War sovereign Soaring The Heavens 1673-1676

 ตอนที่ 1,673 : ฉีค่าน!


 


ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนขัดเกลาของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พลังฝีมือของฉีกังก็ไม่นับว่าทำให้ทุกคนผิดหวังเลยจริงๆ


 


แม้เผชิญหน้ากับจ้าวเวที ที่มีพลังฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเช่นเดียวกันกับมัน แต่มันยังใช้ไม่เกิน 3 กระบวนท่าก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ! กลายเป็นจ้าวเวทีคนใหม่!!


 


“แข็งแกร่งยิ่งนัก!”


 


เมื่อเห็นฉีกังฆ่าคู่ต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้น หลายคนอดอุทานออกมาเสียไม่ได้


 


เพราะแต่ก่อนแม้พวกมันจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉีกังคนนี้มาบ้าง แต่เพราะในขอบเขตพลังเดียวกันคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมีฉีจิ้งอยู่ ชื่อเสียงของมันจึงถูกกลบไว้แทบมิด


 


จนกระทั่งฉีจิ้งทะลวงถึงเซียนขัดเกลา ชื่อเสียงของฉีกังจึงเริ่มแพร่ออกมา


 


อย่างไรก็ตามแม้ชื่อเสียงของฉีกังจะแพร่ออกมา แต่ส่วนใหญ่ก็ได้ฟังกันมาแต่ข่าวลือเท่านั้น นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนนอกคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเห็นฉีกังลงมือจริงๆ


 


“อาวุโสฉีเสิ่น ดูเหมือนนอกจากนายน้อยของพวกท่านแล้ว คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกท่านยังมียอดฝีมือที่งำประกายอยู่ไม่น้อย”


 


เริ่นจงหันไปมอง ฉีเสิ่น อาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


ด้านฉีเสิ่น พอเห็นฉีกังฆ่าคู่ต่อสู้ในไม่กี่กระบวนท่า ทั้งพอได้ยินวาจากล่าวชมจากเริ่นจง ใบหน้ามันก็เผยยิ้มร่าออกมาทันที “นอกจากนายน้อยแล้ว อัจฉริยะมากฝีมือที่โดดเด่นก็มีอยู่ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรามิน้อย ฉีกังเป็นแค่หนึ่งในนั้น”


 


ในวาจานั้นเต็มไปด้วยความนัย


 


ว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมัน นอกจากฉีจิ้งกับฉีกังแล้ว ยังมียอดฝีมืออยู่อีกมากมาย


 


“จริงสิ ข้าเองก็เคยได้ยินมาเรื่องหนึ่ง…เห็นว่าหลานชายของอาวุโสฉีเสิ่นเอง ก็เป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถสูงส่งในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมิใช่หรือ กระทั่งชื่อเสียงยังเป็นรองแค่เพียงฉีจิ้งผู้เดียว…วันนี้หลานท่านเองก็สมควรมาด้วยใช่หรือไม่?”


 


หลิวหงกวงเองก็หันมามองถามฉีเสิ่น


 


ฉีเสิ่นได้ฟังวาจานี้ก็หัวเราะออกมาฮ่าๆ ก่อนที่จะหันมองไปยังกลุ่มคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง สายตายังตกไปยังร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าของคนผู้นั้นยังเฉยเมยไม่แยแสสิ่งใด


 


ไม่ทราบว่าฉีเสิ่นส่งเสียงไปบอกหรือไร หากแต่ชายหนุ่มชุดดำผู้นั้น พลันเหินร่างมาทางฉีเสิ่นทันที


 


“รองผู้นำคฤหาสน์เริ่น อาวุโสหลิว…นี่เป็นหลานชายมิเอาไหนของข้า ฉีค่าน”


 


ฉีเสิ่นกล่าวแนะนำตัวหลานชายของมันทันที


 


ถึงแม้ปากของมันจะเรียกหาฉีค่านว่าหลานชายไม่เอาไหน แต่หว่างคิ้วแววตา รวมทั้งใบหน้าที่เชิดขึ้นมาเล็กน้อยของมันกลับเผยให้เห็นเด่นชัด ว่ามันภาคภูมิใจในตัวหลานชายคนนี้มากมายเพียงใด!


 


แม้เริ่นจง หลิวหงกวง และฉีเสิ่นจะเดินทางมายังหุบเขาหลิงหลงพร้อมกัน แต่ตอนแรกๆพวกมันก็ไม่ได้สนทนาอะไรกันมากมายนัก โดยมากแล้วจะง่วนอยู่กับคนของตัวเองมากกว่า จึงไม่ได้ทำความรู้จักอะไรกัน


 


“อาวุโสทั้ง 2 สบาย”


 


ฉีค่านทักทายเริ่นจงกับหลิวหงกวงด้วยการพยักหน้าเท่านั้น


 


“ขอพวกท่านอย่าได้ถือสาหาความนิสัยประหลาดของหลานชายข้าเลยมันก็เป็นของมันเช่นนี้ตลอด กระทั่งพบหน้าผู้นำคฤหาสน์ก็กระทำแบบนี้”


 


ถึงแม้เริ่นจงกับหลิวหงกวงจะไม่ได้เผยท่าทีไม่พอใจอะไร แต่ฉีเสิ่นก็เร่งอธิบายออกมา


 


เพราะในสายตาของมัน เริ่นจงกับหลิวกงกวงเป็นตัวตนที่มันไม่อาจล่วงเกินได้


 


“ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่นิสัยส่วนตัว”


 


เริ่นจงกล่าวออกมาอย่างเข้าใจ


 


“ใช่”


 


หลิวหงกวงก็พยักหน้าทั้งขานรับสั้นๆ เห็นด้วยกับคำของเริ่นจง


 


แน่นอนว่าบทสนทนาระหว่างอาวุโสของทั้ง 3 ขุมพลังชั้น 4 ก็ดังพอให้ผู้คนได้ยินกันทั่ว


 


พาลให้ผู้คนทั้งหลายที่กำลังสนใจฉีกัง ละสายตากลับมาจากฉีกัง และหันมองไปยังร่างในชุดสีดำที่ยืนถัดจากฉีเสิ่น ฉีค่านหลานชายของฉีเสิ่นทันที!


 


“นั่นน่ะหรือ ฉีค่าน?”


 


หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบออกมา


 


“ฉีค่าน? แล้วผู้ใดคือฉีค่านหรือ?”


 


นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่ชักสีหน้าแววตาสงสัย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันเคยได้ยินนามฉีค่าน


 


“เจ้าจักมิเคยได้ยินนามฉีค่านก็มิแปลกอะไร เพราะหากเทียบกับฉีจิ้งแล้ว ฉีค่านเป็นคนเก็บตัวกว่ามาก แถมยังมีฐานะด้อยกว่าในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…อย่างไรก็ตามศักยภาพและพรสวรรค์ของฉีค่านนั้นมิได้ด้อยไปกว่าฉีจิ้งแม้แต่น้อย”


 


บางคนกล่าวออกมาเสียงเข้ม “อายุของฉีค่านอ่อนกว่าฉีจิ้งถึง 5 ปี…หากฉีค่านมีอายุเท่าฉีจิ้งล่ะก็ พลังฝีมือแม้ไม่แน่ว่าจะชนะฉีจิ้ง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะแพ้เช่นกัน!”


 


“อะไร!? ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยังมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่อีกหรือ!?”


 


หลายคนอดอุทานออกมาเสียไม่ได้!


 


“สวรรค์ช่วย! ข้ารู้สึกเหมือนคนหลังเขา ตกข่าวมิรู้เรื่องร่าวอันใดในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย!!”


 


บางคนกล่าวโอดครวญออกมา


 


“เจ้าไม่ได้ยินก็ไม่แปลกหรอก อันที่จริงข้าเองก็พึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกก็เมื่อ 6 เดือนที่แล้วเท่านั้น…ต่างจากนายน้อยที่ชื่อเสียงโด่งดังอย่างฉีจิ้ง ฉีค่านผู้นี้เก็บตัวเงียบและเอาแต่ฝึกปรือบ่มเพาะ! เรียกว่ามุ่งมั่นในวิถียุทธ์ไม่สนใจอื่นใด วันๆเอาแต่ฝึกวรยุทธ์ บ่มเพาะพลัง”


 


“เรื่องนี้ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน 10 ปีที่แล้วตอนฉีค่านปรากฏตัวออกมาครั้งแรก พลังฝีมือก็ไม่ได้ด้อยกว่าฉีจิ้งมากมายอะไร…ทว่า10 ปีหลังมานี้ นายน้อยฉีจิ้งชมชอบสังสรรค์ทั้งเชยชมบุปผา หากแต่ฉีค่านยังคงบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็งมาโดยตลอด แม้ด่านพลังของฉีค่านจักไม่เท่าฉีจิ้ง แต่ตอนนี้น่ากลัวว่าจะไม่ด้อยกว่ากันมาก”


 


“ในอีกไม่กี่สิบปี หากฉีจิ้งยังประพฤติตัวเหมือนเดิม โดยไม่มีแรงฮึดอะไร…ฉีค่านสมควรก้าวข้ามมันได้แน่นอน!!”


