War sovereign Soaring The Heavens 1669-1672

 ตอนที่ 1,669 : การประลองจัดอันดับ


 


หลังการเปิดเผยตัวตนของรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า เริ่นจง ไม่นานชายอ้วนหัวล้านก็เริ่มกล่าวแนะนำตัวออกมาเช่นกัน


 


“ทุกคนสิ่งที่เหล่าเหรินกล่าวออกมา ก็คือวาจาที่ข้าจะกล่าวเช่นกัน ดังนั้นข้าก็ไม่ขอกล่าวอะไรให้มากความ…ข้าคือ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง”


(เริ่น กับเหริน ในที่นี้คืออักษรตัวเดียวกัน ต่างแค่เสียงพูด)


 


ชายหัวล้านรูปร่างอ้วนท้วมผู้นี้ก็คือตัวแทนจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ที่ถูกส่งมาควบคุมกำกับการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…หลังจากเกริ่นนำมันก็ประกาศนามตัวเองออกมา


 


คฤหาสน์คลื่นคลั่งก็เป็นเช่นเดียวกับคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ต่างก็เป็นขุมพลังชั้น 4เหมือนกัน!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับฐานะรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าของเริ่นจง รวมถึงฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นแล้ว…ฐานะผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของหลิวหงกวง ออกจะต้อยต่ำไปบ้าง!


 


“ดูเหมือนคฤหาสน์คลื่นคลั่งจักมิได้เห็นความสำคัญของการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องของพวกเราสักเท่าใด…กลับส่งแค่อาวุโสลำดับ 2 มาควบคุมจัดการประลอง”


 


ไม่นานหลังจากที่ได้ทราบตัวตนของชายอ้วนหัวโล้น ก็มีบางคนกล่าวนินทาออกมาเสียงเข้ม


 


เมื่อมีผู้เปิด ก็ย่อมมีผู้ตาม


 


พริบตาผู้คนมากมายที่ยืนอยู่บนกระดานหมากหลิงหลงที่เสมือนไร้ขอบเขตก็เริ่มระเบิดเสียงอื้ออึงกันออกมาอีกครั้ง


 


“หากเทียบกับอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง รวมถึงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า! อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งยังนับเป็นอันใดได้…!! ข้ามิเข้าใจจริงๆ ว่าคฤหาสน์คลื่นคลั่งคิดอันใดอยู่กันแน่ ถึงได้ส่งมาแค่ผู้อาวุโสลำดับ 2 เช่นนี้!?”


 


“นั่นสิ อาวุโสลำดับที่ 2 จะควบคุมดูแลการประลองให้ดีได้อย่างไร”


 


“เฮ่อ! เช่นนั้นการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องพวกเราวันนี้ผู้มีอำนาจคานกับอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็มีแค่รองผู้นำเริ่นคนเดียวแล้วสิ? แล้วนี่ถ้าหากรองผู้นำเริ่นไม่ได้อยู่ใกล้หรือสังเกตเห็น ผู้ใดจะหยุดคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจากการทำผิดกฏได้เล่า กระทั่งหากอาวุโสหลักลงมือทำผิดกฏเสียเอง แล้วอาวุโสลำดับที่ 2 จะมีปัญญาหยุดหรือ?”


 


“ฮัยยา! ข้าว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นโดยที่รองผู้นำเริ่นไม่เห็น ต่อให้อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งเห็น ก็คงปล่อยให้อยุติธรรมบังเกิดไปเช่นนั้นแล้วล่ะ…พลังฝีมือเท่านี้จะลงมือทำอะไรได้ตอนเกิดปัญหา!”


 


……


 


เมื่อเห็นว่าหลิวหงกวงไม่แม้แต่จะสนใจคำซุบซิบนินทา ทั้งหลายได้ทีก็ยิ่งเอาใหญ่ กล่าวกันสนุกปากได้อีก


 


ส่วนหลิวหงกวงที่ลอยร่างเหนือกระดานหมากหลิงหลงยังคงเฉยเมยไม่แยแส คล้ายไม่ได้ยินวาจานินทาจากผู้คนแม้แต่น้อย


 


แต่อันที่จริงด้วยด่านพลังฝึกปรือของมัน ย่อมสามารถได้ยินทุกวาจาของผู้คนชัดเจน ต่อให้กระซิบเบากว่านี้ก็ตามที!


 


เช่นนั้นที่มันยังคงสงบก็เพราะมันไม่ได้สนใจจริงๆ!


 


อย่างไรก็ตามหลิวหงกวงไม่สนใจ แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่สนใจได้! ตอนนี้ผู้คนจากคฤหาสน์คลื่นคลั่งที่ติดตามมาด้วยอดไม่ได้ที่จะมีโทสะ ระดับอาวุโสก็ตะเบ็งเสียงกล่าวแก้ต่างออกคอเป็นเอ็น!!


 


เพราะพวกมันรู้สึกวาจานินทานั้นเหลวไหลไร้ความเป็นธรรมสำหรับพวกมันอยู่บ้าง!


 


อนิจจาเสียงของพวกมันกลับถูกเสียงอื้ออึงกลบเสียมิด แถมพวกมันก็โมโหจนลืมควบปราณแรกกำเนิดเสียอย่างนั้น


 


ตอนนี้เองฉีเสิ่นของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกับยืนผงะมุมปากกระตุกขึ้นมาตงิดๆ


 


คนพวกนี้บอกว่าหลิวหงกวงอ่อนด้อยกว่ามันหรือ?


 


ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะชรากว่าหลิวหงกวงเป็นรอบ หากแต่พลังฝีมือของหลิวหงกวงนั้นได้ก้าวข้ามมันไปตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยามนั้นมันไปเยือนคฤหาสน์คลื่นคลั่ง จนมีเหตุให้ประมือกับหลิวหงกวง อนิจจาไม่ถึง 100 กระบวนท่ามันก็พ่ายแพ้!


 


ในการประมือครั้งนั้น กล่าวได้ว่ามันได้ใช้ออกทุกสิ่งที่มันมียกเว้นศาสตราเซียนและยันต์เต๋าอื่นใดแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำอะไรหลิวหงกวงไม่ได้เลย!


 


ดังนั้นมันเลยแพ้พ่ายการประลองครั้งนั้น!


 


มาตอนนี้พอได้ยินผู้คนกล่าวว่าหลิวหงกวงอ่อนด้อยกว่ามัน ใบหน้าของมันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา


 


‘อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งคนนั้น ไม่ธรรมดาเลย…’


 


หากกล่าวถามว่า ยังจะมีผู้ใดนอกจากคนรู้จักและคุ้นเคยกับหลิวหงกวง แล้วไม่เห็นด้วยกับคำซุบซิบนินทาของผู้อื่น ต้องตอบเลยว่ามีเหลือไม่กี่คนเท่านั้น แต่ยังมีต้วนหลิงเทียนรวมอยู่ในนั้นด้วย


 


เพราะต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นได้ชัดเจน ยามที่ขุมพลังชั้น 4 ไปเข้าที่พักนั้น อาวุโสหลักอย่างฉีเสิ่นไม่เพียงแต่สุภาพกับรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเท่านั้น แต่กับหลิวหงกวงเองก็ยังมีทีท่าสุภาพนอบน้อมไม่ต่างกันเลย!


