War sovereign Soaring The Heavens 1657-1668

 ตอนที่ 1,657 : สหายจากขุมพลังกึ่งชั้น 3!


 


“ใช่”


 


หานเจิ้งเทียนพยักหน้า “รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพราะมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีเท่านั้น ที่จักสามารถเข้าร่วมการประลองได้…เช่นนั้นทุกคนล้วนมีโอกาสแค่ครั้งเดียวตลอดชั่วชีวิตในการเข้าร่วม!”


 


“อีกทั้งรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจักมีเพียง 10 อันดับเท่านั้น…ผู้ที่เข้าร่วมประลองจะได้รับการจัดอันดับตามพลังฝีมืออย่างเข้มงวด และเกียรติยศนี้จักดำรงอยู่ต่อไปอีก 50 ปี นั่นทำให้รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง มีความหมายต่อคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนัก!”


 


หานเจิ้งเทียนทยอยกล่าวออกมาเรื่อยๆ


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจเล็กน้อย


 


หลังจากที่หานเจิ้งเทียนกล่าวเล่าออกมา เขาก็พอมีความเข้าใจในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องนี่ขึ้นมาบ้างแล้ว


 


ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจถึงความสำคัญของมันทันที และไฉนนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงต้องเข้าร่วม เพราะนี่จะเป็นเกียรติยศสูงสุดในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


“นั่นเป็นเพราะรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จักแสดงถึงรุ่นเยาว์ที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด! กระทั่งขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่น้อย…เพราะมีเพียงศิษย์สาวกของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ติดอันดับในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเท่านั้นถึงจักมีสิทธิ์ชิงตำแหน่งผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!”


 


หานเจิ้งเทียนยังคงร่ายยาวออกมา “ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคนปัจจุบันแน่นอนว่าคิดส่งมอบตำแหน่งผู้นำให้บุตรชายสืบทอด…เช่นนั้นแล้วนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็จำต้องติด 10 อันดับในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องให้ได้ หาไม่แล้วมันย่อมถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับตำแหน่งผู้นำคนต่อไป!”


 


“อย่างไรก็ตาม ตัวบัดซบอย่างนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มักมากในกามชมชอบย่ำยีสตรีเป็นดั่งของเล่นนั้น ก็มีเรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับ…มันกลับเป็นอัจฉริยะในวิถียุทธ์! ถึงแม้อาจจะยากที่มันจักได้รับอันดับ 1 แต่ด้วยพลังฝีมือของมันคิดติด 1 ใน 3 อันดับแรกคงมิยากเย็นเกินไป!”


 


หานเจิ้งเทียนกล่าวออกมาหน้าเคร่ง


 


“ลุงหานท่านกล่าวเรื่องการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องขึ้นมา…หรือการประลองครั้งนี้จะดำเนินไปในรูปแบบการประลองเป็นตาย?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเย็นเยียบขึ้นมาโดยพลัน กล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


 


เขาเชื่อว่าหานเจิ้งเทียนคงไม่กล่าวถึงการประลองนี้ขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลหลังจากที่เขาถามไปว่ามีวิธีไหนช่วยหานเฉวี่ยไน่ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคฤหาสน์คลื่นขจี


 


“ประมาณนั้น”


 


หานเจิ้งเทียนพยักหน้า “การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบเป็นการประลองถึงตาย นี่เป็นกฏที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…กฏนี้ถูกสร้างขึ้นให้ผู้ที่เข้าร่วมการประลองต้องพยายามต่อสู้สุดฝีมือ เพราะหากพลังฝีมืออ่อนด้อยและคู่ต่อสู้ไร้เมตตา ก็เหลือเพียงหนทางตายสถานเดียว!”


 


“ดังนั้นหากมีผู้ใดฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ในการประลองดังกล่าว..ก็ถือว่ามิได้มีใดเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์คลื่นขจี แถมงานแต่งของหานเฉวี่ยไน่ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอแสงสว่างเจิดจ้าออกมาทันที


 


“เป็นเช่นนั้น”


 


หานเจิ้งเทียนพยักหน้ารับ หากแต่กลับเผยรอยยิ้มเจื่อนๆออกมาอีกครั้ง “อย่างไรก็ตามถึงแม้ในบรรดาผู้เข้าประลองจักมี 1-2 คนที่มีพลังฝีมือสูงพอจะสังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ แต่ทั้งคู่คงไม่ลงมือสังหารมัน เพื่อเป็นการไว้หน้าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ส่วนคนอื่นๆน่ากลัวว่าจะไม่ใช่คู่มือของนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง”


 


เพราะเหตุผลข้อนี้หานเจิ้งเทียนจึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องในการประลอง


 


เหตุผลที่มันกล่าวบอกเรื่อง รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องออกมารวมถึงการประลองจัดอันดับดังกล่าว ก็เพื่อย้ำเตือนให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดเจน ว่าไร้หนทางอื่นใดในการช่วยเหลือหานเฉวี่ยไน่ออกจากทะเลเพลิงแล้วจริงๆนอกจากไปลอบสังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


“ลุงหาน ท่านรู้หรือไม่ว่าพลังฝึกปรือของนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสูงแค่ไหน?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“มันอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลา”


 


หานเจิ้งเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อหลายปีที่แล้วข้าได้ยินว่ามันสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาได้สำเร็จ…เนื่องจากใกล้ถึงการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบเต็มที ข้าเชื่อว่าผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องมอบทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุดให้มันเป็นแน่….เช่นนั้นจึงมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ทันวันงานประลอง”


 


“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้ว


 


เท่าที่เขารู้มา ต่อให้เป็นขุมพลังชั้น 6 แต่ผู้ที่มีฝีมือร้ายกาจที่สุด ก็ยังอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลา..


 


ทว่านายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ยังวัยไม่ครบ 50 ปีที กลับอาจบรรลุถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว?


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ถึงอิทธิพลและความน่ากลัวของขุมพลังชั้น 4


 


“มิฉะนั้นข้าคงไม่กล่าวบอกเจ้าแต่แรกว่ามันสมควรติด 1 ใน 3 ของรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง”


 


หานเจิ้งเทียนเผยยิ้มออกมาอย่างขื่นขม


 


“ลุงหาน การที่จะเข้าร่วมงานประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง นอกจากข้อจำกัดเรื่องอายุน้อยกว่า 50 ปีแล้ว ยังมีข้อจำกัดอื่นใดอีกหรือไม่ ตัวอย่างเช่นหากเป็นคนที่ไม่ได้มาจากขุมพลังใดๆในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จะยังสามารถเข้าร่วมงานประลองได้อีกไหม?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา


 


“ในทางทฤษฎีแล้วขอเพียงอายุต่ำกว่า 50 ปีสมควรเข้าร่วมประลองได้…แต่กล่าวกันตามตรง แต่ละขุมพลังชั้น 4 เองก็มีการจัดการประลองคล้ายๆกันนี้ขึ้น เพียงแค่ต่างกันของเรื่องเวลาจัด จึงมิค่อยมียอดฝีมือจากเขตอิทธิพลอื่นมาเข้าร่วมกันสักเท่าไหร่”


 


หานเจิ้งเทียนกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หากแต่ลึกลงไปในแววตาบังเกิดรังสีอำมหิตทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างยากที่ใครจะสังเกตเห็น


 


“ลุงหาน…ท่านเชื่อในตัวข้าหรือไม่?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันเงยหน้าขึ้นมากล่าวถามหานเจิ้งเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง


 


หานเจิ้งเทียนถึงกับชะงักงันไปเพราะสายตาคมกล้าจริงจังนี้ของต้วนหลิงเทียน และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่มันกลับพยักหน้ารับต้วนหลิงเทียนที่มองจ้องมาอย่างไม่รู้ตัว “ถึงแม้ว่านี่จักเป็นครั้งแรกที่พวกเราพบกัน แต่ข้าได้ยินเฉวี่ยไน่กล่าวถึงเจ้าหลายครั้งแล้ว ข้าจึงได้รู้ว่าเจ้าเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เช่นนั้นข้าจึงเชื่อเจ้า”


 


“ขอบคุณท่านลุงหานที่เชื่อในตัวข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะพูดต่อ “ลุงหานหลังจากที่ข้ามาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ไม่นาน ก็มีวาสนาได้คบหากับสหายผู้หนึ่งโดยบังเอิญ และสหายผู้นี้ยังมีอายุไม่ได้มากมายไปกว่าข้าสักเท่าไร หากแต่วันที่พบกันพลังฝีมือของเขากลับเหนือล้ำอย่างที่ข้าทาบไม่ติด…และหลายปีที่แล้วเขากล่าวบอกข้าไว้ว่า ขอบเขตที่เขาบรรลุถึงก็คือเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด…ตอนนี้ก็ผ่านมาหลานปีดีดัก…”


 


“พลังฝีมือของเขาสมควรบรรลุถึงเซียนขัดเกลาแล้ว…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหานเจิ้งเทียนด้วยประกายตาเฉียบคม “ข้าคิดที่จะออกไปตามหาตัวสหายนี้ ตามเบาะแสที่เขาทิ้งไว้ให้ข้า…และขอให้เขาฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั้นทิ้งไปเสียระหว่างการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!!”


 


เปรี๊ยง!!


 


วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนประหนึ่งอัสนียามแล้งฟาดผ่าลงกลางกระหม่อมของหานเจิ้งเทียนอย่างจัง พาลให้หนังศีรษะด้านชา คนอื้ออึง!


