War sovereign Soaring The Heavens 1701-1704
ตอนที่ 1,701 : ‘รวมวิญญาณ’
การจะแผ่สำนึกสติลงแหวนเพื่อใช้งานหยิบเก็บสิ่งของได้ จำต้องผูกพันธะโลหิตครองแหวนเสียก่อน
โดยทั่วไปแล้วพันธะครองแหวนเดิมจะสลายไป ก็ต่อเมื่อเจ้าของคนเก่ายินดีสลายพันธะเองหรือตกตายไปแล้วเท่านั้น คนอื่นถึงจะมีสิทธิ์ผูกพันธะครองแหวน เพื่อเปิดใช้งานแหวนได้
ทว่าแหวนวงนี้ในมือต้วนหลิงเทียนที่เจ้าของเดิมคือฉีจิ้ง…กลับไม่อาจผูกพันธะครองแหวนได้!
เช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น
ฉีจิ้งยังไม่ตาย!
“เป็นไปไม่ได้!!”
ทว่าพอคิดถึงสาเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!
เพราะในตอนที่เขาฆ่าฉีจิ้งนั้น เขาได้ใช้รังสีพลังกระบี่ ที่ยิงออกจากกระบี่สีทองที่ควบรวมจากกระบี่พลังนับหมื่นในเขตแดนอันสร้างจากปราณสุริยันที่ร้ายกาจ แถมยังผสานไว้ด้วยพลังลึกล้ำจาก เงาใจกระบี่สัมพันธ์ อันเป็นขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ กระทั่งยังควบรวมไปด้วยพลังดิบเถื่อนจากร่างกาย! ทำให้รังสีพลังกระบี่นั่นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายสูงสุด แถมยังพุ่งทะลวงหว่างคิ้วจนทะลุออกหลังหัวฉีจิ้งไปแล้ว!!
หัวใจ หว่างคิ้ว คือจุดตายของมนุษย์!
หัวใจเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของร่างกาย ส่วนหว่างคิ้วเป็นดั่งจุดศูนย์รวมของดวงจิต!
การทะลวงหว่างคิ้วก็ไม่ต่างจากการทำลายดวงจิต! และดวงจิตก็คือภาชนะในการกักเก็บวิญญาณ!
หากลงมือสังหารโดยการจู่โจมที่หัวใจนั้น ยังมีความผิดพลาดได้…เพราะบางคนมีหัวใจอยู่ในด้านที่แตกต่างจากผู้อื่น!
และในเวลานั้นหากต้วนหลิงเทียนไม่ฆ่าฉีจิ้งให้ตายในพริบตา มันอาจครองสติ ใช้พลังสะกดชีพจรหัวใจและเร่งกล่าวยอมแพ้ออกมาได้ทันเวลา
ดังนั้นเขาจึงไม่ลงมือยิงรังสีพลังไปที่อกเพื่อทำลายหัวใจฉีจิ้ง เพราะเขาไม่กล้าเสี่ยง!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกวิธีสังหารที่แน่นอนที่สุด ยิงรังสีพลังกระบี่ไปทะลวงหว่างคิ้ว ทำลายดวงจิต…กระทั่งรังสีพลังยังสมควรทะลวงก้านสมองของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!
‘ตอนที่ข้าลงมือเสร็จข้ายังแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบขณะชิงแหวนพื้นที่มันมาด้วยซ้ำ…ดวงจิตมันแตกสลายแล้วแน่นอน กลิ่นอายวิญญาณก็กระจัดกระจายจางหายไปในสวรรค์และโลก พลังชีวิตมันก็ดับลงแล้วชัดๆ…แต่ทำไมพันธะครองแหวนยังไม่สลายกัน!?’
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์
ในแหวนของฉีจิ้งสมควรมีทรัพยากรบ่มเพาะอันดีมากมาย เพราะในนั้นสมควรมีแหวนพื้นที่ของหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อและจงกู้รวมอยู่ด้วย! แต่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจหยิบพวกมันออกมาใช้ได้เลย เพราะเขาไม่อาจผูกพันธะครองแหวนได้!!
และหลังจากที่เขาคิดทบทวนดีแล้ว ก็เหลือความเป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น
ฉีจิ้งยังไม่ตาย!!
“ผู้เฒ่าหั่ว!”
ต้วนหลิงเทียนที่ไม่เชื่อว่าฉีจิ้งยังไม่ตาย รีบเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้นแรกของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที เพราะมันเกินความเข้าใจของเขาไปแล้วจริงๆ!
ครั้งยังรุ่งโรจน์ผู้เฒ่าหั่วก็คือวิหกเทพสุริยัน อีกาทองคำ 3 ขาในตำนาน! สมควรมีองค์ความรู้มากมายเหนือจินตนาการเขา!!
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเล่าเรื่องราวและถามผู้เฒ่าหั่วว่าเพราะอะไรพันธะแหวนถึงไม่คลาย ผู้เฒ่าหั่วพลันกล่าวถามออกมาทันที “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…มันเป็นผู้บ่มเพาะสายมารงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าหั่ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “จากที่ข้ารู้มา ปีที่แล้วฉีจิ้งยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกมาร แถมยังพึ่งมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นด้วยซ้ำ…ทว่าหลังผ่านไป 1 ปี วันนี้มันไม่เพียงแต่จะกลายเป็นผู้ฝึกมาร แต่ยังมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!”
อันที่จริงความก้าวหน้าของฉีจิ้ง ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตัวเขาเองที่มีความช่วยเหลือของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ทำให้มีบรรยากาศเหมาะแก่การบ่มเพาะสั่งสมพลัง กระทั่งกาลเวลาด้านในยังช้ากว่าด้านนอกถึง 5 เท่า ทำให้ 5 วันในเจดีย์เท่ากับ 1 วันด้านนอก แต่เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะบ่มเพาะพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลา 1 ปี…
เพราะก่อนที่จะเริ่มการประลองยอดนักรบ ใน 1 ปีนั้นหากตัดเวลาเดินทางออกไป เขาก็มีเวลาบ่มเพาะพลังถึง 4 ปี! ถึงเขาจะทุ่มเวลาไปกับการพยายามทำความเข้าใจขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ แต่ก็ยังมีเวลาฝึกปรือมากมาย อีกทั้งหลังบรรลุด่านพลังเขาก็ต้องใช้เวลาปรับพื้นฐานทำให้ด่านพลังมั่นคง จึงทำได้แค่ทะลวงจากเซียนดั้งเดิมขั้นต้นมาถึงเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น
แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง แต่ก็เจียนทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเต็มที
นอกจากนี้พลังฝีมือของเขาก็ทัดเทียมกับจุดสูงสุดของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!
เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากความจริงที่ว่าเขาลงมือสังหารฉีจิ้งได้!
“ภายในเวลาสั้นๆ แต่มันที่กลายเป็นผู้ฝึกมารสามารถบรรลุพลังถึงขนาดนี้ได้…ข้าคิดว่ามันสมควรบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ดวิชามารระดับสูง อีกทั้งสมควรมีเคล็ดรวมวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของวิชาบ่มเพาะ”
เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นรวดเดียวจบ
“เคล็ดรวมวิญญาณหรือ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้
“มิผิด เคล็ดรวมวิญญาณ”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบายสืบต่อ “ต่างจากผู้เดินบนหนทางแห่งยุทธ์ โดยมากแล้วเคล็ดบำเพ็ญพลังของผู้เดินบนหนทางมารกระทั่งผู้แสวงหาเต๋าระดับสูงๆ ล้วนมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่ทั้งสิ้น…และเคล็ดรวมวิญญาณที่ว่า ก็เป็นวิชาที่ทำให้สามารถรวบรวมวิญญาณที่แตกสลายกระจัดกระจายไปในฟ้าดินให้ฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง…แน่นอนว่ามันจำต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นฟูสมบูรณ์”
“แล้วมันจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งงั้นเหรอ? ทั้งๆที่ก้านสมองของมันก็สมควรถูกข้าสะบั้นไปแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าจะว่าเช่นนั้นก็ได้…ผู้ฝึกมารตายยากกว่าที่เจ้าคิด แถมก้านสมองมันเพียงขาดมิได้ถูกทำลายจนสลายไปสิ้น ย่อมรักษาได้”
เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นอีกครั้ง
ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดดำลงทันใด “เช่นนั้นหมายความว่าไม่เพียงแต่ดวงวิญญาณที่กระจัดกระจายหายไปของฉีจิ้งจะหวนกลับมารวมตัวด้วยเคล็ดรวมวิญญาณนั่นได้อีกครั้ง…แต่มันยังสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้…”
“เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน!!”
หลังจากกล่าวบ่นออกมาสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เคร่งเครียดขึ้นถึงขีดสุด
เขาดั้นด้นเดินทางไปนับพันนับหมื่นลี้เข้าร่วมการประลองยอดนักรบเพื่อฆ่าฉีจิ้ง คลี่คลายวิกฤติให้หานเฉวี่ยไน่!
