War sovereign Soaring The Heavens 1685-1696

 ตอนที่ 1,685 : ฉีเสิ่นคุ้มคลั่ง


 


“ขะ…เขายังมิตาย?”


 


“ที่แท้ลี่เฟิงเป็นผู้ใดกันแน่!? ยังเป็นผู้คนอยู่อีกหรือ ทานรับแรงระเบิดเช่นนั้นแล้วยังรอดมาได้เนี่ยนะ!?”


 


“นอกจากสีหน้าที่แลดูซีดลงเล็กน้อยกับชุดใหม่…ก็คล้ายมิได้รับบาดเจ็บอะไร!”


 


“หรือเขาจะใช้ยันต์เต๋าป้องกันระดับสูง?”


 


“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีความผันผวนของพลังจากยันต์เต๋าหรืออาคมเซียนใดๆเลย…ข้ามิคิดว่าเขาจักใช้ความช่วยเหลือจากภายนอก!”


 


……


 


ผู้คนที่อื้ออึงก่อนหน้าค่อยๆคืนสติกลับมาอีกครั้ง และเริ่มสนทนาถามไถ่กันไปมาด้วยความเหลือเชื่อทันที


 


หลวงจีนลายบุปผาเองก็ประหลาดใจไปไม่น้อย มันมองต้วนหลิงเทียนอย่างตกตะลึง “ละ…ลี่เฟิงมิเป็นอันใดเลย?”


 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนตายไปแล้ว พอเห็นเขายังอยู่ดีทั้งหมดก็เผยยิ้มเริงร่าออกมาทันที


 


เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรยังยินดีถึงขั้นกู่ร้องเรียกชื่อต้วนหลิงเทียนออกมาไม่ขาดปาก แน่นอนว่าชื่อที่พวกมันตะโกนก็คือ ลี่เฟิง


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างอยู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่งค่อยผ่อนออก


 


‘คิดไม่ถึงจริงๆว่ากระบวนท่า หยวนปะทุทลายว่างเปล่าของฉีค่านมันจะรุนแรงขนาดนี้…’


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังร่างในอ้อมแขนฉีเสิ่น ก่อนที่จะครุ่นคิดถึงเรื่องราวเมื่อครู่อย่างหวาดเสียว ร่างดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฉีค่านที่ตกตาย…


 


‘หากไม่ใช่เพราะร่างกายข้าแข็งแกร่งกว่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ ข้าตายอนาถแน่…’


 


นึกถึงฉากก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะใจหายวาบ


 


ทันทีที่บอลพลังทำลายล้างจากท่าหยวนปะทุทลายว่างเปล่าระเบิดออก พลังมหาศาลที่แผ่พุ่งออกมาทำลายสรรพสิ่งโดยรอบ ทั้งคลื่นกระแทกที่สาดมากระทบเข้าร่างเขา ก็ทำให้เขารับทราบถึงพลังทำลายล้างนั่นดีว่ามันมากมายขนาดไหน


 


แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่เขาถูกแรงระเบิดกระแทกใส่ ชุดคลุมของเขาก็สลายหายไปทันที ทั่วร่างยังรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกค้อนหนักพันหมื่นชั่งระดมหวดฟาดไปทุกอณู…


 


ยังดีที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากพอ หาไม่แล้วคงได้ถูกพลังทำลายนั่นป่นละเอียดเป็นผงแน่!


 


เมื่อมองไปยังฉีเสิ่นที่ตัวสั่น ทั้งสองตาแดงฉาน มุมปากต้วนหลิงเทียนพลันแสยะยิ้มสมน้ำหน้าออกมา


 


ในสายตาของเขา ฉีค่านนั่นไม่ต่างอะไรจากทุ่มหินทับเท้าตัวเองแท้ๆ…!


 


อยู่ดีๆก็แส่มารนหาที่เอง!


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันหันไปส่งเสียงผ่านปราณกล่าวขอบคุณเริ่นจงกับหลิวหงกวงอีกครั้ง


 


ถึงแม้ว่าจะไม่มีทั้งคู่กล่าวเตือน เขาก็ไม่ได้เห็นฉีค่านที่มีขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่ในสายตา แต่ในเมื่อทั้งคู่หวังดีเขาเองก็ต้องตอบแทนความปรารถนาดีดังกล่าว


 


“สหายน้อยลี่เฟิงข้ามิคิดเลยว่าที่แท้เจ้าจะร้ายกาจขนาดนี้…เมื่อครู่เจ้ารอดมาได้อย่างไรหรือ?”


 


เริ่นจงตอบสนองคำขอบคุณของต้วนหลิงเทียนด้วยความดีใจ ยังเผลอกล่าวถามออกไปด้วยความอยากรู้ทันที


 


เมื่อหลิวหงกวงรู้สึกตัว มันก็กล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาคล้ายๆกัน


 


เผชิญหน้ากับความสงสัยอยากรู้ของทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้ตอบคำอะไรกลับไป


 


เห็นเช่นนี้ทั้งคู่จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากลบกลื่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าว ด้วยรู้ตัวว่าพวกมันละลาบละล้วงเกินไปแล้ว


 


เมื่อพวกมันเห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดตอบ พวกมันจึงไม่คิดจะเซ้าซี้จี้ถามอะไรอีก ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง แม้พวกมันจะจี้ถามไปเกรงว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับคำตอบเหมือนเดิม แต่ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนเสียความประทับใจอีกด้วย


 


ตอนนี้พวกมันหมายมั่นปั้นใจว่าจะชวนต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วมขุมพลังของพวกมันให้จงได้ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่อยากผิดใจกับต้วนหลิงเทียน


 


“ไม่ตาย?”


 


ตอนนี้เองฉีเสิ่นค่อยๆฟื้นคืนจากความโศกเศร้าที่สูญเสียหลานชาย และในที่สุดมันก็ได้ยินบทสนทนาโดยรอบ ยังอดตกใจไปกับเนื้อหาในบทสนทนาเสียไม่ได้…


 


ร่างมันที่ยังคงสั่นระริก ค่อยๆหันไปมองทิศทางหนึ่ง ไม่นานมันก็เห็นต้วนหลิงเทียนที่ปลอดภัยไร้เรื่องราวลอยล่องอยู่…


 


ลูกตาของมันแทบถลนออกจากเบ้า แววตายังเต็มไปด้วยโทสะอันล้นปรี่


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังอยู่ดีไม่ได้ตายตก ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของมันก็คือเป็นไปไม่ได้!


 


แรงระเบิดเมื่อครู่มันเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอันมหาศาล ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางจะต้านทานรับมือได้เลย! ต่อให้มีวรยุทธ์สายป้องกันสูงล้ำอย่างไรก็ไม่ได้!!


 


เพราะอาศัยเลือดเนื้อของมนุษย์ในขอบเขตพลังเท่านี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทานแรงระเบิดนั่นไหว!


 


“เจ้าใช้ยันต์เต๋างั้นเรอะ!?”


 


ความคิดแรกของฉีเสิ่นคือต้วนหลิงเทียนสมควรใช้ยันต์เต๋าเอาตัวรอดมาแน่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนไปหายันต์เต๋าระดับสูงแบบนั้นมาจากไหนก็ตาม เพราะกระทั่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมันยังมียันต์เต๋าไม่กี่แผ่นที่สามารถต้านทานการโจมตีระดับนี้ได้


 


ได้ยินคำถามเสียงแข็งด้วยโทสะของฉีเสิ่น ต้วนหลิงเทียนก็นิ่งเฉยคร้านจะตอบ


 


“อาวุโสฉีเสิ่น…ลี่เฟิงมิได้ใช้ยันต์เต๋าหรือกำลังภายนอกอื่นใด…หากใช้กำลังภายนอกอันใด สำนึกเทวะของอริยะเซียนเช่นท่านมีหรือจะสัมผัสมิได้?”


 


เริ่นจงขมวดคิ้วมองถามฉีเสิ่น


 


“ถูกแล้วอาวุโสฉีเสิ่น ลี่เฟิงไม่ได้ใช้ยันต์เต๋าหรืออาคมเซียนใดๆทั้งสิ้น!”


 


หลิวหงกวงยังกล่าวย้ำออกมาอีกคน


 


ที่ฉีเสิ่นถามว่าต้วนหลิงเทียนใช้ยันต์เต๋าหรือไม่ เป็นมันกล่าวถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว


 


ส่วนเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนใช้ตัวช่วยอะไรหรือไม่ เพียงใช้สติคิดดูมันก็รู้คำตอบดีแล้ว เพราะสำนึกเทวะมันที่แผ่ไปตรวจสอบตลอด ไม่อาจจับความเคลื่อนไหวของพลังอื่นใดได้เลย


 


ฉีเสิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่งมันก็มองเริ่นจงกับหลิวหงกวงด้วยสายตาเย็นเยียบ ทว่าพริบตานั้นเอง อยู่ดีๆร่างฉีเสิ่นพลันไหววูบเป็นเงาติดตา พุ่งเข้าหาต้วนหลิงเทียนอย่างไร้ซึ่งการเตือนล่วงหน้า!


 


ทันใดนั้นปราณแรกกำเนิดอันน่ากลัวก็ปะทุออกมาจากร่างฉีเสิ่น!


 


แรงกดดันพลังอันมหาศาลของขอบเขตอริยะเซียนปะทุออกฉับไว พาลให้ความว่างเปล่าถึงกับสั่นสะเทือน ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังกระแทกอันร้ายกาจขุมหนึ่งแผ่กวาดออกไปทั่วสารทิศ!


 


ผู้ฝึกตนโดยรอบที่ยังไม่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมถึงกับถูกคลื่นพลังดังกล่าวซัดจนบาดเจ็บสาหัส บ้างก็สิ้นสติทันใด!


 


ส่วนเหล่าตัวตนที่บรรลุขอบเขตเซียนดั้งเดิมหรือสูงกว่า ต่างก็ถูกคลื่นพลังนี้ทำร้าย ร่างผงะถอยไปหลายก้าวใหญ่


 


“นี่…”


 


การลงมืออย่างฉับพลันของฉีเสิ่นนั้น ทำให้ทุกคนไม่อาจตั้งตัวได้ทัน ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าอยู่ดีๆฉีเสิ่นก็วูบหายไปต่อหน้าต่อตา


 


และผู้ที่สามารถมองเห็นร่างฉีเสิ่นได้ชัดเจน ก็มีเพียง 3 ผู้นำของขุมพลังชั้น 5 และยอดฝีมืออาวุโสของขุมพลังชั้น 4 เท่านั้น


 


แรงกดดันพลังของขอบเขตอริยะเซียน ทั้งปราณแรกกำเนิดอันน่าหวาดกลัว ถูกควบคุมบังคับให้ซัดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทันที


 


พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนว่าร่างของเขาถูกผนึกแช่! ปราณสุริยันทั่วกายยังคล้ายถูกสะกดเอาไว้ให้ไม่อาจใช้ออก!!


 


ที่บังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่ใช่เพราะกลิ่นอายพลังของฉีเสิ่นสะกดข่มเขาได้แต่อย่างไร หากแต่เป็นเพราะฉีเสิ่นมันลงมือรวดเร็วเกินไป! รวดเร็วเสียจนต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนร่างกายกลายเป็นเชื่องช้า ปราณสุริยันยังยากที่จะโคจรเร่งเร้าออกมาได้ทัน!!


 


ตอนนี้ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสิ้นหวังไม่ยินยอมขึ้นมา


 


ความคิดเดียวในใจของต้วนหลิงเทียนคือใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์สังหารฉีเสิ่นไปเสีย…ทว่าพอเขาเรียกกระบี่นิลสวรรค์ออกมา ฝ่ามือเปี่ยมแน่นไปด้วยพลังสังหารของฉีเสิ่นก็เจียนบรรลุถึงตัวเขาอยู่รอมร่อแล้ว!


 


เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะถ่ายทอดปราณสุริยันแรกกำเนิดลงตัวกระบี่นิลสวรรค์ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับใช้พลังกระบี่สวนกลับ!


 


‘ระยำเอ๊ย ข้าจะตายแบบนี้งั้นเหรอ!?’


 


ใจของต้วนหลิงเทียนล้วนเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ตอนนี้ขอเพียงมีเวลาอีกเสี้ยวของเสี้ยวอึดใจ ปราณสุริยันหลั่งไหลถ่ายทอดลงกระบี่พอให้ปลดปล่อยพลังอำนาจล่ะก็ เขาจะกุดหัวฉีเสิ่นนี่เสีย!!


 


และต่อให้เขาไม่อาจสังหารฉีเสิ่นได้ แต่กับอีกแค่สลายพลังฝ่ามือที่มันตบฟาดออกมา ย่อมเป็นเรื่องราวง่ายดายนัก!


 


หลังจากนั้น เขาก็รอดพ้นแล้ว!


 


ด้วยพลังฝีมือที่เขาเผยออก เขาเชื่อมั่นว่าเริ่นจงกับหลิวหงกวงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเขา เพื่อหวังให้เขาเข้าร่วมขุมพลังของพวกมันแน่!


 


น่าเสียดายแต่เกรงว่าคงสายไปแล้ว


 


บางทีหากเขาถือกระบี่นิลสวรรค์ไว้กับตัวแต่แรก คงสามารถจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงกระบี่ได้ทัน และคงไม่เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น…


 


กล่าวให้ชัด เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าฉีเสิ่นมันจะกล้าลงมือกับเขาโต้งๆต่อหน้าผู้คนทั้งมวลแบบนี้!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ฉีเสิ่นก็ไม่มีสิทธิ์ลงมือทำร้ายใคร


 


การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ขณะประลองไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย นี่คือกฏเหล็ก!


 


“เหอะ!”


 


“ฮึ่ม!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนทำได้แค่ยกกระบี่ขึ้นมาและคิดว่าคงตกตายแน่แท้ หูเขาพลันได้ยินเสียง 2 เสียงแค่นสบถดังขึ้น


 


และพริบตานั้นเองต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกว่ากลิ่นอายพลังที่เพ่งเล็งมายังตัวเขาได้สลายหายไป


 


อีกทั้งแรงกดดันจากพลังฝ่ามือที่กำลังจะซัดร่างเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!


 


และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันเห็นร่าง 2 ร่างบังขวางด้านหน้าเขาเอาไว้ ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นเริ่นจงกับหลิวหงกวง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า กับอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง! ทั้งคู่พร้อมใจกันปรากฏตัวต้านทานรับการโจมตีของฉีเสิ่นให้เขา!!


 


ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งคู่ยังซัดฝ่ามือกระแทกพลังกลับไปอย่างพร้อมเพีรยง จนฉีเสิ่นหน้าหงาย!


 


“อั๊คคค!!”


 


ฉีเสิ่นที่ถูกซัดหน้าหงาย ร่างของมันพลันลังกาม้วนหลังไปหลายตลบ คนยังปลิวกระเด็นไปราวว่าวสายป่านขาด! ขณะกระเด็นโลหิตยังกระอักทะลักออกปากเป็นสาย…ลากม้วนไปเป็นทางกลางหาว จนเมื่อหยุดร่างลงได้ค่อยแลเห็นสีหน้าซีดเซียวทั้งสภาพอนาถาของมัน!


 


“อาวุโสฉีเสิ่น ท่านมันจะมากเกินไปแล้ว!!”


 


น้ำเสียงของเริ่นจงนั้นเต็มไปด้วยโทสะอารมณ์ขุ่นมัวนัก นอกจากละเมิดกฏการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องแล้ว การที่ฉีเสิ่นกล้าลงมือเล่นงานต้วนหลิงเทียนต่อหน้าต่อตามันแบบนี้ ยังต่างอะไรกับตบหน้ามันท่ามกลางผู้คน!?


 


เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็ทำหน้าที่ผู้จัดการประลองร่วมกับหลิวหงกวง ในการประลองครั้งนี้!!


 


หากเรื่องนี้มันยังไร้สามารถกระทั่งมิอาจควบคุมดูแลได้ มันยังจะมีคุณสมบัติอะไรเป็นผู้จัดการประลอง? กระทั่งต่อไปคงต้องห้ามผู้ฝึกตนพเนจรเข้าร่วมแล้ว เพราะมิแคล้วคงต้องถูกผู้มีอำนาจจากขุมพลังใหญ่ๆรังแก แม้จะชนะได้รางวัลก็ตามที!!


 


ด้านหลิวหงกวงแม้ไม่พูดอะไรออกมา แต่จากแววตาดุร้ายเอาเรื่องนั่น ก็เผยให้ทราบว่ามันโมโหมากขนาดไหน


 


ตอนนี้เองด้านต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังของเริ่นจงกับหลิวหงกวง ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยทราบดีว่าสถานการณ์วิกฤตได้ถูกคลี่คลายแล้ว เขารีบเก็บกระบี่นิลสวรรค์กลับไปทันที


 


แต่หลังจากเก็บกระบี่ไปแล้ว เขาก็สัมผัสได้ชัดว่ามือข้างที่กุมกระบี่มันชุ่มเหงื่อจนเหนียวเหนอะหนะขนาดไหน


 


แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ความรู้สึกที่เสมือนเดินผ่านประตูผีไปแล้วครึ่งตัว แต่สุดท้ายกลับถูกฉุดกลับมายังโลกมนุษย์แบบนี้ มันอดทำให้เขาหลั่งเหงื่อเย็นออกมาไม่ได้จริงๆ


 


“ขอบคุณท่านทั้ง 2 ที่ช่วยเหลือข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกเฮือกหนึ่ง ค่อยมองแผ่นหลังของเริ่นจงและหลิวหงกวงพร้อมกล่าววาจาขอบคุณออกมา


 


“สหายน้อยลี่เฟิง เรื่องนี้ข้าจักทวงความเป็นธรรมให้เจ้า!”


 


เริ่นจงพยักหน้ารับแม้จะไม่ได้หันหลังไปมอง สายตาที่จ้องฉีเสิ่นยิ่งมายิ่งเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คน


 


เมื่อหลิวหงกวงได้ยินวาจานี้ของเริ่นจงมันอดไม่ได้ที่จะเสียใจ ไฉนมันไม่รีบกล่าวออกไปก่อนนะ? ตอนนี้มิใช่เริ่นจงได้หน้า ทำคะแนนนำมันไปแล้วหรือ?


 


ทันใดนั้นหลิวหงกวงจึงเร่งกล่าวออกมาทันที “น้องชายลี่เฟิง ข้าหลิวหงกวงรับรองว่าจะมอบคำอธิบายที่ดีให้เจ้าพอใจ!”


 


ได้ยินวาจานี้ของเริ่นจงและหลิวหงกวง ฉีเสิ่นที่กระเด็นออกไปไกลจนหน้าซีด ยิ่งมาสีหน้ามันก็ยิ่งซีดลงหนักข้อ


 


ไหนเลยมันจะมองไม่ออก ว่าไฉนเริ่นตงกับหลิวหงกวงและดูเป็นห่วงเป็นใยต้วนหลิงเทียนนัก…ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะศักภาพพรสวรรค์อันเด่นล้ำของต้วนหลิงเทียน!


ตอนที่ 1,686 : ฉีจิ้งมาถึงแล้ว!


 


อย่างไรก็ตามมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเริ่นจงกับหลิวหงกวงจะเข้ามาหยุดมันเอาไว้ได้ทัน…


 


มันเชื่อว่าเริ่นจงกับหลิวหงกวงสมควรเตรียมตัวไว้แต่แรก หาไม่แล้วคงไม่อาจลงมือได้ทันท่วงทีแบบนี้!


 


มาถึงจุดนี้ฉีเสิ่นอดไม่ได้ที่จะขบฟันดังกรอดๆ


 


มันเกลียดนัก!


 


เกลียดตัวเองที่ล้มเหลวในการฆ่าลี่เฟิง ไม่อาจล้างแค้นให้หลานชายของมันได้!


 


ในขณะเดียวกันทางด้านผู้ชมที่ตะลึง ทั้งบาดเจ็บไปเพราะการปะทุพลังลงมือในฉับพลันของฉีเสิ่นก็พากันคืนสติกลับมา…


 


“อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กลับถือดีถึงเพียงนี้?”


 


สายตาอันเต็มไปด้วยความไม่พอใจจากทั่วทุกสารทิศสาดเทลงไปยังร่างของฉีเสิ่นอย่างพร้อมเพรียง ส่วนใหญ่จะเป็นคนจากขุมพลังอื่นและผู้ฝึกตนพเนจร


 


อย่างไรก็ตามยังมีบางคนจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มองมันด้วยใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย!


 


สุดท้ายแล้วกฏในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องมันก็เป็นอะไรที่ชัดเจนนักว่าไม่สนเป็นตาย!


 


หากกลัวตายหรือทนรับความสูญเสียไม่ได้ก็อย่ามาเข้าร่วมแต่แรก!


 


เมื่อเข้าร่วมแล้วหากสูญเสียก็ต้องรับให้ได้!


 


ทว่าอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับเป็นผู้ที่เมินเฉิยต่อกฏนี้เสียเอง พาลให้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายขายหน้าเพราะฉีเสิ่นเพิกเฉยต่อกฏ ทนรับความสูญเสียไม่ไหว!


 


“ในการประลองมีคนตกตายไปเท่าไหร่ ไม่เห็นฉีเสิ่นนั่นมันจะทำอะไร…มาตอนนี้พอหลานมันตายถึงกับกล้าลงมือลงไม้ไม่สนกฏ เฮอะ!”


 


หลายคนเริ่มหัวเราะเยาะออกมา


 


“นั่นสิ ทีตอนหลานมันฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรอย่างเรา ข้าเห็นมันแสยะยิ้มหน้าระรื่นแลดูสมใจนักหนา ไม่เห็นจะมีทีท่าไม่พอใจที่หลานมันทำเกินไปสักนิด! มาตอนนี้พอถึงทีหลายมันตายโหง มันไม่แม้แต่จะคิดทบทวนอะไรด้วยซ้ำ กลับกล้าลงมือไม่สนกฏ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแค่ตัวอุบาทว์เห็นแต่คนของตัวมีค่าหาได้ให้ราคาชีวิตผู้อื่นไม่!!”


 


“อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือ…ถุย!!”


 


“หากเรื่องงามหน้านี้แพร่ออกไป ครั้งนี้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนับว่าเสียหน้าใหญ่แล้ว!”


 


……


 


หลายคนเริ่มพ่นคำออกมา ตอนนี้ไม่มีใครสนฐานะฉีเสิ่นสักนิด อยากด่าอยากถล่มอะไรก็พ่นออกมากันอย่างไม่เกรงใจ


 


เพราะการประทำของฉีเสิ่น นับว่ายั่วโทสะมวลชนเข้าแล้วจริงๆ


 


“อาวุโสฉีเสิ่นในฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ท่านคิดว่าเรื่องนี้ท่านจะจัดการอย่างไร?”


 


เริ่นจงมองฉีเสิ่น กล่าวออกเสียงเรียบ


 


แม้น้ำเสียงจะเรียบเฉย หากแต่แววตากลับเย็นชาปานจะแช่ร่างผู้คน ทำราวกับหากคำตอบของฉีเสิ่นไม่ทำให้มันพอใจ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่!


 


“อาวุโสเสิ่น ข้าเห็นด้วยกับรองผู้นำเริ่น”


 


หลิวหงกวงเองก็มองจ้องฉีเสิ่นด้วยสายตาดุร้ายเขม็ง นี่เป็นโอกาสสร้างความประทับใจให้ต้วนหลิงเทียน มันก็เตรียมพร้อมจัดเต็มเช่นกัน!


 


ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นฉีเสิ่นผิดเอง!!


 


เมื่อเห็นว่าทั้งเริ่นจงและหลิวหงกวงตั้งแง่หาความ ลูกตาฉีเสิ่นพลันเผยประกายวูบวาบออกมาด้วยโทสะ..


 


อย่างไรก็ตามมันรู้ดีว่าครั้งนี้มันผิด มันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆพักหนึ่งเพื่อสงบอารมณ์ พยายามระงับโทสะและความเกลียดชังในใจ ค่อยประสานมือทั้งโค้งขอขมาต่อเริ่นจงและหลิวหงกวง “รองผู้นำเริ่น อาวุโสหลิว เพราะหลานชายคนเดียวของข้าตายจึงทำให้ข้าขาดสติ ถูกอารมร์ครอบงำไปชั่ววูบ…ตอนนี้พอย้อนมองดูแล้วนับว่าข้ากระทำตัวมิเหมาะสมจริงๆ”


 


“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อลี่เฟิงเองก็มิได้เป็นอันใด…เช่นนั้นเรื่องนี้ให้มันแล้วกันไปดีหรือไม่?”


 


กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงฉีเสิ่นนับว่าเข้มนัก


 


จังหวะนี้มันไร้หนทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวไปแบบนั้น


 


“ฮ่าๆๆๆ…”


 


เริ่นจงกับหลิวหงกวงยังไม่ทันตอบสนองอะไร เป็นต้วนหลิงเทียนที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ยังหัวเราะหนักถึงขั้นน้ำคาไหล “ข้าไม่เป็นอะไร เลยให้แล้วกันไป? ตรรกะวิบัติอันบัดซบนัก! ถ้าไม่ใช่เพราะรองผู้นำเริ่นกับอาวุโสหลิวยื่นมือเข้าช่วยข้า เกรงว่าป่านนี้ข้าคงตายเป็นผีคามือเจ้าไปแล้วมั้ง ฉีเสิ่น!!”


 


“แล้วนี่แค่เจ้ายอมรับความผิด แล้วจะให้ทุกคนเลิกสนใจเรื่องที่เจ้าทำผิดงั้นเหรอ?”


 


วาจาประโยคท้าย สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังเผยความจริงจังเอาเรื่องออกมา “ใต้หล้ามีเหตุผลอุบาทว์พรรค์นี้ด้วย?”


 


“ไอ้หนู หากเจ้ายังไม่อยากตายก็หุบปากไปเสีย!!”