 


สำหรับมันแล้วนี่นับเป็นเรื่องราวที่สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่จริงๆ!!


 


“เสี่ยวเทียน…จะ เจ้ามั่นใจหรือ?”


 


อย่างที่เคยกล่าวไปว่ามันไม่สงสัยในคำพูดของต้วนหลิงเทียน ที่ถามคำถามนี้หมายถึงว่าสหายของต้วนหลิงเทียนที่ว่า มีพลังฝีมือสูงส่งถึงขั้นนั้นหรือไม่?


 


“ลุงหานเขาเพียงมีอายุมากกว่าข้าแค่ไม่กี่เดือน…หลังผ่านมาหลายปีแบบนี้ เขาต้องทะลวงผ่านเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้นานแล้วแน่ๆ เรื่องที่จะทะลวงไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยความมั่นใจ


 


ด้วยวาจายืนยันนี้ของเขา ทำให้สองตาหานเจิ้งเทียนคล้ายเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง มันสัมผัสได้ถึงความหวังอีกครา!


 


กล่าวกันตามความสัตย์จริง ถึงแม้ว่ามันตัดสินใจจะไปลอบสังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยตัวเองไปแล้ว แต่นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายของมันแล้วจริงๆ


 


หากมีหนทางอื่นใดที่สามารถแก้ไขปัญหาให้บุตรีของมันได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคฤหาสน์คลื่นขจี มันก็ยินดีที่จะลอง นอกจากนี้นี่ยังเป็นหนทางที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสนอออกมาด้วยตัวเอง!


 


อย่างที่มันได้กล่าวไปก่อนหน้า แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มันได้พบพานกับต้วนหลิงเทียน แต่มันก็สามารถบอกได้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่น่าเชื่อถือ!


 


เช่นนั้นมันจึงไม่คิดสงสัยในวาจาของต้วนหลิงเทียน


 


“อ่าจริงสิ ข้าเกือบลืมไป…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอีกครั้ง ทว่าเพียงเกริ่นขึ้นมาแล้วก็หยุดไปครู่หนึ่งเพื่อให้หานเจิ้งเทียนสงสัยใคร่รู้ และพอเห็นว่าสามารถกระตุ้นความสนใจของหานเจิ้งเทียนได้สำเร็จ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะทันที “ข้ายังสงสัยอีกด้วยว่าสหายของข้าผู้นี้ น่าจะเป็นคนที่มาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…เพราะข้าพบว่าอีกฝ่ายคล้ายหยิบหินเซียนระดับ 3 ออกมาจับจ่ายใช้สอยได้อย่างไม่เสียดาย”


 


ขุมพลังกึ่งชั้น 3!


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้หานเจิ้งเทียนถึงกับตกตะลึงไปอีกรอบ!


 


ในระดับหนึ่งขุมพลังกึ่งชั้น 3 นั้นแม้จะยังจัดอยู่ในขุมพลังชั้น 4 แต่มันก็เหนือกว่าขุมพลังชั้น 4 ทั่วไปหลายขุม!


 


คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแม้จะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่ก็เป็นขุมพลังชั้น 4 ทั่วๆไป!


 


หากเทียบกับขุมพลังกึ่งชั้น 3 แล้ว ยังนับว่าด้อยกว่ากันมาก


 


ขุมพลังกึ่งชั้น 3 มีทรัพยากรบ่มเพาะเหนือล้ำยิ่งกว่าขุมพลังชั้น 4 มากนัก! อีกทั้งสายแร่หินเซียน และจุดชีพจรวิญญาณฟ้าดิน ก็เป็นอะไรที่ล้ำค่าที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพราะมันสามารถผลิตหินเซียนระดับ 3 ออกมาได้เป็นจำนวนมาก!


 


“เจ้าสามารถหาเขาพบแล้วจักขอให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ได้จริงหรือ?”


 


หานเจิ้งเทียนมองต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง เร่งกล่าวถามออกมาอย่างร้อนใจนัก มันเสียอาการไปหมดสิ้นแล้ว!


 


เรียกว่าการทำให้ผู้นำขุมพลังชั้น 5 เช่นมันเสียอาการได้ถึงเพียงนี้ ก็บอกได้เลยว่าวาจาของต้วนหลิงเทียนสร้างความตื่นตระหนกให้มันขนาดไหน


 


“ลุงหานเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสุขชั่วชีวิตของเฉวี่ยไน่ ข้าไม่กล้ากล่าวล้อเล่นเด็ดขาด!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังเคร่งขรึม


 


“นอกจากนี้ก็ไม่มีปัญหาที่ท่านจะลองเชื่อข้าสักครั้งนี่นา เพราะยังไม่สายเกินไปที่ท่านจะไปลอบสังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หลังจบการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“เสี่ยวเทียน หากเจ้าเชิญสหายของเจ้ามาฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องในระหว่างการประลองสุดยอดนักรบนั่นได้ล่ะก็…ลุงหานถือว่าติดหนี้บุญคุณเจ้าใหญ่หลวงแล้ว!!”


 


หานเจิ้งเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ลุงหานท่านเกรงใจไปแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าต้องช่วยเหลือเฉวี่ยไน่ยามนางเดือดร้อน เพราะก่อนหน้านี้เฉวี่ยไน่ได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้มากมายนัก ข้าเองก็เห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆมาหลายปีแล้ว ข้าไม่เคยคิดต้องการอะไรตอบแทนเพราะช่วยเหลือน้องสาวของข้าหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจเช่นกัน


 


“อ่า เป็นข้าเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ”


 


หานเจิ้งเทียนพยักหน้า


 


หลังจากนั้นสักพักหานเจิ้งเทียนก็จากไป และหานเฉวี่ยไน่ก็เร่งวูบร่างมาปรากฏเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนทันที “พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านคุยอันใดกับท่านพ่ออยู่นานสองนานหรือ?”


 


“ข้าก็ไม่ได้คุยอะไรมากหรอก แค่หารือกับบิดาเจ้าว่าพวกเราจะช่วยเจ้าให้ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้อย่างไร”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบหานเฉวี่ยไน่ออกไปตามตรง สายตาน้ำเสียงยังอ่อนโยนเหมือนนางเป็นน้องสาวตัวน้อยในวันวาน


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน เรื่องนี้มิง่ายเลย…”


 


หานเฉวี่ยไน่ได้ยินพลันเผยยิ้มแห้งๆออกมาด้วยความขมใจ อันที่จริงนางเองก็ทำใจรับชะตากรรมไว้บ้างแล้ว…


 


เพื่อบิดาของนาง และเพื่อคฤหาสน์คลื่นขจีแห่งนี้ นางยินดีเสียสละตัวเอง


 


“ง่ายหรือไม่ง่ายเจ้าต้องรอดู…เฉวี่ยไน่ พี่ใหญ่หลิงเทียนจะจากไปสักพัก เพื่อไปจัดการธุระสำคัญบางอย่าง เจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้ทำอะไรวู่วามเข้าใจหรือไม่? บางทีวันที่พวกเราพบกันอีกครั้ง ปัญหานี้ของเจ้าอาจมีทางออกแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับหานเฉวี่ยไน่ด้วยสายตาเอ็นดู


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านจะไปแล้วหรือ?”


 


สีหน้าหานเฉวี่ยไน่เปลี่ยนไปทันใด นางเม้มปากกล่าวออกมาด้วยความไม่ยินยอม “พี่ใหญ่หลิงเทียนท่านอยู่ให้นานกว่านี้ไม่ได้หรือข้า…ข้า…”



ตอนที่ 1,658 : ขอบเขตเซียน…ต้วนหลิงเทียน!


 


หานเฉวี่ยไน่นั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าต้วนหลิงเทียนจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับนาง ก่อนที่นางจะเข้าพิธีวิวาห์…


 


อนิจจานางไม่อาจกล่าวออกมาได้..


 


นางจะบอกพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางได้อย่างไร ว่านางยอมจำนนฟ้าดินและโชคชะตาแล้ว…


 


“เฉวี่ยไน่ ข้ามีธุระต้องรีบไปจัดการ…ไม่ต้องกังวลนะ ไม่ช้าก็เร็วพี่ใหญ่หลิงเทียนจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มให้หานเฉวี่ยไน่ ก่อนที่จะลูบหัวนางเบาๆอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเตรียมจากไป


 


แน่นอนว่าก่อนจากไปเขายังฝากบอกหานเฉวี่ยไน่ให้ไปร่ำลาหานเจิ้งเทียน และเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 แทนเขาด้วย


 


ตอนนี้เขารีบร้อนไม่น้อย


 


การจากไปของต้วนหลิงเทียน ย่อมทำให้หานเฉวี่ยไน่รู้สึกอ้างว้างเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกนางคิดว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางจะอยู่กับนางในปีแห่งความทุกข์ยากนี้ อนิจจาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางจะรีบร้อนจากไปอย่างปุบปับ


 


แน่นอนว่านางไม่คิดถือโทษโกรธเคืองอะไรพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง


 


เพราะนางเชื่อว่าหากพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางไม่มีเหตุผลสำคัญเร่งด่วนจริงๆ อีกฝ่ายคงไม่จากนางไปในช่วงเวลาแบบนี้แน่นอน…


 


หากเป็นต้วนหลิงเทียนล่ะก็ เรียกว่าหานเฉวี่ยไน่ไว้วางใจเสียจนหน้ามืดตามัวก็ไม่ปาน


 


การจากไปของต้วนหลิงเทียนย่อมคลายกังวลให้หานซิ่นและอาวุโสทั้งหลายไม่น้อย ต่างพาลกันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะไม่ต้องกลัวเรื่องที่หานเฉวี่ยไน่จะมีข่าวฉาวโฉ่อะไรจนทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องพิโรธอีก


 


“ดูเหมือนผู้นำจะไปหายาโถวน้อยนั่นและบอกให้นางขับไล่บุรุษผู้นั้นไปจริงๆ…อย่างที่คิด จะอย่างไรผู้นำก็ยังคงเป็นห่วงคฤหาสน์คลื่นขจี”


 


หานเค่อ มองกล่าวกับหานซิ่นดว้ยรอยยิ้มร่า


 


“จะอย่างไรเสียมันก็เป็นผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจี คงยากที่จะยินดีล่วงเกินคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพราะบุรุษหนุ่มแปลกหน้า!”


