War sovereign Soaring The Heavens 1709-1712
ตอนที่ 1,709 : แล้วยังไง?
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
……
เมื่อทหารยามหน้าฮั่วจิน ชี้มือไปทางป๋ายลี่หง และกล่าวว่าป๋ายลี่หงคือผู้ที่สังหารฮั่วฉิว ทุกสายตาไม่เว้นฮั่วจิน ก็หันไปตกที่ร่างของป๋ายลี่หงทันที
“มันฆ่าฮั่วฉิว?”
“เท่าที่ข้ารู้ป๋ายลี่หงยังเป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้น ทั้งยังทะลวงผ่านมาเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว…แต่มิต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันพึ่งทะลวงมายังเซียนดั้งเดิมขั้นต้นได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ด่านพลังมันมั่นคงดีแล้วก็มิมีทางฆ่าฮั่วฉิวได้!!”
“นั่นสิ จะอย่างไรฮั่วฉิวก็บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นกลางมาเป็นปีแล้ว กระทั่งห่างจากเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญไม่กี่ก้าว…ต่อให้มีร้อยป๋ายลี่หงก็ฆ่ามิได้หรอก! นับประสาอะไรที่มีมันคนเดียว เรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ข้าไม่เชื่อ!”
“นั่นสิ เรื่องนี้มิสมเหตุสมผลจริงๆ…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ป๋ายลี่หงจะฆ่าฮั่วฉิวได้หรือไม่ เอาแค่ปกติมันถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน ทั้งยังถูกบังคับให้กลืนโอสถผนึกแรกกำเนิด นั่นเป็นไปมิได้ด้วยซ้ำที่มันจะใช้ปราณแรกกำเนิด นับประสาอะไรกับฆ่าฮั่วฉิว!”
“โอสถผนึกแรกกำเนิด? หากมันกินโอสถนั่นลงไปจริงๆแล้วยังจะเดินออกมาโต้งๆเช่นนี้ได้หรือ?”
……
เหล่าเซียนดั้งเดิมขั้นต้นที่ขวางป๋ายลี่หงอยู่เริ่มกระซิบกระซาบกัน พวกมันก็เป็นเหมือนๆกับฮั่วฉิว ต่างเป็นคนมีฐานะอาวุโสในตระกูลราชวงศ์
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะมีฐานะและยามไปที่ใดก็ถูกผู้คนเรียกหาว่าใต้เท้า แต่พวกมันก็ไม่กล้าเทียบตัวเองกับฮั่วฉิว
นั่นเพราะฮั่วฉิว เป็นหลานชายคนเดียวของฮั่วจิน!
แม้ในตระกูลราชวงศ์จะมีเซียนขัดเกลาอยู่บ้าง แต่ตัวตนเหล่านี้มักปลีกวิเวก ไม่ค่อยแยแสเรื่องราวความเป็นไปใดๆ จึงเป็นธรรมดาที่อำนาจปกครองจะตกลงมาอยู่ในมือของผู้ที่เข้มแข็งเป็นลำดับถัดไป
ฮั่วจิน ในฐานะยอดฝีมืออันดับ 1 ขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด มันย่อมกลายเป็น ‘ผู้นำ’ ในสายตาคนทั้งหมด เพราะอย่างไรเสียโลกนี้ก็นับถือผู้คนที่พลังฝีมือ
สายตาที่ฮั่วจินใช้มองป๋ายลี่หงตอนนี้ คมยิ่งกว่ามีด!
หากแต่ไม่นานมันก็ละสายตาจากป๋ายลี่หงมามองทหารยามที่ลนลานมาแจ้งเหตุอีกครั้ง ค่อยถามออกเสียงเข้ม “ที่แท้มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เล่าสิ่งที่เจ้ารู้มาเสีย!”
ทหารยามพอถูกจี้ถาม มันก็พยายามกล่าวเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างตื่นกลัว
พอได้ยินว่าป๋ายลี่หงพึ่งถูกบังคับให้กลืนโอสถผนึกแรกกำเนิดไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว ทั้งหมดก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมทันที
ป๋ายลี่หงที่พึ่งกลืนโอสถผนึกแรกกำเนิดไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว กลับปรากฏกายอยู่ตรงหน้าพวกมัน ที่สำคัญ…ตอนนี้ป๋ายลี่หงดูเหมือนคนที่ถูกผลของโอสถผนึกแรกกำเนิดหรือ?
‘เซียนขัดเกลา!’
ตอนนี้เองฮั่วจินพลันตระหนักได้ ว่าต้องมีขอบเขตเซียนขัดเกลาช่วยเหลือป๋ายลี่หงอย่างลับๆอยู่แน่! เพราะผู้ที่ขจัดผลของโอสถผนึกแรกกำเนิดในร่างป๋ายลี่หงได้ ต้องมีขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขึ้นไปเท่านั้น!!
นอกจากเรื่องนี้ มันไม่อาจคิดถึงความเป็นไปได้อื่นเลย!!
ถึงแม้ป๋ายลี่หงอาจจะถูกบังคับให้กลืนโอสถผนึกแรกกำเนิดระดับต่ำสุด แต่นั่นมันก็มีฤทธิ์สะกดยับยั้งปราณแรกกำเนิดของผู้ที่อยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แล้วยังจะนับประสาอะไรกับเซียนดั้งเดิมขั้นต้น!
เซียนดั้งเดิมขั้นต้นต้องใช้เวลากว่า 20 วัน กว่าผลขอโอสถผนึกแรกกำเนิดจะเริ่มเสื่อมถอยและจางหายไป
ต่อให้เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง แม้จะไม่นานเท่า แต่ก็ต้องใช้เกือบๆ 15 วันกว่าจะขับฤทธิ์โอสถออกจากร่างได้หมด
เช่นนั้นฮั่วจินจึงไม่คิดว่าป๋ายลี่หงที่มีพลังฝึกปรือแค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้นจะหลุดพ้นจากฤทธิ์โอสถที่ได้รับไป 3 วันก่อน กระทั่งต่อให้อีกฝ่ายเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลางแล้วก็ยังเป็นไปไม่ได้
นอกจากนั้น ไม่เพียงแต่ฤทธิ์โอสถผนึกแรกกำเนิดในร่างป๋ายลี่หงจะถูกขจัดออกไปหมดสิ้น ฮั่วฉิว หลานมันยังตกตายอีก!
หากมียอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาช่วยเหลือป๋ายลี่หงจริงๆ เรื่องราวทั้งหมดเป็นอันลงตัว เพราะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะฆ่าหลานมันทิ้งด้วย!
พอตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ฮั่วจินพลันหันรีหันขวางเป็นการใหญ่ ใบหน้ายังเผยความหวาดกลัวขึ้นมา
ล้อกันเล่นหรือไร!
นั่นมันยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลา!
คิดฆ่ามันยังง่ายดายเหมือนบี้มด!
ตอนนี้คำตอบของคำถามที่มันลืมนึกถึงเริ่มปรากฏในหัวเป็นฉากๆ
ไฉนป๋ายลี่หงถึงกล้าเดินทอดน่องออกมาโต้งๆแบบนี้?
ฮั่วจินลองคิดว่าหากเป็นมันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับป๋ายลี่หง มันจะต้องเร่งหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที หากไม่มีใครช่วยเหลือ…ยังจะกล้ามาเดินเฉิดฉายแบบนี้?
รนหาที่ตายหรือ!
พอคิดได้แล้ว ฮั่วจินก็อ้าปากค้าง ทั่วร่างเริ่มปรากฏเหงื่อเย็นชุ่มโชก
จังหวะนี้มันถึงกับหลงลืมเรื่องราวการตายของหลานชายมัน เพราะกระทั่งตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังจะไปห่วงหลานได้อย่างไร?
พอคิดถึงเรื่องที่ตอนนี้สมควรมียอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาจับตาดูอยู่ในความมืด ใจมันอดไม่ได้ที่จะตื่นกลัว
ฮั่วจินสามารถฉุกคิดเรื่องนี้ได้หลังจากฟังเรื่องราวจากปากทหารยาม แล้วอาวุโสคนอื่นไหนเลยยังคิดไม่ได้?
ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสทั้งหลายก็เริ่มกระทำตามฮั่วจิน เร่งหันมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัว
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลา!
ตัวตนระดับนั้นกระทั่งคนอย่างฮั่วจินยังฆ่าได้ง่ายๆ แล้วนับประสาอะไรกับพวกมันที่เทียบฮั่วจินไม่ได้!
“พวกเจ้าว่า…ยอดฝีมือเซียนขัดเกลาผู้นั้น จะใช่ประมุขสื่ออวิ๋นหรือไม่?”
