจริงๆ เว้นเสียแต่พี่น้องสกุลลั่วจะร่วมมือกัน…ไม่งั้นคงยากที่จะเป็นคู่มือให้หลิงเทียนได้!”


 


“ใช่! แต่ถึงแม้หลิงเทียนจะตัดผ่านไปยังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว ทว่าก็พึ่งทะลวงผ่านมาได้ไม่นาน…เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่ด่านพลังยังไม่มั่นคง พี่น้องสกุลลั่วย่อมเอาชนะได้แน่นอน”


 


“ปัญหาคือ…หลิงเทียนอาจจะยังไม่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ เช่นนั้นตอนนี้สถานการณ์เขาก็มิใช่ว่าจะสู้ดี”


 


“สองเดือนที่แล้วก่อนเข้าสระวิญญาณ หลิงเทียนสามารถเสมอกับกัวลู่…หลังเข้าสระวิญญาณสมควรมีความก้าวหน้า แม้จะยังไม่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่พลังฝีมือสมควรเพิ่มพูนขึ้นมากพอจะปะทะกับลั่วเหอได้แน่ ไม่แน่นักหรอกว่าเขาจะสู้ไม่ได้…กระทั่งยังอาจจะเอาชนะได้ด้วยซ้ำ!”


 


……


 


เหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหลายที่ชมดูอยู่รอบๆ กล่าวออกมาด้วยความคาดหวัง พวกมันทั้งหลายล้วนเฝ้ารอการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดอย่างใจจดจ่อ


 


ตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันไม่เคยกลัวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะบ่ายเบี่ยงการประลองเลย เพราะชนชั้นอัจฉริยะย่อมมีความภาคภูมิใจ!


 


“อะไรหลิงเทียน หรือเจ้าไม่กล้าสู้กับข้า?”


 


หลังจากลั่วเหอกล่าวยั่วยุท้าทายไปแล้ว แต่เห็นว่าหลิงเทียนกลับเฉยเมยไม่ได้สะทกสะท้านอะไร มันก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวเย้ยเยาะออกมาอีกรอบ


 


“เจ้าจะสู้ก็ป้อนกระบวนท่าเถอะ”


 


เผชิญหน้ากับวาจายั่วยุของลั่วเหอ ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันผ่านๆ กล่าวออกไปอย่างไม่แยแส


 


วาจาท่าทางนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นหัวของลั่วเหอแม้แต่น้อย


 


อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เห็นหัวลั่วเหอจริงๆ


 


เขายังจะต้องสนใจกับอีแค่ผู้ฝึกตนเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญอีกรึไง?


 


“หลิงเทียนดูเหมือนจะมั่นใจนัก…”


 


ตอนนี้หลายคนเริ่มเห็นถึงความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน


 


“หลิงเทียนผู้นี้…คงมิใช่ว่าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆหรอกนะ!?”


 


“เป็นไปได้!”


 


“ทะลวงผ่านหรือยังไม่ ยามลงมือพวกเราย่อมเห็นกระจ่าง!”


 


……


 


ผู้คนมากมายเริ่มคาดหวังว่าต้วนหลิงเทียนจะสำแดงพลังฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดออกมา เพราะมีเพียงบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วเท่านั้น ถึงจะมีความมั่นใจและไม่แยแสเช่นนี้!


 


“หือ?”


 


ลั่วชานขมวดคิ้ว ใจครุ่นคิดไปทันใด ‘หลิงเทียนผู้นี้ไฉนถึงได้มั่นใจนัก…หรือมันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ?’


 


อันที่จริงไม่ใช่แค่ลั่วชาน กระทั่งลัวเหอยังกังวลไม่ต่าง


 


ความมั่นใจในตัวเองของต้วนหลิงเทียน ทำให้มันเริ่มไม่มั่นใจขึ้นมา…ว่าต้วนหลิงเทียนเสแสร้งแสดงลึกลับหรือมีสามารถจริงๆ!


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้มันประหนึ่งขึ้นขี่หลังเสือมิอาจลงมาได้!


 


เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นฝ่ายที่ไปท้าทายผู้อื่นเขา หากมันล้มเลิกหรือถอยกลับตอนนี้ มิพ้นต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับแน่! วันหน้ามันคงไม่อาจโงหัวขึ้นมาในตำหนักฟ้าลี้ลับได้อีกแล้ว!!


 


“หลิงเทียน ข้าต้องกล่าวเลยว่าเจ้ามันเย่อหยิ่งนัก!”


 


ลั่วเหอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คอยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าดุร้ายถมึงทึงกล่าวออกเสียงเข้ม “ให้ข้าดู ว่าเจ้าอาศัยอันใดถึงได้มั่นใจนัก!”


 


ลั่วเหอกล่าวจบคำมันก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบสนอง ปราณแรกกำเนิดพลันปะทุออกมาจากทั่วร่างของมันปานเปลวเพลิง!


 


ทันใดนั้นความว่างเปล่าในพื้นที่กินรัศมี 100 หมี่โดยมีลั่วเหอเป็นจุดศูนย์กลางพลันบังเกิดความปั่นป่วน ลานศิลาที่ย่ำเหยียบยังเริ่มสั่นสะเทือน พาลให้ผู้ที่ชมดูอยู่โดยรอบจำต้องล่าถอย เว้นระยะห่างกันจ้าละหวั่น


 


“อาศัยพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญหาญกล้าท้าหลิงเทียน…ลั่วเหอผู้นี้สมงสมองไปหมดแล้วจริงๆ!”


 


หวางเฟยเซวียนที่ถอยห่างออกไปพอเห็นลั่วเหอลงมือ อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะขึ้นมาที่มุมปาก


 


นางอาจไม่รู้แน่ชัดว่าต้วนหลิงเทียนร้ายกาจถึงเพียงใด แต่ทว่ากับอีแค่ม่านพลังที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกส่งๆ นางที่ลงมือสุดชีวิตกลับไม่แม้แต่จะทำอะไรได้เลย! ทำให้นางตระหนักได้ว่าพลังฝีมือของหลิงเทียนสมควรก้าวถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!!


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สงสัยสักนิดว่าผลการประลองจะออกมาเช่นไร


 


“ธาตุน้ำ?”


 


เมื่อลั่วเหอควบรวมพลังก่อเขตแดนด้วยปราณแรกกำเนิด ต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ ‘น้ำ’ ที่แผ่พุ่งออกมาชัดเจน ดูเหมือนเขตแดนของอีกฝ่ายจะอุดมไปด้วยวารีธาตุ…ทว่าน้ำในเขตแดนของมัน เป็นอะไรที่น้ำธรรมดาไม่อาจเทียบได้เลย เพราะมันเกรี้ยวกราดทรงพลังกว่ามาก


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้ได้ไม่ทันไร เขาก็พบว่ารอบกายลั่วเหอปรากฏคลื่นน้ำมหึมาวนเวียน และไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร คลื่นน้ำดังกล่าวก็ควบรวมก่อเกิดเป็นมังกรวารีตัวเขื่อง!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


มังกรวารีพุ่งทะยานผ่าความว่าง พาลให้อากาศแตกระเบิดเสียงดังสนั่น มันแยกเขี้ยวยิงฟันควั่นกรงเล็บไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย ราวกับจะกลืนกินต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ!


 


“มังกร?”


 


เห็นมังกรวารีของลั่วเหอ คิ้วต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะโค้งขึ้น


 


ครู่ต่อมาปราณสุริยันแรกกำเนิดในกายพลันโคจรพุ่งพล่านขึ้นมา พวกมันไหลเชี่ยวผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายด้วยความฉับไว บันดาลให้ทั่วผิวกายของต้วนหลิงเทียนส่องสว่างขึ้นมา ราวกับถูกชั้นทองคำฉาบเคลือบ!


 


ทันใดนั้นปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง ขึ้นไปควบรวมบนฟ้าเป็นกลุ่มก้อนจนแลไปปานดวงตะวันสาดแสงจ้า พาลให้ทุกคนรู้สึกตาพร่ามัวอยู่บ้าง!


 


ทันทีที่แสงสว่างเจิดจ้าปานตะวันปรากฏ ย่อมกระชากความสนใจของผู้คนทั้งหมดทันที!


 


“ปราณแรกกำเนิดนั่นมันอันใดกัน!?”


 


หลายคนอดโพล่งออกมาด้วยความตะลึงเสียไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นปราณแรกกำเนิดพิสดารเช่นนี้


 


“ปราณแรกกำเนิดนี่มัน…”


 


ในบรรดากลุ่มคน หลิงเจี้ยนกับเริ่นเฟยที่ยืนข้างๆกันพลันขมวดคิ้วทั้งเร่งหันหน้ามองตากันทันที พวกมันกล่าวผ่านส่งเสียงผ่านปราณ “เฮ่ เริ่นเฟยปราณแรกกำเนิดนี่มิใช่คล้ายกับของลี่เฟิงที่ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลยรึไง ทั้งแสงสว่างอะไรเหมือนกับที่อาวุโสอธิบายไม่มีผิด…เพราะที่ท่านลุงของเข้าเล่ามา ปราณแรกกำเนิดของลี่เฟิงคล้ายดวงตะวันที่สาดแสงสีทอง!”


 


“นั่นสิ หรือหลิงเทียนจะรู้จักกับลี่เฟิงจริงๆ…ทั้งคู่เกี่ยวข้องกันยังไงแน่?”


 


จังหวะนี้ไม่ว่าจะหลิวเจี้ยนหรือเริ่นเฟยก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงวันนั้น…วันที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเข้าร่วมวังนภา และอีกฝ่ายเคยกล่าวไว้ว่ารู้จักลี่เฟิง กระทั่งเป็นสหายของลี่เฟิง…


 


อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ในตอนนั้น แม้แต่พวกมันล้วนคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคุยโม้โอ้อวด!


 


ทว่ามาตอนนี้พอเห็นปราณแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียน พวกมันรู้สึกว่าเรื่องราวอาจไม่ได้เป็นดั่งที่พวกมันคิดคาด บางทีต้วนหลิงเทียนไม่ได้คุยโวโอ้อวด…แต่รู้จักกับลี่เฟิงจริงๆ!


 


เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา ได้กระตุ้นความสนใจหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟย


 


แต่แน่นอนว่าถึงแม้จะรู้ เขาก็ไม่สนใจ


 


เพราะเขารู้ดีแต่แรกแล้ว…ว่าจะช้าจะเร็วปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาก็ต้องเปิดเผยต่อหน้าผู้คน! อย่างไรก็ตามคงไม่มีใครคิดว่าเขาคือลี่เฟิง!!


 


เขามั่นใจในการปลอมแปลงรูปโฉมของตัวเองนัก!


 


ฮู่มมมม!!!


 


ภายใต้ทุกสายตาของผู้คน มังกรวารีที่ควบแน่นก่อเกิดจากเขตแดนของลั่วเหอที่พุ่งมาดุร้ายพลันแผดเสียงคำรามกึกก้อง ร่างมันพุ่งตัดฟ้าไปเจียนบรรลุถึงต้วนหลิงเทียนเต็มที!!


 


ครืนนน!!


 


ทันใดนั้นเองทุกคนพลันสังเกตเห็นว่า มวลปราณที่ลอยไปควบรวมเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนและส่องแสงสว่างปานดวงตะวันจ้านั้น ได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลง…มันระเบิดพลังขุมหนึ่งออกทั้งสาดแสงสีทองสว่างจ้า! พาลให้ผู้คนถึงกับตาพร่า มองไม่เห็นสิ่งใดปานดวงตามืดบอกไปครู่หนึ่ง ทั้งหลายเร่งรีบหยีตาเอามือป้องบังยกใหญ่ ค่อยๆลืมตามองลอดหว่างนิ้ว!


 


ทันใดนั้น ปรากฏมังกรพลังมีสภาพสีทองเสมือนจริงคล้ายดั่งมีชีวิตขึ้นกลางฟ้า ทั่วร่างยังเปล่งกลิ่นอายปราณโลหิตออกมาแน่นหนา!!


 


ฮู่มมมม!!!


 


ทันทีที่มังกรเทพยาดาสีทองปรากฏกาย มันก็คำรามออกมาอย่างดุร้าย ก่อนที่จะเคลื่อนกายพุ่งวาบเข้าใส่มังกรวารีตัวเขื่องทันที!!


 


ในแง่ของขนาด มังกรเทพยาดาสีทองตัวนี้กลับเล็กกกว่ามังกรวารีครึ่งต่อครึ่ง!


 


อย่างไรก็ตามในแง่ของพลังอำนาจ มังกรเทพยาดาสีทองตัวนี้หาได้ด้อยไปกว่ามังกรวารีไม่!!


 


“ปราณแรกกำเนิดก่อลักษณ์สรรพสัตว์!?”


 


เห็นฉากดังกล่าวผู้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกด้วยความประหลาดใจ เพราะต่างไม่คาดคิด ว่าจะได้เห็นต้วนหลิงเทียนใช้กลพลังทั่วไปอย่างการสร้างสัตว์ปราณออกมาแบบนี้…


 


เพราะกลพลังดังกล่าว ให้พูดกันตามตรง…พลังอำนาจของมันย่อมอ่อนด้อยกว่าเขตแดนเป็นอย่างมาก!


 


“ไฉนหลิงเทียนถึงเลือกใช้ปราณแรกกำเนิดก่อลักษณ์สรรพสัตว์ออกมาในเวลาเช่นนี้กัน..เขามิรู้เลยหรือว่าเสียเปรียบใหญ่หลวง?!”


 


หลายคนได้แต่หันมองหน้ากันเองด้วยความงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงทำแบบนี้


 


“เจ้าทึ่มนั่นกลับไม่ใช้เขตแดนแต่เลือกจะใช้สัตว์ปราณ? บ้าจริง…ลั่วเหอมิใช้ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญธรรมดาๆที่ใครจะเอาชนะได้ง่ายๆ! บางทีเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญคนอื่นอาจสู้เจ้าไม่ได้แต่ลั่วเหอนั่นต่างออกไป เจ้าทึ่มเอ๊ย! เจ้ามันดูถูกศัตรูเกินไปจนเรื่องลำบากใส่ตัวแล้ว!!”


 


ห่างออกไปไกลๆ คิ้วคู่งามของหวางเฟยเซวียนขดยู่เป็นปม นางรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนประมาทศัตรูเกินไป


 


“รนหาที่ตาย!”


 


เมื่อเห็นฉากนี้ ลั่วเหอก็กล่าวเย้ยเยาะออกมาทันที ขณะเดียวกันมันยังเร่งเร้าพลังสุดตัวจ่ายปราณแรกกำเนิดทั้งสิบส่วนไปผนึกควบรวมในมังกรวารี!!


 


ทันใดนั้นขนาดของมังกรวารีแต่เดิมที่ใหญ่โตอยู่แล้วพลันทวีความใหญ่โตขึ้นไปอีกขั้น! มองไปคล้ายดั่งเมฆดำทะมึนที่เคลื่อนมาปกคลุมเมือง! ยามมันผ่านไปที่ใดบันดาลให้กลางวันกลายเป็นมืดลงดั่งห้วงราตรี บดบังแสงตะวัน ปิดฟ้าอมจันทรา!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นมาปานฟ้าวิปโยค บรรยากาศกระเพื่อมสั่นไหวไปอย่างแรง! ลานศิลาแกร่งใต้เท้ายังสะเทือนครืนๆปานโลกหล้าจะแตกแยก! เป็นมังกรเทพยาดาสีทองอันเต็มไปด้วยปราณโลหิต ที่สุดก็ปะทะเข้ากับมังกรวารีตัวเขื่อง! ทั้งคู่ที่พุ่งมาดั่งอุกกาบาตข้ามฟ้ากระแทกเข้าใส่กันอย่างจัง!!


 


หนึ่งเป็น มังกรเทพยาสีทอง อันเกิดจากกวรควบรวมปราณก่อลักษณ์สรรพสัตว์


 


อีกอย่างเป็น มังกรวารี ที่ก่อเกิดจากการควบรวมพลังของเขตแดน!


 


โดยทั่วไปแล้ว อย่างหลังจะมีอานุภาพพลังเหนือล้ำกว่าขั้นหนึ่งเต็มๆ!


 


“หลิงเทียนบ้าไปแล้ว!”


 


“นั่นสิ ตอนนี้ต่อให้หลิงเทียนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจริง แต่อย่างดีปราณแรกกำเนิดก่อลักษณ์สรรพสัตว์ก็ทำได้แค่ทัดเทียมกับเขตแดนของลั่วเหอ…หากมิใช่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด น่ากลัวว่าต้องแพ้พ่ายยับเยิน กระทั่งอาจตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบจนมิอาจกู้คืน!”


 


“ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆ ว่าในหัวหลิงเทียนคิดอ่านอันใดอยู่…”


 


……


 


หลายคนไม่เข้าใจต้วนหลิงเทียน ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่


 


“คราวนี้พวกเราจะได้รู้กัน ว่าหลิงเทียนใช่ตัดผ่านถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือไม่…”


 


อย่างไรก็แล้วแต่ทุกผู้คนล้วนรู้ดี ว่าการปะทะกันของทั้งคู่ จะเปิดเผยระดับพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนออกมา


 


และเมื่อคลื่นอากาศสายลมทั้งคลื่นกระแทกอันน่าหวาดหวั่นจากการปะทะกันของมังกรเทพยาดาสีทองกับมังกรวารีตัวเขื่องสิ้นสุดลง มังกรทั้ง 2 ตัวก็สลายหายไป หลิงเทียนกับลั่วเหอต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่มีใครเป็นอะไร


 


เห็นได้ชัดว่าพลังที่ทั้งคู่ใช้ออกนั้นมีอำนาจทัดเทียมกัน!


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 


……


 


หลังจากได้เห็นผลลัพธ์ดังกล่าว ฉากที่เงียบงันไปพักหนึ่ง ไม่นานก็เริ่มปรากฏเสียงสูดลมหายใจเข้าโดยแรงดังขึ้น


 


“หลิงเทียนตัดผ่านถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ!”


 


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น บอกให้รู้ว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…


 


นั่นคือหลิงเทียนบรรลุด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!


 


หาไม่แล้วคงไม่มีทางที่จะใช้สัตว์ปราณปะทะต้านทานเสมอกับมังกรวารีของลั่วเหอ ที่ควบรวมก่อเกิดจากพลังอำนาจของเขตแดนได้!


ตอนที่ 1,744 : ความไร้ยางอายของพี่น้องสกุลลั่ว!


 


แน่นอนว่าในสายตาทุกคนการเสมอกันของหลิงเทียนและลั่วเหอ เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น…


 


เพราะสุดท้ายแล้วหลิงเทียนเพียงใช้ปราณแรกกำเนิดก่อลักษณ์สรรพสัตว์ ทว่าลั่วเหอใช้ปราณแรกกำเนิดก่อเขตแดน!


 


อันที่จริงตอนนี้ยังเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนออมมือให้ลั่วเหออยู่หลายส่วน หาไม่แล้วอาศัยแค่ปราณแรกกำเนิดก่อลักษณ์สรรพสัตว์เมื่อครู่ คงคร่าชีวิตไร้ราคาของลั่วเหอไปได้ไม่ยากเย็น!


 


เหตุผลที่เขาไม่ได้ลงมือจริงจัง เพราะไม่อยากเปิดเผยพลังของตัวเองออกมามากเกินไป!


 


ในเมื่อหลายคนคิดกันไปว่าเขาพึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เช่นนั้นเขาก็จะรักษาระดับพลังที่เผยออกเอาไว้แค่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! เลือกที่จะใช้สัตว์ปราณมีสภาพต้านทานรับมือมวลพลังลักษณ์มังกรวารีจากเขตแดนของลั่วเหอ และให้ผลออกมาเช่นนี้ เพราะตามหลักพลังที่ต่างกันขึ้นหนึ่งแล้ว…สัตว์ปราณของเขาไม่อาจเอาชนะได้ อย่างดีก็เสมอ!


 


“เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!”


 


“หลิงเทียนผู้นี้ บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ!!”


 


……


 


ข้อเท็จจริงตรงหน้าพิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีของต้วนหลิงเทียนประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม การปะทะกันกับลั่วเหอครั้งนี้ ทำให้ทุกคนคิดว่าเขามีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


“ฮึ! เจ้าทึ่มมันทะลวงผ่านแล้วแน่นอนถึงปากจะไม่ยอมรับก็เถอะ! พูดออกมาตรงๆเจ้าจะตายหรือไงกัน!?”


 


หวางเฟยเซวียนได้แต่ส่ายหน้าไปมา แววตาที่มองต้วนหลิงเทียนยังเผยความหงุดหงิดทั้งไม่พอใจอยู่บ้างเล็กน้อย


 


“เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด”


 


สีหน้าลัวเหอแปรเปลี่ยนไปมหันต์ มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลิงเทียนเบื้องหน้าจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ เพราะตัวตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไม่ใช่อะไรที่มันจะต้านทานได้เลย ต่อให้พึ่งทะลวงมาก็ตามที


 


ลั่วชานที่ดูการประลองอยู่ข้างๆ ก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมทันที “หลิงเทียนนั่นมันทะลวงผ่านแล้วจริงๆ!”


 


ตั้งแต่ที่จงใจเปิดเผยพลังฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดออกมา จนผู้คนเข้าใจตรงกันแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คร้านเสียเวลากับสวะอย่างลั่วเหอต่อไป ร่างเขาวูบไหวดังภูตพรายเข้าใส่ลั่วเหอทันที


 


“ลั่วเหอ ระวัง!!”


