War sovereign Soaring The Heavens 1676-1680
ตอนที่ 1,677 : พลังฝีมือฉีค่าน!
เป็นอีก 1 ค่ำคืนที่ผันผ่านไปอย่างเงียบงัน
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนอาทิตย์อัสดงสาดแสงขับไล่ม่านแห่งความมืด ผู้คนในหุบเขาหลิงหลงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
ทั้งหมดรู้กันดี ว่าการคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องกำลังจะถูกตัดสินในวันนี้!
วันนี้ 10 คนที่ติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องมีใครบ้างจะได้รู้กัน!
“วันนี้ ย่อมเป็นวันตัดสินแล้วว่า 10 คนไหนจะอยู่ในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องบ้าง…หากฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยังไม่มาอีก มันก็เลิกฝันเรื่องจะมีชื่ออยู่ในรายนามไปได้เลย!”
ยังมีคนไม่น้อยที่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ลืมฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
อาจเป็นเพราะแม้ฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะไม่ใช่ผู้ที่มีพลังฝีมือมากที่สุด แต่ก็มีฐานะสูงส่งเหนือกว่าใคร! บิดาของมันคือผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!!
“หากมันมิอยากเสียสิทธิ์ชิงตำแหน่งผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันต้องมาแน่!”
บางคนกล่าวขึ้น
“มาไม่มาเดี๋ยววันนี้พวกเราก็รู้เอง”
บางคนไม่คิดสนใจ เพียงแค่รอดู
“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง…เจ้าต้องโผล่หัวมานะ ไม่งั้นครั้งนี้ข้าคงมาเสียเที่ยวแล้วจริงๆ”
ที่ซอกหลืบในหุบเขาหลิงหลง ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่นิลสวรรค์กล่าวพึมพำเบาๆกับตัว ยากที่ใครจะได้ยิน
ไม่นานเริ่นจงกับหลิวหงกวงก็ลงมืออย่างเคย เหินขึ้นฟ้าเปิดใช้ค่ายกลหลิงหลง ฉากทิวทัศของหุบเขาหลิงหลงมลายหาย กลายเป็นกระดานหมากหลิงหลงใหญ่โตสุดไพศาลปรากฏ เวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ก็ลอยขึ้นไปหยุดค้างกลางหาว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
เสียงพุ่งร่างแหวกฝ่าสายลมดังขึ้นระงม ทุกผู้คนที่มีพลังฝีมือในระดับหนึ่งล้วนโดดขึ้นไปยืนบนขอบเวทีประลองเม็ดหมากเพื่อชมดูการประลองใกล้ๆ
ขณะเดียวกัน จ้าวเวทีทั้ง 10 ที่อยู่จนจบวันเมื่อวาน ก็เหินร่างไปหยุดยืนตระหง่านกลางเวที เฝ้ารอผู้คนที่จะมาท้าทาย
สำหรับพวกมันทุกคน…วันนี้นับเป็นวันสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย! พวกมันจะมีชื่ออยู่ในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องหรือไม่ ก็ต้องดูว่าพวกมันจะยืนอยู่บนเวทีประลองได้จนจบวันหรือเปล่า!!
ในบรรดา 10 คน มี 3 คนที่สงบนิ่งไม่คล้ายตื่นเต้นอะไร
3 คนดังกล่าวได้แก่ หลวงจีนเนื้อสุรา อวี้ชวีจื่อ และหยินชวีจื่อ..2 คนแรกพลังฝีมือบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง และประหนึ่งพวกมันจะถูกกำหนดให้มีชื่อในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องแล้วก็ไม่ปาน ส่วนหยินชวีจื่อแม้จะเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้น ทว่าด้วยพลังฝีมือของมัน เกรงว่าคงมีโอกาสสูงที่จะติดโผในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!
ส่วนใน 7 คนที่เหลือ ผู้ที่เผยสีหน้าเคร่งเครียดและเป็นกังวลมากที่สุด ก็คือคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้ง 2 อันมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น…
เพราะในบรรดาจ้าวเวทีทั้ง 10 น่ากลัวพลังฝีมือของพวกมันทั้งคู่ จะถือว่าอ่อนด้อยที่สุดแล้ว
หากมีใครขึ้นมาท้าทายพวกมันละก็ ท่าทางจะรอดยาก!
“หากไม่มีเหตุผิดพลาดอะไร วันนี้รายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องทั้ง 10 คงปรากฏชัด…ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นการจัดอันดับที่แท้จริงของการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!”
เสียงชราหากแต่หนักแน่นหนึ่งดังขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
“กฏการประลองพวกเจ้าคงรู้กันดีแล้ว ข้าคงไม่ต้องกล่าวซ้ำให้เสียเวลา…เริ่มประลองกันเลยเถอะ!”
เริ่นจงกล่าวออกเบาๆ
และทันทีที่เริ่นจงกล่าวจบคำ ร่างหนึ่งก็เหินพุ่งฉับไว ไปยังใจกลางเวทีประลองเม็ดหมากหนึ่งดั่งฟ้าผ่า!
และคนผู้นี้กลับพุ่งออกมาจากกลุ่มคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันมาในชุดสีดำสนิท ใบหน้าเย็นชาไร้แยแส กลิ่นอายรอบกายคล้ายไม่เป็นมิตรกับผู้คน ไม่ใช่ใครที่ไหน…หลานชายของ ฉีเสิ่น ผู้อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ฉีค่าน!
“ฉีค่าน!!”
เมื่อฉีค่านขึ้นมาปรากฏตัวบนเวทีในฐานะผู้ท้าประลองคนแรก มันย่อมดึงดูดความสนใจของทุกผู้คนทันที!
ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ถ้าถามว่าจะมีผู้ใดเทียบชั้นฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ได้ เห็นทีจะมีแต่ฉีค่านผู้นี้คนเดียว!
ยิ่งไปกว่านั้น ฉีค่านเองก็ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมานานแล้ว พลังฝีมือที่แท้จริงของมันยังเป็นอะไรที่ลึกลับนักสำหรับใครหลายคน!
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่แน่ชัดก็คือ…หลายปีที่แล้วถึงฉีค่านจะอ่อนกว่าฉีจิ้ง 5 ปีแต่พลังฝีมือก็ตามอยู่ไม่ห่าง แม้ตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นเท่าเทียมฉีจิ้งได้ แต่ก็ไม่เหลื่อมล้ำกันมากแน่นอน!
นอกจากนี้ยังมีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง 2 คนที่ออกมาลงประลอง จนกลายเป็นจ้าวเวที นี่ก็ประหนึ่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องโยนหินถามทาง
เช่นนั้นพลังฝีมือของมันย่อมเหนือกว่า 2 คนนั่นแน่นอน
ฉีค่านปรากฏตัวออกมา แน่นอนว่าไม่คิดท้าทายคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยกัน หันไปเลือกผู้ฝึกตนพเนจรแทน
แม้พลังฝีมือของผู้ฝึกตนพเนจรที่เลือก จะไม่มีอะไรที่ด้อยไปกว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้ง 2 เลย กระทั่งยังแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด…
อนิจจาเมื่อมันต้องเผชิญหน้ากับฉีค่าน มันกลับถูกสังหารลงง่ายดาย! แถมฉีค่านลำบากแค่ใช้ฝ่ามือเดียวเท่านั้น!!
เพียงฉีค่านยกมือขึ้นควบรวมปราณแรกกำเนิดตบฟาดออกไป อีกฝ่ายก็ไร้พลังต้านทานตกตายไปอย่างรวบรัดหมดจด!
สมแล้วที่เป็นฉีค่าน!
“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง!”
เมื่อเห็นพลังฝีมือของฉีค่าน เริ่นจงและหลิวหงกวงเผยความแปลกใจออกมาไม่น้อย เพราะมันสัมผัสได้ว่าไอพลังที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างของฉีค่านนั้นแตกต่างจากหลวงจีนเนื้อสุราและอวี้ชวีจื่อไม่น้อย!
หลวงจีนเนื้อสุรานั้น แม้จะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลาง หากแต่ไอพลังยังไม่มีเสถียรภาพ เห็นได้ชัดว่ารากฐานของด่านพลังยังไม่มั่นคง!
ด้านอวี้ชวีจื่อแม้จะดีกว่า แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร
ทว่าด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นกลางของฉีค่าน กลับมั่นคงแน่นหนาไม่คล้ายคนที่พึ่งทะลวงผ่านมาแต่อย่างใด! ยังเหมือนคนที่ทะลวงผ่านมานาน หาไม่แล้วคงไม่สามารถใช้พลังปราณแรกกำเนิดได้คล่องแคล่ว สังหารคนแค่เพียงสะบัดมือ!