สุดท้ายอาวุโสที่หวาดกลัวอยู่คนหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามสหายออกมา
“เป็นไปมิได้ ไม่นานมานี้มิใช่สื่ออวิ๋นพึ่งถูกแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลราชวงศ์เราซัดจนบาดเจ็บหรอกหรือ ข้ามั่นใจว่านางยังมิหายดี…ทั้งนางยังจะกล้าหวนกลับมาวังหลวงอีกหรือไร? เพราะอาจารย์อวิ๋นได้กล่าวไว้แล้วว่าหากนางก้าวมาเหยียบวังหลวงอีกครั้ง อาจารย์ก็มิรังเกียจที่จะฆ่านาง!”
“นั่นสิ เว้นแต่นางจะไม่กลัวตาย หาไม่แล้วไหนเลยยังจะกล้ากลับมา”
“เช่นนั้นหากมิใช่สื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยแล้วจะเป็นผู้ใดที่สามารถขจัดผลของโอสถผนึกแรกกำเนิดได้อีก ในประเทศฝูเฟิงเรามีเซียนขัดเกลาน้อยคนนัก อีกทั้งคนที่พอมีสัมพันธ์กับป๋ายลี่หงก็มีแต่นาง”
“ข้าก็คิดไม่ออก”
……
เหล่าอาวุโสของตระกูลราชวงศ์กระซิบกระซาบกัน แม้เสียงของพวกมันจะไม่ได้ดังอะไร แต่ป๋ายลี่หงเองก็ได้ยิน และยังตกตะลึงไปเช่นกัน
ครู่ต่อมาป๋ายลี่หงเองก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านในใจ
มาตอนนี้มันพึ่งนึกได้ ว่าผลของโอสถผนึกแรกกำเนิดได้หายไปแล้ว
โอสถผนึกแรกกำเนิดมันเองก็เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ทั้งยังประสบเข้ากับตัวจึงรู้ดีว่าผลของโอสถยากจะขจัดออก
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ขุมพลังชั้น 6 อย่างตระกูลราชวงศ์ประเทศฝูเฟิงอาจจะมีโอสถผนึกแรกกำเนิดระดับสูง แต่โอสถผนึกแรกกำเนิดที่มันถูกบังคับให้กลืนก็ไม่ได้มีระดับสูงอะไร เพราะแค่ระดับต่ำก็มากพอจะผนึกปราณแรกกำเนิดในร่างของมันได้แล้ว
ทว่าแค่โอสถผนึกแรกกำเนิดระดับต่ำ ก็จำต้องใช้ขอบเขตเซียนขัดเกลาในการขับฤทธิ์ยา!
‘หรือศิษย์น้องจะมีผู้ช่วย?’
ป๋ายลี่หงได้แต่คาดเดาไปแบบนี้
แม้การที่ต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าเซียนดั้งเดิมขั้นกลางได้จะน่าตกใจ แต่มันก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะรู้ดีว่าพรสวรรค์ของศิษย์น้องผู้นี้ร้ายกาจปานใด
บางทีแค่เวลาผ่านไปปีเดียว คงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้อื่นที่จะบังเกิดความก้าวหน้า แต่ศิษย์น้องของมันไม่อาจใช้สามัญสำนึกหยั่งวัด!
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาได้นั้น มันไม่กล้าคิดฝัน!
ด้วยเหตุนี้ มันจึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีผู้ช่วย!
มันเองก็รู้สึกแปลกใจแต่แรก ว่าไฉนศิษย์น้องถึงให้มันก้าวเดินออกมาโต้งๆไม่ต้องสนใจผู้ใดแบบนี้ พอคนของราชวงศ์ฝูเฟิงกล่าวออกมาจึงเป็นการ ‘เฉลย’ ข้อสงสัยให้มันทันที
‘ไม่ทราบว่าผู้ช่วยเหลือที่ศิษย์น้องพามาจะเทียบกับอาจารย์อวิ๋นผู้นั้นได้หรือไม่?’
ป๋ายลี่หงลอบกล่าว
อาจารย์อวิ๋นที่ว่า ถูกตระกูลราชวงศ์ยอมรับเป็นแขกกิตติมศักดิ์ เพียงเวลาไม่นานอีกฝ่ายก็ทำราวกับวังหลวงเป็นบ้านของตัว
แน่นอนว่าการมาถึงของอีกฝ่าย เป็นอะไรที่ป๋ายลี่หงรู้ชัด อีกฝ่ายเสมือนมาเฝ้ากระต่ายอยู่หน้าโพรง รอจับตัวศิษย์น้องของมัน และชิงตราผนึกมารไปครอบครอง!
ฟึ่บ!
ทันใดนั้นเสียงกระบี่แหวกฝ่าอากาศพลันดังขึ้นก่อนที่จะดับลงอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนรวมถึงป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
และพอทุกคนมองไป ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่แต่มีอาวุโสคนหนึ่งของตระกูลราชวงศ์กำลังวิ่งหนี อนิจจาก่อนที่มันจะทันได้ไปไหนไกลร่างของมันพลันชะงักค้าง…หว่างคิ้วปรากฏหลุมโลหิตอันน่าสยดสยองหลุมหนึ่ง
ซูด! ฟืด!
……
ครู่ต่อมาเสียงสูดลมหายใจเข้าพลันดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“เร็วนัก!”
ในบรรดาคนทั้งหมด มีเพียงฮั่วจินเท่านั้น ที่พอมองเห็นได้รางๆว่าเมื่อครู่ มีรังสีกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นในเสี้ยวพริบตาก่อนที่จะดับหายไป รังสีกระบี่ดังกล่าวยังรวดเร็วถึงขั้นทำให้มันหนาวจับไขสันหลัง ความเร็วนั่นเหนือกว่าขอบเขตเซียนดั้งเดิม!
เซียนขัดเกลา!
ตอนนี้ฮั่วจินสามารถยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้าได้แน่ชัดแล้ว
ขณะเดียวกันอาวุโสคนอื่นๆของตระกูลราชวงศ์ก็ได้แต่หันมองสบตากัน ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว นิ่งเสียจนทำราวกับมีรากงอกเงยออกจากเท้า!
บทเรียนเมื่อครู่มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว ไม่มีใครอยากประสบชะตาตกตายเช่นนั้น!
“ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ มิทราบว่าป๋ายลี่หงเกี่ยวข้องกับใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านได้อย่างไร?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ฮั่วจินพลันประสานมือหันไปกล่าวกับความว่างเปล่าโดยรอบ น้ำเสียงยังสุภาพนัก แม้มันจะเป็นฝ่ายถามแต่แลดูประจบประแจงนัก
“เจ้าน่ะเหรอ ที่พาป๋ายลี่หงมาวังหลวง?”
แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงฮั่วจินดังจบคำ เสียงแหบแห้งหนึ่งพลันดังขึ้น เสียงนี้ยังกึกก้องคล้ายจะถูกส่งออกมาทุกทิศทาง ดังเข้าหูทุกผู้คนชัดเจน ยังพาลให้สีหน้าฮั่วจินเปลี่ยนไปทันใด
อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลราชวงศ์ได้แต่หันไปมองฮั่วจินด้วยสายตาสงสาร
ฟังจากเสียงของยอดฝีมือนั่น ท่าทางอีกฝ่ายจะไม่พอใจฮั่วจิน!
“ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยฮั่วจินเพียงกระทำตามคำสั่งที่ได้รับมาจากฝ่าบาทเท่านั้น”
ฮั่วจินเองก็ย่อมได้ยินความไม่พอใจในน้ำเสียงของยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดชัดเจนเช่นกัน และตอนนี้สิ่งที่มันทำได้ก็คือรอคอยให้ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาของราชวงศ์รู้ตัวและมาช่วยเหลือ!
แน่นอนว่ายังมีอาจารย์อวิ๋น ที่มีพลังฝีมือแกร่งกล้าน่าเลื่อมไส!
“แล้วยังไง?”
เสียงพลันดังก้องมาจากทุกทิศทางอีกครั้ง น้ำเสียงยังเปี่ยมล้นไปด้วยความไร้แยแส ราวกับไม่นับฮั่วจินเป็นตัวอะไร พาลให้สีหน้าฮั่วจินแปรเปลี่ยนไปมหันต์ ปราณแรกกำเนิดพลันโคจรไหลเชี่ยว แผ่พุ่งออกมาคุ้มกันทั่วร่างสุดชีวิต!
ตอนที่ 1,710 : ฮ่องเต้ฝูเฟิง!
“ใต้เท้า…”
ถึงแม้ฮั่วจินจะเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาสุดตัวหมายคุ้มกันชีวิตตัวเอง แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยขึ้นแม้แต่น้อย… ยามกล่าวกับอากาศว่างเปล่า มือเท้ายังสั่นระริกไม่รู้ตัว ใจกลัวนัก!