 


สีหน้าลั่วชานมืดลงทันใด เร่งร่ำร้องตะโกนออกมาทันที


 


อันที่จริงแม้ลั่วชานจะไม่กล่าวเตือน แต่ลั่วเหอก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา มันคิดหลบหลีกทันที!


 


อย่างไรก็ตามในฐานะเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญของมันๆคิดจะหลบก็หลบการลงมือของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้หรือ? ต้วนหลิงเทียนที่วูบร่างมาดั่งภูตพราย ลงมือออกด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจะทำได้!!


 


ปงงงง!!


 


เสียงสนั่นดันลั่นขึ้นอีกครา ปรากฏเป็นร่างต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ ณ จุดที่ลั่วเหอยืนอยู่ก่อนหน้า เท้าข้างหนึ่งยกข้างไว้…


 


ส่วนอีกด้านนั้น ลั่วเหอถึงกับปลิดปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่า ก่อนที่จะไถลไปกับพื้นลานศิลา สภาพดูไม่ได้…


 


ตั้งแต่ต้นจนจบปราณแรกกำเนิดทั่วร่างของลั่วเหอถูกปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนสะกดข่มเอาไว้ ไม่อาจโคจรใช้ออก หลังรับประทานลูกถีบไปเต็มคำแล้ว มันก็ทำได้แค่กระเด็นกลิ้งไปไม่เป็นท่า ยากจะมีเรี่ยวแรงขืนร่างไม่ให้กลิ้งเกลือกดั่งลาโง่…


 


เงียบ!


 


ฉากเรื่องราวเงียบงันปานคนตาย


 


ลั่วเหอกล่าวท้าหลิงเทียนอย่างห้าวหาญ อนิจจาตอนนี้ถูกถีบยันมาฟันฟางร่วมแทบไม่เหลือไว้เคี้ยวข้าว ยังต้องมีสภาพอนาถาปานสุนัขตาย…


 


“เหอๆ…ถ้าหลิงเทียนไม่คิดละเล่นกับลั่วเหอและใช้สัตว์ปราณมีสภาพแต่แรก เกรงว่าลั่วเหอคงแพ้ไปนานแล้ว”


 


“เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนหรือไง…”


 


“ลั่วเหอท้าผู้อื่นอย่างห้าว ตอนนี้มิทราบหน้าร้าวหรือไม่…”


 


……


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งหลายมองชมลั่วเหอที่พยายามยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลด้วยแววตาเย้ยหยัน ปากยังไม่ขาดกล่าววาจาซ้ำเติม


 


เรียกว่ากว่า 9 ส่วนของผู้คนในลานศิลา กล่าววาจาถล่มซ้ำเติมลั่วเหออย่างสะใจทั้งสิ้น!


 


บางทีคนส่วนใหญ่ในลานศิลาอาจไม่ใช่คู่มือของลั่วเหอ แต่พวกมันก็หาญกล้ากล่าววาจาถากถางออกมาอย่างไม่เกรงกลัว! หรือลั่วเหอจะสามารถไล่ทุบตีผู้คนที่ด่ามันหมดลานได้?


 


หลังจากที่รับประทานโอสถเซียนรักษาตัวทั้งใช้มือลูบจับฟันฟางที่หักหลอ ลั่วเหอก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ามืดดำ รอยเท้ายังคงประทับอยู่ที่หน้า สายตาที่มองต้วนหลิงเทียนดุร้ายอาฆาตปานจะยิงลำแสงความร้อนออกมาฆ่าคน…


 


ตอนนี้มันยังจะพูดอะไรได้…คนแพ้ไม่มีสิทธิ์พูด!


 


“หลิงเทียน!’”


 


ตอนนี้เองลั่วชานพลันกล่าวออกมา และเมื่อมันดึงความสนใจจากผู้คนได้สำเร็จ มันก็มองหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเย็น “ก่อนอื่นข้าต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้า ที่หลังจากเข้าใช้สระวิญญาณแล้วสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้สำเร็จ…ด้วยพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนั่น ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้ากับน้องชายจะไม่ใช่คู่มือของเจ้า ทว่า…”


 


“ทว่าหากข้ายอมรับการประลองโดยให้พวกเจ้าทั้งคู่ร่วมมือกันและเอาชนะพวกเจ้าได้ พวกเจ้าถึงจะยอมแพ้ข้างั้นสินะ?”


 


ก่อนที่ลั่วชานจะกล่าวจบคำ เป็นต้วนหลิงเทียนที่กล่าวแทรกออกมาเสียก่อน


 


และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ทุกสายตาในลานศิลาพลันหันไปจับจ้องมองลั่วชานทันที เพราะหากลั่วชานคิดจะกล่าวดังที่ต้วนหลิงเทียนว่าออกมาจริงๆล่ะก็ นับว่าลั่วชานผู้นี้จะไร้ยางอายไปหน่อยแล้ว!!


 


ในวังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพี่น้องสกุลลั่ว สามารถเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่พึ่งทะลวงผ่านได้หลายต่อหลายคน?


 


ลั่วชานถึงกับขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนกลับล่วงรู้ว่ามันจะพูดอะไร อย่างไรก็ตามตอนนี้มันไร้หนทางเลือกอื่น จึงพยักหน้ากล่าวตอบไป “มิผิด! แน่นอนว่าหากเจ้าหวาดกลัวมิกล้ายอมรับคำท้าทายของพวกเรา เจ้าก็สามารถปฏิเสธได้และคงมิมีใครกล่าวว่าอะไรเจ้าได้ เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็แข็งแกร่งกว่าพวกเราพี่น้องจริงๆ”


 


ไม่มีใครคิดคาด ว่าลั่วชานจะยังคงกล่าวออกมาตรงๆแบบนั้น แม้วาจาฟังแล้วไร้ยางอาย แต่กลับเปิดเผยโปร่งใส


 


“หลิงเทียน เจ้ากล้าสู้กับพวกเราพี่น้องพร้อมกันหรือไม่?”


 


ตอนนี้เองลั่วเหอที่รับประทานโอสถรักษาจนอาการหายเป็นปกติแล้ว มันก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยความที่ฟันมันหักเสียงย่อมไม่ชัด มันจึงไม่พูดออกตรงๆ อาศัยการใช้ปราณแรกกำเนิดกล่าวออกแทน…


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด มันจึงไม่รู้สึกอับอายอะไรที่แพ้พ่าย อย่างไรก็ตามหากมันมีโอกาสที่จะได้เอาชนะต้วนหลิงเทียน และทำลายความฮึกเหิมของอีกฝ่ายมันย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้พลาดหลุดมือ กระทั่งยังไม่สนใจด้วยซ้ำว่าการกลุ้มรุมของพวกมันพี่น้องจะเป็นเรื่องไร้ยางอายเพียงใด


 


“ไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก”


 


เสียงลั่วเหอดังจบไม่ทันไร พลันมีเสียงคุ้นเคยหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน เป็นหวางเฟยเซวียน “พี่น้องสกุลลั่ว หากอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวพวกมันเป็นเพียงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญของวังนภา…ทว่ายามพวกมันร่วมมือผนึกกำลังกัน ผู้ที่พึ่งทะลวงผ่านเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน!”


 


“ในวังนภา บรรดาศิษย์ที่พึ่งทะลวงผ่านเซียนขัดเกลาชั้นสูงสุดที่พ่ายแพ้พวกมัน… มีนับ 2 หลัก!”


 


วาจาที่ส่งผ่านปราณแรกกำเนิดมาประโยคท้ายของหวางเฟยเซวียน ยังมีน้ำเสียงจริงจังไม่น้อย


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงคุ้นหูอีกหนึ่งเสียงดังขึ้นตามติด “ศิษย์น้องหลิงเทียน พวกมันกลับไร้ยางอายอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ…เจ้าไม่ต้องไปสนใจอะไรพวกมันหรอก”


 


กล่าวส่งเสียงผ่านปราณจบคำ กัวลู่ก็หันไปมองกล่าวกับลั่วชานเสียงดังฟังชัด “ลั่วชาน เจ้ายังกล้าเหลวไหลว่าจะเอาชนะศิษย์น้องหลิงเทียนด้วยการกลุ้มรุม? อายุของพวกเจ้าทั้ง 2 รวมกันแล้วก็เกินร้อย ข้าถามตรงๆหนังหน้าเจ้าฝึกยอดวิชาคงกระพันอันใดมา ถึงกล้าพล่ามวาจาไร้ยางอายคิดอาศัยการร่วมมือกับน้องชายกลุ้มรุมศิษย์น้องหลิงเทียน ที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีออกมาโดยไม่อับอายผู้คน!?”


 


ทันทีที่กัวลู่กล่าวจบคำ ทุกสายตาบนลานศิลาก็หันไปมองพี่น้องสกุลลั่วด้วยสายตาแปลกๆทันที


 


“กัวลู่กล่าวมีเหตุผลนัก พี่น้องสกุลลั่วนับว่าไร้ยางอายเกินไป”


 


“ข้าคิดว่าพวกมันคงไม่อาจทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ เลยคิดจะอาศัยการกลุ้มรุมกู้หน้า!”


 


“เหลวไหลนัก! ไร้ยางอายเป็นที่สุด! พวกมันอายุรวมกันกว่าร้อย แต่คิดกลุ้มรุมคนอายุไม่ถึง 40? กลุ้มรุมมารดาของมันเถอะ!!”


 


……


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียดสี บ้างก็ตะโกนด่าออกมาอย่างไม่ไว้หน้า พาลให้สีหน้าของพี่น้องสกุลลั่วมืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก


 


แน่นอนว่าสายตาที่ทั้งคู่ใช้มองกัวลู่อีกครั้งตอนนี้ ก็เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารอำมหิตอาฆาต


 


หากไม่ใช่เพราะในลานศิลามีตัวตนที่ทรงพลังร้ายกาจเหนือพวกมันมากมาย และกฏเกณฑ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเข้มงวดไม่อาจฝ่าฝืน พวกมันคงระเบิดพลังสังหารกัวลู่ทิ้งไปเสีย!!


 


“หลิงเทียน ข้ากล่าวบอกเจ้าไปแล้วว่าเจ้าสามารถปฏิเสธได้”


 


ลั่วชานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง


 


“หลิงเทียนหากเจ้าไม่กล้ารับคำท้า เจ้ามันก็แค่ตัวขี้ขลาดตาขาว”


 


“หลิงเทียน ถ้าเจ้าไม่กล้าสู้เจ้าก็ไม่นับว่าเป็นลูกผู้ชาย!!”


 


พร้อมกันนั้นเอง ก็มีเสียงสองเสียงส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียน และมันมาจากพี่น้องสกุลลั่ว!


 


ที่ทั้งคู่ส่งเสียงกล่าวมาท้าทายแบบนี้ จุดประสงค์ของพวกมันล้วนชัดเจนนัก คิดยั่วยุให้เขามีโทสะ และรับคำท้าของพวกมันอย่างขาดสติ


 


“เหอะ”


 


หลังจากได้ยินเสียงที่ส่งมาท้าทาย ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหน้าไปมาเบาๆ ทว่าสีหน้าเขาเริ่มแข็งขึ้น แววตายังกลายเป็นเยือกเย็น มองกล่าวกับพี่น้องสกุลลู่เสียงดังฟังชัด “ต่อให้พวกเจ้าไม่ส่งเสียงมายั่วยุหมายทำให้ข้ามีโมโห ข้าก็ไม่คิดจะปฏิเสธคำท้าของพวกเจ้าแต่แรก อย่าได้เสียเวลาพล่ามให้มาก ในเมื่อพวกเจ้าอยากร่วมมือกันนักก็รีบๆเข้ามา!”


 


รีบๆเข้ามา!!


 


วาจาต้วนหลิงเทียนที่ดังออกคราวนี้ ยามผู้คนได้ยิน ยังรู้สึกไม่ต่างใดจากอัสนีบาตยามแล้ง ไม่มีการตั้งเค้าใดๆทั้งสิ้น!


 


คนส่วนมากไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้ายอมรับคำท้า ขอกลุ้มรุมของพี่น้องสกุลลั่ว!


 


“เจ้าทึ่มเอ๊ย! เจ้าวู่วามเกินไปแล้ว!!”


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียน!!”


 


ทันใดนั้นเอง เสียงสองเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียง เป็นเสียงของหวางเฟยเซวียนและกัวลู่!


 


น้ำเสียงของทั้งคู่ยังเป็นกังวลไม่น้อย เพราะต่างคาดไม่ถึงจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบรับคำท้าของพี่น้องสกุลลั่วออกมาดื้อๆแบบนี้


 


“หลิงเทียน…กลับยอมรับคำท้าหรือ?”


 


“วู่วามเกินไปแล้ว!”


 


“นับว่าเขาวู่วามเกินไปแล้วจริงๆ พี่น้องสกุลลั่วไม่ว่าคนใดล้วนไร้เทียมทานในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลางของวังนภา…หากทั้งคู่ผนึกกำลังกันและอาศัยการส่งกระแสจิตสื่อสารของคู่แฝด ลงมือรุกรับสอดประสานไร้ช่องโหว่ กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่พึ่งทะลวงผ่านล้วนต้องแพ้พ่ายไปหลายต่อหลายคน…”


 


“กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปไม่แน่ว่าจะไม่แพ้พ่ายพวกมัน เช่นนั้นเซียนขัดเกลาที่พึ่งทะลวงผ่านล้วนมิมีความหวังที่จะรับมือพวกมันได้เลย!”


 


“ข้าเกรงว่าหลิงเทียนคงไม่รู้เรื่องนี้ หาไม่แล้วคงไม่ยอมรับออกไปเช่นนั้น”


 


“ข้าคิดว่าหลิงเทียนสมควรรู้เรื่องนี้ เพราะแลแล้วคงมีความสัมพันธ์อันดีกับกัวลู่ ไหนเลยกัวลู่ยังไม่กล่าวเตือนเขาได้? ข้าสงสัยว่าที่รับคำท้าของพี่น้องสกุลลั่วเช่นนี้…เพราะพวกมันส่งเสียงไปกล่าวยั่วยุท้าทายหลิงเทียนแน่นอน และพวกมันก็ยั่วให้หลิงเทียนโมโหสำเร็จ!”


 


“ข้าเห็นด้วย! ท่าทางจะเป็นพี่น้องสกุลลั่วยั่วโทสะหลิงเทียนสำเร็จแล้วจริงๆ…พวกมันนับว่าไร้ยางอายยิ่งนัก! เพียงเพื่อให้หลิงเทียนรับคำท้า พวกมันกลับสามารถกระทำได้ทุกวิธี ช่างเป็นสร้างความอับอายขายหน้าให้วังนภาพวกเรานัก!”


 


“ถึงกระนั้นหลิงเทียนก็วู่วามห่ามไป…หากเป็นพวกเราไม่ว่าใครก็รู้ว่าพี่น้องสกุลลั่วจงใจยั่วยุโดยเจตนา…นับว่าเขายังอ่อนต่อโลกเกินไป”


 


……


 


ผู้คนมากมายเริ่มกล่าวสนทนากันอื้ออึง


 


หลายคนมองไปที่พี่น้องสกุลลั่วด้วยสายตาดูแคลนรังเกียจ หลายคนมองไปที่ต้วนหลิงเทียนค่อยส่ายหัวไปมา ทั้งหมดคิดว่าต้วนหลิงเทียนยังอ่อนประสบการณ์และขาดการควบคุมอารมณ์เกินไป


 


“ฮ่าๆๆๆ…ประเสริฐ! ประเสริฐ!!”


 


เมื่อได้ยินวาจาตอบรับคำท้าทายของต้วนหลิงเทียน พี่น้องสกุลลั่วพลันหัวเราะออกมาดังลั่น! โดยเฉพาะลั่วเหอ มันถึงกับหัวเราะออกมาดังร่าอ้าปากเผยฟันหลออย่างตื่นเต้นยินดี คล้ายมันกำลังเห็นภาพต้วนหลิงเทียนที่หมอบคลานอยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกมันพี่น้อง!!


ตอนที่ 1,745 : ไม่ได้เรื่อง!


 


‘ไม่คิดเลยว่ามันจะกล้ารับคำท้า…ดูเหมือนไอ้หนูนี่ก็แค่ผู้ฝึกตนโง่งม!”


 


ลั่วชานกล่าวเย้ยหยันในใจ


 


ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อต้วนหลิงเทียนยอมรับคำท้าของพี่น้องสกุลลั่วแล้วแบบนี้ เรื่องราวก็นับว่าได้ข้อยุติ…


 


แม้สีหน้าหวางเฟยเซวียนกับกัวลู่จะไม่ค่อยสู้ดี แต่พวกมันก็ไม่คิดจะส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดไปกล่าวอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีก เพราะพวกมันรู้ดีว่าเรื่องราวเลยเถิดบานปลายมาถึงขั้นนี้ ก็ทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลย สายเกินไปที่ต้วนหลิงเทียนจะกลับคำ!


 


‘หรือเจ้าทึ่มจะมั่นใจว่าสามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้กันนะ?’


 


กระทั่งหวางเฟยเซวียนยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าไฉนอยู่ๆนางถึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมา


 


ทว่าทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น นางก็ละทิ้งมันไปทันที เพราะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ‘ในวังนภา มียอดฝีมือที่พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมากมายที่ประมือกับพี่น้องสกุลลั่ว ทว่ากลับไม่ใช่คู่มือของพวกมัน…พลังฝีมือของพี่น้องสกุลลั่วยามร่วมมือกันล้วนเป็นที่ยอมรับทั่ววังนภา!’


 


‘ช่างเถอะ! ให้เจ้าทึ่มมันทนทุกข์ทรมานเสียบ้างก็ดี! ทีหลังจะได้รู้ไว้ว่าควรรับฟังวาจาของผู้อื่นบ้าง!!’


 


การที่ต้วนหลิงเทียนไม่ฟังคำเตือนของนาง ทำให้หวางเฟยเซวียนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เป็นนางที่อุตส่าห์หวังดีแท้ๆ…


 


พอต้วนหลิงเทียนยืนเผชิญหน้ากับคู่พี่น้องสกุลลั่ว บรรยากาศทั่วลานศิลาก็กลายเป็นเงียบสงบทันที


 


ถึงแม้จะมีผู้ชมดูเรื่องราวมากมายแต่ทั้งหมดกลับนิ่งเงียบ ราวกับต่อให้มีเข็มเล่มหนึ่งร่วงตก ก็คงได้ยินกันทั้งลาน…


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากฟ้าห่างไกล เป็นศิษย์วังนภากลุ่มหนึ่งที่พึ่งมาถึง ผู้ที่กล่าวก็คือผู้ที่เหินนำหน้ามาสีหน้าแววตาเผยความสงสัยไม่น้อย


 


ไม่นานมันก็ได้รับทราบเรื่องราวจากผู้คนโดยรอบ และผันตัวไปเป็นผู้ชมที่ดีทันที


 


จากนั้นคนอื่นๆที่ตามติดมาก็ได้รับทราบเรื่องราวการเผชิญหน้าของหลิงเทียนกับพี่น้องสกุลลั่วเช่นกัน


 


“ศิษย์พี่หวังพี”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด สายตาของกลุ่มคนในลานศิลาพลันหันไปจับจ้องมองชายร่างหนึ่งที่พึ่งมาถึงเช่นกัน และทั้งหมดก็เร่งทำความเคารพอีกฝ่ายทันที


 


ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหวังพี ศิษย์ส่วนตัวของรองจ้าววังนภา เซียวยี่!


 


นอกจากนี้ยังเป็นคนที่นำทางต้วนหลิงเทียนไปสระวิญญาณในวันนั้น


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียน ครั้งนี้เจ้าวู่วามเกินไปแล้ว…ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพี่น้องสกุลลั่วมาบ้าง เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป ยากที่จะต้านทานรับมือพวกมันยามร่วมมือกันได้”


 


หลังจากที่หวังพีมาถึงและรับทราบเรื่องราว มันก็เร่งกล่าวส่งเสียงไปหาต้วนหลิงเทียนทันที


 


“ศิษย์พี่หวังมั่นใจได้เลย ข้าไม่คิดทำอะไรที่ข้าไม่มั่นใจ”


 


คำตอบของต้วนหลิงเทียนนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ!


 


“หือ?”


 


ได้ยินเสียงตอบเปี่ยมความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน หวังพีก็อึ้งไปไม่น้อย มันมองกลับมาด้วยสายตาลึกซึ้ง ค่อยส่งเสียงตอบกลับ “เช่นนั้นข้าจะรอดูการแสดงของเจ้าแล้วกันศิษย์น้องหลิงเทียน! แต่แม้เจ้าจะแพ้พ่ายก็มิต้องกังวล หากพวกมันคิดลงมือหนักจนถึงขั้นทำร้ายเจ้าจนส่งผลต่อการเข้าแดนลับเซียนล่ะก็…ถึงตอนนั้นข้าจะลงมือช่วยเจ้าเอง”


 


“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่หวังพีล่วงหน้าแล้ว”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากหวังพี แต่ในเมื่อหวังพีมีน้ำใจเขาก็กล่าวขอบคุณไปตามมารยาท


 


“หลิงเทียน พวกเราพี่น้องไม่คิดรังแกเจ้า…เชิญเจ้าลงมือก่อนเถอะ!”


 


ลั่วชานที่ยืนอยู่ข้างๆลั่วเหอ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาคมกล้ากล่าวออกด้วยรอยยิ้มแสยะ


 


และในขณะที่พี่น้องสกุลลั่วยืนอยู่ข้างๆกันนั้นเอง กลิ่นอายพลังของพวกมันกลับแผ่พุ่งออกมา ก่อนที่จะควบรวมผสานเข้าด้วยกันอย่างประหลาด ทำให้รู้สึกเสมือนเขากำลังเผชิญหน้ากับคนเพียงคนเดียวไม่ใช่ 2 คน!