 


ในฐานะที่เป็นขุมพลังชั้นเดียวกัน ฉีเสิ่นที่มีฐานะอาวุโสหลัก…ต่อให้เป็นเจ้าภาพทว่ากับอาวุโสลำดับ 2 แบบนั้น หากเห็นว่าหลิวหงกวงอ่อนแอกว่าก็คงไม่มีทีท่าสุภาพนอบน้อมเช่นนี้!!


 


เพราะสุดท้ายแล้วโลกนี้ผู้มีพลังฝีมือเป็นที่สุด


 


ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่มีฐานะทางสังคมเหนือกว่า จะมาสุภาพอ่อนน้อมกับผู้ที่ด้อยกว่าทั้งฐานะและวัย!


 


คล้ายกับต้วนหลิงเทียน บรรดาผู้ที่คิดอ่านเช่นนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือของขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 3 รวมถึงยอดฝีมือของขุมพลังชั้น 5 ทั้ง 3 ไม่เว้นพวกงหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจือ และจงกู้ด้วย


 


จากสีหน้าแววตาของพวกมัน เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำซุบซิบนินทาของผู้อื่นโดยรอบ


 


“ทุกคน! ให้ข้าพูดอะไรสักคำเถอะ!!”


 


ในขณะที่สถานการณ์เริ่มเกินควบคุมนั้นเอง เริ่นจงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าก็กล่าววาจาออกมา แถมเสียงมันยังควบแน่นไปด้วยปราณแรกกำเนิด ทำให้ดังพอจะสะกดทุกคน!


 


หลังจากที่ทั้งหมดหุบปาก ต่างก็หันไปมองเริ่นจงเป็นสายตาเดียวกัน


 


พวกมันอยากรู้นักว่ารองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าจะกล่าววาจาอะไรออกมา


 


เมื่อเห็นว่าทั้งหมดสงบปากสงบคำกันแล้ว เริ่นจงก็หันไปมองหลิวหงกวงพร้อมกล่าวออกด้วยเสียงผสานปราณแรกกำเนิด “ในแง่ของอายุ อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งคนนี้ถือได้ว่าอยู่ในรุ่นเดียวกับหลานชายของข้า…หากแต่ในแง่ของพลังฝีมือ น่ากลัวว่าข้าคงไร้ความมั่นใจที่จักเอาชนะ!”


 


ทันทีที่เสียงของเริ่นจงดังจบคำ ฉากเรื่องราวโดยรอบกลับเงีนยงันปานตกตาย!


 


เริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า กล่าวบอกว่าไร้ความมั่นใจที่จะเอาชนะอาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง?


 


เป็นไปได้หรือ!?


 


“ล้อกันเล่นหรือไร!? เพียงอาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งกลับมีพลังฝีมือทัดเทียมกับรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเลยหรือ!?”


 


“เหลวไหลใหญ่แล้ว! ข้าว่ารองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้ากล่าวเช่นนี้ เพราะเพื่อรักษาให้อาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งมากกว่า!!”


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น”


 


“ข้าพเจ้าก็รับประทานข้าว มิใช่หญ้า!!”


 


……


 


แม้เริ่นจงจะกล่าวเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้หลิวหงกวงแล้ว หากแต่ไร้ผู้ใดเชื่อมันสักนิด! แถมยังคิดไปว่ามันกล่าวเพื่อรักษาหน้าให้ผู้อื่นเสียอีก!!


 


พอเห็นดังนี้เริ่นจงจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา


 


ทว่าในขณะที่มันกำลังจะอธิบายออกมาอีกครั้ง หลิวหงกวงที่อยู่ข้างๆ พลันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ช่างเถอะเหล่าเหริน…ข้ามิได้สนใจอะไร ท่านก็อย่าได้ใส่ใจไปเลย แต่อย่างไรเสียข้าก็ขอขอบคุณน้ำใจของท่านมาก”


 


ในเมื่อหลิวหงกวงกล่าวออกมาเองเช่นนี้ เริ่นจงจึงไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีก


 


“หงกวง เจ้ายังนิ่งยิ่งกว่าผู้ชราเช่นข้าเสียอีก…”


 


สุดท้ายเริ่นจงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน


 


อย่างไรก็ตามวันนี้เรื่องที่สำคัญก็คือการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง


 


ดังนั้นพอเวลาผ่านไปสักพัก ผู้คนก็เลิกซุบซิบนินทาหลิวหงกวงไปเอง


 


ความสนใจของุทกคนกลับมาอยู่ที่การประลองแทน


 


“ทุกคนฟัง”


 


เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องออกมาขับไล่ความมืดมิดในหุบเขาจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ เริ่นจง หนึ่งในผู้ดำเนินการจัดการประลอง พลันกล่าวออกมาทันที “วันนี้เป็นวันแรกของการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…ข้าแน่ใจว่าทุกคนสมควรรับทราบกฏกติกาในการประลองกันมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่ายังมีคนที่มิคุ้นเคยกับกฏอยู่เช่นกัน”


 


“เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะกล่าวถึงกฏการประลองให้ทั้งหมดฟังอีกครั้ง จักได้เข้าใจตรงกัน”


 


เมื่อเกริ่นจบคำแล้ว เริ่นจง ก็เริ่มอธิบายกฏกติกาการประลองให้ทุกคนฟัง


 


ช่วงๆแรกที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา ก็คือกฏเบื้องต้นที่ต้วนหลิงเทียนรู้มาแล้ว


 


การประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จะดำเนินในรูปแบบการประลองที่ไม่สนว่าจะอยู่หรือตาย!


 


แต่แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ คู่ต่อสู้ก็จะไม่ได้รับอนุญาติให้ลงมือสังหารโดยเด็ดขาด และเริ้นจงกับ หลิวหงกวงที่เป็นผู้ดูแลกำกับการประลองจะเป็นคนช่วยเหลือผู้ที่พลาดพลั้งเอง


 


ไม่สนว่าจะอยู่หรือตาย!


 


แม้ทุกคนที่มาเข้าร่วมการประลองคราวนี้จะพอรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว…


 


แต่พอเกี่ยวพันกับความเป็นตาย พวกมันก็พบว่ายากที่จะสงบอารมณ์ได้


 


บางคนยังเริ่มมีความคิดถอนตัวขึ้นมา


 


แม้ว่าจะสามารถกล่าววาจายอมแพ้ก่อนตกตายได้ แต่ในระหว่างการประมือถึงขั้นเอาชีวิตกันเช่นนี้ เว้นเสียแต่ท่านจะมีพลังฝีมือทัดเทียมกับคู่ต่อสู้หรือห่างชั้นกว่ากันไม่มาก…หาไม่แล้วคงยากที่จะกล่าววาจายอมแพ้ได้ทัน!