“อาวุโสฉีเสิ่น ข้าได้ยินคำร่ำลือถึงพรสวรรค์และศักยภาพของหลานท่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่มิคิดเลยว่ามันจะสูงส่งเหนือคาดคิดเช่นนี้ ข้าเชื่อว่ากระทั่งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็มิอาจเทียบหลานท่านได้ใช่หรือไม่…นับว่าหลานท่านปกปิดพลังฝีมือได้อย่างแยบยลนัก!”
เริ่นจงมองไปทางฉีเสิ่นค่อยกล่าวออกมาอย่างทอดถอน แววตาเผยความซับซ้อนไม่น้อย
“นั่นสิ ในกาลก่อนข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของหลานชายท่านมาบ้าง แต่ที่ข้าได้ยินมา…เห็นว่าหลานท่านอ่อนด้อยกว่าฉีจิ้งเล็กน้อย…! พอมาเห็นกับตาวันนี้…ข้ารู้สึกว่านายน้อยคฤหาสน์ท่าน น่ากลัวศักยภาพพรสวรรค์จะเทียบกับหลานของท่านไม่ได้!”
หลิวหงกวงยังกล่าวเสริมขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าทั้งหลิวหงกวงและเริ่นจงกล่าวชมหลานตัวเองถึงเพียงใด ฉีเสิ่นตอนนี้แทบจะลอยได้โดยไม่ต้องใช้พลัง มันเชิดหน้าชูตาประหนึ่งเป็นจักรพรรดิครองหล้า!
ผู้คนไหนเลยไม่ชมชอบฟังวาจากลาวชมรื่นหู?
ยิ่งไปกว่านั้นที่เริ่นจงกับหลิวหงกวงกล่าวชื่นชมยกย่อง ก็คือหลานชายคนเดียวที่มันฝากความหวังเอาไว้ ไหนเลยยังไม่เชิดหน้าชูตายืดอกได้?
“ข้ามิอยากจะเชื่อเลย…ว่าฉีค่านจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้วแบบนี้…”
ขณะเดียวกันเหล่าผู้อาวุโสของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ชมดูเรื่องราวอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ต่างหันไปกระซิบกระซาบสนทนากันด้วยความประหลาดใจทันที
“ลองดูไอพลังปราณแรกกำเนิดของมันเถอะ…เห็นได้ชัดว่าเสถียรมั่นคงนัก เกรงว่าคงทะลวงด่านมานานแล้ว มิใช่พึ่งทะลวงแต่อย่างใด!”
อาวุโสที่สายตาแหลมคมย่อมสังเกตเห็นเรื่องนี้ชัดเจน
เหล่าศิษย์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เริ่มแตกตื่นกันไม่น้อย “เช่นนั้น นี่มิได้หมายความว่าฉีค่านอาจทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้รวดเร็วกว่านายน้อยคฤหาสน์เราหรอกหรือ!?”
ถึงแม้ศิษย์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะยังไม่แน่ใจว่านายน้อยของพวกมันอย่างฉีจิ้งทะลวงผ่านมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้วหรือยัง แต่พวกมันรู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่นายน้อยของพวกมันจะยังไม่ทะลวงผ่าน เพราะอีกฝ่ายได้รับทรัพยากรบ่มเพาะจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปมากมายมหาศาล!
“ถึงนายน้อยจะทะลวงผ่าน…แต่น่ากลัวว่าอาจไม่ใช่คู่มือฉีค่าน!”
“นั่นสิ! ข้าเองก็ได้ยินที่ท่านอาวุโสกล่าวเมื่อครู่…ฉีค่านสมควรทะลวงผ่านมาได้สักพักแล้ว!!”
……
ตอนที่ 1,678 : การตายของคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
จากวาจาของเหล่าศิษย์คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกมัน…ฉีค่านมีภาษีเหนือกว่าฉีจิ้ง!
เพราะไม่ว่าจะอะไรยังไง ตอนนี้พลังฝีมือของฉีค่านนับว่าสร้างความตะลึงลานให้พวกมันแล้วจริงๆ!
“คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสุดท้ายจักอย่างไรก็เป็นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…พลังฝีมือของฉีค่านผู้นี้น่ากลัวว่าจะก้าวข้ามฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปแล้ว ที่สำคัญอายุยังเยาว์เหลือเกิน…น่ากลัวว่าหากอายุเท่ากัน กระทั่งจิ้งชวีจื่อและหลวงจีนลายบุปผาก็มิอาจเทียบชั้นกับมันได้!”
ไม่นานก็มีบางคนกล่าวออกมาอย่างทอดถอน
“อย่างไรเสียคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เป็นขุมพลังชั้น 4 เป็นธรรมดาที่จะสามารถเพาะสร้างยอดฝีมืออัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาได้!”
หลายคนเริ่มกล่าวออก
การลงมือของฉีค่านนั้น ทุกคนเห็นชัดดีว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นครอบงำนัก เรียกว่าสามารถเชิดหน้าชูตา ชื่อเสียงคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ทันตาเห็น
ตอนนี้ผู้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง รวมถึงฉีเสิ่นล้วนปลาบปลื้มใจอย่างแรง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีเสิ่น ตอนนี้สองตาที่มองไปยังหลานชาย เผยความปลาบปลื้มเสียจนเปล่งประกายวิบวับปานดวงดาราแล้ว!
นี่คือหลานชายของมัน!
หลานชายแท้ๆหนึ่งเดียวของมัน!!
มันภาคภูมิใจในตัวอีกฝ่ายนัก!
ฉีค่านเพียงเปิดตัวออกมาประลองนัดเดียว ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นอันประเสริฐในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้จริงๆ!!
ส่วนด้านฉีค่าน หลังจากที่มันฆ่าจ้าวเวทีคนก่อนอันเป็นผู้ฝึกตนพเนจรขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปแล้ว มันก็ยืนหลับตากลางเวทีปานทำสมาธิ
เพิกเฉยทุกสายตาที่สาดส่องมาจากทั่วสารทิศ คล้ายไม่แยแสอะไร
ตอนนี้มันเป็น 1 ใน 10 จ้าวเวที แต่กลับเลือกที่จะหลับตาลง ประหนึ่งไม่สนใจว่าจะมีใครขึ้นมาท้าชิงหรือไม่
“ยากนักที่จะสงบเช่นนั้นได้!”
เริ่นจงกับหลิวหงกวงหันมามองหน้าสบตากันทันที ต่างเห็นถึงแววตามากอารมณ์ของกันและกัน
ชนชั้นอัจฉริยะ พวกมันเห็นมามาก
อย่างไรก็ตามอัจฉริยะที่พวกมันพบเจอมาไม่ 10 ก็มี 8 9 ส่วนล้วนมากอัตตา ถือดีในพลังฝีมือของตัว ไม่ค่อยเห็นหัวผู้อื่น
ทว่าฉีค่านกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ฉีค่านไม่ใช่คนหยิ่งยโสถือดีอันใด ยังสามารถเพิกเฉยต่อวาจาชื่นชมจากผู้คนโดยรอบได้อย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายกล่าวชมเชยว่ามันมีพลังฝีมือทั้งพรสวรรค์เหนือกว่านายน้อยคฤหาสน์อย่างฉีจิ้ง มันก็ยังแน่นิ่งไม่สะทกสะท้านปานท่อนไม้!
“ฉีค่านคนนี้นับว่าใจมันทุ่มเทให้วิถียุทธ์แล้วจริงๆ…”
ในสายตาของต้วนหลิงเทียนเผยความประหลาดใจออกมาให้เห็น เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตใจแน่วแน่ในหนทางแห่งยุทธ์ของอีกฝ่าย “หากให้เวลามันมากพอมันสามารถไต่เต้าไปถึงจุดสูงสุดได้แน่นอน คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยังไม่พอจะรั้งมันไว้…”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้จักมักคุ้นกับฉีค่านมาก่อน แต่ก็อดชื่นชมอีกฝ่ายเสียไม่ได้
เพราะหลังจากมองพินิจฉีค่าน เขาก็เห็นถึงจิตใจอันแน่วแน่และความมุ่งมั่นในการแสวงหาความแข็งแกร่ง ราวกับชีวิตมันเพียงมีให้เต๋าแห่งยุทธ์เท่านั้น ในแววตาและท่าทางของอีกฝ่ายสะท้อนเรื่องนี้ออกมาชัดเจน
“อาวุโสฉีเสิ่น นับว่าท่านมีหลานอันประเสริฐนัก!”
เริ่นจงมองกล่าวกับฉีเสิ่นด้วยความอิจฉา
“รองผู้นำคฤหาสน์เริ่น ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว…ข้าเองก็ได้ยินมาว่าหลานชายท่านก็มีพรสวรรค์สูงล้ำ กระทั่งเป็น 1 ในยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของคฤหาสน์ข้ามฟ้ามิใช้หรือ?”