 


ทันใดนั้น หูของต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปทันใด เป็นเสียงตะโกนผสานปราณแรกกำเนิดของฉีเสิ่นที่ส่งมา! น้ำเสียงยังไม่ขาดการคุกคามข่มขู่แม้แต่น้อย!!


 


“ปัญญาอ่อน!”


 


ได้ยินเสียงที่ส่งมาของฉีเสิ่น ต้วนหลิงเทียนพลันด่ามันออกมาตรงๆ “กระทั่งตอนนี้เจ้ายังกล้าส่งเสียงมาขู่ข้าอีกงั้นเหรอ อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องช่างใหญ่โตนัก!!”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ไม่เพียงแต่สีหน้าเริ่นจงกับหลิวหงกวงจะกลายเป็นอัปลักษณ์ กระทั่งผู้ชมยังลุกฮือขึ้นมา


 


นอกจากคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆต่างมองฉีเสิ่นด้วยสายตาเย็นชาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม


 


ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดการรังแกกันขึ้น โดยมากแล้วผู้คนมักจะเห็นใจและเข้าข้างผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างไม่รู้ตัว และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนผู้อ่อนแอที่ว่า…


 


“อาวุโสเสิ่นขอขมาน้องชายลี่เฟิงและตัดแขนข้างหนึ่งของตัวเองออกเสีย…หาไม่แล้วพวกเราจะลงมือเอง อีกทั้งยังจะตัดสิทธิ์คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจากการประลองยอดนักรบครั้งนี้หากท่านไม่ขอขมาน้องชายลี่เฟิง!!”


 


หลิวหงกวงพลันก้าวไปข้างหน้าและกล่าวกับฉีเสิ่นอย่างไม่เกรงใจ


 


นี่คือผลของการหารือกับเริ่นตง


 


ขณะเดียวกันทางด่านเริ่นจงก็ลอบสังเกตท่าทีของต้วนหลิงเทียน พอเห็นว่าเขามีสีหน้าผ่อนคลายลง มันก็สัมผัสได้ว่าต้วนหลิงเทียนพึงพอใจกับการตัดสินครั้งนี้ ทำให้มันโล่งใจไม่น้อย


 


หลังจากได้ยินสิ่งที่หลิวหงกวงพูด หน้าฉีเสิ่นก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


หากเริ่นจงกับหลิวหงกวงกลุ้มรุมมันเพื่อตัดแขนจริงๆ สมควรง่ายดายนัก…


 


ต่อให้มันคิดหนีก็หนีไม่พ้น!


 


“พวกท่านทั้ง 2 มิคิดว่าจะทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตเกินไปหน่อยหรือไง?”


 


ฉีเสิ่นกล่าวถามออกมาเสียงเย็น


 


หากแต่เริ่นจงกับหลิวหงกวงไม่คิดต่อรองอะไรกับมันอีก เพียงมองมันอย่างเย็นชา


 


เห็นเช่นนี้ฉีเสิ่นก็รู้ดี ว่าแขนหนึ่งข้างของมันยากจะรักษาไว้ได้แล้ว


 


จังหวะนี้ฉีเสิ่นรู้สึกอับอายนัก หากแต่มันไม่มีทางเลือกอื่น


 


“พวกเจ้าทั้ง 2 เรื่องนี้ข้าฉีเสิ่นจักจำเอาไว้!”


 


ฉีเสิ่นมองเริ่นจงกับหลิวหงกวด้วยสายตาอาฆาต เมื่อรู้ดีว่าแขนข้างหนึ่งยากรักษามันก็กล่าวออกมาเสียงเย็น “ข้าตัดแขนตัวเองข้างหนึ่งได้ แต่ให้ข้าขอขมาต่อมัน เป็นไปไม่ได้!!”


 


หลังกล่าวจบคำ ฉีเสิ่นก็ยกมือขวาขึ้นมาเรียงนิ้วติดชิดปานมือดาบ ก่อนจะสะบัดตัดแขนซ้ายตัวเองทิ้งทันที!


 


หลังจากที่มันตัดแขนซ้ายตัวเอง มันก็พุ่งมือขวาออกไปหมายเก็บแขนซ้ายกลับมา ทว่าตอนนี้เองเริ่นจงกับหลิวหงกวงพลันพุ่งร่างออกมาลงมืออย่างพร้อมเพรียง!!


 


เริ่นจงซัดพลังไร้สภาพขุมหนึ่งผนึกสะกดร่างฉีเสิ่นเอาไว้ให้ชะงักไปเสียจังหวะ


 


ส่วนหลิวหงกวงอาศัยจังหวะที่ฉีเสิ่นชะงักไปในชั่วพริบตาหนึ่งนี้ จี้ดัชนีออกด้วย 2 นิ้ว ทามกลางความว่างพลันผุดโผล่ดาบพลังมีสภาพสีครามพุ่งวาบตัดฟ้าไปปานลำแสง…ป่นทำลายแขนซ้ายที่ขาดออกจากร่างฉีเสิ่นจนแหลกเป็นชิ้นๆ คงเหลือแต่เพียงละอองโลหิต! แขนซ้ายฉีเสิ่นอันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์…!!


 


“พวกเจ้า..”


 


พริบตาทั้งสองคนก็ถอยกลับมาลอยร่างบังขวางต้วนหลิงเทียนเหมือนเดิม เรียกว่าทั้งคู่ไม่เหลือโอกาสให้มันเก็บแขนกลับไปต่อ สีหน้าของฉีเสิ่นเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที


 


มันไม่คิดเลยว่าเริ่นจงกับหลิวหงกวงจะรวมหัวกันเล่นงานมันแบบนี้!


 


ต้องทราบด้วยว่าที่มันคิดตัดแขนซ้ายของตัวเองออก เพราะคิดว่าจะอย่างไรก็สามารถต่อกลับได้ แม้จะใช้เวลาไปบ้างกว่าจะหายดีก็ตาม


 


แน่นอนว่าจะต่อแขนซ้ายได้ ก็ต้องมีแขนซ้ายให้ต่อ!


 


ทว่าตอนนี้แขนซ้ายของมันกลับถูกหลิวหงกวงทำลายเป็นผุยผง! นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ชั่วชีวิตมันจะเหลือแขนแค่ข้างเดียวเท่านั้น!!


 


เรื่องนี้จะไม่ทำให้มันไม่โกรธได้อย่างไรไหว!


 


เมื่อเห็นแขนซ้ายของฉีเสิ่นถูกทำลาย ผู้ชมที่อยู่ในงานประลองไม่เพียงแต่จะไม่เห็นใจ ยังสมน้ำหน้ามันด้วยความสาสมใจอีกด้วย เพราะรู้สึกว่ามันสมควรโดนแบบนี้แล้ว!


 


เมื่อเห็นแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็สะใจเช่นกัน


 


“อาวุโสฉีเสิ่นท่านแน่ใจงั้นหรือว่าต้องการให้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสียสิทธิ์ในการเข้าประลองจริงๆ? หากท่านไม่เต็มใจขอขมาสหายน้อยลี่เฟิง ท่านสมควรรู้ดีว่าในฐานะผู้จัดการประลองของข้ากับน้องหลิว ผู้คนทั้งหมดต้องยอมรับคำตัดสินของข้าและน้องหลิว! และข้ากับน้องหลิวก็มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสิทธิ์คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!!”


 


เริ่นจงเหลือบมองฉีเสิ่น กล่าวออกเสียงเย็น


 


“เหอะ!”


 


หลังได้ยินวาจานี้ของเริ่นจง ฉีเสิ่นก็หันไปมองจ้าวเวทีอีก 9 คนนอกจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันไปมองคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…สุดท้ายมันก็แค่นคำออกมาคำหนึ่ง ค่อยลอยร่างขึ้นฟ้าพร้อมหันไปกล่าวกับคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง “ไปกับข้า!”


 


ทันทีที่กล่าวจบคำ มันก็หันมาต้วนหลิงเทียนตาขวางด้วยความอาฆาต จากนั้นก็เตรียมพร้อมจากไป


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


ทว่าทันใดนั้นเองเรื่องราวในกระดานหมากหลิงหลงพลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลง เมฆครามบนฟ้าก้อนหนึ่งพลันสั่นไหวเป็นดั่งระลอกน้ำ ก่อนที่จะปรากฏร่าง 2 ร่างผุดโผล่ออกมาจากก้อนเมฆที่ว่าให้เห็น


 


เป็นร่างชายหนุ่ม 2 คน หนึ่งยืนตระหง่านกลางหาวด้านหน้าอีกหนึ่งหลังค่อมยืนอยู่ด้านหลัง


 


ชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านนำหน้า…มาในชุดคลุมสีน้ำเงินใบหน้าแลดูชั่วร้าย เพียงลอยร่างเฉยๆ ก็เผยให้เห็นเจตนาฆ่าฟันที่คุกรุ่น!


 


ส่วนด้านหลังของมันเป็นชายหนุ่มหลังค่อม เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นข้ารับใช้ที่ติดตามมาของมัน


 


การปรากฏตัวของทั้งคู่ นับว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนในกระดานหมากหลิงหลงไม่น้อย


 


“นายน้อยคฤหาสน์!”


 


ทันใดนั้นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ร้องทักออกมาเสียงดัง สองตายังลุกวาวสว่าง


 


“เจ้านั่นเหรอ ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง?”


 


ตอนนี้เองทุกสายตาก็หันไปมองร่างชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยความสนใจทันที สีหน้ายังเผยความแปลกใจกันไม่น้อย


 


ชายหนุ่มผู้นี้น่ะหรือ นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง?


 


เมื่อเห็นฉีจิ้งปรากฏตัวออกมา ฉีเสิ่นไม่เพียงแต่จะไม่มีความสุข สีหน้ามันยังมืดลงทันที!


 


เหตุผลที่มันปฏิเสธขอขมาต้วนหลิงเทียน เพราะมันไม่อยากขอขมาคนที่ฆ่าหลานชายคนเดียวของมัน และเมื่อไร้หลานชายของมันไป คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่เหลือก็ยากจะติดอันดับอะไรได้แล้ว..


 


เพราะ 3 คนที่มีโอกาสติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง รวมถึงหลานชายมัน…ล้วนตกตายหมดสิ้น!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกว่าไม่ได้ต่างอะไรกับการถูกตัดสิทธิ์แม้แต่น้อย เพราะอย่างไรคนของมันก็ไร้ความหวังในอันดับ


 


แน่นอนว่ามันไม่เคยนึกถึงนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งมาก่อนเลย


 


เพราะในสายตาของมัน แม้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะได้รับทรัพยากรบ่มเพาะมหาศาล แต่พลังฝีมืออีกฝ่ายก็ไม่อาจเทียบได้กับหลานชายของมันอย่างฉีค่าน


 


ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อหลานชายของมันตกตายไปแล้วแบบนี้ มันก็ไม่อยากเห็นฉีจิ้งติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเช่นกัน เพราะนั่นหมายความว่าวันหน้า ฉีจิ้ง จะได้เป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคนต่อไปโดยปริยาย! ซึ่งไม่ใช่อะไรที่มันอยากเห็น…


 


ในเมื่อหลานชายของมันตกตายและไร้โอกาสเป็นผู้นำ มันก็ไม่อยากให้ฉีจิ้งเป็นผู้นำ!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่สนใจว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะถูกตัดสิทธิ์หรือไม่!


 


อย่างไรก็ตามฉีเสิ่นคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอยู่ๆนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งจะปรากฏตัวขึ้นมาในขณะที่มันกำลังจะพาคนกลับไปพอดี…


 


เมื่อฉีจิ้งมาถึงแล้ว นั่นหมายความว่าสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องราวไม่ได้เป็นของมันอีกต่อไป


 


‘เจ้านั่นน่ะเหรอ นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง?’


 


เมื่อได้ยินเสียงจากโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายหนุ่มที่แลดูชั่วร้ายทันที ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเป้าหมายของเขา ฉีจิ้ง!


ตอนที่ 1,687 : ฉีจิ้งขึ้นเวที!


 


ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง คือเป้าหมายการมาของต้วนหลิงเทียน…


 


กล่าวให้ชัดที่เขามายังเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้ เพียงเพราะมาฆ่าฉีจิ้ง! คลี่คลายวิกฤตของหานเฉวี่ยไน่ที่เขาเห็นเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ!!


 


ตราบใดที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งตายตกสักคน หานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ต้องแต่งกับมัน!


 


เช่นนั้นสัญญาวิวาห์เป็นอันต้องยกเลิก!


 


“หืม? อาวุโสเสิ่น ไฉนแลดูเหมือนท่านกำลังจะกลับ…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าการประลองจัดอันดับยอดนักรบสิ้นสุดลงแล้ว?”


 


หลังจากที่ฉีจิ้งปรากฏตัวออกมา มันก็แลเห็นภาพคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหินร่างออกมาโดยมีฉีเสิ่นนำ คล้ายกำลังจะกลับ…ทำให้มันตื่นตระหนกและคิดว่าการประลองสิ้นสุดลงแล้ว!


 


ต้องทราบด้วยว่ามันเร่งรุดเดินทางมาจนแทบไม่ได้พัก…


 


เหตุผลเดียวที่มันมาช้า ก็เพราะมันพึ่งทะลวงด่านพลังที่มันฝันใฝ่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา


 


“ยังไม่…”


 


การปรากฏตัวของฉีจิ้งแม้ทำให้ฉีเสิ่นไม่มีความสุข แต่มันก็ไม่อาจเผยเรื่องนี้ออกหน้าออกตา


 


“ยังไม่?”


 


พอได้ทราบว่าการประลองยังไม่จบสิ้น สีหน้าเคร่งเครียดของฉีจิ้งพอได้ผ่อนคลายลง ก่อนที่จะกล่าวถามสืบต่อเสียงเย็น “หากยังไม่จบแล้วนี่ท่านกำลังทำอะไรของท่าน?”


 


มันย่อมมองออกว่าท่าทางฉีเสิ่นคล้ายกำลังจะพาผู้คนจากไป


 


ในขณะที่ฉีเสิ่นไม่รู้จะตอบคำอย่างไรดี รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าอย่างเริ่นจง พลันส่งเสียงกล่าวบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ฉีจิ้งรับทราบผ่านปราณแรกกำเนิด


 


จังหวะนี้กระทั่งฉีจิ้งยังอดสะท้านไปไม่ได้!


 


อัจฉริยะแถวหน้าของพวกมันทั้ง 3 ตกตายในการประลองหมดแล้ว?


 


แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นหลานชายของอาวุโสหลักฉีเสิ่น ฉีค่าน?


 


อีก 2 คนนั้นไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตาฉีจิ้ง ทว่าฉีค่านหลานชายอาวุโสหลักฉีเสิ่นนี้ นับว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ด้อยกว่ามันเลย ยังกดดันมันด้วยซ้ำ!


 


หากมันไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารอย่าง มารกลืนหยิน มันก็ไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะเอาชนะฉีค่านในการประลองยอดนักรบได้หรือไม่!


 


อย่างไรก็ตามคนที่มันให้ความสำคัญและเคยหวั่นเกรง กลับตกตายภายใต้เงื้อมมือของผู้ฝึกตนพเนจรที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี!?


 


เรื่องนี้จะไม่สร้างความตกใจให้มันได้อย่างไรไหว!!


 


อย่างไรก็ตามความตกใจของมันเพียงมีอยู่ได้ไม่นานก็ถูกโทสะอารมณ์กลบมิด!


 


พอรู้ว่าหลังจากฉีค่านตาย แล้วฉีเสิ่นได้กระทำอุบาทว์อะไรลงไป สายตาที่ฉีจิ้งใช้มองฉีเสิ่นก็เย็นเยือกลงทันที!


 


กระทั่งฉีเสิ่นเองก็ไม่ทราบว่า ไฉนอยู่ดีๆ สายตาของฉีจิ้งกลับให้ความรู้สึกเยียบเย็นน่ากลัว ปานมันกำลังถูกอสรพิษจับจ้องก็ไม่รู้…


 


มว่าครู่ต่อมา…มันพลันตระหนักได้ว่า สมควรมีใครสักคนกล่าวรายงานเรื่องราวให้ฉีจิ้งรับรู้ผ่านปราณแรกกำเนิดแล้ว!


 


“เจ้าคิดว่าข้านายน้อยจะไม่มางั้นเหรอ?”


 


ฉีจิ้งมองถามฉีเสิ่นเสียงเย็น สายตาไร้อารมณ์


 


“เรียนนายน้อย…วันนี้เป็นวันประลองคัดเลือก 10 อันดับวันสุดท้าย แต่ท่านกลับมิปรากฏตัวออกมาจนเจียนหมดวัน ข้าเลย…”


 


เนื่องจากมีความผิดติดตัว ฉีเสิ่นจึงไม่กล้ากล่าวอะไรให้มาก…


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบ มันก็ถูกฉีจิ้งขัดคำเสียก่อน “ข้ายังไม่มาได้? อาวุโสหลัก ข้าคิดว่าจักเป็นการดีเสียกว่าที่ท่านจักไปขอโทษลี่เฟิงเดี๋ยวนี้! หาไม่แล้วหากข้าต้องถูกตัดสิทธิ์จากการประลองเพราะความโง่เขลาของท่าน …ท่านสมควรรู้ดีว่าผลที่ตามมาหากข้าพลาดการประลองนี้เพราะท่านจักเป็นอย่างไร..”


 


วาจาท้ายประโยคฉีจิ้งนับว่ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบถึงขีดสุด! เห็นได้ชัดว่ามันกำลังข่มขู่!!


 


จังหวะนี้ฉีเสิ่นรู้ดีว่ามันไร้หนทางเลือกอีกแล้ว


 


ถึงแม้มันจะไม่อยากขอขมาผู้ฆ่าหลานของมันแค่ไหน มันก็ต้องขอโทษ!


 


ดั่งคำว่า ‘สถานการณ์ชักนำบุคคล’ หากมันกล้าปฏิเสธตอนนี้ นั่นหมายความว่ามันจงใจทำให้ฉีจิ้งสิ้นคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองยอดนักรบ!


 


ถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นคนบาปหนาของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที!


 


ที่มันกล้าพาคนกลับไปดื้อๆเพราะฉีจิ้งยังไม่มา


 


ตอนนี้เมื่อฉีจิ้งมาแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะไม่เต็มใจไปกับมัน กระทั่งต่อให้ทุกคนเต็มใจมันก็ไม่กล้าพาใครกลับ!


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง ฉีเสิ่นพลันมองไปยังต้วนหลิงเทียน ทั้งกล่าวคำขอโทษออกมาอย่างขอไปที


 


ได้รับคำขอโทษอย่างขอไปทีของฉีเสิ่น ต้วนหลิงเทียนก็ยังเฉยเมยไม่แยแส เขารู้ดีว่าฉีเสิ่นมันไม่มีวันขอโทษเขาอยู่แล้ว ‘หากฉีจิ้งมันไม่โผล่หัวมา ฉีเสิ่นต้องพาคนกลับไปแน่นอน…คราวนี้ต่อให้ฉีจิ้งมาถึงทีหลัง ก็น่ากลัวจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประลองแล้ว! คราวนี้ข้าคงเสียโอกาสที่จะฆ่ามันไป…’


 


‘ยังนับว่าโชคดีนักที่ฉีจิ้งมาทันเวลา’


 


พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ


 


จุดประสงค์การมาของเขาครั้งนี้คือฆ่าฉีจิ้งเท่านั้น เรื่องอื่นใดเขาไม่สนใจ


 


ผู้คนโดยรอบเริ่มกระซิบกระซาบกันทันทีเมื่อเห็นฉีเสิ่นขอโทษต้วนหลิงเทียนอย่างขอไปที ไม่ได้มีทีท่าสำนึกผิดใดๆ…


 


“หรืออาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อผู้นี้ มันคิดว่ามันเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกัน? เพียงเพราะมันมิอยากจะเสียหน้า จึงคิดปล่อยให้คนรุ่นหลังเสียสิทธิ์ในการประลอง?”


 


“มันคงตัดสินใจหลังเห็นว่าอัจฉริยะทั้ง 3 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตายหมด แถมนายน้อยของมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวขึ้นนั่นล่ะ”


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้พอฉีจิ้งมา แม้มันไม่เต็มใจแต่มันก็ต้องขอโทษลี่เฟิง”


 


……


 


ผู้คนมากมายกล่าววิจารณ์ฉีเสิ่นโต้งๆ พาลให้หน้าฉีเสิ่นยิ่งมายิ่งบิดเบี้ยวอัปลักษณ์


 


หากทำได้มันอยากจะฆ่าล้างผู้คนปากพล่อยนี่เสียให้หมด!


 


การปรากฏตัวทันเวลาของฉีจิ้ง ทำให้ฉีเสิ่นขอโทษต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจึงเริ่มดำเนินต่ออย่างเป็นปกติ


 


ต้วนหลิงเทียนพบว่าฉีจิ้ง มักปรายตามองมาทางเขาเป็นครั้งคราว


 


ในแววตาของฉีจิ้งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หากแต่ส่วนมากจะเต็มไปด้วยความเย็นชา


 


ถึงแม้ว่าฉีจิ้งจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการตายของฉีค่าน แต่ในฐานะนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันก็ต้องเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูไปโดยปริยาย ไม่อาจเพิกเฉยเขาได้


 


เพราะหากมันฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ล่ะก็ ชื่อเสียงในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมันต้องสูงขึ้นแน่นอน


 


ดังนั้นแล้วในสายตาของฉีจิ้ง ต้วนหลิงเทียนจึงต้องเป็นศัตรูกับมัน และยังต้องเป็นหินรองเท้าให้มันก้าวข้ามไป!


 


หลังจากที่ฉีจิ้งมาถึงมันก็ไม่ได้รีบร้อนจะท้าทายใคร


 


ต่อมาอีกพักหนึ่งในที่สุดหลวงจีนลายบุผากับจิ้งชวีจื่อก็พากันขึ้นเวทีประลอง ส่วนด้านจ้าวเวทีที่ถูกทั้งคู่เลือกก็เร่งกล่าวยอมแพ้ออกมาโดยสดุดี ทั้งคู่กลายเป็นจ้าวเวทีโดยที่ไม่แม้แต่จะออกแรงใดๆ


 


เมื่อหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อกลายเป็นจ้าวเวทีแล้ว ทั้งคู่ก็พากันมองไปทางฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


“ตอนนี้มิใช่ว่าสมควรแก่เวลาที่ฉีจิ้งจึ้ขึ้นเวทีแล้วหรือ?”


 


“ช่างวางท่านัก! กลับรอให้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อลงมือก่อน ฉีจิ้งผู้นี้ถึงจะเคลื่อนไหว!!”


 


“ข้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะมันหวาดกลัวรึเปล่า? หากมันขึ้นประลองก่อน แล้วถูกหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อท้าทายจักให้ทำอย่างไรเล่า? ถึงตอนนั้นมันคงได้อับอายเพราะพ่ายแพ้แล้ว…”


 


“ด้วยพลังฝีมือของมันจะแพ้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อยังถือเป็นเรื่องแปลกอะไร? แม้มันคิดจะหลีกเลี่ยงทั้งคู่ตอนนี้ แต่รอบจัดอันดับมันยังหนีพ้นหรือ?”


 


……


 


หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบในทำนองฉีจิ้งกลัวหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อ


 


ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านี้ ชายหนุ่มหลังค่อมที่ยืนอยู่ด้านหลังฉีจิ้งถึงกับแสยะยิ้มดูแคลน คล้ายขบขันความโง่เขลาไม่รู้เรื่องราวของฝูงชน


 


พลังฝีมือของนายน้อยมันตอนนี้…หาใช่อะไรที่นายน้อยของมันในกาลก่อนจะเทียบได้แล้ว!


 


ด้านฉีจิ้งก็ยังคงเฉยเมย คล้ายไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาโดยรอบ


 


‘หืม?’


 


ปากที่ยกแสยะขึ้นมาเชิงดูถูกของชายหนุ่มหลังค่อมด้านหลงฉีจิ้ง ย่อมไม่พ้นสายตาของต้วนหลิงเทียน ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ‘ดูเหมือนผู้ติดตามของฉีจิ้งจะมั่นใจในตัวมันมาก…นี่ตลอดปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่?’


 


ไม่แปลกที่ต้วนหลิงเทียนจะคิดแบบนี้


 


ต้องทราบด้วยว่าเมื่อต้นปีที่แล้ว เขาได้ข่าวมาว่าฉีจิ้งยังคงมีพลังฝึกปรือแค่ขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น


 


ดังนั้นแล้วต่อให้ตลอดปีที่ผ่านมา ฉีจิ้งจะฝึกฝนบ่มเพาะโดยใช้ทรัพยากรล้ำค่ามากมายเพียงใด แต่เต็มที่ก็สมควรทะลวงถึงเซียนขัดกลางเท่านั้น


 


และการที่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ไม่นานแบบนี้ พลังฝีมือของมันก็ไม่น่าจะเทียบกับหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวื่อได้เลย…


 


เพราะหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อนั่นแม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญหรือยัง แต่ถึงยังอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ก็น่ากลัวว่าจะมีเซียนขัดเกลาขั้นกลางน้อยคนนักที่เอาชนะพวกมันได้


 


ท่ามกลางสายตาของผู้คน ในที่สุดฉีจิ้งก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


มันหันมามองต้วนหลิงเทียนก่อน ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาทันที ‘มันคิดเลือกข้า?’


 


หากฉีจิ้งเลือกเขา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่เขาอยากเห็นมากที่สุด!


 


ด้วยเป็นเช่นนั้น บางทีเขาอาจจะแก้ปัญหาให้เฉวี่ยไน่ได้ทันที!


 


“ฉีจิ้งคิดท้าทายลี่เฟิงงั้นหรือ?”


 


ตอนนี้เองผู้คนส่วนใหญ่ยังพบว่าฉีจิ้งกำลังมองใคร


 


“มันคงมิได้คิดว่าลี่เฟิงเป็นพลับสุกหรอกนะ …พลังฝีมือที่ลี่เฟิงเผยออกก่อนหน้า อย่างน้อยๆก็ทัดเทียมกับจงกู้แน่นอน!”