แต่ทั้งที่ลงมือฆ่าฉีจิ้งไปแล้ว ไฉนผลลัพธ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
‘บ้าจริง ตอนนี้ลุงหานคิดว่าฉีจิ้งตกตายไปแล้ว เลยตื่นเต้นดีใจครั้งใหญ่…หากท่านลุงรู้ว่ามันยังไม่ตาย ไม่รู้จะเสียใจและผิดหวังขนาดไหน!’
ยิ่งมาสีหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งอัปลัษณ์ปั้นยากขึ้นเรื่อยๆ
ต้วนหลิงเทียนซึ่งแต่เดิมวางแผนจะไปบอกข่าวดีกับหานเฉวี่ยไน่ แต่พอได้รู้ว่าฉีจิ้งยังไม่ตายเขาก็ไม่คิดไปหาหานเฉวี่ยไน่อีก เลือกที่จะพุ่งร่างออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีทันที
ตอนนี้เขาต้องการที่เงียบๆเพื่อสงบอารมณ์และเรียบเรียงความคิด
“จริงสิผู้เฒ่าหั่ว ที่ท่านบอกว่าเคล็ดรวมวิญญาณจำต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นฟูวิญญาณ…แล้วมันต้องใช้เวลานานเท่าไรเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกอะไรขึ้นได้ รีบกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วอีกครั้ง
“จักใช้เวลานานเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเคล็ดวิชารวมวิญญาณที่มันมี เพราะเคล็ดวิชาสายนี้ก็แตกแขนงออกไปหลากหลายนัก…แต่เท่าที่ข้ารู้ ต่อให้เป็นเคล็ดรวมวิญญาณที่เลิศล้ำที่สุด แม้พลังฝึกปรือจะพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่นั่นก็ต้องใช้เวลารวบรวมวิญญาณที่กระจัดกระจายสลายไปอย่างน้อยๆปีครึ่ง…หลังจากนั้นมันถึงจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“อย่างน้อยๆ ปีครึ่งงั้นเหรอ?”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบครั้งนี้ เขาก็โล่งใจทันที
เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือฉีจิ้งสามารถฟื้นคืนชีพได้ในเวลาอันสั้นและกลับมาจัดงานแต่งได้ทันกำหนดการเดิม
แต่ตอนนี้ดูเหมือนในช่วงเวลาสั้นๆมันไม่อาจฟื้นตัวได้ แน่นอนว่างานแต่งที่กำหนดไว้แล้วก็จำต้องถูกล้มเลิก!
ต้วนหลิงเทียนจึงโล่งใจได้เป็นการชั่วคราว
“อย่างน้อยๆปีครึ่ง…และนั่นเป็นเคล็ดรวมวิญญาณที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้เฒ่าหั่วรู้จัก! เคล็ดวิชาที่ฉีจิ้งมี ไม่มีวันดีถึงขนาดนั้นแน่ๆ! มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 2-3 ปีในการฟื้นตัว!”
พอคิดอย่างนี้ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความมั่นใจขึ้นมา
อย่างไรก็ตามแววตาของเขายิ่งมายิ่งคมกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ‘ฉีจิ้ง ข้าไม่คิดเลยว่าขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมตาย! แต่ข้าฆ่าเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าได้อีกเป็นครั้งที่สอง! ทั้งการจะฆ่าเจ้าอีกครั้งหลังผ่านไป 2-3 ปี คงง่ายยิ่งกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่ไล่เตะสุนัข!!’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก
อีก 2-3 ปีหลังจากนี้แม้ฉีจิ้งจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังรวมวิญญาณได้สมบูรณ์ แต่ด่านพลังฝึกปรือของมันก็ยังอยู่ในขอบเขตเดิมกับตอนที่ตกตายไป
ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถฆ่ามันได้อีกครั้ง!
เพราะในอีก 2-3 ปีหลังจากนี้ ฉีจิ้งยังย่ำอยู่กับที่ แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบจะก้าวหน้าไปถึงไหน ฆ่ามันนับเป็นอะไรที่ง่ายดาย!!
‘ถึงตอนนั้นข้าจะใช้ตัวตนลี่เฟิงบุกไปฆ่ามันให้ตาย…ใครถามข้าก็จะอ้างว่าเพราะตอนแรกข้าคิดฆ่ามันในการประลองให้ได้! แต่สุดท้ายกลับไม่สำเร็จจึงทำให้เกิดมารในใจขัดขวางการก้าวหน้าพลังฝึกปรือของข้า…ด้วยเหตุนี้จึงต้องฆ่ามันเพื่อขจัดมารในใจ! ทีนี้ก็ยากที่ใครจะโยงมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้!’
ยิ่งคิดต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งมั่นใจ
เพราะหากเขาทำแบบนี้ไม่มีทางที่ใครจะโยงเรื่องนี้มาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้เลย
ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะทำให้คฤหาสน์คลื่นขจีเดือดร้อน
‘ยังไงเสียงานแต่งที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกำหนดไว้ ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น…ด้วยวิญญาณของฉีจิ้งยังกระจัดกระจายแบบนี้ มันไม่มีทางแต่งกับเฉวี่ยไน่ได้แน่ ถ้างั้นหมายความว่าเฉวี่ยไน่สมควรปลอดภัยไร้เรื่องราวกวนใจไป 2-3 ปี’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หากมองแบบนี้เท่ากับการดั้นด้นเดินทางไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของเขา ไม่ใช่การเดินทางที่สูญเปล่าแล้ว
เมื่อสรุปความได้ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะไปหาหานเฉวี่ยไน่ทันที
“พี่ใหญ่หลิงเทียน!!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หานเฉวี่ยไน่ก็เต็มไปด้วยความยินดี ใบหน้าน้อยๆที่มักจะทุกข์เศร้าหมองซึมกลายเป็นแย้มยิ้มทันที
เพียงแต่ในรอยยิ้มยังแฝงเร้นไว้ด้วยความระทมใจ…
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ตลอดปีที่ผ่านท่านไปไหนมาหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนพูดอะไร พลันยิงคำถามออกมาทันที
“อ้อ…ข้าไปเที่ยวแถวๆเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
“ท่านไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมา!?”
พอหานเฉวี่ยไน่ได้ยินคำ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักค้างทันที คำนี้เสมือนคำต้องห้ามสำหรับนาง
เพราะสุดท้ายแล้วอีก 1 เดือนหลังจากนี้ นางต้องแต่งกับตัวบัดซบอย่างนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่น
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหานเฉวี่ยไน่กลายเป็นเจ็บปวด แถวแววตายังเศร้าซึมหม่นหมอง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดหยอกล้ออะไรอีก เพียงเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกทันที “เฉวี่ยไน่เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นไม่อาจมาแต่งงานกับเจ้าได้อีกต่อไป…เพราะมันตายคาการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องไปแล้ว”
สิ้นคำนี้ของต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่ถึงกับตกตะลึงอึ้งไปจนคล้ายลืมวิธีหายใจ!
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตายแล้ว?
ยังตายในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง?
สำหรับหานเฉวี่ยไน่แล้ว ข่าวนี้เป็นข่าวอันใหญ่หลวงประหนึ่งฟ้าถล่มก็ไม่ปาน นางย่อมตื่นตระหนกตกใจทั้งสับสน
แต่วาจาของพี่ใหญ่หลิงเทียนนั้น นางไม่คิดคลางแคลงสงสัย!
แม้นางยังไม่ทราบว่าฉีจิ้งตกตายเพราะใคร แต่ข่าวอันประหลาดใจนี้นับว่ามาโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวแล้วจริงๆ!
ต้วนหลิงเทียนเฝ้ามองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปตั้งแต่แรกของหานเฉวี่ยไน่ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
ตอนแรกนางเศร้าโศกนัก ต่อมาจึงกลายเป็นอื้ออึงสับสน สุดท้ายก็กลับกลายเป็นตื่นเต้นดีใจ
ต้วนหลิงเทียนพลันลอบทอดถอนในใจ และตัดสินใจว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องที่ฉีจิ้งยังไม่ตายออกมากับเฉวี่ยไน่
เพราะสุดท้ายแล้ว วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็คลี่คลายลงไปเป็นการชั่วคราว
“พี่ใหญ่หลิงเทียนความตายของมัน…ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่?”
ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะคิดว่าความคิดนี้ของตัวเองก็แปลกไปหน่อย แต่นางกลับมีสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าการตายของฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อาจเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง
เพราะหากนับจากเวลา การประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องสมควรพึ่งจบไปไม่นาน
“ใช่”
กับหานเฉวี่ยไน่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร พยักหน้ารับทั้งยิ้มกล่าว “ปีที่แล้วหลังจากที่ข้าออกจากคฤหาสน์คลื่นขจี ข้าก็มุ่งหน้าไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที ข้ายังเปลี่ยนไปใช้ใบหน้าปลอมหน้าใหม่แถมใช้นามแฝงว่าลี่เฟิง เพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…และข้าก็ฆ่ามันในการประลองนั่นล่ะ! แถมเมื่อมันตายไปแบบนี้ ยอมไม่มีทางที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะโยงการตายของมันมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้แน่นอน!!”
