War sovereign Soaring The Heavens 1705-1708
ตอนที่ 1,705 : ร่างอวตาร!
“ห่านซิ่นเจ้าคิดจะทำอะไร!?”
เมื่อเห็นว่าอยู่ๆหานซิ่นก็ปรากฏตัวขึ้นทั้งยังลงมือซัดพลังหมายสังหารนาง กระทั่งเป็นิงหนูที่เข้ามาขวางจนตกตายไปแทน สีหน้าของหานเฉวี่ยไน่ก็แปรเปลี่ยนไป ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงคับแค้น
“ข้าคิดจะทำอะไร?”
หานซิ่นกล่าวเย้ยหยัน “หานเฉวี่ยไน่ ในอดีตข้าเคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าจักรู้บุญคุณคน…ที่ข้าต้องการก็แค่ที่มาที่ไปของคนที่สังหารหลานชายข้าเท่านั้น แต่เจ้ากลับบ่ายเบี่ยงมิเลิกรา! ความอดทนของข้าย่อมมีจำกัด! คราวนี้หากเจ้ายังไม่คายความเป็นมาของมันออกมา ข้าจะส่งเจ้าไปหาชิงหนูในนรก!!”
วาจาท้ายประโยคที่หานซิ่นกล่าวออก สองตายังเผยจิตสังหารอำมหิต
“ชิงหนู! ชิงหนู!!”
หานเฉวี่ยไน่ไม่สนใจหานซิ่นเพียงทั้งตัวก้มลงไปกอดร่างชิงหนู ร่ำร้องเรียกหาออกมาแทบขาดใจ สองตาของนางแดงฉานปานโลหิต
ชิงหนูนั้นคอยดูแลอยู่เคียงข้างรวมถึงเล่นกับนางมาตั้งแต่นางยังเล็กเป็นเด็กน้อย นางจึงยึดถือชิงหนูเป็นดั่งคนสำคัญในครอบครัวมานานแล้ว
ทว่าวันนี้ชิงหนูกลับต้องมาตกตายเพราะปกป้องนาง!
ใจของหานเฉวี่ยไน่รู้สึกเจ็บปวดนัก!
เมื่อเห็นว่าหานเฉวี่ยไน่ไม่สนใจ สีหน้าหานซิ่นยิ่งมืดลง “อย่าได้คิดว่าเจ้าจะถ่วงเวลาอันใดให้คนมาช่วยเหลือได้ทัน…ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ไม่ว่าจะบิดาของเจ้า หรืออามู่ของเจ้า พวกมันล้วนกำลังหารือกับคนของข้าเรื่องที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ส่งคนมารับตัวเจ้า…”
“เช่นนั้นเร็วๆนี้คงยากจะมีใครมาช่วยเจ้าได้!”
ยิ่งมาวาจาของหานซิ่นยิ่งคล้ายจะเย็นลงทุกขณะ ยังเสมือนผุดซึมขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง พาลให้ผู้ที่ได้ยินหนาวใจนัก
“ฮึก..ชิงหนู…”
เมื่อเห็นร่างชิงหนูที่แน่นิ่งไปไร้ความเคลื่อนไหว แววตาของหานเฉวี่ยไน่ก็เริ่มกลายเป็นเลื่อนลอย
ก่อนที่นางจะทันรู้ตัว ภาพอาจารย์ของนางพลันแง่บขึ้นมาในหัว “เฉวี่ยไน่ผู้บ่มเพาะพำเพ็ญพลังด้วยเคล็ด ธุลีแดง อย่างพวกเรา จำต้องใช้อารมณ์ทางโลกมาเคี่ยวกรำขัดเกลาจิตใจ ต้องผ่านพ้นเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตา สัมผัสถึงทุกห้วงอารมณ์ในโลกียะ รู้สำนึกถึงชีวิตและความตาย…จึงจะเข้าใจเคล็ด ธุลีแดง ได้อย่างถ่องแท้…”
หลังจากนั้นวาจาที่อาจารย์ของนางกำชับไว้ก่อนที่จะจากไป ก็ดังขึ้นในหู “หากเจ้าพบคนของเผ่าพันธุ์มังกรมาตอแยเจ้า เพียงจ่ายพลังปราณแท้ลงไปในนี้…สำหรับเรื่องราวหลังจากนั้น เจ้ามิต้องเป็นกังวลอันใดอีก”
ตอนนั้นอาจารย์ของนางกลัวว่านางจะเผลอไปปะทะเข้ากับเผ่าพันธุ์มังกร ยามไปยังทวีปเมฆาล่อง จึงได้มอบมีดสั้นที่แลดูงดงามให้นางไว้เล่มหนึ่ง…
และเป็นเพราะครั้งสุดท้ายที่ออกเดินทางไปยังทวีปเมฆษล่อง นางไม่ได้เจอคนของเผ่าพันธุ์มังกร นางจึงลืมเลือนมีดสั้นเล่มนี้ไปหมดสิ้น
สำหรับอาจารย์นั้น หานเฉวี่ยไน่เองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่
สิ่งเดียวที่หานเฉวี่ยไน่รู้ก็คือ อาจารย์ของนางอ้างตัวว่าเป็นผู้สืบทอด ธุลีแดง และเป็นอะไรที่นางจะต้องสืบทอดมันเป็นคนต่อไป
ในตอนแรกอาจารย์ของนางยังไม่อนุญาตให้นางบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ด ลีแดง ด้วยกล่าวบอกว่ายังไม่ถึงเวลา…และในวันที่อาจารย์ของนางจากไป ในที่สุดอีกฝ่ายก็อนุญาตให้นางฝึกฝนบ่มเพาะมันได้
อย่างไรก็ตาม เคล็ดบำเพ็ญจิต ธุลีแดง เป็นอะไรที่ลึกซึ้งสุดที่นางจะเข้าใจได้นัก เพราะนางพึ่งเริ่มบ่มเพาะมันได้ไม่นาน และนางก็ยังไม่เข้าใจถึงอารมณ์หลายๆอย่าง
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้ในมือของหานเฉวี่ยไน่กลับปรากฏมีดสั้นแลดูสวยงามขึ้นมา
“หืม?”
แม้ความเคลื่อนไหวของเฉวี่ยไน่จะไม่ได้มากมาย แต่หานซิ่นก็ค้นพบได้แทบจะทันที เพราะไม่ว่าจะอย่างไรหานซิ่นก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียน!
“อะไร? เจ้าคิดจะขัดขืนข้าด้วยมีดกระจ้อยร่อยนั่นหรือ?”
หานซิ่นหัวเราะเยาะ
หานเฉวี่ยไน่เร่งเร้าปราณแท้ขึ้นมาก่อนที่จะถ่ายทอดลงสู่มีดเล่มเล็กๆดังกล่าวทันที
และทันใดนั้นเอง เมื่อปราณแท้ของนางถ่ายทอดลงมีดสั้นเล่มเล็กได้ไม่ทันไร มีดเล่มดังกล่าวก็แตกสลายกลับกลายเป็นละอองแสงปานฝุ่นนับล้านๆชิ้น!!!
ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่สำคัญที่สุดก็คือทันทีที่มีดเล่มเล็กๆดังกล่าวแตกระเบิดออกมา พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างๆหานเฉวี่ยไน่
เงาร่างดังกล่าวนั้นมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ หากมองให้ชัดจะพบว่าเป็นอิสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นอิสตรีที่เลอโฉมนัก!
“เฉวี่ยไน่”
ทันทีที่ร่างสตรีเลอโฉมปรากฏกายนางก็มองไปยังหานเฉวี่ยไน่ด้วยรอยยิ้มบางๆ ทว่าครู่ต่อมาพอเห็นร่างที่หานเฉวี่ยไน่กอดอยู่นางพลันขมวดคิ้วทันใด…
เห็นชัดว่านางรู้จักชิงหนูด้วย
“ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์”
เมื่อเห็นเงาร่างที่ปรากฏขึ้นข้างกาย หานเฉวี่ยไน่ก็จดจำได้ทันทีว่านี่คืออาจารย์ของนาง กระทั่งยังอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง จนเมื่ออาจารย์ของนางเรียกหา ค่อยได้สติ
หากแต่ในใจของหานเฉวี่ยไน่กำลังเต็มไปด้วยความสับสนนัก
การใช้พลังสร้างเงาร่างออกมาแบบนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋าที่บรรลุจุดสูงสุดขอบเขตสู่ธรรมชาติก็สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น และสิ่งนี้ยังเรียกว่าภาพฉายสู่ธรรมชาติ
ภาพฉายสู่ธรรมชาติ ก็ทำได้แค่สร้างร่างเงาเสมือนจริง บ้างยังทำให้เลือนรางคล้ายภูตผี แต่นอกจากทำให้ผู้อื่นสับสนแล้วก็ไร้ความสามารถอื่นใดอีก
แถมภาพฉายสู่ธรรมชาติ ก็มีระยะการใช้งานอันจำกัดนัก
ทว่าอาจารย์ที่ไม่รู้อยู่แห่งหนตำบลใด กลับส่งภาพฉายสู่ธรรมชาติมาปรากฏร่างเบื้องหน้าของนาง อีกทั้งยังคล้ายใช้มีดสั้นเป็นสื่อนำ?