 


หานซิ่นไม่ได้แปลกใจกับเรื่องีน้สักเท่าไร


 


“ท่านอาวุโสสูงสุด ตอนนี้เจ้าหนุ่มนั่นก็ออกเดินทางแล้ว พวกเราควร…”


 


หานเค่อกล่าวถึงจุดนี้ ก็ยกมือขึ้นทำท่าปาดคอตัวเอง เห็นได้ชัดว่าคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน


 


“ในเมื่อมันไปแล้ว ก็ช่างหัวมันเถอะ”


 


หานซิ่นโบกมืดส่งๆอย่างไร้แยแส “มันก็แค่คนไร้สำคัญเท่านั้น”


 


แน่นอนว่าที่หานซิ่นกล่าวแบบนี้ได้เพราะมันไม่ได้รู้สักนิด ว่าคนที่ฆ่าหลานมันตายอนาถ ก็คือข้ารับใช้ของบิดาชายหนุ่มผู้นี้!


 


ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะปล่อยต้วนหลิงเทียนไปง่ายๆ!


 


น่ากลัวว่าคงรีบแจ้นออกไปลงมือด้วยตัวเอง!


 


ส่วนอีกด้านหนึ่ง พอผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว อารมณ์ของมันก็ตื่นเต้นไม่น้อย


 


‘ข้าหวังว่าสหายของเสี่ยวเทียนจักมีพลังฝีมือกล้าแข็งพอที่จะเอาชนะและสังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นได้…หากทำได้ข้าก็มิต้องลงมือให้คฤหาสน์คลื่นขจีตกอยู่ในความเสี่ยง’


 


หานเจิ้งเทียนลอบกล่าวในใจ


 


แน่นอนว่าหากเป็นแบบนั้นได้ก็นับเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด!


 


แต่มันก็ได้วางแผนรับมือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หากสหายของต้วนหลิงเทียนไม่อาจลงมือสังหารนายน้อยคฤหาน์ฟ้าลิ่วล่องได้จริง มันได้แต่ลงมือด้วยตัวเองเท่านั้น


 


หลังจากนั้นมันก็ไม่อาจมั่นใจว่าตัวเองจะปลอดภัย กระทั่งไม่กล้ารับประกันได้ว่าคฤหาสน์คลื่นขจีจะไม่เป็นอะไร


 


มันหวังเพียงให้บุตรีรอดชีวิตไปได้ และมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้น แค่นี้ชั่วชีวิตมันก็ไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว


 


อย่างไรก็ตามหานเจิ้งเทียนคงไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าสหายจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ว่า จะเป็นต้วนหลิงเทียนอุปโลกน์ขึ้นมา!


 


แต่แน่นอนว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวว่าจะ 3 สังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องในการประลอง ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวหลอกลวงแต่อย่างใด!


 


เพียงแค่คนที่จะลงมือไม่ใช่สหายที่เขาปั้นน้ำเป็นตัวสร้างขึ้น แต่เป็นตัวเขาเอง!


 


เหตุผลที่เขาไม่กล่าวบอกหานเจิ้งเทียนออกไปตามตรงว่าจะสังหารนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วลองในเวลา 1 ปีนั้น เพราะน่ากลัวว่าหานเจิ้งเทียนจะไม่มีวันเชื่อถือเขา


 


เพราะสุดท้ายแล้วในสายตาของหานเจิ้งเทียน เขามันก็แค่คนในขอบเขตสู่เซียนเท่านั้น!


 


ถึงแม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าสังหารคนในขอบเขตเซียนมาแล้ว แต่นั่นก็คือคนที่พึ่งทะลวงมาถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น ช่างเป็นอะไรที่ห่างไกลจากยอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลาสุดฟ้า!


 


ดังนั้นคงไม่มีทางที่หานเจิ้งเทียนจะเชื่อได้ลงคอ ว่าเขาจะมีปัญญาฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วลองได้ในเวลาแค่ 1 ปี


 


อันที่จริงไม่ใช่หานเจิ้งเทียนที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร


 


ในระหว่างสนทนาหารือกับหานเจิ้งเทียน ต้วนหลิงเทียนจึงพอได้รับทราบกฏในการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาบ้าง


 


ในการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบนั้น ศาสตราเซียน ยันต์เต๋า และพลังภายนอกอื่นใดห้ามมิให้ใช้ทั้งสิ้น!


 


และด้วยความที่ไม่อาจใช้ศาสตราเซียนได้ เช่นนั้นอาคมเซียนจารึกทั้งหลายก็ใช้การไม่ได้เช่นกัน


 


และนั่นหมายความว่าอีก 1 ปีหลังจากนี้ งานประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ต้วนหลิงเทียนไม่อาจใช้ กระบี่นิลสวรรค์ได้!


 


อันที่จริงหลังจากที่พึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อน ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าหากเขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ได้ล่ะก็ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เขาก็ฆ่าได้ทันที!!


 


ไม่ต้องมากังวลอะไรกับอีแค่นายน้อยคฤหาสนฟ้าลิ่วล่อง ที่อาจจะบรรลุถึงแค่ขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางในการประลองด้วยซ้ำ!


 


ตอนนี้ด้วยอานุภาพของกระบี่นิลสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนเพียงจ่ายปราณแรกกำเนิดลงไปสัก 2 ส่วน เขาก็สังหารเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ทันที!


 


กล่าวให้ชัด เพียงจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงไป 2 ส่วน!


 


เพราะเมื่อไม่กี่วันที่แล้วหลังเขาทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้เป็นผลสำเร็จ ปราณแท้ทั่วร่างของเขาก็ยกระดับพัฒนาสูปราณแรกกำเนิด และพริบตานั้นเองการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดินพลันอุบัติขึ้น!


 


ผลประโยชน์จากการถ่ายทอดปัญญารู้แจ้งของผู้เฒ่าหั่ว เริ่มแสดงผลออกมาแล้ว!


 


ก่อนอื่นเลยก็คือ ปราณแรกกำเนิดของเขามันวิวัฒน์พัฒนาสู่ปราณสุริยันแรกกำเนิด ซึ่งเป็นอะไรที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าปราณแรกกำเนิดมากนัก อันที่จริงมันมีพลังอำนาจเหนือกว่าปราณแรกกำเนิดของผู้ฝึกตนคนอื่นๆไปคนละระดับเลย!!


 


เรียกว่าเพียงแค่เร่งเร้าปราณสุริยันแรกกำเนิดออกมาเขาก็บดขยี้เซียนดั้งเดิมทั่วๆไปได้อย่างง่ายดาย!


 


ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แต่เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกมันได้โดยไม่ต้องพึ่งกระบี่นิลสวรรค์!


 


แน่นอนว่าตอนนี้เขายังไม่อาจเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้หากไม่พึ่งกระบี่นิลสวรรค์ เพราะเขาพึ่งทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นได้ไม่ทันไร ด่านพลังยังไร้ซึ่งความเสถียร…


 


และเป็นเพราะเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียน เขาเองก็ยังไม่คุ้นชินกับการใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิด ตราบใดที่เขาปรับรากฐานให้มั่นคงแน่นหนาจนสามารถใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิดได้ตามใจ คราวนี้กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นต้นหรือขั้นกลาง ก็ไม่อาจเป็นปัญหาให้เขาได้อีก…


 


เรียกว่าถึงตอนนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่ากระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ก็อาจจะแพ้พ่ายด้วยน้ำมือเขา!


 


เพราะสุดท้ายแล้วพลังฝีมือของเขาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปราณสุริยันแรกกำเนิดอย่างเดียว เขายังมีร่างกายอันทรงพลัง ม่านตาพิสดาร และ ยอดใจกระบี่!


 


น่าเสียดายด้วยความที่ยอดใจกระบี่ของเขายังพึ่งบรรลุถึงขั้นแรกเท่านั้น จึงไม่ได้มีพลังอำนาจเหนือไปกว่าวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีที่ตัวตนในขอบเขตเซียนนิยมฝึกปรือกันสักเท่าไร


 


‘ข้ายังมีเวลาอีก 1 ปี…ไม่สิ 5 ปี! ต่อให้หักเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ยังเหลือเวลาอีก 4 ปี’


 


สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างไสวขึ้นมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้


 


ถูกแล้ว


 


ถึงแม้ว่าการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเริ่มขึ้นในอีก 1 ปีหลังจากนี้ หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่มีชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เสมือนมีเวลา 5 ปี!


 


ถึงแม้จะหักเวลาเดินทางออกไป ก็ยังเหลืออีก 4 ปี!


 


เป็นเพราะเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงกล้ารับปากหานเจิ้งเทียน เพราะคิดว่าเขามีเวลาเหลือเฟือ!


