War sovereign Soaring The Heavens 1725-1728
ตอนที่ 1,725 : สตรีที่ใจกว้างนัก!
นอกจากนี้ยังดีที่หวางเฟยเซวียนไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ ต้วนหลิงเทียนมองนางด้วยสายตาเลื่อนลอยเช่นนี้ หาไม่แล้วนางคงได้ตบเข้าให้!
เพราะสุดท้ายแล้ว การคิดถึงสตรีอื่นในขณะที่ชมมองหน้าสตรีคนหนึ่งอยู่ ช่างเป็นอะไรที่เสียมารยาทนัก!
หากเป็นคนธรรมดามามองนางด้วยสายตาคิดถึงโหยหาเช่นนี้ น่ากลัวหวางเฟยเซวียนคงชักดาบออกมาผ่าร่างไปแล้ว…
ทว่ากับบุรุษเบื้องหน้าที่มีพลังฝีมืออันร้ายกาจ หวางเฟยเซวียนกลับไม่รู้สึกถือตัว นางยังพบว่าไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังรู้สึกภาคภูมิใจอย่างประหลาด ‘ไงล่ะเจ้าทึ่ม! ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นท่อนไม้ได้ตลอด เห็นข้าน่ารักขึ้นมาแล้วล่ะสิ!!’
“หืม?”
ทันใดนั้นหวางเฟยเซวียนพลันพบว่าสีหน้าแววตาของบุรุษเบื้องหน้ายิ่งมายิ่งเปลี่ยนไป
ตอนแรกก็ยังดีๆอยู่ หากทว่าตอนนี้นางพบว่าแววตาสีหน้าอีกฝ่ายช่างเต็มไปด้วยความเศร้านัก
โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น กลับเผยอารมณ์สะทกสะท้อนเหลือเกิน
เห็นสีหน้าแววตาอีกฝ่ายกลายเป็นแบบนี้ ไม่ทราบเพราะอะไรหวางเฟยเซวียนพลัดปวดแปลบในใจขึ้นมา
“เจ้า…เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว…”
สีหน้าพึงพอใจของหวางเฟยเซวียนมลายหายไป กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“อา ข้าขอโทษที่เสียมารยาท…พอดีตอนเจ้าขมวดคิ้วเมื่อครู่ กลับคล้ายคู่หมั้นข้าอยู่บ้าง ทำให้ข้าเผลอคิดถึงนางขึ้นมา…”
ได้ยินเสียงถามไถ่ของหวางเฟยเซวียนต้วนหลิงเทียนพลันได้สติ เร่งกล่าวขอโทษออกไปทันที
ด้านหวางเฟยเซวียนพอได้ยินคำขอโทษของต้วนหลิงเทียน ก็หน้าเสียทันใด “เจ้า…เห็นข้าแล้วนึกถึงคู่หมั้นงั้นเรอะ?!”
ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด เรื่องนี้นับว่าเสียมารยาทนัก เพราะสำหรับสตรีนี่มันเรื่องอัปยศชัดๆ!
“ขออภัยด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เรื่องนี้ดี คำขอโทษครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความจริงใจ
เมื่อได้ยินคำขอโทษของต้วนหลิงเทียน ทั้งเห็นสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของอีกฝ่าย โทสะในใจหวางเฟยเซวียนก็ลดลงไปไม่น้อย “สหายแซ่หลิง…ในเมื่อเจ้ามองข้าแล้วเห็นเป็นคู่หมั้น ไม่ใช่สมควรมีความสุขรึไง? แล้วไฉนแลดูเจ้าเศร้านักเล่า?”
“คู่หมั้นของข้า…ช่างเถอะ พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก…”
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเซื่องซึมคล้ายจะกล่าวเปิดใจออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว ทว่ายังดีที่เขารู้สึกตัวได้ทัน จึงระงับวาจาเอาไว้
“เพ้ย! เจ้าหมายความว่าอะไร ที่พูดแล้วข้าก็ไม่เข้าใจ?!”
หวางเฟยเซวียนโพล่งออกด้วยความหงุดหงิด “เจ้ายังไม่ทันพูดออกมาแท้ๆ! แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เข้าใจ?”
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา สำหรับเขาแล้วเรื่องของเค่อเอ๋อก็เป็นดั่งแผลใจ การพูดถึงอีกครั้งย่อมไม่ต่างอะไรกับราดเกลือลงแผล
“ฮั้ย! เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ! เจ้ามาเปิดเรื่องยั่วให้ข้าสนใจอยากรู้แล้ว อยู่เจ้าจะมาหนีไปแบบนี้ไม่ได้! เจ้าต้องเล่ามาให้ข้าฟัง! ไม่งั้นข้าจะมาร้องตะโกนเรียกเจ้าทุกวัน เอาให้เจ้าปวดประสาทมิอาจบ่มเพาะอันใดได้!!”
หวางเฟยเซวียนโพล่งคำออกมาอย่างดุร้าย ยังกล่าวข่มขู่ออกมาอย่างเอาเรื่อง
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วย่นยู่ ด้วยไม่คิดเลยว่าหวางเฟยเซวียนจะเซ้าซี้เอาเรื่องขนาดนี้ หากเขารู้แต่แรกคงไม่กล่าวถึงเค่อเอ๋อออกมาให้นางได้ยิน…
เหตุผลที่เขากล่าวถึงเค่อเอ๋อ เพราะคิดอยากให้นางรับทราบว่าเขามีคู่หมั้นแล้วจะได้ตัดใจ เลิกตามตอแยเขาเสียที…
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่นางได้ยินเรื่องที่ว่าเขามีคู่หมั้น นางไม่เพียงแต่จะไม่ตัดใจอะไร ยังกลายเป็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นเรื่องคู่หมั้นเขาอีก!
และเมื่อเห็นแววตาจริงจังที่จ้องมาเขม็ง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่านางไม่ได้ล้อเล่น สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งๆออกมา ครั้งนี้นับว่าเขาทุ่มหินทับเท้าตัวเองแล้วจริงๆ!
“ข้าบอกเจ้าก็ได้…แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปกล่าวบอกคนอื่นรวมถึงคนที่เจ้ารัก! เจ้าอย่าคิดว่าข้าล้อเล่น เพราะหากเจ้าพลั้งปากเล่าเรื่องนี้ไป ไม่เพียงแต่ตัวเจ้า…กระทั่งขุมพลังเบื้องหลังเจ้าอย่างคฤหาสน์ดาบทรราช…อาจถูกกวาดล้าง!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม “เจ้าอย่าคิดว่าข้าตีตนไปก่อนไข้ ข้าจริงจัง!”
เขาคิดว่าหวางเฟยเซวียนสมควรตื่นตระหนกและกังวลไม่น้อยหลังได้ฟังเขากล่าวออกด้วยความจริงจัง แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่นางได้ยินแล้ว นางจะยิ่งอยากรู้อยากเห็น สองตากลมโตเบิกกว้าง เร่งกล่าวออกมาอย่างกระตือรือร้น “ฟังเจ้าแล้ว ท่าทางเรื่องนี้จะน่าสนใจนัก…ข้ายิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก!!”
“ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่ให้ข้าไปเล่าผู้ใดข้าสัญญา จะให้ข้าสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ด้วยก็ได้…สาบานเลยดีกว่า!”
กล่าวไปกล่าวมาหวางเฟยเซวียนก็คิดเองเออเอง หลั่งโลหิตกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าทันที ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะหยุดนาง ทว่านางลงมือรวดเร็วนัก!
เหตุผลที่เขาคิดหยุดนางเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่จำเป็นที่นางจะต้องทำถึงขั้นสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ เพียงแค่นางรับปากเขาก็พอแล้ว
ถึงแม้เขาจะรู้จักหวางเฟยเซวียนได้ไม่ทันไร แต่เขาพอดูออกว่าสตรีทีมีหน้าตางดงามน่ารัก ทั้งรูปร่างกระชับสมสัดส่วนมากไปด้วยเสน่ห์ยวนยั่วผู้นี้ กลับเปิดเผยจริงใจแลดูเป็นบุรุษมากกว่าบุรุษแท้ๆเสียอีก!
เพียงนางรับปากเขาเชื่อว่านางรักษาสัญญาได้
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
……
เมื่ออัสนีฟ้าลั่นดัง 9 คำรบ บ่งบอกว่าสวรรค์ตอบรับคำสาบานของนางและมีผลบังคับใช้แล้ว
ภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเล่าเรื่องเค่อเอ๋อออกมา
แน่นอนว่ายังมุ่งเน้นไปถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจของพี่สาวฝาแฝดเค่อเอ๋อ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงเรื่องที่พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ อ้างว่ามาจากลัทธิบูชาไฟอีกด้วย…
“อะไร!? ลัทธิบูชาไฟ!!”
พอได้ยินเรื่องนี้จากปากต้วนหลิงเทียน สองตากลมโตของหวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหรี่ลง นางประหลาดใจนัก!