ตอนที่ 1,702 : เสียใจด้วยอาวุโสหลัก!
ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะเตรียมตัวเตรียมใจก่อนได้ฟังคำยืนยันของต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่พอมาได้ยินเข้าจริงๆนางก็ตกใจนัก!
เดิมทีนางคิดว่าสมควรมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางเท่านั้น แต่จากที่ได้ยินคือพี่ใหญ่ลงมือเอง!
พี่ใหญ่ของนาง…กลับสังหารฉีจิ้งด้วยตัวเอง?!
เรื่องนี้จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไรไหว!
“พี่ใหญ่หลิงเทียนระดับพลังบ่มเพาะของท่าน…”
หานเฉวี่ยไน่มองต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าตะลึงลานทั้งเหลือเชื่อ
คนอื่นอาจไม่รู้จักต้วนหลิงเทียน แต่นางนับว่าคุ้นเคยกับอีกฝ่ายนัก แม้ศักยภาพพรสวรรค์ของอีกฝ่ายจะไม่เลว แต่สามัญสำนึกของนางก็บอกว่าเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนไม่น่ากระทำได้!
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เมื่อปีที่แล้วก็มีพลังฝึกปรือถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น!
หลังจากผ่านไป 1 ปี ด้วยทรัพยากรบ่มเพาะของขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ด่านพลังมันสมควรบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แน่!
ทว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางกลับฆ่าอีกฝ่ายได้?
นี่ไม่ใช่หมายความว่าพลังฝึกปรือของพี่ใหญ่นางเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางหรอกหรือ?
“ด่านพลังฝึกปรือข้าก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น…แต่เพราะปราณแรกกำเนิดของข้ามันพิเศษและต่างจากคนอื่น เลยทำให้ข้ามีพลังต่อสู้กับขอบเขตพลังที่สูงกว่าได้”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ
เซียนดั้งเดิมขั้นกลาง?
พอได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่พลันระบายลมหายใจอย่างโล่งอก หากพลังฝึกปรือเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นกลางหรือสูงกว่านี้สักขั้น นางยังคิดว่าสามารถเป็นไปได้
ทว่าพอนางรู้สึกตัวและตระหนักถึงวาจาครึ่งประโยคหลังของต้วนหลิงเทียน ก็จำต้องตกตะลึงขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่ ท่านสู้กับคนที่มีขอบเขตพลังสูงกว่าได้งั้นหรือ!?”
ตอนนี้สายตาที่หานเฉวี่ยไน่ใช้มองต้วนหลิงเทียน ยังทำราวกับเห็นผี
ใต้หล้ามีปราณแรกกำเนิดพิสดารถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับพร้อมพยักหน้า “หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ข้าคงไม่ใช่คู่มือฉีจิ้ง…แต่เฉวี่ยไน่เรื่องนี้มีเจ้าคนเดียวที่รู้ ข้าบอกลุงหานไปว่าข้าไหว้วานสหายที่มาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ให้ช่วยลงมือ และสหายที่ว่าของข้ามีนามว่า ลี่เฟิง”
“หากท่านพ่อรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือพี่ใหญ่ ท่านต้องตกใจตายแน่!”
พอรู้ว่าฉีจิ้งตกตายไป เมฆหมอกในใจของหานเฉวี่ยไน่ก็คล้ายสลายหายไปโดยพลัน นางกลับมาแย้มยิ้ม เผยประกายตาสดใสแลดูซุกซนขี้เล่นเหมือนกาลก่อนทันที
พอเห็นนางเป็นแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกยินดีและมีความสุขนัก นี่เป็นตอนจบที่เขาอยากจะเห็น
แน่นอนว่ายังเร็วเกินไปที่จะกล่าวคำว่า ‘ตอนจบ’
‘ยังไงฉีจิ้งก็ยังไม่ฟื้นหากไม่ใช้เวลาสัก 2-3 ปี…ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร หากข้าจะมุ่งหน้าไปขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เรียกว่าตำหนักฟ้าลี้ลับนั่น’
ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ
วันที่เขารู้ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำการคัดเลือกเฟ้นหาอัจฉริยะขอบเขตเซียนที่อายุต่ำกว่า 40 ปี เขาก็โยนข้อเสนอของเริ่นจงและหลิวหงกวงทิ้งไปทันที เลือกกลับมาที่คฤหาสน์คลื่นขจีก่อน
ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่เพียงเป็น ‘แท่นกระโดด’ ชั้นยอดให้เขา แต่ตัวเขายังบังเกิดความสนใจสิ่งที่เรียกว่า ‘แดนลับเซียน’ ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่จะเปิดหลังจากนี้อีก 1 ปีไม่น้อย
อย่างไรก็ตามแม้วางแผนจะไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับไว้แล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รับร้อนอะไร
‘รออีกสักเดือนแล้วกัน ถ้าไม่มีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาหาเรื่อง ข้าจะย้อนกลับไปประเทศฝูเฟิงเยี่ยมพวกลุงเฟิ่งกับศิษย์พี่สักหน่อย…แถมตอนจากมาข้าก็ไม่ได้บอกเทียนหวู่เอาไว้ ไม่รู้นางจะเป็นทุกข์หรือไม่’
ในขณะที่บ่นในใจ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่นขมออกมา
“จริงสิพี่ใหญ่! หลังจากที่ท่านออกเดินทางไปไม่นาน พี่สาวเทียนหวู่ก็มาหาท่านที่นี่ด้วย!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มขื่นขมออกมาขณะคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่ หานเฉวี่ยไน่คล้ายจะนึกอะไรได้ออก เร่งกล่าวบออกเขาออกมาพอดี
“เทียนหวู่มาหาข้างั้นเหรอ?”
ได้ยินเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดตกใจขึ้นมาไม่ได้
“อื้อ!”
หานเฉวี่ยไน่พยักหน้า “ตอนแรกข้าคิดให้พี่สาวเทียนหวู่อยู่รอท่านที่คฤหาสน์คลื่นขจีจนกว่าท่านจะกลับมา…แต่พี่สาวเทียนหวู่รออยู่ไม่นานนางก็จากไป เพราะข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะกลับมาเมื่อไหร่…”
กล่าวถึงท้ายประโยคหานเฉวี่ยไน่รู้สึกละอายใจขึ้นมา
“เทียนหวู่มาตามหาข้าถึงคฤหาสน์คลื่นขจีเล่ยงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนยากจะคืนสติอยู่นาน ขณะเดียวกันยังเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน ‘ในเมื่อนางเดินทางออกจากนิกายอัคคีล่องลอยได้ ถ้างั้นด่านพลังของนางสมควรทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว…ไม่รู้หลังจากออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีไปแล้วนางจะไปที่ไหน…เช่นนั้นตอนข้าไปตำหนักฟ้าลี้ลับข้าใช้ชื่อหลิงเทียนดีกว่า ตราบใดที่เทียนหวู่ได้ยินชื่อหลิงเทียน นางต้องเดาออกได้แน่ว่าเป็นข้า!’
แม้จะเป็นภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่มันก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก
ด้วยเหตุนี้คงเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะหาเฟิ่งเทียนหวู่เจอหากไร้เบาะแส นี่แทบไม่ต่างอะไรจากงมเข็มในกองฟางแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามแม้เฟิ่งเทียนหวู่จะออกจากเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ล้มเลิกความคิดกลับประเทศฝูเฟิงแต่อย่างไร
เพราะมีอีกหลายคนที่เขาห่วงใย
ไม่เพียงแต่ศิษย์พี่แล้ว ยังมีผู้หลักผู้ใหญ่กระทั่งสหายของเขาอีกด้วย
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีความคิดพาพวกป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมาที่คฤหาสน์คลื่นขจี เพราะหากกระทำแบบนั้น จะเป็นการประกาศแก่ผู้คนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์คลื่นขจี!
ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้ชื่อต้วนหลิงเทียนได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว!
เรียกว่าในภูมิภาคเบื้องล่างตอนนี้ นอกจากผู้ที่ไม่ติดตามสถานการณ์ความเป็นไปชมชอบปลีกวิเวกไปอยู่ลำพัง กระทั่งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไร้สำคัญ แทบทั้งหมดรู้จักต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น
แม้ศักยภาพพรสวรรค์รวมถึงพลังฝีมือของเขาจะไม่ได้เด่นดังอะไรจนผู้คนสนใจ แต่เรื่อง ‘ตราผนึกมาร’ นั้นยากที่จะมีคนไม่สนใจ ทุกผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอยากได้ไว้ครอบครองทั้งสิ้น
ตราผนึกมารเป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็อยากได้!