 


แน่นอนว่าแม้จะมีเวลาเหลือเฟือ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะประมาทคู่ต่อสู้ เพราะอย่างน้อยๆอีกฝ่ายก็คือนายน้อยของขุมพลังชั้น 4 วรยุทธ์เซียนที่มันฝึกปรือย่อมเหนือล้ำกว่าผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าๆทั่วๆไป หากไม่มีอาคมเซียนหรือยันต์เต๋าให้พึ่ง พลังฝึกปรือและวรยุทธ์เซียนที่มีก็แทบจะเป็นตัวชี้วัดพลังฝีมือ


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้ชัดเจนดี!



ตอนที่ 1,659 : ข่าวแพร่กระจาย


 


ทว่ากระทั่งตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็คงนึกไม่ถึงเลยจริงๆ


 


ว่าไอวาจาโกหกคำโตที่เขายกขึ้นมากล่าวกับหานเจิ้งเทียนว่ามีสหายอยู่ในขุมพลังกึ่งชั้น 3 นั้น แท้ที่จริงแล้วไม่อาจนับว่าเป็นคำลวงแม้แต่นิดเดียว!


 


นั่นเพราะตำหนักเมฆาครามที่บิดาเขาปกครองอยู่ ก็ถือเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3! เรียกว่าเป็นมหาอำนาจในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง! คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั้นเรียกว่าอยู่กันคนละโลกกับตำหนักเมฆาครามเลยจริงๆ!!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าบิดาของเขาเป็นถึงผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3!


 


ไม่อย่างนั้นเรื่องงานแต่งของเฉวี่ยไน่ก็คงไม่ต้องครุ่นคิดอะไรให้วุ่นวาย ขอเพียงบิดาเขากล่าวคำเดียวคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็คงไม่กล้าไม่ล้มเลิกงานวิวาห์!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ข่าวอันน่าตื่นตระหนกจากเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนก็พึ่งแพร่กระจายมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานพอดี!


 


ตราผนึกมาร 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ปรากฏสู่โลกหล้าอีกครั้ง!


 


ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่ในมือของผู้ฝึกตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนามว่า ต้วนหลิงเทียน!


 


เรียกว่าเพียงพริบตา นามต้วนหลิงเทียน ผู้ครอบครองตราผนึกมารก็แพร่กระจายไปทั่วเขตอิทธิพลคฤหาสน์คลื่นขจียิ่งกว่าไฟลามทุ่ม!


 


“ตราผนึกมารในตำนานนั่น ปรากฏขึ้นมาแล้วจริงๆ?”


 


“มิผิด! เห็นว่ามันปรากฏขึ้นในพื้นที่อิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน ยังกล่าวว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตครึ่งก้าวเซียน ใช้ตราผนึกมารนั่นฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนดั้งเดิมได้ในชั่วพริบตา ยังง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!!”


 


“สวรรค์! ครึ่งก้าวเซียนกลับฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนดั้งเดิมได้ได้ชั่วพริบตา…ท่าทางข่าวลือของตราผนึกมารจักมิใช่เรื่องเหลวไหลแล้ว มันมีอานุภาพต่อผู้ฝึกมารใหญ่หลวงนัก!”


 


“หากข้าได้ตราผนึกมารมาครองล่ะก็ ต่อให้เป็นผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนขัดเกลาก็ไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตาข้า!!”


 


“ฮึ่ม! อาศัยพลังฝึกปรือแค่ครึ่งก้าวเซียนถือดีอันใดมาครอบครองตราผนึกมาร!? หากข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ใด ข้าจะออกไปฆ่ามันให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ตราผนึกมารนั่นจักได้ตกเป็นของข้า!!”


 


“เลิกฝันเถอะ…ปัญญาจะพบตัวยังไม่มี นับประสาอะไรกับฆ่า”


 


……


 


วาจาทำนองนี้ดังไปทั่วเขตอิทธิพลคฤหาสน์คลื่นขจี ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้เรื่องตราผนึกมารก็อยากได้อยากมีด้วยกันแทบทั้งนั้น


 


บางคนก็อยากได้ไว้ใช้ บางคนรู้ดีว่าไม่มีทาง บางคนก็กล่าวกันเอาสนุกสนาน


 


บ้างก็ประเมินตัวเองสูงไป กล่าวว่าจะหาตัวต้วนหลิงเทียนให้เจอใน 3 วัน 7 วันแล้วฆ่าชิงตราผนึกมารมาเสีย


 


เรียกว่าตอนนี้ยอดฝีมือมากมายล้วนให้ความสนใจในผู้ฝึกตนครึ่งก้าวเซียนนามต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่


 


ข่าวที่แพร่มาจากคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนนี้ ก็ทำให้คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานคึกคักขึ้นมาไม่น้อย


 


“ต้วนหลิงเทียนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี พลังฝีมือครึ่งก้าวเซียน…สังหารยอดฝีมืออันดับ 1 ในรายนามนภาของเขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน หลินตง ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียน…ต่อมาอาศัยตราผนึกมารที่กลายเป็นจุดสนใจ หลบหนีทุกผู้คนไปได้อย่างไร้ร่องรอย…”


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้อายุยังไม่ถึง 40 จริงๆ?”


 


“อายุยังไม่ถึง 40 บรรลุครึ่งก้าวเซียน แถมยังได้รับตราผนึกมารมาครอง! ยังฆ่าเซียนดั้งเดิมขั้นต้นที่พึ่งทะลวงมาได้ ด้วยขอบเขตครึ่งก้าวเซียน!”


 


“ถึงแม้ว่าอันดับ 1 ในรายนามนภาหลินตงผู้นั้นจะพึ่งทะลวงดาน แต่จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นขอบเขตเซียนไปแล้ว…เซียนกับมิใช่เซียนนั้นแตกต่างกันราวคนละโลก! เรื่องนี้ผู้คนทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามีผู้ใดไม่รู้…แต่ต้วนหลิงเทียนคนนั้นกลับฆ่าเซียนได้ทั้งๆที่เป็นครึ่งก้าวเซียน?”


 


“น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!”


 


“ข้าคิดว่าสมควรเป็นเพราะเขามียันต์เต๋าระดับสูงเป็นแน่ และยันต์เต๋าระดับสูงที่ว่าคงสร้างรังสีกระบี่สังหารอันร้ายกาจ ฆ่าหลินตงนั่นไป!”


 


“แต่เรื่องพรรค์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร ยันต์เต๋าสายจู่โจมจำพวกรังสีกระบี่สังหารนั้นมีค่ามหาศาลนัก มันจักไปโผล่แถวพื้นที่ขุมพลังชั้น 6 ได้อย่างไร?”


 


“เหอะๆ! อย่าได้ลืมกันไปเสียเล่าว่ากระทั่งตราผนึกมารเขายังมี! ตราผนึกมารนั่นกระทั่งขุมพลังระดับแนวหน้ายังหาไม่ได้!!”


 


……


 


ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ เรื่องตราผนึกมารและต้วนหลิงเทียนก็แพร่กระจายไปมากเข้า


 


เรียกว่าตอนนี้ชื่อเสียงเขาโด่งดังไปทั่วสารทิศ อย่างยากที่จะหยุดยั้ง!!


 


ที่บ้านพักมหึมาหลังหนึ่งในเขตที่ดินของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน หานเจิ้งเทียนที่ได้ยินข่าวลือด้านนอกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ แม้จะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วก็ตาม


 


เรียกว่าถึงก่อนหน้าเขาจะเชื่อในวาจาของต้วนหลิงเทียน


 


แต่พอได้ทราบข่าวนี้จากภายนอก ก็ทำให้รู้สึกแตกต่างไปอีกแบบ


 


“บางทีเสี่ยวเทียนอาจช่วยให้คฤหาสน์คลื่นขจีผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้จริงๆ…”


 


หานเจิ้งเทียนกล่าวพึมพำ


 


หานเจิ้งเทียนได้ยินข่าวลือ แน่นอนว่าหานเฉวี่ยไน่ก็ต้องได้ยินเช่นกัน และพอได้ยินนางก็ยิ่งเคว้งคว้างไปกันใหญ่


 


ต้วนหลิงเทียนจากไปแบบนี้ นางก็รู้สึกอ้างว้างเดียวดายเป็นทุนอยู่แล้ว พึ่งจะหายซึมได้ไม่ทันไรมาได้ยินข่าวของต้วนหลิงเทียนอีก ก็พาลให้นางคิดถึงเขาขึ้นมาอีกครั้ง


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านต้องกลับมาหาข้าก่อนที่ข้าจะแต่งงานนะ…หาไม่แล้วข้ากลัวว่า วันหน้าข้าจักมิมีโอกาสได้เห็นพี่ใหญ่อีกแล้ว…”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าขณะกล่าวพึมพำหยาดน้ำตาสองสายได้รดแก้มหานเฉวี่ยไน่เป็นทาง…แลดูชวนให้น่าเวทนาสงสารจับใจ


 


นางเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาแล้ว นางจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนายน้อยเอาแต่ใจ นอกจากชมชอบเชยชมสตรีไม่ต่างเด็ดดมบุปผาริมทาง ยังมีนิสัยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหลวงหรือภรรยาน้อย กระทั่งแค่สตรีที่เคยตกเป็นของมัน….มันก็จะกักตัวพวกนางไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปพบเจอผู้ใด เรียกว่าถูกจำกัดให้อาศัยในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างเดียวเท่านั้น!