เมื่อด่านพลังฝึกปรือบรรลุถึงขีดขั้นหนึ่ง คิดก้าวหน้าสักครายังยากเย็นแสนเข็ญ ด้วยเหตุนี้ความต่างของพลังฝีมือแต่ละขอบเขตจึงเหลื่อมล้ำกันมาก
แม้จะเป็นแค่ขีดขั้นเล็กๆในขอบเขตพลังเดียวกันแต่ความต่างก็มากมายแล้ว
เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด กับเซียนขัดเกลาขั้นต้น แม้จะขวางกั้นด้วยก้าวเล็กๆก้าวหนึ่ง แต่ช่องว่างของพลังต่างกันปานนรกสวรรค์!
เช่นนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ซุ่มซ่อนในเงามืด ฮั่วจินไม่อาจไม่กังวล เพราะเห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่คล้ายพึงพอใจมันสักเท่าไหร่!
“เหอะ!”
เสียงแค่นสบถเย็นเยือกหนึ่ง ดังขึ้นขัดคำของฮั่วจิน
หลังจากนั้นเสียงแหบแห้งพลันก้องดังมาจากทั่วสารทิศอีกรอบ “มิคิดว่าพวกเจ้าจักโง่เขลาสมองกลับได้ถึงเพียงนี้! ป๋ายลี่หงเป็นศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียน หากมันถูกพวกเจ้าทรมานจนตายตก ต้วนหลิงเทียนมิพ้นต้องระวังตัวมากกว่าเดิม กระทั่งอาจจะเลือกหลบซ่อนตัวปิดด่านฝึกปรือนับสิบปี เลวร้ายเข้าหน่อยก็อาจมิหวนกลับมาเมืองหลวงฝูเฟิงอีกเลย…”
“แต่ข้าต้องการตราผนึกมาร! การกระทำอุบาทว์ของพวกเจ้าตระกูลราชวงศ์ครั้งนี้นับว่าทำให้ข้าขัดใจนัก!!”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นคราวนี้ ทุกผู้คนพลันกระจ่างแจ้งทันที
ที่แท้ยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดผู้นี้ไม่ใช่สหายของป๋ายลี่หง หากแต่เป็นยอดฝีมือที่ต้องการครอบครองตราผนึกมาร เหตุผลที่อีกฝ่ายช่วยเหลือป๋ายลี่หง เพราะความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายลี่หงกับต้วนหลิงเทียนที่หายตัวไปพร้อมตราผนึกมาร!
“ใต้เท้าพลังฝีมือท่านยอดเยี่ยมร้ายกาจ วันหน้าท่านต้องได้ครอบครองตราผนึกมารเป็นแน่!”
ฮั่วจินเร่งกล่าววาจาประจบสอพลอออกมา ด้วยหวังว่ายอดฝีมือในความมืดผู้นี้จะคิดเปลี่ยนใจ
น่าเสียดายที่มันถูกลิขิตให้ผิดหวังตั้งแต่ในมุ้ง..
หากยอดฝีมือที่ซ่อนตัวในความมืดนี้เป็นดั่งที่ว่าจริงๆมันคงรอดตัว
ทว่าผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้วนหลิงเทียน!
ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงเป็นศิษย์น้องของป๋ายลี่หง เขายังเห็นคุณชายใหญ่ของตระกูลซือถูและผู้นำตระกูลเป็นดั่งสหายคนหนึ่ง พอพบว่าวันที่ป๋ายลี่หงถูกจับตัวไป ทั้งคู่ถูกซัดแทบปางตาย ในใจเขาก็พิพากษาโทษตายให้ฮั่วจินแต่แรกแล้ว
เช่นนั้นให้ฮั่วจินกล่าววาจาชักแม่น้ำทั้ง 5 มาประจบก็ไร้ประโยชน์
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ฮั่วจิน ไม่ได้รู้เลย
หากมันรู้แต่แรกมันคงไม่มากล่าววาจาดั่งผายลมเช่นนี้ คงจะรีบรุดหลบหนีไปให้ไกลแสนไกลถึงแม้มันไม่คิดว่าจะมีสามารถหลบหนีพ้นเงื้อมมือต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวในความมืดได้ก็ตามที
หากแต่เนื่องจากนั่นอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตมันได้ มันก็จำต้องไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายนั่นเอาไว้
“เจ้า ฮั่วจิน เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”
เสียงแหบห้าวที่ต้วนหลิงเทียนปลอมแปลงดังขึ้นอีกครั้ง พาลให้ทุกคนที่อยู่ในทางเดินอดไม่ได้ที่จะหน้าเสีย โดยเฉพาะฮั่วจิน ถึงกับหน้ามืดคล้ำเป็นน้ำหมึก มันพยายามเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดทั่วร่าง หมายเปิดกางเขตแดนเพื่อรักษาชีวิตอีกทาง
อนิจจาเขตแดนของมันยังมิทันได้ควบรวมก่อเกิด รังสีพลังกระบี่สีทองที่รวดเร็วกว่ารังสีกระบี่พลังสีทองก่อนหน้าพลันปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่า!
ซัวะ!!
ไม่ทันที่ฮั่วจินจะได้ตอบสนองอะไร หว่างคิ้วมันก็ถูกทะลวง! ดวงจิตแตกสลาย วิญญาณกระจัดกระจายหายไปในสวรรค์และโลก!!
ต่อหน้าต่อตาทุกผู้คน ร่างฮั่วจิน ที่ยังคงมีใบหน้าหวาดผวาพรั่นกลัว ทรุดล้มลงดั่งหุ่นกระบอกด้ายขาด
ฮั่วจิน ยอดฝีมืออันดับ 1 ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด…ตกตายง่ายดายเพียงเท่านี้
ตอนนี้แม้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลราชวงศ์จะไม่รู้สึกเสียใจอะไรกับการตายของฮั่วจิน แต่พวกมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอาลัยในชีวิตและไม่อยากตาย
ฮั่วจินที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งกว่าพวกมัน กลับตกตายง่ายดายเช่นนี้ แล้วพวกมันจะไปมีปัญญาต่อต้านอะไรยอดฝีมือที่น่ากลัวขนาดนี้ได้?
“หนีเถอะ! หากมิหนีอยู่ไปพวกเราก็ตาย!!”
ในขณะที่ทุกคนยังเสียขวัญทำอะไรไม่ถูกกับการตายของฮั่วจิน ไม่ทราบเป็นผู้ใดที่ร้องตะโกนออกมาคนแรก เสียงตะโกนยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังนัก
หลังจากเสียงดังกล่าวดังจบลง ใจทุกผู้คนล้วนถูกความสิ้นหวังหวาดกลัวกัดกินทันที
และครู่ต่อมาก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำในการวิ่งหนีออกไปคนแรก แต่กลุ่มอาวุโสของตระกูลราชวงศ์เริ่มแยกย้ายปานผึ้งแตกรัง แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะหนีไป
อาวุโสบางส่วนนั้นยืนขาตายอยู่กับที่เพราะถูกความกลัวครอบงำเกินกว่าจะมีเรี่ยวแรงทำอะไรได้ไหว เพราะมันรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่จะหนีภายใต้สายตาของยอดฝีมือที่ซ่อนตัวในความมืดคนนี้
พวกมันนับเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดและฉลาดเฉลียว รู้ดีว่าการหนีไป ก็แค่การเร่งเวลาตายให้เร็วกว่าเดิมเท่านั้น…
อย่างไรก็ตามพอพวกมันเห็นว่าผู้คนที่แยกย้ายกันหลบหนี กลับไม่มีใครถูกฆ่าตายสักคน พวกมันก็เริ่มบังเกิดความคิดอื่นในใจ หลังจากนั้นพวกมันก็กระทำเหมือนคนอื่น เร่งรีบแยกย้ายกันหลบหนีเช่นกัน
เพียงเวลาแค่ไม่ถึงลมหายใจ เหล่าอาวุโสของตระกูลราชวงศ์ก็แยกย้ายกันหลบหนีไปหมด คงเหลือก็แต่เพียงทหารที่มีพลังฝึกปรือต้อยต่ำเท่านั้น พวกมันได้แต่หันหน้ามองตากันเอง แต่ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไร
จนเมื่อมีทหารยศสูงกว่าออกนำ ทั้งหมดจึงค่อยวิ่งไล่ตามกันไปจนหมด
เพียงเวลาแค่ไม่นาน ก็หลงเหลือแต่ป๋ายลี่หงที่ยืนอยู่บนทางเดินเพียงลำพัง
กล่าวให้ชัดหลงเหลืออยู่ 2 คน หากนับรวมต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวในความมืดเข้าไปด้วย
“ศิษย์พี่ ไปต่อเถอะ”
ในขณะที่ป๋ายลี่หงไม่รู้จะทำอย่างไร ต้วนหลิงเทียนพลันส่งเสียงมาบอกพอดิบพอดี
บรรดากลุ่มคนที่หลบหนีไปทั้งหมดก่อนหน้า หากต้วนหลิงเทียนคิดฆ่าก็ลำบากเพียงแค่ยกมือเท่านั้น ด้วยพลังฝีมือของเขายากที่จะมีใครรอดพ้นความตาย
ที่พวกมันสามารถหลบหนีไปได้ เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่แยแสชีวิตไร้ค่าของพวกมันเท่านั้น
สำหรับเขาแล้วคนพวกนั้นเป็นได้แค่ ‘เหยื่อ’ ที่จะล่อปลาตัวใหญ่ให้มาติดกับ!
