War sovereign Soaring The Heavens 1729-1740

 ตอนที่ 1,729 : 20 วัน?


 


ตอนที่เห็นต้วนหลิงเทียนเดินออกมาแว่บแรก ชายชราแขนเดียวคิดว่ามันตาฝาดไป


 


ทว่าหลังจากที่รู้สึกตัว มันก็ตระหนักว่าไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างไร! แต่สหายน้อยที่พึ่งเข้าไปยังสระวิญญาณเมื่อ 20 วันก่อนได้ออกมาแล้วจริงๆ!!


 


เผชิญกับคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ชายชราแขนเดียวไม่ได้ตอบคำอะไร ทว่าเร่งพุ่งร่างเข้าไปในสระวิญญาณทันที


 


และเมื่อเข้ามาเห็นสระวิญญาณว่างเปล่า มันที่มีอายุอยู่มากว่า 200 ปีอยู่แลเห็นเรื่องราวในโลกมามากมาย มุมปากยังอดไม่ได้ที่จะกระตุก!


 


“อาวุโสท่าน…”


 


เมื่อเห็นว่าชายชราไม่ได้ตอบคำ แต่พุ่งเข้าไปในสระวิญญารแทน ต้วนหลิงเทียนก็งุนงงไม่น้อย แถมหลังกลับออกมาจากสระวิญญาณ สีหน้าท่าทางชายชรายังจ้องเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย


 


“เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”


 


ชายชราที่พึ่งกลับออกมาจากสระวิญญาณ มองต้วนหลิงเทียนราวกับเห็นผี!


 


“ทำอะไรเหรอ?”


 


เมื่อเห็นอาการตกใจของชายชรา ต้วนหลิงเทียนยิ่งสนใจไม่น้อยว่าไฉนอีกฝ่ายทำหน้าแบบนี้?


 


“ข้าดูแลสระวิญญาณของวังนภามานับร้อยปี แต่เท่าที่ข้าเคยเห็น กระทั่งผู้ที่ใช้เวลาสั้นที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึง 1 เดือนครึ่ง…ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนใช้เวลา 2 เดือนขึ้นไปทั้งสิ้น แต่เจ้ากลับใช้เวลาเพียงแค่ 20 วันดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในสระวิญญาณจนหมด…นี่เจ้าทำได้อย่างไร?”


 


กล่าววาจาถึงท้ายประโยค สายตาของชายชรายังมองเพ่งมาที่ต้วนหลิงเทียน ราวกับต้องการมองให้ทะลุร่าง!


 


“20 วันเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะอยู่ในสระวิญญาณนั้นมา 20 วันแล้ว อย่างไรก็ตามฟังจากชายชราดูเหมือนคนที่เร็วสุดจะใช้เวลาเดือนครึ่ง ส่วนคนทั่วไปมักใช้เวลากันราวๆ 2 เดือนขึ้นไป


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ว่า การกระทำของเขามันร้ายแรงขนาดไหน


 


“อ้อ…เป็นเพราะเคล็ดวิชาบ่มเพาะของข้าต่างจากคนอื่นๆล่ะมั้ง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบส่งๆไป


 


สำหรับเรื่องที่ชายชราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเขาคร้านจะสนใจ หลังจากประสานมืออำลาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินจากไปทันที


 


“สหายน้อยผู้นี้ดูท่าจักมีความลับซุกซ่อนไว้มากมาย…อย่างไรเสียมิว่าจะมีความลับอันใด เพียงมิได้คิดร้ายต่อตำหนักฟ้าลี้ลับเราเป็นพอ! ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพเช่นนี้ หากเติบโตขึ้นไป วันหน้าต้องกลายเป็นสุดยอดฝืมือของตำหนักฟ้าลิ่วล่องแน่! กระทั่งจะนำพาตำหนักฟ้าลี้ลับให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกลทัดเทียมกับตำหนักเมฆาครามที่มีต้วนหรูเฟิงนำพา จนแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้!”


 


ชายชราพึมพำกับตัวเองเบาๆ มันมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนนัก


 


แน่นอนว่าทั้งหมดนี่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย


 


ขณะเดินกลับ ต้วนหลิงเทียนก็พบคนของวังนภาไม่น้อย และทั้งหมดก็มีสีหน้าแววตาแตกตื่นไม่ต่างอะไรกับชายชราแขนเดียว


 


ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ไปสระวิญญาณพร้อมต้วนหลิงเทียน แต่พวกมันรู้ดีว่าเขาไปสระวิญญาณ!


 


และเวลาเปิดของสระวิญญาณก็ระบุไว้ชัดเจน!


 


เช่นนั้นเพียงคำนวณในใจ ชั่วพริบตาก็ทราบได้ว่าสระวิญญาณเปิดมาได้ 20 วัน!!


 


“ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเผลอทำเด่นโดยไม่รู้ตัวแล้วแหะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนเดินลูบจมูกไปเบาๆด้วยความเขินอาย


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกมันรู้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คร้านปกปิดอะไรอีก เพียงเดินกลับบ้านอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อถึงบ้านก็ปิดประตูมิดชิด วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและเดินขึ้นไปนั่งบนชั้น 3 ทันที “ตอนนี้เหลืออีก 2 เดือนนิดๆ ก่อนที่แดนลับเซียนอะไรนั่นจะเปิด…ถ้างั้นช่วงที่เหลือนี่ดูเหมือนว่าต้องแวะไปห้องสมุดของตำหนักฟ้าลี้ลับสักหน่อย”


 


“ในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ห้องสมุดของที่นี่สมควรมีเรื่องราวหลายอย่างบันทึกเอาไว้..”


 


ต้วนหลิงเทียนเริ่มพึมพำวางแผนสำหรับ 2 เดือนหลังจากนี้


 


เป็นธรรมดาที่หลังจากนี้อีก 2 เดือนเขาจะต้องแข่งกับศิษย์วังนภาที่อายุต่ำกว่า 40 ปีเพื่อช่วงชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน


 


ตอนเข้าร่วมวังนภาต้วนหลิงเทียนได้สิทธิพิเศษแค่การเข้าสระวิญญาณเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม การชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนสำหรับเขาก็เหมือนแค่ทำๆไปพอเป็นพิธี…


 


ด้วยพลังฝีมือของเขาตอนนี้อย่าว่าแต่อายุต่ำกว่า 40 ปี ในตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเอาชนะเขาได้หรือไม่…!


 


ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความมั่นใจในพลังของตัวเองอยู่นั้น เงาร่างบอบบางหนึ่งพลันผุดโผล่ขึ้นมาในใจ…และเมื่อตระหนักถึงร่างบอบบางนั่นได้ชัด เขาก็ถึงกับสะดุ้งตื่นจากฝันประหนึ่งมีน้ำเย็นราดรดศีรษะ!


 


เจ้าของร่างบอบบางที่ว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง…


 


และสตรีคนนั้นก็ไม่นับว่ามีใบหน้าแปลกตาต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร เพราะอีกฝ่ายกลับมีใบหน้าเมือนกับเค่อเอ๋อ คู่หมั้นเขายังกับแกะ!


 


“พี่สาวของเค่อเอ๋อที่มาจากลัทธิบูชาไฟนั่น…ข้าอยากรู้นักว่านางมีพลังฝีมืออยู่ในระดับใดกันแน่ หากเทียบกันในบรรดารุ่นเยาว์ของของลัทธิบูชาไฟ…”


 


ในวันนั้นแม้พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อจะไม่ได้ลงมืออะไรมากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้จากการลงมือของนางชัดเจน ว่าสมควรมีพลังฝึกปรือไม่ต่ำกว่า อริยะเซียน!


 


ต้องทราบด้วยว่าวันนั้นกระทั่งตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ยังถูกสยบจนราบคาบในฝ่ามือเดียว! ต่อหน้านางมันทำได้แค่หวาดกลัวหางจุกตูด!


 


และตี้จิ่วนั่น ด่านพลังสมควรบรรลุอริยะเซียนแล้วแน่นอน!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงไม่ได้รู้เรื่องเลย ว่าบิดาเขาอย่างต้วนหรูเฟิง ได้ทำการเดิมพันในนามของเขาไปแล้ว…ยังเป็นการเดิมพันสิทธิ์ในการเข้าสระชำระมังกรที่จะเปิดทุกๆ 5,000 ปี และการเดิมพันที่ว่าก็คือเขาต้องประลองกับตี้จิ่ว!!


 


แถมก่อนถึงวันเดิมพันที่ว่า ก็เหลือเวลาไม่ถึง 3 ปี!


 


ต้องกล่าวเลยว่าหลังทะลวงผ่านเซียนขัดเกลามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้สึกมั่นใจขึ้นไม่น้อย และพอคิดถึงทุกสิ่งที่มี ทำให้รู้สึกเสมือนไร้เทียมทานในบรรดารุ่นเยาว์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…


 


ทว่าพอคิดถึงพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ เขาก็เสมือนตื่นจากฝัน!


 


หากพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋ออยู่ที่นี่ ต่อให้เขาใช้ทุกสิ่งกระทั่งจู่โจมออกด้วยกระบี่นิลสวรรค์ที่จ่ายพลังทั้งหมดลงไป น่ากลัวว่าเขายังไม่อาจเอาชนะนางได้!


 


“ลัทธิบูชาไฟ…”


 


ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนจึงกลายเป็นหนักอึ้งขึ้นมาทันที…


 


เพียงรุ่นเยาว์คนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟกับบรรลุพลังฝีมือขนาดนั้น…แล้วชนชั้นอาวุโสของพวกมันเล่าจะร้ายกาจเพียงใด?


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนมีแรงกดดันอันใหญ่หลวงกดทับลงมากลางใจ!


 


ทว่าต่อให้แรงกดดันจะเพิ่มพูนขึ้นมากเพียงใด ก็ไม่ได้บั่นทอนแรงใจที่คิดจะไปช่วยเค่อเอ๋อแม้แต่น้อย!


 


ต่อให้เบื้องหน้าเป็นภูเขาดาบ ทะเลน้ำมันเดือด เขาก็จะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้จงได้! และจะไปยังลัทธิบูชาไฟเพื่อช่วยเหลือเค่อเอ๋อกับลูกให้ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง!


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สงบสติอารมณ์ได้


 


เมื่อสงบสติอารมณ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เรียกกระบี่นิลสวรรค์ออกมาถือไว้ และหลับตาเข้าสมาธิ เพื่อรำลึกถึงเต๋ากระบี่ของ ยอดใจกระบี่


 


เป้าหมายของต้วนหลิงเทียนตอนนี้คือ บรรลุขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่!


 


กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ฝึกฝนวรยุทธ์มาไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้รับยอดใจกระบี่ เขาก็ได้อุทิศทุกสิ่งให้ยอดใจกระบี่ทันที วรยุทธ์อื่นใดของเขาล้วนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังหมดสิ้น…


 


บางทีวรยุทธ์ทั้งหลายที่เขาเคยฝึกปรือในอดีตจะช่วยเขาได้มาก แต่ตอนนี้ด้วยมียอดใจกระบี่ วรยุทธ์ทั้งหลายเหล่านั้นเสมือนกลายเป็น ซี่โครงไก่ ไปแล้ว…


 


ยอดใจกระบี่ ในฐานะที่เป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่ขั้นสูงสุด ไม่เพียงแต่พลังอำนาจลี้ลับของมันจะทรงพลังอำนาจในแง่ของการจู่โจม มันยังเอามาใช้ป้องกัน กระทั่งเสริมสร้างความเร็วได้…!


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งบำเพ็ญจิตพยายามเข้าใจเคล็ดความของยอดใจกระบี่อย่างเงียบงัน ไม่ได้รู้เลยว่าด้านนอกกำลังปั่นป่วนอีกครั้ง…


 


“อะไรนะ? หลิงเทียนที่เขาสระวิญญาณไปเมื่อวันก่อน วันนี้กลับออกมาแล้ว?”


 


“เป็นไปได้ยังไง แค่ 20 วันเนี่ยนะ! หรือว่าเพียงแค่ 20 วัน เจ้าหมอนั่น…สามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวได้หมดสระแล้ว?”


 


“หากเป็นก่อนหน้าข้าคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้…แต่วันนี้ข้าเจอเจ้านั่นเดินดุ่มๆมากับตา แถมยังคล้ายพึ่งกลับมาจากสระวิญญาณอีกด้วย…และจากที่ข้าลองนับดู หลิงเทียนก็พึ่งเข้าสระวิญญาณไปได้แค่ 20 วันเท่านั้น…”


 


“ใช้เวลาเพียงแค่ 20 ก็กลับออกมาจากสระวิญญาณแล้ว…ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของหลิงเทียนจะไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ?”


 


“มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนอายุยังไม่ถึง 40 ปี แต่มีพลังฝึกปรือถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! ที่แท้พรสวรรค์กลับสุดที่พวกเราจะจินตนาการได้…ไม่ทราบออกจากสระวิญญาณแล้วแบบนี้ เขาทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้หรือยัง?”


 


……


 


ศิษย์วังนภาเริ่มคึกคักฮือฮากันไม่น้อย ทั้งหมดพากันกล่าวถึงเรื่องต้วนหลิงเทียนไม่ขาดปาก ต่างรู้สึกว่าเวลาที่เขาใช้ในสระวิญญาณมันสั้นเกินไป


 


แน่นอนว่ามีทั้งคนที่ปักใจเชื่อว่ามันเหลือเชื่อเกินจริง และบางคนก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้


 


“เป็นไปไม่ได้! ให้พรสวรรค์สูงส่งเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะใช้เวลาแค่ 20 วันดูดซับพลังวิญาณฟ้าดินเหลวจนหมดสระ…ข้าคิดว่ามันออกมาโดยที่ยังดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวไม่หมด!”


 


“อาจเป็นได้…แต่หากเป็นเจ้าๆจะเลือกออกจากสระวิญญาณทั้งๆที่ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวไม่หมดหรือ?”


 


“นั่นสิ! หากเป็นเจ้าๆจะออกมาหรือไม่?”


 


……


 


อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนใช้เวลาเพียงแค่ 20 วันดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวหมดสิ้นได้จริงๆ


 


ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอะไรที่ร้ายกาจเกินคาดคิด แต่พวกมันก็คิดว่าสมควรเป็นไปได้ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น


 


พวกมันย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา ว่าหากให้ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังไปตามปกติ แม้ต้วนหลิงเทียนจะมีชีพจรเซียน 99 สาย แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลา 1 เดือนเต็มในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในสระวิญญาณ


 


ทว่าที่ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาดูดซับเพียงแค่ 20 วันนั้น เพราะเขาดูดซับจนถึงจุดที่ด่านพลังจะก้าวหน้าแล้ว และเป็นผู้เฒ่าหั่วที่แนะนำให้เขาควบแน่นพลังสร้างต้นแบบปีกอีกาทองคำ และด้วยกระบวนการพิเศษเพียงแค่ 20 ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่เหลือในบ่อไปจนหมด ปานปลาวาฬกลืนน้ำ!


 


เช่นนั้นในสายตาของคนอื่นจึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนใช้เวลาเพียงแค่ 20 วันก็ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวจนหมด…


 


แน่นอนว่าความจริงเป็นอย่างไรก็คงมีแต่ต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหั่วเท่านั้นที่ทราบ…


 


ส่วนคนอื่นไม่มีวันล่วงรู้ได้เลย…


 


“เอ๋! เจ้านั่นออกมาแล้วงั้นเหรอ?!”


 


หลังจากที่ได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนออกมาจากสระวิญญาณแล้ว หวางเฟยเซวียนก็อึ้งไปไม่น้อย “ข้าจำได้ว่า…เจาทึ่มพึ่งเข้าไปในสระวิญญาณเมื่อ 20 วันก่อนมิใช่หรือไง…ไฉนถึงออกมารวดเร็วนักเล่า?!”


ตอนที่ 1,730 : ตำหนักหลัก


 


หวางเฟยเซวียนย่อมจดจำทุกสิ่งได้ดี


 


20 วันที่แล้วนางก็ติดตามต้วนหลิงเทียนไปยังสระวิญญาณด้วย แน่นอนว่าไปได้ถึงแค่ปากทางเข้าสระเท่านั้น เพราะมีเพียงหลิงเทียนคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป…


 


นางเองก็เคยถามถึงเรื่องสระวิญญาณของตำหนักฟ้าลี้ลับมาแล้ว


 


มีสระวิญญาณ 4 แห่งในตำหนักฟ้าลี้ลับ และของวังนภาดีที่สุด


 


อย่างไรก็ตามสระวิญญาณของวังนภานั้นผู้คนทั่วไปจำต้องใช้เวลาถึง 2 เดือนกว่าจะดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินที่กลั่นตัวเป็นน้ำในสระได้หมด…


 


และถึงต่อให้เป็นอัจฉริยะมีพรสวรรค์อันร้ายกาจก็ต้องใช้เวลาราวๆเดือนครึ่ง…!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับใช้เวลาเพียงแค่ 20 วัน ‘หรือเจ้าทึ่มมันจะรีบร้อนออกจากสระ ก่อนดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวจนหมด?’


 


แน่นอนว่าทันทีที่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมา หวางเฟยเซวียนก็โละทิ้งทันที


 


ลองคิดดูก็ทราบได้


 


โอกาสที่จะได้เข้าสู่สระวิญญาณนั้นหาได้ยากเย็นเพียงใด แถมยังไม่มีการจำกัดเวลาหากเข้าไปแล้ว! เช่นนั้นต่อให้โง่งมแค่ไหนก็ต้องดูดซับพลังวิญญาณเหลวจนหมด!!


 


หลิงเทียนเป็นตัวโง่งมหรือ?


 


หวางเฟยเซวียนเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้


 


“ไม่รู้แหล่ะ! ไปถามเจ้าทึ่มมันตรงๆเลยแล้วกัน!!”


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้หวางเฟยเซวียนก็เลิกคิดอะไรให้มาก วิ่งออกจากบ้านและตรงไปยังที่พักของต้วนหลิงเทียนทันที


 


อย่างไรก็ตามเมื่อนางมาถึงบ้านของต้วนหลิงเทียน นางก็หาตัวต้วนหลิงเทียนไม่เจอเสียแล้ว คล้ายอีกฝ่ายได้หนีไปซ่อนตัวก่อนนางมาถึง ทำให้นางฮึดฮัดอยู่หน้าบ้านพักใหญ่ “เจ้าทึ่มนั่นมันหนีไปซ่อนไวนักนะ…แต่เจ้าคิดว่าท่านย่าผู้นี้จะหาเจ้าไม่เจอเพียงเพราะเจ้าไปซ่อนงั้นหรือ?”


 


ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่อยู่เห็นฉากนี้ หาไม่แล้วน่ากลัวคงได้ทำตาปริบๆ หมดคำจะพูด…


 


ตอนแรกวันนี้เขาตั้งใจเข้าฌาณทำสมาธิ พยายามสำนึกถึงเต๋ากระบี่…อนิจจาเป็นเพราะพลังฝึกปรือที่พึ่งทะลวงผ่านมา ทำให้อารมณ์ของเขาไม่คงที่ แถมยังยากจะสงบลงได้


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงละทิ้งการสำนึกถึงเต๋ากระบี่ของยอดใจกระบี่ชั่วคราว เลือกที่จะไปตามหาห้องสมุดหรือหอตำราอะไรทำนองนั้นของตำหนักฟ้าลี้ลับแทน


 


ถามผู้คนอยู่ไม่นาน เขาก็ได้ทราบว่าหอตำราของตำหนักฟ้าลี้ลับ มีอยู่ถึง 5 แห่ง


 


นภา ปฐพี ลี้ลับ เหลือง ของวังทั้ง 4 นอกจากนี้ยังเหลืออีกแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนตำหนักใหญ่บนเกาะลอยฟ้าที่ลอยล่องอยู่เหนือวังทั้ง 4! และหอตำราบนนั้นยังเป็นหอตำราที่ใหญ่ที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับอีกด้วย มีตำราและคัมภีร์บันทึกเรื่องราวไว้แทบทุกประเภท! เรียกว่านอกเหนือจากบันทึกลับสำคัญต้องห้ามของตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ทุกอย่างที่ตำหนักฟ้าลี้ลับล่วงรู้ ถูกเก็บไว้ที่นั่น!!


 


การที่ต้วนหลิงเทียนอยากล่วงรู้สิ่งที่เขาไม่รู้นั้น แน่นอนว่าการไปหอตำราบนตำหนักลอยฟ้านั่นควรเป็นอะไรที่ดีที่สุด


 


นอกเหนือจากที่นั่นจะเป็นสถานที่อยู่ของอาวุโสระดับสูงๆแล้ว บนเกาะลอยยังเต็มไปด้วยศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่โดดเด่น ตราบใดที่สามารถติดอันดับฟ้าลี้ลับที่ทางตำหนักจัดตั้งขึ้นมาได้ ก็สามารถได้รับสถานที่บ่มเพาะพิเศษบนเกาะที่สงวนไว้ให้โดยเฉพาะ!!


 


และแน่นอนว่าโดยมากแล้วผู้ที่จะติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับได้ ล้วนแต่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนหรือสูงกว่านั้นทั้งสิ้น!


 


โดยปกติแล้วตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนนั้น จะไม่มีในขุมพลังชั้น 6 และมีตั้งแต่ในขุมพลังชั้น 5 ขึ้นไป…แถมส่วนมากก็จะเป็นชนชั้นอาวุโส!


 


ในขุมพลังชั้น 4 แม้อาจจะไม่ได้เป็นผู้อาวุโสระดับสูง แต่ก็ยังมีฐานะหน้าตา


 


หากแต่ในขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขอบเขตอริยะเซียนก็ไม่ได้ถือว่าวิเศษวิโสอะไรมากมาย เพราะมีผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงอริยะเซียนไม่น้อยในขุมพลังกึ่งชั้น 3! ศิษย์ที่โดดเด่นบางคนก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนได้ไม่มีปัญหาอะไร ยามอายุครบถึงเกณฑ์..


 


ด้วยเหตุนี้สำหรับขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว ขอบเขตอริยะเซียนทั่วไปก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไร


 


“นอกจากศิษย์ที่ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับ…ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่ตำหนักหลักทุกๆ 3 เดือนงั้นเหรอ!”


 


ตำหนักหลัก ก็คือตำหนักใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้า


 


วันนี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะใช้สิทธิ์เข้าตำหนักหลักได้ 1 ครั้งทุกๆ 3 เดือน เพื่อเข้าไปหาความรู้ในหอตำราที่ตำหนักหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


สำหรับเรื่องอื่นๆบนตำหนักหลักนั้นไม่ได้ล่อลวงใจเขาแม้แต่น้อย


 


ก็จริงที่ตำหนักหลักบนเกาะลอยฟ้าจะมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีกว่า


 


ทว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติของเขา ก็เป็นอะไรที่เหนือกว่าพื้นที่บนตำหนักหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับเสียอีก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับต้วนหลิงเทียนที่จะมีที่บนตำหนักหลักหรือไม่..


 


ฟุ่บ!


 


ดังสายลมกรรโชกหอบหนึ่งซัดโถม ร่างคนกลับกลายคล้ายภูตผี พุ่งวูบไปยังเกาะลอยฟ้าเหนือม่านเมฆด้วยความเร็วสูง


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


ทว่าก่อนที่ร่างดังกล่าวจะบรรลุถึงเกาะลอยฟ้า พลันถูกร่างคนกลุ่มหนึ่งพุ่งมาปิดกั้นเส้นทางเอาไว้


 


เจ้าของเงาร่างกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่สวมชุดเกราะเฉพาะของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


ในตำหนักฟ้าลี้ลับนั้น มีเพียงศิษย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงสวมใส่ชุดเกราะเช่นนี้ได้


 


ส่วนศิษย์ทั่วไป เพียงใช้ป้ายประจำตัวบอกฐานะก็พอ


 


“เจ้าเป็นศิษย์ของวังนภางั้นหรือ?”


 


ท่ามกลางเหล่าศิษย์ในชุดเกราะที่ปรากฏตัวขึ้น ชายวัยกลางคนที่คล้ายผู้นำกลุ่มเพียงว่ายตามองผู้เหินร่างขึ้นมาปราดเดียวก็ระบุอัตลักษณ์ได้จากคำ ‘นภา’ ที่สลักไว้บนป้ายประจำตัว ซึ่งผู้ที่เหินขึ้นมาก็ห้อยแขวนให้เห็นไว้ที่เอวชัดเจน


 


“หลิงเทียน ศิษย์ใหม่ของวังนภายินดีที่ได้พบทุกท่าน”


 


ผู้ที่เหินร่างขึ้นมานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นต้วนหลิงเทียนเอง


 


เผชิญหน้ากับศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับที่มาดขึงขังในชุดเกราะ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงทักทายและกล่าวคำบอกเจตนาการมาออกไปด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้าคิดเข้าไปเยี่ยมชมหอตำราที่ตำหนักหลักน่ะ”


 


“หืม? หลิงเทียน!?”


 


อนิจจาวาจาประโยคหลังของต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่มีใครสนใจฟังเลย เพราะความสนใจของทุกคนกลับอยู่ที่วาจาแนะนำตัวประโยคแรกของต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น!


 


หลิงเทียน!


 


ชื่อนี้ไม่ใช่อะไรที่แปลกหูพวกมัน!


 


กระทั่งพวกมันยังต้องตกใจเพราะชื่อนี้ถึง 2 ครั้ง!


 


หลิงเทียนศิษย์ใหม่ของวังนภา เพียงมาถึงได้ไม่ทันไรก็ประมือเสมอกับกัวลู่ ศิษย์วังนภาที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ทั้งเป็นยอดฝีมือที่ติด 3 อันดับแรกที่อยู่ในขอบเขตพลังนี้!


 


นั่นนับเป็นครั้งแรกที่พวกมันได้ยินนาม หลิงเทียน


 


จังหวะนั้นในใจของพวกมันยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้าน อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญตั้งแต่อายุไม่ถึง 40..แล้วอนาคตจะร้ายกาจปานใด?!


 


สำหรับครั้งที่ 2 นั้น พวกมันก็พึ่งได้ยินมาวันนี้เอง!


 


หลิงเทียนที่พึ่งเข้าสระวิญญาณไปเมื่อ 20 วันก่อน ดูเหมือนว่าใช้เวลาเพียงแค่ 20 วันก็สามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวได้หมดสระ! แถมนั่นยังเป็นสระวิญญาณของวังนภา!


 


ข่าวนี้คงไม่ได้สร้างความแปลกใจอะไรให้กับศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ…


 


ทว่าตราบใดที่เป็น ‘ศิษย์เก่า’ ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ล้วนไม่อาจไม่ตกใจ!


 


อย่าว่าแต่ 20 วัน…ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่เคยมีใครที่ด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียนเข้าไปใช้สระวิญญาณแล้ว…สามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวจนหมดสิ้นได้โดยใช้เวลาไม่ถึงเดือนมาก่อน! ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่สระวิญญาณของวังนภาเป็นอะไรที่เลิศล้ำที่สุดใน 4 วัง!


 


ในบันทึกประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ผู้ที่ใช้เวลาดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวสั้นที่สุดเท่าที่มีบันทึกไว้ก็คือ 1 เดือนกับอีก 3 วัน!


 


ทว่านั่นคือสระวิญญาณของวังเหลือง ซึ่งไม่อาจเทียบชั้นกับของวังนภาได้เลย!


 


ทว่าตอนนี้ศิษย์ใหม่ของวังนภา กลับใช้เวลาไม่ถึง 20 วันดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในสระวิญญาณของวังนภาได้หมด! ไม่เพียงแต่กับพวกมัน กระทั่งคนทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับล้วนแตกตื่นกันทั้งสิ้น!!


 


“เจ้าคือ หลิงเทียน จากวังนภาคนนั้นหรอ?”


 


ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าในบรรดาคนที่อึ้งไป เป็นชายวัยกลางคนที่ฟื้นสติกลับมาก่อนใคร สองตามันทอประกายวาวโรจน์ขึ้นมา มองถามต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง


 


“หืม?”