ฉีเสิ่นยิ้มกล่าวออกมาอย่างถ่อมตัว
“ท่านก็ว่าไปนั่น..จะยอดฝีมือแล้วอย่างไร สุดท้ายก็เทียบหลานชายท่านมิได้อยู่ดี…”
เริ่นจงยิ้มรับ
ตอนนี้สายตาของผู้คนก็เริ่มถอนออกจากร่างฉีค่านแล้ว
จับจ้องมองไปยังผู้ที่คล้ายท่อนไม้อย่างฉีค่านนานๆ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องรู้สึกเบื่อ
“มิรู้ว่าต่อไปจักเป็นผู้ใดขึ้นมาแสดงฝีมือ”
สายตาของผู้คนเริ่มว่ายมองไปรอบๆ
แน่นอนว่าพวกมันมุ่งเน้นความสนใจไปยังคน 3 คนเป็นพิเศษ
3 คนที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ และจงกู้!
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน ทว่าผ่านไปกว่า 2 เค่อแล้วกลับไม่มีผู้ใดขึ้นไปประลองอีกเลย “ไฉนไม่มีใครออกไปลุยเลยเล่า?”
สุดท้ายเมื่อมีผู้ที่ทนไม่ไหวบ่นออกมา ก็มีคนลงมือ
เป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดามาในชุดเรียบง่าย ในมือถือไว้ด้ายดาบไร้ฝัก หากทว่าตัวดาบกลับถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าธรรมดาๆ แลดูซ่อมซ่อนัก
อย่างไรก็ตามแม้สารรูปทั้งอาวุธของมันจะแลดูซ่อมซ่ออนาถา แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนมัน กระทั่งยังให้ความสนใจกับมันอย่างมาก!
ทั้งเมื่อเลือกออกมาในเวลานี้ ก็ถูกกำหนดให้เป็นจุดสนใจแน่แล้ว
ชายหนุ่มแลดูธรรมดาค่อนไปทางซ่อมซ่อผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น จงกู้!
ในที่สุดจงกู้ก็คิดลงมือ!
“จงกู้เอาแล้ว! มิรู้มันจักเลือกท้าทายผู้ใด!!”
หลายคนจับตามองจงกู้อย่างวาดหวัง
“เป็นธรรมดาที่มันจะไม่เลือกผู้ฝึกตนพเนจร เพราะสุดท้ายมันก็เป็นผู้ฝึกตนเพนจรไร้สังกัดเช่นกัน เห็นว่าเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรล้วนยึดถือกันเป็นสหายทั้งสิ้น”
หลายคนกล่าวคาดเดา
“ข้าว่ามันสมควรท้า 1 ใน 2 ของคนจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนี่ล่ะ”
ปรากฏว่าผู้ที่คาดเดาออกมาทำนองนี้ กล่าวถูกต้อง
เพราะหลังจากที่ปรากฏตัวออกมา จงกู้ก็เลือกเหินร่างไปยังเวทีประลองเม็ดหมากที่มี 1 ใน 2 ของคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นจ้าวเวที และสีหน้าของจ้าวเวทีผู้นั้นก็เปลี่ยนเป็นสีซีดปานถูกคั้นโลหิตจนแห้งเหือดทันที
จงกู้เป็นผู้ใดเล่า!?
นั่นมันยอดฝีมือระดับเดียวกันกับนายน้อยของพวกมัน! ตัวตนที่มีพลังฝีมือเหนือชั้นครอบงำพวกมันอย่างสิ้นเชิง!!
มันลองไถ่ถามตัวเองดู ว่าหากให้ประมือกับนายน้อยที่มีด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นต้นเหมือนกัน แล้วมันจะเอาชนะได้หรือไม่…คำตอบเป็นอะไรที่ชัดเจนนัก มิแคล้วถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวจนเละ!
อนิจจาแม้มันรู้ดีว่าไม่อาจนับเป็นตัวอะไรในสายตาอีกฝ่าย มันก็ไม่คิดหนีแต่เลือกที่จะสู้!
เพราะมันไม่ได้ออกมาเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่ยังมีหน้าตาของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแบกไว้บนไหล่!
หากกระทั่งสู้ก็ไม่กล้า เร่งรีบหลบหนีหรือยอมแพ้ คงสร้างความอับอายขายหน้าให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น ใจมันรู้ดี ว่าด้วยฐานะคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จงกู้ต้องไม่กล้าฆ่ามันแน่!!
บางทีหากเป็นขุมพลังชั้น 5 อย่างวัดฟ่านเทียน ศาลเจ้าชุนหยางหรืออีกขุมพลังหนึ่ง จงกู้อาจมีความกล้าลงมือเข่นฆ่าสังหารได้ ทว่ากับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…อีกฝ่ายย่อมไม่กล้าแน่นอน! เพราะคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมีเป็นร้อยพันวิธีในการหาเรื่องฆ่าจงกู้หลังจบประลอง!!
ด้วยเหตุนี้มันจึงวางใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม มันไม่เคยคิด กระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน ว่าจงกู้ไม่คิดจะไว้ชีวิตมัน!!
ในฐานะผู้ฝึกตนพเนจร จงกู้ย่อมเข้าใจผู้ฝึกตนพเนจรด้วยกัน แม้จะไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนแต่ล้วนยึดถือกันดั่งสหายใจเดียว เพราะทั้งหมดมีชะตาคล้ายคลึงกัน!
เมื่อเห็นเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายตกตายคามือเหล่าศิษย์จากขุมพลังยักษ์ใหญ่และมหาอำนาจทั้งหลายคนแล้วคนเล่า ในใจมันก็ยิ่งสั่งสมไปด้วยความคับแค้น มันเองก็พยายามสะกดระงับเอาไว้แล้ว
แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจริงๆ โทสะของมันก็ยากระงับสืบไป ระเบิดบึ้มออกมาทันที!
วู้มมม!!
จงกู้ ไม่คิดจะรวมปราณแรกกำเนิดก่อเขตแดนอะไรด้วยซ้ำ มันยกมือขึ้นควบรวมพลัง จนมือกลับกลายคล้ายดาบคมเล่มหนึ่ง ก่อนที่จะสะบัดฟาดฟันไปทางจ้าวเวทีอันเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที!
พอมือดาบฟาดลง ปราณแรกกำเนิดมหาศาลพลันปะทุออกมาควบรวม! ก่อเกิดเป็นคลื่นดาบสะบั้นสายหนึ่ง คลื่นดาบสะบั้นดั่งเสี้ยวจันทร์พุ่งแหวกอากาศตัดระยะฉับไว! สุดที่จ้าวเวทีจะตั้งตัวได้ทัน!!
ตัดสินจากกลิ่นอายพลังจากปราณแรกกำเนิดที่ควบรวมเป็นคลื่นดาบสะบั้น ก็บอกได้ชัดเจน…ว่าพลังฝึกปรือของจงกู้อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!!
“หยุดมือ!!”
เมื่อพบว่าพลังฝึกปรือของจงกู้อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ทั้งลงมือด้วยคลื่นดาบแฝงจิตสังหาร สีหน้าท่าทางของฉีเสิ่นก็ถมึงทึงขึ้นมาทันใด เพราะมันทราบได้ทันทีว่าจงกู้คิดฆ่าคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้วจริงๆ! จึงอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนห้ามปรามออกมาอย่างไม่รู้ตัว ยังยกมือขึ้นหมายซัดพลังไปสลายพลังดาบของจงกู้!!
ทว่าก่อนที่มันจะได้ลงมืออะไร กลับถูกหลิวหงกวงจี้ออกด้วย 1 ดัชนี สลายพลังที่ควบรวมขึ้นมาหมดสิ้น!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทางด้านจ้าวเวทีอันเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็ไม่ทันใดตอบสนองอะไร ร่างของมันถูกคลื่นดาบสะบั้นของจงกุ่งผาน…ผ่าแยกเป็น 2 เสี่ยง! เรียกว่าตกตายอย่างที่ไม่ทันได้เร่งเร้าพลังเปิดใช้เขตแดนหรือสำแดงวรยุทธ์ใดๆทั้งสิ้น…
พิฆาตในเสี้ยวพริบตา!
ยังบดขยี้สังหาร ด้วยพลังที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น!!
จังหวะนี้ผู้คนโดยรอบถึงกับเงียบไปปานไร้ชีวิต
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยมีเสียงสูดลมหายใจเข้าหนักหน่วงจากกลุ่มคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
และตอนนี้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ว่าใคร ต่างก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก โดยเฉพาะฉีเสิ่น!
ถึงแม้การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้ จะกล่าวไว้แล้ว…ว่าไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย! แต่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่มีใครกังวลว่าพวกมันจะถึงแก่ชีวิตสักคน เพราะเบื้องหลังของพวกมันคือขุมพลังชั้น 4!