“อ่า”
จนเมื่อได้ยินเสียงต้วนหลิงเทียนส่งมา ป๋ายลี่หงค่อยได้สติกลับคืนปานตื่นจากความฝัน
ฉากสังหารฮั่วจินยังคงตราตรึงอยู่ในใจ
สองเดือนที่แล้วฮั่วจินยกพวกบุกมาตระกูลซือถูเพื่อจับตัวมันไปอย่างที่มันไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน อีกฝ่ายอาศัยพลังฝึกปรือที่เหนือกว่าทำราวกับเป็นจ้าวผู้ยิ่งใหญ่…
อนิจจาวันนี้ฮั่วจินกลับเป็นคนที่ถูกฆ่าในพริบตา ตกตายลงอย่างที่ไม่อาจแข็งขืนใดๆ
‘ศิษย์น้องไปหาผู้ช่วยที่ร้ายกาจขนาดนี้มาจากที่ใดกัน!?’
ใจป๋ายลี่หงสะท้านไปอย่างแรง มันไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องของมันจะมีสัมพันธ์กับยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาได้
หลังจากได้เห็นพลังฝีมืออันร้ายกาจของยอดฝีมือที่น่าจะบรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ลอบคุ้มครองในความมืด ป๋ายลี่หงพลันบังเกิดความมั่นใจขึ้นหลายส่วน ก้าวอาดๆไปตามทางมุ่งหน้าสู่ประตูใหญ่ของวังหลวงอย่างสง่าผ่าเผยไม่หวาดกลัวผู้ใดอีก
แต่มันรู้ดีว่าวาจาที่อีกฝ่ายกล่าวออกมานั้นเป็นแค่เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นเท่านั้น หากอีกฝ่ายคิดอยากได้ตราผนึกมารในมือศิษย์น้องของมันจริงๆ ไฉนต้องลำบากเสียเวลามาช่วยมัน ไม่เอาไปจากศิษย์น้องมันแต่แรก?
แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ ด้วยตระหนักว่ามียอดฝีมือร้ายกาจระดับนี้คอยคุ้มกัน คราวนี้ป๋ายลี่หงยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจขณะเดินไปประตูใหญ่ของวังหลวง!
ยังดีที่ป๋ายลี่หงไม่ทราบว่าศิษย์น้องของมันเป็นคนฆ่าฮั่วจินเอง ไม่งั้นไม่รู้มันจะตกใจตายหรือไม่..
ป๋ายลี่หงแม้จะพอรู้ถึงความร้ายกาจของต้วนหลิงเทียนมาแล้ว แต่มันก็ไม่เคยคิดว่าพลังฝีมือในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียนจะเทียบกับขอบเขตเซียนขัดเกลาได้ และยิ่งไม่คิดไม่ฝันว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่กลัวแม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลราชวงศ์ กระทั่งผู้ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดอย่างอาจารย์อวิ๋นอะไรนั่น
ในขณะที่ป๋ายลี่หงก้าวอาดๆไปยังประตูใหญ่ ในที่สุดข่าวการตายของฮั่วจินก็ล่วงรู้ไปถึงหูของฮ่องเต้ฝูเฟิง!
ฮ่องเต้ฝูเฟิงเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมลายปักมังกร แลดูสง่างามน่าเกรงขาม มากบารมี
“ฮั่วจินตายแล้ว?”
ทันทีที่ได้ยินข่าวการตกตายของฮั่วจิน สีหน้าของฮ่องเต้ฝูเฟิง จูหยวน ถึงกับมืดดำลงทันใด จิตสังหารยังแผ่พุ่งออกมาจากลูกตา กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม “เป็นฝีมือของผู้ใด!?”
ฮั่วจินไม่เพียงแต่จะเป็นอาวุโสทรงคุณวุฒิของตระกูลราชวงศ์ ยังเป็นดั่งมือขวาของจูหยวน!
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มันต้องให้ฮั่วจินเป็นธุระจัดการ
การฆ่าฮั่วจิน ก็แทบไม่ต่างอะไรจากตัดแขนซ้ายแขนขวาของมัน จะไม่ให้มันมีโทสะได้อย่างไรไหว!
ในขณะที่ความโกรธปะทุขึ้นในใจของจูหยวน ชุดคลุมมังกรของมันก็เริ่มโบกสะบัด ลายปักมังกรยังคล้ายกลายเป็นมีชีวิต ราวกับมันกำลังแยกเขี้ยวควั่นกรงเล็บด้วยความเกรี้ยวกราด!
ทันทีที่จูหยวนปะทุพลังอันน่าเกรงขามออกมา อาวุโสที่เร่งรุดมาแจ้งข่าวถึงกับต้องผงะถอยไปหลายก้าว ด้วยไม่อาจทานทนรับแรงกดดันในสนามพลังรอบกายจูหยวนได้ไหว
อย่างไรก็ตามอาวุโสที่ว่าก็เป็นถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว การที่มันต้องล่าถอยออกไปเพราะแรงกดดันพลังของจูหยวน ก็เผยให้รู้ว่าพลังฝึกปรือของจูหยวนกล้าแข็งเพียงใด!
ประเทศฝูเฟิงเป็นขุมพลังชั้น 6 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…และยังเป็นประเทศของเซียนอีกด้วย
ประเทศเช่นนี้แตกต่างจากอาณาจักรและเมืองในทวีปมนุษย์มากมายนัก คนที่จะเป็นฮ่องเต้หรือผู้นำได้ต้องเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดจริงๆ
ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ของประเทศฝูเฟิง จูหยวนคือสุดยอดอัจฉริยะในรุ่น และยังเป็นถึงตัวตนขอบเขตเซียนขัดเกลาที่มีน้อยคนในประเทศฝูเฟิง ยังเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่บรรลุเซียนขัดเกลาในประเทศฝูเฟิง!
“เป็นยอดฝีมือลึกลับผู้หนึ่งฝ่าบาท ยามมันสังหารใต้เท้าฮั่วจิน มันไม่แม้แต่จะเปิดเผยตัวออกมา!”
อาวุโสที่ล่าถอยไปเร่งตอบจูหยวนออกมาอย่างไม่กล้าชักช้า
“ไม่แม้แต่จะเปิดเผยตัว แต่กลับฆ่าฮั่วจินได้?”
พอได้ยินเรื่องนี้สีหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้วของจูหยวน พลั่นคร่ำเคร่งขึ้นอีกส่วน
“ใช่ขอรับ คนผู้นั้นสมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาเป็นอย่างน้อย หรือต้องมิใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาทั่วๆไปเป็นแน่ เพราะมันไม้แม้แต่จะเปิดเผยตัวออกมาขณะฆ่าใต้เท้าฮั่วจิน…ทั้งยังสังหารได้ในกระบวนท่าเดียว!”
ฉากการตายของฮั่วจินอดทำให้อาวุโสที่กล่าวรายงานหวาดผวาเสียไม่ได้
“ว่าอะไร!?”
พอได้ยินวาจารายงานรอบนี้ สีหน้าจูหยวนเปลี่ยนไปมหันต์
หากให้ฆ่าฮั่วจินโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวเอง จูหยวนลองถามตัวเองแล้วพบว่ามันสามารถทำได้ แต่หากไม่เปิดเผยตัวตนและฆ่าฮั่วจินได้ในการลงมือครั้งเดียว…เรื่องนี้จูหยวนไม่กล้าพูดว่ามันมีพลังฝีมือถึงขั้นนั้น!
‘พลังฝีมือที่กล้าแข็งนัก…สมควรบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ!’
คิดถึงจุดนี้จูหยวนก็สะท้านไปทันใด
ต้องทราบด้วยว่าแม้พวกมันจะเป็นตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิง แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เพียงมีพลังฝึกปรือแค่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น!
“แล้วยอดฝีมือลึกลับที่ว่ามันลงมืออย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นประมุขสื่ออวิ๋น?”
จูหยวนกล่าวถามเสียงเข้ม
สื่ออวิ๋นประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เป็นเพียงคนเดียวในประเทศฝูเฟิงที่มีพลังฝีมือต้านทานยอดฝีมืออันดับ 1 ของตระกูลราชวงศ์
“มิสมควรเป็นประมุขสื่ออวิ๋น..เพราะยามยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นลงมือ คล้ายจะใช้รังสีกระบี่..”
“มือกระบี่งั้นเหรอ?”
“สมควรเป็นเช่นนั้นฝ่าบาท”
“แล้วมันกล่าวว่าอันใดบ้าง”
……
ไม่นานจูหยวนก็ได้รับรู้คำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออก และคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นยอดฝีมือเร้นกายที่หมายปองตราผนึกมาร…
ตอนที่ 1,711 : จูมู่จื่อ!
