War sovereign Soaring The Heavens 1713-1724
ตอนที่ 1,713 : อวิ๋นคุน…ตาย?
เมื่อเห็นอวิ๋นคุนลงมือ จูมูจื่อ จูหยวนและจูเลี่ยพลันแสยะยิ้มบ้างก็หัวเราะร่าออกมา!
ราวกับวินาทีนี้พวกมันได้เห็นภาพชายหนุ่มที่กล่าววาจาโอหังถูกฆ่าก็ไม่ปาน!
อนิจจายิ้มร่าของพวกมันแสยะเผยออกไม่ทันไร ก็จำต้องชะงักค้างแข็งเติ่ง…
ตั้งแต่ที่พวกมันเริ่มหัวเราะร่าจนถึงหยุดยิ้ม ทุกสิ่งอย่างบังเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่พริบตาเท่านั้น! เร็วเสียจนผู้คนทั่วไปไม่อาจตอบสนองใดได้!!
สาเหตุที่รอยยิ้มของพวกมันจำต้องแข็งค้างก็เป็นเพราะฉากเรื่องราวเบื้องหน้า!
อวิ๋นคุนที่ปะทุพลังเกรี้ยวกราดโถมถันไปพร้อมเขตแดนทรงพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงด้วยความเร็วสูงล้ำ อย่างที่พวกมันทั้ง 3 มิอาจมองตามร่างอวิ๋นคุนได้ทัน…อย่างไรก็ตาม เพียงเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นแล้วดับไปวูบหนึ่ง ร่างอวิ๋นคุนก็ปรากฏให้เห็นอีกครา…
อนิจจาร่างอวิ๋นคุนที่ปรากฏขึ้น กลับแลต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง…
กล่าวให้ชัดร่างอวิ๋นคุนที่ปรากฏขึ้นนั้น…แว่บแรกก็มีรอยแดงลากจากกลางกระหม่อมจรดหว่างขา และพริบตาต่อมาร่างที่พุ่งไปตามแรงเฉื่อย ก็แยกออกเป็น 2 เสี่ยง…
หลังจากนั้นโลหิตก็สาดกระจาย ตับไตไส้พุงคล้ายจะแย่งกันกรูทะลักออกไปกองบนพื้น
“อะ…”
เห็นฉากนี้ จูมูจื่อก็ตะลึงงันไปปานซิญญาณหลุดลอย
อาจารย์อวิ๋นที่ทรงพลังแข็งกล้าเหนือใดในสายตาของมัน…ถูกสังหารแล้วหรือ?
ในขณะเดียวกันกับที่อวิ๋นควินถูกผ่าร่างตกตายคาที่ ป๋ายลี่หงที่แลเห็นฉากเรื่องราวเช่นกันก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ สองตาที่มองต้วนหลิงเทียนยังเลื่อนลอยไปคล้ายเห็นสิ่งอภินิหาร
พลังฝีมือของศิษย์น้องมันคนนี้…บรรลุถึงจุดที่มันมิอาจจินตนาการได้ออกแล้ว!
ยอดฝีมือทรงพลังที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…ตกตายในกระบี่เดียวหรือ?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่ากระบี่ที่ตวัดฟาดออกไปเมื่อครู่นั้น…มันมีพลังอำนาจบรรลุขอบเขตอริยะเซียน?
เพราะคงมีแต่ตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนเท่านั้น ที่จะฆ่าอวิ๋นคุนได้ง่ายดายเหมือนตัดหญ้าฆ่าไก่ พรากชีวิตของมันไปได้ง่ายดาย…
ต้องทราบด้วยว่าอวิ๋นคุนเป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นนั้นแล้วนอกจากพลังฝึกปรือของมัน วรยุทธ์เซียนทั้งสรรพวิชากระทั่งทักษะลับอะไรทั้งหลายย่อมไม่ธรรมดา อย่างน้อยๆก็ต้องเหนือกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดหลายคนในแดนดิน…
ทว่าตัวตนเช่นนั้นกลับตกตายภายใต้หนึ่งคมกระบี่ของศิษย์น้องมัน?
แน่นอนที่ว่าหนึ่งคมกระบี่นั้น เป็นป๋ายลี่หงได้แต่คาดเดาไปเอง…เพราะกระทั่งเสียงหอนของกระบี่ยามตวัดฝ่าอากาศมันยังไม่ได้ยิน!
แต่แน่นอนมันรู้ว่าสมควรเป็นต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่อันน่าอัศจรรย์นั่นแน่ๆ เพียงแค่พลังฝึกปรือมันต่ำต้อยเกินไปจึงไม่อาจรับรู้ได้ยามลงมือ…
และความจริงก็พิสูจน์ว่าป๋ายลี่หงคาดถูก
มันไม่ได้ยินเสียงหอนของกระบี่ หากแต่จูมูจื่อที่มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ซึ่งเป็นด่านพลังสูงสุดในที่นี้สามารถได้ยินเสียงดังกล่าว แม้จะแผ่วเบาและหายไปในเวลาแค่เสี้ยวพริบตาก็ตามที…
ด้วยเหตุนี้พอจูมูจื่อเห็นร่างอวิ๋นคุนปรากฏตัวและเริ่มแยกออกเป็นสองเสี่ยง มันจึงคล้ายวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง สีหน้ายังเริ่มซีดลง เหงื่อกาฬแตกพลั่ก!
การตกตายของอวิ๋นคุน สุดที่มันจะคาดคิดได้จริงๆ
และเมื่อนึกถึงทีท่า ‘เขียนเสือให้วัวกลัว’ ก่อนหน้าที่มันกระทำต่อต้วนหลิงเทียน ใจมันอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา
หากสวรรค์ให้โอกาสมันอีกสักครั้ง ต่อให้มันมีความกล้ามากกว่านี้เป็นร้อยเท่า มันก็ไม่กล้าท้าทายยั่วยุชายหนุ่มเบื้องหน้าแน่นอน!
‘บัดซบ! สารเลวอวิ๋นคุน! ไหนเจ้ากล่าวด้วยความมั่นใจนักมั่นใจหนาว่าแก้ปัญหานี้ได้ง่ายดาย…หาไม่แล้วข้าคงไม่ไปท้าทายมันเช่นนั้น!!’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จูมูจื่อก็มองร่างที่แยกเป็น 2 เสี่ยงของอวิ๋นคุนด้วยสายตาโกรธแค้น ยังดุร้ายอาฆาตปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน!
‘ไม่คิดเลยว่าเพียงจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงกระบี่นิลสวรรค์แค่ไม่กี่ส่วน กลับให้พลังอำนาจขนาดนี้…อวิ๋นคุนนั่นเป็นของขุมพลังกึ่งชั้น 3 แถมบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ยังตกตายโดยที่ข้าไม่เหนื่อยแรงอะไร…’
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สีทองเจิดจ้าที่เปล่งออกมาจากกระบี่นิลสวรรค์ ก็ค่อยๆลดความสว่างลงเหลือเพียงแค่เปล่งประกายแสงทองเรืองรองนวลตา ยังผลให้กระบี่ธรรมดาแลดูงดงามขึ้นหลายส่วน ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ใบกระบี่นิลสวรรค์เบาๆ
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองร่างต้วนหลิงเทียนพลันเหินพุ่งออกไปดั่งกระสุน พริบตาก็หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกจูมูจื่อทั้ง 3 แน่นอนว่าระหว่างทางยังไม่ลืมสะบัดมือเรียกเก็บแหวนพื้นที่ของอวิ๋นคุนมาด้วย
และตอนนี้สีหน้าทั้ง 3 นับว่าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ในแววตาของพวกมันคงเหลือแต่เพียงความหวาดผวาขลาดกลัว!
“อะไร? พวกเจ้ากลัวแล้ว?”
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา…หากแต่เป็นยิ้มแสยะมุมปากที่แลดูน่ากลัวนัก!
“ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าจูมูจื่อนับว่ามีตาแต่ไร้แวว ไท่ซันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้าแต่ข้ามิอาจแลเห็น! ขอใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ได้โปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าสักครา…ตราผนึกมารนับว่าคู่ควรที่จะอยู่ในมือใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงคนเดียว อวิ๋นคุนนั้นมันก็แค่ตัวโง่งมมิรู้ต่ำสูง เป็นเพียงหิ่งห้อยแต่หาญกล้าคิดแข่งขันประชันกับแสงจันทร์!!”
จูมูจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะคุกเข่าทั้งก้มหัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ตอนนี้สง่าราศีทั้งบารมีที่เคยประดับอยู่ทั่วร่างของมัน สลายหายไปสิ้น ไม่ต่างอะไรจากมุสิกขลาดเขลาตัวหนึ่ง
และเมื่อเห็นทีท่าการกระทำนี้ของจูมูจื่อ จูหยวนและจูเลี่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะตั้งแต่ที่พวกมันเกิดมา…ต่างไม่เคยพบเคยเจอด้านนี้ของเสด็จลุงเลย…คล้ายกับนี่เป็นคนอื่นไม่ใช่เสด็จลุงของพวกมัน!!
แต่พวกมันก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะจูมูจื่อหวาดกลัวความตาย
หากก่อนหน้านี้เสด็จลุงไม่ไปยั่วยุท้าทายชายหนุ่มเบื้องหน้า บางทีอีกฝ่ายคงไม่คิดทำอะไร
ปัญหาก็คือเสด็จลุงได้ยั่วยุท้าทายชายหนุ่มไปแล้ว…
มันลองถามตัวเองว่าหากเป็นอีกฝ่าย จะปล่อยคนที่หาญกล้าท้าทายเช่นนี้ไปหรือไม่…ย่อมไม่!
ทว่าอันที่จริงแล้วหลังจากที่ฆ่าอวิ๋นคุนไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรพวกจูมูจื่อและอีก 2 คนแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังไม่ได้แยแสวาจาที่พวกมันกล่าวออกมาก่อนหน้าด้วยซ้ำ
เหมือนท่านกำลังเดินอยู่บนถนน แล้วถูกสุนัขตัวหนึ่งเห่าใส่…ท่านคงไม่ลดตัวลงไปฆ่าสุนัขตัวนั้นใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตามพอได้เห็นอาการขี้ขลาดน่าสมเพชนี้ของจูมูจื่อ ต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความรู้สึกขัดใจขึ้นมาตงิดๆ กระบี่ในมือพลันตวัดออกตามอำเภอใจ ปรากฏเป็นคลื่นพลังสะบั้นสีทองพุ่งยิงออกไปสายหนึ่ง! คลื่นพลังแล่นวาบตัดฟ้าดั่งดาวหาง พุ่งผ่านลำคอจูมูจื่อไปก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนองใดๆ…
อวิ๋นคุนที่บรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดยังตกตายอย่างที่ไม่อาจต่อต้าน…
คงไม่ต้องกล่าวถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเช่นมัน…
และแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะใช้พลังกระบี่ออกไปส่งๆอย่างไร้เรื่องราว ทำให้พลังกระบี่รอบนี้นับว่าอ่อนด้อยกว่าตอนที่เขาใช้ฆ่าอวิ๋นคุนหลายส่วน…ทว่านั่นก็มากเกินพอจะฆ่าจูมูจื่อให้ตายซ้ำซากสักสิบรอบ!
“เสด็จลุง!!”
จูหยวนและจูเลี่ย เมื่อเห็นศีรษะของเสด็จลุงร่วงตกลงไปกลิ้นหลุนๆบนพื้น พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า หน้ายังเปลี่ยนสีไปทันใด!
อย่างไรก็ตามแม้สองตาของพวกมันจะแดงปานสีเลือด แต่พวกมันก็ไม่กล้าเผยความคับแค้นชิงชังอะไรออกมา
ผู้ใดจะไปรู้ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าติดคิดฆ่าพวกมันเพื่อตัดรากถอนโคนหรือไม่..หากพวกมันเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังคับแค้น!?
แม้ในใจของพวกมันอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายตกคามือ แต่พวกมันย่อมรู้ดีว่าพลังฝีมือของตัวไม่ร้ายกาจสามารถถึงขั้นนั้น สิ่งที่พวกมันพอจะกระทำได้ก็คือ…พยายามไม่กระตุ้นโทสะหรือสร้างความขุ่นเคืองใจให้อีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะฆ่าจูหยวนกับจูเลี่ยตั้งแต่แรก
ถึงแม้ว่าสำหรับเขาตอนนี้คิดฆ่าจูหยวนกับจูเลี่ยเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก แต่จะอย่างไรทั้งคู่ก็เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิง หากประเทศฝูเฟิงไร้ผู้เข้มแข็งเช่นพวกมันควบคุม น่ากลัวจะโกลาหลวุ่นวาย
และหากประเทศฝูเฟิงกลายเป็นโกลาหลวุ่นวาย ที่จะตามมาก็คือการแก่งแย่งชิงดี คราวนี้น่ากลัวว่าทั้งประเทศคงพยายามแบ่งพรรคแบ่งพวก ทั้งหาขุมพลังสนับสนุน กลายเป็นปั่นป่วนไปทั้งประเทศ…
เกรงว่าถึงตอนนั้นไม่แคล้วตระกูลซือถูซึ่งกล่าวได้ว่าเกี่ยวดองกับราชวงศ์ส่วนหนึ่ง คงต้องถูกฉุดลากลงกองเพลิงแห่งความแก่งแย่งชิงดีด้วย…
ตระกูลซือถูเป็นที่อยู่ของสหายและผู้หลักผู้ใหญ่ รวมถึงศิษย์พี่ของเขา ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อยากให้ตระกูลซือถูต้องมาเดือดร้อนอะไร
เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้ฆ่าจูหยวนกับจูเลี่ยทิ้ง
“ตราผนึกมารเป็นสิ่งที่ข้าต้องได้มาครองให้จงได้! หากข้าเห็นว่าตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้ากล้ากระทำเรื่องปัญญาอ่อนจนทำให้ข้าเสียเรื่อง อย่างไปลงมือกับสหายของต้วนหลิงเทียนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นอีกล่ะก็…ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าล้างตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้า!”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจูหยวนและจูเลี่ยด้วยสายตาเย็นชาอีกรอบ ก่อนที่ร่างเขาจะอันตรธานหายไปในอากาศ
สำหรับป๋ายลี่หงนั้น…เขาไม่ได้พาไปด้วยแต่อย่างไร!
สถานะของตัวเขาตอนนี้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับป๋ายลี่หง ย่อมไม่เหมาะที่จะพาป๋ายลี่หงออกไปด้วย
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าแม้เขาจะจากไปโดยไม่พาป๋ายลี่หงไปด้วย แต่ตราบใดที่ฮ่องเต้ฝูเฟิงยังหลงเหลือสมองอยู่บ้าง มันก็คงไม่คิดสร้างปัญหาให้ป๋ายลี่หงอีกต่อไป…กระทั่งยังต้องพยายามปกป้องป๋ายลี่หงด้วยซ้ำ!
และความเป็นจริงก็เป็นหมือนสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไม่มีผิด! การเดินออกจากวังหลวงของป๋ายลี่หงนับว่าราบรื่นนัก ตลอดทางไม่มีใครกล้าขัดขวาง สุดท้ายก็เดินกลับมาถึงตระกูลซือถูโดยสวัสดิภาพ!!
เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงที่ถูกตระกูลราชวงศ์จับตัวไปเมื่อ 2 เดือนก่อนเดินกลับมา ตระกูลซือถูทั้งหมดก็ตกตะลึงกันยกใหญ่ ด้วยไม่คิดว่าป๋ายลี่หงจะรอดกลับมาแบบนี้ได้!
ป๋ายลี่หงที่เป็นปรมาจารย์เซียนจารึกระดับ 4 ดาวแบบนี้…มีความสำคัญขนาดไหน ทำไมพวกมันจะไม่รู้ได้! น่ากลัวว่าหากไม่เชื่อฟังตระกูลราชวงศ์ ก็จำต้องตาย!!
ในสายตาของพวกมัน ป๋ายลี่หงมีแค่ 2 ทางเลือกที่ว่าเท่านั้น!
แต่พวกมันไม่คิดเลยว่าป๋ายลี่หงที่เป็นเหมือนเนื้อแกะเข้าปากเสือไปแล้วแบบนี้…จะสามารถหนีรอดกลับมาได้!
“ปรมาจารย์ป๋ายลี่”
เมื่อได้รับทราบถึงการกลับมาของป๋ายลี่หง พ่อลูกตระกูลซือถูก็รีบเร่งออกมาต้อนรับเป็นการใหญ่ ใบหน้าของพวกมันฉาบไว้ด้วยความประหลาดใจถึงที่สุด อีกทั้งยังเจือไว้ด้วยความรู้สึกผิดนัก! เพราะพวกมันไร้สามารถปกป้องอีกฝ่าย…ได้แต่ปล่อยให้ตระกูลราชวงศ์จับตัวอีกฝ่ายไปดื้อๆ…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูอย่างซือถูหัง พอเห็นป๋ายลี่หงกลับมาถึงตระกูลซือถูในสภาพครบสามสิบสอง มันก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
มันยังจดจำได้ดีว่าครั้งที่ปรมาจารย์ต้วนจากไป อีกฝ่ายฝากฝังสหายและศิษย์พี่เอาไว้กับมัน ยังกำชับให้ดูแลทุกคนอย่างดี
ทำให้ตอนที่ป๋ายลี่หงถูกจับตัวไป มันรู้สึกเศร้าเสียใจทั้งรู้สึกผิดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นเดือน พอมาตอนนี้ได้เห็นป๋ายลี่หงกลับมาตระกูลซือถูอย่างปลอดภัย มันจึงอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้จริงๆ…
อย่างไรก็ตาม ความประหลาดใจของทุกคนในตระกูลซือถูก็ไม่ได้หายไปไหน ด้วยเพราะทั้งหมดคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนป๋ายลี่หงถึงรอดพ้นเงื้อมมือคนของตระกูลราชงศ์และกลับมาได้เช่นนี้?
เพราะในสายตาของพวกมัน ตระกูลราชวงศ์ไม่มีวันปล่อยปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวให้รอดพ้นเงื้อมมือมาง่ายๆแน่นอน!
และไม่นานมานี้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋น ก็ได้ไปเยือนวังหลวงเป็นการส่วนตัว เรียกร้องให้ปล่อยคนมาแล้ว ทว่าต่างเห็นกันชัดเจนว่านางล้มเหลว เพราะกระทั่งนางก็จำต้องล่าถอยกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส…!
“เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้”
เป็นธรรมดาที่ป๋ายลี่หงจะไม่กล่าวเล่าความจริงออกมา เพราะต้วนหลิงเทียนก็ได้กำชับเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก
“ยอดฝีมือผู้นั้น ต้องการครอบครองตราผนึกมารที่อยู่ในมือศิษย์น้อง มันจึงกลัวว่าหากข้าตกตายไปเพราะการทรมานของตระกูลราชวงศ์ จะทำให้ศิษย์น้องข้าตื่นตัวและเลือกที่จะซ่อนตัวให้มิดชิดกว่าเดิม…เช่นนั้นยอดฝีมือผู้นั้นจึงช่วยเหลือข้าออกมา และกล่าวย้ำเตือนฮ่องเต้ฝูเฟิงไว้ชัดเจน ว่าอย่าได้บังเกิดความคิดแตะต้องข้าอีก…”
พอได้ยินวาจาเล่าความของป๋ายลี่หง ซือถูหัง ซือถูฮ่าวและคนอื่นๆของตระกูลซือถูอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจไปพักหนึ่ง
เช่นนี้ก็ได้หรือ?!
“เป็นยอดฝีมือลึกลับที่ร้ายกาจนัก…แต่นับว่าโชคดีแล้วจริงๆที่ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือลึกลับเช่นนี้ หาไม่แล้วคงมิอาจกลับมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลวือถูกล่าวออกพร้อมถอนหายใจ
ไม่อาจกลับมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?
ได้ยินวาจานี้ของอาวุโสตระกูลซือถู ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะแค่นคำเย้ยเยาะในใจ
ตอนที่ 1,714 : เป้าหมาย…ตำหนักฟ้าลี้ลับ!
หากศิษย์น้องของมันไม่มา มีหรืออาศัยมันคนเดียวจะยังมีวันได้กลับมาอีก? ยังมีโอกาสสูงนักที่มันจะเน่าตายคาคุกใต้ดินแสนบัดซบนั่น!!
“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ข้าได้ยินมาว่ายามนี้ในวังหลวงของประเทศฝูเฟิง มีสุดยอดฝีมือขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคอยคุ้มครองพวกตระกูลราชวงศ์อยู่…ยอดฝีมือลึกลับที่ว่าบุกไปช่วยท่านเช่นนี้ แล้วสุดยอดฝีมือผู้นั้นมิเคลื่อนไหวสอดมือหรือ?”
ทันใดนั้นอาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของตระกูลซือถูอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
ทันใดนั้นทุกคนไม่เว้นซือถูหัง ซือถูฮ่าว และซือถูโฮ่วก็หันมองไปที่ป๋ายลี่หงตาเป็นมัน ด้วยอยากรู้อยากเห็นนัก
สุดยอดฝีมือที่ว่ามาคุ้มครองตระกูลราชวงศ์นั้น…เสียงร่ำลือกันว่ามันบรรลุถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
“สมควรมิได้ลงมือใช่หรือไม่..หาไม่แล้วคงยากที่ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นจะช่วยท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ออกมาได้?”
ทว่าหลังจากมองจ้องด้วยเฝ้ารอคำตอบของป๋ายลี่หงอยู่พักหนึ่งแต่ป๋ายลี่หงยังเงียบไม่ตอบอะไร อาวุโสคนหนึ่งจึงกล่าวคาดเดาออกมาอย่างอดไม่ได้
“สมควรเป็นเช่นนั้น จะอย่างไรนั่นก็คือสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! หากมันลงมือขัดขวางจริง ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นคงยากจะช่วยเหลือท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ได้…”
อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม
หากเป็นคนแปลกหน้าที่ช่วยตัวมันออกมาจริงๆ ป๋ายลี่หงคงแค่ยิ้มรับและไม่กล่าววาจาตอบอะไรออกไป
ทว่ามันรู้ดีแก่ใจว่ายอดฝีมือลึกลับที่ช่วยเหลือมันไว้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นศิษย์น้องที่น่าภาคภูมิใจของมัน! ตัวมันจึงมิอาจปล่อยให้คนอื่นดูถูกศิษย์น้องของมันได้แบบนี้ “เฮอะ! พวกเจ้าใช่กำลังกล่าวถึงอวิ๋นคุนใช่หรือไม่? ข้าจะบอกอันใดให้! มิเพียงแต่มันจะเป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดธรรมดา…แต่ฐานะความเป็นมาของมันยิ่งใหญ่นัก เพราะมันมาจากตำหนกมเฆาคราม อันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!”
“อะ…อะไรนะท่าน!?”
“คะ…คนของตำหนักเมฆาคราม ขะ…ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ?”
“มะ…มารดาเราช่วย! ตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงเรา กลับมีสายสัมพันธ์กับตำหนักเมฆาครามด้วยหรือ?”
“ตำหนักเมฆาคราม…กล่าวกันว่าเป็น 1 ใน 2 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งมวล!”
……
พอได้รับรู้ว่า อวิ๋นคุน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลราชวงศ์ ที่แท้เป็นถึงผู้ที่มาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม ทั้งหมดถึงกับตกตะลึงถึงขั้นลืมหายใจ!
ตระกูลซือถูของพวกมัน เป็นแค่ขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น…
อย่างไรก็ตามตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นถึงขุมพลังกึ่งชั้น 3! เรียกว่าเพียงชี้นิ้วสุ่มเลือกชนชั้นยอดฝีมือของตำหนักเมฆาครามมาสักคน ก็สามารถล้างตระกูลซือถูของพวกมันได้ง่ายดาย!!
“เฮอะ! มันจะเป็นคนของตำหนักเมฆาครามแล้วจักอย่างไร? สุดท้ายมันก็ต้องตาย!”
ป๋ายลี่หงแค่นคำกล่าวออกด้วยความดูแคลน
ต้องกล่าวเลยว่า ทันทีที่ป๋ายลี่หงแค่นคำกล่าวออกมาครั้งนี้ ประหนึ่งมีเมฆคุ้มฝนคลั่งทั้งฟ้าฟาดอุบัติขึ้นในศีรษะของคนตระกูลซือถูแล้วจริงๆ!
หลังจากที่ทุกคนหวนคืนสู่สติ ก็ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่กล่าวคำออก เพียงหันหน้ามองสบตากันอย่างเงียบงัน ต่างเห็นซึ้งถึงความเหลือเชื่อจากแววตาอีกฝ่าย
“อะ…อวิ๋นคุนผู้นั้นตกตายแล้ว?”
“กระทั่งคนจากตำหนักเมฆาครามยังกล้าฆ่าฟัน? ยอดฝีมือลึกลับนั่นมิหวั่นหวาดความตายแล้วหรือ?”
……
คนของตระกูลซือถูย่อมไม่คิดคลางแคลงสงสัยในวาจาของป๋ายลี่หง เพราะเรื่องนี้ก็เปรียบดั่งกระดาษห่อไฟ ยากที่จะปกปิดไว้ได้นาน
ต่อให้วันนี้ป๋ายลี่หงกล่าวโป้ปด แต่เรื่องจริงก็ต้องปูดขึ้นมาในเวลาอันสั้น
อย่างไรเสียสิ่งที่ทำให้พวกมันตกตะลึงที่สุดไม่ใช่เรื่องที่อวิ๋นคุนผู้นั้นมาจากตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3…แต่เป็นเรื่องที่มีคนหาญกล้าฆ่าตัวตนเช่นนั้นต่างหาก! หรือผู้ลงมือไม่หวาดกลัวอำนาจของตำหนักเมฆาครามแล้วจริงๆ?
ตำหนักเมฆาครามคือมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
ไม่นานเหล่าอาวุโสของตระกูลซือถู ก็กล่าวถามป๋ายลี่หงสืบต่อว่าที่แท้ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…
“ยอดฝีมือลึกลับที่ช่วยเหลือข้า อาศัยเพียงกระบี่เดียวก็ผ่าร่างอวิ๋นคุนให้แยกเป็นสองเสี่ยง…กระทั่งข้าที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว ยังมิอาจได้ยินแม้แต่เสียงตวัดกระบี่ ทำให้สิ่งเดียวที่ข้ารู้คือนั่นเป็นกระบี่ไวสังหารที่รวดเร็วสุดหยั่ง!”
ป๋ายลี่หงกล่าวออกมาอีกครั้ง
เพียง 1 กระบี่ สังหารเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด?
ทันใดนั้นคนของตระกูลซือถู ไม่เว้นซือถูฮ่าวและซือถูหังก็จำต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดกลัว ไขสันหลังยังรู้สึกเสมือนมีไอเย็นแล่นวาบเกาะกุม!
เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมหมายความว่ายอดฝีมือลึกลับที่ยื่นมือเข้าช่วยป๋ายลี่หง…สมควรบรรลุด่านพลังอริยะเซียน!