 


……


 


ผู้คนเริ่มกล่าวถึงเรื่องนี้กันขึ้นมาหนาหู และผู้ที่เคยได้ยินเรื่องของฉีค่านมาก่อน ก็กล่าวชมมันไม่น้อย


 


“ฉีค่าน?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็ชายตามองไปยังฉีค่านเหมือนกับทุกคน


 


พอมองแล้วเขาก็โค้งคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะฉีค่าน มันคล้ายกับเขาตอนนี้ไม่น้อย


 


แน่นอนว่าที่คล้ายกันก็คือ สีหน้าเย็นชา และบรรยากาศที่แผ่ออกทั่วกายว่าไม่รับแขก…


 


เพราะจากภาพรวม ไม่ว่าใครมองมาครั้งแรก ก็จะพบว่าบรรยากาศและความรู้สึกที่ต้วนหลิงเทียนและฉีค่านแผ่ออกมาก็คือความเย็นชาห่างเหินพาบให้ถอยห่างนับพันลี้ ไม่ต่างอะไรกับภูเขาน้ำแข็ง 2 ลูก


 


‘ในเมื่อฉีค่านนั่นแข็งแกร่งกว่าฉีกังและฉีกังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้เซียนขัดเกลาของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ถ้างั้นฉีค่านนี่ก็เป็นเซียนขัดเกลาแล้วสินะ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


ด้านฉีกังที่ยืนอยู่กลางเวทีเม็ดหมาก พอเห็นความสนใจของผู้คนละออกจากมันไปตกอยู่ที่ร่างฉีค่านกันหมด ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเจื่อนๆออกมาคราหนึ่ง หากแต่มันก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร


 


เทียบกับฉีค่านแล้ว มันย่อมรู้ตัวเองดี


 


ฉีค่านนั้นยังอายุน้อยกว่ามันเสียอีก!


 


ทว่า 10 ปีที่แล้วมันไม่ใช่คู่มือฉีค่าน มาตอนนี้ช่องว่างยิ่งขยายใหญ่ขึ้น!


 


ยิ่งไปกว่านั้น จากที่มันรู้มาหลังฉีจิ้งทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาได้ไม่ทันไร ฉีค่านเองก็ทะลวงด่านพลังเซียนขัดเกลาตามไปติดๆ!!


 


หากจะถามว่าในบรรดารุ่นเยาว์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันชื่นชมใครมากที่สุด ก็เห็นทีจะเป็นฉีค่านอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย!


 


สำหรับนายน้อยอย่างฉีจิ้งนั้น มันมีก็แต่ความระอา เพราะนอกจากเกิดมามีทุนรอนเหนือผู้อื่นแล้ว ก็มิได้นับเป็นตัวอันใด!


 


ดังนั้นการที่ฉีค่านมาแย่งความโดดเด่นของมันไป ฉีกังจึงไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ยังรู้สึกว่าสมควรแล้ว จึงได้แต่ยิ้มรับออกมาแบบนี้


 


หลังจากที่ฉีกังฆ่าคู่ต่อสู้ไป ด้านจ้าวเวทีคนอื่นก็เริ่มต้นการประลองสืบต่อ บ้างก็เพราะมัวแต่เหม่อจึงถูกคู่ต่อสู้ฆ่าตาย บางก็เอาชนะได้ บ้างก็ต้องเร่งรีบกล่าวคำยอมแพ้อุตลุต…


 


ช่วงเช้าของวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จ้าวเวทีอื่นก็เปลี่ยนมือหลายครั้งหลายครา


 


เมื่อเข้าช่วงบ่ายมา สถานการณ์ก็เริ่มเงียบลง


 


เรียกว่าหลังผ่านยามบ่ายมาได้กว่า 2 เค่อ ยังไม่มีผู้ใดท้าชิงตำแหน่งจ้าวเวทีกันเลยสักคน


 


แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่า จ้าวเวทีทั้ง 10 ในปัจจุบันร้ายกาจพอจะติด 10 อันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องแล้ว


 


แต่เพราะยังไม่มีขอบเขตเซียนขัดเกลาคนใดลงสนาม!


 


ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ผู้ที่อายุต่ำกว่า 50 ปีแล้วบรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลา แม้จะมีไม่มาก หากแต่ตัวเลขก็ไม่ถือว่าน้อย


 


ตัวตนเหล่านี้มาจากขุมพลังอื่นๆ บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อย่างหลังกล่าวไปยังมากกว่าอย่างแรกเสียอีก…


 


แน่นอนว่าอย่างหลังนั้นจะไม่ค่อยมีชื่อเสียงเรียงนามอะไร


 


“ตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาที่ตัวตนระดับเซียนขัดเกลาจะลงมือแล้วสินะ!”


 


หลายคนกระซิบกล่าวออกมาด้วยความคาดหวัง


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่นิลสวรรค์ที่ขอบเวทีเม็ดหมากสีขาวอย่างเงียบงัน ก็ไม่คิดจะลงมือเคลื่อนไหวอะไร


 


เหตุผลที่เขาไม่ลงมือ เพราะคิดว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องลงมือ อีกทั้งหากลงมือตอนนี้เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ต่างอะไรจากอันธพาล ที่ไปรังแกผู้คน…


 


ถึงแม้ตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือเขาจะอยู่ที่เซียนดั้งเดิมขั้นกลาง หากแต่เพราะพลังอำนาจของปราณสุริยันแรกกำเนิด ทำให้พลังของเขาไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาแม้แต่น้อย


 


แถมด้วยพลังสามารถอื่นๆที่มี เรียกว่าเป็นการรังแกผู้คนข้างเดียวหากลงประลองตอนนี้ก็ไม่เกินเลย


 


นอกจากนี้จุดประสงค์การมาของเขาก็คือ ฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง คนเดียว! ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดจะลงมือก็ต่อเมือฉีจิ้งปรากฏตัวเท่านั้น!!


 


ทันทีที่ฆ่าฉีจิ้งได้สำเร็จ ก็เหมือนกับเขาบรรลุเป้าหมาย


 


“ฉีกัง ข้าคิดขอคำชี้แนะจากเจ้า!”


 


ตอนนี้เองมีร่างหนึ่งจากขุมพลังชั้น 5 อย่างศาลเจ้าชุนหยางเหินร่างออกมา


 


เป็นชายหนุ่มที่แต่งตัวมาในชุดนักพรต หากแต่มีสายตาเยียบเย็นผิดแปลก แลดูน่ากลัวอย่างไรชอบกล


 


“คนผู้นี้…ไฉนข้ารู้สึกเหมือนมันเป็นงูพิษ?”


 


ไม่นานก็มีคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบถามออกมาเสียงเบา


 


ถึงแม้เสียงกระซิบจะแผ่วเบา หากแต่ทุกคนก็ได้ยินกันชัดเจน


 


ตอนนี้คนอื่นๆจึงเริ่มกระซิบกระซาบขึ้นมาเช่นกัน


 


“นั่นสิ ตอนคนผู้นี้ปรากฏตัวออกมา…แม้มันจะเป็นบุรุษแต่กลับให้ความรู้สึกน่ากลัวอย่างไรชอบกล เสมือนอสรพิษดังว่าจริงๆ”


 


“ผู้คนที่ให้ความรู้สึกเช่นนี้ โดยมากแล้ว…มิใช่ตัวดี!”


 


“คนผู้นี้อันตราย!”


 


“จากชุดนักพรตนั่น สมควรเป็นคนของศาลเจ้าชุนหยาง…แถมจากกลิ่นอายพลังระดับนี้…สมควรเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนขัดเกลา! ในบรรดาคนของศาลเจ้าชุนหยางที่บรรลุเซียนขัดเกลาก่อนอายุ 50 ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน…จากระดับพลังของมัน ก็มี 2 คนที่เข้าข่าย… อวี้ชวีจื่อ กับ หยินชวีจื่อ!”


 


“ในบรรดาคนที่อายุน้อยกว่า 50 ปีของศาลเจ้าชุนหยาง จิ้งชวีจื่อนับเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุด…ส่วนอวี้ชวีจื่อกับหยินชวีจื่อแม้จะมีพลังฝีมือไม่เท่าจิ้งชวีจื่อ แต่หากเทียบกับคนผู้นี้สมควรไล่เลี่ยกัน เช่นนั้นแล้วคนผู้นี้หากมิใช่ อวี้ชวีจื่อ ก็ต้องเป็น หยินชวีจื่อแน่! “


 


“ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นอวี้ชวีจื่อกับยินชวีจื่อ แต่ข้าคิดว่าคนผู้นี้สมควรเป็น หยินชวีจื่อ…เพราะนาม หยินชีจวี่และจะเข้ากับบุคลิกของมันมากกว่า”


 


……


 


ทุกผู้คนต่างกระซิบกระซาบคาดเดาถึงตัวตนคนของศาลเจ้าชุนหยางที่ปรากฏตัวออกมา


ตอนที่ 1,674 : หยินชวีจื่อ


 


“หยินชวีจื่อคนนี้เป็นว่าเป็นผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมาร…เรียกว่าเป็นผู้ฝึกมารคนหนึ่ง”


 


ไม่นานก็มีคนเปิดเผยข้อมูลออกมา


 


ผู้ฝึกมาร!