 


ส่วนในการประลองนั้นไม่มีกฏเกณฑ์อะไรอีก เพียง 10 คนสุดท้ายที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ จะติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง


 


“ในการประลองครั้งนี้ห้ามมิให้ใช้ความช่วยเหลือภายนอกอย่างเช่นศาสตราเซียน ยันต์เต๋า อุปกรณ์แฝงอาคมเซียนใดๆทั้งสิ้น…หากพบเห็นจะถูกตัดสิทธิ์ทันที!”


 


เริ่นจงกล่าวสืบต่อ


 


เรื่องนี้เป็นอะไรที่สำคัญนัก


 


ห้ามใช้กำลังภายนอก!


 


ในการชิงชัยอันดับ พึ่งได้ก็แต่พลังฝีมือส่วนตัวเท่านั้น!


 


เหตุผลที่กฏนี้ถูกตราขึ้นมา ทั้งหมดล้วนเพียงเพราะให้การประลองมีความยุติธรรมมากที่สุด ผู้ที่สร้างการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง กลัวว่าผู้ที่มาจากขุมพลังต่ำต้อย จะเสียเปรียบในเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือทั้งหลาย เพราะไม่ใช่ว่าทุกขุมพลังจะมีปรมาจารย์จารึกเซียน หรือปรมาจารย์ยันเต๋าระดับสูงๆ


 


เช่นนั้นแล้วหากใช้ตัวช่วยอื่นใดได้ ผู้ที่มาจากขุมพลังต้อยต่ำไร้ทรัพยากรก็แทบไม่ต้องสู้แล้ว


 


“พวกเจ้าสมควรเคยได้ยินมาแล้วว่าการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องไม่มีกฏเกณฑ์อันใดมากมาย…เพียงยืนหยัดให้ได้ 10 คนสุดท้าย จนไร้ผู้ใดท้าสู้แล้วจริงๆถึงจะติดอันดับในรายนาม! และอันดับจะกำหนดจากการท้าประลองครั้งสุดท้าย จนไร้ซึ่งการท้าประลองอีกต่อไป…”


 


เริ่นจงกล่าวสืบต่อ


 


และตอนนี้เองภายใต้สายตาของทุกคน เริ่นจงกับหลิวหงกวงพลันหันมามองสบตากันคราหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะยกศาสตราขึ้นไม่ว่าจะไม้เท้าหรือค้อนอันเขื่อง ค่อยเหินร่างพุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมๆกัน


 


ทว่าคราวนี้ทั้ง 2 กลับแยกย้ายออกไปกันคนละทาง ฟาดทุบลงไปยังความว่างทางใครทางมัน


 


ปง! เปรี๊ยง!!


 


พร้อมกันกับเสียงกังวาน 2 เสียงดังขึ้นในอากาศ ทุกผู้คนสัมผัสได้ทันที…ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่อบอวลไปทั่วกระดานหมากหลิงหลง อยู่ๆก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลง! พวกมันเริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย เนิ่นนานถึงค่อยสงบลง!!


 


และตอนนี้เองพวกมันพลันได้เห็นหมาก 10 เม็ดที่ก่อนหน้าตั้งไว้บนพื้นกระดานโดยไร้ใครสนใจ พุ่งลอยจากกระดานหมากหลิงหลงขึ้นไปบนฟ้า!


 


หลังจากที่พวกมันลอยตัวสูงขึ้นไปในระดับหนึ่งเม็ดหมากสีขาว 5 สีดำ 5 พลันหยุดลอยค้างกลางหาวปานมีมือที่มองไม่เห็นอุ้มถือเอาไว้!


 


“นี่มัน…”


 


ตอนนี้เองคนบางกลุ่มไม่เว้นต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลงออกมา



ตอนที่ 1,670 : เริ่มต้น


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้า เม็ดหมากทั้ง 10 เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ! และไม่นานแต่ละชิ้นก็กลายเป็นเวทีทรงกลมขนาดใหญ่!!


 


แน่นอนว่าแม้ว่าเวทีเม็ดหมากจะใหญ่โต แต่ก็เทียบไม่ได้กับกระดานหมากหลิงหลงแม้แต่น้อย!


 


อย่างไรก็ตาม การที่เวทีเม็ดหมากมหึมาลอยล่องค้างอยู่กลางหาวได้แบบนี้ เป็นอะไรที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจอย่างถึงที่สุด ‘นี่มันอะไรกันแน่ เวทีเม็ดหมากใหญ่โตขนาดนี้กลับลอยค้างกลางอากาศได้…นี่ใช่ภาพมายาสะท้อนลักษณ์เสมือนจริงรึเปล่า?’


 


อย่างไรก็ตามครู่ต่อมา เริ่นจงพลันกล่าวออกอีกครั้ง โดยบอกให้ผู้คนเริ่มขึ้นไปบนเวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ที่ลอยค้างกลางอากาศได้เลย! นั่นทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบได้ทันที..ว่านั่นไม่ใช่ภาพมายาสะท้อนลักษณ์เสมือนจริงอะไรจากค่ายกล!!


 


และเมื่อใช้จิตสัมผัส ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามันประหนึ่งพื้นจริงๆ!


 


‘ทั้งหมดนี่มันค่ายกลอะไรกันแน่!?’


 


ใจต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนัก ‘ภาพกระดานหลิงหลงทั้งเม็ดหมากที่ขยายเป็นเวที ดูอย่างไรก็สมควรเป็นภาพลวงตาแน่ๆ แต่กลับมีสภาพจับต้องเหยียบย่ำได้เหมือนของจริง’


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนเองจะมีความรู้เรื่องค่ายกลอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดที่เขารู้นั้นไม่มีอะไรอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้เลย


 


‘หรือจะเป็นภาพมายาเสมือนจริงผสานค่ายกลควบแน่นพลังกัน แบบนั้นต่อให้เป็นค่ายกลมายาหลอนจิตของข้า ก็เทียบกับค่ายกลนี่ไม่ได้…ใครเป็นคนคิดค้นค่ายกลนี่ขึ้นมากันนะ? ทรงพลังจริงๆ!’


 


ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความตกใจ


 


ตอนที่อยู่สำนักจันทร์จรัสแสง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับจานค่ายกลมา 3 จาน และหนึ่งในนั้นก็เป็นจานค่ายกลมายาหลอนจิต ซึ่งสามารถหลอกลวงได้กระทั่งสัมผัสพลัง!