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่พลังฝึกปรือของเขาจะแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง เขาไม่คิดเปิดเผยตัวตน
หลังจากนี้เขาจะใช้ตัวตน หลิงเทียน ในการลงมือ
และนี่คือชื่อในชีวิตที่แล้วของเขา
ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยากว่าตอนนี้ที่ประเทศฝูเฟิงสมควรมีหูตาจากขุมพลังต่างๆ มาจับตาดูสหายและคนรู้จักของเขาไว้ไม่ห่าง
ด้วยเหตุนี้การรับตัวทุกคนมาคฤหาสน์คลื่นขจี ก็เท่ากับเขาลากคฤหาสน์คลื่นขจีลงสู่วังวนแห่งปัญหาทันที นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็นเลย
ดังนั้นในสายตาของเขาการปล่อยให้ทุกคนรั้งอยู่ที่ประเทศฝูเฟิง จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!
หลังจากกล่าวสนทนากับหานเฉวี่ยไน่อยู่อีกพักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจไม่คิดอยู่รอให้ครบเดือน และเลือกที่กล่าวคำอำลานางอย่างปุบปับ เพราะตัดสินใจรีบไปจัดการธุระเรื่องราวภายใต้สายตาไม่ยินยอมพร้อมใจของนาง กระทั่งยังฝากนางร่ำลาหานเจิ้งเทียนให้ด้วย ถึงเขาเองก็ไม่เต็มใจจะจากไปตอนนี้สักเท่าไรก็ตาม
ส่วนเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจิน เนื่องจากทั้งหมดยังคงปิดด่านบ่มเพาะพลังไม่ออกมา ต้วนหลิงเทียนจึงคลาดกับพวกมันอีกครั้ง และไม่ได้เจอกัน
หลังออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางไปยังเขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนทันที
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางกลับประเทศฝูเฟิง เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็เสมือนมีพายุลูกใหญ่พัดกระหน่ำ!
หลังจบการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่น ก็ไม่รีบร้อนพาคนกลับคฤหาสน์ มันไปเยือนคฤหาสน์ของรองผู้นำที่มาประจำการในเมืองใกล้ๆแทน จากนั้นทั้งคู่ก็นำพาคนออกไปกระจายกำลังปูพรมค้นหาทั่วหบุเขาหลิงหลงทุกตารางนิ้ว หมายหาลี่เฟิง ตัวตนปลอมของต้วนหลิงเทียน….
และรองผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็มีความสามารถในการแกะรอบไม่น้อย กระทั่งตามหาไปจนเจอรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าอย่างเริ่นจงกับอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งอย่างหลิวหงกวง ที่มารอพบต้วนหลิงเทียนที่หุบเขาทางตะวันตกของหุบเขาหลิงหลงที่อยู่ห่างออกมา 100 ลี้…!!
ตอนพบทั้งคู่ พวกมันก็แลเห็นใบหน้าไม่พอใจของเริ่นจงและหลิวหงกวงชัดเจน
และตอนนั้นแม้จะอยู่ไกล พวกมันก็ได้ยินเสียงโต้เถียงของทั้งคู่ชัดถนัดหู
ที่อีกฝ่ายกำลังเถียงกันคือ ต่างคนก็พยายามกล่าวโทษอีกฝ่ายที่ประมาทเกินไป ไม่ยอมส่งคนมาประกบต้วนหลิงเทียนเอาไว้แต่แรก จนอีกฝ่ายหายไปดั่งนกหลุดกรงแบบนี้…
พอเห็นว่าคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งทะเลาะกันเรื่องไม่เจอตัวลี่เฟิง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าและฉีเสิ่น ก็เริ่มแกะรอยค้นหาลี่เฟิงอีกครั้ง…
อนิจจาหลังจากค้นหาไปอีกหลายวัน พวกมันก็ไม่พบร่องรอยของลี่เฟิงเลย
ตอนนี้ฉีเสิ่นได้แต่ย้อนกลับไปคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยความไม่พอใจเท่านั้น และมันยังเตรียมตัวเตรียมใจรับโทสะที่อาวุโสคนอื่นๆรวมถึงผู้นำของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะระเบิดใส่มันแล้ว
3 อัจฉริยะของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มันพาไปรวมถึงหลานชายมัน…ตายตกหมดสิ้น!
ในบรรดา 3 คนที่ว่า หลานชายของมันย่อมมีอัจฉริยะภาพสูงสุด การตายของหลานมันนับว่าส่งผลกระทบต่ออนาคตของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่น้อย แต่เรื่องนี้อาวุโสทั้งหลายรวมถึงผู้นำคงไม่โทษว่าอะไรมัน มีแต่จะปลอบใจมันมากกว่า
อย่างไรก็ตามนอกจากหลานชายมันและศิษย์ 2 คนที่ตกตาย…กลับมีนายน้อยอย่างฉีจิ้งอีกคน!
และนั่นคือคนที่มีความสำคัญกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนัก!
ฉีจิ้งไม่เพียงแต่จะเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่พลังฝีมือที่เผยออกตอนประลอง ก็บอกให้รู้ว่าพรสวรรค์ในหนทางสายมารของมันน่ากลัวเพียงใด หากให้เวลาฉีจิ้งเติบโต สักวันต้องกลายเป็นเสาหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้แน่!
กระทั่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะนำพาคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้ยกระดับเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!
‘ตอนนี้ผู้นำสมควรรู้เรื่องที่นายน้อยฉีจิ้งตกตายเพราะไข่มุกวิญญาณแตกสลายแล้วแน่นอน…’
คิดถึงเรื่องนี้ฉีเสิ่นอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นเม็ดเขื่องผุดซึมกลางหน้าผาก
ถึงแม้เรื่องนี้กล่าวไปจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมันที่เป็นคนพาทุกคนมาเข้าประลองเลย แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่ไม่อาจปกป้องรุ่นเยาว์ได้ดีพอ
ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นถูกประหาร แต่น่าจะถูกคุมขังที่ผาสำนึกตนหลายปี!
ดังนั้นการเดินทางกลับคฤหาสน์ฟ้าลิ่อวล่องครั้งนี้ จึงทำให้ฉีเสิ่นหนักใจนัก
บางครั้งมันก็หันมองกลับไปด้านหลัง
มีชายหนุ่มหลังค่อมผู้หนึ่งที่คล้ายจะเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแบกศพฉีจิ้งเอาไว้
“หืม?!”
ทันใดนั้นเองแววตาฉีเสิ่นพลันเปลี่ยนไปคล้ายเห็นอะไรบางอย่าง
มันสัมผัสได้แทยจะทันทีว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งร่างมาจากทิศทางของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง และปรี่ตรงมาหามัน
รูปลักษณ์ของผู้มาทำให้มันตกตะลึงนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ยิ่งทำให้มันอึ้งมากกว่า
“ขอแสดงความเสียใจด้วยท่านผู้อาวุโสหลัก!”
“อาวุโสหลัก ข้าเสียใจกับท่านด้วย!”
……
ทันทีที่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง โดยมีผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาถึง ทั้งหมดก็เร่งแสดงความเสียใจกับมันทันที เห็นได้ชัดว่าทุกคนล่วงรู้ถึงการตายของฉีค่านแล้ว…
ภายในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ย่อมมีไข่มุกวิญญาณของฉีค่านเก็บไว้
ดังนั้นทันทีที่ไข่มุกวิญญาณของฉีค่านแตกสลาย ทุกคนในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจึงล่วงรู้การตายของฉีค่านทันที
“เป็นฟ้าริษยาอัจฉริยะนัก! หากมิเกิดเรื่องอันใดกับฉีค่าน โอกาสทรงพลังแกร่งกล้ากว่านายน้อยก็มิใช่ว่าจะไม่มี กระทั่งเรื่องที่อาจจะได้เป็นผู้นำคนต่อไปก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”
อาวุโสของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“พวกท่าน…”
เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าเอาแต่กล่าวถึงการตายของหลานมัน กระทั่งผู้นำคฤหาสน์เองยังเผยสีหน้าเสียใจ โดยไม่ได้กล่าวอะไรถึงฉีจิ้งเลย ก็ทำให้มันประหลาดใจนัก…ขณะเดียวกันมันก็รู้สึกว่ามีเรื่องผิดปกติ!
หลานชายของมันแม้ศักยภาพพรสวรรค์ที่เผยออกมาจะไม่ได้ด้อยไปกว่านายน้อยคฤหาสน์อย่างฉีจิ้ง แต่ตำแหน่งกับฐานะมิใช่ว่ายากจะเทียบกับนายน้อยอย่างฉีจิ้งไม่ใช่หรือไง?
ตอนที่ 1,703 : แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัส?
‘นี่พวกมันมิรู้หรือไร ว่าไข่มุกวิญญาณของนายน้อยแตกสลายไปแล้วเหมือนกัน?’
เผชิญหน้ากับคำปลอบโยนของอาวุโสทั้งหลาย ฉีจิ้งได้แต่ลอบกล่าวอย่างฉงนใจ
กระทั่งมันเองยังรู้สึกว่าเรื่องราวผิดท่า
แต่ตอนนี้มันทำได้แค่คิดไปในแนวทางนั้น เพราะมันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายได้อีกแล้ว
อาวุโสระดับสูงกระทั่งผู้นำคฤหาสน์ กลับไม่ทราบถึงการตายของนายน้อย?