 


ทันใดนั้นทุกสายตาที่มองหยินชวีจื่ออยู่ก็หรี่ลงทันที


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามีผู้บำเพ็ญเต๋าไม่น้อย แต่นับว่าหายากนักที่จะเป็นผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมาร!


 


เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้บำเพ็ญเต๋าจะมุ่งมั่นในวิถีแห่งธรรมชาติ มีความภาคภูมิใจในความชอบธรรมสูง ด้วยเหตุนี้จึงนับว่ามีน้อยคนที่จะเป็นผู้บำเพ็ญเต๋าที่หันไปเดินหนทางสายมาร!


 


แน่นอนว่ามีน้อยแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี


 


ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากว้างใหญ่ไพศาล ไม่ใช่ว่าจะหาผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมารไม่ได้เลย!


 


อย่างไรก็ตามใจเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง โดยเฉพาะในหมู่ชายฉกรรจ์อายุไม่เกิน 50 ปี เท่าที่รู้ก็มีหยินชวีจื่อแห่งศาลเจ้าชุนหยางเท่านั้นที่เป็นผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมาร!


 


“เจ้าน่ะหรือ คือหยินชวีจื่อ?”


 


เผชิญหน้ากับนักพรตเต๋าที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเยียบเย็นปานอสรพิษออกมาทั่วกาย แววตาฉีกังก็เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็นวูบหนึ่ง


 


“มิผิด ข้าคือหยินชวีจื่อ”


 


นักพรตเต๋าแลดูชั่วร้ายที่ยืนเผชิญหน้ากับฉีกังกล่าวตอบออกมาเสียงเย็น


 


โอ!


 


เมื่อเห็นว่านักพรตเต๋าจากศาลเจ้าชุนหยางยอมรับว่าตัวเองคือหยินชวีจื่อ ผู้คนโดยรอบกระทั่งยอดฝีมือที่กำลังประลองกันในอีก 9 เวทีอื่นก็หยุดมือ และหันมาให้ความสนใจกันไม่น้อย


 


“มันคือหยินชวีจื่อจริงๆ!”


 


“เห็นว่าในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มีมันเป็นผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมารคนเดียว!”


 


“เสียงกล่าวกันว่าผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมาร เป็นผู้ฝึกมารที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์สายมารเสียอีก!”


 


……


 


ทุกคนต่างหันไปจับจ้องมองหยินชวีจื่อด้วยความสนใจ ต่างอยากเห็นกันนักว่ามันจะลงมืออย่างไร


 


‘ผู้บำเพ็ญเต๋าสายมารงั้นเหรอ? น่าสนใจดีนี่…’


 


กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกสนใจหยินชวีจื่อขึ้นมาไม่น้อย


 


เขาไม่ได้พึ่งมาอยู่ที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้แค่วันสองวัน แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมารนั้นหาได้ยากเย็นแค่ไหน


 


กระทั่งหยินชวีจื่อ ยังเป็นผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมารคนแรกที่เขาเคยเห็น!


 


ในอดีตแม้เขาจะเคยเจอผู้ฝึกมารมาไม่น้อย แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น ไม่มีใครเป็นผู้บำเพ็ญเต๋าเลย


 


“เจ้าเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เช่นนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า…อย่างไรเสียหากเจ้ามิอยากบาดเจ็บ คงประเสริฐกว่าหากเจ้าจะยอมแพ้โดยไว”


 


หยินชวีจื่อมองเหยียดฉีกังทั้งกล่าวออกด้วยสายตาเฉยเมย ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรามาส


 


หยินชวีจื่อ ในฐานะผู้บำเพ็ญเต๋าหนทางมาร มันไม่เคยคิดออมรั้งยั้งมือให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่คนของศาลเจ้าชุนหยาง! อย่างไรก็ตามเนื่องจากฉีกังมาจากขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันจึงไม่มีหนทางเลือกอื่นนอกจะเผยความเมตตา..เว้นเสียแต่มันจะไม่กลัวฉุดลากศาลเจ้าชุนหยางให้ล่มจมไปกับมัน!


 


บางทีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอาจไม่ทำอะไรกับมันตอนนี้ เพราะการประลองวันนี้ไม่สนเป็นตาย อนิจจาผู้ใดจะไปล่วงรู้ว่าหลังจบการประลองไปแล้วอีกฝ่ายจะมาหาความอะไรจากมันหรือไม่?


 


ในฐานะที่เป็นขุมพลังชั้น 5 ย่อมไร้ซึ่งพลังอำนาจจะต้านทานขุมพลังชั้น 4!


 


“ในพจนานุกรมของข้าฉีกัง มิมีคำว่า ยอมแพ้!!”


 


เมื่อได้ยินวาจาปรามาสทั้งสายตาเหยียดหยัน ฉีกังพลันตะโกนออกมาด้วยโทสะ!


 


“หืม?”


 


แค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดแสนกระจ้อยร่อย กลับกล้าตะโกนเสียงดังใส่หน้าของมัน นับว่าเป็นการกระตุ้นเร้าจิตอำมหิตโดยสันดารของผู้ฝึกมารอย่างหยินชวีจื่อขึ้นมาทันที! สองตาพลันเปล่งประกายเยียบเย็นก่อนที่จะเริ่มกลับกลายเป็นสีแดงฉาน!!


 


“หยินชวีจื่อ เพลามือด้วย”


 


ทว่าทันใดนั้นเองเสียงของจิ้งชวีจื่อพลันดังขึ้นในหูของหยินชวีจื่อ


 


ขณะเดียวกันคนจากศาลเจ้าชุนหยางคนอื่นๆ ก็เร่งส่งเสียงผ่านปราณมากล่าวเตือนมันเช่นกัน


 


นิสัยและอารมณ์ของหยินชวีจื่อพวกมันไหนเลยจะไม่รู้ได้ น่ากลัวยามของขึ้นแล้ว…เหตุผลอันใดล้วนไร้สำคัญ!


 


ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 เลย…ให้เป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 หยินชวีจื่อก็อาจจะขาดสติ ลงมือโดยไม่สนผลที่จะตามมา!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อคนจากศาลเจ้าชุนหยางควบเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดกระหน่ำส่งไปถึงหูหยินชวีจือไม่หยุด ก็สามารถดึงสติหยินชวีจื่อให้กลับคืนมาได้สำเร็จ! สีแดงในดวงตาเริ่มจางหาย หากแต่ยังคงประกายเย็นเยียบไม่คลาย!!


 


“เจ้าสมควรดีใจให้มาก…หากเจ้ามิใช่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ป่านนี้เจ้าเป็นศพไปแล้ว!”


 


วาจาที่หยินชวีจื่อกล่าวออก เผยความจริงให้รู้ว่ามันสามารถฆ่าฉีกังได้ง่ายดายนัก!


 


“คิดฆ่าข้า ก็ต้องดูปัญญาสามารถของเจ้า!!”


 


ฉีกังกล่าวเย้ยออกมา


 


ถึงแม้ฉีกังจะเป็นเพียงเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดที่กระจ้อยร่อยในสายตาของหยินชวีจื่อ แต่พลังฝีมือของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั่วๆไปมากนัก! เรียกว่าแม้ตัวมันยากจะเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นต้น แต่ให้ต้านทานรับมือก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย!!


 


แม้ต้องปะทะกับหยินชวีจื่อ ถึงจะรู้ดีว่า 10 ใน 10 อาจเอาชนะไม่ได้ แต่มันก็ไม่คิดล่าถอยไปง่ายๆ


 


มันเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


มีเพียงแต่ต้องพยายามต่อสู้สุดฝีมือเท่านั้น ถึงจะไม่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสื่อมเสีย!!


 


“หึ…ข้าจะให้เจ้ารู้เดี๋ยวนี้!”


 


หยินชวีจื่อแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยอง เสียงแค่นขำยังน่ากลัวนัก


 


ฮูว! ฮึง! ฮึง!


 


……


 


ทันทีที่สิ้นคำของหยินชวีจื่อ อาณาบริเวณกินรัศมี 100 หมี่โดยมีหยินชวีจื่อเป็นจุดศูนย์กลางพันบังเกิดสายลมกรรโชกพัดผ่าน ทั้งในสายลมดังกล่าวกลับมีเสียงร้องเยียบเย็นพาลให้ขนลุกดังขึ้น


 


ทันใดนั้นภายใต้สายตาของทุกผู้คน เขตแดนที่หยินชวีจื่อเปิดใช้ พลันปรากฏกระโหลกศีรษะอันน่ากลัวหนึ่งผุดขึ้นจากความว่าง ทั้งยังมีอสรพิษสีดำสองตาสีเขียวค่อยๆเลื้อยออกมาจากเบ้าตากลวงโบ๋มืดดำของหัวกระโหลกดังกล่าว


 


นอกจากนี้รอบๆกายอสรพิษดังกล่าวยังเต็มไปด้วยไอพลังดั่งหมอกทมิฬอันน่ากลัว!