 


ดังนั้นหากวิวาห์ไปแล้วนางกลัวว่านางจะไม่มีวันได้กลับออกมาอีก


 


หากนางไม่อาจออกมาได้ แน่นอนว่าคงไม่ได้เจอพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางอีก…


 


แต่ตอนนี้หานเฉวี่ยไน่ไม่ได้รู้เลย ว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางนั้น เดินทางมาเจียนถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว และคงถึงที่หมายในอีกไม่นาน


 


คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องในฐานะขุมพลังชั้น 4 แน่นอนว่ามีอำนาจและอิทธิพลด้อยกว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3


 


หากแต่แม้จะด้อยกว่าทว่าก็มีอำนาจในแดนดินไม่ใช่ชั่ว เรียกว่าต่อให้ไม่ต้องวางอำนาจบาตรใหญ่เอื้อมมือไปที่ใด แต่บรรดาขุมพลังชั้น 5 โดยรอบก็จะนำหินเซียนและทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหลายมามอบให้เป็นบรรณาการ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ทุกๆ 10 ปี!


 


ดังนั้นพื้นที่รอบๆ โดยยึดคฤหาน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นจุดศูนย์กลาง ก็จะมีขุมพลังชั้น 5 ถึง 3 ขุมพลังตั้งอยู่ และถูกเรียกว่าเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


แน่นอนว่าคฤหาสน์คลื่นขจีไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


พื้นที่ๆคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานตั้งอยู่นั้น กล่าวไปเป็นเขตอิทธิพลหลักของขุมพลังชั้น 4 ขุมอื่น


 


อย่างไรก็ตามแม้คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน จะจ่ายส่วยบรรณาการเป็นหินเซียนและทรัพยากรบ่มเพาะแก่ขุมพลังชั้น 4 ดังกล่าวทุกๆ 10 ปี แต่ขุมพลังชั้น 4 ที่ว่าก็ไม่คิดแยแสความเป็นตายของคฤหาสน์คลื่นขจีแม้แต่น้อย!


 


ต่อให้คฤหาสน์คลื่นขจีถูกทำลาย มันก็ไม่สนใจ!


 


เพราะเมื่อคฤหาสน์คลื่นขจีล่มสลายไป เดี๋ยวก็จะมีขุมพลังชั้น 5 ขุมใหม่ขึ้นมาแทนที่เอง…โลกนี้เข้มแข็งอยู่อ่อนแอตายตก ชนะเป็นจ้าวแพ้เป็นโจร!


 


“ผ่านตรงนั้นไป ก็เข้าเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้วสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังแนวเทือกเขาสูงใหญ่ไกลตาที่ทอดตัวยาวกันฟ้ากับดินเอาไว้เบื้องหน้า


 


เพราะหลักจากผ่านแนวเทือกเขานั้นไป ก็จะเข้าสู่เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว


 


เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็อยู่ใกล้ๆกับเขตอิทธิพลหลักของขุมพลังชั้น 4 ที่คฤหาสน์คลื่นขจีอาศัยอยู่ ….หากแต่ตอนนี้สถานที่ๆต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็ไม่ใช่พื้นที่ของคฤหาสน์คลื่นขจีอีกต่อไป


 


เป็นพื้นที่ของขุมพลังชั้น 5 แห่งหนึ่ง ที่อยู่ใต้อาณัติของขุมพลังชั้น 4 สถานะก็ไม่ต่างอะไรจากคฤหาสน์คลื่นขจี



ตอนที่ 1,660 : ผู้มีพระคุณ


 


“คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…”


 


หลังจากที่เหินกระบี่บินข้ามผ่านแนวเทือกเขามา สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลงทันใด


 


เพราะนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคิดข่มเหงรังแกน้องสาวเขาอย่างหานเฉวี่ยไน่! เช่นนั้นแล้วในสายตาเขาคฤหาสน์ฟ้าลิว่ล่องก็ไม่ใช่ตัวดีอันใด!!


 


หากเขามีพลังอำนาจสูงมากพอล่ะก็ เขาจะบุกไปสร้างความฉิบหายมันดื้อๆ เอาให้มันวินาศสันตะโรไปเป็นแถบๆ พอนายน้อยบัดซบนั่นโผล่หัวมา ก็ตัดคอมันเสียต่อหน้าทุกผู้คนในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


‘พลัง! แค่มีพลังฝีมือสูงพอจะเรียกลมเรียกฝนอย่างไรก็ได้! ข้ายังอ่อนแอเกินไป ขนาดภูมิภาคเบื้องล่างยังทำอะไรไม่ได้ นับประสาอะไรกับภูมิภาคเบื้องบน!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบร้องร่ำในใจอย่างอับจน


 


ด้วยพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ ต่อให้ใช้กระบี่นิลสวรรค์โดยถ่ายทอดปราณสุริยันแรกกำเนิดเปิดใช้พลังอำนาจเต็มกำลัง แต่อย่างดีก็พิฆาตสังหารได้แค่ เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเท่านั้น


 


หากเข้าเจอตัวตนระดับ อริยะเซียนล่ะก็…น่ากลัวต่อให้ใช้กระบี่นิลสวรรค์เขาก็ยังฆ่ามันไม่ได้


 


ทว่าในฐานะขุมพลังชั้น 4 คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่เพียงมีอริยะเซียน แต่ยังมียอดฝีมือที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าอริยะเซียนอยู่อีกด้วย!


 


ตอนนี้ถึงเขาจะบุกไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องโดยมีกระบี่นิลสวรรค์ในมือ แต่น่ากลัวเขาจะฆ่าอาวุโสระดับสูงได้แค่ไม่กี่คนก่อนที่จะถูกฏ่าตาย


 


หลังจากที่เข้าสู่เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว เขาก็เริ่มสอบถามผู้คนถึงทางไปยังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที พอรับทราบและไปสำรวจที่ทางดีแล้ว เขาก็เข้าไปในหุบเขาลึกอันเงียบสงบร้างผู้คน ก่อนที่จะขุดถ้ำแล้วพักอาศัยอยู่ในนั้น


 


แน่นอนว่าลึกลงไปในถ้ำที่ถูกปกปิดอย่างดี ก็มีแต่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่เล็กเท่าธุลีดินตั้งอยู่


 


ส่วนตัวเขานั้นวูบเข้าไปบ่มเพาะฝึกฝนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว


 


หลังจากที่ไปสอบถามมาจนได้ข้อมูลแน่ชัด เขารู้ว่าแม้การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะเริ่มในอีก 1 ปีหลังจากนี้ แต่ทุกคนก็กล่าวถึงกันมาตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว เพราะนี่นับเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย


 


รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จะเปลี่ยนทุกๆ 50 ปี…นับเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่นัก!


 


ตราบใดที่มีนามของท่านปรากฏอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ชื่อเสียงของท่านย่อมขจรขจายไปทั่วเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เป็นดั่งสุดยอดอัจฉริยะ!


 


เรียกว่า รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง เสมือนตั๋วที่จะนำพาท่านให้ทะยานสู่ฟ้า


 


นอกจากนี้ตราบใดที่ท่านสามารถติด 1 ใน 10 รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องได้ล่ะก็…คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ยินดีรับท่านเป็นศิษย์ ยังจะให้การสนับสนุนอย่างดี!!


 


ในประวัติศาสตร์ ยอดฝีมืออันร้ายกาจแถวหน้าของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแทบทุกคน ล้วนเคยมีนามจารึกไว้ในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องทั้งสิ้น!


 


ด้วยเหตุนี้ภายในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จึงเป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติที่สุด!


 


ถึงแม้จะเหลือเวลามากกว่าปี ที่การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบจะจัดขึ้น แต่ทุกผู้คนจากทั่วสารทิศก็เริ่มเดินทางมาถึงเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกันแล้ว ทั้งหมดล้วนเฝ้ารอคอยเวลาด้วยความวาดหวัง


 


‘ไม่คิดเลยจริงๆว่าผู้คนในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จะให้ค่าการประลองจัดอันดับนี่สูงถึงขนาดนี้…ไม่น่าแปลกใจเลยที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงกำหนดไว้…ว่าผู้ที่จะมิสิทธิ์รับตำแหน่งผู้นำต้องมีชื่อติดในรายนามนั่น! นับว่าเป็นการทดสอบที่มีประสิทธิ์ภาพที่ดีที่สุดจริงๆ หากมีชื่อในรายนามก็เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะมากคุณสมบัติได้เต็มปาก…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบถอนหายใจเบาๆ


 


ไม่นาน ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ร่างต้วนหลิงเทียนก็ลอยค้างกลางหาวดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติราวกับวังวนพายุ ด่านพลังฝึกปรือที่พึ่งบรรลุเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นทุกขณะเวลา คนจมจ่อมสูภวังค์บ่มเพาะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดอีก…


 


และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใดที่ปราณสุริยันแรกกำเนิดเริ่มแผ่ออกมาจากร่างเขาจางๆ ทั้งยังเริ่มเผยแสงสว่างปานดวงตะวัน!


 


ยิ่งมาแสงสีทองยิ่งทรงพลังอานุภาพ ยังสว่างเจิดจ้ามากขึ้นทุกขณะ ให้ความรู้สึกคล้ายอาทิตย์สุริยันเข้าไปทุกที


 


เหตุผลของปรากฏการณ์นี้ก็คือ ต้วนหลิงเทียนกำลังกระตุ้นปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างของเขา เพื่อปรับพลังให้เสถียรมั่นคง


 


ทำให้ยิ่งมากลิ่นอายพลังของปราณสุริยันแรกกำเนิด ก็ยิ่งมีกลิ่นอายพลังละม้ายคล้ายดวงตะวัน!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังปรับด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นให้มีเสถียรภาพ และทำให้ทั่วร่างเปี่ยมล้นไปด้วยปราณสุรันแรกกำเนิดโดยสมบูรณ์ ด้านต้วนหรูเฟิงที่อยู่ในตำหนักเมฆาครามอันห่างไกลก็ได้รับข่าวลือเรื่องตราผนึกมารแล้วเช่นกัน


 


“ตราผนึกมาร!?”