“อาจารย์รู้ว่าตอนนี้ในใจเจ้าคงมีคำถามมากมาย แต่ร่างอวตารของอาจารย์มีเวลาจำกัด…ให้ข้าฆ่ามันก่อน ค่อยอธิบายให้เจ้าฟัง”
สตรีเลอโฉมพยักหน้าให้หานเฉวี่ยไน่เบาๆ ก่อนที่จะหันไปมองหานซิ่น
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากเจตนาฆ่าฟันที่เผยออกในแววตาหานซิ่น นางย่อมรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดฆ่าศิษย์ของนาง!
แววตาคู่งามของนางพลันเผยความดุร้ายออกมาทันที
ขุมพลังอย่าง 7 ทวาราเที่ยงแท้ นับว่ามีคนอยู่น้อยนิดนัก…ดังนั้นทุกคนจึงปกป้องดูแลผู้สืบทอดของตัวเองอย่างดี กระทั่งนางก็ไม่เว้น
“ร่างอวตาร?”
หานซิ่นเผยความตื่นตระหนกไม่น้อย ตั้งแต่เห็นมีดสั้นของหานเฉวี่ยไน่แตกตัวเป็นจุดแสง ก่อนที่จะปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นมา
ภาพฉายสู่ธรรมชาติเป็นกลพลังของผู้บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตสู่ธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเมื่อบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ พลังงานต้นกำเนิดในร่างจะแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ และทำให้ไม่อาจใช้ภาพฉายสู่ธรรมชาติได้อีกต่อไป..
(สูงสุดขอบเขตสู่ธรรมชาติ = จักพรรดิขั้นสูงสุด)
ดังนั้นมันจึงไม่คิดว่าเงาร่างดังกล่าวจะเป็นภาพฉายสู่ธรรมชาติ!
ตอนนี้พอมาได้ยินสตรีโฉมงามกล่าวออกด้วยตัวเองว่า ‘ร่างอวตาร’ หานซิ่นจึงรู้สึกคุ้นหูไม่น้อย และหลังจากคิดทบทวนอยู่พักหนึ่งในที่สุดมันก็จดจำได้!
ผู้ฝึกเต๋าที่ข้ามผ่านขอบเขตอริยะเซียนไป จะได้รับความสามารถในการสร้างร่าง อวตาร ขึ้นมา!
ความสามารถนี้หากนำไปใช้ต่อสู้ค่อนข้างไร้ประโยชน์ การใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดสมควรเป็นผนึกพลังสร้างร่างอวตารนี้ไว้ในเครื่องรางที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ทันทีที่มีการจ่ายพลังลงไปก็จะปลดปล่อยร่างอวตารออกมา
ผู้ฝึกเต๋าระดับสูงๆ มักผนึกพลังสร้างร่างอวตารเอาไว้ในเครื่องรางของขลัง ที่มอบไว้ให้ศิษย์หรือลูกหลาน เป็นสิ่งที่จะช่วยปกป้องในยามฉุกเฉิน
เมื่อทราบถึงจุดนี้สีหน้าหานซิ่นพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง “จะ…เจ้าเป็นผู้ฝึกเต๋าที่ก้าวข้ามขอบเขตอริยะเซียน!?”
มันไม่เคยคิดเคยฝันเลยจริงๆว่าหานเฉวี่ยไน่จะมีอาจารย์ระดับนี้!
สวรรค์!
ผู้ฝึกเต๋าที่ก้าวข้ามขอบเขตอริยะเซียนไป…ไม่ใช่ว่าสามารถฆ่ามันให้ตายได้ง่ายดายเลยหรือ?
“เจ้านับว่ารู้มากเหมือนกันนี่ ถึงกับรู้จักร่างอวตารด้วย”
สตรีโฉมงามหัวเราะเบาๆ
ทว่าทันใดนั้นเองหานซิ่นคล้ายตระหนักอะไรได้บางอย่าง สีหน้าตึงเครียดของมันค่อยๆผ่อนคลายลง กล่าวออกด้วยน้ำเสียงดุร้าย “ฮึ่ม! เจ้าจะเป็นผู้ฝึกเต๋าที่ข้ามผ่านอริยะเซียนแล้วอย่างไร? ในเมื่อเจ้าทำได้แค่ทิ้งร่างอวตารไว้ให้หานเฉวี่ยไน่ เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้ามิอาจกลับมาช่วยเหลือนางได้ทัน…เจ้าคิดว่าจะหยุดข้าหานซิ่นด้วยร่างอวตารนี่งั้นหรือ?”
หานซิ่นกล่าวเย้ยหยันออกมา
ร่างอวตารของผู้ฝึกเต๋าระดับสูงที่กล่าวกันว่าไร้ประโยชน์ในการต่อสู้จริงนั้น ไม่ใช่เพราะอะไรที่ไหนแต่เป็นเพราะมันอ่อนแอเกินไป…
รางอวตาร ของผู้ฝึกเต๋านั้น โดยมากแล้วจะมีพลังฝึกปรือด้อยกว่าเจ้าตัวถึง 2-3 ขอบเขต
ตัวอย่างเช่นผู้ฝึกเต๋าที่มีพลังฝึกปรือก้าวข้ามขอบเขตอริยะเซียนไปขอบเขตหนึ่งจนบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์ ยามใช้ออกด้วยร่างอวตาร หากพลังฝีมือร้ายกาจเข้าหน่อยร่างอวตารของมันจะมีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนขัดเกลา แต่หากพลังฝีมือไม่ได้ร้ายกาจอะไร ร่างอวตารอาจจะมีพลังฝึกปรือแค่เซียนดั้งเดิม
มีเพียงผู้ฝึกเต๋าที่บรรลุขอบเขตพลัง เซียนปฐพี หรือเหนือกว่าเท่านั้น ที่จะสร้างร่างอวตารให้มีพลังฝึกปรือขอบเขตอริยะเซียนได้…
หานซิ่นเองก็เป็นถึงอริยะเซียนขั้นกลางคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วหากผู้ฝึกเต๋าเบื้องหน้า มิได้มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนนภา ก็ไม่มีทางที่ร่างอวตารของอีกฝ่ายจะทำอะไรมันได้
ผู้ฝึกเต๋าขอบเขต เซียนนภา น่ากลัวว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้จะไม่มี!
เพราะต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของขุมพลังกึ่งชั้น 3 หากแต่พลังฝึกปรือก็สมควรอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี เท่านั้น!
เหนือขอบเขตอริยะเซียน คือ เซียนมนุษย์
เหนือขอบเขตเซียนมนุษย์ คือขอบเขตเซียนปฐพี
เหนือขอบเขตเซียนปฐพี ก็คือขอบเขตเซียนนภา
ส่วนตัวตนที่มีขอบเขตพลังเหนือกว่าเซียนนภานั้น น่ากลัวว่าคงมีดำรงอยู่แต่ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น อย่างน้อยๆ เท่าที่หานซิ่นรู้มาภูมิภาคเบื้องล่างก็มีแค่เซียนปฐพีเท่านั้น ไม่มีแม้แต่เซียนนภาด้วยซ้ำ
“กบน้อยก้นบ่อ!”
ได้ยินวาจาปรามาสของหานซิ่น ร่างอวตารของสตรีเลอโฉมพลันเผยยิ้มเย็นชา
หลังจากนั้นไม่เห็นว่าที่แท้นางลงมืออย่างไรกันแน่ ทว่าความว่างเปล่ารอบๆกายของหานซิ่นคล้ายกำลังสะท้านสะเทือน และพวกมันเสมือนหดตัวลงกระทันหันราวถูกพลังมหาศาลบีบอัด!!
จังหวะนี้หานซิ่นที่เผยความเย้ยหยันดูแคลน ถึงกับต้องหรี่ตามองนางด้วยความตื่นตระหนก ในแววตายังฉายชัดถึงความสิ้นหวังอันล้นปรี่!
เพราะตอนนี้หานซิ่นพบว่าตัวมันไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรได้เลย ราวกับพื้นที่รอบกายของมันถูกผนึกไว้อย่างไรอย่างนั้น! ปราณแรกกำเนิดในร่างยังไม่อาจโคจรใช้ออก!!
มาตอนนี้หานซิ่นพึงตระหนัก ว่าร่างที่แท้จริงของนางทรงพลังน่าพรั่นพรึงปานใด…เพราะลำพังแค่ร่างอวตารมันก็จนปัญญาจะต้านทานแล้ว!!
“ใต้เท้าไว้ชีวิตผู้น้อยด้วย! ขอใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ได้โปรดเมตตาละเว้นผู้น้อยด้วย!!”
เผชิญหน้ากับความตาย ความหยิ่งผยองลำพองของหานซิ่นราวกับจะมลายหายไปสิ้น คงเหลือก็แต่ความหวาดกลัวเท่านั้น
ในฐานะตัวตนที่ดั้นด้นบุกฝ่ามาถึงขอบเขตพลังอริยะเซียน มันย่อมรู้ดีว่าต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากี่มากน้อย …
และในห้วงแห่งความเป็นตาย ในหัวมันพลันปรากฏฉากเรื่องราวมากมายครั้งอดีตแล่นวาบขึ้นมา ย้ำเตือนให้รู้ว่ามันเดินมาไกลถึงเพียงใดแล้ว…
ด้วยเหตุนี้มันจึงหวาดกลัว
หากมันตายไปทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า พลังฝึกปรือ สำนึกสติ ไม่เหลือแล้ว…
เช่นนั้นมันจึงละทิ้งความถือดีหยิ่งผยอง ความคิดเดียวในใจที่เหลือคืออยากมีชีวิตอยู่
น่าเสียดายแค่มันอยากมีชีวิตอยู่แล้วมันจะมีชีวิตอยู่ได้งั้นหรือ?