 


ส่วนอีก 2 จานนั้นยังซ่อมไม่เสร็จ จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอกจานที่กำลังซ่อมอยู่อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาอีก 6 เดือนถึงจะซ่อมเสร็จ


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนมีกระบี่นิลสวรรค์กับตราผนึกมาร เขาเลยไม่ได้พึ่งพาจานค่ายกลสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกเร่งร้อนให้ผู้เฒ่าหั่วรีบซ่อมอะไร


 


ถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะบอกไว้แล้ว ว่าหากเขามีพลังมากพอ การใช้จานค่ายกลทั้ง 3 ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมาก


 


แน่นอนว่าผู้เฒ่าหั่วยังบอกอีกด้วย ว่าในแง่ของพลังโจมตีของจานค่ายกลจู่โจม มันไม่อาจเทียบกับกระบีนิลสวรรค์ได้เลย ทว่าความต่างของเรื่องนี้ก็คือ ทุกครั้งทีใช้กระบี่นิลสวรรค์มันจะทำให้พลังของต้วนหลิงเทียนตกลงไปอย่างมาก ส่วนจานค่ายกลนั้นจะไม่ค่อยสิ้นเปลืองพลังเขาเท่าไหร่


 


ดังนั้นสำหรับจานค่ายกลแล้ว ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้รีบร้อนอยากได้ แต่เขาก็ยังหวังให้ผู้เฒ่าหั่วซ่อมมันได้โดยโดยใช้เวลาไม่นานนัก เพราะสุดท้ายแล้วมันก็อาจมีประโยชน์กับเขาในสักวัน


 


“ผลของค่ายกลนี้จักมิเหมือนจริงเกินไปหน่อยหรือ?”


 


“ช่างน่าทึ่งนัก! ข้ารู้สึกเหมือนกับกำลังเหยียบพื้นอยู่จริงๆ…ลองก้มไปแตะๆลูบๆดู ก็ให้สัมผัสคล้ายผิวเรียบลื่นของเม็ดหมากนัก!”


 


“แน่นอนว่าใต้ฝ่าเท้าเรามิได้มีเม็ดหมากหรือกระดานหมากหลิงหลงใดๆทั้งสิ้น ทั้งหมดก็แค่ภาพลวงตา หากแต่จุดที่พวกเราสัมผัสสมควรเป็นพลังงานจากค่ายกลที่ควบแน่นจนมีสภาพ! เกิดมาได้เห็นค่ายกลยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าตายก็ไม่เสียดายแล้ว!!””


 


“แล้วเม็ดหมากทั้ง 10 นี่จะเป็นเวทีประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบงั้นหรือ?”


 


……


 


ด้วยเสียงกระซิบอื้ออึงที่ดังระงม ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หายจากอาการเหม่อ สติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง


 


ถึงแม้ว่าการประลองยอดนักรบครั้งนี้จะมีผู้ดูแล 2 คน แต่นอกจากกล่าวแนะนำตัวแล้ว ด้านหลิวหงกวงก็เงียบไปเลย ทั้งหมดล้วนเป็นเริ่นจงที่กล่าวอธิบายรายละเอียดออกมาเพียงคนเดียว


 


ด้านหลิวหงกวงจึงคล้ายถูกผู้คนลืมเลือนไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวกลับไม่ทุกข์ร้อนหรือแยแสอะไร ยังคงลอยร่างข้างเริ่นจงเงียบๆเหมือนเดิม


 


“ทุกคน เม็ดหมากทั้ง 10 ที่พวกเจ้าเห็นและลองสัมผัสอยู่นั้นก็คือเวทีประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง! พวกเจ้าคิดเสียว่าเม็ดหมากทั้ง 10 ก็คือ 1 เวที และแต่ละเวทีจะมีจ้าวเวทีเพียงคนเดียวเท่านั้น!”


 


ทันใดนั้นเองเสียงของเริ่นจงก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมประลอง ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถขึ้นมาบนเวทีได้เลย หากสามารถรับการท้าทายและอยู่จนจบได้โดยที่มิมีผู้ใดท้าทายอีก ก็จักได้เป็นจ้าวเวที!”


 


“และหากจ้าวเวทีคนใดไม่ถูกผู้คนท้าทายเป็นเวลา 1 วันเต็มๆ ก็จักถือว่าเป็นจ้าวเวทีที่มีคุณสมบัติติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง! และจะได้เข้าสู่การประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่แท้จริง!!”


 


……


 


เริ่มจงกล่าวสืบต่อ


 


และจะได้เข้าสู่การประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่แท้จริง!


 


แม้วาจานี้จะฟังดูชวนฉงนไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไร


 


เพราะแม้ตอนนี้จะถือว่าเป็นการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง แต่ต้องทราบด้วยว่าอันดับยอดนักรบมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น กล่าวง่ายๆ ผู้คนเกินกว่า 9 ส่วนที่มาเข้าร่วมล้วนต้องถูกตัดสิทธิ์ และไม่อาจลงประลองจัดอันดับยอดนักรบอะไรได้ต่อ


 


มีเพียง 10 คนสุดท้ายเท่านั้น ที่จะถูกจัดอันดับพลังฝีมือ


 


กล่าวอีกอย่าง การประลองรอบสุดท้ายก็คือการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่แท้จริง เพื่อเฟ้นหาว่าผู้ใดจะเป็นอันดับ 1 และอันดับอื่นๆในรายนาม


 


“เอาล่ะ ตอนนี้หากผู้ใดไม่คิดลงประลองก็ให้ล่าถอยไปยังขอบๆเม็ดหมากเสีย หรือจักไปเหินลอยชมดูที่อื่นก็ได้ ส่วนผู้ที่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติ ก็เชิญไปยืนรอรับการต่อสู้ที่กลางเวทีได้เลย หากไม่มีผู้ใดท้าทายก็ถือว่าเจ้าเป็นจ้าวเวที ส่วนคนอื่นหากคิดว่าจ้าวเวทีไร้คุณสมบัติ ก็จงไปประลองแย่งชิงมาเสีย”


 


เสียงเริ่นจงดังขึ้นอีกครั้ง เหล่าผู้ที่ขึ้นไปลองย่ำๆเหยียบๆทั้งลูบแต่เวทีเม็ดหมากพลันได้สติ เร่งรุดล่าถอยออกไปกันหมด และส่วนใหญ่เลือกที่จะออกจากเวทีเม็ดหมากดังกล่าว…ผู้ใดจะหาญกล้าบ้าบิ่นไปอยู่บนเวทีประลองให้โดนลูกหลงเปล่าๆ?


 


เช่นนั้นเพียงพริบตาเวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ก็ว่างเปล้าไร้ผู้คน…


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงแหวกฝ่าสายลม 5 สำเนียงดังขึ้นในอากาศ ทั้งหมดเหินลอยออกมาจากคฤหาสน์ข้ามฟ้า ส่วนครู่ต่อมาก็มีอีก 5 เสียงดังขึ้นตามติด ทว่าคราวนี้มาจากทงคฤหาสน์คลื่นคลั่ง


 


ทั้งสิ้นเป็น 10 คน ต่างพุ่งแยกย้ายไปเหินลอยเหนือเวทีเม็ดหมาก ราวกับมันเป็นกรรมการผู้เฝ้ามอง


 


“หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง กับข้าจะเป็นผู้ดูแลหลักในการประลองครั้งนี้…สำหรับทั้ง 10 คนที่พวกเจ้าเห็นจักเป็นผู้ดูแลรอง แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบเวทีเม็ดหมากแต่ละเวที หน้าที่รับผิดชอบที่ว่าก็คือตรวจสอบอายุขัยของผู้เข้าประลอง และคอยจับตาดูการประลองเพื่อให้บังเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เข้าร่วมประลอง!”