 


หากเป็นฉากเรื่องราวปกติพวกมันคตงไม่มีใครรู้สึกอะไรมากนัก


 


ทว่าพอผสานไปกับกลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างหยินชวีจื่อ ก็กลายเป็นความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของใจทันที


 


แน่นอนว่าผู้ที่หวาดกลัวจับใจเหล่านี้ ก็คือผู้ที่มีพลังฝีมือด้อยกว่าหยินชวีจื่อ


 


“เจ้ามีเขตแดนหรือข้าไม่มี? ข้าจะทำลายมันให้สิ้น!!”


 


เมื่อเห็นว่าหยินชวีจื่อใช้ปราณแรกกำเนิดก่อเขตแดน ฉีกังก็ไม่เผยความอ่อนแอให้เห็น มันเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาทั่วร่าง เริ่มก่อสร้างเขตแดนส่วนตัว พาลให้อาณาบริเวณรอบตัวมันโดยมีรัศมี 100 หมี่เริ่มสะท้านสะเทือนทันที


 


อย่างไรก็ตามเขตแดนของมันยังไม่ทันก่อตัวแล้วเสร็จ เสียงเย็นเยียบของหยินชวีจื่ออันเต็มไปด้วยความดูแคลนพลันดึงขึ้น “อาศัยพลังฝีมือแค่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดแสนกระจ้อยร่อย คิดสร้างเขตแดนต่อหน้าข้า?”


 


“ไร้เดียงสานัก!”


 


สิ้นเสียงตะคอกเย็นชาของหยินชวีจื่อ แขตแดนอันมีรัศมี 100 หมี่ของมันพลันสั่นไหวสะท้านขึ้นมาทันใด!


 


ทันใดนั้นเองอสรพิษทมิฬตาเขียวที่เลื้อยออกมาจากเบ้าตาโบ๋กลวงของหัวกระโหลก ก็พุ่งออกไปทำลายเขตแดนที่ยังไม่ก่อตัวแล้วเสร็จของฉีกังจนพังทลาย!!


 


และในขณะที่เขตแดนของฉีกังพังทลายนั้นเอง หยินชวีจื่อพลันลงมือต่อเนื่องฉับไว ยกมือขึ้นมาก่อนที่มวลพลังของเขตแดนฉีกังจะสลายหายไปด้วยซ้ำ


 


แขนเสื้อชุดนักพรตของมันโบกสะบัดดังขวับๆปานต้องลมพายุ เริ่มหมุนวนด้วยความเร็วอันน่ากลัว! ก่อเกิดเป็นพายุใต้ฝุ่นเล็กจิ๋วลูกหนึ่ง ก่อนที่จะถูกซัดพุ่งออกไป…ยามพุ่งออกไปพายุดังกล่าวยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!!!


 


แถมรอบๆพายุยังมีไอพลังสีดำอันน่ากลัว


 


ไอพลังสีดำดังกล่าวก็ให้กลิ่นอายดั่งไอพลังสีดำมืดรอบตัวอสรพิษทมิฬก่อนหน้า…ปราณมารของผู้ฝึกมาร!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


เสียงระเบิดดังกึกก้องในอากาศ ฉีกังที่กำลังตะลึงจากการถูกทำลายเขตแดน มันยังไม่ทันได้ตอบสนองเรื่องราวอันใดด้วยซ้ำ มันก็ถูกพายุพลังฉับไวพุ่งซัดเข้าใส่อย่างจัง ร่างยังปลิดปิวละลิ่วไปไม่รู้ทิศทางดั่งว่าวสายป่านขาด!


 


อ๊อคคค!!


 


ฉีกังที่ถูกซัดกระเด็นกระอักโลหิตออกมาเป็นสาย สุดท้ายลอยไปพักหนึ่งมันก็ค่อยๆขืนร่างให้หยุดค้างกลางหาวได้สำเร็จ!


 


อนิจจาเมื่อแลดูสารรูปจะตายแหล่มิตายแหล่ของมัน ที่กระทั่งจะลอยค้างกลางหาวยังแทบไม่ไหวตอนนี้ ก็เห็นชัดว่ามันคงไม่มีปัญญาจะสู้ต่อแล้ว…


 


“ข้าแพ้แล้ว…”


 


สูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบากคราหนึ่ง ฉีกังค่อยมองกล่าวกับหยินชวีจื่อด้วยสายตาหวาดกลัว


 


มาตอนนี้มันตระหนักได้ทันทีว่าพลังฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนขัดเกลาในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมัน ไม่ได้นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าหยินชวีจื่อสักนิด!


 


แต่ก่อนแม้มันจะยากเอาชนะได้ แต่ยามประมือกับเซียนขัดเกลาขั้นต้นมันก็ยังพอต่อสู้รับมือได้บ้าง อนิจจายามปะทะกับหยินชวีจื่อ มันกลับถูกอีกฝ่ายครอบงำทั้งสะกดข่มทุกทางทันที


 


“ชนะได้รวดเร็วเพียงนี้?”


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้ผู้คนอื้ออึงกันไม่น้อย


 


ถึงแม้พวกมันจะรู้แต่แรกว่าผลของการประลองยากแปรเปลี่ยน เพราะอย่างไรก็เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดปะทะเซียนขัดเกลา


 


แต่พวกมันก็ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องราวจะจบลงง่ายดายรวบรัดเช่นนี้ เพราะจะอย่างไรเสียฉีกังก็คืออันดับ 1 ใต้เซียนขัดเกลา ยังกล่าวว่า…แม้ไม่อาจเอาชนะแต่มันก็สามารถต่อสู้รับมือเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้พักใหญ่!!


 


อนิจจายามอยู่ต่อหน้าหยินชวีจื่อ กระทั่งคิดรวมพลังก่อเขตแดนมันยังไม่อาจกระทำ แถมยังบาดเจ็บสาหัสในกระบวนเดียว…


ตอนที่ 1,675 : หลวงจีนเนื้อสุรา


 


หยินชวีจื่อเพียงแรกลงมือ ก็ซัดทำร้ายฉีกังคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจนบาดเจ็บสาหัส คว้าชัยไปได้ในเวลาอันสั้น


 


ฉีกังนั้นไม่ใช่เซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดทั่วๆไปในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพราะมันขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ใต้เซียนขัดเกลา! แม้แต่ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมานานก่อนฉีกัง ที่ติดอยู่ในด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดมานานปี ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถเอาชนะฉีกังได้…!


 


หากแต่ฉีกังคนนั้น กลับแพ้พ่ายหยินชวีจื่อที่น่าจะเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้ในเวลาชั่วพริบตา!


 


จังหวะนี้สีหน้าของจ้าวเวทีอีก 9 คนพลันซีดเป็นศพทันที ในแววตาเผยความทดท้อจนปัญญาออกมาให้เห็น


 


พวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี และจะติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องได้ ต้องมีพลังฝึกปรืออย่างน้อยๆเซียนขัดเกลาขึ้นไป…และครั้งนี้สมควรมีตัวตนดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 20 คน


 


นอกจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว ยังมีศิษย์ที่โดดเด่นของขุมพลังชั้น 5 ที่ร้ายกาจอีกถึง 3 ขุมพลัง นอกจากนั้นก็เป็นคนจากขุมพลังรองลงมา รวมถึงผู้ฝึกตนพเนจร…


 


เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ขุมพลังต่ำชั้นลงมาและผู้ฝึกตนพเนจร ย่อมไม่ได้ใส่ใจเรื่องอันดับในการประลองมากเท่าใด ทั้งหมดเพียงอยากเข้าร่วมและต่อสู้เต็มกำลังด้วยหวังว่าจะได้รับชื่อเสียงขึ้นมาจนเป็นที่จดจำบ้างก็เท่านั้น! แม้มันจะโด่งดังแล้วดับไปในเวลาอันสั้นดั่งพลุไฟ แต่กาลครั้งหนึ่งมันก็อยากได้ชื่อว่าเคยเข้าประลองรายยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง และมีผู้คนจดจำได้…


 


อีกทั้งในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หากใครโดดเด่นถึงขั้นเข้าตาผู้คนขึ้นมาล่ะก็ นามก็จะถูกจดจำไปนานแสนนานในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีไม่กี่คนที่สามารถทะลวงขอบเขตพลังไปถึงขั้นทลายบ่วงแห่งความตาย จนสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป เรียกว่าแม้หลายคนจะมีอายุที่ยาวนานขึ้น…แต่สุดท้ายสักวันพวกมันก็ต้องตาย!