ในฐานะคนของขุมพลังชั้น 4 กระทั่งหลานสาวคนโปรดของผู้นำขุมพลัง หวางเฟยเซวียนย่อมเข้าถึงข้อมูลได้ไม่ยาก และหนึ่งในนั้นก็มีบันทึกเก่าแก่ที่ส่งต่อกันมาสำหรับผู้นำจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยโบราณ!
ด้วยเหตุนี้ ลัทธิบูชาไฟ จึงไม่ใช่คำแปลกหูสำหรับนาง!
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตั้งแต่ยุคสมัยที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคเบื้องบนและเบื้องล่าง…
ในตอนนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามี 3 ลัทธิที่ยืนหยัดอยู่แถวหน้าของใต้หล้า พวกมันได้รับการยอมรับว่าเป็น 3 มหาอำนาจที่ทรงพลังที่สุดบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าครั้งอดีต สามารถใช้ 5 คำอธิบายขุมพลังอำนาจได้
3 ลัทธิ กับ 9 ขุมพลัง!
3 ลัทธิ ย่อมหมายถึงลัทธิทั้ง 3
9 ขุมพลังก็คือ ขุมพลังอันดับที่ 9 ถึง 1
3 ลัทธินั้นทรงพลังอำนาจเหนือกว่าขุมพลังทั้ง 9 เรียกว่าหากเป็นลัทธิ ไม่ว่าลัทธิใดก็มีพลังอำนาจครอบงำขุมพลังชั้น 1 ได้ไม่ยาก เป็นยักษ์ใหญ่ที่ยืนหยัดมาตั้งแต่อดีตกาล พลังอำนาจไม่เคยถูกใดสั่นคลอน!
นี่มากพอจะบอกให้รู้ว่าพวกมันทรงพลังทั้งมีอำนาจมากมายขนาดไหน
และ ลัทธิบูชาไฟ ก็คือ 1 ใน 3 ลัทธิที่ว่า…
“พี่สาวฝาแฝดของคู่หมั้นเจ้ากลับเป็นคนของลัทธิบูชาไฟ? นอกจากนั้นฟังเรื่องที่นางกล่าว ดูเหมือนลัทธิบูชาไฟจะส่งคนออกมามากมายเพื่อตามหาตัวคู่หมั้นเจ้าไม่ขาด…แต่สุดท้ายเป็นนางที่ชิงพบตัวคู่หมั้นเจ้าก่อน?”
หวางเฟยเซวียนที่ตกใจไม่น้อย พอคืนสติก็เร่งกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ลัทธิบูชาไฟส่งคนมาตามหาตัวคู่หมั้นของเจ้าแบบนี้ แสดงว่าฐานะของนางย่อมมิใช่ธรรมดาเป็นแน่ อย่างน้อยๆก็ต้องมีความสำคัญต่อลัทธิบูชาไฟในระดับหนึ่ง! หาไม่แล้วพวกมันจะยังส่งคนออกค้นหาตลอด 30 ปีอีกหรือ?…”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาอย่างมีเหตุผล
การคาดเดาเรื่องราวของนางก็คล้ายกันกับที่ต้วนหลิงเทียนคาดไว้
“อย่างไรก็ตามในเมื่อนางเป็นพี่สาวฝาแฝดของคู่หมั้นเจ้า นางสมควรไม่ทำร้ายคู่หมั้นเจ้าหรอก…ป่านนี้คู่หมั้นของเจ้าถูกพาไปอยู่ที่ลัทธิบูชาไฟอย่างปลอดภัยแล้ว พี่สาวของนางสมควรหาที่ซ่อนให้นางเป็นอย่างดี”
หวางเฟยเซวียนกล่าวปลอบออกมา
ในที่สุดหวางเฟยเซวียนก็เข้าใจสีหน้าแววตาเศร้าหมองของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า ที่แท้เขากลับผ่านเรื่องเช่นนี้มา…
เมื่อลองคิดว่าหากนางเป็นต้วนหลิงเทียนบ้างนางจะเป็นอย่างไร นางก็พอเข้าใจความเจ็บปวดของต้วนหลิงเทียน
คู่หมั้นกลับถูกพรากไปทั้งคน แต่กลับไม่มีอะไรที่สามารถกระทำได้เลย ความรู้สึกนี้ยากที่ผู้ใดจะทานทนรับไหว…
“ข้าก็หวังว่างั้น…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะคล้ายนึกอะไรได้ออกจึงระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดก็คือลูกที่อยู่ในท้องของนาง…พี่สาวฝาแฝดของนางโมโหมากที่รู้ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับนาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายลูกในท้องของพวกเราหรือไม่…”
“จะ…เจ้ามีลูกด้วย?”
หวางเฟยเซวียนจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสองตากลมโตปานลูกวัวแรกเกิด
“อืม…ป่านนี้สมควรคลอดแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า แววตาเผยความคิดถึงโหยหาไม่น้อย
ลูกน้อยทั้ง 2 ของเขาสมควรลืมตาดูโลกแล้ว…
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับไม่เคยเห็นหน้าลูกทั้ง 2 ของตัวเองเลย เท่าที่รู้ก็คือลี่เฟยคลอดลูกชายตุ้ยนุ้ยสมบูรณ์ออกมา
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าที่ยังเยาว์กลับเป็นพ่อคนแล้ว…ไม่ทราบว่าปกติเจ้าบ่มเพาะฝึกปรืออย่างไรกันแน่ ตัวข้ากระทั่งอดหลับอดนอนลืมกินเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง…ยังพึ่งสำเร็จได้แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้น! แต่นี่เจ้ามีเวลาไปเกี้ยวสตรีกระทั่งขึ้นเตียงทำลูก! แล้วเจ้าจะมีเวลาบ่มเพาะเท่าไหร่เชียว?”
วาจาท้ายประโยคของหวางเฟยเซวียนเผยให้เห็นถึงความอิจฉาไม่น้อย
การฝึกฝนบ่มเพาะนั้น หนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชนชั้นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ก็คือเวลา
แต่เห็นได้ชัดว่าตัวนางใช้เวลาฝึกปรือบ่มเพาะมากกว่าบุรุษเบื้องหน้าแน่ๆ แต่พลังฝึกปรือของนางกลับด้อยกว่าอีกฝ่ายถึง 2 ขั้น!
ใจหวางเฟยเซวียนรู้สึกว่าฟ้าไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง
“แล้วนี่เจ้ามีสตรีเพียงคนเดียวงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นคล้ายจะนึกอะไรได้ออก หวางเฟยเซวียนพลันกล่าวถามออกมาด้วยสายตาคาดหวัง
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “ข้ามีคู่หมั้น 2 คนกับสตรีคนรักอีกคน…หากไม่มีอะไรผิดพลาด ต่อไปพวกนางทั้ง 3 จะเป็นภรรยาของข้า…”
เมื่อคิดถึง เค่อเอ๋อ ลี่เฟย และเฟิ่งเทียนหวู่ ใบหน้าต้วนหลิงเทียนที่แลดูซึมๆ ก็เผยรอยยิ้มมีความสุขออกมา
“อ้อ 3 คนเหรอ…ก็ไม่ได้มากมายอะไร”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้ารับอย่างจริงจัง แต่ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง ‘3 คนยังไม่ได้มากมายอะไร?’
ต้องทราบด้วยว่าโลกเก่าที่เขาอยู่นั้นปกติแล้วนิยมมีคู่ครองเพียงแค่คนเดียว มีบ้างบางประเทศที่สามารถแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก็นับว่ามีน้อย
ในโลกนี้แม้จะมีภรรยาหลายคนจะเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเขาการมีถึง 3 คนก็นับว่ามากเกินพอแล้ว!
หวางเฟยเซวียนที่แม้แลดูดุดันองอาจไม่ต่างบุรุษแต่จะอย่างไรนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง ใครจะไปคิดไปฝันว่านางกลับเปิดเผยใจกว้างนัก บอกว่าเขามีภรรยา 3 คนยังไม่มากมายอะไร!?
แถมพอเห็นว่าหวางเฟยเซวียนกำลังเท้าคางยื่นหน้าจ้องเขามาตาแป๋วด้วยรอยยิ้มแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกไปไม่เป็นอยู่บ้าง
“ศิษย์น้องหลิงเทียน”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหวังพีแว่วดังมาแต่ไกล และไม่ทันไรร่างหวังพีก็พุ่งมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะหินอ่อนของต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่…
“ศิษย์พี่หวังพี!”
เมื่อเห็นหวังพีมาถึง ต้วนหลิงเทียนประหนึ่งพบผู้กอบกู้ เขารีบลุกขึ้นยืนกล่าวคำทักทายออกมาทันที
“ฮ่าๆ…ศิษย์น้องหลิงเทียนแลดูเจ้ากระตือรือร้นแทบทนไม่ไหวแล้วนี่! เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเลยเถอะ!”
หวังพีมองไปที่หวางเฟยเซวียนก่อน ค่อยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่ 1,726 : ชายชราแขนเดียว!