 


เริ่นจงกล่าวออก


 


ตอนนี้เองทุกคนก็รับทราบทันทีว่าทั้งสิบไปลอยร่างทำอะไร


 


ก่อนหน้านี้ผู้คนเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อย ในเมื่อมี 10 เวทีแบบนี้ หมายความว่าตอนประลองพร้อมกันก็ต้องมี 20 คนออกไปต่อสู้ในเวลาเดียวกัน…!


 


แต่ในเมื่อตอนแรกบอกไว้ว่ามีแค่หลิวหงกวงและเริ่นจงเป็นผู้ควบคุมดูแลการประลอง แล้วเริ่นจงกับหลิวหงกวงจะดูแลทั่วถึงได้อย่างไร?


 


เพราะหากเกิดสถานการณ์ผิดปกติอะไรขึ้นมาพร้อมกันสัก 6-7 เวทีเล่า! แม้พลังฝีมือของทั้งคู่จะแข็งแกร่งร้ายกาจ แต่จะสอดมือเข้าไปช่วยหรือจัดการระงับเหตุอะไรได้ทันเวลาหรือ?


 


หลายคนจึงสงสัยเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อย


 


แต่มาตอนนี้พอมีรองผู้ดูแลหลักอยู่อีกถึง 10 คน ทั้งหมดก็จึงรับทราบดีว่าเป็นพวกมันกังวลใจไปไม่เข้าเรื่อง คฤหาสน์ข้ามฟ้า กับคฤหาสน์คลื่นคลั่งไหนเลยจะไม่รู้เรื่องง่ายๆเพียงเท่านี้ ย่อมตระเตรียมจัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!


 


“ในที่สุดก็จะเริ่มได้สักที…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่อยู่โดดๆไร้ผู้ใดอยู่ใกล้ๆ พลันกล่าวพึมพำออกมา


 


กระบี่ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ไม่ใช่กระบี่อะไรอื่น มันคือกระบี่นิลสวรรค์! ยอดสมบัติสวรรค์ที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั่นเอง!!



ตอนที่ 1,671 : ขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่!


 


กระบี่นิลสวรรค์นั้น มีรูปลักษณ์ภายนอกที่แลดูธรรมดาสามัญถึงที่สุด เรียบง่ายไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ


 


และที่ต้วนหลิงเทียนเอากระบี่มาถือกอดไว้แบบนี้ย่อมมีเหตุผล…เมื่อไม่นานมานี้เขาบังเอิญค้นพบอย่างไม่ได้ตั้งใจ ว่ายามที่ถือกระบี่นิลสวรรค์เอาไว้ เขารู้สึกได้เลือนราง…ว่าความเข้าใจที่มีต่อขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่มันค่อยๆแจ่มชัดขึ้น!


 


เรียกว่าตราบใดที่เขาถือกระบี่นิลสวรรค์ไว้กับตัว หากบังเอิญรู้แจ้งอะไรขึ้นมาเขาอาจจะบรรลุขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ได้ทุกเวลา!


 


หลังจากที่ค้นพบความพิสดารนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะหอบหิ้วกระบี่นิลสวรรค์ไว้กับตัวตลอด ไม่คิดเก็บมันไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกต่อไป และจากรูปลักษณ์ของกระบี่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครหน้าไหนจะมาแย่งชิง เพราะมันแลธรรมดาสามัญยิ่งกว่ากระบี่อ่อนดาราม่วงตอนที่เขาใช้ในทวีปเมฆาล่องเสียอีก…เรียกว่าต่อให้ลืมตั้งไว้ก็ไม่น่าจะมีใครคิดจะหยิบ…!


 


‘จนถึงตอนนี้ยอดใจกระบี่ของข้าพึ่งบรรลุขั้นแรก กระบี่สัมพันธ์จิตใจ เท่านั้น…ไม่รู้ว่าเมื่อไหรถึงจะบรรลุขั้นที่ 2 ได้สักที จากข้อมูลของยอดใจกระบี่ หากข้าเข้าใจและบรรลุขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ได้ ข้าสามารถสะกดข่มวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีทั่วหล้าได้ถึง 99%!’


 


เหตผลที่ไฉนไม่อาจสะกดข่มเหนือกว่าวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีได้เต็มร้อยส่วนนั้น เพราะวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีในใต้หล้าก็มีความไม่แน่นอนอยู่ไม่น้อย!


 


ยกตัวอย่างเช่นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นบางอย่าง ก็มีพลังอำนาจทัดเทียมกับวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีดั้งเดิม


 


นอกจากนี้ยังมีวรยุทธ์เซียนประหลาดพิสดารมากมาย ที่จำต้องมีเงื่อนไขหรือการกระทำบางอย่างจึงจะใช้ออกได้ เรียกว่าเป็นอะไรสุดที่ผู้คนจะเข้าใจ


 


กล่าวได้ว่าใต้หล้านี้ที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน! อาจมีวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีที่มีพลานุภาพเหนือจินตนาการหากแต่ต้องสละหรือแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายแสนแพงก็เป็นได้


 


ทำให้ยอดใจกระบี่ขั้นที่ 2 ของต้วนหลิงเทียน แม้จะบรรลุ ก็ไม่แน่ว่าจะมีอานุภาพเหนือล้ำกว่าวรยุทธ์เซียนพิสดารพวกนั้น!


 


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายแม้แต่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วยอดใจกระบี่ก็มีทั้งสิ้น 5 ขอบเขต และขอบเขตที่ต้วนหลิงเทียนยังคลำทางบรรลุได้อย่างยากเย็น กระทั่งผ่านมาหลายปีดีดักนี้ ก็พึ่งเป็นขอบเขตที่ 2 เท่านั้น


 


‘ถึงข้าจะยังไม่บรรลุยอดใจกระบี่ขั้นที่ 2 แต่ด้วยพลังฝีมือของข้าในตอนนี้ คิดฆ่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรแม้แต่น้อย…ต่อให้ไม่ต้องใช้ตัวช่วยอะไรก็ตาม’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


คิดถึงจุดนี้เขาก็มั่นใจมาก


 


ถึงแม้ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาจะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง แต่ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด ในแง่ของพลังปราณ ก็ทำให้เขามีพลังอำนาจทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าที่อยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลา!


 


เรียกว่าคิดสยบเซียนขัดเกลาขั้นกลางตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋า เขาก็ลำบากแค่ใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดผสานกับการโจมตีด้วยหมัดเท้าเปล่าเปลือยเท่านั้น…


 


อย่างไรก็ตาม หากเขาใช้เขตแดนออกด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด หรือใช้กลพลังอื่นใดร่วมด้วยล่ะก็ เขาย่อมสามารถต่อกรกับเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่ยากเย็น!