 


อันที่จริงหากเป็นการจ้องมองด้วยความประหลาดใจธรรมดาคงไม่แปลกอะไร แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม ไหนเลยจะไม่อาจสัมผัสได้ว่าลึกลงไปในสายตาที่กำลังประหลาดใจของมันกลับแฝงเร้นไว้ด้วยเจตนาเป็นปรปักษ์!


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดคิดไปในใจเสียไม่ได้ ‘ข้าพึ่งเจอมันครั้งแรกแท้ๆ ไหงมันเขม่นข้าแล้วล่ะ?’


 


ในขณะเดียวกันกลุ่มคนลาดตระเวนที่อึ้งไป ก็หวนกลับมาครองสติกันถ้วนหน้า และตอนนี้ทั้งหมดก็ตระหนักได้ถึงกลิ่นดินปืนที่คละคลุ้งในบรรยากาศระหว่างผู้นำหน่วยของมันกับต้วนหลิงเทียนทันที


 


ครู่ต่อมาพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบกันเบาๆ


 


“ข้าเกือบลืมไปเลย! ว่าน้องชายของศิษย์พี่หวงตงเลือกที่จะปิดด่านบ่มเพาะไม่ยอมออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันตั้งแต่ถูกหลิงเทียนมอบความอัปยศให้…กระทั่งยังลั่นวาจาไว้ว่าหากไม่ทะลวงด่านพลังจะไม่ออกมาเด็ดขาด…”


 


“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ถึงหวงจี้จะไปหาเรื่องหลิงเทียนก่อน แต่การกล้อนผมผู้อื่นก็ทำเกินไปจริงๆ…”


 


“เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะแพร่อยู่ในวังนภาเท่านั้นนะ เห็นว่าทุกวังล้วนรับทราบเรื่องราวหมดแล้ว เรียกว่าจังหวะนี้หวงจี้เป็นตัวตลกในวงสนทนาก็ว่าได้…ศิษย์พี่หวงตงเองก็มีน้องชายคนเดียว ใยจะไม่มีโมโหได้”


 


“นั่นสิ คงไม่เป็นอะไรหากหลิงเทียนไม่โผล่มาให้ศิษย์พี่หวงตงเห็น เพราะอย่างไรศิษย์พี่ก็ต้องทำหน้าที่ลาดตระเวนไม่อาจละเลยหน้าที่ออกไปล้างแค้นได้ แต่นี่หลิงเทียนกลับโผล่มาหาศิษย์พี่หวงตงเองแบบนี้ นับว่าเปิดโอกาสให้ศิษย์พี่แล้วจริงๆ…อีกทั้งถ้าหากศิษย์พี่ไม่ลงมือทำอะไร น่ากลัวคงได้ชื่อว่าตัวขี้ขลาดไม่ผิดแน่ถ้าเรื่องในวันนี้แพร่ออกไป! เพราะไม่กล้าแม้แต่จะล้างแค้นให้น้องชายคนเดียว..”


 


……


 


เสียงกระซิบของเหล่าศิษย์ลาดตระเวนแม้ไม่ได้ดังอะไรมากมายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนเขาได้ยินมันชัดทุกถ้อยคำ!


 


หวงตง!


 


พี่ชายของหวงจี้!


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ว่าไฉนหวงตงถึงได้แลดูเป็นอริกับเขาตั้งแต่แรกพบ ที่แท้มันเป็นพี่ชายของหวงจี้นี่เอง


 


สำหรับหวงจี้นั้นต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำได้ดี


 


เกือบเดือนที่แล้วมีศิษย์วังนภายกพวกกันมาปิดล้อมบ้านพักของเขาเพราะไม่ยอมรับเรื่องที่เขาได้สิทธิ์เข้าสระวิญญาณ และเป็นหวงจี้กับพวกอีก 2 คนที่ทำท่าคล้ายจะบุกเข้ามาบ้านพักของเขา ทว่าเป็นเขาปรากฏตัวออกมาเองก่อน พวกมันจึงไม่ทันได้สมหวัง


 


ทว่าแม้พวกมันยังไม่ทันสมหวัง แต่พวกมันก็กล่าวว่าจาบอกเจตนาแต่แรก!


 


แถมหวงจี้ยังท้าทายเขาอีกด้วย!


 


เมื่อคิดถึงมารยาทที่ต่ำช้าของหวงจี้และเรื่องที่อีกฝ่ายท้าทายเขาไม่พอยังกล่าววาจาดูหมิ่นเขาไม่เลิก ต้วนหลิงเทียนจึงจัดการกล้อนผมมันเสียในตอนประลอง!


 


ในสายตาเขาเรื่องนี้นับเป็นเขามีเมตตาให้มันมากแล้ว!


 


เขาเป็นคนที่เคารพผู้ที่เคารพเขา อย่างกัวลู่ที่ซื่อตรงหวังดี ยามประลองแม้พลังฝีมือของกัวลู่จะไม่นับเป็นอะไรในสายตา เขาก็ยินดีออมมือสู้เสมอเพื่อรักษาหน้าให้กัวลู่


 


นี่คือวิถีของเขา ต้วนหลิงเทียน


 


ดังนั้นพอทราบว่าหวงตงเบื้องหน้าเป็นพี่ชายหวงจี้ ต้วนหลิงเทียนเพียงมองหวงตงอย่างใจเย็น เพียงแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอารมณ์อื่นใดอีก


 


แถมเขาไม่ได้กังวลเรื่องที่หวงตงจะล้างแค้นเลย


 


ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ต่อให้หวงตงจะเป็นศิษย์ระดับสูงในตำหนักฟ้าลี้ลับเขาก็ไม่กลัวมันแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับเป็นได้แค่ผู้นำหน่วยลาดตระเวน?


 


เพราะด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าหากเปิดใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์ แม้ไม่ได้เต็ม 10 ส่วนแต่กว่า 9 ส่วนเขามั่นใจนัก! ว่าสามารถสยบเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในกระบี่เดียว!!


 


“เจ้าได้ยินที่พวกมันพูดหรือไม่?”


 


หวงตงมองต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวถามออกมาเบาๆ


ตอนที่ 1,731 : เซียนมนุษย์ เวทย์พลัง


 


“อ่อ ได้ยินสิ”


 


เผชิญกับคำถามของหวงตง ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบกลับไปเบาๆ คล้ายไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ และอันที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยจริงๆ!


 


“เจ้าแข็งแกร่งกว่าน้องชายข้า…แต่กลับใช้พลังฝีมือที่เหนือกว่ารังแกน้องชายข้าให้อับอาย เจ้ามิคิดว่านี่มันเป็นการกระทำที่มากเกินไปหน่อยงั้นหรือ?”


 


สีหน้าของหวงตงกลายเป็นถมึงทึง แววตายังกลายเป็นดุร้ายเอาเรื่อง


 


“ทำเกินไป?”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันหัวเราะออกมาทันที “เจ้าบอกว่าข้าทำเกินไป แล้วเจ้ารู้ไหมว่าน้องเจ้าคิดจะทำอะไร? มันกับพวกคิดทำลายประตูบ้านข้าและบุกเข้ามาในขณะที่ข้าบ่มเพาะพลังไม่พอ ยังหาเรื่องท้าทายข้าไม่หยุดกระทั่งดูแคลนข้าไม่เลิก…ไหนเจ้าบอกข้าทีถ้าเจ้าเป็นข้าเจ้าจะทำยังไง! หรือเพียงเพราะข้าแข็งแกร่งกว่ามันเลยต้องปล่อยให้มันทำอะไรก็ได้ตามใจ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกรวดเดียวจบ ยังอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด


 


อันที่จริงหวงตงก็รู้เรื่องราวดังกล่าวดี นอกจากนี้มันยังทราบว่าทั้งหมดเป็นน้องชายมันกระทำผิดก่อน หาไม่แล้วมันคงไม่อาจกล่าวคำอย่าง ‘สุภาพ’ แบบนี้ได้หากพบว่าอีกฝ่ายคือหลิงเทียน


 


ทว่าหวงตงรู้เรื่องนี้ดีไม่ได้หมายความว่าศิษย์ลาดตระเวนคนอื่นๆจะรู้เรื่องด้วย!พวกมันถึงกับหันไปมองหัวหน้าหน่วยตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ…!!


 


พวกมันรู้แค่น้องชายหวงตงอย่างหวงจี้ถูกผู้อื่นกล้อนผมมา แต่พวกมันไม่เคยรู้ว่าเป็นหวงจี้ผิดเองแต่แรก..


 


“ก็ใช่ที่เป็นน้องชายข้าทำผิดต่อเจ้าก่อนจริงๆ แต่เจ้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำรุนแรงไปหน่อยหรือ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้นเจ้ากลับทำให้น้องข้าต้องอับอายขายหน้า…แล้วต่อไปจะให้น้องชายข้ามีหน้าไปพบเจอผู้คนได้อีกอย่างไร?”


 


หวงตงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวถามออกมาอย่างไม่ยินยอม


 


“ข้าไม่คิดว่าข้าทำเกินไป…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ “ยังดีที่อยู่ในเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ หากเป็นข้างนอกแล้วมันกล้าเปิดประตูบุกเข้ามาในบ้านข้าขณะที่ข้ากำลังบ่มเพาะ…หวงจี้น้องเจ้าแม้ไม่ตายก็ต้องพิการ!”


 


กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนพลันแข็งขึ้น แววตาทอประกายอำมหิต


 


เขาไม่ใช่คนที่ใจดีมีเมตตาอะไรนักหนา ในสายตาของเขาหวงจี้มันล้ำเส้นเขาไปแล้ว! เขาเมตตาปราณีมันขนาดไหนที่แค่จับมันโกนหัว!!


 


ทว่าตอนนี้มีคนมาบอกว่าเขาทำเกินไป? นี่นับว่าเป็นการท้าทายเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


“เจ้า!”


 


หวงตงไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบกลับมาด้วยวาจาแข็งกร้าวแบบนี้ พาลให้หน้ามันมืดดำถมึงทึงลงทันที แววตายังคล้ายจะมีเพลิงโทสะลุกโชนปานจะแผดเผาผู้คนให้ตาย!


 


“ศิษย์พี่หวงตง!”


 


เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มกลายเป็นอึมครึมหนักขึ้นทุกที คนในหน่วยลาดตระเวนไม่อาจอยู่เฉยได้อีก เร่งมากันหวงตงเอาไว้ก่อนทันที


 


ล้อกันเล่นหรือไง!


 


เรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร หลิงเทียน มีเหตุผลรองรับทั้งสิ้น!


 


หากเกิดความบาดหมางจนเป็นเรื่องเป็นราว และมีการสอบสวนจากหอคุมกฏขึ้นมา น่ากลัวว่าหวงตงต้องโดนลงโทษหนักแน่!


 


อีกทั้งด้วยพลังฝีมือและพรสวรรค์ที่หลิงเทียนเผยออก อนาคตอีกฝ่ายสมควรเป็นเสาหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งคิดนั่งตำแหน่งจ้าวตำหนักคนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!


 


แน่นอนว่าไม่ต้องกล่าวไปไหนไกลด้วยซ้ำ เอาแค่เรื่องของหลิงเทียนที่แพร่ออกมาตอนนี้ เมื่อถึงหูระดับสูงๆของตำหนักฟ้าลี้ลับเมื่อไหร่ กระทั่งชนชั้นจ้าววังยังต้องให้ความสำคัญ ทั้งหมดไม่พ้นต้องเริ่มสนใจในตัวอัจฉริยะที่พึ่งเข้าร่วมคนนี้แน่นอน!


 


ในแง่พลังฝีมือสามารถทัดเทียมกับยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งติด 3 อันดับแรกได้…เผยให้เห็นว่าพลังฝีมือของหลิงเทียนผู้นี้ สมควรอยู่ในช่วงปลายของด่านพลังแล้ว…


 


ที่สำคัญคืออายุของเขายังต่ำกว่า 40 ปี!


 


เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่เจียนบรรลุแต่อายุไม่ถึง 40 ปี? กระทั่งว่ายตามองทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ น่ากลัวจะนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีคนไหนมีสามารถร้ายกาจขนาดนี้!


 


เพราะในแง่ของความสามารถ เขาใช้เวลาเพียง 20 วันก็ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวจนเกลี้ยงกริบ!


 


สุดท้ายแล้วพรสวรรค์ศักยภาพสูงล้ำเท่าไหร่ การดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินก็จะรวดเร็วขึ้นเท่านั้น!


 


และจากความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินของหลิงเทียนที่เกิดขึ้นในสระวิญญาณของวังนภา ก็เผยให้รู้ว่านี่สมควรเป็นศักยภาพพรสวรรค์ของสัตว์ประหลาดแน่นอน! ความสามารถระดับนี้มากพอจะสะท้านสะเทือนไปทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


หวงตงเองก็รู้เรื่องนี้ไม่ต่างจากศิษย์คนอื่นๆ


 


และเมื่อถูกผู้คนรอบๆพยายามกล่าววาจาเกลี้ยกล่อมมันก็สามารถสงบลง สุดท้ายก็ปล่อยต้วนหลิงเทียนเอาไว้ เร่งจากไปทันที


 


อย่างไรก็ตามขณะมันเหินร่างจากมา ยังไม่วายหันไปมองต้วนหลิงเทียนทิ้งท้ายด้วยประกายตาคมกล้าเอาเรื่อง!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่สนใจอะไร ยังทำเหมือนหวงตงเป็นอากาศธาตุ…


 


เมื่อขึ้นไปถึงเกาะลอยฟ้าแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถูกผู้คนมาขวางทางเอาไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้คนที่หยุดเขาเป็นศิษย์ที่รับหน้าที่บนเกาะลอยฟ้า ก่อนที่เขาจะถูกชี้แนะให้ไปยังจุดลงทะเบียนเข้าเกาะ


 


“เอ๋! นี่เจ้าคือหลิงเทียนจากวังนภาคนนั้นรึ!?”


 


เมื่อศิษย์รักษาการณ์ที่กำลังระบุตัวตนต้วนหลิงเทียนอยู่ พลิกป้ายของวังนภาจนแลเห็นคำ ‘หลิงเทียน’ ด้านหลังป้าย มันก็อดไม่ได้ที่จะมองถามต้วนหลิงเทียนตาปริบๆ


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะเข้าตำหนักฟ้าลี้ลับมาได้ไม่นาน แต่เรื่องราวของเขาก็เริ่มแพร่ไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว!


 


ช่วงนี้หากถามว่าใครเด่นดังทั้งมาแรงที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็ต้องยกให้ หลิงเทียน!


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มบางๆทั้งพยักหน้า


 


รอยยิ้มดังกล่าวพอตกอยู่ในสายตาของศิษย์รักษาการณ์ ก็ทำให้มันรู้สึกเสมือนมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านให้ความรู้สึกผ่อนคลาย มันบังเกิดความรู้สึกดีกับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย จึงยิ้มกล่าวตอบไปพร้อมยื่นป้ายประจำตัวคืน “ที่แท้เป็นศิษย์น้องหลิงเทียนที่โด่งดัง เอาล่ะ…เนื่องจากเจ้ายังไม่ใช่ศิษย์มีอันดับของตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้าเลยอยู่ในตำหนักหลักได้แค่ 1 เดือนนะ และก่อนเจ้าจะกลับต้องมาที่นี่และลงทะเบียนอีกรอบ”


 


“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากพี่ชาย”


 


หลังจากได้รับป้ายประจำตัวกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวขอบคุณศิษย์รักษาการณ์อย่างสุภาพ


 


“อ๊ะ จริงสิ! ศิษย์น้องหลิงเทียน เจ้ารับป้ายหยกนี่ไปด้วย..ในนั้นมีกฏระเบียบ รวมถึงสถานที่ต้องห้ามระบุไว้ เจ้าเข้าไปแถวนั้นไม่ได้เด็ดขาด โปรดระวังด้วย”


 


ศิษย์รักษาการณ์มอบป้ายหยกของตัวเอง ทั้งกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนด้วยความหวังดี


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนรับป้ายหยกมาก็พลิกดูครู่หนึ่ง จึงยิ้มพยักหน้ากล่าวขอบคุณไปอีกรอบก่อนที่จะเดินจากไป


 


มองตามแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนที่เดินหายไปสักพัก ศิษย์รักษาการณ์ตรงจุดลงทะเบียน อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา “ศิษย์น้องหลิงเทียนผู้นี้ พรสวรรค์แต่กำเนิดสูงส่งถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่วางท่าถือดีทำตัวโอหังเลย…”


 


“นั่นสิ หากเทียบกับเขาแล้ว อัจฉริยะรุ่นเยาว์ไม่กี่คนในตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา ช่างห่างชั้นนัก…เจ้าพวกนั้นพรสวรรค์ทั้งศักยภาพสู้ศิษย์น้องหลิงเทียนไม่ได้แท้ๆ แต่วางท่าโอหังปานบิดามันเป็นจ้าวตำหนัก…มารยาทยังถ่อยกว่าศิษย์น้องหลิงเทียนคนละโลก!!”


 


ศิษย์รักษาการณ์อีกคนกล่าวออกเช่นกัน สิ้นคำของมันผู้ที่ยืนแถวนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกันหมด


 


ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็คงไม่รู้ว่า ในสายตาของศิษย์รักษาการณ์ที่คอยลงทะเบียนผู้คนเข้าออกเกาะ เขาดูดีไม่น้อย


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พยายามอ่านข้อมูลในป้ายหยก ทำให้เขารู้ว่าที่ต้องระวังบนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้มีอะไรบ้าง แล้วไปที่ไหนไม่ได้บ้าง


 


ตำหนักหลักที่อยู่บนเกาะลอยฟ้านี้ มองไปเป็นพระราชวังหยกที่วิจิตงดงามทั้งโอ่อ่าให้บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ปานวิมานฟ้าบนสวรรค์…


 


ระหว่างทางเข้าต้วนหลิงเทียนก็เห็นศิษย์เฝ้ารักษาการณ์ด้านหน้าหลายหน่วย กระทั่งยังมีแถวศิษย์ที่เดินลาดตระเวนเป็นระเบียบเรียบร้อย ยังมีร่างที่วูบไปวูบมาเข้าออกวุ่นวาย เหล่านี้ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ก็เป็นศิษย์บนตำหนักหลัก หรือศิษย์ที่ติดอันดับในรายนามฟ้าลี้ลับ!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เถลไถลอะไร เพียงชมดูเรื่องราวที่ทางพักหนึ่งก็นึกจุดประสงค์การมาออก จึงมุ่งหน้าไปยังหอตำราหลักทันที


 


และไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึงที่หมาย เบื้องหน้าปรากฏหอตำราหลักตั้งตระหง่าน มันแลดูใหญ่โตโออ่าไม่น้อย


 


ในหอตำราของวังนภาก็มีหนังสือตำราทั้งม้วนคัมภีร์ที่เป็นเรื่องเดียวกับที่หอตำราหลักเช่นกัน แต่พวกมันล้วนเป็นฉบับคัดลอก หรือสำเนาทั้งสิ้น


 


และเนื่องจากหอตำรานั้นเพียงเก็บแต่หนังสือตำราทั้งม้วนคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวทั่วไปอันเป็นความรู้รอบตัว ไม่ได้มีวรยุทธ์เคล็ดวิชาอันใดที่ต้องเฝ้าระวัง การเข้าใช้งานจึงไม่ได้เข้มงวดกวดขันมาก ต้วนหลิงเทียนเพียงแค่ลงทะเบียนก่อนเข้าใช้เท่านั้น


 


หลังจากเข้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนแหงนมองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหนังสือตำรา บ้างชั้นก็มีม้วนคัมภีร์ กระทั่งป้ายหยกบันทึกข้อความ จำนวนก็มากมายปานจะถมทะเลสาบย่อมๆ และทั้งหมดในหอตำราหลักคล้ายจะเป็นต้นฉบับ!


 


“โห…เยอะขนาดนี้ชาติไหนข้าจะอ่านหมดล่ะเนี่ย?”


 


เมื่อเห็นหนังสือตำรามากมายในสายตา ต้วนหลิงเทียนก็กระพริบตาปริบๆ ค่อยเดาะลิ้นกล่าว “จิ๊ ข้ามีเวลาแค่เดือนเดียว…งั้นต้องเลือกอ่านที่สำคัญๆก่อนละกัน”


 


จุดประสงค์การมาครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนคือเรียนรู้เรื่องด่านที่อยู่เหนือขอบเขตอริยะเซียน ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


สำหรับยอดฝีมือที่มีพลังฝึกปรือสูงๆนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลยว่าพลังสามารถมีถึงระดับใด


 


นั่นเพราะที่ๆเขาเคยผ่านมา ไม่เคยพบพานตัวตนเช่นนั้นมากก่อน


 


แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เพราะเขาอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เรียกว่าเป็นขุมพลังระดับแนวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่แห่งนี้มีหลายสิ่งอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน และเขาเป็นคนที่ชอบรู้เขารู้เราเสมอ


 


‘ค่อยๆดูไปแล้วกัน…เดือนเดียวก็น่าจะพอ’


 


เมื่อคิดได้ดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มมองหาหนังสือที่จำเป็นกับเขาก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆที่แปลกๆนั้นเขายังไม่คิดแตะต้อง เพราะเวลาเขามีจำกัด


 


หลังจากได้อ่านตำราทั้งบันทึกเรื่องราวที่สงสัยไปสักพัก ขอบเขตพลังที่เหนือกว่าอริยะเซียนก็คล้ายเปิดประตูให้ต้วนหลิงเทียนก้าวเข้าไปสัมผัส


 


‘หลังจากด่านพลังอริยะเซียน ก็คือ เซียนมนุษย์…’


 


‘เมื่อทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ ผู้ฝึกตนจะมีความสามารถในการใช้เวทย์พลัง…อันเป็นพลังสามารถหลักของขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ และนอกจากจะเพาะสร้างเวทย์พลังเอาไว้ใช้เองแล้ว ยังสามารถเพาะสร้างเวทย์พลังให้ผู้อื่นได้เช่นกัน โดยการเพาะสร้างต้นแบบหรือตัวอ่อนของเวทย์พลังไว้ให้กับผู้อื่น…’


 


‘แต่การเพาะสร้างตัวอ่อนหรือต้นแบบเวทย์พลังนี้ให้ผู้อื่นก็เสมือนยกให้ผู้อื่นไปเปล่าๆ ไม่อาจควบคุมใช้งานด้วยตัวเองได้อีก… ‘


 


เมื่ออ่านบันทึกเรื่องราวของความสามารถในขอบเขตเซียนมนุษย์อย่างเวทย์พลังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึง ปีกอีกาทองคำ ทันที


 


จากข้อมูลที่ผู้เฒ่าหั่วบอกเขาเอาไว้ ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของผู้เฒ่าหั่ว เขาก็ได้เพาะสร้างต้นแบบของเวทย์พลังปีกอีกาทองคำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เขาบรรลุด่านพลังขอบเขตอริยะเซียน เขาก็สามารถใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำได้ทันที!


 


และเวทย์พลังปีกอีกาทองคำนั้น…ก็มีจุดเด่นในเรื่องของความเร็ว!


 


“ท่านผู้เฒ่าหั่ว”


 


อ่านถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะปลุกผู้เฒ่าหั่วที่กำลังเข้าฌาณสมาธิอยู่ในชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ “ข้าอ่านเจอจากในบันทึก ว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีเพียงบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้น ถึงจะควบคุมใช้งานเวทย์พลังได้…แล้วเรื่องที่ท่านบอกว่าหากข้าบรรลุถึงอริยะเซียนข้าจะใช้ได้เลยเล่า มันเป็นจริงหรือ?”


 


“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ “อย่าได้ลืมไปว่าที่กำลังโคจรไหลเวียนอยู่ในร่างของเจ้ามิใช่ปราณแรกกำเนิดธรรมดา…หากแต่เป็นปราณสุริยันแรกกำเนิด พลังอำนาจของปราณสุริยันของเจ้าถึงแม้จะอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ทว่ามันก็เทียบได้กับปราณแรกกำเนิดของตัวตนในขอบเขตอริยะเซียน…และทันทีที่เจ้าบรรลุอริยะเซียน ปราณสุริยันของเจ้าก็จะมีคุณภาพและพลังอำนาจไม่ต่างใดจากปราณแรกกำเนิดของเซียนมนุษย์…”


 


“และเวทย์พลังนั้น จักใช้ได้หรือมิได้ล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของปราณแรกกำเนิดผู้ใช้…ข้ากล่าวเช่นนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถาม


 


“ข้าเข้าใจแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าลงด้วยความเข้าใจ ตอนนี้หากยังไม่เข้าใจก็คงเป็นตัวโง่งมเต็มที!


 


ที่แท้เวทย์พลัง จะใช้ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้


 


ผู้ฝึกตนทั่วไปจะเริ่มใช้มันได้ก็ต่อเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์


 


กลับกันตัวเขา ต้วนหลิงเทียน กลับมีพลังอำนาจทัดเทียมกับเซียนมนุษย์เมื่อทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีปัญหาหากเขาคิดจะใช้เวทย์พลัง!


ตอนที่ 1,732 : ภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิบูชาไฟ


 


เช่นเดียวกับช่องว่างระหว่างผู้ที่ยังไม่บรรลุเซียนกับผู้ที่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น ความห่างชั้นระหว่างขอบเขตอริยะเซียนกับเซียนมนุษย์นั้นกว้างใหญ่สุดไพศาลนัก!


 


ผู้ที่ทะลวงฝ่าถึงเซียนมนุษย์จะเข้าถึงเวทย์พลัง!


 


เวทย์พลังนี้เป็นอะไรที่แตกต่างจากกลพลังอย่างปราณก่อลักษณ์ศาสตรา สรรพสัตว์ และ เขตแดน มันเป็นพลังอำนาจที่เป็นอิสระไม่ได้จำเพาะตายตัว


 


ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ สามารถใช้เวทย์พลังทั่วๆไปทั้งหมดได้


 


เพราะการเพาะสร้างตัวอ่อนหรือต้นแบบเวทย์พลัง ตราบใดที่เพาะสร้างมันสำเร็จก็จะสามารถควบคุมเวทย์พลังที่ต้องการใช้ได้ทันที! และบางเวทย์พลังที่นิยมก็มีผู้คนเพาะสร้างไว้ใช้งานกันให้เห็นมากมาย นี่เพราะเวทย์พลังทั่วๆไปมีเกลื่อนกลาดไม่ได้หายากเย็นอะไร กระทั่งตระกูลก็มีเวทย์พลังที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมามากมาย


 


สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว หากไม่ใช่ตัวหลังเขายากไร้อนาถา…ส่วนมากจะมีเวทย์พลังพื้นฐานติดตัวไว้ใช้งานกันหมด…


 


แต่แน่นอนว่าที่หาง่ายก็ย่อมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก เวทย์พลังทั่วๆไปที่ผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าหามาครอบครองได้ง่ายๆ มันก็ไม่ได้มีพลังอำนาจสู้รบอะไรมากมาย บางอย่างก็ค่อนข้างไร้ประโยชน์!


 


“แล้วเวทย์พลังอะไรนี่มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันมาจากไหนกันนะ?”


 


อ่านถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มรู้สึกสงสัยถึงที่มาของเวทย์พลังทั้งหลายแหล่


 


เขาจึงถามผู้เฒ่าหั่วออกมาอีกครั้ง


 


“เวทย์พลังนั้นแตกต่างจากวรยุทธ์เซียน ทั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่มีแค่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น…และมันเป็นอะไรที่เหนือกว่าวรยุทธ์เซียนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ฝึกปรือมากมายนัก…เวทย์พลังนั้นมิว่าผู้ใดก็สามารถควบคุมใช้งานได้ ทั้งยังมีหลายวิธีที่จะได้รับ แต่วิธีที่เห็นกันอยู่บ่อยๆวิธีแรกก็คือการได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษหรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรง…ส่วนวิธีที่สองจักเป็นอะไรที่พบได้มากที่สุด นั่นก็คือผู้ใช้เพาะสร้างมันด้วยตัวเองจากมรดกตกทอดที่บรรพบุรุษหรือผู้เชี่ยวชาญเหลือไว้…”


 


“อย่างแรกนั้นก็คล้ายๆกับที่ข้า ถ่ายทอด ปีกอีกาทองคำให้เจ้า”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนอย่างละเอียด “อีกทั้งยังมีเวทย์พลังที่ได้รับมาแต่กำเนิด…เช่นเดียวกันกับ ปีกอีกาทองคำ ที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้า! เวทย์พลังนี้ตัวข้ามิได้มีผู้ใดถ่ายทอดให้หรือเพาะสร้างมาจากมรดกอันใด แต่มันกลับอยู่ในใจของข้า ราวกับเป็นมรดกที่ตกทอดกันมาในความทรงจำของเผ่าพันธุ์ข้า…”


 


“แน่นอนว่ายังมีตัวตนอันทรงพลังบางคนที่มีอัจฉริยะภาพสูงล้ำ สามารถคิดค้นและสร้างเวทย์พลังของตัวเองขึ้นมา และส่งทอดกันมาให้ชนรุ่นหลัง”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบาย


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด


 


“อันที่จริงแล้ว ปราณก่อลักษณ์ศาสตรา สรรพสัตว์ กระทั่งเขตแดนที่พวกเจ้าใช้กันอยู่ ก็ถือว่าเป็นเวทย์พลังย่อมๆแต่กำเนิดก็ว่าได้…หากแต่เวทย์พลังพวกนี้มันธรรมดาเกินไป ใช้ได้ง่ายดายเกินไป เพราะมิว่าผู้ใดก็สามารถใช้ออกได้เมื่อด่านพลังฝึกปรือถึงเกณฑ์ จึงมิมีผู้ใดในโลกยึดถือว่ามันเป็นเวทย์พลัง…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย แต่เขาก็พอเข้าใจเรื่องราวของเวทย์พลังมากขึ้น


 


และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาบังเกิดความสนใจในเวทย์พลังที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้อย่าง ปีกอีกาทอง คำนั่นนัก! เพราะเขารู้ได้ทันทีว่านี่มิใช่เวทย์พลังทั่วๆไปแน่นอน กระทั่งยังสมควรเป็นเวทย์พลังอันน่ากลัวและมีพลังอำนาจไม่ใช่ชั่ว!!


(ที่ผมใช้คำว่าเวทย์พลัง แทนที่จะเป็นทักษะเทวะ หรือ ความสามารถเหนือธรรมชาติ เพราะหลังจากที่ mc มีใช้แล้วมันจะเข้ามากกว่า…ออกแนวๆ เป็นเวทย์สถิตย์กายในเนกิมะอะ)


 


‘แต่ก็นะ คิดจะใช้เวทย์พลังอะไรนี่อย่างน้อยๆข้าก็ต้องทะลวงให้ถึงด่านพลังอริยะเซียนก่อน…ด้วยอัตราการก้าวหน้าของข้า ถึงจะมีความช่วยเหลือของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่อย่างต่ำๆ ก็คงต้องใช้ 1-2 ปีในโลกภายนอก…ให้ทำยังไงได้นี่ข้าก็พึ่งทะลวงมาถึงเซียนขัดเกลาได้ไม่ทันไรที…’


 


หลังจากครุ่นคิดด้วยความวาดหวังและอยากเห็นพลังอำนาจของเวทย์พลังอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ต้องตื่นจากฝันดั่งมีน้ำเย็นราดรดศีรษะ เพราะต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น!


 


หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็คืนสติ และเริ่มทบทวนเรื่องราวของด่านพลังหลังจากนั้น


 


เพราะขอบเขตเซียนมนุษย์ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทางแห่งการฝึกตน หลังจากขอบเขตเซียนมนุษย์ก็มี เซียนปฐพี หลังจากขอบเขตเซียนปฐพี ก็ยังมีขอบเขตเซียนนภา…!


 


แน่นอนว่าจากบันทึกของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนกำลังอ่านอยู่ ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ก็ไม่มีตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนนภาดำรงอยู่ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเซียนปฐพีเท่านั้น!


 


และเป็นธรรมดาว่าตัวตนทรงพลังที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีนั้น ก็มีอยู่แค่ในขุมพลังชั้น 4 กับขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้น!


 


หากจะกล่าวถึงจำนวนยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีในขุมพลังชั้น 4 ก็เป็นปกติที่มันไม่อาจเทียบได้กับจำนวนเซียนปฐพีในขุมพลังกึ่งชั้น 3


 


ยังไม่เพียงแต่ในด้านปริมาณ กระทั่งด้านคุณภาพก็เช่นกัน


 


‘เซียนมนุษย์ เซียนปฐพี เซียนนภา…ยอดฝีมือที่อยู่ในจุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหากเทียบกับภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ก็คงไม่ต่างอะไรกับยามในหมู่บ้านเล็กๆ ต่อให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เป็นดั่งยักษ์ใหญ่ น่ากลัวว่าถ้ายกขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบน ก็คงไม่มีค่าพอให้ผู้คนกล่าวถึง…’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ‘กล่าวอีกอย่าง ในภูมิภาคเบื้องบนนอกจากเซียนปฐพี แล้วยังมียอดฝีมือที่ร้ายกาจทรงพลังเหนือกว่านั้นดำรงอยู่…เพียงแค่เซียนมนุษย์ยามบรรลุถึงใช้ออกด้วยเวทย์พลังก็เป็นอะไรที่น่ากลัวมากแล้ว! เช่นนั้นหากบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีเล่า? ยังไม่ยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีกหรือ ไหนจะยังขอบเขตเซียนนภานั่นอีก ที่แท้พลังอำนาจจะน่าหวาดกลัวถึงเพียงใด ใช่พลิกฟ้าคว่ำดินได้ง่ายดายเลยหรือไม่…!’


 


‘แล้วพลังอำนาจของตัวตนที่อยู่เหนือเซียนนภาเล่า…’


 


ต้วนหลิงเทียน ไม่กล้าคิดถึงเรื่องราวหลังจากนี้อีกต่อไป เพราะมันเกินตัวเขาไปไกลมาก ให้คิดอย่างไรเขาก็ไม่อาจจินตนาการได้ออกว่าตัวตนระดับนั้นจะทรงพลังขนาดไหน


 


แต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตพลังดังกล่าวจะร้ายกาจเพียงใด แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่เหนือจินตนาการที่เขาจะคิดคาดได้แน่นอน!


 


‘ลัทธิบูชาไฟนั่นมันเป็นถึง 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แถมพวกมันยังปักหลักอยู่บนภูมิภาคเบื้องบนมาตลอด…พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อนั่นอย่างน้อยๆสมควรมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ เพียงรุ่นเยาว์เช่นนางยังบรรลุเซียนมนุษย์ น่ากลัวว่าอย่างน้อยๆชนชั้นอาวุโสสมควรบรรลุเซียนนภากันแล้ว’


 


เรื่องหลังๆที่คิดขึ้นนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจชี้ชัดอะไรได้


 


แต่เพราะความที่เขามั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าต่ำๆก็ต้องบรรลุเซียนนภา ทำให้ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอึ้ง!


 


‘แต่ต่อให้หนทางเบื้องหน้าข้าต้องขึ้นภูเขาดาบบุกฝ่าทะเลน้ำมันเดือด และยอดฝีมือของลัทธิบูชาไฟมันจะร้ายกาจแค่ไหน ข้าต้วนหลิงเทียนจะช่วยเค่อเอ๋อและลูกกลับมาให้ได้!’


 


ความแข็งแกร่งทรงพลังของลัทธิบูชาไฟไม่เพียงทำให้ต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวสิ้นความเชื่อมั่น แต่ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความเชื่อจนกลายศรัทธาอันแรงกล้า!


 


ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนมักพบพานยอดฝีมือที่อยู่เหนือเขาอยู่เสมอ หากแต่ความมุ่งมั่นของเขาก็ไม่เคยสั่นคลอน ความเชื่อว่าเขาต้องทำได้ที่กลายเป็นศรัทธานี้ไม่อาจมีใดสั่นคลอน!


 


เวลานี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


……


 


ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีสถานที่อันลึกลับมากมาย…สถานที่แห่งนี้ก็เช่นกัน มันคือ ทะเลทรายโบราณอันลึกลับ!


 


ดินแดนอันเป็นทะเลทรายแห่งนี้แมน้มีภูเขาลำน้ำ หากแต่ไร้ซึ่งความเขียวขจีใดๆ


 


ในดินแดนอันรกร้างแห่งนี้นอกเหนือจากภูเขาลำน้ำแล้ว มองไปทางใดล้วนเห็นแต่สีแดงสว่าง…เรียกว่าหากมองมาแต่ไกล ยังคล้ายจะเป็นบุปผาแดงอันใหญ่โต…


 


ทว่ามันไม่ใช่ดอกไม้แดงอะไรจริงๆ


 


สำหรับมนุษย์แล้วสิ่งนี้นับเป็นสิ่งสำคัญ ผู้คนคงไม่อาจอยู่ได้หากปราศจากมัน!


 


ไฟ!


 


‘บุปผาแดง’ ที่ว่าไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากเปลวไฟ! ทั่วดินแดนแห่งแล้งแห่งนี้ล้วนอุดมไปด้วยเปลวไฟ สิ่งที่มนุษย์จำต้องพึ่งพาอาศัย! เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อเกิดความเป็นไปได้นับหมื่นพัน!!


 


อีกทั้งในแดนแห้งแล้งแห่งนี้เปลวไฟทั้งหลายคล้ายจะศักดิ์สิทธิ์ ทรงคุณค่ายิ่งกว่าที่ใด!


 


และในทะเลทรายอันแห้งแล้งแห่งนี้ ก็มี แท่นบูชา อันใหญ่โต ไปทุกที่


 


กึ่งกลางของแท่นบูชาแต่ละที่เป็นเตาขนาดมหึมาอันมีเปลวเพลิงแดงฉานพวยพุ่งร้อนแรง คลื่นความร้อนกำจายสาดออกไปเคี่ยวกรรมสรรพสิ่งโดยรอบ


 


อย่างไรก็ตามแทนที่จะร้อนลวกทรมาน ผู้คนทั้งหลายกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายตัวแม้แต่น้อย ทั้งหมดยังคุกเข่าลงกราบไหว้เตามหึมานั่นด้วยความเคารพ!


 


กล่าวให้ชัดพวกมันกราบไหว้บูชาเปลวไฟแดงฉานที่กำลังลุกไหม้รอนแรงออกมาจากเตา!


 


หากเข้าไปมองใกล้ๆย่อมแลเห็นได้ชัดเจนว่าในสายตาของผู้คนที่กราบไว้อยู่นั้น มันเต็มไปด้วยความเคารพบูชา และความศรัทธาอย่างถึงที่สุด ราวกับเปลวไฟนี้เป็นดั่งเทพเจ้าของพวกมัน!


 


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ


 


ในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้ล้วนถูกปกครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยลัทธิบูชาไฟ อันเป็น 1 ใน 3 ขุมพลังยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ทุกคนจึงเคารพนับถือบูชารวมถึงศรัทธาในเปลวไฟดั่งเทพเจ้า…


 


เพราะในสายตาของพวกมันเปลวไฟคือทุกสิ่ง โลกใบนี้ดำรงคงอยู่ได้เพราะเปลวไฟ!


 


ดินแดนอันแห้งแล้งโบราณและลึกลับนี้ที่ถูกปกครองด้วยลัทธิบูชาไฟ ล้วนเต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ยามภูเขาไฟปะทุระเบิด หินหลอมเหลวร้อนลวกพลันพวยพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนที่จะสาดรดลงมายังแดนดิน ก่อเกิดเป็นสายธารลาวาละอุผลาญสรรพสิ่ง


 


ภูเขาไฟที่ระอุคุกรุ่นบางแห่งก็คล้ายโกรธแค้นสวรรค์ชมชอบปะทุระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ยังคล้ายจะพ่นลาวาร้อนลวกประชันขันแข่งกับสุริยันร้อนกลางหาว…


 


เรียกว่ายามภูเขาไฟเหล่านี้ปะทุออกพร้อมกัน คำราตรีกาลก็คล้ายเลือนหาย ฟ้าที่เคยมืดกลับสว่างไสวเรืองรองด้วยแสงแดงฉาน ดำเนินไปเนิ่นนานจวบจนภูเขาไฟไม่อาจพ่นลาวาร้อนเหลวออกมาได้สืบไป…


 


ภูเขาไฟที่ยังไม่สิ้นความเกรี้ยวกราดเหล่านี้มักมีขนาดใหญ่โตและล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟขนาดทั่วไปดั่งดาวล้อมเดือน แน่นอนว่าภูเขาไฟโดยรอบก็ยังไม่มอดดับ บางครั้งรอบเวลาก็ทำให้พวกมันปะทุขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน และแม้การปะทุของพวกมันอาจไม่ได้ต่อเนื่องทุกคืนวัน หากแต่เดือนหนึ่งอย่างน้อยต้องมีสักครั้ง


 


และการปะทุพร้อมกันแต่ละครั้งก็พาลให้อาณาบริเวณโดยรอบสั่นไหวสะเทือนครืนๆ! ราวปฐพีถล่มฟ้าทลาย…


 


เหนือภูเขาไฟมหึมาทั้งหลาย ปรากฏเกาะมหึมาลอยล่องอยู่กลางหาว บนเกาะดังกล่าวปรากฏอาคารบ้านเรือนกระจายกันปลูกสร้าง


 


ยังมีหมู่เกาะน้อยใหญ่มากมายลอยล่องอยู่รอบข้าง มองไปคล้ายทั้งหลายห้อมล้อมรอบเกาะมหึมาดังกล่าว


 


แน่นอนว่าเกาะมหึมาที่อยู่ตรงกลางนั้น ลอยสูงขึ้นไปเหนือเกาะยิบย่อยโดยรอบ เห็นได้ชัดว่ามันคือเกาะหลัก


 


และหากผู้ใดสายตาแหลมคมจะพบว่ามีผู้คนมากมายบินเข้าบินออกจากเกาะหลักไม่หยุด


 


กลุ่มคนเหล่านี้มาในชุดคลุมสีขาว บริเวณอกปักไว้ด้วยลายเพลิงแดง เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง


 


ทั้งบนหัวยังสวมใส่ไว้ด้วยโม่งคลุม แถมส่วนใหญ่มักมีผ้าปิดปากทำให้สามารถแลเห็นได้เฉพาะแววตา มีบ้างผู้ที่ลดผ้าปิดปากลงมาจึงสามารถแลเห็นใบหน้าได้…


 


หากผู้ที่มีความรู้เข้าหน่อยมาแลเห็นการแต่งกายที่ปกปิดมิดชิดเช่นนี้ ย่อมจดจำได้ทันทีว่านี่คือคนของลัทธิบูชาไฟ!


 


1 ในหมู่เกาะที่แลดูไม่โดดเด่น ลึกเข้าไปในป่าบ้านอันเงียบสงบทั้งกว้างใหญ่หลังหนึ่ง


 


ภายในสวนหลังบ้านอันกว้างใหญ่ ปรากฏร่างสตรีเลอโฉมที่แม้จะกล่าวว่างดงามล่มเมืองก็มิเกินเลยนางหนึ่งกำลังนั่งในศาลาอย่างเงียบงัน แววตาจดจ่อไปยังกองรูปวาดเบื้องหน้า แต่ละใบนั้นปรากฏร่างบุรุษในอิริยาบทต่างๆ…


 


หากมองให้ดีจะพบว่าบุรุษในรูปวาดแต่ละใบนั้น ที่แท้กลับเป็นคนๆเดียวกัน! ที่ต่างก็เห็นแต่จะมีอิริยาบทกับสีหน้าเท่านั้น!!


 


“นายน้อย…เค่อเอ๋อคิดถึงท่านยิ่ง…”


 


สตรีนางนั้นรำพันออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน อาลัยนัก แววตายังเปี่ยมล้นไปด้วยคำนึงหายากฝืนทน


 


“ท่านแม่! ท่านแม่!!”


 


จนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วเล็กใสไพเราะหูหนึ่งดังขึ้น สตรีที่จ้องรูปไปด้วยอาลัยพลันคืนสติ เร่งหันไปทางต้นเสียงทันที


 


“ท่านแม่ดูเร็ว! รูปที่ข้าวาดเหมือนท่านพ่อหรือไม่!?”


 


ปรากฏเด็กหญิงตัวน้อยแก้มอมชมพูที่กำลังถือชูรูปวาดที่คล้ายจะใหญ่โตไปกว่าตัวนางแผ่นหนึ่ง กำลังโลดเต้นมาหาสตรีดังกล่าวพร้อมพูดคำอวดโอ่ออกมาเสียงใส


 


ดวงตากลมโตของเด็กน้อยใสกระจ่าง แลดูบริสุทธิ์นัก


ตอนที่ 1,733 : สถานการณ์ของเค่อเอ๋อ


 


เด็กหญิงตัวน้อยๆนางนี้แลแล้วสมควรมีอายุราวๆ 2 ขวบปีเท่านั้น แก้มอมชมพูตุ้ยนุ้ยของนางช่างน่ารักน่าชังนัก มือน้อยๆกลมป้อมยื่นส่งภาพวาดออกไปให้สตรีงามด้วยสายตาใสแป๋วราวกับรอรับการชมเชย


 


สตรีดังกล่าวเอื้อมมือไปรับรูปวาดมา และเมื่อแลเห็นรูปดังกล่าวหยาดน้ำตาก็ไหลรินออกมาทันใด “เหมือนมาก…ซือหลิงเก่งที่สุด รูปนี้เหมือนพ่อมากกว่าที่แม่วาดเสียอีก”


 


“ท่านแม่ ท่านร้องไห้ทำไม? ท่านป้าบอกซือหลิงว่าคนที่ร้องไห้ล้วนเป็นคนอ่อนแอ! ซือหลิงไม่อ่อนแอท่านแม่ก็ไม่อ่อนแอ!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยกล่าววาจาออกมาเจื้อยแจ้วฉะฉาน นางยังเขย่งร่างเต็มที่ หมายใช้มือตุ้ยนุ้ยของนางปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมารดแก้มสตรีงาม


 


“อื้อ…แม่กับซือหลิงไม่ใช่คนอ่อนแอ”


 


สตรีเลอโฉมพลันพยักหน้ายิ้มกล่าว ก่อนที่จะดึงร่างเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาโอบกอดเอาไว้เนิ่นนาน


 


นางเงยหน้าขึ้นเชื่องช้า แหงนมองไปยังสุดฟ้าห่างไกล ใจคิดรำพัน ‘นายน้อยเจ้าคะ…นี่คือลูกสาวของพวกเรา นางเรียกว่าต้วนซือหลิง! ข้าเชื่อว่านายน้อยต้องมีความสุขแน่หากท่านเห็นว่านางเฉลียวฉลาดเพียงใด’


 


สตรีนางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเค่อเอ๋อเอง


 


หลังจากที่ถูกพาตัวมาภูมิภาคเบื้องบน เค่อเอ๋อก็ถูกพี่สาวฝาแฝดของนางพามาจนถึงลัทธิบูชาไฟ


 


และนี่คือที่อยู่ของพี่สาวฝาแฝดเค่อเอ๋อ น้อยคนนักที่จะแวะเวียนผ่านมา อันที่จริงแล้วปกติก็ไม่มีใครผ่านมาเยือนสักคน…


 


ตั้งแต่ที่เค่อเอ๋อมาถึงที่นี่นางก็อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนเลย


 


เรียกว่าตั้งแต่มาถึงจนกระทั่งนางคลอดบุตรในท้องแล้ว ผู้ที่มาเยือนบ้านหลังนี้นอกจากพี่สาวฝาแฝดของนาง ก็มีเพียง สื่อเอ๋อ สัตว์เซียนทรงพลังที่ติดตามรับใช้พี่สาวฝาแฝดของนางเท่านั้น…


 


ด้วยระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเค่อเอ๋อก็มั่นใจได้ว่าพี่สาวของนางไม่น่าจะคิดร้ายกับนาง นอกจากนี้อีกฝ่ายคล้ายพยายามปกป้องนาง แต่เพราะด้วยเหตุอันใดนางก็มิอาจทราบได้…


 


อย่างไรก็ตามเค่อเอ๋อไม่อาจคิดออกได้จริงๆ ว่าไฉนเมื่อมาถึงแล้วพี่สาวของนางจึงให้นางรั้งอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ไม่เคยพานางไปพบพานครอบครัวของนางตามที่เคยกล่าวบอกเอาไว้เลย?


 


นางเองก็เฝ้าถามพี่สาวหลายครั้งหลายคา แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า ‘ยังไม่ถึงเวลา’ เท่านั้น…


 


หากนางต้องอยู่ที่นี่คนเดียวน่ากลัวว่าคงต้องเบื่อหน่ายและเหงาตายเป็นแน่ นับว่าโชคดีนักที่นางยังมีลูกสาวตัวน้อยคอยปลอบประโลมคลายเศร้า…


 


ลูกสาวคนนี้ก็เป็นลูกสาวของนางกับต้วนหลิงเทียน


 


เนื่องจากความคิดถึงนายน้อยผู้เป็นชายคนรัก นางจึงตั้งชื่อบุตรีว่า ต้วนซือหลิง ซึ่งหมายความว่าคำนึงหาต้วนหลิงเทียน


 


“ท่านแม่แล้วเมื่อใดพวกเราจะได้เจอท่านพ่อหรือ?”


 


ต้วนซือหลิงกระพริบสองตากลมใสมองถามเค่อเอ๋อ


 


“อีกมินาน อีกมินานแล้ว…”


 


ถึงแม้เค่อเอ๋อก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางจะได้เห็นหน้าชายคนรักอีกครั้ง แต่นางก็กล่าวตอบบุตรีออกไปอย่างมั่นใจ คล้ายนางกำลังจะกล่าวย้ำเตือนให้ความหวังตัวเองไปในตัว


 


หลังจากถามตอบทั้งละเล่นกันอยู่ไม่นาน เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มเหนื่อยและง่วงหงาวหาวนอน


 


หลังจากที่กล่อมซือหลิงจนหลับไปแล้ว เค่อเอ๋อก็ตรงไปหาพี่สาวฝาแฝดของนาง เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถาม “ท่านพยายามทำอะไรกันแน่ ท่านพาข้ามาจากภูมิภาคเบื้องล่างกว่า 2 ปีแล้ว แต่ท่านมิเคยอนุญาตให้ข้าออกไปไหน หรือพบเจอผู้ใดเลย…! ข้าต้องเสียเวลาไปสองปีโดยเปล่าประโยชน์เพราะท่าน ยามนี้ข้าอยากกลับภูมิภาคเบื้องล่างไปหาคนรักของข้าแล้ว!!”


 


“หาคนรักของเจ้า?”


 


ได้ยินวาจาถามไถ่ของเค่อเอ๋อ สตรีที่มีรูปโฉมเหมือนกันกับเค่อเอ๋อยังกับแกะ พลันขมวดคิ้วกล่าวออก “เค่อเอ๋อ…หรือเจ้าคิดว่าข้าอยากขังเจ้าไว้ที่นี่?”


 


“แล้วมิใช่รึไร?”


 


ใบหน้าเค่อเอ๋อคล้ายจะฉาบคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง “หากวันนั้นท่านไม่พาข้ามาป่านนี้ข้ากับซือหลิงคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับบิดาของนางทุกวัน ไหนเลยต้องพรัดพรากแยกจากเช่นนี้! อีกทั้งวันที่ท่านพาข้ามา ท่านกล่าวบอกดิบดีว่าจะพาข้ามาเจอครอบครัว…”


 


“แต่ทุกวันนี้มิว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ข้ากล่าวถาม ท่านก็เอาแต่บอกว่า ยังไม่ถึงเวลาๆ…ข้าอยากรู้นักว่าไอเวลาที่ท่านว่า ที่แท้ใช่มันจะมีวันมาถึงหรือไม่?!”


 


คิ้วเค่อเอ๋อขมวดเป็นปม ตะคอกถามเสียงเย็นห้วน แลดูนางมีโมโหนัก!


 


“ถามท่าน! ไฉนท่านต้องเข้ามายุ่งกับชีวิตของข้าด้วย! มาแยกข้ากับชายคนรักเช่นนี้เพราะอะไร ปากท่านกล่าวปาวๆว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของข้า หรือที่แท้ท่านแค่ไม่อยากเห็นข้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!?”


 


เค่อเอ๋อกล่าวถามออกไปเสียงแข็งด้วยความน้อยใจสงสัยระคนโมโห เรียกว่าตอนนี้อารมณ์ของนางยุ่งเหยิงนัก


 


เรียกว่าตอนนี้เค่อเอ๋อคล้ายกำลังระบายอารมณ์ที่อัดอั้นออกมา 2 ปี! พาลให้พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อตะลึงงันไปไม่น้อย เพราะเค่อเอ๋อในวันนี้กลับแลดูเย็นชาดุร้ายนัก!!


 


นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าน้องสาวที่แลดูอ่อนโยนของนาง จะกลายเป็นดุร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้?!


 


“น้องหญิงเค่อเอ๋อ เรื่องราวมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด…”


 


ตอนนี้เองดรุณีน้อยในชุดสีม่วงที่ยืนฟังเร่าองราวอยู่ข้างๆ ไม่อาจทนไหวเร่งกล่าวออกมา “พี่สาวเพียงแค่…”


 


“ช่างเถอะสื่อเอ๋อ…ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้นางฟังเอง นี่ก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะเปิดเผยเรื่องราวบางอย่างออกมา เพราะนางเองก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ และหากนางยังคิดจะกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างหลังได้ฟังคำอธิบายของข้าอีก ข้าก็ไม่คิดจะหยุดนาง นอกจากนั้นข้ายังจะพานางกลับไปส่งด้านล่างด้วยตัวเอง…”


 


พี่สาวของเค่อเอ๋อพลันกล่าวขัดคำสื่อเอ๋อ ค่อยกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


หลังได้ยินวาจาที่นางกล่าว ใจของเค่อเอ๋อพลันรู้สึกบีบรัดคัดตรึงขึ้นมาทันที…หรือพี่สาวของนางต้องทนเก็บงำเรื่องราวสำคัญเอาไว้จริงๆ?


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เค่อเอ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย


 


นางเป็นสตรีที่อ่อนโยนใจดี หาไม่แล้วนางคงไม่อดทนนิ่งเงียบมากว่า 2 ปี จนกระทั่งวันนี้เพราะบุตรของนางกล่าวถามหาบิดา นางจึงรวบรวมความกล้ามาถามพี่สาวของนางเช่นนี้…


 


ทว่าตอนนี้ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้เป็นอย่างที่นางคาดเอาไว้เสียแล้ว…


 


“น้องข้า…หลังจากที่ข้ากับเจ้าถือกำเนิดมาได้ไม่นาน พวกเราก็ถูกผู้คนระดับสูงมากมายของลัทธิบูชาไฟให้ความสนใจ ทว่าเป็นเจ้าที่โดดเด่นกว่ากระทั่งผู้คนเหล่านั้นยกเจ้าให้เป็นธิดาเทพแห่งลัทธิบูชาไฟ…ส่วนข้าแม้ไม่ถึงกับถูกให้ความสำคัญเช่นเจ้า แต่ข้าก็ได้ถูกท่านอาจารย์ยอมรับเป็นศิษย์ส่วนตัว และทุกคืนวันข้าก็ขยันบ่มเพาะฝึกฝนอย่างหนักจนมีวันนี้…”


 


พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อกล่าวออก


 


“ธิดาเทพ?”