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหวังพีทำให้หวางเฟยเซวียนไม่พอใจนัก
อย่างไรก็ตามแม้นางจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงกิริยาท่าทางอะไร
หวังพีคนนี้จะอย่างไรก็คือศิษย์ของรองจ้าววังนภา ส่วนนางก็แค่หลานของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราช แม้จะไปวัดฐานะกันยามอยู่ในโลกภายนอก…นางด้อยกว่าหวังพีอย่างมาก!
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือวังนภา นางย่อมไม่อยากล่วงเกินหวังพีโดยไม่จำเป็น!
“ข้าจะไปดูด้วย”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปกับหวังพี หวางเฟยเซวียนพลันเหินร่างไล่ตามไป แน่นอนว่าไปบินอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน
แถมต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ว่า…หวางเฟยเซวียนเอาแต่จ้องเขาตาเขม็ง!
“ศิษย์น้องหลิงเทียนแม่นางหวังดูคล้ายจะสนเจ้ายิ่ง…เช่นนั้นใยเจ้าไม่รวบนางเสียเลยเล่า จะได้เป็นว่าที่คุณชายของคฤหาสน์ดาบทรราช”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน
“ศิษย์พี่หวังอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้วถึง 2 คน กระทั่งยังมีสตรีคนรักอีกคน”
แม้จะรู้ดีว่าหวังพีกำลังล้อเขาเล่น แต่ต้วนหลิงเทียนก็เร่งอธิบายออกไปทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดโง่ๆ
“ก็แค่สตรี 3 คน…ด้วยความสามารถของเจ้า อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด! ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สตรี 3 คนให้เป็น 30 คนก็มินับว่ามากมายอันใด โลกนี้ที่ยึดถึงพลังฝีมือเป็นที่สุด บุรุษที่ทรงพลังอำนาจย่อมสามารถมีสตรีได้ตามความพอใจ!”
หวังพีร่ายมาต่อเนื่อง
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็รู้สึกพูดไม่ออก ไฉนเขาถึงรู้สึกว่าหวังพีนี้คุยยากยิ่งกว่าหวางเฟยเซวียนเสียได้?
ไม่นานภายใต้การนำของหวังพี ต้วนหลิงเทียน กับหวางเฟยเซวียน ก็มาถึงช่องเขาแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขาสูง ยามมองไปแลเห็นฟ้าเป็นเส้น สามารถเดินเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น
(ฟ้าเป็นเส้น, ลองเอาคำ 一线天 ไปเซิจดู อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน)
หลังจากเดินผ่านช่องเขาแคบเข้ามาได้สักพัก เบื้องหน้าสายตาก็เริ่มเห็นแต่สีเขียว
ภายในหุบเขาแห่งนี้นับว่าเต็มไปด้วยต้นหญ้าทั้งพืชไม้นานาพรรณ ให้ความรู้สึกสงบเงียบ
เลยออกไป คล้ายทั้งหุบเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก หมอกดังกล่าวบดบังทัศนวิสัยไปหมดสิ้น ยากจะมองเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านหลัง…
‘ค่ายกลงั้นเหรอ?’
ทันทีที่เห็นหมอกดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าหมอกเบื้องหน้าเป็นผลของค่ายกล และเบื้องหน้าม่านหมอกก็มีชายชราผู้หนึ่งยืนเฝ้าอยู่
ใบหน้าของชายชราผู้นี้เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา คล้ายมากไปด้วยประสบการณ์ เส้นผมขนคิ้วขาวโพลน กลมกลืนไปกับชุดสีเทาอย่างลงตัว แขนข้างหนึ่งขาดหาย ทว่าเพียงยืนอยู่เฉยๆ พลังสภาวะกลับแข็งกล้าไม่คล้ายคนพิการ!
เพียงมองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราแขนเดียวผู้นี้ไม่ธรรมดา!
“อาวุโส”
หวังพีพาทั้ง 2 ไปหยุดลงเบื้องหน้าชายชรา ก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยความเคารพ ในแววตายังเต็มไปด้วยความนับถือ
“อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนเองก็เร่งโค้งคารวะทักทายเช่นกัน
“อืม”
ชายชราแขนเดียวพยักหน้ารับอย่างเฉยเมย แต่ต้นจนจบใบหน้ายังสงบไร้อารมณ์
หลังจากขานรับคำทักทาย มันก็หันมองไปยังหวังพีค่อยถามออกมา “ไฉนเป็นเจ้ามาด้วยตัวเองได้? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเสี่ยวเซียวได้รับยอดฝีมืออัจฉริยะขอบเขตเซียนมา และตัดสินใจมอบสิทธิ์เข้าสระวิญญาณให้…ถึงต้องให้เจ้ามาส่งด้วยตัวเอง?”
“อาวุโสเฉียบแหลมนัก”
หวังพีพยักหน้ารับก่อนที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ “นี่คือศิษย์น้องหลิงเทียน นอกจากนี้ยังเป็นอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดในตอนนี้…อายุยังไม่ทัน 40 ปีแต่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว!”
อายุไม่ถึง 40 บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!
ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของหวังพี กระทบใจชายชราแขนเดียวไม่น้อย!
เพราะอย่างน้อยๆสีหน้าสงบไร้อารมณ์ของชายชราแขนเดียวก็ถึงกับเปลี่ยนไป คิ้วโค้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ยังหันมาจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
แววตานั้นไม่ขาดประกายแม้แต่น้อย ยามมองจ้องต้วนหลิงเทียน ยังเพ่งเสียจนจะมองให้ทะลุทุกสิ่งปานกำลังชมดูสมบัติล้ำค่า!
ทว่าความสนใจของต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้อยู่ที่เรื่องพวกนี้เลย
ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียน หยางเฟยเซวียนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นกัน
เสี่ยวเซียว?
ทั้งคู่ได้ยินวาจาที่ชายชราแขนเดียวกล่าวออกก่อนหน้านี้ชัดเจน…อีกฝ่ายกลับเรียกรองจ้าววังนภาอย่างเซียวยี่ว่าเสี่ยวเซียว
นี่เป็นการเรียกหาของอาวุโสที่มีต่อชนรุ่นหลังชัดๆ!
อย่างไรก็ตามหวังพีที่เป็นศิษย์ของเซียวยี่ กลับไม่ถือสาอะไรที่ชายชราเรียกอาจารย์ของมันราวกับเรียกหาเด็กน้อยเช่นนั้น…
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับหยางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันด้วยสงสัย
“อาวุโสผู้นี้…หรือจะเป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ขอวังนภา?”
หวางเฟยเซวียนส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดไปถามต้วนหลิงเทียน
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
ต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เขาจึงหันไปส่งเสียงถามหวังพีดู และหวังพีก็ตอบเขากลับมาแทบจะทันที “ใช่…ท่านอาวุโสคืออดีตรองจ้าววังนภา! ในแง่ของลำดับอาวุโสแล้วท่านอาวุโสเป็นถึงอาจารย์ลุงของอาจารย์ข้า…! นานมาแล้วอาวุโสได้ประสบเคราะห์ด้านนอกจนต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง ทำให้พลังฝีมือถดถอย เลยล้มเลิกความคิดติดตามท่านบรรพบุรุษรวมถึงอาวุโสคนอื่นๆขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…”
“ตอนแรกข้าเองก็คิดเรียกหาท่านอาวุโสว่าอาจารย์ปู่ ทว่าท่านมิอยากให้ฐานะของตัวเองแพร่งพรายออกไปข้าจึงต้องเรียกหาท่านว่าอาวุโสธรรมดาๆ และเพราะเรื่องนี้ศิษย์วังนภากว่า 9 ส่วนก็เลยมิได้ล่วงรู้ความเป็นมาของท่าน…”
หลังได้ยินคำของหวังพี ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาคาดถูก
ในขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังแขนข้างที่ขาดของชายชราโดยไม่รู้ตัว
จากที่เขารับทราบมา กระทั่งโอสถเซียนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่อาจงอกเงยอวัยวะที่ขาดหายได้…
สิ่งที่เขารู้ว่าสามารถงอกเงยอวัยวะได้มีเพียง ‘ใบจิตอมตะ’ ในตำนานที่เขาเคยได้รับมาในอดีต และได้ใช้ไปหมดแล้ว
“อาวุโส”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันเห็นว่าหวังพีหยิบป้ายที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวแก่ชายชรา บนป้ายยังมีคำว่า วิญญาณ สลักเอาไว้
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าพอชายชรารับป้ายไปแล้ว อีกฝ่ายก็หันมามองเขาพร้อมกล่าว “เจ้าเข้าไปได้”
ในขณะที่กล่าวชายชราก็เหลือบไปมองหมอกด้านหลัง
จนเมื่อกล่าวจบคำไปพักหนึ่ง หมอกด้านหลังพลันปั่นป่วนขึ้นมา ก่อนที่มันจะค่อยๆหมุนม้วนเป็นวังวน ใจกลางวังวนเผยให้เห็นช่องทางดั่งประตู!