หลังจากกล่าวเล่าเรื่องราวและตอบคำถามจิปาถะให้คนของตระกูลซือถูฟังอยู่อีกสักพัก ป๋ายลี่หงก็ขอตัวลากลับบ้านไปพักผ่อน
ก่อนหน้านี้เฟิ่งหวู่เต้า และซื่อหม่าฉางฟงรวมถึงคนอื่นๆย่อมไม่รู้เรื่องราว
แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเอาไว้ก่อนจากไปว่า วันนี้ป๋ายลี่หงจะกลับมา พวกมันจึงไม่ได้ไปที่ไหน เพียงเฝ้ารอป๋ายลี่หงที่ลานบ้านของป๋ายลี่หง
“พวกเจ้า…”
และทันทีที่ป๋ายลี่หงเดินเข้าประตูมามันก็พบเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆทั้งหมด รออยู่ในลานด้วยใบหน้าเป็นกังวล
“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่!!”
เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงกลับมาจริงๆ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ก็ประหลาดใจกันยกใหญ่!
“อะไรกัน? อย่าบอกข้านะว่าที่ข้าพูดไปก่อนหน้าไม่มีใครเชื่อถือกันเลย?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็กลับมาถึงได้สักพักแล้วเช่นกัน เมื่อมาถึงที่นี่เขาก็เลิกใช้ใบหน้าปลอม หวนคืนสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง และเลือกจะเผยตัวออกมาหลังเห็นป๋ายลี่หงมาถึง
เมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เริ่มคุ้นตาเปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ป๋ายลี่หงรู้สึกได้ถึงมวลอารมณ์ที่ท่วมท้นขึ้นมา มันก้าวไปหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะตบไหล่เบาๆ ทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ศิษย์น้อง…ข้ามิอยากจะเชื่อเลยว่าเพียงเวลาพ้นผ่านไปปีเดียว เจ้าจะบรรลุพลังฝีมือขอบเขตอริยะเซียนแล้ว…”
บรรลุพลังฝีมือขอบเขตอริยะเซียน!?
แม้คนกล่าวไม่ตั้งใจ แต่คนฟังไม่อาจไม่หูผึ่ง! เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆที่ได้ยินวาจานี้ของป๋ายลี่หงล้วนตกตะลึงกันทั้งสิ้น!
ขอบเขตอริยะเซียน!?
พวกมันไม่ใช่คนบ้านนอกจากทวีปมนุษย์อีกต่อไป เพราะได้มาใช้ชีวิตในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเป็นปีๆแล้ว แน่นอนทั้งหมดย่อมรู้ดีว่า ขอบเขตอริยะเซียน นั้นคืออะไร และหมายความว่าอย่างไร..
ขอบเขตอริยะเซียน เป็นด่านพลังด่านหนึ่งของผู้ฝึกตนระดับ เซียน!
ยามเมื่อผู้คนทะลวงผ่านขอบเขตสู่เซียนจนบรรลุระดับเซียนได้ ขอบเขตพลังดังกล่าวเรียกว่าเซียนดั้งเดิม ถัดจากเซียนดั้งเดิมก็เป็นเซียนขัดเกลา จนเมื่อทะลวงผ่านเซียนขัดเกลาจึงค่อยบรรลุถึงอริยะเซียน!
“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่…นี่ท่านคงมิได้กำลังล้อพวกเราเล่นอยู่หรอกนะ! จะ…เจ้าต้วนน่ะรึ บรรลุอริยะเซียนแล้ว?”
เฉินเฉ่าช่วยสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก มันหันมองป๋ายลี่หงกับต้วนหลิงเทียนสลับไปมาด้วยสายตาประหลาดใจ ทำราวกับมองสัตว์ประหลาด
“นี่ต้วนหลิงเทียน จะ…เจ้าทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนแล้วจริงๆ?”
หนานกงยี่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ยังไม่…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน นอกจากป๋ายลี่หงที่คล้ายกำลังสับสนไม่เข้าใจ เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง และคนอื่นๆพลันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกทันที โฉดคลุมทองยังกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ “ฮัยยา ที่แท้เป็นท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ล้อพวกเราเล่นนี่เอง”
“โอย ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ทีหลังอย่าล้อเล่นเช่นนี้ได้หรือไม่ หัวใจข้าดวงน้อยๆของข้าแทบหยุดเต้นแล้ว!”
หนานกงยี่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงขื่นขม
“จึกๆๆ ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ที่แท้ท่านก็ขี้เล่นหรอกหรือ? กลับคิดหยอกล้อพวกเราเช่นนี้?”
เฉินเฉ่าช่วยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแหยงๆ
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มกลายเป็นครึกครื้นสนุกสนาน ป๋ายลี่หงก็ไม่รู้จะกล่าวออกมาอย่างไรดี ได้แต่ยิ้มแหยๆไปตามเรื่องราว
“ข้ายังไม่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนก็จริง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ข้าสามารถลงมือจู่โจมด้วยพลังที่ทัดเทียมกับขอบเขตอริยะเซียนได้…แน่นอนว่าจำกัดแค่พวกอริยะเซียนทั่วๆไป”
ในขณะที่ป๋ายลี่หงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาในเวลาที่เหมาะสม
นอกจากป๋ายลี่หงที่ทอประกายลุกวาวด้วยตระหนักถึงบางสิ่ง เฟิ่งหวู่เต้าและคนที่เหลือถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด อึ้งค้างกันไปอยู่นานกว่าจะฟื้น
“สัตว์ประหลาด!?”
“ตัวประหลาด!”
หนานกงยี่กับเฉินเฉ่าช่วยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาเบิกโพลงปานลูกวัวแรกเกิด ปากยังโพล่งอุทานออกมาเสียงดัง
“เฮ้เจ้าต้วน…งั้นนี่หมายความว่า เป็นเจ้าเองน่ะเหรอที่บุกไปช่วยท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่กลับมา?”
เฉินเฉ่าช่วยโพล่งถามออกมาอีกรอบ
“ให้ข้าเล่าเรื่องนี้เองเถอะ”
ป๋ายลี่หงที่สติกลับมาแจ่มใสแล้ว พลันกล่าวออกมา
ถึงแม้จะเป็นการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้ว หากทว่าในขณะที่เล่าป๋ายลี่หงยังรู้สึกเสมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์
“อัยยะ! ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ท่านจะไม่สุดยอดไปหน่อยหรือ…เล่นเดินออกจากวังหลวงอย่างสง่าผ่าเผยไม่รีบไม่ร้อนเช่นนั้น!!”
“เหอะๆ ขนาดข้ามิได้อยู่ที่นั่นและเห็นเรื่องราวกับตา แต่ข้ายังนึกสีหน้าของพวกคนตระกูลราชวงศ์ออกเลย ว่าจะบิดเบี้ยวเหยเกขนาดไหน…”
เฉินเฉ่าช่วยกับหนานกงยี่กล่าวออกมาอย่างสนุกสนานหลังได้ฟังเรื่องราวจากป๋ายลี่หง
อย่างไรก็ตามไม่นานสายตาของทั้งคู่ก็หันไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนเหมือนเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่เหลือ
เพราะสิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดของเรื่องราวนี้คือพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน!
อวิ๋นคุน ศิษย์ของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม ที่มีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด กลับถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายในกระบี่เดียว…
“เจ้าหนูหลิงเทียน จะอย่างไรเจ้านั่นมันก็เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม…พวกเรามิรู้ด้วยซ้ำว่ามันใช่คนสำคัญของตำหนักเมฆาครามหรือไม่ หากมันเป็นคนสำคัญของตำหนักเมฆาครามจริงๆ ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงมิอาจจบลงง่ายๆ…”
เฟิ่งหวู่เต้าก่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ได้ยินวาจาที่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังตึงเครียดนี้ของเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆจึงค่อยตระหนักได้ ว่าสถานการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงปานใด ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกแทนต้วนหลิงเทียน
“ถึงแม้ตำหนักเมฆาครามอาจไม่คิดรามือจากเรื่องนี้ง่ายๆ แต่อย่าลืมว่าตอนข้าฆ่าคน ข้าลงมือด้วยใบหน้าที่ปลอมขึ้นมา…ถึงตำหนักเมฆาครามอยากจะหาความ แต่อย่างน้อยๆมันต้องหาตัวคนลงมือให้เจอก่อน…”
ต่างจากพวกเฟิ่งหวู่เต้า ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆที่เป็นกังวล ต้วนหลิงเทียนยังคงสงบแลดูใจเย็น…
เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ที่เป็นกังวลจนหูตาฝ้ามัว พอได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนจึงค่อยตระหนักได้ กลายเป็นคลายความกังวลลงทันที
“ลุงเฟิ่ง ข้าราบเรื่องที่เทียนหวู่ออกเดินทางออกจากนิกายแล้ว…แต่ข้ากลับคลาดกันกับนาง นางได้แจ้งท่านไว้หรือไม่ว่านางจะกลับมาเร็วๆนี้รึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามเฟิ่งหวู่เต้า
“ไม่เลย”
เฟิ่งหวู่เต้าส่ายหัวไปมา แม้มันจะทราบจากประมุขสื่ออวิ๋นแล้ว ว่ามียอดฝีมือที่ลอบติดตามไปคอยคุ้มครองบุตรีของมันอย่างลับๆ แต่ในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
ยอดฝีมือที่ว่าอาจจะร้ายกาจที่สุดในประเทศฝูเฟิง แต่กลับที่อื่นอาจไม่ใช่…
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้ ค่อยกล่าวกำชับออกมา “พวกท่านอย่าได้กล่าวบอกใครถึงเรื่องที่ข้ากลับมา…และจากคำที่ข้าทิ้งไว้ในวังหลวง คนของตระกูลราชวงศ์ย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาอะไรกับพวกท่านอีกต่อไป หลังจากนี้ทุกคนคงสามารถอยู่ในตระกูลซือถูได้อย่างปลอดภัย…และวันใดที่ข้ามีพลังฝีมือสูงพอข้าจะมารับพวกท่านทุกคนเอง ช่วงนี้ก็อย่าได้ละเลยหย่อนคล้อยเล่าขยันฝึกปรือบ่มเพาะกันด้วย…”
พอได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวออกยืดยาว ทั้งรับทราบเนื้อหาใจความ ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไปแล้ว…
อย่างไรก็ตามพวกมันทุกคนรู้ดี ว่าประเทศฝูเฟิงไม่ใช่เวทีที่เหมาะสมให้ต้วนหลิงเทียนโลดแล่น…
มหาสมุทรสุดไพศาลมีไว้ให้ฉลามว่าย นภากว้างใหญ่มีไว้ให้เหยี่ยวเหิน!
คงมีเพียงแต่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่เท่านั้น ถึงจะเป็นเวทีที่เหมาะสมให้คนอย่างต้วนหลิงเทียนโลดแล่น…
หลังจากที่ออกจากตระกูลซือถูแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง หมายไปยังนิกายอัคคีล่องลอย…
เมื่อมาถึงนิกายอัคคีล่องลอย ต้วนหลิงเทียนจึงได้ทราบข่าวจากลูกศิษย์ของประมุขสื่ออวิ๋น ว่านางยังคงอยู่ในช่วงเดินพลังรักษาตัวอยู่ ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บของประมุขสื่ออวิ๋นนั้นสมควรสาหัสนัก…
“ถ้างั้นข้าขอฝากพี่สาวท่านนี้ไปกล่าวบอกประมุขสื่ออวิ๋นด้วย…ว่าข้าได้ล้างแค้นให้นางเรียบร้อยแล้ว”
ในเมื่อประมุขสื่ออวิ๋นยังคงปิดด่านเดินพลังรักษาตัว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะไปรบกวนขัดจังหวะการฟื้นฟูรักษาตัวของนางแต่อย่างไร จึงฝากให้ศิษย์ส่วนตัวของนางคนหนึ่งไปกล่าวบอก
เมื่อได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ส่วนตัวคนดังกล่าวของประมุขสื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะลอบเย้ยเยาะในใจ สีหน้าแววตาเผยอาการไม่เชื่อชัดเจน
นางย่อมรู้ดีว่าเป็นผู้ใดที่ลงมือทำร้ายอาจารย์ของนางจนอาการสาหัสขนาดนี้ เช่นนั้นอาศัยเจ้าหนุ่ม ‘หน้าขาว’ นี่น่ะหรือ จะมีพลังสามารถพเพียงพอที่จะต่อกรกับตัวตนที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้?
ต้วนหลิงเทียนย่อมแลเห็นถึงความไม่เชื่อในสีหน้าแววตาศิษย์สตรีเบื้องหน้าชัดเจน แต่เขาก็เพียงยิ้มลาจากนางมาอย่างเงียบๆไม่คิดอธิบายอะไร เพราะเขาเชื่อว่าในเวลาไม่เกิน 2 วันข่าวในวังหลวงสมควรแพร่กระจายออกมาถึงนิกายอัคคีล่องลอย!
“เอาล่ะ…ตอนนี้ก็ถึงเวลาไปตำหนักฟ้าลี้ลับที่ว่านั่นดูแล้ว…”
ตำหนักฟ้าลี้ลับ! ขุมพลังกึ่งชั้น 3!!
ตอนที่ 1,715 : มณฑลฟ้าลี้ลับ
การฝากให้ศิษย์คนหนึ่งไปกล่าวบอกประมุขสื่ออวิ๋นว่าเขาลงมือล้างแค้นให้นางแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้คิดทบทวนมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่วู่วามฝากฝังไปเรื่อยเปื่อย
ถึงแม้การบุกเข้าวังหลวงไปช่วยป๋ายลี่หงเขาจะปลอมแปลงรูปโฉมไป แต่ในเมื่อสื่ออวิ๋นเป็นอาจารย์ของเฟิ่งเทียนหวู่ เขาจึงไม่คิดจะปกปิดนาง
สำหรับเรื่องศิษย์ส่วนตัวของประมุขสื่ออวิ๋นที่ต้วนหลิงเทียนฝากให้นางไปส่งข้อความคนนี้ ตอนที่ต้วนหลิงเทียนเจอกับเฟิ่งเทียนหวู่ครั้งแรกในนิกายอัคคีล่องลอย เขาก็ได้รับทราบจากเฟิ่งเทียนหวู่ตั้งมา ว่าศิษย์พี่หญิงของนางคนนี้เดิมทีเป็นเด็กกำพร้า แต่ได้อาจารย์รับมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็กๆ เช่นนั้นนางจึงเห็นสื่ออวิ๋นเป็นดั่งมารดาแท้ๆ และเป็นห่วงเป็นใยสื่ออวิ๋นยิ่งกว่าใคร…
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่กลัวว่านางจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกมา เพราะนั่นจะเป็นการชักนำเภทภัยมาสู่อาจารย์ที่นางรักและเคารพไม่ต่างจากมารดา…
และถึงแม้ว่านางจะพลั้งเผลอแพร่งพรายเรื่องราวออกมา แต่เกรงว่าคงมีน้อยคนที่จะเชื่อนาง!
เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนบุกมายังวังหลวง กระทั่งฆ่าจูมูจื่อและอวิ๋นคุนไป เขาได้ใช้โฉมหน้าที่ปลอมแปลงขึ้นมาด้วยทักษะลับแปลงโฉมที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้! อีกทั้งเขาเองก็ตระหนักได้ชัดเจนว่าจูหยวนกับจูเลี่ยได้พยายามตรวจสอบเขาด้วยสำนึกเทวะ นั่นทำให้ทั้งคู่คงเชื่อไปแล้วว่านั่นคือใบหน้าที่แท้จริงของเขา…
ทักษะลับแปลงโฉมของผู้เฒ่าหั่วนับว่าเป็นยอดวิชาปาฏิหาริย์ก็ว่าได้! น่ากลัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงยากจะมีบุคคลที่ 2 ที่สำเร็จทักษะแปลงโฉมอันร้ายกาจเช่นนี้อีก กระทั่งคงยากจะมีใครล่วงรู้ถึงการดำลงอยู่ของทักษะแปลงโฉมเลิศล้ำถึงขั้นไร้ร่องรอยให้สืบสาวแบบนี้!!
กระทั่งต่อให้เรื่องนี้เริ่มลือกันออกมา ต้วนหลิงเทียนยังเชื่อว่าจูหยวนกับจูเลี่ยเองคงเป็น 2 คนแรกที่ออกมากล่าวยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเขา!
หลังจากที่ออกจากนิกายอัคคีล่องลอยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะเดินทางออกจากประเทศฝูเฟิงทันที ไม่คิดย้อนกลับไปเมืองหลวงอะไรอีก
‘ไม่รู้ป่านนี้เทียนหวู่ไปอยู่ที่ไหนแล้ว…แถมเรื่องท่านพ่อท่านแม่เองก็ยังมืดแปดด้าน บ้าจริง…หากข้าไม่พลั้งมือทำลายหยกบันทึกเสียงนั่นไป ป่านนี้ข้าคงได้เจอท่านพ่อท่านแม่แล้ว จากที่เฉวี่ยไน่บอกมา…สมควรเป็นคนของท่านพ่อที่พาตัวเสี่ยวเฟยเอ๋อไป…ไม่รู้จริงๆว่าท่านพ่อไปรู้ได้ยังไงว่าเสี่ยวเฟยเอ๋ออยู่ที่คฤหาสน์คลื่นขจี?’
ในขณะที่เดินทางออกจากประเทศฝูเฟิง ใจต้วนหลิงเทียนก็ล่องลอยครุ่นคิดไปไกล
‘เค่อเอ๋อ…ไม่รู้ป่านนี้เจ้ากับลูกเป็นอย่างไรแล้ว จะปลอดภัยดีกันอยู่ไหม…’
ตอนที่ได้รู้ว่าลี่เฟยสมควรอยู่กับบิดาของเขาแล้ว ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ทว่าด้านเค่อเอ๋อนั้น…เทียบกับลี่เฟยที่สมควรปลอดภัยแล้ว สถานการณ์ของนางเป็นอย่างไรบ้างเขาไม่อาจรู้ได้เลย จึงทำให้ในใจเป็นกังวลมาก
หลังออกจากเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะแวะที่คฤหาสน์คลื่นขจีแต่อย่างใด ทว่าเลือกจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับโดยตรง
ในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่มีอยู่ไม่มากในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นปกครองพื้นที่ทางตอนเหนือในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และต่อให้ต้วนหลิงเทียนเดินทางโดยไม่พัก เขาก็ต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะไปถึง
แน่นอนว่าด้วยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ การเดินทางโดยไม่ได้นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันทั้งเดือนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปเจียนครบเดือน ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงพื้นที่ปกครองของตำหนักฟ้าลี้ลับในที่สุด
พื้นที่แถบนี้ยังเรียกกันอีกอย่างว่า มณฑลฟ้าลี้ลับ
ความกว้างใหญ่ของมณฑลฟ้าลี้ลับนั้น เทียบได้กับเขตอิทธิพลหลักของขุมพลังชั้น 4 จำนวน 2 ขุมพลังควบรวมเข้าด้วยกัน…ที่สำคัญ 1 ใน 2 ขุมพลังชั้น 4 ที่อยู่ในมณฑลฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่ขุมพลังแปลกใหม่สำหรับต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร เพราะมันไม่ใช่ขุมพลังอื่นใด…เป็นคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!
หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งนั้นเป็น 1 ในผู้ดูแลการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ที่จัดขึ้นในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะเข้าร่วมกับคฤหาสน์ข้ามฟ้าหรือไม่ก็คฤหาสน์คลื่นคลั่ง แต่พอเขาบังเอิญได้รับทราบว่าตำหนักฟ้าลี้ลับกำลังเฟ้นหาอัจฉริยะเป็นศิษย์ เขาก็เปลี่ยนใจแทบจะทันที และทิ้งให้หลิวหงกวงกับเริ่นจงรอเก้อ…
และเริ่นจงที่ว่านั่นก็เป็นถึงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า…
สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกผิดไม่น้อย เช่นนั้นวันหน้าหากมีโอกาสเขาจะต้องหาทางตอบแทนคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่งแน่นอน
หลังจากที่มาถึงมณฑลฟ้าลิ่วล่องแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะแวะพักที่เมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่เขาบังเอิญเหินผ่าน และเป็นที่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พลาดการเข้าไปเก็บข้อมูลในเหลาอาหาร…
ต้วนหลิงเทียนที่เข้ามาในเหลาอาหารใหญ่โตแลดูหรูหราแห่งหนึ่ง พึ่งนั่งลงก้นไม่ทันอุ่น ก็ได้ยินเสียง 2 เสียงแว่วดังเข้าหู
“เฮ่! เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ เห็นว่านายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่เรียกว่าฉีจิ้งอันใดนั่น มันถึงกับตกตายคาการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องล่ะ!”
“อ๋อ เรื่องนี้น่ะรึ ข้าได้ยินมาแล้ว…ยังกล่าวกันว่าในการประลองยังมียอดฝีมือที่ร้ายกาจปานปีศาจปรากฏตัวขึ้นมา กระทั่งคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งยังต้องตาพึงใจถึงกับยืนหยัดช่วยเหลือ…แต่สุดท้ายยอดฝีมือพเนจรผู้นั้นกลับหายตัวไปไปดั่งนกหลุดกรง ไม่ไว้หน้ารองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเริ่นจงกับอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง หลิวหงกวง”
“อันที่จริงเรื่องนี้ก็เข้าใจได้มิยาก ด้วยพลังฝีมือกล้าแข็งของมัน อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 เลย ต่อให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ข้ากลัวว่ายังจะรีบไปเชิญให้มันเข้าร่วมด้วยซ้ำ…นอกจากนี้แดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเองก็ใกล้จะเปิดเต็มที จึงประกาศรับสมัครอัจฉริยะที่อายุมิเกิน 40 ปีกันให้วุ่น…ข้าเชื่อว่าผู้ฝึกตนพเนจรผู้นั้นย่อมบังเกิดความสนใจ และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเป็นแน่!”
“เฮ่ ข้าว่าคนผู้นั้นคงไม่ปล่อยให้คฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ‘นก’ เพราะสาเหตุนี้หรอก…เพราะจากที่ข้าทราบมาตอนที่จัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ข่าวที่ตำหนักฟ้าลี้ลับเฟ้นหาอัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตเซียนก่อนอายุ 40 ปียังมิทันแพร่ไปถึงเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลยมิใช่หรือ?”
……
ทั้งสองคุยกันเสียงดังไม่น้อย เช่นนั้นวาจาของพวกมันทั้งคู่ย่อมดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนชัดทุกคำ ยังทำให้เขาอดยิ้มออกมาเสียไม่ได้
เขาไม่คิดเลยว่าวีรกรรมที่เขาก่อไว้ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะดั่งมาถึงมณฑลฟ้าลิ่วล่องนี่ได้!
ไม่เพียงแค่นั้น นาม ‘ลี่เฟิง’ ของเขายังมีผู้คนจำนวนมากรู้จัก!
“กล่าวกันว่าทางตำหนักฟ้าลี้ลับเองก็ได้ปิดประกาศเอาไว้เช่นกัน ว่าหากผู้ชนะอันดับ 1 ในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องยินดีเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับ ทางตำหนักฟ้าลี้ลับยินดีที่จะมอบสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนให้ทันที มิจำเป็นต้องต่อสู้ช่วงชิงกับผู้อื่น…ยิ่งไปกว่านั้นตำหนักฟ้าลี้ลับจะพยายามสนับสนุนส่งเสริมด้านการบ่มเพาะอย่างดีที่สุด!”
“ฮัยยา นับว่าคราวนี้ตำหนักฟ้าลิ่วล่องใจป้ำเสียจริง นี่เผยให้เห็นชัดว่าพวกมันกระสันอยากได้ตัวยอดฝีมือพเนจรอย่าง ลี่เฟิง มาเข้าร่วมขุมพลังมากมายเพียงใด”
“เหอะๆ แล้วจะให้ไม่กระสันกันได้อย่างไรไหว ลี่เฟิงนั้นอายุยังไม่ทันถึง 40 ปีที แต่กลับบรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเข้าไปแล้ว…อันที่จริงต่อให้ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่มอบสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนให้ หรือลี่เฟิงยังต้องกลัวว่ามิอาจใช้พลังฝีมือช่วงชิงมาได้? ข้อเสนอนี้นับว่าช่างไร้ค่าสำหรับลี่เฟิงนัก!”
“บางทีลี่เฟิงอาจไม่สนใจข้อเสนอนี้ แต่เรื่องที่ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวว่ายินดีสนับสนุนส่งเสริมเรื่องการบ่มเพาะอยางดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เล่า? เช่นนั้นน่ากลัวว่าไม่นานพลังฝึกปรือของลี่เฟิงคงก้าวหน้าขึ้นด้วยความเร็วอัศจรรย์เป็นแน่ กระทั่งอีกมินานเผลอๆจะได้กลายเป็น เสาหลัก ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!”
“นั่นสิ ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา กลับมีอัจฉริยะที่ร้ายกาจปานปีศาจเช่นลี่เฟิงปรากฏตัวขึ้นมาได้…เห็นว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่ตำหนักฟ้าลี้ลับนะ แต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นๆที่รับทราบเรื่องนี้แล้ว ก็พยายามประกาศข้อเสนอเพื่อล่อให้ลี่เฟิงมาเข้าร่วมกันทั้งนั้น…เรียกว่าตอนนี้ให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมพลังใดลี่เฟิงก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น ทั้งยังจะได้รับการดูแลส่งเสริมอย่างดีที่สุด”
“น่าอิจฉาจัง..ถึงข้าจะไม่เคยไปภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่ข้าว่าอัจฉริยะเบื้องบนก็ยากจะเทียบกับลี่เฟิงได้! ไฉนมารดาข้าไม่ให้พรสวรรค์เช่นนี้กับข้ามาบ้างนะ…”
“เหอะๆ แข่งอันใดแข่งใดแต่บุญวาสนาแข่งันได้หรือ แต่น่าเสียดายที่หลังจบการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ลี่เฟิงผู้นี้ก็คล้ายจะหายสาบสูญไปจากโลกหล้า…ทางคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเองก็ระดมออกตามล่าตัว หมายล้างแค้นให้นายน้อยของพวกมัน แต่เห็นว่าสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว มิพบเจอร่องรอยใดๆ…ไม่รู้คนไปอยู่ที่ใดกันแน่”
“อ้อ…เรื่องนี้บางคนลือกันว่า ลี่เฟิง ถูกยอดฝีมือที่มาจากภูมิภาคเบื้องบนต้องตาพึงใจ กระทั่งนำตัวไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว…พวกเจ้าว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ?”
“ใต้หล้ามากอัศจรรย์ มิว่าอันใดก็เป็นไปได้หมดแหล่ะ…อันที่จริงพวกข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน ว่าลี่เฟิงผู้นี้ที่แท้เป็นอัจฉริยะจากภูมิภาคเบื้องบนที่ลงมาหาประสบการณ์! จนจับพลัดจับผลูมาเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…ทั้งหมดเป็นแค่การเดินทางเคี่ยวกรำฝึกฝน หมายขัดเกลาพลังฝีมือตัวเองเท่านั้น!!”