 


เค่อเอ๋อขมวดคิ้ว นางไม่รู้ว่าการเป็นธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟหมายความว่าอะไร…


 


นอกจากนี้นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฉนนางถูกกำหนดให้เป็นธิดาเทพแล้ว แต่กลับมิอาจอยู่บนภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้ได้ แถมไม่เพียงแต่นางจะอยู่ภูมิภาคเบื้องล่าง กระทั่งยังต้องไปอยู่ในหมู่บ้านที่เล็กที่สุดในทวีปมนุษย์


 


“ธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟ คือสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ ลัทธิบูชาไฟจะทำการคัดเลือกธิดาเทพทุกๆ 100 ปี…หลังเกิดเรื่องบางประการจนต้องส่งเจ้าหลบหนีออกไปยามนั้น…ตัวข้าที่ไม่อาจแทนที่เจ้าและเป็นธิดาเทพคนใหม่แทนเจ้าได้เพราะเจ้าได้ผ่านพิธีกรรมทั้ง ‘ตีตรา’ ไว้แล้ว…ทำให้หลังจากที่เจ้าหายตัวไป ลัทธิบูชาไฟถึงกับปั่นป่วนครั้งใหญ่ ต่างส่งกำลังคนออกไปตามหาเจ้าทั่วแดนดิน”


 


“เป็นธรรมดาที่พวกมันจะทุ่มกำลังตามหาเจ้าที่ภูมิภาคเบื้องบนก่อน แต่หลังผ่านไปหลายปีมิพบเจอเจ้า พวกมันก็เริ่มเบนเข็มลงไปตามหาเจ้าที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…เพราะทั้งหมดฉุกคิดได้ว่าเมื่อมิพบเจอร่องรอยของเจ้าที่นี่ มีโอกาสเช่นกันที่เจ้าจะถูกพาไปซ่อนที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…”


 


“ยามนั้นยังมีคำสั่งถ่ายทอดลงมาจากเบื้องบนว่าเจ้าจะต้องถูกนำตัวกลับมาให้จงได้ และต้องกลับมารับโทษทัณฑ์ตามกฏของลัทธิ! ที่สำคัญในกฏยังระบุเอาไว้ว่าธิดาเทพที่สูญเสียพรหมจรรย์นั้นต้องถูกประหารชีวิต! ข้าที่ร้อนใจเป็นห่วงเจ้าจึงลอบลงไปตามหาเจ้าที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…”


 


“ในที่สุดข้าก็พบเบาะแสเจ้า กระทั่งหาเจ้าเจอ”


 


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ใบหน้าของพี่สาวฝาแฝดเค่อเอ๋อพลันเผยความยินดีมีความสุขออกมา


 


ธิดาเทพ?


 


พรหมจรรย์?


 


โทษประหารชีวิต?


 


ใบหน้าของเค่อเอ๋อคล้ายจะมีชั้นน้ำแข็งฉาบเคลือบขึ้นมาอีกชั้นทันที “ตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ข้าก็อยู่มาโดยไร้ความทรงจำอันใดเกี่ยวกับที่นี่…ต่อให้ข้าจะเป็นธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟ แต่นั่นก็มิใช่ความต้องการของข้า เพราะข้าไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เช่นนั้นไฉนเรื่องที่ข้าเสียพรหมจรรย์อะไรนั่นถึงทำให้ข้าต้องตายด้วย! นี่พวกมันมีสิทธิ์อะไรมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของข้า?!”


 


“ที่เจ้ากล่าวมามันก็ถูก…แต่กฏของที่นี่เป็นอะไรที่โหดเหี้ยมเด็ดขาดนัก เหล่าผู้เฒ่าคุมกฏทั้งหลายมิสนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นอะไรยังไง…หาไม่แล้วข้าคงไม่ลอบลงไปตามหาเจ้า และคงไม่สวดภาวนาต่อสวรรค์อยู่บ่อยครั้งว่าขออย่าให้เจ้ามีบุรุษอันใด และเจ้ายังคงครองพรหมจรรย์อยู่…”


 


พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อระบายลมหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า “อย่างไรก็ตามเมื่อข้าพบว่ากลิ่นอายของเจ้าติดอยู่บนร่างบุรุษผู้นั้น ใจข้าก็สังหรณ์มิค่อยสู้ดี…สุดท้ายเรื่องร้ายที่ข้าสังหรณ์ใจไว้ก็เกิดขึ้นจริงๆ ไม่เพียงแต่เจ้าจะสูญเสียพรหมจรรย์ เจ้ากระทั่งตั้งครรภ์ลูกเขา…”


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูกลุ่มคนที่กำลังตามล่าตัวเจ้าจักเกิดอันใดขึ้น? ไม่เพียงแต่เจ้าจะถูกประหาร บุตรีในท้องของเจ้าก็ต้องตาย! กระทั่งชายคนรักของเจ้าก็ต้องถูกทัณฑ์อัคคีวินาศทรมานจนตาย กระทั่งยังจะประหารครอบครัวเขาทั้ง 9 ชั่วโคตร เพราะลัทธิบูชาไฟถือว่าชายผู้นั้นได้ลบหลู่ลัทธิบูชาไฟอย่างร้ายแรง!!”


 


พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อตะเบ็งเสียงกล่าว


 


ใบหน้าของเค่อเอ๋อซีดเซียวลงทันใด


 


นางไม่รู้เลยว่าฐานะในอดีตของนางจะซับซ้อนขนาดนี้ กระทั่งเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยในชีวิตของชายคนรัก


 


แม้ก่อนหน้านี้นางจะไม่รู้เลยว่าลัทธิบูชาไฟคืออะไร ทว่าตลอดระยะ 2 ปีที่ผ่านนางก็ได้รับทราบเรื่องราวของภูมิภาคเบื้องบนและลัทธิบูชาไฟจากสื่อเอ๋อ ที่ปกติติดตามอยู่ข้างกายพี่สาวของนาง…


 


ทำให้นางรู้ว่าลัทธิบูชาไฟคือ 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคเบื้องบน!


 


หากลัทธิบูชาไฟกำหนดให้ชายคนรักของนางต้องตาย ก็ไม่มีใครในโลกหล้ากล้าช่วยให้เขามีชีวิตรอด!


 


“ที่ข้าพาเจ้ากลับมาเช่นนี้เพราะกลัวเจ้าจะถูกพวกมันพบตัว…ตอนแรกข้าคิดจะพาเจ้าไปซ่อนที่อื่น แต่ข้าคิดได้ว่า ที่ๆอันตรายที่สุด ย่อมเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุด ข้าจึงพาเจ้ากลับมาลัทธิบูชาไฟ”


 


พี่สาวเค่อเอ๋อกล่าวสืบต่อ “แม้ข้าจะเกลียดชายคนรักตัวดีนั่นของเจ้าเพียงใดแต่ไหนเลยข้าจะใจร้ายคิดทำอะไรเจ้ากับลูกได้…หากซือหลิงเป็นเพียงบุตรีของมันคนเดียว ข้าไม่มีทางไว้ชีวิตนาง แต่ปัญหาคือนางเป็นบุตรีของเจ้าเป็นหลานสาวของข้า…จะให้ข้าทำร้ายนางลงคอได้อย่างไร?”


 


“สำหรับเรื่องที่จะพาเจ้าไปหาเจ้าหมอนั่นให้ครอบครัวได้พร้อมหน้าพร้อมตา ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยคิด…แต่ที่ลัทธิบูชาไฟแห่งนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่องข้าไม่กล้าพาเจ้าเคลื่อนไหวโดยไม่มั่นใจ เพราะหากเรื่องนี้แดงขึ้นมา เจ้ากับซือหลิงคงยากจะมีชีวิตรอดไปได้”


 


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้พี่สาวของเค่อเอ๋อพลันระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ในฐานะที่นางเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ นางย่อมรู้ดีว่าลัทธิบูชาไฟทำอะไรได้บ้าง


 


ใบหน้าเค่อเอ๋อที่ซีดลงยิ่งมาก็ยิ่งไร้สีเลือด


 


นางไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้


 


“พี่หญิง ข้าขอโทษ…”


 


มาตอนนี้ในที่สุดนางก็เข้าใจเรื่องราว และรู้ว่าเข้าใจพี่สาวของนางผิดมาตลอด…


 


ตั้งแต่ต้นจนจบพี่สาวของนางล้วนทำเพื่อนางทั้งสิ้น…


ตอนที่ 1,734 : หอคุมกฏ ลัทธิบูชาไฟ


 


“เจ้าเป็นน้องสาวข้าไหนเลยยังต้องเกรงใจข้า…”


 


พี่สาวเค่อเอ๋อส่ายหัว ค่อยพูดต่อ “ตอนนี้ข้าพูดจบแล้วเจ้ายังยืนยันเรื่องออกจากลัทธิบูชาไฟไปภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อหาชายคนรักของเจ้าหรือไม่…หากจะไปข้าจะพาเจ้าแม่ลูกลงไปส่งด้วยตัวเอง”


 


“ไม่! ข้ามิไป!”


 


เค่อเอ๋อเร่งส่ายหัวออกมาทันที


 


แม้นางจะคิดถึงนายน้อยของนางใจแทบขาด แต่พอคิดว่าหากนางแม่ลูกอาจชักนำหายนะเภทภัยไปสู่นายน้อย นางก็ยินดีตกตายอยู่ที่นี่เสียดีกว่า!


 


เพราะต่อให้นางต้องตาย นางก็ไม่อยากให้นายน้อยของนางต้องประสบเคราะห์!


 


ในสายตาของนาง…ชีวิตของนายน้อยมีค่ามากกว่าชีวิตของนางนัก!


 


นายน้อยเป็นชายคนรักที่นางยินดีสละให้กระทั่งชีวิต…


 


“ก่านหรูเยี่ยน! เจ้าช่างกล้านัก!!”


 


ในขณะที่พี่สาวของเค่อเอ๋อได้ยินคำตอบของเค่อเอ๋อนางก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโลกอก ทว่าตอนนั้นเองพลันมีเสียงเปี่ยมโทสะโพล่งดังขึ้น!


 


และเมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าก่านหรูเยี่ยนพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อก็เปลี่ยนไปอย่างมหันต์!


 


เพียงแค่ได้ฟัง นางก็บอกได้ทันทีว่านี่คือเสียงของ เจี่ยงชิน! หนึ่งในรองจ้าวหอ ของหอคุมกฏแห่งลัทธิบูชาไฟ!!


 


เมื่อเงยหน้ามองขึ้นมาก่านหรูเยี่ยนก็เห็นร่าง 4 ร่างลอยล่องอยู่กลางอากาศ!


 


ในบรรดาทั้ง 4 คนนั้นมีชายวัยกลางคนเป็นผู้นำ รูปร่างหน้าตาของมันแลดูธรรมดาสามัญ หากแต่แววตากลับเฉียบคมปานอินทรีย์ ยามจับจ้องมองมา พาลให้ร่างผู้คนอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปด้วยความยำเกรง!


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้ ก็คือ เจี่ยงชิน หนึ่งในรองจ้าวหอคุมกฏ!


 


ส่วนอีก 3 ร่างด้านหลังของเจี่ยงชินนั้น สองคนเป็นชายหนุ่มที่แลดูเย็นชาไร้แยแส ต่างกำลังจับจ้องมองก่านหรูเยี่ยนด้วยสายตาเฉยเมย เห็นชัดว่าพวกมันสมควรเป็นศิษย์ของหอคุมกฏ!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อก่านหรูเยี่ยนเหลือบไปเห็นร่างสุดท้ายในบรรดาคนทั้ง 4สีหน้านางก็แปรเปลี่ยนไปทันใด


 


เพราะร่างสุดท้ายนี้ กับเป็นสตรีหน้าตาแลดูใช้ได้ เอวบางร่างน้อยเผยความเย้ายวนไม่ใช่เล่นๆ


 


แน่นอนว่าในแง่ของรูปโฉมแล้ว หากจะนำไปเทียบกับก่านหรูเยี่ยน สตรีนางนี้ยังนับว่าขาดอยู่เล็กน้อย…


 


ตอนนี้สตรีดังกล่าว กำลังเหลือบมองก่านหรูเยี่ยนด้วยสายตาสะใจ มุมปากยังยกยิ้มเย้ย “ก่านหรูเยี่ยน ขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าตามหาน้องสาวที่พรัดพรากไปหลายสิบปีจนเจอ…ทว่าธิดาเทพที่อุตส่าห์หาเจอกลับเสียพรหมจรรย์ไปเช่นนี้! ข้ากลัวว่ากระทั่ง อาวุโสผู้พิทักษ์ชิงหั่ว อาจารย์ของเจ้าก็มิอาจสอดมือเข้ามาช่วยเหลือเจ้าได้!”


 


“อ๊า! จริงสิ ข้าแทบลืมไป น้องสาวเจ้าที่เป็นธิดาเทพ มิเพียงแต่จะสูญเสียพรหมจรรย์นางยังถึงขั้นให้กำเนิดลูก…นี่นับเป็นการดูหมิ่นลบหลู่เทพอัคคีถึงที่สุด! พวกเจ้าจักต้องรับโทษทัณฑ์หนักเป็น 2 เท่าตัว!!”


 


วาจาที่สตรีนางนั้นกล่าวต่อออกมาเต็มไปด้วยความสาสมใจนัก


 


“เหวินเยี่ยน เจ้าเป็นคนไปแจ้งรองจ้าวหอเจี่ยงงั้นหรือ?!”


 


แม้ไม่ทราบว่าไฉนสตรีนางนี้ถึงได้ล่วงรู้เรื่องนี้ได้ หากแต่ก่านหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไปกล่าวถาม และในน้ำเสียงที่ส่งไปก็เต็มไปด้วยเพลิงโทสะอันยากระงับ


 


“ทำไม? หรือเจ้าคิดว่าการที่ข้าไปแจ้งเรื่องนี้กับรองจ้าวหอเจี่ยงเป็นเพราะความแค้นส่วนตัวงั้นเหรอ?”


 


เสียงของเหวินเยี่ยนยังเปี่ยมล้นไปด้วยความสะใจ “ในฐานะศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ ทุกคนล้วนมีหน้าที่ต้องช่วยกันดูแลรักษากฏ…หากเจ้าคิดว่าข้าไปแจ้งเรื่องนี้กับรองจ้าวหอเจี่ยงเพราะความแค้นส่วนตัว เจ้าก็ไปฟ้องร้องให้ท่านรองจ้าวหอเจี่ยงปล่อยคนเองเถอะ!!”


 


กล่าวจบคำมุมปากของเหวินเยี่ยนก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความถูกใจ


 


นางกับก่านหรูเยี่ยนนั้นล้วนเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะของลัทธิบูชาไฟ อนิจจานางกลับถูกก่านหรูเยี่ยนสะกดข่มเอาไว้ทุกเรื่อง เสมือนนางอยู่ใต้เงาของก่านหรูเยี่ยนมาโดยตลอด ทำให้นางคับแค้นทั้งจนปัญญาจะสู้นัก


 


จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน นางกลับพบว่าก่านหรูเยี่ยนลอบนำพาคนผู้หนึ่งเข้ามาอยู่ในลัทธิ และหลังจากใช้เวลาสืบค้นเรื่องราวอยู่ถึง 2 ปีในที่สุดนางก็พบว่าคนที่อีกฝ่ายลอบพากลับมาคือใคร!


 


และด้วยวิธีนี้ มันทำให้นางมีโอกาสต่อกรกับก่านหรูเยี่ยน!


 


ก่อนหน้านี้ไม่ว่านางจะทำอย่างไร นางก็ไม่เคยชนะก่านหรูเยี่ยนสักครั้ง!


 


ทว่าวันนี้นางชนะแล้ว!


 


ถึงแม้ว่าการกระทำของนางจะต่ำช้าไปบ้าง แต่นางไม่เคยสนวิธีการ เพราะสำหรับนางมีเพียงผลลัพธ์เท่านั้นที่สำคัญ!


 


ฟุ่บ!


 


พร้อมกันกับที่บังเกิดเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไว ร่างรองจ้าวหอคุมกฏ เจี่ยงชินพลันวูบไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเค่อเอ๋อในเสี้ยวพริบตา ดวงตาคมกล้าทอประกายจ้ามองจ้องเค่อเอ๋อเขม็ง “เจ้านับว่าดูเหมือนกันกับก่านหรูเยี่ยนไม่มีผิด…ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็น ก่านอวี๋เยี่ยน ธิดาเทพที่หายตัวไปเมื่อหลายปีที่แล้ว!!”


 


ก่านอวี๋เยี่ยน นามนี้ฟังกี่ครั้งเค่อเอ๋อก็ไม่คุ้นเคยเลยสักครั้ง


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อนางติดตามพี่สาวฝาแฝดของนางกลับมาที่นี่ นางก็บังเกิดความอยากรู้ว่านางมีชื่อแท้จริงว่าอะไร จนในที่สุดก็รู้ว่ายามแรกเกิดนางถูกเรียกว่า ก่านอวี๋เยี่ยน ซึ่งต่างจากพี่สาวของนางแค่คำเดียวเท่านั้น


 


“ข้ามิใช่ก่านอวี๋เยี่ยน และข้ามิใช่ธิดาเทพอันใด ตั้งแต่ข้าจำความได้ ตัวข้าเรียกว่าเค่อเอ๋อ!”


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาคมกล้าที่จ้องมาของเจี่ยงชิน เค่อเอ๋อได้แต่ตอบกลับไปเสียงเรียบ


 


นางไม่ใช่ตัวโง่งม ไหนเลยยังไม่สังเกตเห็นว่ามีบางคนจงใจทำร้ายพี่สาวฝาแฝดของนาง นางจึงตัดสินใจเสแสร้งกระทำตัวโง่งมไม่รู้เรื่องออกไป…


 


แน่นอนว่าทุกสิ่งที่นางกล่าวออกมาล้วนเป็นความจริง เพราะตั้งแต่จำความได้นางถูกเรียกว่าเค่อเอ๋อจริงๆ…


 


และตั้งแต่ที่นางเริ่มจำความได้ นางก็อยู่กันสองคนกับแม่ที่ชายเมืองวายุโปรยเสมอมา ไหนเลยจะรู้เรื่องธิดาเทพอะไรนี่ได้!!


 


จนกระทั่งแม่ของนางป่วยจนตายตก นางที่ไร้ทรัพย์สินอันใด จึงได้แต่ไปขายตัวเป็นทาสเพื่อหาเงินทำศพมารดา สุดท้ายนางก็ได้พบเจอนายน้อย และนั่นประหนึ่งไก่บ้านได้กลับกลายเป็นหงส์ฟ้า ท่องทะยานขึ้นมาจนได้ใช้ชีวิตอย่างที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อน…


 


“เหอะ! เจ้าคิดว่าเพียงเจ้ากล่าววาจาเช่นนี้เจ้าจะปฏิเสธได้งั้นหรือว่าเจ้าคือ ก่านอวี๋เยี่ยน ธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟเรา! เจ้ากับก่านหรูเยี่ยนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน เรื่องนี้ลัทธิบูชาไฟล้วนรู้กันดี…และถึงแม้ว่าเจ้าจักมิยอมรับ อาศัยเพียงใบหน้านี้ของเจ้า ก็มากพอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าเจ้าเป็นพี่น้องฝาแฝดของก่านหรูเยี่ยน และเป็นธิดาเทพของพวกเรา ก่านอวี๋เยี่ยน!!”


 


ตอนนี้เองเหวินเยี่ยนพลันก้าวออกมาในอากาศ สองตามองชมเค่อเอ๋ออย่างยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มไม่ทราบผุดขึ้นที่มุมปากตั้งแต่เมื่อใด “น่าเสียดายที่เจ้ากลับหนีออกจากบ้านก่อนที่จะรู้ความ กระทั่งรักนวลสงวนตัวเป็นเช่นไรยังหารู้ไม่ สุดท้ายไปเสียตัวให้บุรุษตัวดีซะได้…ซ้ำร้ายยังถึงขั้นให้กำเนิดเดียรัจฉานน้อยนั่น”


 


เดียรัจฉานน้อย?


 


ได้ยินวาจานี้ของเหวินเยี่ยนเป็นธรรมดาที่เค่อเอ๋อจะมีโทสะ บุตรีของนางไหนเลยอนุญาตให้ผู้อื่นมาดูแคลนด่าว่าได้!


 


เค่อเอ๋อบันดาลโทสะ ระเบิดพลังชั่วชีวิตหมายพุ่งร่างเข้าใส่เหวินเยี่ยนอย่างเกรี้ยวกราด ไม่ต่างอะไรจากแม่เสือปกป้องลูกน้อย!


 


อนิจจาพลังฝีมือของนางไหนเลยจะเทียบกับเหวินเยี่ยนได้ เพียงแค่เหวินเยี่ยนพลิกฝ่ามือเบาๆ ก็ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งสะกดร่างเค่อเอ๋อให้แน่นิ่งหยุดกับที่ “จึกๆๆ ก่อนหน้านี้มีแต่ผู้คนกล่าวกันว่าพรสวรรค์ของธิดาเทพเหนือล้ำผู้ใดในแดนดิน จึงถูกเลือกให้เป็นธิดาเทพแห่งลัทธิบูชาไฟ! ข้ามิอยากเชื่อเลยว่าโลกภายนอกกลับหล่อหลอมให้เจ้าเป็นได้แค่ขยะ! ถึงขั้นสุ่มเลือกศิษย์ชั้นต่ำมาสักคน ก็ล้วนแต่แกร่งกล้ากว่าเจ้านับร้อยเท่า!”


 


“เหวินเยี่ยน!!”


 


ทันใดนั้นเสียงเปี่ยมโทสะหากแต่เสนาะหูพลันโพล่งดังขึ้น ไม่ทันที่เหวินเยี่ยนจะตอบสนองเรื่องราวใดๆ ก่านหรูเยี่ยนก็ซัดฝ่ามือทำร้ายนางจนร่างกระเด็นปลิดปลิวไปไม่เป็นท่า ยังแทบร่วงหล่นตกฟ้า!!


 


“ก่านหรูเยี่ยน!!”


 


เหวินเยี่ยนไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าก่านหรูเยี่ยนจะกล้าลงมืออุกอาจทำร้ายนางอย่างไม่เกรงกลัวใดๆเช่นนี้ ทำให้สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องแปรเปลี่ยนเป็นโมโหทันที นางมองกล่าวกับก่านหรูเยี่ยนด้วยโทสะ มุมปากยังปรากฏเลือดไหลลงมาเป็นทาง…


 


“อะไร? เจ้าที่พ่ายแพ้ข้าในฝ่ามือเดียว คิดจะสู้ข้างั้นเหรอ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนมองเหวินเยี่ยนด้วยสายตาดูถูก มุมปากยังยิมเย้ยออกมาซึ่งๆหน้า


 


ในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของลัทธิบูชาไฟ แม้เหวินเยี่ยนจะนับเป็นชนชั้นแนวหน้าในบรรดารุ่นเยาว์เหมือนกับนาง แต่หากเทียบพลังฝีมือกับนางแล้วอีกฝ่ายก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้…!


 


เหวินเยี่ยนที่ได้ยินวาจาดังกล่าวถึงกับหน้าเบี้ยว เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนัก!


 


“ไปพาเด็กนั่นออกมาเสีย!”


 


ทันใดนั้นเอง เจี่ยงชินพลันกล่าวสั่งออกมา


 


ครู่ต่อมาร่างชาย 2 คน ศิษย์หอคุมกฎที่ติดตามเจี่ยงชินมาด้วย ก็คล้ายแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายอัสนี พุ่งหายเข้าไปในบ้านของก่านหรูเยี่ยนทันที!


 


“รองจ้าวหอเจี่ยง นางยังเป็นแค่เด็ก!!”


 


ก่านหรูเยี่ยนที่ได้ยินคำสั่งนี้ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที นางยังคิดจะหยุดศิษย์หอคุมกฏทั้ง 2 ทว่ากลับถูกเจี่ยงชินใช้พลังสะกดร่างเอาไว้เสียก่อน “ก่านหรูเยี่ยน เจ้ามิเพียงซุกซ่อนตัวธิดาเทพที่ละเมิดกฏจนมีความผิดติดตัว ยังกล้าคิดลงมือกับคนหอคุมกฏ…แต่เพราะเจ้าเป็นศิษย์ของท่านอาวุโสผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ตอนนี้ข้าจักมิทำให้เจ้าต้องลำบาก!”


 


“อย่างไรเสีย หอคุมกฏของข้าจำต้องดำรงไว้ซึ่งกฏเกณฑ์มิอาจละเว้น หลังจากนี้พวกเราจักไปรับฟังคำอธิบายของอาวุโสพิทักษ์ชิงหั่ว!”


 


เจี่ยงชินกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “สำหรับธิดาเทพและลูกนอกสมรสของนาง ข้าจักนำพาไปยังหอคุมกฏ และหลังจากที่ข้าหารือกับจ้าวลัทธิเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะจัดการนางตามกฏของลัทธิ!”


 


ทันทีที่เจี่ยงชินกล่าวจบคำ ก็พอดีกันกับศิษย์หอคุมกฏที่พุ่งเข้าบ้านก่านหรูเยี่ยนไปกลับออกมา ในอ้อมแขนของหนึ่งในนั้นยังอุ้มร่างเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลั้งดิ้นขัดขืนเอาไว้


 


“โจรชั่ว! ปล่อยข้านะ…ถ้ายังไม่ปล่อยข้าๆจะไปฟ้องท่านป้าให้มาตีพวกเจ้าให้ตาย! ท่านป้าข้าร้ายกาจมากนะ!!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยดิ้นพล่านไม่หยุด ตะโกนออกมาเสียงเจื้อยแจ้ว


 


“ซือหลิง!!”


 


หน้าเค่อเอ๋อถอดสีไปทันใด ยังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกทั้งร้อนรนหมายไปช่วยบุตรีให้เร็วที่สุด อนิจจานางกลับถูกเหวินเยี่ยนที่เหินกลับมาแล้วเปล่งพลังหยุดร่างเอาไว้อีกครั้ง! และตอนนี้ใบหน้าของเหวินเยี่ยนก็ไร้ซึ่งอาการบิดเบี้ยวมากโทสะอะไรอีก ยังแย้มยิ้มออกมาหน้าระรื่น “ธิดาเทพ ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้ากับเดียรัจฉานน้อยจะไปเที่ยวหอคุมกฏแล้ว!”


 


“รองจ้าวหอเจี่ยง หรือกระทั่งกับเด็กน้อยท่านยังไร้เมตตาได้ลงคอ?”


 


ก่านหรูเยี่ยนมองเจี่ยงชินด้วยสองตาแดงฉาน น้ำใสๆล้นออกตา เสียงกล่าวสั่นเครือ


 


ถึงแม้พลังฝีมือของนางจะดี แต่ให้เทียบกับรองจ้าวหหอคุมกฏแล้ว ยังขาดอยู่บ้าง


 


เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะชิงตัวผู้ใดหลบหนี ต่อหน้าอีกฝ่าย!


 


“ไปกันเถอะ”


 


เจี่ยงชินไม่สนใจวาจาทัดทานของก่านหรูเยี่ยน สิ้นคำกล่าว ร่างมันก็เหินลอยขึ้นไปในอากาศ ขณะเดียวกันก็ปรากฏพลังไร้สภาพดั่งมือที่มองไม่เห็นตรึงร่างเค่อเอ๋อและหอบหิ้วนางให้ลอยติดตามมันขึ้นไป


 


ศิษย์หอคุมกฏทั้ง 2 ที่หนึ่งในนั้นอุ้มซือหลิงเอาไว้ก็เหินร่างตามขึ้นมาไม่ห่าง


 


“ท่านพี่หญิงได้โปรดช่วยชีวิตซือหลิงด้วย…! มิว่าข้าจะถูกลงทัณฑ์อันใดก็ช่าง ขอเพียงให้ซือหลิงอยู่รอดปลอดภัยก็พอ นางแค่ 2 ขวบเท่านั้น ยังมิมีโอกาสได้พบหน้าบิดากับปู่ย่าของนางสักครั้ง!!”