ในที่สุดปลาใหญ่ก็ติดเหยื่อล่อ…
ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวในความมืดมิดมองไปยังชาย 2 คนที่ปรากฏตัวออกมาขวางทางป๋ายลี่หงอย่างใจเย็น ครุ่นคิดบางอย่างในใจอย่างเงียบงัน
ในบรรดาทั้งสองคน 1 ในนั้นมาในชุดคลุมลายปักมังกรซึ่งเป็นอะไรที่บ่บอกตัวตนของมันชัดเจน ฮ่องเต้ฝูเฟิง จูหยวน!
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจึงพึ่งเคยพบจูหยวนเป็นครั้งแรกในวันนี้ แต่อาศัยเพียงเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายต้วนหลิงเทียนก็เดาฐานะของมันได้ทันที
และแม้นี่จะเป็นแค่การพบกับจูหยวนครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักมัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังอยู่ในตระกูลซือถู เขาเองก็เคยได้ยินคำร่ำลือถึงจูหยวนฮ่องเต้ฝูเฟิงผู้นี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ 1 ในไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศฝูเฟิง และมันยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลา!
ส่วนอีกคนนั้นเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเฟิ้ม ผมเผ้ายังรกรุงรัง มองไกลๆไม่ต่างอะไรจากมนุษย์สิงโต!
‘สามารถยืนเคียงข้างจูหยวนได้…เช่นนั้นคนผู้นี้สมควรเป็น 1 ในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงเช่นกันสินะ’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคาดเดา จูหยวน และอีกคนที่มาด้วยกันก็ไม่คิดสร้างปัญหาให้ป๋ายลี่หงแต่อย่างไร เพียงหันมองไปรอบๆคล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง
ครู่ต่อมาเป็นจูหยวนที่กล่าวออก “สหาย ข้าคือฮ่องเต้ฝูเฟิง ดูเหมือนว่าก่อนหน้าสหายกับตระกูลราชวงศ์เราคล้ายจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่ ข้าสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่สหายจะออกมากล่าวสนทนากับพวกเราสักครั้ง?”
วาจาที่จูหยวนกล่าวออกค่อนข้างสุภาพไม่น้อย มันไม่ได้วางอำนาจในฐานะฮ่องเต้แต่อย่างไร
“ฮ่องเต้ฝูเฟิง?”
ในขณะเดียวกัน เมื่อได้ยินคำของจูหยวนพร้อมลายปักมังกรบนชุดคลุมอีกฝ่าย ป๋ายลี่หงจึงตระหนักได้ว่า…เบื้องหน้าของมันที่แท้ก็คือฮ่องเต้ฝูเฟิง!
อย่างไรก็ตามแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นฮ่องเต้ฝูเฟิงป๋ายลี่หงก็เพียงประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น
ฮ่องเต้ฝูเฟิงแล้วจะอย่างไร?
เบื้องหลังมันมีแม้แต่ยอดฝีมือที่ไม่หวาดกลัว อาจารย์อวิ๋น ที่บรรลุพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
คนผู้นี้สมควรเป็นสหายของศิษย์น้องมัน!
“ค่อยมาสนทนากันหลังจากที่ทุกคนมากันครบเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนที่ซ่อนตัวในความมืดมิดอย่างแยบคายกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย เขายังแกล้งทำเสียงแหบแห้งเหมือนเดิม เช่นนั้นจึงยากที่ใครจะเชื่อมโยงเสียงนี้กับตัวตนที่แท้จริงของเขา
เสียงที่ดังก้องออกมาจากทั่วสารทิศรอบนี้ ทำให้จูหยวนและผู้ที่มาด้วยอีกคนชมวดคิ้วทันที
ค่อยมาสนทนากันหลังจากที่ทุกคนมากันครบ?
นั่นหมายความว่าอะไร
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างชายวัยกลางคนกับชายชราปรากฏตัวขึ้น! จูหยวนและชายเคราดกหน้ารกปานสิงโตถึงกับผงะ มาตอนนี้จึงได้รู้ว่าวาจาเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียนหมายความว่าอะไร!
“อาจารย์อวิ๋น”
“เสด็จลุง!”
ทันทีที่ชายวัยกลางคนกับชายชราปรากฏตัวขึ้นมา จูหยวนกับชายเคราดกที่อยู่ใกล้ๆก็เร่งโค้งคารวะทันที คนที่พวกมันนับถือที่สุดแน่นอนว่าไม่ใช่ชายชราแต่เป็นชายวัยกลางคน! พวกมันจึงเลือกคำนับชายวัยกลางคนก่อนค่อยคำนับชายชรา!!
แม้ว่าชายชราจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของจูหยวน แต่กระทั่งตัวมันเองก็ไม่กล้าถือดีต่อหน้าชายวัยกลางคน
เช่นนั้นแม้จะพบว่าจูหยวนกับชายเคราดกโค้งคารวะชายวัยกลางคนก่อน ไม่เพียงชายชราจะไม่โกรธ แต่ยังรู้สึกว่าสมควรทำแล้ว
ต้องทราบด้วยว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3! ถึงแม้ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายไม่นับว่าสูงส่งอะไรในบรรดาคนจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 แต่อีกฝ่ายก็เสมือนตัวตนอันไร้เทียมทานในประเทศฝูเฟิงแห่งนี้!
เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
ในประวัติศาสตร์ของประเทศฝูเฟิงบางทีอาจมียอดฝีมือที่มีพลังฝึกปรือสูงส่งถึงขั้นนี้ แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้อยู่ในประเทศฝูเฟิงแล้วหลังจากบรรลุพลังฝึกปรือดังกล่าว…
“อืม”
เผชิญหน้ากับการคารวะทักทายของจูหยวนและชายเครารก ชายวัยกลางคนเพียงตอบรับด้วยเสียงในลำคออย่างไร้แยแส ส่วนชายชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามเมื่อสายตาของชายชราไปตกยังร่างป๋ายลี่หงที่หยุดมองมายังพวกมันเบื้องหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นถมึงทึงดุร้าย “เจ้าน่ะหรือ คือป๋ายลี่หง?”
ตั้งแต่ที่ได้ยินจูหยวนเรียกหาอีกฝ่ายว่าเสด็จลุง ป๋ายลี่หงเองก็รับทราบถึงตัวตนของชายชราผู้นี้แล้ว
ในประเทศฝูเฟิงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ จูหยวน ฮ่องเต้ฝูเฟิงจะเรียกหาว่าเสด็จลุง ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจูมูจื่อ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศฝูเฟิง ด่านพลังบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!
เผชิญหน้ากับจูมูจื่อที่ยิงคำถามมาด้วยแววตาดุร้าย ทว่าป๋ายลี่หงกลับเลือกที่จะเมินเฉย
แม้พลังฝีมือของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเหนือมัน กระทั่งคิดฆ่ามันยังเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย แต่ป๋ายลี่หงก็ไม่ใช่ชนชั้นขลาดเขลาที่จะหวาดกลัวความตายจนต้องยอมก้มหัวให้จูมือจื่อ
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมียอดฝีมือที่คอยหนุนหลัง ยังต้องกลัวจูมือจื่อทำอะไร!?
“หืม?”
เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงทั้งๆที่ได้ยินคำถามของมันแล้ว แต่อีกฝ่ายเพียงแค่มองมาครู่หนึ่งค่อยเลิกสนใจไป ก็ทำให้สีหน้าของจูมูจื่อมืดลงทันใด!
ในฐานะยอดฝีมืออันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิง มีศักดิ์ฐานะเป็นถึงเสด็จลุงฮ่องเต้ ไม่ต้องกล่าวถึงที่ฐานะของมันสูงส่งเหนือใครในประเทศฝูเฟิง อาศัยพลังมือของมันยังมีใครกล้าละเลยทำเป็นเมินเฉยและไม่เกรงกลัวมันบ้าง?
ทว่าวันนี้มันกลับถูกเมินโดยผู้ฝึกตนที่พึ่งบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นต้น?
นี่นับเป็นการดูถูกมันอย่างเห็นได้ชัด!
“บังอาจ!!”
และในขณะที่สีหน้าจูมือจื่อกลายเป็นมืดดำ เสียงสองเสียงพลันดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เป็นฮ่องเต้ฝูเฟิงจูหยวน และชายเคราดกที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทั้งคู่มองไปยังป๋ายลี่หงด้วยสายตาอำมหิต ในวาจาที่ตะคอกออกเต็มไปด้วยโทสะ
ในประเทศฝูเฟิงแห่งนี้ ตัวตนของจูมูจื่อไม่เพียงแต่เป็นยอดฝีมืออันดับ 1 เท่านั้น แต่ยังเป็น เสาหลัก ของประเทศฝูเฟิงอีกด้วย!