 


หลายคนเริ่มออกความเห็น


 


“พลังฝีมือของลี่เฟิงไม่เพียงแต่จะทัดเทียมกับจงกู้หรอก! ข้าว่ากระทั่งหลวงจีนลายบุผากับจิ้งชวีจื่อยังไม่แน่ว่าจะรอดพ้นจากแรงระเบิดก่อนหน้านี้ได้ด้วยซ้ำ..ทว่าลี่เฟิงกลับรอดมาได้! เช่นนั้นไม่แน่ว่าเผลอๆลี่เฟิงอาจจะแข็งแกร่งเหนือกว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อเสียอีก!!”


 


บางคนกล่าวเสริม


 


โดยรวมแล้วการที่ต้วนหลิงเทียนรอดตายมาได้ก่อนหน้านี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักถึงพลังฝีมือเขาอีกครั้ง


 


ย่อมไม่มีใครกล้าดูเบาเขา เพราะอย่างไรอายุเขาก็ยังไม่ถึง 40 ปี…


 


โชคร้ายนัก ภายใต้สายตาของทุกคน ฉีจิ้งที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่เมื่อครู่ ไม่นานมันก็หันไปมองหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่ออีกครั้ง


 


“นั่นมันคิดจะท้าหลวงจีนลายบุปผาหรือไม่ก็จิ้งชวีจื่องั้นเหรอ?”


 


จังหวะนี้ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะมึนงง


 


ส่วนต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย…


 


“ฮึ่ม! มันมองลี่เฟิงแต่สุดท้ายก็มิได้ท้าลี่เฟิง…มันมองหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ ก็มิแน่ว่าจะท้าหนึ่งในนั้นเสียหน่อย!”


 


ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดโพล่งออกมา แต่น้ำเสียงออกเหยียดๆอย่างเห็นได้ชัด


 


“ข้าคิดว่ามันก็แค่มองไปเรื่อยๆนั่นล่ะ…ข้ามิคิดว่ามันจะกล้าท้าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจริงๆหรอก”


 


หลายคนเห็นด้วย


 


และปรากฏว่าหลายคนเดาถูก เพราะไม่นานฉีจิ้งก็ละสายตาออกจากหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อจริงๆ


 


“นั่นไง! ข้าพเจ้าว่าแล้วเชียว!!”


 


“ข้าก็บอกแล้วว่าฉีจิ้งมันมิกล้าท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อตอนนี้หรอก!”


 


……


 


มีหลายคนที่เผยยิ้มเชิดๆ ชักสีหน้าประมาณว่า ‘ข้าพเจ้าว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้’ ออกมา แววตาที่พวกมันใช้มองฉีจิ้ง คล้ายจะเพิ่มความดูแคลนขึ้นอีกส่วน…


ตอนที่ 1,688 : ฆ่าจงกู้!


 


พอได้ยินวาจาหยามเหยียดจากผู้ชมโดยรอบ คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยกเว้นฉีเสิ่นถึงกับเผยใบหน้าอึมครึม


 


ส่วนด้านฉีเสิ่นเพียงมองแผ่นหลังฉีจิ้งไม่วางตาอย่างเหยียดๆ


 


เพราะในสายตาของมัน ฉีจิ้งไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาด! คงดีเสียกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่มาเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ อย่างน้อยๆก็คงไม่ต้องทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอับอายขายหน้า!


 


แน่นอนว่ามันทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่กล้ากล่าวออกมา


 


หากจะถามว่ามีใครในบรรดาคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ยังเฉยอยู่ได้ เห็นทีจะมีแต่ชายหนุ่มหลังค่อมที่ยืนด้านหลังฉีจิ้งเพียงผู้เดียวเท่านั้น


 


หลังจากที่ฉีจิ้งละสายตาจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแล้ว มันก็ว่ายผ่าน อวี้ชวีจื่อ หยินชวีจื่อ หลวงจีนเนื้อสุรา ก่อนที่จะไปตกยังร่างๆหนึ่ง


 


ร่างนี้มาในชุดธรรมดา สะพายดาบไร้ฝักแต่อาศัยผ้าพันเอาไว้ สีหน้าท่าทางเย็นชาไม่แยแสสิ่งโดยรอบ


 


หากแต่แววตาของมันกลับกระจ่างปานดารากลางฟ้าในราตรีกาล


 


“จงกู้!”


 


ในที่สุดฉีจิ้งก็เลือกผู้ที่ตัวจะท้าทายได้แล้ว


 


จงกู้นับเป็น 1 ใน 2 ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดที่เข้าร่วมการประลองจัดอันดับยอดนักรบครั้งนี้!


 


หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ผู้คนคิดว่าจงกู้คือผู้ฝึกตนพเนจรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีล่ะก็…ตอนนี้ทั้งหมดต้องปรับเปลี่ยนความคิดกันไปแล้ว เพราะการปรากฏตัวขึ้นมาของลี่เฟิง!


 


ลี่เฟิงสามารถรอดพ้นจากแรงระเบิดอันน่ากลัวจากกระบวนท่าหยวนปะทุทลายว่างเปล่าของฉีค่าน กระทั่งยังสังหารฉีค่านได้สำเร็จ เรื่องนี้เผยให้รู้ว่าพลังฝีมือมิได้ด้อยไปกว่าจงกู้เลย!


 


บางครั้งผู้ฝึกตนพเนจรก็ต้องการโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อมีชื่อเสียงโด่งดัง


 


‘สร้างชื่อลือนามจากการต่อสู้’ วาจานี้นับว่าเหมาะกับ ลี่เฟิง ตัวตนปลอมของต้วนหลิงเทียนจริงๆ


 


เห็นฉีจิ้งท้าทายจงกู้แบบนี้ ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะตกใจจนอื้ออึง พักหนึ่งถึงคืนสติ


 


“ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เสียงกล่าวกันว่านายน้อยฉีจิ้งนั้นเป็นศัตรูเก่ากับจงกู้ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว…”


 


“ถูกแล้ว ตอนนั้นยามที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียน ฉีจิ้งแพ้พ่ายจงกู้…ทว่าหลังจากนั้นด้วยทรัพยากร พลังฝึกปรือของฉีจิ้งย่อมก้าวหน้าไวกว่าจงกู้…พอทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นก่อน จงกู้ก็มิใช่คู่มืออีกต่อไป”


 


“แต่หนึ่งปีที่แล้วจะอย่างไรฉีจิ้งก็ยังพึ่งอยู่ในเซียนขัดเกลาขั้นต้น มาวันนี้แม้จะได้รับทรัพยากรมากมายเพียงใด ก็สมควรทำได้แค่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…วันนี้จงกู้ก็อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นกลางเช่นกัน ประวัติศาสตร์ใช่กำลังจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?”


 


“ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา ยังมีผู้ใดไม่ล่วงรู้ว่าหากอยู่ในด่านพลังฝึกปรือเดียวกัน ฉีจิ้งจักมิใช่คู่มือของจงกู้…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าฉีจิ้งคิดจะเปลี่ยนแปลงสามัญสำนึกของผู้คน?”


 


“ฮึ่ม! นับเป็นเรื่องดีที่มีความมั่นใจ แต่หากมั่นใจมากเกินไปก็ไม่ต่างใดจากหยิ่งยะโส!”


 


……


 


พอถึงคนฟื้นคืนสติ เสียงซุบซิบนินทาก็ดังระงมขึ้นมาอีกครั้ง


 


แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ฉีจิ้ง ไม่ได้สนใจจะฟังคำซุบซิบนินทา ร่างเหินลอยขึ้นไปยังเวทีประลองเม็ดหมากที่มีจงกู้เป็นจ้าวเวทีอยู่ทันที


 


ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


วันนี้มันจะล้างอาย และแก้ไขนามรองบ่อนของตัวเองได้หรือไม่?


 


เรื่องนี้ทุกผู้คนที่ชมดูอยู่ต่างอยากรู้กันทั้งสิ้น


 


แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเอง ก็ให้ความสนใจในการประลองระหว่างจงกู้กับฉีจิ้งไม่น้อย


 


สำหรับจงกู้นั้น เขาให้ภาษีอีกฝ่ายดีไม่น้อย


 


ส่วนฉีจิ้งนั้นจะอย่างไรมันก็คือเป้าหมายที่เขาต้องสังหาร


 


หากเลือกได้เขาอยากให้ผลการประลองครั้งนี้ออกมาในรูปแบบ จงกู้ชนะการประลอง…กระทั่งฆ่าฉีจิ้งให้ตายไปเลยยิ่งดี!


 


“จงกู้ เจ้าฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องข้า ตอนนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า!”


 


เผชิญหน้ากันไม่ทันไร ฉีจิ้ง พลันประกาศกร้าวออกมา


 


“เลิกกล่าวไร้สาระเถอะ จะสู้ก็มา!”


 


จงกู้กล่าวออกเสียงเรียบ


 


หากมันยังไม่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางมันอาจจะกริ่งเกรงฉีจิ้ง เพราะด้วยทรัพยากรของฉีจิ้งอีกฝ่ายสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แล้วแน่ๆ


 


ทว่าตอนนี้มันเองก็บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว มันจึงไม่กลัวฉีจิ้งแม้แต่น้อย


 


เป็นตามข่าวลือที่ว่ามันไม่กลัวฉีจิ้งหากมีพลังฝึกปรือในขอบเขตเดียวกัน!


 


ทั้งฉีจิ้งคนนี้ก็กล่าวได้ว่า เป็นคู่ปรับเก่าของมัน


 


ฉีจิ้งมีไส้กี่ขด เรียกว่าจงกู้รู้ดีกว่าใคร


 


อนิจจาที่จงกู้ไม่ได้รู้เลย..ว่าฉีจิ้งในวันนี้แตกต่างจากฉีจิ้งในกาลก่อนลิบลับ!


 


เหตุผลเพราะฉีจิ้งได้ฝึก เคล็ดวิชามาร อย่างมารกลืนหยินเสียแล้ว…


 


ตลอดปีที่ผ่านฉีจิ้งได้เดินทางออกจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยเหตุผลว่าจะออกเดินทางฝึกฝนบ่มเพาะเพิ่มพูนพลังฝีมือ แต่อันที่จริงมันแค่จะออกไปหาสตรีมาดูดกลืนพลังหยินได้สะดวกเท่านั้น


 


เรียกว่าตลอดปีที่ผ่าน ดรุณีบริสุทธิ์ไม่เดียงสามากมายล้วนตกตายกลายเป็นซากเหี่ยวแห้งเกรอะกรังนับพันคน!


 


ด้วยเหตุนี้พลังฝึกปรือของฉีจิ้งจึงก้าวหน้ารวดเร็วนัก กระทั่งบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?


 


เรียกว่าอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุถึง ขอบเขตพลัง อริยะเซียน แล้ว!


 


ท่ามกลางสายตาของผู้คน ทันทีที่จงกู้กล่าวคำออกมา ก็ไม่มีใครเห็นฉีจิ้งลงมืออะไร หากแต่อาณาบริเวณรอบกายกินรัศมี 100 หมี่ของมันคล้ายจะบังเกิดพายุขึ้น!


 


ผู้คนส่วนใหญ่รวมถึงต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่ทุกคนเห็นก็คือ ปรากฏพายุพลังหนึ่งก่อตัวฉับไวปานสายฟ้าฟาดด้านหน้าฉีจิ้ง และพริบตาต่อมามันก็พัดเข้าใส่จงกู้อย่างรวดเร็ว!


 


เมื่อเห็นการโจมตีในฉับพลันนี้ของฉีจิ้ง ผู้คนก็คิดว่าจงกู้สมควรต้านทานได้ไม่ยากเย็นอะไร เพราะเห็นจงกู้เพียงยกมือขึ้นมาอย่างไร้เรื่องราวและสะบัดฝ่ามือตบฟาดออกไป


 


แต่ผู้ใดจะไปรู้ ทันทีที่ฝ่ามือของจงกู้ปะทะต้านทานเข้ากับพายุพลัง พายุพลังดังกล่าวคล้ายถูกฉีดเลือดไก่! ความเร็วในการหมุนวนของมันทวีคูณขึ้นอย่างน่ากลัว ยังรุนแรงถึงขั้นทำให้อากาศโดยรอบสะท้านสะเทือน!!


 


พริบตาพายุลูกหนึ่งก็คล้ายจะกลับกลายเป็นสัตว์ร้ายมหึมากลืนกินร่างจงกู้เข้าไปทั้งตัว!


 


ปงงง!!


 


เสียงสนั่นลั่นดังขึ้นก้องหูผู้คน ท่ามกลางสายตาตกตะลึง พายุดังกล่าวก็เริ่มมีความเร็วลมทั้งความเร็วรอบในการหมุนลดต่ำลง…อนิจจาร่างจงกู้ที่เคยยืนอยู่ทั้งคน ตอนนี้กลับกลายเป็นหมอกโลหิตไปเสียแล้ว ที่หลงเหลืออยู่กลางฟ้าคือดาบพันผ้า ทั้งแหวนมิติที่หล่นลงมาท่ามกลางหมอกโลหิตดังกล่าว…


 


ตาย!


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าอุบัติขึ้นในชั่วพริบตา เวลาตั้งแต่เริ่มลงมือจนจบยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ…


 


ด้วยเหตุนี้ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะสะท้านในใจ


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้า เริ่นจงและหลิวหงกวง ผู้ควบคุมดูแลการประลองต่างหันหน้มามองสบตากันทันใด ยังแลเห็นถึงความตกใจในแววตากันและกัน


 


สำหรับกิตติศัพท์ของนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง คนนี้ พวกมันรู้ดี พรสวรรค์อีกฝ่ายไม่ถือว่าเลิศล้ำอะไร แม้จะมีทรัพยากรบ่มเพาะมากมาย แต่สมควรอยู่ที่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง กำลังเผยพลังอำนาจที่เหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางออกมาให้เห็นกันอยู่โทนโท่


 


พริบตานั้น อยู่ดีๆพายุพลังก็ปะทุพลังอำนาจออกมาอย่างเกรี้ยวกราดปานถูกฉีดเลือดไก่ และจากสำนึกเทวะของพวกมัน กลิ่นอายพลังที่สัมผัสได้ ไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นกลางจะมีได้!


 


“เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!!”


 


เริ่นจงกับหลิวหงกวงแทบจะสรุปได้พร้อมเพรียงกัน ทั้งคู่มั่นใจว่าฉีจิ้งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้วแน่ๆ!


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพวกมันไม่ได้ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบพลังฝึกปรือที่แท้จริงของฉีจิ้งให้แน่ชัด หากพวกมันกระทำก็คงรู้ได้ทันทีว่าพวกมันเข้าใจอะไรผิดไป!


 


เป็นการไม่สุภาพที่จะตรวจสอบพลังฝึกปรือของผู้อื่นด้วยสำนึกเทวะ พวกมันมีหน้ามีตาย่อมไม่คิดกระทำเช่นนั้น


 


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยกิตติศัพท์ของอีกฝ่ายที่พวกมันรู้มานาน ไม่ว่าจะเริ่นจงหรือหลิวหงกวง ทั้งหมดก็พากันสรุปว่าอย่างดีฉีจิ้งก็ทำได้แค่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น การที่ทะลวงถึงขั้นเชี่ยวชาญได้ก็นับว่าสร้างความประหลาดใจให้พวกมันมากแล้ว


 


พวกมันไม่กล้าคิดไกลกว่านั้น


 


“เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง?!”


 


ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้เป็นเริ่นจงกับหลิวหงกวงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทว่าผู้ที่อ่อนด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น ฉีเสิ่นนั่นเอง


 


และตอนนี้จากสัมผัสที่แผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบคร่าวๆ ฉีเสิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าพลังของฉีจิ้งเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!


 


ด้วยเหตุนี้ในใจของมันจึงท่วมท้นไปด้วยความตกตะลึง


 


ในความคิดของมัน เรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย!


 


ในฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไส้ฉีจิ้งมีกี่ขด ฉีเสิ่นย่อมรู้ดี!


 


มันยังรู้ด้วยว่าต่อให้ฉีจิ้งได้รับทรัพยากรบ่มเพาะมากมายเพียงใด อีกฝ่ายก็ไม่มีวันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้! ต้องทราบด้วยว่าเมื่อปีที่แล้วฉีจิ้งยังพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น!


 


ในเวลาแค่ 1 ปี ทะลวงจะด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด!


 


‘ปีที่ผ่านมันต้องไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมาแน่!’


 


ฉีเสิ่นคิดได้แต่แบบนี้เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามฉีเสิ่นเองก็คงไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะฉีจิ้ง บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารอย่าง มารกลืนหยิน!


 


และเจ้าของเดิมของเคล็ดบ่มเพาะพลังมารกลืนหยิน ก็คือผู้ที่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องร่วงจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 มาเป็นขุมพลังชั้น 4!


 


เมื่อฉีเสิ่นรู้สึกตัว ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็กลับมาครองสติได้เช่นกัน ขณะเดียวกันสีหน้าเขาก็เผยความจริงจังขึ้นไม่น้อย ‘พลังของฉีจิ้ง…มันเกินขอบเขตเซียนขัดเกลาไปไกล นี่มันอะไรกัน?!’


 


ไม่เพียงแต่ฉีเสิ่น กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็กลัวความก้าวหน้านี้ของฉีจิ้ง


 


‘ทรัพยากรของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันเลิศล้ำขนาดนั้นเลยหรอ?’


 


นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียน เขาไม่เหมือนฉีเสิ่นที่เป็นอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จึงไม่รู้ว่าทรัพยากรบ่มเพาะที่ฉีจิ้งได้รับมันมีอะไรบ้าง


 


‘ไม่คิดเลยว่ามันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ…ฆ่ามันอาจจะยากขึ้น’


 


สีหน้าที่แลดูสงบก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน เผยความขึงขังขึ้นมาทันใด


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ เขาสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้งหมดได้ไม่มีปัญหา ส่วนเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญนั้น เขาสามารถเอาชนะได้ก็แต่พวกที่มีพลังฝีมือทั่วไปรวมถึงพวกทีด่านพลังยังไม่มั่นคงสักเท่าไหร่


 


แน่นอนว่าหากเขาใช้ออกด้วยทุกอย่างที่มี แม้จะทุลักทุเลแต่ก็อาจจะเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเข้าหน่อยได้…


 


ทว่าหากเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่เป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือ เขาอาจทำได้แค่เสมอ กระทั่งมีโอกาสที่จะแพ้


 


สำหรับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนั้น ไม่มีหวังเลย…


 


อันที่จริงเหตุผลที่เขาเชื่อมั่นว่าสามารถรับมือกับเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่ร้ายกาจได้ ทั้งหมดเป็นเพราะห้วงเวลาที่ฉีเสิ่นลงมือกับเขาก่อนหน้านี้ จังหวะนั้นทันทีที่เขาหยิบกระบี่นิลสวรรค์ออกมาเตรียมรับมือ ในห้วงเวลาวิกฤตเป็นตาย ระหว่างมีชีวิตรอดกับตายตก…เขาพลันสัมผัสได้ถึงหนทางบรรลุถึงขั้นที่ 2 เงากระบี่สัมพันธ์ใจ ของเคล็ดบำเพ็ญเต๋ากระบี่ ยอดใจกระบี่ ได้อย่างเลือนราง…


ตอนที่ 1,689 : ท้าทายพร้อมกัน!


 


ตอนนี้เองผู้คนโดยรอบก็ทยอยกันคืนสติทีละคนๆ


 


หลายคนยังเอื้อมมือไปหยิกต้นขาตัวเองทันที พอรู้สึกเจ็บจี๊ดจึงได้รู้ว่าที่สองตาแลเห็นไม่ใช่ความฝัน!


 


นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง อาศัยกระบวนเดียวฆ่าจงกู้ได้อย่างง่ายดาย!


 


“ฉีจิ้ง…มันมิได้อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางงั้นเหรอ?”


 


ถึงแม้หลายคนอาจจะไม่ได้มีสายตาเลิศล้ำอะไรเหมือนเริ่นจง หลิวหงกวงและฉีเสิ่น แต่พวกมันก็พอเดาเรื่องราวได้จากภาพตรงหน้า


 


ด้วยเหตุนี้ใจของพวกมันจึงท่วมท้นไปด้วยความตกตะลึง


 


“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”


 


แน่นอนว่าหลังจากตะลึงทุกคนก็คิดว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!


 


ปีที่แล้วฉีจิ้งพึ่งมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น ไฉนใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวถึงบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้?


 


พวกมันไม่เข้าใจว่าตลอดปีที่ผ่านฉีจิ้งไปบ่มเพาะพลังอีท่าไหนกันแน่ ถึงได้มีพลังฝึกปรือเกินจริงไปได้แบบนี้!


 


บรรดาผู้ฝึกตนพเนจรตอนนี้ก็ได้แต่มองฉีจิ้งด้วยสองตาแดงฉาน


 


ในฐานะที่จงกู้เป็นดั่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ฝึกตนพเนจรในรุ่นนี้ มันย่อมมีอิทธิพลต่อใจของผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่น้อย หลายคนจึงเห็นมันเป็นดั่งเสาหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ


 


เพราะในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่ก่อนไร้ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งโดดเด่นปรากฏตัวออกมาเลย เรียกว่าคราวนี้ทั้งหมดจึงฝากความหวังเอาไว้ที่มัน…


 


แน่นอนว่าผู้ที่จะเป็นจุดศูนย์รวมความหวังของมันได้ ต้องมีพลังฝึกปรือกล้าแข็งเหนือใครแบบนี้!


 


อนิจจาความหวังของเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหมดทั้งมวล ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลังฝึกปรือสูงสุดดั่งอัจฉริยะที่พวกมันรอคอยมานาน และคิดว่าสักวันอาจจะรวบรวมผู้ฝึกตนพเนจรให้เป็นปึกแผ่นดั่งสหภาพไม่ต้องกระจัดกระจายเหมือนเม็ดทราย…


 


จงกู้ผู้นั้น…กลับตกตายเสียแล้ว


 


การตายของจงกู้ ก็หมายความว่าความหวังและความฝันของพวกมันได้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ


 


จังหวะนี้ผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนได้แต่หันมองมาทางต้วนหลิงเทียนในคราบลี่เฟิง ก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ ลี่เฟิง ไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีใครรู้จักมาก่อน อาศัยเรื่องที่อีกฝ่ายคล้ายจะตัดสินใจรับข้อเสนอของเริ่นจงและหลิวหงกวง ผู้ฝึกตนพเนจรก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะละทิ้งความมั่นคั่ง หันมารวมเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรให้เป็นปึกแผ่น


 


ดังนั้นจึงไร้ผู้ฝึกตนพเนจรคนใดคิดให้เขามาแทนจงกู้


 


มาถึงจุดนี้ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายก็ได้แต่หันไปมองฉีจิ้งด้วยสายตาอาฆาต ปานจะฉีกร่างฉีจิ้งให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ!


 


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายฉีจิ้งก็สังหารจงกู้ด้วยพลังฝีมือของตัวเอง ลบล้างสามัญสำนึกก่อนหน้าของผู้คนก่อนหน้าหมดสิ้น…


 


มันไม่เพียงแต่จะไม่อ่อนแอกว่าจงกู้ แต่ยังอาศัยเพียงกระบวนเดียวฆ่าจงกู้!


 


หากจะถามว่าใครที่ยากจะเชื่อเรื่องราวนี้ได้มากที่สุด เห็นทีจะเป็นหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ!


 


ในฐานะคนรุ่นเดียวที่ขันแข่งกับฉีจิ้งมาโดยตลอด ทั้งหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อย่อมล่วงรู้พลังฝีมือทั้งศักยภาพพรสวรรค์ของฉีจิ้งดี และเข้าใจว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคนนี้มีขีดความสามารถอะไรแค่ไหน


 


ทว่าพลังที่ฉีจิ้งเผยออกวันนี้ นับว่าทำให้พวกมันประหลาดใจนัก!


 


อา! โอ!


 


พอพวกมันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง พวกมันถึงกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ “เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ..ฉีจิ้งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้วเป็นแน่”


 


ต้องทราบด้วยว่า กระทั่งพวกมันทั้งคู่ก็พึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่นานมานี้!


 


ทว่าฉีจิ้งที่พวกมันเคยครอบงำด้วยพลังอันเหนือชั้นกว่ามาโดยตลอด กลับไล่ตามพวกมันทันแล้ว?


 


เรื่องนี้จะไม่ให้พวกมันตกใจได้อย่างไรไหว?


 


หลังจากที่ฆ่าจงกู้ไปแล้ว ฉีจิ้งก็ก็กลายเป็นจ้าวเวทีคนใหม่


 


และตอนนี้เองพลันมีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก้าวออกมาคนหนึ่ง ยังเป็นคนที่พายแพ้ในการประลองชิงจ้าวเวทีไปนานแล้ว


 


เมื่อเห็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องออกมาแบบนี้ไม่มีใครหัวเราะอะไรมันแม้แต่น้อย สีหน้าท่าทางทุกคนกลายเป็นมืดดำแทน


 


ฉากเรื่องราวตอนนี้ กับตอนฉีกังก้าวออกมา…ไม่ใช่ว่าเหมือนกันอย่างกับแกะเลยหรือ?


 


ตอนนี้เองทุกสายตาพลันหันไปจับจ้องมองยังฉีจิ้ง


 


“ฉีจิ้งยังคิดฆ่าคนอื่นอีกงั้นเหรอ?”


 


“นี่มันเสพย์ติดการฆ่าหรือไร?”


 


……


 


แตกต่างจากกาลก่อนราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อฉีจิ้งเผยพลังฝึกปรืออันเข้มแข็งที่เหมือนจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญออกมา ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกมันอีก!


 


ล้อกันเล่นหรือไร!?


 


ก่อนหน้านี้พวกมันไม่รู้พลังของฉีจิ้ง แต่จากการฆ่าจงกู้ได้อย่างง่ายดายนั่น น่ากลัวว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแล้ว!