 


เสียงสั่นเครือที่คล้ายเต็มไปด้วยความสิ้นหวังของเค่อเอ๋อดั่งเข้าหูให้ก่านหรูเยี่ยนได้ยินชัดเจน


 


ฟุ่บ!


 


หลังจากที่ได้ยินวาจานี้สิ้นหวังนี้ของเค่อเอ๋อ ดวงตาที่แดงฉานอยู่แล้วของก่านหรูเยี่ยก็ยิ่งแดงจนคล้ายจะคั้นได้เป็นหยดโลหิต สุดท้ายนางก็ไม่อาจทานทนไหวสืบไป จับจ้องมองไปยังศิษย์หอคุมกฏทั้ง 2 เขม็ง พลังทั่วร่างโคจรดั่งสายธารเชี่ยว! คนทะยานขึ้นฟ้าไปปานมังกรสมุทรโผล่พ้นนที!!


 


อย่างไรก็ตามก่านหรูเยี่ยนเพียงทะยานขึ้นฟ้าปรี่ตรงเข้าใส่ศิษย์หอคุมกฏทั้ง 2ได้ไม่ทันไร พลันมีพลังอันน่ากลัวขุมหนึ่งทะลวงผ่านความว่างมาฉับไว ซัดปะทะเข้าร่างของนางอย่างจัง จนคนผงะกระเด็นกลับไปอย่างไม่ยินยอม!!


 


พร้อมกันนั้นเอง เสียงอันเย็นชาไร้แยแสถึงขีดสุดหนึ่งดังขึ้น “ก่านหรูเยี่ยน หากเจ้ายังคิดขัดขวางการทำงานของหอคุมกฏข้าอีกครั้ง ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์รักของท่านอาวุโสพิทักษ์ชิงหั่ว ข้าก็ไม่คิดจะไว้ไมตรีอีก!”


 


เมื่อมองก่านหรูเยี่ยนที่ปลิวกระเด็นถอยไปด้วยสายตา ทั้งกล่าววาจาทิ้งทายเสียงเย็นจบคำ เจี่ยงชินก็จากไปพร้อมศิษย์หอคุมกฏทั้ง 2 พร้อม โดยมีเค่อเอ๋อซือหลิงแม่ลูกถูกจับไปด้วยกัน


 


เหวินเยี่ยนที่หยุดลอยรั้งท้ายมองก่านหรูเยี่ยนด้วยรอยยิ้มสาสมใจ กล่าวคำเย้ยเยาะอย่างสนุกสนาน “ก่านหรูเยี่ยนหนอก่านหรูเยี่ยน…ตอนนี้แทนที่เจ้าจะเอาเวลาไปห่วงผู้อื่นเจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะ! ครั้งนี้ความผิดของเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว!!”


ตอนที่ 1,735 : แดนลับเซียน!


 


หากเป็นปกติหลังได้กล่าววาจาหยามเหยียดออกมาแล้ว เหวินเยี่ยนคงรีบจากไปทันทีเพราะกริ่งเกรงก่านหรูเยีย่นจะมีโทสะลงมือทำร้ายนาง


 


ทว่าวันนี้นางกลับไม่รีบร้อนจากไปแต่เลือกจะมองจ้องก่านหรูเยี่ยนด้วยความสะใจแทน เพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากรองจ้าวหอคุมกฏเจี่ยงชิน! พลังฝีมือตกลงไปมาก!!


 


“พี่สาว!”


 


สื่อเอ๋อเร่งเหินร่างออกไปประคองก่านหรูเยี่ยนที่ลอยเซกลางหาวเอาไว้ในอ้อมแขน สีหน้าแววตานางเป็นกังวลนัก


 


นางกังวลกับซือหลิงและเค่อเอ๋อไม่น้อย ยังร้อนใจกับสถานการณ์ของพี่สาวนัก!


 


อนิจจานางทำอะไรไม่ได้เลย เพราะพลังฝึกปรืออ่อนด้อยเกินไป


 


“เหวินเยี่ยนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้าก่านหรูเยี่ยนจักจำเอาไว้มิมีวันลืม! เจ้าจงภาวนาเสียเถอะว่าขอให้วันหน้าอย่าได้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้า หาไม่แล้วข้าจะให้เจ้าตาย!!”


 


ก่านหรูเยี่ยนตะคอกเสียงกล่าว มองเหวินเยี่ยนด้วยสายตาเยียบเย็น


 


นางคิดว่า ที่ๆอันตรายที่สุดสมควรเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุด แต่นางไม่คิดเลยจริงๆว่าเหวินเยี่ยนจะใช้เวลาไปถึง 2 ปีเต็มเพื่อตรวจสอบเรื่องราว ก่อนที่จะรายงานไปยังหอคุมกฏ และทั้งหมดเป็นเพราะความแค้นส่วนตัว!


 


ก่อนหน้านี้ไฉนนางไม่เคยเห็นเลยว่าความเกลียดชังของเหวินเยี่ยนจะฝังลึกขนาดนี้!?


 


กลับทุ่มเทเวลาสืบเสาะอยู่ถึง 2 ปี…เว้นแต่จะแค้นเข้ากระดูกดำ ไหนเลยจะมีใครยอมเสียเวลาเช่นนี้เพื่อสะกดรอยตามคนๆหนึ่ง?


 


หากนางรู้ว่าเหวินเยี่ยนเป็นถึงขนาดนี้ นางจะไม่มีวันพาน้องสาวกลับมาลัทธิบูชาไฟเด็ดขาด!


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจก่านหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะปวดแปลบ ครั้งนี้เสมือนนางฆ่าน้องสาวกับหลานทางอ้อมแล้วจริงๆ


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


หลังได้ยินวาจาขู่ข่มของก่านหรูเยี่ยน เหวินเยี่ยนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ค่อยกล่าวเย้ยทิ้งท้าย “ก่านหรูเยี่ยน ลำพังเจ้าตอนนี้ยังเอาตัวเองมิรอด ยังคิดว่าจะล้างแค้นข้าได้หรือ? ช่างไร้เดียงสานัก! แต่เอาเถอะข้าจะเฝ้ารอ…วันที่มิมีทางมาถึงนั่นแล้วกัน..”


 


กล่าวสิ้นคำ เหวินเยี่ยนก็เหินร่างจากไปทันที


 


“พี่สาวตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี พี่สาวเค่อเอ๋อกับซือหลิงต้องตายแน่!”


 


สื่อเอ๋อดูเป็นกังวลไม่น้อย


 


“ข้ามิคิดเลยว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขนาดนี้…หากข้ารู้ว่าเหวินเยี่ยนเก็บงำความแค้นที่มีต่อข้าไว้มากมายขนาดนี้ ข้าคงฆ่านางทิ้งไปนานแล้ว! อนิจจาตอนนี้เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราได้แต่แก้ปัญหาไปทีละอย่าง…ข้าไม่มีวันยอมให้เค่อเอ๋อเป็นอะไรไปแน่ ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว!”


 


ในแววตาของก่านหรูเยี่ยนเผยประกายสว่างวาบขึ้นมา “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะย้อนกลับไปยังตระกูลเพื่อบอกท่านแม่กับคนอื่นๆเรื่องเค่อเอ๋อ…หลังจากนั้นข้าจะไปหาท่านอาจารย์และหวังว่าท่านอาจารย์จะช่วยปกป้องเค่อเอ๋อได้”


 


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก่านหรูเยี่ยนก็ออกจากลัทธิบูชาไฟ มุ่งหน้ากลับตระกูลของนางทันที


 


ตระกูลก่านของนางเป็นเพียงขุมพลังชั้น 2 ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น ทว่าด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับลัทธิบูชาไฟ จึงทำให้แม้แต่ขุมพลังชั้น 1 ก็ไม่กล้าล่วงเกินตระกูลก่าน


 


ก่านหรูเยี่ยนเป็นหลานแท้ๆของผู้นำตระกูลก่านคนปัจจุบัน และนางยังเป็นสายเลือดหลักของตระกูลก่าน


 


เค่อเอ๋อที่เป็นน้องสาวฝาแฝดของก่านหรูเยี่ยนก็นับเป็นคนของตระกูลก่านเช่นกัน!


……


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบเลยว่าตอนนี้เค่อเอ๋อกับลูกสาวของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย กระทั่งทั้งคู่อาจจะตกตายได้ทุกเมื่อ!


 


ทว่าแม้จะไม่รู้แต่เขาก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมา!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้อ่านหนังสือตำราอะไรไปแล้วมากมายในหอตำราหลัก อยู่ดีๆก็รู้สึกใจหวิวๆ ยากที่จะรักษาความสงบเอาไว้ได้


 


และเมื่อสัมผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลที่ไม่ทราบที่มาประการหนึ่ง สีหน้าต้วนหลิงเทียนพลันซีดลงทันใด


 


เขารู้ว่าอยู่ดีๆกลับบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น กระทั่งทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สมควรเป็นเพราะคนใกล้ชิดของเขาเกิดเรื่องแน่!


 


‘เป็นเค่อเอ๋อ หรือเทียนหวู่กัน…’


 


เมื่อรู้ว่าลี่เฟยสมควรอยู่กับบิดามารดาเขาจึงไม่ได้คิดถึงนาง เช่นนั้นเขาพลันนึกถึงเค่อเอ๋อกับเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมาทันที


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ระงับความรู้สึกตื่นตระหนกในใจให้สงบลง


 


หลังจากที่สงบลงแล้ว สังหรณ์ประหลาดที่ว่าก็ไม่ทำให้ใจเขาหวิวๆอีก อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือตำราอะไรอีกต่อไป


 


กอปรทั้งเขาได้รู้เรื่องราวทั่วไปที่อยากจะรู้ไปแล้ว และเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจกลับทันที


 


หลังจากที่ออกจากหอตำราหลัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปลงทะเบียนออกเกาะตามระเบียบ


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียน เจ้าเป็นไรหรือไม่…ใยสีหน้าเจ้าแลดูมิค่อยจะสู้ดีเลยเล่า…”


 


เมื่อศิษย์ที่ลงทะเบียนออกเกาะให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นสีหน้าที่ซีดลงของต้วนหลิงเทียน มันก็เร่งกล่าวถามออกมาด้วยความเป็นห่วงทันที เพราะจดจำได้ว่าต้วนหลิงเทียนมารยาทดีเพียงใด


 


“ข้าไม่เป็นไรหรอกศิษย์พี่ ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ประสานมืออำลาอีกฝ่ายค่อยจากไป


 


ศิษย์รักษาการณ์หลายคนมองตามแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนจนเขาเดินหายลับไปค่อยคืนสติ พวกมันอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองกันทั้งกระซิบถาม


 


“พวกเจ้าว่าศิษย์น้องหลิงเทียนใช่โดนใครรังแกมาหรือไม่ ไฉนสีหน้าเขาถึงได้ซีดนัก?”


 


ศิษย์รักษาการณ์ที่จุดลงทะเบียนคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา


 


“อาจเป็นได้!”


 


ศิษย์คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วย


 


“ข้าล่ะอยากรู้นักว่าผู้ใดมันตาถั่วถึงขั้นกล้าไปรังแกศิษย์น้องหลิงเทียนได้! แม้ตอนนี้พลังฝีมือศิษย์น้องหลิงเทียนจักมีจำกัด แต่เขาพึ่งอายุเท่าใด วันหน้ายังมีใครในตำหนักฟ้าลี้ลับเทียบเขาได้อีก?”


 


“นั่นสิ! มิว่าผู้ใดหาญกล้ารังแกศิษย์น้องหลิงเทียน อนาคตมันถูกกำหนดให้โชคร้ายแล้ว!”


 


“ศิษย์น้องหลิงเทียนเป็นคนดี แต่กลับมีเรื่องราวเช่นนี้…ข้าเชื่อว่าต้องเป็นผู้อื่นหาเรื่องรังแกเขาก่อนเป็นแน่!”


 


“เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ!”


 


……


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยว่าเรื่องที่สีหน้าเขาไม่ค่อยสู้ดี ทำให้ศิษย์รักษาการณ์ที่จุดลงทะเบียนเข้าออกเกาะคิดเรื่องราวไปเป็นตุเป็นตะ


 


หลังจากออกจากเกาะลอยฟ้าแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างลงมายังยอดเขาลูกหนึ่งยังมุ่งหน้าไปยังส่วนที่พักที่เขาอาศัยอยู่


 


‘ยังเหลืออีกเดือนกว่า แดนลับเซียนถึงจะเปิดออก…สำหรับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน เห็นว่าจะทำการคัดเลือกก่อนหน้า 10 วันที่แดนลับเซียนจะเปิด’


 


ในระหว่างเดินทางกลับ ใจต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย


 


อย่างไรก็ตามลึกลงไปในใจเขายังกังวลไม่น้อย


 


แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะกังวลแต่ก็ได้แต่ทำใจเท่านั้น เพราะตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้เลย


 


“หวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และทุกคนยังปลอดภัยดี…”


 


ต้วนหลิงเทียนทำได้แค่ปลอบใจตัวเองไปเช่นนี้


 


“ฮึ! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาได้ซะทีนะ!”


 


ทันทีที่โรยตัวมาถึงน่านฟ้าเหนือบ้านลานคุ้นเคย ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดหนึ่งดังขึ้น ทำให้เขาคืนสติจากอาการเหม่อทันที ไม่นานเขาก็เห็นว่ามีร่างบางหนึ่งนั่งรออยู่ในลานบ้านของเขา


 


เจ้าของร่างบางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง


 


“เจ้ามาหาข้าเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงมาจากฟ้า ก่อนที่จะหยุดลงเบื้องหน้านาง ขมวดคิ้วถามออก


 


“นี่เจ้าไปไหนมาตั้ง 20 กว่าวันหา?”


 


แทนที่จะตอบคำถามของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนพลันยิงคำถามออกไปด้วยสีหน้าเค้นความ “เจ้ารู้หรือไม่ข้าต้องเสียเวลาตามหาเจ้าไป 20 กว่าวัน! นั่นทำให้ขัดขวางความก้าวหน้าของข้านัก!”


 


“หืม? เจ้าตามหาข้ามา 20 กว่าวัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “เจ้ามีธุระกับข้างั้นเหรอ ถึงต้องมาหาข้า?”


 


“แน่นอน!”


 


หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับ “หากมิมีธุระไหนเลยต้องมาหาเจ้าด้วย…ไหนบอกมาเจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไรที่ทำให้ข้าต้องคอยตามหาเจ้าตลอด 20 วัน จนทำให้พลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าล่าช้าออกไปแบบนี้?!”


 


“ก้าวหน้าล่าช้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำเมื่อได้ยินวาจาเหลวไหลของหวางเฟยเซวียน “แม่นางหวางท่านไม่คิดโทษตัวเองบ้างหรือที่พลังฝึกปรือก้าวหน้าล่าช้าเพราะมัวแต่เถลไถลเองไฉนมาโทษข้าได้ล่ะ? ที่สำคัญข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเสียเวลาบ่มเพาะอะไรเพราะข้า หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้…ว่าเรื่องที่เจ้าเป็น ปีศาจบ้าบ่มเพาะ มันโด่งดังแค่ไหน? ไม่ใช่แค่ในเขตคฤหาสน์ดาบทรราชเท่านั้นนะ กระทั่งตำหนักฟ้าลี้ลับเขาก็รู้กันหมด!”


 


หวางเฟยเซวียนถึงกับอึ้งไปไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้เรื่องนางดี นางอดไม่ได้ที่จะหน้าเจื่อนไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะพยายามตีหน้าดุกล่าวโวยวายต่อ “ไม่รู้หล่ะ เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า! ไม่งั้นข้าจะมารบกวนเจ้าทุกวันจนเจ้าไม่เป็นอันบ่มเพาะพลังเลยคอยดู!”


 


“มาไม้นี้อีกแล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออก ขณะเดียวกันหน้าเขาเริ่มจมลง “หวางเฟยเซวียน นี่เจ้าคิดว่าเล่นแบบนี้มันสนุกนักหรือ?”


 


“อะไรของเจ้ากัน ข้าก็แค่ล้อเจ้าเล่นเล็กน้อยเท่านั้น…เจ้าจะจริงจังทำเพื่อ?”


 


เมื่อเห็นหน้าต้วนหลิงเทียนจมลงเผยความจริงจังราวกับมีโทสะ หวางเฟยเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอ้างออกมา ทั้งยังพูดต่อดีๆ “เอาล่ะๆ ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นแล้วก็ได้ เจ้าอย่าคิดเล็กคิดน้อยอีกเลย…”


 


คิดเล็กคิดน้อย?


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอีกรอบ


 


อย่างไรก็ตามใบหน้าขึงขังของเขาค่อยๆคลายลง เมื่อได้ยินวาจาของนาง ยังกล่าวถามออกไปตรงๆ “บอกข้ามาเถอะ เจ้ามาหาข้าที่แท้มีเรื่องอะไรกันแน่?”


 


“แดนลับเซียน!”


 


อาจเป็นเพราะแลดูต้วนหลิงเทียนจริงจังแปลกๆ หวางเฟยเซวียนจึงไม่คิดล้อเล่นอะไรอีก เปิดประตูเห็นภูผากล่าวออก


 


“แดนลับเซียน? ไม่ใช่ว่ากว่าที่แดนลับเซียนจะเปิดก็อีกเดือนกว่ารึไง เจ้ามาพูดถึงมันกับข้าตอนนี้ทำไม?”


 


ต้วนหลิงเทียนแลดูงุนงงสงสัยไม่น้อย


 


“ข้ารู้แล้วว่าอีกเดือนกว่าแดนลับเซียนถึงจะเปิดออก…แต่ที่ข้ามาหาเจ้าล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแดนลับเซียน”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าว


 


“ว่ามา”


 


ต้วนหลิงเทียนถามเบาๆ


 


“ก่อนที่ข้าจะพูดถึงเรื่องนี้ ให้ข้าถามเจ้าก่อนว่าเจ้ารู้จักแดนลับเซียนมากแค่ไหน?”


 


หวางเฟยเซวียนมองถามต้วนหลิงเทียน


 


“ข้าเคยได้ยินมาว่ามีสิ่งดีๆมากมายอยู่ในแดนลับเซียน และหากอยู่ในนั้นได้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีโอกาสได้รับสิ่งดีๆสำหรับการบ่มเพาะพลังมากขึ้นเท่านั้น…นอกเหนือจากนั้นข้าไม่รู้แล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ


 


“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…ไฉนถึงมีแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้นที่มีแดนลับเซียน?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“ข้าไม่รู้”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาแค่เคยได้ยินว่าแดนลับเซียนอะไรนั่น มีแต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้นที่มีมัน แต่เพราะอะไรเขาไม่ทราบ


 


“เจ้าลองคิดดู…ว่าอะไรที่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 มีแต่ขุมพลังอื่นไม่มี?”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวถาม


 


“ขุมพลังอื่นไม่มีงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นไตร่ตรองพักหนึ่งค่อยกล่าวออก “หากไม่พูดถึงยอดฝีมือและทรัพยากรทั่วไป…สิ่งที่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 มีต่างจากขุมพลังอื่นๆ สมควรเป็นสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 …หรือเจ้าจะบอกข้าว่าการเกิดขึ้นของแดนลับเซียนนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3?”


 


ทันทีที่กล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองหยางเฟยเซวียน


 


“มิผิด”


 


หวางเฟยเวซียนพยักหน้า “แดนลับเซียนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 นั้น มันถูกสร้างขึ้นบนเขตสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3! อันที่จริงแดนลับเซียนเหล่านี้ดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว เมื่อยอดฝีมือของขุมพลังกึ่งชั้น 3 มาพบจึงเข้ายึดครอง และสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น…”


ตอนที่ 1,736 : มรดกเวทย์พลัง!


 


“กล่าวกันว่าแดนลับเซียนนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นค่ายกลเลิศล้ำชนิดหนึ่ง นอกจากนี้การคงสภาพมันเอาไว้จำต้องใช้พลังงานมหาศาลมาสนับสนุน…และพลังงานที่ว่าก็มีแค่สายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 เท่านั้นที่จะมอบให้ได้”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวสืบต่อ “เท่าที่ข้ารู้มา ค่ายกลพิสดารอย่างแดนลับเซียนอะไรนี่ มันจะสั่งสมพลังวิญญาณฟ้าดินจำนวนมหาศาลเป็นเวลาหลายปี เมื่อพลังงานสั่งสมมากพอถึงจุดๆหนึ่งมันถึงจะเปิดออก…”


 


“เพราะเหตุนี้ทำให้แดนลับเซียนมักจะถูกเปิดให้เข้าเป็นประจำในเวลาที่ตายตัว”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบ


 


“นอกจากนั้นภายในแดนลับเซียน ยังมีกระทั่งสิ่งที่ตัวตนอันเหนือกว่าอริยะเซียนยังต้องการ!”


 


กล่าวเรื่องนี้ออกมา ลมหายใจหวางเฟยเซวียนเริ่มเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนขึ้น


 


“หืม? มีกระทั่งสิ่งที่ตัวตนเหนือกว่าอริยะเซียนยังต้องการงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย


 


“ใช่”


 


หวางเฟยเซวียนพยักหน้า


 


“แล้วนั่นมันอะไรกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าแดนลับเซียนที่เปิดให้อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่า 40 ปีเข้าไปแบบนี้ มันจะไปมีของที่ดึงดูดตัวตนที่เหนือกว่าขอบเขตอริยะเซียนได้ยังไง?


 


“เวทย์พลัง!”


 


มองสบตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง หวางเฟยเซวียนค่อยๆกล่าวออกทีละคำ


 


เวทย์พลัง!


 


พอได้ยินคำนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม้ได้ที่จะกระตุก บางทีแต่ก่อนเขาอาจไม่รู้ว่าเวทย์พลังคืออะไร แต่หลังจากที่ได้เพาะสร้างต้นเบบเวทย์พลังหนึ่งจากคำชี้แนะของผู้เฒ่าหั่วไว้ในร่างแล้ว เขาก็รู้ว่าเวทย์พลังคืออะไร


 


เวทย์พลังนั่นประหนึ่งความสามารถพิเศษที่มีเพียงตัวตนด่านพลังเซียนมนุษย์ขึ้นไปจะใช้มันได้ เวทย์พลังดีๆ พลังอำนาจของมันยังร้ายกาจกว่าวรยุทธ์เซียนเสียอีก!


 


แต่แน่นอนว่าแม้เวทย์พลังจะฟังดูดีทั้งร้ายกาจ ทว่าเวทย์พลังที่ใช้งานได้เลิศล้ำจริงๆนั้นมิใช่พบได้ทั่วไป กระทั่งตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ทั้งหลาย กว่า 9 ส่วนก็ครอบครองแต่เวทย์พลังกิ๊กก๊อก ที่ไม่อาจใช้ในการต่อสู้ได้จริง


 


เช่นเดียวกับ ร่างอวตาร ที่เซียนมนุษย์ทุกคนล้วนใช้งานได้…แน่นอนว่าสิ่งนี้นอกจากจะใช้ต่าง เครื่องราง ให้ชนรุ่นหลังมีไว้ป้องกันภัยก็ไร้พลังอำนาจอะไรมากมาย


 


“เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะไม่รู้จักเวทย์พลัง เพราะนั่นคือพลังอำนาจที่มีแต่ตัวตนในขอบเขตเซียนมนุษย์เท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญได้…”


 


เมื่อเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปคล้ายกำลังตกใจ นางก็คิดว่านี่สมควรเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเคยได้ยินคำว่า เวทย์พลัง ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไม่เบื่อหน่าย “ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วจักมีเวทย์พลังไว้ใช้งาน…ทว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ มีเพียงเวทย์พลังที่ตัวตนระดับเซียนปฐพีครอบครองอยู่เท่านั้น ถึงจะเรียกว่ามีประสิทธิภาพมากพอที่จะเอามาใช้ในการต่อสู้จริง…”


 


“ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ส่วนใหญ่ จักมิค่อยมีเวทย์พลังดีๆอะไรมากมายให้ใช้งาน ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเวทย์พลังที่ไร้พิษสง ไม่ต่างอะไรจาก ร่างอวตาร ที่เป็นเหมือนปาหี่หลอกเด็กนั่น…”


 


หวางเฟยเซวียนค่อยๆอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างตั้งใจ และยกตัวอย่างเวทย์พลังง่ายๆให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก คล้ายจะทำให้ต้วนหลิงเทียนแตกฉานเรื่องเวทย์พลังในครั้งเดียว


 


“แน่นอนว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ยังมีเซียนมนุษย์บางคน ที่มีเวทย์พลังอันร้ายกาจไว้ใช้งาน และเวทย์พลังที่ทรงพลังอำนาจเหล่านั้นล้วนถูกพวกมันเพาะสร้างจากมรดกเวทย์พลังที่ชนรุ่นก่อนตกทอดมาไว้ให้…”


 


“เวทย์พลังนั้นไม่ว่าจะเป็นมรดกตกทอดหรือมีผู้ชี้แนะสอนสั่งก็ตามที แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับไหวพริบปฏิภาณของเจ้าว่ามีสามารถพอจะเรียนรู้เข้าใจได้หรือไม่…เพราะมิใช่ทุกๆคนสามารถควบคุมใช้งานเวทย์พลังได้ง่ายๆทุกชนิด!”


 


หวางเฟยเซวียนยังคงกล่าวสืบต่อ


 


“ในแดนลับเซียนที่ว่า มันมีมรดกตกทอดเวทย์พลังงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่ ไหนเลยเขาจะไม่รู้เรื่องที่หวางเฟยเซวียนจะสื่อ


 


“ถูก”


 


หวางเฟยเซวียนพยักหน้า “มรดกตกทอดที่ยอดคนทิ้งเอาไว้ นับเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในแดนลับเซียน…แม้พวกเราจะพบพานมรดกตกทอดเวทย์พลังในแดนลับเซียน แต่พวกเราก็ได้ทำได้แค่จดจำเอาไว้ในใจก่อนเท่านั้น เพราะด้วยพลังฝึกปรือของพวกเราตอนนี้ยังไม่มีพลังมากพอจะทำความเข้าใจมันจนแตกฉาน กระทั่งเพาะสร้างมันได้…”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นมรดกตกทอดเวทย์พลังในแดนลับเซียนนั้นมิอาจทำซ้ำได้ในเวลาอันสั้น…ถึงแม้พวกเราจะจดจำได้ แต่พวกเราไม่อาจแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ เพราะองค์ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดผ่านสำนึกสติในมรดกจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละคน สิ่งที่เจ้ารับรู้อาจไม่เหมือนที่ข้ารับรู้ ทำให้พวกเราจำต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์เสียก่อน…จนเมื่อเพาะสร้างเวทย์ต้นแบบพลังนั่นได้สำเร็จแล้วจริงๆ ถึงจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อได้”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวต่อ “ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมใด ล้วนให้ความสำคัญกับแดนลับเซียนเป็นที่สุด! เพราะตราบใดที่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่เข้าไปในแดนลับเซียน สามารถผ่านการทดสอบกระทั่งได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังล้ำค่ามา…เมื่อเติบโตจนเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังนั่นสำเร็จและใช้งานได้จริง ก็จะมีความสามารถแบ่งปันเวทย์พลังดังกล่าวให้กับขุมพลัง…”


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตำหนักฟ้าลี้ลับถึงต้องการรับรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่อายุต่ำกว่า 40 เป็นจำนวนมาก…ที่แท้พวกมันมีจุดประสงค์แบบนี้นี่เอง”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดกระจ่าง


 


มรดกเวทย์พลัง!