 


หลังจากได้รับทราบเรื่องที่บุตรชายของตัวเองอย่างต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ที่ถือครองตราผนึกมาร ต้วนหรูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านสะเทือนใจไปอย่างใหญ่หลวง!


 


ไหนเลยมันจะไม่รู้จักตราผนึกมารได้!!


 


กระทั่งเหตุผลที่ทำให้มันต้องหายตัวไปอย่างลึกลับเป็นเวลา 20 กว่าปี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะตราผนึกมารทั้งสิ้น…ทุกอย่างเป็นเพราะตราผนึกมาร! กล่าวให้ชัดก็คือเศษเสี้ยวดวงจิตของผู้ฝึกมารอันร้ายกาจที่เล็ดรอดออกมาจากตราผนึกมารช่วงชิงร่างกายของมัน ทำให้มันจำต้องพรัดพรากจากภรรยาและไม่มีโอกาสได้เห็นบุตรชายเติบโต…!!


 


และเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตของมารร้ายตนนั้นที่ทำให้มีมัน ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามอย่างทุกวันนี้!


 


อย่างไรก็ตามต้วนหรูเฟิงไม่เคยรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้เลยสักครั้ง ยังรู้สึกเกลียดชังมารร้ายนั่นจับใจนัก เพราะหากไม่ใช่จิตใจมันแน่วแน่เข็มแข็ง น่ากลัวว่าดวงจิตของมันคงถูกมารร้ายทำลาย และเสียร่างกายไปอย่างสมบูรณ์นานแล้ว!!


 


“ที่แท้…ดวงจิตหลักของเฮยหมิงถูกเทียนเอ๋อทำลายไปเช่นนั้นหรือ!?”


 


สองตาต้วนหรูเฟิงทอแสงสว่างออกมาเจิดจ้า มันไม่อาจคิดคาดจินตนาการได้จริงๆว่าจะมีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นได้!!


 


แม้มันจะรู้ว่าตราผนึกมารอยู่ที่ไหน แต่ในฐานะผู้ฝึกมารมันย่อมไม่กล้าเข้าไปหากไม่มั่นใจเต็ม 10 ส่วน ผู้ใดจะไปรู้ว่าขืนเข้าใกล้แล้วตราผนึกมารนั่นจะพยายามสะกดกักขังดวงจิตมันหรือไม่?


 


และตอนนั้นมันกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าพลังอำนาจของเฮยหมิงที่พยายามช่วงชิงร่างกายของมันนั้นร้ายกาจเพียงใด!


 


กระทั่งเศษเสี้ยวดวงจิตของเฮยหมิง กลับทำให้มันเป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้!!


 


‘หากที่หลบหนีออกจากตราผนึกมารได้เป็นดวงจิตหลักของเฮยหมิงมิใช่เศษเสี้ยวดวงจิต…น่ากลัวดวงจิตของข้าคงถูกมันทำลาย และร่างกายข้าคงตกเป็นของมันไปนานแล้ว’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีนัก


 


ในอดีตเป็นเพราะตราผนึกมารทุ่มพลังสะกดปราบดวงจิตหลักของเฮยหมิงเอาไว้ ทำให้มันสามารถใช้ชีวิตอยู่รอดมาได้อย่างปลอดภัย แม้ร่างจะถูกเศษเสี้ยวดวงจิตของเฮยหมิงครอบงำอยู่ก็ตามที


 


ทว่าตอนนั้นอยู่ดีๆมันก็สัมผัสได้ว่าดวงจิตหลักของเฮยหมิงคล้ายถูกทำลายลงไป ทำให้เศษเสี้ยวดวงจิตพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้มันอาศัยจังหวะนี้ทำลายเศษเสี้ยวดวงจิตนั่น และยึดครองร่างกลับมาเป็นของตัวเองได้โดยสมบูรณ์!!


 


และในตอนนั้นเองมันก็รู้ได้ทันทีว่าสมควรมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตราผนึกมาร มิแคล้วตราผนึกมารจะมีเจ้าของคนใหม่ และเจ้าของที่ว่ายังใช้พลังอำนาจของตราผนึกมารทำลายดวงจิตหลักของเฮยหมิงได้ทัน ก่อนที่ดวงจิตหลักเฮยหมิงจะจู่โจมชิงร่าง!


 


อย่างไรก็ตามร้อยพันหมื่นคาดต้วนหรูเฟิงก็ไม่เคยคิด ว่าเจ้าของตราผนึกมารคนใหม่ที่ว่าจะเป็นบุตรชายของตัวเอง ต้วนหลิงเทียน!


 


‘ความแข็งแกร่งของดวงจิตหลักเฮยหมิงนั้นน่ากลัวนัก ตอนนั้นข้ายังสงสัยไม่น้อยว่าผู้มีพระคุณผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่ ถึงได้เปิดใช้พลังอำนาจของตราผนึกมารสะกดดทำลายดวงจิตหลักของเฮยหมิงได้ทันการ! ไม่อยากจะเชื่อเลยที่แท้กลับเป็นลูกชายของข้าเอง!!’


 


ต้วนหรูเฟิงลอบทอดถอนในใจ


 


อาจกล่าวได้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของตราผนึกมารคนใหม่ คนผู้นั้นก็คือผู้มีพระคุณของมัน!


 


หาไม่แล้วป่านนี้มันคงยังทำได้แค่พยายามต่อสู้กับเศษเสี้ยวดวงจิตของเฮยหมิงอย่างยากลำบาก เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในการครอบครองร่างกาย และคงไม่อาจกลับไปยังทวีปเมฆาล่องพบหน้าลูกเมียได้แบบนี้!


 


มันสงสัยใครรู้อยู่ตลอดเวลาว่าผู้มีพระคุณชั่วชีวิตคนนี้จะเป็นใคร แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่าสุดท้ายจะเป็นลูกชายตัวเอง


 


“แต่…สถานการณ์ของเทียนเอ๋อตอนนี้มิค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร”


 


ทว่าพอนึกถึงสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ต้วนหรูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “อีกไม่น่านทั่วทั้งภูมิภาคเบื้องล่างคงระดมกำลังกันตามหาเทียนเอ๋อไปทุกที่ เพื่อชิงตราผนึกมารนั่น…”


 


ทันทีที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนครอบครองตราผนึกมาร ต้วนหรูเฟิงก็รู้ดีถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะตกเป็นเป้าหมายของการแก่งแย่งชิงดี…


 


คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก! ทันทีที่บุตรชายของมันเผยตัว ไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าหมายของผู้คนทั่วหล้าแน่นอน!!



ตอนที่ 1,661 : นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ในฐานะขุมพลังชั้น 4 แน่นอนว่าเขตที่ดินของสถานที่ตั้งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องย่อมใหญ่โตกว้างขวางยิ่งกว่าคฤหาสน์คลื่นขจี…


 


หากจะกล่าวบอกว่าอาณาบริเวณสถานที่ตั้งคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานเปรียบได้ดั่งประเทศเล็กๆแล้วล่ะก็…


 


เช่นนั้นอาณาบริเวณพื้นที่ตั้งของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็เสมือนประเทศใหญ่! มองไปสุดสายตาไม่อาจมองเห็นอีกด้าน หากแต่มองไปทางใดก็เห็นผู้คนอยู่ทุกแห่งหน!!


 


หากทว่าแม้บรรยากาศในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะคึกคักเต็มไปด้วยชีวิตชีวิต กลับมีเสียงประหลาดดังขึ้นในคฤหาสน์หลังเล็กๆหลังหนึ่งที่แลดูไม่สะดุดตาสักเท่าไหร่…


 


คฤหาสน์หลังเล็กนี้แลดูเก่าแก่ทรุดโทรม แถมยังรกร้างมองไปทางใดก็เต็มไปด้วยใยแมงมุม ราวกับคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีใครมาอาศัยอยู่เป็นเวลานาน


 


อย่างไรก็ตามหากสังเกตให้ละเอียดจะพบว่า ส่วนตะวันออกของคฤหาสน์ ตามทางเดินตรงไปห้องหับใหญ่โตห้องหนึ่งนั้นไร้ใยแมงมุมอันใด ราวกับมีผู้คนทำความสะอาดส่วนนี้ไว้ใช้งาน…


 


และเมื่อเดินมาจนถึงสุดทางเดิน ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มที่คล้ายผู้พิทักษ์กำลังปกปักษ์รักษาประตูห้องสุดทางดังกล่าวเอาไว้… พิกลนักชายหนุ่มผู้นี้กลับมีหลังคดงอ หากแต่แววตากลับทอประกายคมกล้าแฝงเล่ห์ เพียงใครได้เห็นก็บอกได้ว่ามิใช่ตัวดีอันใด


 


“อย่า…อย่าทำข้า…อย่า!! อ๊าาาา…!!”


 


ทันใดนั้นเองปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นจากภายในห้องใหญ่ดังกล่าว เพียงได้ยินปรากเดียวไม่ว่าใครก็บอกได้ว่านี่เป็นเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของอิสตรี


 


หลังจากนั้นไม่นานเสียงกรีดร้องดังกล่าวก็เงียบดับไปเสียดื้อๆ คล้ายนางมิเคยมีตัวตน…


 


“เอาไปทิ้งเสีย!”