คนธรรมดาๆจะหาญกล้าแข็งข้อต่อต้านขุมพลังชั้น 4 หรือ?
อย่างไรก็ตามตอนนี้กลับมีคนกล้าสังหารพวกมันขึ้นมาแล้วจริงๆ นี่ยังต่างใดจากตบหน้าขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกมันฉาดใหญ่!
จังหวะนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมา
อนิจจาแม้พวกมันจะมีโทสะมากมายเพียงใด แต่ทั้งหมดก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้
ถึงคิดจะล้างแค้น ก็ต้องรอให้การประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจบลงเสียก่อน
“ฆ่าได้ดี!!”
ไม่นานเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายที่ตกตะลึงจนอึ้งค้างไปพักหนึ่ง ก็สูดลมหายใจเข้าอย่างตื่นเต้น หลายคนถึงกับร่ำร้องออกมาด้วยอารมณ์ฮึกเหิม คล้ายได้ระบายหลังอัดอั้นมานาน!
ก่อนหน้านี้ตอนพวกมันเห็นเหล่าสหายผู้ฝึกตนพเนจรถูกสังหารลงไปคนแล้วคนเล่า พวกมันก็หมองเศร้าทั้งหดหู่ใจนัก
แถมพวกมันในฐานะผู้ฝึกตนพเนจร ก็ไม่กล้าฆ่าคนจากขุมพลังใหญ่ๆทั้งหลาย เพราะรู้ดีว่าไม่อาจงัดข้อกับมหาอำนาจได้…
ซ้ำร้ายมหาอำนาจเหล่านั้นยังเห็นชีวิตของพวกมันไม่ต่างอันใดกับผักปลา เข่นฆ่าพวกมันอย่างไร้สนใจปานตัดหญ้าฆ่าไก่…
มาตอนนี้พอได้เห็นจงกู้ลงมือสังหารคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกับตา ก็ประหนึ่งหยาดทิพย์หลั่งจากฟ้าชะล้างความเศร้าหดหู่ในใจจนหายไปหมดสิ้น ในใจยังรู้สึกได้ถึงความสุขที่เข้ามาแทนที่!
“จงกู้!!”
“จงกู้!!”
……
เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรหลายคนไม่อาจระงับความตื่นเต้นฮึกเหิมในใจได้อีกต่อไป พวกมันตะโกนออกมาสุดเสียงจนคอเป็นเอ็น ร่ำร้องเรียกหาจงกู้ราวกับเป็นวีรบุรุษ!
จังหวะนี้พวกมันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะเป็นการล่วงเกินขุมพลังชั้น 4 หรือไม่
จงกู้กล้าลงมือฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอันเป็นขุมพลังชั้น 4 ล้างแค้นให้เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่ตายตกไป หากตอนนี้พวกมันยังทำตัวขี้ขลาดอีก พวกมันก็ไม่ต้องฝึกฝนกันแล้ว!
เหล่าศิษย์จากขุมพลังอื่นๆเองตอนนี้ก็อึ้งไปไม่ต่าง พอเห็นว่าจงกู้หาญกล้าฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างไรพวกมันก็ใจหายวาบ! จนเมื่อเสียงตะโกนร่ำร้องเรียกหาจงกู้ของเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรดังขึ้น พวกมันจึงได้สติ
‘เจ้าจงกู้นี่มันคนจริง’
ต้วนหลิงเทียนเองก็ชื่นชมจงกู้ไม่น้อย เขารู้สึกเคารพและให้ค่าคนที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม และกล้าที่จะทวงหนี้แค้นให้เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรที่ตกตายไปก่อนหน้าไม่น้อย
ส่วนด้านจงกู้ สีหน้าท่าทางก็ยังคงสงบเฉยเมย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจเรื่องที่พึ่งฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปแม้แต่นิดเดียว
‘ตอนฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันก็ตาไม่กระพริบ ไม่ต่างอะไรจากตอนที่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฆ่าผู้ฝึกตนพเนจร…ดาบนั้นคืนสนองงั้นสิ’
ไม่ทราบเพราะเห็นจงกู้ลงมือหรืออย่างไร ต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมคิดเฝ้ารอนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งให้ปรากฏตัวก่อนค่อยลงมือ มาตอนนี้กลับรู้สึกเลือดลมพุ่งพล่านขึ้นมาอยู่บ้าง ‘จะว่าไปตอนนี้ข้าก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรเหมือนกันนี่นา…’
พอคิดถึงจุดนี้ ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินออกไปทันที
ทันใดนั้นสายตาของผู้คนก็หันมาให้ความสนใจเขาทันที
“เฮ่ เจ้าหนุ่มนั่นเป็นผู้ใดกัน!?”
“ข้ามิเคยเห็นมาก่อนเลย! พวกเจ้าเล่า มีใครรู้จักหรือไม่?”
“พวกข้าก็มิรู้…แต่ข้าเห็นเจ้าหนุ่มคนนี้มันยืนอยู่ลำพังมาตั้งแต่แรกเหมือนจงกู้…สมควรเป็นผู้ฝึกตนพเนจรมิผิดแน่”
“อืมไม่ผิดแน่…เย็นชาไม่แยแสแถมพกกระบี่แลดูเหมือนหมาป่าเดียวดายเช่นนี้ ต้องเป็นมือกระบี่พเนจรแน่นอน”
……
ด้วยเพราะต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนแปลงรูปโฉมมา ตอนนี้หน้าตาของเขาจึงแลดูเย็นชาไร้แยแส บรรยากาศรอบกายไม่รับแขกเหลือเกิน
“ลี่เฟิง?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกมา ย่อมกระตุ้นความสนใจของหลวงจีนลายบุปผาทันที!
ตอนที่ 1,679 : ลงสนามครั้งแรก
อันที่จริงจวบจนบัดนี้…หลวงจีนลายบุปผาก็ยังมองลี่เฟิงผู้นี้ไม่ออก!
หากแต่ตอนแรกพบอีกฝ่าย สัญชาตญาณของมันกลับร้องเตือนว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา!
ทว่าหลังจากนั้นมันก็รู้สึกว่าเป็นตัวเองที่คิดมากเกินไป ถึงแม้ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมีผู้ฝึกตนพเนจรไม่น้อย แต่ต่อให้เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์เพียงใด ถ้าไร้ทรัพยากรบ่มเพาะจะเติบโตไปได้ขนาดไหนเชียว?
เช่นเดียวกันกับจงกู้ที่เลือกเป็นผู้ฝึกตนอิสระไม่สังกัดฝักฝ่าย แม้ในแง่ศักยภาพและพรสวรรค์ จงกู้จะเหนือกว่าจิ่งชวีจื่อจากศาลเจ้าชุนหยางและตัวมันเอง
ยิ่งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยิ่งไม่อาจเทียบกับจงกู้ได้เลย…
ทว่าเพราะจงกู้ไร้ทรัพยากรบ่มเพาะอย่างที่ขุมพลังยักษ์ใหญ่สนับสนุนพวกมัน ทำให้พลังฝึกปรือของจงกู้ไม่อาจเทียบกับพวกมันได้ กระทั่งยังกลายเป็นอ่อนด้อยกว่าฉีจิ้งด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามจากพลังฝีมือที่จงกู้เผยออกก่อนหน้า มันก็ชักไม่แน่ใจแล้ว…ว่าตอนนี้พลังฝีมือของจงกู้ยังด้อยกว่าฉีจิ้ง!
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังยามจงกู้ลงมือ หลวงจีนลายบุปผาตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะพึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางมาแต่อย่างไร! เพราะกระทั่งศิษย์พี่ของมันอย่างหลวงจีนเนื้อสุราและอวี้ชวีจื่อจากศาลเจ้าชุนหยางยังทาบไม่ติด!!
แต่แน่นอนว่าจงกู้ยังไม่อาจเทียบมันกับจิ้งชวีจื่อได้
เรื่องนี้มันมั่นใจเต็ม 10 ส่วน
ส่วนชายหนุ่มเยาววัยที่แลดูเย็นชาไม่รับแขกนามลี่เฟิงผู้นี้ที่ออกมา จากกลิ่นอายพลังชีวิตที่มันตรวจจับ ท่าทางอายุยังไม่ถึง 40 ปีด้วยซ้ำ!
ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ต่อให้พบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมา แต่พลังฝึกปรือจะมีสักเท่าไหร่เชียว? แถมยังไร้ขุมพลังสนับสนุนอีก! นั่นไม่ใช่หมายความว่าไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะที่เพียงพอหรือ? เช่นนั้นแล้วศักยภาพพรสวรรค์จะได้ใช้เต็มประสิทธิภาพอย่างไร?
“หืม? เจ้านั่นมันกล้าขึ้นไปท้าทายคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอีกคนงั้นเหรอ? หรือนี่มันเห็นจงกู้ท้าคนจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็เลยเอาอย่างกัน?”