……
ต้วนหลิงเทียนพบว่าตอนนี้ผู้คนมากมายล้วนสนทนากันถึงเรื่องของเขา
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่านี่คงเป็นเพราะเรื่องราวของเขาพึ่งจะแพร่กระจายมาถึงมณฑลฟ้าลี้ลับได้ไม่นาน คงต้องรอสักพักกว่าเรื่องราวจะซาลง คนเราย่อมเห่อของใหม่กันเป็นธรรมดา ข่าวเรื่องราวอะไรก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ เพราะเขาไม่คิดเลยว่าการเข้าร่วมการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องคราวนี้ จะทำให้เขากลายเป็นคนดังอย่างที่ไม่คิดไม่ฝัน กระทั่งขุมพลังมากมายพากันยื่นข้อเสนอให้เขาแบบนี้…
‘เอ่อ…หรือว่าข้าจะเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับในฐานะลี่เฟิงเลยดี?’
ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ
อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิดไปสักพัก เขาก็ปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปทันที ‘ไม่ดีกว่า ด้วยพลังฝีมือของข้าตอนนี้ต่อให้ไม่ใช้ฐานะลี่เฟิง ก็เข้าตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนอะไรนั่นมาได้ไม่ยาก…และเพียงเผยพลังฝีมือให้พวกมันเห็นคุณค่า เดี๋ยวทรัพยากรของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ตกมาถึงมือข้าเอง…’
‘เรื่องที่สำคัญที่สุดหากข้าเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับโดยใช้ตัวตนลี่เฟิง เทียนหวู่ย่อมไม่มีวันรู้ได้เลยว่าข้าอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ…เช่นนั้นใช้ชื่อ หลิงเทียน น่าจะเข้าท่ากว่า ด้วยไหวพริบของเทียนหวู่ แม้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้ารึเปล่า แต่นางต้องระแคะระคายและมายืนยันด้วยตัวเองก่อนแน่นอน!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ชัด ว่าจะเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับในนาม ‘หลิงเทียน’
อย่างไรก็ตาม ยังมีเวลาเหลืออีกถึง 10 เดือน กว่าที่ตำหนักฟ้าลี้ลับจะเริ่มการทดสอบคัดเลือกศิษย์ เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากมาย เขาหาเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลเมืองและความวุ่นวายก่อนที่จะขุดถ้ำบนเขา กระทั่งยังปกปิดปากถ้ำเอาไว้อย่างดี ไม่ให้มีลมฝนกล้ำกราย และวางเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไว้ด้านใน
หลังจากนั้นเพียงห้วงคิด ร่างของเขาก็วูบเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งยังเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ทันที
เวลา 10 เดือนในโลกภายนอกนั้น ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันมากกว่า 4 ปีเสียอีก!
ถึงแม้จะหักลบกับเวลาที่ต้วนหลิงเทียนต้องใช้เดินทางไปถึงตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว เขาก็ยังเหลือเวลาฝึกฝนบ่มเพาะถึง 4 ปี! มีเวลาขนาดนี้พลังฝึกปรือของเขาต้องก้าวหน้าอีกครั้งแน่!!
และเขามั่นใจมากว่าจะสามารถยกระดับพลังฝึกปรือของเขาให้บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด!
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเริ่มบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็งอีกครั้ง
เป็นธรรมดาที่ในขณะบ่มเพาะพลังเขาจะกอดกระบี่นิลสวรรค์เอาไว้ และใช้ความสามารถแยกใจหลายทาง พยายามทำความเข้าใจเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่าง ยอดใจกระบี่ เต็มกำลัง
ต้วนหลิงเทียนได้เห็นซึ้งถึงพลังของ ยอดใจกระบี่ แล้ว เขาจึงทุ่มเททหมดใจให้เคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ โดยที่ไม่สนใจวรยุทธ์เซียนอื่นใดอีกเลย…
เพราะต่อหน้า ยอดใจกระบี่ วรยุทธ์เซียนใดๆในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ล้วนไม่อาจนับเป็นอะไรได้!
เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับสิ่งที่อ่อนด้อย ในเมื่อมีสิ่งที่ดีกว่าตั้งอยู่เบื้องหน้า!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจมจ่อมในภวังค์บ่มเพาะ ในที่สุดอาจารย์ของหานเฉวี่ยไน่ก็ได้หวนกลับมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจี และนำพาหานเฉวี่ยไน่รวมถึงเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 เดินทางออกจากคฤหาสน์คลื่นขจี มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”
หานเฉวี่ยไน่ที่กำลังจะเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หันมองกลับไปยังสุดขอบฟ้าไกลตาทิศทางหนึ่งตามสัญชาตญาณด้วยใบหน้าเศร้าซึม…
เมื่อไม่ทราบว่าจากกันคราวนี้…อีกนานเพียงใดนางถึงจะได้เจอพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางอีกครั้ง ทำให้ใจของนางบังเกิดความลังเลทั้งคิดถึงอยู่บ้าง…
ตอนที่ 1,716 : คนคุ้นหน้า
ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่งอันมีบรรยากาศเงียบสงบ หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยล่องไปตามสายลมเอื่อยๆ ปรากฏยอดเขา 4 ลูกอันสูงชะลูดทิ่มแทงทะลุหมู่เมฆขึ้นมายืนหยัดเย้ยฟ้า แยกย้ายกันตั้งทั้ง 4 ทิศ มองไปคล้ายเสาค้ำสวรค์และโลกก็ไม่ปาน
หากผู้ใดสายตาคมกล้าแลไปให้ละเอียดจะพบว่า ณ จุดศูนย์กลางของยอดเขาที่ตั้งอยู่ปานเสาค้ำสวรรค์ทั้ง 4 ทิศ ปรากฏแผ่นดินหนึ่งที่แม้นเรียกว่า ‘เกาะ’ ก็มิเกินเลย ลอยล่องอยู่เหนือทะเลเมฆหมอก…!
ด้วยเกาะนี้ลอยล่องอยู่เหนือทะเลเมฆหมอก พาลให้บรรยากาศของมัน แลประหนึ่งวิมานฟ้าอันเป็นที่สถิตย์ของเทพเซียน
การที่ไร้ซึ่งสิ่งใดยกจับประคอง ทว่ากลับลอยล่องอยู่กลางอากาศได้ราวไร้น้ำหนักเช่นนี้ นับเป็นเรื่องน่าตื่นตาให้ผู้คนตะลึงลานมิใช่น้อย!
“สวรรค์ เกาะใหญ่โตเช่นนั้น…กลับลอยล่องอยู่กลางอากาศได้จริงๆ?! มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
บริเวณเชิงเขาของเขาสูงชันที่เป็นดั่งเสาค้ำสวรรค์ทั้ง 4 ตอนนี้ปรากฏผู้คนมากมายมารวมตัวกัน สายตาที่ทั้งหลายมองไปยังเกาะที่ลอยอยู่กึ่งกลางปานเรือใหญ่ลอยลำอยู่บนทะเลเมฆหมอก เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ในสายตาของพวกมัน การที่เกาะใหญ่โตแบบนี้กลับลอยล่องอยู่กลางหาวได้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของพวกมันอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่ายังมีผู้คนไม่น้อยเช่นกันที่ยังคงความสงบอยู่ได้ และไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร ยังมีกระทั่งบางคนที่เผยสายตาหยามเหยียดกล่าวเย้ยแดกดันผู้ไม่รู้ “เฮอะ! พวกบ้านนอกเอ๊ย! นี่พวกเจ้ามิรู้กันจริงๆหรือว่าโลกหล้ามีสิ่งที่เรียกว่าอาคมเซียนลอยตัว? ก็แค่เกาะลอยได้เพราะอาคมเซียน แถมที่นี่คือตำหนักฟ้าลี้ลับอันมีมรดกตกทอดมายาวนาน เรื่องเท่านี้ยังนับเป็นเรื่องแปลกอันใด?”
อาคมเซียนลอยตัว!
ท่ามกลางผู้คน ต้วนหลิงเทียนที่ตอนนี้อยู่ในคราบ ‘หลิงเทียน’ ก็กำลังจับจ้องมองไปยังเกาะลอยได้ไม่ว่างตา
เกาะมหึมาขนาดนี้แต่ลอยได้ แน่นอนว่าทำให้เขาตกตะลึงอยู่บ้าง…แต่เขาตกตะลึงคนละเรื่องกับคนอื่น ‘ให้ตายเถอะ…ต้องใช้พลังงานจ่ายไปยังค่ายกลกับข่ายอาคมพวกนั้นมหาศาลขนาดไหนกัน ถึงทำให้เกาะใหญ่โตขนาดนั้นลอยล่องอยู่ได้? น่ากลัวว่าจำนวนหินเซียนที่ต้องจ่ายเป็นขุมพลังคงสภาพค่ายกลต่อวันจะมหาศาลจนขนหัวลุก…’
สำหรับค่ายกลและอาคมเซียนอะไร ต้วนหลิงเทียนย่อมมีความรู้อยู่บ้าง จึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับการเห็นเกาะลอยได้…
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังยืนปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้น วันนี้เขามาในมาดจอมยุทธ์พเนจร สวมใส่ชุดจอมยุทธืเรียบง่ายสีเขียว รูปร่างหน้าตาคราวนี้จัดว่าหล่อเหลา หากทว่าในอ้อมอกกับมีกระบี่ธรรมดาๆแลดูไม่เข้ากับหน้าตาเล่มหนึ่งกอดไว้…
กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ใดอื่น เป็นกระบี่นิลสวรรค์!
การที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัววันนี้ไม่ใช่เพราะเหตุผลใดอื่น แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่ตำหนักฟ้าลี้ลับกำหนดไว้ว่าจะทำการคัดเลือกศิษย์อัจฉริยะ ที่บรรลุระดับเซียนก่อนอายุ 40 ปี! ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนในเวลาที่เหมาะสมและเดินทางมาเตรียมตัวเฝ้ารอคอยอย่างสงบ…
หากเป็นสถานการณ์ตามปกติแล้วเป็นธรรมดาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ จะไม่เปิดให้ผู้คนทั่วไปล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้ จึงเป็นอะไรที่ยากเย็นสำหรับคนธรรมดาที่จะเฉียดกลายเข้าใกล้ได้ถึงขนาดนี้…
ทว่าวันนี้เนื่องจากตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำการเฟ้นหาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ที่บรรลุด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นต้นขึ้นไปโดยที่มีวัยไม่ถึง 40 ปีเข้าร่วม จึงทำการเปิดยอดเขาทั้ง 4 และให้ผู้คนทั้งหลายเข้าร่วมการคัดเลือก กระทั่งรับชมได้อย่างไม่มีข้อกำหนด
แน่นอนว่าแม้จะเข้าร่วมชมทั้งคัดเลือกอะไรได้ แต่ก็จำกัดอยู่แค่บริเวณเชิงเขาทั้ง 4 เท่านั้น
ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวไป ก็แบ่งออกเป็น 5 ส่วน และส่วนที่ครองอำนาจเหนือสุดก็คือเกาะที่ลอยล่องอยู่กลางหาว เกาะลอยฟ้าแห่งนั้นเป็นสถานที่ตั้งตำหนักหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวตำหนักและอาวุโสระดับสูงๆล้วนอาศัยอยู่บนตำหนักลอยฟ้าดังกล่าว สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอะไรยังนับว่าดีที่สุด…
ส่วนอีก 4 ส่วนที่เหลือนั้น ก็ตั้งอยู่ปลายยอดเขาสูงชะลูดปานเสาค้ำสวรรค์นั่น ยังใหญ่โตปานจะรองรับได้ทั้งแผ่นฟ้า บนปลายยอดเขาแต่ละยอดก็มีพระราชวังแลดูวิจิตรหรูหราปลูกสร้างเอาไว้
4 ส่วนของตำหนักฟ้าลี้ลับนี้ถูกเรียกว่า ‘วัง’ แบ่งออกเป็น วังนภา วังปฐพี วังลี้ลับ และวังเหลือง
ความสัมพันธ์ของแต่ละวังนั้นดำรงอยู่ในรูปแบบของการประชันขันแข่ง
เช่นเดียวกับอัจฉริยะผู้บรรลุถึงขอบเขตเซียนก่อนอายุ 40 ปีที่ตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำการคัดเลือกกันวันนี้ พวกมันก็จะถูกคัดแยกไปยังวังทั้ง 4…
อัจฉริยะที่ถูกแยกออกไปยังวังทั้ง 4 ก็ต้องทำการแข่งขันกับอัจฉริยะที่อยู่ในวังเดียวกัน เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนลับเซียน แน่นอนว่าแต่ละวังนั้นก็ได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมแดนลับเซียนจำนวนเท่ากัน
“หืม?”
ทันใดนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาจึงแหงนหน้ามองขึ้นไปยังขอบฟ้าทิศทางหนึ่งทันที
เพียงหันมองไปปราดเดียวเขาก็แลเห็นว่า มีร่างหนึ่งกำลังเหินนำกลุ่มคนมาแต่ไกล…และร่างที่ว่าก็เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี!
ส่วนด้านหลังที่เหินลอยติดตามคนคุ้นตาคนนี้มาก็เป็นชายหนุ่ม 2 คน และจากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่าง พวกมันก็สมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนดั้งเดิม กระทั่งอาจจะสูงกว่านั้นไปแล้ว…
ส่วนชายที่เหินนำมาและต้วนหลิงเทียนคุ้นหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…มันคือ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!
วันที่ต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หลิวหงกวงผู้นี้ก็คือผู้ดูแลการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง อีกทั้งยังคอยปกป้องต้วนหลิงเทียนอีกด้วย
ตอนนั้นหลิวหงกวงเองก็พยายามทาบทามเขาให้เข้าร่วมกับคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ไม่ต่างอะไรจากเริ่นจงที่ชวนเขาเข้าร่วมคฤหาสน์ข้ามฟ้า…สุดท้ายเป็นต้วนหลิงเทียนที่ทำให้ทั้งสองต้อง ‘นก’ เพราะเขาเลือกจะเดินทางมายังตำหนักฟ้าลี้ลับแทน…
ตอนนี้พอเห็น 1 ใน 2 คนที่ว่าอีกครั้ง ใบหน้าต้วนหลิงเทียนรู้สึกๆร้อนวาบๆขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะปลอมตัวอยู่ก็ตาม
‘ดูเหมือนว่าแดนลับเซียนจะเป็นอะไรที่ยั่วใจไม่น้อย กระทั่งหลิวหงกวงยังพาคนมาด้วยตัวเองแบบนี้…ทั้ง 2 คนที่ตามหลังมันมาท่าทางจะเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่บรรลุด่านพลังเซียนดั้งเดิมหรือเหนือกว่านั้น’
สายตาต้วนหลิงเทียนตกไปยังร่างชายหนุ่มทั้ง 2 ด้านหลังหลิวหงกวง
“นั่นคืออาวุโสหลิวจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!”
ไม่นานการมาของหลิวหงกวงก็ดึงดูดความสนใจของผู้คน
คฤหาสน์คลื่นคลั่งจะให้กล่าวอย่างไรก็เป็นถึงขุมพลังชั้น 4 ที่ตั้งอยู่ในมณฑลฟ้าลี้ลับ ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะจดจำหลิวหงกวงได้
“ขุมพลังชั้น 4 ที่มาถึงก่อนกลับเป็นคฤหาสน์คลื่นคลั่ง…หากข้าเดามิผิด ชายหนุ่ม 2 คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังอาวุโสหลิว สมควรเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุด 2 คนของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง…หลิวเจี้ยน กับ หลี่เอิน!”
“หลิวเจี้ยนผู้นี้ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นถึงหลานชายของอาวุโสหลิว และไม่เพียงมากพรสวรรค์เท่านั้น อาวุโสหลิวยังไม่ขาดการอบรมสั่งสอน ทำให้มันเป็นรุ่นเยาว์ที่มีพลังฝีมือสูงสุดในคฤหาสน์คลื่นคลั่ง”
“หลี่เอินผู้นี้ก็มิธรรมดาเช่นกัน แม้ตอนนี้พลังฝีมือของมันจักด้อยกว่าหลิวเจี้ยน แต่เป็นเพราะยังเยาว์กว่า!”
“ทั้งคู่ล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี…การที่ทั้งคู่มาพร้อมกับอาวุโสหลิวเช่นนี้ ไม่พ้นหมายตาแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นแน่!”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา! แดนลับเซียน นี่ต่อให้เป็นขุมพลังชั้น 4 ก็มิอาจทานทนความยั่วยวนไหวหรอก”
……
ในขณะที่ผู้คนกำลังสนทนากันอย่างออกรส เหนือฟ้าพลันมีคนอีกกลุ่มเหินร่างมาถึง และยังเป็นคนจากขุมพลังชั้น 4!
ขุมพลังชั้น 4 นี้ก็เป็นอีกขุมพลังที่อยู่ในมณฑลฟ้าลี้ลับ…คฤหาสน์ดาบทรราช!
คนของคฤหาสน์ดาบทรราชมากันทั้งสิ้น 4 คน และผู้ที่เหินร่างนำมาก็เป็นชายร่างหนาบึกบึน จนขนาดตัวแทบดูไม่ต่างอะไรจากหลิวหงกวงที่ค่อนไปทางอ้วน ทว่าด้วยความที่มันมีความสูงกว่าหลิวหงกวงเป็นช่วงหัว จึงแลดูเหมือนยักษ์ปักหลั่น!
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของมันก็คือดาบมหึมาที่สะพายอยู่ด้านหลัง!
เป็นดาบใหญ่ที่สมควรมีความยาวถึง 3 หมี่! แลดูดุดันน่าเกรงขามนัก!!
“อาวุโสหลิว คฤหาสน์คลื่นคลั่งของท่านมาแต่หัววันเชียว?”
หลังจากชายร่างบึกบึนที่สะพายดาบใหญ่ 3 หมี่เหินร่างมาถึง มันก็มองกล่าวกับหลิวหงกวงพร้อมหัวเราะเบาๆทันที เห็นชัดว่าสมควรรู้จักกัน
“อาวุโสหลิน ท่านมาแล้ว…”
หลิวหงกวงที่แลเห็นชายร่างใหญ่สะพายดาบยักษ์ก็ไม่กล้าละเลย เร่งยิ้มทักทายกลับไปทันที
“อาวุโสหลินงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นเองไม่ทราบเสียงใครแว่วดังขึ้นมา “หรือจะเป็นดาบผ่าสวรรค์ หลินค่วง อาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทรราช?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น! เพราะถึงแม้อาวุโสหลิวจะเป็นเพียงอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ทว่าพลังฝีมือกลับมิได้ด้อยไปกว่าอาวุโสหลักของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง และข้าคิดว่าคนที่ทำให้อาวุโสหลิวทักทายด้วยสุภาพเช่นนี้สมควรมีคนเดียวเท่านั้น!”
“หลินค่วงแม้จะเป็นอาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทรราช ทว่าอาวุโสหลักของคฤหาสน์ดาบทรราชก็มิกล้าประมือกับหลินค่วงยามใช้ดาบผ่าสวรรค์เล่มเขื่องนั่น!”
“มิผิด! ข้าเองก็ได้ยินคำร่ำลือถึงอาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทรราชมานานแล้ว พลังฝีมือนับว่ามิได้ด้อยไปกว่าอาวุโสหลิวหงกวงจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง…แต่ดูจากท่าทีที่อาวุโสหลิวปฏิบัติต่ออาวุโสหลินแล้ว น่ากลัวพลังฝีมือของอาวุโสหลินจะเหนือกว่า หาไม่แล้วอาวุโสหลิวคงมิสุภาพเช่นนี้”
……
หัวข้อของบทสนทนาเริ่มเปลี่ยนจากหลิวหงกวงเป็นชายร่างบึกบึนสูงใหญ่
มันคือ หลินค่วง อาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทราช
ด้านหลังหลินค่วงก็เป็นชายหนุ่ม 2 คนและอิสตรีนางหนึ่ง
ชายหนุ่มทั้ง 2 นั้นรูปร่างแลดูบึกบึนร่างใหญ่ทรงเดียวกันกับหลินค่วง เรียกว่าให้ความรู้สึกแข็งแกร่งของบุรุษเพศชัดเจน
ส่วนอิสตรีที่ติดตามมาเป็นคนสุดท้ายนั้น ไม่ได้แลดูอ่อนแอบอบบางอย่างอิสตรีทั่วไป ทว่ารูปร่างกลับสมส่วนกระชับไร้ส่วนเกิน ให้ความรู้สึกร้อนแรงทรงพลัง ให้กลิ่นอายดุดันไม่ต่างบุรุษเพศ
ทว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ ใบหน้าของนางกลับงดงามยวนยั่วราวปีศาจสาว หว่างคิ้วให้ความรู้สึกยั่วยวนไม่น้อย
“เห…มีอัจฉริยะที่อายุต่ำกว่า 40 ปีที่บรรลุถึงขอบเขตเซียน 3 คนเชียว…?”
ห่างออกไปไกลๆ ต้วนหลิงเทียนที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย เพราะกระทั่งคฤหาสน์คลื่นคลั่งยังมีอัจริยะขอบเขตเซียนที่อายุต่ำกว่า 40 เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
ไม่ใช่แค่วันสองวันที่ต้วนหลิงเทียนมาพักอาศัยในมณฑลฟ้าลิ่วล่อง เขาย่อมทราบถึงข้อมูลคร่าวๆของขุมพลังชั้น 4 ในมณฑลนี้ดี และทราบว่าทั้งคฤหาสน์ดาบทรราชกับคฤหาสน์คลื่นคลั่งเป็นขุมพลังชั้น 4 ที่ตั้งอยู่ในมณฑลแห่งนี้
“สตรีนางนั้น…”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าในบรรดารุ่นเยาว์ของคฤหาสน์ดาบทรราชมีสตรีมาด้วยนางหนึ่ง
รูปโฉมของสตรีนางนั้นจัดได้ว่าอยู่ในหมวดหมู่ของ โฉมงามล่มเมือง! ยิ่งกอปรกับรูปร่างกระชับสมสวน กลับกลายเป็นให้เสน่ห์ยั่วยวนใจคล้ายปีศาจสาวที่คอยลวงบุรุษมากลืนวิญญาณ เรียกว่านางมาไม่ทันไรชายหนุ่มมากมายก็ล้วนหันไปสนใจแต่นาง
วันนี้ตำหนักฟ้าลี้ลับเฟ้นหาอัจฉริยะขอบเขตเซียนที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี แน่นอนว่าผู้ที่มาก็ล้วนเป็นรุ่นเยาว์ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีทั้งสิ้น และในบรรดารุ่นเยาว์ที่มา จำนวนบุรุษย่อมมากกว่าสตรี
“ให้มันได้ยังงี้สิ…โลกแคบจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นหลังจากที่หันมองไปอีกทาง เพราะเขาเห็นร่างคุ้นตากำลังย่ำเวหาเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็ว ยังนำพาผู้คนติดตามมาด้วย 2 คน พริบตาก็มาหยุดใกล้ๆจุดที่หลิวหงกวงและหลินค่วงสนทนากัน
ผู้ที่นำมานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเริ่นจง จากคฤหาสน์ข้ามฟ้า!
ส่วนด้านหลังเริ่นจงเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี 2 คน เพียงทั้งคู่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นน่าดู
“นั่นคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้านี่! ชายชราที่นำมาคนนั้นสมควรเป็นเริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า!!”
ไม่ทันไรก็มีคนจดจำเริ่นจงได้
เมื่อเวลาผ่านไป คนของขุมพลังชั้น 4 อื่นๆก็เริ่มทยอยกันมาถึง ทั้งหมดล้วนมีระดับอาวุโสของขุมพลังนำมา แน่นอนว่าส่วนมากก็พาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีมาด้วย 2-3 คน
แน่นอนว่ายังมีขุมพลังชั้น 4 บางแห่ง ที่พาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่บรรลุเซียนทั้งๆที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มาถึง 4 คน!
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน แป๊บๆ ก็จะเที่ยงวันแล้ว
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว…คนของตำหนักฟ้าลี้ลับสมควรมาเร็วๆนี้ล่ะ”
ไม่รู้ใครเป็นคนกล่าวขึ้นมา
ทว่าทันทีที่เสียงของมันดังจบคำไม่ทันไร พลันมีเสียงแหวกฝ่าอากาศดังลงมาจากฟ้า คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น…
ตอนที่ 1,717 : การคัดเลือก
มีทั้งสิ้น 8 คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน…
ในบรรดาคนทั้ง 8 มีคนนำมา 4 ซึ่งเป็นทั้งชายชราหรือวัยกลางคน ส่วนอีก 4 ที่ติดตามอยู่ด้านหลังล้วนเป็นชายหนุ่มทั้งหมด
“ข้าคือรองจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ”
“ข้าคือรองจ้าววังปฐพี”
“ข้าคือรองจ้าววังลี้ลับ”
“ข้าคือรองจ้าววังเหลือง”
ภายใต้ความสนใจของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ 4 คนในกลุ่มผู้นำก็เริ่มกล่าวแนะนำตัวออกมา
ทันใดนั้นคล้ายมีพลังกดดันไร้สภาพขุมหนึ่งสะกดแผ่ไปทั่วบรรยากาศ!
เป็นที่ทราบกันดีว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นแยกย่อยออกเป็น 4 วัง และทั้ง 4 วังก็อยู่ในภาวะแข่งขัน!
ทั้ง 4 วังล้วนมีชนชั้นจ้าววังเป็นผู้นำ ส่วนรองจ้าววังก็เป็นตัวตนที่มีอำนาจรองลงมา
ทว่าวันนี้ผู้ที่มาคัดเลือกกลับเป็นถึงรองจ้าววังทั้ง 4! ไม่ว่าจะวังนภา วังปฐพี วังลี้ลับ วังเหลือง ล้วนมาหมด! การปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันของรองจ้าววังทั้ง 4 …ย่อมทำให้ผู้คนธรรมดาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว เพราะโอกาสได้พบพานทั้ง 4 พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นอะไรที่หาได้ยากนัก!!
“อัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตเซียนก่อนอายุ 40 ปีให้เหินลอยขึ้นมาในอากาศ ส่วนที่เหลือให้รออยู่ที่พื้น”
รองจ้าววังของวังนภาอันเป็นชายชรา ว่ายตามองลงไปยังฝูงชนเบื้องล่าง ก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงขรึม
ทันใดนั้นเหล่ารุ่นเยาว์มากมายก็เริ่มเหินลอยขึ้นไปบนอากาศ ต้วนหลิงเทียนเองก็เช่นกัน
ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนรอบนพื้นอย่างสงบ
บนท้องฟ้านับรวมต้วนหลิงเทียนแล้วปรากฏรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น 37 คน ทั้งหมดคืออัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตเซียนก่อนมีอายุ 40 ปี…เหล่านี้แม้จะให้ไปอยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับก็ถือเป็นชนชั้นอัจฉริยะ!
“ทั้งสิ้น 37 คนหรือ…เช่นนั้นวังนภาของข้าต้องการ 10 คน ส่วนพวกเจ้าก็แบ่งกันไปวังละ 9 คนแล้วกัน เห็นด้วยหรือไม่?”