 


‘พี่น้องสกุลลั่วคู่นี้สามารถผสานพลังกันได้อย่างลงตัวนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ…กลิ่นอายพลังรวมเป็นหนึ่งแบบนี้ ไม่ใช่ฝาแฝดทุกคู่จะกระทำได้’


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นลอบประหลาดใจเล็กน้อย


 


แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้กังวลอะไร


 


ตอนนี้ต่อให้เขาจะไม่ได้ใช้กระบี่นิลสวรรค์ ทว่าเขาก็ไม่ได้กลัวแม้จะต้องเผชิญหน้ากับอริยะเซียนขั้นต้น นับประสาอะไรกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้คนอื่นไม่รู้


 


“น่าขันสิ้นดี! พี่น้องชราอายุร่วมร้อยกลุ้มรุมรุ่นเยาว์เพียงคนเดียวยังกล้ากล่าวออกว่าไม่รังแก ในหัวของพวกเจ้า…หรือไม่มีคำไร้ยางอายอยู่แล้ว?”


 


ได้ยินวาจานี้ของหลัวชาน หวางเฟยเซวียนรู้สึกหัวเสียไม่น้อย จึงกล่าวเย้ยออกไป


 


แม้เสียงที่นางบ่นจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ทุกคนในลานล้วนได้ยินเสียงของนางชัดถ้อยชัดคำดี!


 


ยังทำให้สีหน้าของคู่พี่น้องสกุลลั่วเปลี่ยนไปทันใด อนิจจาพวกมันไม่อาจหาคำใดมากล่าวปฏิเสธวาจานางได้ จึงทำได้แค่หันไปถลึงตามองนางเท่านั้น


 


และแน่นอนว่าหวางเฟยเซวียนไม่ได้หวาดกลัวพวกมันแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่ว่าจะอย่างไรนางก็คือคุณหนูแห่งคฤหาสน์ดาบทรราช พี่น้องสกุลลั่วหากเลือกได้ก็คงไม่กล้าล่วงเกินนางเช่นกัน!


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับแม้พลังฝีมือของพี่น้องสกุลลั่วนับว่าไม่เลว แต่พวกมันก็แค่ศิษย์ธรรมดาๆเท่านั้น หากมียอดฝีมือของคฤหาสน์ดาบทรราชคิดฆ่าพวกมัน ด้วยชื่อเสียงและผลประโยชน์ น่ากลัวว่าตำหนักฟ้าลี้ลับคงเลือกหลับตาข้างหนึ่ง


 


แน่นอนไม่ต้องคำนึงถึงยอดฝีมือของคฤหาสน์ดาบทรราชด้วยซ้ำ อาศัยแค่พลังฝีมือของหวางเฟยเซวียนคนเดียว ด้วยอัจฉริยะภาพที่นางเผยออก แม้ตอนนี้นางจะอ่อนด้อยกว่าพวกมัน แต่น่ากลัวว่าในอนาคตพวกมันก็ไม่แม้แต่จะคู่ควรหิ้วรองเท้าให้นาง! เรื่องนี้ยังขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!!


 


เพราะพี่น้องสกุลลั่วสำเหนียกเรื่องนี้ดี มันจึงทำแค่ถลึงตามองหวางเฟยเซวียนเท่านั้น ไม่ได้ล่วงเกินอะไรนางอีก


 


พวกมันรู้ดีว่าแค่ถลึงตามอง หวางเฟยเซวียนคงไม่ยึดถือเป็นจริงจังอะไร พวกมันย่อมไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง เพราะหากบาดหมางกันแล้วนางต้องไม่คิดปล่อยพวกมันไว้แน่ นั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันอยากจะเห็น


 


เช่นนั้นหากกระทำได้พวกมันก็ไม่คิดจะล่วงเกินหวางเฟยเซวียน


 


“พวกเจ้าแน่ใจงั้นเหรอ ที่จะให้ข้าลงมือก่อน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองคู่พี่น้องสกุลลั่ว กล่าวถามออกมาเสียงเบา


 


“อะไร? หรือเจ้ากลัวว่าพวกเราพี่น้องจะหลอกลวงเจ้า?”


 


ลั่วเหอกล่าวเย้ยออกมา


 


“อย่าได้กังวลไป! ข้าลั่วชานผู้นี้รักษาคำพูดเสมอ และคำกล่าวของข้าล้วนแทนพวกเราทั้งคู่!”


 


ลั่วชานกล่าวตะโกนเสียงดัง


 


“ถ้างั้นข้าไม่เกรงใจแล้วกัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำพูดของพวกมันก็พยักหน้ารับคำ ทันใดนั้นเองแววตาเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา! ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างพลันโคจรผ่านชีพจรเซียน 99 สายด้วยความเร็วฉับไวค่อยปะทุออกทั่วกาย!!


 


พริบตาอาณาบริเวณทรงกลมกินรัศมี 100 หมี่โดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางก็ปรากฏเขตแดนก่อตัวขึ้น!!


 


เขตแดนของต้วนหลิงเทียน แน่นอนว่าย่อมเป็นเขตแดนหมื่นกระบี่!


 


ทว่าด้วยการที่เขาใช้ออกด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด จึงทำให้สนามพลังเขตแดนของเขานี้เสมือนกลับกลายเป็นดวงตะวันร้อนแรงแผดแสงเจิดจ้า ไม่เพียงแต่จะห่อหุ้มร่างเขาเอาไว้เท่านั้น กระทั่งพี่น้องสกุลลั่วที่อยู่ไม่ไกลเกินระยะยังถูกปกคลุมไปด้วย!!


 


จังหวะนี้ทุกผู้คนในลานศิลาไม่เว้นแม้แต่หวังพีก็ถูกม่านแสงทองเจิดจ้าบดบังทัศนวิสัย ไม่อาจแลเห็นสิ่งใดที่อยู่ด้านในสนามพลังของต้วนหลิงเทียนได้เลย!


 


“แสงนี่มันอันใดกัน!?”


 


“ดูเหมือนว่า…นี่คือเขตแดน?”


 


“นี่มันเขตแดนพิสดารอันใดกันแน่ ไฉนมิอาจแลเห็นสิ่งใดด้านในได้เลยเล่า!?”


 


……


 


เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับหลายคนที่ยกมือขึ้นบดบังแสงสีทองสว่างจ้ากล่าวออกมาด้วยสงสัย สองตาของพวกมันทุกคนตอนนี้หยีลงแทบปิด! ต่างบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นนักว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พวกมันก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย


 


“นี่คือเขตแดนของเจ้าทึ่มหรือ?”


 


หวางเฟยเซวียนเองก็ประหลาดใจไม่น้อย “นี่มันเขตแดนผีสางอันใดกัน?”


 


แม้ไม่ใช่แค่วันสองวันที่หวางเฟยเซวียนรู้จักต้วนหลิงเทียน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นต้วนหลิงเทียนควบรวมปราณใช้เขตแดนออกมา


 


“นี่มัน…”


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆกันท่ามกลางผู้คน พลันหันมามองหน้าสบตากันทันใด และต่างแลเห็นถึงแววตาตกใจเหลือเชื่อของอีกฝ่าย


 


“เขตแดนนี่…ไฉนเหมือนกับเขตแดนของลี่เฟิงได้เล่า?”


 


“นั่นสิ ข้าเองก็ได้ยินมาจากท่านลุงหลิวว่ายามที่ลี่เฟิงเปิดใช้เขตแดน จะเสมือนมีดวงตะวันมหึมาบังเกิด…เขตแดนของหลิงเทียนกลับคล้ายกับคำอธิบายเขตแดนของลี่เฟิง ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความสัมพัน์กันจริงๆ…”


 


ทั้งคู่หารือกันพักหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ น้ำเสียงของพวกมันแต่ละคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจทั้งแตกตื่น


 


ส่วนเรื่องราวภายในสนามพลังที่ผู้คนไม่อาจมองเห็นนั้น หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้เขตแดนหมื่นกระบี่ พี่น้องสกุลลั่วที่อยู่ห่างไม่ถึงร้อยหมี่ก็ถูกเขตแดนของเขากลืนกินไปด้วย และตอนนี้สีหน้าของพวกมันทั้งคู่ยังเปลี่ยนไปราวคนละคน


 


เพราะตอนที่พวกมันอยู่ในเขตแดนของต้วนหลิงเทียนนั้น พวกมันพบว่าปราณแรกกำเนิดในร่างของพวกมัน…ไม่อาจโคจรใช้ออกได้เลย!!


 


ปราณแรกกำเนิดของพวกมันถูกสะกดข่ม!!


 


“ปะ…เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”


 


“เป็นไปไม่ได้! ต่อให้มันจะเป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่เขตแดนที่มันสร้างขึ้นด้วยปราณแรกกำเนิดของมัน ก็ไม่มีทางสะกดข่มปราณแรกกำเนิดในร่างของพวกเราได้…สะกดข่มปราณแรกกำเนิดถึงขั้นที่พวกเราไม่อาจโคจรใช้ออกได้ มีเพียงเขตแดนที่สร้างจากปราณแรกกำเนิดของตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนเท่านั้น!!”


 


พี่น้องสกุลลั่วตื่นตระหนกกันยกใหญ่ พวกมันไม่อาจทราบได้จริงๆว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันไม่เคยสงสัยเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนเลย!


 


ต้วนหลิงเทียนก็แค่รุ่นเยาว์อายุไม่ถึง 40 ปี พวกมันไม่อาจเชื่อมโยงตัวตนเช่นนี้กับขอบเขตพลังอริยะเซียนได้ออก


 


แน่นอนว่าอันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่อริยะเซียน ที่เขาสามารถสะกดปราณแรกกำเนิดของพี่น้องสกุลลั่วได้ เพราะเขาไม่ได้ใช้ปราณแรกกำเนิดธรรมดาๆ แต่เป็นปราณสุริยันแรกกำเนิด!


 


ในแง่พลังอำนาจแล้ว ปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขามันเทียบได้กับปราณแรกกำเนิดของตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนขั้นตน!


 


เช่นนั้นปราณแรกกำเนิดของพี่น้องสกุลลั่วจึงถูกสะกด!


 


“สมควรเป็นความสามารถพิเศษของเขตแดนมัน!!”


 


“ใช่! พลังพิสดารของเขตแดนมันสามารถสะกดปราณแรกกำเนิดของพวกเราได้!!”


 


ไม่นานลั่วเหอกับลั่วชานที่พึมพำออกมาด้วยความตกใจ ก็เห็นพ้องต้องกัน


 


ถึงแม้เสียงพึมพำของทั้งคู่จะไม่ได้ดังอะไร แต่ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินชัดเจน จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ด้วยไม่คิดว่าจินตนาการของพวกมันจะเป็นตุเป็นตะขนาดนี้


 


“มันจบแล้ว…”


 


แววตาของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไร้แยแส เพียงห้วงคิดจิตสั่งการ กระบี่พลังสีทองนับหมื่นเล่มในเขตแดนหมื่นกระบี่พลันพุ่งเข้าหาพี่น้องสกุลลั่วทันที!!


 


เสียงกระบี่หมื่นเล่มพุ่งแหวกฝ่าอากาศดังขึ้นพร้อมเพรียง บังเกิดเป็นแรงกดดันไร้สภาพอันหนักอึ้งไม่น้อย!


 


“อั๊ค!!”


 


ยังไม่ทันโดนกระบี่ทำร้าย เพียงต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันพลังอันน่ากลัวจากกระบี่พลัง 10,000 เล่มที่กรูกันเข้ามาทุกทิศทาง ลั่วเหอก็ไม่อาจทานรับแรงกดดันได้ไหว ร่างมันทรุดลงก่อนพี่ชาย ยังกระอักโลหิตออกมาเต็มปาก!!


 


และไม่นานลั่วชานก็เจริญรอยตามมัน


 


“นี่มันเขตแดนบัดซบอันใดกันแน่!?”


 


เมื่อล้มลงไปทั้งคู่ก็พยายามเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาสุดชีวิต หมายทานทนรับพลังอันน่ากลัวที่กำลังใกล้เข้ามาจากทุกสารทิศ อนิจจาพวกมันทำได้แค่หันมามองหน้าสบตากันดว้ยความสิ้นหวังเท่านั้น เพราะไม่อาจทำอะไรได้เลย


 


กระบี่พลังนับหมื่นเล่ม ทั้งแต่ละเล่มก็เปล่งพลังอำนาจมหึมา ทำให้พวกมันรู้สึกเสมือนกำลังจะถูกขุนเขานับหมื่นถล่มทับ!!


 


“ไม่ได้เรื่อง…”


 


เมื่อเห็นสภาพอนาถของทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนก็เบ้ปากออกด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็ไม่มีอารณ์หยอกล้ออะไรพวกมันอีก เพียงใจคิด กระบี่พลังนับหมื่นเล่มพลันหลอมรวมเป็นกระบี่สีทองเล่มเขื่อง พุ่งทะยานออกไปฉับไว!!


 


ปงงงง!!


 


กระบี่พลังเล่มเขื่องพุ่งปะทะร่างทั้งคู่อย่างจัง!!


ตอนที่ 1,746 : ทำตัวเองขายหน้า!


 


เขตแดนหมื่นกระบี่นั้น ถูกต้วนหลิงเทียนควบรวมก่อเกิดขึ้นจากปราณสุริยันแรกกำเนิด


 


และปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา ลำพังอานุภาพพลังของมันก็ทัดเทียมได้กับปราณแรกกำเนิดของตัวตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นแล้ว!


 


เช่นนั้นพลังอำนาจของกระบี่สีทองเล่มเขื่อง ที่เกิดจากหมื่นกระบี่รวมหนึ่ง ย่อมไม่ใช่อะไรที่ธรรมดา!!


 


ปงงงงง!!


 


เสียงพลังอำนาจมหาศาลระเบิดปะทุดังขึ้น แรงระเบิดนั่นยังซัดร่างพี่น้องสกุลลั่วให้กระเด็นปิดปลิวไปอย่างไร้ต่อต้าน!


 


คนอื่นนั้น เนื่องจากแสงสีทองของเขตแดนหมื่นกระบี่ทำให้มองไม่เห็นเรื่อวราวภายใน


 


อย่างไรก็ตาม มองไม่เห็นไม่ใช่หมายความว่าพวกมันจะไม่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น


 


พอพวกมันได้ยินเสียงกระบี่พุ่งแหวกฝ่าอากาศฉับไว ทั้งเสียงพลังมหาศาลซัดปะทะจนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ก็ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจอยู่บ้าง


 


และครู่ต่อมาพวกมันก็เห็นร่าง 2 ร่างพุ่งทะลุม่านแสงสีทองออกมาด้วยความเร็ว กระทั่งหลังพ้นม่านแสงสีทองไปกว่า 100 หมี่แล้วร่างทั้งคู่ถึงจะสิ้นแรงส่ง! ค่อยลงตกกระแทกลานศิลากลิ้งไถลไปเป็นทาง…


 


“นั่นมัน…พี่น้องสกุลลั่วมิใช่หรือไง?”


 


ไม่นานก็มีบางคนที่จดจำซากร่างยับเยิน 2 ร่างนั่นได้ ยังอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง “นี่พวกมันถูกหลิงเทียนซัดปลิวออกมางั้นเหรอ?”


 


“ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะสิ้นสติไปแบบนั้น…ให้ตายเถอะ นั่นมันพี่น้องสกุลลั่วเชียวนะ! ยามพวกมันร่วมมือกันมิใช่กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไปยังมิใช่คู่มือรึไง..แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”


 


“นี่หลิงเทียนจะไม่ร้ายกาจเกินไปหรือไร…กระทั่งพี่น้องสกุลลั่วร่วมมือกัน ยังแพ้พ่ายในพริบตา?”


 


“น่าเสียดายนักที่เขตแดนของหลิงเทียนกลับบดบังทัศนวิสัยหมดสิ้น…หาไม่แล้วพวกเราคงได้เห็นว่าเขาเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้อย่างไร”


 


……


 


นอกจากเสียงสูดลมหายใจเข้าแรงๆแล้ว ตอนนี้เสียงสนทนาด้วยความอยากรู้ก็ดังขึ้นไปทั่วลานศิลา


 


สายตาของหลายๆคนตกไปยังร่างไร้สติของพี่น้องสกุลลั่ว ไม่นานพวกมันก็เบนกลับมาจับจ้องสนามพลังที่เหมือนลูกบอลสีทอง พวกมันอยากแลเห็นร่างคนที่อยู่ด้านในนัก


 


พวกมันอยากรู้ว่าการที่พี่น้องสกุลลั่วเจ็บหนักเช่นนี้ ผู้ที่ลงมือใช่บาดเจ็บสาหัสอะไรด้วยหรือไม่?


 


“เจ้านั่นมันตัวประหลาด!”


 


เมื่อเห็นพี่น้องสกุลลั่วถูกซัดปลิดปลิวออกมาด้วยสภาพปานสุนัขตาย หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งไปไม่น้อย แม้นางจะคิดไว้บ้างว่าชายคนนั้นอาจจะชนะ แต่นางไม่คิดเลยว่าจะเอาชนะได้ง่ายดายขนาดนี้


 


อยู่ๆเขตแดนก็ปรากฏคลุมครอบพี่น้องสกุลลั่วเอาไว้ในพริบตา


 


ครู่ต่อมาก็มีเสียงเสมือนมีบางสิ่งจำนวนมหาศาลพุ่งกรีดผ่านอากาศมากมาย สุดท้ายก็เป็นพี่น้องสกุลลั่วที่ถูกซัดปลิวกระเด็นออกมาด้วยสภาพปานสุนัขตาย


 


ต้องทราบด้วยว่าหวางเฟยเซวียนคิดไว้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเอาชนะได้หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเผยความมั่นใจออกมาให้เห็น แต่พอนางคิดเช่นนั้นจิตใต้สำนึกของนางก็เลือกที่จะปฏิเสธมัน เพราะคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้…


 


แต่นางไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วจริงๆ


 


เมื่อฉากนี้อุบัติขึ้นมา ก็มากพอจะอธิบายให้ทุกคนกระจ่าง ว่าไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ยังมีพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปอีกด้วย!


 


เพราะสุดท้ายแล้วการที่สามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้ง่ายดาย ไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วๆไปจะกระทำได้!


 


ท่ามกลางสายตาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนพลันถอนรั้งเขตแดน เผยตัวให้เห็นอีกครั้ง


 


ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!


 


……


 


แม้จะพอคาดเดากันได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนยังคงอยู่ในเขตแดน แต่ทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตะลึงเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวอีกครั้ง


 


“แข็งแกร่ง! ช่างแข็งแกร่งนัก!!”


 


“ที่แท้หลิงเทียนเป็นตัวประหลาดอันใดกันแน่? สมควรพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้เมื่อ 2 เดือนมิใช่หรือไง? ไฉนแข็งแกร่งถึงขั้นเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้ง่ายดายเลยเล่า?!”


 


“ตอนแรกพี่น้องสกุลลั่วคงคิดว่าหลิงเทียนพึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่ทันไร พวกมันคงสามารถรังแกเขาได้ง่ายดาย…พวกมันคงไม่ทันคิดกระทั่งหลับยังมิเคยฝัน ว่าพวกมันจะสู้เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่พึ่งทะลวงมาไม่ได้!!”


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนหลิงเทียนถึงยอมรับคำท้าพวกมัน ที่แท้มิได้วู่วามหรือประมาทอะไร แต่เขามั่นใจจริงๆ!”


 


“ครั้งนี้พี่น้องสกุลลั่วนับว่าทุ่มหินทับเท้าตัวเองแล้วจริงๆ”


 


……


 


เหล่าศิษย์ของตำหนกฟ้าลี้ลับที่มารวมตัวกันอยู่บนลานศิลากล่าวจ้อกันไม่หยุด บทสนทนาล้วนแต่ชื่นชมพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน บ้างก็หยามเหยียดพี่น้องสกุลลั่วเอาสะใจ


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องหลิงเทียนสมควรมิใช่คนหุนหันพลันแล่น อย่างไรก็ตามข้าคิดมิถึงจริงๆว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องจะร้ายกาจถึงขั้นเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้…”


 


กัวลู่ที่ยืนอยู่ไกลๆ มองต้วนหลิงเทียนพักหนึ่งค่อยระบายลมหายใจออกมาพร้อมกล่าวพึมพำ


 


ครั้งแรกที่มันพบกับต้วนหลิงเทียน ก็ได้ประมือกันและเป็นต้วนหลิงเทียนที่เมตตาออมมือ จงใจให้ผลออกมาเป็นเสมอ


 


ตั้งแต่วันนั้นมันก็คิดไว้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด


 


เพราะการที่ต้วนหลิงเทียนสามารถลงมือได้อย่างไร้แรงกดดัน พลิกแพลงกระบวนท่าให้อยู่ในระดับเดียวกับมัน แม้แต่กระทั่งถอนคืนกระบวนท่าที่ใช้ออกในฉับพลันจนกลายเป็นแลดูสูสีกับมันอย่างแยบคายนั้น ไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญจะทำได้เลย มีแต่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น


 


‘สมควรเป็นผลของสระวิญญาณที่ทำให้พลังฝีมือศิษย์น้องก้าวหน้าขึ้นถึงขนาดนี้’


 


กัวลู่ลอบคาดเดา


 


“แข็งแกร่งยิ่ง!”