 


ตอนนี้ผู้คนยังเริ่มรู้สึกได้ ว่าที่ฉีจิ้งลังเลอยู่นานก่อนหน้า…ไม่ใช่เพราะกลัวหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ!


 


ในขณะที่ทุกคนคิดเรื่องนี้ คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็มาหยุดยืนบนเวทีประลองเม็ดหมากของฉีจิ้งและกล่าวท้าทายออกมา


 


เป็นดั่งที่ทุกคนคิด ฉีจิ้งยอมแพ้


 


ทันทีที่ฉีจิ้งยอมแพ้ มันก็เป็นอิสระทันที


 


ตอนนี้มันไม่ได้เป็นจ้าวเวทีอีกต่อไป แต่เป็นผู้ท้าชิงอิสระที่จะเลือกท้าทายผู้ใดก็ได้!


 


สายตาของฉีจิ้งพลันเบนไปตกยังร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ทำให้ต้วนหลิงเทียนเผยประกายตาขึงขังขึ้นมา


 


ตอนนี้เขาพอเข้าใจหนทางบรรลุขั้นที่ 2 ของเคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ อย่างเงากระบี่สัมพันธ์ใจแล้ว ทำให้พลังกระบี่ของเขามีอานุภาพมากขึ้นและก้าวหน้าจากเดิม! ถึงขั้นหากปะทะกับเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่เป็นชนชั้นยอดฝีมือเขาพอรับมือได้ไม่แพ้พ่าย…


 


ถึงพลังฝีมือของฉีจิ้งเมื่อครู่จะน่ากลัวว่าไม่ใช่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญธรรมดาๆ และอาจจะเป็นชนชั้นยอดฝีมือที่ว่า แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้กลัวมันแต่อย่างใด


 


ดังนั้นการที่ต้องเผชิญหน้ากับฉีจิ้งตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่กลัว หากแต่ต้องเพิ่มความระวังให้มากขึ้น


 


“มันคิดท้าทายลี่เฟิงงั้นเหรอ?”


 


เมื่อทุกคนเห็นฉีจิ้งมองไปยังต้วนหลิงเทียน ต่างก็คิดว่ามันจะท้าทายต้วนหลิงเทียน


 


หากมีคนกล่าวว่า ก่อนหน้านี้พวกมันไม่คิดว่าฉีจิ้งจะเป็นคู่มือของลี่เฟิงได้ล่ะก็ มาตอนนี้ทั้งหมดพากันคิดว่าลี่เฟิงอาจจะไม่ใช่คู่มือของฉีจิ้งแทน!


 


จังหวะนี้สีหน้าของผู้ฝึกตนพเนจรกลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ทันที


 


“นายน้อยคฤหาสน์ ลี่เฟิงผู้นี้พลังฝีมือร้ายกาจกว่าจงกู้เสียอีก! มันยังฆ่ายอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเราไปแล้วถึง 2 คน!!”


 


เมื่อเห็นฉีจิ้งมองต้วนหลิงเทียน ฉีเสิ่นเร่งส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดไปยุฉีจิ้งทันที!


 


ฉีเสิ่นกล่าวมาแบบนี้ หรือฉีจิ้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดใช้มันล้างแค้นให้หลานชาย?


 


ตอนแรกมันก็คิดจะท้าทายต้วนหลิงเทียนจริงๆนั่นแหล่ะ…


 


อย่างไรก็ตามพอฉีเสิ่นส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดมาแบบนี้ มันจึงล้มเลิกความคิดดังกล่าวทันที!!


 


ล้อเล่นหรือไร!?


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ผู้ที่จะกลายเป็นผู้นำคนต่อไปด้วยซ้ำ! อาศัยเคล็ดบ่มเพาะ มารกลืนหยิน อนาคตของมันก็กลายเป็นไร้จำกัด! แล้วมันจะปล่อยให้คนอย่างอาวุโสหลักจูงจมูกได้หรือ?!


 


เช่นนั้นฉีจิ้งไม่เพียงแต่ไม่กระทำตามที่ฉีเสิ่นหวัง มันยังเลิกสนใจจะสู้กับต้วนหลิงเทียนไปทันที หันหน้าเมินไปทันใด!


 


จังหวะนี้ผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา


 


สีหน้าฉีเสิ่นเปลี่ยนเป็นอึมครึมทันใด มันไม่คิดว่าฉีจิ้งจะไม่สนใจมันแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเผยท่าทางคล้ายไม่คิดจะท้าทายลี่เฟิงอีก!


 


แต่ให้มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟปานใด มันยังจะทำอะไรได้อีก?


 


ถึงแม้มันจะมีฐานะเป็นถึงอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่ฉีจิ้งคือนายน้อย!


 


ฉีจิ้งในฐานะนายน้อยคฤหาสน์ ยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์! เช่นนั้นฐานะทางสังคมของฉีจิ้งย่อมเหนือกว่ามันมาก!!


 


ไม่นานสายตาของฉีจิ้งก็ไปตกที่หลวงจีนลายบุปผา


 


ขณะเดียวกันร่างมันก็ไหววูบขึ้นไปอยู่บนเวทีประลองของหลวงจีนลายบุปผาทันที “หลวงจีนลายบุปผากาลก่อนข้าไม่อาจเทียบเจ้า…แต่วันนี้ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าข้า ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น!”


 


วาจาของฉีจิ้งเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทั้งความมั่นใจในตัวเองอันสูงล้ำ


 


อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับความมั่นใจนี้ของฉีจิ้ง หลวงจีนลายบุปผาเพียงแย้มยิ้มออกมาบางๆ “นายน้อยคฤหาสน์ฉี วิเศษมากที่ประสพสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ…แต่หากประสพคิดว่าอาศัยเรื่องที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้วจักเอาชนะอาตมาได้ เช่นนั้นประสพผิดแล้ว!”


 


ทันทีที่กล่าวจบคำ จีวรของหลวงจีนลายบุปผาพลันกระพือไหวขึ้นมาทันที ปราณแรกกำเนิดพลันซัดกวาดออกมา!


 


โดยมีหลวงจีนลายบุปผาเป็นจุดศูนย์กลาง ความว่างโดยรอบพลันสั่นไหว! คลื่นพลังไร้สภาพขุมหนึ่งเอ่อล้นแปลบปลาบในบรรยากาศ!!


 


ทันทีที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่ปะทุออกมาจากหลวงจีนลายบุปผา เริ่นจง หลิวหงกวง และฉีเสิ่น พลันหยีตากล่าวออกมาแผ่วเบาราวเสียงกระซิบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ”


 


ถึงแม้เสียงของทั้ง 3 จะแผ่วเบาทุ้มต่ำ หากแต่โสตประสาทรับฟังของผู้คนโดยรอบย่อมไม่ใช่ธรรมดา จึงได้ยินคำของทั้ง 3 ชัดเจน!


 


ผู้คนทั้งหลายจึงหันไปมองหลวงจีนลายบุปผาด้วยความตกตะลึง “หลวงจีนลายบุผา…ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว!?”


 


“สมแล้วที่เป็น 1 ใน 2 สุดยอดอัจฉริยะของเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา…ความสามารถของหลวงจีนลายบุปผานั้นแข็งแกร่งสมคำร่ำลือนัก!”


 


“หลวงจีนลายบุปผาทะลวงด่านแล้ว ข้ามิรู้ว่าจิ้งชวีจื่อทะลวงด่านแล้วเช่นกันหรือไม่?”


 


……


 


เมื่อเปรียบเทียบกับการทะลวงด่านพลังของฉีจิ้ง การที่หลวงจีนลายบุปผาทะลวงด่านได้แลจะเป็นเรื่องที่ธรรมดากว่ากันมาก จึงไม่ค่อยฮือฮากันสักเท่าไร


 


เพราะในสายตาของทุกคนหลวงจีนลายบุปผาคือผู้ที่โดดเด่นและเหนือชั้นอยู่เสมอ และยังเหนือกว่าฉีจิ้งมาโดยตลอด


 


เช่นนั้นพอได้รู้ว่ามันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเช่นกัน ถึงจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ


 


ต่างพากันสนใจเรื่องที่ในเมื่อหลวงจีนลายบุปผาทะลวงด่านพลังถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว ทางด้านจิ้งชวีจื่อเล่า ทะลวงผ่านหรือยังแทน?


 


“หากข้าเดาไม่ผิดเจ้าเองก็ทะลวงถึงแล้วใช่หรือไม่?”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร ฉีจิ้งพลันลอยร่างขึ้นมากลางอากาศ มองไปยังนักพรตหนุ่มบนเวทีประลองเม็ดหมากข้างๆ กล่าวถามออกมาเสียงดัง


 


ตั้งแต่ต้นจนจบฉีจิ้งไม่คล้ายแปลกใจอะไรที่หลวงจีนลายบุปผาทะลวงด่านพลังถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ยังคล้ายล่วงรู้มานานแล้วด้วยซ้ำ


 


ไม่เพียงแต่จะไม่แปลกใจกับด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญของหลวงจีนลายบุปผา มันยังมีกะใจหันไปถามจิ้งชวีจื่อเช่นกัน


 


เผชิญหน้ากับคำถามไถ่ของฉีจิ้ง จิ้งชวีจื่อไม่กล่าวคำใดเพียงพยักหน้ารับ


 


ทันใดนั้นผู้คนก็ฮือฮาขึ้นมาทันที


 


กระทั่งจิ้งชวีจื่อก็ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว?


 


เช่นนั้นการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องคราวนี้ ก็มียอดฝีมือขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญถึง 3 คนเลย?


 


“ประเสริฐ นัก!”


 


ฉีจิ้งพอใจกับการตอบสนองของจิ้งชวีจื่อไม่น้อย


 


หลังจากนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นไปมองเริ่นจงกับหลิวหงกวง ผู้ที่เป็นควบคุมดูแลการจัดการประลองครั้งนี้ “รองผู้นำเริ่น อาวุโสหลิว…ข้าอยากจะท้าทายหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจวี่พร้อมๆกัน!”


ตอนที่ 1,690 : หนึ่งสู้สอง


 


“รองผู้นำเริ่น อาวุโสหลิว…ข้าอยากจะท้าทายหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจวี่พร้อมๆกัน!”


 


แม้เสียงของฉีจิ้งจะไม่ได้ดังอะไรมาก หากแต่ผู้คนในกระดานหมากหลิงหลงล้วนได้ยินวาจาของมันหมด!


 


ครู่เดียวผู้ชมก็เงียบเป็นคนตาย!


 


คนมากมายยังมองหน้ากันเองเมื่อคืนสติ ต่างเห็นถึงความตกใจในแววตาอีกฝ่าย บ้างยังใช้นิ้วแคะหูแกรกๆ ราวกับไม่มั่นใจว่าใช่ตัวเองหูฝาดไปหรือไม่…


 


สวรรค์!


 


พวกมันได้ยินอะไรนะ!?


 


นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง คิดท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน!?


 


คำพูดนี้ของฉีจิ้งอาจทำให้คนอื่นตกใจ


 


แต่สำหรับหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ นี่นับเป็นการหยามหน้ากันชัดๆ!


 


ทำให้ไม่ว่าจะหลวงจีนหลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อก็ชักสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันใด จังหวะนี้ให้พวกมันอารมณ์ดีขนาดไหนก็มีโมโหแล้ว!


 


ฉีจิ้งจะดูถูกพวกมันเกินไปแล้ว!!


 


ได้ยินคำนี้ของฉีจิ้ง แม้แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดประหลาดใจไม่ได้ ‘มันคิดท้าทายเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 2 คนพร้อมกัน?’


 


“หยิ่งผยองนัก!”


 


“โอหังแท้!”


 


“ฉีจิ้งผู้นี้คิดท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน นี่มันคิดว่าทั้งสองคนเป็นลูกพลับสุกอ่อนนุ่มที่มันจะบีบเล่นได้ง่ายๆหรือ?”


 


“หึ! ดูเหมือนว่าการทะลวงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ จักทำให้มันมีความมั่นใจในตัวเองมาก…อย่างไรก็ตามเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญหนึ่ง คิดท้าทายเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญสอง ใยมิใช่รนหาที่ตาย?”


 


“รนหาที่ตาย…หึ! คงเพราะมันรู้ว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะอย่างไรก็ไม่กล้าฆ่ามัน…และถึงแม้ทั้งคู่จะลงมือฆ่าฉีจิ้งจริง แต่ก็มีคำกล่าวที่ว่า พระหนีได้แต่วัดหนีไม่ได้…เช่นนั้นทั้งคู่ย่อมไม่เสี่ยงให้ขุมพลังต้นสังกัดตัวเองต้องเดือดร้อนแน่!”


 


……


 


เหล่าผู้ชมโดยรอบหลังจากที่รู้สึกตัวจากอาการตะลึงของวาจาฉีจิ้ง เริ่มโพล่งความเห็นออกมาดังระงม พวกมันรู้สึกอารมณ์ขึ้นไม่น้อยหลังได้ยินฉีจิ้งคิดท้าทายสองคน


 


กระทั่งเริ่นจงและหลิวหงกวงเองก็ไม่คิดเลยว่าฉีจิ้งจะผยองลำพองแบบนี้!


 


เช่นนั้นหลังได้ยินคำฉีจิ้ง พวกมันจึงไม่ได้รีบตอบอะไร


 


“นายน้อย นี่ท่านคิดจะทำอันใดของท่านกัน มิว่าจะหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อล้วนเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสำหรับท่าน…ข้ารู้ว่าหลังทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ท่านย่อมบังเกิดความมั่นใจในตัวเองนัก! หากแต่ทั้งคู่มิว่าผู้ใดก็ล้วนบรรลุด่านพลังเดียวกันกับท่าน ท่านมิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของทั้งสองพร้อมกันได้!”


 


ตอนนี้เองฉีเสิ่นก็ขมวดคิ้วกล่าวกับฉีจิ้ง


 


หลังจากที่มันกล่าวจบแล้วก็ไม่ได้รอให้ฉีจิ้งตอบสนองแต่อย่างไร เพียงหันไปมองเริ่นจงกับหลิวหงกวงด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงช่วยไม่ได้ “รองผู้นำเริ่น อาวุโสหลิว นายน้อยข้าเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น”


 


แค่ล้อเล่น?


 


หลังได้ยินวาจานี้ของฉีเสิ่น ทุกผู้คนหันไปมองฉีจิ้งด้วยความสงสัยทันที


 


เรื่องนี้ไม่ขำสักนิด!


 


“ฉีเสิ่น ข้าไม่ได้ล้อเล่น!”


 


อย่างไรก็ตามฉีจิ้งไม่ได้ไว้หน้าฉีเสิ่นแม้แต่น้อย กล่าวสวนออกมาเสียงแข็งทันที


 


พอได้ยินฉีเสิ่นถึงกับหน้าม้านไปทันใด


 


มันอุตส่าห์ยอมเสียหน้าหาทางลงให้ด้วยหมายจะช่วยเหลือฉีจิ้งแล้ว แต่ฉีจิ้งไม่เพียงไม่เห็นค่า ยังมาตะคอกเสียงแข็งทั้งเรียกมันห้วนๆ ราวกับไม่เห็นถึงความหวังดีของมัน!


 


สุดท้ายฉีเสิ่นก็โบกมือสะบัดชายเสื้อดังฝั่บด้วยความโมโหเพราะเสียหน้า คร้านจะยุ่งเรื่องราวอะไรอีก


 


“นายน้อยฉีจิ้ง ท่านคิดจะท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อสองคนพร้อมกันหรือ?”


 


เริ่นจงหรี่ตามองฉีจิ้ง กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม


 


“ในฐานะรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า หรือท่านเองก็คิดว่าข้ากล่าววาจาเหลวไหลล้อเล่นด้วยอีกคน?”


 


ฉีจิ้งขมวดคิ้ว


 


“นายน้อยคฤหาสน์ เรื่องนี้ท่านต้องคิดให้ดี…มิว่าจักเป็นหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อคนใดคนหนึ่ง ก็เป็นถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญดุจเดียวกับท่าน คิดใช้หนึ่งสู้สอง ก็ดั่งสองมือคิดต้าน 4 ทาง ท่านต้องคิดทบทวนให้ดี…”


 


หลิวหงกวงยังกล่าวเสริมออกมา


 


“ขอบคุณอาวุโสหลิวสำหรับความหวังดีที่กล่าวเตือน แต่ข้าตัดสินใจไปแล้ว”


 


ฉีจิ้งกล่าวออกเสียงเรียบ


 


“เรื่องนี้ตามหลักแล้วมิได้ขัดกับกฏในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องแต่อย่างไร…ทว่าการที่ท่านคิดลงมือลำพังต้านสองเช่นนี้ ท่านต้องถามความสมัครใจของทั้งคู่เสียก่อน เพราะข้ากับอาวุโสหลิวมิมีสิทธิ์บีบบังคับทั้งคู่ให้สู้กับท่าน เพราะจะอย่างไร…เรื่องนี้ก็มิต่างจากการหยามเกียรติของทั้งคู่!”


 


เริ่นจงกล่าวกับฉีจิ้งด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแข็งขึ้น


 


ตอนนี้มันย่อมเข้าใจอารมณ์ของหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้เป็นอย่างดี เพราะหากเป็นมันก็ต้องมีโมโหหนักแน่นอน


 


คนที่เคยพ่ายแพ้ตัวมัน กลับกล้าท้ามันกับอีกคนที่พลังฝีมือทัดเทียมกับมันพร้อมกัน? นี่มันหยามหน้ากันชัดๆ!


 


ขณะที่เริ่นจงปริปากกล่าวคำ ทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนก็ว่ายตามองไปยังหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทันที


 


ตอนนี้ไม่ว่าหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อล้วนชักสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากทั้งคู่


 


อย่างไรก็ตามทั้งคู่รู้ดีว่าตอนนี้จำต้องให้คำตอบออกมา


 


ทว่าในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะกล่าวบอกปัด ปฏิเสธไม่ประลองแบบนี้ เป็นฉีจิ้งที่กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน “หลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเองก็มีศักดิ์ศรีและมีความมั่นใจในตัวเองสูง…แต่ถ้าวันนี้พวกเจ้าทั้งคู่ไม่กล้ารับคำท้าของข้า ข้าคงต้องถอนหายใจด้วยความระอาแล้วจริงๆ…เพราะคนของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางที่แท้ล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้!!”


 


สัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้!


 


ต้องบอกเลยว่า คำนี้ของฉีจิ้งมันแรงนัก!


 


อย่างน้อยๆทันทีที่สิ้นคำของมัน ไม่ว่าจะเป็นคนของวัดฟ่านเทียนหรือศาลเจ้าชุนหยางก็ของขึ้นทันที ใบหน้ายังเปลี่ยนไปเป็นโมโห หลวงจีนบางคนแทบถลกจีวรวิ่งมาถีบยอดหน้ามันสักครา!


 


“หยิ่ง! หยิ่งผยองอวดดีนัก!!”


 


“หลวงพี่! ในเมื่อมันโอหังถึงเพียงนี้ก็ขึ้นไปสั่งสอนมันสักคราเถอะ!!”


 


“ถูกแล้วศิษย์พี่! ในเมื่ออีกฝ่ายมิเห็นวัดฟ่านเทียนของพวกเราอยู่ในสายตา ท่านก็มิต้องแยแสอันใดเพียงร่วมมือกับพี่ชายจิ้งชวีจื่อมอบบทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้มันเถอะ!!”


 


“ศิษย์พี่ ขึ้นไปทุบตีมัน!!”


 


……


 


ตอนนี้คนของวัดฟ่านเทียนยกเว้นเจ้าอาวาสกับหลวงจีนอาวุโสถึงกับโมโหจนโพล่งคำออกมา บ้างก็โมโหจนจีวรกระพือ บางคนที่ถือประคำไว้ยังกำจนสายขาดลูกประคำร่วงผล็อย เร่งเร้าให้หลวงจีนลายบุปผาเร่งรับคำท้าแล้วขึ้นไปสั่งสอนตัวปากดีนั่นเร็วไว!


 


ด้านศาลเจ้าชุนหยางเองก็ไม่ต่างกัน


 


ยกเว้นผู้นำศาลเจ้า และนักพรตระดับสูง ต่างก็โมโหและโวยวายออกมาเช่นกัน


 


วาจาดูแคลนปรามาสนี้ของฉีจิ้งนับว่าสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนทั้งหมดแล้วจริงๆ!


 


เพราะนี่เป็นการล่วงเกินและท้าทาย 2 ขุมพลังชั้น 5 อย่างศาลเจ้าชุนหยางและวัดฟ่านเทียนโดยตรง!


 


แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่ฉีจิ้ง อันมีภูมิหลังเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งจะกระทำเช่นนี้


 


แต่ปัญหาคือเมื่อฉีจิ้งกล่าวออกมาแล้วแบบนี้ ถ้าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อไม่รับคำท้าประลอง ย่อมกลายเป็นยอมรับว่าวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้แล้วจริงๆ!


 


“อาตมาตกลง!”


 


“ข้าตกลง”


 


ดังนั้นแล้วภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับ!


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่กล่าวคำยอมรับ ใบหน้าทั้งคู่ล้วนบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะอารมณ์ แววตาที่ใช้มองฉีจิ้งยังเต็มไปด้วยความดุร้าย เอาเรื่อง!


 


พวกมันตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถึงแม้พวกมันจะฆ่าฉีจิ้งไม่ได้ แต่พวกมันจะมอบบทเรียนที่ฉีจิ้งจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม! ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าไฉนบุปผาถึงมีสีแดง!!


 


ฉีจิ้งยั่วยุเหยียดหยามพวกมัน พวกมันทานทนรับได้!


 


ทว่าฉีจิ้งกลับล่วงเกินขุมพลังที่ชุบเลี้ยงพวกมันมาแบบนี้ พวกมันทานทนไม่ได้!


 


สำหรับศิษย์ของขุมพลังที่โดดเด่นแล้ว ขุมพลังที่ชุบเลี้ยงมาก็เปรียบเสมือนตระกูลที่บรรพบุรุษก่อสร้างมา การยั่วยุขุมพลังของพวกมัน ก็ไม่ต่างใดจากขุดหลุมศพบรรพชนของพวกมัน!!


 


ไม่มีใครในที่นี้แปลกใจแม้แต่น้อยที่หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อรับคำท้าของฉีจิ้ง


 


เพราะภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แม้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะรู้ดีว่าฉีจิ้งหมิ่นหยามพวกมัน แต่ทั้งคู่ก็ไร้หนทางเลือกอื่น เพราะหากไม่ยอมรับคำท้า ก็เท่ากับยอมรับว่าขุมพลังของพวกมันล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้แล้วจริงๆ


 


“ฉีจิ้งมันเสียสติไปแล้วหรือไร!?”


 


“นี่มันคิดจริงๆหรือ ว่าลำพังทะลวงถึงด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญจะทำให้มันอยู่ยงคงกระพัน? หาญกล้าท้าทายสองคนที่มีด่านพลังเดียวกันกับมันเช่นนี้?!”


 


“ให้ข้าดูตอนมันพ่ายแพ้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่ออย่างอนาถเถอะ! ข้าจะดูว่ามันยังจะทำหน้าผยองได้อีกหรือไม่?!”


 


“ฮ่าๆๆ! ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่ามันคงอับอายขายหน้ากระทั่งขุดดินเอาหน้าซุกลงไปเพื่อหลบหน้าผู้คน!!”


 


“ตอนนี้ข้าแทบรอให้มันถูกหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทุบตีจนแพ้พ่ายมิไหวแล้ว…ด้วยการรว่มมือกันของทั้งคู่ ข้าว่ามิเกิน 10 กระบวนท่าหรอก! รู้เรื่อง!!”


 


……


 


เมื่อเห็นว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อยอมรับคำท้า ผู้คนก็ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง


 


“โชคมิดีที่เบื้องหลังของฉีจิ้งคือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หาไม่แล้วหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อคงทุบตีมันจนตาย!”


 


“นั่นสิ มีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้ท้ายอยู่เช่นนี้ หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแม้จะทุบตีมันจนน่วมได้ แต่มิอาจทำร้ายมันถึงตายหรือพิการอะไรได้…”


 


“ฮึ่ม! ข้าคิดว่าฉีจิ้งเองมันก็รู้ว่าต้องลงอีหร็อบนี้…หาไม่แล้วมันจะหาญกล้าท้าทายทั้งคู่พร้อมกันได้อย่างไร?”


 


……


 


หลายคนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา พอคิดถึงเรื่องที่ฉีจิ้งคงไม่กล้าท้าทายแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะมันมีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอยู่เบื้องหลัง


 


‘เจ้าฉีจิ้งนั่น…มันมั่นใจจริงๆงั้นเหรอว่าจะรับมือทั้งคู่ไหว?’


 


ต่างจากคนอื่น ต้วนหลิงเทียนหยีตามองพินิจฉีจิ้งอย่างละเอียด และพบว่าทั่วร่างของฉีจิ้งเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ แววตายังกระจ่างไร้กังวล!


 


หลังจากใช้ชีวิตมา 2 ช่วงชีวิต สายตามองคนของต้วนหลิงเทียนค่อนข้างแม่นยำ


 


ตอนนี้บรรยากาศทั่วกายของฉีจิ้ง เผยกลิ่นอายของผู้ชนะออกมาชัดเจน!


 


‘หากมันมีพลังฝีมือมากพอจะเอาชนะทั้งคู่…นั่นหมายความว่าพลังฝึกปรือของมันสมควรอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! หากมันบรรลุขอบเขตพลังนั่นจริงๆ..เต็มที่ข้าก็คงทำได้แค่เสมอกับมัน เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะฆ่ามัน!!’


 


คิดถึงจุดนี้ อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งทันที


 


เขาดั้นด้นมาเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบนี้ มีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น …ฆ่าฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! ทำลายงานวิวาห์ของเฉวี่ยไน่!!