 


สิ้นเสียงกรีดร้องได้ไม่ทันไรพลันมีเสียงเย็นเยือกไร้อารมณ์หนึ่งดังขึ้น! เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมาร่างชายหนุ่มหลังโค้งคดงอก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ พอมันคืนสติมันก็เร่งเปิดประตูและเข้าไปในห้องใหญ่ทันที


 


มองไปพบเห็นเป็นร่างแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตร่างหนึ่งนอนกองอยู่กับพื้น


 


หากสังเกตให้ดีใครก็บอกได้ว่านี่สมควรเป็นซากศพของอิสตรี ศพนี้แม้จะแลดูแห้งกรังแต่ยังมีความอุ่นร้อน เห็นได้ชัดว่านางพึ่งตกตายไปได้ไม่ทันไร


 


ส่วนถัดไปจากศพแห้งกรังที่กองอยู่บนพื้นก็ปรากฏเตียงใหญ่หลังหนึ่ง บนเตียงมีผู้ฝึกมารกำลังนั่งขัดสมาธิเดินพลัง ไอพลังทมิฬมืดฟุ้งตลบไปทั่วกาย ยังมีกลิ่นอายปราณโลหิตคาวคลุ้งแผ่กำจายไปรอบๆ และเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักก็พบว่าไอพลังทมิฬนั่นกำลังชักนำปราณโลหิตคาวคลุ้งให้เข้าสู่ร่างกายของมัน!


 


ขณะเดียวกันไม่ว่าเป็นผู้ใดก็สามารถมองออกทันที ว่ายามที่ปราณโลหิตถูกไอพลังทมิฬมืดชักนำเข้าร่าง ชายหนุ่มที่เดินพลังอยู่บนเตียง ก็ยิ่งเปล่งกลิ่นอายพลังของตัวออกมาอย่างรุนแรง ยังคล้ายสดชื่นแจมใสมากขึ้นเรื่อยๆปานได้รับยาชูกำลัง!!


 


ทันใดนั้นชายหนุ่มที่เดินพลังบนเตียงพลันลืมตาออกมาเผยประกายตาดั่งฟ้าฟาด จับจ้องไปยังชายหนุ่มหลังค่อมที่พึ่งเดินเข้ามาตาเขม็ง ด้วยอีกฝ่ายเอาแต่ยืนจ้องไม่ทำตามคำสั่ง…


 


“นายน้อย”


 


เมื่อเห็นอีกฝ่ายจับจ้องมองมาทั้งย่นคิ้วด้วยคล้ายจะไม่พอใจ ชายหนุ่มหลังค่อมเร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว แถมมันยังผงะไปด้วยความตกใจ สุดท้ายสองขาคล้ายไร้เรี่ยวแรงจึงหกล้มลงไปทั้งอย่างนั้น


 


“ขออภัยด้วยนายน้อย! ข้ามิได้ตั้งใจ! ข้ามิได้ตั้งใจ!!”


 


เมื่อเห็นชายหนุ่มบนเตียงที่กำลังเดินพลังดูดซับปราณโลหิตขมวดคิ้ว เผยแววตาเย็นเยือก ชายหนุ่มหลังค่อมเร่งร่ำร้องออกมาเสียงหลง มันยังลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงแม้แผ่นหลังพิกลพิการ มือสะบัดใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วศพแห้งกรังให้วูบเข้ามาหาตัว ก่อนที่จะพุ่งร่างออกประตูไปพร้อมสพดังกล่าว แล้วปิดประตูลงทันที…ประตูปิดแล้วมันก็มองไปยังประตูด้วยใบหน้าโล่งใจมือยังยกขึ้นมาลูบอกพร้อมพ่นลมเบาๆปานกำลังปลอบขวัญตัว


 


ทำราวกับชายหนุ่มบนเตียงในห้องเป็นสัตว์ร้ายที่น่าหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น


 


หลังจากที่ชายหนุ่มหลังค่อมพาศพแห้งกรังจากไป ชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิเดินพลังบนเตียงพลันค่อยๆคลายคิ้วที่ขมวดลง ก่อนจะพึมพำกับตัวเบาๆ “หลังจากนี้อีก 10 เดือน ตราบใดที่มีสตรีมากพอให้ข้าดูดซับพลังหยิน อย่างน้อยๆข้าสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ทันก่อนจะเริ่มการประลอง…”


 


“แถมด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หากข้าได้สตรีพรหมจรรย์ด่านพลังสูงเจ้าหน่อยมาสูบกลืนพลังหยินมากพอล่ะก็…กระทั่งเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญก็ไม่ใช่ว่าจะทะลวงผ่านไม่ได้”


 


ยามกล่าวคำพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิต สองตาของมันก็ทอประกายออกมาดั่งดารากลางฟ้าค่ำ


 


“10 เดือนหลังจากนี้…อันดับที่ 1 ในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ถูกลิขิตให้เป็นของข้า ฉีจิ้ง!!”


 


ยิ่งมาสองตาชายหนุ่มดังกล่าวยิ่งทอประกายดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ในวาจายังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจอย่างหาตัวจับยาก!


 


ฉีจิ้ง!


 


ชายหนุ่มที่แลดูชั่วร้ายดั่งมารปีศาจนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ขณะเดียวกันมันก็คือคนเดียวกันกับที่จะเข้าพิธีวิวาห์กับเฉวี่ยไน่หลังจากนี้อีก 1 ปี


 


อย่างไรก็ตามฟังจากวาจาที่มันกล่าวพึมพำ ท่าทางมันกำลังบ่มเพาะฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาสายมาร มารกลืนหยิน!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้นมีผู้ฝึกมารนับไม่ถ้วน เคล็ดบ่มเพาะของสายมารองก็มีมากมายร้อยแปดพันเก้า


 


หากพูดถึงเคล็ดบ่มเพาะมารทั่วไป น่ากลัวคงไม่ค่อยมีคนรู้จักหรือเคยได้ยิน


 


อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงเคล็ด ‘มารกลืนหยิน’ แล้วล่ะก็…ขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋าก็ตามที ถ้าไม่รู้จักก็ถือว่าแปลก!


 


แม้ว่าเคล็ดมารกลืนหยินจะไม่ได้แพร่หลายอะไรมากมาย แต่มันก็ได้เพาะสร้างผู้ฝึกมารที่ทรงพลังน่ากลัวขึ้นมา ซึ่งมารร้ายที่ว่าก็สร้างความหายนะและความวุ่นวายให้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเอาไว้มาก ดังนั้นทุกคนจึงรู้จักนามเคล็ดวิชามารอย่าง มารกลืนหยิน ดี!


 


เมื่อหลายปีก่อนมีผู้ฝึกตนธรรมดาๆคนหนึ่ง ได้บ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยินนี้เข้า ทำให้พลังฝีมือของมันก้าวหน้าขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว เรียกว่าในเวลาเพียงไม่กี่สิบปีมันก็สามารถเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในขุมพลังชั้น 9 แห่งหนึ่ง ให้กลายเป็นสุดยอดฝีมืออันร้ายกาจยากหาคู่เปรียบ! พลังฝีมือของมันเพียงผู้เดียวสามารถกวาดล้างทำลายขุมพลังชั้น 4 ลงได้! เรื่องนี้นับเป็นอะไรที่ทำให้ทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตกตะลึง!!


 


อาศัยความสำเร็จดังกล่าว แน่นอนว่าย่อมมากพอให้ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายกย่องสรรเสริญ…!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ฝึกตนทั้งหลายพบว่า ยอดฝีมืออันร้ายกาจที่ผงาดขึ้นมาผู้นี้ ที่แท้กลับฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารอันน่ารังเกียจอย่าง มารกลืนหยิน…เพื่อยกระดับพลังฝีมือได้ในเวลาอันสั้น ทั้งหมดก็รู้สึกยากทานทน!!


 


มารกลืนหยินนั้น เมื่อเริ่มต้นฝึกฝนบ่มเพาะ จำเป็นต้องดูดกลืนพลังหยินจากสตรีรวมถึงแก่นแท้โลหิตและพลังชีวิตเพื่อยกระดับพลังฝึกปรือ!!


 


หากมีสตรีให้ดูดซับมากพอ..ผู้ใดก็ตามที่ฝึกปรือด้วยเคล็ดวิชา มารกลืนหยิน ย่อมสามารถยกระดับพลังฝึกปรือได้มหาศาลในเวลาอันสั้น!!


 


เคล็ดวิชามารประเภทนี้ ไร้ซึ่งจุดรอคอยอันใด ตราบใดที่พลังฝึกปรือของสตรีที่จะดูดซับสูงส่งและมีจำนวนมากพอ ด่านพลังฝึกปรือจะก้าวหน้าด้วยความเร็วดั่งพุ่งทะยาน บรรลุสู่ขอบเขตสูงล้ำในเวลาอันสั้นอย่างอัศจรรย์!


 


ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดบ่มเพาะนี้ ไม่เกี่ยวกับศักยภาพพรสวรรค์ของผู้ฝึกแม้แต่น้อย


 


นับตั้งแต่เคล็ดมารกลืนหยินถูกเปิดโปงออกมา ก็ทำให้ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าโกลาหลวุ่นวายกันยกใหญ่ ยังทำให้ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋าจำนวนมากคับแค้นชิงชัง!