 


ห่างออกไป หลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยหันมามองตากันอีกครั้ง พวกมันต่างแลเห็นถึงความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย ยังอุทานออกมาด้วยความพร้อมเพรียง


 


“พลังฝีมือที่หลิงเทียนเผยออก หากเทียบกับลี่เฟยที่ปรากฏตัวในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง น่ากลัวว่าจะไม่ต่างกันมาก…”


 


เริ่นเฟยกล่าวออกเสียงขรึม


 


“ถูกแล้ว! ลี่เฟยเองก็เห็นว่าคล้ายพึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาเหมือนกันกับหลิงเทียน…หากทั้งคู่ประมือกันจริงก็ยากที่จะบอกได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ!”


 


หลิวเจี้ยนหยักหน้า มันเองก้เห็นด้วยกับวาจาของเริ่นเฟย


 


“ทว่าวิธีลงมือของหลิงเทียนกลับคล้ายลี่เฟิงที่พวกเราได้ยินมา…ดูเหมือนเขาจะรู้จักกับลี่เฟิงจริงๆ เจ้าว่าที่เขาคิดตอบแทนผู้อาวุโสของพวกเรา ใช่มีอันใดเกี่ยวข้องกับลี่เฟิงหรือไม่?”


 


หลิวเจี้ยนกล่าวพึมพำออกมา ค่อยหันไปมองถามเริ่นเฟย


 


“พอเจ้าพูดขึ้นมาแบบนี้…ข้าคิดว่าอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ! ตอนนั้นลี่เฟิงได้อาวุโสของพวกเราคอยยืนหยัดเคียงข้าง ทั้งได้รับการปกป้องอย่างดีระหว่างการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง บางทีลี่เฟิงอาจรู้สึกติดค้าง…หลิงเทียนสมควรสนิทสนมกับลี่เฟิงเป็นแน่ถึงได้คิดตอบแทนบุญคุณแทนลี่เฟิงเช่นนี้…”


 


เริ่นเฟยพยักหน้า มันเองก็เห็นด้วย


 


หลังจากที่เริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนหารือกันไปสักพัก ก็คิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ


 


ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ลี่เฟยที่ปรากฏตัวในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กับหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนๆเดียวกันเลย


เหตุผลนั้นเป็นเพราะพวกมันมั่นใจว่าหลิงเทียนไม่ได้ปลอมแปลงรูปโฉมอะไรมา และในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องตอนนั้น อาวุโสของพวกมันก็ยืนยันแล้วว่าลี่เฟิงไม่ได้ปลอมแปลงหน้าตาเช่นกัน


 


นอกจากนี้ถึงแม้พวกมันจะไม่เคยเห็นลี่เฟิงตัวจริง แต่พวกมันก็ได้ดูภาพเหมือนลี่เฟิงมาแล้ว และหลิงเทียนตรงหน้ามองมุมไหนก็ไม่คล้ายลี่เฟิงเลย


 


ลี่เฟิงต่างจากหลิงเทียนที่แลดูหล่อเหลานัก เพราะใบหน้าลี่เฟิงค่อนไปทางเย็นชาไม่รับแขก ให้ความรู้สึกคล้ายหมาป่าเดียวดายที่ชมชอบการพเนจร


 


“เจ้าว่า…หลิงเทียนกับลี่เฟยจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันรึเปล่า?”


 


เริ่นเฟยมองหลิวเจี้ยน พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสงสัย


 


“อาจเป็นได้!”


 


หลิวเจี้ยนเองก็ไม่แน่ใจ แต่พอคิดดูก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง


 


ในขณะที่เริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนพยายามโยงต้วนหลิงเทียนเข้ากับลี่เฟิง หวางเฟยเซวียนก็ยกต้วนหลิงเทียนขึ้นมาเทียบกับลี่เฟิงด้วยเช่นกัน “พลังฝีมือที่เจ้าทึ่มเผยออกวันนี้น่ากลัวว่าต่อให้เทียบลี่เฟิงไม่ได้แต่ก็ไม่ควรด้อยกว่ามากมายอะไร…ข้าไม่คิดเลยว่าพลังฝีมือของเจ้าทึ่มจะก้าวหน้าขึ้นถึงขนาดนี้หลังเข้าตำหนักฟ้าลี้ลับได้ไม่ทันไร”


 


ขณะเดียวกันสายตาที่หวางเฟยเซวียนใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เผยความซับซ้อนทั้งลึกซึ้งขึ้นไม่น้อย


 


เรื่องนี้เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ทันเห็น


 


ด้านหวังพีที่มาหยุดอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องหลิงเทียนข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการเข้าไปใช้สระวิญญาณ จะยกระดับพลังฝึกปรือเจ้าครั้งใหญ่…พี่น้องสกุลลั่วคู่นี้ขึ้นชื่อในวังนภานัก ว่าไร้เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่พึ่งทะลวงผ่านเอาชัยได้…”


 


“แต่เจ้ากลับทำลาย ‘ตำนาน’ ที่พวกมันร่วมกันสร้างมานานปีลงได้!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคหวังพีอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังเผยความชื่นชมเพิ่มหลายส่วน


 


อย่างน้อยๆตอนที่มันอายุเท่าต้วนหลิงเทียน ก็ยังมีพลังฝีมือห่างไกลจากต้วนหลิงเทียนมากมายนัก!


 


ด้วยความสามารถนี้ของต้วนหลิงเทียน คงเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นกว่าที่อีกฝ่ายจะก้าวข้ามหวังพี หากไม่ตกตายไปเสียก่อน…เรื่องนี้หวังพีย่อมไม่คิดสงสัยเลย


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ไฉนแลดูผู้คนทำท่าแปลกๆกันนัก?”


 


“เฮ่ย! นั่นมิใช่พี่น้องสกุลลั่วรึไร? ไฉนไปนอนเป็นสุนัขป่วยใกล้ตายบนพื้น สภาพดูไม่ได้เช่นนั้นเล่า?”


 


……


 


ไม่นานศิษย์วังนภาและศิษย์วังอื่นๆที่พึ่งมาถึงก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศในลานศิลาสมควรมีอะไรผิดปกติ และยังมีศิษย์วังนภาหลายคนที่จดจำร่างที่นอนสิ้นสภาพบนพื้นได้ว่าเป็นพี่น้องสกุลลั่ว


 


พี่น้องสกุลลั่วนั้น กล่าวไปแล้วพวกมันถือเป็น ‘คนดัง’ ของวังนภาก็ว่าได้ เพราะยามพวกมันร่วมมือผนึกกำลังกัน กลับมีพลังฝีมือสู้กับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป!


 


แม้ศิษย์ของอีกทั้ง 3 วังจะเคยได้ยินเรื่องราวของพี่น้องสกุลลั่วมาบ้าง แต่มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่เคยเห็นหน้าค่าตาพวกมัน


 


อยางไรก็ตามพอพวกมันได้รับการกระตุ้นเตือนจากศิษย์วังนภา ว่าผู้ที่นอนสิ้นสภาพอยู่เป็นใคร พวกมันก็อดตกใจเสียไม่ได้


 


“นี่น่ะหรอสองคนที่เป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ทั้งยามผนึกกำลังร่วมมือสามารถต่อกรกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปได้? พวกมันแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นเชียว?”


 


ไม่นานศิษย์ของอีก 3 วังที่เหลือที่ไม่เคยได้รับทราบเรื่องราวของพี่น้องสุลลั่ว ก็ได้รู้จักพวกมัน


 


“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันเล่า?”


 


“วันนี้มิใช่วันที่วังนภาจะคัดเลือกคนเข้าแดนลับเซียนหรือไร? ไฉนพี่น้องสกุลลั่วมานอนหมดสภาพอยู่ที่พื้นได้ เท่าที่ข้ารู้มาพวกมันแต่ละคนล้วนมีอายุเกิน 50 ปี มิมีสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแล้วนี่?”


 


“ถามคนที่มาก่อนเถอะ ว่าไฉนพวกมันมานอนเป็นสุนัขตายเช่นนี้ได้”


 


……


 


ครู่ต่อมาเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่พึ่งมาถึง ก็เริ่มถามไถ่สหายที่มาก่อน และผู้ที่มาก่อนก็ล้วนคันปากอยากจะเล่ากันทั้งสิ้น ทำให้พวกมันได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด และรู้ว่าหลิงเทียนเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วอย่างไร


 


“อะไรนะ!?”


 


“แค่พริบตาหลิงเทียนก็ซัดพวกมันปลิวละลิ่วออกมาเป็นสุนัขตายเช่นนี้?”


 


“เฮ่ย! นั่นหมายความว่าหลิงเทียนทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ?”


 


“เรื่องนั้นมิใช่ประเด็นแล้ว…ที่สำคัญคือหลิงเทียนสมควรพึ่งทะลวงผ่านไปยังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้แค่ 2 เดือน แต่กลับเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ผนึกกำลังกันได้ง่ายดายต่างหาก! นั่นหมายความว่าพลังฝีมือของหลิงเทียนเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป!!”


ตอนที่ 1,747 : ต่ำกว่าอริยะเซียนไม่พ่าย?


 


“เหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไป?”


 


“มิผิด! เจ้าอย่าได้ลืมว่าพี่น้องสกุลลั่วเป็นผู้ใด พวกมันเคยร่วมมือกันเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปมาแล้ว…ทั้งเหล่าศิษย์ที่พึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่ถึงปี ไม่ได้ต่างอันใดจากลูกไก่ต่อหน้าการร่วมมือของพวกมันเลย”


 


“ถูกต้อง! หลิงเทียนสมควรทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดในสระวิญญาณ กล่าวได้ว่าพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้แค่ไม่ถึง 3 เดือน ทว่าสามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้! ไหนเลยยังเป็นชนชั้นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดธรรมดาได้อีก!?”


 


“ฮัยยา! ข้าไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนนอกจากจะมากพรสวรรค์แล้ว ยังจะมีเชิงยุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้อีกด้วย”


 


“เป็นธรรมดา หากเชิงยุทธ์ไม่ร้ายกาจไหนเลยจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้ ทั้งๆที่พึ่งทะลวงผ่านมาไม่ถึง 3 เดือน”


 


……


 


เมื่อตระหนักได้ถึงผลการปะทะระหว่างพี่น้องสกุลลั่วกับหลิงเทียน เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเลื่อมไส


 


ในโลกที่เข้มแข็งเป็นใหญ่ ตราบใดที่ท่านมีพลังฝีมือกล้าแข็ง ย่อมได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับการยอมรับทั้งชื่นชมจากเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


“เจ้าดูเอาเถอะ…พรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือของเจ้าเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนขนาดไหน…หลังจบการประลองครั้งนี้ไป ข้ากลัวว่าคงอีกมินาน ท่านจ้าวตำหนักต้องมาหาเจ้าแน่”


 


เมื่อเห็นถึงสายตาเลื่อมไสที่จับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียน หวังพีพลันมองกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม แววตาของมันก็มีความเคารพปนอยู่เช่นกัน


 


“จ้าวตำหนักมาหาข้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้ง “มาหาข้าทำไม?”


 


“ท่านจะมาหาเจ้าเพื่ออันใดได้อีกเล่า แน่นอนว่าย่อมคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว…อันที่จริงด้วยพรสวรรค์ศักยภาพของเจ้า น่ากลัวท่านจ้าวตำหนักจะคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ปิดสำนักด้วยซ้ำ!”


 


กล่าวถึงตรงนี้ แววตาที่หวังพีใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความอิจฉา


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวตำหนักคือตัวตนสูงสุดขณะเดียวกันยังเป็นผู้ที่มีพลังฝีมือสูงส่งที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับ หากใครได้เป็นศิษย์ล่ะก็ อนาคตย่อมสดใสไร้จำกัด!


 


“ศิษย์ส่วนตัว ไม่แน่ก็เป็นศิษย์ปิดสำนัก?”


 


หากเป็นคนทั่วไปมาได้ฟัคำหวังพีเกรงว่าคงตื่นเต้นยินดีแทบตาย ทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วเรื่องนี้กลายเป็นน่ารำคาญ


 


ในอดีตตอนที่เขาอยู่ทวีปเมฆาล่องเขาไม่คิดรับใครเป็นอาจารย์ เพราะเขามีความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด จึงรู้สึกว่าไม่มีใครดีพอจะเป็นอาจารย์ของเขาได้!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เขาได้พบกับเจ้าเมืองชงซัน ทว่าเพียงนับอีกฝ่ายเป็นครู ไม่ใช่อาจารย์


 


ต่อมาพอเขาได้สืบทอด ยอดใจกระบี่ อันเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดที่เป็นมรดกตกทอดของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง เขาจึงยึดถือฟงชิงหยางเป็นอาจารย์ในใจ เรียกว่าใจเขายอมรับเพียงคนผู้นี้เท่านั้น เช่นนั้นเรื่องที่จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับคิดรับเขาเป็นศิษย์อะไรนั้นเขาไม่สนใจ


 


ในใจเขามีอาจารย์ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!


 


และเมื่อใจเขายึดถือเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ผู้ถ่ายทอดยอดใจกระบี่เป็นอาจารย์ไปแล้ว เขายังถือว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่ฟงชิงหยางฝากฝังไว้อีกด้วย!


 


ก่อนที่จะเริ่มคัดเลือกศิษย์ที่สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน เรียกว่าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากกว่าใดอื่น!


 


ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับจากวังต่างๆที่มาชมดู ต่างหันมองต้วนหลิงเทียนเป็นระยะๆ วาจาที่สนทนากันส่วนใหญ่ในลานก็ล้วนมีนามหลิงเทียนโผล่มาไม่หยุด


 


“หลิงเทียน”


 


ตอนนี้เองหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยที่เดิมอยู่ห่าง ก็เดินเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กล่าวคำทักทายทั้งขอบคุณ “พวกเราขอขอบคุณเจ้าที่ให้โอกาสพวกเราเข้าร่วมกลุ่ม”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้พูดอะไร เป็นหวางเฟยเซวียนที่มาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจิกกัด “ฮึ! พวกเจ้าไม่ต้องรีบขอบคุณไปหรอก! ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกเจ้าจะได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนหรือไม่..หากพวกเจ้าไม่อาจชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงการร่วมมืออันใด!”


 


“แม่นางหวางเฟยเซวียนกล่าวถูกแล้ว…”


 


หลิวเจียนพยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “การประลองชิงสิทธิ์วันนี้ข้าจะทำให้ดีที่สุด หากมิได้สิทธิ์ข้าก็ได้แต่โทษตัวเองที่ไร้สามารถ แต่อย่างไรเสียข้าก็ต้องขอขอบคุณกับความหวังดีของเจ้า”


 


หลิวเจี้ยนมองต้วนหลิงเทียน กล่าวออกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


ต้องกล่าวเลยว่าน้ำเสียงของหลิวเจี้ยนไม่ได้ถือดีหรือนอบน้อมอะไรมากมาย ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เลวเหมือนกัน


 


“ข้าเองก็เช่นกัน”


 


เริ่นเฟยยังกล่าวเสริมออกมา


 


“ฮึ! ในบรรดาพวกเรา 4 คน เจ้านับว่ามีโอกาสเข้าแดนลับเซียนน้อยที่สุด!”


 


หวางเฟยเซวียนเหลือบมองเริ่นเฟยด้วยสายตาเย็นชากล่าวแขวะออกมา


 


เรินเฟยพอได้ยินก็รู้สึกกระดากใจไม่น้อย แต่มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะมันรู้ดีแก่ใจว่าแม่นางเบื้องหน้าดุร้ายเพียงใด


 


ที่มันคิดไม่ถึงก็คือผ่านไปตั้งนานแล้ว ท่านย่าน้อยผู้นี้ยังไม่ลืมเลือนเรื่องที่มันทำไว้อีก…


 


เริ่นเฟยย่อมรู้ดี ว่าตอนนี้การเลือกที่จะเงียบสมควรเป็นอะไรที่ประเสริฐสุด!


 


“เจ้าเคยมีเรื่องบาดหมางกับมันเหรอ?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นดินปืนที่คลุ้งขึ้นมาในบรรยากาศ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงกล่าวถามหวางเฟยเซวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที


 


“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก! ข้าแค่ไม่ชอบหน้ามันเท่านั้นแหล่ะ…”


 


หวางเฟยเซวียนส่งเสียงตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็รู้สึกไร้คำจะกล่าว


 


“ลั่วชานฟื้นแล้ว!”


 


ทันใดนั้นเองไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ที่ตะโกนออกมา แต่ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปยังจุดที่ลั่วชานนอนหมดสภาพก่อนหน้าทันที


 


ตอนนี้ลั่วชานได้สติแล้ว มันหยิบโอสถออกมารับประทานอย่างยากลำบาก และพยายามลุกขึ้นนั่งโคจรพลังรักษาตัว


 


หลังจากนั้นสักพัก มันก็ไปปลุกน้องชายของมัน ช่วยป้อนโอสถให้อีกฝ่าย ยังช่วยเดินพลังย่อยฤทธิ์โอสถให้เร็วขึ้น


 


ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ สีหน้าของพวกมันพี่น้องก็ค่อยๆดีขึ้น มีเลือดฝาดอีกครั้ง หากแต่พวกมันก็ยังดูอ่อนแออิดโรยนัก ได้แต่พยายามประคองกันลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล…


 


พวกมันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับผู้ใด…


 


จังหวะนี้พวกมันทั้งอับอายทั้งเสียใจไม่น้อย หากพวกมันไม่ไประรานตัวประหลาดนั่น ไหนเลยพวกมันจะประสบชะตาอนาถขนาดนี้…


 


หลังจากที่เงยหน้าขึ้นไปลอบมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง พี่น้องสกุลลั่วก็พากันเหินบินจากไปทันที


 


“จึกๆๆ อะไรกัน… พวกเจ้าพี่น้องคิดไปแล้วหรือ?”


 


ทว่าตอนนี้เองเป็นหวางเฟยเซวียนที่ยืนข้างต้วนหลิงเทียน พลันวูบร่างไปขวางทางพวกมันพี่น้องเอาไว้ ใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน


 


“แม่นางเฟยเซวียน ท่านคิดกล่าวอันใดอีก?”


 


ใบหน้าลั่วชานซีดลงปานศพ หากแต่มันก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพียงกล่าวถามกลับมาเสียงเข้ม


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องพื้นหลังของหวางเฟยเซวียนที่พวกมันไม่อาจล่วงเกินตอแยด้วยได้ ลำพังแค่สภาพอ่อนแอสิ้นเรี่ยวแรงตอนนี้ พวกมันก็ไม่ใช่คู่มือของหวางเซวียนแม้แต่น้อย เช่นนั้นให้พวกมันมีโมโหเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือ


 


“กับตัวโง่งมเช่นพวกเจ้า ข้ายังมีอันใดจะกล่าวด้วย? ข้าแค่อยากรู้นักว่าตอนนี้พวกเจ้าใช่สิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า หมาขี้แพ้ หรือไม่?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวออกเสียงเรียบ


 


ทว่าทันทีที่สิ้นคำ สีหน้าหลัวชานเปลี่ยนไปมหันต์ ร่างลั่วเหอยังสั่นระริก มันยกมือขึ้นชี้หวางเฟยเซวียนกล่าวออกด้วยคับแค้น “จะ…เจ้า”


 


ไม่ทราบเพราะมันมีโมโหทั้งคับแค้นเกินไปหรือไม่ แต่มันถึงกับไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้…


 


“หากยังกล้าใช้อุ้งเท้าสุนัขชี้หน้าข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดมันทิ้งเสีย!”


 


ลูกตาหวางเฟยเซวียนเผยประกายดุร้ายออกมา ยังตะโกนกล่าวออกเสียงเหี้ยม


 


ลั่วเหอยังไม่ทันตอบสนองอะไร ก็เป็นลั่วชานที่เร่งพุ่งแขรไปลดมือของลั่วเหอลง ก่อนที่จะประสานมือโค้งคำนับหวางเฟยเซวียนพร้อมกล่าว “แม่นางหวางเฟยเซวียนน้องชายข้าไม่รู้เรื่องราวกลับเสียมารยาทต่อท่านแล้ว ข้าในฐานะพี่ชายได้แต่ขอขมาท่านแทนพวกเราพี่น้อง หวังว่าวีรสตรีที่ใจกว้างเช่นแม่นางหวางจะไม่ถือโทษ”


 


มีคำกล่าวที่ว่า ไม่อาจตบหน้าคนยิ้ม ด้วยลั่วชานพยายามฝืนยิ้มกล่าวขอขมาออกมาเช่นนี้ ทำให้หวางเฟยเซวียนคลายโทสะลงไปไม่น้อย และไม่ได้ลงมืออะไรอีก


 


หลังจากที่พี่น้องสกุลลั่วเร่งเหินร่างจากไปแล้ว หวางเฟยเซวียนก็โรยตัวลงมายืนข้างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง


 


“เจ้าจะไม่จองเวรผู้คนไปหน่อยหรือ?”


 


หลังจากที่หวางเฟยเซวียนกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา


 


“อะไร? มิใช่ข้าทำไปเพื่อล้างแค้นให้เจ้าหรอกรึไง?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าว “ก่อนหน้านี้พวกมันคนเดียวสู้เจ้าไม่ได้ พวกมันยังจะหน้าด้านท้ากลุ้มรุมเจ้าอย่างหน้าไม่อายอีก! ถึงผลจะออกมาดีเพราะพวกมันถูกเจ้าทุบตีเป็นสุนัขตายก็เถอะ!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาหวางเฟยเซวียนก็สว่างจ้าขึ้นมา “นี่ๆ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาเร็วๆอย่าได้กั๊ก! ที่แท้พลังฝีมือเจ้าเป็นอย่างไรแล้ว?!”