“ฮึ!”
ทันใดนั้นเองมือที่เรียวเล็กแลดูบอบบางของสตรีเลอโฉมพลันหุบลงกลายเป็นกำหมัด
และทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบๆร่างหานซิ่นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงดั่งมีคนทุ่มหินลงสระ พาลให้ผิวสระสงบก่อเกิดคลื่นระลอก กระเพื่อมพัดไปทั่ว
ความว่างเปล่าสะเทือนอย่างรุนแรง มองไปเป็นภาพอันน่าหวาดกลัว เพราะสรรพสิ่งคล้ายจะวูบหดลงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง จากนั้นภาพความว่างเบื้องหน้ากลายเป็นบิดเบือน ก่อนที่จะแตกระเบิดออกปานพลุไฟสว่างวาบ หลังจากนั้นก็คงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า…
นอกจากความว่างเปล่าแล้วไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย…
ฟืด!
ได้เห็นฉากเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจเบื้องหน้า หานเฉวี่ยไน่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ มองไปยังร่างอาจารย์ของนางอีกครั้ง แววตายังคล้ายมองคนแปลกหน้าเล็กน้อย
ตอนที่ 1,706 : เกิดเรื่องกับป๋ายลี่หง?
แต่ก่อนหานเฉวี่ยไน่รู้เพียงว่า…อาจารย์ของนางช่างลึกลับนัก!
ยิ่งไปกว่านั้นพลังฝีมือของอาจารย์ยังแข็งแกร่งกว่าบิดานางเสียอีก นี่เป็นอะไรที่นางตระหนักได้ด้วยตัวเอง!
อย่างไรก็ตามนางไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าพลังฝีมือของอาจารย์นางจะเหนือชั้นกว่าที่นางคิดไว้คนละโลก เพียงแค่พลิกฝ่ามือก็สังหารยอดฝีมือได้แล้ว?
ทั้งยังเป็นการบดขยี้อย่างสมบูรณ์!
ตั้งแต่ต้นจนจบหานซิ่นไม่มีแม้แต่โอกาสจะขัดขืน!
ต้องทราบด้วยว่าหานซิ่นคืออาวุโสสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจี พลังฝึกปรือบรรลุด่านอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญ!
“เฉวี่ยไน่ ตอนนี้เจ้าคิดถามอันใดก็ถามมาเถอะ…ร่างอวตารของอาจารย์สามารถคงสภาพอยู่ได้อีกราวๆ 30 ลมหายใจ”
ตอนนี้เอง เสียงสตรีเลอโฉมดังขึ้นดึงสติหานเฉวี่ยไน่ให้กลับมา
หานเฉวี่ยไน่ที่ได้ยินก็เสมือนวิญญาณกลับเข้าร่าง เร่งถามออกไปทันที “ท่านอาจารย์ ร่างอวตารคืออันใดหรือ?”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ฝึกเต๋าทะลวงขอบเขตอริยะเซียนจนบรรลุเซียนมนุษย์ได้สำเร็จ จะมีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมอีกอย่างก็คือการสร้างร่างอวตารของตัวเองจากพลัง! พลังที่ว่านั้นจักเรียกว่าพลังเวทย์ก็ได้ และร่างอวตาร..ฯลฯ”
เมื่อได้ยินคำถามของหานเฉวี่ยไน่ สตรีเลอโฉมก็พยายามใช้คำง่ายๆมาอธิบายให้นางเข้าใจ
“ท่านอาจารย์เช่นนั้น ร่างอวตารก็มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าร่างจริง 2-3 ขอบเขตเชียวหรือ?”
หลังได้ยินอาจารย์กล่าวอธิบายเรื่องร่างอวตาร หานเฉวี่ยไน่ก็เบิกตากลมกว้างมองดูเงาร่างอาจารย์เบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนก “ท่านอาจารย์ลำพังร่างแค่อวตารของท่าน…กลับฆ่าหานซิ่นที่บรรลุอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ ยังง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือ…เช่นนั้นท่านบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาแล้วงั้นหรือ?”
เซียนนภา!
ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะเคยได้ยินเรื่องเล่าของขอบเขตเพลังเซียนนภามาบ้าง แต่นางก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย เพราะนั่นคือขอบเขตพลังที่อยู่ไกลเกินนางจะเอื้อมถึง
ทั้งยังกล่าวกันอีกว่า ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ร้ายกาจที่สุดอย่างตำหนักเมฆาคราม จ้าวตำหนักยังมิอาจบรรลุถึงขอบเขตเซียนนภาได้ด้วยซ้ำ…
สตีเลอโฉมเพียงแย้มยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้กล่าวบอกว่าใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไหนเลยหานเฉวี่ยไน่ที่เคยสนิทสนมกับนางจะไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนี้ของท่านอาจารย์ ลูกตาของนางเบิกกว้างเป็นลูกวัวแรกเกิด เร่งถามออกมาเสียงแจ้ว “ฮ้า! ภูมิภาคเบื้องล่างมิมีตัวตนเช่นนั้น หมายความว่าท่านอาจารย์…”
“เอาล่ะ คงถึงเวลาที่ต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว…”
สตรีเลอโฉมพลันกล่าวขัดออกมา ก่อนที่หานเฉวี่ยไน่จะกล่าวถามจบคำ “มิผิด อาจารย์มาจากภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า”
ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
แม้หานเฉวี่ยไน่จะคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่พอได้ฟังคำยืนยันจากปากจริงๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงกับความเป็นมาของอาจารย์
“ท่านอาจารย์แล้วตอนนี้ท่านอยู่ที่ภูมิภาคเบื้องบนหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อลดความตื่นเต้นค่อยกล่าวถามออกมา
“อื้ม”
หญิงงามพยักหน้าพร้อมแย้มยิ้มบางๆ “เฉวี่ยไน่ เจ้าเตรียมตัวไวนะ อีกครั้งปีอาจารย์จะพาเจ้าขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะด้านบนดีกว่าเบื้องล่างยิ่ง”
ไปยังภูมิภาคเบื้องบน!
ได้ยินวาจานี้ของอาจารย์แสนสวย ร่างหานเฉวี่ยไน่สะท้านไปอีกครา
สำหรับนางแล้ว ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเป็นดั่งดินแดนในตำนานอันลี้ลับ
เรื่องสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะจะดีกว่าหานเฉวี่ยไน่ก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะสุดท้ายแล้วนั่นคือสถานที่ๆรวมเหล่าสุดยอดฝีมือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ภูมิภาคเบื้องล่าง ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เป็นดั่งมหาอำนาจยักษ์ใหญ่
ทว่าภูมิภาคเบื้องบนนั้น อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 3 จริงๆ กระทั่งขุมพลังชั้น 2 ชั้น 1 ยังมี!
“ท่านอาจารย์ มิใช่การจะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน ต้องมีพลังฝึกปรือเหนือขอบเขตอริยะเซียนก่อนหรือ ถึงจะไปมาระหว่าง 2 ภูมิภาคได้อย่างอิสระ? ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้เกรงว่าคงไม่อาจไปได้”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวถาม
หากเลือกได้นางก็อยากขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนกับอาจารย์
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้นางตระหนักได้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง
หากนางมีพลังอำนาจ นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้ง จะบีบคั้นให้นางแต่งกับมันได้อีกหรือ?
“เด็กโง่ หากเจ้าไปคนเดียวด่านพลังมิเกินอริยะเซียนย่อมไปมิได้…แต่หากมียอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปนำพาเจ้าย่อมไปได้แน่ อีกทั้งยิ่งพลังฝึกปรือของผู้นำพายิ่งสูง ยิ่งพาผู้คนไปได้มาก”
สตรีโฉมงามส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะค่อยๆอธิบาย
“ได้! ครึ่งปีหลังจากนี้ข้าจะไปภูมิภาคเบื้องบนกับท่านอาจารย์!!”
เมื่อรู้ว่าหลังจากนี้ครึ่งปี จะได้ไปภูมิภาคเบื้องบน หานเฉวี่ยไน่ก็ตื่นเต้นยินดีนัก
ครู่ต่อมานางพลันนึกถึงเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 “ท่านอาจารย์ แล้วหากข้าอยากพาเสี่ยวเฮยเสียวไป๋แล้วก็เสี่ยวจินไปด้วยล่ะ…พอจะเป็นไปได้ไหม”
“ได้สิ”
เห็นชัดว่าสตรีเลอโฉมก็รู้ถึงตัวตนเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 เช่นกัน
และพอเห็นว่าแววตาของหานเฉวี่ยไน่เรืองสว่างขึ้นมาคล้ายนึกถึงใครได้ออก สตรีเลอโฉมก็แย้มยิ้มและกล่าวดักคอขึ้นมาทันที “ขอเพียงมิใช่พี่ใหญ่หลิงเทียนของเจ้า ข้าสัญญาว่าจะพาทุกคนที่เจ้าอยากพาไปยังภูมิภาคเบื้องบนให้”
“อ้าว ทำไมพี่ใหญ่ไปไม่ได้เล่าท่านอาจารย์?”