ตอนนี้เองรองจ้าววังนภาก็หันไปว่ายตามองถามรองจ้าววังที่เหลือทั้ง 3
วังนภาเป็นวังที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับ พลังอำนาจนับว่าสะกดข่มครอบงำทั้ง 3 วังชัดเจน ด้วยเหตุนี้แม้จะเผชิญหน้ากับความเผด็จการของรองจ้าววังนภา อีก 3 วังที่เหลือแม้จะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ทำได้แค่พยักหน้ารับ
“เช่นนั้นก็ใช้กฏเดิมเถอะ ให้แต่ละวังผลัดกันเลือกผู้ที่จะเข้าร่วม”
รองจ้าววังนภายังกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตาม วันนี้ในเมื่อวังนภาของข้าจะได้รับคนมากกว่าวังอื่นๆ 1 คน เช่นนั้นการคัดเลือกคน จะเริ่มจาก วังปฐพี วังลี้ลับ วังเหลือง และวังนภาของข้าเป็นลำดับสุดท้าย”
สำหรับเรื่องนี้รองจ้าววังที่เหลือทั้ง 3 ไม่มีใครคัดค้าน
“แต่ละวังผลัดกันเลือกศิษย์?”
ต้วนหลิงเทียนรวมถึงคนอื่นๆที่ได้ฟังคำของรองจ้าววังนภา อดไม่ได้ที่จะงุนงงอยู่บ้าง
เพราะพอได้ฟังแล้วทั้งหมดก็สงสัยว่าทั้ง 4 วัง จะเลือกคนตามเกณฑ์อะไร
ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนด้วยไม่รู้ว่าจะถูกคัดเลือกอย่างไร พลังกดดันไร้สภาพขุมหนึ่งพลันโถมถันลงมาจากเบื้องบนกดทับลงบนหัวของทุกคนพาลให้ทุกคนรู้สึกคล้ายหนังศีรษะชาด้าน แถมพลังไร้สภาพดังกล่าวราวจะกดดันพวกมันให้ร่วงตกจากฟ้า!!
อย่างไรก็ตามเมื่อต้องเผชิญกับพลังกดดันไร้สภาพนี้ เพียงแค่ทุกคนเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมา ก็สามารถต้านทานได้อย่างไม่ยากเย็น
‘อ้อ…คัดคนด้วยวิธีนี้อีกแล้ว ง่ายดีนะ’
ต้วนหลิงเทียนที่ยังไม่แม้แต่จะเร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิด ลอบคิดในใจหลังจากที่สัมผัสได้ว่าพลังกดดันไร้สภาพยิ่งมายิ่งมีมาก
อย่างไรก็ตามพลังกดดันระดับนี้ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านอะไรเลย เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขายังลอยร่างอยู่เฉยๆเพียงรู้สึกเหมือนสายลมพัดผ่าน…
“นี่มันอะไรกัน?!”
“ดูเหมือนยิ่งมาพลังกดดันยิ่งมีมาก…อีกมินานพวกเราต้องถูกพลังน่ากลัวนี่สยบแน่!”
“ดูเหมือนว่าพลังกดดันไร้สภาพนี่จักเป็นวิธีทดสอบพวกเรา…อาวุโสสมควรเลือกจากคนที่ทานรับพลังกดดันได้มากที่สุด”
……
ต้องกล่าวเลยว่าในบรรดากลุ่มคนก็ฉลาดกันไม่น้อย เพียงพริบตาก็ฉุกคิดกันได้ว่าไฉนถึงต้องมาทนรับพลังกดดันไร้สภาพแบบนี้ ทั้งหมดจึงพยายามต้านทานกันเต็มที่
อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคนแม้จะกัดฟันเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดเต็มกำลังแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้านไม่ไหว ถูกพลังกดดันไร้สภาพสะกดปราบ จนร่างหล่นร่วงตกพื้น
พลังกดดันไร้สภาพยังคงเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ…
คนนี้ผู้ที่สามารถลอยร่างอยู่บนฟ้าได้ รวมต้วนหลิงเทียนแล้วก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
และยังมีเรื่องที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย เพราะศิษย์ของคฤหาสน์ดาบทรราชที่อยู่รอดเป็นคนสุดท้าย กลับเป็นอิสตรีนางนั้น…นั่นหมายความว่าพลังฝีมือของนางไม่เลวเลยทีเดียว
‘สาวน้อยนี่ใช้ได้เลยนี่’
กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังอดลอบชมนางในใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชยังคล้ายไม่เป็นอะไรเท่าไหร่
“ดูเหมือนคราวนี้พวกเราจักได้ต้นกล้าชั้นดีมากมาย…”
รองจ้าววังปฐพีมองต้วนหลิงเทียนและอีกไม่กี่คนที่ตอนนี้ยังคงเฉยๆอยู่ สองตาของมันถึงกับส่องประกายสว่างจ้า คล้ายตัดสินใจได้แล้วว่ามันจะเลือกใคร
ทว่าไม่นานก็มีคนที่ทนไม่ไหว และยังทยอยกันร่วงตกไปทีละคนๆ
ต่อมาไม่นาน แม้นับรวมต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็เหลือแค่ 3 คนที่ยังลอยนิ่งอยู่บนฟ้า…
นอกจากต้วนหลิงเทียน และศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราช อีกคนก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรคนหนึ่งที่รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาๆ
เรียกว่าผู้ฝึกตนพเนจรคนนี้ช่างแลดูไม่โดดเด่นเอาเสียเลย หากจับมันไปปล่อยท่ามกลางฝูงชนคงยากที่จะแยกแยะ…แต่อาศัยความจริงที่ว่ามันยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ก็เผยให้เห็นว่าพลังฝีมือของมันไม่ใช่ธรรมดา!
“สวรรค์! ศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชผู้นั้น ช่างทรหดยิ่ง! มิคิดเลยว่าถึงขนาดนี้แล้วนางยังทานทนรับไหว!!”
ตอนนี้เองสายตาของผู้คนก็เบนไปตกยังร่างศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชคนนั้น ต่างไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในบรรดา 3 คนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ได้จะมีอิสตรี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราช!
ต้องทราบด้วยว่าศิษย์ของคฤหาสน์ดาบทรราชอีก 2 คน อันเป็นบุรุษรูปร่างใหญ่โตปานยักษ์ปักหลั่นนั้น…ถึงกับร่วงไปกองกับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา หลังไม่อาจทานทนรับพลังกดดันไร้สภาพได้ไหว…
ผู้ใดยังกล้าพูดอีก…ว่าอิสตรีอ่อนด้อยกว่าบุรุษ!?
ศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชนางนี้ นับว่าให้คำตอบแก่ทุกคนชัดเจน!!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชยังแลดูเฉยๆ และผู้ฝึกตนพเนจรก็ไม่มีวี่แววว่าจะร่วงตก แม้พลังกดดันไร้สภาพตอนนี้นับว่าเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย รางจ้าววังนภาก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจ
3 คนนี้คือผู้ที่โดดเด่นที่สุด!
แต่มันพึ่งกล่าวไปหยกๆว่าจะให้สิทธิ์วังอื่นเลือกคนก่อน….
เช่นนั้น 3 คนที่โดดเด่นที่สุดนี้ คงยากจะเหลือมาถึงวังนภาของมันแล้ว!
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน พลังกดดันไร้สภาพก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ
ไม่นานผู้ฝึกตนพเนจรก็ไม่อาจทานทนรับไหวสืบไป มันถูกพลังกดดันไร้สภาพกดทับจนหล่นร่วงจากฟ้า ทำให้ตอนนี้กลางอากาสคงเหลือแค่ต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราช
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังแลดูเฉยๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
ส่วนทางด้านศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชตอนนี้ เริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมบนหน้าผากกระจ่างแล้ว…
ผู้ใดทรงพลังมากกว่าย่อมเห็นได้ชัดเจน
และทันใดนั้นเอง ขณะที่ถึงช่วงสำคัญ อยู่ๆพลังกดดันไร้สภาพอันหนักอึ้งพลันสลายหายไปทันใด ยังคล้ายไม่เคยมีมาก่อน…
ต้วนหลิงเทียนก็รู้ตัวทันทีที่พลังกดดันหายไป
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วพลังกดดันดังกล่าวจะมีหรือไม่มีก็ค่าเท่ากัน เพราะมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย
ต่อให้พลังกดดันไร้สภาพจะเพิ่มพูนมากกว่านี้เป็นเท่าตัว เขาก็เพียงรู้สึกเสมือนมีสายลมแรงซัดปะทะร่างเท่านั้น ไม่ต้องสนพลังฝึกปรืออะไรด้วยซ้ำ ลำพังแค่ร่างกายอันแข็งแกร่งก็ต้านทานรับได้สบายๆ
เพราะต้องอย่าลืมด้วยว่า…ร่างกายของเขาตอนนี้มันแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บเสียอีก!
“เจ้า มาเข้าร่วมวังปฐพีของข้า!!”
รองจ้าววังปฐพี อันเป็นชายวัยกลางคนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาลุกวาว กล่าวเรียกต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจถึงขีดสุด
“ฮึ่ม! วังปฐพีของเจ้ามีดีอันใด…เจ้าหนู เจ้ามาเข้าร่วมกับวังฟ้าลี้ลับของข้าเถอะ! รับรองวังฟ้าลี้ลับของข้าจักไม่มีวันทำให้เจ้าผิดหวังเด็ดขาด!”
ทันใดนั้นเอง รองจ้าววังลี้ลับพลันโพล่งกล่าวแทรกขึ้นมา!
ตอนที่ 1,718 : หวางเฟยเซวียน
รองจ้าววังลี้ลับนั้นเป็นชายชราที่มีหนวดเคราขนคิ้วทั้งเส้นผมขาวโพลนปานเทพเซียน
และตอนนี้มันก็กำลังมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มกว้าง
การทดสอบอัจฉริยะเมื่อครู่ เผยให้รู้ว่าในบรรดาอัจฉริยะทั้ง 37 คนที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีนั้น ต้วนหลิงเทียนคือที่สุด!
“เฒ่าเถียน…เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร!?”
รองจ้าววังปฐพีที่ถูกรองจ้าววังลี้ลับกล่าวแทรกขึ้นมาถึงกับบังเกิดความไม่พอใจ หันไปมองเขม่นกล่าว “อย่าลืมว่าวันนี้ผู้ที่จักมีสิทธิ์เลือกศิษย์ก่อนคือ วังปฐพีของข้า…วังลี้ลับของเจ้าค่อยเลือกหลังจากที่ข้าเลือกคนแล้ว!”
“เรื่องนั้นข้าย่อมรู้…”
รองจ้าววังลี้ลับนาม เถียนจี้ เมื่อเห็นรองจ้าววังปฐพีกล่าวถามด้วยความไม่พอใจ ไม่เพียงแต่มันจะไม่รู้สึกผิด ยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “วังปฐพีเจ้าได้สิทธิ์เลือกผู้คนก่อนแล้วอย่างไร? หรือเจ้าหนูคนนี้จักมิมีสิทธิ์ปฏิเสธ?”
“หากเจ้าหนูคนนี้ปฏิเสธ ย่อมหมายความว่าเจ้ามิอาจเลือกเขาได้ เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้แต่เลือกคนอื่นมิใช่หรือ? คราวนี้หากถึงคราวที่วังลี้ลับข้าเลือกบ้าง หากเขาเต็มใจข้าก็พรอมรับทันที”
เถียนจี้กล่าวจบก็หัวเราะร่า
ทันทีที่เถียนจี้กล่าวคำนี้ออกมา รองจ้าววังปฐพีก็ได้แต่รับฟังด้วยใบหน้าบึ้งตึง เพราะมันเองก็ไร้คำใดจะมาโต้แย้งเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ…เถียนจี้ เจ้ากล่าวถูกแล้ว!”
ทันใดนั้นเองรองจ้าววังเหลืองก็หัวเราะขึ้นมา มันยังหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เจ้าหนุ่ม เจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”
“หลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดเลยว่าการเฉยๆของเขาจะดึงดูดความสนใจจากรองจ้าววังทั้ง 3 ของตำหนักฟ้าลี้ลับได้ขนาดนี้ ยังรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง อย่างไรเสียเมื่อเผชิญกับคำถามเขาก็จำต้องตอบออกไป
หลิงเทียน เป็นนามแฝงที่เขาใช้ในปัจจุบัน
สำหรับรูปโฉมนั้นก็เป็นอะไรที่ง่ายปลอมแปลงนักและแม้มันจะหล่อเหลา แต่ก็ไม่ใช่ใบหน้าเดิมของเขา
ด้วยไหวพริบทั้งชั้นเชิงในการแปลงโฉม น่ากลัวว่าคงไม่อาจมีใครล่วงรู้ว่าตอนนี้เขากำลังใช้ใบหน้าปลอมอยู่
“หลิงเทียน…นามอันประเสริฐ!”
รองจ้าววังเหลืองเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วน มันพยักหน้าด้วยความชอบใจขณะกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “หลิงเทียนตราบใดที่เจ้าปฏิเสธคำเชิญของวังทั้ง 2 และเข้าร่วมวังเหลืองของข้า…ข้า ซุนหลิน ให้คำมั่นต่อเจ้าว่า 3 เดือนหลังจากนี้ เจ้ามิจำเป็นต้องต่อสู้ช่วงชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนอันใด ข้าในนามรองจ้าววังเหลืองขอมอบศิษย์นั้นให้เจ้าทันที!!”
ถึงแม้น้ำเสียงของ ซุนหลิน รองจ้าววังเหลืองจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย ทว่าตอนนี้บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบสงบนัก วาจาประโยคนี้ของมันจึงดังชัดถนัดหูผู้คนทั้งหมด! กระทั่งผู้คนบนพื้นยังได้ยินแจ่มแจ้ง!!
“รองจ้าววังเหลือให้ความสนใจในตัวเจ้าหนุ่มหลิงเทียนนั่นถึงเพียงนี้เลยหรือ? กลับยินดียกสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนให้ทั้งๆที่มิต้องแข่งขันอันใด?”
“นั่นสิ น่าทึ่งนัก!”
“ฮึ่ม! หลิงเทียนผู้นี้หรือยังมีใครไม่เห็นว่าสามารถทานทนรับแรงกดดันได้จนเหลือเป็น 2 คนสุดท้าย แต่กระทั่งศิษย์สตรีจากคฤหาสน์ดาบทรราชยังเหงื่อชุ่ม ทว่าเขากลับมิแลดูเหน็ดเหนื่อยอันใดราวกับไม่รู้สึกรู้สาสักนิด! เกรงกว่าพลังฝีมือคงเหนือกว่าใครในบรรดาอัจฉริยะทั้ง 37 คนที่อายุมิถึง 40 ปีไปไกล!”
“ด้วยพลังฝีมือระดับนั้น…แม้จะต้องประลองเพื่อชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียน เป็นธรรมดาที่ต้องได้รับสิทธิ์นั้นมาแน่ๆ เช่นนั้นคำมั่นนี้ของรองจ้าววังเหลืองถึงจะฟังดูดีแต่ที่แท้กลับไร้แก่นสารอันใด”
“จริงด้วย!”
……
เหล่าผู้คนเริ่มระเบิดคำสนทนากันทันที แววตาที่ทั้งหมดใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ยังเปลี่ยนไปไม่น้อย
เพราะชายหนุ่มผู้นี้ถึงกับทำให้ รองจ้าววังถึง 3 คนบังเกิดจิตคิดแย่งชิง! นั่นนับว่ามากพอที่จะเผยให้เห็นถึงคุณค่าเขา และการเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับ วันหน้าต้องมีอนาคตไร้สิ้นสุดแน่!!
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า เริ่นจง กับอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง หลิวหงกวง พลันหันหน้ามามองสบตากันเอง
ตอนนั้นหาก ลี่เฟิง ที่พวกมัน ‘นก’ ไปมาปรากฏตัวที่นี่ล่ะก็ น่ากลัวว่าสมควรโดนผู้คนช่วงชิงตัวไม่ต่างอะไรจากหลิงเทียนคนนี้แน่ๆ…
เรื่องนี้พวกมันมั่นใจเต็มสิบส่วน!
โชคร้ายที่ลี่เฟิงไม่คิดจะเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมาเข้าร่วมการคัดเลือก
‘บางทีลี่เฟิงสมควรเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของภูมิภาคเบื้องบนที่ลงมาหาประสบการณ์ในภูมิภาคเบื้องล่างจริงๆ…หลังจากอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างจนเบื่อแล้วจึงย้อนกลับไป…’
นี่เป็นความคิดที่อยู่ในใจของพวกมันทั้งคู่
อย่างไรก็ตามให้หลิวหงกวงกับเริ่นจงคิดจนหัวระเบิด พวกมันก็ไม่มีทางรู้เลยว่า หลิงเทียน อัจฉริยะที่บรรลุเซียนทั้งที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปีที่รองจ้าววังทั้ง 3 กำลังกล่าววาจาแย่งชิงกันนี้ ที่แท้ก็คือลี่เฟิงที่ทำให้พวกมันรอเก้อ!
ไม่ต้องกล่าวบอกเลยว่าตอนนี้อัจฉริยะที่บรรลุเซียนก่อนวัย 40 ปีคนอื่นจะตกใจเพียงใด ในใจของพวกมันยังบังเกิดความรู้สึกอิจฉาต้วนหลิงเทียนนัก ที่อีกฝ่ายโดดเด่นฉายแสงจนกลบรัศมีพวกมันหมด!
ยังมีใครไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นคุณค่า? ยังมีผู้ใดไม่อยากเฉิดฉาย?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนอย่างอัจฉริยะที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ปีอย่างพวกมัน…แต่ก่อนพวกมันก็คิดว่าพวกมันคืออัจฉริยะฟ้าประทาน ไปที่ใดย่อมมีแต่ผู้คนสนใจให้ความสำคัญ!
อนิจจาพอได้มารวมตัวกันวันนี้จึงได้ตระหนักว่าพวกมันธรรมดาเพียงใด…
ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน การปรากฏตัวของหลิงเทียนกลับทำให้พวกมันรู้สึกแพ้พ่ายอย่างสิ้นเชิง ในใจจึงบังเกิดความรู้สึกไม่ยินยอมถึงที่สุด
“เฮอะ! ซุนหลินข้าก็นึกว่าเจ้าจะสัญญาอันใด…คำสัญญานี้วังปฐพีของข้าก็ให้ได้!”
รองจ้าววังปฐพีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนที่จะหันไปมองต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวสืบต่อ “หลิงเทียน หากเจ้าเต็มใจจะเข้าร่วมกับวังปฐพีของข้า ไม่เพียงแต่ข้าจะมอบสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนให้เจ้า พวกเราจักจัดหาทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุด รวมถึงสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุดให้เจ้าอย่างมิมีเงื่อนไข!”
“ไม่เพียงเท่านั้น วังปฐพีของพวกเรายังมียอดฝีมือมากมาย ทั้งหมดสามารถผลัดกันมาให้คำชี้แนะการฝึกปรือของเจ้าได้! และหากเจ้าเต็มใจข้า จางชิง รองจ้าววังปฐพียินดีที่จะแนะนำเจ้าให้กับจ้าววังปฐพีด้วยตัวเอง ตราบใดที่ท่านจ้าววังรับรู้ถึงความสามารถของเจ้าล่ะก็…”
เห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนได้รับความสนใจจากจางชิง รองจ้าววังปฐพีอย่างสูง
คำสัญญาของจางชิงนี้เป็นธรรมดาที่จะทำให้หลายๆคนตกใจ! พวกมันไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ยังไม่ทันเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับด้วยซ้ำ กลับมีข้อเสนอดีๆเช่นนี้รองรับแล้ว!!
ศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชที่ลอยอยู่บนฟ้าข้างๆต้วนหลิงเทียนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบนางยังไม่ละสายตาออกจากเขาแม้แต่น้อย
ต้วนหลิงเทียนนับเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา!
ในอดีตไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์ดาบทราราช หรือขุมพลังอื่นใด นางก็ไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋าคนไหน ที่จะมีพลังฝีมือทัดเทียมกับนาง หากอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และไม่ถึง 40 ปี…
ก่อนที่นางจะเดินทางมาตำหนักฟ้าลี้ลับ นางก็พกพาความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าว่าวันนี้คงไม่มีใครเทียบนางได้แน่…
เว้นเสียแต่สุดยอดฝีมืออย่าง ลี่เฟิง ที่ได้อันดับ 1 ในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจะปรากฏตัวออกมา!
ลี่เฟิง ผู้ฝึกตนพเนจรในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เป็นอะไรที่ทำให้นางสะท้านในใจหนักหนา อีกฝ่ายปรากฏตัวครั้งแรกก็ฆ่าฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
ยิ่งไปกว่านั้นลี่เฟิงเองก็เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั้งๆที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี!
หากถามว่าในบรรดารุ่นเยาว์มีผู้ใดที่ได้ใจนาง ก็เห็นจะมีแต่ลี่เฟิงคนเดียว!
ต้องทราบด้วยว่าแม้จะเป็นตัวนางเอง แต่ตอนนี้พลังฝึกปรือก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้นที่เจียนบรรลุขั้นกลางเท่านั้น!
ทว่าวันนี้พอได้เห็นหลิงเทียน นางก็รู้ได้ทันทีว่าแต่ก่อนนางเป็นแค่กบน้อยที่แหงนมองฟ้าจากก้นบ่อน้ำเท่านั้น ที่แท้ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ นอกจากลี่เฟิงแล้ว ก็มีรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังเหนือกว่านาง!
ถึงแม้ว่านางกับต้วนหลิงเทียนจะทานรับพลังกดดันไร้สภาพได้จนจบการทดสอบ
ทว่าตอนนั้นนางใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทีจนเหงื่อไหลชุ่มโชก แต่หลิงเทียนยังแลดูสบายๆคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร..
จังหวะนั้นในใจของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกยอมแพ้!
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางบังเกิดความสนใจต่อบุรุษที่เหนือกว่านางมากคนนี้ขึ้นมา
ต้องทราบด้วยว่านางในฐานะผู้ฝึกตนสตรี ย่อมมีความภาคภูมิใจอันสูงล้ำ แม้จะมีชายหนุ่มมากมายในคฤหาสน์ดาบทรราชต้องตาพึงใจในตัวนาง แต่นางก็ไม่คิดจะเหลือบแลใครเลย…
เพราะในสายตาของนาง มีเพียงบุรุษที่แข็งแกร่งกว่าตัวนางเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับนาง!
อันที่จริงสายตาที่จ้องมาเขม็งด้วยท่าทางสนอกสนใจเต็มเปี่ยมของศิษย์สตรีคฤหาสน์ข้ามฟ้านางนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้แต่แรกแล้ว แต่เขาทำได้แค่แกล้งเมินทำเป็นไม่เห็นเท่านั้น…
มิฉะนั้นจะให้เขาทำอะไรได้อีก?
หันไปมองสบตานาง ให้ความหวังอะไรนางงั้นเหรอ?
เพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าสตรีนางนี้ไม่ใช่สตรีขี้อายเคอะเขินง่ายๆอะไร หากเขาหันไปมองนางล่ะก็…ไม่วายนางต้องหาเรื่องสนทนากับเขาแน่นอน!
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะไม่สนใจนางตั้งแต่แรก
‘ฮึ! เจ้าท่อนไม้ผู้นี้น่าสนใจยิ่ง…หากเจ้าโดดเด่นร้ายกาจจริงๆ ข้า หวางเฟยเซวียน มิสนหรอกนะ! หากต้องเป็นฝ่ายไล่เกี้ยวเจ้า!!’
สตรีจากคฤหาสนืดาบทรราชนางนี้ มีชื่อว่า หวางเฟยเซวียน
และนางยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชคนปัจจุบันอีกด้วย!
เหตผลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนแลดูน่าสนใจในสายตาของหวางเฟยเซวียนนั้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางพบพานกับบุรุษที่กล้าเมินเฉยนาง ราวกับเสน่ห์ของนางไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย!
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ความคิดของหวางเฟยเซวียน หาไม่แล้วเขาคงต้องเหวอ กระทั่งพยายามหาทางหลบหน้านาง
ถึงแม้หวางเฟยเซวียนจะมีความน่าสนใจและมีเสน่ห์ดึงดูบุรุษอย่างสูง แต่เขาในฐานะชายที่มีคู่หมั้นงามล่มเมืองแล้วถึง 2 คน กับสตรีงดงามปานเทพธิดาที่ต้องตาพึงใจอีก 1 คน…
ไม่ว่าจะเป็นลี่เฟยหรือเค่อเอ๋อ หรือเฟิ่งเทียนหวู่ ก็ไม่ได้งดงามด้อยไปกว่าหวางเฟยเซวียนแม้แต่น้อย…ทำให้เขามีภูมิคุ้มกันสาวงามในระดับหนึ่ง!
เมื่อเห็นว่ารองจ้าววังปฐพีจางชิงถึงกับยื่นข้อเสนอขนาดนี้ รองจ้าววังลี้ลับเถียนจี้กับรองจ้าววังเหลืองซุนหลิน ถึงกับตกตะลึง!
จางชิงยื่นข้อเสนอมาซะขนาดนี้ เช่นนั้นพวกมันจะอาศัยอะไรในการคว้าตัวหลิงเทียนมาจากอีกฝ่ายได้อีก?
เพราะในบรรดาข้อเสนอที่พวกมันสามารถให้ได้ เต็มที่ก็เหมือนกับจางชิงเท่านั้น!
“หลิงเทียน ด้วยพรสวรรค์แต่กำเนิดของเจ้า ข้าคิดว่าจักเป็นการดีที่สุดหากเจ้าเข้าร่วมกับวังนภา”
ในขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่าต้วนหลิงเทียนคงต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอของรางจ้าววังปฐพีแล้วแน่ๆ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น และดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที
คนที่กล่าวออกมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นรองจ้าววังนภา!
ทันใดนั้นความโกลาหลพลันบังเกิดขึ้นในฝูงชน ทั้งหลายไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆว่ากระทั่งรองจ้าววังนภาก็ยังถูกต้วนหลิงเทียนดึงดูดความสนใจ!
ตอนที่ 1,719 : วังนภา
“วังนภา เป็นวังอันดับ 1 ในตำหนักฟ้าลี้ลับ ข้าคงมิอาจให้คำสัญญาอันใดกับเจ้าได้มากหากเจ้าเข้าร่วมวังนภา…อย่างไรก็ตามถ้าวันหนึ่งเจ้าพิสูจน์ตัวจนสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองได้ในวังนภา ข้าสัญญาว่าจะมอบสิ่งที่ดียิ่งกว่าที่วังอื่นใดจะให้เจ้าได้! และข้าเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้รองจ้าววังทั้ง 3 คงมิมีคำโต้แย้ง…”
รองจ้าววังนภากล่าวกับต้วนหลิงเทียนถึงตรงนี้ ก็ว่ายตาหันมองไปยังรองจ้าววังทั้ง 3
ด้านรองจ้าววังทั้ง 3 พอเห็นรองจ้าววังนภาปริปากกล่าวถึง พวกมันก็ทำได้แค่เผยยิ้มขื่นขม
รองจ้าววังลี้ลับ เถียนจี้ ได้แต่บ่นอย่างน้อยใจ “เฒ่าเซียว…เจ้าจักมิใจร้ายไปหน่อยหรือ…เจ้าต้องการคน 10 คนก็ทีนึงแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังคิดแย่งอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงสุดอีก? นี่ใจคอเจ้าจะกินคนเดียวหมด มิคิดปันน้ำแกงซักถ้วยให้พวกเราเลยหรือไร?”
ตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่ว่าจะวัง ปฐพี ลี้ลับ เหลือง ล้วนไม่อาจเทียบกับ วังนภาได้
วังนภามียอดฝีมือมากที่สุด มีทรัพยากรบ่มเพาะดีที่สุด!
เช่นนั้นอีก 3 วังที่เหลือจึงไม่อาจเทียบได้เลย
แน่นอนว่าแม้วังนภาจะดีที่สุด จนถึงขั้นที่ 3 วังที่เหลือไม่อาจเทียบ แต่ก็มีการแข่งขันช่วงชิงที่รุนแรงที่สุดเช่นกัน! บางคนเป็นอัจฉริยะที่ไม่ใช่ชั่วแท้ๆ…แต่อาจไม่เด่นดังอะไรในวังนภา! ทั้งๆที่พลังฝีมือจะสูงพอจะได้รับการดูแลอย่างดีจากอีก 3 วังที่เหลือ…!!
ดังนั้นวังนภาจึงมีไว้สำหรับผู้ที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองเป็นที่สุด
สำหรับอัจฉริยะธรรมดา อีก 3 วังที่เหลือนับเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“หากพวกเจ้ามอบหลิงเทียน สตรีนางนี้ และเจ้าหนุ่มคนนั้นให้วังนภา อัจฉริยะที่เหลือล้วนเป็นของพวกเจ้า”
รองจ้าววังนภามองไปยังต้วนหลิงเทียน ศิษย์สตรีจากคฤหาสน์ดาบทรราช สุดท้ายก็ผู้ฝึกตนพเนจรที่ถูกกำจัดออกเป็นคนุสดท้ายในการทดสอบทนรับพลังกดดันไร้สภาพ
3 คนที่มันกล่าวออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือ 3 คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดา 37 อัจฉริยะขอบเขตเซียนที่มาในวันนี้+
หลังจากที่รองจ้าววังนภากล่าวจบ รองจ้าววังอีก 3 คนที่เหลือก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกันดี…
ล้อเล่นหรือไร?!
หากพวกมันสามารถรับตัวอัจฉริยะที่โดดเด่นทั้ง 3 นั่นได้บ้าง พวกมันจะยังสนใจคนอื่นๆอีกหรือ!?
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของรองจ้าววังนภา
นับว่าวังนภาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาจริงๆ
“รองจ้าววังจาง ข้าต้องขอภัยท่านด้วย…”
เช่นนั้นคำเชิญที่รองจ้าววังปฐพีจางชิงกล่าวมาเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนจึงทำได้แค่กล่าวปฏิเสธไปอย่างสุภาพเท่านั้น
“มิเป็นไร แม้เจ้าจักมิได้เข้าร่วมวังปฐพีของข้า แต่อย่างไรเจ้าก็นับเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรายู่ดีหากเจ้าเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ”
เผชิญหน้ากับอัจฉริยะขอบเขตเซียนเช่นต้วนหลิงเทียน จางชิง แม้มันจะเป็นรองจ้าววังปฐพีแต่มันก็ไม่กล้าละเลย!
ด้วยศักยภาพและพลังฝีมือที่หลิงเทียนเผยออกมา ตราบใดที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ วันหน้าต้องได้เป็นเสาหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับแน่! กระทั่งการช่วงชิงตำแหน่ง ‘จ้าวตำหนัก’ ของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
ส่วนตำแหน่งจ้าววังนภา จ้าววังปฐพี จ้าววังลี้ลับ หรือจ้าววังเหลือง ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้..วันหน้าต้องได้เป็นสักตำแหน่งแน่นอน!
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมีใจคิดเข้าร่วมวังนภา ก็คงมีแต่รองจ้าววังนภาเท่านั้นที่ยิ้มอย่างยินดี ส่วนที่เหลือก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขมเท่านั้น…นับว่ารองจาววังนภามาเหนือดั่งเฒ่าประมงแล้วจริงๆ!
เนื่องจากไม่มีทางได้รับต้วนหลิงเทียนแน่แล้ว รองจ้าววังปฐพีจึงหันไปให้ความสนใจศิษย์สตรีของคฤหาสน์ดาบทรราชทันที
“สาวน้อย หากข้าเข้าใจมิผิด เจ้าเป็นหลานสาวคนสุดท้องของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราช หวางเฟยเซวียน ใช่หรือไม่?”
จางชิงกล่าวถาม
“อื๊อ”
ได้ยินคำถามของจางชิง หวางเฟยเซวียนก็ละความสนใจออกจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากล่าวตอบจางชิงสั้นๆ
“อ้อ พอดีข้าได้ยินเรื่องเจ้ามานานแล้ว…”
รอยยิ้มพลันคลี่กางบนใบหน้าจางชิงขณะกล่าว “กล่าวไปปู่เจ้ากับข้าก็รู้จักกัน…ไฉนเจ้าไม่เข้าร่วมกับวังปฐพีของข้าเล่า?”
ในสายจาของจางชิง ในเมื่อมันเกริ่นขึ้นมาซะขนาดนี้แล้ว หวางเฟยเซวียนย่อมตกลงเข้าร่วมกับวังปฐพีของมันแน่นอน
อย่างไรก็ตามทันทีที่มันกล่าวจบคำ จ้างวังลี้ลับเถียนจี้พลันกล่าวด้วยเจตนาหมายชิงคนออกมา ก่อนที่หวางเฟยเซวียนจะทันได้พูดอะไร “สาวน้อย หากจะกล่าวกันถึงเรื่องสายสัมพันธ์กับปู่ของเจ้า จางชิงคงยากจะเทียบกับข้าได้…ข้าเชื่อว่าปู่ของเจ้าต้องมักกล่าวถึงข้าบ่อยๆใช่หรือไม่?”
“รองจ้าววังเถียน ท่านปู่ของข้ามักกล่าวถึงท่านจริงๆ”
หวางเฟยเซวียนพยักหน้า
“ฮ่าๆๆๆ….”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบนี้ของหวางเฟยเซวียน เถียนจี้พลันระเบิดเสียงหัวเราะร่าออกมา “เด็กดีเช่นนั้นเจ้าก็มาเข้าร่วมวังลี้ลับของข้าเถอะ…ด้วยพรสวรรค์ของเจ้ารวมทั้งสายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับปู่เจ้า ข้าไม่มีทางดูแลเจ้าไม่ดี”
“เฒ่าเถียน! นี่เจ้ามันจะมากเกินไปแล้ว!”
จางชิงขมวดคิ้ว
ในแง่สายสัมพันธ์ของมันกับปู่ของหวางเฟยเซวียนนับว่าด้อยกว่าเถียนจี้จริงๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นเรียกว่าเป็นสหายกัน ส่วนมันเพียงเคยเจอปู่ของหวางเฟยเซวียนด้วยหน้าที่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…มันไม่มีข้อได้เปรียบเลย
“ฮี่ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของจางชิง ไม่เพียงแต่เถียนจี้จะไม่สลด กลับจงใจหัวเราะออกมาด้วยเสียงระคายหู เย้ยเยาะไปอีก…
ทว่ายิ้มเย้ยบนใบหน้าของมันจำต้องชะงักค้างลงแทบจะทันที
นั่นเพราะเสียงของหวางเฟยเซวียนพลันดังขึ้นให้ได้ยิน “รางจ้าววังเถียน ความจริงด้วยมิตรภาพระหว่างท่านกับท่านปู่ ข้าจึงคิดจะเข้าร่วมวังลี้ลับ…อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว และนั่นมิใช่วังลี้ลับ”
มิใช่วังลี้ลับ…
4 คำนี้พอดังเข้าหูของเถียนจี้ ยังประหนึ่งอัสนีบาตยามแล้ง ไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน!!
“ฮ่าๆๆๆ”
เมื่อเห็นเถียนจี้ถูกปฏิเสธตรงๆ จางชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความถูกใจ “เฒ่าเถียนเจ้าอย่าได้ร้องไห้เล่า…สาวน้อยนางนี้รู้ว่าอันใดดีต่อตัว นางจึงไม่อยากเข้าวังลี้ลับของเจ้า แต่ชมชอบวังปฐพีของข้า…สาวน้อยเจ้านับว่าเลือกได้ประเสริฐนัก!!”
“ฮึ่ม!!”
เถียนจี้แค่นคำออกมาเสียงเย็นด้วยความขุ่นขึ้งใจ วาจาของจางชิงมันปวดแสบนัก ไม่ต่างอันใดกับราดเกลือลงแผลสดแม้แต่น้อย
“รองจ้าววังจาง ท่านเองก็เข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้คิดเข้าร่วมวังปฐพีของท่าน…ข้าอยากเข้าร่วมวังนภา”
วาจาท้ายประโยค หวางเฟยเซวียนยังจงใจหันมองไปยังต้วนหลิงเทียน นั่นทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
‘เอ่อ…ท่านย่าน้อยดุร้ายนี่คงไม่ได้เลือกวังนภาเพราะข้าหรอกนะ?’
ไม่น่าแปลกใจที่ต้วนหลิงเทียนจะสงสัยในเรื่องนี้ เพราะหวางเฟยเซวียนจ้องเขาไม่วางตาพักใหญ่ กระทั่งตอนพูดว่าตัดสินใจเลือกแล้ว ยังจงใจหันมองมาทางเขาอีก….
ต้องทราบด้วยว่าเมื่อครู่นางกำลังตอบคำกับรองจ้าววังอยู่ แต่นางไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย..เลือกจะหันมามองเขาเฉย!
“ฮ่าๆๆๆ จางชิง สาวน้อยนั่นดูท่ามิได้คิดจะเข้าร่วมกับวังปฐพีของเจ้านี่นา ไฉนก่อนหน้าเจ้าถึงหัวเราะยินดีเช่นนั้นเล่า? ฮัยยา! อยู่กันมาตั้งนานไฉนข้ามิเคยรู้กันว่าหนังหน้าเจ้าหนาเช่นนี้เล่า?!”
คราวนี้ถึงทีเถียนจี้หัวเราะเยาะจางชิงอย่างสะใจบ้าง
ด้านจางชิงนั้นตอนแรกมันเห็นหวางเฟยเซวียนปฏิเสธเถียนจี้ มันก็หลงคิดไปว่าอีกฝ่ายสนใจวังปฐพีของมัน แต่ใครจะไปรู้ว่ามันโชคร้ายเข้าใจผิดไปเอง?
“วังนภายินดีต้อนรับเจ้า”
เมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนคิดเข้าร่วมกับวังนภาโดยที่ไม่ต้องกล่าวชวนให้เสียเวลา รองจ้าววังนภาก็รู้สึกพึงพอใจถึงขั้นยิ้มแย้มแจ่มใสออกมาทันที ขณะเดียวกันมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนอย่างสนใจ เพราะมันเองก็รู้สึกได้ว่าที่หวางเฟยเซวียนเข้าร่วมวังนภา เพราะสนใจอัจฉริยะขอบเขตเซียนนามหลิงเทียนคนนี้
มันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของหวางเฟยเซวียนมากบ้าง มันยังรู้ว่านางบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นแล้ว แถมอายุนางก็ยังไม่เท่าไหร่ทว่าเจียนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเต็มที!
พรสวรรค์ระดับนี้ เกรงว่าแม้จะเป็นในวังนภาเอง แต่ก็สูงพอจะติด 1 ใน 10 อันดับแรก
‘หลิงเทียนสมควรแข็งแกร่งกว่าหวางเฟยเซวียน…ด่านพลังของเจาหนุ่มผู้นี้สมควรบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ! ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีหรือ…กระทั่งในตำหนักฟ้าลี้ลับของเรายังมีมิเกิน 3 คน มันจักกลายเป็นคนที่ 4!’
รองจ้าววังนภาครุ่นคิดในใจอย่างยินดีขณะมองต้วนหลิงเทียน
รองจ้าววังจางชิงที่แลดูซึมไปถนัดตาหันไปให้ความสนใจกับผู้ฝึกตนพเนจรที่ยืนหยัดอยู่ได้จนถึง 3 คนสุดท้าย ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา “เจ้าคงมิได้คิดจะเข้าร่วมวังนภาเช่นกันหรอกนะ?”
“วังนภานั้นยอดเยี่ยมขอรับ…แต่ข้าคิดว่าวังปฐพีของท่านเหมาะสมกับข้ามากกว่า…แหะๆ”
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนพนจรคนนี้จะแลดูหน้าตาธรรมดา แต่ยามอีกฝ่ายหัวเราะออกมาด้วยท่าทางแลดูเขินอายนั้น กลับให้ความรู้สึกสบายตาน่าดูชม พาลให้คนอื่นพลอยมีความสุขทั้งอมยิ้มไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก
ในความคิดของมัน ด้วยพรสวรรค์ของมันที่แม้จะยอดเยี่ยม แต่หากเข้าร่วมวังนภาที่มีหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนอยู่ล่ะก็…น่ากลัวว่าคงไม่ได้รับทรัพยากรและการสนับสนุนที่ดีเท่า 2 คนนั่น!
มันเข้าคำ ‘ยอมเป็นหัวไก่ ดีกว่าหางหงส์’ กระจ่างชัด!
“ฮ่าๆๆๆ…ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!! วังปฐพียินดีต้อนรับเจ้า!!”
จางชิงที่หดหู่ใจพอได้ยินคำนี้ มันก็หัวเราะร่าขึ้นมาทันใด ขณะเดียวกันมันก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตากับเถียนจี้หมายเย้ยเยาะอีกฝ่าย ด้านเถียนจี้ก็ได้แต่มองด้วยสายตาอิจฉาและไม่อาจตอบโต้อะไรได้
ต่างจากต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนและผู้ฝึกตนพเนจร อัจฉริยะที่เหลืออีก 34 คนที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 นั้น…ไม่มีใครชิงตัวอะไรกัน ทั้งหมดผลัดกันเลือกไปจนได้ครบคนตามที่ต้องการ
‘หืม?’
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างข้างๆหวางเฟยเซวียน พลันสังเกตเห็นว่าในบรรดากลุ่มคนทั้ง 10 ของวังนภาโดยนับรวมตัวเขานั้น มี 2 คนที่เขาคุ้นหน้าตาอีกฝ่าย
หนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลิวเจี้ยน หลานชายของ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 คฤหาสน์คลื่นคลั่ง!
ส่วนอีกคนเป็นอัจฉริยะหนุ่มที่มาพร้อมกับเริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า
‘หากมีโอกาสข้าจะช่วยเหลือ 2 คนนี้ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ข้าติดข้างรองผู้นำเริ่น กับอาวุโสหลิวก็แล้วกัน…’
ต้วนหลิงเทียนรอบกล่าว
ครั้งสุดท้ายที่เขาหนีหายไปดั่งนกหลุดกรง ปล่อยให้ทั้ง 2 คนรอเก้อ กระทั่งสารสักฉบับยังไม่ทิ้งไว้ให้ ก็ทำให้เขารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง…
เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องที่มันเป็นหน้าที่หรือสิ่งที่ทั้งคู่ต้องทำ อย่างไรเสียทั้งคู่ก็พยายามดูแลเขา…กระทั่งให้ความช่วยเหลือเรื่องที่เขาขอจากไปก่อนในการประลองยอดนักรบ จวบจนกระทั่งรั้งตัวคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไว้อย่างดี ทำให้เขารู้สึกผิดที่จากมาแบบนั้น
“ศิษย์ของแต่ละวังให้ติดตามรองจ้าววังของพวกเจ้าไป…ส่วนสำหรับผู้ที่มาเข้าร่วมมิว่าจะดูชมหรือส่งญาติสนิทมิตรสหายอันใด ขอให้เร่งออกจากพื้นที่ของตำหนักฟ้าลี้ลับภายใน 1 เค่อด้วย…นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายโดยมิจำเป็น เพราะหากหน่วยลาดตระเวณพบเจอพวกเจ้าหลังจากที่ผ่านไป 1 เค่อ พวกเจ้าต้องแบกรับผลด้วยตัวเอง…”
รองจ้าววังนภามองไปยังผู้คนที่ยืนอยู่บนพื้นค่อยกล่าวออกเสียงเรียบ
เหล่ากลุ่มคนที่อยู่บนพื้นบ้างก็เป็นผู้อาวุโสที่มาส่งศิษย์ บ้างก็มาส่งญาติสนิทมิตรสหาย บ้างก็แค่มาดูเฉยๆ ตอนแรกทั้งหมดคิดเก็บเกี่ยวบรรยากาศอีกสักพัก เพราะพื้นที่แถวนี้ยากจะเข้ามาได้ง่ายๆ แต่พอได้ยินวาจาประโยคนี้ของรองจ้าววังนภา ก็จำต้องเร่งรีบแยกย้ายออกจากพื้นที่กันทันที!
“นี่ๆ…เจ้าที่เรียกว่าหลิงเทียนน่ะ เจ้าเป็นผู้ฝึกตนพเนจรด้วยงั้นหรือ? ไฉนข้ามิเห็นสหายหรือครอบครัวเจ้ามาส่งเลยเล่า?”
ทันใดนั้นมีเสียงเล็กๆหากแต่นุ่มนวลดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ทันที
“อืม”
เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเสียงของหวางเฟยเซวียน เขาก็พยักหน้าตอบคำนางไปส่งๆ
“ฮัยยา ผู้ฝึกตนพเนจรเช่นพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่ง! ลี่เฟิงก็คนนึงแล้ว มาตอนนี้ยังมีเจ้าอีกคน ช่างน่ากลัวนัก! ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าผู้ฝึกตนพเนจรเช่นพวกเจ้าฝึกฝนบ่มเพาะอย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ไร้ทรัพยากรคอยสนับสนุน แต่พลังฝึกปรือกลับก้าวมาถึงจุดนี้ได้…”
หวางเฟยเซวียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ลี่เฟิง!
ทันทีที่ได้ยินคำนี้จากหวางเฟยเซวียน มุมปากของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกไปวูบหนึ่ง
“อันใด? เจ้ามิรู้จักลี่เฟิงงั้นหรือ?”
หวางเฟยเซวียนเอียงคอกล่าวถาม
“ข้าย่อมรู้จัก เพราะกล่าวไปเขาก็นับเป็นสหายคนหนึ่งของข้า…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ
“อะไรนะ?!”
ได้ยินคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน สองตาของหวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะเบิกกว้างขึ้นมา ความประหลาดใจยังเผยให้เห็นชัดบนหน้างามน้อยๆ “เจ้า…เจ้าบอกว่าลี่เฟิงเป็นสหายของเจ้างั้นเหรอ?”
“ใช่ ทำไมหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า มุมปากยังค่อยๆยกยิ้มขึ้นบางๆ
“สหายของลี่เฟิง?”
ถึงแม้ว่าเสียงของต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่หลายคนรอบๆก็ได้ยินคำพูดของเขาชัดเจนดี ทุกสายตาของพวกมันพลันหันมาตกที่ร่างของต้วนหลิงเทียนทันที!
ตอนที่ 1,720 : สระวิญญาณ!
ลี่เฟิง!
ชื่อนี้เป็นอะไรที่คุ้นหูผู้คนในปัจจุบันนัก!
แม้การประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง นามลี่เฟิง พึ่งกระเดื่องเลื่องลือขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่เพียงแต่นามลี่เฟิงจะโด่งดังไปทั่วเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเท่านั้น ยังรวมไปถึงพื้นที่รอบๆอีกด้วย!
ตอนนี้ตราบใดที่เป็นพื้นที่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขอเพียงไม่อยู่หลังเขาหรือไกลปืนเที่ยงมากไป สมควรต้องเคยได้ยินกันแล้วทั้งสิ้น!
กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 ยังแห่กันประกาศยื่นข้อเสนอเชื้อเชิญลี่เฟิงไปทั่ว!
น่าเสียดายที่ลี่เฟิงคล้ายจะหายสาบสูญไปหลังจากการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจบลง…ยังคล้ายจะอันตรธานหายไปจากโลกหล้า!
ทว่าวันนี้กลับมีคนบางคนบอกว่าเป็นสหายของลี่เฟิง!?
หากคนที่พูดเป็นคนธรรมดาคงไม่มีใครในที่นี้คิดจะสนใจ…
แต่ปัญหาก็คือคนที่พูดกลับเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่บรรลุเซียนน้อยกว่าอายุ 40 ปี! ทั้งยังน่าสงสัยว่าจะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางกระทั่งสูงกว่านั้นแล้ว…!!
“นี่เจ้า…เจ้ารู้จักลี่เฟิงจริงๆ? กระทั่งยังเป็นสหายของเขา?!”
หวางเฟยเซวียนทำตาโต ปากฉีกยิ้มกว้างเร่งกล่าวถามออกมา
“แล้วทำไมข้าต้องแกล้งเป็นสหายกับลี่เฟิงด้วย?”
ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มบางๆออกมาอย่างไม่ได้สนใจอะไร ทว่ารอยยิ้มบางๆเฉยเมยนี้ยามตกอยู่ในสายตาผู้คนโดยรอบกลับมีเลศนัยไม่น้อย
“ข้าเพียงคิดว่าพลังฝีมือของลี่เฟิงร้ายกาจดั่งปีศาจเช่นนั้น…ไฉนถึงเป็นสหายกับเจ้าได้?”
หวางเฟยเซวียนกระพริบดวงตากลมใสให้บรรยากาศสารทฤดู ค่อยหัวเราะออกมา
“พลังฝีมือลี่เฟิงร้ายกาจแล้วยังไง ไม่ใช่ว่าข้าจะอ่อนแอกว่าเสียหน่อย…”
ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
“เพ้ย! พลังฝีมือของเจ้าหรือจะเทียบกับลี่เฟิงได้ เขาบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั้งๆที่ยังอายุมิถึง 40…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเช่นเดียวกับเขาแล้ว?”
กล่าวถึงท้ายประโยคหวางเฟยเซวียนก็หัวเราะออกมาเสียงใส
รอยยิ้มของนางนับว่ามากเสน่ห์ไม่น้อย ทุกสิ่งรอบกลายคล้ายจะหมองลงหลายส่วน ต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อมองนางไปพักหนึ่ง…
รูปร่างหน้าตาของหวางเฟยเซวียนนั้นงดงามสมบูรณ์ เทียบกันแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปร่างเย้ายวนปานปีศาจสาวของลี่เฟย คู่หมั้นเขาแม้แต่น้อย
และอาการเหม่อไปครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนก็แลเห็นเช่นกัน ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มขึ้นมาอย่างสมใจ
ตอนนี้นางไม่สงสัยแล้วว่าเสน่ห์ของนางยังดีอยู่หรือไม่..เจ้าท่อนไม้ตะลึงแล้วนี่ไง!
“อย่าว่าแต่เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ข้ายังไม่แม้แต่จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นกลางด้วยซ้ำ…”
ต้วนหลิงเทียนที่กลับมารู้สึกตัว กล่าวออกด้วยรอยยิ้มเฉยชา
“หืม? ไม่แม้แต่จะบรรลุเซียนขั้นกลาง? เจ้าไปหลอกเด็กสามขวบเถอะ!”
หวางเฟยเซวียนมองต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
อย่างไรก็ตามสีหน้าเหยเกนี้ยามมาอยู่บนรูปโฉมงามหมดจด พาลให้เหมือนเจ้าหญิงที่กำลังแง่งอนอยู่บ้าง ไม่นานหวางเฟยเซวียนก็คล้ายรู้ตัวว่าทำสีหน้าไม่เหมาะสม เมื่อรู้สึกตัวก็แสร้งทำหน้านิ่งทันที
“ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า…”
เมื่อเห็นหวางเฟยเซวียนไม่เชื่อคำที่เขาพูด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยักไหล่ผายมืออย่างช่วยไม่ได้ “ถึงแม้พลังฝึกปรือข้าจะด้อยกว่า แต่พลังฝีมือข้าก็เทียบเท่าลี่เฟิง…อันที่จริงด้วยพลังของข้าตอนนี้คิดเอาชนะลี่เฟิงก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนย่อมดังเข้าหูทุกคน ไม่เว้นกระทั่งรองจ้าววังนภา เซียวยี่
ยังดีที่เสียงของต้วนหลิงเทียนดังให้ได้ยินกันแค่คนของวังนภา หาไม่แล้วหากคนของอีก 3 วังที่เหลือได้ยินวาจานี้ของเขาล่ะก็ น่ากลัวว่าต้วนหลิงเทียนคงถูกผู้คนกล่าวเย้ยหยันแดกดันแน่แล้ว
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่คิ้วของเซียวยี่พลันยกขึ้นขมวดเป็นปม
‘ยังไม่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แต่พลังความแข็งแกร่งเหนือลี่เฟิง? หลิงเทียนผู้นี้ศักยภาพพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่ที่แท้กลับชมชอบอวดโอ่เช่นนี้…ช่างเถอะจะอย่างไรก็อยู่ต่อหน้าสตรีน่ารัก อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เหลวไหลเกินจริงเกินไป หวางเฟยเซวียนไหนเลยจะโง่งมถึงขั้นหลงเชื่อ’
ในฐานะรองจ้าววังนภา เซียวยี่ย่อมมองพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนออก และเข้าใจว่าไฉนถึงกล่าวออกมาแบบนี้ จึงไม่คิดว่าวาจาดังกล่าวจะจริงจังอะไร
หากไม่แม้แต่จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ไฉนถึงได้ทานทนรับพลังกดดันไร้สภาพได้ง่ายดายเพียงนั้น?
ต้องทราบด้วยว่าพลังกดดันไร้สภาพดังกล่าว เป็นมันที่เร่งเร้าลงไปกดดันด้วยตัวเอง เว้นเสียแต่จะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง หาไม่แล้วคงไม่อาจทนจนจบโดยที่ยังนิ่งเฉยแบบนั้นได้
ดังนั้นมันแทบจะสรุปได้ทันทีว่าพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนต้องเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางแน่!
สำหรับวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวว่ายังไม่แม้แต่จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง มันย่อมไม่เชื่อสักกะผีกเดียว!
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวว่าเป็นสหายกับลี่เฟิง มันเพียงฟังหูไว้หู…แต่ในใจมันก็เอนไปทางต้วนหลิงเทียนสมควรกล่าวโม้อวดหญิงมากกว่า
เหตุผลที่เซียวยี่คิดแบบนี้ เพราะมันไม่รู้จักต้วนหลิงเทียน
พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ไม่เพียงยังไม่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แต่ยังขาดอีกเล็กน้อยถึงจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นต้น และถึงจะขาดอีกเล็กน้อยทว่าก็จำต้องใช้เวลาพอสมควร ยังต้องสบโอกาสเหมาะอีกด้วยถึงจะทะลวงผ่านได้
อย่างไรก็ตามแม้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนจะไม่สูง แต่ความแข็วแกร่งก็ไม่ได้ธรรมดาเลย นั่นเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิด!
ทว่าด้วยด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดนี้ของเขารวมถึงร่างกายที่แข็งแกร่งไม่ต่างสัตว์ร้าย เรียกว่าเขาแทบจะไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตอริยะเซียน! ถึงแม้จะไม่ได้ใช้กระบี่นิลสวรรค์ก็ตามที…!!
กระทั่งผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นทั่วๆไป ก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!
สำหรับเรื่องที่เขากล่าวว่า เขาเหนือกว่าลี่เฟิงนั้นไม่ใช่คำกล่าวเลื่อนลอยไร้แก่นสารแม้แต่น้อย
นั่นเพราะลี่เฟิงก็คือเขา เขาก็คือลี่เฟิง!