 


ทว่าตอนนี้เรื่องฆ่าฉีจิ้ง ท่าทางจะไม่ง่ายเสียแล้ว


 


‘หวังว่ามันจะแค่ลำพองตัว และไม่ได้มั่นใจจริงๆ’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่าตัวเองจะดูผิด แต่แน่นอนเขารู้ดีแก่ใจว่าความเป็นไปได้ที่ว่า มันช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก


 


ด้วยเหตุนี้ในใจของเขาจึงคล้ายมีเมฆหมอกทะมึนปกคลุมให้อึมครึม กดดันไม่น้อย!


 


ฟุ่บ!


 


เสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้น เป็นจิ้งชวีจื่อที่เหินร่างจากเวทีประลองเม็ดหมากของตัวเองมาหยุดยืนบนเวทีประลองของหลวงจีนลายบุปผา ยังไปยืนข้างๆหลวงจีนลายบุปผา เผชิญหน้ากับฉีจิ้งที่ลอยตัวเบื้องหน้า


 


ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กำลังจะปะทะรับมือ หลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน!


 


ทั้งสองคนนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร ในอดีตล้วนบดขยี้ฉีจิ้งได้ง่ายดาย!


 


ทว่าวันนี้ฉีจิ้งคิดท้าทายพวกมันพร้อมกัน!


 


ในการต่อสู้ครั้งนี้มีไม่กี่คนที่มองฉีจิ้งในแง่ดี ทั้งหมดล้วนคิดว่าไม่พ้นฉีจิ้งต้องถูกหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทุบตีจนแพ้อนาถแน่ เพราะทุกคนล้วนรู้ถึงพลังสามารถของทั้งคู่เป็นอย่างดี!


ตอนที่ 1,691 : ความมั่นใจของฉีจิ้ง!


 


ฉีจิ้งมองไปยังหลวงจีนลายบุปผาที่ยืนเคียงข้างจิ้งชวีจื่อเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน สองตาทอประกายคมกล้าสว่างไสว


 


ในอดีต ชายทั้ง 2 เบื้องหน้าดั่งผาสูงที่มันมิอาจข้าม พลังฝีมือล้วนกดดันมันแทบตาย!


 


ทว่าวันนี้มันกลับยืนหยัดเผชิญหน้ากับทั้งคู่!


 


และนี่ยังเป็นมันที่ริเริ่มท้าทายอีกฝ่าย!


 


เหตุผลที่มันหาญกล้ากระทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามันกระทำอย่างขอไปที แต่บ่อเกิดของความมั่นใจมันนั้นล้วนมากจาก สุดยอดอวิชาอย่าง มารกลืนหยิน!


 


ตลอดปีที่ผ่าน ตัวมันพบพานกับความก้าวหน้าอันใดมามันย่อมรู้ดีที่สุด!


 


ด้วยเหตุนี้แต่ต้นจนจบมันจึงสงบนัก แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความร่วมืมอกันของหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อก็ตามที! เพราะมันรู้ว่าต่อให้ทั้งคู่ร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่มือมันเลย!!


 


เพราะทั้งคู่ก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!


 


เมื่อเห็นว่า ฉีจิ้ง และหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อเผชิญหน้ามองตาเขม่นกัน ทั้งหมดก็ลุ้นระทึกนัก


 


กระทั่งเริ่นจงและหลิวหงกวง ผู้ยิ่งใหญ่จากขุมพลังชั้น 4 ทั้งสอง อันเป็นผู้ควบคุมดูแลการจัดการประลอง ก็กำลังมองพวกฉีจิ้งทั้ง 3 อย่างสนใจ


 


กล่าวให้ชัดทั้งคู่ล้วนมองจ้องไปที่ฉีจิ้งเป็นส่วนใหญ่


 


สำหรับพวกมันแล้ว ฉีจิ้งไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร


 


ฉีจิ้งเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่พวกมันเคยพบพานในอดีตมามากกว่าหนึ่งครั้ง เช่นนั้นพวกมันจึงรู้ถึงศักยภาพพรสวรรค์แต่กำเนิดของฉีจิ้งดี


 


“วันนี้ฉีจิ้งเผยให้เห็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วจนผิดปกติจนน่าประหลาดใจ…มาตอนนี้มันยังท้าหลวงจีนลายบุผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกันอีก ในฐานะรองผู้นำคฤหาน์ข้ามฟ้า ท่านคิดว่าใช่มันผยองเกินไปหรือไม่?”


 


หลิวหงกวงหันไปมองถามเริ่นจง


 


“ปีที่แล้วมันยังพึ่งเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น…ทว่ามาตอนนี้มันกลับทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ นี่มิใช่ความช่วยเหลือที่ทรัพยากรบ่มเพาะของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะกระทำได้ ข้ามั่นใจว่าปีที่แล้วมันต้องบังเอิญพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรบางอย่างมา พลังฝีมือของมันจึงก้าวหน้าอย่างด้าวกระโดด เป็นธรรมดาที่มันจะมีความมั่นใจแบบนี้”


 


เริ่นจงกล่าวผ่านปราณแรกกำเนิด “หากมันท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อทีละคน มันยังพอมีหวังว่าจะชนะ แต่มันกลับท้าทายทั้งคู่พร้อมกัน…นี่เผยให้เห็นว่ามันมีความมั่นใจถึงขีดสุด!”


 


“อืม ข้ามิรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้มันมั่นใจได้ถึงเพียงนี้…ยังมั่นใจถึงขั้นคิดว่าสามารถเอาชนะทั้งคู่ที่ร่วมมือกันได้!”


 


หลิวหงกวงกล่าวเสริม


 


“ก่อนหน้ามิว่าจะเป็นหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ่งชวีจื่อคนใดคนหนึ่งก็ยากที่ฉีจิ้งจะเทียบได้…ทว่าวันนี้พลังฝีมือของมันกลับก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้มันถือดีและลำพองตัวเป็นธรรมดา อย่างไรเสียเป็นไปมิได้ที่มันจะชนะ! แต่จะว่าไปก็มิใช่เรื่องไม่ดีอันใดที่มันจะได้รับบทเรียนสักครา วันหน้ามันจะได้มิกล้าประมาทผู้ใดอีก”


 


เริ่นจงกล่าวบ่นเพิ่มเติม


 


หลิวหงกวงพยักหน้าเห็นด้วย


 


‘ตัวโง่งมไร้สมอง!’


 


ฉากที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ฉีเสิ่นชักสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก


 


ถึงแม้มันไม่สนใจเรื่องที่ฉีจิ้งกำลังจะแพ้พ่ายก็ตามที


 


อย่างไรก็ตาม ในระดับหนึ่งฉีจิ้งก็ถือเป็นดั่งตัวแทนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง การที่หยิ่งผยองเช่นนี้ หากชนะได้ก็โชคดีไป แต่ถ้ามันแพ้พ่ายอนาถขึ้นมา เช่นนั้นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็คงเป็นดั่งตัวตลกให้อับอายขายหน้าผู้คนแล้ว!


 


ในฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีเสิ่นย่อมไม่อยากให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลายเป็นตัวตลกที่ผู้คนพากันหัวเราะเยาะ!


 


อนิจจาดั่งคำสุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป เรื่องราวครั้งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของมันแล้ว


 


ขณะเดียวกันผู้ชมโดยรอบก็ยังกระซิบกระซาบสนทนากันไม่หยุด


 


ถึงแม้ฉีจิ้งจะเผยความมั่นใจขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครดูดีมัน


 


มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้น ที่เผยสีหน้าแววตาจริงจังขรึมเคร่ง


 


ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นหลวงจีนเนื้อสุรา อวีชวีจื่อ หยินชวีจื่อ และคนอื่นๆ ในแววตาเผยความดูแคลนออกมาให้เห็นชัดเจนยามมองไปยังฉีจิ้ง ทั้งหมดไม่มีใครคิดว่าฉีจิ้งจะมีพลังฝีมือสูงพอต้านทานหลวงจีนลายบุปผาที่ร่วมมือกับจิ้งชวีจื่อได้


 


“ฉีจิ้ง ในเมื่อประสพคิดรับมือพวกอาตมาสองคน เช่นนั้นพวกอาตมาก็มิคิดเอาเปรียบประสพ…เชิญป้อนกระบวนท่าก่อนเถอะ!”


 


ประกายตาเย็นเยียบส่องสว่างในลูกตาหลวงจีนลายบุปผา ขณะกล่าวออก


 


และทันทีที่สิ้นคำ จีวรของมันพลันโบกสะบัดกระพือขึ้นมาแม้ไร้ลม รอบกายปรากฏสนามพลังแกร่งกร้าว เผยกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามกดดันในบรรยากาศ


 


ผู้ที่มีโมโหไม่ใช่แค่หลวงจีนลายบุปผาเท่านั้น


 


แม้จิ้งชวีจื่อจะเป็นนักพรตเต๋าและเป็นคนที่สำรวมอยู่เสมอ แต่เมื่อเจอการท้าทายยั่วยุหยามหมิ่นไม่เลิกของฉีจิ้ง จิ้งชวีจื่อก็ไม่อาจระงับโทสะในใจได้สืบไป


 


“หลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้ากำลังคิดว่าข้าดูถูกพวกเจ้าอยู่…แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือข้าไม่ใช่คนเก่าอีกแล้ว! เช่นนั้นจักเป็นการดีเสียกว่าที่พวกเจ้าจะลงมือเต็มกำลังด้วยทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี หาไม่แล้วอย่าได้ตำหนิข้าว่าไม่กล่าวเตือนยามพวกเจ้าตายตก!”


 


ฉีจิ้งเผยยิ้มแสยะให้หลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อ


 


ในวาจาเผยให้เห็นชัดว่ามันไม่ได้เห็นทั้งคู่อยู่ในสายตา กระทั่งยังคิดลงมือสังหารทั้งคู่ให้ตาย!


 


หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อดว้ยรู้ดีว่าฉีจิ้งมีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอยู่เบื้องหลัง พวกมันจึงไม่กล้าที่จะลงมือสังหารฉีจิ้ง ด้วยกลัวขุมพลังของพวกมันจะเดือดร้อนจากการตอบโต้ด้วยความพิโรธคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


ทว่าฉีจิ้งนั้นแตกต่างกัน!


 


เบื้องหลังฉีจิ้งก็คือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอันเป็นขุมพลังชั้น 4 แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกลัวขุมพลังชั้น 5 ที่อยู่เบื้องหลังลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อแม้แต่น้อย!!


 


เพราะต่อให้วัดฟ่านเทียนผนึกกำลังกับศาลเจ้าชุนหยาง ก็ไม่อาจเทียบอะไรกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้เลย…นี่คือความต่างชั้นระหว่างขุมพลังชั้น 5 กับชั้น 4!


 


“หากเจ้าคิดให้พวกเราลงมือเต็มกำลัง เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีพลังสามารถหรือไม่!”


 


จิ้งชวีจื่อที่มักสงบสำรวม ตอนนี้กล่าวออกด้วยโทสะแล้ว


 


“ข้าจะมีพลังสามารถรึเปล่า เดี๋ยวพวกเจ้าจะได้รู้”


 


ฉีจิ้งแสยะยิ้มออกมาอีกครา


 


และทันทีที่สิ้นคำ อาณาบริเวณพื้นที่กินรัศมี 100 หมี่โดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลาง พลันสั่นไหวสะท้านไปทันใด


 


ปราณแรกกำเนิดอันทรงพลังปะทุพวยพุ่งออกมาดั่งไอน้ำ ควบรวมก่อเกิดเป็น พายุพลังอีกครั้ง!


 


พายุพลังนี้เป็นแบบเดียวกันกับที่มันใช้สังหารจงกู้ เป็นกลพลังจากเขตแดนของมัน!


 


เขตแดนของมันเรียกว่า แดนมหาพายุ!


 


ทุกผู้คนที่ย่างกรายเข้ามาในเขตแดนของมัน จะรู้สึกเสมือนถูกพายุพลังไร้สภาพพัดกระหน่ำปะทะเคี่ยวกรำร่างตลอดเวลา! และพายุจะรุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปราณแรกกำเนิดที่มันจ่ายออก!!


 


และพายุพลังลูกหนึ่งที่มันควบรวมสร้างขึ้นเบื้องหน้าเช่นนี้ ก็เป็นกลพลังอันคล้ายคลึงกับ หมื่นกระบี่รวมหนึ่งของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง เพราะของมันจะควบรวมพลังปั่นป่วนทั้งหมดในเขตแดน มาควบรวมเป็นพายุพลังที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง!


 


ต่างจากการลงมือสังหารจงกู้ คราวนี้ฉีจิ้งเลือกใช้พลังอำนาจขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเต็มกำลังทันที!


 


เรียกว่าพายุพลังที่ก่อเกิดขึ้นตอนนี้มีพลังอำนาจดุจเดียวกันกับพายุพลังที่ปะทุพลังสังหารอันแกร่งกล้าวินาทีที่ฆ่าจงกู้!


 


เผชิญกับพายุพลังรุนแรงเบื้องหน้า กระทั่งหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจำต้องชักสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันใด


 


หลังจากนั้นทั่วร่างของทั้งคู่ก็พลันสั่นไหวสะท้านไปอย่างพร้อมเพรียง


 


ทันใดนั้นจีวรชุดพรตของหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อที่กระพือไหวด้วยปราณแรกกำเนิดก่อนหน้า ยิ่งมายิ่งกระพือสะบัดไหวแรง สนามพลังกินอาณาบริเวณรัศมี 100 โดยมีทั้งคู่เป็นจุดศูนย์กลางพลันแผ่กางออกมาอย่างพร้อมเพรียง!


 


พริบตาเขตแดนกินรัศมี 100 หมี่รอบกายหลวงจีนลายบุปผาก็ควบรวมก่อเกิดขึ้น!


 


ทั้งเขตแดนที่มีรัศมี 100 หมี่โดยยึดจิ้งชวีจื่อเป็นจุดศูนย์กลางก็ก่อตัวขึ้นเช่นเดียวกัน!


ตอนที่ 1,692 :กลิ่นอายปราณมาร อันชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียน!


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพายุพลังที่ควบรวมก่อเกิดจากเขตแดนของฉีจิ้ง หลวงจีนลายบุปผาก็เร่งใช้ปราณแรกกำเนิดของตัวก่อเขตแดนขึ้นมาทันที!


 


เขตแดนของหลวงจีนลายบุปผานั้น มันทอประกายแสงสีทองสว่างไสวออกมาราวกับรัศมีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์!


 


แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับแสงสีทองที่เปล่งประกายออกมาด้วยพลังปราณสุริยันของต้วนหลิงเทียนอันคล้ายแสงแรงกล้าของดวงตะวัน! เขตแดนของหลวงจีนลายบุปผาคล้ายเขตแดนสีตกไปทันใด!!


 


สีทองของเขตแดนหลวงจีนลายบุปผาสว่างเจิดจ้าไม่เท่า พลังสภาวะก็ไม่เท่า


 


แน่นอนว่าพลังสภาวะทั้งแสงสีทองจะสว่างเจิดจ้าไม่เท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขตแดนของหลวงจีนลายบุปผาจะอ่อนด้อย!


 


ภายในเขตแดนของลายบุปผาทุกคนแลเห็นได้ชัดเจนว่าปรากฏพระพุทธรูปมากมายกลางอากาศ บ้างก็อยู่ในปางสมาธิ บ้างก็อยู่ในปางประทานพร กระทั่งปางปรินิพพาน ฯลฯ เรียกว่ามีทั้งท่านั่งยืนและนอนครบครัน


 


และพระพุทธรูปเหล่านี้ยังมีมากมายนับพัน!


 


“เขตแดนพันพุทธองค์!!”


 


เมื่อเห็นพระพุทธรูปมากมายในปางต่างๆในเขตแดนของหลวงจีนลายบุปผา ผู้คนที่รับทราบนามของเขตแดนนี้พลันโพล่งออกมาด้วยความชื่นชม!


 


“เขตแดนพันพุทธองค์งั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นทันใด แม้จะอยู่ไกลห่างแต่เขายังสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเขตแดนพุทธองค์ แม้ว่ากลิ่นอายพลังจะไม่รุนแรงดุร้ายเหมือนเขตแดนหมื่นกระบี่ของเขา แต่หากเทียบกับเขตแดนทั่วไปยังนับว่าร้ายกาจนัก!


 


แถมแต่ละอริยาบทหรือปางต่างๆของพระพุทธรูปยังให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป


 


บางรูปเผยใบหน้าอารีย์เปี่ยมเมตตา บางรูปให้ความรู้สึกเกรี้ยวกราดดุร้าย บ้างยิ้มราวกับยินดีมีสุข บ้างร่ำไห้ราวกับเวทนาเศร้าหมอง บ้างก็บูดบึ้งปานมีคนติดหนี้แล้วไม่ยอมชำระ…


 


ขณะเดียวกันนั้นเองเขตแดนของจิ้งชวีจวี่ก็ก่อเกิดแล้วเสร็จเช่นกัน


 


เขตแดนของจิ้งชวีจื่อนั้น ภายในเขตแดนกลับเต็มไปด้วยไอพลังสีน้ำเงินอันคล้ายคลึงกับสีชุดนักพรตของมัน


 


และภายในเขตแดนอันเต็มไปด้วยไอพลังสีน้ำเงินนั้น ทุกคนสามารถแลเห็นกระบี่พลังเล่มเขื่อง 2 เล่มที่กำลังเคลื่อนไหววนเวียนไปมาเป็นวงได้ชัดถนัดตา


 


กระบี่แต่ละเล่มนั้นเรียกว่า มีความยาวมากกว่า 30 หมี่ ทั้งกว้างราว 2 หมี่ พวกมันโคจรรอบกายจิ้งชวีจื่อด้วยความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป คล้ายกำลังปกป้องคุ้มครองจิ้งชวีจื่อ


 


“เขตแดนทวิภาวะ!!”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงอุทานด้วยความชื่นชมจากผู้คน


 


“หืม? เขตแดนทวิภาวะงั้นเหรอ!?”


 


ต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด สำหรับคำ ‘ทวิภาวะ’ นั้น ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่สำหรับเขาเลย!


 


ในโลกเก่าของเขาประเทศหัวเซี่ย และทวีปทางตะวันออกนั้นมีคำกล่าวถึงหลัก ทวิภาวะเอาไว้ชัดเจน! หนังสือของนักพรตเต๋าต่างๆก็บันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด


 


แรกกำเนิด, ทวิภาวะ, สามองค์ประกอบ, สี่ลักษณะ, ห้าธาตุ, การภาคีลักฮะ, เจ็ดนักษัตร, ปากว้า, เก้าวัง


 


เรื่องราวเหล่านี้ล้วนมีบันทึกไว้ในตำราเต๋ามากมาย ในคัมภีร์อี้จิ้งเองก็มีกล่าวถึง


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรพวกมันมากนัก แต่ก็ยังพอจดจำได้บ้าง


 


“ถึงแม้เขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อจักมิได้แลดูอลังการเหมือนเขตแดนพันพุทธองค์ของหลวงจีนลายบุปผา หากแต่กระบี่คู่หยินหยางในเขตแดนทวิภาวะนั่นกลับมีพลังอำนาจที่ร้ายกาจนัก! ก่อนหน้านี้จิ้งชวีจื่อยังเคยใช้กระบี่หยินหยาง ทวิภาวะคู่นี้ เอาชนะเขตแดนพันพุทธองค์ของหลวงจีนลายบุปผามาแล้ว! กระทั่งสุดท้ายยังเอาชนะหลวงจีนลายบุปผาไปได้อย่างเฉียดฉิว!!”


 


ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


“พอเจ้ากล่าวขึ้นมาข้าก็นึกขึ้นได้…การประลองครั้งนั้นข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามข้าเคยได้ยินมาว่าหลวงจีนลายบุปผาเองก็เคยควบรวมเขตแดนพันพุทธองค์เอาชนะกระบี่หยินหยางจากเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อได้เช่นกัน และยังเป็นการเอาชนะได้เพราะมีปราณแรกกำเนิดสูงล้ำกว่าเล็กน้อย!”


 


จากนั้นก็มีคนกล่าวขึ้นมา


 


“พลังฝีมือของหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ ล้วนคู่คี่ทัดเทียมกันมาเช่นนี้นานแล้ว ยามประลองกันคราใดหากไม่เสมอ ก็ล้วนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาชนะไปได้อย่างฉิวเฉียดทุกครา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเรา”


 


“ที่เจ้าว่าก็ใช่ แต่หากเปรียบเทียบเขตแดนกันแล้ว ในแง่ของพลังทำลายข้าว่าเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อแข็งแกร่งกว่า!”


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น กระบี่คู่หยินหยางในเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อ นั้นมิได้ด้อยไปกว่าศาสตราเซียนด้วยซ้ำ!”


 


“ใช่แล้ว! สำหรับในการประลองที่ห้ามมิให้ใช้ศาสตราเซียนเช่นนี้ จิ้งชวีจื่อนับว่ามีเปรียบในเรื่องศาสตราจากการใช้กระบี่คู่หยินหยางในเขตแดนทวิภาวะของมัน!”


 


……


 


เสียงกระซิบกระซาบโดยรอบล้วนดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนไม่หยุด ทำให้เขาได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบี่เล่มเขื่องทั้ง 2 ที่ลอยล่องในเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อ


 


“กระบี่คู่หยินหยาง? เขตแดนทวิภาวะ? น่าสนใจจริงๆ”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สายตาของต้วนหลิงเทียนกลับจดจ้องไปยังกระบี่ทั้ง 2 เล่มในเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อไม่วางตา


 


ตอนนี้เองไม่ว่าพะพุทธรูปนับพันในเขตแดนพันพุทธองค์ของหลวงจีนลายบุปผา และกระบี่คู่หยินหยางในเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อ ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!


 


เผชิญหน้ากับพายุพลังอันน่ากลัวของฉีจิ้ง พระพุทธรูปนับพันของหลวงจีนลายบุปผาพลันเปล่งแสงสว่างไสวเรืองอร่ามออกมา


 


ทันใดนั้นประหนึ่งปรากฏดวงไฟนับพันเปล่งแสงแรงกล้าปานดวงตะวันพุ่งเข้าไปยังจุดหนึ่ง! เป็นพระพุทธรูปนับพันที่เริ่มพุ่งเข้าหากัน!!


 


ทันใดนั้นพระพุทธรูปนับพันเริ่มควบรวมผสานกัน!


 


แสงสีทองสว่างไสวพลันปะทุออกมาทันใด เมื่อผู้คนกลับมาแลเห็นเรื่องราว ทั้งหมดก็เห็นพระพุทธรูปทองคำแลดูไม่ธรรมดาตระหง่านอยู่เบื้องหน้า!!


 


ยังเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่โตมหึมาปานขุนเขา!!


 


กระทั่งพายุพลังที่ฉีจิ้งควบรวมก่อเกิดจากแขตแดนมหาพายุ ก็ยังคล้ายจะกลายเป็นพายุอันจิ๋ว เรียกว่ามันมีความสูงไม่ถึงเอวของพระพุทธรูปทองคำมหึมาด้วยซ้ำ!!


 


“นี่มัน…”


 


เห็นฉากนี้กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็อดตกตะลึงไปเสียไม่ได้ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นลักษณ์พลังรูปพระพุทธรูปที่เกิดจากการรวมตัวกันของพลังในเขตแดนหลวงจีนลายบุปผาก็ตามที แต่เขาอดตกใจไม่ได้


 


เพราะว่าพระพุทธรูปนี้นับว่าสูงใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ แรกเห็นก็ให้ความรู้สึกกดดันอันใหญ่หลวงแล้ว


 


แน่นอนว่าความรู้สึกกดดันนั้นไม่ได้มาจากพลังอำนาจของมัน หากแต่เป็นขนาดที่ใหญ่โตมหึมาต่างหาก!!


 


ความรู้สึกที่ว่า ก็เสมือนอยู่ดีๆมีขุนเขามหึมาลูกหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาตรงหน้าของท่าน!


 


ในขณะที่หลวงจีนลายบุปผาควบรวมพันพุทธองค์ก่อเกิดพระพุทธร์องค์มหึมา กระบี่คู่หยินหยางของจิ้งชวีจื่อก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน พวกมันพุ่งแยกย้ายไปยังขอบของเขตแดนตรงข้ามกัน


 


และเมื่อพวกมันใกล้ถึงขอบของเขตแดนแต่ละฝั่ง พวกมันก็เริ่มกลืนกินพลังของเขตแดนทวิภาวะอย่างบ้าคลั่ง ไอพลังสีน้ำเงินถูกกระบี่แต่ละเล่มสูบกลืนด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า เรียกว่าไอพลังหลั่งไหลเข้าสู่กระบี่ปานธารน้ำไหลเชี่ยวก็ไม่เกินเลย!


 


ขณะเดียวกัน กระบี่คู่หยินหยางก็เริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน!


 


ประการแรกขนาดของมันกลับกลายเป็นขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่เท่ากับพระพุทธรูปมหึมาของหลวงจีนลายบุปผา แต่ก็ยังใหญ่กว่าพายุพลังของฉีจิ้ง!!


 


แน่นอนว่าที่แปรเปลี่ยนไปไม่ใช่ขนาดของกระบี่เท่านั้น!


 


เพราะนอกจากขนาดแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่หยีตามองอยู่ยังสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของพลัง และสีของกระบี่คู่หยินหยางได้ชัดเจน


 


กระบี่เล่มหนึ่งเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แผ่พุ่งหมอกพลังมืดทะมึนออกมาห้อมล้อมดั่งไอเย็น แลดูน่ากลัวพิกล!


 


อย่างไรก็ตามกลิ่นอายพลังสีดำนั่นกลับเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กลิ่นอายพลังชั่วร้ายดั่งมารปีศาจอะไร


 


ส่วนอีกเล่มนั้นเริ่มกลับกลายเป็นขาวกระจ่าง ยังส่องแสงพลังสว่างไสวออกมาบาดตา ยากที่ผู้คนจะมองจ้องตรงๆได้นาน!