 


ดังนั้นแล้วในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ กว่า 9 ใน 10 ส่วนของผู้ฝึกตน ล้วนหวังอยากจะเหลือนามกระเดื่องทิ้งไว้ในโลกหล้าก่อนที่อายุขัยจะหมดลง…


 


เพราะมีเพียงเช่นนั้น พวกมันจึงถือได้ว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว…


 


เช่นนั้นการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่จะจัดขึ้นทุกๆ 50 ปี ก็เป็นหนึ่งในเวทีที่มีโอกาสให้พวกมันได้เฉิดฉายและกลายเป็นที่จดจำ ทำให้มีผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดไม่น้อยมาเข้าร่วม


 


แน่นอนว่าถึงแม้ผู้ฝึกตนพเนจรบางคนจะยอดเยี่ยม อนิจจาแต่โดยรวมแล้วก็ด้อยกว่าศิษย์ของขุมพลังชั้นนำ


 


บางทีศักยภาพและพรสวรรค์ของพวกมันอาจไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย หากแต่ทรัพยากรบ่มเพาะที่พวกมันได้รับ แน่นอนว่ายากจะเทียบเคียงกับอีกฝ่ายได้เลย


 


ด้วยเหตุนี้ก็เป็นธรรมดาที่พวกมันจะด้อยกว่า


 


“พลังฝีมือของหยินชวีจื่อช่างร้ายกาจนัก!”


 


สายตามากมายที่จับจ้องมองไปยังหยินชวีจื่อเผยความตกใจไม่น้อย


 


ในกาลก่อนแม้พวกมันจะรู้ดีว่าในศาลเจ้าชุนหยาง มีอีก 2 คนที่มีพลังฝีมือไม่อ่อนด้อยไปกว่าจิ้งชวีจื่อมากสักเท่าไหร่ อนิจจาแต่เพราะชื่อเสียงของจิ้งชื่อจวี่ที่โด่งดังเกินไปจึงบดบังรัศมีพวกมันเสียมิด


 


ทว่าวันนี้…1 ใน 2 ยอดฝีมือที่ว่า หยินชวีจื่อ ได้ทำให้พวกมันประจักษ์แล้ว!


 


“ถึงแม้กาลก่อนข้าจักได้ยินว่าศาลเจ้าชุนหยางมีอัจฉริยะอยู่ถึง 3 แต่ข้ากลับคิดว่าอีก 2 นั่นเพียงมีชื่อเสียงมาเพราะเกาะจิ้งชวีจื่อดังเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกมันจะสมคำร่ำลืออัจฉริยะทั้ง 3 ของศาลเจ้าชุนหยางแล้วจริงๆ”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


วาจานี้ทำให้หลายๆคนยอมรับ


 


“นอกจากจิ้งชวีจื่อ หยินชวีจื่อ ยังมีอวี้ชวีจื่ออีกคน…ในเมื่อกล่าวกันว่าอวี้ชื่อจื่อทัดเทียมกับหยินชวีจื่อ เช่นนั้นมันก็สมควรร้ายกาจเช่นกัน!”


 


บางคนกล่าวถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมออกมา


 


และทันใดนั้นสายตาหลายๆคู่ก็หันขวับไปจับจ้องยังกลุ่มคนของศาลเจ้าชุนหยางทันที


 


และไม่นานแววตาของทั้งหมดก็จับจ้องเขม็งไปยังร่างๆหนึ่งที่แลดูธรรมดา ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นเป้าสายตาของสหายพรตด้วยกัน เช่นนั้นก็คือคนที่ทุกคนกำลังพูดถึงไม่ผิดแน่!


 


และตอนนี้สายตาต้วนหลิงเทียนก็ไปหยุดอยู่ที่อวี้ชื่อจื่อคนนี้เช่นกัน


 


อวี้ชวีจื่อเป็นนักพรตเต๋าที่แลดูธรรมดาสามัญ หน้าตาท่าทางของมันแสนธรรมดาและไม่ได้แลดูโดดเด่นอะไรในบรรดานักพรตของศาลเจ้าชุนหยางสักนิด…


 


เรียกว่าหากไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นใคร น่ากลัวว่าจะถูกเหมารวมว่าเป็นนักพรตธรรมดาๆที่ติดสอยห้อยตามมาชมดูการประลองเอาสนุกสนาน ยากที่ใครจะบอกได้ว่ามันคืออัจฉริยะ 1 ใน 3 ของศาลเจ้าชุนหยาง!


 


‘อวี้ชวีจื่อนั่นท่าทางไม่ธรรมดา’


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะมีวิธีตรวจสอบพลังฝึกปรือผู้คนให้แน่ชัด แต่ลำพังแค่มองตาเปล่า…ด้วยท่าทีสำรวมไม่คล้ายถือตัวของอวี้ชวีจื่อนั่น…


 


สัญชาติญาณของเขาก็บอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีดีกว่าที่ตาเห็น!


 


“ดี!”


 


ตอนนี้เองเริ่นจงพลันเปิดปากกล่าวคำ “ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าศาลเจ้าชุนหยางมี 3 อัจฉริยะ สุดท้ายวันนี้ข้าก็ได้ประจักษ์แล้ว นับว่าพวกเจ้าสมคำร่ำลือจริงๆ…ยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ย่อมหมายความว่าผู้ที่จะได้ติดอันดับก็คือสุดยอดนักรบของเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจริงๆ!!”


 


“ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอดูชมพลังฝีมือของพวกเจ้า!!”


 


วาจานี้ของเริ่นจงเห็นได้ชัดว่าจงใจกล่าวบอกต่อเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาทั้งหลายที่ยังไม่เริ่มลงมือ


 


ไม่ทราบว่าเพราะวาจานี้มีอานุภาพชักนำจิตใจ หรือทั้งหมดบังเกิดความฮึกเหิมจากการเห็นหยินชวีจื่อสำแดงพลังกันแน่! ทว่าพลันมีเซียนขัดเกลาคนหนึ่งโดดขึ้นมายังเวทีเม็ดหมากที่มีจ้าวเวทีเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดทันที!!


 


และทันทีที่มันมายืนเผชิญหน้ากับจ้าวเวที กลิ่นอายพลังทั่วกายพลันปะทุออกพร้อมรบ!!


 


พอกลิ่นอายพลังดังกล่าวสาดตีปะทะใบหน้าจ้าวเวทีอันมีด่านพลังขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด สีหน้าแววตาของจ้าวเวทีคนนั้นก็ซีดลงเป็นไก่ต้มทันที “ซะ…เซียนขัดเกลา!!”


 


ความต่างระหว่างเซียนดั้งเดิมกับเซียนขัดเกลา เป็นอะไรที่เรียกว่าประหนึ่งอยู่กันคนละโลก!


 


เพราะประสิทธิภาพและพลังของปราณแรกกำเนิดทั้งคู่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


ทำให้ขอบเขตพลังทั้ง 2 มีกลิ่นอายพลังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!


 


ด้วยเหตุนี้เพียงแค่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของอีกฝ่าย ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จ้าวเวทีในขอบเขตเซียนดั้งเดิมจะไม่อาจบอกได้ว่าคู่ต่อสู้…ใช่มีขอบเขตพลังเดียวกันกับตัวหรือไม่!


 


“เจ้านั่นเป็นผู้ใดกัน?”


 


“ข้ามิเคยเห็นมาก่อน”


 


“สมควรเป็นผู้ฝึกตนพเนจร…กล่าวกันว่าในการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง เหล่ายอดฝีมือที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจรจะแห่กันมาปรากฏตัว…ดูเหมือนว่านี่จักเป็นเรื่องจริง!”


 


“เซียนขัดเกลา…ผลการประลองชัดเจนแล้ว”


 


……


 


สายตาของผู้คนที่มองชมมายังเวทีนี้ ล้วนจับจ้องไปยังเซียนขัดเกลาที่พึ่งปรากฏตัวออกมา พวกมันมั่นใจผลประลองนัก!


 


และผลที่ออกมาก็เป็นดั่งที่พวกมันคิดคาดเอาไว้


 


แม้จ้าวเวทีที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดจะมีฝีมือร้ายกาจไม่น้อย แต่ก็ยังนับว่าอ่อนแอกว่าฉีกังหลายส่วน! เช่นนั้นแล้วการเจอเข้ากับเซียนขัดเกลา ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนพเนจร มันก็ยังต้องแพ้พ่าย


 


โชคดีที่อีกฝ่ายยังออมรั้งยั้งมือไว้ให้ หาไม่แล้วมันคงตกตายคาที่!