แม้ไม่ทราบว่าไฉนอาจารย์ถึงเดาความคิดในหัวของนางได้ แต่หานเฉวี่ยไน่ก็เอียงคอกล่าวถามออกมาด้วยความฉงนใจ
ฟังแล้วคงไม่ใช่อาจารย์นางมีอคติกับพี่ใหญ่หลิงเทียนหรอกนะ?
หาไม่แล้วทำไมต้องจงใจเว้นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางเล่า?
“อืม…ข้ามิมีเวลามากพอจะอธิบายเจ้าเรื่องนี้…เพียงจำคำที่อาจารย์กล่าวบอกไว้ อีกครึ่งปีคำถามนี้ของเจ้า อาจารย์จะมาตอบให้…”
ทันทีที่สตรีเลอโฉมกล่าวจบคำ ร่างอวตารของนางก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทันใดนั้นห้องโถงกว้างใหญ่ ก็คงเหลือแต่หานเฉวี่ยไน่ กับร่างไร้วิญญาณของชิงหนู
เมื่อเห็นร่างชิงหนู อารมณ์ตื่นเต้นก่อนหน้าก็หายไปกลายเป็นเศร้าใจอีกครั้ง นางก้มลงไปกอดร่างดังกล่าว ใจยังรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่นางทำได้
“ชิงหนู เห็นแล้วหรือไม่ ท่านอาจารย์ล้างแค้นให้ท่านแล้ว…”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวรำพันออกมาด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน ดวงตาคู่งามกลมใสเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
ภายในเวลาแค่ไม่กี่วันข่าวการตายของอาวุโสสูงสุดคฤหาสน์คลื่นขจี หานซิ่น ก็แพร่ไปทั่วทั้งคฤหาสน์ ทำให้คนที่อยู่ฝ่ายหานซิ่นเกิดอาการแตกตื่นเป็นกังวลไม่น้อย
แม้หานซิ่นจะตกตายไป แต่ไม่มีใครเศร้ากับการจากไปของมัน
นั่นเพราะมันทำผิด ที่คิดสังหารคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจี หานเฉวี่ยไน่!
“ไม่คิดเลยว่าหานซิ่นจะเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิก ยังกล้าคิดร้ายหมายฆ่าคุณหนูใหญ่…โชคดีนักที่อาจารย์ของคุณหนูใหญ่ปรากฏตัวมาช่วยเหลือได้ทันเวลา”
“ไฉนก่อนหน้านี้ข้ามิเคยเห็นด้านโหดเหี้ยมนี้ของผู้อาวุโสสูงสุดกันนะ…”
“แต่ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ที่แท้อาจารย์ของคุณหนูใหญ่บรรลุพลังฝึกปรือขอบเขตใดกันแน่ ถึงกับฆ่าอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญได้…หากนางเต็มใจอยู่ในคฤาหสน์คลื่นขจี และร่วมต่อสู้กับพวกเรา คฤหาสน์คลื่นขจีต้องเอาชนะขุมพลังชั้น 5 อื่นๆ กระทั่งยกระดับเป็นขุมพลังชั้น 4 ได้แน่!”
……
ภายในคฤหาสน์คลื่นขจี มีแต่วาจาทำนองนี้กล่าวกันให้วุ่น
ต่างจากการตายของหานซิ่นที่ไร้ผู้ใดแยแส ชิงหนูถูกจัดงานศพอย่างดี และเป็นพิธีศพที่มีเกียรติสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจี
ต้วนหลิงเทียนที่จากไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์คลื่นขจีเลย
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้กลับมาถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน กระทั่งกลับมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงเรียบร้อยแล้ว
“ข้ากลับมาแล้ว!”
มองไปยังภาพเมืองหลวงเบื้องล่างแววตาของต้วนหลิงเทียนคงมีแต่ความเฉยเมย
สำหรับประเทศฝูเฟิงแล้วเขาเป็นแค่คนผ่านทาง และสำหรับเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ก็เปรียบดั่งจุดเริ่มต้นการเดินทางครั้งหนึ่งของเขาเท่านั้น
ที่เขาหวนกลับมา เพราะมีสหายและคนสำคัญอยู่ที่นี่
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เปลี่ยนใบหน้าตัวเองใหม่โดยใช้ทักษะลับแปลงโฉม
แต่นามที่เขาใช้เรียกหาตัวเองยังคงเป็นลี่เฟิง
ทว่าใบหน้าใหม่นี้ไม่ใช่ใบหน้าเดียวกับที่เขาใช้ในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หากแต่เป็นหน้าตาที่แลดูธรรมดาๆ
หลังจากเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังตระกูลซือถูทันที เพราะเขาได้ตระเตรียมให้สหายและครูของเขาพักอยู่ที่นี่ก่อนจากไป
หลังจากผ่านไป 1 ปี ตระกูลซือถูก็แลดูเหมือนวันวานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
ทว่าการเข้ามายังตระกูลซือถูของต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ ไม่ได้เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยทางประตูใหญ่ แต่เป็นการลอบเข้ามาอย่างลับๆ ปานโจรย่องเบา
เพราะต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าตอนนี้สมควรมีคนมากมายที่จับตาดูตระกูลซือถู
อย่างไรก็ตามพลังฝึกปรือของผู้ที่จับตาดูตระกูลซือถู อย่างดีก็เป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเท่านั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่กลัวที่จะถูกตรวจพบแต่อย่างไร
จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี ว่าทั้งหมดไม่พ้นหมายปองตราผนึกมารที่อยู่ในการครอบครองของเขา
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึงสถานที่ๆ ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆพักอาศัย
‘หืม? ทุกคนอยู่กันครบ ยกเว้นศิษย์พี่คนเดียว…’
ต้วนหลิงเทียนพบว่าเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง และคนอื่นๆมานั่งล้อมวงสนทนากันในบ้านพักป๋ายลี่หง
ทว่าสีหน้าทุกคนล้วนเคร่งเครียดจริงจัง คิ้วยังยู่ย่นเป็นปม
‘เกิดอะไรขึ้น?’
เห็นฉากนี้หน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลงทันใด
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบสถานการณ์ด้านนอก
เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ที่ดูเคร่งเครียดคิ้วย่นไม่คลาย คล้ายจะพบเจอปัญหาหนักอึ้งบางประการ เนิ่นนานยังไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบงัน ทั้งหมดจึงคืนสติ กลับมาระวังตัวทันที
“เจ้าเป็นผู้ใด?”
เฟิ่งหวู่เต้ามองไปยังร่างตค้วนหลิงเทียนเขม็ง กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนแปลงรูปโฉมอยู่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่มีใครจดจำได้
“ลุงเฟิ่ง ข้าเอง”
ภายใต้สายตามองเขม็งแฝงระวังจากเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มขยับยักย้าย พริบตารูปหน้าก็แปรเปลี่ยนไป กลับคืนสู่โฉมหน้าหล่อเหลาของเขา
“นี่มัน…”
เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆถึงกับตกตะลึงไม่น้อยเมื่อเห็นกลวิธีพิสดารแบบนี้
อย่างไรก็ตามพอเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนพวกมันก็คืนสติกลับมาทันที
ตอนที่ต้วนหลิงเทียนออกเดินทางไป ทั้งหมดไม่มีใครรู้ว่าต้วนหลิงเทียนจะกลับมาเมื่อไหร่ ทว่าทุกคนไมคิดเลยว่าพึ่งผ่านไปได้แค่ 1 ปี ต้วนหลิงเทียนจะย้อนกลับมาแล้ว!
ต้วนหลิงเทียนมาเช่นนี้ พวกมันสมควรมีความสุข ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับไม่อาจมีความสุขได้ เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของป๋ายลี่หง
“ลุงเฟิ่ง..ครู ศิษย์พี่ป๋ายลี่เล่า อยู่ที่ไหน?”
เมื่อเห็นเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆชักสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที
“ปรมาจารย์ป๋ายลี่อยู่ในวังหลวง…”
ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“วังหลวง?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “ไฉนศิษย์พี่ถึงไปอยู่ในวังหลวงได้? ไม่ใช่ศิษย์พี่เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนของตระกูลซือถูหรือไง?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสียงกล่าวถามคราวนี้เริ่มเปลี่ยนไป
ตอนที่ 1,707 : โลหิตย้อมวังหลวง!