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่มันถูกเรียกว่ากระบี่คู่หยินหยาง และเขตแดนทวิภาวะ! ที่แท้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันกลับเป็นดั่งหยินหยาง 2 ภาวะที่อยู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!!”


 


เห็นฉากเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจได้


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนพลันส่องประกายสว่างวาบ เพราะพระพุทธรูปหึมาอันเป็นลักษณ์พลังที่ก่อเกิดจากเขตแดนพันพุทธองค์ของหลวงจีนลายบุปผา พลันยกมือขวาง้างขึ้นแล้วฟาดออก! เป็นการตบฟาดอันน่ากลัวนัก!!


 


ฝ่ามือที่ตบฟาดลงมาด้วยสภาวะปานขุนเขาถล่มโถมทับ! จี้ตรงไปยังพายุพลังของฉีจิ้ง ราวกับจะตบฟาดทำลายให้มันสลายหายไปเสีย!!


 


ทันใดนั้นเสียงสนั่นพลันดังสะท้านขึ้นมากึกก้องในอากาศ ฝ่ามือของพระพุทธรูปองค์เขื่องปะทะเข้ากับพายุพลังของฉีจิ้งอย่างจัง!!


 


ทั้งสองปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่าพรั่นพรึงออกมาต่อต้านปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คลื่นกระแทก ทั้งพลังสะท้อนกำจายออกไปเป็นวงระลอกแล้วระลอกเล่า มวลอากาศฟุ้งตลบสายลมอันรุนแรงซัดกวาดออกไปทั่วสารทิศ! ยังรุนแรงปานอุบัติใต้ฝุ่นถล่มออก!!


 


หลังปะทะหักหาญไปได้ครู่หนึ่ง อัศจรรย์พลันบังเกิด! ฝ่ามือมหึมาอันเต็มไปด้วยพลังอำนาจปานเขาถล่มของหลวงจีนลายบุปผากลับปริร้าวปานกระจกแก้ว แถมรอยร้าวยังลุกลามไปทั่วร่างมหึมาอย่างฉับไว! และพริบตาต่อมาร่างมหึมาปานขุนเขาพลันแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ!!


 


“อั๊ค!!”


 


ทันทีที่พระพุทธรูปใหญ่โตปานขุนเขาแตกระเบิด หลวงจีนลายบุปผาพลันกระอักโลหิตสีเข้มออกมาคำใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามันบาดเจ็บภายในสาหัสแล้ว!!


 


สำหรับพายุพลังนั้น มันเพียงจางลงจนแทบจะสลายตัว หลังจากปะทะหักหาญกับฝ่ามือของพระพุทธ์รูปองค์เขื่อง!!


 


ทว่าที่แปลกประหลาดก็คือฉีจิ้งที่สมควรอยู่ในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเหมือนกัน กลับไม่ได้รับผลกระทบของการปะทะพลังกันจนพายุพลังจางลงแม้แต่น้อย!


 


“นี่มันอะไรกัน…”


 


เห็นฉากดังกล่าวไม่ใช่แค่เพียงหลวงจีนลายบุปผาจะเบิกตากว้างปานลูกวัวแรกเกิดด้วยความเหลือเชื่อ ผู้ชมโดยรอบเองยังเผยความสันสนงุนงงออกมาเต็มใบหน้า


 


เรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน?


 


นั่นหมายความว่าแม้จะเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญดุจเดียวกัน แต่พลังความแข็งแกร่งของฉีจิ้งกลับเหนือล้ำกว่าหลวงจีนลายบุปผาอย่างไรเล่า!!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้คนกำลังตกตะลึงกับเรื่องราวอยู่นั้นเอง พลันมีเสียงแหวกฝ่าอากาศฉับไว 2 เสียงดังขึ้นดึงสติทุกคนให้กลับมาอยู่กับเรื่องราวอีกครั้ง! เป็นจิ้งชวีจื่อที่ควบคุมกระบี่หยินหยางทั้ง 2 เล่มให้พุ่งแหวกอากาศไปฉับไว!


 


หนึ่งสีดำ หนึ่งสีขาว พุ่งทะลวงแหวกฟ้าออกไปปานอัสนีฟาด ก่อให้เกิดคลื่นเสียงระเบิดดังลั่นไม่หยุด! ตัวกระบี่ฉีกกระชากสายลมอากาศที่ผ่านพ้นจนแยกออก! ทว่าพริบตานี้แม้แต่สายลมก็เหมือนจะหยุดเคลื่อนไหว!!


 


แน่นอนว่าไม่ใช่สายลมมันหยุดเคลื่อนไหวจริงๆ!


 


หากแต่ความเร็วของกระบี่เล่มเขื่องกลับรวดเร็วฉับไวเสียจน ผู้คนรู้สึกเสมือนสายลมยังหยุดนิ่ง!!


 


พริบตาต่อมากระบี่หยินหยางจากเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อ ก็พุ่งไปปะทะกับพายุพลังของฉีจิ้ง ที่จางลงทันใด!!


 


ต้องกล่าวเลยว่าในแง่ของการโจมตีแล้ว อำนาจทำลายของกระบี่หยินหยางจากเขตแดนทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อ แลดูจะมีภาษีเหนือกว่าลักษณ์พลังมหึมาของหลวงจีนหลายบุปผาอยู่บ้าง!


 


ด้วยกระบี่พลังทรงฤทธิ์เดชทั้ง 2! พายุพลังที่จางลงก็ยากจะต้านทานรับได้ไหว เพียงแข็งขืนได้เสี้ยวพริบตา มันก็แตกระเบิดกระจัดกระจายเป็นไอพลังปั่นป่วน พุ่งหายไปในอากาศ!!


 


กระบี่พลังมหึมาสีขาวดำ หลังทำลายพายุพลังไปแล้ว ก็พุ่งแหวกฟ้าตัดอากาศจี้ตรงไปยังร่างฉีจิ้ง หมายพิฆาตเผด็จศึก!!


 


“ทำลายได้ดี!!”


 


เห็นฉากนี้ผู้คนพลันโพล่งคำออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


กระบี่คู่หยินหยางของจิ้งชวีจื่อนับว่าเปิดหูเปิดตาให้พวกมันแล้ว!!


 


จังหวะนี้คนของศาลเจ้าชุนหยางอดไม่ได้ที่จะหัวร่อออกมาอย่างถูกใจ!


 


ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหลวงจีนลายบุปผาด้วยซ้ำ อันที่จริงลำพังแค่จิ้งชวีจื่อผู้เดียวก็มีพลังมากพอจะสยบฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่สำคัญตัวผิดคิดเหิมเกริมผู้นี้แล้ว!!


 


ท้าประลองพร้อมกันหรือ? เหลวไหลสิ้นดี!


 


“จิ้งชวีจื่อ กระบี่คู่หยินหยางของเจ้านับว่าทรงพลังไม่ใช่ชั่วจริงๆ…น่าเสียดาย แต่ตอนนี้ได้เวลาจบเรื่องแล้ว!”


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าฉีจิ้งไม่แคล้วต้องถูกกระบี่คู่หยินหยางสยบได้แน่ๆ เสียงเย็นเยือกเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของฉีจิ้งพลันดังขึ้น!


 


อย่างไรก็ตามเสียงเย็นเยือกนี้ของฉีจิ้ง กลับมาพร้อมความรู้สึกชั่วร้ายอันตรายประการหนึ่ง พาลให้ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลังยามได้ฟัง!


 


และในขณะเดียวกันนั้นเอง ก่อนที่ทุกผู้คนจะทันได้ตอบสนองเรื่องราวอะไร กลิ่นอายพลังอันชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียนขุมหนึ่งพลันปะทุพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของฉีจิ้ง!!


 


พริบตานั้นเอง พายุพลังอีกลูกอันเปี่ยมล้นไปด้วยปราณมารอันน่าพรั่นพรึงพลันอุบัติขึ้นเบื้องหน้าฉีจิ้งในทันทีทันใด! ทั้งยังพัดพุ่งออกไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว!!


 


ความเร็วดังกล่าว..กระทั่งหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อยังไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา!!


ตอนที่ 1,693 : ฉีจิ้ง เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


การเปลี่ยนแปลงในฉับพลันของสถานการณ์เบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตระหนักถึงเลย…


 


เหตุผลที่เขาไม่ตระหนักถึง เพราะตอนนี้ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่สถานการณ์การปะทะ หากแต่กำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่ง!


 


ทันทีที่กระบี่คู่หยินหยางพุ่งไปทำลายพายุพลังของฉีจิ้ง เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่เกิดขึ้นจากสภาวะพลังดังกล่าว!


 


บางสิ่งที่อุบัติขึ้นระหว่างกระบี่คู่หยินหยาง!


 


และบางสิ่งที่เขาแลเห็นนั้น ประหนึ่งภาพชิ้นส่วนภาพสุดท้ายที่ขาดหายไปในใจ! มันเติมเต็มเต๋าแห่งกระบี่ที่เขากำลังคลำทางหาอยู่ได้พอดิบพอดี!


 


ในใจของเขาภาพกระบี่หยินหยาง อันเป็นดั่งทวิภาวะนั้น แม้มันจะแตกต่าง หากแต่เต๋ากระบี่กลับเหมือนกัน! จุดรอคอยสุดท้ายดั่งประตูด่านที่ปิดกั้นขวาง…ได้พังทลายลงไปทันใด!


 


เมื่อเปิดประตูดั่งกล่าวแล้วก้าวย่างเข้าไป บัดนี้ต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจ เคล็ดเต๋ากระบี่ขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ เงากระบี่สัมพันธ์ใจเรียบร้อยแล้ว!


 


ขั้นสุดท้ายที่ยากจะเข้าใจพลันกระจ่าง!


 


ขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ เงากระบี่สัมพันธ์ใจ บรรลุถึงโดยสมบูรณ์!


 


พริบตาที่ต้วนหลิงเทียนบรรลุความเข้าใจ ภาพกระบี่นับหมื่นพัน พลันร้อยเรียงเป็นสาย กลับกลายเป็นขอบเขตใหม่ในชั่วพริบตา ทุกสิ่งอย่างยกระดับขึ้นกลับกลายเป็นสิ่งอื่นที่เหนือล้ำกว่าเดิม!!


 


ในขอบเขตใหม่นี้ ทุกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนลงมือจู่โจมรูปแบบพลังของเขากลายเป็นแปรเปลี่ยนไปต่างจากเดิม มันทรงพลังอำนาจมากขึ้น! บรรลุถึงขอบเขตเดียวกับวรยุทธ์เซียนระดับนภาทั่วๆไปทันที ก้าวข้ามวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีโดดเด่นไปอย่างสมบูรณ์!


 


‘แบบนี้นี่เอง…ทวิภาวะ แก่นแท้ของเงากระบี่สัมพันธ์ใจ!’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงความเข้าใจ ปราณกระบี่พลันปะทุออกท่วมร่าง กลิ่นอายพลังดั้งเดิมแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน!


 


ยามนี้เพียงยืนอยู่เฉยเมยไม่ไหวติง ยังให้บรรยากาศปานกระบี่แกร่งเล่มหนึ่ง!


 


หากแต่ไม่นานเขาก็ถูกปลุกจากภวังค์ยินดี ให้กลับมาสนใจเรื่องราวรอบกายอีกครั้ง!


 


ตอนนี้แม้ไม่อยากจะถูกปลุกให้ตื่น แต่เห็นทีคงไม่ได้


 


เพราะเขาเห็นว่า เมื่อกระบี่คู่หยินหยาง ปะทะทำลายพายุพลังที่อ่อนจางของฉีจิ้งไปแล้ว กลิ่นอายพลังทั่วร่างของฉีจิ้งอยู่ดีๆพลันปะทุออก ซัดพายุพลังออกมาอีกครั้ง แถมพายุพลังลูกนี้กลับให้กลิ่นอายพลังน่ากลัวขุมหนึ่ง!!


 


กลิ่นอายพลังน่ากลัวที่ว่า ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยประการหนึ่งแก่เขา!!


 


และในขณะที่รู้สึกคุ้นเคย ตราผนึกมารในแหวนพื้นที่ของเขาพลันสั่นไหวขึ้นมา เพราะมันสัมผัสได้ถึงไอมารจากปราณมาร! ‘อะไรกัน! ฉีจิ้งมันเป็นผู้ฝึกมารงั้นเหรอ!?’


 


‘ไม่จริงน่า…ถ้างั้น…มัน…ปกปิดพลังเอาไว้งั้นเหรอ!?’


 


พอตระหนักได้ถึงบางสิ่ง สีหน้าต้วนหลิงเทียนพลันแปรเปลี่ยนไปทันที!!


 


ฉีจิ้งที่มีพลังฝึกปรือในขอบเขตเซียขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ที่แท้ยังปกปิดพลังเอาไว้?!


 


แล้วหากไม่ได้ปกปิดพลังเล่า มันจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน!?


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ พลังฝีมือของเขาเรียกว่าถูกยกระดับขึ้นมาทันที กลายเป็นแข็งแกร่งทรงพลังกว่าเดิมอีกขั้น แต่ทว่าจังหวะนี้เขาไม่อาจไม่ตกใจ!!


 


ในขณะที่ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสี ด้านเริ่นจงกับหลิวหงกวง และฉีเสิ่น ก็เป็นกลุ่มแรกที่ตระหนักได้ว่านี่มันเรื่องอะไร พวกมันไม่เพียงแต่จะตะลึงยังสับสนไม่น้อย!


 


เพราะตอนนี้ ฉีจิ้ง คล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!!


 


และพริบตานี้เองพายุพลังลูกใหม่ที่ฉีจิ้งซัดออกมา มันก็ทรงพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีปราณมารแฝงเร้นมาด้วย! และที่น่ากลัวก็คือขนาดของพายุพลังมันแปรเปลี่ยนไปปานพลิกฟ้าคว่ำดิน! มันมหึมาทัดเทียมกับพระพุทธรูปองค์เขื่องของหลวงจีนลายบุปผาก่อนหน้าแล้ว!!


 


เผชิญหน้ากับพายุพลังลูกเขื่องที่พุ่งมาอย่างดุร้ายน่ากลัว หลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อรู้สึกกดดันถึงขั้นหายใจไม่ออก!


 


วูบ! วูบ!


 


หน้าทั้งคู่เปลี่ยนสีไปทันใด ในใจบังเกิดความคิดหวาดกลัวขึ้นมาประการหนึ่ง ‘ฉะ…ฉีจิ้ง มันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!!’


 


พวกมันมีเวลาเพียงแค่ตระหนักถึงเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่ฉีจิ้งกลายเป็นผู้ฝึกมารพวกมันไม่ทันคิด


 


หลังจากตระหนักถึงสาเหตุพลังความแข็งแกร่งที่อยู่ๆก็เพิ่มพูนขึ้นมาของฉีจิ้ง รวมถึงพายุพลังที่ซัดออกมาน่ากลัวนั่น ในใจของทั้งคู่ก็หลงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น! หนี!!


 


พริบตานั้นเองทั้งคู่พลันแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศทาง!!


 


ในขณะที่ทั้งคู่เริ่มหลบหนี ก็เป็นวินาทีเดียวกันกับที่กระบี่คู่หยินหยางของจิ้งชวีจื่อถูกพายุพลังมหึมาบดขยี้ทำลาย และพายุพลังลูกเขื่องก็ไม่ได้ลดทอนพลังอำนาจลงแม้แต่น้อย ยังพัดพุ่งไปทางหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อที่กำลังพุ่งร่างหลบหนี!!


 


“ศิษย์พี่ลายบุปผา!!”


 


เหล่าศิษย์หลวงจีนของวัดฟ่านเทียนพอตระหนักได้ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที ยังร่ำร้องออกมาอย่างเสียขวัญ!!


 


เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนเองพอตระหนักถึงพลังฝึกปรือฉีจิ้ง สีหน้าก็กลายเป็นร้ายแรงทันที ใจกังวลถึงหลวงจีนลายบุปผาที่กำลังหนีไม่น้อย


 


ศาลเจ้าชุนหยางเองก็ไม่ต่างกัน


 


อย่างไรก็ตามเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนและหลวงจีนอาวุโสทั้งหลายก็ต้องหน้าซีดลงทันใด เมื่อเห็นเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงที่บังเกิดขึ้นตรงหน้า…


 


เพราะพวกมันแลเห็นว่าพายุพลังลูกเขื่องนั่นพุ่งจี้เข้าเจียนบรรลุถึงตัวหลวงจีนลายบุปผาเต็มที และยังมีความเร็วสูงล้ำเหนือหลวงจีนลายบุปผาไปมาก! เพียงพริบตามันก็กลืนร่างหลวงจีนลายบุปผาจนหายไป พร้อมกันนั้นก็ปรากฏละอองโลหิตฟุ้งออกมาจากพายุพลัง!!


 


หลางจีนลายบุปผาตกตายแล้ว!!


 


“ไม่!!!”


 


เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนร่ำร้องออกมาเสียงดังสนั่น ร่างสะท้านสั่นไหวไปจนทรุด


 


ศิษย์ปิดสำนักของมันคนนี้ เป็นศิษย์ที่มันฝากฟังความหวังทั้งมวลเอาไว้ ยังเป็นดั่งอนาคตของวัดฟ่านเทียน!!


 


มันไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ อนิจจาฉากนองเลือดเบื้องหน้าเ ทำให้แม้มันไม่อยากยอมรับเพียงใดแต่เรื่องราวก็ไม่อนุญาติให้มันไม่ยอมรับ เพราะทั้งหมดคือความจริง!!


 


เมื่อเห็นว่าหวงจีนลายบุปผากลับกลายเป็นหมอกโลหิตไปในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตา เสียงอุทานพลันดังขึ้นมาระงม ทั้งหมดต่างอ้าปากค้างกันเป็นแถบๆ


 


อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล่าวคำใดออกมา


 


นั่นเพราะความสนใจของทั้งหมดกลับพุ่งไปหยุดอยู่ที่ร่างจิ้งชวีจื่อที่หนีไปอีกทาง


 


ต้องกล่าวเลยว่าจิ้งชวีจื่อโชคดีกว่าหลวงจีนลายบุปผาเล็กน้อย เพราะหลวงจีนลายบุปผาได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ความเร็วของอีกฝ่ายจึงตกลง


 


ทว่าตอนแรกตัวมันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะเร่งเคลื่อนร่างหลบหนีก่อนที่กระบี่หยินหยางจะถูกทำลาย พอหลบหนีไปได้ระยะหนึ่งจึงค่อยกระอักเลือดออกมาตอนกระบี่หยินหยางถูกทำลาย ด้วยเหตุนี้มันจึงพุ่งร่างหลบออกมาก่อนที่พายุพลังนั่นจะซัดทำลายมาถึงอย่างฉิวเฉียด!


 


หากแต่แม้จะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังถูกชายขอบพลังของพายุพลังมหึมาซัดจนร่างปลิดปลิวกระเด็น


 


“อั๊คค!!”


 


จิ้งชวีจื่อกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยกระบี่หยินหยางถูกทำลาย หรือเพราะถูกชายขอบพลังของพายุน่ากลัว ล้วนทำให้มันบาดเจ็บสามหัสทันที! ร่างมันตอนนี้สั่นไหวระริก…กระทั่งเหินลอยกลางหาวยังกลายเป็นเรื่องยาก คนปานจะทรุดลงได้ทุกเวลา!


 


“จิ้งชวีจื่อ ยอมแพ้เร็วเข้า!!”


 


ตอนนี้เองนักพรตผู้นำของศาลเจ้าชุนหยางพลันสังเกตเห็นแววตาอำมหิตของฉีจิ้งที่อยู่ๆก็ปะทุจิตสังหารออกมาน่ากลัว ใจของมันรู้สึกเย็นเยียบลงทันใด เร่งร้อนตะโกนออกมาลำคอแทบแตกกระตุ้นเตือนจิ้งชวีจื่อ ด้วยหวาดกลัวว่าจิ้งชวีจื่อจะตกตายตามหลวงจีนลายบุปผาของวัดฟ่านเทียนไปอีกคน!!


 


ความสำคัญของจิ้งชวีจื่อที่มีต่อศาลเจ้าชุนหยาง ก็ไม่ต่างอะไรจากความสำคัญของหลวงจีนลายบุปผาที่มีต่อวัดฟ่านเทียน!!


 


สำหรับนักพรตผู้นำศาลเจ้าชุนหยางแล้ว ไม่ว่าใครในที่นี้ล้วนสามารถตกตายได้ แต่คนเดียวที่ไม่อาจปล่อยให้ตกตายได้เด็ดขาดก็คือจิ้งชวีจื่อผู้ที่เป็นดั่งความหวังของศาลเจ้าชุนหยาง!!


 


ตราบใดที่จิ้งชวีจื่อมีโอกาสได้เติบโตเต็มศักยภาพ ภายภาคหน้าต้องสามารถนำพาความรุ่งโรจน์มาสู่ศาลเจ้าชุนหยางได้แน่นอน กระทั่งเรื่องที่จะทำให้ศาลเจ้าชุนหยางกลายเป็นขุมพลังชั้น 4 แทนที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!


 


ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้นำศาลเจ้าชุนหยางก็ไม่อาจปล่อยให้จิ้งชวีจื่อตกตายได้เด็ดขาด!


 


ในขณะที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งตระหนักได้ถึงพลังฝึกปรือของฉีจิ้ง ยิ่งมาได้ยินคำตะโกนกล่าวเตือนจากผู้นำศาลเจ้าชุนหยางซึ่งเป็นอาจารย์ของตัว จิ้งชวีจื่อพลันคืนสติกลับมาทันที มันพยายามอ้าปากออกมาอย่างยากลำบาก เร่งกล่าววาจา “ข้ายอม…”


 


น่าเสียดายที่คำว่า ‘แพ้’ ไม่ทันได้ล่วงล้ำผ่านลำคอออกมา ก็ปรากฏรังสีพลังสังหารสีดำสายหนึ่งพุ่งทะลุฟ้ามาฉับไว!


 


สึบบ!!


 


ความเร็วของรังสีพลังสังหารทมิฬมืดนี้ไม่ได้เชื่องช้าไปกว่าความเร็วของพายุพลังแม้แต่น้อย!!


 


และเพียงเสี้ยวพริบตารังสีพลังสังหารทมิฬมืดดังกล่าวก็พุ่งชำแรกหว่างคิ้วของจิ้งชวีจื่อ พาลให้ประกายตาของจิ้งชวีจื่อท่เคยส่องสว่างกลับกลายเป็นหม่นแสงลง ร่างคนกระตุกวูบหนึ่งค่อยร่วงตกจากฟ้าปานหุ่นกระบอกไร้ด้าย…


 


แม้จะมีวาจากระตุ้นเตือนจากผู้นำศาลเจ้าชุนหยางแล้ว แต่จิ้งชวีจื่อกลับกล่าวคำออกมาช้าไป…


 


และเวลาที่ช้าไปเพียงชั่วพริบตานี้ กลับทำให้มันจะต้องก้าวเดินลงบนเส้นทางสู่ปรโลกตามรอยหลวงจีนลายบุปผาไปติดๆ…


 


เพียงเวลาแค่ชั่วลมหายใจ สุดยอดอัจฉริยะนามกระเดื่องทั้ง 2 ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็ตกตายภายใต้เงื้อมมือของฉีจิ้ง!


 


ตกตายภายใต้เงื้อมมือของ คนที่กาลครั้งหนึ่งพวกมันเคยเอาชนะได้อย่างราบคาบ…


 


“จื่อเอ๋อ!!”


 


“ศิษย์พี่ใหญ่!!”


 


เมื่อจิ้งชวีจื่อตกตายคนของศาลเจ้าชุนหยางโดยเฉพาะผู้นำที่กังวลจับใจว่าจิ้งชวีจื่อจะเป็นอะไรไปก่อนหน้า ก็ร่ำร้องออกมาเสียงหลง สีหน้ายังซีดลงทันใด


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตผู้นำของศาลเจ้าชุนหยาง มันไม่อาจทำใจรับไหว ปราณแรกกำเนิดในร่างถึงกับปั่นป่วนตีกลับ ย้อนมาทำร้ายชีพจรหัวใจของมันจนบาดเจ็บสาหัส! คนกระอักโลหิตทรุดเซไปทันที!!


 


หากไม่ใช่เพราะพลังฝึกปรือของมันสูงล้ำ น่ากลัวอาจจะสิ้นสติไปแล้ว


 


ขณะเดียวกันฉากเรื่องราวโดยรอบก็เงียบงันปานคนตาย


 


ทุกสายตาของผู้คนล้วนตกอยู่ที่ร่างของฉีจิ้ง!


 


แม้ฉีจิ้งจะเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่ในอดีตชื่อเสียงของมันก็ไม่อาจทัดเทียมจิ้งชวีจื่อและหลวงจีนลายบุปผาได้เลย…ทว่าวันนี้มันกลับช่วงชิงความรุ่งโรจน์และเกียรติยศ ‘มือหนึ่งในรุ่น’ มาจากทั้ง 2 ได้สำเร็จแล้ว…


 


“ระ…เรื่องพรรค์นี้ จักเป็นไปได้อย่างไร?!”


 


“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิง คนนั้น กลับสามารถสังหารหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้จริงๆ? ทั้งๆที่ก่อนหน้าเป็นทั้งคู่ที่เอาชนะมันได้อย่างขาดลอย…แต่วันนี้กลับต้องมาตายคามือมัน?”


 


“หากข้าไม่ได้มาเห็นเองกับตา ข้าคงคิดไม่ถึงจริงๆว่าเรื่องราวที่ประหนึ่งเรื่องเหลวไหลชวนหัวพรรค์นี้จะเกิดขึ้นจริงๆ…”


 


“ผู้ใดบอกข้าพเจ้าได้บ้าง ว่ายามนี้ใช่ข้าพเจ้ากำลังฝันไปหรือไม่?”


 


“เหลือเชื่อยิ่งนัก! เป็นไปมิได้!!”