“ผู้นำคฤหาสน์ และอาวุโสทั้งหลาย ที่พวกท่านเป็นห่วงข้าตัวข้าย่อมซาบซึ้งน้ำใจนัก อย่างไรก็ตามพลังฝีมือของค่านเอ๋ออ่อนด้อยเอง จึงพลาดท่าตายตกให้ศัตรู แต่การตายของมันนับเป็นการตายเพื่อคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเยี่ยงวีรบุรุษแล้ว ส่วนนายน้อย…”
มองไปยังผู้นำและอาวุโสทั้งหลายที่เสียใจกับการตายของหลานตัวเอง ฉีเสิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวรับด้วยความซาบซึ้งใจ แต่กล่าวใกล้จบมันก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมและหันไปมองด้านหลัง
“เกิดอันใดกับจิ้งเอ๋อ?”
คำพูดของฉีค่าน ทำให้ฉีอี้เฉิง ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหน้าเปลี่ยนสีทันที เร่งหันมองตามสายตาของฉีเสิ่นไปอย่างไม่รีรอ
และมองปราดเดียวมันก็แลเห็นชายหนุ่มหลังค่อม ที่กำลังอุ้มแบกร่างหนึ่งเอาไว้
ฟุ่บ!
ชายหนุ่มหลังค่อมรู้สึกเสมือนมีสายลมหอบหนึ่งพัดใส่เท่านั้น พอรู้ตัวอีกที ร่างที่มันอุ้มไว้ก็ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฉีอี้เฉิงเสียแล้ว!
“นายน้อย!!”
เมื่อเห็นว่ามีหลุมโลหิตอยู่ที่หว่างคิ้วฉีจิ้ง ทั้งทั่วร่างกลับอ่อนยวบปานกระดูกแหลกเหลว โลหิตแห้งกรังยังเปรอะไปทุกส่วน สีหน้าของอาวุโสเบื้องหลังฉีอี้เฉิงก็เปลี่ยนไปร้ายแรง
ด้วยอาการบาดเจ็บขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีชีวิตรอด…
“ไม่จริง! เป็นไปมิได้!!”
ฉีอี้เฉิงดูดรั้งร่างเบื้องหน้ามาอุ้มไว้ด้วยตัวเองทันที ก่อนที่จะรีบร้อนหยิบไข่มุกวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมาอย่าลนลาน
ไข่มุกวิญญาณเม็ดที่ว่า เป็นของบุตรชายมัน ฉีจิ้ง!
และไข่มุกวิญญาณดังกล่าวยังอยู่ดีไม่ปริแตก นั่นหมายความว่าบุตรชายมันยังไม่ตาย!!
พอเห็นฉีอี้เฉิงหยิบไข่มุกวิญญาณออกมา ทั้งทำสีหน้าอื้ออึงไม่เชื่อ ผู้คนที่อยู่ด้านหลังมันก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่…
“นี่คือไข่มุกวิญญาณของจิ้งเอ๋อ…จิ้งเอ๋อยังมิตาย!!”
น้ำเสียงฉีอี้เฉิงเผยความมั่นใจออกมา เพราะไข่มุกวิญญาณไม่มีทางผิดพลาด!!
“อันใดนะ!?”
“ยังมิตายหรือ?”
“หว่างคิ้วทั้งหลังศีรษะมีรอยเจาะทะลวง ดวงจิตแตกสลายวิญญาณกระจัดกระจาย พลังชีวิตทั้งพลังวิญญาณสาบสูญ…ด้วยอาการร้ายแรงเช่นนี้นายน้อยยังมิตาย? เป็นไปได้ด้วยหรือ?”
……
ตอนนี้ไม่เพียงแต่อาวุโสที่อยู่ด้านหลงฉีอี้เฉินเท่านั้น หากแต่เหล่าผู้ที่ติดตามออกมาไม่ว่าจะเป็นเหล่าอาวุโสหรือคนรุ่นเยาว์ที่กลับมาพร้อมฉีเสิ่นก็ไม่อยากจะเชื่อ
โดยเฉพาะผู้ที่กลับมาพร้อมกันกับฉีเสิ่น ทั้งหมดเห็นฉากการตกตายของฉีจิ้งชัดถนัดตา ถูกรังสีพลังกระบี่ร้ายกาจทะลวงหว่างคิ้วทะลุหลังศีรษะ…แถมร่างยังร่วงตกจากฟ้าสูงไปกระแทกพื้นเช่นนั้น! น่ากลัวว่าต่อให้มหาเทพเซียนสวรรค์จุติลงมาก็ยากที่จะช่วยชีวิตเอาไว้ได้!
ทว่ามาตอนนี้ผู้นำคฤหาสน์กลับบอกว่านายน้อยยังไม่ตาย?
‘หรือท่านผู้นำเสียสติไปแล้ว..เพราะทนรับความจริงที่นายน้อยตกตายมิได้?’
จังหวะนี้รุ่นเยาว์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้
แน่นอนว่าพวกมันทำได้แค่คิดในใจ ไม่กล้าเอ่ยวาจาออกมา
อีกทั้งเป็นธรรมดาที่สายตาของคนส่วนใหญ่จะตกลงไปยังมุกวิญญาณในมือของผู้นำคฤหาสน์ ‘นั่นคือไข่มุกวิญญาณของนายน้อยแน่หรือ? เห็นกันชัดตำตาว่านายน้อยตกตายไปแล้ว ไฉนไข่มุกยังอยู่ดีได้?’
จังหวะนี้ทั้งหมดคิดกันว่าผู้นำของพวกมันสมควรหยิบไข่มุกวิญญาณออกมาผิดคน และหลงคิดว่าเป็นของนายน้อย
ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือ ฉีอี้เฉิง นั้น เป็นชายที่แลดูอยู่ในวัยกลางคน รูปร่างใหญ่โตน่าเกรงขาม แม้ใบหน้าของมันจะแลดูธรรมดาก็ตามแต่หว่างคิ้วแผ่พุ่งบารมี มากสง่าราศีไม่น้อย
ตอนนี้เองสำนึกสติของมันก็แผ่เข้าไปส่องภายในร่างของบุตรชายตัวเอง และไม่นานมันก็พบกลิ่นอายพลังแผ่วเบาในส่วนลึกของดวงจิตที่แตกสลาย กลิ่นอายพลังดังกล่าวเป็นกลิ่นอายของพลังวิญญาณไม่ผิดแน่!
และแม้กลิ่นอายพลังดังกล่าวจะแผ่วเบาอ่อนแอเพียงใด แต่มันคุ้นชินกับกลิ่นอายพลังนี้นัก!
นั่นเพราะมันเป็นกลิ่นอายพลังเดียวกันกับกลิ่นอายพลังวิญญาณที่อยู่ในไข่มุกวิญญาณที่มันถืออยู่!!
“จิ้งเอ๋อ!!”
แม้ไม่ทราบว่าไฉนบุตรชายของมันรอดชีวิตมาได้ทั้งที่อาการสาหัสร้ายแรงขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่มันสนใจ ที่มันสนใจก็คือลูกชายของมันยังไม่ตาย!!
หากแต่กลิ่นอายพลังวิญญาณนี่ช่างแผ่วเบาเหลือเกิน ดั่งเปลวเทียนที่คล้ายจะมอดดับลงเต็มที!
“ทะ….ท่านพ่อ…ข้าต้องการ…ห้อง…เงียบสงบ…3 ปี….ข้าจะฟื้นตัว…หายดี”
และทันทีที่สติสำนึกของฉีอี้เฉิงพยายามโอบอุ้มกลิ่นอายพลังวิญญาณนั่นเอาไว้หมายติดต่อผ่านสำนึกสติ มันพลันได้ยินเสียงผ่านสำนึกสติของมันทันที!
หลังได้ยินเสียงที่ว่า กลิ่นอายพลังวิญญาณที่แผ่วเบาอยู่แล้ว ยิ่งจางลงไปคล้ายเจียนดับลงเต็มที!!
“ได้! ได้!!”
ทันทีที่ได้ยินมันก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของบุตรชายมัน! และได้รู้ว่าบุตรชายของมันยังไม่ตาย กระทั่งยังจะฟื้นฟูหายดี! ฉีอี้เฉิงเลิกสนใจทุกสิ่งละทิ้งทุกอย่าง เร่งพุ่งร่างด้วยความเร็วสูงสุด อุ้มลูกชายของมันไปยังห้องใต้ดินที่สงบเงียบและตัดขาดจากโลกภายนอกในคฤหาสน์ทันที!!
เมื่อเห็นว่าผุ้นำคฤหาสน์รีบร้อนอุ้มร่างนายน้อยที่ตกตายจากไป ทุกผู้คนล้วนอ้าปากค้าง ด้วยความอื้ออึงไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกมันก็พบว่าผู้นำคฤหาสน์เหินร่างย้อนกลับมา
และตอนนี้ทั้งหมดพบว่าสีหน้าของผู้นำมืดดำทั้งยังดุร้ายเอาเรื่องนัก!