 


นี่คือเป้าหมายหลักของขุมพลังกึ่งชั้น 3! ที่พวกมันพยายามเฟ้นหาอัจฉริยะที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ให้ควั่ก เพราะแดนลับเซียนนั้นเพียงอนุญาตให้ผู้ที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปีเท่านั้นที่เข้าไปได้


 


แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากไม่น้อยสำหรับขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่จะได้รับเวทย์พลัง จากมรดกเวทย์พลังที่ตกทอดมาในแดนลับเซียน


 


เพราะพวกมันต้องให้อัจฉริยะที่เข้าไปในแดนลับเซียนผู้นั้น พบพานกระทั่งสืบทอดมรดกเวทย์พลังด้านในแดนลับเซียนออกมา และยังต้องรอให้อัจฉริยะผู้นั้นบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์ กระทั่งยังต้องมาลุ้นว่าอัจฉริยะที่บรรลุเซียนมนุษย์แล้ว จะเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังที่สืบทอดมาได้หรือไม่…ต้องอย่าลืมว่ากว่าจะบรรลุเซียนมนุษย์ กาลเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เผลอๆบางคนอาจจะลืมเลือนไปก็มี ความเข้าใจขาดหายไปก็มี…!


 


ด้วยเหตุนี้จึงมีอัจฉริยะเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นในขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่สามารถถ่ายทอดเวทย์พลังที่ได้รับมาได้จริงๆ


 


“เมื่อเทียบกับเวทย์พลังแล้ว สิ่งอื่นด้านในล้วนไร้สำคัญกับข้า!”


 


หวางเฟยเซวียนมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง กล่าวออก


 


“เข้าเรื่องเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วพูด


 


หวางเฟยเซวียนมาหาเขาเพราะแดนลับเซียนแบบนี้ สมควรมีเรื่องบางอย่างที่ต้องพึ่งเขาแน่นอน


 


“ข้าอยากร่วมมือกับเจ้า”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเข้าประเด็น หวางเฟยเซวียนก็กล่าวตอบออกมาตรงๆทันที


 


“ร่วมมืองั้นเหรอ? ร่วมมือยังไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม


 


อันที่จริงเรื่องราวทั้งสถานการณ์ในแดนลับเซียนเป็นยังไงต้วนหลิงเทียนไม่เคยรู้มาก่อนเลย


 


เห็นได้ชัดว่าหวางเฟยเซวียนผู้นี้สมควรเข้าใจสถานการณ์ในแดนลับเซียนระดับหนึ่ง


 


เช่นนั้นเขาเลยถามนางออกมาตรงๆ ว่าคำ ‘ร่วมมือ’ ที่นางว่ามันหมายถึงอะไร


 


“ที่แออัดมากผู้คน…ยากหลีกพ้นการต่อสู้ แดนลับเซียนก็เช่นกัน”


 


หวางเฟยเซวียนคล้ายจะดูออกว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้สถานการณ์ในแดนลับเซียน นางจึงเล่าสถานการณ์ที่จะพบเจอในแดนลับเซียนให้ต้วนหลิงเทียนฟังบางส่วน “มรดกเวทย์พลังนั้นสามารถรับสืบทอดได้แค่คนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หากบังเอิญพบเจอสถานที่ตั้งมรดกพร้อมผู้อื่น ก็จำต้องต่อสู้ช่วงชิง…เพราะมีเพียงผู้ชนะคนสุดท้ายเท่านั้น จึงจะได้เข้าสู่สถานที่รับสืบทอดมรดกจนมีโอกาสเข้าใจเวทย์พลัง”


 


“แน่นอนว่าคำเข้าใจเวทย์พลังอาจกล่าวเกินจริงไปหน่อย…เพราะหากยังไม่บรรลุด่านพลังเซียนมนุษย์ย่อมเป็นไปมิได้เลยที่จะเข้าใจเวทย์พลังอย่างถ่องแท้ กล่าวให้ชัดพวกเราเพียงเข้าไปจดจำทุกสิ่งเกี่ยวกับเวทย์พลังนั่นออกมาให้ได้มากที่สุด”


 


“นอกจากนี้แม้พวกเราจะจดจำเวทย์พลังออกมาได้ แต่ยากที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่น! เพราะต่อให้กล่าวบอกออกไปทั้งหมดก็ประหนึ่งเปลือกว่างเปล่าไร้วิญญาณ เป็นไปมิได้ที่พวกเราจะถ่ายทอดเวทย์พลังจากมรดกที่รับรู้มาให้ใครได้หากพวกเรายังไม่อาจใช้งานมันได้จริงๆ”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจในสิ่งที่หวางเฟยเซวียนกล่าวบอกชัดเจน


 


หาไม่แล้วขุมพลังกึ่งชั้น 3 คงไม่ลำบากเฟ้นหาอัจฉริยะมากมายที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ปี เพราะหากแค่จดจำเนื้อความมาแล้วใช้เวทย์พลังได้ เพียงพวกมันส่งคนเข้าไปโดยเอาจำนวนเข้าว่าก็จบ ทว่าเวทย์พลังนั้นมันถ่ายทอดมาในรูปแบบสำนึกสติ ถึงได้รับมาแต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่อาจเพาะสร้างมันได้


 


มีเพียงแต่เข้าใจถ่องแท้จนสามารถเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังได้แล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้


 


แน่นอนว่าทุกผู้คนที่ได้สืบทอดมรดกเวทย์พลังมา ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เวทย์พลังได้ทุกคน! ยังขึ้นอยู่กับไหวพริบปฏิภาณเป็นหลัก…เช่นนั้นแล้วหากเป็นตัวโง่งมได้ของดีมาถึงแม้พวกมันอยากส่งต่อให้ตาย แต่ก็ไม่มีปัญญาจะส่ง!!


(อารมณ์เหมือน เด็ก ป.3 ได้สูตรฟิสิกส์ ม.6 มา จำสูตรได้ว่าเขียนยังไง แต่ฟังที่ตอนที่ครู่สอนไม่เข้าใจเลย จนไม่รู้ว่าตัวอะไรแทนอะไร…มันก็เลยเอาไปสอนใครไม่ได้ ทำได้แต่เขียนสูตรให้คนอื่นเอาไปนั่งงงต่อ เก็ทนะ!)


 


“ในแดนลับเซียนมีมรดกเวทย์พลังหลากหลายระดับ…สำหรับเวทย์พลังระดับต่ำๆ พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจาก ร่างอวตาร เพียงปาหี่มิอาจใช้สู้จริงได้ เวทย์พลังที่ดีขึ้นมาหน่อยก็ทัดเทียมได้กับวรยุทธ์เซียนอันร้ายกาจ เช่นนั้นแล้วหากมีเวทย์พลังดีๆ พลังฝีมือก็ย่อมสูงขึ้น หากประยุกต์ใช้กับวรยุทธ์เซียนได้ผลลัพธ์ก็ยิ่งเพิ่มพูน!”


 


“หากเป็นเวทย์พลังชั้นสูงๆล่ะก็ เมื่อเพาะสร้างกระทั่งใช้มันออกได้ พลังอำนาจของมันยังเหนือกว่าวรยุทธ์เซียนเสียอีก หากมีไว้ในครอบครองก็ประหนึ่งเข้าทำเนียบสุดยอดฝีมือไปครึ่งตัว!”


 


กล่าวถึงจุดนี้ประกายตาของหวางเฟยเซวียนเผยประกายเจิดจ้าร้อนแรงออกมา


 


“อนิจจาเวทย์พลังระดับสูงนั้นหาได้ยากเย็นนัก…อีกทั้งจำต้องผ่านบททดสอบมากมายกว่าจะได้รับ หากทดสอบล้มเหลวก็ถือว่าสิ้นวาสนากับเวทย์พลังดังกล่าว กระทั่งเผลอๆอาจจะถูกคัดออกจากแดนลับเซียน”


 


กล่าวถึงจุดนี้ หวางเฟยเซวียนมองสบตาต้วนหลิงเทียน “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดร่วมมือกับเจ้า หากพวกเราร่วมมือกันย่อมมีพลังรบกล้าแข็งนัก ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะฝ่าด่านทดสอบของเวทย์พลังระดับสูง!”


 


กล่าวจบคำ ประกายตาของหวางเฟยเซวียนก็ยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้น


 


“ที่แท้เจ้าก็หวังเรื่องนี้นี่เอง…”


 


หลังได้ฟังคำของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มบางๆ พร้อมส่ายหน้า กล่าวออก “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดจะร่วมมือกับเจ้า…”


 


“เจ้า!!”


 


หวางเฟยเซวียนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวปฏิเสธออกมาโต้งๆโดยแทบไม่ต้องคิดแบบนี้ สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที “ไฉนเจ้าเป็นซะอย่างนี้เล่า! ข้าอุตส่าห์ตั้งใจมาหาเจ้าเพื่อที่พวกเราจะได้ร่วมมือกันแท้ๆ แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้าโดยไม่แม้แต่จะคิดเลยแบบนี้…หรือเจ้าคิดว่าร่วมมือกับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร?”


 


“อ่า…ร่วมมือกับเจ้าไปก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น…”


 


เหลือบมองหวางเฟยเซวียนครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หวางเฟยเซวียนเป็นแค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นด้วยซ้ำ ต่อให้นางเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจจะร่วมมือกับนางสักนิด


 


สำหรับเขา ร่วมมือกับหวางเฟยเซวียนก็ไม่ต่างอะไรจากหอบหิ้วตัวภาระไปด้วย!


 


หากเป็นคนอื่นๆ มีหวางเฟยเซวียนมาขอความร่วมมือแบบนี้คงยากจะปฏิเสธได้ เพราะแม้จะไม่ได้ดูที่พลังฝีมือ แต่ด้วยความงดงามของนางก็ทำให้ยากหักใจปฏิเสธได้ลงคอ…


 


แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนที่มีคู่หมั้นงดงามถึง 2 กระทั่งยังมีสตรีคนรักที่งามไม่แพ้กันอีกคน เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรหวางเฟยเซวียนเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าไม่พิศวาสนางสักกะผีกเดียว…!


ตอนที่ 1,737 : 2 ตัวภาระ?


หลังจากกล่าวปฏิเสธหวางเฟยเซวียนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าบ้านทั้งปิดประตูหน้าตาเฉย โดยไม่สนใจหวางเฟยเซวียนที่ยังยืนอึ้งอยู่แม้แต่น้อย


 


‘จะว่าไปถ้าพูดถึงเรื่องร่วมมือ…ข้าก็ชวนพวกหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยให้มาร่วมมือด้วยได้นี่นา’


 


หลังจากที่กลับเขามาในบ้านได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟย ที่เข้าตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งวังนภาพร้อมเขาขึ้นมา


 


หลิวเจี้ยนนั้นมาจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง แถมยังเป็นหลานชายของหลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งอีกด้วย


 


ส่วนเริ่นเฟยนั้นเป็นคนจากคฤหาสน์ข้ามฟ้า และดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีสัมพันธ์อันดีกับเริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าไม่น้อย


 


และไม่ว่าจะเป็นหลิวหงกวงหรือเริ่นจง ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกติดค้างทั้งคู่อยู่ จนป่านนี้ยังรู้สึกผิดในใจไม่น้อยที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอเก้อเช่นนั้น เขาจึงคิดอยู่เสมอว่าจะตอบแทนบุญคุณทั้งคู่ทันทีที่มีโอกาส


 


พอได้รู้ถึงสถานการณ์ในแดนลับเซียน ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะตอบแทนบุญคุณแล้ว!


 


ตราบใดที่เขาให้ความร่วมมือกับหลิวเจี้ยนและเริ่นเฟย ช่วยเหลือให้ทั้งคู่ได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียน ก็ถือได้ว่าเขาตอบแทนบุญคุณของหลิวหงกวงกับเริ่นจงทางอ้อม!


 


เขา ต้วนหลิงเทียน ไม่ชอบติดค้างผู้ใด หากเป็นไปได้ย่อมชดใช้ทันที!


 


“จะว่าไปพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ต้องขอบคุณหวางเฟยเซวียนล่ะนะที่มาบอกสถานการณ์ภายในแดนลับเซียนให้ข้า…ในเมื่อข้าจะร่วมมือกับหลิวเจี้ยนและเริ่นเฟยแล้ว งั้นเพิ่มนางไปด้วยอีกคนก็ไม่เป็นไร…”


 


เมื่อคิดได้แบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันหลังกลับทันที พอเปิดประตูออกมาก็ได้เห็นหวางเฟยเซวียนอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามหวางเฟยเซวียนกลับยืนเหม่อปานวิญญาณหลุดลอย ไม่รู้สึกตัวอยู่นานสองนาน


 


หวางเฟยเซวียนนั้น นางคือหลานสาวคนดีของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชและยังเป็นเหมือน วีรสตรีน้อย ของคฤหาสน์ดาบทรราช ไม่ว่าผู้ใดก็มักเอาอกเอาใจนาง ยกย่องนางปานบรรพบุรุษ ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายโดยเฉพาะบุรุษหมายถวายตัวรับใช้นางทั้งสิ้น


 


เรียกได้ว่าประหนึ่งนางเป็น ธิดาสวรรค์ ของคฤหาสน์ดาบทรราชก็ว่าได้!


 


แน่นอนว่าแม้จะเป็นนอกคฤหาสน์ดาบทรราช ก็ไม่เคยมีใครในรุ่นกล้าเมินเฉยนาง!


 


เรียกว่ายามพบพานคนในรุ่นเดียวกัน ไม่ว่านางจะหันไปหน้าไปทางใด ในสายตาคล้ายมีผู้คนที่ยินดีเป็นสุนัขรับใช้วิ่งมาเสนอตัว และยากจะมีใครปฏิเสธคำขอของนางไม่ว่าจะอะไรก็ตามที


 


ทว่าหลังจากมาอยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับได้ไม่ทันไร หวางเฟยเซวียนก็ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจปานถูกจู่โจมอย่างรุนแรงจากชายนาม หลิงเทียน ครั้งแล้วครั้งเล่า แถมอีกฝ่ายยังเป็นสุดยอดอัจฉริยะปานบุตรแห่งสวรรค์ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรรดารุ่นเยาว์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


วันนี้นางก็ตั้งใจมาหาหลิงเทียนด้วยคิดว่าหลิงเทียนจะเห็นด้วยกับคำขอของนาง ให้ความร่วมมือกับนางแต่โดยดี อนิจจาอีกฝ่ายคล้ายไม่อยากร่วมมือกับนางแม้แต่น้อย


 


ถึงแม้นางจะเข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ชัดดี แต่นางก็รู้สึกยากยอมรับ


 


เหตุผลที่นางเข้าใจก็ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะนางรู้ตัวดีว่าหากอยู่ต่อหน้าหลิงเทียน พลังฝีมือของนางไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ทว่าเรื่องนี้สำหรับนางยังไม่เท่าไหร่!!


 


แต่ที่ทำให้นางรู้สึกยากยอมรับอย่างถึงที่สุดนั้น เพราะนางเป็นสตรีคนหนึ่ง ยังเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตางดงามดั่งภาพวาด แต่นางกลับถูกบุรุษผู้หนึ่งเมินเฉยอย่างไม่ใยดี!!


 


หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าชายคนนี้มีสตรีอยู่ถึง 3 นางคงคิดไปว่าอีกฝ่ายไม่ชมชอบสตรี!


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้หวางเฟยเซวียนรู้สึกสะทกสะท้อนอย่างหนัก


 


“เฮ่!”


 


ในขณะที่หวางเฟยเซวียนทำหน้าเหยเกปานปวดท้องนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเข้าหูปลุกสตินางให้ตื่นจากภวังค์ทันที


 


ชายที่นางกำลังสาปแช่งบรรพบุรุษทั้ง 18 รุ่นอยู่ในใจ ไม่ทราบมาปรากฏตัวตรงหน้านางตั้งแต่เมื่อไหร่


 


“มีอะไร!”


 


หวางเฟยเซวียนมิคิดประพฤติตัวเป็นเห็บสุนัข ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธนางแล้ว นางก็ไม่หน้าด้านพอจะตามตื๊อเซ้าซี้คนที่ไม่แยแสนางอีกต่อไป


 


“ข้าร่วมมือกับเจ้าก็ได้…”


 


เผชิญหน้ากับสายตาท่าทางไร้แยแสของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไร เพียงกล่าวตอบออกไปเสียงเรียบ


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าของหวางเฟยเซวียนพลันกลายเป็นอื้ออึงทันที


 


ผู้ที่พึ่งปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใย กลับมาตอบตกลงร่วมมือกับนาง?


 


มีแต่ผู้คนชอบว่าอิสตรีใจโลเลยากหยั่งถึง…แล้วบุรุษที่เปลี่ยนใจไวเช่นนี้ให้เรียกอะไร?


 


“แต่ข้ามีเงื่อนไข…”


 


พอต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ขึ้นมา สีหน้างุนงงไม่เข้าใจของหวางเฟยเซวียนก็เปลี่ยนไป แววตากลายเป็นคมกล้า มองจ้องมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยความรังเกียจปานมองขยะ “หากเจ้าคิดจะขึ้นเตียงกับข้าเพราะแค่เรื่องให้ความร่วมมือนี่ล่ะก็ เจ้าฝันไปเถอะ! ถึงแม้ข้าอยากจะร่วมมือกับเจ้า แต่ข้ามิคิดขายตัว!!”


 


“ฮึ!!”


 


หลังจากกล่าวจบคำหวางเฟยเซวียนก็พ่นลมออกมาด้วยสีหน้ารังเกียจ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป โดยที่ต้วนหลิงเทียนไม่ทันจะกล่าวอะไรออกมาสักคำด้วยซ้ำ


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับยืนเหวอไปตาปริบๆ


 


สตรีนางนี้คิดว่าเขาจะฉวยโอกาสนาง?


 


ได้ถามสักคำหรือไม่! ว่าเขาต้องการนางไหม?


 


“ช้าก่อน!”


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าหากตอนนี้ไม่เร่งกล่าวอธิบายอะไรออกไป ไม่วายเหมือนเขายอมรับว่าเขาคิดกระทำเช่นนั้นจริงๆ จึงรีบรั้งหวางเฟยเซวียนเอาไว้


 


หวางเฟยเซวียนหยุดและหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่ไม่กล่าวคำอะไร


 


“แม่นางหวาง…เจ้าจะไม่คิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยรึไง? หรือเจ้าเห็นข้าเป็นคนไร้ยางอายแล้วจริงๆ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวทั้งกล่าวออกมาด้วยสีหน้าระอา “พูดกันตรงๆ แม้เจ้าจะมีรูปโฉมงดงามทั้งรูปร่างแลดูดี แต่พวกมันไม่ได้ทำให้ข้าสนใจอะไรแม้แต่นิดเดียว…เพราะคู่หมั้นรวมถึงสตรีคนรักของข้า ไม่มีใครด้อยไปกว่าเจ้าแม้แต่น้อย”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาแบบนี้ หวางเฟยเซวียนก็เห็นว่าแววตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองนางนั้น นอกจากความระอาแล้วก็มีแต่ความบริสุทธิ์ใจไม่ได้มีแววตาชั่วร้ายอะไรแม้แต่น้อย มาตอนนี้นางพลันตระหนักได้ว่านางเข้าใจอีกฝ่ายผิดไป!


 


ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ


 


แววตาไม่อาจหลอกลวง!


 


เมื่อหวางเฟยเซวียนรู้ตัวว่าที่แท้นางเข้าใจต้วนหลิงเทียนผิด นางก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออกมาอย่างเริงร่า แลดูมีเสน่ห์ไม่น้อย


 


“แล้วเจ้าต้องการอันใดหรือ?”


 


หากอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการเรื่องอย่างว่า นางก็สามารถยอมรับได้หมด เพราะนางอยากร่วมมือกับต้วนหลิงเทียนจริงๆ


 


แน่นอนว่าแทนที่จะกล่าวว่าร่วมมือ กล่าวว่านางอยากจะกอดต้นขาต้วนหลิงเทียนไปด้วยเสียจะเหมาะกว่า เพราะนางเชื่อว่าหากพึ่งพาต้วนหลิงเทียนได้ล่ะก็ นางต้องมีโอกาสเข้าถึงมรดกเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียนมากขึ้นแน่ๆ!!


 


“ข้าต้องการให้เจ้าไปตามหาคนสองคน และชวนทั้งคู่ให้มาร่วมมือกับพวกเรา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกหวางเฟยเซวียน


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน สองตาหวางเฟยเซวียนทอประกายจ้าทันใด “ผู้ใด!?”


 


ในสายตาของนาง กระทั่งตัวนางที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นต้น ต้วนหลิงเทียนยังไม่อยากจะร่วมมือด้วย…เช่นนั้นผู้ที่ต้วนหลิงเทียนอยากชวนมาร่วมมือ สมควรเป็นคนที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเหนือนางแน่นอน!


 


สำหรับนางแล้วเรื่องนี้นับเป็นเรื่องดี!


 


‘ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าเจ้าทึ่มมันมาอยู่วังนภาได้ไม่ทันไร จะมีสหายเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์แล้ว…ดูเหมือนว่าในวังนภาผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีและมีพลังฝีมือเหนือข้าก็มีอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนเท่านั้นนี่นา…หรือหลิงเทียนจะให้ข้าไปชวนพวกมัน?’


 


เมื่อนึกถึงเรื่องีน้หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง มิใช่นางจะมีต้นขาให้กอดถึง 3 ข้างแล้วหรือไร! โอกาสที่นางจะได้ครอบครองเวทย์พลังระดับสูงก็ยิ่งมีมากขึ้น!!


 


“หลิงเจี้ยนกับเริ่นเฟย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบหวางเฟยเซวียน


 


วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนพอดังเข้าหูหวางเฟยเซวียน ก็ไม่ต่างใดจากน้ำเย็นราดรดลงศีรษะของนาง พาลให้ใจที่ตื่นเต้นยินดีแป้วลงทันใด


 


หลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟย 2 นามนี้ไม่ใช่นามแปลกหูนางแต่อย่างไร เพราะนางก็รู้จักทั้งคู่ กระทั่งเคยเจอหน้ากันอยู่บ้าง


 


แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็เป็นแค่อัจฉริยะจากขุมพลังชั้น 4…


 


กระทั่งเริ่นเฟยที่ว่า…ครั้งหนึ่งยังตามวอแวหมายเกี้ยวนาง! แต่สุดท้ายก็ถูกนางทุบตีไล่ตะเพิดกลับไปจนไม่กล้ามายุ่งกับนางอีก!!


 


“เจ้า…เจ้ารู้จักพวกมันด้วยหรือ?”


 


นางไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าไฉนชายเบื้องหน้าถึงต้องการร่วมมือกับหลิวเจี้ยนและเริ่นเฟย เพราะทั้งคู่นั้นพลังฝีมือยังไม่อาจสู้นางได้ด้วยซ้ำ รับทั้งคู่มาด้วยไม่เพียงไม่ช่วย ยังจะกลายเป็นถ่วงรั้งดั่งตัวภาระเสียอีก!


 


“ข้าไม่รู้จักพวกมันหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมา


 


หวางเฟยเซวียนหลงคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรรู้จักทั้งคู่ดีแน่ๆ ถึงได้คิดชวนทั้งคู่มาเข้าร่วมกลุ่มตะลุยแดนลับเซียนไปด้วยกันแบบนี้…


 


แต่พอนางได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบว่าไม่รู้จัก นางถึงกับพูดไม่ออก “เจ้าไม่แม้แต่จะรู้จักพวกมัน แต่เจ้ายังคิดให้พวกมันมาเข้าร่วมกลุ่มเนี่ยนะ? นี่เจ้ารู้หรือไม่แม้พวกมันทั้งคู่จะเป็นอัจฉริยะจากคฤหาสน์คลื่นคลั่งและคฤหาสน์ข้ามฟ้า แต่พวกมันยังไม่แม้แต่จะทะลวงถึงเซียนขัดเกลา!”


 


“โดยเฉาะเริ่นเฟยนั่น มันก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญที่อ่อนด้อยเท่านั้น”


 


วาจาท้ายประโยคของหวางเฟยเซวียนเผยความรู้สึกยากยอมรับนัก


 


“ถึงแม้จะไม่รู้จักแต่พวกมัน แต่กล่าวได้ว่าข้าติดค้างอาวุโสของพวกมันอยู่ ข้าจึงคิดจะตอบแทนหนี้บุญคุณโดยการช่วยเหลือพวกมันทั้งคู่ในแดนลับเซียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่อ “แน่นอนว่าเจ้าจะปฏิเสธการร่วมกลุ่มครั้งนี้ก็ได้…แต่ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง ถ้าเจ้าปฏิเสธไม่อยากร่วมมือกับพวกมัน นั่นหมายความว่าเจ้าปฏิเสธไม่ร่วมมือกับข้าด้วยเช่นกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนมอบทางเลือกให้หวางเฟยเซวียนแค่ 2 ทางเท่านั้น


 


หวางเฟยเซวียนพอได้ยินวาจานี้ ยิ่งมาก็ยิ่งหดหู่อย่างบอกไม่ถูก


 


นางอยากร่วมมือกับต้วนหลิงเทียนเพราะนางเล็งเห็นถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจของต้วนหลิงเทียน และคิดว่าอีกฝ่ายต้องพานางได้ดีแน่นอน แต่ตอนนี้หากนางคิดร่วมมือกับเขา นางจำต้องยอมรับตัวภาระ 2 ตัวที่จะติดสอยห้อยตามไปด้วย…


 


“ว่าไงแม่นางหวาง ตกลงเจ้าตัดสินใจได้รึยัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ไม่เป็นไรที่เจ้าจะให้พวกมันเข้าร่วม…แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่าจะไม่ปล่อยให้พวกมันถ่วงรั้งจนขวางทางพวกเรา”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“อะไรกันแม่นางหวาง นี่เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้าเลยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ


 


บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มบางๆเปี่ยมความมั่นใจนี้ ที่ทำให้หวางเฟยเซวียนรู้สึกมั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด นางจึงไม่คิดกล่าวคำใดให้มากความอีก เร่งออกไปตามหาหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยทันที


 


“อะไรนะ? หลังจากเข้าแดนลับเซียนแล้ว…ท่านอยากให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มเล็กๆของท่านกับหลิงเทียน?”


 


ตอนแรกเมื่อเห็นหวางเฟยเซวียนมาหาตัวเองถึงบ้าน หลิวเจี้ยนก็อื้ออึงไม่น้อยด้วยไม่ทราบว่าท่านย่าน้อยผู้นี้คิดทำอะไรกับมัน แต่พอหวางเฟยเซวียนกล่าวบอกเจตนาการมา ใจมันก็รู้สึกเริงร่ายินดีทันที!


 


หวางเฟยเซวียน หลิงเทียน ทั้งคู่คือ 2 ผู้เข้มแข็งในบรรดาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ทั้ง 37 คนที่พึ่งเข้าร่วมกบตำหนักฟ้าลี้ลับ!


 


การเข้าไปในแดนลับเซียนครั้งนี้มันเองก็รู้ดีว่าสมควรยากลำบากไม่น้อย มันยังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาสหายสัก 2-3 คนเพื่อร่วมมือช่วยเหลือกันในนั้นดีหรือไม่


 


แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่ามันยังไม่ทันไปหาใคร หวางเฟยเซวียนจะมาเยือนถึงหน้าประตู และส่ง ‘ขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่’ ให้มันเองเช่นนี้!


 


“หากเจ้าต้องการก็ตามนั้น…แต่หากเจ้าไม่อยากเข้าร่วม เจ้าต้องตามข้ามาและไปปฏิเสธกับหลิงเทียนด้วยตัวเอง เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเขาจะหาว่าข้าโกหกเรื่องที่เจ้าไม่อยากเข้าร่วม…”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


ตอนที่ 1,738 : ระฆังกระบี่คลุมกาย!


 


“ตกลง! ตกลง! ข้าเอาด้วย!!”


 


สิ้นคำหวางเฟยเซวียน หลิวเจี้ยนเร่งกล่าวตอบออกมาจนลิ้นแทบพันกัน ด้วยกลัวว่าหากตอบช้าเดี๋ยวจะเสียโอกาสเข้าร่วมกลุ่มนางกับหลิงเทียน


 


ล้อกันเล่นหรือไร!?