 


……


 


เมื่อดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ ผู้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ยังอื้ออึงกับพลังฝีมือของฉีจิ้งไม่น้อย


 


ฉีจิ้ง ปีที่แล้วยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น…


 


ก่อนหน้านี้หลังจากที่อีกฝ่ายเผยพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญหลังผ่านไป 1 ปี ก็ทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว ทั้งหมดล้วนแน่ใจชัดเจนว่าฉีจิ้งสมควรพบพานวาสนาปาฏิหาริย์บางประการ…


 


เพราะในสายตาทุกคน การที่ทะลวงพลังฝึกปรือจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญก็นับเป็นเรื่องราวอันเหลวไหลเกินจริงไปมากแล้ว


 


ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กลับอยู่เหนือสามัญสำนึกของพวกมันไปไกลโข พลังฝีมือที่จิ้งชวีจื่อเผยให้เห็นกลับเป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!


 


“ข้ามิเคยได้ยินเรื่องที่ฉีจิ้งเป็นผู้ฝกมารมาก่อนเลย…ทว่าหลังจากผานไปแค่ปีเดียว มันกลับกลายเป็นผู้ฝึกมาร ที่มีปราณมารอันชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียนได้”


 


หลายคนที่ชักสีหน้าเคร่งขรึมเริ่มกล่าวถึงเรื่องที่ฉีจิ้งเป็นผู้ฝึกมารออกมา


 


“ต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกมาร จนมีพลังฝึกปรือก้าวหน้ารวดเร็วกว่าเดิม ทว่าอาศัยเพียงปีเดียวทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาถึงขั้นสูงสุด นี่มิใช่เกินจริงไปหน่อยหรือไร?”


 


หลายคนกล่าวออก


 


“มิใช่เกินจริงธรรมดา แต่เกินความจริงไปลิบลับ…อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะแทบเป็นไปไม่ได้เพียงใดแต่มันก็เป็นไปแล้ว! หาไม่มันคงมิอาจฆ่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้ง่ายดายเช่นนี้!!”


 


“ข้าไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าจิ้งชวีจื่อจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้…เช่นนั้นตอนที่มันฆ่าจงกู้มันก็จงใจปกปิดพลังฝีมือเอาไว้…กระทั่งตอนเริ่มสู้กับหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อ มันก็ยังจงใจปกปิดพลังเอาไว้มิเผยออก!”


 


……


ตอนที่ 1,694 : ทุกความสนใจเทไปที่ลี่เฟิง!


 


“เรื่องนี้ยังไม่ชัดอีกหรือไร? หากมันไม่ปกปิดพลังเอาไว้ หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อย่อมบังเกิดความหวั่นเกรงต่อมัน เช่นนั้นมันคงมิมีโอกาสลงมือ…ที่มันปล่อยให้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อมีโอกาสลงมือ ท่าทางจะมีเจตนาฆ่าคนแต่แรก…”


 


“ตอนแรกข้าหลงคิดว่าฉีจิ้งคงมิอาจทำอะไรได้…แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้มันจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!”


 


“นั่นสิ! หากฉีจิ้งเผยพลังฝึกปรือนี้แต่แรก พวกเราคงไม่คิดว่ามันหยิ่งผยองหรือลำพองอันใด ที่หาญกล้าท้าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน!”


 


“เป็นมันจงใจกระทำเช่นนี้ไม่ผิดแน่…หากมันเปิดเผยพลังฝึกปรือแต่แรก ต่อให้เป็นการกลุ้มรุม แต่น่ากลัวว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อคงเลือกที่จะไม่สู้กับมัน!”


 


“ถูกแล้ว…นี่หมายความว่าใจของฉีจิ้งนั้นอำมหิตนัก!”


 


……


 


ผู้คนกระซิบกระซาบกันขณะมองไปยังร่างฉีจิ้งด้วยสายตาหวาดกลัว


 


รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเริ่นจง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ยังมีฉีเสิ่นอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ต่างมองไปยังฉีจิ้งด้วยสายตาซับซ้อน มากสงสัย


 


ผู้ฝึกมารไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกมัน


 


ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังรู้จักผู้ฝึกมารมากมาย รับทราบความสามารถของเคล็ดวิชาบ่มเพาะสายมารเลิศล้ำมาก็ไม่น้อย และยังรู้ถึงเรื่องที่เคล็ดบ่มเพาะพลังของฝ่ายมารนั้นเป็นอะไรที่ก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าปกติมากมาย


 


อย่างไรก็ตามแม้ฉีจิ้งจะกลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว แต่ทว่าความเร็วในการทะลวงขอบเขตพลังในเวลาเพียงแค่ 1 ปีนี้ จากเซียนขัดเกลาขั้นต้นเป็นขั้นสูงสุด มันจะไม่รวดเร็วดั่งนิทานอภินิหารไปหน่อยหรือ?


 


นี่มันบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารอะไรกันแน่?


 


เพราะถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกมารที่ลือชื่อมากเพียงใด แต่พวกมันก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถบ่มเพาะทะลวงด่านพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลาแค่ 1 ปี!


 


“กระทั่งในขุมพลังระดับแนวหน้า ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็คงมิมีผู้ใดสามารถทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดในเวลาแค่ปีเดียวมิใช่หรือ?”


 


“ฉีจิ้งมันยกระดับพลังฝึกปรือมาอย่างไรกันแน่?”


 


“น่าเสียดายที่ข้าคงมิมีวันรู้ว่ามันไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมา…อย่างไรเสียมันก็เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พวกเรายังจะมีปัญญาบังคับให้มันกล่าวได้หรือ?”


 


……


 


เริ่นจงกับหลิวหงกวงหันมองหน้ากัน และต่างส่งสายตาเหลือเชื่อให้กัน


 


ความก้าวหน้าในเวลาแค่ 1 ปีของฉีจิ้งทำให้พวกมันตื่นตระหนกแล้วจริงๆ


 


แม้พวกมันจะอยากรู้แทบตายว่าฉีจิ้งไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมา แต่พวกมันก็รู้ดีว่าฉีจิ้งคงไม่มีวันปริปากบอกถึงเรื่องนี้แน่นอน!


 


ทุกผู้คนล้วนมีความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกมันไม่ใช่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย


 


“เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดงั้นเหรอ…”


 


ห่างออกไปไม่ไกล สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองฉีจิ้งเผยประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ


 


ตอนแรกทันทีที่เขาเข้าใจถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่อย่าง เงากระบี่สัมพันธ์ใจ เขาก็มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าสามารถฆ่าฉีจิ้งได้ง่ายๆ


 


แน่นอนว่านั่นคือฉีจิ้งที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ


 


แต่กับฉีจิ้งที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนั้น แม้เขาจะบรรลุขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่แล้ว เขาก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่ามั่นใจเต็มสิบส่วน


 


‘โชคยังดีที่ข้าสามารถตระหนักได้ถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ได้ทันเวลา…ไม่งั้นขืนทะลึ่งขึ้นไปปะทะกับมันที่อยู่ในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดตอนแรก คงเป็นเรื่องโชคดีที่มันฆ่าข้าไม่ได้ แต่ข้าคงไม่มีทางฆ่ามันได้แน่’


 


มาถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนลอบดีใจไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ลืมว่าขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ของเขาบรรลุได้อย่างไร เขาจึงหันมองไปยังจุดที่ร่างจิ้งชวีจื่อถูกฆ่าตายและนอนแน่นิ่งอยู่ด้วยสายตารำพึง ‘จิ้งชวีจื่อ เป็นเพราะกระบี่หยินหยางทวิภาวะของเจ้าแท้ๆ ถึงทำให้ข้าเข้าใจขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ ได้ทันที…’


 


‘เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะฆ่ามันล้างแค้นให้เจ้าเอง..’


 


หลังกล่าวรำพันในใจ สองตาที่มองร่างจิ้งชวีจื่อตกตายของต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงสว่างเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง


 


เขาที่บรรลุถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่แล้ว จึงไม่ได้หวาดกลัวฉีจิ้งที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแม้แต่น้อย


 


แต่แน่นอนว่าเรื่องที่จะฆ่ามันได้แน่ๆ เขาก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปาก


 


จากการประเมินคร่าวๆของเขา หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกำลังภายนอกอะไร ความแข็งแกร่งของเขากับฉีจิ้งตอนนี้ ไม่ควรแตกต่างกันมากนัก


 


ถึงแม้เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่ามัน ก็อาจจะเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ต้วนหลิงเทียนก็ต้องสู้กับฉีจิ้งให้ได้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่ประจวบเหมาะและดีที่สุดที่เขาจะฆ่ามันเพื่อคลี่คลายวิกฤติให้หานเฉวี่ยไน่!


 


หากฉีจิ้งไปตกตายนอกการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จะมากจะน้อยคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องคิดว่าคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานมีเอี่ยวด้วยแน่นอน และนั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็นเลย เขาจึงเลือกออกเดินทางมายังเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพียงลำพังแบบนี้


 


หากจะกล่าวว่า ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนต้องการฆ่าฉีจิ้งเพราะอยากช่วยหานเฉวี่ยไน่อย่างเดียวล่ะก็


 


มาตอนนี้เขาพลันมีเหตุผลให้ต้องฆ่ามันเพิ่มขึ้นอีกข้อแล้ว


 


ถึงแม้เขากับจิ้งชวีจื่อจะไม่รู้จักมักจี่กระทั่งไม่เคยคุยกัน แต่เป็นเพราะจิ้งชวีจื่อคนเดียว ที่ทำให้เขาเข้าใจถึงสภาวะความเหมือนในความต่าง ที่บังเกิดขึ้นในทวิภาวะ! ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสำนึกบุญคุณ และอยากตอบแทนอีกฝ่าย


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ชอบติดค้างผู้ใด กระทั่งคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เว้น


 


เช่นนั้นเขาจึงคิดฆ่าฉีจิ้งเพื่อตอบแทนจิ้งชวีจื่อ


 


แววตาของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งเผยประกายคมกล้า


 


“นายน้อย…ที่แท้กลับบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจริงๆ!?”


 


ตอนนี้เองคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต่างรู้สึกอื้ออึงไม่เข้าใจ


 


ในฐานะที่พวกมันเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พวกมันย่อมรู้ไส้รู้พุงของฉีจิ้งดีกว่าใคร ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงประหลาดใจมากกว่าคนอื่นหลายเท่า!


 


แน่นอนว่าที่พวกมันพึ่งรู้สึกตัว เป็นเพราะพลังฝึกปรือของพวกมันไม่สูงส่งอะไร


 


ในบรรดาคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีเสิ่นในฐานะอาวุโสหลักได้ตื่นจากอาการตกตะลึงมานานแล้ว ยังรู้สึกตัวก่อนใคร


 


‘มัน…กลับทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ’


 


ใบหน้าชราของฉีเสิ่นกระตุกไปไม่หยุด ในแววตายังเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


 


มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าฉีจิ้งทำได้อย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ปีที่แล้วอีกฝ่ายพึ่งจะอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น


 


นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจ และสามัญสำนึกของมันจริงๆ


 


แน่นอนว่าแม้จะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่อยากรู้ว่าฉีจิ้งไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมา ‘หลังจากมันกลับไปถึงคฤหาสน์ จะอย่างไรมันก็ต้องเอาเรื่องวาสนาปาฏิหาริย์นี้มากล่าวบอกต่อสภาอาวุโส…ถึงตอนนั้นหากสิ่งที่มันพบเจอสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ มิใช่ว่าพลังฝึกปรือของข้าก็จักก้าวหน้าขึ้นอย่างเร็วเช่นกันหรือ!?’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ใจที่หมองเศร้าของฉีเสิ่นหลังสูญเสียหลายชานคนเดียวอย่างฉีค่านไป ก็เริ่มบรรเทาทุเลาลง


 


ไม่ว่าจะอะไรยังไง นับว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ล้วนตกใจไม่น้อยกับความสามารถของฉีจิ้ง ต่างหันมองฉีจิ้งกันตาลุกวาว!


 


“ฉีจิ้งข้ามิคิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ปี…ข้าเชื่อว่าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยในความก้าวหน้านี้ของเจ้า ว่าทำอย่างไรถึงสามารถทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงขั้นสูงสุดได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ปีทั้งสิ้น…มิทราบว่าเจ้าพอจะแบ่งปันข้อมูลนี้ออกมาได้หรือไม่?”


 


เริ่นจงมองถามฉีจิ้งออกมาทันที


 


แม้มันรู้ดีว่าฉีจิ้งคงไม่บอก แต่มันอดถามออกมาไม่ได้


 


พอได้ยินเริ่นจงกล่าวถามเรื่องนี้ หลิวหงกวงเองก็หันไปมองฉีจิ้งด้วยสายตาคาดหวังเช่นกัน


 


และไม่ว่าจะเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอันมีฉีเสิ่นเป็นผู้นำ หรือกระทั่งคนนอกอื่นๆไม่เว้นต้วนหลิงเทียน ก็มองไปที่ฉีจิ้งเช่นกัน


 


แม้คนของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางจะมองฉีจิ้งด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง แต่ในแววตาก็เผยให้เห็นความคาดหวังออกมาเล็กน้อย


 


เป็นที่แน่นอนแล้วว่าไม่มีใครไม่สนใจวาสนาปาฏิหาริย์ที่ฉีจิ้งพบพานมาตลอดปีที่ผ่าน!


 


1 ปีพลังฝึกปรือก้าวหน้าจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด มันเป็นอะไรที่เกินจริงเกินไป!


 


ห่างออกไปไกลๆ ชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามฉีจิ้ง ก็มองชมนายน้อยของตัวที่เป็นจุดสนใจด้วยความหน้าชื่นตาบาน


 


แม้มันจะไม่ได้มีสถานะอะไรในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่มันก็เป็นคนเดียวที่ล่วงรู้ ‘ความลับ’ ของนายน้อยมัน!


 


แน่นอนถึงแม้ว่ามันจะล่วงรู้แต่มันก็ไม่กล้าเปิดเผยอะไรออกมาเด็ดขาด เพราะมันได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว หากมันละเมิดคำสาบาน มันได้โดนอัสนีสวรรค์จากทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าพิฆาตร่างตายตกแน่!


 


“รองผู้นำเริ่น ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่…ข้ายอมรับว่าข้าได้พบพานวาสนาปาฏิหาริย์โดยบังเอิญเมื่อปีที่แล้ว หากแต่วาสนานี้มิอาจทำซ้ำได้ มีผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น…และผู้ที่โชคดีคนนั้นก็คือข้า”


 


เผชิญหน้ากับคำถามของเริ่นจง ฉีจิ้งกล่าวตอบออกไปอย่างใจเย็น


 


“ช่างน่าเสียดายนัก”


 


เริ่นจงพอได้ยินก็ถอนหายใจออกมา แต่เรื่องที่มันจะเชื่อคำพูดฉีจิ้งหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


แน่นอนว่าเรื่องที่มันจะเชื่อหรือไม่ใช่ ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับฉีจิ้ง


 


ฉีจิ้ง หลังจากที่สังหารหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อไปแล้ว ก็กลายเป็นจ้าวเวทีอีกครั้ง


 


ตอนนี้เองดวงตะวันบนฟ้าก็เริ่มคล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกเต็มที คาดว่าอีกราวๆ 1 ชั่วยามมันก็จะลาลับขอบฟ้าไป


 


หลังจากที่ฉีจิ้งกลายเป็นจ้าวเวที ตอนนี้ก็มีจ้าวเวทีทั้งสิ้น 9 คน


 


สุดท้ายผู้ฝึกตนพเนจรที่มีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ก็ขึ้นมาเป็นจ้าวเวทีคนสุดท้าย


 


ต่อมายอดฝีมอขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น 2 คนที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าฉีกังกับคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มาเตี๊ยมกับฉีจิ้ง ก็เอาชนะพวกมันทั้งคู่และชิงตำแหน่งจ้าวเวทีมา กลายเป็นจ้าวเวทีที่มีพลังฝีมือที่แท้จริง


 


เห็นฉากนี้หลายคนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


ถึงแม้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะมีพลังฝีมือเทียบกับฉีจิ้งไม่ได้ แต่พลังฝีมือของพวกมันก็มากพอให้ติด 4 อันดับแรกได้ง่ายๆ…


 


น่าเสียดายที่พวกมันชิงตายไปเสียก่อน


 


เป็นธรรมดาที่ไฉนต้องกล่าวว่ามีพลังฝีมือติด 1 ใน 4 อันดับแรก เพราะตอนนี้มีผู้ฝึกตนพเนจรแสนลึกลับอย่างต้วนหลิงเทียน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามลี่เฟิงปรากฏตัวขึ้นมา


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะลงประลองเพียง 2 รอบ แต่เขาก็ฆ่าฉีค่านหลานชานอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นได้ง่ายดาย นั่นนับเป็นข้อพิสูจน์พลังฝีมือของเขาแล้ว


 


ในสายตาของทุกคน น่ากลัวว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ที่เจียนทะลวงฝ่าไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเต็มที!


 


หรืออาจจะเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้วก็เป็นได้ ยากที่ใครจะล่วงรู้


 


“ลี่เฟิงฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปถึง 2 คน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นหลานชายของอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ข้าสงสัยนักว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งจะท้าประลองกับลี่เฟิงหรือไม่?”


 


ไม่นานก็มีคนมองต้วนหลิงเทียนและสลับไปมองฉีจิ้ง ค่อยกล่าวถามออกมาลอยๆด้วยความสงสัย


 


แม้เสียงของมันจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ในขณะที่ทุกคนเงียบกันหมด เสียงมันก็ดังพอให้ทุกคนได้ยิน


 


ทันใดนั้นทุกคนก็หันมามองต้วนหลิงเทียนสลับกับฉีจิ้งทันที


 


กระทั่งฉีเสิ่นยังมองไปที่ฉีจิ้งด้วยความคาดหวัง แม้มันจะรู้ดีว่าลี่เฟิงสมควรยอมรับความพ่ายแพ้ทันทีที่ฉีจิ้งท้าประลอง แต่มันก็หวังว่าฉีจิ้งจะท้าประลองอีกฝ่ายเพื่อฉุดลากอีกฝ่ายให้ตกต่ำ


 


สำหรับชีวิตของลี่เฟิง มันจะหาหนทางจัดการด้วยตัวเองในวันหน้า!


 


ต่อให้อีกฝ่ายจะเข้าร่วมคฤหาสน์ข้ามฟ้าหรือคฤหาสน์คลื่นคลั่งไปแล้วก็ตามที!


 


หนี้เลือดที่อีกฝ่ายฆ่าหลานชายมัน! หากมันไม่ตายมันไม่มีวันเลิกรา!!


 


‘ถึงมันไม่ท้าทายข้า แต่ข้านี่ล่ะจะหาทางท้าทายมันเอง…’


 


สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมารอบๆ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะในใจขณะมองไปยังฉีจิ้ง


ตอนที่ 1,695 : จะสู้ก็เข้ามา อย่าลีลาให้มาก!


 


ล้อกันเล่นหรือไง!


 


เหตุผลการมาถึงที่นี่ของต้วนหลิงเทียน จนกระทั่งเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยากได้อันดับไร้สาระอะไร แต่เพราะต้องการสังหาร ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้มีแค่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้ คนอื่นย่อมไม่อาจทราบได้!


 


ในขณะที่คนหลายกลุ่มเริ่มกระซิบกระซาบคาดเดากันว่าฉีจิ้งจะท้าทายต้วนหลิงเทียนหรือไม่ เจ้าตัวอย่างฉีจิ้ง ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเช่นกัน!


 


ในสายตาของมัน ลี่เฟิงเป็นแค่ผู้ฝึกตนพเนจรที่แลดูเย็นชาไม่แยแสผู้ใดคนหนึ่งเท่านั้น


 


อันที่จริงพอมันได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าฉีค่าน ไม่เพียงแต่มันจะไม่ถือโทษโกรธเคืองต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด ยังสาสมใจที่ฉีค่านตายตกอีกด้วย!


 


ฉีค่านเป็นคนเดียวในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อมันได้ ก่อนที่มันจะบ่มเพาะเคล็ดวิชา มารกลืนหยิน!


 


แน่นอนว่าภัยคุกคามที่ว่าก็คือเก้าอี้ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


เมื่อฉีค่านตกตายไป นั่นหมายความว่าคู่แข่งที่มีสามารถพอจะชิงตำแหน่งผู้นำกับมันได้ก็ไม่มีอีกต่อไป!


 


เป็นธรรมดาที่ต่อให้ตอนนี้ฉีค่านยังไม่ตาย มันก็ไม่หวาดกลัวอะไรเลย


 


ต้องทราบด้วยว่าพลังฝึกปรือของมันตอนนี้คือ เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


กระทั่งหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อที่มีด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญยังตกตายด้วยน้ำมือของมันพร้อมกัน! แล้วจะนับประสาอะไรกับฉีค่านที่บรรลุเพียงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง?


 


อย่างไรก็ตามแม้ฉีจิ้งจะไม่ได้คิดลงมือกับต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้นให้ฉีค่าน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความคาดหวังของคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันก็ตัดสินใจท้าทายลี่เฟิงทันที!


 


แน่นอนว่าในสายตาของมัน เมื่อลี่เฟิงรับทราบพลังฝีมือของมันไปแล้ว พอมันกล่าวท้าทายอย่างไรอีกฝ่ายก็คงต้องยอมแพ้ทันทีแน่นอน..


 


ทว่าขอเพียงให้อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ไป ก็เสมือนมันได้สร้างภาพลักษณ์สูงส่งในสายตาของคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว เรื่องนี้จะส่งเสริมให้มันขึ้นแท่นเป็นผู้นำในวันหน้าได้อย่างดี


 


ภายใต้สายตาของผู้คน ไม่นานก็มีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหินร่างออกมาคนหนึ่ง


 


“รบกวนนายน้อยแล้วขอรับ!”


 


คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหินร่างขึ้นเวทีของฉีจิ้งไป และกล่าวคำท้าทายออกมาทามกลางสายตาผู้คน


 


เป็นธรรมชาติที่ไม่มีใครคิดว่ามันท้าสู้กับฉีจิ้งจริงๆ แต่รู้ดีว่าเป็นแค่หมากที่ทำให้ฉีจิ้งเป็นอิสระเพื่อท้าทายลี่เฟิงก็เท่านั้น


 


“ข้ายอมแพ้”


 


หลังจากที่ถูกคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องท้า ฉีจิ้งก็ยอมแพ้ทันที


 


วินาทีต่อมาโดยที่ไม่ต้องรอให้ฉีจิ้งท้าต้วนหลิงเทียน ทุกสายตาก็หันไปจับจ้องมองท่าทีของต้วนหลิงเทียนทันที


 


พวกมันรู้อยู่แล้วว่าฉีจิ้งคิดทำอะไร


 


และหลังจากที่ฉีจิ้งยอมแพ้ มันก็เหินร่างมาหยุดลอยเหนือเวทีประลองเม็ดหมากของต้วนหลิงเทียนตามคาด


 


ฉีจิ้งลอยร่างค้างกลางหาว เหลือบมองลงมายังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลน “เจ้าคือลี่เฟิงงั้นสินะ? ในเมื่อเจ้ากล้าฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องข้า! เช่นนั้นหากมีความกล้าก็มาสู้กับข้าเสีย!!”


 


หากมีความกล้าก็มาสู้กับข้าเสีย!


 


วาจานี้ของฉีจิ้งเอ่ยออกเสียงดังฟังชัด ยังมีความหมายว่าหากต้วนหลิงเทียนไม่สู้ก็แค่ตัวขี้ขลาดไร้ความกล้า!


 


อย่างไรก็ตามผู้คนไม่ค่อยเห็นด้วยกับวาจานี้ของมันสักเท่าไร


 


“เหอะๆ! มันกล่าวเช่นนี้ หรือคิดจริงๆว่าลี่เฟิงจะบ้าจี้กล้าสู้กับมัน?”


 


“นั่นน่ะสิ! อาจได้ผลหากมันยังไม่เปิดเผยพลังฝีมือออกมา แต่ตอนนี้มันเปิดเผยพลังฝีมือออกมาหมดแล้ว ลี่เฟิงจะไปรับคำท้าของมันให้โง่หรือ?”


 


“ลี่เฟิงผู้นี้เต็มที่ก็สมควรเป็นยอดฝีมือเซียนขัดเกาขั้นเชี่ยวชาญเหมือนหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อ”


 


“กล่าวไปแล้วก็น่าเสียดายแทนหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อนัก…หากฉีจิ้งไม่จงใจปกปิดพลังฝีมือเอาไว้แต่แรก พวกมันคงไม่ต้องสู้กับเจ้านั่นจนต้องตกตายไปแบบนี้หรอก”


 


“นั่นสิ ฉีจิ้งผู้นี้ร้ายกาจนัก!”


 


……


 


ผู้ชมโดยรอบเริ่มกระซิบกระซาบกันดังระงม ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้ายอมรับคำท้าของฉีจิ้ง เพราะพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายสูงเกินไป


 


ไม่ต้องกล่าวถึงในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยซ้ำ เกรงว่าต่อให้เป็นเขตอิทธิพลหลักของขุมพลังชั้น 4 ทั้งหมด ก็ไม่มีใครที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีแล้วจะบรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้!


 


อายุไม่ถึง 50 ปี ทว่าบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!


 


ตัวตนเช่นนี้กระทั่งในขุมพลังกึ่งชั้น 3 ยังหาได้ยากเย็นนัก!


 


ในขณะที่ทุกคนคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงกล่าวยอมแพ้ออกมาและลงเวทีประลองไปทันที ต้วนหลิงเทียนพลันเงยหน้ากล่าวกับฉีจิ้งอย่างเฉยเมย “ฟังจากที่เจ้าพูด ดูเหมือนว่าเจ้าคิดว่าข้าจะยอมแพ้งั้นสินะ?”