อีกทั้งลี่เฟิงที่ทุกคนรู้จัก ก็คือตัวเขาเมื่อปีที่แล้ว! และพลังฝึกปรือของเขาตอนนั้นก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นกลาง!!
ทว่าวันนี้เขาทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด พลังความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
ตอนนี้เขาอาศัยแค่ฝ่ามือเดียวก็สยบตัวเองเมื่อปีที่แล้วได้ง่ายดาย…
แน่นอนว่า ‘ความจริง’ ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว ย่อมกลายเป็นเรื่องเหลวไหลเหลือเชื่อสำหรับคนอื่นๆไปโดยปริยาย
“ฮึ่ย! ข้าไม่คิดเลยว่าคนที่มีศักยภาพพรสวรรค์ดีเช่นเจ้า จะเป็นตัวขี้อวดไปเสียได้!”
หวางเฟยเซวียนย่นจมูกพ่นลมกล่าวออกด้วยโทสะ
‘คนเดี๋ยวนี้นี่ก็แปลก พอข้าพูดความจริงดันไม่เชื่อซะงั้น…’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมถอนหายใจ คล้ายเอือมระอากับเรื่องนี้จริงๆ
อย่างไรก็ตามเพราะวาจาที่เขากล่าวมามันเหลวไหลเกินจริงมากไปในสายตาคนอื่น กระทั่งเซียวยี่ รองจ้าววังนภา ยังไม่เชื่อเขาสักแอะ
“เฮ่อ…น่าเสียดายจริง ข้าล่ะหลงคิดว่าเจ้าเป็นสหายกับลี่เฟิงจริงๆเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นตัวขี้คุยเสียได้…”
หวางเฟยเซวียนเผยท่าทางผิดหวังไม่น้อย
“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบไปส่งๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรอีก
หาไม่แล้วจะให้เขาทำอย่างไร? ให้ยอมรับว่าเขาคือลี่เฟิงงั้นหรือ?
“ไปกันได้แล้ว! ทั้งหมดติดตามข้าไปยังวังนภา”
ทันใดนั้นเซียวยี่พลันกล่าวบอก ก่อนที่จะสะบัดมือใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆไปยังยอดเขาสูงชันที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก…วังนภาตั้งอยู่ที่นั่น
เมื่อเข้าใกล้ยอดเขา ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นอาคารปลูกสร้างที่ตั้งเรียงรายกันด้านล่าง มองไกลตายังคล้ายเป็นอาคารปลูกสร้างของขุมพลังอิสระ
อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่ใช่ขุมพลังอิสระ แต่เป็นหนึ่งในวังของตำหนักฟ้าลี้ลับ ขุมพลังกึ่งชั้น 3!
“หวังพี เจ้าพาทุกคนไปรับป้ายประจำตัวและของจำเป็นอื่นๆเถอะ อย่าลืมกล่าวแจ้งกฏเกณฑ์ข้อบังคับทั้งหลายให้ทุกคนทราบคร่าวๆด้วย”
เมื่อมาถึงริมผาแห่งหนึ่งบริเวณใจกลางยอดเขาตะวันออก เซียวยี่ก็กล่าวสั่งชายหนุ่มที่ติดตามมันมาตั้งแต่แรก
ชายหนุ่มคนนี้ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่รองจ้าววังทั้ง 4 ปรากฏตัวออกมา…ชายหนุ่มคนนี้ก็เป็น 1 ใน 4 ชายหนุ่มที่ติดตามรองเจ้าวังมา!
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มทั้ง 4 ไม่ได้กล่าวคำใดออกมาแม้แต่คำเดียว
ด้านชายหนุ่มดังกล่าวพอได้ยินคำของเซียวยี่ก็เร่งขานรับทันที “ทราบแล้วท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์!
ต้องกล่าวเลยว่าวาจาขานรับนี้ของชายหนุ่ม ทำให้ต้วนหลิงเทียนหวางเฟยเซวียนและคนอื่นๆ ถึงกับตะลึง
หวังพีที่ไม่พูดไม่จามาตั้งแต่แรก ที่แท้เป็นศิษย์ของรองจ้าววังนภา?
“พวกเจ้าทั้ง 10 ติดตามหวังพีไปรับป้ายประจำตัวและสิ่งของจำเป็นเถอะ ส่วนเรื่องอื่นๆเดี๋ยวหวังพีจะกล่าวบอกพวกเจ้าเอง”
หลังจากเซียวยี่กล่าวย้ำกับทุกคนอีกรอบเสร็จแล้ว มันก็หันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “หลิงเทียน เนื่องจากเจ้าปฏิเสธที่เจ้าเข้าร่วมกับอีก 3 วังที่เหลือ เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดทำให้เจ้าผิดหวังในวังนภา หลังจากที่เจ้าได้รับป้ายประจำตัวกับสิ่งของจำเป็นแล้ว เจ้าจงตามหวังพีไปยังสระวิญญาณเสีย ข้าหวังว่าหลังจากเข้าไปแล้วเจ้าจะบังเกิดความก้าวหน้า”
สระวิญญาณ?
ได้ยินคำนี้ของเซียวยี่ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง กระทั่งเผยใบหน้าว่างเปล่าออกมา
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนตระหนักได้แทบจะทันที ว่าตอนนี้หวางเฟยเซวียนและคนที่เหลือกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาอิจฉา!
‘บ้าจริง! ข้าลืมเรื่องสระวิญญาณไปได้ยังไงกัน โธ่เอ๊ย…หากข้าไม่เข้าร่วมกับวังนภาแต่เลือกวังปฐพีไม่ก็วังลี้ลับ ข้าต้องได้เป็นคนเข้าสระวิญญาณของพวกมันแน่นอน! ถึงจะเทียบไม่ได้กับที่นี่แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ท่าทางข้าจะไม่มีวาสนากับสระวิญญาณแล้ว…’
ตอนนี้เองหวางเฟยเซวียนรู้สึกผิดหวังในใจไม่น้อย นางได้แต่ถลึงตามองต้วนหลิงเทียนเขม็ง
ในสายตาของนางทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าท่อนไม้หลิงเทียนผู้นี้คนเดียว! หากตอนแรกอีกฝ่ายไม่เมินเฉยเสน่ห์ของนาง นางคงไม่บ้าจี้ตามอีกฝ่ายมาเข้าร่วมวังนภาหรอก!
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ความคิดในหัวของหวางเฟยเซวียน หาไม่แล้วเขาคงต้องรู้สึกเอือมระอากับความสิ้นคิดของนางแน่นอน นับว่านางตื้นเขินเกินไปแล้วจริงๆ
หลังกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนจบคำ เซี่ยวยี่ก็จากไปทันที
“ศิษย์พี่หวังพี…สระวิญญาณที่ว่ามันคืออะไรเหรอ?”
หลังจากเซียวยี่จากไป ต้วนหลิงเทียนก็มองถามหวังพี
หวังพีแม้จะอยู่ในรูปลักษณ์ชายหนุ่ม แต่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เยาว์วัยอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นทั่วร่างของหวังพียังแผ่กลิ่นอายพลังขอบเขตอริยะเซียนออกมา นั่นหมายความว่าหวังพีสมควรบรรลุถึงขอบเขตพลังอริยะเซียนแน่นอนแล้ว…
“เจ้ามิรู้จักสระวิญญาณงั้นเหรอ?”
หวังพีที่แต่เดิมกำลังมองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา พอได้ยินวาจาถามไถ่ประโยคนี้ มันก็ถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ ถึงขั้นรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง..
.ชายหนุ่มเบื้องหน้าของมันกลับไม่รู้จริงๆว่าตัวเองได้รับของดีเพียงใด?
อีก 9 คนที่เหลือไม่เว้นหวางเฟยเซวียนก็หันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกๆ ทำราวกับพวกมันเห็นตัวประหลาดหลุดกรง…
นี่เจ้าเป็นคนบ้านนอก ที่พึ่งออกมาจากหลังเขารึยังไง?
ตอนที่ 1,721 : ความอิจฉาของศิษย์วังนภา
“สระวิญญาณเป็นสถานที่อันประเสริฐนัก…มันเสมือน ‘ตาน้ำพุ’ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3…ทุกๆ 6 เดือนมันจะควบแน่นพลังวิญญาณฟ้าดินได้มากพอจนกลายเป็นสระน้ำ! หากเจ้าสามารถบ่มเพาะพลังในนั้น เรียกว่าใช้พยายามครึ่งเดียวหากแต่บังเกิดผลลำเร็จเป็น 2 เท่า! แน่นอนว่าสระวิญญาณสามารถช่วยเหลือได้แต่ผู้ที่พลังฝึกปรือยังไม่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น หากบรรลุด่านพลังอริยะเซียนขึ้นไปแล้ว เกรงว่าคงแทบไม่เห็นผลและเป็นการสิ้นเปลืองไปอย่างเปล่าประโยชน์…ทำให้ปกติแล้วสระวิญญาณของแต่ละวัง จะไม่อนุญาตให้ตัวตนด่านพลังอริยะเซียนเข้าไปใช้…”
หวังพีค่อยๆกล่าวอธิบายอย่างอดทน
“แน่นอนว่าแม้ผู้ที่บรรลุด่านพลังอริยะเซียนจะไม่ช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าสระวิญญาณ…ทว่าผู้ที่ยังไม่บรรลุด่านพลังอริยะเซียนมิว่าผู้ใดล้วนอยากเข้าสระวิญญาณทั้งสิ้น…เพราะตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเรามีสระวิญญาณเพียงแค่ 4 แห่ง และแยกย้ายกันไปในแต่ละวังของใครของมัน ทำให้ ทุกๆ 6 เดือนในแต่ละวังจะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้เข้าไปในสระวิญญาณ..ปกติแล้วหากไม่ใช่สุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของวัง ย่อมไม่มีโอกาสได้เข้าสระวิญญาณ”
หวังพียังคงกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง
‘สระน้ำที่เกิดจากสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 ที่ควบแน่นพลังวิญญาณฟ้าดินจนกลั่นตัวเป็นของเหลว ที่สั่งสมมาเป็นเวลา 6 เดือน?’
ได้ยินคำอธิบายของหวังพี สองตาต้วนหลิงเทียนถึงกับส่องประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจะเลิศล้ำเหนือสภาพแวดล้อมทั่วไป แต่นับว่ายังขาดอยู่บ้างหากจะเทียบกับสระวิญญาณที่เกิดจากการกลั่นตัวของพลังวิญญาณฟ้าดินในสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3!
‘ข้ายังห่วงอยู่เลยว่าอีกนานแค่ไหนข้าถึงจะบรรลุเซียนขัดเกลา…ไม่คิดเลยว่ารองจ้าววังนภาเซียวยี่จะมอบโอกาสอันดีนี้ให้ข้า…บางทีการเข้าไปใช้สระวิญญาณอะไรนั่นอาจจะทำให้ข้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้ในครั้งเดียว!’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมตื่นเต้นยินดีเป็นธรรมดา
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหวางเฟยเซวียนและคนอื่นๆถึงได้มองเขาด้วยสายตาอิจฉาแบบนี้ ที่แท้นับว่ายากเย็นนักที่จะมีโอกาสได้เข้าสระวิญญาณ!
“ฮึ่ย! เจ้านับว่าโชคดีจริงๆ สระวิญญาณนั้นจักเกิดขึ้นจากสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 เท่านั้น…ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีแค่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้นที่ครอบครองสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3…”
หวางเฟยเซวียนมองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา
อย่างไรก็ตามพอนางกล่าวจบคำ คล้ายนางนึกอะไรได้ขึ้น นางพลันหยีตาเล็กน้อย ก่อนที่จะชักสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแลดูออดอ้อนออกมาทันที กระทั่งยังโน้มตัวเข้าหาต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าว “เอาเช่นนี้ดีไหม…หากเจ้ามอบสิทธิ์ในการเข้าสระวิญญาณครั้งนี้ให้ข้า ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าจีบข้า…เป็นไรดีหรือไม่?”
หากเป็นคนธรรมดา เรียกว่าคงตื่นเต้นยินดีไม่น้อยหลังได้ยินวาจาของหวางเฟยเซวียน
แต่น่าเสียดาย สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ให้มีร้อยหวางเฟยเซียนก็สู้หนึ่งสระวิญญาณไม่ได้…
คู่หมั้นทั้งสองของเขาไม่ว่าจะเค่อเอ๋อหรือลี่เฟยกระทั่งสตรีคนรักอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ ก็ไม่มีใครด้อยไปกว่านางสักนิด!
“ไม่สนใจ”
ด้วยเหตุนี้แม้จะเผชิญกับท่าทางยั่วยวนของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
หวางเฟยเซวียนย่อมไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธออกมาแทบทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดแบบนี้ ทำให้นางถึงกับทำหน้างุนงงสองตาปริบๆ ใจคิดไปว่าหรือที่แท้เสน่ห์ของนางจะใช้การไม่ได้แล้วจริงๆ
‘ไม่จริง! ไม่ใช่ข้าไม่ดี…แต่เป็นมันที่ผิดปกติ! มันไม่ได้ชอบอิสตรีแน่ๆ!!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่ขนลุกซู่ขึ้นมา
โชคดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ล่วงรู้ความคิดในหัวของหวางเฟยเซวียน หาไม่แล้วเขาคงได้ตบนางจังๆสักฉาดข้อหาที่กล้าสงสัยรสนิยมทางเพศของเขา!
“ไปกันเถอะ! ข้าจะพาพวกเจ้าทุกคนไปรับป้ายประจำตัว และนับตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าจะเป็นศิษย์ของวังนภา…การอยู่ในวังนภานั้น…หมายความว่าเจ้าอาจจะต้องประชันขันแข่งกับศิษย์อีก 3 วังที่เหลือแม้กระทั่งยังต้องแข่งขันกับศิษย์ในวังนภาด้วยกัน…แต่ข้าอยากขอให้พวกเจ้าจงจดจำเอาไว้ ว่าต่อให้ภายในพวกเราจะแข่งขันกันเพียงใด แต่ยามออกไปภายนอกให้พึงระลึกเอาไว้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นคนตำหนักฟ้าลิ่วล่อง พวกเจ้าต้องรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว”
หวังพีกล่าวออกเสียงเข้ม ก่อนที่จะค่อยๆเหินร่างขึ้นฟ้า หมายนำต้วนหลิงเทียนและทุกคนไปรับสิ่งของด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็พยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะติดตามมันไป
ภายใต้การนำของหวังพี ไม่นานทุกคนก็ได้รับป้ายประจำตัว ที่มีไว้แสดงอัตลักษณ์ของตัวเอง
หลังจากที่พาทุกคนไปรับป้ายประจำตัวแล้ว หวังพียังพาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆไปยังที่พักอาศัยเช่นกัน เป็นบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่าง ที่ตั้งเรียงรายกันเป็นสัดส่วนบนพื้นที่ราบกลางเขา มองไปก็คล้ายหมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่ง
“หลิงเทียน สระวิญญาณนั้นจะเปิดอีกครั้ง ในอีก 10 วันหลังจากนี้…พอถึงเวลาแล้วข้าจะมาหาเจ้า”
หลังจากที่จัดแจงให้หวางเฟยเซวียนและคนอื่นๆเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว หวังพีก็พาต้วนหลิงเทียนมาส่งที่บ้านว่างเป็นคนสุดท้าย พร้อมกล่าวกำชับออกไป
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนขานรับด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะมองส่งหวังพีจนเดินจากไปลับตา ก่อนที่เขาจะเดินตัดลานว่าง หมายเข้าบ้าน
ทว่าในขณะที่เดินตัดลานกว้างมานั้น ต้วนหลิงเทียนพลันหยุดลงกลางลาน เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งที่ดังขึ้นด้านหลังก่อนที่จะได้ทันเข้าประตูบ้าน
และเพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้านี้เขาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นใคร
เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ทั้งจังหวะก้าวไม่ยาว สมควรเป็นฝีเท้าของอิสตรี…
และอิสตรีที่จะมาหาเขาในตอนนี้ ก็เห็นจะมีอยู่แค่คนเดียว…ศิษย์คฤหาสน์ดาบทรราช หวางเฟยเซวียน
“แม่นางหวาง ท่านมาหาข้าแบบนี้ มีธุระอะไรกับข้าอีกงั้นหรือ?”
เมื่อหันกลับมาเห็นร่างสตรีที่คาดคิดไว้ ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ถึงแม้นางจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด แต่การมาวอแวเขาไม่เลิก ก็ทำให้เขารู้สึกรำคาญไม่น้อย
“เจ้าว่าราคามาเถอะ”
หวางเฟยเซวียนม้วนปลายผมเล่นป้อยๆ ค่อยกล่าวถามขณะใช้มือสางผมไปทัดหู ยังเอียงศีรษะเผยให้เห็นลำคอเล็กๆอันขาวกระจ่าง…
“ราคาอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
“ก็สระวิญญาณไง”
หวางเฟยเซวียนยักคิ้วงึกๆกล่าวตอบ
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็เข้าใจเรื่องราวทันที ที่แท้นางอยากเข้าสระวิญญาณ เลยคิดจะมาซื้อสิทธิ์นั้นจากเขา
“แม่นางหวาง ข้าเองก็ต้องการเข้าใช้สระวิญญาณเช่นกัน…หากไม่มีอะไรแล้วท่านไปเถอะ ข้าไม่ส่งนะ”
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขึ้นเล็กน้อย กล่าวออกเสียงแข็ง
หวางเฟยเซวียนไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะคุยด้วยยากเย็นขนาดนี้ อีกฝ่ายยังไม่ไว้หน้านางสักนิด ทำให้นางโพล่งไปด้วยความไม่พอใจ “หลิงเทียน! เจ้ามันทึ่ม!!”
ทันทีที่นางกล่าวจบนางก็สะบัดหน้าก้าวอาดๆกลับไปด้วยความไม่พอใจทันที
ทึ่ม?
ได้ยินวาจานี้ของหวางเฟยเซวียน ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขากลายเป็นเจ้าทึ่ม เพราะไม่ขายสิทธิ์เข้าสระวิญญาณให้นาง?
คิดใช้ท่าทีครอบงำเอาแต่ใจเช่นนั้นซื้อของ มีที่ไหนกัน!?
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาอย่างระอา เลิกสนใจอะไรหวางเฟยเซวียน เดินเข้าบ้านและไปปิดประตูหน้าต่างค่อยวูบร่างเข้าชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
ด้านนอก 10 วัน บนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เท่ากับ 50 วัน เวลาเกือบ 2 เดือนย่อมมากพอให้ด่านพลังต้วนหลิงเทียนกระเตื้อง และนั่นจะทำให้การเข้าสระวิญญาณเกิดประโยชน์สูงสุด!
‘ด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นขนาดนั้นในสระวิญญาณ ตราบใดที่ด่านพลังฝึกปรือข้าเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงเซียนขัดเกลาในนั้น!’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็บ่มเพาะพลังอย่างตั้งใจ
ต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะอย่างตั้งใจ ย่อมไม่รู้เลยว่าในโลกภายนอก ช่วงเวลา 10 วันก่อนสระวิญญาณจะเปิดมันเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง…ข่าวเรื่องเขาจะได้เข้าสระวิญญาณแพร่ออกไปเรียบร้อยแล้ว!
สระวิญญาณของวังนภานั้น เป็นอะไรที่พิเศษนัก
ตราบใดที่เป็นศิษย์วังนภาที่ด่านพลังยังไม่บรรลุขอบเขตอริยะเซียนไม่ว่าใครก็อยากเข้าไปในสระวิญญาณทั้งสิ้น!
ด้วยเหตุนี้สิทธิ์ที่จะเข้าใช้สระวิญญาณทุกๆ 6 เดือน จะถูกตัดสินจากการประลองฝีมือ
ครั้งนี้หลายต่อหลายคนก็ฝึกซ้อมบ่มเพาะพลังกันอย่างตั้งใจ หมายประลองชิงสิทธิ์เข้าสระทั้งสิ้น แต่พวกมันไม่คิดเลยว่าก่อนสระเปิด 10 วันอยู่ดีๆ จะมีใครก็ไม่รู้โผล่มาและชิงสิทธิ์เข้าสระวิญญาณไปโดยที่พวกมันไม่ทันได้ประลองอะไร! ที่สำคัญคนที่ได้สิทธิ์ไปยังเป็นแค่ศิษย์เข้าใหม่อีกด้วย!
จังหวะนี้ทุกผู้คนล้วนแต่ไม่พอใจ ทั้งบังเกิดความคับข้องไม่ยินยอม
“บ้าจริง! มันเป็นแค่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าวังนภามาไม่ใช่รึไง! ไฉนไม่ทันทำอะไรก็ได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณเลยเล่า?!”
ศิษย์วังนภาหลายคนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอิจฉา ทั้งไม่ยินยอม
“เห็นว่ามันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ทั้ง 37 คนที่บรรลุขอบเขตเซียนโดยมีอายุต่ำกว่า 40 ปี…รองจ้าววังนภาอยากได้ตัวมัน จึงชักชวนมันเข้าร่วมวังนภาของเรา อีกทั้งยังให้สิทธิ์นี้แก่มัน”
“ที่แท้เป็นการตัดสินใจของรองจ้าววังหรอกหรือ?”
“ฮึ่ม! รองจ้าววังตัดสินใจแล้วอย่างไร? มันก็แค่ลูกเจี๊ยบอ่อนหัดที่พึ่งเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับ! มันไม่รู้พลังฝีมือของตัวรึไง ถึงได้กล้าตัดหน้าผู้อื่นรับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณไปเช่นนี้ ข้าไม่ยอม!”
“แล้วจะไปทำอะไรได้ หรือเจ้าคิดไปชิงสิทธิ์เข้าสระจากมัน? ข้าต้องขอเตือนเจ้าไว้อีกครั้งเลยนะ คราวนี้เป็นการตัดสินใจของรองจ้าววัง เจ้าจะทุบตีมันอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เว้นเสียแต่มันจะสละสิทธิ์นั่นด้วยตัวเอง หาไม่แล้วเกิดเจ้าไปทุบตีมันแล้วชิงสิทธิ์มา เกรงว่าจะยั่วโทสะท่านรองจ้าววังเสียเปล่าๆ…มิใช่เรื่องดีที่จะไประบายโทสะกับมัน”
“ฮึ่ม…ในเมื่อรองจ้าววังกล่าวแล้วไหนเลยข้าจะไปกล้าแย่งชิงอะไรได้…ข้าไม่คิดชิงสิทธิ์ของมันแต่ก็มิได้เป็นปัญหาอะไรมิใช่หรือหากข้าคิดไปประลองวัดฝีมือกับมันดู? อยากรู้นักว่าพรสวรรค์มันจะเลิศล้ำเพียงใด รองจ้าววังถึงทำดีกับมันนัก!”
“เรื่องนี้เจ้ายังคิดได้…ร้ายจริงๆ!”
……
วาจาทำนองนี้ดังขึ้นไปทั่ววังนภา
ศิษย์วังนภาหลายคนที่บรรลุด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญกระทั่งขั้นสูงสุด ทั้งหลายยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสนใจเรื่องนี้ และอยากเห็นนักว่าหลิงเทียนที่ได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณ ที่แท้มีความสามารถร้ายกาจเพียงใด
หลังจากบ่มเพาะพลังไปเป็นเวลากว่าเดือนบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าด่านพลังของเขากระเตื้องขึ้นมาไม่น้อย
“ใครกัน?”
เสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นด้านนอกนั้น แม้แต่ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติยังได้ยิน ส่วนเรื่องที่ทำไมเขาไม่ได้ยินเป็นเสียงยืดยาวเพราะความต่างของเวลานั้น ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกมาแล้วว่านี่เป็นพลังอำนาจลี้ลับของตัวเจดีย์..
“เอ่อ…หากพวกเจ้าจะให้ข้าตัดสินใจ…ข้าว่าบุกเข้าไปเลยเถอะ! รอตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไรหรอก!!”
“นั่นสิ อีกไม่กี่วันศิษย์พี่หวังพีก็จะมาพามันไปสระวิญญาณแล้ว ถึงตอนนั้นน่ากลัวพวกเราจะไม่มีเวลาให้สั่งสอนบทเรียนมันนะ!”
“ถูกแล้ว! ยามมันเข้าไปดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในสระวิญญาณ ความเจ็บปวดอันใดมันคงมิรู้สึกหรอก…กระทั่งเผลอๆออกมาอาจจะหยิ่งผยองกว่าเดิม!!”
……
ทุกเสียงย่อมดังชัดเจนในหูของต้วนหลิงเทียน
ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยากว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ที่แท้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น เป็นศิษย์วังนภาไม่พอใจเรื่องที่อยู่ๆเขาก็โผล่มาตัดหน้าชิงสิทธิ์ไปดื้อๆ ทำให้พวกมันมารวมตัวกันหน้าบ้านหมายสั่งสอนบทเรียนให้เขา
“มาสั่งสอนข้างั้นเหรอ?”
ด้วยความที่มีเพียงตัวตนที่ยังไม่บรรลุอริยะเซียนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าใช้สระวิญญาณ เช่นนั้นศิษย์ที่มาออกันหน้าประตูด้วยความไม่พอใจหมายทุบตีเขาให้หนำ ก็ไม่มีใครบรรลุอริยะเซียนสักคน…พอนึกถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
เมื่อทราบแล้วว่านี่มันเรื่องอะไร ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน
ทันทีที่เปิดประตูออกมา ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นศิษย์ไม่กี่คนที่กำลังเดินเข้ามาหมายเปิดประตูบ้านเขา ส่วนที่เหลือก็ยืนออกันอยู่ในลาน..
ตอนที่ 1,722 : กล้อนผม!
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย มากันมากมายเช่นนี้มีอะไรจะชี้แนะข้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองไปยังเหล่าศิษย์วังนภาที่มารวมตัวกันหน้าประตูบ้านโดยเฉพาะ 3 คนที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด ค่อยกล่าวถามออกมาพร้อมยกยิ้มที่มุมปากบางๆ
“เจ้านั่นน่ะหรอ หลิงเทียน ที่ว่า?”
ตอนนี้เองเหล่าศิษย์ที่ออกันอยู่ในลานก็มองพินิจต้วนหลิงเทียนกันใหญ่ หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปข้างๆ กล่าวถามออกด้วยสงสัย “ไฉนยังแลดูเยาว์นัก?”
“เยาว์แค่หน้าตายังไม่เท่าไหร่…แต่อายุที่แท้จริงก็ยังมิถึง 40 ปีที!”
“อายุยังไม่ถึง 40 ปี แต่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว…พรสวรรค์จะเลิศล้ำอะไรขนาดนี้!?”
“ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งวังนภาของเรา แต่ผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางก่อนอายุ 40 ปี นับว่ามีน้อยคนนัก…และนั่นล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นทั้งสิ้น! ตอนนี้ยังมีมันเพิ่มมาอีกคน!!”
“ฮึ่ม! ท่านรองจ้าววังคงให้ความสำคัญกับมันไม่น้อย มันถึงกับได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณทั้งๆที่พึ่งเข้าร่วมวังนภา!”