เมื่อพบว่าสายตาต้วนหลิงเทียนมองไปทางจ้าวเวทีที่เป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้น หลวงจีนลายบุปผาก็อดไม่ได้ที่จะฉงนใจ
“จะอย่างไรนั่นก็เซียนขัดเกลาขั้นต้น เกรงว่านั่นไม่ใช่อะไรที่ชายหนุ่มวัย 40 จะทำอะไรได้…”
หลวงจีนลายบุปผายังเริ่มคิดไปอย่างไม่รู้ตัว ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นพลาดแล้วที่เลือกท้าประลองกับคนที่มีพลังฝีมือเกินตัว…
ทว่าพอมันเห็นสีหน้าสงบไม่แยแสของต้วนหลิงเทียน ที่คล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี มันก็ได้แต่ถามตัวเอง ว่าที่มันคิดนั่นใช่แน่หรือ?
หลวงจีนลายบุปผาไม่ได้รู้เลยว่า แม้ต้วนหลิงเทียนจะอายุ 40 แต่เวลาในการฝึกปรือนั้น น่ากลัวจะเกินกว่าคนอายุ 40 ปีทั่วไป!
เนื่องเพราะความลึกล้ำของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ยามที่ต้วนหลิงเทียนฝึกปรืออยู่ในนั้น กาลเวลาในร่างเขาเสมือนหยุดเดิน ทำให้อายุเขาไม่เปลี่ยนไปเลย!
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าผู้ใดใช้ทักษะลี้ลับตรวจสอบอายุขัยของเขา ต่างก็พบว่าอายุของเขาน้อยกว่า 40 ปีทั้งสิ้น
เมื่อหลวงจีนลายบุปผาตรวจสอบอายุเขาได้ แน่นอนว่าคนอื่นก็ตรวจสอบได้เช่นกัน
เพราะสุดท้ายแล้วในที่นี้ก็ไม่ใช่มีแค่คนสองคนที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าหลวงจีนลายบุปผา
“หืม! อะไรกัน? เจ้าหนุ่มนั่นยังอายุมิถึง 40 ปีงั้นหรือ?”
รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า เริ่นจง พอค้นพบเรื่องนี้สองตาของมันก็หรี่ลงทันใด ใบหน้าเผยความตกใจเล็กน้อย
“มันเป็นผู้ฝึกตนพเนจรงั้นเหรอ?”
อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งก็เผยความประหลาดใจออกมาเหมือนกัน หลังจากที่มันใช้สำนึกเทวะแผ่ออกไปตรวจสอบอายุแล้วพบว่าชายหนุ่มดังกล่าวมีอายุน้อยกว่า 40 ปี
อายุไม่ถึง 40 ปี แต่กล้าออกมาท้าประลองตอนนี้?
ในบรรดาขุมพลังชั้น 4 กระทั่งคฤหาสน์คลื่นคลั่งของมัน ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่บรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาก่อนอายุ 40 แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับออกมาท้าจ้าวเวทีที่บรรลุด่านพลังเซียนขัดเกลาของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง?
มันรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดสุดที่จะทำใจเชื่อได้จริงๆ!
ภายในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า นอกจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 แล้วมันไม่เคยได้ยินว่าขุมพลังไหนจะมีอัจฉริยะที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีบรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาเลย…
ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะมีตัวตนแบบนี้
“สวรรค์! เจ้าหนุ่มนั่นมันยังอายุไม่ถึง 40 งั้นเหรอ!?”
ตอนนี้เองบรรดาผู้ชมที่มีพลังฝีมือเข้าหน่อยก็สามารถล่วงรู้เรื่องนี้ได้แล้ว
เรียกว่าบรรยากาศในงานประลองถึงกับฮือฮากันขึ้นมาพักหนึ่ง เนื่องจากลักษณะของต้วนหลิงเทียน
สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องมองมาที่เขาด้วยความสงสัย อยากถามออกมาให้รู้นักว่าชายหนุ่มที่อายุไม่เกิน 40 ปีผู้นี้ มีพลังฝีมือร้ายกาจจริงๆ หรือโดดออกมาเสแสร้งแสดงเหลวไหล?
กระทั่งบางทีนี่อาจเป็นอีกฝ่ายนึกสนุกขึ้นมาละเล่นเอาหน้าจริงๆ!
สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก แค่การปรากฏตัวออกมาของต้วนหลิงเทียน ก็กลบเรื่องที่จงกู้สังหารคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปจนหมด!
“เหอะ! เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่ถึง 40 แต่คิดท้าทายเซียนขัดเกลาขั้นต้นของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…นี่มันคงมิได้แสวงหาที่ตายหรอกนะ?”
หนึ่งในนักพรตชราของศาลเจ้าชุนหยางพ่นลมออกมา กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ
วาจาของนักพรตอาวุโสผู้นี้ นับว่าทำให้ศิษย์ศาลเจ้าชุนหยางและผู้ฝึกตนใกล้ๆเห็นด้วยไม่น้อย
“ข้าคิดว่ามันกำลังพยายามจะเลียนแบบจงกู้ไม่ผิดแน่…ท่าทางคล้ายจะยืนหยัดให้ผู้ฝึกตนพเนจรที่ตายตก แต่มันคงมิรู้ว่าการกระทำไร้สมองเช่นนี้ แม้จะทำให้มันเด่นดังขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง แต่ก็จำต้องดับลงเร็วไวไม่ต่างพลุไฟ…”
เหล่าผู้ฝึกตนจากขุมพลังต่างๆกล่าวแสดงความเห็นกันใหญ่ ต่างรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนประเมินตัวเองสูงไปแล้ว
ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายตอนนี้ ต่างรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ใบหน้า!
กระทั่งชายหนุ่มอายุ 40 ปียังหาญกล้าออกมายืนหยัดเพื่อสหายที่ตกตายไป ทว่าพวกมันได้แต่ยืนดูชมเรื่องราวอยู่ข้างๆอย่างเงียบงัน…พาลให้ทุกคนบังเกิดความละอายใจนัก!
อนิจจาแม้พวกมันจะละอายใจแต่ก็ไร้ความกล้าลงสังเวียน…
“น้องชาย เจ้ากลับมาเถอะ อย่าได้เอาชีวิตไปทิ้งเลย!”
ไม่นานบรรดาผู้ฝึกตนที่หวังดีก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวโน้มน้าวต้วนหลิงเทียน มันไม่อยากเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปตายเปล่าแบบนี้
“น้องชาย เจ้ากลับมาเถิด เหล่าสหายที่ตกตายไปย่อมทราบซึ้งถึงการกระทำนี้ของเจ้าแล้ว…แต่ทั้งหมดย่อมมิมีใครอยากเห็นเจ้าตายไปอีกคนแน่! ศิษย์คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคนนั้นมันบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปแล้ว มิใช่คู่ต่อสู้ที่เจ้าจักทำอันใดได้เลย!!”
ไม่นานเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดก็ดังอื้ออึงในหูต้วนหลิงเทียนไม่หยุด
ทั้งหมดรู้ดี ว่าตอนนี้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องกำลังเดือดดาลเพราะจงกู้ฆ่าสหายของพวกมันไปแน่!
หากมีใครกล้าท้าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอีกครั้งตอนนี้ น่ากลัวพวกมันคงไม่คิดแสดงความเมตตาใดๆแล้ว!!
ตอนนี้พวกมันคงยากจะลงมือแก้แค้นจงกู้ได้ แต่พวกมันแน่นอนว่าสามารถฆ่าผู้ฝึกตนพเนจรคนอื่นเพื่อระบายโทสะได้!!
และเป็นดั่งที่ทุกคนคิดคาด คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกับจองต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างเข้ามาด้วยสายตาอำมหิต ยังมองเหยียดเขาไม่น้อย “ผู้ฝึกตนไร้สังกัดที่อายุยังไม่แม้แต่จะถึง 40 ปีกลับกล้าท้าทายข้า?”
ในสายตาของมันผู้ฝึกตนเบื้องหน้าเป็นตัวโง่งมสมองกลับแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตามเมื่ออีกฝ่ายมาถึงหน้าประตู มันก็ไม่คิดจะมีเมตตาอะไร!
เมื่อครู่ที่จงกู้สังหารไป ก็คือสหายอันดีของมัน ไม่เพียงจะมีพลังฝึมือทัดเทียมกัน แต่ยังร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่สำคัญอีกฝ่ายยังไม่ได้เป็นแค่สหายสนิทธรรมดา แต่เป็นญาติห่างๆของมันอีกด้วย!
“ไอ้หนูขนอุย นี่เจ้าแน่ใจจริงๆงั้นหรือที่ขึ้นมาท้าทายข้าแบบนี้?”
คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมองเหยียดกล่าวถามต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินเข้ามาด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ
ด้านต้วนหลิงเทียนตอนที่ได้ยินเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดของผู้ฝึกตนพเนจรที่ส่งมาด้วยความหวังดี ใจเขาก็รู้สึกตื้นตันไม่น้อย นับว่าการเลือกออกมาฆ่าคนเพื่อผู้ฝึกตนพเนจรครั้งนี้ทำถูกแล้วจริงๆ แม้จะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากจงกู้ก็ตาม
เมื่อเผชิญกับวาจายั่วยุทั้งสายตามองเหยียดจากคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจจะกล่าวตอบอะไรมันสักนิด เพียงมองมันกลับไปด้วยสายตาเฉยเมย ทว่าแววตาที่เขาส่งไปก็มากพอจะตอบคำถามของมันแล้ว
เวทีเม็ดหมากกลางฟ้าอีกเวทีหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล จงกู้ผู้ยืนตระหง่านอยู่กลางเวทีก็กำลังมองมาที่ต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
ต้วนหลิงเทียนนั้นมันเองก็รู้สึกสนใจแต่แรกแล้ว เพราะตอนที่มันมาถึงอีกฝ่ายก็เป็นคนที่ยืนอยู่ในหุบเขาหลิงหลงเพียงลำพัง แถมท่าทางจะเป็นผู้ฝึกตนพเนจรเหมือนมันด้วย!
ไม่ต้องอะไรมากมายแค่สองเรื่องนี้ ก็ทำให้มันประทับใจต้วนหลิงเทียนแล้ว
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนออกมาลงมือเหมือนมันด้วยอีกคน ก็ยิ่งทำให้มันรู้สึกถูกใจเข้าไปใหญ่ หากเป็นไปได้มันก็ไม่คิดจะคบหาผู้ฝึกตนพเนจรอย่างต้วนหลิงเทียนเป็นสหาย
“น้องชาย ถ้าเจ้าไม่มั่นใจก็ล่าถอยไปเถอะ”
อย่างไรก็ตามเมื่อตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนยังอายุไม่ถึง 40 จงกู้ก็ขมวดคิ้ว ยังเร่งรีบกล่าวผ่านปราณแรกกำเนิดไปเตือนสติต้วนหลิงเทียนทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนพอได้ยินเสียงเตือนของจงกู้ เขาก็หันไปยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆคราหนึ่งเป็นการตอบรับ
ทว่ารอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเย็นชานั้น กลับเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ทำให้จงกู้รู้สึกมองชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่ออกทันที!
“ฉีผิง ฆ่ามันเสีย!!”
ฉีเสิ่นที่อยู่ท่ามกลางคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กล่าวกับจ้าวเวทีที่กำลังเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน ในแววตายังเผยความดุร้ายไม่น้อย
แน่นอนว่ามันกล่าวสั่งด้วยการส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิด
ฉีผิง คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จ้าวเวทีที่ต้วนหลิงเทียนกำลังขึ้นมาท้าประลอง อันมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้น พอได้ยินคำสั่งของฉีเสิ่น จิตสังหารในแววตายิ่งมาก็ยิ่งทวีความดุร้าย
ตอนนี้ปราณแรกกำเนิดยังเริ่มปะทุออกมาทั่วร่างฟุ้งตลบไปทั่วกายประหนึ่งไอน้ำ เผยกลิ่นอายอันน่ากลัวกลิ่นอายหนึ่ง…
กลิ่นอายฆ่าฟัน!
เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นแทนต้วนหลิงเทียน
“เจ้ามันไม่เจียมตัว!!!”
ทันใดนั้นฉีผิงก็คำรามออกมา ปราณทั่วร่างพลันปะทุระเบิดออกปานใต้ฝุ่น อาณาบริเวณกินรัศมี 100 หมี่รอบกาย เริ่มปรากฏสายลมโหมกระหน่ำออกมา ระลอกแล้วระลอกเล่าปานมหาสมุทรวายุ
ยิ่งมาสายลมยิ่งทวีความรุนแรง ทั้งพัดกรรโชกไปมารอบกายด้วยความเร็วลมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เสื้อคลุมของมันเริ่มโบกสะบัดระรัว ยังบังเกิดเสียงหวีดหวิวของสายลมออกมา!
และตอนนี้เอง ลมพายุที่พัดรอบตัวมันในรัศมีร้อยหมี่ บางส่วนก็เริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นดาบสายลมเล่มแล้วเล่มเล่า พุ่งฉวัดเฉวียนเวียนวนไปรอบกายมันเช่นกัน!
และถึงแม้ดาบสายลมดังกล่าวจะเพียงพัดม้วนวนอยู่รอบกายฉีผิง หากแต่ผู้ชมทั้งหลายที่อยู่ไกลห่างก็ตระหนักถึงอานุภาพพลังอันน่ากลัวของดาบสายลมทั้งหลายดี
“เขตแดนดาบวายุ!!”
เขตแดนแบบนี้ไม่ใช่เขตแดนพิสดารอะไรในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
แน่นอนว่าถึงแม้มันจะไม่ใช่เขตแดนแปลกตา แต่พลังอำนาจของมันก็มิใช่ต่ำทราม หากผู้คนไร้ฝีมือเฉียดกรายเข้ามาในอาณาเขตสายลมล่ะก็ น่ากลัวว่ากระทั่งร่างถูกดาบวายุเฉือนสะบั้นเป็นหมื่นพันชิ้นแล้วยังไม่รู้สึกตัว!
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนยังอยู่ห่างจากฉีผิงเกินร้อยหมี่ เขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเขตแดนของมันแต่อย่างใด และตอนนี้ร่างเขายังห่างจากขอบเขตแดนของฉีผิงอีก 10 กว่าหมี่
ทว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชุดเสื้อของต้วนหลิงเทียนก็โบกสะบัดอย่างแรง เพราะเขตแดนดาบวายุที่ว่า…กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เขา!!
“ตาย!!”
เป็นฉีผิงที่พุ่งร่างเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด คนร่ำร้องออกมาด้วยอำมหิต ร่างทะยานมาฉับไวปานฟ้าผ่า!
เมื่อมันพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน เขตแดนดาบวายุของมันจึงเคลื่อนที่ตามตัว! ดาบวายุที่พัดเฉือนวนในเขตแดนของมัน แม้ยังไม่ทราบว่ามีพลังอำนาจมากน้อยเท่าใด…แต่ลำพังแค่เสียงหวีดหวิวเสียดหู ก็บอกให้รู้ว่าพวกมันค้มกล้าทั้งรวดเร็วเพียงไหน! สภาวะยังประหนึ่งจะฉีกสะบั้นได้กระทั่งความว่าง!!
บรรยากาศบนเวทีกลับกลายเป็นเย็นเยียบทันที!
เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรทั้งหลายรู้สึกยากชมดู พวกมันถึงกับหลับตาลงด้วยไม่อยากเห็นร่างต้วนหลิงเทียนแหลกเป็นชิ้นๆ!
เพราะในสายตาของมัน..ชายหนุ่มผู้นี้ ลำพังเผชิญหน้ากับเขตแดนดาบวายุอันน่ากลัว ก็คงยากที่จะทานทนรับไหวใดๆได้แล้ว…ยังนับประสาอะไรจะต่อสู้เอาชัยกับคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!
ตอนที่ 1,680 : พลังปราณสุริยันแรกกำเนิด!
หากไม่อาจต้านทานรับได้แม้แต่เขตแดน เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสู้กันแล้ว! นั่นเพราะจะตกตายด้วยพลังอำนาจของเขตแดนก่อนที่จะทันได้ทำอะไร!!
แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นในกรณีที่พลังฝึกปรือห่างชั้นกันเกินไป…
ถ้าต้วนหลิงเทียนไม่มีอายุน้อยขนาดนี้ ผู้ชมคงไม่คิดอะไรแบบนี้
ปัญหาก็คือทั้งใบหน้าและอายุขัยของต้วนหลิงเทียนยังน้อยเกินไป ทว่ากลับหาญกล้ากล่าววาจาโอหังแบบนั้นออกมา
มีคำกล่าวที่ว่า ‘บนปากไร้หนวด งานใหญ่ทำไม่ได้’ บนโลกใบนี้เช่นกัน
(คนหนุ่มไร้ประสบการณ์ ยากจะทำงานใหญ่)
“ข้าไม่เจียมตัว? ประเมินตัวเองสูงไป?”