 


รวมกลุ่มกับหลิงเทียนและหวางเฟยเซวียนในแดนลับเซียนนั้น เป็นเรื่องที่ประเสริฐถึงที่สุด! เว้นเสียแต่มันจะถูกลาเตะหัวมาอย่างแรง มันไม่มีทางปฏิเสธเรื่องนี้แน่!!


 


“เอาล่ะในเมื่อเจ้าเอาด้วยก็ตามนั้น อย่างไรก็ตามมีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องไปทำ”


 


หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยมองหลิวเจี้ยนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง “เจ้าสมควรรู้จักเริ่นเฟยจากคฤหาสน์ข้ามฟ้าใช่ไหม?”


 


“อื้ม ข้ารู้”


 


หลิวเจี้ยนเร่งพยักหน้าตอบคำออกไปทันที หากแต่มันก็ได้แต่มองหยางเฟยเซวียนด้วยสายตาสงสัย ‘อย่าได้บอกข้าเชียวนะ… ว่าคุณหนูผู้นี้อยากให้ข้าไปสั่งสอนบทเรียนเริ่นเฟยเพื่อพิสูจน์ความภัคดี…และนี่เป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมกลุ่มของหลิงเทียนกับนาง?’


 


มันเคยได้ยินเรื่องที่เริ่นเฟยเคยไล่ตามเกี้ยวพาราสีหวางเฟยเซวียนมาอยู่บ้าง


 


ตอนนั้นมันไม่คิดว่าเริ่นเฟยจะมีผลลัพธ์อันดีอะไร ทว่าความจริงที่เกิดขึ้นจะเหนือคาดคิดมันไปมาก เริ่นเฟยไม่เพียงจีบนางไม่สำเร็จยังถูกนางไล่ทุบตีจนเป๋ หนีกลับคฤหาสน์ข้ามฟ้าแทบไม่ทัน…


 


เช่นนั้นแล้วพอได้ยินหวางเฟยเซวียนกล่าวถึงเริ่นเฟยขึ้นมา ความคิดแรกของมันก็คือนางเป็นสตรีเจ้าคิดเจ้าแค้น และกำลังคิดให้มันไปทุบตีสั่งสอนเริ่นเฟยอีกครั้งเป็นแน่…!!


 


‘สหายเริ่น…ขออภัยด้วย แต่ลิขิตฟ้าบัญชามาเช่นนี้…’


 


หลิวเจี้ยนตัดสินใจได้แทบจะทันที เพื่อเข้าร่วมกลุ่มของหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนแล้ว…เริ่นเฟยจำต้องเจ็บ!


 


อย่างไรก็ตามพอหวางเฟยเซวียนกล่าวคำสืบต่อออกมา มันก็ตระหนักได้ว่าเป็นมันเข้าใจผิดไปเอง…


 


“เจ้าไปหาเริ่นเฟยและถามมันที ว่ามันสนใจจะเข้าร่วมกลุ่มข้ากับหลิงเทียนหรือไม่..หากมันเต็มใจก็ให้มันเตรียมตัวเข้าแดนลับเซียนเสีย และหากมันไม่สนใจคิดปฏิเสธเพราะละอายใจว่าพลังฝีมือไม่ถึง ก็ให้มันไปปฏิเสธหลิงเทียนด้วยตัวเอง…”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าว


 


“ให้ข้าไปชวนเริ่นเฟยเข้าร่วมกลุ่มเราด้วยหรือ?”


 


หลิวเจี้ยนขมวดคิ้ว เพราะพลังฝีมือของเริ่นเฟยนั้นอ่อนด้อยกว่ามันมาก


 


กล่าวด้วยความสัตย์จริง วันนี้ต่อให้หวางเฟยเซวียนไม่มาชักชวนมัน และมันจำต้องไปหากลุ่มด้วยตัวเอง มันก็ไม่คิดพิจารณาเริ่นเฟยแต่เป็นอัจฉริยะที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับมัน…แน่นอนว่าอัจฉริยะที่พลังมือร้ายกาจกว่า มันก็ไม่คิดไปชวนเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายคงไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับมัน…


 


สุดท้ายแล้วในแดนลับเซียนก็มีผลประโยชน์มากมายรอให้เก็บเกี่ยว ดังนั้นย่อมไม่มีใครเต็มใจที่จะร่วมมือกับผู้ที่อ่อนแอกว่า


 


ด้วยเหตุนี้ยามที่หวางเฟยเซวียนมาหามันถึงหน้าประตูและยื่นข้อเสนอให้มันเข้าร่วมกลุ่มกับนางและหลิงเทียน มันจึงรู้สึกเสมือนได้รับขนมเปี๊ยะที่หล่นร่วงลงมาจากฟ้า…


 


“อะไร? พวกเรามิได้ดูถูกเจ้า หรือเจ้าคิดดูถูกเริ่นเฟย?”


 


เมื่อเห็นหลิวเจี้ยนขมวดคิ้วหน้ายู่ ไหนเลยหวางเฟยเซียนจะไม่ล่วงรู้ความคิดในหัวของอีกฝ่าย


 


หลิวเจี้ยนพอได้ยิน ก็ยิ้มออกมาเจื่อนๆด้วยความละอายใจ


 


ถูกแล้ว…


 


ด้วยพลังฝีมือของหวางเฟยเซวียนกับหลิงเทียน มันยังนับเป็นตัวอะไรได้? มันอาศัยอะไรไปดูถูกเริ่นเฟย?


 


“แม่นางเฟยเซวียน”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง หลิวเจี้ยนพลันรวบรวมความกล้าทั้งหมดกล่าวถามออกมา “ด้วยพลังฝีมือของท่านกับคุณชายหลิงเทียน แค่พวกท่านสองคนร่วมมือกันก็สมควรไร้ผู้ต้านแล้ว ไฉนพวกท่านต้องรับข้ากับเริ่นเฟยเข้าร่วมกลุ่มด้วยอีก? เพราะในสายตาทุกคนไม่เว้นตัวข้าเอง ข้ากับเริ่นเฟยนั้นไม่ต่างอะไรจากตัวถ่วงพวกท่านแม้แต่น้อย…หรือพวกท่านมิกลัวพวกเราจะถ่วงรั้งความเจริญ?”


 


ในฐานะที่เป็นหนึ่งในชนชั้นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ หลิงเจี้ยนไหนเลยจะเป็นชนชั้นโง่เขลาเบาปัญญา?


 


หลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนมาชักชวนให้มันร่วมกลุ่มเช่นนี้ เป็นไปได้หรือที่จะบริสุทธิ์ใจไร้เจตนาแอบแฝง? ใต้หล้าเคยมีเรื่องดีพรรค์นี้ด้วย?!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงอยากรู้นักว่าทำไม…!


 


แน่นอนว่ามันไม่คิดว่าทั้งคู่ตั้งใจจะทำร้ายอะไรพวกมัน เพราะด้วยพลังฝีมือของหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียน ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องลำบากทำถึงขนาดนี้เพื่อทุบตีพวกมัน…กระทั่งอีกฝ่ายอยากจะทุบตีมันตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น


 


“ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลเช่นกัน หากให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ ข้าย่อมไม่คิดนำพาตัวภาระไปด้วยถึง 2 หรอก”


 


หวางเฟยเซวียนนับเป็นอิสตรีที่ปากตรงกับใจนัก คิดอะไรกล่าวออกเช่นนั้นไม่มีสุภาพ


 


หลิวเจี้ยนก็ไม่ได้โกรธอะไรเพียงยิ้มแหยๆออกมาหน้าแห้ง…


 


“ส่วนเรื่องนี้หลิงเทียนก็มิได้กล่าวบอกอะไรข้ามากมาย เพียงบอกข้าว่าเขาเคยติดค้างอาวุโสของพวกเจ้าทั้งสองคนเท่านั้น จึงคิดช่วยเหลือพวกเจ้าในแดนลับเซียนเป็นการตอบแทน…เจ้านับว่าโชคดีจริงๆ เพราะด้วยมีเขาช่วยเจ้าอาจได้รับกระทั่งมรดกเวทย์พลังระดับสูง”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบเสียงเบา


 


“แล้วก็อย่าลืมเรื่องที่ข้าบอกให้เจ้าไปทำเล่า…”


 


เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ หวางเฟยเซวียนก็เหินร่างจากไปทันที ฝากเรื่องชวนเริ่นเฟยให้หลิวเจี้ยนทำแทน


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายเรื่องราวจากหวางเฟยเซวียนแล้วหลิวเจี้ยนก็ตระหนักเรื่องราวได้ มันไม่กล้ารอช้าอะไรอีก เร่งรุดไปหาเริ่นเฟยเพื่อทำตามคำสั่งทันที


 


“หา! แม่นางหวางมาชวนพวกเราให้เข้าร่วมกลุ่มนางกับหลิงเทียนงั้นหรือ!?”


 


เมื่อเริ่นเฟยได้ยินคำชวนของหลิวเจี้ยนสองตามันก็เบิกกว้างเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ยังฉีกยิ้มกว้างเสียจนแก้มแทบปริ เร่งกล่าวพึมพำออกมาอย่างเพ้อฝัน “ขอบคุณสวรรค์…ดูเหมือนแม่นางหวางจักได้ยินเสียงหัวใจของข้าแล้ว! อา มิเสียแรงที่แต่ก่อนข้าทุ่มเทให้นางมากมาย นางจึงนึกถึงข้าเช่นนี้…ให้ตายเถิดหากแต่ก่อนข้าไม่ยอมถอดใจและยอมทนตามตื๊อนางอีกนิด! มิแน่ว่าป่านนี้นางอาจเป็นสตรีของข้าแล้ว…”


 


“ยัง! ยังมิสายเกินไป…ตอนนี้ในเมื่อแม่นางหวางนึกถึงข้ากระทั่งถึงกับชวนให้ข้าร่วมกลุ่ม! นางต้องกำลังพยายามบอกข้าเป็นนัยแน่…ว่าหากข้าพยายามทุ่มเทเพื่อนางให้มากกว่าปีนั้น มิแน่ข้าอาจทะลวงฝ่าประตูกระดาษบานสุดท้ายนี้ไป และได้นางเป็นคนรัก!!”


 


ระหว่างกล่าวพร่ำเพ้อ สองตาเริ่นเฟยถึงกับลุกวาวสว่างไสว ปานดาราเรืองแสงกลางฟ้าราตรีกาล


 


ถึงแม้ว่าเริ่นเฟยจะกล่าวเพ้อพร่ำรำพันกับตัว แต่เสียงมันก็ไม่ได้เบาเลย หลิวเจี้ยนที่ยืนอยู่ข้างๆเองก็ได้ยินชัด ขณะฟังก็เบ้ปากมองมันด้วยสายตาละเหี่ยใจ ยังรู้สึกขมฝาดในลำคอขึ้นมาพิกล


 


สหายผู้นี้ใช่จินตนาการบรรเจิดไปหรือไม่?


 


อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสเข้าร่วมกลุ่มกับยอดฝีมืออย่างหลิงเทียนและหวางเฟยเซวียน หลิวเจี้ยนอดไม่ได้ที่จะกล่าวบอกเริ่นเฟยออกไปตรงๆ ทำลายภาพฝันอันเหลวไหลของมันเสียสิ้น “เริ่นเฟย เจ้าเลิกคิดมากเถอะ…เหตุผลที่พวกเราถูกชวนให้เข้าร่วมกลุ่มนั้น มิใช่เพราะความต้องการของแม่นางหวางแต่ นางยังกล่าวว่านางไม่เคยคิดจะรับตัวภาระอย่างพวกเราทั้งคู่ไปถ่วงมือถ่วงเท้านางด้วยซ้ำ…”


 


“อ้าว…นี่มิใช่ความต้องการของแม่นางหวางหรอกหรือ?”


 


คำพูดของหลิวเจี้ยนประโยคนี้ ดั่งน้ำเย็นใส่น้ำแข็งถึงใหญ่ราดรดลงหัวเริ่นเฟยไม่มีผิด พาลให้มันตื่นจากฝันทันที “ระ…หรือเป็นความต้องการของหลิงเทียน?”


 


“แต่ข้ามิรู้จักเขานะ..”


 


หลิวเจี้ยนได้ยินคำถามด้วยความฉงนของเริ่นเฟย ก็ได้แต่เผยยิ้มเจื่อนๆออกมา “แม่นางหวางบอกข้ามาว่า เพราะหลิงเทียนติดค้างอาวุโสของพวกเรา เพราะเหตุนี้จึงคิดตอบแทนบุญคุณโดยการช่วยเหลือพวกเราในแดนลับเซียน…”


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”


 


เริ่นเฟยพลันเข้าใจได้ทันที “ด้วยพลังฝีมือของหลิงเทียน หากพวกเราได้เขาช่วย มรดกเวทย์พลังระดับสูงก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม”


 


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”


 


หลิวเจี้ยนเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน


 


บางทีอาจเป็นเพราะมีหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยเข้าร่วมกลุ่ม หวางเฟยเซวียนถึงได้รู้สึกกดดันอย่างหนัก นางตั้งใจบ่มเพาะพลังโดยไม่กินไม่นอนตลอดเดือน ทำให้นางสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ทันก่อนที่แดนลับเซียนจะเปิดออก!!


 


ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาได้แบบนี้ หวางเฟยเซวียนย่อมมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา!


 


บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีนั้น ต่อให้เป็นวังนภาเองก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น! และตอนนี้หวางเฟยเซวียนก็ได้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั่นแล้ว!!


 


ดังนั้นในขณะที่มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา!


 


“สหายหลิง ตอนนี้ข้าทะลวงด่านพลังเรียบร้อยแล้ว พวกเรามาประมือกันหน่อยปะไร?”


 


หลังจากที่ทะลวงด่านพลัง หวางเฟยเซวียนก็รีบไปหาต้วนหลิงเทียนทันที แถมเจอหน้าก็ไม่ทักทายเพียงท้ารบออกมาทันที!


 


“หืม? เจ้าทะลวงผ่านแล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับความก้าวหน้านี้ของหวางเฟยเซวียน เขาเองก็รู้ว่านางเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้งๆที่อายุยังน้อยกว่า 40 ปี… กล่าวไปนางเองก็นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากนัก…


 


ทว่าตอนนี้หวางเฟยเซวียนกลับทะลวงด่านพลังไปอีกขั้น?


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับ ว่าในบรรดาสตรีที่เขาเคยเจอมา หวางเฟยเซวียนเป็นรองเพียงแค่เค่อเอ๋อเท่านั้น


 


“หากข้ามิทะลวงผ่าน ข้ากลัวว่าด้วยมีตัวภาระที่ลากถ่วงทั้ง 2 ตัวนั่น จะฉุดรั้งพวกเราจนเสียเรื่องแล้วจริงๆ…”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวออกตามตรง


 


“อะไร? สุดท้ายดูเหมือนเจ้าเองก็ยังไม่เชื่อมือข้างั้นสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ว่าแต่นี่เจ้าแน่ใจเหรอ ที่คิดประมือกับข้า?”


 


“ย่อมแน่! ข้าอยากรู้นักว่าข้าที่ทะลวงด่านพลังแล้ว ยังห่างกับเจ้าอีกเท่าไหร่!!”


 


หวางเฟยเซวียนกล่าวออกด้วยความกระตือรือร้น


 


“เข้ามาสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะผายมือเชื้อเชิญให้หวางเฟยเซวียนป้อนกระบวนท่า


 


หวางเฟยเซวียนก็ไม่คิดเกรงใจใดอีก ดวงตาคู่งามเผยประกายคมกล้า ปราณแรกกำเนิดปะทุออกปานระเบิด อาณาบริเวณกินรัศมี 100 หมี่รอบตัวนางพลันอบอวลไปด้วยมวลพลัง! เขตแดนของนางถูกเปิดใช้! ร่างโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!


 


คลื่นพลังขุมใหญ่จากเขตแดนเองก็พุ่งนำไปอย่างดุร้าย มวลพลังมหาศาลยังควบรวมเป็นปึกแผ่น โถมถันไปด้วยพลังสภาวะปานคลื่นกลบฟ้าถล่มลงเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างไร้ปราณี! ปานจะกลืนร่างสยบต้วนหลิงเทียนในคราวเดียว!!


 


เผชิญหน้ากับการจู่โจมของหวางเฟยเซวียนและมองคลื่นพลังที่โหมเข้ามาปานจะถมฟ้า ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มออกมาอย่างเฉยเมย ก่อนที่จะเร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่าง!


 


เพียงเวลาเสี้ยวพริบตา ปราณสุริยันแรกกำเนิดสีทองพลันเอ่อล้นออกมาฉาบคลุมไปทั่วผิวกาย แสงสีทองเรืองรองเปล่งออกมาให้เห็น! มวลปราณยังพวยพุ่งออกจากร่างฉับไว ก่อเกิดเป็นกระบี่พลังสีทองจางๆเล่มแล้วเล่มเล่าพุ่งบินฉวัดเฉวียนไปรอบกาย!


 


นี่เป็นการใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดผสานเคล็ดพลังของยอดใจกระบี่ออกในแนวทางวรยุทธ์เซียนระฆังศรคลุมกาย…เคล็ดป้องกันอันยอดเยี่ยมของวรยุทธ์เซียนมหาเกาทัณฑ์ดาวตกที่ต้วนหลิงเทียนมักใช้ในอดีต!


 


แน่นอนว่าพลังป้องกันที่เขาสำแดงออกในตอนนี้ มันเหนือกว่าระฆังศรคลุมกายในอดีตลิบลับ!


 


และวรยุทธ์เซียนป้องกันรอบนี้เขายังเลือกชื่อให้มันแล้ว..


 


“ระฆังกระบี่คลุมกาย!”


 


ชื่อกระบวนท่ายังพ้องเสียงกัน!


(ในภาษาจีนมันเขียนต่างกันคำเดียว ตรง 剑 เจี้ยนกระบี่ กับ 箭 เจี้ยนลูกศร แต่ออกเสียงเหมือนกัน)


 


มองจากไกลห่าง ร่างต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่นั้น ตอนนี้ไม่เพียงปรากฏแสงสีทองเรืองรองออกมาจากตัว! ยังมีแสงสีทองจากกระบี่พลังจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังเหินบินรอบตัว! ด้วยความที่วงโคจรของพวกมันไม่เหมือนกันจึงทำให้มองไปคล้ายระฆังทองใบหนึ่ง กำลังคลุมครอบหุ้มร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้!!


 


เพียงเวลาแค่เสี้ยวพริบตาที่ระฆังทองก่อเกิด คลื่นพลังมหาศาลของหยางเฟยเซวียนก็โถมมาเจียนบรรลุพอดี!!


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


สุดท้ายจะอย่างไรหวางเฟยเซวียนก็เป็นถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง การจู่โจมด้วยคลื่นพลังเช่นนี้ เมื่อมวลพลังแหวกอากาศด้วยความเร็วเหนือเสียง ย่อมก่อให้เกิดเสียงแตกระเบิดออกของอากาศดังต่อเนื่องไม่หยุด!!


 


เปรี๊ยงง!!!


 


พลังทำลายอันน่ากลัวของหยางเฟยเซวียนที่สุดก็ซัดปะทะเข้ากับระฆังทองที่คลุมกายต้วนหลิงเทียนอย่างจัง!!


 


“แหลกไปเสีย!!”


 


หวางเฟยเซวียนคำรามออกด้วยเสียงดุดัน ร่างนางที่ตามคลื่นพลังมาติดๆ เกร็งหมัดใช้ออกด้วยวิชาดาบ ทรราชไร้ดาบ อย่างไร้ปราณี!


 


เปรี๊ยง! ตูม! ตูม! ตูม!


 


……


 


มวลพลังมหาประลัยซัดระเบิดออกอย่างรุนแรง! ม่านพลังสีทองที่ฉาบคลุมร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับกระเพื่อมสั่นไหวไม่หยุด!!


 


อย่างไรก็ตามหากมองให้ละเอียดจะพบว่าแม้ม่านพลังสีทองที่ฉาบคลุมกายต้วนหลิงเทียนจะสั่นไหวอย่างแรง หากแต่กระบี่พลังสีทองที่ท่องทะยานโคจรวนเวียนรอบกายนั้น ยังคงเหินพุ่งฉับไว คงวงโคจรไว้ไม่หลุดวิถี…


 


นอกจากนั้นความเร็วในการเหินพุ่งเวียนวนก็ไม่ได้ตกลงแม้แต่น้อย! ราวกับมันไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย!!


ตอนที่ 1,739 : พ่ออย่างไร ลูกอย่างนั้น?


 


ก่อนลงมือหวางเฟยเซวียนก็รู้ดีแต่แรก ว่านางไม่ใช่คู่มือของต้วนหลิงเทียน…


 


ทว่าสิ่งที่นางต้องการรู้ก็คือ ยามนี้นางยังห่างกับเขาอีกไกลแค่ไหน


 


หากนางยังไม่ทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง กระทั่งความกล้าจะประมือกับต้วนหลิงเทียนยังไม่มี เพราะพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั้นอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ กระทั่งไม่ใช่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญธรรมดาๆ…


 


นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าไปใช้สระวิญญาณ เช่นนั้นแล้วถึงอาจจะยังไม่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแต่พลังฝึกปรือสมควรก้าวหน้าไม่น้อย…


 


ทว่าเป็นเพราะนางทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้สำเร็จ นางจึงบังเกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางอยากวัดพลังกับต้วนหลิงเทียนสักครา


 


“นิ…นี่มัน เรื่องแบบนี้…มันเป็นไปได้ยังไง!”


 


อย่างไรก็ตามเมื่อนางว่าพลังสุดตัวที่นางซัดออกกลับไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วนให้กับม่านพลังที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกมาส่งๆ อย่างที่ไม่รีบไม่ร้อนอะไร… เรื่องนี้นับว่าสร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้นางนัก! ความมั่นใจที่เพิ่มพูนขึ้นหลังทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางยามนี้ เรียกว่าแหลกละเอียดเป็นผุยผง!


 


“เจ้า…เจ้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว?”


 


ความคิดอันน่ากลัวดังกล่าวผุดขึ้นในหัวหวางเฟยเซวียนทันที


 


เพราะฉากเรื่องราวเบื้องหน้าสมควรมีคำอธิบายได้อย่างเดียวเท่านั้น…อีกฝ่ายบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงุสดแล้ว!


 


เพราะตัวตนในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ให้เป็นสุดยอดฝีมือในด่านพลังนี้ ก็ไม่มีทางรับการโจมตีสุดตัวของนางได้โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย!


 


ตอนแรกหวางเฟยเซวียนก็มีเดาไว้บ้างแล้ว ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าอาจทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงุสดหลังออกจากสระวิญญาณ! การประมือกันครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่ไขข้อสงสัยของนางทันที..อีกฝ่ายทะลวงด่านแล้วแน่นอน ไม่งั้นคงไม่แข็งแกร่งขนาดนี้!


 


เผชิญหน้ากับคำถามนี้ของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่ทั้งยิ้มบางๆ แต่ไม่ตอบอะไร


 


อย่างไรก็ตามในสายตาของหวางเฟยเซวียน ท่าทางนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากยอมรับ


 


หากต้วนหลิงเทียนรู้ว่าในหัวหวางเฟยเซวียนคิดอะไรอยู่เขาคงพูดอะไรไม่ออก ที่เขาเลือกจะไม่ตอบหวางเฟยเซวียนนั้นเพราะเขากลัวจะทำให้หวางเฟยเซวียนตกใจตายหากพูดความจริง ยิ่งไปกว่านั้นนางคงไม่มีทางเชื่อเขา


 


เพราะอันที่จริงแล้วพลังฝึกปรือเขายังพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น ยังเทียบกับหวางเฟยเซวียนตอนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


หากแต่พลังฝีมือของเขากลับไม่ได้ถูกจำกัดด้วยด่านพลังฝึกปรืออีกต่อไป!


 


ตอนนี้ต่อให้เขาไม่ต้องใช้พลังดิบเถื่อนจากร่างกายอันแข็งแกร่ง อาศัยเพียงปราณสุริยันแรกกำเนิดอย่างเดียว พลังของเขาก็ทัดเทียมกับอริยะเซียนขั้นต้นแล้ว…


 


“อีก 3 วัน วังนภาจะจัดการแข่งขันเพื่อชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน…และอีก 13 วันแดนลับเซียนนั่นก็จะเปิดให้เข้า”


 


หลังจากที่โจมตีต้วนหลิงเทียนและอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะสะทกสะท้านอะไร ความมั่นใจของหวางเฟยเซวียนก็ไม่มีเหลืออีก และนางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว กล่าวจบคำนางก็รีบร้อนจากไปทันที


 


‘อีก 3 วันแข่งชิงสิทธิ์ ส่วนอีก 13 วันหลังจากนี้แดนลับเซียนจะเปิดงั้นเหรอ..มรดกเวทย์พลังในแดนลับเซียน! น่าสนใจนัก’


 


ต้วนหลิงเทียนคิดขณะมองแผ่นหลังหวางเฟยเซวียนที่เหินจากไป


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบว่าในขณะที่เขารอการคัดเลือกชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน ข่าวเรื่องตัวตนหลิงเทียนของเขา ก็เริ่มแพร่กระจายไปถึงขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นๆ…


 


หลิงเทียน อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ อายุไม่ถึง 40 ปี!


 


เข้าร่วมวังนภาได้ไม่ทันไรก็สู้เสมอยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่ติด 3 อันดับแรกของตำหนักฟ้าลี้ลับ


 


หลังจากนั้นตอนเข้าใช้สระวิญญาณ ก็ใช้เวลาดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวเพียงแค่ 20 วันเท่านั้น!


 


อัจฉริยะเช่นนี้ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หาได้ยากในตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นๆ ก็ยากจะปรากฏตัวขึ้นสักคน!


 


ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตลาดมืดหยินชาน กับจ้าวตำหนักเมฆาคราม! ทั้งคู่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือเป็นชนชั้นอัจฉริยะในแดนดินที่ยากจะปรากฏตัว…ทว่าหลิงเทียนของตำหนักฟ้าลี้ลับแลจะร้ายกาจยิ่งกว่านั้นเสียอีก!


 


ด้วยเหตุนี้เรื่องราวของหลิงเทียน จึงแพร่กระจายไปยังตลาดมืดหยินชาน และตำหนักเมฆาครามในเวลาอันสั้น สร้างความตื่นตัวให้ผู้คนไม่น้อย


 


ที่สาขาหลักของตลาดมืดหยินชาน ผู้นำอย่าง ตู้กู เองก็ได้ทราบเรื่องนี้เช่นกัน


 


“เจ้าแน่ใจหรือ?”


 


ตู้กู มองไปยังชายชราที่แลดูสุภาพด้วยสีหน้าสงบกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


“แน่ใจยิ่ง ท่านผู้นำ”


 


ชายชราในชุดดำกล่าวตอบด้วยความสุภาพ “ข่าวนี้พวกเราได้รับจากสายที่แฝงตัวอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับยืนยันมาด้วยตัวเอง…หลิงเทียนผู้นั้นนับเป็นสุดยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง ในภูมิภาคเบื้องล่างยากนักที่จะหาผู้ใดเทียบมันได้ หากมันเข้าร่วมตลาดมืดหยินชานของพวกเรา มันต้องทำให้พวกเรายิ่งใหญ่เหนือใครไปนับร้อยๆปี!”


 


“เจ้าประเมินมันสูงนัก…เจ้าคิดว่าพลังฝีมือของมันยังเหนือกว่าเฮยอิงอีกงั้นหรือ?”