 


วาจาซุกซนอยากรู้ที่หวางเฟยเซวียนกล่าวถามออกมาคราวนี้ ทำให้หวังพี กัวลู่หลิวเจี้ยนและเริ่นเฟยหันไปสนใจต้วนหลิงเทียนทันที พวกมันเองก็สงสัยเรื่องนี้ไม่น้อย


 


“หากข้าบอกว่าพลังฝีมือของข้าตอนนี้..ไม่แพ้ใครใต้อริยะเซียน เจ้าจะเชื่อข้ารึเปล่าล่ะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามกลับด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่มีทาง!”


 


หวางเฟยเซวียนเบ้ปากมองต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าไม่เชื่อทันที “นี่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าจะไม่มีเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคนไหนทำอะไรเจ้าได้อีก เพียงเพราะเจ้าเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้? ข้าจะบอกอะไรให้นะ! หากเป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาเอง..พี่น้องสกุลลั่วก็ไม่นับเป็นตัวอะไร! กระทั่งเจ้าอาจจะพ่ายแพ้ในพริบตาทั้งมีสภาพอนาถาไม่ต่างใดกับพี่น้องสกุลลั่วก็เป็นได้!”


 


เมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนคิดว่าเขาโม้โอ้อวด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไม่คิดกล่าวอธิบายอะไรอีก


 


ฉากนี้ทำให้หวางเฟยเซวียนกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมา ราวกับจับ ‘ซี่โครงอ่อน’ ของต้วนหลิงเทียนได้ จนทำให้ต้วนหลิงเทียนเถียงไม่ออก


 


สำหรับหวังพีและคนอื่นๆ ก็เป็นธรรมดาที่จะเห็นด้วยกับวาจาของหวางเฟยเซวียน ไม่มีใครเชื่อคำของต้วนหลิงเทียนสักคน


 


ไม่แพ้ใครใต้อริยะเซียน?


 


วาจา 6 คำนี้กล่าวออกง่ายดาย หากแต่คิดกระทำให้สำเร็จ…ยากเย็นนัก!


 


เวลาผ่านไปอีกสักพัก รองจ้าววังนภาเซียวยี่ก็ปรากฏตัวขึ้น เพื่อเป็นคนดำเนินการจัดการคัดเลือกผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน


 


หลังจากที่เซียวยี่ปรากฏตัวขึ้นมา หวังพีก็กล่าวคำอำลาต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเหินร่างไปอยู่ข้างกายของเซียวยี่และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ยังเน้นย้ำถึงพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน


 


“ว่าอะไร!?”


 


ด้านเซียวยี่ก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดทันทีหลังจากที่รู้ “พี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกัน ยังพ่ายแพ้ในไม่กี่อึดใจ?”


 


ในฐานะรองจ้าววังนภา เซียวยี่ย่อมรู้จักทั้งประทับใจพลังฝีมือของศิษย์วังนภาระดับหัวแถวอยู่บ้าง ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีพี่น้องสกุลลั่วรวมอยู่ด้วย…เพราะยามทั้งคู่ร่วมมือกันกลับสามารถเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้


ตอนที่ 1,748 : จ้าวจี้


 


การที่ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 2 คน สามารถร่วมมือผนึกกำลังกันเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั่วไปได้ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็ตามที..เรื่องนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาและน่าประทับใจแล้ว!


 


จ้าววังนภานั้นไม่ค่อยยุ่งเรื่องราวใดๆในวังนภา โดยปกติแล้วจึงเป็นเซี่ยวยี่ที่มักดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆ…


 


เช่นนั้นจึงเป็นปกติที่เซียวยี่จะรู้จักพี่น้องสกุลลั่ว


 


ในเมื่อมันรู้ถึงพลังฝีมือของพี่น้องสกุลลั่วยามร่วมมือกันมาก่อน จึงทำให้มันอดไม่ได้ที่จะตกใจ เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะพวกมันทั้งคู่ได้ในชั่วอึดใจ!


 


“สหายน้อยผู้นี้…ออกจากสระวิญญาณไม่ทันถึง 3 เดือนกลับร้ายกาจขนาดนี้แล้ว?”


 


เซียวยี่มองต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนลานศิลาไกลๆ ในแววตาเผยความตกตะลึงไม่น้อย


 


ถึงแม้มันจะรับทราบว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดของต้วนหลิงเทียนสูงส่ง กระทั่งสงสัยว่าอาจทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดหลังออกจากสระวิญญาณ…แต่มันก็ไม่เคยคิดเคยฝันเลยจริงๆว่าจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วที่ร่วมมือกันได้!


 


เท่าที่มันรู้ผู้ที่สามารถเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วยามร่วมมือกันได้ สมควรเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดที่มีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว


 


“รองจ้าววัง”


 


โอกาสในการเข้าสระวิญญาณจะอย่างไรก็เป็นเซียวยี่มอบให้ เช่นนั้นพอต้วนหลิงเทียนเห็นอีกฝ่ายมาถึง เขาก็ยิ้มทักทายอีกฝ่ายทันที


 


“หลิงเทียน ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะฝีมือร้ายกาจขนาดนี้…ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ น่ากลัวว่ามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าลี่เฟิงที่ปรากฏตัวขึ้นในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย”


 


เซียวยี่กล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ถึงแม้มันจะรู้ว่าการที่ต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมวังนภามาแบบนี้ อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด


 


แต่มันก็ไม่คิดจริงๆว่าอีกฝ่ายจะก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเวลาแสนสั้นแบบนี้


 


“ทั้งหมดต้องขอบคุณรองจ้าววังที่ให้โอกาสข้าได้เข้าใช้สระวิญญาณเพื่อฝึกฝน…หาไม่แล้ววันนี้เกรงว่าคงเป็นข้าที่พ่ายแพ้ต่อพี่น้องสกุลลั่ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณออกมาด้วยท่าทางซาบซึ้ง


 


ถึงแม้จะไม่ได้รับการส่งเสริมจากสระวิญญาณเขาจะเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้อยู่ดี แต่การได้เข้าใช้สระวิญญาณก็ทำให้เขาทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น กระทั่งเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้สำเร็จ นับว่าทำให้เขาขอบคุณเซียวยี่จากใจจริงๆ!


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนไม่ลืมบุญคุณที่ได้เข้าสระวิญญาณเพราะมัน ใบหน้าเซียวยี่ก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้า เลือกเข้าวังนภาเราก็เป็นธรมดาที่เจ้าจะมีสิทธิ์ได้เข้าใจสระวิญญาณ…แต่มีหลายต่อหลายคนที่เคยใช้สระวิญญาณ ทว่าเทียบกับการก้าวหน้าครั้งใหญ่ของเจ้าแล้ว ผู้อื่นไม่อาจนับเป็นอะไรได้”


 


ได้ยินวาจานี้ของเซียวยี่ผิวเผินต้วนหลิงเทยนเพียงยิ้มบางๆรับคำอย่างสงบ ทว่าในใจลอบหัวเราะแห้งๆไปแล้ว


 


อันที่จริงการเข้าใช้สระวิญญาณ มันทำให้เข้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นจากเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น…


 


ส่วนเรื่องที่เขาเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วได้ง่ายดาย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งสิ้น เพราะพลังอำนาจของมันเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น!


 


ในตอนที่เขาเอาชนะพี่น้องสกุลลั่วยังเป็นเขาที่ออมรั้งยั้งมือไว้หลายส่วน! เพราะอย่างไรนั่นก็คือพลังของอริยะเซียนขั้นต้น ไม่ใช่อะไรที่พี่น้องสกุลลั่วจะต้านทานได้เลย!!


 


“เอาล่ะ เรื่องนี้ไว้สนทนากันต่อภายหลัง…เหตุผลที่ข้ามาวันนี้เพราะข้าเป็นผู้ดำเนินการคัดศิษย์ที่จะเข้าแดนลับเซียน”


 


หลังจากที่เซียวยี่ยิ้มให้ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มันก็ประกาศออกมาเสียงดัง ให้เหล่าศิษย์ที่บรรลุเซียนก่อน 40 มารวมตัวกันตรงกลาง สำหรับผู้ที่มาชมดูก็ให้ถอยออกไปห่างๆ


 


“มีคนเยอะแยะขนาดนี้เลย…”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีคนเหลืออยู่ 40 กว่าคนหลังเซียวยี่กล่าว


 


ต้องทราบด้วยว่าวันที่เขาเข้าร่วมวังนภา มีศิษย์เพียง 10 คนเท่านั้น


 


นั่นหมายความว่าแต่เดิมวังนภาก็มีอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่อายุไม่ถึง 40 ปีอยู่ก่อนแล้ว 30 กว่าคน


 


“เจ้าคือหลิงเทียนใช่ไหม?”


 


ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


พอเขาหันมองไปตามเสียงก็แลเห็นชายหนุ่มในชุดเขียวแลดูอัธยาศัยดี กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเดินเข้ามาหาเขา “ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า ข้าเรียกว่าเกาเผิง”


 


เกาเผิง!


 


ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหูสำหรับต้วนหลิงเทียน เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องราวของคนผู้นี้ไม่น้อยหลังมาอยู่วังนภา


 


1 ใน 2 ศิษย์ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางก่อนอายุ 40 ปี…


 


ก่อนที่เขาจะมา เกาเผิงกับชายหนุ่มอีกคนที่อายุไม่ถึง 40 ล้วนถูกเรียกว่า 2 อัจฉริยะเซียนที่ร้ายกาจที่สุดของวังนภา


 


อย่างไรก็ตามด้วยมีเขาเข้ามา รัศมีของทั้ง 2 เสมือนถูกเขากลบมิด…


 


ตอนนี้หากกล่าวถึงอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดของวังนภา น่ากลัวว่าคงไม่มีใครในวังนภาจะคิดถึงเกาเผิงกับอีกคนอีกต่อไป


 


“หลิงเทียน”


 


แน่นอนว่าถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยได้ยินนามเกาเผิงมา แต่เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเกาเผิง ในเมื่ออีกฝ่ายริเริ่มทักเขาด้วยดี เขาก็ไม่คิดปฏิเสธ จึงยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายทั้งบอกชื่อไป


 


“หลิงเทียน ก่อนเจ้ามาไม่มีรุ่นเยาว์คนไหนในวังนภาทำให้ข้ายอมรับได้เลย…แต่ข้าต้องบอกเลยว่าพรสวรรค์ทั้งพลังฝีมือของเจ้าเรียกว่าขู่ขวัญข้าแทบตาย! อดไม่ได้ที่ข้าจะเลื่อมไสเจ้าจริงๆ…นับถือๆ”


 


เกาเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยอารมณ์ ค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


“เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับอย่างสุภาพ


 


“เหอะ!”


 


ทันใดนั้นเองมีเสียงแค่นสบถเย็นชาหนึ่งดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าผู้คนกำลังเดินเข้ามา


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตามเสียงทันที


 


มองไปเห็นชายหนุ่มในจุดจอมยุทธ์ก้าวอาดๆมาแต่ไกล ด้านหลังติดตามมาด้วยศิษย์อีก 2 คน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ติดตามของมัน แลไปคล้ายเป็นดาวบริวารที่โคจรไม่ห่าง


 


ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาไม่เบา จมูกที่คล้ายจะงอยปากเหยี่ยวของมัน…ยังทำให้มันดูองอาจกล้าหาญขึ้นไม่น้อย


 


เสียงแค่นคำเย็นชาเมื่อครู่ เป็นของมันเอง


 


ไม่ทันไรชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ก็เดินมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน มันว่ายมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ลึกลงไปในลูกตาเผยความยำเกรงออกมา…ทว่าสีหน้าท่าทางที่เผยออกกลับคล้ายมองแคลนผู้คน! ทำราวกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นแค่เบี้ยงล่างของมัน!!


 


‘เซียนขัดเกลาขั้นกลาง?’


 


ด้วยเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนย่อมแลเห็นพลังฝึกปรือของมันได้ทันที และผู้ที่มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี นอกจากหวางเฟยเซวียนกับเกาเผิงแล้ว สมควรมีแค่คนเดียว…


 


จ้าวจี้!


 


จ้าวจี้แห่งวังนภานั้น ปกติแล้วมักแบ่งปันชื่อเสียงกับเกาเผิง เป็นอีกหนึ่งเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีในวังนภา!


 


อย่างไรก็ตาม ต่างจากภูมิหลังทั่วไปของเกาเผิง จ้าวจี้ผู้นี้กลับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด บิดามันเป็นถึงหนึ่งในรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ แถมปู่มันยังเป็น 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 คนของตำหนักฟ้าลี้ลับ เพียงมีพลังฝีมือด้อยกว่าจ้าวตำหนักผู้เดียวเท่านั้น!


 


“เจ้าน่ะเหรอ หลิงเทียน?”


 


จ้าวจี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทึ่งๆ กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ


 


ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวจี้ กระทั่งหวางเฟยเซวียนที่ดุร้ายยังต้องยำเกรง


 


แม้ภูมิหลังนางจะดี แต่ไม่อาจเทียบอะไรกับจ้าวจี้ได้เลย


 


ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ อาศัยปู่ของจ้าวจี้คนเดียว หากเกิดความไม่พอใจอะไรเข้า ด้วยพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายสามารถล้างคฤหาสน์ดาบทรราชของนางได้ในชั่วข้ามคืน…


 


เผชิญกับคำถามห้วนๆนี้ของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนคร้านจะตอบคำอะไร หลังเหลือบมองสำรวจพลังฝึกปรือมันเสร็จ เขาก็ละสายตาออกไปชมดูรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ไม่คิดจะสนใจอะไรมันอีก


 


“บังอาจ!”


 


ในขณะที่จ้าวจี้หน้าจมลง ศิษย์ที่ติดตามมาด้านหลังของมันคนหนึ่งพลันกล่าวออกเสียงดังด้วยน้ำเสียงเข้มดุ “หลิงเทียน เจ้าไม่ได้ยินที่นายน้อยจี้กล่าวถามหรือไร?”


 


“โฮ่? เดี๋ยวนี้สุนัขกล้าเห่าต่อหน้าเจ้าของตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปเหลือบมองศิษย์ที่กล่าวด้วยสายตาเฉยเมย มุมปากปรากฏยิ้มแสยะฉีกขึ้น พาลให้สีหน้าของศิษย์ผู้นั้นมืดดำลงทันใด หากแต่มันก็จนปัญญาจะทำอะไรได้เพราะมันรู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียนเลย


 


“หลิงเทียน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”


 


จ้าวจี้เหลือบมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นๆ กล่าวออกเสียงเข้มไม่ขาดการข่มขู่ “เจ้าคิดว่าเพียงมีพรสวรรค์สูงส่งยากที่ใครจะเทียบได้ จนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วเจ้าจะยิ่งใหญ่เหนือใครในตำหนักฟ้าลี้ลับงั้นเหรอ?”


 


“พรสวรรค์สูงส่งมันก็ดี แต่หากเจ้าตกตายก่อนที่จะได้เติบโตมันก็เท่านั้น!”


 


กล่าวถึงจุดนี้แววตาจ้าวจี้ก็เผยจิตสังหารออกมาให้เห็นชัดเจน


 


“เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเหนือใครไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางของเจ้าเหรอ?”


 


เจอกับวาจาแฝงคำขู่ของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบกลับไปอย่างไร้แยแส พาลให้สีหน้าจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งเปลี่ยนเป็นมืดดำ


 


แต่ไหนแต่ไร มันจ้าวจี้ยามเดินในตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังมีผู้ใดหาญกล้าสนทนากับมันเช่นนี้?


 


“ดี! ดีมาก!”


 


จ้าวจี้มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย “ในตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้านับเป็นคนแรกที่กล้าพูดกับข้าแบบนี้…หลิงเทียนข้าจ้าวจี้จะจำเจ้าเอาไว้!”


 


ต้วนหลิงเทียนยักไหล่เบาๆ แต่ไม่ได้หันมามองสนใจอะไรมัน เห็นชัดว่าไม่สนคำขู่ของจ้าวจี้แม้แต่น้อย


 


เรื่องนี้ยิ่งทำให้สีหน้าจ้าวจี้บิดเบี้ยวขึ้นไปอีก


 


“หลิงเทียนเจ้าวู่วามเกินไปแล้ว!”


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงส่งถึงหูต้วนหลิงเทียน เป็นเกาผิงที่กล่าวเตือนออกมา “จ้าวจี้คนนี้ภูมิหลังของมันไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตอริยะเซียนยามอยู่ต่อหน้ามันยังต้องสุภาพ กระทั่งต้องกล่าววาจาประจบเยินยอ…เพราะบิดาของมันเป็นถึงรองจ้าวตำหนัก! มียอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนมากมายที่ยินดีรับใช้!!”


 


“แถมปู่ของมันก็เป็นถึง 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ! ศิษย์ของปู่มันส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุโสในตำหนักทั้งสิ้น!!”


 


ขณะกล่าว เสียงเกาผิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด


 


ถึงแม้ในแง่พลังฝีมือ มันจะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจ้าวจี้เลยก็ตาม


 


ทว่าเนื่องจากภูมิหลังของจ้าวจี้ ทำให้ยามมันเจอจ้าวจี้ก็จำต้องก้มหัวลงให้ ไม่กล้าแม้แต่จะล่วงเกินอะไรจ้าวจี้!


 


“ขอบคุณเจ้าที่หวังดีเตือนข้า แต่ข้ารู้เรื่องพวกนี้ดี”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ


 


“เจ้ารู้อยู่แล้ว?”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน เกาเผิงอดไม่ได้ที่จะหน้ามึน ตอนแรกมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนปฏิบัติกับจ้าวจี้เช่นนี้เพราะยังไม่รู้ฐานะอีกฝ่าย ทว่ามันไม่คิดเลยว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะรู้อยู่แล้ว!


 


‘รู้ความเป็นมาของจ้าวจี้แล้วแต่ยังมีทีท่าเช่นนี้ กระทั่งกล่าววาจาเช่นนั้นกับจ้าวจี้ได้…เขาอาศัยอันใดอยู่กันแน่ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเพราะมั่นใจในพรสวรรค์และพลังฝีมือของตัวถ่ายเดียว?’


 


คิดถึงจุดนี้เกาเผิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว


 


พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนสูงล้ำมันยอมรับ…แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะแข็งข้อกับจ้าวจี้ได้!


ตอนที่ 1,749 : ฉากอันคุ้นเคย…


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวตำหนักนั้นไม่ได้แต่งงานอะไรจึงไร้บุตร อีกทั้งยังเคยรับศิษย์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ซ้ำร้ายศิษย์คนนั้นก็ได้ตกตายไปแล้ว…


 


และตั้งแต่วันนั้นจ้าวตำหนักก็ไม่เคยรับใครเป็นศิษย์อีกเลย


 


ด้วยเหตุนี้ภายในตำหนักฟ้าลี้ลับ ฐานะของจ้าวจี้จึงนับว่าสูงที่สุดในบรรดาคนรุ่นหลัง!


 


นั่นเพราะปู่ของมันเป็นถึง 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ส่วนบิดาของมันก็เป็นถึงรองจ้าวตำหนัก!


 


ด้วยภูมิหลังเช่นนี้ หากไม่ใช่ศิษย์ส่วนตัวของจ้าวสำนัก ใครจะไปมีฐานะเหนือกว่ามันได้?


 


“หืม?”


 


ไม่นานเกาเผิงพลันพบว่า ถึงจะเห็นหลิงเทียนขัดแย้งกับจ้าวจี้ ทว่าไม่เพียงแต่เซียวยี่จะไม่กังวล กระทั่งศิษย์ส่วนตัวของเซียวยี่อย่างหวังพี ก็คล้ายจะไม่กังวลอะไรกับหลิงเทียนเลย


 


เรื่องนี้อดทำให้มันสงสัยขึ้นมาไม่ได้


 


เทาที่มันรู้มาความสัมพันธ์ของหวังพีกับหลิงเทียนก็ค่อนข้างดี ไฉนเวลาสำคัญเช่นนี้อีกฝ่ายถึงไม่ห่วงหลิงเทียนเลย?


 


‘หรือหวังพีกับรองจ้าววัง ไม่คิดว่าหลิงเทียนจะขัดแย้งอะไรกับจ้าวจี้มากมาย?’


 


คิดถึงเรื่องนี้เกาเผิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ


 


‘นั่นเป็นไปไม่ได้…ทั้งสองไม่มีวันมิรู้นิสัยจ้าวจี้’


 


ไม่นาน ความคิดในใจของเกาเผิงยิ่งมาก็ยิ่งพิสดาร ‘ในตำหนักฟ้าลี้ลับหากจะมีศิษย์คนไหนไม่กลัวจ้าวจี้ เว้นแต่จะเป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก…หรือท่านจ้าวตำหนักคิดรับหลิงเทียนเป็นศิษย์?’


 


พอคิดมาถึงจุดนี้ใจเกาเผิงอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้น ยังแทบกระดอนออกนอกอก


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ผู้ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจที่สุดก็คือจ้าวตำหนัก! วาจาของจ้าวตำหนักถือเป็นเด็ดขาด!!