 


นอกจากที่ว่ามาเขายังมีม่านตาพิสดารอยู่อีกด้วย


 


แต่อนิจจาด้วยความที่ระดับพลังฝึกปรือของเขายังอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง ทำให้พลังวิญญาณของเขาไม่ได้มีอานุภาพสูงส่งเท่าพลังปราณสุริยันแรกกำเนิด ดังนั้นอำนาจพลังวิเศษอย่าง เคลื่อนมิติ จึงไม่ค่อยส่งผลต่อขอบเขตเซียนขัดเกลาขึ้นไปสักเท่าไร พอช่วยเหลือเขาได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น


 


‘หากไม่มีข้อผิดพลาดอะไร ฉีจิ้ง นายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสมควรทะลวงได้ถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น…ต่อให้มันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้! เพราะจากสัมผัสพลัง ทั้งคู่สมควรบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางมานานแล้ว กระทั่งเผลอๆอาจจะบรรลุถึงขั้นเชี่ยวชาญ!!’


 


‘แต่ต่อให้ยังไม่ทะลวงผ่าน แต่ด่านพลังแน่นหนาขนาดนี้ พลังฝีมือย่อมแข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว!อย่างไรเสียพวกมันจะร้ายกาจอะไรแค่ไหน…ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไร้สำคัญกับข้า! เพราะข้าไม่ได้มาเพื่อหวังอันดับเหลวไหลไขว่คว้าชื่อเสียงจอมปลอมอะไรนี่ เพียงแค่ขอให้มีโอกาสประลองกับฉีจิ้งนั่นก็พอ! ข้าจะได้ฆ่านายน้อยอุบาทว์จากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเช่นมันเสียให้ตาย คลี่คลายสถานการณ์ให้เฉวี่ยไน่!!’


 


สำหรับจุดประสงค์การมาร่วมประลองครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่มีทางลืมเลือน


 


เขาเปลี่ยนแปลงรูปโฉมทั้งนามเป็นลี่เฟิง เพียงเพราะคิดฆ่าฉีจิ้ง! ทำลายงานแต่งงานของมันกับหานเฉวี่ยไน่ สตรีที่เขาแลเห็นเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ!!


 


ทันทีที่ฉีจิ้งตกตาย งานแต่งงานของมันกับหานเฉวี่ยไน่ย่อมถูกยกเลิกเป็นธรรมดา!


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง


 


และตอนนี้เองเขายังพบว่ามี คน 2 คนขึ้นไปประลองบนเวทีเม็ดหมากใกล้ๆกับที่เขาอยู่ พลังฝีมือของทั้งคู่เรียกว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน


 


“จากพลังปราณแรกกำเนิดที่แผ่ออกมา ต่างเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเหมือนกันสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ


 


‘แต่ให้ตายเถอะ เวทีเม็ดหมากนี่ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเพียงอย่างเดียวซะแล้ว ความทนทานของมันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ขนาดโดนลูกหลงจากพลังของเซียนดั้งเดิมขั้นกลางมันยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน! แถมพอพลังของทั้งคู่หลุดออกจากเวทีเม็ดหมากมาสัมผัสกับท้องฟ้าโดยรอบ ก็คล้ายจะถูกความว่างกลืนหายไป ไร้พลังสะท้อนทั้งคลื่นกระแทกอะไรพวกนั้น…หาไม่แล้วข้าคงรู้ตัวตั้งแต่ที่พวกมันเริ่มประลอง!’


 


ความสนใจของต้วนหลิงเทียนผละจากการประลองของทั้งคู่ไปพินิจเวทีเม็ดหมากและมองไปยังกระดานหมากหลิงหลงเบื้องล่างที่ใหญ่โตมโหราฬด้วยความทึ่งทันที


 


“ให้ตายเถอะ มาถึงก็มี 16 เซียนดั้งเดิมขั้นกลางเลยงั้นหรือ…”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงแว่วดังเข้าหู “เฮ่อ แล้วข้าจะขึ้นไปประลองด้วยอย่างไรไหว…กับอีแค่การประลองชุดแรกๆ ไฉนมีเซียนดั้งเดิมขั้นกลางโผล่ออกมาบนเวทีเม็ดหมากถึง 16 คนแล้วเล่า! ดูเหมือนว่าเซียนดั้งเดิมขั้นต้นอย่างข้าคงไม่ต้องเข้าร่วมเอาสนุกอะไรอีก…ขืนทะลึ่งขึ้นไปก็ถูกผู้คนทุบตีอนาถเปล่าๆ!”


 


วาจาอ่อนใจ ทั้งท้อแท้ดังขึ้นไม่ขาดสาย


 


ตอนนี้พอต้วนหลิงเทียนเริ่มหันมองไปรอบๆ เขาก็พบว่า แต่ละเวทีเม็ดหมากก็มีผู้คนขึ้นไปต่อสู้กันอุตลุตเสียแล้ว และจากไอพลังที่เปล่งออกเรียกว่า 8 เวทีที่กำลังซัดกันอยู่ ล้วนมีพลังฝึกปรือเซียนดั้งเดิมขั้นกลางทั้งสิ้น


 


และในบรรดา 20 คนที่สู้กันอยู่ ก็มี 4 คนที่ไอพลังอ่อนด้อยที่สุด


 


แต่ที่ว่าอ่อนด้อยที่สุดนั้น อย่างน้อยๆพวกมันก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนแล้ว


 


มองปราดเดียวไม่ต้องใช้พลังวิญญาณตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าทั้ง 4 เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นต้น


 


‘ที่นี่เหมือนอยู่ห่างไกลกับเมืองชงซันคนละโลกเลย…ตอนข้ามาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแรกๆ อย่าว่าแต่จะเห็นขอบเขตเซียนดั้งเดิมสักคน กระทั่งสู่เซียนยังเป็นตัวตนที่ร้ายกาจมากแล้ว…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ


 


ตอนที่เขามาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ไม่ทันไร จนจับพลัดจับผลูไปอยู่ที่จวนเจ้าเมืองชงซันนั้น กับอีแค่ขอบเขตพลังสู่เซียน ก็เป็นอะไรที่เขาในตอนนั้นต้องแหงนมองแล้ว!


 


ทว่ามาตอนนี้ เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ที่อ่อนด้อยที่สุดก็คือขอบเขตเซียน…เซียนดั้งเดิมขั้นต้น!