……
เหล่าศิษย์วังนภากล่าวซุบซิบกันดังระงม หากแต่แววตาของพวกมันยังไม่ละออกจากร่างของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวต้วนหลิงเทียนนัก ว่าไฉนถึงได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณทันทีที่เข้าร่วมกับวังนภาแบบนี้
“เจ้าน่ะหรือคือหลิงเทียน?”
ร่างชาย 3 คนที่เดินเข้ามาเจียนถึงหน้าประตูและคิดจะเปิดประตูบุกเข้ามา ก้าวถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัวทันทีเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเปิดประตูแล้วก้าวเดินออกมาจากบ้าน พอพวกมันคืนสติก็เร่งกล่าวถามออกมาเพื่อยืนยัน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับกล่าวออกเสียงเรียบ หากแต่แม้จะแลดูเฉยๆทว่าลึกลงไปในแววตากลับเผยประกายไม่พอใจ
ไอพวกนี้มันกล้าคิดบุกเข้าไป!
มารยาทต่ำทรามนัก!
“ศิษย์น้องหลิงเทียน ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเป็นสุดยอดฝีมือในบรรดาอัจฉริยะที่บรรลุเซียนก่อนอายุ 40 ทั้ง 37 คนที่เข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับเราครั้งนี้…วันนี้ข้าจึงคิดมาประลองชี้แนะกับเจ้าสักครา เพื่อรับทราบพลังฝีมือสูงส่งของเจ้า! ว่าแต่เจ้ากล้ายอมรับคำท้าของข้าหรือไม่?”
1 ในชายทั้ง 3 ก้าวออกไปยังที่ว่างเพื่อเว้นระยะ ค่อยหันมาเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน ประสานมือพร้อมกล่าวเสียงดังฟังชัด
มันเป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา หากทว่าสายตาสีหน้ายามมันมองต้วนหลิงเทียนนับว่าหยิ่งผยองลำพองนัก คล้ายจะประกาศว่ามันคือเทพสงครามไร้พ่าย!
แน่นอนว่าเบื้องหลังท่าทางปานเทพสงครามนี้ คือการจงใจยั่วยุท้าทายอย่างเห็นได้ชัด
“ประลองชี้แนะ?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น
“ใช่!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ ค่อยกล่าวสืบต่อ “เจ้ามิต้องกังวลไป พลังฝึกปรือของข้าเองก็อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…ข้าเองก็ได้ยินมาว่าเจ้าเองก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางเช่นกัน เช่นนั้นประลองกับข้าเจ้าก็มิได้มีใดเสียเปรียบใช่หรือไม่?”
ได้ยินคำกล่าวของชายวัยกลางคนนี้ แม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่ทันพูดอะไร ทว่าลูกตาของศิษย์วังนภาคนอื่นกลับเบิกกว้างทั้งกระพริบปริบๆ
สำหรับพวกมันแล้วชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร
และแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แต่มันก็อยู่ในด่านพลังนี้มานานหลายปี กระทั่งอยู่ในจุดที่อาจบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ทุกเมื่อ…
พลังฝีมือของมัน หากนับกันในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง น่ากลัวว่าจะเป็นระดับแนวหน้า ร้ายกาจอย่างหาตัวจับยาก
เช่นนั้นศิษย์วังนภาคนอื่นๆจึงอดไม่ได้ที่จะเผยความอึ้งออกมายามที่ได้ยินวาจานี้ของมัน
เพราะในสายตาของทุกคน แม้จะอยู่ในด่านพลังเดียวกัน แต่ไหนเลยจะไม่มีความเหลื่อมล้ำได้เปรียบ?! ชายวัยกลางคนเรียกว่าได้เปรียบเต็มประตู!!
มุมหนึ่งบริเวณหน้าประตูบ้านอันไร้ผู้ใดสังเกตเห็น ปรากฏเงาร่างงดงามมากเสน่ห์ยืนแอบอยู่..
เงาร่างนี้นับว่าดูดีไม่เบารูปร่างยังสมส่วนยวนยั่วปานปีศาจ
และตอนนี้นางกำลังมองต้วนหลิงเทียนที่กำลังเผชิญหน้ากับศิษย์วังนภาด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะเชิดหน้าเผยอปากกล่าวอย่างสะใจ “ฮึ! ของขวัญที่ข้าจัดให้รอบนี้เจ้าชอบหรือไม่เล่า…ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่ให้สิทธิ์ข้าเข้าสระวิญญาณเองนะ!”
ฟังจากวาจาที่นางกล่าวพึมพำแล้ว ที่แท้เงาร่างสตรีที่ซ่อนตัวอยู่นี้กลับเป็น หวางเฟยเซวียน หลานสาวคนดีของผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราช!
ตอนแรกแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณจากรองจ้าววัง ก็ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจอะไรมากมาย
อย่างไรก็ตามด้วยการยั่วยุกระตุ้นทั้งใส่ไฟของหวางเฟยเซวียน ยิ่งมายิ่งทำให้ไฟโทสะและความไม่ยินยอมในใจศิษย์ทั้งหลายลุกฮือขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายพวกมันถึงขั้นรวมตัวกันมาบ้านต้วนหลิงเทียนแบบนี้!
“อ่า ข้าไม่เสียเปรียบ”
แววตาประหลาดใจของศิษย์วังนภา ต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นชัด แต่เขาไม่ได้แยแสอะไร
ดั่งคำที่ว่า ‘ผู้คนล้วนมึนเมา เพียงเราที่สร่าง’ ตอนนี้เขามีความรู้สึกเช่นนี้
(คนอื่นไม่รู้เรื่อง มีเพียงตัวเองที่กระจ่าง)
อันที่จริงทันทีที่เขาเดินออกมาจากประตูบ้าน สองตาเขาก็ใช้ออกด้วยเนตรเทวะที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมา ตรวจสอบด่านพลังฝึกปรือของชายทั้ง 3 คนที่หมายบุกเข้าบ้านเขาเรียบร้อยแล้ว…พลังฝึกปรือของพวกมันล้วนบรรลุถึงแค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น
ไม่ต้องกล่าวถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแค่ 3 คน ต่อให้มีนับสิบนับร้อยก็ไม่พอมือต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ!
เช่นนั้นหลังจากที่ได้ยินคำของมัน ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกกล่าวออกไปว่าไม่เสียเปรียบ
“เช่นนั้นศิษย์น้องหลิงเทียน เชิญเจ้าลงมือป้อนกระบวนท่าก่อนเถอะ…”
ศิษย์ที่เผชิญหน้า พลันผายมือพร้อมกล่าวคำกับต้วนหลิงเทียนด้วยความมั่นใจเต็มพิกัด เห็นชัดว่ามันไม่กลัวที่จะให้ต้วนหลิงเทียนลงมือก่อน ในเมื่อมันคิดว่าจะอย่างไรมันก็ต้องชนะ!
“ศิษย์พี่ ท่านแน่ใจเหรอว่าจะให้ข้าลงมือก่อน?”
เผชิญหน้ากับการยั่วยุท้าทายของศิษย์วังนภาเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนเพียงหยีตากล่าวถามเสียงเรียบ
“ย่อมแน่! ข้าหวงจี้กล่าวคำไหนคำนั้น!!”
ศิษย์วังนภากล่าวคำเป็นมั่นเหมาะ
“เช่นนั้น ศิษย์พี่โปรดชี้แนะด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆประสานมือทั้งโค้งเบาๆ และพริบตานั้นเองแววตาสบายๆของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมกล้า!
ทันใดนั้นทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเรืองแสงสีทองออกมาจางๆ ร่างเขาโดดเข้าใส่หวงจี้ฉับไวปานกระต่ายเปรียว!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลงมือเต็มที่
ด้วยพลังทั้งหมดของเขา หากใช้ออกน่ากลัวหวงจี้คงตายไม่ทันรู้ตัว กระทั่งคงไม่มีใครในที่นี้มองทัน…
แต่นั่นมันรังแกผู้คนมากเกินไป…
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาเร่งเร้าพลังทั้งหมด ย่อมมิอาจปิดบังความพิเศษของปราณสุริยันแรกกำเนิด คราวนี้ไม่พ้นทุกคนต้องคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับลี่เฟิงแน่นอน ถึงแม้ทักษะแปลงโฉมเขาจะไร้ที่ติก็ตาม
ถึงแม้เขาจะไม่กลัวปัญหาที่จะตามมาหลังเรื่องราวเปิดเผย แต่หากเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยง
และต่อให้ต้องเปิดเผยเรื่องราวนี้จริงๆ ก็ขอให้เป็นวันหลังไม่ใช่ช่วงนี้
สำหรับเรื่องที่เขากล่าวบอกหวางเฟยเซวียนว่าเป็นสหายของลี่เฟิงนั้น เขารู้แต่แรกแล้วว่าต้องไม่มีใครเชื่อ และก็เป็นดั่งคาด มันไม่มีใครเชื่อเขาจริงๆ
แต่ถ้าเขาใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดจนปรากฏแสงสีทองเรืองสว่างจ้าขึ้นมาเหมือนลี่เฟิงจริงๆ เกรงว่าต้องมีคนพยายามเชื่อมโยงเขากับลี่เฟิงเข้าด้วยกันแน่นอน! เพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา มันแตกต่างจากปราณแรกกำเนิดของผู้อื่นมากเกินไป
ปราณแรกกำเนิดของคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วก็ไร้คุณสมบัติอะไร เป็นปราณแรกกำเนิดธรรมดาสามัญ
“มาได้ดี!!”
เผชิญหน้าต้วนหลิงเทียนที่โจนร่างมาปานพยคฆ์ลงภู หวงจี้หรี่ตาเล็กหยี เผยประกายเย็นเยียบ!
ครู่ต่อมาปราณแรกกำเนิดทั่วร่างพลันปะทุออก ยังมีลักษณะคล้ายเปลวเพลิงลุกโชนเร่าๆ มองไปคล้ายปราณแรกกำเนิดของมันจะมีคุณสมบัติของไฟแฝงเร้นอยู่!
“หัตถ์อัคคีคลุมฟ้า!!”
ทันใดนั้นเสียงหวงจี้คำรามออก มันสืบเท้าแยกออกก่อนที่สองมือจะม้วนวนราวกับคลึงปั้นวัตถุทรงกลม บังเกิดเปลวเพลิงกองหนึ่งผนึกควบแน่นตรงใจกลาง ค่อยตบฟาดซัดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด! เปลวเพลิงที่ผนึกควบพลันพวยพุ่งออกไปก่อลักษณ์เป็นฝ่ามือมหึมา ปรี่พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยสภาวะดุดันแกร่งกล้า!
ฝ่ามือมหึมาดั่งกล่าว มองไปเห็นชัดว่าคือมวลเพลิงอันทรงพลัง! พุ่งแหวกความว่างสะท้านไปในอากาศด้วยความเร็วอัศจรรย์!!
พลังฝ่ามืออัคคีน่ากลัวผ่านพ้นไปที่ใดผลาญเผาหมดสิ้น! กลิ่นไหม้เหม็นคลุ้งในอากาศ!!
ตอนนี้เองมุมปากของหวงจี้พลันเผยรอยยิ้มแสยะเย้ยหยันออกมา คล้ายแลเห็นฉากต้วนหลิงเทียนที่มิอาจหลบหลีกได้ทันกาล ถูกพลังฝ่ามือของมันซัดกระแทกทำร้าย ชุดไหม้แพ้พ่ายเวทนา!
ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะไม่ได้ใช้พลังเต็มสิบส่วน หากแต่ก็จ่ายออกไปไม่ต่ำกว่าแปดส่วน! ต่อให้ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ด่านพลังมั่นคงดีพร้อม ก็ยากที่จะต้านทานรับไหว!!
ในสายตาของมันด้วยอายุของต้วนหลิงเทียนที่มิทันถึง 40 ขวบปี ถึงแม้จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แต่คงต้องพึ่งบรรลุได้ไม่ทันไร ด่านพลังยังคงไม่มั่นคง คนไม่ทันปรับตัวได้ชัด พลังฝีมือที่ใช้ออกย่อมมีจำกัด!
ทว่าพริบตาต่อมามันก็พบว่าอยู่ดีๆร่างต้วนหลิงเทียนที่กระโจนมาเจียนปะทะกับพลังฝ่ามือของมัน กลับอันตรธานสาบสูญไปจากสายตา! พลังฝ่ามือของมันจึงทำได้แค่ซัดทำร้ายอากาศว่างเปล่า ยิ้มแสยะเย้ยบนใบหน้าถึงกับหดลงทันใด คนร่ำร้องด้วยไม่เข้าใจ “เป็นไปไม่ได้!”
“หวงจี้ระวัง! มันอยู่ข้างหลังเจ้าแล้ว!!”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงกล่าวเตือนด้วยความตื่นตระหนกโพลงดังขึ้น
เมื่อหวงจี้ได้ยินและตระหนกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็คิดจะหันกลับมารับมือ ทว่าทันใดนั้นร่างมันจำต้องชะงักค้างแน่นิ่ง เพราะมันสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบเสียดแทงขุมหนึ่งจี้ไว้ที่ท้ายทอย บันดาลให้ร่างของมันนิ่งค้างปานถูกแช่แข็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้องคุลี
หน้าผากพลันปรากฏเหงื่อเย็นเม็ดเขื่องผุดซึมร่วงผล็อยๆลงมาไม่ขาด แผ่นหลังยังชุ่มโชกปานวิ่งฝ่าห่าฝน
ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าไฉนอีกฝ่ายไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังมันได้!
กล่าวอีกอย่างมันไม่อาจตามความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ทัน!
‘ไม่จริงน่า เรื่องพรรค์นี้มันจักเป็นไปได้อย่างไร เจ้าหนูนี่มันยังไม่ทัน 40 เลยใช่หรือ ไฉนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้เล่า?’
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา กระทั่งหวงจี้ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอ
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตำหนักฟ้าลี้ลับเอง ก็ไม่เคยมีอัจฉริยะที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ก่อนอายุ 40 ปีเลยสักคน
‘หากมันมิใช่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แล้วไฉนมันถึงรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้…’
หวงจี้รู้สึกงุนงง จนรู้สึกเสมือนหนังศีรษะชาด้าน
“ฮ่าๆๆๆ…”
จนกระทั่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ลั่นดังขึ้นไปทั่วลาน และสัมผัสได้ว่าความเย็นเยียบที่จี้ลงท้ายทอยหายไป หวงจี้ค่อยรู้สึกตัว แม้จะสงสัยไม่น้อยว่าไฉนศีรษะของมันยังรู้สึกเย็นวาบๆก็ตามที…
และตอนนี้เองหวงจี้ก็เลือกที่จะหันหลังกลับมา เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่ยืนยิ้มบางๆหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากมันเท่าไหร่
หน้าหวงจี้จมลงโดยพลัน
อย่างไรก็ตามแม้ใจไม่ยินยอมเพียงใด แต่มันก็รู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย
และไม่นานหวงจี้ก็พบว่าคล้ายบรรยากาศในลานมันผิดแปลกไปไม่น้อย ไฉนผู้คนถึงได้มองมาทางมันทั้งหัวเราะกัน? แล้วสายตานั่นมันอะไร…ไฉนแลคล้ายเห็นมันเป็นตัวลก?
ยิ่งไปกว่านั้นทุกสายตาคล้ายจะเพ่งเล็งไปที่ศีรษะของมัน!
หวงจี้พลันยกมือขึ้นจับศีรษะอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นสองตามันก็เบิกกว้างปากอ้าค้าง มือที่จับศีรษะพลันลูบๆตบๆไปมาด้วยความเหรอหรา
บัดนี้หวงจี้พบแล้วว่าเส้นผมบนหัวที่เคยดกดำกลับไม่มีอยู่…ไม่มีแม้แต่ตอ!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนมันรู้สึกเย็นวาบๆไปทั่วศีรษะ ที่แท้บนหัวกลับไร้เส้นผม…กลายเป็นคนหัวล้านไปแล้ว!
หวงจี้ไม่ได้มีโทสะหรือรู้สึกอับอายขายหน้าแต่อย่างไรที่มันถูกกล้อนผมจนหัวโล้น อันที่จริงมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณอีกฝ่าย! เพราะหากอีกฝ่ายลงมือหนักกว่านี้เพียงแค่เล็กน้อย มิใช่หนังศีรษะของมันจะถูกถลกออกมาเป็นแผ่นเลยรึไง?
“ขอบคุณศิษย์น้องที่เมตตา…”
คิดถึงจุดนี้หน้าหวงจี้พลันถอดสีกลายเป็นซีดเซียว เร่งประสานมือกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันหลังพุ่งร่างย่ำอากาศหนีหายขึ้นไปบนฟ้า จากไปด้วยความอับอาย
“ฮึ! เจ้าบ้านั่นไม่ได้เรื่องเลย!”
เงาที่ซ่อนตัวอยู่ไกลห่างในที่สุดก็เผยตัวออกมา และค่อยๆเดินเข้ามาในฝูงชน หัวเราะออกมาเสียงใสปานระฆังแก้ว
ตอนแรกที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนเอาชนะหวงจี้ได้นางก็รู้สึกอารมร์เสียเพราะรู้สึกขัดใจไม่น้อย แต่พอเห็นหวงจี้ยกมือขึ้นลูบหัวล้านเลี่ยนนั่น นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา…
ตอนที่ 1,723 : กัวลู่
เมื่อเห็นว่าหวงจี้หนีจากไปพร้อมศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่ง สารรูปนับว่าน่าอับอายขายหน้าถึงขีดสุด ศิษย์วังนภาหลายคนรู้สึกหน้าม้านไปทันใด…
แน่นอนว่าศิษย์วังนภาส่วนใหญ่รู้พลังฝีมือของกันและกันดี!
อย่างเช่นศิษย์วังนภา 2 คนที่เดินมาพร้อมกับหวงจี้หมายบุกบ้านต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า ให้พวกมันลองถามตัวเองดูว่าสู้หวงจี้ได้ไหม ทั้งคู่ย่อมต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้! แต่ตอนนี้หวงจี้กลับแพ้พ่ายจากไปอับอาย พวกมันไหนเลยจะไม่ประสบชะตาอนาถได้หากทะลึ่งท้าตีท้าต่อยกับอีกฝ่าย?!
“อ๊ะ…จริงสิ ข้าลืมไปเลย ข้ามีเรื่องที่ต้องรีบไปจัดการนี่นา!!”
หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเองเบาๆทำท่าคล้ายนึกอะไรได้ออก ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเหินร่างแจ้นขึ้นไปบนฟ้าจากไปอย่างรีบร้อนคล้ายมีเรื่องด่วนจริงๆ…
เมื่อเห็นสหายที่เดินมาด้วยกันตีเนียนจากไปเช่นนี้ ศิษย์วังนภาที่เหลือย่อมไม่กล้าหาข้ออ้างโง่ๆจากไปเช่นนั้นอีกคน
ทว่ามันอาศัยความหน้าทน ยิ้มหวานให้ต้วนหลิงเทียนคราหนึ่ง ก่อนที่จะก้าวอาดๆไปรวมตัวกับฝูงชนที่มุงออกันโดยรอบก่อนที่จะทำเป็นไม่รู้เรื่องราว…
“หลิงเทียนผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ!”
“ข้ามิเห็นว่าเขาจักใช้ปราณแรกกำเนิดมากมายอันใดด้วยซ้ำ ไฉนถึงได้บรรลุถึงความเร็วอัศจรรย์เช่นนั้นได้เล่า!? เมื่อครู่ข้ามองตามไม่ทันเลยนะ!”
“ข้าเกรงว่าหลิงเทียนคนนี้คงไม่ใช่เซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้วล่ะ…เขาสมควรเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!!”
“อะไร!? เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! อายุยังไม่ถึง 40 ปีนี่นะ!?”
“ข้าก็คิดว่ามันเหลือเชื่อ…แต่ความจริงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเมื่อครู่ ต่อให้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ”
……
เหล่าศิษย์วังนภากล่าวกระซิบกันดังระงม สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งยังแฝงเร้นไปด้วยความยำเกรงทั้งนับถือ
ยังไม่ทัน 40 บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ?
น่ากลัวว่าต่อให้มองผ่านไปทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับก็มีไม่กี่คนที่เป็นเช่นนี้
และตัวตนเหล่านั้นล้วนเป็นบุคคลสำคัญของตำหนักฟ้าลี้ลับทั้งสิ้น ยังกลายเป็นยอดฝีมือที่มีอิทธิพลในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างสูง สุดท้ายก็เดินทางออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง มุ่งหน้าสู่ภูมิภาคเบื้องบนอันอุดมไปด้วยยอดฝีมือ…
‘เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!?’
หวางเฟยเซวียนที่เดินเข้ามาปะปนในฝูงชน พอคืนสติกลับมาหลังตกตะลึงจากวาจาผู้คนโดยรอบ สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที
“ยังมีศิษย์พี่คนไหนคิดชี้แนะข้าอีกบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มทั้งว่ายตามองกล่าวไปยังฝูงชนด้วยท่าทีสุภาพ ทำให้ศิษย์วังนภาหลายคนรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา หลายคนเลือกที่จะก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา…
เพราะสุดท้ายแล้วคงมีน้อยคนที่จะยังอารมณ์ดีอยู่ได้ หลังถูกผู้คนบุกมาปิดล้อมบ้านแบบนี้…เกิดอีกฝ่ายจำหน้าพวกมันไว้เพื่อมาหาเรื่องภายหลัง ไม่งานเข้าหรือ?
ด้วยเนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนพบว่าศิษย์วังนภาที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ในที่นี้ เพียงมีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น และพวกมันก็มีอยู่ด้วยกันแค่ 4 คน…
สำหรับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนั้น ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
ศิษย์วังนภาที่บรรลุด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ย่อมไม่มีใครคิดมาหาเรื่องหรือสร้างปัญหาอะไรให้ต้วนหลิงเทียน เพราะนั่นเสมือนการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า…กระทั่งกริ่งเกรงว่าอาจจะทำให้รองจ้าววังไม่พอใจขึ้นมาได้!
และต่อให้พวกมันมา ทว่าอาศัยด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เอาชนะหลิงเทียน ศิษย์เข้าใหม่ที่มีอายุไม่ถึง 40 ปี เรื่องพรรค์นี้มีประโยชน์อะไร? เอาไปใช้โอ้อวดได้หรือ? น่ากลัวจะถูกผู้คนรุมประนามเสียมากกว่า!!
ด้วยเหตุนี้ในบรรดาศิษย์วังนภาที่พากันมาหาต้วนหลิงเทียนนั้น เต็มที่ก็มีแค่เซียนขัดเกลาชั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถามว่ามีใครคิดชี้แนะอีกหรือไม่ สายตาของศิษย์วังนภาทั้งหมดพลันหันไปรวมกันอยู่ที่คนๆหนึ่ง!
ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาปานกลาง ท่าทางจริงจังหนักแน่น เพียงใครมองก็บอกได้ว่าสมควรเป็นคนเถรตรงผู้หนึ่ง
‘ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ที่มาทั้งหมดงั้นสินะ…’
เมื่อพบว่าทุกสายตาของศิษย์ไปตกที่ร่างๆหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่านี่หมายความว่าอะไร
อย่างไรก็ตามสุดท้ายอีกฝ่ายก็แค่เซียนขัดเกลาชั้นเชี่ยวชาญ ซึ่งไม่นับว่าอยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
“นี่…เจ้านั่นเรียกว่า กัวลู่ พลังฝีมือจัดว่าติด 3 อันดับแรกของเหล่าศิษย์วังนภาที่บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงคุ้นหูหนึ่งส่งตรงมาถึงหูต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นหวางเฟยเซวียน
“หืม? ทำไมอย่างเจ้าถึงมาเตือนข้าได้?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองนางค่อยถามออกด้วยเสียงเฉยเมย
ตั้งแต่ที่หวางเฟยเซวียนหัวเราะเสียงใสออกมา ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นนางแล้ว นอกจากนี้เขายังรู้อีกด้วยว่านางสมควรแอบอยู่นอกลานแต่แรก หมายชมดูเรื่องราวสนุกสนาน
น่าเสียดายที่นางถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจได้เห็น ‘เรื่องราวสนุกสนาน’ อะไร
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน การที่เขาเอาชนะหวงจี้ได้…สมควรสร้างความผิดหวังให้แก่นางแน่นอน! แต่เขาไม่คิดเลยจริงๆว่านางจะเป็นฝ่ายกล่าวเตือนเขาเกี่ยวกับความเป็นมาของกัวลู่แบบนี้!!
“เฮอะ! ในสายตาเจ้าข้าดูเหมือนอันธพาลอย่างพวกนี้รึไง?”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกด้วยหน้าบูดบึ้ง น้ำเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เหมือน..”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวออกเสียงเรียบ
“โฮ่! งั่นนับว่าสายตาเจ้ายังใช้การได้อยู่!”
หวางเฟยเซวียนหัวเราะเบาๆ
“เจ้าอย่าพึ่งด่วนสรุป ข้ายังพูดจบ…เจ้าไม่เหมือน แต่เจ้ามันอันธพาลชัดๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเพิ่มมาเช่นนี้ ทำให้หวางเฟยเซวียนที่หัวเราะคิกคักอยู่หน้าบึ้งทันใด “เพ้ย! สหายหลิง! ท่านย่าผู้นี้หวังดีกล่าวเตือนเจ้าแท้ๆ แต่เจ้าไม่เพียงไม่รู้คุณยังแว้งกัดท่านย่าดั่งงูพิษ! ให้ข้าดูเจ้าถูกกัวลู่ทุบตีเถอะ ขอให้เจ้าแพ้กัวลู่อนาถยิ่งกว่าหวงจี้ไปเลย!”
หวงจี้ก็คือศิษย์วังนภาคนก่อนหน้าที่กล้าเข้ามาท้าต้วนหลิงเทียน ตอนนี้มันพ่ายแพ้ทั้งถูกกล้อนผม จึงรีบหนีกลับไปแล้ว…
“น่าเสียดายที่เจ้าคงต้องผิดหวัง เพราะข้าไม่แพ้หรอก…”
ต้วนหลิงเทียนยังคงส่งเสียงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย หากแต่ในถ้อยคำกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
จังหวะนี้หวางเฟยเซวียนถึงกับไร้คำจะกล่าวตอบต้วนหลิงเทียน เพราะนางไม่อาจหยั่งถึงต้วนหลิงเทียนได้จริงๆ ว่าไฉนขนาดนี้แล้วถึงยังสงบใจอยู่ได้ ไม่คล้ายลนลานแม้แต่น้อย…
เหตุผลที่นางกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนเรื่องกัวลู่ ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนถูกกัวลู่ทุบตี นางแค่อยากเห็นต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวจนหน้าซีดเหงื่อตก ให้นางมีโอกาสกล่าวล้ออย่างสนุกสนานเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนางไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง…
ไม่เพียงต้วนหลิงเทียนจะไม่หวาดกลัวหน้าซีดดั่งคาด ยังแลดูสงบทั้งเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับไม่ได้กริ่งเกรงอะไรกัวลู่แม้แต่นิดเดียว!!