มุมปากต้วนหลิงเทียนยกยิ้มแสยะขึ้นมาบางๆ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดุร้ายของคนฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง
สีหน้าท่าทางเขายังไม่แปรเปลี่ยนอะไรแม้อีกฝ่ายจะปะทุพลังควบรวมเขตแดนพุ่งปรี่เข้ามา
ทว่าถึงแม้สีหน้าต้วนหลิงเทียนจะไม่เปลี่ยน ทว่าทั่วร่างของเขาพลันปรากฏมวลพลังมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดพุ่งออกมาคลุมกาย ทว่าผิดแผกจากปราณแรกกำเนิดของผู้อื่น ปราณของเขากลับมีสีทองสว่างไสว ความว่างรอบกายเริ่มบังเกิดเสียงฮึงๆ
เขตแดนหมื่นกระบี่!!
ทันใดนั้น อาณาบริเวณทรงกลมกินรัศมี 100 หมี่โดยมีต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลาง ก็เสมือนกลายเป็นมหาสมุทรทองคำในชั่วพริบตา!
มองไปคล้ายมีดวงตะวันอุบัติขึ้นก็ไม่ปาน แสงสีทองที่สาดส่องออกมา มันสว่างไสวเรืองรองเสียจนยากที่ผู้คนในขอบเขตพลังต้อยต่ำจะมองได้! ทั้งหมดจำต้องยกมือขึ้นมาป้องบังดวงตาในทันใด ทว่าหลังจากป้องบังแล้ว แม้พวกมันพยายามจะหยีตามอง แต่ทำอย่างไรก็มิอาจจ้องมองได้..
นั้นเพราะแสงสีทองที่ส่องสว่างออกมาจากเขตแดนของต้วนหลิงเทียนมันเจิดจ้าเกินไป เจิดจ้าจนแทบทำให้ดวงตาของพวกมันมืดบอด ยังจะไปมองอะไรได้เห็น!
“นี่มันเขตแดนอันใดกันแน่?!”
ทันใดนั้นผู้คนแทบทั้งหมดที่จำต้องหลับตาถึงกับโพล่งร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก พวกมันพึ่งเคยพบพานกับเขตแดนเช่นนี้เป็นครั้งแรก กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูง สีหน้าของเริ่นตงและหลิวหงกวงพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันใด
เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกมันเห็นเขตแดนอะไรแบบนี้!
กระทั่งด้วยสายตาของตัวตนด่านพลังอริยะเซียนเช่นพวกมัน ยังไม่อาจมองเรื่องราวภายในเขตแดนประหลาดได้ชัดเจน เรื่องนี้อดทำให้พวกมันใจสะท้านหวั่นไหวไปเสียไม่ได้
ถึงแม้ว่าเขตแดนพิสดารที่อุบัติขึ้นเบื้องหน้าไม่ได้มีพลังน่ากลัวมากมายสำหรับพวกมัน หากแต่กลิ่นอายพลังที่พวกมันสัมผัสได้ ยังถึงกับทำให้พวกมันต้องสะท้านจับใจ
“เจ้าหนุ่มนี่มันมีด่านพลังฝึกปรืออันใดกันแน่!? ไฉนมันถึงเปิดใช้เขตแดนที่ทรงพลังเช่นนี้ได้?”
เริ่นจงหันไปมองถามหลิวหงกวงด้านข้างด้วยสายตาตกใจ
“มันสมควรบ่มเพาะด้วยเคล็ดบำเพ็ญจิตพิสดารที่มีกลวิธีปกปิดพลังฝึกปรือเป็นแน่ กระทั่งพวกเรายังไม่อาจมองออก…ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะตรวจสอบพลังฝึกปรือของมันได้ง่ายๆยามมันใช้ปราณแรกกำเนิด…แต่พอมันปลดปล่อยปราณแรกกำเนิดออกมาจริงๆ กลับพิกลยิ่งนัก! เพราะจากที่ข้าสัมผัสได้..กลิ่นอายพลังของมันสมควรบรรลุเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น!”
หลิวหงกวงกล่าวออกหน้าเคร่ง ในใจมันก็ตื่นตระหนกไปไม่น้อย
“อันใดกัน เจ้าเองก็สัมผัสได้เหมือนข้างั้นเหรอ?”
เริ่นจงเองก็ตกใจไม่น้อย เพราะตอนแรกมันคิดว่าสัมผัสพลังของมันน่าจะผิดเพี้ยนอะไรแล้วแน่แท้…
เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้เขตแดนออกมา เริ่นจงก็รู้สึกว่าพลังอำนาจที่ปลดปล่อยออกมาตอนนี้ ให้กลิ่นอายเหมือนเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง…
อย่างไรก็ตามมันกลับพบว่า ปราณแรกกำเนิดที่ต้วนหลิงเทียนปลดปล่อยออกมา…หาได้ง่ายดายอย่างที่มันคิดไม่! แม้มันไม่ทราบจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรแต่มันรู้สึกได้!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราณแรกกำเนิดที่ต้วนหลิงเทียนปลดปล่อยออกมา กลับควบรวมก่อเขตแดนได้ในเวลาแค่เสี้ยวพริบตา ทั้งให้ความรู้สึกถึงพลังเหนือกว่าคู่ต่อสู้หลายเท่าตัว ก็ยิ่งทำให้มันตื่นตระหนกไปกันใหญ่ “เป็นไปมิได้! ความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่ใช่อะไรที่เซียนดั้งเดิมขั้นกลางจะทำได้..!!”
ตอนนี้มันไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด ว่าพลังที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกคือปราณแรกกำเนิดของเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง!
เป็นเรื่องตลกหรือ!
เซียนดั้งเดิมขั้นกลางจะไปมีปัญญาก่อเขตแดนรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งยังให้ความรู้สึกทรงพลังผิดปกติอย่างที่พวกมันไม่ทราบสาเหตุแบบนี้ได้อีก!
จากความรู้สึกของพวกมันตอนนี้ พวกมันบอกได้ทันที ว่ายามต้องเผชิญหน้ากับเขตแดนสว่างจ้าปานมหาสมุทรทองคำประหลาๆนั่น เขตแดนดาบวายุของคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสมือนเป็นกระดาษเปื่อยเปียกน้ำที่แสนเปราะบาง!
เริ่นจงกับหลิวหงกวงผ่านโลกมาไม่น้อย ใช้ชีวิตมาก็นาน แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่พวกมันเห็นอะไรแบบนี้
“นี่มันเป็นผู้ใดกันแน่!?”
ครู่หนึ่ง ใจของพวกมันก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างยากจะอธิบาย
เมื่อเริ่นจงกับหลิวหงกวงพบความผิดปกติเรื่องนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ฉีเสิ่น ผู้อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะพบว่าเรื่องราวผิดท่าด้วยเช่นกัน มันไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะส่งเสียงกล่าว ได้แต่ตะโกนออกมาเสียงดัง “ฉีผิง รีบยอมแพ้เร็วเข้า!!”
อา!
และวาจานี้ของฉีเสิ่น ย่อมทำให้ผู้คนที่หลับตาอยู่ตื่นตระหนกครั้งใหญ่ทันที
อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กลับตะโกนเสียงหลงให้ฉีผิงยอมแพ้?
นี่อีกฝ่ายคิดว่าพลังฝีมือของฉีผิงอ่อนด้อยกว่าศัตรูที่เป็นแค่ชายหนุ่มวัยไม่ถึง 40 ปีงั้นเหรอ?
พวกมันจะคิดแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตแดนสีทองสว่างจ้าของต้วนหลิงเทียนได้
เริ่นจง หลิวหงกวง และฉีเสิ่น สามารถมองเห็นได้แม้จะไม่ชัด
ส่วนเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียน ผู้นำศาลเจ้าชุนหยางและ ผู้นำขุมพลังชั้น 5 อีกขุม สามารถมองเห็นได้รางๆเท่านั้น
ส่วนคนอื่นนั้นไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย
บางทีหากพวกมันเข้าไปอยู่ในเขตแดนของต้วนหลิงเทียน พวกมันอาจจะยังพอมองเห็นเรื่องราวภายในได้
ฉีเสิ่นนั้นมันโพล่งตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะมันตระหนักได้ว่าผู้ฝึกตนพเนจรคนนี้ไม่ธรรมดา!
ตอนแรกมันคิดว่าผู้ฝึกตนพเนจรนี้เพียงรนหาที่ตายโง่ๆด้วยการท้าฉีผิงเพื่อยืนหยัดในเรื่องราวอันไร้สาระ แต่มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าปราณแรกกำเนิดที่อีกฝ่ายใช้ออกมาจะเป็นอะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้ กลิ่นอายพลังอยู่ที่เซียนดั้งเดิมขั้นกลางชัดๆ แต่พลังอำนาจกลับไม่ต่างอะไรจากเซียนขัดเกลาขั้นกลาง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สติมันเตลิด
น่าเสียดายที่มันตะโกนกล่าวเตือนออกมาช้าไป
เกาทัณฑ์ที่พ้นคันศรไปแล้ว ยากจะเก็บคืนมาได้…
ฉีผิงที่เปิดใช้เขตแดนดาบวายุ พุ่งร่างปรี่เข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยเจตนาฆ่าฟันอำมหิต ส่วนต้วนหลิงเทียนก็เปิดใช้เขตแดนหมื่นกระบี่อันมีอาณาบริเวณกินรัศมี 100 หมี่เช่นกัน
แน่นอนว่าเหล่ายอดฝีมือระดับผู้นำย่อมแลเห็นได้ ว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้เขตแดน พลังอำนาจอันน่ากลัวก็ปะทุออก เสียงหอนกระบี่นับพันนับหมื่นดังขึ้น…เขตแดนดาบวายุ กลับถูกกระบี่นับหมื่นผุดทับทันที!