 


กาลครั้งหนึ่ง ขอบเขตเซียนเสมือนเป็นอะไรที่อยู่ห่างไกลจากที่ต้วนหลิงเทียนจะจับต้องได้


 


หากแต่ตอนนี้มองไปทางไหนก็เจอ พาลให้รู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่านี่เป็นเพราะเขาได้เริ่มต้นไต่เต้าขึ้นมาจากเบื้องล่าง ดั่งกบน้อยที่ค่อยๆโดดออกจากบ่อ ยิ่งออกมาเผชิญโลกกว้างมากเท่าใด ขอบเขตหูตาก็กลายเป็นกว้างไกล วิสัยทัศน์ไม่ถูกจำกัด…


 


เขากับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งนั้น เรียกว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะอีกฝ่ายเกิดมาก็สัมผัสวิสัยทัศน์เช่นนี้แล้ว ส่วนเขาต้องลำบากลำบนฝ่าฟันมา…


 


ตอนนี้เองการประลองเบื้องหน้าก็ทยอยรู้ผลไปกันบ้างแล้ว


 


เรียกว่าแต่ละเวทีบังเกิดจ้าวเวทีคนแรกขึ้นมาแล้ว และกำลังรอคอผู้ท้าทายที่จะมาชิงตำแหน่งจ้าวเวทีของพวกมัน…


 


เวลาผันผ่าน การต่อสู้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จ้าวเวทีในตอนแรกบ้างก็ยังยืนหยัดอยู่บนเวทีได้ บ้างก็แพ้พ่ายไปตามพลังฝีมือ


 


แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ถูกฆ่าตายตกคาที่ โดยที่ไม่ทันมีแม้แต่เวลากล่าวคำยอมรับความพ่ายแพ้…


 


โลกที่ผู้เข้มแข็งเป็นจ้าวนั้น…มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน ใจคนนับวันยิ่งอำมหิต ไม่ทราบใยถึงฆ่าแกงกันได้ง่ายดายนัก


 


ไม่ทันไรตะวันก็เริ่มคล้อยต่ำลงโดยที่ไม่รู้ตัว เริ่มเย็นแล้ว


 


ตอนนี้พลังฝีมือของผู้ที่ประลองกันบนเวทีเม็ดหมากก็มีระดับสูงขึ้นกว่าตอนเช้าๆ



ตอนที่ 1,672 : ฉีกัง


 


“เอาล่ะ! วันนี้พอเท่านี้ก่อน การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบรอบคัดเลือกของวันนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้จักเริ่มประลองกันต่อ…”


 


มองไปยังจ้าวเวทีทั้ง 10 บนเวทีเม็ดหมากพักหนึ่ง เริ่นจงพลันกล่าวออกมาเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว “พรุ่งนี้จ้าวเวทีทั้ง 10 จักรอรับการประลองจากผู้อื่นต่อ!


 


สิ้นเสียงเริ่นจงไม่ทันไร ไม่เท้าในมือเริ่นจงพลันโบกสะบัดไปอีกครั้ง


 


พร้อมกันนั้นเองด้านหลิวหงกวงที่อยู่ข้างๆ ก็หยิบค้อนอันเขื่องออกมาหวดทุบไปยังความว่างเช่นกัน


 


ปง! เปรี๊ยง!


 


เสียงสนั่นดังขึ้น 2 เสียงอีกรอบ ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ไม่ทันตอบสนองเรื่องราว ก็พบว่าทุกอย่างเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไป!


 


เวทีเม็ดหมากทั้ง 10 หายไป กระดานหมากหลิงหลงมหึมาเบื้องล่างก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ทั้งหมดกลับมาอยู่ในหุบเขาหลิงหลงอีกครา


 


“เป็นค่ายกลที่อัศจรรย์อันใดเช่นนี้!”


 


หลายคนที่ได้เห็นกระดานหมากหลิงหลงครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


 


“จ้าวเวทีทั้ง 10 ในวันนี้ มี 3 คนที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ส่วนอีก 7 ล้วนเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญ! ข้ามั่นใจว่าไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ต้องมีจ้าวเวทีด่านพลังเซียนขัดเกลาปรากฏตัวออกมาแน่ หาไม่แล้วมากสุดก็สามวัน ผู้ที่ติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องคงถูกคัดเลือกเรียบร้อย”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาในเรื่องนี้


 


“ว่าแต่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปที่ใดกันนะ หมดวันแล้วยังไม่มาอีก”


 


หลายคนเริ่มพบว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้ง ยังไม่มาร่วมงานประลอง


 


“หากไม่มาก่อนถึงวันประลองวันสุดท้าย น่ากลัวว่าจะพลาดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้แล้ว!


 


“ดูเหมือนมันจะไม่สนใจการประลองครั้งนี้เลย”


 


“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก…บางทีมันแค่หยิ่งและคิดจะปรากฏตัวเข้าประลองในวินาทีสุดท้ายก่อนคัดตัวจบล่ะมั้ง?”


 


“เป็นไปได้อย่างยิ่ง”


 


……


 


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้คนต่างพากันกล่าวถึงฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอีกครั้ง แต่ละคนล้วนตั้งแง่กับมันทั้งสิ้น


 


นี่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


ในสายตาของพวกมันการกระทำของฉีจิ้ง นับว่าลบหลู่และไม่ให้เกียรติการประลองครั้งนี้เลย!


 


หากพวกมันมีสิทธิ์มีเสียงล่ะก็ พวกมันจะลงมติให้ตัดสิทธิ์เข้าร่วมประลองของนายน้อยฉีจิ้งไปเสีย!


 


‘ฉีจิ้ง นั่นมันไม่โผล่หัวมาจริงๆ…’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่นิลสวรรค์อย่างเงียบงัน เดินไปหยุดยังขอบผาด้านหนึ่งของหุบเขาหลิงหลงก่อนที่จะหาซอกหลืบเล็กๆแล้วนั่งลงพิงผนัง สองตาว่ายมองไปทั่วๆหุบเขาหลิงหลง


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 3 ก็กลับไปจุดพักผ่อนของพวกมันแล้ว


 


เหล่าขุมพลังชั้น 5 ทั้ง 3 เองก็แยกย้ายกันกลับที่ของตัว


 


‘คนที่ขึ้นเวทีไปประลองวันนี้ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนของขุมพลังชั้น 5 ทั้ง 3 นั่น…แทบไม่มีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย’


 


หลังจากที่ดูการประลองมาทั้งวัน ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องนี้ดี


 


สำหรับพวกหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อและจงกู้ ก็ยังไม่ได้ลงมืออะไร หาไม่แล้วพวกมันคงไปยืนเป็นจ้าวเวทีจนเบื่อทั้งวันแล้วแน่นอน


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาทางเขา


 


ตอนแรกเขาก็คิดว่าสมควรเป็นหลวงจีนลายบุปผาที่เข้ามาสนทนากับเขาก่อนแต่สุดท้ายก็เลิกสนใจเขาไป


 


ทว่าพอมองย้อนกลับไป ก็พบว่าเจ้าของสายตาดังกล่าวไม่ใช่หลวงจีนลายบุปผา แต่เป็นจิ้งชวีจื่อ!


 


‘มันมองข้าทำไม?’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย ลองไถ่ถามตัวเองว่าไปทำอะไรให้เป็นจุดสนใจหรือก็ไม่! แต่หากจะถามว่าเขามีอะไรผิดแปลกไป…ก็แค่เขาอยู่คนเดียวและไม่พูดไม่จากับใคร!