‘เจ้าทึ่มนี่มันใจว่าจะเอาชนะกัวลู่ได้งั้นเหรอ…’
ทันใดนั้นเอง ความคิดดั่งกล่าวพลันผุดขึ้นในใจหวางเฟยเซวียนอย่างไม่มีเหตุผล
‘ไม่จริงน่า! เป็นไปไม่ได้หรอก…’
อย่างไรก็ตามหวางเฟยเซวียนส่ายหน้าเบาๆทั้งปัดความคิดดังกล่าวให้ตกไปทันที นางหันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนอีกครั้งค่อยกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ “เจ้าทึ่มนั่นจะยังไงก็อายุไม่ถึง 40 ปี ไม่มีทางมีพลังฝึกปรือทัดเทียมกับกัวลู่ได้หรอก…หาไม่แล้วเจ้าทึ่มนั่นก็มิได้ด้อยไปกว่าลี่เฟิงมากมายอะไรน่ะสิ…”
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหวางเฟยเซวียนไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับลี่เฟิงเป็นคนๆเดียวกัน หาไม่แล้วนางคงไม่มีความคิดอะไรพรรค์นี้
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของศิษย์วังนภาทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ในที่สุดกัวลู่ก็จำต้องก้าวออกมา มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากระจ่าง “ศิษย์น้องหลิงเทียน เจ้าสามารถบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ด้วยอายุเท่านี้ ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมนัก! ข้านับถือเจ้าอย่างยิ่ง…ก่อนหน้าเป็นพวกเราประเมินเจ้าต่ำเกินไป มาตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าไฉนท่านรองจ้าววังถึงให้ความสำคัญกับเจ้านัก ที่แท้ด้วยพลังฝีมือของเจ้า มิว่าจะไปอยู่วังใดกระทั่งขุมพลังแห่งหนใด ล้วนสมควรได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้จริงๆ…”
“ถึงแม้ว่าโอกาสในการเข้าสระวิญญาณรอบนี้ของพวกเราจักถูกท่านรองจ้าววังริบไปให้เจ้า แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าการที่ท่านรองจ้าววังมอบมันให้เจ้า นับเป็นเรื่องที่สมควรและเหมาะสมแล้ว!”
ทันทีที่กัวลู่ก้าวออกมา มันก็ประสานมือทักทายต้วนหลิงเทียน ทั้งกล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงเลื่อมไส
บางทีมันอาจไม่คิดว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะทำอะไรมันได้ แต่มันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนอายุเท่าไหร่แล้วมันอายุเท่าไหร่?
การที่ต้วนหลิงเทียนสามารถบรรลุความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ เป็นอะไรที่ทำให้มันรู้สึกเลื่อมไสและนับถือจากใจจริงๆ!
“ศิษย์พี่กัวลู่ กล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ทั้งประสานมือรับคำ เขารู้สึกถูกชะตากับศิษย์พี่ที่แลดูซื่อๆคนนี้ไม่น้อย
กลับกัน ด้านหวางเฟยเซวียนรู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่ เพราะนางไม่คิดเลยว่าไม่เพียงทั้งคู่จะไม่ฟาดฟันกันทันที ยังแลจะเข้ากันได้ดีเสียอีก…
“อย่างไรก็ตามตอนนี้พี่น้องมากมายใคร่ชมการประลองระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิงเทียน…เช่นนั้นข้าได้แต่ด้านหน้าขอประมือกับศิษย์น้องสักคราแล้ว แน่นอนว่าพวกเรามิต้องทุ่มสุดตัว”
เมื่อกัวลู่มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาพลันเผยจิตต่อสู้ออกมาให้เห็นเด่นชัด เพราะมันเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ประมือกับเซียนรุ่นเยาว์อัจฉริยะเช่นต้วนหลิงเทียน
มันเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่าหากเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปีแพร่ออกไป อีกฝ่ายสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับแน่นอน!
เป็นธรรมดาที่มันจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีสุดใจ ที่จะได้มีโอกาสประมือกับตัวตนเช่นนี้!
“ขอศิษย์พี่กัวลู่โปรดชี้แนะด้วย…เชิญท่าน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้กัวลู่คราหนึ่ง ก่อนที่จะสืบเท้าแยกออกผายมือให้สัญญาณกัวลู่ลงมือก่อน
เห็นฉากดังกล่าวหวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมา “ฮึ่ย! เป็นเจ้าทึ่มแท้ๆไฉนถึงได้ลำพองตัวนักเล่า! ไม่คิดเลยว่ายังกล้าให้กัวลู่ลงมือก่อน…เจ้าทึ่มนี่มิรู้หรือไรว่าพลังฝีมือของกัวลู่หาได้เหมือนตัวไร้น้ำยาเช่นหวงจี้ไม่…”
อันที่จริงตอนนี้ไม่มีใครที่อยู่ในลานคิดต่างจากหวางเฟยเซวียนสักคน ทั้งหมดรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนจะอวดดีเกินไปหน่อย…
กัวลู่คือใคร?
นั่นคือตัวตนที่มีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรกในบรรดายอดฝีมือที่บรรลุถึงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! เรียกว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดายอดฝีมือของตำหนักฟ้าลี้ลับ!
เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญทั่วไปในตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่มีใครรับมือมันได้เกิน 10 กระบวนท่า!
ทว่าตอนนี้ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วงวังนภาได้ไม่กี่วัน เผชิญหน้ากับคนอย่างกัวลู่แท้ๆ…กลับยังกล้าให้กัวลู่เป็นฝ่ายลงมือก่อน?!
ถึงแม้เหล่าศิษย์วังนภาที่มารวมตัวกันจะรู้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนสมควรบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ หากแต่พวกมันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งพอประชันกับกัวลู่ได้ เพราะชื่อเสี่ยงในวังนภาของกัวลู่นั้นได้มาเพราะใช้หมัดเท้าเข้าแลกทั้งสิน…
อย่างไรก็ตามเรื่องราวตรงหน้ากลับสร้างความประหลาดใจให้พวกมันทุกคน เผชิญหน้ากับการเชื้อเชิญอย่างสงบของต้วนหลิงเทียน กัวลู่กลับไม่คิดปฏิเสธ
ด้านกัวลู่หลังจากพัยกหน้ารับ มันก็พุ่งร่างเข้าไปซัดออกด้วยกระบวนท่าฝ่ามือเปี่ยมพลังแข็งกร้าว ทว่าเมื่อซัดออกไปแล้ว มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนที่ลงมือทีหลัง เหมือนจะรับได้ลำบากแค่เล็กน้อย แถมอีกฝ่ายให้ความรู้สึกดั่งกิ่งหลิวลู่ลม เรี่ยวแรงที่ซัดออกกว่า 8 ส่วนคล้ายสาบสูบไปหมดสิ้น ทั้งๆที่เพียงแค่สลับเท้าเอียงตัวแค่เล็กน้อย…
หลังจากนั้นกระบวนท่าต่อมา ยิ่งมายิ่งพิกลในใจแล้ว! เพราะไม่เพียงอีกฝ่ายจะไม่เสียเปรียบอะไรอีกต่อไป กลับลงมือต้านทานรับได้ด้วยความรู้สึกไม่ยากเย็น!
หลังจากนั้นไม่ทันไร มันรู้สึกเสมือนมือเท้าถูกเชือกล่องหนค่อยๆ ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ไม่รู้จะลงมือเอาชัยจากอีกฝ่ายอย่างไรดี ทำได้แต่จ่ายกระบวนท่าไปปะทะต้านทานกันท่าแล้วท่าเล่า
ใจกัวลู่ตื่นตระหนกไปไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายแม้ยังเยาว์วัยแท้ๆ! แต่กลับให้ความรู้สึกร้ายกาจ สู้ยากยิ่งกว่าศัตรูคนใดที่มันเคยเจอ!!
‘ให้ตายเถอะ! มิรู้ศิษย์น้องผู้นี้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังมาอย่างไรกันแน่….’
กัวลู่ได้แต่สูดลมหายใจเข้าอย่างหนาวเหน็บลอบคิดไปในใจอย่างหวาดหวั่น
อันที่จริงเพราะกัวลู่สังหรณ์ได้ถึงความไม่ธรรมดาจากศิษย์น้องเบื้องหน้าแต่แรก มันจึงไม่คิดปฏิเสธที่อีกฝ่ายให้มันลงมือก่อนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ…
และฉากเรื่องราวตั้งแต่เริ่มประมือกันมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แถมยิ่งมาก็ยิ่งทำให้เหล่าศิษย์ที่ดูอยู่ตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว!
นั่นเพราะในสายตาผู้ชม ไม่ว่ากัวลู่จะลงมืออย่างไร ต้วนหลิงเทียนก็ต้านทานรับได้ทุกกระบวนท่า แม้ช่วงแรกจะแลดูเสียเปรียบเล็กน้อย แต่หลังๆมากลับไม่อาจบอกได้แล้วว่าที่แท้ผู้ใดมีเปรียบ เพราะแลดูแลกหมัดกันอย่างทัดเทียม!
หลังจากที่ผ่านไป 2 เค่อ ผลการประมือก็เป็นอันสิ้นสุด…จบลงด้วยการเสมอ!
เหตุผลที่การประลองยุติลงด้วยการเสมอ เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนที่ถูกชะตากัวลู่คิดมอบทางลงดีๆให้กัวลู่ แม้เขาจะออมมือให้และแสร้งทำเป็นสู้เสมอทัดเทียมแล้ว แต่หากนานกว่านี้น่ากลัวจะทำให้กัวลู่ขายหน้าต่อผู้คนมากมาย…
“กลับจบลงด้วยการเสมอจริงๆหรือ…”
เหล่าศิษย์วังนภาทั้งหลายไม่เว้นหวางเฟยเซวียนถึงกับประหลาดใจไปกันใหญ่ เพราะไม่มีใครคิดฝันเลยว่าผลการประลองจะจบลงอีหร็อบนี้ เรื่องนี้นับว่าสุดที่พวกมันจะจินตนาการได้ออกจริงๆ
แน่นอนว่าหากเทียบกับศิษย์วังนภาทั้งหลาย ตัวกัวลู่เองเป็นผู้ที่ตื่นตระหนกทั้งประหลาดใจยิ่งกว่าใครเป็นไหนๆ!
นั่นเพราะมันตระหนักได้ชัดเจนว่า เมื่อครู่กระทั่งต่อให้มันลงมือเต็มกำลัง อีกฝ่ายก็สมควรสยบมันได้ง่ายดาย! นอกจากนี้ในระหว่างการประมือ ไหนเลยมันจะไม่รู้ว่าความสามารถทั้งเชิงยุทธ์อีกฝ่ายอยู่เหนือมันคนละชั้น! กระทั่งมีหลายครั้งที่หากอีกฝ่ายไม่ออมมือให้โดยการปล่อยผ่านไปเลยไม่สวนกลับ..มันคงแพ้พ่ายไปนานแล้ว!!
ด้วยเหตุนี้มันจึงได้ตกตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุด!
หลิงเทียน ศิษย์ใหม่เยาววัย์ผู้นี้…ที่แท้มีพลังฝีมือเหนือกว่ามัน!!
ตอนที่ 1,724 : สร้างชื่อเสียงในตำหนักฟ้าลี้ลับ
“ศิษย์น้องหลิงเทียน…พลังฝีมือเจ้าช่างน่าเลื่อมไสนัก นับถือๆ!”
กัวลู่ ย่อมรู้เป็นธรรมดา ว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้มันต้องอับอายต่อหน้าผู้คนจึงจงใจออมมือให้ผลออกมาเป็นเสมอ! ทำให้มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตามันเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมไสทั้งแฝงเร้นไปด้วยความสำนึกบุญคุณ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาประสานเขย่า!
“ศิษย์พี่กัวลู่ก็นับว่าไม่ธรรมดา วันหน้าพวกเราค่อยมาแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กันใหม่”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบอย่างสุภาพ
ในที่สุดการประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับกัวลู่ก็จบลงด้วยผลเสมอ
ถึงแม้นี่จะเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนออมมือ แต่ยากที่จะมีใครล่วงรู้เรื่องนี้นอกจากตัวกัวลู่
อย่างไรก็ตามข่าวเรื่องนี้นับว่าสร้างความตื่นตระหนกให้ทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว!
มียอดฝีมือที่บรรลุด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญทั้งที่อายุยังไม่ถึง 40 ปีน้อยคนนักที่เคยปรากฏตัวขึ้นมาในตำหนักฟ้าลี้ลับ! ที่สำคัญคือมันไม่มีในรุ่นนี้…ย่อมหมายความว่าต้วนหลิงเทียนเสมือนปรากฏตัวขึ้นมาได้ประจวบเหมาะนัก!!
เหล่าศิษย์วังนภามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตายำเกรงทันที พวกมันค่อยๆเดินออกจากลานบ้านของต้วนหลิงเทียนไปพร้อมๆกับกัวลู่ ไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาอะไรอีก…
หากจะกล่าวว่าขามาในใจพวกมันยังไม่ยอมรับต้วนหลิงเทียนและคิดว่าอีกฝ่ายเพียงมีโชคที่ต้องตาพึงใจรองจ้าววังนภาจนได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณล่ะก็…
มาตอนนี้เมื่อได้เห็นพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน พวกมันก็เชื่อแล้วว่าต้วนหลิงเทียนสมควรได้รับสิทธิ์เข้าสระวิญญาณที่สุด!
ในโลกนี้ผู้ที่มีพลังฝีมือเข้มแข็งย่อมได้รับการเคารพนับถือเสมอไม่ว่าจะไปที่ใด
นับประสาอะไรกับต้วนหลิงเทียนที่บรรลุพลังฝีมือเท่านี้ทั้งที่ยังอายุไม่ถึง 40!
อายุไม่ทันถึง 40 แต่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ หากได้รับเวลามากพอให้เติบใหญ่ ย่อมกลายเป็นเสาหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับได้แน่! กระทั่งหากวันหน้าศักยภาพไม่ถดถอย น่ากลัวว่าจะกลายเป็นจ้าวตำหนักที่ทรงพลัง!!
หลังจากที่ผู้คนทยอยกันจากไป ไม่นานในลานว่างก็หลงเหลือคนอยู่เพียงแค่ 2 คน…
เหวางเฟยเซวียนจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอื้ออึงอยู่นาน
ชายหนุ่มเบื้องหน้านับว่าทำให้นางตกใจครั้งใหญ่แล้วจริงๆ
ต้องทราบด้วยว่าแม้จะเป็นขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แต่กัวลู่นั้นก็นับเป็นยอดฝีมือติด 3 อันดับแรกของด่านพลังดังกล่าว ทว่ากัวลู่ผู้นั้น…กลับทำได้แค่เสมอมิอาจสยบชายเบื้องหน้า!
จังหวะนี้ในใจของหวางเฟยเซวียนยังเต็มไปด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้!
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน คงมีแค่ ‘ลี่เฟิง’ เท่านั้นที่เหนือกว่านาง
ทว่ามาตอนนี้กลับมีเพิ่มมาอีกคน
บางทีชายเบื้องหน้าอาจไม่ร้ายกาจเท่าลี่เฟิง แต่อีกฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่านางแน่นอน!
“เจ้ามองพอรึยัง?”
กว่าหวางเฟยเซวียนจะคืนสติ ก็ตอนที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปม เพราะเขาเองก็เห็นนางมองเขาอยู่นานแล้ว
“ใครมองเจ้ากัน!”
หวางเฟยเซวียนโพล่งคำสวนกลับ ใบหน้างามน่ารักขึ้นสีแดงเรื่อด้วยเขินอายเล็กน้อย พยายามทำท่าฮึดฮัดกลบเกลื่อน
“ข้าแค่ถามว่าเจ้ามองพอรึยัง ข้าไปถามว่าเจ้ามองข้าอยู่ตอนไหน? เจ้ากินปูนร้อนท้องเองรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น มุมปากยังยกยิ้มแสยะ
เขาไม่คิดเหมือนกันว่าหวางเฟยเซวียนที่แลดูดุร้ายเอาแต่ใจ จะเผยสีหน้าเก้อเขินแบบนี้ออกมาได้ จะว่าไปก็แลดูน่ารักไม่น้อย
แต่เมื่อเห็นว่ายิ่งมาหน้าหวางเฟยเซวียนยิงแดงขึ้นด้วยความอาย ต้วนหลิงเทียนก็คร้านสนใจอะไรนางอีกเพียงหันหลังเดินกลับเข้าบ้านทันที ด้วยกริ่งเกรงจะมีเรื่องดั่ง ‘วิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง’
ปึง!
กระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น หวางเฟยเซวียนที่ยืนอายจึงค่อยรู้สึกตัว นางกำหมัดสีชมพูน้อยแน่นด้วยความโกรธปากบ่นงึมงำ “เจ้าทึ่มนั่นมันไม่รู้อะไรเลยรึไง!?”
‘ไม่รู้อะไรเลย?’
ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งปิดประตูบ้าน ย่อมได้ยินวาจากล่าวบ่นนี้ของหวางเฟยเซวียนดี อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา
เรื่องที่หวางเฟยเซวียนสนใจเขา ไหนเลยเขาจะไม่รู้
แต่บางทีที่นางสนใจเขานั้นทั้งหมดเพราะความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ ใครจะไปรู้ว่ากาลเวลาผ่านไปใจนางจะแปรเปลี่ยนเป็นอื่นหรือไม่?
อีกทั้งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเรื่องที่ตอนนี้เขามีคู่หมั้นอยู่แล้วถึง 2 คน กระทั่ง เค่อเอ๋อ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ทราบ เขาจะไปมีอารมณ์สนใจอะไรกับสตรีที่มาสนใจเขา
เช่นนั้นเมื่อเจอกับสตรีที่เข้าหาแบบนี้ เขาจึงจงใจหลีกเลี่ยง
ในเมื่อยุ่งกับนางมากไม่ได้เพราะเดี๋ยวนางจะคิดว่ามีหวัง เช่นนั้นหลีกเลี่ยงนางไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?
“เหลือแค่ไม่กี่วันแล้ว…หวังว่าครั้งนี้ข้าจะก้าวหน้า”
เพียงห้วงคิด ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ มุ่งหน้าสู่ชั้น 3 เพื่อบ่มเพาะพลังต่อไป
ต้วนหลิงเทียนที่ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังในเจดีย์ ย่อมไม่รู้เลยว่าข่าวที่เขาเอาชนะหวงจี้ ที่เป็นชนชั้นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางและลู้เสมอกับกัวลู่ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ได้แพร่สะพัดไปทั่ววังนภาปานพายุ!
“ด้วยอายุที่ยังไม่ทันถึง 40 ปีที…กลับมีพลังฝีมือสูงพอจะทัดเทียมกับกัวลู่แล้วงั้นหรือ?”
“พลังฝืมือของกัวลู่ จัดเป็น 3 อันดับต้นๆของของเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญในวังนภา…แต่กลับทำได้แค่เสมอกับหลิงเทียน?”
“หลิงเทียนคนนี้มันเป็นปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากที่ใดกันแน่? ศักยภาพพรสวรรค์เช่นนี้…น่ากลัวว่าจะพอๆกันกับลี่เฟิงที่โด่งดังขึ้นมาเมื่อปีที่แล้วได้เลย!”
“ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา อัจฉริยะที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญก่อนอายุ 40 ปี สามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว…! ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย…ว่ารุ่นของพวกเราจะปรากฏตัวตนเช่นนี้ขึ้นมาได้ อีกไม่นานคงถึงยุคสมัยที่ตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราจะผงาดแล้ว!!”
“หากหลิงเทียนผู้นี้รักษาระดับความก้าวหน้าในปัจจุบันเอาไว้…บางทีอีกไม่นานเขาอาจจะกลายเป็นอย่างจ้าวตำหนักเมฆาครามคนใหม่ นำพาตำหนักฟ้าลี้ลับของพวกเราให้กลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!”
……
วาจาทำนองเดียวกันนี้ได้ยินไปทั่ววังนภา
ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนเริ่มยกเอาต้วนหลิงเทียนไปเทียบกับจ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบัน เพราะจ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบันก็คือสุดยอดอัจฉริยะที่พึ่งผงาดขึ้นมา สามารถนำพาตำหนักเมฆาครามให้กลายเป็นขุมพลังแนวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างด้วยพลังฝีมือส่วนตัว!!
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้เลยว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคนใหม่ที่พวกมันกล่าวถึง ก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของหลิงเทียนที่พวกมันกำลังยกมาเทียบ…
แน่นอนว่ากระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน หาไม่แล้วเขาคงไม่มาตำหนักฟ้าลี้ลับตั้งแต่แรก
“ยอดเยี่ยมนัก! มิคิดเลยว่าเจ้าหนูนั่นจักร้ายกาจถึงขั้นสู้เสมอกับกัวลู่ได้!”
พอได้ยินเรื่องนี้ เซียวยี่รองจ้าววังนภา ก็ตกใจครั้งใหญ่!
เดิมทีมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางที่ร้ายกาจ แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่าจะเป็นถึงชนชั้นยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! ที่ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญทั่วไปยากจะเทียบได้!!
เรื่องนี้เห็นชัดจากการสู้เสมอกับกัวลู่!
ทว่าร้อยพันหมื่นคาดเซียวยี่ก็คงไม่เคยคิด ว่าที่สู้เสมอกัวลู่แบบนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนจงใจออมมือและให้ผลออกมาในรูปแบบนี้!
หาไม่แล้วต่อให้มี 10 กัวลู่ น่ากลัวจะลำบากเพียงพลิกฝ่ามือก็จัดการได้!
ขณะเดียวกัน ข่าวการสู้เสมอระหว่างหลิงเทียนกับกัวลู่นี้ ก็ได้แพร่ไปยังวังปฐพี วังลี้ลับ และวังเหลืองเช่นกัน
กัวลู่แม้จะเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งในวังนภา แต่พลังฝีมือที่บรรลุถึงชนชั้นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญก็ไม่ใช่ชั่ว ทำให้มันเป็นที่รู้จักในตำหนักฟ้าลี้ลับไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ไม่มีใครไม่รู้จักกัวลู่ก็ว่าได้!
“หืม!? กัวลู่ ยอดฝีมือที่ติด 3 อันดับแรกในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญของวังนภาคนนั้นน่ะเหรอ!?”
“นั่นสิ! ตัวตนเช่นนั้นน่ะหรือเสมอกับหลิงเทียน!?”
“สวรรค์ช่วย เช่นนั้นหลิงเทียนที่ว่าก็นับว่าร้ายกาจนัก! ตอนแรกข้าคิดว่าพลังฝึกปรือเต็มที่ก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น ให้ตายเถอะ น่าทึ่งยิ่ง!”
“แต่หากจะกล่าวว่าผู้ใดร้ายกาจที่สุด ข้ายังคิดว่าสมควรเป็นลี่เฟิง ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเมื่อปีที่แล้วมากกว่า…เพราะลี่เฟิงนั่นบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดตั้งแต่ยังอายุไม่ถึง 40! หลิงเทียนยังห่างอยู่บ้างหากคิดจะเทียบกับลี่เฟิง!”
“แน่นอนว่าลี่เฟิงนั่นย่อมเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง!”
……
ศิษย์ของอีก 3 วังที่เหลือเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับข่าวนี้
หากต้วนหลิงเทียนมาได้ยินวาจาของพวกมันล่ะก็ คงได้มีอมยิ้มกันบ้าง
ลี่เฟิงนั่นจะอย่างไรก็แค่ตัวเขาเมื่อปีที่แล้ว
วันนี้เขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับปีที่แล้วเลย…
แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้ยินที่พวกมันพูด เขาก็คงทำแค่อมยิ้ม และไม่คิดอธิบายอะไรเพิ่มเติม
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้เขาไม่ใช่ลี่เฟิง แต่เป็น หลิงเทียน!
ไม่ว่าจะอะไรยังไง สุดท้ายข่าวเรื่องที่หลิงเทียนสู้เสมอกัวลู่ ก็แพร่สะพัดไปทั่วตำหนักฟ้าลี้ลับ บรรดาระดับสูงๆทั้งหลายยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสนใจ
หลายคนยังกระเหี้ยนกระหือรือหมายรับตัวเขาเป็นศิษย์!
หากแต่ไม่ว่าคลื่นลมจะโหมกระหน่ำเพียงใด ต้วนหลิงเทียนที่ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย จนถึงวันที่สระวิญญาณจะเปิดออก ต้วนหลิงเทียนค่อยออกมาจากเจดีย์ 7 สมบัติและมานั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนในลานหน้าบ้าน
สะบัดมือคราหนึ่ง ปรากฏเหยือกสุราผุดจากความว่าง 1 เหยือก พร้อมจอกเล็กๆ
จิบสุราเบาๆ มองฟ้างดงาม รอคอยเวลาอย่างเงียบงัน
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงแหวกฝ่าสายลมเสียงหนึ่ง เขาจึงหันมองไปทางต้นเสียงทันที
ตอนแรกคิดว่าเป็นหวังพีที่มารับ มิคาดกลับเป็นหวางเฟยเซวียนอีกแล้ว…
ไม่ทราบทำไม ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตงิดๆเมื่อได้เห็นหวางเฟยเซวียน! เขาเองก็ไม่อาจทุบตีทำร้ายนางได้ด้วยเหตุผลว่ารำคาญที่นางตามตื๊อ เพราะอย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ล้ำเส้นเขา..
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้เรื่องที่นางไปเที่ยวใส่ไฟกระตุ้นอารมณ์ผู้คนให้พากันยกพวกมาถึงบ้านเขา ถ้าเขารู้เรื่องนี้ล่ะก็…น่ากลัวนางจะโดนดีไม่ใช่น้อย!
“หลิงเทียนเจ้าช่างตื่นเช้านัก! ข้าคิดว่าเจ้าจะนอนตื่นสายเสียอีก..จะได้อาศัยจังหวะนี้บอกศิษย์พี่หวังพี ว่าเจ้าสละสิทธิ์เข้าสระวิญญาณให้ข้า…น่าเสียดายเจ้าดันออกมาทันเวลา!”
หวางเฟยเซวียนที่มาถึงก็เดินดุ่มๆมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนตรงข้ามกับต้วนหลิงเทียนอย่างเรียบๆร้อยๆ ค่อยกล่าวออก
“เจ้าคิดว่าศิษย์พี่หวังพีจะเชื่อเจ้ารึไง?”
ต้วนหลิงเทียนยกจอกสุราขึ้นจิบไปครึ่ง ค่อยส่ายหน้ากล่าวออกอย่างระอา
“ฮึ!”
หวางเฟยเซวียนย่นจมูกพ่นลมเบาๆ คิ้วขมวดเล็กน้อย
ทว่าต้วนหลิงเทียนที่เห็นอาการฮึดฮัดนี้ของนางกลับนิ่งค้างไปทันใด
นั่นเพราะยามที่หวางเฟยเซวียนย่มขมูกพ่นลมทั้งขมวดคิ้ว นางกลับให้ความรู้สึกคล้ายเค่อเอ๋อ คู่หมั้นของเขา
ดั่งคำ ภาพจำซ้อนทับ พอเห็นความคล้ายนี้ของหวางเฟยเซวียนกับเค่อเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็เหม่อลอยไปด้วยความคิดถึงทันที
‘เอ๊ะ! เจ้าทึ่มมันเป็นอะไรไป…หรือมันหลงเสน่ห์ข้าเข้าแล้ว?’
หวางเฟยเซวียนย่อมแลเห็นอาการดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น