 


อย่างไรก็ตามเพราะศิษย์มากพรสวรรค์ที่รักเอ็นดูตกตายไป มันจึงไม่คิดรับศิษย์อีกเลย…บางคนกล่าวว่า จ้าวตำหนักกลัวศิษย์คนที่สองจะตกตายอีก เช่นนั้นจึงไม่คิดยอมรับใคร เพียงกล่าวอ้างว่ารอคนที่จะมีพรสวรรค์ทัดเทียมกับศิษย์คนแรกเท่านั้น


 


เท่าที่มันรู้ ศิษย์คนแรกของจ้าวตำหนักนั้นเพียงอายุได้ 20 กว่าปี ทว่าพลังฝึกปรือกลับบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว หากมีเวลาฝึกฝนบ่มเพาะอีกสัก 10 ปี ถึงแม้ไม่แน่ว่าจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ทว่าอย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!


 


‘พรสวรรค์ของหลิงเทียนสมควรเหนือล้ำกว่าศิษย์เก่าท่านจ้าวตำหนัก…และจากการที่รองจ้าววังกับศิษย์พี่หวังพียังสงบอยู่ได้…ทั้งคู่สมควรล่วงรู้อันใดมาแน่นอน! ทั้งคู่อาจรู้ว่าท่านจ้าวตำหนักต้องตาพึงใจพรสวรรค์ของหลิงเทียนกระทั่งคิดรับเป็นศิษย์!!’


 


ตอนนี้เกาเผิงเองก็คงไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าที่มันคาดเดาไปเองนั้นที่แท้กลับเป็นจริง!


 


‘ข้าคิดว่าหลิงเทียนสมควรรู้ตัวแล้วว่าจะได้เป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก…ด้วยเหตุนี้จึงกล้าปฏิบัติกับจ้าวจี้ด้วยท่าทีเช่นนี้!’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ เกาเผิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา และไม่คิดกังวลกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป


 


หากเซียวยี่และหวังพีล่วงรู้ความคิดเกาเผิงล่ะก็พวกมันคงอดไม่ได้ที่จะทึ่งแน่ เพราะเกาเผิงมันเดาเรื่องราวได้ถูกเผง!


 


ทว่าหากต้วนหลิงเทียนได้รับรู้ความคิดเกาเผิงล่ะก็ เขาคงหัวเราะออกมาแน่นอน เพราะจินตนาการของอีกฝ่ายช่างบรรเจิดเสียเหลือเกิน…ตัวเขาไม่ได้มีความคิดจะเป็นศิษย์ของจ้าวตำหนักอยู่เลย!


 


ก่อนหน้านี้ในทวีปเมฆาล่องเขาไม่คิดรับใครเป็นอาจารย์ เพราะมีความทรงจำ 2 ชาติภพของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด


 


พอมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ด้วยเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่อันเลิศล้ำอย่าง ‘ยอดใจกระบี่’ รวมถึงกลายเป็นผู้สืบทอด ‘หมอกพิรุณ’ อีกทั้งได้พบกับความยอดเยี่ยมของยอดใจกระบี่มากับตัว ต้วนหลิงเทียนจึงยอมรับนับถือฟงชิงหยางเป็นอาจารย์


 


ในหัวใจเขามีอาจารย์คนเดียว และจะมีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น!


 


ดังนั้นต่อให้วันนี้จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับมาหาเขาและกล่าวเชิญด้วยตัวเอง ว่าคิดรับเขาเป็นศิษย์ เขาก็จะกล่าวปฏิเสธไปเพราะเขามีอาจารย์อยู่แล้ว!


 


ยังดีที่ผู้คนในลานศิลาไม่มีใครรูความคิดในหัวต้วนหลิงเทียน หากรู้พวกมันคงกรูกันเข้ามารุมทึ้งกระทั่งฉีกร่างเขา


 


ยังมีผู้ใดไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านจ้าวตำหนัก?!


 


ต้วนหลิงเทียนจะไม่เกินไปหรือ! จ้าวตำหนักปริปากยอมรับเขาเป็นศิษย์ แต่เขายังปฏิเสธ!!


 


ถึงแม้จะมีเรื่องราวบาดหมางระหว่างจ้าวจี้กับหลิงเทียน แต่มีแค่ 40 กว่าคนที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่สังเกตเห็น และส่วนใหญ่ก็มองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเวทนา เพราะไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะต่อต้านจ้าวจี้ได้


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวังนภา จ้าวจี้นับว่ามีชื่อเสียงนัก


 


กระทั่งเป็นจ้าววังนภาของพวกมัน ยามเจอจ้าวจี้ก็ยังต้องไว้หน้า…ด้วยเห็นแก่บิดาและปู่ของมัน!


 


ส่วนหลิงเทียนนั้น ในสายตาของพวกมันก็แค่ศิษย์วังนภาที่มีศักยภาพพรสวรรค์สูง ทว่ายังไม่เติบโตเช่นนี้คงยากจะต่อกรกับจ้าวจี้ได้


 


เพียงจ้าวจี้เอ่ยปากสักคำ เกรงว่าคงมีศิษย์ขอบเขตพลังอริยะเซียนมากมายพร้อมมาหาเรื่องหลิงเทียน!


 


และเรื่องนี้พวกมันไม่สงสัยเลยสักนิด!


 


บางทีตัวจ้าวจี้เองอาจมีอิทธิพลจำกัด ทว่าบิดามันเล่า ปู่มันเล่า?


 


บิดา กับปู่ของมันมีศิษย์ที่ทรงพลังมากมายนัก!


 


“เจ้ามันจะวู่วามเกินไปแล้ว…จ้าวจี้ไม่ใช่ศิษย์วังนภาธรรมดาๆ!”


 


ในขณะที่จ้าวจี้ถอยไป พลันมีเสียงแฝงกังวลหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง


 


“อะไรกัน? แม่นางหวางเฟยเซวียนผู้ยิ่งใหญ่ หวาดกลัวผู้อื่นเป็นด้วยหรือ?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงความกังวลในน้ำเสียงหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอบอุ่นในใจ หากแต่ยังไม่ลืมจะกล่าววาจาแซวนางกลับ


 


หากเป็นปกติหวางเฟยเซวียนต้องโวยวายกลับมาแน่นอน ทว่าคราวนี้ไม่เพียงนางไม่โวยวาย แต่ยังกล่าวด้วยกังวลสืบต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้ามิกลัวจ้าวจี้เพราะมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า…แต่บิดากับปู่ของจ้าวจี้มิใช่ธรรมดาเลย ในตำหนักฟ้าลี้ลับแห่งนี้ นอกจากท่านจ้าวตำหนักกับท่านอาวุโสผู้พิทักษ์อีกคน ยากที่จะมีใครสามารถต่อกรกับพวกมันได้!”


 


“ข้ารู้ฐานะบิดากับปู่ของมันแล้ว”


 


เมื่อเห็นหวางเฟยเซวียนเป็นกังวลใจอย่างหนัก ต้วนหลิงเทียนก็คร้านพูดเล่นใดๆอีก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที


“แล้วไฉนเจ้า…”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนถึงกับพูดไม่ออก


 


“แล้วจะให้ข้าทำยังไง? ให้ข้าเชื่อฟังมันงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมหัวเราะเบาๆ คล้ายไม่ได้ใส่ใจกับวาจาที่พึ่งกล่าวไป อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากจริงๆ


 


อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรจากเศรษฐีรุ่นที่สอง ต้วนหลิงเทียนยังต้องกลัวมันมาระรานด้วยเหรอ?


 


เรื่องที่จ้าวจี้จะหาคนมาสั่งสอนเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กลัว!


 


เพราะคนที่จ้าวจี้สามารถสั่งได้สมควรเป็นแค่อริยะเซียนเท่านั้น บางทีอาจมีตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ช่วยเหลือมัน แต่พวกมันย่อมไม่กล้าลงมือตรงๆแน่นอน เพราะช่องว่างของพลังมันต่างกันเกินไป หากตัวตนขอบเขตพลังระดับนั้นลงมือกับเขาล่ะก็ ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองรู้สึกอับอายจะเป็นการหาเรื่องให้ผู้คนรุมประนามด้วยซ้ำ…


 


ถึงตอนนั้นเหล่าระดับสูงๆของตำหนักฟ้าลี้ลับต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน


 


ส่วนตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนนั้น หากกล้ามาหาเรื่องหรือคิดทำร้ายอะไรเขาจริงๆล่ะก็ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันเสียให้สิ้น!


 


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ต้วนหลิงเทียนมีความมั่นใจกว่า 9 ส่วนกว่าสามารถฆ่าตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนได้หากเขาใช้กระบี่นิลสวรรค์…แน่นอนว่ารวมถึงอริยะเซียนขั้นสูงสุดด้วย!


 


‘ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าทำไมเจ้าทึ่มถึงได้กล้านัก…นี่ข้ากำลังพูดถึงรองจ้าวตำหนักกับผู้พิทักษ์อยู่นะ!’


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงหัวเราะได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หวางเฟยเซวียนเองก็อึ้งไปแล้วเช่นกัน


 


“นี่เจ้าคงไม่ได้คิดอยู่หรอกนะ…ว่าบิดากับปู่ของมันจะทำเพื่อมันถึงขั้นลงมือเล่นงานข้าด้วยตัวเอง?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าวถามเสียงเรียบ


 


“ไฉนมันต้องให้บิดากับปู่ลงมือเองด้วย…เอาแค่ศิษย์ของบิดากับปู่มันก็มีมากมายถมเถไป ล้วนเป็นอริยะเซียนที่ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับทั้งสิ้น! สุ่มเลือกมาสักคนมิว่าผู้ใดก็ตีเจ้าจนตายได้แล้ว! เจ้าทึ่มเอ๊ย!!”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น


 


แน่นอนว่าหากนางรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดอย่างไร นางคงไม่กล่าวอะไรเช่นนี้


 


“ต้วนหลิงเทียนถึงกับกล้าต่อปากต่อคำกับจ้าวจี้?”


 


“เฮ่ นั่นเขาไม่ผลีผลามเกินไปหรือไร นั่นมันจ้าวจี้เชียวนะ?”


 


“อาจเป็นเพราะเขามิรู้จักตัวตนของจ้าวจี้ หาไม่แล้วให้เป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดกระทั่งรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามกล่าวเช่นนั้น!”


 


“นั่นสิ ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้ใดในตำหนักฟ้าลี้ลับหาญกล้าตอแยจ้าวจี้เช่นนี้…หลิงเทียนถึงวาระแล้ว!”


 


……


 


เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่ถอยห่างออกไป พอเริ่มทราบถึงข้อพิพาทระหว่างต้วนหลิงเทียนกับจ้าวจี้ พวกมันอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นแทนต้วนหลิงเทียน


 


ในสายตาของพวกมันการที่ต้วนหลิงเทียนหาญกล้าต่อกรกับจ้าวจี้ไม่ต่างอะไรจาก ‘ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า’ แม้แต่น้อย…


 


หากเป็นจ้าวจี้คนเดียวแน่นอนว่าเรื่องราวย่อมต่างออกไป


 


ปัญหาคือจ้าวจี้ไม่ได้ตัวคนเดียว เบื้องหลังของมันมีคนสนับสนุนมากมาย ยังมีผู้ที่ติดรายนามฟ้าลี้ลับไม่น้อย! ตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนขึ้นไปทั้งสิ้น!!


 


บางทีอาจเป็นเพราะความบาดหมางระหว่างจ้าวจี้กับหลิงเทียนยังพึ่งเริ่มต้น


 


ทำให้สำหรับผู้คนในปัจจุบันแล้วตอนนี้เรื่องที่ใหญ่กว่าคือสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน! ต่างไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความบาดหมางของทั้งคู่มากนัก…


 


พวกมันมาที่นี่เพื่อชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน


 


“ตอนนี้ศิษย์วังนภาที่ผ่านเงื่อนไขเข้าแดนลับเซียน ให้ลอยร่างขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับข้า”


 


ตอนนี้เองรองจ้าววังนภาอย่างเซียวยี่พลันกล่าวออกมา แม้มันจะไม่ได้กล่าวดังอะไรมากมาย ทว่าเสียงของมันกลับส่งตรงถึงหูศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียน


 


ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ที่อายุไม่ถึง 40 ปี และมีคุณสมบัติเข้าแดนลับเซียนพลันเหินร่างขึ้นไปลอยกลางอากาศระดับเดียวกันกับเซียวยี่ทีละคนๆ


 


‘หืม…ฉากนี้มันคุ้นๆแฮะ…’


 


เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาปริบๆ


 


“นี่ๆเจ้าทึ่ม เจ้าว่าตอนนี้เรื่องราวมันคล้ายอีหร็อบเดียวกับตอนที่พวกเราทดสอบเข้าตำหนักฟ้าลี้ลับวันแรกหรือไม่?”


 


ตอนนี้เองเสียงของหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นในหูของต้วนหลิงเทียนพอดี


 


“คงไม่ง่ายแบบนั้นหรอกมั้ง…”


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้กล่าวจบคำดี เซียวยี่พลันเหินร่างสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย พร้อมกล่าวเตือนออกมาเสียงดัง “เตรียมตัวให้พร้อม! ข้าจะใช้พลังกดดันพวกเจ้า จนกระทั่งเหลือผู้ที่ทานทนรับได้ 10 คนสุดท้ายข้าถึงจะหยุด!”


 


“เหอะๆ…จริงเหรอเนี่ย”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาเจื่อนๆ สุดท้ายกลับเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เป็นการทดสอบโดยใช้พลังกดดันที่แสนเรียบง่ายไร้ลูกเล่นเหมือนคราวก่อน…


ตอนที่ 1,750 : พวกเราเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน…


 


ถึงแม้ว่าการทดสอบโดยใช้พลังกดดันไร้สภาพนั้นจะเรียบง่ายไร้ลูกเล่น แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างสูง และผลลัพธ์ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ


 


เมื่อเห็นรองจ้าววังนภา เซียวยี่ ลอยร่างขึ้นไปเตรียมตัว ศิษย์วังนภาคนอื่นๆยกเว้นต้วนหลิงเทียนพลันชักสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง ต่างโคจรเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาฉาบคลุมไปทั่วกาย เตรียมพร้อมต้านทานแรงกดดันที่จะมาถึง…


 


ไม่นานแรงกดดันก็กดทับลงมา!


 


ช่วงแรกๆแรงกดดันดังกล่าวยังไม่มากมายอะไร ทว่ายิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ


 


เนื่องจากแรงกดดันไร้สภาพค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นทีละนิด ศิษย์ที่มาชมดูเรื่องราวโดยรอบจึงแลเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ใดที่หน้าเริ่มขึ้นสีก่อน และตอนนี้สีหน้าบางคนก็เริ่มแดงคล้ายถูกแรงกดดันเคี่ยวกรำอย่างหนัก!


 


หลังจากนั้นไม่นานผู้ที่หน้าแดงก่ำที่สุดก็ทานทนไม่ไหวสืบไป! ร่วงตกจากฟ้าลงมาหยุดหอบที่ลานศิลาเป็นคนแรก…!!


 


และมันก็เสียโอกาสเข้าแดนลับเซียนเป็นคนแรก..


 


ผ่านไปไม่ทันไร สุดท้ายก็มีผู้ที่ถูกกำจัดออกไปทั้งสิ้น 5 คนในระลอกแรก


 


การที่ 5 คนถูกกำจัดออกไปในเวลาอันสั้น ทำให้ศิษย์ที่ทานรับแรงกดดันอยู่ยิ่งรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะพวกที่ด่านพลังฝึกปรือยังไม่ถึงเซียนขัดเกลาอย่างหลิวเจี้ยนและเริ่นเฟย ตอนนี้พวกมันทุ่มเทสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการโคจรพลังต้านทานแรงกดดัน


 


สำหรับศิษย์วังนภาที่บรรลุเซียนขัดเกลาอย่างต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียน เกาเผิง จ้าวจี้ ทั้งหมดยังคงเหินลอยกลางหาวอย่างไร้เรื่องราว คล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อย


 


ด่านพลังเซียนขัดเกลานับว่าต่างจากเซียนดั้งเดิมมากเกินไป ความแข็งแกร่งจึงห่างไกลกว่าที่ศิษย์ทั่วไปจะเทียบได้


 


สถานการณ์ย่อมตรงกันข้ามกับเซียนดั้งเดิมทั้งหลาย หลิวเจี้ยนและเริ่นเฟยตอนนี้หน้าพวกมันเริ่มแดง หน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึม ร่างกายยังเริ่มสั่นระริก เห็นชัดว่ายากที่พวกมันจะทานทนอยู่ได้อีกนาน!


 


ตุบ!


 


ไม่นานศิษย์วังนภาอีกคนก็ไม่อาจทานทนรับไหวสืบไป ร่างมันร่วงตกจากฟ้าไปกองบนลานศิลา แน่นอนว่านี่หมายความว่าพวกมันสิ้นวาสนากับแดนลับเซียนแล้ว


 


“เจ้าเริ่นเฟยนั่น…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่สบายๆกับแรงกดดัน จึงมีเวลาว่ายตามองเรื่องราวโดยรอบ สุดท้ายพอสายตาไปตกที่ร่างเริ่นเฟยเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


 


เพราะเห็นว่าตอนนี้สภาพของเริ่นเฟยไม่ค่อยจะสู้ดีนัก


 


“เกรงว่ามันคงจะถูกคัดออกแล้วล่ะ”


 


ตอนนี้เองเสียงของหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นในหูเขาพอดี นางเองก็เห็นถึงสถานการณ์ของเริ่นเฟยเช่นกัน “ความหวังดีของเจ้า ท่าทางมันจะไม่มีวาสนาได้รับ…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปมองที่หลิวเจี้ยนอย่างไม่รู้ตัว


 


เพราะสุดท้ายแล้วหลิวเจี้ยนก็บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด เหนือกว่าเริ่นเฟยที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญขั้นนึงเต็มๆ อีกทั้งยังแลดูแข็งแกร่งกว่าศิษย์วังนภาคนอื่นๆที่อยู่ในด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเหมือนกัน


 


“หลิวเจี้ยนถึงจะทุลักทุเล แต่ก็น่าจะผ่านการคัดเลือก…”


 


เสียงหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เห็นชัดว่านางเองก็กำลังตรวจสอบสถานการณ์ของหลิวเจี้ยนหลังจากเลิกสนใจเริ่นเฟย


 


“อืม”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบไป แม้หวางเฟยเซวียนจะไม่บอกเขาก็รู้อยู่แล้ว ในใจเริ่มครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง ‘ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าทำได้แค่ตอบแทนบุญคุณของอาวุโสหลิว…ส่วนรองผู้นำเริ่น เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านแล้วกัน’


 


อาวุโสหลิว ที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงก็คือ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!


 


สำหรับรองผู้นำเริ่นก็คือ เริ่นฟง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า!


 


ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ดำเนินการจัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง และเคยช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในการประลอง จนสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าจะเข้าร่วมกับหนึ่งในทั้งคู่ จึงกล่าวบอกว่าจะไปรอคอยเสียดิบดี


 


แต่เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ออกจากหุบเขาหลิงหลงมารอคอยเริ่นจงกับหลิวหงกวงได้ไม่ทันไร เขาจะบังเอิญได้ยินผู้ฝึกตนที่บังเอิญผ่านมากล่าวถึงเรื่องการคัดคนของตำหนักฟ้าลี้ลับ ว่ากำลังเฟ้นหาอัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตเซียนตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปี…ด้วยเหตุนี้เขาจึงปล่อยให้ทั้งคู่ ‘นก’ ไปอย่างช่วยไม่ได้…


 


เขามักจะรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงคิดที่จะตอบแทนบุญคุณทั้งคู่เมื่อมีโอกาส


 


คราวนี้แดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับกำลังจะเปิด จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะตอบแทนบุญคุณ!


 


น่าเสียดายที่การจะเข้าไปยังแดนลับเซียน อันดับแรกเริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนยังต้องพึ่งความสามารถตัวเองในการช่วงชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาให้ได้ก่อน อนิจจาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเห็นแล้วว่าคงยากที่จะได้ช่วยเริ่นเฟยในแดนลับเซียน…


 


ดั่งที่ต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนคาดคิดเอาไว้ ไม่นานเริ่นเฟยก็ถูกกำจัดออกไป


 


หลังจากที่เริ่นเฟยถูกกำจัด มันที่ทรุดร่างอยู่บนลานศิลาก็ได้แต่เงยหน้ามองต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาระริก สุดท้ายจึงค่อยระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน


 


มันรู้ดีว่ามันได้สูญเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตไปแล้ว…


 


ตอนแรกพอมันรู้ว่าขอเพียงมันมีสิทธิ์เข้าสู่แดนลับเซียนได้ มันจะได้รับความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียน และการที่ต้วนหลิงเทียนให้ความช่วยเหลือมัน ย่อมไม่ยากเลยที่มันจะได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูง! มันจึงเร่งบ่มเพาะพลังอย่างหนัก!


 


อนิจจาแม้มันดิ้นรนไขว่คว้าเพียงใดแต่สุดท้ายก็ไร้พลังมากพอจะชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมาได้ ดั่งฟ้าลิขิตให้มันไร้วาสนากับมรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียน…


 


“ไถ่ถามโลกหล้า ใยฟ้าจึงได้ล้อเล่นกับชีวิตข้านัก…ส่งมอบขนมเปี๊ยะให้ข้า แต่พอข้าคิดหยิบกินกลับรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่มายา มิอาจลองลิ้มชิมรสอันใด…”


 


ตอนนี้ เริ่นเฟยอยู่ก็ได้แต่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ดังกล่าว


 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากเริ่นเฟยเองก็ได้เตรียมใจรับความผิดหวังมาแล้วแต่แรก เพราะรับทราบถึงด่านพลังฝึกปรือของศิษย์รุ่นเยาว์ในวังนภา มันจึงไม่ได้จมอยู่ในห้วงอารมณซึมเศร้าดังกล่าวนานนัก เพียงแค่รู้สึกเสียดายเท่านั้น


 


เริ่นเฟยแหงนมองไปทางหลิวเจี้ยนที่ลอยกลางอากาศด้วยสายตาอิจฉา “จากสีหน้าท่าทีที่ยังคล้ายไหวอยู่ของหลิวเจี้ยน คงมิยากที่จะได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน…น่าอิจฉายิ่งนัก พอคิดถึงเรื่องที่มันจะได้ติดสอยห้อยตามหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนเข้าแดนลับเซียนด้วยกัน…มันสมควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มิน้อย”


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ แววตาเริ่นเฟยก็อดไม่ได้ที่จะลุกโชนขึ้นมาด้วยเพลิงแห่งความความปรารถนา อิจฉานัก!