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่าเป็นชายชราจ่ายพลังเปิดทางเข้าค่ายกล
“ศิษย์น้องหลิงเทียน เชิญเจ้าเข้าไปดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินให้เต็มที่ ดูดซับหมดสิ้นแล้วค่อยออกมาเล่าอย่าได้รีบร้อน…”
หวังพีมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนพร้อมหัวเราะ
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปพยักหน้าให้หวางเฟยเซวียนรอบหนึ่ง ค่อยเดินเข้าไปในวังวนหมอกมหึมาเบื้องหน้า
เมื่อก้าวเข้าไปในวังวนหมอกดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีพลังดูดรั้งขุมหนึ่งดูดร่างเขา
หลังจากที่ถูกพลังดังกล่าวดูดร่าง ภาพเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นสีดำก่อนที่จะสว่างขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ภาพเรื่องราวเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปราวคนละโลก มันช่างงดงามเหลือเกิน
แน่นอนว่าไม่ใช่ภาพวาด แต่เป็นสถานที่จริงๆ
ภาพเบื้องหน้าสมควรเป็นมุมหนึ่งในหุบเขาแห่งนี้ มองไปรอบๆมีค่ายกลปกคลุมเอาไว้ ในบรรยากาศเต็มไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินอันหนาแน่น…
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้รีบดูดซับบ่มเพาะพลัง
ในเมื่อมันถูกเรียกว่าสระวิญญาณ…เช่นนั้นคงไม่ใช่สภานที่ๆมีแค่พลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นแบบนี้อย่างเดียว! เพราะแม้พลังวิญญาณฟ้าดินแถวนี้จะหนาแน่น แต่ก็เพียงเทียบได้กับชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเท่านั้น สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว นี่ไม่ได้มีอำนาจดึงดูดใจเขาสักเท่าไหร่
หลังจากเดินหน้าฝ่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นไปอีกสักพัก เขาก็แลเห็นสระที่กว้างปานทะเลสาบย่อมๆแห่งหนึ่ง
หากแต่น้ำในทะเลสาบดังกล่าวกลับไม่ใช่น้ำธรรมดา มันมีสีขุ่นจนคล้ายกับน้ำนม…เป็นพลังวิญญาณฟ้าดินอันหนาแน่นที่ควบรวมจับตัวจนกลายเป็นของเหลว!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เรียกว่าสระวิญญาณ…พลังวิญญาณฟ้าดินควบแน่นจนกลายเป็นของเหลวแบบนี้…”
เมื่อเห็นทะเลสาบเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ล่วงรู้ที่มาของคำ สระวิญญาณ ทันที
ถึงแม้ว่าทะเลสาบแห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในนั้นก็มีมหาศาลนัก มากพอให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง!
“ด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบ่มเพาะแบบนี้ ถ้าข้ายังทะลวงไปให้ถึงด่านเซียนขัดเกลาขั้นต้นไม่ได้อีก ข้าเอาหัวไปโขกเต้าหู้ให้ตายดีกว่า…”
หากจะกล่าวว่าก่อนหน้าที่จะเข้าสระวิญญาณมา ต้วนหลิงเทียนยังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะทะลวงถึงด่านเซียนขัดเกลาล่ะก็…
มาตอนนี้พอได้เห็นสระวิญญาณเบื้องหน้า เขาบังเกิดความมั่นใจเต็มสิบส่วน! ว่าสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้แน่ๆ หากดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวมหาศาลในสะวิญญาณนี่หมด!!
“ทันทีที่ข้าบรรลุถึงเซียนขัดเกลา พลังของข้าสมควรยกระดับขึ้นมาก ถึงตอนนั้นข้าสมควรแข็งแกร่งกว่าพวกอัจฉริยะจากภูมิภาคเบื้องบนด้วยซ้ำ!”
ต้วนหลิงเทียนรู้ถึงความวิเศษของปราณสุริยันแรกกำเนิดดี ด้วยใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดผสานไปกับพลังดิบเถื่อนของร่างกาย ไม่ยากอะไรที่เขาจะจัดการผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนทั่วๆไป หลังเขาบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น
ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่เขาบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น หากเขาใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด กระทั่งอริยะเซียนขั้นสูงสุดก็ไม่มีทางทานรับได้!
ซูด!
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันสะกดความตื่นเต้นในใจลงได้ ร่างเหินไปยังสระวิญญาณทันที
ตุ๋ม!
ต้วนหลิงเทียนที่กระโจนลงสระวิญญาณ ก็ประหนึ่งหินร่วงลงสระ ทำลายความสงบในทะเลสาบย่อมๆแห่งนี้จนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามไม่นานสระวิญญาณก็หวนคืนสู่ความสงบ…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เคลื่อนไปยังใจกลางสระวิญญาณ กระทั่งมุดน้ำลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใต้ ดูดซับพลังวิญญาณเหลวเข้าร่างอย่างตะกละตะกลามด้วยเคล็ดวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม
มังกรพลังทั้ง 9 ตัวในชีพจรเซียน พากันชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินไปโคจรแปรเปลี่ยนเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิดด้วยความเร็วสูงรอบแล้วรอบเล่า!
การบ่มเพาะพลังในสระวิญญาณแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกเสมือนทั้งร่างถูกบางสิ่งห่อหุ้มเอาไว้…แถมมันความรู้สึกราวกับย้อนกลับไปอยู่ในครรภ์ของมารดา!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนดูดซับพลังวิญญาณในสระวิญญาณเพื่อบ่มเพาะพลัง หวังพีก็พาหวางเฟยเซวียนออกจากหุบเขาที่ตั้งของสระวิญญาณ
สระวิญญาณนั้นเปิดออกทุกๆ 6 เดือน และเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น…
“ศิษย์พี่หวังพี ข้าจะมีโอกาสได้เข้าสระวิญญาณของวังนภาอีกหรือไม่?”
หลังออกมาจากหุบเขา หวางเฟยเซวียนก็เร่งถามหวังพีออกมาทันที เห็นชัดว่าเรื่องนี้สำคัญกับนางมาก
สระวิญญาณ!
นอกจากแดนลับเซียนที่จะเปิดขึ้นในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่นางเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับก็เป็นเพราะต้องการเข้าสระวิญญาณ…
บางทีนางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ว่าไฉนถึงได้เลือกเข้าร่วมกับวังนภาแห่งนี้…
บางทีหากนางไปเข้าร่วมกับวังอื่นในอีก 3 วังที่เหลือ ป่านนี้นางอาจจะกำลังบ่มเพาะพลังอยู่ในสระวิญญาณไปแล้วก็เป็นได้! และด้วยความช่วยเหลือของสระวิญญาณ นางย่อมสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แน่!!
ตอนนี้นางไม่ได้เข้าสระวิญญาณแล้ว คิดทะลวงให้บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…แม้จะยังพอมีหวังแต่ก็ช่างน้อยนิดนัก!
“ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า ว่าจะต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ได้หรือไม่”
หวังพีกล่าวตอบ
ตอนที่ 1,727 : พี่ชายของอวิ๋นคุน
“คำตอบเช่นนี้ยังต่างอันใดกับมิได้ตอบเล่า…”
คำตอบของหวังพี เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำหวางเฟยเซวียนสบอารมณ์สักเท่าไหร่
แต่แน่นอนว่านางก็รู้ดีว่าเรื่องนี้หวังพีไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไร
“ฮึ! เจ้าทึ่มนั่นได้เข้าไปใช้สระวิญญาณเช่นนี้ ความแข็งแกร่งมิวายก้าวหน้าอีกแน่…จากพลังฝีมือที่มันสำแดงออกวันก่อน ไม่คล้ายคนที่พึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แต่เป็นชนชั้นยอดฝีมือที่เจียนทะลวงผ่านเต็มที…ท่าทางการเข้าสระวิญญาณคราวนี้เผลอๆจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!”
เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจของหวางเฟยเซวียนก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
ถึงจะเป็นลี่เฟิง แต่พลังฝึกปรือก็พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงุสด!
“ให้ตายเถอะ หากเจ้าทึ่มนั่นบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมิรู้คราวนี้จะหยิ่งผยองถึงเพียงใด…ดูเหมือนว่าหลังเจ้าทึ่มออกมา ข้าต้องทำดีกับมันหน่อยแล้ว หากสามารถร่วมมือกับเจ้าทึ่มตอนเข้าแดนลับเซียนได้ ยังจะมีผู้ใดสู้ได้อีก!!”
พึมพำมาถึงจุดนี้ลูกตากลมโตของหวางเฟยเซวียนก็ทอประกายเจิดจ้า มุมปากเผยรอยยิ้มสนุกสนาน
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยว่าตอนนี้หวางเฟยเซวียนได้หมายมั่นตั้งใจว่าจะร่วมมือกับเขาให้จงได้ เพราะเขากำลังทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะสั่งสมพลัง
ถึงแม้คราวนี้เขาจะบ่มเพาะพลังในโลกภายนอก ไม่อาจใช้เวลาให้คุ้มค่าได้เหมือนอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทว่าด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวอันมหาศาล ทำให้พลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้ารวดเร็วกว่าชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถึงสิบเท่า!