 


แต่นอกเหนือจากจงกู้แล้ว ก็มีเขาเพียงคนเดียวที่ปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับใครในหุบเขาหลิงหลงแห่งนี้


 


คนอื่นๆ อย่างน้อยก็มีสหายมาด้วยกันเป็นคู่ ส่วนมากจะจับกลุ่ม 3-4 คนขึ้นไปทั้งสิ้น


 


ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากับจงกู้ ก็แลดูแปลกแยกผิดจากคนอื่นๆไม่น้อย


 


‘ดูเหมือนว่ามันจะมองข้าเพราะเห็นข้าอยู่คนเดียวล่ะมั้ง’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจหลังเห็นสายตาของจิ้งชวีจื่อ


 


หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าจงกู้เองก็หันมามองเขาเช่นกัน เนื่องจากเคยเจอมาแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร


 


อีกทั้งจงกู้ก็ไม่ได้มองเขานานนัก


 


‘บางทีที่หลวงจีนลายบุปผาเข้ามาคุยกับข้าก็เพราะเห็นว่าข้าอยู่คนเดียวแน่ๆ…เพราะตอนนั้นจงกู้เองก็ยังมาไม่ถึง ข้าก็เลยเป็นคนเดียวที่อยู่ลำพังในหุบเขาหลิงหลง’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนคงไม่ทราบว่าเขาเดาถูกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น


 


ที่หลวงจีนลายบุปผาริเริ่มเข้ามาเป็นฝ่ายสนทนากับเขาก่อน ไม่ใช่แค่เพราะเขาอยู่ลำพังอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความรู้สึกของมันอีกด้วย..สัญชาตญาณของหลวงจีนลายบุปผามันร้องเตือนว่าเขาไมใช่คนธรรมดา!


 


ในสายตาของหลวงจีนลายบุปผา เขาเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ปกปิดตัวตนมาตลอด และต้องการใช้การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเป็นบันได ไต่เต้าและมีชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะผู้ที่ติดอันดับรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง


 


หนึ่งคืนสำหรับผู้ฝึกตนเป็นอะไรที่สั้นนัก


 


เมื่อฟ้าเริ่มสางแสงตะวันเหลืองทองจากปลายขอบฟ้าสาดส่องมาขับไล่ความมืดในหุบเขา ผู้คนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง


 


เมื่อในหุบเขาสว่างไสวขึ้นมา เริ่นจงกับหลิวหงกวงก็ลอยขึ้นไปกลางฟ้าและลงมืออีกครั้ง ทำให้กระดานหมากหลิงหลงปรากฏขึ้นอีกครา


 


และทุกคนที่อยู่ในหุบเขา ก็อยู่บนกระดานหมากอันเขื่องอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกรอบ


 


เวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ลอยขึ้นไปค้างเติ่งบนฟ้าเหมือนดั่งเดิม


 


ต้วนหลิงเทียนบังเอิญเหยียบอยู่บนเวทีเม็ดหมากสีขาวเวทีหนึ่งอยู่พอดี เขาจึงเลือกที่จะเดินไปหยุดยืนริมขอบๆ กอดกระบี่นิลสวรรค์เอาไว้อย่างเงียบงัน สายตาจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างกว้างขวางตรงกลางเวทีเม็ดหมาก


 


ครู่ต่อมาบรรดาจ้าวเวทีทั้ง 10 ของเมื่อวานก็ขึ้นมายืนประจำการอีกครั้ง


 


หลังจากนั้นไม่ทันไร ผู้คนก็เหินร่างตามขึ้นมาเพื่อท้าประลอง และวันนี้การต่อสู้ก็ดุเดือดกว่าเมื่อวาน แถมบนเวทีเม็ดหมากต่างๆยังมีคนมายืนดูเรื่องราวริมขอบแบบต้วนหลิงเทียนกันมากขึ้น


 


ฉากการประลองใจกลางเวทีเม็ดหมากวันนี้เป็นอะไรที่รุนแรงและโหดร้ายกว่าเมื่อวานไม่น้อย


 


จ้าวเวทีเรียกว่าเปลี่ยนหน้าไปคนแล้วคนเล่า บ้างก็ลาเวทีเพราะยอมแพ้ บ้างก็ตกตายไม่เหลือแม้แต่ศพ นับว่าฉากเรื่องราวเป็นอะไรที่นองเลือดนัก


 


สักพักเรื่องราวบนเวทีก็เริ่มเงียบๆ


 


“ข้าเอง!”


 


เสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ ปรากฏร่างชายหนุ่มร่างกายบึกบึนเดินออกจากกลุ่มคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ร่างกายของมันเรียกว่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามให้ความรู้สึกเข้มแข็งทรงพลัง


 


ทุกย่างก้าวสง่าผ่าเผยยังแลดูห้าวหาญออกไปในทางดิบเถื่อน มองไปให้ความรู้สึกไม่ต่างใดจากกอริลลากำลังเดินออกจากป่า!


 


ต่อหน้าร่างชายบึกบึนปานกอริลล่าคนนี้ ผู้เข้าประลองหลายคนแลดูเหมือนคนผอมแห้งอมโรคทันที


 


“ในที่สุดคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ลงมือเสียที!”


 


“ข้ารู้จักคนผู้นั้น! นั่นเป็นหลานชายของอาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เรียกว่าฉีกัง! ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด! มันยังได้รับการยอมรับจากทั้งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องว่าเป็นตัวตนที่เข้มแข็งที่สุดภายใต้ขอบเขตเซียนขัดเกลา!!”


 


“อ๋อ! พอเจ้ากล่าวขึ้นมาข้าก็จำได้ทันที…ที่แท้เป็นฉีกังผู้นั้นนั่นเอง!”


……


 


เมื่อฉีกังปรากฏตัวออกมา พร้อมลักษณะท่าทางดุร้าย มันก็กลายเป็นจุดศูนย์รวมสายตาผู้คนทันที


 


ขณะเดียวกันผู้ที่พอจะจดจำมันได้ก็เริ่มเปิดเผยตัวตนของมันออกมา


 


“หลานชายของอาวุโสลำดับ 2 คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมองไปยังร่างใหญ่ของฉีกังที่กำลังเดินไปตรงกลางเวทีเม็ดหมาก “ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใต้เซียนขัดเกลา พลังฝีมือสมควรร้ายกาจไม่เบา”


 


ด้านเวทีอื่นๆ จ้าวเวทีทั้ง 9 ที่ไม่ถูกท้าประลองก็หันมองมาทางฉีกังเป็นสายตาเดียวกัน


 


อีกทั้งสายตาของทุกคนนอกจากจ้าวเวทีทั้ง 9 ที่ว่างก็หันมามองฉีกังเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ฉีกังก็เป็นคนแรกของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่ก้าวเข้าสู่เวทีประลองของการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)