แถมในสายตาของจูหยวนและชายเครารก จูมูจื่อไม่เพียงแต่เป็นเสาหลักของตระกูลราชวงศ์ อีกฝ่ายยังเป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพสูงสุด!
พลังฝีมืออันแข็งแกร่งของพวกมันทุกวันนี้ ล้วนเป็นจูมูจื่อชี้แนะมาทั้งสิ้น!
ไม่เพียงแต่เป็นดั่งอาจารย์ อีกฝ่ายยังดูแลพวกมันอย่างดียิ่งกว่าบิดาแท้ๆของพวกมันเสียอีก!
ทว่าตอนนี้กลับมีคนกล้าถือดีต่อบุคคลที่พวกมันเคารพนับถือยิ่งกว่าบิดา! ทั้งบุคคลดังกล่าวยังเป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้นแสนกระจ้อยร่อย จะให้พวกมันไม่โกรธได้อย่างไร?!
“จูเลี่ย ฆ่ามันเสีย!”
ประกายตาจูมูจื่อส่องสว่างขึ้นมาด้วยอำมหิตวาบหนึ่ง พลันกล่าวคำดั่งโยนป้ายประหารออกไปทันที!
“ทราบแล้วสด็จลุง!”
คนที่จูมูจื่อเรียกหาว่าจูเลี่ยนั้น ก็คือชายเครารกที่อยู่ถัดจากจูหยวน พอมันได้ยินคำของจูมูจื่อก็เร่งขานรับด้วยเคารพทั้งเคลื่อนร่างพุ่งเข้าใส่ป๋ายลี่หงราวกับพญาอินทรีย์โถมเข้าใส่เหยื่อตัวกระจ้อย!
จูเลี่ยผู้นี้จะดีจะร้ายมันก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น! ยามลงมือเปล่งพลังย่อมก่อเกิดกลิ่นอายพลังกดดันที่ทำให้ป๋ายลี่หงรู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก!!
กระทั่งแผ่นหลังที่ตั้งตรงปานเสากระโดง ยามนี้ยังต้องงองุ้มลงด้วยไม่อาจฝืนต้าน
“เหอะ!”
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงพ่นลมด้วยความรำคาญหนึ่งพลันดังขึ้น ประกายแสงสีทองของกระบี่เล่มหนึ่งพลันสว่างวาบกรีดฟ้าแนวขวางฉับไว ปานละอองไฟวาบดับต่อหน้าต่อตาผู้คน!!
พริบตาต่อมาร่างจูเลี่ยที่พุ่งโถมเข้าใส่ป๋ายลี่หงก็พยายามดีดถอยออกมาสุดตัว! แรงกดดันทั้งพลังสภาวะของมันถูกกระบี่เมื่อครู่สลายหายไปไม่มีเหลือ!!
“กระบี่ที่ว่องไวนัก!”
หลังจากที่ดีดร่างถอยออกไปสุดชีวิต แผ่นหลังของจูเลี่ยถึงกับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นฉ่ำ มาตอนนี้มันยังรู้สึกหนาวใจทั้งเสียววาบไม่น้อย! ประกายกระบี่สีทองที่วูบผ่านหน้ามันไปเมื่อครู่ เป็นอะไรที่มันจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!!
โชคดีที่มันไม่ได้ทุ่มพลังทั้งหมดในการสังหารป๋ายลี่หง หาไม่แล้วมันคงไม่อาจชะงักร่างได้ทัน…ถึงตอนนั้นเกรงว่ากระบี่พลังเมื่อครู่ไม่ใช่แค่ถากลำคอมันไปด้วยระยะเส้นผมกั้น…แต่คงสะบั้นศีรษะมันร่วงหลุดจากบ่า!!
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
จังหวะนี้เองไม่ว่าจะเป็นจูหยวน จูเลี่ย จูมูจื่อ กระทั่งชายวัยกลางคน พลันหันมองไปยังรป๋ายลี่หงอย่างพร้อมเพรียง
แน่นอนว่าเป้าสายตาของพวกมันไม่ใช่ป๋ายลี่หง หากแต่เป็นชายหนุ่มเยาว์วัยที่ปรากฏตัวขึ้นมาหลังจากที่ประกายกระบี่สีทองเมื่อครู่ดับวูบลง
ชายหนุ่มผู้นี้แลดูหน้าตาธรรมดา อย่างที่ยากจะแยกหากปล่อยให้อีกฝ่ายลงไปปะปนท่ามกลางฝูงชน
อย่างไรก็ตามนอกจาก อาจารย์อวิ๋น ที่เหลือบมองชายหนุ่มที่พึ่งปรากฏตัวด้วยสายตาเฉยเมยแล้ว ที่เหลือล้วนมองไปยังชายหนุ่มผู้นี้ด้วยสายตายำเกรงทั้งสิ้น!
เพราะพวกมันตระหนักชัดเจนว่าชายหนุ่มที่พึ่งปรากฏตัวออกมาผู้นี้ พลังฝีมือมิได้ต้อยต่ำไปกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…กระทั่งอาจจะเหนือกว่านั้น!!
ลำพังแค่ขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงก็มีเพียงจูมูจื่อคนเดียวเท่านั้นที่บรรลุถึง!
ทว่ายามต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาแลดูเฉยเมยไร้แยแสผู้นี้ จูมูจือเองก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ประกายกระบี่สีทองเมื่อครู่ รวดเร็วนัก…อันตราย! กระทั่งตัวมันยังสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม!!
เมื่อด่านพลังฝึกปรือก้าวหน้าขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง ผู้คนย่อมมีสังหรณ์และการตัดสินใจอันเฉียบคม มันย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากชายหนุ่มแลดูธรรมดาเบื้องหน้าได้ชัดเจน!
“เหอะ! ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาของตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิง ไม่กลัวผู้คนหัวเราะเยาะแล้วหรือไร ถึงได้ลงมือลงไม้กับเซียนดั้งเดิมขั้นต้น?”
ในที่สุดชายหนุ่มหน้าตาแลดูธรรมดาอันเป็นต้วนหลิงเทียนปลอมแปลงโฉมมา ก็กล่าวออกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน จูเลี่ยพลันชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากทันที
“นั่นยังต้องดูด้วยว่าวันนี้เจ้าสามารถมีชีวิตออกจากวังหลวงไปแพร่กระจายเรื่องราวหรือไม่!?”
จูมูจื่อกล่าวคำเย้ยเยาะออกมา
“เจ้าสมควรเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางหนึ่งเดียวของตระกูลราชวงศ์ประเทศฝูเฟิงงั้นสิ?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังจูมูจื่อด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวถามเสียงเรียบ
“แล้วอย่างไร?”
วาจาของจูมูจื่อยังเต็มไปด้วยความเย้ยเยาะถือดี
หากในตอนแรกกล่าวว่ามันยังมีความหวาดกลัวต่อพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนอยู่บ้างล่ะก็ แต่พอมันนึกถึงว่ามันยังมีสุดยอดฝีมือหนุนหลังอยู่ ความกลัวดังกล่าวของมันจึงสลายหายไปทันที
บางทีพลังฝีมือของชายหนุ่มเบื้องหน้าอาจจะกล้าแข็งเหนือมัน แต่คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเทียบกับชายวัยกลางคนที่ยืนข้างมัน!
เพราะคนที่ยืนข้างมันตอนนี้ คือผู้ที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
ยิ่งไปกว่านั้นคนข้างกายคนนี้ ยังกล่าวส่งเสียงถึงมันโดยตรง ว่าสามารถจัดการชายหนุ่มเบื้องหน้าได้อย่างไม่มีปัญหา เช่นนั้นมันจึงบังเกิดความโล่งใจนัก…!
“ดูเหมือนเจ้าจะวางใจเพราะมีเจ้านั่นหนุนหลังงั้นสิ?”
สายตาที่เผยความหวาดกลัวออกมาก่อนหน้าของจูมูจื่อนั้น แน่นอนว่าไม่ได้รอดพ้นสายตาแหลมคมของต้วนหลิงเทียน ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัว
ทว่าเพียงพริบตาวาจาของมันกลับหาญกล้าขึ้นมาผิดปกติ!
สำหรับการที่อยู่ๆจูมูจื่อกล่าววาจาหาญกล้าขึ้นมผิดปกตินั้น ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาได้ 9 ใน 10 ส่วนว่าสมควรเกี่ยวข้องกับชายวัยกลางคนข้างกายอีกฝ่าย…!!
ยิ่งไปกว่านั้นจูหยวนกับจูเลียนั่น ก็คารวะทักทายทั้งเรียกหาอีกฝ่ายว่าอาจารย์อวิ๋น
เช่นนั้นแล้ว…ชายวัยกลางคนผู้นี้สมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
นอกจากนั้นยังเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลราชวงศ์ ที่ลงมือทำร้ายประมุขินิกายอัคคีล่องลอย สื่ออวิ๋น จนบาดเจ็บสาหัส!