“เจ้าหนูหลิงเทียน…เรื่องมันเป็นเช่นนี้”
เฟิ่งหวู่เต้าระบายลมหายใจออกเฮือกหนึ่งค่อยกล่าว “หลังจากที่เจ้าจากไป ไม่เพียงแต่ตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงจะจับตาดูพวกเรา กระทั่งยอดฝีมือจากขุมพลังอื่นๆ ก็กระทำเช่นเดียวกัน…เพราะสุดท้ายมีเพียงพวกเราเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ผู้ครอบครองตราผนึกมาร”
“อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเราตัดสินใจกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่ามิรู้จริงๆว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด พวกมันก็ไม่มารบกวนพวกเราอีกเลย…บางทีพวกมันคงคิดว่าเจ้าอาจจะไปหลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัวหากมีข่าวว่าพวกเราถูกสังหารแพร่ออกไป”
เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวเล่าออกมา
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับฟังด้วยความเข้าใจ เขาคิดไว้แล้วว่าเรื่องทำนองนี้ต้องเกิดขึ้น ถึงได้จงใจจากไปโดยไม่บอกเงื่อนงำไว้ให้ใคร
ตราบใดที่เขาไม่กล่าวถึงจุดหมายและวัตถุประสงค์ ทุกคนย่อมไม่รู้และไม่มีทางเดือดร้อนจากการถูกเค้นเอาคำตอบ เพราะทั้งหมดสามารถสาบานว่าไม่รู้ที่อยู่ของเขาจริงๆ…
“ว่าแต่แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หรือ ไฉนถึงได้ไปอยู่ที่วังหลวงได้เล่า?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งขดแน่น ด้วยไม่เข้าใจว่าตระกูลราชวงศ์มันคิดทำอะไรกันแน่
“เมื่อมินานมานี้ปรมาจารย์ป๋ายลี่ได้ทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น และหลังจากทะลวงด่านได้ไม่นานท่านก็บรรลุความสามารถถึงปรมาจารย์จารึกเซียนขั้นที่ 4…เรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับตระกูลซือถูนัก เพราะท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู…ทว่าหลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปได้ไม่ทันไร คนของตระกูลราชวงศ์ก็มาพาตัวท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ไป”
ประกายตาของซื่อหม่าฉางฟงเผยแสงเยียบเย็น “ยามนั้นคนของตระกูลราชวงศ์นับว่าหยิ่งยะโสโอหังนัก แม้ปรมาจารย์ป๋ายลี่บอกปฏิเสธแล้ว รวมถึงผู้นำตระกูลซือถูกับคุณชายใหญ่พยายามหยุดพวกมันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายก็ได้แต่มองพวกมันจับตัวปรมาจารย์ป๋ายลี่ไปอย่างจนปัญญาเหมือนพวกเรา..”
“แต่เรื่องนี้เจ้ามิอาจโทษผู้นำตระกูลซือถูกับคุณชายใหญ่ได้ ทั้งคู่พยายามเต็มที่แล้ว…”
วาจาท้ายประโยคของซื่อหม่าฉางฟงยังกล่าวช่วยเหลือพ่อลูกตระกูลซือถู ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะมีโมโหและโทษอีกฝ่ายว่าไร้สามารถ
“ครู ช่วยเล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ข้าฟังโดยละเอียดหน่อย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม
หลังจากนั้น เป็นเฉินเฉ่าช่วยกับหนานกงยี่ที่คับแค้นใจ ผลัดกันกล่าวเล่าเรื่องราวออกมาทั้งใส่อารมณ์เต็มที่ ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องราวกระจ่าง
3 เดือนที่แล้ว ป๋ายลี่หงทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้น และไม่นานก็กลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาว
2 เดือนที่แล้ว คนในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงอันมีอาวุโสระดับสูงที่บรรลุพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดนำมา ได้บุกมายังตระกูลซือถูอย่างอุกอาจ และจับตัวป๋ายลี่หงกลับไปโดยไม่ฟังคำทัดทานของป๋ายลี่หง ผู้นำตระกูลซือถูกับคุณชายใหญ่ก็ได้พยายามขัดขวางเต็มกำลัง
อนิจจาทั้งคู่สู้ไม่ได้ ยังถูกทำร้ายจนอาการสาหัส!
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าพ่อลูกเกี่ยวดองกับตระกูลราชวงศ์อยู่บ้าง วันนี้ชีวิตสุนัขของพวกเจ้าพ่อลูกคงยากจะเก็บไว้!”
และนั่นเป็นวาจาที่คนของตระกูลราชวงศ์ผู้นั้นทิ้งไว้ให้กับซือถูฮ่าวและซือถูเหิงที่อาการเจียนตาย ก่อนที่จะจับตัวป๋ายลี่หงจากไป
“สารเลว!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเย็นเยือก ใบหน้ายังคล้ายจะมีชั้นน้ำแข็งฉาบเคลือบ
อาศัยพลังฝึกปรือแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด มันคิดว่าเก่งกล้าไร้ใครต่อกรได้แล้ว?
“ข้ารู้ดีว่านิสัยศิษย์พี่ข้าเป็นอย่างไร หากบอกไม่ก็คือไม่ต่อให้พวกระยำตระกูลราชวงศ์นั่นจะบีบคั้นเพียงใด…แล้วนี่มันก็ผ่านมาตั้ง 2 เดือนแล้ว พวกบัดซบนั่นยังไม่ปล่อยศิษย์พี่ออกมาอีกหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา เขาก็พบว่าสีหน้าของทุกคนย่ำแย่ลงทั้งกลายเป็นละล้าละลัง ราวกับมีบางอย่างคิดกล่าวแต่ก็ไม่กล้ากล่าว ทำให้ใจเขาเต้นผิดจังหวะไปทันใด “เกิดเรื่องอะไรกับศิษย์พี่?”
ทันใดนั้นเองจิตสังหารอำมหิตพลันทะลักออกมาทั่วร่างต้วนหลิงเทียน พาลให้บรรยากาศในห้องหับกลับกลายเป็นเย็นยะเยือกลงทันใด
จิตสังหารที่เอ่อล้นออกมานี้ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆสัมผัสได้ชัดเจน ทั้งหมดย่อมรับรู้ถึงโทสะอารมณ์เขาเป็นอย่างดี
“เจ้าต้วน จากที่ข้าลอบไปฟังข่าวจากคนของราชวงศ์มา…ตอนนี้ดูเหมือนพวกมันกำลังทรมานปรมาจารย์ป๋ายลี่อยู่ เพื่อบีบคั้นให้ปรมาจารย์ป๋ายลี่สาบานว่าจะรับใช้พวกมันในฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวของราชวงศ์…แน่นอนว่าปรมาจารย์ป๋ายลี่ยังไม่ยินยอม…แม้ปรมาจารย์ป๋ายลี่จะบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว แต่อย่างไรเขาก็ยังคงเป็นแค่คนๆหนึ่ง…ข้าคิดว่าคงทนอยู่ได้อีกมินานแล้ว”
หนานกงยี่กล่าวออกมาอย่างสลดใจ
“ศิษย์พี่!”
สิ้นคำหนานกงยี่ ปราณสุริยันทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนพลันโคจรไหลเชี่ยวไปทั่วกายทันที ลูกตายังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน จิตสังหารยิ่งมายิ่งทรงพลังอำมหิต “ราชวงศ์ฝูเฟิง! พวกเจ้าประเสริฐนัก!!”
เรียกว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนโมโหอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังถึงจุดที่ยากจะทานทนเจียนระเบิดเต็มที
ตอนนี้เองเฉินเฉ่าช่วยที่รู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไร มันพลันก้าวออกไปตบบ่าต้วนหลิงเทียนทั้งกล่าวออกเสียงเครียด “ต้วนหลิงเทียนข้ารู้ดีว่ามันยากที่เจ้าจะทนไหว แต่ข้าอยากให้เจ้าใจเย็นลงก่อน…อันที่จริงลุงเฟิ่งได้ลองไปขอความช่วยเหลือจากประมุขสื่ออวิ๋นแล้ว และตอนแรกพวกเราคิดว่าเรื่องนี้คงจะจัดการไม่ยาก เพราะผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในตระกูลราชวงศ์ก็เพียงทัดเทียมกับประมุขสื่ออวิ๋น เพียงนางออกหน้าต้องจัดการได้แน่…”
“แต่ผู้ใดจะไปคิด ว่าหลังที่เจ้าจากไป กลับมียอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาถึงประเทศฝูเฟิง เพราะหมายปองในตราผนึกมาร และมันก็ได้รับการปฏิบัติจากตระกูลราชวงศ์อย่างแขกกกิตติมศักดิ์…ทำให้วันที่ประมุขสื่ออวิ๋นพยายามไปช่วยปรมาจารย์ป๋ายลี่ นางไม่เพียงทำไม่สำเร็จ ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา…”
เฉิ่นเฉ่าช่วยกล่าวเล่าออกมาด้วยความคับแค้น
“หึ! เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดงั้นหรือ?!”
ต้วนหลิงเทียนแค่นเสียงเย้ยหยันออก
ถึงแม้เขาจะเคยฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาแค่คนเดียว อีกทั้งยังเป็นคนที่พึ่งทะลวงผ่าน
แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้กำลังภายนอก และเป็นพลังฝีมือส่วนตัวล้วนๆ
หากเขาใช้ตราผนึกมาร ย่อมฆ่าอีกฝ่ายได้ในเสี้ยวพริบตา!
และต่อให้ไม่ใช้ตราผนึกมาร เพียงชักกระบี่นิลสวรรค์จ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงไปสัก 2 ส่วน มันก็ต้องตายอย่างไม่ทันรู้ตัว!
ด้วยด่านพลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้ หากเขาจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงไปในกระบี่นิลสวรรค์ เขาฆ่าอริยะเซียนทั่วๆไปได้ง่ายดายนัก!