 


มันเชื่อว่าด้วยความเอาใจใส่ของต้วนหลิงเทียน หลิวเจี้ยนต้องได้รับสืบทอดมกดกเวทย์พลังระดับสูงแน่นอน!


 


“ไม่ได้เรื่องจริงๆ…”


 


เมื่อเห็นว่าเริ่นเฟยถูกกำจัดออกไปแล้วแม้หวางเฟยเซวียนจะคิดไว้แต่แรก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา


 


สำหรับหวางเฟยเซวียนนั้น ที่แท้นางคิดอะไร ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้วยมาพักหนึ่ง ย่อมพอจะเดาได้


 


“เริ่นเฟย ข้าจำได้ว่าคฤหาสน์ข้ามฟ้าของเจ้า นอกจากเจ้าแล้วยังมีคนอื่นที่เข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับมาด้วย…และถ้าข้าจำไม่ผิดอีกคนดูเหมือนจะมีพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเช่นเดียวกับเจ้า และมันถูกเลือกให้เข้าร่วมกับวังลี้ลับ เจ้าคิดว่ามันมีโอกาสเข้าสู่แดนลับเซียนหรือไม่?”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนคิดว่าหากไม่ได้ครั้งนี้ ก็จะไปตอบแทนบุญคุณรองผู้นำเริ่นครั้งหน้า แต่หากสามารถตอบแทนไปเลยทีเดียวได้ ก็ย่อมเป็นอะไรที่ประเสริฐกว่า เพราะนั่นจะเหมือนยกภูเขาออกจากอก


 


ดังนั้นหลังจากที่เริ่นเฟยถูกกำจัดออกไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันจำได้ว่าตอนที่เริ่นจงพาศิษย์มาเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ มันพามา 2 คน


 


และอีกคนก็อยู่ในขอบเขตพลังเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเหมือนเริ่นเฟย


 


“พลังฝีมือของมันอ่อนด้อยกว่าข้าเล็กน้อย…สำหรับเรื่องที่มันจะได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนของวังลี้ลับหรือไม่ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน อย่างไรก็ตามข้าคิดว่ามันสมควรมีโอกาสสูงกว่าข้า เพราะสิทธิ์ของวังลี้ลับแม้จะน้อยกว่าวังนภา แต่การแข่งขันก็ไม่รุนแรงเช่นนี้”


 


หลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เริ่นฟงก็กล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดาย


 


ตอนแรกที่มันเข้าร่วมกับวังนภานั้น กล่าวไปไม่ใช่ความสมัครใจของมันเลยมันถูกเลือกโดยเซียวยี่…และไม่มีโอกาสเลือกเลยว่าจะไปอยู่ที่ใด เพราะมันไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนหรือหวางเฟยเซวียน!


 


หากมันมีโอกาสเลือกได้มันจะไม่มาอยู่วังนภาแน่นอน!


 


ดังคำกล่าวที่ว่า ยอมเป็นหัวไก่ไม่เป็นหางหงส์ มันเข้าใจความนี้กระจ่างดี…


 


“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากข้าเจอมันในแดนลับเซียนข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือมัน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ขอบคุณเจ้ามาก”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เริ่นเฟยก็เร่งกล่าวขอบคุณไปทันที ขณะเดียวกันมันก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปกล่าวถามเรื่องที่มันส่งสัยมานาน “หลิงเทียนเจ้าสะดวกที่จะบอกข้าหรือไม่ ว่าไฉนถึงคิดช่วยข้ากับหลิวเจี้ยน? ข้าได้ยินว่าเจ้าคิดตอบแทนบุญคุณของผู้อาวุโสเรา…มิทราบว่าเป็นบุญคุณอันใดหรือ เจ้าสะดวกกล่าวหรือไม่?”


 


“ก็ไม่ได้ไม่สะดวกอะไรหรอก อันที่จริงก็ไม่ใช่ข้าที่ติดค้างบุญคุณของผู้อาวุโสพวกเจ้าดวยซ้ำ…แต่เป็นสหายของข้าต่างหากที่ติดค้างผู้อาวุโสของเจ้า ตอนนั้นเพราะมีเรื่องสำคัญบางประการที่สหายของข้าต้องรีบไปจัดการ เขาจึงได้ผิดนัดและปล่อยให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้ารอเก้อไปแบบนั้น อีกทั้งเมื่อครึ่งปีที่แล้วสหายข้าก็ทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียน เช่นนั้นจึงออกเดินทางจากภูมิภาคเบื้องล่างขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยธุระสำคัญ เขาจึงไหว้วานให้ข้าช่วยตอบแทนผู้อาวุโสของพวกเจ้าแทนหากข้ามีโอกาส..”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


เขาเชื่อว่าด้วยวาจานี้ของเขา มันมากพอจะทำให้เริ่นเฟยกับหลิวเจี้ยนที่เป็นศิษย์ของคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ผูกโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้ากับเรื่องที่เขาเคยพูดไปวันนั้นว่าเขาเป็นสหายของลี่เฟิงได้ไม่ยาก…


 


เพราะสุดท้ายแล้วหลังจากจบการประลองยอดนักรบครั้งนั้น อาวุโสของทั้งคู่สมควรกล่าวเล่าเรื่องราวของลี่เฟิงให้พวกมันฟังหมดสิ้นแล้วไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตากระทั่งกลวิธีลงมืออย่างละเอียด ไม่เว้นกระทั่งปราณสุริยันแรกกำเนิดที่สว่างไสวปานดวงตะวัน


 


เช่นนั้นเขาจึงผลักเรือตามกระแส บอกว่าลี่เฟิงเป็นสหายของเขาไปแต่แรก


 


“ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก! ที่แท้เจ้ามีความสัมพันธ์กับลี่เฟิงจริงๆ!!”


 


ในขณะที่เริ่นเฟยกล่าวถึงจุดนี้ลมหายใจของมันเร่งร้อนขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจ “จะ…เจ้าพึ่งบอกว่า…ลี่เฟิงทะลวงถึงอริยะเซียนเมื่อหกเดือนก่อนงั้นหรือ?”


 


ขณะกล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงของเริ่นเฟยก็สั่นเล็กน้อย


 


อายุไม่ถึง 40 ปี บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียน!


 


พรสวรรค์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ยังทำให้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไร้พลังอำนาจ ความพ่ายแพ้ยังผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจ!


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าที่แท้เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับลี่เฟิงกันแน่..ไฉนปราณแรกกำเนิดของพวกเจ้าถึงได้มีคุณสมบัติละม้ายคล้ายกันเช่นนี้?”


 


เริ่นเฟยอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามถึงเรื่องนี้ออกมา เพราะนี่เป็นเรื่องที่มันสงสัยที่สุด


 


“ให้กล่าวกันจริงๆจังๆเลย เขาก็คือศิษย์พี่ของข้าเอง…พวกเราเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวส่งเสียงตอบ “อาจารย์ของพวกเราทั้งคู่คือยอดฝีมือที่มาจากภูมิภาคเบื้องบน หลายปีที่แล้วตอนที่ท่านอาจารย์ลงมายังภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อปลีกวิเวกหมายใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายหลีกหนีความวุ่นวายบางประการ ท่านบังเอิญถูกชะตาข้ากับลี่เฟิงจนรับพวกเรามาเป็นศิษย์ พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ เคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังทั้งวิชายุทธ์ที่ร่ำเรียนก็วิชาเดียวกัน สุดท้ายไปๆมาๆกระทั่งเขตแดนที่พวกเราชำนาญ ก็ยังเป็นเขตแดนเดียวกัน…”


 


“อาจารย์ของเจ้า ต้องเป็นสุดยอดฝีมือที่น่ากลัวของภูมิภาคเบื้องบนแน่…”


 


เริ่นเฟยกล่าวออกมาด้วยความอิจฉา


 


“อาจจะ…แต่ท่านอาจารย์ได้กลับไปยังภูมิภาคเบื้องบนตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว พวกเราก็ทำได้แค่พยายามเร่งบ่มเพาะให้บรรลุอริยะเซียนไวๆ หมายอาศัยพลังฝึกปรือของพวกเราขึ้นไปตามหาท่านอาจารย์ด้วยตัวเอง…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


ตั้งแต่ต้นจนจบวาจาต้วนหลิงเทียนคล้ายภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ ไม่มีช่องโหว่พิรุธอันใด ทั้งยังมีเหตุผลรองรับให้ผู้คนเชื่อถือ เริ่นเฟยจึงไม่คิดสงสัยอะไรเลย


ตอนที่ 1,751 : ผู้มีสิทธิ์


 


ผู้ที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาเดียวกันทั้งยังฝึกปรือวิชารวมถึงวรยุทธ์เหมือนกันตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีปราณแรกกำเนิดรวมถึงเขตแดนเหมือนกัน เรื่องนี้มีให้เห็นมากมายในสำนัก พรรคเล็กๆ


 


เริ่นเฟยจึงไม่แคลงใจในคำของต้วนหลิวเทียน


 


แน่นอนว่ามันคงคาดไม่ถึงจริงๆว่าที่ต้วนหลิงเทียนพูดมา…ที่แท้จะโกหกทั้งเพ!


 


ผ่านไปสักพัก นอกจากต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวีย เกาเผิงและจ้าวจี้ที่ไม่เป็นอะไรแล้ว ศิษย์วังนภาคนอื่นเริ่มหงื่อตกกันเป็นแถว!


 


ยิ่งพวกศิษย์ที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดตอนนี้เรียกว่าร่างสั่นเป็นเจ้าเข้า


 


กระทั่งหลิวเจี้ยนเองก็หน้าซีดลงอย่างมาก ร่างยังสั่นเทิ้มเบาๆคล้ายจะทลายลงได้ทุกวินาที


 


“หืม?”


 


ในฐานะรองจ้าววังนภา เซียวยี่ย่อมสังเกตเห็นอาการทุกคนชัดเจน


 


ต้วนหลิงเทียน เกาเผิง และจ้าวจี้จะยังเฉยอยู่ได้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร เพราะในบรรดาทั้ง 3 ที่ด้อยสุดก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง… ด้วยระดับพลังที่มันใช้ออกตอนนี้ การที่จะยังเฉยกันอยู่ได้ก็ไม่แปลก


 


ที่แปลกก็คือหวางเฟยเซวียน…กลับแลดูเฉยๆเหมือนทั้ง 3!


 


“นาง…ทะลวงผ่านแล้ว?”


 


เซียวยี่ไม่ใช่ตัวโง่งม เห็นอาการท่าทางสบายๆของหวางเฟยเซวียนไหนเลยยังไม่รู้! สมควรมีความเป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้น!!


 


นอกจากนี้มันยังได้ยินมานานแล้วว่าหวางเฟยเซวียนใกล้ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง เช่นนั้นความก้าวหน้าของนางก็มีเหตุผล


 


‘ไม่คิดเลยว่าศิษย์ที่เข้าร่วมวังนภาครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะมีอัจฉริยะอย่างหลิงเทียน…หวางเฟยเซวียนคนนี้อายุยังเยาว์กว่าเกาเผิงและจ้าวจี้เสียอีก ความสำเร็จของนางมากพอจะบอกว่านางมิได้ด้อยกว่าพวกมันทั้งคู่’


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเซียวยี่ก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะหลิงเทียนหรือหวางเฟยเซวียนมันก็เป็นคนรับเข้าวังนภาทั้งคู่


 


ในที่สุดเหล่าศิษย์ขบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดก็เริ่มทนรับแรงกดดันไม่ไหว ต่างทยอยร่วงตกฟ้าไปทีละคนๆ


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนพบว่ารวมตัวเขาก็มีคนลอยอยู่บนฟ้าเพียง 10 คน แรงกดดันไร้สภาพที่กดทับลงมาก็หายไปทันที…ผลลัพธ์ออกมาแล้ว


 


หากใครสังเกตุให้ดีจะพบว่า นอกจากต้วนหลิงเทียนที่ไม่เป็นอะไรเลยอยู่คนเดียว ไม่ว่าหวางเฟยเซวียน เกาเผิง และจ้าวจี้ ล้วนหายใจถี่ขึ้นทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าแรงกดดันระลอกสุดท้ายมีผลกับพวกมัน


 


แน่นอนว่าแรงกดดันเพียงมีผลกับพวกมันแค่เล็กน้อย


 


“หลิวเจี้ยน ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”


 


เริ่นเฟยมองหลิวเจี้ยนด้วยสายตาอิจฉา ที่อีกฝ่ายได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน


 


หลิวเจี้ยนเป็นคนของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง 1 ใน 2 ผู้ที่ต้วนหลิงเทียนคิดช่วยเหลือในแดนลับเซียน


 


“ขอบคุณ”


 


แม้ใบหน้าหลิวเจี้ยนจะซีดเซียว แต่ในแววตาก็เผยความตื่นเต้นยินดีออกมาให้เห็นชัดเจน เพราะมันได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแล้ว!


 


มันรู้ดีว่านี่หมายความว่าอะไร…มันมีโอกาสได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียน! และด้วยมีต้วนหลิงเทียนคอยช่วยเหลือ กระทั่งมรดกเวทย์พลังระดับสูงก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม!


 


“ในอีก 10 วันหลังจากนี้ ให้พวกเจ้าทั้ง 10 มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง…วันนั้นท่านจ้าววังนภาจะพาพวกเจ้าไปยังทางเข้าแดนลับเซียนด้วยตัวเอง”


 


สำนึกเทวะของเซียวยี่กวาดผ่านร่างทั้ง 10 รวมต้วนหลิงเทียน เพื่อตรวจสอบทั้งจดจำ 10 ให้แน่ชัด


 


หลังจากกล่าวจบ ร่างเซียวยี่ก็เหินจากไปทันที


 


“ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะจบลงรวดเร็วแบบนี้…”


 


หลายคนเริ่มอาลัย


 


“อีกนิดเดียว…ข้าเกือบได้สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแล้วแท้ๆ!”


 


ศิษย์วังนภาขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดไม่กี่คนเริ่มรำพันออกมาอย่างสะทกสะท้อน ในแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าและไม่ยินยอม ส่ายหน้าไปมาอย่างขมขื่น


 


อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะไม่ยินยอมพร้อมใจเพียงใด แต่พวกมันก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะพวกมันทนรับแรงกดดันสู้ผู้อื่นไม่ได้เอง…


 


บางทีหากพวกมันทนได้อีกสัก 2-3 ลมหายใจเรื่องราวอาจแปรเปลี่ยน…


 


อนิจจาทั้งหมดล้วนเพราะพลังฝีมือมันด้อยกว่าคนอื่นเขา


 


เมื่อมีคนเป็นทุกข์ ก็ย่อมมีผู้ที่เป็นสุข!


 


“ฮ่าๆๆๆ…! ข้าได้รับ 1 ใน 10 สิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแล้ว!!”


 


ศิษย์วังนภาที่ผ่านการคัดเลือกบางคนหัวร่อออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ แลดูราวกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น


 


“แม่นางหวางเฟยเซวียน…เจ้าทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว?”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หวังพีที่ลอยมาหยุดข้างต้วนหลิงเทียน ได้มองถามหวางเฟยเซวียนด้วยสายตาประหลาดใจ


 


เพราะจากทีท่าอาการที่หวางเฟยเซวียนเผยออกก่อนหน้า ไม่ได้ด้อยไปกว่าเกาเผิงและจ้าวจี้เลย!


 


“อื้ม”


 


แม้หวังพีจะเตรียมใจมาแล้ว แต่พอเห็นหวางเฟยเซวียนยืนยัน มันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ค่อยกล่าวแสดงความยินดีออกมา “ยินดีกับเจ้าด้วย”


 


“ขอบคุณศิษย์พี่หวังพี”


 


ต่อหน้าหวังพีศิษย์วังนภาคนนี้หวางเฟยเซวียนย่อมไม่กล้าละเลย เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเป็นศิษย์ของรองจ้าววังอย่างเซียวยี่ แต่ยังบรรลุถึงอริยะเซียนแล้ว!


 


ตัวตนขอบเขตอริยะเซียนสมควรได้รับความเคารพ


 


“หวางเฟยเซวียนทะลวงผ่านแล้ว?”


 


เกาเผิงที่อยู่ไม่ไกล พอได้ยินบทสนทนาของหวางเฟยเซวียนและหวังพีก็ตกใจไม่น้อย


 


หวังเฟยเซวียนคนนี้มันเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนางมากก่อน ผู้คนกล่าวกันไปทั่วว่านางคือผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาอิสตรีรุ่นเยาว์ของเขตฟ้าลี้ลับ


 


เรื่องที่หวางเฟยเซวียนเข้าร่วมวังนภามาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมันเองก็ได้ยินมาบ้าง


 


อย่างไรก็ตามแม้ตอนนั้นพลังฝีมือของหวางเฟยเซวียนจะไม่ธรรมดา แต่ก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น…มันไม่คิดเลยว่าเวลาเพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ หวางเฟยเซวียนจะก้าวหน้าขึ้นมาถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่ามันกับจ้าวจี้


 


อายุไม่ถึง 40 บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…


 


อัจฉริยะเช่นนี้ ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านับว่าโดดเด่นนัก!


 


ในภูมิภาคเบื้องล่าง บุรุษที่มีศักยภาพเช่นนี้แม้ไม่มาก แต่ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าง ทว่าสตรีนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!


 


ต้องทราบด้วยว่าธรรมชาติของสตรีเกิดมาอ่อนแอกว่าบุรุษ!


 


“หวางเฟยเซวียน”


 


สายตาของจ้าวจี้ไม่ทราบมาหยุดที่ร่างหวางเฟยเซวียนตั้งแต่เมื่อใด หากแต่ในแววตาเผยปรารถนามากราคะออกมาให้เห็นชัดเจน


 


ในอดีตแม้มันจะเคยได้ยินเรื่องหวางเฟยเซวียนมาบ้าง แต่มันก็คิดว่าเป็นแค่ข่าวลือเกินจริง


 


เพราะมันไม่คิดว่าใต้หล้าจะมีสตรีที่สมบูรณ์พร้อมมากไปด้วยพลังสามารถทั้งรูปโฉม…มันจึงตัดสินไปเองว่าสตรีเช่นนั้นไม่มีอยู่ในโลก


 


ทว่าพอมาได้เห็นหวางเฟยเซวียนกับตาวันนี้ มันก็ตระหนักได้ว่าที่แท้ใต้หล้ากลับมีสตรีสมบูรณ์พร้อมอยู่จริงๆ


 


คล้ายสวรรค์จะประทานสิ่งที่ดีที่สุดในกับนาง


 


เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและความสามารถ


 


ทุกส่วนสัดของหวางเฟยเซวียน ยิ่งจ้าวจี้มองเท่าไหร่ยิ่งบังเกิดความปรารถนาผุดขึ้นจากส่วนลึกของใจ ใคร่จะจับนางกดลงไปและพิชิตนางเสีย ‘ข้าจ้าวจี้ต้องได้นาง!’


 


“แม่นางหวางเฟยเซวียนทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว?!”


 


ไม่นานผู้คนโดยรอบก็ได้รับทราบเรื่องด่านพลังของหวางเฟยเซวียน อดไม่ได้ที่จะฮือฮากันใหญ่


 


“แม่นางหวาง พี่ชายหลิงเทียน ข้าผ่านการคัดเลือกแล้ว…”


 


หลิวเจี้ยนเหินร่างมาหยุดข้างๆ พวกต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียน ทั้งกล่าวออกมาด้วยความยินดี ใบหน้าที่ซีดเซียวตอนนี้มีเลือดฝาด เต็มไปด้วยความตื่นเต้นนัก


 


“ยินดีด้วย”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวทั้งพยักหน้าไปส่งๆ


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่พูดอะไรแต่ก็พยักหน้า


 


“นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ?”


 


หวังพีแลดูงุนงงไม่น้อย ด้วยไม่ทราบว่าหลิวเจี้ยนมาทำอะไร ไฉนต้องรายงานเรื่องนี้กับพวกต้วนหลิงเทียนหลังได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน?


 


“ศิษย์พี่หวังพี พวกเรา 3 คนคิดร่วมมือกันในแดนลับเซียนน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวอธิบาย


 


“หา…พวกเจ้า 3 คนคิดร่วมมือกัน?”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาหวังพีก็เบิกกว้างปานลูกวัวแรกเกิด มันมองต้วนหลิงเทียนสลับกับหวางเฟยเซวียน “หากพวกเจ้าสองคนร่วมมือกัน ด้วยพลังฝีมือที่มีย่อมท่องไปในแดนลับเซียนได้อย่างไร้กังวล…แต่พามันไปด้วยเช่นนี้มิใช่จะไปลากถ่วงพวกเจ้ารึ?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคหวังพีก็หันมองหลิวเจี้ยน ด้านหลิวเจี้ยนก็ไม่ละอายอะไรเพราะมันก็รู้เรื่องนี้ดี


 


เป็นเพราะมันมีวาสนาแล้วจริงๆที่ได้เข้าร่วมกลุ่มของต้วนหลิงเทียน


 


“ร่วมมือกันรึ?”