นอกจากนี้เพราะเขาทะลวงเปิดชีพจรเซียนได้ 99 จุด ความสามารถในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวก็ยิ่งมหาศาลตามไปด้วย
พลังฝึกปรือของเขากำลังเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็ว!
กล่าวให้ชัดคือเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการของผู้คน!
การที่พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวถูกดูดซับอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ชายชราแขนเดียวด้านนอกสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“เจ้าหนุ่มนั่นนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ…”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราพลันเผยรอยยิ้มอันหาได้ยากออกมา “อายุยังมิทัน 40 ปี กลับบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว…ออกจากสระวิญญาณคราวนี้ เผลอๆจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เรื่องนี้นับเป็นความอัศจรรย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเราจริงๆ”
“ถึงตอนนั้นต่อให้เทียบกับลี่เฟิง ก็มิได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด!”
ถึงแม้ว่าชายชรามักอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ แต่มันก็เคยได้ยินข่าวลือของ ‘ลี่เฟิง’ มาบ้าง มันรู้ว่ามีสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ปรากฏตัวขึ้น
ขณะเดียวกัน ทางด้านตำหนักเมฆาครามที่อยู่ไกลห่างก็บังเกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ความเคลื่อนไหวที่ว่าจัดเป็นเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เป็นเรื่องของผู้คนระดับล่างๆ และไม่ได้ถูกรายงานขึ้นมาให้อาวุโสระดับสูงๆรับรู้ ยิ่งไม่มีทางมาถึงหูต้วนหรูเฟิง
อวิ๋นตง…คนผู้หนึ่งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลฐานปฏิบัติการย่อยของตำหนักเมฆาคราม มันเป็นชายชราที่อายุหลายร้อยปี
ในตำหนักเมฆาครามนับว่ามันเป็นเฒ่าชราที่ผ่านอะไรมากคนหนึ่ง
ในสายตาของคนตำหนักเมฆาครามระดับล่างๆ อวิ๋นตงเรียกว่าเป็นอาวุโสระดับสูงแล้ว ทำให้มีเจ้าหน้าที่ระดับต่ำๆมากมายหมายประจบประแจงเอาใจมัน
โดยปกติผู้ที่รับหน้าที่ดูแลฐานปฏิบัติการนั้นจะถูกผลัดเปลี่ยนเวรทุกๆ 6 เดือน
และเมื่อไม่นานมานี้ก็ถึงเวลาพักของอวิ๋นตงพอดี
“เหล่าจาง…ข้าไปก่อนแล้ว ที่เหลือฝากท่านดูแลต่อด้วย”
หลังจากส่งมอบหน้าที่ให้ผู้ที่มาเข้ากะคนใหม่ อวิ๋นตงก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ฮ่าๆ! ไปเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเจออวิ๋นคุนเต็มทีแล้ว…แต่ตอนที่ข้าออกมาจากตำหนักเมฆาคราม ข้าได้ยินว่ามันออกเดินทางไกลไปที่ใดสักที่ มิรู้ว่าป่านนี้มันกลับมาแล้วหรือยัง”
ชายชราที่ถูกเรียกว่า เหล่าจาง หัวเราะกล่าว
“หืม? เจ้าเด็กน้อยนั่นออกเดินทางไกลหรือ?”
ได้ยินวาจาที่หล่าจางกลาว อวิ๋นตงถึงกับขมวดคิ้ว “มิคิดเลยว่าเดี๋ยวนี้จะไปไหนมาไหน เจ้านั่นกลับมิมาแจ้งข้า…ปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือ!”
อวิ๋นคุนนั้นเป็นน้องชายของมัน ทั้งยังเป็นน้องชายคนเดียว
พวกมันพี่น้องสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อวิ๋นคุนยังเล็กๆ เช่นนั้นในฐานะพี่ชายคนเดียวก็เป็นมันที่คอยดูแลน้องคนนี้มาโดยตลอด เรียกว่าทำหน้าที่เป็นทั้งพี่ชายและบิดามารดาให้แก่อวิ๋นคุนก็ไม่เกินเลย ในที่สุดทั้งคู่ก็ผ่านการคัดเลือกเข้าตำหนักเมฆาคราม เรียกว่าทั้งสองมาได้ไกลไม่น้อย…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวิ๋นตง ตอนนี้มันได้ไต่เต้าขึ้นมาจนมีหน้าที่ดูแลฐานปฏิบัติการภายนอกของตำหนักเมฆาคราม! แม้จะเป็นฐานปฏิบัติการเล็กๆ ฐานหนึ่งในบรรดาฐานที่มีอยู่นับไม่ถ้วน แต่ก็มากพอให้มันบังเกิดความภาคภูมิใจ
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ตำหนักเมฆาครามก็ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ระดับแนวหน้า!
มันย่อมภาคภูมิใจที่ได้เป็นผู้ดูแลฐานปฏิบัติการ!
ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เห็นทีจะมีแต่ตลาดมืดหยินชานเท่านั้น ที่มีพลังอำนาจทัดทานตำหนักเมฆาครามได้!
“ฮ่าๆๆ…ช่างเถิด! น้องเจ้าก็มิใช่เด็กน้อยไม่รู้ความแล้ว เจ้าก็นะ จักกี่ปีๆก็ยังเห็นมันเป็นเด็กมิเลิก! ข้าคิดว่าที่มันไม่มากล่าวบอกต่อเจ้าครั้งนี้ ก็เพราะกลัวเจ้าจะเป็นกังวลและมิปล่อยให้มันไปคนเดียวนั่นแหล่ะ!”
เหล่าจางหัวเราะร่า
“ฮายๆ พอๆ ไม่ต้องกล่าวแล้ว ข้ากลับไปดูก่อนแล้วกัน…มิรู้ป่านนี้น้องข้ามันจักกลับมาแล้วหรือไม่”
ไม่ทราบว่าทำไม พอได้รู้ว่าน้องชายคนเดียวอย่างอวิ๋นคุนอยู่ๆก็ออกเดินทางไกลไปครั้งนี้ อวิ๋นตงรู้สึกกระวนกระวายในใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มันจึงอยากเร่งเดินทางกลับตำหนักเมฆาครามให้เร็วที่สุด
“อ่าๆ เจ้าไปเถอะ!”
เหล่าจางย่อมเข้าใจหวิ๋นตงได้ไม่ยาก เพราะมันเองก็รู้จักพี่น้องคู่นี้มานานแล้ว
แม้อวิ๋นตงจะเป็นเพียงพี่ชายของอวิ๋นคุน แต่อวิ๋นตงก็เปรียบได้ดั่งบิดาที่คอยดูแลอวิ๋นคุนไปทุกเรื่อง
สำหรับอวิ๋นคุนแล้ว มันก็เห็นอวิ๋นตงเป็นพี่ชายที่น่ายำเกรงไม่ต่างอะไรจากบิดา
อวิ๋นตงที่เดินทางกลับตำหนักเมฆาคราม ด้วยใจที่กระวนกระวายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้มันเร่งรีบเดินทางโดยไม่หยุดพัก
และพอกลับมาถึงตำหนักเมฆาคราม ใจมันก็ยิ่งว้าวุ่นไปกันใหญ่…
เพราะเมื่อมันไปหาน้องชายของมันที่บ้าน ก็พบว่าอีกฝ่ายยังไม่กลับมา
จนเมื่อมันกลับมาถึงบ้านพักของตัวเองที่ตำหนักเมฆาคราม มันก็พบว่าไข่มุกวิญญาณของอวิ๋นคุนแตกสลายไปเสียแล้ว…
“ผู้ใด!!?”
เมื่อเห็นไข่มุกวิญญาณของน้องชายแตกสลาย ร่างอวิ๋นตงรู้สึกสะท้านไปคล้ายไร้เรี่ยวแรงจะยืน สองตาเริ่มแดงฉาน ร่ำร้องออกมาใจแทบขาด จิตสังหารอำมหิตทะลักออกมาท่วมกายไม่หยุด
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว มันย่อมสามารถสงบอารมณ์ลงได้ในเวลาไม่นาน
เพราะมันรู้ดีแก่ใจ จะร่ำไห้หรือโศกเศร้าฟูมฟายเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ที่สำคัญตอนนี้ที่สุดคือมันต้องมีสติ และสืบให้ได้ว่าน้องชายของมันไปที่ไหน แล้วไปเพื่อทำอะไร!
หลังจากใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม อวิ๋นตงก็ไปไถ่ถามสหายของอวิ๋นคุนเพื่อสอบถามข้อมูลทั้งหมด ในที่สุดมันก็ได้เบาะแสที่ต้องการ “เสี่ยวคุนไปประเทศฝูเฟิง…ที่ๆมีข่าวลือเรื่องตราผนึกมารงั้นหรือ?