อย่างไรก็แล้วแต่ พอต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่องที่ประมุขสื่ออวิ๋นบาดเจ็บเพราะคิดช่วยเหลือป๋ายลี่หง เขาก็ซาบซึ้งน้ำใจนางไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีอะไรมากมายกับประมุขสื่ออวิ๋น นอกจากเรื่องที่มีเฟิ่งเทียนหวู่เป็นคนเชื่อมไมตรี
‘หลังจากที่ข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าต้องไปขอบคุณประมุขสื่ออวิ๋นถึงนิกายอัคคีลิ่วล่องสักครั้ง ยังจะได้ถามว่าเทียนหวู่กลับมาแล้วรึยังด้วย’
ต้วนหลิงเทียนเริ่มคิดวาดแผนในใจ
“ทุกคนอย่าได้บอกใครว่าข้ากลับมารวมถึงผู้นำตระกูลซือถูกับคุณชายใหญ่ด้วย…สำหรับศิษย์พี่ป๋ายลี่ วันนี้ต้องได้กลับมายังตระกูลซือถูแน่ และนับจากวันนี้เป็นต้นไป ตระกูลราชวงศ์มันจะไม่กล้าแตะต้องทุกคนอีก!”
เมื่อเผชิญกับความกังวลของทุกคน ต้วนหลิงเทียนเพียงมองเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆด้วยความซาบซึ้ง ยังรู้สึกอบอุ่นในใจนัก
และทันทีที่เขากล่าวจบคำ ร่างของเขาก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆย่อมไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจหลังได้ฟังวาจาดังกล่าวของเขา พาลให้ตะลึงกันไปไม่น้อย
หลังจากนั้นพักหนึ่งทุกคนค่อยคืนสติ
“ที่เจ้าต้วนมันกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนไปนั่นหมายความว่าอะไรกัน…หรือเจ้านั่นสามารถช่วยปรมาจารย์ป๋ายลี่ได้?”
หนานกงยี่กล่าวถามออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
“นั่นไม่น่าเป็นไปได้! ตระกูลราชวงศ์เข้มแข็งนัก ยังมีเซียนดั้งเดิมหลายต่อหลายคน…แถมตอนนี้พวกมันยังมีเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคุ้มกะลาหัวอยู่อีกคน…ตอนนี้ต่อให้มีเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคิดช่วยปรมาจารย์ป๋ายลี่จากตระกูลราชวงศ์ยังยาก! แม้ต้วนหลิงเทียนสมควรมีความก้าวหน้า แต่ในเวลาแค่ปีเดียวก็คงมิอาจต่อกรเซียนขัดเกลาได้มิใช่หรือ?”
เฉินเฉ่าช่วยส่ายหัวไปมา มันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะช่วยป๋ายลี่หงออกจากสถานที่อันตรายราวกับถ้ำเสือแดนมังกรอย่างตระกูลราชวงศ์ได้
“บางทีเจ้าต้วนมันอาจมีแผน หรือไม่ก็อาจไปขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือคนอื่นๆ!”
หนานกงเฉินที่ไม่ค่อยพูด พลันกล่าวออกมาอย่างหาได้ยาก
“จะอย่างไรพวกเราก็ได้แต่รอฟังข่าว ในเมื่อกล่าวมาเช่นนี้ และตั้งแต่ที่ข้ารู้จักเจ้าหนูหลิงเทียนมา…เจ้าหนูมิเคยทำอะไรที่ไม่มั่นใจมาก่อน คราวนี้ก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น”
ถึงแม้ว่าเฟิ่งหวู่เต้าจะตกใจและยากจะเชื่อคำทิ้งท้ายของต้วนหลิงเทียน แต่พอคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านในอดีตของต้วนหลิงเทียน มันก็รู้สึกเชื่อใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทุกคนเองพอได้ยินคำของเฟิ่งหวู่เต้าก็ตระหนักได้
ถูกแล้ว
ต้วนหลิงเทียนไม่เคยทำให้พวกมันผิดหวังเลย
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เรื่องราวของต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งปาฏิหาริย์สำหรับพวกมัน
โดยเฉพาะซื่อหม่าฉางฟง มันเป็นคนที่เข้าใจความอัศจรรย์ของต้วนหลิงเทียนดีกว่าใคร!
กาลครั้งหนึ่งต้วนหลิงเทียนเป็นแค่คนต่างแซ่ในตระกูลเล็กๆ จากเมืองที่ล้าหลังที่สุดในอาณาจักรนภาล่อง…หากแต่สุดท้ายจากจุดต่ำสุด ก็สามารถทะยานขึ้นไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของทวีปเมฆาล่องได้!
ตอนนี้แม้จะมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว แต่ยังคงสร้างเรื่องราวอภินิหารยากจะหยุดยั้ง ราวกับไร้สิ่งใดจะขัดขวางทางเดินของเขาได้
ด้วยเหตุนี้ซื่อหม่าฉางฟงจึงเชื่อมั่นในตัวต้วนหลิงเทียนนัก
สำหรับฉงเฉวียนกับโฉดคลุมทองถึงแม้ทั้งคู่จะไม่อาจติดตามรับใช้ต้วนหลิงเทียนได้เหมือนกาลก่อน เพราะพลังฝีมือที่ต่างกันเกินไป แต่พวกมันก็ยังศรัทธาในตัวนายน้อยและเจ้านายของพวกมันหมดใจ
เมื่อนายน้อยทั้งเจ้านายกล่าวว่าสามารถช่วยป๋ายลี่หงได้ในวันนี้ เช่นนั้นป๋ายลี่หงก็ต้องกลับมาก่อนพรุ่งนี้แน่นอน!!
ไม่ว่าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆจะคิดเห็นเช่นไร ด้านต้วนหลิงเทียนที่ออกจากตระกูลซือถูก็บุกไปยังวังหลวงทันที!
วังหลวงแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนตระกูลราชวงศ์ทุกคน
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แปลงโฉมกลับมาใช้หน้าปลอมที่แลดูธรรมดา ยากจะแยกหากตกไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน
และด้วยพลังฝีมือในปัจจุบันของเขา คิดลอบเข้าวังหลวงไปหาคนย่อมกระทำได้ง่ายดายอย่างที่ไม่อาจมีใครจับสัมผัสได้
และไม่นานเขาก็สืบจนพบสถานที่คุมขังป๋ายลี่หง กระทั่งลอบเข้าไปอย่างแยบคาย จนพบตัวป๋ายลี่หงในที่สุด
“ศิษย์พี่…”
แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพมาแล้ว แต่ใจต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะตกวูบลงเมื่อเห็นสภาพเลือดชโลมกายของป๋ายลี่หง อีกฝ่ายถูกจับแขวนไว้ราวกับสัตว์ ตามร่างเต็มไปด้วยร่องรอยการทรมานอย่างยากจะทานทน
“ผู้ใด?”
ต้วนหลิงเทียนที่ปกปิดพลังทั้งอาศัยประสบการณ์ทำให้กลมกลืนไปกับความมืดราวภูตผี แม้จะห่างกันไม่กี่ก้าวแต่ก็ยากที่จะแลเห็น ทำให้หากต้วนหลิงเทียนไม่กล่าวเรียกออก ป๋ายลี่หงก็ไม่อาจพบเขาได้
และแน่นอนว่าทันทีที่ป๋ายลี่หงกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมา ทหารที่เฝ้ายามพลันรู้ตัวทันทีว่ามีเรื่องราวผิดท่า…
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่คิดปราณีคนที่มีส่วนร่วมในการทรมานป๋ายลี่หง
และในบรรดาทหารที่เฝ้าทั้งหมด เก่งสุดก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น
ฆ่าพวกมันก็เป็นเรื่องราวอันง่ายดาย ที่ไม่ต่างอะไรกับตัดหญ้าฆ่าไก่สำหรับต้วนหลิงเทียน!
เพียงเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ทหารกว่าครึ่งร้อยที่อยู่ในคุก ศรีษะก็แตกระเบิดดังโผละปานพลุไฟ! ตกตายลงอย่างที่ไม่อาจตกตายได้มากกว่านี้…แถมกระทั่งถูกอะไรตายพวกมันยังมิอาจทราบได้…
ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ต่อให้ไม่ใช้สิ่งของใดอื่นเสริมพลัง ก็ยังมีพลังทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด การจัดการทหารที่อย่างดีก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นกลาง อาศัยแค่พลิกฝ่ามือปลดปล่อยพลังไร้สภาพขุมหนึ่งออกไปก็มากเกิน…
ตอนที่ 1,708 : โต้งๆ!
ในขณะที่ทำลายโซ่ตรวนและเครื่องพันธนาการจนปลดปล่อยป๋ายลี่หงได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
‘พลังฝึกปรือของศิษย์พี่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว กับอีแค่การทรมานร่างกายด้วยกลวิธีปกติพวกนี้ไม่น่าจะทำให้ศิษย์พี่เจ็บปวดถึงขั้นสิ้นสติได้เลยนี่นา…’
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มสำรวจสภาพร่างกายป๋ายลี่หงทันที
ไม่นานเขาก็พบว่าที่แท้ในร่างของป๋ายลี่หง มีบางสิ่งที่คอยผนึกยับยั้งปราณแรกกำเนิดเอาไว้!