 


เกาเผิงที่ได้ยิน สองตาพลันเปล่งประกายขึ้นมามันหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นเต้นทันที “หลิงเทียน ข้าเข้าร่วมกลุ่มของพวกเจ้าด้วยคนสิ”


 


ได้ยินคำกล่าวขอตรงๆของเกาเผิง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที


 


ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขามีความประทับใจอันดีให้เกาเผิง แต่การนำคนไปเพิ่มในแดนลับเซียนเกรงว่าจะไม่สะดวก แถมเขาเองก็ยังไม่ได้เห็นเกาเผิงเป็นสหาย


 


ในแดนลับเซียน อย่าว่าแต่เกาเผิงกับหวางเฟยเซวียนที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ให้บรรลุขั้นเชี่ยวชาญก็เสมือนตัวถ่วงเขาอยู่ดี


 


ที่เขาร่วมมือกับหวางเฟยเซวียนและหลิวเจี้ยนนั้น เพราะมีเหตุผล


 


หวางเฟยเซวียนจะมากจะน้อยก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนเขาแล้ว


 


ส่วนหลิวเจี้ยนก็คือผู้ที่เขาจะตอบแทนบุญคุณ


 


“ศิษย์พี่เกาเผิง เรื่องนี้เห็นทีจะไม่สะดวก”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังลำบากใจ หวางเฟยเซวียนพลันมองกล่าวออกมาอย่างได้จังหวะ “พวกเรา 3 คนร่วมมือกัน ในแง่จำนวนก็นับว่ามากพอแล้ว…แถมไม่แน่ว่าพวกเราจะพบมรดกเวทย์พลังถึง 3 ที่ ศิษย์พี่เกาเผิงมากับพวกเราอาจจะเสียเปล่า”


 


“นอกจากนี้ด้วยพลังฝีมือของศิษย์พี่เกาเผิง แม้ไม่มีพวกเรา ท่านก็สมควรประสบความสำเร็จในแดนลับเซียนได้มิยาก…”


 


กล่าวถึงจุดนี้หวางเฟยเซวียนพลันหันไปมองหลิวเจี้ยน “ที่สำคัญ ที่พวกเราพาหลิวเจี้ยนไปด้วย ล้วนเป็นเพราะหลิงเทียนคิดตอบแทนบุญคุณที่ติดค้างอาวุโสของมันไว้…เช่นนั้นจึงให้ความสำคัญกับหลิวเจี้ยนเป็นอันดับแรกต่อให้เป็นมรดกเวทย์พลังระดับสูงก็ตาม…ศิษย์พี่เกาเผิงรับเรื่องนี้ได้หรือ?”


 


“มรดกเวทย์พลังระดับสูง…ให้หลิวเจี้ยนก่อน?”


 


เกาเผิงนั้นไม่ได้อะไรกับวาจาก่อนหน้าของหวางเฟยเซวียน แต่วาจาประโยคท้ายนี้นับว่าติดใจมันนัก


 


ในสายตาของมันหลิวเจี้ยนที่เป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ไม่ต่างอะไรจากตัวถ่วงแม้แต่น้อย…ทว่าตัวถ่วงนี้จะได้รับสิทธิ์ก่อนใครหากเจอมรดกเวทย์พลังระดับสูง?


 


ต้องทราบด้วยว่ามรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียนนั้น จะได้รับสืบทอดแค่คนเดียวเท่านั้น หากมีผู้ผ่านบททดสอบและรับสืบทอดไปแล้ว นั่นหมายความว่ามรดกเวทย์พลังดังกล่าวจะหายไป


 


เช่นนั้นแล้วมรดกเวทย์พลังใดๆก็ตามในแดนลับเซียน…จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้รับสืบทอดไป!


ตอนที่ 1,752 : มีเรื่อง


 


เนื่องจากมันไม่อาจยอมรับเรื่องที่จะให้ความสำคัญกับ ตัวถ่วง อย่างหลิวเจี้ยนก่อนได้ ทำให้เกาเผิงไม่คิดกล่าวถึงเรื่องร่วมมือกันในแดนลับเซียนกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป เพียงยิ้มขออภัยต้วนหลิงเทียนออกมา “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าดีกว่า”


 


ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าต้วนหลิงเทียนเจื่อนไป เหมือนเป็นคนที่กำลังทวงหนี้กับสหาย…


 


“แม่นางหวาง คราวนี้ข้าได้เจ้าช่วยไว้แล้วจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้เกาเผิง ก่อนที่จะส่งเสียงกล่าวขอบคุณไปให้หวางเฟยเซวียน


 


หวางเฟยเซวียนไม่เพียงกล่าวปฏิเสธแทนทำให้เขาไม่ต้องลำบากใจอะไร แต่ยังกำจัดเกาเผิงไปได้ในไม่กี่คำ!


 


“ฮึ! เจ้ามันทึ่ม! ต่อให้เจ้าปฏิเสธไปตรงๆ มันจะทำอะไรเจ้าได้เล่า”


 


หวางเฟยเซวียนหยีตามองจ้องต้วนหลิงเทียน ส่งเสียงกล่าวตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


 


แน่นอนว่าด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ต่อให้ปฏิเสธไปตรงๆอย่างไม่ไว้หน้า เกาเผิงก็ไม่มีปัญญาจะต่อต้านอะไร


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินวาจานี้ ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา


 


“เฟยเซวียน…”


 


ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้สำหรับต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆแล้วไม่นับว่าแปลกหูอะไร


 


หากแต่ได้ยินเสียงของจ้าวจี้คราวนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะจากน้ำเสียงนั่น…แลคล้ายเรียกหาคนที่สนิทสนมกันนัก อดไม่ได้ที่เขาจะหันไปมองหวางเฟยเซวียนด้วยสายตาสงสัยทัปานจะกล่าวถาม…


 


เจ้ารู้จักมันด้วยเหรอ?


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยสายตาสงสัย หวางเฟยเซวียนพลันส่ายหน้าไปมา ก่อนที่จะหันไปมองจ้าวจี้และผู้ติดตามอีก 2 คนที่เหินร่างเข้ามา “พวกเรารู้จักกันด้วยหรือ?”


 


“เฟยเซวียน…เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ ข้าพี่จ้าวจี้ไงจะเป็นผู้ใดอีกเล่า…หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าตอนที่เจ้าอายุได้ 3 ขวบ ข้ากับบิดาเคยไปเป็นแขกของคฤหาสน์ดาบทรราช?”


 


คราวนี้จ้าวจี้เรียกว่าไม่สนใจต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย สายตาเร่าร้อนหื่นกระหายของมันมองจ้องหวางเฟยเซวียนไม่วาง


 


“ข้าจำไม่ได้หรอก ท่านปู่ของข้าก็มิเคยกล่าวถึง”


 


ได้ยินวาจาของจ้าวจี้ทั้งเห็นแววตาที่มันมองมา หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะลอบสบถในใจด้วยความรังเกียจ กล่าวตอบเสียงห้วนอย่างไม่ไว้หน้า


 


นางที่ควรจะยำเกรงจ้าวจี้…ทว่าพอโดนจ้าวจี้ทำท่าคล้ายจะเข้ามาจีบ นางไม่เพียงรู้สึกรังเกียจมันขึ้นมา ยังเผยความไม่พอใจออกด้วยวาจา!


 


ใจนางมีความคิดเดียวเท่านั้น ไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจผิด


 


นอกจากนี้นางยังไม่รู้จักจ้าวจี้จริงๆ และปู่นางก็ไม่เคยพูดถึงอีกฝ่ายด้วย


 


เป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้เลยว่าที่จ้าวจี้กล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่


 


“อะไร?”


 


จ้าวจี้ชักสีหน้างุนงงสับสนขึ้นมาทันใด “ปู่ของเจ้ามิได้บอกกับเจ้าไว้หรือ…ว่าเจ้ามีสัญญาวิวาห์กับข้าตั้งแต่ตอนที่เจ้า 3 ขวบ สัญญาหมั้นหมายตบแต่งนั้นบิดาข้ากับปู่เจ้าก็ทำกันวันนั้น”


 


สัญญาวิวาห์!


 


ทันทีที่จ้าวจี้กล่าวคำนี้ออกมา ผู้คนก็รู้สึกพุ่งพล่านอย่างบอกไม่ถูก


 


ในขณะที่สายตาของผู้คนโดยรอบไปตกยังร่างหวางเฟยเซวียนด้วยความอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ ต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองจ้าวจี้ด้วยสายตาเฉยเมย ด้วยไม่คิดว่าเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้จะเป็นไปได้


 


“นี่มันอันใดกัน จ้าวจี้กับแม่นางหวางที่แท้หมั้นกันแต่เด็กแล้วรึ?”


 


“ไฉนข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย?”


 


“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน”


 


“หากจ้าวจี้หมั้นกับหวางเฟยเซวียนจริง เรื่องนี้สมควรดังไปทั่วเขตฟ้าลี้ลับนานแล้ว พวกเราจะไม่รู้ได้อย่างไร?”


 


“ใช่จ้าวจี้แต่งเรื่องหรือไม่”


 


……


 


เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกระซิบกระซาบกันระงม ทุกสายตาหันไปมองจ้าวจี้ด้วยความสงสัย ว่าใช่มันปั้นน้ำเป็นตัวหรือไม่


 


“สัญญาวิวาห์?”


 


เมื่อได้ยินวาจานี้ของจ้าวจี้ หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะมีโมโห “จ้าวจี้เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือ…หากข้ามีสัญญาวิวาห์อะไรกับเจ้าจริงไฉนข้าถึงไม่รู้ ท่านปู่ไหนเลยจะไม่บอกข้า?”


 


ทันทีที่หวางเฟยเซวียนกล่าวประโยคนี้ออกมา ผู้คนก็เชื่อว่าเป็นจ้าวจี้ที่โกหก


 


“หากข้าบอกว่าพวกเรามีสัญญาวิวาห์ มันก็ต้องมีสัญญาวิวาห์”


 


เมื่อถูกมองมาด้วยสายตาแปลกๆจากคนรอบๆ จ้าวจี้พลันยกยิ้มแสยะ “เจ้าไม่ต้องกลัวรอนาน ข้าจะให้บิดาไปเยือนคฤหาสน์ดาบทรราชเพื่อคุยเรื่องวันแต่ง…ข้าเชื่อว่าปู่ของเจ้าต้องไม่ปฏิเสธการเกี่ยวดองกับตระกูลข้า”


 


กล่าวถึงจุดนี้แววตาจ้าวจี้เผยความบ้าคลั่งขึ้นมา ยังส่งเสียงไปหาหวางเฟยเซวียน “หวางเฟยเซวียนเจ้าควรดีใจที่ต้องตาพึงใจข้านายน้อย!”


 


“คิดให้ข้าหวางเฟยเซวียนแต่งกับเจ้าหรือ เจ้าฝันไปเถอะ!!”


 


ได้ยินวาจาผ่านปราณของจ้าวจี้ หวางเฟยเซวียนก็เผยท่าทีขยะแขยง ยังส่งเสียงตอบกลับด้วยความรำคาญ


 


“ข้าเกรงว่าเรื่องนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก!”


 


รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งมากในขณะที่มองร่างได้รูปของหวางเฟยเซวียน ยิ่งเห็นสีหน้าดุร้ายของนางมันยิ่งรู้สึกอยากสยบ พาลให้ช่วงล่างของมันรู้สึกอุ่นร้อนพองตัวขึ้นมา


 


ด้านหวางเฟยเซวียนพอได้ยินคำนี้ของจ้าวจี้ สีหน้านางก็เริ่มกลายเป็นมืดครึ้มทันที


 


หากบิดาของจ้าวจี้ไปกล่าวเรื่องตบแต่งกับปู่ของนางจริงๆล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ปู่ของนางจะปฏิเสธ เพราะไม่เพียงแต่ต้องระวังบิดาของจ้าวจี้เท่านั้น แต่ยังมีปู่ของจ้าวจี้อีกคน…


 


แม้ตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่คิดบีบคั้นคฤหาสน์ดาบทรราช แต่ทว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวเกรงว่าคงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง!


 


บิดาของจ้าวจี้ปู่นางย่อมไม่กลัว!


 


ทว่าปู่ของจ้าวจี้นั้นเป็นถึงผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยอดฝีมือระดับแนวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่าง! เป็นรองก็แต่ชนชั้นจ้าวตำหนักเท่านั้น ไม่ใช่อะไรที่ปู่นางจะต่อต้านได้เลย!!


 


“สุนัขที่ไหนมาเห่าหอนไม่เลิก หนวกหูจริงๆ”


 


ในขณะที่ทุกสายตากำลังมองหวางเฟยเซวียนด้วยความสงสาร พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


หลังจากนั้นทุกคนรู้สึกเสมือนมีประกายแสงหนึ่งวาบผ่านหน้า แสงดังกล่าวยังสว่างปานดวงอาทิตย์ ติดตามมาด้วยเสียงดังหนึ่ง!


 


ผัวะ!!


 


ทันใดนั้นท่ามกลางสายตาตะลึงของผู้คน พลันมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวจี้ปานภูตผี!!


 


ส่วนจ้าวจี้นั้น ร่างของมันพลันปลิดปลิวหมุนติ้วไปในอากาศปานลูกข่าง ยังพ่นโลหิตออกมาเป็นสายพร่างพราวไปในอากาศ เบ่งบานเป็นดวงปานกุหลาบสีเลือด! ใบหน้าปรากฏรอยมือสีแดง!!


 


เงียบ!


 


สายตาของทุกผู้คนมองค้างไปยังร่างที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจุดที่จ้าวจี้ลอยก่อนหน้า


 


ตูมม!!


 


เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอีกครั้ง เป็นร่างจ้าวจี้ที่ร่วงตกไปยังลานศิลาจนกลิ้งหลุนๆไปหลายรอบ ต่อมาทั่วร่างค่อยปะทุปราณแรกกำเนิดออกมาขุมหนึ่งและหยุดร่างไว้ได้สำเร็จ


 


จ้าวจี้ที่หน้าซีดพยายามลุกขึ้นยืน สีหน้าของมันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ดวงตาฉายแววอาฆาต!


 


“หลิงเทียนเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ลอบทำร้ายข้า! เจ้าเบื่อชีวิตมากงั้นเหรอ!!”


 


จ้าวจี้มองร่างที่ตบมันจนร่วงด้วยแววตาเปี่ยมจิตสังหาร แลดูน่ากลัวนัก!


 


“ลอบทำร้าย?”


 


ได้ยินคำนี้ต้วนหลิงเทียนพลันยิ้มออกมาบางๆ “ถ้าเจ้าคิดว่าเสียเปรียบเพราะข้าลอบทำร้าย…งั้นข้าเปิดโอกาสให้เจ้าได้สู้กับข้าอย่างยุติธรรมดีไหม? ข้าต่อให้เจ้าก่อน 3 กระบวนท่าเลยด้วยเอ้า…”


 


สู้กันอย่างยุติธรรม!


 


ต่อให้ก่อน 3 กระบวนท่า!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา ผู้คนที่ยังตะลึงกับเรื่องราวพลันดึงสติกลับเข้าร่างได้สำเร็จ สายตาของทุกคนหันไปมองจ้าวจี้อย่างพร้อมเพรียง ในแววตายังเผยความเย้ยหยันไม่น้อย


 


ในสายตาของพวกมัน


 


จ้าวจี้แม้จะมีภูมิหลังแข็งแกร่งเพียงใด แต่พลังฝึกปรือของมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลาง มันจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้หลิงเทียน?


 


หลิงเทียนเป็นใคร?


 


อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


อายุไม่ถึง 40 ปีก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!


 


ตัวตนเช่นนี้อาศัยพลังฝีมือของจ้าวจี้จะเอาอะไรไปสู้?


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนต่อให้จ้าวจี้ 3 กระบวนท่าด้วยซ้ำ ให้ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่เฉยๆทั้งวัน น่ากลัวว่าจ้าวจี้ก็ยังอาจฝ่าม่านพลังป้องกันที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกส่งๆได้…นี่คือความแตกต่างของด่านพลังที่ต่างชั้นกันประหนึ่งห่างกันคนละโลก!


 


เผชิญกับวาจาท้าทายของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของจ้าวจี้ก็เปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ดในพริบตา


 


มันไม่ใช่ตัวโง่งม มันรู้ดีว่าไม่มีทางสู้ต้วนหลิงเทียนได้เลย ต่อให้ลงมือก่อน 3 กระบวนท่าก็ไร้ความหมาย รับคำท้าไปก็แค่รนหาที่ตายเท่านั้น!


 


เนื่องจากสายตาของทุกคนมัวแต่สนใจจ้าวจี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เลยว่ามีศิษย์วังนภาคนหนึ่งที่ติดตามจ้าวจี้มาแต่แรก ได้ลอบจากไปอย่างเงียบงัน หลังออกจากยอดเขาวังนภา มันก็เหินร่างขึ้นไปยังเกาะลอยฟ้าทันที


 


‘เขาห่วงใยข้าจริงๆ…’


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนลงมือเพื่อนาง หวางเฟยเซวียนพลันเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา ยามมองแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียน แววตายังอ่อนโยนลงราวสายน้ำ


 


“หลิงเทียน เจ้าได้โอหังให้มันมากนัก! ข้าไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเจ้า ไฉนเจ้าต้องมาตบหน้าข้าด้วย!?”


 


จ้าวจี้ถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย กล่าวถามออกมาเสียงดัง


 


“ทำไมถึงตีเจ้างั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าข้าตีเจ้าทำไม?”


 


“บัดซบ! วันนี้หากเจ้าไม่อธิบายมาอย่าหวังว่าข้าจะยอมเลิกราง่ายๆ! ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่เจ้าก็ไม่อาจอวดเบ่งในตำหนักฟ้าลี้ลับได้…ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ในตำหนักฟ้าลี้ลับมีคนมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า! แค่ศิษย์ของบิดาข้ามาที่นี่สักคน ก็ทุบตีเจ้าให้เป็นสุนัขตายได้ง่ายดาย!!”


 


จ้าวจี้กล่าวออกด้วยอาฆาต ท้ายประโยคน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความข่มขู่


 


“รังแกผู้หญิงอ่อนแอต่อหน้าผู้คนมากมายกลางวันแสกๆ…แต่เจ้ายังมีหน้าร้องหาคำอธิบาย?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยหยันออกมา ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าเขายังสงบไม่ได้หวาดกลัวจ้าวจี้แม้แต่น้อย อันที่จริงกระทั่งวาจาข่มขู่ของจ้าวจี้ก็คล้ายไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ


 


“เฮอะ! ที่แท้เจ้าก็ทำเพื่อนาง!!”


 


สายตาจ้าวจี้เบนจากร่างต้วนหลิงเทียนไปตกหวางเฟยเซวียน ก่อนที่จะยิ้มเยาะ “ข้าบอกว่าจะแต่งกับเจ้า เจ้าก็ต้องแต่งกับข้า! ข้าเชื่อว่าปู่ของเจ้าที่เป็นผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชต้องตกลงเรื่องนี้!!”


 


“เจ้าล้างคอรอแต่งกับข้าให้ดีเถอะ และถ้าข้าเล่นกับเจ้าเบื่อเมื่อใดข้าจะให้ทาสสักร้อยคนมาเวีนกันถล่มเจ้า!!”


 


วาจาก้าวร้าวที่จ้าวจี้กล่าวออกมาครั้งนี้ แน่นอนว่ากล่าวกับหวางเฟยเซวียน


 


“ให้ข้าหวางเฟยเซวียนต้องตาย ก็ไม่มีวันแต่งกับเจ้า!!”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวส่งเสียงตอบกลับเยียบเย็น แม้นางรู้ดีว่าครอบครัวนางไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน และปู่ของนางไม่พ้นต้องตอบตกลงเรื่องการแต่งนี้ถึงจะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่นางยอมตายดีกว่าแต่งกับตัวอุบาทว์นี่!


 


“ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!! เช่นนั้นก็รอดูกันไปเถอะ!!”


 


จ้าวจี้เองก็ตอบกลับด้วยการส่งเสียง ในน้ำเสียงยังแฝงความขุ่นขึ้งไม่ได้ดั่งใจ พอใจเย็นลงหน่อยค่อยกล่าวสืบต่อ “คนของข้าขึ้นไปตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อเชิญศิษย์พี่ของข้ามาแล้ว…เดี๋ยวพอศิษย์พี่ข้ามาถึงเมื่อไหร่ข้าจะให้เจ้าเห็นผลลัพธ์ที่เจ้าเลือก! และเห็นว่าสหายที่ยืนหยัดเพื่อเจ้า…มันจะตกตายอนาถถึงเพียงใด!!”


 


หวางเฟยเซวียนไม่กลัวตาย แต่หากต้วนหลิงเทียนต้องเจอปัญหาเพราะนาง นางไม่อาจทานทนรับได้


 


“เจ้ารีบออกไปกับศิษย์พี่หวังพีเร็วเข้า บอกว่ามีเรื่องที่เจ้าต้องพบกับรองจ้าววังเซียวยี่ก็ได้…จ้าวจี้มันส่งคนไปเรียกใครบางคนจากตำหนักหลักมาที่นี่แล้ว และศิษย์ที่ตำหนักหลักทุกคนล้วนบรรลุขอบเขตอริยะเซียนทั้งสิ้น!!”


 


หวางเฟยเซวียนเร่งส่งเสียงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนทันที น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความร้อนรนไม่น้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)