 


ตู้กูกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“ท่านผู้นำ หลิงเทียนผู้นั้นสมควรบรรลุด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว! แม้เฮยอิงจะเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในตลาดมืดหยินชานของพวกเรา แต่ตอนนี้มันก็อายุ 39 กว่า…เกรงวากว่าจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ก็ต้องหลังอายุ 40 …”


 


ชายชราชุดดำกล่าวตอบ


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคำรุ่นเยาว์นั้น ถูกใช้กับคนที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปีเท่านั้น


 


หากอายุเกิน 40 ปี ก็ไม่อาจเรียกว่ารุ่นเยาว์ได้อีก


 


“แล้วหลิงเทียนนั่นตอนนี้มันอายุเท่าไหร่?”


 


ตู้กูถามออกมาอีกรอบ


 


“เห็นว่ายังไม่ถึง 38 ปี”


 


ชายชราในชุดดำตอบ


 


“หืม? ไม่ถึง 38?”


 


ทันใดนั้นสองตาตู้กูก็เผยประกายเรืองวูบขึ้นมา “เช่นนั้นหลิงเทียนผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลี่เฟิงที่เคยปรากฏตัวในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลยน่ะสิ”


 


“บางทีอาจจะด้อยกว่าลี่เฟิง หากแต่คงมิได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก”


 


ชายชราในชุดดำก็กล่าวตอบด้วยประกายตาสว่างจ้า “อย่างไรก็ตามลี่เฟิงผู้นั้นปรากฏตัวได้ไม่นานก็หายตัวไป หลายคนคิดว่ามันล้วนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ทว่าหลิงเทียนนั้นแตกต่างกันหากมันเป็นคนของภูมิภาคเบื้องบน ไหนเลยยังมิอาจเข้าร่วมขุมพลังแข็งแกร่งเหล่านั้นได้? ใยต้องระหกระเหินลดตัวลงมาเข้าร่วมขุมพลังในภูมิภาคเบื้องล่างเช่นนี้”


 


“ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!!”


 


ตู้กูพยักหน้า “เจ้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง และทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อชิงตัวหลิงเทียนผู้นี้มาเสีย หากมันไม่ยินดีมาเช่นนั้นก็ฆ่ามันให้ตาย! ถ้าตำหนักฟ้าลี้ลับมีมัน พวกมันต้องเหยียบหัวพวกเราตลาดมืดหยินชานได้ในเวลาไม่ถึง 100 ปีแน่! ข้าไม่ต้องการให้มีคนอย่างจ้าวตำหนักเมฆาครามโผล่ขึ้นมาเป็นคนที่สอง!”


 


“ทราบแล้วท่านผู้นำ”


 


ชายชราในชุดดำพอได้ยินก็พยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเร่งจากไปทันที


 


“หลิงเทียนหรือ…นามนี้คุ้นหูข้ายิ่ง”


 


หลังจากที่ชายชราจากไป ตู้กูคล้ายเอะใจบางอย่าง “จริงสิ! ลูกชายต้วนหรูเฟิงมันชื่อต้วนหลิงเทียนนี่นา!”


 


แม้ตู้กู จะนึกขึ้นได้ถึงความคล้ายคลึงนี้ แต่มันก็ไม่คิดว่าหลิงเทียนจะเป็นคนเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนบุตรชายของต้วนหรูเฟิง


 


นั่นเพราะมันคิดว่าบุตรชายของต้วนหรูเฟิง ไม่ควรร้ายกาจขนาดนี้ อีกข้อเลยก็คือหากหลิงเทียนเป็นบุตรชายของต้วนหรูเฟิงอย่างต้วนหลิงเทียนจริง ไฉนต้องไปเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ? ในเมื่อตำหนักเมฆาครามก็มี


 


และหากเทียบกับตำหนักเมฆาครามในปัจจุบัน ตำหนักฟ้าลี้ลับนับว่าห่างไกลเกินกว่าจะเทียบได้


 


ตลาดมืดหยินชานได้รับทราบข่าวเรื่องหลิงเทียนในตำหนักฟ้าลี้ลับ เช่นนั้นตำหนักเมฆาครามที่ไม่ได้ด้อยกว่าไหนเลยจะไม่รู้เรื่อง


 


ลอยล่องตระหง่านกลางหาว เกาะมหึมาอันมีตำหนักวิจิตรก่อสร้างไว้ดั่งวังสวรรค์ ณ ตำหนักใหญ่ปรากฏร่างชายวัยกลางคนในชุดสีครามนั่งเท้าคางอยู่ในห้องโถงใหญ่ ลูกปัดหยกที่คลึ่งเล่นในมือส่งเสียงดังก๊อกแก๊กๆ ก้องไปทั่วโถงสงบ


 


“อาวุโสหยวน ท่านบอกว่าสุดยอดอัจฉริยะของตำหนักฟ้าลี้ลับผู้นั้นเรียกว่า หลิงเทียน งั้นหรือ?”


 


ในที่สุดชายวัยกลางคนในชุดสีครามที่เท้าคางครุ่นคิดไป ก็มองชายชราค่อยกล่าวถามทำลายความเงียบของห้องโถง มันไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นต้วนหรูเฟิง!


 


“ใช่แล้วท่านจ้าว”


 


ชายชราที่ต้วนหรูเฟิงมองถามก็คือ หรงหยวน มันผู้นี้เป็นดั่งมือขวาของต้วนหรูเฟิง และเป็นคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่ต่างอะไรจาก กู่มี่ มันเร่งพยักหน้ากล่าวตอบด้วยความจริงจังทันที


 


ตอนนี้เองกู่มี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กล่าวออกมา “ท่านจ้าวตำหนัก อัจฉริยะนามหลิงเทียนผู้นี้ คล้ายอยู่ๆก็ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า…ข้ามิอาจสืบพื้นเพความเป็นมาได้เลย นอกจากนี้ยังมีนามละม้ายคล้ายท่านจ้าวตำหนักน้อย! หรือที่แท้แล้วเขาจักเป็นนายน้อยปลอมตัวมา?”


 


“เทียนเอ๋อน่ะหรือ?”


 


สองตาต้วนหรูเฟิงส่องสว่างจ้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำกู่มี่ อันที่จริงมันก็มีคิดไว้บ้าง


 


อย่างไรก็ตามหากบอกว่าบุตรชายของมันอย่างต้วนหลิงเทียบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว เรื่องนี้ยากที่จะเชื่อได้นัก เพราะสุดท้ายแล้วบุตรชายมันพึ่งมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้นานเท่าไหร่เชียว?


 


“หากเป็นเทียนเอ๋อจริงๆ ก็อาจมีโอกาสสู้กับตี้จิ่วมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บของเผ่ามังกร และชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรมาได้…แต่จะใช่เทียนเอ๋อจริงหรือ?”


 


ต้วนหรูเฟิงคิดว่ายากนักที่จะเป็นไปได้


 


“สมควรเป็นไปมิได้”


 


หรงหยวนส่ายหัวกล่าว “เมื่อสองปีที่แล้วนายน้อยได้ออกจากประเทศฝูเฟิงและหายตัวไปพร้อมตราผนึกมาร เรื่องนี้ทุกคนรู้กันดี อีกทั้งตอนนั้นพลังฝึกปรือของนายน้อยยังแค่สู่เซียนขั้นสูงสุด…จะเป็นไปได้อย่างไรที่นายน้อยจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นยิ่งใหญ่ได้ในเวลาแค่ 2 ปี…”


 


“หึ! คนธรรมดาทั่วไปย่อมมิอาจกระทำได้ แต่นายน้อยคือบุตรชายคนเดียวของท่านจ้าวตำหนัก!!”


 


วาจาที่กู่มี่กล่าวออกนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจนัก เห็นได้ชัดเจนว่ามันเชื่อมั่นในตัวนายน้อยที่ยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนขนาดไหน


 


แน่นอนว่าเพราะมีต้วนหรูเฟิงที่ร้ายกาจราวปีศาจให้เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้มันคิดว่าเช่นนั้นบุตรชายก็คงร้ายกาจไม่ต่างกัน! บิดาเช่นไรบุตรก็สมควรเป็นเช่นนั้น!!


 


หรงหยวนที่ได้ยินวาจานี้ของกู่มี่ก็อึ้งไปทันใด


 


การผงาดขึ้นมาของจ้าวตำหนักเมฆาครามนับว่าเป็นตำนานอย่างแท้จริง หากบุตรชายได้รับมรดกอะไรจากผู้ฝึกมารอันร้ายกาจในอดีตเช่นกัน ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าอย่างอัศจรรย์ในเวลาแค่ 2 ปี…แต่เรื่องที่จะทะลวงจากสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ไปเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด มันยังรู้สึกเหลวไหลอยู่บ้าง!


 


เมื่อเห็นแววตาหรงหยวนที่เผยความไม่เชื่อต่างกับแววตามั่นใจเต็มเปี่ยมของกู่มี่ ต้วนหรูเฟิงได้แต่ยิ้มส่ายหัวเบาๆ


 


เรื่องนี้มันเองที่รู้ดีกว่าใคร เพราะมันมีประสบมากับตัว


 


การที่มันสามารถผงาดขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้นนั้น ล้วนเป็นเพราะดวงจิตของผู้ฝึกมารที่แสนร้ายกาจ เฮยหมิง คนนั้น


 


ในตอนนั้นเฮยหมิง ได้ใช้ทางลัดมากมายทำให้พลังฝึกปรือของมันก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์ และนั่นนับว่าไม่ใช่เส้นทางที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะก้าวเดินตามได้


 


มันจึงเข้าใจชัดเจน ว่านอกจากบุตรชายของมันจะประสบชะตาปาฏิหาริย์พบพานกับวาสนาโดยบังเอิญที่คล้ายคลึงกับมัน หาไม่แล้วคงยากที่จะทะลวงจากสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ไปเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลาแค่ 2 ปี


 


“อาวุโสกู่ เขาจะใช่เทียนเอ๋อหรือไม่ ท่านก็ช่วยไปดูที่ตำหนักฟ้าลี้ลับให้ข้าสักครั้งเถอะ”


 


หลังจากนั้นไม่นานต้วนหรูเฟิงก็หันมองกู่มี่พร้อมกล่าว


ตอนที่ 1,740 : พี่น้องสกุลลั่ว


 


3 วันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากนี้อีก 10 วันก็จะเป็นวันที่แดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเปิดออกแล้ว และมีเพียง 30 คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ด้านใน ฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง


 


แน่นอนว่าคงไม่อาจใช้คำฝึกฝนขัดเกลาได้เต็มปาก ต้องใช้คำว่า ‘หาสมบัติ’ จะประเสริฐกว่า…


 


มีสิ่งของอันดีซุกซ่อนอยู่ในแดนลับเซียนมากมายนัก และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็ไม่ใช่ใดอื่นนอกจากมรดกเวทย์พลังระดับสูง มรดกเวทย์พลังเหล่านั้นล้วนเป็นยอดคนรุ่นก่อนเหลือทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น!


 


ในบรรดายอดคนเหล่านั้น มียอดคนของตำหนักฟ้าลี้ลับแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะตำหนักฟ้าลี้ลับก็พึ่งจะยกระดับมาเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ได้ไม่นาน และมาสานต่อสถานที่แห่งนี้เท่านั้น


 


ตำหนักฟ้าลี้ลับใช้เวลาและทุ่มกำลังตระเวนหาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปีไปไม่น้อย ด้วยหวังว่าจะพบพานอัจฉริยะมือดี…


 


หากมีผู้ที่ได้รับมรดกเวทย์พลังออกจากแดนลับเซียนมา หลังบรรลุเซียนมนุษย์แล้วสามารถเพาะสร้างเวทย์พลังที่สืบทอดมาได้ นั่นย่อมหมายความว่าสามารถถ่ายทอดเวทย์พลังให้ตำหนักฟ้าลี้ลับได้เช่นกัน ซึ่งนั่นจะเป็นอะไรที่มีค่าอย่างถึงที่สุด!


 


ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ออกจากแดนลับเซียนมาพร้อมมรดกเวทย์พลัง และสามารถบรรลุถึงเซียนมนุษย์ ก่อนจะเพาะสร้างต้นแบบเวทย์ได้สำเร็จ…


 


ทำให้จำนวนเวทย์พลังที่ตำหนักฟ้าลี้ลับได้รับนับว่าน้อยนิดนัก


 


ในเมื่ออีก 10 วันหลังจากนี้แดนลับเซียนจะเปิดให้ผู้คนเข้าร่วมได้เพียง 30 คน เช่นนั้นวันนี้จึงต้องมีการคัดเลือกผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าไปเสียก่อน!


 


ใน 30 สิทธิ์เข้าแดนลับเซียน 10 สิทธิ์นั้นเป็นของวังนภา!


 


ส่วนอีก 20 สิทธิ์ที่เหลือ 3 วังต้องไปแบ่งกันเอาเอง!


 


อย่างไรก็ตามแม้วังนภาจะได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนมากที่สุดถึง 10 สิทธิ์ ทว่าอัจฉริยะของวังนภาหลายต่อหลายคนไม่ได้มีความสุขกันเลย…


 


หากเลือกได้ พวกมันยังอยากไปอยู่อีก 3 วังที่เหลือมากกว่า!


 


เพราะอีก 3 วังนั้นแม้เฉลี่ยแล้วจะได้สิทธิ์น้อยกว่า 7 แต่จำนวนยอดฝีมืออัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์กลับน้อยกว่าวังนภามาก!!


 


วังนภาแม้จะได้รับสิทธิ์ถึง 10 แต่การแข็งขันช่างหนักหน่วงรุนแรงนัก!


 


ณ ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งวังนภา ปรากฏลานศิลาแกร่งหนึ่งตั้งอยู่ คนของวังนภาทั้งหมดจะมารับการคัดเลือก 10 สิทธิ์ ณ ที่แห่งนี้


 


ดังนั้นทำให้มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่ลานศิลาแต่เช้า กระทั่งผู้คนของอีก 3 วังก็ยังมาร่วมชมด้วยเช่นกัน


 


ถึงแม้ในแต่ละวังก็มีการแข่งขันชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน ทว่ารสชาติกลับไม่น่าสนใจเท่าการแข่งขันของวังนภา ทำให้ศิษย์มากมายของวังปฐพี วังลี้ลับ และวังเหลืองที่ไม่มีสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนแน่ๆแล้ว ล้วนมาร่วมชมการคัดเลือกของวังนภาทั้งสิ้น!


 


“สิทธิ์ที่มอบให้วังนภาของพวกเรา กล่าวไปแล้วยังนับว่าน้อยเกินไป…”


 


ศิษย์วังนภาคนหนึ่งกล่าวออกมาสองตาละห้อย เสียงยังอ่อนพิกล


 


“ก็นั่นน่ะสิ…ถึงพวกเราจะได้สิทธิ์มากกว่าอีก 3 วังถึง 3 สิทธิ์ ทว่าต่อให้เป็นศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุดที่ได้รับสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนของวังพวกเรา ก็น่ากลัวจะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือที่ได้รับสิทธิ์ของอีก 3 วัง”


 


ศิษย์วังนภาอีกคนกล่าวออกอย่างเห็นด้วย


 


“จะให้ทำอย่างไรได้ ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่เซียนขัดเกลาแต่ก่อนวังนภาเราก็มีถึง 4 คนเข้าไปแล้ว! สองเดือนที่แล้วยังรับศิษย์ใหม่เพิ่มมาอีก แถมไม่ว่าจะหลิงเทียนหรือหวางเฟยเซวียนก็ล้วนบรรลุเซียนขัดเกลาทั้งคู่! เช่นนั้นก็เท่ากับวังนภาพวกเรามีเซียนขัดเกลาที่อายุน้อยกว่า 40 ปีถึง 6 คน!”


 


“ทั้ง 6 คนนั่น วันนี้ย่อมได้รับสิทธ์แน่นอน…ทำให้การต่อสู้แข่งขันที่เหลือยิ่งหนักหน่วงรุนแรงขึ้นไปอีก ข้ากลัวว่าหากไม่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด คงยากจะได้รับสิทธิ์”


 


“การเฟ้นหาอัจฉริยะเวียนรุ่นเยาว์มาเข้าร่วมเช่นนี้ ทำให้พวกเราที่แต่เดิมมีหวังกดดันกันไม่น้อย ยกระดับบรรทัดฐานการแข่งขันไปอีกขั้นเลยจริงๆ”


 


“นั่นสิ ตอนแรกที่ข้าได้ยินว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราจะเฟ้นหาอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ข้าคิดว่าคงมีผู้มาสมัครรับการคัดเลือกไม่มาก ที่ไหนได้ไม่เพียงรับมาเป็นสิบ กระทั่งยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดในนั้นทั้ง 2 ยังอยู่วังนภาเรา”


 


“หวางเฟยเซวียนนั้นไม่ต้องกล่าวใดมาก ลำพังชื่อเสียงของนางในฐานะหลานสาวคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชก็โด่งดังเป็นทุน…แต่หลิงเทียนนี่สิ เป็นผู้ใดมากจากที่ไหนกันแน่ ยังร้ายกาจยิ่งกว่ารุ่นเยาว์อัจฉริยะของพวกเราเสียอีก”


 


“จริง! หลิงเทียนผู้นั้นถึงขั้นสู้เสมอกับกัวลู่ได้ เช่นนั้นหมายความว่าพลังฝีมือสมควรอยู่ช่วงปลายเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว…แถมตอนเข้าสระวิญญาณยังใช้เวลาแค่ 20 วันดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวจนหมด! พวกเจ้าว่าป่านนี้หลิงเทียนจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือยัง?”


 


“ยังไม่ชัดอีกเหรอ ข้าว่าทะลวงแล้ว!”


 


“ข้าก็คิดว่าทะลวงผ่านแล้ว”


 


……


 


ในลานศิลาอันเต็มไปด้วยเหล่าศิษย์ ก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ หัวข้อที่กล่าวถึงก็ไม่พ้นเรื่องหลิงเทียนกับแดนลับเซียน


 


ยังมีศิษย์กว่า 8 ส่วนของวังนภาที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!


 


ในบรรดากลุ่มคน ร่างกัวลู่ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งพอได้ฟังเรื่องราวและบทสนทนาโดยรอบ มันอดไม่ได้ที่จะยืนยิ้มอยู่คนเดียว


 


มีเพียงมันเท่านั้นที่รู้ดี ว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องหลิงเทียนผู้นั้น สมควรข้ามผ่านเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปแต่แรกแล้ว


 


มาเข้าไปใช้สระวิญญาณเช่นนี้ มันเชื่อว่าสมควรทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใกล้อริยะเซียนมากขึ้น กระทั่งอาจจะทะลวงอริยะเซียนไปก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้!!


 


แน่นอนว่าที่กัวลูคิดเช่นนี้ เพราะมันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนที่มีเมตตาออมมือให้มันวันนั้น ร้ายกาจขนาดไหน


 


เช่นนั้นมันรู้สึกว่าพลังฝึกปรือของหลิงเทียนยามประลองกับมันก็สมควรบรรลุสูงสุดเซียนขัดเกลาแต่แรก เข้าสระวิญญาณไปแบบนี้ถึงไม่ทะลวงผ่าน ก็ต้องก้าวหน้าไปไม่น้อย


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันยามได้ฟังบทสนทนาที่ศิษย์วังนภาถกกัน


 


“กัวลู่ เจ้าคิดว่าหลิงเทียนอะไรนั่น มันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วหรือยัง?”


 


ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าข้างๆกัวลู่ยามนี้ปรากฏร่าง 2 ร่างมาหยุดยืนใกล้ๆ ทั้งคู่ล้วนเป็นชาย ทั้งยังหล่อเหลาไม่น้อย ที่สำคัญรูปร่างหน้าตาของพวกมันก็ละม้ายคล้ายกัน ต่างมาในชุดสีขาวบริสุทธิ์ แลดูสง่างามน่าเกรงขาม


 


ผู้ที่กล่าวถามออกมาเป็นชายหนุ่มผิวขาวที่ยืนอยู่ด้านซ้าย


 


ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างทั้งสอง เพราะหนึ่งมีไฝแดงที่หว่างคิ้วส่วนอีกหนึ่งเป็นไฝสีดำที่หว่างคิ้วเช่นกัน


 


และคนที่กล่าวถามกัวลู่ คือคนที่มีไฝดำที่หว่างคิ้ว


 


“ข้าไม่รู้”


 


เห็นทั้งคู่ คิ้วกัวลู่ขมวดขึ้นมาทันที


 


ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับมันมากมาย แต่ทั้งคู่ชมชอบอวดโอ่พลังฝีมือของตัว


 


หลังจากที่มันแพ้พ่ายทั้งคู่ ทั้งคู่ก็ชมชอบมาหาเรื่องประลองแล้วทุบตีเพื่อเอาชนะมันซ้ำๆ ราวกับสนุกสนานกับการทุบตีมันอยู่ร่ำไป


 


มีครั้งหนึ่งที่มันกระทั่งกล่าวคำยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่หยุดมือแถมลงมือทำร้ายมันอย่างหนัก จนมันบาดเจ็บสาหัส นอนติดเตียงไปเป็นเดือน


 


ดังนั้นกัวลู่จึงไม่ค่อยชอบทั้งสองคน


 


ชายหนุ่มชุดขาวทั้งสองที่หน้าตาละม้ายคล้ายเหมือนกันนี้ ล้วนอยู่ในเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ และยังมีพลังฝีมือสูงส่งกว่ากัวลู่ …พวกมันเป็นฝาแฝด!


 


และพวกมันยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่าง ยามที่พวกมันต่อสู้ร่วมมือกัน พวกมันสามารถใช้กระแสจิตสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ในเสี้ยวพริบตา รู้ใจกันหมดจดโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวคำ! ทำให้การลงมือสอดประสานนับว่าลงตัวอย่างถึงขีดสุด ถึงขั้นมีพลังอำนาจทัดทานเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!


 


ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงหยิ่งยะโสถือดี กร่างไม่น้อย


 


“กัวลู่ เจ้านี่มันน่าขายหน้าจริงๆ เจ้านั่นมันก็แค่หมาหลงจากบ้านนอก แต่เจ้ากลับทำได้แค่สู้เสมอกับมัน! น่าขายหน้ายิ่ง!!”


 


ชายหนุ่มชุดขาวหว่างคิ้วแต้มไว้ด้วยไฝดำกล่าวออกเสียงเย้ย มันเป็นแฝดคนน้องเรียกว่าลั่วเหอ


 


“เพราะเจ้าใช้การมิได้ทำได้แค่สู้เสมอกับเจ้านั่น ทำให้พวกเราทั้งคู่พลอยเสียชื่อไปด้วย เพราะผู้คนต่างพากันคิดว่าหลังออกจากสระวิญญาณ เจ้าหมาหลงนั่นสมควรเหนือกว่าพวกเรา”


 


ชายหนุ่มอีกคนในชุดขาวหากแต่มีไฝแดงแต้มกลางหว่างคิ้วนามว่า ลั่วชาน มองกล่าวัวกับกัวลู่ด้วยสีหน้าดูแคลน


 


“หากพวกเจ้าทั้งคู่อยากพิสูจน์ตัวเองล้างคำครหา ก็ไปขอท้าประลองฝีมือกับศิษย์น้องหลิงเทียนเองเถอะ พวกเจ้าจะมาตีโพยตีพายเป็นอิสตรีต่อหน้าข้าทำอะไร?”


 


กัวลู่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย


 


“กัวลู่ เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือไร!?”


 


ลั่วเหอถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดทันใด เมื่อได้ยินวาจาเสียดสีของกัวลู่ ปราณแรกกำเนิดยังพวยพุ่งออกมาท่วมร่าง ราวกับพร้อมจะลงมือเล่นงานกัวลู่ได้ทุกเวลา!


 


“แล้วที่ข้ากล่าวมีอะไรผิด?”


 


กัวลู่เย้ยไปอย่างไม่กลัว “ข้ายอมรับว่าข้าสู้พวกเจ้าสองคนไม่ได้ หากพวกเจ้าคิดสร้างภาพให้ตัวเองดูดีด้วยการเอาชนะข้าก็ตามใจพวกเจ้าเถอะ! แต่นั่นไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าพวกเจ้ามันแน่อะไรตรงไหน อย่างดีก็เป็นได้แค่อันธพาลร้านถิ่น ดีแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น พอวันไหนเจอผู้แข็งแกร่งจริงๆ พวกเจ้าก็กลายเป็นมุกสิกขลาดเขลา!”


 


วาจานี้ของกัวลู่ไม่ได้จงใจระงับเสียงแม้แต่น้อย มันดังพอให้ผู้คนแทบทั้งลานได้ยิน!


 


จังหวะนี้ศิษย์ทั้งหลายคล้ายหูผึ่งกันโดยอัตโนมัติหันขวับมามองกัวลู่กับพี่น้องสกุลลั่วทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“เหอะ!”


 


เมื่อเห็นว่ากัวลู่เจตนาเรียกร้องความสนใจของผู้คนสีหน้าลั่วเหอกลายเป็นมืดดำปานน้ำหมึก! หากมันโจมตีตอนนี้ไม่ใช่พิสูจน์ว่ากัวลู่กล่าวถูกหรอกหรือ?!


 


เปลือกไม้สำคัญกับต้นไม้ฉันใด ใบหน้าก็สำคัญต่อผู้คนฉันนั้น ลั่วเหอไม่อาจลงมือให้เสียหน้าได้!


 


“กัวลู่ เช่นนั้นพวกเราพี่น้องจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ว่าพวกเราทั้งคู่เหนือกว่าหลิงเทียนอันใดนั่น!”


 


ลั่วชานกล่าวออกเสียงเข้ม


 


“วาจาเขื่องโขผู้ใดก็พ่นได้! รอให้พวกเจ้าเอาชนะศิษย์น้องหลิงเทียนได้ก่อนค่อยคุยเถอะ!”


 


กัวลู่หัวเราะกล่าวออกทั้งกล่าวดังลั่น ทำให้สีหน้าทั้งคู่แย่ลงไปอีก


 


มาตอนนี้ศิษย์รอบๆที่หันมาสนใจเรื่องราวพอจับความได้คร่าวๆ เริ่มกล่าวซุบซิบกันทันที “พี่น้องสกุลลั่ว คิดประมือกับหลิงเทียนหรือ?”


 


“ฝาแฝดแซ่ลั่วทั้ง 2 มิว่าคนใดก็แข็งแกร่งเหนือกัวลั่ว…ทว่าตอนนี้หลิงเทียนมีแนวโน้มว่าจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว แฝดแซ่ลั่วไม่ว่าคนใดก็ยากจะเอาชัยหลิงเทียน”


 


“นั่นสิความต่างระหว่างเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดกับขั้นเชี่ยวชาญมิใช่เรื่องตลก…หากหลิงเทียนทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจริง เว้นแต่แฝดแซ่ลั่วจะร่วมมือกัน หาไม่แล้วคงยากจะเอาชนะหลิงเทียนได้”


 


“พวกเจ้าพูดกันเหมือนด่านพลังทะลวงกันได้ง่ายๆ…ทั้งหมดก็แค่คาดเดาไปเท่านั้น บางทีหลิงเทียนอาจยังไม่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดก็ได้”


 


“หากยังไม่บรรลุจริงๆ ไม่ว่าใครในพี่น้องสกุลลั่วก็พอมีทางเอาชนะ”


 


……


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย ว่าเขาถูก 2 ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญของวังนภาเพ่งเล็งแล้ว


 


น่านฟ้าข้างยอดเขาสูงยามนี้ ปรากฏร่างต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนกำลังย่ำอากาศเหินขึ้นไปยังยอดเขาพร้อมๆกัน


 


“เจ้าไปชวนหลิวเจี้ยนกับเริ่นเฟยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามหวางเฟยเซวียน


 


“อื้ม”


 


หวางเฟยเซวียนพยักหน้า ทันใดนั้นคล้ายนางนึกอะไรได้ออก “ข้าได้ยินมาว่าการแข่งขันชิงสิทธิ์ของวังนภาครั้งนี้สมควรหนักหน่วงรุนแรงนัก หากพวกมันทั้งคู่ไม่ได้รับสิทธิ์…แล้วนี่เจ้าจะตอบแทนอาวุโสพวกมันได้อย่างไร?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)