และพลังดังกล่าวยังอ่อนตัวลงทุกขณะ เพราะปราณแรกกำเนิดป๋ายลี่หงเองก็พยายามจะขัดขืน หมายทำลายพลังอำนาจของมัน
หากดำเนินไปในรูปแบบนี้ไม่กี่สิบวัน พลังแปลกปลอมดังกล่าวสมควรแพ้พ่ายปราณแรกกำเนิดของป๋ายลี่หงในที่สุด และทำให้พลังของป๋ายลี่หงฟื้นฟู…
‘โอสถผนึกแรกกำเนิด?’
ใจต้วนหลิงเทียนปรากฏชื่อโอสถชนิดหนึ่งขึ้นมาทันที มันเป็นโอสถที่สามารถระงับพลังปราณแรกกำเนิดของขอบเขตเซียนได้…
ทว่าเว้นเสียแต่จะถูกบีบบังคับให้กลืนโอสถดังกล่าวลงไป น่ากลัวว่าคงไม่มีใครเผลอกินมันเด็ดขาด
นั่นเพราะโอสถตัวนี้มีลักษณะพิเศษประการหนึ่ง ก็คือกลิ่นของมันฉุนอย่างรุนแรง! ต่อให้พยายามอย่างไรก็ยากที่จะกลบกลิ่นของมันได้!!
คล้ายๆกับผงผนึกปราณแรกกำเนิด
ผงผนึกปราณแรกกำเนิดก็เป็นดั่งชื่อ มันเป็นโอสถชนิดผงที่สามารถผนึกปราณแรกกำเนิดได้ หากแต่กระทำได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามโอสถผนึกแรกกำเนิดนั้นจะมีอานุภาพรุนแรงกว่า แถมโอสถผนึกแรกกำเนิดยังมีหลายระดับนัก เพื่อใช้กับขอบเขตเซียนในขีดขั้นต่างๆ..
แน่นอนว่าผลของโอสถแรกกำเนิดก็เพียงคงอยู่ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะปราณแรกกำเนิดเองก็พยายามต่อสู้ต้านทาน ฤทธิ์ยาเองก็เสื่อมถอยลงตามเวลา สุดท้ายถึงจุดหนึ่งมันก็ไม่อาจยับยั้งปราณแรกกำเนิดได้อีก
‘แบบนี้นี่เอง…เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากศิษย์พี่จะตายเพราะการทรมานพวกนี้…’
ทันใดนั้นใบหน้าต้วนหลิงเทียนพลันเต็มไปด้วยโทสะทันที
ป๋ายที่หงที่ถูกฤทธิ์ของโอสถผนึกแรกกำเนิด ก็แทบไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา ย่อมไม่อาจทานทนรับการทรมานแบบนี้ได้นาน
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาใส่ใจสภาพร่างกายของป๋ายลี่หงและฤทธิ์โอสถผนึกแรกกำเนิด ‘จากฤทธิ์ของโอสถนี่ มันทำได้แค่ระงับพลังปราณแรกกำเนิดของเซียนดั้งเดิมเท่านั้น…ตราบใดที่เป็นเซียนขัดเกลา…จริงสิ ปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้าสมควรขับมันออกได้! ถึงปราณสุริยันข้าจะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิม แต่พลังอำนาจของมันเหนือกว่าเซียนดั้งเดิมทั่วไปหลายขุม!!
เมื่อคิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนพลันสว่างวาบขึ้นมาทันใด
และไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาคิดถูก
เพียงแค่ใช้ 2 ฝ่ามือประกบแผ่นหลังป๋ายลี่หงเอาไว้ แล้วโคจรปราณสุริยันแรกกำเนิดให้ถ่ายทอดไหลเวียนไปในร่างของป่ายลี่หงไม่ทันไร เขาก็ตระหนักได้ชัดว่าฤทธิ์ของโอสถผนึกแรกกำเนิดที่อยู่ในร่างกายของป๋ายลี่หง เสมือนหนูหวาดแมวทันทีที่พบปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา!
เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็เดินพลังไปทั่วร่างของป๋ายลี่หง ฤทธิ์โอสถก็ถูกปราณสุริยันแรกกำเนิดผลาญจนเป็นไอระเหย ถูกขับออกไปจากตัวป๋ายลี่หงหมดสิ้น
และตอนนี้ปราณแรกกำเนิดของป๋ายลี่หงก็ไม่ถูกผนึกยับยั้งสืบไป มันโคจรไปทั่วร่าง ฟื้นคืนพลังอำนาจของเซียนดั้งเดิมให้ป๋ายลี่หงทันที!
และเมื่อปราณแรกกำเนิดโคจรในร่างป๋ายลี่หงไม่กี่รอบ คนก็พลันคืนสติขึ้นมา ทว่าใบหน้าแรกที่เห็น กลับเป็นใบหน้าที่มันไม่คุ้นตา “จะ…เจ้าเป็นผู้ใด”
“ศิษย์พี่ ข้าเอง!”
ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งนึกได้กล่าวตอบพร้อมเปลี่ยนรูปโฉมให้กลับมาเหมือนก่อน
“ศิษย์น้อง”
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงถึงกับโพล่งคำออกมาด้วยความตกตะลึง สองตาเบิกกว้างมองต้วนหลิงเทียนไม่วาง “จะ…เจ้าไฉนมาได้?!”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำ ป๋ายลี่หงพลันสังเกตเห็นซากศพไร้ศีรษะมากมายที่สร้างสายธารโลหิตย้อมชโลมพื้น…จากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ศพไร้หัวดังกล่าวมี ป๋ายลี่หงย่อมบอกได้ว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้ที่ผลัดกันมาทรมานมัน และมีคนหนึ่งที่มันไม่มีวันลืม…ผู้คุมอาวุโสที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง และยังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลราชวงศ์!!
“ศะ…ศิษย์น้อง…พวกมัน…ฝีมือเจ้าหรือ?”
ป๋ายลี่หงกล่าวถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“อ้า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะศิษย์พี่ ข้ามาพาท่านกลับ”
“พาข้ากลับ?”
หลังได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออก ป๋ายลี่หงอึ้งไปพักหนึ่งค่อยตระหนักได้ว่านี่มันเรื่องอะไร มันเร่งส่ายหัวทั้งกล่าวออกมาทันที “ศิษย์น้องข้ารู้ว่าพลังฝีมือเจ้าร้ายกาจ…แต่ในตระกูลราชวงศ์ยามนี้เต็มไปด้วยยอดฝีมือ ไม่เพียงเซียนดั้งเดิมเกลื่อนกลาด ยังมีกระทั่งขอบเขตเซียนขัดเกลาอันร้ายกาจ! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมินานมานี้ตระกูลราชวงศ์ยังมีแขกกิตติมศักดิ์ที่น่ากลัวผู้หนึ่ง ลือกันว่ามันบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!”
วาจาท้ายประโยค ป๋ายลี่หงเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวทั้งกังวล
“เช่นนั้นในขณะที่พวกมันยังมิทันพบตัวเจ้า เจ้าจงรีบหนีไปเถอะ…หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้า ข้าคงมิอาจอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิต!”
ป๋ายลี่หงพยายามโน้มน้าวให้ต้วนหลิงเทียนรีบหนี ด้วยกลัวจะฉุดลากต้วนหลิงเทียนให้ต้องตกลงทะเลเพลิงขุมนี้
“ศิษย์พี่ ข้าเองก็รู้เรื่องที่เกิดกับประมุขสื่ออวิ๋นแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มทั้งประกายตาสดใส “แต่ข้าก็มีเหตุผลบางประการ ที่ทำให้ข้าไม่คิดจะหนีไปหลังจากช่วยท่าน…ศิษย์พี่ หากท่านเชื่อใจข้า ท่านทำตามที่ข้าบอกได้หรือไม่?”
“ศิษย์น้องเจ้ากล่าวอันใด มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อใจเจ้า…ว่าแต่วาจาประโยคแรกของเจ้าที่แท้หมายความว่าอะไร ว่ามิคิดหนีไปหลังช่วยข้าได้?”
ป๋ายลี่หงได้แต่ถามออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ตอนนี้มันรู้สึกสับสนมากขึ้นทุกขณะ
อย่างไรก็ตาม พอมันได้ยินคำอธิบายจากต้วนหลิงเทียน ในที่สุดมันก็เข้าใจคำพูดของต้วนหลิงเทียน ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
“ศิษย์น้อง…เจ้าแน่ใจหรือ?”
ป๋ายลี่หงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ยามมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองตาทำราวกับมันพึ่งเคยเห็นต้วนหลิงเทียนครั้งแรก…
“ศิษย์พี่ เรื่องนี้ท่านมั่นใจได้เลย ถึงแม้ข้าอาจจะไม่แยแสชีวิตตัวเอง แต่ข้าก็ไม่มีวันเอาชีวิตท่านมาเสี่ยงหรอก!”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หากแต่ประกายตายามหัวเราะคราวนี้ยังแฝงกลิ่นอายอำมหิตไม่น้อย
“เอาล่ะศิษย์น้อง ข้าจะฝากทุกอย่างไว้กับเจ้า!”