อวิ๋นตงเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องการปรากฏของตราผนึกมารที่ประเทศฝูเฟิงมาแล้วเช่นกัน
กระทั่งตัวมันเองตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ยังคิดอยากจะออกเดินทางไปประเทศฝูเฟิงสักครา เผื่อมันจะมีวาสนาได้ครอบครองตราผนึกมารกับเค้าบ้าง…
อย่างไรก็ตามพอมันครุ่นคิดไตร่ตรองดู มันก้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยเกินไป อีกทั้งมันเองก็มีภาระหน้าที่วุ่นวาย สุดท้ายจึงเลิกคิดไป
แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าน้องชายของมันกลับเลือกที่จะไปประเทศฝูเฟิงเพียงลำพัง อนิจจาสุดท้ายก็ไปแล้วไปลับไม่มีวันได้หวนกลับ
เพราะไข่มุกวิญญาณแตกสลาย…ย่อมหมายถึงตาย!
“ประเทศฝูเฟิง…มันแค่ประเทศขุมพลังชั้น 6 อย่างดีก็มีแค่เซียนขัดเกลาทั่วๆไป…เสี่ยวคุนจะอย่างไรก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เช่นนั้นมือสังหารมิน่าจะใช่คนของประเทศฝูเฟิง!”
อวิ๋นตงสูดลมหายใจเข้าลึกๆพยายามสงบอารณ์ หากแต่ในแววตาของมันก็คล้ายจะลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ!
“ใครก็ตามที่ฆ่าเสี่ยวคุน ข้าจะให้เจ้าตายทรมาน!!”
ลำคอของอวิ๋นตงสั่นสะเทือน มันกล่าวออกด้วยเสียงเข้มดังจนแทบจะกลายเป็นการคำราม
แน่นอนว่าอวิ่นตงยังไม่รีบร้อนออกเดินทางไปประเทศฝูเฟิงทันที มันไปส่งรายงานการตายของน้องชายมันให้เบื้องบนก่อน เพราะสุดท้ายแล้วการที่มีคนของตำหนักเมฆาครามตาย นั่นหมายความว่ามีคนหาญกล้าท้าทาย!
ตราบใดที่มีการรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป ทางตำหนักจะส่งยอดฝีมือมาช่วยเหลือตามความเหมาะสม
และเป็นดั่งที่อวิ๋นตงคิด หลังจากที่มันรายงานเรื่องราวการตายของอวิ๋นคุนไปได้ไม่นาน เบื้องบนของตำหนักเมฆาครามก็ส่งยอดฝีมือมาช่วยมันสืบคดี เป็นชายวัยกลางคนที่มาในชุดคลุมสีแดงเพลิงขลิบทอง
“ท่านอาวุโสสูงหั่ว!”
ได้เห็นชายวัยกลางคนในชุดแดงเพลิงขลิบทองผู้นี้ อวิ๋นตงอดไม่ได้ที่จะตกใจแทบสะดุ้ง!
ถึงแม้มันจะรู้ดี ว่าการที่น้องชายมันที่นับเป็นญาติของผู้ดูแลฐานปฏิบัติการตกตายเช่นนี้ เบื้องบนของตำหนักเมฆาครามต้องส่งชนชั้นยอดฝีมือมาช่วยเหลือมันสืบคดี ทั้งช่วยล้างแค้น..
แต่มันก็ไม่คิดจริงๆ ว่าเบื้องบนของตำหนักเมฆาครามจะถึงขั้นส่งตัวตนระดับนี้มา!
อาวุโสสูงหั่วผู้นี้ นับเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือของตำหนักเมฆาคราม! กระทั่งในการจัดอันดับพลังฝีมือ อาวุโสหั่วผู้นี้ยังติด 1 ใน 10!!
“ข้ารับทราบเรื่องราวของเจ้าจากรายงานแล้ว…ข้าจะตามเจ้าไปสืบคดีและหาเบาะแสการตายของน้องชายเจ้า ตอนเจอตัวฆาตกรหากเจ้าฆ่ามันไม่ได้ ข้าจะฆ่ามันเอง”
จินหั่ว เหลียวมองอวิ๋นตงเล็กน้อยค่อยกล่าว
หากแต่มันมองอวิ๋นตงด้วยความไร้แยแส กล่าวจบก็หันหน้าไปมองทางอื่นทันที แลดูหยิ่งยโสนัก
ทว่าเห็นดังนี้อวิ๋นตงไม่เพียงไม่ได้ไม่พอใจอะไร มันยังเร่งประสานมือกล่าวออกมาด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณท่านอาวุโสสูงหั่วมากขอรับ!”
ด้วยมีอาวุโสสูงหั่วไปกับมันเช่นนี้ มันไม่ต้องกลัวว่าหากเจอฆาตกรแล้วจะไม่ได้ล้างแค้น!!
หลังจากนั้นอวิ๋นตงกับจินหั่วก็เดินทางออกจากตำหนักเมฆาคราม มุ่งหน้าสู่เขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนทันที
คฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนนั้นเป็นขุมพลังชั้น 5 ..ประเทศฝูเฟิงที่เป็นขุมพลังชั้น 6 ก็นับว่าเป็นขุมพลังที่อยู่ในเขตของมัน
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง อวิ๋นตงสืบเรื่องราวไม่นาน ก็ได้รับทราบว่าทางตระกูลราชวงศ์ต้อนรับขับสู้น้องชายมันในฐานะแขกกิตติมศักดิ์อย่างดี
ดังนั้นมันจึงมุ่งหน้าไปยังวังหลวง กระทั่งเข้าพบฮ่องเต้ฝูเฟิงทันที
“ท่าน…ท่านคือพี่ชายของใต้เท้าอวิ๋นคุน?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวิ๋นตง จูหยวน ฮ่องเต้ฝูเฟิงก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!
ในอดีตตอนที่อวิ๋นคุนยังอยู่ที่วังหลวงในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ อีกฝ่ายก็ได้เล่าถึงพี่ชายเอาไว้ไม่น้อย ยังกล่าวอวดหลายครั้งว่าพี่ชายของมันเป็นถึงผู้ดูแลฐานปฏิบัติการของตำหนักเมฆาคราม และพี่ของมันยังเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียน!
ขอบเขตอริยะเซียนนั้นไม่ใช่ว่าจูหยวนจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันก็เคยได้เห็นแค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นการมองจากที่ไกลๆ…
นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ ที่จูหยวนได้ใกล้ชิดกับขอบเขตอริยะเซียนเช่นนี้!
“ผู้ใดสังหารน้องชายข้า!!”
อวิ๋นตงไม่กล่าวเวิ่นเว้อ เปิดประตูเห็นภูผาถามจูหยวนทันที
จูหยวนพอได้ยินก็ไม่กล้าลีลา เร่งเล่ารายละเอียดทั้งหมดออกมาหมดพุง และหลังจากที่เล่าจบมันก็กล่าวย้ำด้วยใบหน้าอับจนหนทาง “ยอดฝีมือผู้นั้นมิเปิดเผยอันใดออกมาสักอย่าง…บางทีมันคงกลัวตำหนักเมฆาครามจะมาล้างแค้น”
“ไม่เปิดเผยอันใด?”
ได้ยินคำของจูหยวน คิ้วอวิ๋นตงขมวดขึ้นมาเป็นปม “แล้วเจ้าจดจำรูปร่างหน้าตาของมันได้หรือไม่ ทั้งมั่นใจเพียงใดว่ามันมิได้ปลอมแปลงโฉม?”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่กล้าตรวจสอบมันอย่างละเอียด แต่ข้ามั่นใจกว่า 9 ส่วนว่ามันมิได้ปลอมแปลงรูปโฉมมา”
เรื่องนี้จูหยวนค่อนข้างมันใจ
การปลอมแปลงใบหน้านั้น เพียงใช้สำนึกเทวะตรวจเล็กน้อยก็พบได้ ไม่จำเป็นต้องตรวจละเอียดอะไร
“เช่นนั้น เจ้ารวมถึงคนที่เคยเห็นหน้ามัน จงวาดรูปเหมือนมันมาให้ข้าเสีย”
อวิ๋นตรงกล่าวออกเสียงดังฟังชัด
คนที่เห็นอวิ๋นคุนถูกสังหาร นอกจากจูหยวนกับจูเลี่ยแล้ว ก็ยังมีป๋ายลี่หงอีกคน..