 


“เหอะ! หรือไม่จริง? ไม่ใช่ว่าตอนนี้ในหัวเจ้าเต็มไปด้วยความคิดอยากยอมแพ้งั้นเหรอ?”


 


หลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ฉีจิ้งอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะแค่นคำออกไปอย่างดูถูก


 


“แล้วทำไมข้าต้องยอมแพ้ด้วย? ถ้าเจ้าจะสู้ก็เข้ามา อย่าลีลาให้มาก..”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปเสียงเรียบๆ ในน้ำเสียงยังคล้ายรำคาญอยู่บ้าง…


 


ถ้าเจ้าจะสู้ก็เข้ามา อย่าลีลาให้มาก!


 


ทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนล่วงล้ำพ้นผ่านลำคอออกมา กระดานหมากหลิงหลงทั้งหมดก็เงียบงันปานคนตาย คงเหลือแต่เพียงสูดลมหายใจเข้าดังฟืดฟาดของผู้คน!


 


จังหวะนี้ทุกสายตาจับจ้องมองเขม็งไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ!


 


“เอ่อ…ลี่เฟิงผู้นี้ กล้ายอมรับคำท้าของฉีจิ้งจริงๆหรือ?”


 


“สวรรค์ช่วย! หรือนี่มิหวาดกลัวความตายเลย?”


 


“ด้วยพลังฝึกปรือของฉีจิ้ง นอกเสียแต่จะเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน เช่นนั้นก็เป็นไปมิได้เลยที่จะเป็นคู่มือให้ฉีจิ้ง…ในเมื่อหาญกล้ารับคำท้าทายของฉีจิ้งแบบนี้ นั่นหมายความว่ามันเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน!!”


 


“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร! เจ้าต้องอย่าลืมเสียเล่าว่ามันยังอายุมิถึง 40 ปี!!”


 


“ยอดฝีมือที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดทั้งที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปี ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรายากจะมีตัวตนเช่นนี้ดำรงอยู่ น่ากลัวว่าต่อให้เป็นภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็สมควรเป็นสุดยอดอัจฉริยะในบรรดาคนรุ่นเยาว์!”


 


……


 


ทุกผู้คนเริ่มระเบิดคำสนทนา ถกประเด็นเรื่องความคิดอ่านของต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่


 


“สหายน้อยลี่เฟิงเจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นวู่วามไป! ถึงแม้ฉีจิ้งจะพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ด่านพลังยังไม่มั่นคง แต่อย่างไรเสียด่านพลังของมันก็ถือว่าบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว! นั่นมิใช่อันใดที่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญจะต้านทานได้เลย!!”


 


ตอนนี้เองในหูต้วนหลิงเทียนพลันมีเสียงกล่าวเตือนอย่างจริงจังของเริ่นจงส่งมา


 


หลิวหงกวงเองก็กล่าวเตือนเขาทำนองเดียวกันมาด้วยอีกคน


 


ไม่ว่าจะเป็นเริ่นจงหรือหลิวหงกวง ย่อมไม่มีใครอยากให้ลี่เฟิงรับคำท้าทายของฉีจิ้ง เพราะเมื่อรับคำท้าแล้ว…นั่นหมายความว่าฉีจิ้งก็มีโอกาสในการสังหารลี่เฟิง!


 


ลี่เฟิง สุดยอดอัจฉริยะ! ที่เกิดมาพวกมันไม่เคยพบพานที่ไหนมาก่อน พวกมันย่อมไม่อยากให้ลี่เฟิงต้องมีอันเป็นไปเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้!!


 


น่าเสียดายที่แม้จะเผชิญหน้ากับวาจากล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วงหวังดี ต้วนหลิงเทียนเพียงหันไปมองหน้าสบตาพวกมันด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะส่งเสียงตอบกลับ “ข้าขอขอบคุณสำหรับความหวังดีและความห่วงใยของท่านทั้งสอง แต่ข้าคิดว่ามันไม่มีปัญญาฆ่าข้าได้!”


 


พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด?


 


ด่านพลังยังไม่มั่นคง?


 


ได้ยินวาจานี้ของเริ่นจง อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนพลันพุ่งพล่านขึ้นมาทันใด


 


พอลองชั่งน้ำหนักวาจาของอีกฝ่ายดูแล้ว ก็พบว่าน่าเชื่อถือมาก!


 


ท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายก็คือชนชั้นรองผู้นำของคฤหาสน์ข้ามฟ้าอันเป็นขุมพลังชั้น 4!


 


ก่อนหน้านี้เรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่บ้างก็คือ ฉีจิ้งอาจบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมาสักพัก และขัดเกลาด่านพลังฝึกปรือจนมีเสถียรภาพมั่นคง สามารถคงใช้พลังออกได้เต็มที่ตามใจคิด…


 


ทว่าพอได้รับทราบว่าด่านพลังฝึกปรือของฉีจิงยังไม่มั่นคง ใจเขาก็โล่งขึ้นมาทันใด


 


แน่นอนว่าเพียง ‘ผ่อนคลาย’ ลงเล็กน้อย


 


ถึงแม้ด่านพลังของฉีจิ้งจะยังไม่มั่นคง แต่อย่างไรปราณแรกกำเนิดของมันก็เป็นของขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญจะเทียบได้เลย


 


นอกจากนี้ เริ่นจงยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ก็แค่ เซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น! เกรงว่าหากให้มันล่วงรู้ด่านพลังฝึกปรือที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน มันคงได้ตื่นตระหนกจนหัวใจวายตาย!!


 


อาศัยพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง…สามารถฆ่าฉีค่านที่มีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ง่ายดาย! เรื่องเหลวไหลดั่งนิทานอภินิหารเช่นนี้ ใต้หล้าไม่เคยมีมาก่อน!!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกระทำไปแล้ว!


 


“ดี! ดี! ดีมาก!!”


 


ตอนนี้เองฉีจิ้งที่ถึงกับอึ้งไปเพราะวาจาตอบกลับของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดก็คืนสติกลับมาอีกครั้ง ลูกตามันเผยประกายสว่างจ้าขณะมองไปยังต้วนหลิงเทียน


 


“ลี่เฟิงข้าต้องบอกก่อนเลยว่าเจ้านับว่าเป็นคนที่กล้าหาญยิ่งนัก! น่าเสียดายที่โลกแห่งการต่อสู้ อาศัยเพียงความกล้าหาญถ่ายเดียวมิอาจทำให้เจ้าอยู่รอดในโลกหล้าแห่งนี้ได้! ข้าจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามันโง่เขลาเพียงใดที่กล้ายอมรับคำท้าของข้า!!”


 


“ไม่สิ! เจ้าอาจกระทั่งตกตายลงทันทีเพราะการลงมือของข้า จึงอาจมิทันได้รู้ว่าตัวเองตกตายกลายเป็นผีโง่งมได้อย่างไร!”


 


วาจาประโยคท้ายของฉีจิ้ง คล้ายมั่นใจแน่แล้วว่ามันสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายได้แน่ๆ!


 


“หึ!”


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะอารมณ์ดีไม่น้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรำคาญวาจาเวิ่นเว้อดูแคลนไม่เลิกราของฉีจิ้งอยู่บ้าง


 


“อะไร เจ้าโกรธรึ?”


 


ฉีจิ้งฉีกยิ้มออกมาอย่างเริงร่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบๆโกรธเสียให้มากในขณะที่เจ้ายังสามารถโกรธได้…เพราะเจ้าอาจมิมีโอกาสอีกแล้ว”


 


“เหอะ!”


 


ต้วนหลิงเทียนแค่นคำออกมาด้วยความรำคาญระคนเบื่อหน่าย คร้านจะฟังวาจาไร้แก่นสารของฉีจิ้งเต็มทีแล้ว


 


“ข้าต่อให้เจ้าลงมือก่อนแล้วกัน เช่นนั้นเจ้าจะได้ไม่มาโทษข้าภายหลังว่ามิให้โอกาสเจ้า!!”


 


ฉีจิ้งกล่าวเย้ยหยันออกมาอีกรอบ


 


ได้ยินวาจากวนประสาทครั้งแล้วครั้งเล่าของฉีจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว อรหันต์ยังมีวันพิโรธ นับประสาอะไรกับคนในโลกิยะอย่างเขา!!


 


อย่างไรก็ตามผู้คนโดยรอบที่ฟังอยู่ ไม่ได้รู้สึกว่าวาจาของฉีจิ้งมันน่ารำคาญอะไร เพราะฉีจิ้งมีทุนรอนมากพอที่จะกล่าวออก


 


“ลี่เฟิงผู้นี้ไปถูกอันใดกระแทกศีรษะมาจนสติเลอะเลือนแล้วหรือไร…ถึงได้กล้ารับคำท้าของฉีจิ้งแบบนี้?”


 


“นั่นสิ! หรือนี่จักมิรู้ตัวแล้วจริงๆว่ากำลังรนหาที่ตายอยู่?”


 


“ฮึ่ม! สุดท้ายก็เด็กน้อยโอหังที่ละเล่นกับชีวิตอย่างมิรู้ประสา!”


 


……


 


มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มองต้วนหลิงเทียนในแง่ดีสำหรับเรื่องนี้


 


นอกจากผู้ฝึกตนพเนจรไม่กี่คนที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยความเป็นห่วงแล้ว ทั้งหมดเผยท่าทางสนุกสนานราวกำลังรอชมละครลิง


 


คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากขุมพลังมีชื่อ และไม่ค่อยชมชอบผู้ฝึกตนพเนจรสักเท่าไหร่


 


โดยเฉพาะผู้ฝึกตนพเนจรที่โดดเด่นอย่างต้วนหลิงเทียน ที่ทำให้พวกมันรู้สึกอิจฉานัก ที่สำคัญการที่บรรลุพลังฝีมือสูงส่งขนาดด้วยวัยที่ไม่ถึง 40 ปี ยิ่งทำให้พวกมันอิจฉาตาร้อนแทบตาย!


 


เหนือขึ้นไปบนเวทีประลองเม็ดหมากอันใหญ่โต ร่างต้วนหลิงเทียนค่อยๆเหินลอยไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พอเข้าใกล้เพดานบินเดียวกันกับฉีจิ้ง จึงค่อยๆชะลอร่างจนหยุดลง


 


มองไปยังฉีจิ้งเบื้องหน้า แววตาของต้วนหลิงเทียนเผยความแน่วแน่ตั้งใจประการหนึ่งออกมาให้เห็นชัดเจน!


 


‘เฉวี่ยไน่ พี่ใหญ่หลิงเทียนกำลังจะจัดการปัญหาให้เจ้าแล้ว…จากนี้ไปเจ้าจะเป็นอิสระเสรีไร้ใดให้กังวลและสามารถซุกซนได้เหมือนกาลก่อน’


 


พอคิดถึงหานเฉวี่ยไน่ที่เคยซุกซนชมชอบเที่ยวเล่นไปทั่วทำอะไรตามใจแลดูสดใสร่าเริงในวันวาน กับหานเฉวี่ยไน่ที่แลดูซึมๆดั่งคนอมทุกข์ในวันนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกปวดใจนัก!


 


ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้ฉีจิ้งต้องตาย!!


 


ถึงอาจจะเป็นเรื่องยากอยู่บ้างก็ตาม


 


‘ยังมีจิ้งชวีจื่ออีกคน…ถึงระหว่างพวกเราจะเป็นแค่คนแปลกหน้า แต่เพราะกระบี่คู่หยินหยาง ทวิภาวะของเจ้า มีส่วนทำให้ยอดใจกระบี่ของข้าบรรลุขอบเขตที่ 2 อย่างเงากระบี่สัมพันธ์ใจได้ทางอ้อม ก็นับว่าข้าติดค้างเจ้าเรื่องหนึ่ง ในเมื่อฉีจิ้งมันฆ่าเจ้า งั้นข้าจะฆ่ามันเอง…เจ้าในปรภพจะได้พักผ่อนอย่างสงบ…’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวรำพันในใจ


ตอนที่ 1,696 : สู้!


 


ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ร่างต้วนหลิงเทียนหยุดลอยเผชิญหน้ากับฉีจิ้ง


 


ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายในกระดานหมากหลิงหลง หากแต่เงียบสงบนัก ทุกคนมองต้วนหลิงเทียนกับฉีจิ้งอย่างใจจดจ่อ ไม่มีใครกล่าวใดแม้ครึ่งคำ


 


ถึงแม้ว่าผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้พวกมันจะรู้ดีแก่ใจแล้ว…


 


แต่ลึกๆในใจพวกมันยังหวังว่าจะเกิด ปาฏิหาริย์ ขึ้นมา! ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นอะไรที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตามที แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่ว่าใครก็อยากจะเห็นปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น!!


 


เพราะมีเรื่องราวดั่งปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้พวกมันรู้สึกมีรสชาติ!


 


หากเรื่องราวเป็นไปดั่งที่พวกมันคิด ฉีจิ้ง ฆ่าลี่เฟิงง่ายๆ …แล้วยังจะไปสนุกสนานบันเทิงอะไร?


 


“เฮ่อ…”


 


เริ่นจงกับหลิวหงกวงหันหน้ามองสบตากัน ก่อนที่จะถอนหายใจทั้งส่ายหน้า


 


พวกมันรู้สึกจนปัญญากับความดื้อรั้นของลี่เฟิง


 


อย่างไรก็ตามพวกมันยังจะไปทำอะไรได้อีก? พวกมันไม่อาจขัดเจตนาและแทรกแซงหนทางที่ลี่เฟิงเลือกได้


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนในคราบ ลี่เฟิง กำลังมองจ้องฉีจิ้งด้วยสายตาเย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายให้เขาลงมือก่อน เขาก็ไม่คิดจะเกรงใจ!


 


วู้ม!


 


ทันใดนั้นปราณสุริยันแรกกำเนิดพลันปะทุออกทั่วร่างต้วนหลิงเทียน พาลให้คนคล้ายกลับกลายเป็นดวงตะวันเจิดจ้า แสงสว่างสาดส่องออกไปทั้งสี่ทิศแปดทาง


 


“มิทราบปราณแรกกำเนิดของลี่เฟิงฝึกปรือมาเช่นไรกันแน่ ไฉนคุณสมบัติพลังถึงได้พิสดารพันลึกนัก?”


 


“นั่นสิ เกิดมาข้าพึ่งเคยเห็นปราณแรกกำเนิดแปลกประหลาดเช่นนี้”


 


……


 


ทันทีที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียนปะทุออก ผู้คนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงด้วยความประหลาดใจ


 


ไม่นานภายใต้สายตาของพวกมัน ร่างต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะถูกแสงสว่างกลืนกินไปจนไม่เห็นคน เป็นม่านแสงสีทองสว่างทรงกลมที่ไม่ต่างอะไรจากดวงอาทิตย์ผุดโผล่ขึ้นในทันทีทันใด แถมบอลแสงที่ว่ายังมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่โตถึง 200 หมี่!


 


เรียกว่าร่างต้วนหลิงเทียนทั้งหมดถูกบอลแสงมหึมานั่นห่อหุ้มไว้เสียมิด!


 


“เขตแดนนี่มันคืออันใดกันแน่ มิอนุญาติให้ผู้ใดแลเห็นข้างในได้เลย…”


 


เห็นฉากเบื้องหน้า หลายคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


สำหรับเขตแดนของต้วนหลิงเทียน ยกเว้นฉีจิ้งกับชายหนุ่มหลังค่อมผู้ติดตาม ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในที่นี้ต่างเคยเห็นกันมาแล้ว…จึงไม่ได้ตกใจอะไร ทว่าอย่างไรก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้!


 


เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันพบพานเขตแดนพิสดารเช่นนี้


 


“มิว่ามันจะเป็นอะไรกันแน่ แต่ข้าเชื่อว่าเขตแดนของลี่เฟิง สมควรเกี่ยวข้องกับกระบี่!”


 


ไม่นานก็มีคนออกความเห็น


 


“เรื่องนั้นมิใช่ชัดเจนอยู่แล้วหรือ ตอนที่ลี่เฟิงสู้กับฉีค่าน ข้าเองก็เห็นว่าคล้ายเขาควบรวมบีบอัดเขตแดนให้กลายเป็นกระบี่สีทองเล่มหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้มันสังหารฉีค่านได้”


 


อีกคนกล่าวเสริม


 


ในขณะที่ทุกผู้คนกำลังมองไปยังเขตแดนแปลกประหลาดของต้วนหลิงเทียนที่สว่างปานดวงตะวันขนาดย่อม ฉีจิ้งเองที่พึ่งพบเห็นครั้งแรกก็ตื่นตกใจไม่น้อย


 


มิทราบว่าเขตแดนอะไรกันแน่ หากแต่สว่างราวกับมันแหงนมองอาทิตย์กลางฟ้า ยากที่จะแลเห็นเรื่องราวความเป็นไปภายในเขตแดน พาลให้มันบังเกิดอาการสับสนหวั่นหวาดอยู่บ้าง


 


สิ่งที่ไม่รู้ เป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด!


 


ดังนั้นแม้ฉีจิ้งจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขตแดนประหลาดของต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่คิดจะดูแคลนหยันหยาม เพียงชักสีหน้าจริงจัง เพิ่มความระวังไม่น้อย


 


ชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามฉีจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อเห็นเขตแดนประหลาดของต้วนหลิงเทียน


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มันเคยเห็นอะไรแปลกๆแบบนี้


 


อย่างไรก็ตามพอมันคิดถึงพลังฝีมือของนายน้อยในปัจจุบัน มันก็ชักสีหน้าโล่งใจออกมา มุมปากยังยกยิ้มแสยะลอบกล่าวปรามาส ‘ให้เขตแดนเจ้าพิสดารเพียงใดก็ไร้ประโยชน์!’


 


ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


เสียงแตกระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้นในอากาศ ต้วนหลิงเทียนที่ถูกบอลแสงมหึมาปกคลุมในที่สุดก็ลงมือเคลื่อนไหว! และทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเขตแดนหมื่นกระบี่เองก็ต้องเคลื่อนที่ตามตัวเขาด้วย!!


 


และเมื่อพลังอำนาจเขตแดนเคลื่อนที่ แน่นอนว่าย่อมต้องพบพานกับแรงต้านอากาศ


 


กระทั่งด้วยความเร็วมหาศาลยังทำให้อากาศแตกระเบิดส่งเสียงดัง!!


 


ทันใดนั้นเอง ในขณะที่ฉีจิ้งเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาเตรียมรับมือเขตแดนพิสดารของต้วนหลิงเทียน มันก็พบว่าเขตแดนทรงกลมสว่างเจิดจ้ายากจะมองเห็นสิ่งใดของต้วนหลิงเทียน อยู่ดีๆก็วูบหดเข้าสู่จุดศูนย์กลาง!!


 


ทันใดนั้นเองร่างต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏให้ผู้คนแลเห็นอีกครั้ง


 


ในระหว่างเกิดกระบวนการดังกล่าว นอกจากเริ่นจง หลิวหงกวง และฉีเสิ่นแล้ว ไม่มีใครแลเห็นอะไรเลย


 


เริ่นจงและคนอื่นๆทั้ง 3 ย่อมมองสังเกตเห็นได้ชัดเจน ว่าในขณะที่เขตแดนคล้ายจะหดเล็กลง กระบี่พลังนับหมื่นเล่มในเขตแดนพิสดารของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สุดท้ายจึงกลายเป็นกระบี่พลังมีสภาพ 3 ฉื่อที่เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า! ทั้งต้วนหลิงเทียยังถือกระบี่ดังกล่าวพุ่งแทงออกไป!!


 


แม้กระบี่พลังมีสภาพสีทองดังกล่าวจะไม่ใช่กระบี่ที่แท้จริง หากแต่ปราณกระบี่ที่แผ่พุ่งออกมาจากตัวกระบี่กลับเป็นอะไรที่ร้ายกาจนัก


 


ในสายตาของผู้คน ยามต้วนหลิงเทียนถือกระบี่ 3 ฉื่อนั่นไว้ในมือ ยังให้ความรู้สึกสะท้านในใจพวกมันอย่างบอกไม่ถูก และพวกมันก็ไม่มีคำไหนจะมาอธิบายความรู้สึกนี้ได้นอกจาก…


 


“มือกระบี่!”


 


ทั้งหมดคิดอ่านตรงกัน และยังตกตะลึงไม่น้อย


 


ตอนนี้ทุกคนแทบจะคิดเห็นตรงกัน ว่าต้วนหลิงเทียนคือผู้บ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่! แถมเป็นมือกระบี่อันร้ายกาจคนหนึ่ง!!!


 


“กระบี่ในมือเขาเล่มนั้น คล้ายจะควบรวมมาจากเขตแดนประหลาดนั่น…ปราณกระบี่ที่เปล่งออกมาช่างคมกล้าน่ากลัวยิ่ง! ข้ารู้สึกว่ามันทรงพลังเสียยิ่งกว่ากระบี่คู่หยินหยางทวิภาวะของจิ้งชวีจื่อเสียอีก!!”


 


ไม่นานผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกปรือดีเข้าหน่อยก็กล่าวออกมา หลังจากตระหนักได้ถึงพลังมหาศาลในกระบี่สีทอง


 


“ใช่! ยังมีช่องว่างอันใหญ่หลวงระหว่างกระบี่คู่หยินหยางของจิ้งชวีจื่อกับกระบี่สีทองน่ากลัวเล่มนี้…”


 


หลายคนเริ่มเห็นด้วย


 


เหตุผลที่พวกมันรู้สึกแบบนี้ เพราะกระบี่ที่เขาควบรวมสร้างจากเขตแดนนั้น มันอัดแน่นไว้ด้วยพลังของ เงากระบี่สัมพันธ์ใจ ขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่!


 


และหากผู้ใดสังเกตให้ละเอียดจะพบว่ารอบๆกระบี่สีทอง กลับมีพลังไร้สภาพโปร่งแสงอันน่ากลัวไหลเวียนฉาบไปทั่วกระบี่สีทองในมือต้วนหลิงเทียน!


 


พลังไร้สภาพโปร่งแสงนี้เป็นเงาพลังที่บังเกิดขึ้น หลังจากต้วนหลิงเทียนใช้พลังตามเคล็ดยอดใจกระบี่ ในขอบเขตที่ 2 เงากระบี่สัมพันธ์ใจ!


 


“ฮึ่ม! เป็นผู้บ่มเพาะกระบี่แล้วจักอย่างไร? สุดท้ายก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะรับข้าได้สักท่า!!”


 


ฉีจิ้งที่เร่งพลังเปิดใช้เขตแดนแล้วพลันแค่นเสียงสบถเย้ยเยาะ กล่าวข่มต้วนหลิงเทียนอย่างดูถูก


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะสนใจอะไรมัน


 


เขาไม่พูดเยอะ เพียงใช้กระบี่กับการกระทำเป็นคำตอบ ตัวกระบี่พลันเปล่งแสงพลังออกมาปานตะวันจ้า จี้ออกเบื้องหน้าไม่ไหวติง ร่างที่พุ่งทะยานออกไปยังเร่งความเร็งขึ้นอีกขั้น!!


 


ซู่มม!!


 


ยามมองต้วนหลิงเทียนสือกกระบี่แทงออก ทั้งทะยานพุ่งไปฉัยไว มันให้ความรู้สึกพิกลแก่ผู้คนประการหนึ่ง ที่พวกมันกำลังมองไม่คล้ายคนถือกระบี่พุ่งแทงออกไปแต่อย่างไร…หากแต่เป็นกระบี่เล่มเขื่องเล่มหนึ่งที่กำลังพุ่งทะยานไปทางฉีจิ้ง!!


 


ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว! ฟู่ว!


 


……


 


เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่พุ่งทะยานเข้ามาด้วยสภาวะน่าครั่นคร้าม ฉีจิ้งไม่กล้าดูแคลนอีกต่อไป สะบัดมือคราหนึ่งพลังปั่นป่วนในเขตแดนมหาพายุพลันควบรวมก่อเกิดพายุพลังลูกเขื่องเบื้องหน้าลูกหนึ่ง!!


 


ในพายุพลังดังกล่าวยังผสานไปด้วยปราณมารอันร้ายกาจ! ถึงแม้พายุพลังลูกนี้จะไม่ทรงพลังอำนาจเท่าพายุพลังตอนที่ใช้ฆ่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ แต่ก็อ่อนด้อยกว่ากันไม่มาก!!


 


ในสายตาของทุกผู้คน ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคล้ายกำลังพุ่งทะยานเข้าหาพายุพลังอันน่ากลัวนั่นก็ไม่ปาน! และเพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา คนกระบี่ก็จมหายไปในพายุพลังอันน่ากลัวดังกล่าว!!


 


อา! โอ! ซูด!!


 


……


 


ทันใดนั้นทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาจนปากอ้าค้าง บ้างก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ!


 


อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาพวกมันก็จำต้องตกตะลึงอีกครั้ง เพราะไม่ปรากฏละอองโลหิตออกมาแต่อย่างไร “อันใดกัน! ทั้งๆที่พุ่งเข้าไปในพายุพลังแล้ว..แต่ลี่เฟิงยังมิตายอีกหรือ!?”


 


“ไม่ธรรมดาจริงๆ! ข้าคิดว่าลี่เฟิงผู้นี้สมควรเป็นสุดยอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!”


 


“นั่นสิ น่าเสียดายนัก เขามิน่ารับคำท้าประลองของฉีจิ้งเลย! ทำพลาดใหญ่หลวงแล้วจริงๆ…ตัดสินใจผิดเพียงครั้งถึงขั้นตายตก!!”


 


 


“ลี่เฟิงนับว่าวู่วามบุ่มบ่ามเกินไป! หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์และศักยภาพเช่นนี้ อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 เลย กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 น่ากลัวจะสู้กันขาดใจเพื่อแย่งชิงตัวเขากลับไปเข้าร่วมขุมพลัง”


 


……


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจออกมา ที่ต้วนหลิงเทียนวู่วามผลีผลามรับคำท้าของฉีจิ้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)