 


การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง แม้จะไม่สนว่าเป็นหรือตาย หากแต่ถ้าช่องว่างของพลังต่างชั้นกันเกินไป ผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าก็มักจะละเว้นผู้อ่อนแอ ด้วยไม่อยากถูกมองว่าเป็นการรังแกกัน


 


“ขอบคุณเจ้าที่เมตตา”


 


อดีตจ้าวเวทีที่รอดชีวิตมาได้ มองไปยังจ้าวเวทีคนใหม่ด้วยสายตาสำนึกบุญคุณ เร่งประสานมือกล่าวขอบคุณออกมาทันที


 


จ้าวเวทีคนใหม่เพียงพยักหน้ารับเบาๆอย่างเฉยเมย แน่นอนว่าอดีตจ้าวเวทีก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร อีกฝ่ายก็แค่ไม่สนใจมันเท่านั้น…


 


หลังจากนั้นไม่นาน…ดั่งไฟป่าหรือห่าระบาดก็ไม่ปาน อีก 8 เวทีที่เหลือก็ปรากฏจ้าวเวทีคนใหม่ซึ่งเป็นตัวตนในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาทั้งสิ้น!


 


เรียกว่าพริบตานี้ทั้ง 10 เวทีเม็ดหมาก ล้วนมีแต่ตัวตนในขอบเขตเซียนขัดเกลาทั้งสิ้น!


 


แน่นอนว่าทั้งหมดตอนนี้ ยังเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้น!


 


และในบรรดาจ้าวเวทีทั้ง 10 บางคนก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นจากขุมพลังชั้น 5 อย่างเช่นหยินชวีจื่อ อย่างไรก็ตามมีผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดไม่น้อยเช่นกัน


 


“ครึ่งหนึ่งใน 10 ของจ้าวเวทียามนี้กลับมีผู้ฝึกตนพเนจรถึง 5 คน…ข้าล่ะมิอยากจะเชื่อเลยจริงๆว่ายังมีผู้ฝึกตนพเนจรมากฝีมือซุกซ่อนอยู่ในเขตอิทธิพลฟ้าลิ่วล่องมากมายเพียงนี้ หากพวกนั้นได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรบ่มเพาะจากขุมพลังใหญ่ๆ พลังฝีมือจะเป็นเช่นไรนะ…”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ท่าทางคล้ายเสียดายไม่น้อย


 


“ฮึ่ม! เจ้าพูดมันก็ง่าย…เจ้าคิดจริงๆหรือว่าผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดนั่นจักมิชอบอิสระเช่นนี้? มีพลังสนับสนุนมันก็ดี แต่หากเจ้ามิมีผู้สนับสนุนเล่า…เจ้าจักมิได้อันใดเลย! เจ้าคิดว่าขุมพลังทั้งหลายจะสนับสนุนอย่างไร้นัยน์ตาหรือ?!”


 


นอกจากนั้นยังมีบ้างที่ดูแคลน


 


วาจาดูแคลนอย่างไร้เรื่องราวนี้ก็ปิดปากผู้ที่กล่าวออกแรกๆจนหมด


 


ถูกแล้ว


 


มหาอำนาจอย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ศาลเจ้าชุนหยาง วัดฟ่านเทียน แม้จะร่ำรวยมากทรัพยากร แต่ก็มิใช่ว่าจะหลับหูหลับตาสนับสนุนผู้ใดมั่วๆ พวกมันต้องควาญหาอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่ดีที่สุดเพื่อสนับสนุน!


 


หาไม่แล้วพวกมันก็เปรียบดั่งทุ่มหินถมทะเล! กลายเป็นสูญทรัพยากรไปเปล่าๆ!!


 


หาไม่แล้วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะมีผู้ฝึกตนพเนจรเยอะแยะมากมายได้อย่างไร?


 


แน่นอนว่ายากจะปฏิเสธได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนพเนจรเพราะชมชอบอิสระเสรี อย่างไรก็ตามหลายคนก็อึดอัดกับระบบในขุมพลังสำนักนิกายทั้งหลายที่ต้องแข่งขันช่วงชิง บ้างก็มีกฏเกณฑ์ข้อบังคับมากมาย ด้วยเหตุนี้หลายต่อหลายคนจึงชมชอบเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัด


 


‘ไม่คิดเลยว่าในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมีเซียนขัดเกลาที่อายุน้อยกว่า 50 ปีเยอะขนาดนี้…’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่นิลสวรรค์อยู่ขอบเวที อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยอารมณ์


 


“หืม?”


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมายังเขาอีกครา และพอย้อนรอยกลับไปก็พบว่าเป็นหลวงจีนลายบุปผาอีกแล้ว


 


อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะพบว่าอีกฝ่ายมองมา แต่เขาก็คร้านจะไปสนใจอะไรมัน


 


‘ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เจ้านั่นยังมิเผยทีท่าสนใจในการประลองแม้แต่น้อย…นี่มันเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่แข็งแกร่งจริงๆ หรือมันไม่มีสหายและบังเอิญมาดูชมการประลองเอาสนุกสนานกันแน่? ทีท่าไม่แยแสอันใดนั่นก็แสร้งวางมาดยอดฝีมือ?’


 


มองพินิจต้วนหลิงเทียนสักพัก หลวงจีนลายบุปผาก็ลอบสันนิษฐานในใจ


 


ตอนแรกเพราะมันเห็นต้วนหลิงเทียนมาคนเดียว และทีท่าเฉยเมยคล้ายไม่แยแสอะไรเลยของอีกฝ่าย ก็ทำให้มันสังหรณ์ใจว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะธรรมดา


 


หากแต่สักพักมันก็รู้สึกว่ามันคิดมากไปเอง


 


อย่างไรก็ตามพอมาตอนนี้ เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยังคงสงบอยู่ได้แม้จะแลเห็นการลงมือของขอบเขตเซียนขัดเกลา ทั้งยังมองด้วยสายตาคล้ายไม่ได้นับเป็นอะไร ก็ทำให้มันเริ่มคิดขึ้นมาอีกครั้งว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะไม่ธรรมดาจริงๆ!


 


แน่นอนว่ายังมีโอกาสที่อีกฝ่ายเสแสร้งแสดง วางมาดเป็นยอดฝีมือลึกลับ


 


หากแต่สรุปแล้วกล่าวได้ว่ายิ่งมามันยิ่งมองต้วนหลิงเทียนไม่ออก+


 


ตอนนี้จ้าวเวทีทั้ง 10 ที่ยืนเด่นหราอยู่กลางเวทีเม็ดหมาก ก็เผยทีท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากรบ ต่างว่ายตามองไปรอบๆ เพื่อดูว่าจะมีผู้ใดโดดขึ้นมาท้าสู้กับตัวเองบ้าง..


 


ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้นบังเกิดเสียงสายลมหอบหนึ่งพัดแหวกอากาศฉับไว มีบางคนเหินร่างออกไปจากกลุ่มคนวัดฟ่านเทียน!


 


เป็นหลวงจีนหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยหนวดเคราหรอมแหรมเป็นตอ ด้วยคิ้วที่หนาทำให้มันแลดูห้าวหาญหากแต่ไม่ดุร้าย ถึงแม้รูปร่างจะกลางๆ ทว่าแลดูแข็งแกร่งกระชับสมส่วน


 


“ในบรรดายอดฝีมือของวัดฟ่านเทียน ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีแล้วบรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาก็มีแค่ 2 คนเท่านั้น…หนึ่งในนั้นคือหลวงจีนลายบุปผา…เช่นนั้นอย่าได้บอกข้าเชียวว่านี่คือหลวงจีนเนื้อสุรา ศิษย์พี่ของหลวงจีนลายบุปผา!?”


 


เมื่อหลวงจีนหนุ่มที่มีหนวดเคราหรอมแหรมปรากฏตัวออกมา คนที่จดจำมันได้ก็รีบโพล่งออกมาทันที


 


หลวงจีนเนื้อสุรา!


 


พอได้ยินวาจาของผู้ที่โพล่งคำออกมา สองตาของผู้ชมทั้งหลายก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด!


 


“ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหลวงจีนเนื้อสุรามาบ้าง…อีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ของหลวงจีนลายบุปผา! และเคยเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปีของวัดฟ่านเทียน จนกระทั่งหลวงจีนลายบุปผาผงาดขึ้นมา มันจึงตกไปเป็นอันดับ 2!”


 


อีกคนกล่าวเสริม


ตอนที่ 1,676 : เซียนขัดเกลาขั้นกลางอีกคน!


 


“ถึงตอนนี้พลังฝีมือมันจักเป็นรองหลวงจีนลายบุปผา แต่ก็มิได้อ่อนด้อยกว่ากันมากนัก…หลวงจีนเนื้อสุราย่อมมิได้ง่ายดายแน่!”


 


หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดนี้


 


‘หลวงจีนลายบุปผากับหลวงจีนเนื้อสุรา…วัดฟ่านเทียนนี่นับว่าน่าสนใจไม่เบานี่นา แถมท่าทางชื่อหลวงจีนเนื้อสุราอะไรนี่ คงได้มาเพราะมันกินเนื้อดื่มสุราแน่นอน’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ


 


ครั้งนี้นับว่าเขาคาดถูก! หลวงจีนเนื้อสุรานั้นไม่งดเว้นจากการกินเนื้อและดื่มสุราจริงๆ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร..