ร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใจกลางเขตแดนหมื่นกระบี่ จี้ 2 นิ้วชี้ขึ้นไปในอากาศอย่างไร้เรื่องราว
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
……
ทว่าทันใดนั้นเองเสียงกระบี่กรีดอากาศพลันดังก้องออกมาให้ได้ยินชัดเจน!
“หยุดมือ!!”
ตอนนี้ฉีเสิ่นที่ตระหนักได้ว่ามันสายเกินไปที่ฉีผิงจะคืนสติจากการตกตะลึงและกล่าวคำยอมแพ้ มันก็ได้แต่ส่งเสียงตะโกนผ่านปราณแรกกำเนิดใส่หูต้วนหลิงเทียนโดยตรง พยายามทำให้ต้วนหลิงเทียนเสียสมาธิ เผื่อฉีผิงจะคืนสติได้ทันกาลและมีโอกาสให้เร่งกล่าวคำยอมแพ้ออกมา
เพราะมันตระหนักได้ชัดเจนแล้วตอนนี้ว่าฉีผิงไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียนเลย
“หยุดมืองั้นเหรอ?”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงผ่านปราณแรกกำเนิด เขาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของฉีเสิ่น เพียงยกยิ้มขึ้นมาอย่างขบขันแต่ไม่คิดหยุด ยังมองไปยังฉีผิงที่หวาดผวาตกตะลึงด้วยสายตาเฉยเมย
ทุกอย่างมันจบแล้ว!
หมื่นกระบี่ในเขตแดน ต่างพุ่งแหวกฟ้าผ่าอากาศเข้าหาฉีผิงอย่างไร้ปราณี ยังทะลวงทำลายดาบวายุตามรายทางง่ายดายคล้ายเป็นแค่อากาศธาตุ…ฉากเรื่องราวเป็นอะไรที่ชวนให้หนาวจับใจนัก
น่าเสียดายทีในที่นี้มีเพียงแค่ 6 คนเท่านั้นที่แลเห็นเรื่องราวภายในเขตแดนของต้วนหลิงเทียน
ส่วนคนอื่นๆนั้นได้ยินก็แต่เสียงแหวกฝ่าอากาศด้วยความฉับไวของกระบี่นับหมื่นเล่มเท่านั้น อย่างไรก็ตามด้วยมีเสียงตะโกนของฉีเสิ่นก่อนหน้า ทำให้พวกมันพอจะอนุมานได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
หลายคนยังคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดนัก
ผู้ฝึกตนพเนจรที่ยังอายุไม่ถึง 40 ปี จะไปแข็งแกร่งกว่าศิษย์คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนขั้นกลางได้อย่างไร?
ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาในอดีตจะเทียบได้อีกต่อไป
ทันทีที่ด่านพลังฝึกปรือของเขาทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น ปราณแท้ในร่างของเขาก็พัฒนาไปเป็นปราณแรกกำเนิด และปราณแรกกำเนิดของเขาก็บังเกิดการวิวัฒน์ครั้งใหญ่ ขัดเกลาไปเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิดที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดปัญญารู้แจ้งไว้ให้…
และเขตแดนหมื่นกระบี่ที่เขาใช้ออกด้วยพลังปราณสุริยันแรกกำเนิดในตอนนี้ มันก็มีพลังอำนาจไม่ต่างอะไรไปจากเขตแดนของตัวตนเซียนขัดเกลาขั้นกลางแม้แต่น้อย
ส่วนฝ่ายตรงข้ามของเขามันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นต้น ต้วนหลิงเทียนจึงไม่จำเป็นต้องใช้วรยุทธ์หรือทักษะวิชาอื่นใดให้มากความ! เพียงกระบี่พลังในเขตแดนที่ควบรวมจากปราณสุริยันแรกกำเนิดก็เหลือแหล่แล้ว!!
เมื่อกระบี่ทั้งหมื่นเล่มต่างพุ่งทะลวงทำลายร่างฉีผิงไปแล้ว เขตแดนหมื่นกระบี่ของเขาก็สลายตัวหายไปหมดสิ้น
ราวกับถูกแสงตะวันทำให้ระเหยหายไปก็ไม่ปาน
ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยใดๆ
แน่นอนว่าหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนคลายเขตแดนไปแล้ว ในอากาศยังมีกลิ่นร้อนลวกไหม้เกรียมหลงเหลืออยู่
“ฉีผิงหายไปที่ใดแล้ว?”
ตอนนี้นอกจากอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นที่จ้องไปยังต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง คนอื่นๆของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้แต่เผยสีหน้าสับสนไม่เข้าใจ ในแววตายังเผยความหวาดผวาไม่น้อย
ถึงแม้พวกมันจะตระหนักได้ ว่าพลังฝีมือของฉีผิงไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกตนพเนจรที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปีคนนี้ได้…
แต่พวกมันก็ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าฉีผิงจะถูกเล่นงานจนร่างสลายหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้…
เงียบ!
ฉากกลับกลายเป็นเงียบงัน
ตั้งแต่ระดับสูงๆอย่างเริ่นจงกับหลิวหงกวงและคนของขุมพลังชั้น 4 จวบจนยอดฝีมือจากขุมพลังอื่นๆ ไม่เว้นผู้ฝึกตนพเนจรที่มาชมดูเรื่องราวเอาสนุก ตอนนี้ทุกคนได้แต่มองไปยังร่างชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีไกลตา ยากจะฟื้นคืนสติอยู่นาน
ข้อความก่อนหน้ายังก้องอยู่ในใจ
ผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดผู้นี้ ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี…
หากแต่ด้วยการลงมือของผู้ที่อายุไม่ถึง 40 ปี ตัวตนระดับเซียนขัดเกลาจากขุมพลังชั้น 4 คนหนึ่งกลับตกตาย กระทั่งร่างยังสลายหายไปไม่เหลือร่องรอย…
ถ้าจะถามว่าแล้วมีสิ่งใดหลงเหลือหรือไม่ ก็เห็นจะเป็นแหวนพื้นที่วงหนึ่งที่กำลังกลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้นเวทีเม็ดหมาก
เป็นธรรมชาติที่สุดท้ายแหวนวงนั้นจะตกเป็นของต้วนหลิงเทียน เพราะนี่คือสินสงครามของเขา คนอื่นไม่เกี่ยว!
‘ไม่คิดเลยว่าการใช้เขตแดนหมื่นกระบี่ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดจะให้ผลลัพธ์เหนือคาดแบบนี้…แถมบริเวณชายขอบของเขตแดนยังคล้ายมีม่านพลังสีทองเจิดจ้าฉาบคลุมไว้อีกชั้น สามารถปิดซ่อนเรื่องราวในเขตแดนได้เป็นอย่างดี…พวกที่มีพลังฝึกปรือต้อยต่ำ ไม่มีทางมองเห็นอะไรได้แน่’
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้เขตแดนหลังจากทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น และเพาะสร้างปราณสุริยันแรกกำเนิดเรียบร้อยแล้ว…
ผลลัพธ์เป็นอะไรที่เหนือคาดคิดเขาอย่างสิ้นเชิง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาควบคุมกระบี่พลังนับหมื่นเล่มในเขตแดนหมื่นกระบี่ เขาสัมผัสได้ว่าในกระบี่พลังแต่ละเล่ม คล้ายมีเค้าลางของเพลิงสุริยันอยู่! ถึงแม้เค้าลางเพลิงสุริยันดังกล่าวจะมิอาจเทียบได้กับเพลิงสุริยันเที่ยงแท้ของผู้เฒ่าหั่ว แต่ก็ยังเป็นเพลิงสุริยันอันบริสุทธิ์!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบี่นับหมื่นที่มีร่องรอยเพลิงสุริยันแบบนี้ ฉีผิงที่มีความแข็งแกร่งอ่อนด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นทุน ย่อมสลายกลายเป็นไออย่างไร้หนทางต่อต้าน
กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเองตอนนี้ยังอึ้งไม่น้อย
ถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะกล่าวบอกเขามานานแล้วว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดมันร้ายกาจ แต่เขายังอดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันเหนือชั้นของปราณสุริยันแรกกำเนิดกับตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น