เมื่อคิดถึงเรื่องที่คนผู้นี้ทำร้ายสื่ออวิ๋นขึ้นมา สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง!
ตอนที่ 1,712 : ศิษย์ตำหนักเมฆาคราม!
สื่ออวิ๋นนั้นเป็นอาจารย์ของเทียนหวู่ ย่อมไม่ต่างอะไรจากผู้หลักผู้ใหญ่ของเขา
เหตุผลที่สื่ออวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะเห็นแก่เทียนหวู่ จึงไปช่วยศิษย์พี่เขาที่ถูกขังไว้แบบนี้..
ดังนั้นแล้วต้วนหลิงเทียนจึงรู้สึกติดค้างสื่ออวิ๋นนัก
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วจักอย่างไร?”
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน จูมูจื่อพลันยิ้มเยาะออกมา คล้ายมั่นใจว่ามันจะมีชัยเหนือต้วนหลิงเทียนแน่ๆ “ถึงแม้เจ้าจะมิได้เป็นอันใดกับป๋ายลี่หง แต่เจ้าก็มีความผิดที่คิดชิงตราผนึกมาร…อันที่จริงแล้วตราผนึกมารเป็นสิ่งของที่สักวันท่านอาจารย์อวิ๋นต้องได้ไปครอง!”
(จูมูจื่อ ที่จริงมันต้องเป็นจูมู่จื่อ แต่ตอนที่แล้วผมพิมพ์ตกไม้เอกไปเกือบทั้งหมด เลยตามเลยแล้วกันเนอะ… (>.<))
“ด้วยพลังฝึกปรือของท่านอาจารย์อวิ๋นที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด พลังฝีมือของเจ้าย่อมมิอาจเทียบได้ ยิ่งในแง่ขุมพลัง…ท่านอาจารย์อวิ๋นก็มาจากตำหนักเมฆาคราม! ซึ่งเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 นับเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!!”
กล่าวถึงท้ายประโยคจูมูจื่อยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลน “คนเรานั้นรู้อันใดมิเท่ารู้ตัวเอง…พลังฝีมือเจ้าอาจจะดี แต่หากคิดครอบครองตราผนึกมาร เจ้าต้องดีกว่านี้!”
สำหรับวัตถุประสงค์ของต้วนหลิงเทียน จูมูจื่อ ได้ยินก่อนที่จะเผยตัวออกมาเรียบร้อย
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนปั้นแต่งขึ้นมาทั้งหมด แน่นอนว่ามันย่อมไม่รู้
“ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ตำหนักเมฆาคราม?”
หลังจากที่ได้ยินคำของจูมูจื่อแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปเล็กน้อย ค่อยหันไปมองถามชายวัยกลางคนที่ยืนข้างๆจูมูจื่อ “เจ้ามาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3?”
“เหอะ!”
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนพลันเชิดหน้าชูตาขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลนทั้งวางอำนาจเหนือกว่า “ข้า อวิ๋นคุน ศิษย์ของตำหนักเมฆาคราม!”
น้ำเสียงของอวิ๋นคุนมากล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ
และนี่ย่อมเป็นความภาคภูมิใจในฐานะคนของตำหนักเมฆาคราม!
หากเป็นตำหนักเมฆาครามในอดีตนั้น กล่าวได้ว่าคงเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่จัดได้ว่าต่ำต้อยที่สุด
เพราะสุดท้ายแล้วแม้จะขึ้นชื่อว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นเดียวกัน แต่ก็มีแบ่งแยกสูงต่ำดำขาว
และเรียกว่าในกาลก่อนตำหนักเมฆาครามคือขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่อยู่รั้งท้าย!
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ตำหนักเมฆาครามได้จ้าวตำหนักคนใหม่ขึ้นกุมบังเหียน ตำหนักเมฆาครามก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน จนทุกวันนี้ก็ได้กลายเป็นขุมพลังต้องห้าม ที่ยากจะมีใครในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหาญกล้าล่วงเกิน!
แน่นอนว่าอวิ๋นคุนคงไม่มีวันจินตนาการออกได้เลย ว่าชายหนุ่มที่มันกำลังเหลือบมองด้วยสายตาดูแคลนอยู่ก็คือจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักเมฆาครามที่สูงส่งของมัน!
อีกฝ่ายยังเป็นบุตรชายคนเดียวของ ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามที่ทุกผู้คนเคารพนับถือ!
ที่ตำหนักเมฆาครามผงาดขึ้นมาเด่นล้ำเหนือใครได้ในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะต้วนหรูเฟิงคนเดียว!
หากอวิ๋นคุนล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน น่ากลัวว่ามันคงตกใจตาย!
ต้องทราบด้วยว่าในสายตาของคนตำหนักเมฆาครามทั้งหมด จ้าวตำหนักอย่างต้วนหรูเฟิงนั้น ไม่ใช่ผู้คนอีกต่อไปหากแต่เป็นเทพเซียนที่ลงมาจุติ!
อนิจจาอวิ๋นคุนไม่ได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน และต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ฐานะของตัวเองเช่นกัน
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าบิดาสมควรอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้และมียอดฝีมือใต้บัญชาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะคาดถึงเลยจริงๆ ว่าที่แท้บิดาเขาจะเป็นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จ้าวตำหนักเมฆาครามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว!
ตอนนี้ภายในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า น่ากลัวว่าจะมีขุมพลังกึ่งชั้น 3 เพียงขุมพลังเดียวที่มีพลังอำนาจมากพอจะต่อกรกับตำหนักเมฆาคราม…ตลาดมืดหยินชาน!
แม้แต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนวางแผนจะไปเยือน ก็ยังนับว่าด้อยกว่าตำหนักเมฆาคราม
แน่นอนว่าความแตกต่างนั้นไม่ได้มากมายอะไร
บางทีตำหนักเมฆาครามอาจยกกำลังไปกวาดล้างตำหนักฟ้าลี้ลับได้
ทว่าหลังการสู้รบ ไม่แคล้วตำหนักเมฆาครามจำต้องสูญเสียกำลังรบไปกว่า 8 ส่วนอย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยง ทำให้ตำหนักเมฆาครามเองก็ไม่คิดจะไประรานอะไรตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะเข้าทำนองโจมตีผู้อื่นไปพันฟันร่างตัวเองไปแปดร้อยแผล
หลังจากรบกันแล้วแม้ตำหนักเมฆาครามจะชนะ แต่ก็ไม่พ้นต้องถูกทำลายเช่นกัน
ทั้งยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘ตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่นไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ ไม่ต้องกล่าวถึงขุมพลังชั้น 3 อื่นใด เอาแค่ขุมพลังที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกันมาตลอดอย่างตลาดมืดหยินชาน…ย่อมไม่คิดพลาดซ้ำคนล้มแน่นอน!
ก็ใช่ ที่การกล่าวถึงเรื่องพวกนี้อาจเป็นอะไรที่อยู่ไกลตัวเกินไปหน่อย…
“อย่าได้บอกข้าเชียว…ว่าเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 คนเดียว?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังอวิ๋นคุน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ไม่ใช่แค่อวิ๋นคุนที่อึ้งไป กระทั่งจูมูจื่อ จูหยวนและจูเลี่ย ยังถึงกับตกตะลึงไปเช่นกัน
หรือชายหนุ่มหน้าตาแลดูธรรมดาผู้นี้ ก็เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นกัน!?
“เจ้าเองก็เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ด้วย?!”
อวิ๋นคุนเลิกคิ้วขึ้น กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้จะแลดูสุภาพกว่าตอนแรก แต่ก็ยากจะปิดความถือดีของมันได้หมด
เพราะตำหนักเมฆาครามคือขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทั้งหลาย เช่นนั้นเว้นเสียแต่จะเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์กับผู้นำระดับสูงๆของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมอื่น ไม่งั้นอวิ๋นคุนย่อมไม่คิดเกรงใจ
“ข้าจะเป็นหรือไม่เป็นแล้วอย่างไร?”
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเชิดขึ้นเผยความถือดีไม่น้อย แววตายังจงใจเย้ยหยันให้เห็นกันชัดๆ
“เจ้ากล้าล้อท่านอาจารย์อวิ๋นเล่นงั้นเหรอ”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองอวิ๋นคุนด้วยสายตาเย้ยหยัน จูมูจื่อพลันได้สติ มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองตัวประหลาด
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าจะยังมีขวัญกล้าอยู่ได้ หลังจากที่รับทราบว่าอาจารย์อวิ๋นมาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3!
นี่อีกฝ่ายไม่กลัวตายจริงๆ?
หรืออีกฝ่ายคิดว่าสามารถประชันขันแข่งกับท่านอาจารย์อวิ๋นได้?
อย่างไรก็ตามแม้ในแววตาของจูมูจื่อจะเต็มไปด้วยความแปลกใจ แต่ลึกลงไปยังเผยให้เห็นความสนุกสนานไม่น้อย เพราะเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นอะไรที่น่าดูชมนัก!