แต่เรื่องนี้พวกมันก็ไม่แปลกใจอะไร
สุดท้ายแล้วที่ตกตายไปก็บุตรชายทั้งคน ใครยังจะอารมณ์ดีอยู่ได้?
“อาวุโสหลัก นี่มันเกิดอันใดขึ้นในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องกันแน่…ไฉนบุตรชายข้าถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ไหนยังจะฉีค่านหลานท่านกับอัจฉริยะของเรา 2 คนที่ตกตายอีก!?”
หลังกลับมาถึง ผู้นำคฤหาสน์ก็มองถามฉีเสิ่นทันที
“บาดเจ็บสาหัส..?”
ได้ยินคำถามนี้ของฉีอี้เฉิงไม่เพียงแต่ฉีเสิ่น แต่ทุกคนในที่นี้ล้วนตกตะลึงกันทั้งสิ้น
ท่านผู้นำของพวกมันพึ่งกล่าวว่านายน้อยเพียงบาดเจ็บสาหัสหรือ?
นายน้อยยังไม่ตาย?
“ท่านผู้นำ…นายน้อย…”
ตอนนี้รองผู้นำไม่อาจทนได้ไหวสืบไป มันมองถามฉีอี้เฉิงทันที “เพียงแค่บาดเจ็บสาหัสหรือ?”
“อืม! จิ้งเอ๋อบาดเจ็บสาหัส! จำต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการฟื้นฟูรักษาตัว!!”
ฉีอี้เฉินกล่าวออกเสียงเย็น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
แต่ใครลองคิดดูก็เข้าใจ หัวอกคนเป็นพ่อ เมื่อได้รู้ว่าบุตรชายคนเดียวอาการเป็นแบบนี้จะให้มีอารมณ์เช่นไรได้?
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบสองตาของฉีอี้เฉิงไม่ได้ละออกจากฉีเสิ่นแม้แต่น้อย เพราะมันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องกันแน่ เพราะคราวนี้ 4 คนที่มีพลังพอจะเข้าร่วมประลองได้ กลับตกตายไปถึง 3 บาดเจ็บสาหัส 1!
“เพียงบาดเจ็บสาหัส?”
ได้ยินคำยืนยันจากฉีอี้เฉิง ไม่ว่าจะฉีเสิ่นหรือทุกผู้คนก็คล้ายเห็นผีกลางวันแสกๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจอึ้งทึ่ง
ต้องทราบด้วยว่าสภาพฉีจิ้งเป็นอย่างไรพวกมันเห็นกันอยู่ตำตา…
เอาแค่หว่างคิ้วถูกทะลวงจนดวงจิตแตกสลาย วิญญาณสมควรกระจัดกระจายไปหมดสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยังมีชีวิตอยู่…
ทว่าผู้นำของพวกมัน กลับบอกว่านายน้อยที่มีสภาพเช่นนั้นแค่บาดเจ็บสาหัส?
“ท่านผู้นำ…ที่ท่านกล่าวเรื่องจริงหรือ?”
ฉีเสิ่นกล่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ขณะเดียวกันทุกคนก็มองจ้องไปยังร่างผู้นำเช่นกัน พวกมันสงสัยเรื่องนี้นัก เพราะนี่มันเป็นไปไม่ได้ในสายตาของพวกมันเลย ให้เทียบกันแล้ว…หากบอกว่าคนหัวขาดยังไม่ตายยังจะน่าเชื่อมากเสียกว่า! แต่ที่ผู้นำของมันกล่าวออกเช่นนี้ สมควรต้องมีเหตุผลใดอยู่แน่!!
“ข้าเองก็มิรู้ว่านี่มันเกิดอันใดขึ้นกับจิ้งเอ๋อกันแน่ แต่ข้าลองส่องภายในเข้าไปยังดวงจิตที่แตกสลายของจิ้งเอ๋อดู ข้าก็พบเศษเสี้ยววิญญาณที่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณแผ่วเบายังมิได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง กระทั่งยังสามารถสื่อสารกับข้าได้ผ่านสำนึกสติ…และบอกข้าว่าจำต้องใช้เวลาพักฟื้น 3 ปีถึงจะฟื้นตัวหายดี! ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าอยากรู้นัก ว่านี่มันเกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้นในการประลองกันแน่! และมันเกิดอันใดขึ้นกับจิ้งเอ๋อ!!”
ผู้นำว่ายตามองไปทุกๆขณะกล่าว เมื่อถึงท้ายประโยคยังวกกลับมาจ้องฉีเสิ่นเขม็ง
“ยังไม่ตายจริงๆ..”
อย่างไรก็ตามตอนนี้ความคิดของทุกคนไม่เว้นฉีเสิ่น ล้วนจมจ่อมอยู่กับวาจาก่อนหน้าของฉีอี้เฉิน
เพราะทั้งหมดล้วนตกตะลึงพรึงเพริดกับวาจาของฉีเสิ่น…
บาดเจ็บสาหัสสภาพร้ายแรงถึงขั้นดวงจิตแตกสลาย แต่วิญญาณยังไม่สลายหายไปจนหมด?
นายน้อยเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน!?
“ช้าก่อน…หรือนายน้อยจะฝึกฝนเคล็ดรวมวิญญาณจนเชี่ยวชาญแล้ว?”
ทันใดนั้นเองรองผู้นำคฤหาสน์ที่ชรามากคนหนึ่ง พลันขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“เคล็ดรวมวิญญาณ!”
ทันใดนั้นทุกคนไม่เว้นผู้นำคฤหาสน์ ก็หันขวับกลับมามองถามเป็นสายตาเดียวกัน
พวกมันรู้จักรองผู้นำคฤหาสน์ชราผู้นี้ดี
ถึงแม้ในบรรดาผู้นำคฤหาสน์ พลังฝีมืออีกฝ่ายจะเรียกได้ว่าอ่อนด้อยที่สุด หากแต่ถ้าวัดกันเรื่ององค์ความรู้กับปริมาณหนังสือคัมภีร์และบันทึกที่ศึกษาอ่านมาล่ะก็…
ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ถ้าชายชราผู้นี้กล้าบอกว่าเป็นที่ 2 ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่ 1!
“เคล็ดรวมวิญญาณ…ก็ตามชื่อ มีความสามารถในการรวบรวมวิญญาณ”
รองผู้นำชราพยักหน้ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเคยเห็นเรื่องราวทำนองนี้บันทึกไว้ในคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ส่งมาจากบรรพชนรุ่นก่อนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา…กล่าวกันว่าเคยมีผู้ฝึกมารคนหนึ่งที่สำเร็จเคล็ดรวมวิญญาณดังกล่าว แม้วิญญาณของมันจะถูกทำลาย แต่มันก็สามารถรวบรวมฟื้นฟูได้ในเวลาอันสั้น”
“อย่างไรก็ตามกระบวนการในการฟื้นฟูวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากยิ่ง…ยังต้องใช้เวลา 3-5 ปี กระทั่งอาจจะนานกว่านั้นในการฟื้นฟูวิญญาณและดวงจิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนกระทั่งหลอมรวมผสานเข้าร่างเพื่อฟื้นคืนชีพ”
ชายชราหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อ “และผู้ฝึกมารที่ว่า ก็คือผู้ฝึกมารที่เป็นต้นเหตุทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเราต้องร่วงจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 กลายเป็นขุมพลังชั้น 4…ผู้ฝึกมารผู้นั้นที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยิน สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมที่ทำให้สุดยอดฝ่ายธรรมะของเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าต้องผนึกกำลังต่อกร! เรื่องราวที่มันสำเร็จเคล็ดรวมวิญญาณมีบันทึกเอาไว้ชัดเจน!!”
“ผู้ฝึกมาร!?”
“มารกลืนหยิน!!”
ได้ยินคำพูดของรองผู้นำชรา ทุกผู้คนกลายเป็นเงียบงันทันที
เท่าที่ผู้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทราบ เรื่องนี้ประหนึ่งนิทานเตือนใจพวกมัน
ผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยิน เปรียบได้ดั่งศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ นั่นเพราะมันคือต้นเหตุที่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตกต่ำลงจนถึงทุกวันนี้!
“หากนายน้อยเป็นผู้ฝึกมาร และบังเอิญได้รับเคล็ดวิชามารระดับสูงเช่นเดียวกับวิชามารกลืนหยิน นายน้อยจะสำเร็จเคล็ดวิชารวมวิญญาณด้วยก็มิแปลกอันใด เพราะเคล็ดวิชานี้เปรียบได้ดั่งพื้นฐานสำคัญที่ผู้ฝึกมารกระทั่งผู้ฝึกเต๋าระดับสูงๆจักฝึกปรือกัน…แต่ปัญหาคือนายน้อยของพวกเรามิใช่ผู้ฝึกมาร แถมยังแขยงผู้ฝึกเต๋ายิ่งกว่าอะไรดี…”
รองผู้นำชรายังคงกล่าวต่อไป
ทันทีที่รองผู้นำกล่าวประโยคนี้ออกมา ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องก็พยักหน้าเห็นด้วยออกมา
ทว่าเหล่าผู้คนที่พึ่งกลับมาจากการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง รวมถึงฉีเสิ่น กลับหันหน้ามองสบตากันทันที
เพราะมีเพียงแต่พวกมันเท่านั้นที่รู้ ว่าตอนนี้นายน้อยของพวกมันได้กลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว!
และไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นเลย
ว่าด้านหลังกลุ่มคนที่ฉีเสิ่นพามา ชายหนุ่มหลังค่อมที่อุ้มร่างฉีจิ้งมาแต่แรก สุนัขรับใช้ของฉีจิ้ง ได้เผยประกายตาลุกวาวเจิดจ้าออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำของรองผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ชรามากแล้วคนนั้น…
ตอนที่ 1,704 : เคล็ดวิชามารระดับสูง!
ในฐานะผู้ติดตามดั่งสุนัขรับใช้ของฉีจิ้ง ชายหนุ่มหลังค่อมย่อมล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เรื่องที่ฉีจิ้งบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ดวิชามารอย่าง มารกลืนหยิน นั้น ว่ายมองทั่วเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว นอกจากฉีจิ้งก็มีแค่มันเท่านั้นที่รู้
ตอนแรกมันคิดว่าการที่นายน้อยของมันตกตาย มันก็กลายเป็นไร้ที่พึ่ง…
แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวกลับพลิกผันครั้งใหญ่!
ประการแรกคือผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับยืนยันว่านายน้อยของมันยังไม่ตาย หลังจากนั้นรองผู้นำที่มีอาวุโสก็กล่าวถึงเรื่องเคล็ดมารกลืนหยิน กระทั่งเคล็ดรวมวิญญาณที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชามารระดับสูงๆออกมา!
ทั้งหมดนั่นทำให้มันรู้ว่านายน้อยของมันยังไม่ตายจริงๆ!
เพราะที่นายน้อยฝึกฝนบำเพ็ญก็คือเคล็ดวิชา มารกลืนหยิน!
แน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงแม้มันรู้ดี แต่มันก็ไม่กล้าปริปากกล่าวบอกผู้ใดเด็ดขาด!
นั่นเพราะมันได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว ว่าจะไม่เปิดเผยความลับของนายน้อย
“ท่านผู้นำ ข้ามีบางเรื่องที่ต้องกล่าวบอกท่าน…”
อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีเสิ่น ในที่สุดก็มองผู้นำด้วยความจริงจังตัดสินใจกล่าวออกมาเสียงขรึม “ในระหว่างการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง นายน้อยได้เปิดเผยออกมาว่าเป็นผู้ฝึกมาร! กระทั่งข้าเองก็ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าที่แท้นายน้อยจะได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะบำเพ็ญสายมารระดับสูงมาเช่นนี้..”
เมื่อนึกถึงพลังฝีมือที่ฉีจิ้งเผยในการประลอง กอปรกับวาจาของรองผู้นำอาวุโสก็ทำให้ฉีเสิ่นคลายความสงสัยออกไปทันที
ที่แท้วาสนาปาฏิหาริย์ที่นายน้อยของมันเผชิญมา ก็คือเคล็ดบำเพ็ญพลังสายมารระดับสูง!
ยิ่งพอคิดถึงเรื่องที่ฉีจิ้งสามารถบ่มเพาะพลังจนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจากขั้นต้นได้ในเวลาแค่ 1 ปี ใจฉีเสิ่นอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมาอีกรอบ ‘เคล็ดวิชามารนั่นจะไม่ร้ายกาจไปหน่อยหรือ?’
อยู่ดีๆฉีเสิ่นกล่าวออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ทุกผู้คนรู้สึกสนใจ และไม่ว่าจะฉีอี้เฉิงผู้นำหรืออาวุโสคนอื่นๆ ก็ชะงักไปด้วยความตกใจทันที
สุดท้ายเป็นฉีอี้เฉิงที่คืนสติก่อนใคร มันมองไปยังฉีเสิ่นค่อยกล่าวออกเสียงเข้ม “อาวุโสหลัก ที่แท้ในการประลองครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…ไม่ว่าจะเรื่องหลานชายท่านกับอัจฉริยะอีก 2 คนของเรา…และมันเกิดอะไรกับจิ้งเอ๋อของข้า ท่านจงเล่าออกมาให้หมด!”
ฉีอี้เฉิงย่อมหัวเสียไม่น้อย เรื่องที่บุตรชายตัวเองกลายเป็นฝึกมารแล้วแท้ๆแต่ตัวมันกลับไม่รู้
“ทราบแล้ว”
เผชิญหน้ากับสายตาเค้นความที่มองจี้มาของฉีอี้เฉิง ฉีเสิ่นไม่กล้าพิรี้พิไร เร่งกล่าวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะประลองออกมาทันที
ตอนที่ทุกคนฟังถึงจังหวะที่จงกู้ฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อาวุโสระดับสูงหลายคนอดไม่ได้ที่จะโมโห “จงกู้นั่นมันช่างกล้านัก! มันกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไรถึงได้หาญกล้าฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา! ท่านผู้นำ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมิอาจปล่อยให้จงกู้รอดมือไปได้!!”
วาจาท้ายประโยค ทั้งหลายยังหันไปมองย้ำกับฉีอี้เฉิง
“เรื่องนั้นมิจำเป็น…”
ทว่าฉีเสิ่นกลับส่ายหัวออกมาพร้อมกล่าว ดึงความสนใจของผู้คนไปอีกครั้งทันที และเมื่อเห็นว่าทุกคนหันมามองตัว ฉีเสิ่นจึงกล่าวสืบต่อ “หลังจากนั้นไม่นาน นายน้อยก็ลงมือฆ่าจงกู้ด้วยตัวเอง”
พอได้ยินเรื่องนี้ โทสะของเหล่าอาวุโสจึงคลายลงทันที
หากเป็นปกติ ตอนนี้พวกมันคงต้องกล่าวสรรเสริฐนายน้อยขึ้นมาแล้วแน่แท้
อย่างไรก็ตามพอพวกมันนึกถึงสภาพของฉีจิ้ง จึงไม่มีใครคิดจะกล่าวอะไรออก
“ว่าต่อไป”
ฉีอี้เฉิงกล่าวเร่ง
หลังจากนั้นฉีเสิ่นก็เล่าถึง ลี่เฟิง รวมทั้งเรื่องที่ลี่เฟิงฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไป 2 คน และหนึ่งในนั้นก็คือฉีค่ารหลานชายคนเดียวของมัน
ต้องกล่าวเลยว่าขณะเล่าใบหน้าฉีเสิ่นเผยความโศกเศร้าอาลัยไม่น้อย
ฉีค่านจะอย่างไรก็คือหลานชายที่มันฝากความหวังทั้งชีวิตเอาไว้
ครู่ต่อมาเพลิงแค้นในใจพลันปะทุออกมาอีกครั้ง ยากที่ฉีเสิ่นจะสงบลงได้อยู่นาน
“ลี่เฟิง ผู้ฝึกตนพเนจร?”
อาวุโสหลายคน รวมถึงฉีอี้เฉิงผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้แต่ขมวดคิ้ว “ข้ามิเคยได้ยินเรื่องราวของผู้ฝึกตนพเนจรนามลี่เฟิงมาก่อนเลย…แต่มันสามารถฆ่าฉีค่านที่บรรลุเซียนขัดเกลาได้ นั่นหมายความว่ามันมิได้อ่อนด้อยไปกว่าจงกู้แน่ๆ!”
“หึ! ลี่เฟงกล้าฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา นับว่ามันรนหาที่ตายแล้ว!”
“อย่าได้กังวล…นายน้อยสมควรฆ่าลี่เฟิงนั่นไปแล้วเช่นกัน”
“ถูก มิจำเป็นต้องไปสนใจคนตาย!”
……
ได้ยินวาจาเหล่านี้จากอาวุโสของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทำให้สีหน้าของฉีเสิ่นกับคนที่พึ่งกลับมาจากหุบเขาหลิงหลงพร้อมมัน เผยความขื่นขมยากกล้ำกลืนทันที
“หืม?”
ในฐานะผุ้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไหนเลยฉีอี้เฉิงจะเป็นชนชั้นต่ำทรามสายตาไม่เอาไหนได้ มันย่อมสังเกตเห็นอาการของพวกฉีเสิ่นที่ผิดแปลกไปได้ทันที ใจยังเต้นรัวขึ้นมา “อย่าได้บอกข้าเชียว ว่าการบาดเจ็บของจิ้งเอ๋อ มีส่วนเกี่ยวข้องกับลี่เฟิง?”