สุดท้ายป๋ายลี่หงก็เลือกที่จะเชื่อใจต้วนหลิงเทียน
หนึ่งเค่อต่อมา ก็ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากคุกใต้ดินของวังหลวงประเทศฝูเฟิงโต้งๆ เสื้อคลุมของชายชราเต็มไปด้วยคราบเลือดทั้งใหม่เก่าที่แห้งกรัง ทำให้บรรดาผู้คุมคุกใต้ดินทั้งหลายที่พบเห็นตกใจกันไม่น้อย
เพราะการที่อยู่ๆ ก็มีชายชราชุดโชกไปด้วยคราบโลหิตแบบนี้ก้าวเดินออกมาจากคุกใต้ดิน ดูอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องปกติ!!
“เฮ่ย! นั่นมันมิใช่ป๋ายลี่หงหรอกรึ?!”
“แล้วไฉนมันถึงออกมาได้เล่า!?”
……
แม้ในคุกใต้ดินจะมีโลหิตเจิ่งนองจนคาวคลุ้ง แต่ด้วยลักษณะของอาคาร ด้านนอกคุกใต้ดินย่อมไม่อาจรับรู้เรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นด้านล่างได้เลย…
และเมื่อมันเห็นว่าป๋ายลี่หงยังคงเดินต่อไปไม่คล้ายสนใจอะไร พวกมันก็รีบกรูกันเข้าไปหมายหยุดยั้งอีกฝ่ายทันที
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกมันประหลาดใจก็คือ ชายชราที่สมควรกลืนโอสถผนึกแรกกำเนิดไปแล้ว กลับสามารถใช้ปราณแรกกำเนิด กระทั่งซัดพวกมันจนปลิดปลิวไปไม่เป็นท่าได้ง่ายดาย!
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่!?”
จังหวะนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกันใหญ่
“บ้าน่าโอสถผนึกแรกกำเนิดมักถูกใช้ทุกๆครึ่งเดือน…และข้ายังจำได้ว่ามันพึ่งถูกบังคับให้กลินโอสถผนึกแรกกำเนิดไปมิถึง 3 วันดี! แล้วไฉนมันถึงใช้พลังได้เล่า!?”
เรื่องนี้เหล่าทหารและผู้คุมต่างประหลาดใจกันยกใหญ่
แต่ด้วยความที่พวกมันเป็นแค่ทหารเฝ้ารักษาการณ์ด้านนอกคุก พลังฝึกปรือเลยไม่มีใครบรรลุถึงขอบเขตเซียน ทำให้ไม่กล้าเข้าไปหยุดยั้งป๋ายลี่หงแต่อย่างไร
และเมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงเดินออกไปพ้นเขตคุกใต้ดินแล้ว หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะเร่งวิ่งย้อนเข้าไปดูเรื่องราวในคุกใต้ดิน ไม่นานต่างก็พบศพไร้หัวนอนเกลื่อนกลาดโลหิตเจิ่งนองท่วมพื้น ทั้งหมดนั้นพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว…ต่างบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นต้น กระทั่งผู้คุมหรือใต้เท้าฉิวที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลางก็ตายตก…
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร!? มิใช่มันก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้นหรือไร?! แล้วมันจักสังหารใต้เท้าฉิวได้อย่างไร…ใต้เท้าฉิวบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นกลางแล้วนี่!?”
“บัดซบ! เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามผู้ใดได้…อย่าว่าแต่เรื่องที่ป๋ายลี่หงฆ่าคนอย่างไร ข้าจำได้ว่ามันพึ่งรับโอสถผนึกแรกกำเนิดไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว ไฉนปราณแรกกำเนิดของมันจึงไม่ถูกระงับกัน!?”
“พวกเรารีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านอาวุโสฮั่วเถอะ!”
……
ในขณะที่คุกใต้ดินเกิดเรื่องปั่นป่วนครั้งใหญ่ ป๋ายลี่หงก็เดินทอดน่องออกมาอย่างเปิดเผย มันซัดผู้ที่คิดเข้ามาขัดขวางจนปลิดปลิวไปไม่เป็นท่าตามรายทางได้อย่างง่ายดาย
และยิ่งมาผู้ที่ปรากฏตัวเข้ามาขัดขวางมันก็ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกทหารที่กรูกันเข้ามาหมายสกัดมันก็เป็นเพียงผู้ที่ยังไม่บรรลุแม้แต่ขอบเขตเซียน
ทว่าไม่นานนัก ก็เริ่มมีขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นปรากฏตัวออกมา กระทั่งยังปรากฏออกมา 3 คนหมายหยุดมัน
“ป๋ายลี่หงเจ้าไม่เพียงแต่ปฏิเสธเรื่องสวามิภักดิ์ต่อฝาบาทครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่ยามนี้เจ้ายังคิดหลบหนีออกจากคุกใต้ดินโดยมิได้รับอนุญาต หรือเจ้าคิดจริงๆว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้า?”
ในขณะที่เซียนดั้งเดิมขั้นต้น 3 คนกำลังยืนเผชิญหน้าขวางทางป๋ายลี่หงเอาไว้ พลันปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่จะมีร่างชายชราผู้หนึ่งย่ำอากาศลงมาจากฟ้า
และชายชราผู้นี้ยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไปจับตัวป๋ายลี่หงมาจากตระกูลซือถูเมื่อไม่กี่เดือนก่อน!
กล่าวให้ชัดชายชราผู้นี้เป็นผู้นำกลุ่มคนที่ไปจับตัวป๋ายลี่หงมา อีกทั้งยังบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด นับว่ามีฐานะตำแหน่งในตระกูลราชวงศ์สูงไม่น้อย!
เพียงคิดดูก็สมเหตุสมผล
ในตระกูลราชวงศ์ ตัวตนที่มีด่านพลังเซียนขัดเกลานั้นมีแค่หยิบมือ และในโลกที่นับถือพลังฝีมือ มันที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด เรียกว่าพลังฝืมือของมันเพียงด้อยกว่าคนไม่กี่คนแต่อยู่เหนือนับหมื่น!
เมื่อเห็นชายชราดังกล่าวปรากฏตัวออกมา เซียนดั้งเดิมขั้นต้นทั้ง 3 ที่ขวางป๋ายลี่หงพลันหันมาประสานมือคารวะทักทายทันที “คารวะท่านผู้อาวุโสฮั่ว!”
“ฮั่วจิน!”
ส่วนป๋ายลี่หงพอเห็นชายชราผู้นี้ สีหน้าพลันซีดลงทันใด ในแววตายังเผยความหวาดกลัวไม่น้อย
หากกล่าวว่าวันที่ชายชราคนนี้ไปจับตัวมันมาขังไว้ในคุกใต้ดินของวังหลวงมันยังไม่รู้จักชายชราคนนี้ดีล่ะก็…
หลังจากที่มันได้อยู่ในคุกใต้ดินของวังหลวงแล้ว มันก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร…
ชายชราคนนี้ไม่เพียงบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แต่ยังเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดที่ร้ายกาจที่สุดในประเทศฝูเฟิง!
นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเช่นกัน ก็ไม่มีผู้ใดต่อกรกับชายชราผู้นี้ได้!
“ป๋ายลี่หงข้าอุตส่าพาคนไป ‘เชิญ’ เจ้ามาดีๆ แต่มิคิดเลยว่าจักเป็นข้าที่ประเมินเจ้าต่ำไป…แม้ข้าจักมิรู้ว่าเจ้าเดินออกมาโต้งๆเช่นนี้ได้อย่างไร แต่เจ้ากลับกล้าทำร้ายคนของราชวงศ์ฝูเฟิงอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี! นับว่าเจ้ามันช่างกล้านัก!!”
สิ้นวาจาด้วยโทสะ ร่างฮั่วจินก็วูบตัดระยะ มาหยุดอยู่ไม่ไกลจากป๋ายลี่หง
“แย่แล้ว! ใต้เท้าฉิว…นายน้อยฉิวตายแล้ว!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ดังก้องมาจากทิศทางของคุกใต้ดินที่ป๋ายลี่หงเดินจากมา
“อะไรนะ!?”
ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจทั้งเสียขวัญดังกล่าว ทุกผู้คนในที่นี้พลันหันไปมองฮั่วจินเป็นสายตาเดียวกัน
เท่าที่พวกมันทราบใต้เท้าฉิวที่ว่าก็คือ ฮั่วฉิว …หลานชายคนเดียวของฮั่วจิน!
ในตระกูลราชวงศ์นั้นมีเพียงฮั่วฉิวเท่านั้นที่ทุกผู้คนเรียกหาว่า นายน้อยฉิว!
ฟุ่บบ!
ท่ามกลางสายตาผู้คน ฮั่วจินพลันวูบร่างไปดั่งพายุพัด พริบตาก็บรรลุถึงทหารเฝ้าหน้าคุกใต้ดิน ที่ร้องโวยวายมาแต่ไกล
“อะ…อาวุโสฮั่ว”
มันเป็นแค่ทหารยามธรรมดา อยู่ๆมาพบหน้ากับอาวุโสระดับสูงอย่างฮั่วจิน มันย่อมหวาดกลัวทั้งถูกพลังสภาวะอันน่าเกรงขามของอีกฝ่ายสะกดข่มจนขวัญกระเจิง ทำอะไรไม่ถูก
อย่างไรก็ตามเมื่อทหารยามคนนั้นแลเห็นป๋ายลี่หง มันก็ร่ำร้องออกมาด้วยความตกใจทันที “มัน! เป็นมัน! มันเป็นคนฆ่าใต้เท้าฉิวขอรับท่านอาวุโสฮั่ว!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น