ด้านจูหยวนกับจูเลี่ยเอง ยามมองต้วนหลิงเทียนก็เผยความกระหยิ่มยิ้มย่องไม่น้อย
เพราะชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นตัวตนที่ตระกูลราชวงศ์พวกมันยากที่จะตอแยด้วยได้ง่ายๆ
เช่นนั้นหากปล่อยไปแบบนี้ พวกมันก็คงไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ เป็นธรรมดาที่พวกมันจะรู้สึกไม่ยินยอมเพราะอีกฝ่ายกล้าบุกมาฆ่าคนของตระกูลราชวงศ์ไปหลายสิบ! พวกมันย่อมรู้สึกยินดีเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายกำลังจะประสบเคราะห์!!
‘นิ…นี่มิใช่ศิษย์น้องหรอกหรือ?’
ในขณะเดียวกัน ตอนนี้ป๋ายลี่หงก็ฟื้นคืนจากอาการตกตะลึงเรียบร้อยแล้ว
เพราะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มันก็บอกได้ทันทีว่านี่คือเสียงของยอดฝีมือลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด…
ตอนแรกมันหลงคิดว่านั่นเป็นยอดฝีมือ ที่ศิษย์น้องพามาช่วย!
‘นี่มันพึ่งจะผ่านไปแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น…หากแต่พลังฝีมือของศิษย์น้องกลับก้าวหน้าขึ้นมาถึงขั้นนี้จริงๆ? ฮั่วจินบรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แต่ศิษย์น้องกลับฆ่ามันได้ในพริบตา…นี่ศิษย์น้องไปยกระดับพลังฝึกปรือมาอีท่าไหนกัน!?’
ทันทีที่ตระหนักได้ว่าศิษย์น้องของมันสมควรมีพลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาภายในเวลาแค่ปีเศษๆ ป๋ายลี่หงก็อื้ออึงไปปานต้องอัสนียามแล้ง
อย่างไรก็ตามคราวนี้มันกลับฟื้นคืนสติในเวลาอันสั้น
“ไอ้หนู เจ้ามันหาเรื่องตาย!!”
ทีป๋ายลี่หงสามารถคืนสติได้ในเวลาอันสั้น เพราะเสียงตะโกนเปี่ยมโทสะของอวิ๋นคุน!
เพราะอวิ๋นคุนเองก็กลับมารู้สึกตัวแล้วเช่นกัน อีกทั้งเป็นธรรมดาที่มันจะมีโมโหหนัก! และโทสะอารมณ์นี้มันก็ไม่อาจระงับได้อีกสืบไป ชุดเสื้อคลุมโบกสะบัดขึ้นมาอย่างแรง กลิ่นอายพลังของยอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดปะทุออกเต็มพลัง!!
ทันใดนั้นเองอาณาบริเวณทรงกลมกินรัศมี 100 หมี่โดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลางพลันสั่นไหว ความว่างเริ่มสั่นสะเทือนดั่งหินร่วงหล่นสระสงบ คลื่นพลังน่ากลัวขุมหนึ่งปรากฏท่วมในบรรยากาศ!!
สนามพลังของอวิ๋นคุนควบรวมก่อเกิดเป็นเขตแดนในเวลาเพียงชั่วพริบตา!
ด้านคนของตระกูลราชวงศ์ทั้ง 3 พอเห็นภาพนี้พวกมันก็แสยะยิ้มขึ้นมาทันที…
ในสายตาของมัน ทันทีที่อาจารย์อวิ๋นลงมือเจ้าหนุ่มนั่นตายแน่!
“ศิษย์น้อง!!”
สีหน้าของป๋ายลี่หงแปรเปลี่ยนไปมหันต์ ใบหน้าเผยความหวาดผวาออกมา มันลืมไปสิ้นแล้ว..ว่าตอนนี้มันรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อให้ต้วนหลิงเทียนอยู่!
แล้วถ้าหากต้วนหลิงเทียนไม่มั่นใจไหนเลยจะกล้าให้มันรับหน้าที่อันตรายทั้งเสี่ยงตายแบบนี้?
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุสุดวิสัย…เพราะป๋ายลี่หงห่วงใยต้วนหลิงเทียนมากไป ยังกังวลเสียจนสติเตลิด! คำ ‘ใจกังวลหูตาฝ้ามัว’ เรียกว่าเป็นอะไรที่อธิบายป๋ายลี่หงตอนนี้ได้ชัดเจน..
เผชิญหน้ากับอวิ๋นคุนที่ควบรวมก่อเกิดเขตแดน ไม่ทราบในมือต้วนหลิงเทียนปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้ตั้งแต่เมื่อใด…ทั้งยังเป็นกระบี่ที่แลดูเรียบง่ายและธรรมดาถึงขีดสุด!
ทันใดนั้นสายตาของต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนเป็นคมกล้า!
ครู่ต่อมาปราณสุริยันแรกกำเนิดทั่วกายก็ถูกเร่งเร้าขึ้น พวกมันไหลเชี่ยวปานน้ำป่าไหลหลาก พุ่งผ่านชีพจรเซียน 99 สายไปควบรวมยังกระบี่ธรรมดาๆในมือ บันดาลให้กระบี่ธรรมดาๆในมือเริ่มปรากฏแสงสีทองสว่างจ้าเรืองรองออกมา!
วู้มมม!!
แสงสีทองที่เปล่งออกมาจากตัวกระบี่ยิ่งมาก็ยิ่งเจิดเจ้าขึ้นทุกขณะ ตอนนี้แทบจะสว่างเท่าดวงตะวันกลางฟ้าไปแล้ว!
“เป็นกระบี่เล่มนั้น!”
กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่กระบี่ใดอื่นแต่เป็น กระบี่นิลสวรรค์! ในบรรดาทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ มีเพียงป๋ายลี่หงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยเห็นกระบี่เล่มนี้…
และแม้แต่ตัวป๋ายลี่หงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าไฉนยามที่มันเห็นต้วนหลิงเทียนหยิบกระบี่เล่มนี้ออกมา ใจที่กังวลทั้งตื่นกลัวของมัน…กลับกลายเป็นสงบนิ่งลงอย่างประหลาด!
และพอมันสงบสติลง มันก็นึกขึ้นได้ว่าไฉนมันถึงอยู่นี่
‘ศิษย์น้อง…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะจัดการอวิ๋นคุนได้?’
ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะคิดว่าเรื่องนี้มันช่างเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อนัก แต่ในใจมันก็บังเกิดความคาดหวังไม่น้อย
สองตาของป๋ายลี่หงมองเขม็งไปที่กระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนอย่างไม่วางตา ถึงแม้ว่ากระบี่จะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองสว่างจ้าก็ตามที
ป๋ายลี่หงยังจดจำได้ ว่าตอนที่มันเห็นกระบี่เล่มนี้เป็นครั้งแรก มันยังอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง
ฉากที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นอะไรที่มันจะจดจำไปชั่วชีวิต
ศิษย์น้องของมันที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียน กลับใช้กระบี่เล่มดังกล่าวฆ่าเซียนดั้งเดิมขั้นต้นในกระบี่เดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนประมือกับหลินตงของตระกูลหลินแห่งคฤหาน์หลิ่งหนานหยวน มันเองก็เชื่อว่า 8-9 ส่วนล้วนเป็นเพราะกระบี่เล่มดังกล่าว ถึงแม้จะไม่ได้เห็นการโจมตีอันน่ากลัวครั้งนั้นก็ตามที
“เจ้าไม่คิดอาศัยเขตแดน แต่คิดใช้กระบี่ห่วยๆเล่มนั้นสู้กับข้า? นับว่าเจ้าขุดหลุมฝังศพตัวเองแล้วจริงๆ!!”
หลังจากที่ควบรวมเขตแดนจนแล้วเสร็จ เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนเพียงชักกระบี่ออกมาเท่านั้นทั้งไม่ได้คิดสร้างเขตแดนอะไร ใบหน้ามันก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันทันที
“ฆ่าเจ้า ต้องเสียเวลาเปิดใช้เขตแดนด้วยหรือ?”
เผชิญหน้ากับท่าทีเย้ยหยันของอวิ๋นคุน ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมยคล้ายกุมชัยชนะไว้ในกำมือ
วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนกอปรทั้งความเฉยเมยคล้ายไม่เห็นหัวดังกล่าว เมื่อดังเข้าหูและอยู่ในสายตาของอวิ๋นคุน…ย่อมไม่ต่างอะไรจากการลูบคมมัน!
“หาที่ตาย!!”
ทันใดนั้นอวิ๋นคุนก็ไม่อาจระงับโทสะในใจได้สืบไป! ร่างของมันปรากฏปราณแรกกำเนิดปะทุออกมาดั่งไฟลุกท่วม คนพุ่งทะยานโถมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนปานดาวตก!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น