 


หลวงจีนเนื้อสุราเลือกที่จะโจนขึ้นเวทีประลองอันมีจ้าวเวทีเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัดขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น


 


หลังจากที่ทั้งคู่ลงมือเปิดใช้เขตแดนแล้วเสร็จ หลวงจีนเนื้อสุราก็อาศัยพลังฝีมืออันเหนือกว่า ใช้เพียง 3 กระบวนท่าเท่านั้นในการสยบปราบอีกฝ่าย!


 


“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง!?”


 


วินาทีที่หลวงจีนเนื้อสุราปะทุพลังออกมา เริ่นจงและหลิวหงกวงที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าสูงก็แปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่คาดคิดเอาไว้เลย…ว่านอกจากหลวงจีนลายบุปผาแล้ว วัดฟ่านเทียนยังมีเซียนขัดเกลาอยู่อีกคน!


 


และจากพลังปราณแรกกำเนิดที่หลวงจีนเนื้อสุราเผยออก ไม่ว่าผู้ใดก็บอกได้ทันทีว่ามันบรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว!


 


เรื่องนี้ยังทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย


 


แม้ว่าจากไอพลังปราณแรกกำเนิดของหลวงจีนเนื้อสุราจะเผยให้เห็นว่ายังไร้เสถียรภาพ ประหนึ่งพึ่งทะลวงด่านพลังมาได้ไม่นาน…


 


แต่ถึงกระนั้นพวกมันก็จำต้องตกใจ!


 


วัดฟ่านเทียนจะอย่างไรก็เป็นแค่ขุมพลังชั้น 5 กลับมียอดฝีมืออย่างหลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุราได้!


 


เรียกว่าศิษย์สายเลือดใหม่ในวัดฟ่านเทียน ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าศิษย์เลือดใหม่ของขุมพลังชั้น 4 เลย! เรื่องนี้นับว่าสร้างความกดดันให้ขุมพลังชั้น 4 ไม่น้อย…!!


 


เพราะพวกมันเองก็เคยผ่านจุดนี้มา ไม่ใช่ว่าขุมพลังชั้น 4 จะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่แรก หากทว่าค่อยๆใช้พลังไต่เต้าขึ้นมา!


 


แน่นอนว่าบางขุมพลังก็ทะยานอยู่สูง บ้างก็ร่วงหล่นไม่ถึงฝัน


 


กระทั่งขุมพลังชั้น 4 กับขุมพลังชั้น 3 เอง บางทีอาจจะครองอำนาจได้หลายปี แต่ก็มีวันร่วงหล่นเช่นกัน บ้างก็ถึงขั้นลดไปเป็นขุมพลังชั้น 6!


 


ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะรุ่นเยาว์สายเลือดใหม่อ่อนด้อยลง บ้างก็ขาดเลือดใหม่มากพรสวรรค์


 


เหตุผลที่บางครั้งรุ่นใหม่กลายเป็นถดถอยลงจากรุ่นเก่านั้น เป็นเพราะไม่ได้รับทรัพยากรที่เหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร กระทั่งบางครั้งก็ถูกพวกที่ครองอำนาจในขุมพลังขัดขากีดกัน ใช้เส้นสายเห็นแก่พวกพ้อง…กลับกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้กลับไม่มีที่ยืน!


 


นี่ยังเป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยอดฝีมือบางคน เลือกจะละทิ้งขุมพลังผันตัวไปเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไร้สังกัด!


 


วัดฟ่านเทียนตอนนี้อาจเทียบกับ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง คฤหาสน์ข้ามฟ้า และคฤหาสน์คลื่นคลั่งไม่ได้ แต่เกรงว่าหากเวลาผันผ่านไปอีกสักไม่กี่สิบปี ยามที่หลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุราเติบโตเต็มศักยภาพ ทั้งคู่อาจนำพาให้วัดฟ่านเทียนยกระดับกลายเป็นขุมพลังชั้น 4 ได้!


 


อันที่จริงตอนนี้ไม่ใช่แค่เริ่นจงกับหลิวหงกวงที่รู้สึกกดดันเท่านั้น


 


ผู้ที่รู้สึกกดดันมากที่สุดย่อมเป็น ฉีเสิ่น อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


ตอนนี้เมื่อฉีเสิ่นมองไปยังหลวงจีนเนื้อสุรา แม้จะไม่ชัดเจน แต่ในแววตาของมันกลับเผยเจตนาสังหารออกมาให้เห็นรางๆ!


 


เมื่อเห็นพลังฝึกปรือของหลวงจีนเนื้อสุรา ในใจมันบังเกิดจิตฆ่าฟันขึ้นมาทันที


 


หากเป็นคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งมียอดฝีมือระดับนี้มันคงไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เพราะเป็นขุมพลังชั้น 4 ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง อย่างไรก็ตามกับวัดฟ่านเทียนนั้นเรื่องราวต่างออกไปแล้ว เพราะหากวัดฟ่านเทียนทะยานขึ้นมาจริงๆ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมันจะตกที่นั่งลำบากทันที ดั่งคำว่า “1 ภู มิอาจรองรับ 2 พยัคฆ์”


(1 ภู มิอาจรองรับ 2 พยัคฆ์ ก็เหมือนๆกับ เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้)


 


‘ดูเหมือนว่าหลังจบการประลองยอดนักรบครานี้ สมควรแก่เวลาที่จะส่งคนไปเก็บหลวงจีนลายบุปผากับหลวงจีนเนื้อสุรานั่นได้เสียที…’


 


ฉีเสิ่นลอบกล่าวในใจ


 


ในประวัติศาสตร์ของเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว…


 


มียอดฝีมือหลายต่อหลายคนที่เผยอัจฉริยะภาพให้เห็นในเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทว่าผู้ใดที่ไม่ใช่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ส่วนมากแล้วจะตกตายหรือไม่ก็หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนที่จะทันได้เติบโตเต็มที่…


 


แม้หลายคนจะสงสัยว่าเรื่องนี้สมควรมีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอยู่เบื้องหลัง แต่พวกมันก็ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เป็นขุมพลังชั้น 4 ที่ยากตอแย เรื่องนี้จึงได้แต่ถูกปล่อยผ่านเลยไปถ่ายเดียว…


 


อย่างไรก็ตามฉีเสิ่นไม่ทันรู้ตัวเลย ว่ายามที่มันมองหลวงจีนเนื้อสุราด้วยแววตาเผยเจตนาฆ่าฟันวูบหนึ่ง เจ้าอาวาสของวัดฟ่านเทียนได้จับตาดูมันอยู่แต่แรก…


 


‘ดูเหมือนว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของข้าจักถูกต้อง…สิ้นสุดการประลองยอดนักรบเมื่อใด จำต้องส่งตัวหลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุราออกไปฝึกฝนบ่มเพาะนอกเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพื่อให้บรรลุพลังฝีมือสูงสุดเต็มศักยภาพเสียก่อนค่อยย้อนกลับวัดฟ่านเทียน…’


 


นี่คือสิ่งที่เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนตัดสินใจเอาไว้แต่แรก


 


เรื่องนี้ทำเพื่อปกป้องหลวงจีนลายบุปผาและหลวงจีนเนื้อสุรา ที่เป็นอนาคตของวัดฟ่านเทียน


 


ในอดีต ตอนเกิดเรื่องราวทำนองยอดฝีมือในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ตกตายทั้งหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุนั้น ก็มีคนของวัดฟ่านเทียนรวมอยู่ด้วยเช่นกัน!


 


ตอนนั้นศิษย์พี่ของเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนเองก็มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าตัวมันมากนัก! ทว่ากลับต้องมาตกตายอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนที่จะได้เติบโต…


 


เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนเชื่อมั่นนัก ว่าหากศิษย์พี่ของมันไม่ตกตาย พลังฝีมือในปัจจุบันน่ากลัวจะไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากศิษย์พี่ของมันยังอยู่ วัดฟ่านเทียนคงไม่เป็นแค่ขุมพลังชั้น 5 อย่างทุกวันนี้!


 


ด้วยมีบทเรียนอันประเสริฐ เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนจึงคิดส่งยอดฝีมือเลือดใหม่ทั้ง 2 ให้ไปฝึกฝนอย่างปลอดภัย ห่างจากอิทธิพลที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเอื้อมถึง เพื่อไม่ให้ประสบชะตากรรมเดียวกับคนรุ่นก่อน ทำลายแผนชั่วของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเสีย!!


 


“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง?!”