ดังนั้นหลังจากได้รับภาพเหมือน 2 ภาพ อวิ๋นตงก็ออกจากวังหลวง มุ่งหน้าไปยังตระกูลซือถู เพื่อหาตัวป๋ายลี่หง
ตอนที่ 1,728 : เวทย์พลัง ปีกอีกาทองคำ
ณ ตระกูลซือถู แห่งเมืองหลวงฝูเฟิง
การมาเยือนของคนตำหนักเมฆาครามเช่นนี้ เป็นอะไรที่ป๋ายลี่หงเตรียมตัวรับมือมานานแล้ว อีกทั้งยังวาดรูปเหมือนโฉมหน้าปลอมของต้วนหลิงเทียนตระเตรียมเอาไว้แต่แรก จึงมียื่นส่งให้อวิ๋นตงทันทีที่อีกฝ่ายร้องขอ
ถึงแม้ทั้ง 3 ภาพจะถูกวาดขึ้นด้วย 3 คนที่แตกต่าง ทว่ากลับเหมือนกันหมด
“ข้าได้ยินว่า…ต้วนหลิงเทียนที่ครอบครองตราผนึกมารอยู่เป็นศิษย์น้องของเจ้า เรื่องนี้จริงหรือ?”
เมื่อม้วนเก็บภาพเหมือนที่ได้จากป๋ายลี่หงเสร็จแล้ว อวิ๋นตงพลันมองจี้ถามป๋ายลี่หงออกมาด้วยแววตาเฉียบคม
“ใช่”
ป๋ายลี่หงพยักหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ใด?”
อวิ๋นตงกล่าวถามออกมาด้วยความสนใจ ถึงแม้มันจะมาที่นี่เพื่อตามหาตัวฆาตกรฆ่าน้องชาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสำคัญกับตราผนึกมาร
“ข้าไม่รู้”
ป๋ายลี่หงส่ายหัวไปมา
ในขณะที่อวิ๋นตงคิดจะซักไซร้กล่าวถามเรื่องอื่น พลันมีเสียงแฝงรำคาญดังขึ้นในหู “เจ้าคิดว่าคนที่ฆ่าอวิ๋นคุนจะปล่อยให้มันที่รู้เบาะแสอะไรอยู่รอดได้งั้นเหรอ อย่าได้ลืมจุดประสงค์การมาของเรา!”
เสียงแฝงรำคาญเย็นชาดังกล่าวไม่ได้มาจากใครอื่น แต่เป็นยอดฝีมือที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของตำหนักเมฆาคราม จินหั่ว
“ทราบแล้วอาวุโสสูงหั่ว”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คล้ายอารมณ์มิค่อยสู้ดีสักเท่าไรของจินหั่ว อวิ๋นตงก็ไม่กล้ากล่าวถามวุ่นวายอะไรอีก หลังมองป๋ายลี่หงอีกครั้ง มันก็เลือกจากไป
อย่างไรก็ตามอวิ๋นตงไม่ได้รู้เลยว่าที่จินหั่วกล่าวแทรกขึ้นมานั้น ไม่ใช่เพราะรำคาญมันแต่อย่างไร แต่เพราะหากอวิ๋นตงถามต่อไป มันจะเกี่ยวพันถึงต้วนหลิงเทียน
บิดาบุญธรรมของมันนั้น คือผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายจ้าวตำหนักเมฆาคราม…ยังเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!
หรงหยวน หรือผู้อาวุโสหรง ก็คือบิดาบุญธรรมของมัน!
ในตอนนั้นเมื่อข่าวลือเรื่องตราผนึกมารแพร่มาถึงตำหนักเมฆาคราม มันก็คิดจะออกเดินทางมาที่นี่เช่นกัน เผื่อจะมีวาสนาได้รับตราผนึกมารอะไร ทว่ามันกลับถูกบิดาบุญธรรมหยุดเอาไว้!
ตอนนั้นมันจึงได้รู้ ว่าต้วนหลิงเทียนที่ถือครองตราผนึกมารในข่าวลือ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม! นี่หมายความว่าอีกฝ่ายคือจ้าวตำหนักน้อยของพวกมัน!!
สำหรับเรื่องที่ไฉนจ้าวตำหนักน้อยถึงมาร่อนเร่อยู่ด้านนอกแบบนี้ มันก็ถามไถ่ไปแล้ว และได้ความจากบิดาบุญธรรมของมันว่า จ้าวตำหนักจงใจปล่อยให้จ้าวตำหนักน้อยเดินทางฝึกฝนด้วยตัวเอง!
เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นถึงจ้าวตำหนักน้อย เป็นธรรมดาที่มันจะไม่ปล่อยให้อวิ๋นตงสร้างปัญหาอะไรให้ป๋ายลี่หงลำบากใจ เพราะจะอย่างไรคนผู้นี้ก็คือศิษย์พี่ของจ้าวตำหนักน้อยพวกมัน!!
แน่นอนว่าอวิ๋นตงถูกกำหนดมา ไม่ให้รู้เรื่องนี้
และจินหั่วก็ไม่คิดจะกล่าวบอกอะไรมัน
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ตัวจินหั่วเองก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่ลงมือสังหารอวิ๋นคุน น้องชายอวิ๋นตงนั้น ที่แท้ก็คือจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักเมฆาครามพวกมัน!
หากมันรู้เรื่องนี้ล่ะก็มันคงไม่เสียเวลาตามอวิ๋นตงมาถึงที่นี่ กระทั่งมันยังจะตีอวิ๋นตงให้ขาหักเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไปไหนได้ จนกว่ามันจะเค้นถามเรื่องราวว่าไฉนน้องชายอุบาทว์ของเจ้าถึงได้หาญกล้าไปมีเรื่องมีราวกับจ้าวตำหนักน้อย!!
หากจำเป็นมันก็จะฆ่าอวิ๋นตงทิ้งไปเสีย!
ถึงแม้อวิ๋นตงจะได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลฐานปฏิบัติการฐานหนึ่ง แต่ในสายตาของจินหั่ว…ฐานะผู้ดูแลฐานปฏิบัติการก็ไม่ต่างอะไรจากศิษย์ที่ต่ำต้อยที่สุดของตำหนักเมฆาคราม!
เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องราวการมาถึงประเทศฝูเฟิงของพวกอวิ๋นตงและจงหั่ว
เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหั่วเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญในการทะลวงด่าน!
พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่มากมายจนเหมือนทะเลสาบย่อมๆ ตอนนี้พร่องไปกว่าครึ่ง และหากใครสังเกตจะเห็นว่าระดับของเหลวในสระวิญญาณได้ลดระดับจนมาถึงคอต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังแล้ว
และหากมองให้ชัดยังสามารถสังเห็นว่า พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวยังคงถูกดูดซับด้วยความเร็วอันน่ากลัว ระดับน้ำในสระวิญญาณลดลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า!
นี่มากพอจะบอกว่าการบ่มเพาะพลังครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนมันรวดเร็วเพียงใด
จะให้คนที่ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ 99 จุดบ่มเพาะพลังช้า?
เมื่อพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวลดระดับไปเรื่อยๆ จนลดลงไปปริ่มท้องต้วนหลิงเทียน ร่างของเขาก็เริ่มสั่นไหว จากเบาๆก็กลายเป็นแรงขึ้นทุกขณะ!
ตอนนี้ปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียน แทบจะเติมเต็ม หนีหว่านกง แล้ว
(ไม่รู้จะแปลยังไงจริงๆ…ถ้าเอาตรงๆ ก็ ‘วังเม็ดโคลน’ คิดซะว่ามันเป็นก้อนกลมๆ ที่เอาไว้เก็บปราณแรกกำเนิดแล้วกัน)
หนีหว่านกง นั้นเป็นสิ่งที่ตัวตนที่บรรลุขอบเขตเซียนแล้วเท่านั้นถึงจะมี มันคือทะเลปราณที่ยกระดับพัฒนาจนแปรเปลี่ยนไป
ปราณแรกกำเนิด ก็จะถูกกักเก็บเอาไว้ใน หนีหว่านกง ที่ว่า
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ใกล้จะทะลวงด่านพลังเต็มที ปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาโคจรไหลเชี่ยวปานมังกรคลั่ง ทำให้ชีพจรเซียนในร่างของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง
และการที่ชีพจรเซียนทั้ง 99 สายของต้วนหลิงเทียนสั่นสะท้านเช่นนี้ ย่อมทำให้ต้วนหลงเทียนปวดประสาทถึงขีดสุด!
ทำให้ร่างเขาของถึงกับสั่นระริกไปด้วยความเจ็บปวด!
อาการเจ็บปวดนี้มันรุนแรงถึงขั้นคิดจะร้องยังร้องไม่ออก! ทำได้แค่สั่นเทิ้มไปทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุม
ผึก!
ทันใดนั้นเชือกรัดผมของต้วนหลิงเทียนพลันขาดผึง พาลให้เส้นผมยาวสลวยเริ่มโบกสะบัดพัดกระพือไปแม้ไร้ลม ที่สำคัญยังแลเห็นแสงสีทองเรืองๆ วูบวาบออกมาตามเส้นผมแต่ละเส้น!
เห็นได้ชัดว่าเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา!
ขณะเดียวกันทั่วร่างกายของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็เต็มไปด้วยแสงสีทองเรืองรอง
แสงสีทองดังกล่าวยังค่อยๆขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายมองไปก็คล้ายมี ‘รังไหมสีทอง’ ห่อหุ้มคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้!