“ใช่”
ฉีเสิ่นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวสืบต่อหลังถูกฉีอี้เฉินมองจ้องด้วยสายตาเยียบเย็น
ยังกล่าวบอกถึงวิธีสังหาร ที่ฉีจิ้งใช้ลงมือฆ่าหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อที่ผนึกกำลังร่วมมือกันออกมาชัดเจน
“อะไรนะ!? นายน้อยสามารถฆ่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้ ทั้งๆที่พวกมันกลุ้มรุม?”
พอได้ยินเรื่องนี้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็แตกตื่นกันยกใหญ่
ต้องทราบด้วยว่าเรื่องที่ฉีเสิ่นเล่าออกมาก็คือ ทั้งหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อล้วนบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญกันแล้ว แต่กระนั้นทั้งคู่ที่ร่วมมือกันกลับถูกนายน้อยของพวกมันฆ่าตาย!
เหลือเชื่อนัก!
นี่คืออารมณ์ของพวกมันตอนนี้!
กระทั่งฉีอี้เฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง ด้วยไม่คิดว่าพลังฝีมือลูกชายของมันจะก้าวหน้ามหาศาลได้ถึงขนาดนี้ในเวลาเพียงแค่ปีเดียว
“นายน้อยเป็นผู้ฝึกมารที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…”
ทันทีที่ฉีเสิ่นกล่าวเล่าเรื่องนี้ออกมา ฉีอี้เฉิงและอาวุโสระดับสูงๆของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกับอุทานด้วยความตกตะลึง
เพียงปีเดียว จากเซียนขัดเกลาขั้นต้นเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด?
ช่างเป็นอะไรที่ร้ายกาจนัก!
“โชคดียิ่งนักที่จิ้งเอ๋อยังมิตาย…”
ตอนนี้ไม่เพียงฉีอี้เฉิงที่ยินดี คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้งหมดล้วนยินดีกันนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีเสิ่น ที่เสมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เพราะเมื่อฉีจิ้งไม่ตาย นั่นหมายความว่ามันไม่ต้องโดนลงโทษเรื่องนี้!
ทว่าพอฉีเสิ่นกล่าวถึงเรื่องราวหลังจากนั้นออกมา ทุกผู้คนก็เงียบไปราวคนตาย
ผู้ฝึกตนพเนจร ลี่เฟิง ที่พวกมันไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อมาก่อน กลับเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี! พรสวรรค์ดังกล่าวน่ากลัวว่า ในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเบื้องของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
ทว่าตอนนี้กลับมาปรากฏที่เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องพวกมัน!?
“ลี่เฟิงนั่นกลับมิรู้ว่าอันใดดีต่อตัว…!”
พอได้ฟังว่าลี่เฟิงปฏิเสธคำเชิญของฉีเสิ่น ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะฮึดฮัดทั้งด่าทอกันออกมา
อย่างไรก็ตามพอได้รู้เรื่องที่ลี่เฟิงเองก็ไม่ได้เข้าร่วมกับคฤหาสน์ข้ามฟ้ารวมถึงคฤหาสน์คลื่นคลั่ง อาการเหวี่ยงๆด้วยความไม่พอใจของทั้งหมดจึงพอได้ทุเลาลงมาบ้าง
“ในเมื่อลี่เฟิงมิอาจให้พวกเราใช้ประโยชน์อะไรมันได้…เช่นนั้นพวกเราสมควรฆ่ามันทิ้งเสีย!”
ประกายเยียบเย็นพุ่งลอดออกจากลูกตาฉีอี้เฉิง มันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิต “มันฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเราไป 2 แถมยังทำร้ายจิ้งเอ๋อของข้าจนอาการสาหัส…หากมันไม่ตายข้าไม่มีวันสบายใจ!”
หลังจากนั้นฉีอี้เฉิงก็ให้ฉีเสิ่นวาดภาพเหมือนของลี่เฟิงออกมา และสั่งให้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนำภาพนี้ไปทำซ้ำแจกจ่าย เพื่อค้นหาตัวลี่เฟิงและฆ่าทิ้ง!
อย่างไรก็ตามมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ลี่เฟิง นั้นเป็นเพียงชื่อปลอม
นอกจากนั้นใบหน้าในภาพวาดนั่นก็เป็นแค่ใบหน้าที่ปลุกปั้นปลอมแปลงขึ้นมาเท่านั้น กระทั่งจะใช้อีกครั้งหรือไม่…เจ้าตัวยังไม่รู้
ดังนั้นแล้วไม่ว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะพยายามตามหาแค่ไหน พวกมันก็ไม่มีวันพบตัวลี่เฟิง!
ทันใดนั้นรองผู้นำชราคล้ายนึกอะไรออก สองตามันทอประกายขึ้นวาบหนึ่งกล่าวคำ “ท่านผู้นำตอนนี้นายน้อยบาดเจ็บสาหัสแทบตาย ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 3 ปี…แล้วพวกเราสมควรจัดการเรื่องงานวิวาห์ระหว่างนายน้อยกับคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจี ที่จะมีขึ้นในอีก 1 เดือนหลังจากนี้เช่นไรดี…พวกเราต้องส่งสารไปบอกพวกมันหรือไม่?”
ทันใดนั้นทุกคนก็หันไปมองฉีอี้เฉิงทันที
เรื่องนี้พวกมันก็รู้
“ในเมื่อลูกข้าบาดเจ็บเช่นนี้ แน่นอนว่างานแต่ก็ต้องล้มเลิกไปเป็นธรรมชาติ…แต่มิจำเป็นที่พวกเราต้องลดตัวไปส่งสารให้ขุมพลังชั้น 5! ยิ่งไปกว่านั้นอีกมินานข่าวการตายของจิ้งเอ๋อสมควรแพร่ออกไปทั่วเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กระทั่งมานานก็ต้องแพร่ไปถึงคฤหาสน์คลื่นขจี ถึงตอนนั้นพวกมันจะรู้กันเองว่าไฉนพวกเราไม่ไปรับตัวเจ้าสาว”
ฉีอี้เฉิงกล่าวออกด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
ในฐานะผู้นำขุมพลังชั้น 4 มันย่อมไม่เห็นหัวขุมพลังชั้น 5
“สมควรเป็นเช่นนั้น กระทั่งแขกเหรื่อที่พวกเราเชิญไป ก็คงทราบกันดีว่างานวิวาห์ล้มเลิกหลังได้รับทราบข่าวการตายของนายน้อย”
ฉีเสิ่นพยักหน้า
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ จงกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเสีย ว่าจักมิแพร่งพรายเรื่องที่ลูกข้ายังมีชีวิตรอดอยู่ออกไปเด็ดขาด! ให้ทั้งหมดคิดกันไปว่าจิ้งเอ๋อลูกข้าตายแล้ว!!”
ไม่นานเสียงเย็นเยียบของฉีอี้เฉิงก็ดังขึ้นขณะว่ายตามองทุกคนด้วยประกายตาคมกล้า!
ทั้งหมดไม่มีใครแปลกใจกับคำสั่งนี้ของฉีอี้เฉิน
จากสถานการณ์ของฉีจิ้ง
หากเรื่องที่มันยังไม่ตายแพร่ออกไป ต้องมีผู้คนฉุกคิดได้แน่ว่าต้องฝึกวิชามารระดับสูงอะไรสักอย่าง
ถึงตอนนั้นฉีจิ้งจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน!
เคล็ดวิชามารระดับสูงที่ทำให้ผู้ฝึกก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ น่ากลัวว่ากระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็ต้องสนใจ!
วันนี้คงเป็นวันที่ผู้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่มีวันลืมเป็นแน่
เพราะทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พลันได้ยินเสียงอัสนีสวรรค์ฟาดผ่าดั่งลั่นขึ้นมาจากฟ้าที่ห่างออกไปไม่ไกล! ยังดังเสียจนกระทั่งผู้ที่อยู่ขอบเขตเซียนยังแทบหูหนวก บางคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นโลหิตไหลออก
เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่กล่าวคำสาบานพร้อมกันก็มีมากมายนัก แถมยังกล่าวพร้อมๆกัน ทำให้ตอนที่สวรรค์ตอบรับคำสาบานก็เป็นอะไรที่พร้อมกัน!
เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องก็ค่อยๆแพร่กระจายอกทุกแห่งหน
“อะไร! นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง ตกตายในการประลอง?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ อาวุโสสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจี ‘หานซิ่น’ ถึงกับชักสีหน้าดุร้ายออกมาทันที “นี่มิใช่หมายความว่า เฉวี่ยไน่ จะรอดตัวหรือไร?”
“ไม่!”
ไม่นานใบหน้าหานซิ่นก็คล้ายจะฉาบคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง ในแววตาเผยจิตสังหารอำมหิต “ไม่มีวันที่ข้าจะปล่อยให้นางรอดตัวไปได้ง่ายๆ! ในเมื่อมิอาจยืมมือฉีจิ้งทรมานนาง เช่นนั้นข้าก็ต้องจัดการกับนางด้วยตัวเอง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น