 


ตอนนี้เองเหล่าผู้ชมทั้งหลายก็ได้รับทราบถึงพลังฝึกปรือของหลวงจีนเนื้อสุราที่พึ่งเอาชนะจ้าวเวทีคนเก่า! บ้างก็จับสัมผัสได้เอง บ้างก็ได้ยินจากยอดฝีมือ…


 


“หลวงจีนเนื้อสุรากลับสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แล้ว…เช่นนั้นอย่าได้บอกข้าเชียวนะว่าหลวงจีนลายบุปผาทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!!”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมา


 


จังหวะนี้หลวงจีนลายบุปผาพลันเป็นจุดสนใจทันที


 


เรียกว่าวัดฟ่านเทียนกลายเป็นจุดเด่น ดั่งมีแสงฉายส่องลงมาในชั่วพริบตา!


 


ฟุ่บ!


 


ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงสายลมกรรโชกดังเสียดหูขึ้นมาในอากาศ พาลให้ทุกคนละความสนใจจากหลวงจีนลายบุปผาทันที ต่างหันมองไปยังร่างหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศไปฉับไว!


 


ร่างนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอวี้ชวีจื่อจากศาลเจ้าชุนหยาง!


 


อวี้ชวจื่อ ก้าวขึ้นเวทีแล้ว!


 


ทันใดนั้นทุกสายตาไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องมองอวี้ชวีจื่อทันที ต่างเฝ้ารอเห็นพลังฝีมือของมันกันทั้งสิ้น


 


“หยินชวีจื่อจากศาลเจ้าชุนหยางพลังฝีมือร้ายกาจมิใช่ชั่ว เช่นนั้นก็คงมิต้องสงสัยพลังฝีมือของอวี้ชวีจื่อคนนี้ว่าจักร้ายกาจหรือไม่! ในเมื่อหยินชวีจื่ออยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นยังมีพลังฝีมือไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่อาจจะต่อสู้ทัดเทียมกับเซียนขัดเกลาขั้นกลางดาษๆได้ด้วยซ้ำ..”


 


หลายคนกล่าวออกมาอย่างวาดหวัง “มิรู้ว่าพลังฝีมือของอัจฉริยะคนที่ 3 จากวัดฟ่านเทียน อวี้ชวีจื่อผู้นี้จะเป็นอย่างไร”


 


อวี้ชวีจื่อที่เป็นจุดสนใจนั้น มันเลือกท้าจ้าวเวทีอันเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้น ยามเผชิญหน้ายังประสานมือทักทาย ด้วยความสุภาพเรียบร้อย…ไม่มีอาการหยิ่งยโสถือดีอะไรให้เห็น!


 


ทว่าท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองอย่างวาดหวังของทุกคน อวี้ชวีจื่อกลับลงมือสยบคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว!


 


เปรี๊ยง!!


 


พลังฝีมือที่มันสำแดงออกพาลให้ทุกผู้คนตกตะลึงนัก!


 


“เซียนขัดเกลาขั้นกลางอีกคนแล้ว!”


 


เริ่นจง หลิวหงกวงผู้ดูแลที่ลอยร่างบนฟ้าสูง ต่างหันหน้ามามองสบตากันทันใด และต่างเห็นซึ้งถึงอาการตกตะลึงในแววตาของอีกฝ่ายชัดเจน!


 


วัดฟ่านเทียนมียอดฝีมือเซียนขัดเกลาขั้นกลางที่อายุยังไม่ถึง 50 ปีอยู่ 2 คนก็ทำให้พวกมันตกใจไม่น้อยแล้ว…


 


อย่างไรก็ตาม ศาลเจ้าชุนหยางกลับเผยให้รู้ว่าอย่างน้อยๆ พวกมันก็มีเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่ 2 คนเช่นกัน!


 


นอกจากนี้พลังฝีมือของหยินชวีจื่อนั่นก็มิใช่ต่ำทรามเลย!!


 


แม้หยินชวีจื่อจะเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นต้น แต่ด้วยพลังอำนาจที่มันเผยออกน่ากลัวว่ามันจะเป็นตัวตนอันไร้พ่ายในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นแล้วจริงๆ!


 


ไม่นานเริ่นจงกับหลิวหงกวงก็คล้ายนึกอะไรได้ออก ต่างหันไปมองฉีเสิ่นอย่างพร้อมเพรียง!


 


พวกมันเชื่อว่าฉีเสิ่นสมควรเป็นคนที่ตกใจมากที่สุด และเป็นคนที่ไม่อยากเห็นเรื่องนี้มากที่สุด!!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัดฟ่านเทียนหรือศาลเจ้าชุนหยาง ก็ล้วนแต่อยู่ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้งสิ้น!


 


แม้ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ถ้าหากวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางคิดยกระดับตัวเองให้กลายเป็นขุมพลังชั้น 4 วิธีการที่ง่ายที่สุดคือใช้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นหินรองเท้าในการก้าวขึ้นมา!


 


สำหรับการบุกไปครอบครองพื้นที่อื่น หรือต่อสู้กับขุมพลังชั้น 4 ขุมอื่นนั้น ไม่ค่อยจะเป็นตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ เพราะมีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘มังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินเจ้าที่’


 


‘ตาย! พวกมันทุกตัวต้องตาย!!’


 


หากมีใครสังเกตสีหน้าของฉีเสิ่นให้ดีล่ะก็ จะพบว่ายามนี้กล้ามเนื้อใบหน้ามันทั้งเกร็งทั้งกระตุก ท่าทางกำลังมีโมโหไม่น้อย!


 


ผู้สืบทอดของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางล้วนเป็นชนชั้นอัจฉริยะน่ากลัวทั้งนั้น! สำหรับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย!


 


“เหอะ!”


 


ห่างออกไประยะหนึ่ง นักพรตชราอันเป็นผู้นำของศาลเจ้าชุนหยางเองก็กำลังจับตาดูฉีเสิ่นอยู่เช่นกัน พอเห็นสีหน้าแววตาเผยเจตนาฆ่าฟัน มันก็แค่นคำออกมาเสียงเย็น ‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ข้าไม่มีวันเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทำลายอนาคตของศาลเจ้าชุนหยางข้าได้แน่!’


 


เห็นได้ชัดว่าผู้นำศาลเจ้าชุนหยางก็คิดเห็นตรงกันกับเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียน ต่างหาวิธีปกป้องศิษย์ของตัวเต็มที่!


 


‘วัดฟ่านเทียน ศาลเจ้าชุนหยาง…น่าประทับใจจริงๆ! คฤหาสน์คลื่นขจีแม้จะเป็นขุมพลังชั้น 5 เหมือนกัน แต่รุ่นเยาว์กลับขาดแคลนชนชั้นยอดฝีมือนัก!!’


 


ต้วนหลิงเทียนพูดในใจ


 


เท่าที่รู้มา…น่ากลัวรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในคฤหาสน์คลื่นขจี สมควรเป็นหานเฉวี่ยไน่!


 


ส่วนยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี…ดูเหมือนจะไม่มีสักคน!


 


แต่แน่นอนว่าเขาเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด ว่าด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของหานเฉวี่ยไน่ ก่อนที่นางจะอายุ 50 นางต้องก้าวข้ามหลวงจีนเนื้อสุราและอวี้ชวีจื่อไปได้แน่นอน กระทั่งจะเอาชนะหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!


 


เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เหล่าขอบเขตเซียนขัดเกลาก็เริ่มขึ้นมายังเวทีประลองกันมากขึ้น


 


และตอนนี้ก็มีขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ตายตกบ้างแล้ว


 


เซียนขัดเกลาที่ตายตกนั้นแน่นอนว่าเป็นผู้ฝึกตนพเนจร!


 


เหตุผลของเรื่องนี้ง่ายดายนัก ผู้คนรู้กันดีว่าผู้ฝึกตนพเนจรย่อมไร้ภูมิหลังสำคัญ สามารถเข่นฆ่าสังหารได้โดยที่ไม่ต้องกลัวผลที่ตามมา


 


หลังจากนั้นขอบเขตเซียนขัดเกลาที่ขึ้นไปประมือกันบนเวที ต่างก็มีพลังฝีมือไล่เลี่ยกัน จึงใช้เวลาในการประลองค่อนข้างนาน ทำให้แม้จะเริ่มมืดค่ำแล้ว แต่ก็มีหลายคนที่ไม่มีโอกาสขึ้นเวที


 


ส่วนหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ จงกู้ และต้วนหลิงเทียนยังไม่คิดเคลื่อนไหวแต่อย่างใด


 


แน่นอนว่าผู้คนส่วนมากแทบไม่มีสนใจต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดต่างคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่มาดูชมการประลองเอาสนุกสนานเท่านั้น ไม่ได้คิดช่วงชิงตำแหน่งอะไรในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!


 


สุดท้ายแล้วเมื่อจบวัน จ้าวเวทีที่อยู่บนเวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ก็เป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง 2 คน ต่างเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้นทั้งคู่!


 


เรียกว่าพลังฝีมือของทั้ง 2 คน…ไม่ต้องถึงมืออวี้ชวีจื่อกับหลวงจีนเนื้อสุราด้วยซ้ำ กระทั่งหยินชวีจื่อพวกมันยังด้อยกว่า!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)