เป็นรังไหมสีทองขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขามไม่เบา แสงสีทองกระพริบวูบวาบออกมาไม่หยุด สามารถวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 2 หมี่!
ปุด! ปุด! ปุด! ปุด! ปุด!
……
ตอนนี้เองพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในสระวิญญาณที่ปริ่มท้องของต้วนหลิงเทียน ก็คล้ายกำลังจะเดือดพล่าน! ฟองอากาศลูกแล้วลูกเล่าผุดขึ้นมาระรัว!
ต่อมาในเวลาไม่ถึง 10 ลมหายใจ พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวรอบกายต้วนหลิงเทียนก็สลายหายไปไม่มีเหลือ!
แน่นอนว่ามันไม่ได้สลายหายไปไหน หากแต่มันเดือดจนกลาเป็นไอและไปควบรวมกับรังไหมสีทองขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ รังไหมที่ว่าประหนึ่งเด็กน้อยตะกละตะกลาม มันดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่ระเหยเป็นไอไปหมดสิ้น!!
“ผู้เฒ่าหั่ว…ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรต่อดี?!”
ภายในรังไหมสีทอง ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตอนนี้ก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว และเห็นชัดว่ากำลังคุยกับผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
อันที่จริงด้วยปริมาณปราณสุริยันแรกกำเนิดตอนนี้ เขาสามารถทะลวงไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้นานแล้ว
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะทะลวงด่านพลัง ผู้เฒ่าหั่วกลับหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
“หลังจากที่ข้าถ่ายทอดเวทย์พลังขั้นพื้นฐานของตระกูลอีกาทองคำ 3 ขา ‘ปีกอีกาทองคำ’ ให้เจ้าเสร็จสิ้น ค่อยทะลวง…ด้วยวิธีนี้วันใดที่เจ้าทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนได้ เจ้าจะสามารถใช้เวทย์พลังอย่าง ปีกอีกาทองคำ ได้ทันที…แน่นอนว่าก่อนที่เจ้าจะกระทำเช่นนั้นได้ เจ้าต้องควบรวมต้นแบบปีกอีกาทองคำ เสียก่อน…และตอนนี้ในเมื่อมีพลังวิญญาณเหลวเหลือมากมายเช่นนี้ นับว่าสบโอกาสเหมาะอย่างยิ่ง!”
นี่คือวาจาที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกก่อนหน้า
ตอนที่ด้ยินคำกล่าวนี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็อื้ออึงไปไม่น้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า ปีกอีกาทองคำ!
อย่างไรก็ตามพอได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าหั่วแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้าใจว่าปีกอีกาทองคำคืออะไร
นั่นคือเวทย์พลังขั้นพื้นฐานของเผ่าพันธุ์อีกาทองคำ 3 ขา เป็นความสามารถที่ผู้คนนอกเผ่าพันธุ์สามารถฝึกฝนจนเชี่ยวชาญได้ ทันทีที่เปิดใช้ มันจะสร้างปีกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปีกของอีกาทองคำ 3 ขาไว้ที่แผ่นหลัง เพียงห้วงคิด ร่างเหินทะยานข้ามผ่านพันหมื่นลี้!
แน่นอนว่ากว่า ปีกอีกาทองคำ จะมีพลังอำนาจระดับนั้น จำต้องมีพลังในระดับหนึ่งเสียก่อน
“ตราบใดที่เจ้าควบแน่นต้นแบบของปีกอีกาทองคำเอาไว้ ทำให้มันกลายเป็นดั่งขุมพลังของเจ้าก่อนที่เจ้าจะบรรลุเซียนขัดเกลา เพื่อเป็นการวางรานขุมพลังให้มั่นคง…นั่นจะทำให้เจ้าสามารถใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำได้ทันทีที่บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียน…ถึงตอนนั้นความเร็วของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และเป็นธรรมดาที่ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของเจ้าจะทรงพลังขึ้นเช่นกัน!”
วรยุทธ์สรรพวิชาทั่วหล้า ถือความเร็วเป็นที่สุด!
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้เรื่องนี้
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าหั่ว เขาจึงไม่เร่งรีบจะทะลวงผ่านเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดไปยังด่านพลังเซียนขัดเกลา
ทั้งหมดเพื่อให้ต้นแบบของปีกอีกกาทองคำควบรวมก่อเกิดแล้วเสร็จ!
และการปรากฏตัวของรังไหมสีทองนี้ ก็เป็นการชี้แนะของผู้เฒ่าหั่วเช่นกัน และในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 20 ลมหายใจดี รังไหมสีทองก็ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่เหลืออยู่ในสระวิญญาณจนหมดสิ้น!!
หลังจากนั้นภายใต้การชี้แนะของผู้เฒ่าหั่ว รังไหมสีทองดังกล่าวก็เริ่มถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน!
หลังจากที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน รังไหมสีทองดังกล่าว ก็เริ่มกลายเป็นกลุ่มก้อนมวลของเหลวสีทองตามการควบคุมอันแยบคาย
ทันใดนั้นเองมวลของเหลวสีทองทั้ง 2 ก็ค่อยๆก่อรูปลักษณ์เป็นปีกสีทองอันงดงาม! สองตาต้วนหลิงเทียนมองเพ่งอย่างตั้งใจ พยายามก่อรูปลักษณ์มันให้เหมือนกับที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดนิมิต ให้ได้มากที่สุด
“ตอนนี้ล่ะ!”
ทันทีที่ผู้เฒ่าหั่วตะโกนเสียงดัง ต้วนหลิงเทียนก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย และทันทีที่เขาคืนสติก็เร่งหลับตาลง ทั้งควบคุมปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างให้แผ่พุ่งออกไปชักนำปีกสีทองทั้ง 2 ให้เข้ามาผสานกับร่างกายของเขาทันที!
กล่าวให้ชัด ชักนำให้พวกมันไปติดแปะอยู่ที่แผ่นหลังของเขา!!
หลังจากที่ปีกสีทองคู่งามผสานควบรวมเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่ม 2 จุดกลางหลังเขา! ทว่าความร้อนทั้ง 2 จุดเพียงดำรงอยู่แค่ 2 เค่อก่อนที่จะหายไป..
“เอาล่ะ ปีกผสานเข้าร่างกลายเป็นหนึ่งในขุมพลังของเจ้าแล้ว…ตอนนี้เจ้าทะลวงด่านพลังต่อได้”
เสียงกล่าวเตือนของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นพอดี
ได้ยินเช่นนั้น ต้วนหลิงเทียนก็สงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะกระตุ้นปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างให้ทะลวงด่านพลัง
ก่อนหน้านี้เขาได้แตะปากประตูของด่านพลังเซียนขัดเกลาแล้ว เรียกว่าพร้อมทะลวงด่านพัฒนาพลังได้ทุกเวลา ทว่าเป็นเพราะผู้เฒ่าหั่วรั้งเอาไว้เลยหยุดลงชั่วคราว..
คราวนี้พอคิดทะลวงด่านยกระดับพลัง จึงเป็นอะไรที่ราบรื่นและง่ายดายนัก
ทั่นใดนั้นคลื่นพลังขุมหนึ่งพลันระเบิดออกจากร่างต้วนหลิงเทียน ก่อเกิดคลื่นอากาศซัดออกไปทุกทิศทาง ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียนบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
ส่วนหนีหว่านกงนั้นยังคงดูมีขนาดเท่าเดิม…แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมสักนิด
ทว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดที่บรรจุอยู่ภายในนั้น กลับพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ พวกมันคล้ายจะมีสีทองที่เข้มข้นทั้งสวยงามมากขึ้นหากเทียบกับปราณสุริยันแรกกำเนิดก่อนหน้าที่ยังไม่พัฒนา!
“ทะลวงแล้ว!”
ต้วนหลิงเทียนกำหมัดแน่นทันใด รอยยิ้มพลันคลี่กางบนใบหน้า
ถึงแม้เขาจะพึ่งทะลวงมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น ทว่าด้วยความพิเศษของปราณสุริยันแรกกำเนิด ตอนนี้ทำให้พลังอำนาจของมันทัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของตัวตนด่านพลังอริยะเซียนขั้นต้น!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์ ก็สามารถเอาชนะอริยะเซียนขั้นต้นได้อย่างง่ายดาย!
ส่วนตัวตนที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียน ตอนนี้ไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป
“ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว…ได้เวลาออกไปซะที”
ทันทีที่คิด ร่างต้วนหลิงเทียนก็โดดลอยออกมาจากก้นสระวิญญาณที่ว่างเปล่า…
ตอนนี้เรียกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินเหลว ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่หยดเดียว ทั้งหมดถูกต้วนหลงเทียนดูดซับไปจนเกลี้ยง!
“ท่านผู้อาวุโส นี่ข้าบ่มเพาะพลังไปนานเท่าไหร่แล้วหรอ?”
หลังจากที่กลับออกมานอกสระ ต้วนหลิงเทียนก็มองถามผู้อาวุโสชราแขนเดียวที่เฝ้าสระวิญญาณทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น