 


ในบรรดายอดฝีมือเหล่านั้น รวมถึงสุดยอดฝีมือที่เป็นผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ด้วยเช่นกัน


 


สุดท้ายยอดฝีมือจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 และยอดฝีมือเพนจรในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ได้มารวมตัวผนึกกำลังกันเพื่อขจัดมารร้ายให้หมดไปจากทั่วหล้า แน่นอนว่ามารร้ายที่ว่าก็คือผู้ฝึกมารที่ฝึกปรือด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน!


 


การต่อสู้ครั้งนั้นนับว่าสร้างมรสุมโลหิตมืดฟ้ามัวดิน กระทั่งตะวันจันทรายังคล้ายจะหม่นแสงลง


 


สุดยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนระดับแนวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่มาผนึกกำลังกัน ในที่สุดหลังจากที่ต้องจ่ายราคาออกไปด้วยการสละชีวิตสหายร่วมรบขอบเขตอริยะเซียนไปถึง 3 คน…ก็สามารถซัดทำร้าย สุดยอดฝีมือที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินให้บาดเจ็บสาหัสได้สำเร็จ! อนิจจากลับไม่สามารถสังหารมันได้!!


 


นั่นเพราะวรยุทธ์หลบหนีของเคล็ดมารกลืนหยินเป็นอะไรที่ร้ายกาจนัก! แม้จะจ่ายออกด้วยราคามหาศาลแต่ก็ทำให้มันหลบหนีความตายภายใต้การปิดล้อมของสุดยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนทั่วหล้าได้อย่างปาฏิหาริย์!!


 


ต่อมามารร้ายอันเป็นสุดยอดฝีมือที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินผู้นั้น ก็หายสาบสูญไปจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย…


 


หลายคนกล่าวกันว่ามันสมควรขึ้นไปสู่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว…


 


อย่างไรก็แล้วแต่ แม้มันจะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง แต่เคล็ดบ่มเพาะสายมารที่มันฝึกปรืออย่าง เคล็ดมารกลืนหยิน ก็เป็นเคล็ดวิชาสายมารที่ผู้คนทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังจดจำนามกันได้เป็นอย่างดี…



ตอนที่ 1,662 : มารกลืนหยิน!


 


โดยทั่วไปแล้วมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะสายมารที่กลืนกินแก่นแท้โลหิตเพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกปรือไม่น้อย นอกจากนั้นพวกมันก็มีข้อจำกัดวุ่นวายไม่ต่างกัน


 


ยกตัวอย่างเช่น มารหยินลึกล้ำ ซึ่งแตกต่างจาก มารกลืนหยินแค่คำเดียว


 


มารหยินลึกล้ำเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะฝ่ายมารที่แพร่หลายกันทั่วไปในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตราบใดที่ต้องการเคล็ดวิชานี้ ผู้ฝึกมารในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าสามารถหามันได้ไม่ยาก


 


เคล็ดมารหยินลึกล้ำนั้นก็อาศัยการดูดซับเลือดพรหมจรรย์ของสตรีบริสุทธิ์เช่นกัน หากแต่ความก้าวหน้าจะไม่เหลวไหลเหมือนมารกลืนหยิน นอกจากนั้นหากสตรีดังกล่าวไม่ใช่สตรีพรหมจรรย์ คนที่ฝึกมารหยินลึกล้ำ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากนางอีกต่อไป ต่อให้นางจะอายุน้อยเพียงใดก็ตาม


 


เคล็ดวิชามารกลืนหยินนั้น จึงเป็นอะไรที่น่ากลัวนัก กระทั่งภูมิภาคเบื้องบนยังนับว่ามีค่าไม่ใช่ชั่ว ยังจะนับประสาอะไรกับภูมิภาคเบื้องล่าง


 


ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะ มารกลืนหยินมาด้วยโชควาสนาโดยบังเอิญเมื่อ 3 ปีก่อน


 


ในตอนนั้นระหว่างเดินทางมันพลัดหลงเข้าไปในสถานที่ๆมีเคล็ดวิชามารกลืนหยินทิ้งไว้อยู่ และได้รู้ว่าผู้ที่ทิ้งไว้ก็คือผู้ฝึกมารที่น่ากลัวในกาลก่อนคนนั้น!


 


คนอื่นอาจลืมเลือนยอดฝีมือฝ่ายมารผู้นั้นไปหมดสิ้นแล้วตามกาลเวลา หากแต่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเช่นมันนั้นไม่มีวันลืมเด็ดขาด!


 


เพราะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ส่งยอดฝีมือออกมาผนึกกำลังกันยามนั้น มีคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องรวมอยู่ด้วย…ตอนนั้นคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ใช่ขุมพลังชั้น 4 อย่างทุกวันนี้แต่เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3!


 


และการที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ได้ ล้วนเป็นเพราะพลังฝีมือของยอดฝีมือผู้นั้น


 


โชคร้ายในการปะทะกับยอดฝีมือฝ่ายมารครั้งนั้น ยอดฝีมือที่พลาดท่าเสียทีตกตายไปหนึ่งในนั้นก็คือยอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสูญเสียเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดไป


 


ตอนแรกเพราะความเคารพที่มีต่อคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แม้ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะรู้ว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสูญเสียคุณสมบัติในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครฉวยโอกาสมารุกรานช่วงชิงวาสนา


 


อนิจจากาลเวลาผ่านไป ใจคนแปรเปลี่ยน


 


ความเคารพในการเสียสละของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ค่อยๆจางหายไปทีละน้อย เรียกว่าหลังจากนั้นผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วอายุคน ก็เหลือคนที่เคารพคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแค่เพียงหยิบมือ และยอดฝีมือของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่เคยร้ายกาจในวันวานก็ชรามากแล้ว


 


เหล่าผู้ชราทั้งหลาย ยามเมื่อถึงบั้นปลายก็แยกย้ายกันไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า บ้างก็คิดก่อตั้งตระกูลของตัว บ้างก็ไปสร้างอนุสรณ์สถานของตัว


 


ด้านคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเมื่อผู้เข้มแข็งล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่ก็มีฝีมือถดถอยลงเรื่อยๆ และไร้ซึ่งยอดฝีมือที่มีพลังอำนาจมากพอจะยืนหยัดอยู่แถวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป ไร้ผู้นำในการฟันฝ่ามรสุมแก่งแย่ง…


 


สุดท้ายวันหนึ่งก็มีขุมพลังชั้น 4 ที่พึ่งผงาดขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ไม่กี่ปี พยายามช่วงชิงวาสนาและกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 แทนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเมื่อไร้ยอดฝีมือแล้ว จึงไม่มีใครสามารถต้านทานสุดยอดฝีมือของขุมพลังนั่นได้


 


สุดท้ายคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ทำได้เพียงยอมจำนนเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียอันไม่จำเป็น และปล่อยให้สายแร่หินเซียน รวมถึงจุดชีพจรวิญญาณที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้อีกฝ่าย…และมาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ปัจจุบัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


 


ชนชั้นผู้นำทุกคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องล้วนวาดฝันถึงความรุ่งโรจน์ในกาลก่อนทั้งสิ้น


 


อนิจจาแม้จะผ่านไปหลายปีดีดัก ถึงคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะสามารถยืนหยัดมาได้ในฐานะขุมพลังชั้น 4 เหมือนทุกวันนี้ แต่พวกมันก็ไม่เคยเพาะสร้างสุดยอดฝีมือที่จะยืนหยัดในแถวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อีกเลย จึงไร้วันที่จะหวนคืนสู่ฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่แข็งแกร่งอีกครา!


 


“หากข้าได้เป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต่อจากท่านพ่อเมื่อไหร่ สักวันข้าจะทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วลองเป็นขุมพลังที่ร้ายกาจที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้จงได้!!”


 


สองตาฉีจิ้งทอประกายสว่างวาบ รำพันออกมาเสียงเข้ม


 


เหตุผลที่มันหาญกล้ากล่าววาจาทำนองนี้ เพราะเคล็ดวิชาบ่มเพาะ มารกลืนหยิน ในมือ!


 


มารกลืนหยิน นั้นสำหรับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว นับเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างแท้จริง!


 


โดยปกติแล้ว ฉีจิ้ง ในฐานะนายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ทันทีที่มันได้รับเคล็ดวิชามารกลืนหยินนี้มา สิ่งแรกที่มันควรทำคือมอบให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพื่อนำไปทำลายให้สิ้นซาก!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ก็เป็นเคล็ดอวิชชานี้ที่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องสูญเสียสุดยอดฝีมือ จนทำให้ตกต่ำลงเรื่อยๆ


 


อนิจจาด้วยความหลงไหลในพลังอำนาจของเคล็ดมารกลืนหยิน ทำให้ฉีจิ้งใจไม่แข็งพอที่จะส่งมันให้ตระกูลเพื่อทำลาย และเลือกที่จะเก็บเอาไว้กับตัว


 


ตอนแรกแม้มันจะมีเคล็ดมารกลืนหยินเก็บไว้กับตัวมันก็ไม่คิดฝึกปรือแต่อย่างไร เพราะไม่อาจตัดสินใจได้


 


จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ มีข้อความแพร่กระจายไปทั่วคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จึงทำให้มันตัดสินใจได้ทันที


 


ข้อความประโยคนั้น กล่าวไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อผู้อื่นมากนัก


 


กระทั่งหากเป็นฉีจิ้งที่ไม่มีเคล็ดมารกลืนหยินอยู่ในมือ แม้มันอาจจะไม่พอใจข้อความประโยคนั้น แต่มันก็คงไม่สนใจอะไรมากมาย


 


อนิจจาพอเป็นฉีจิ้งที่มีเคล็ดมารกลืนหยินในมือ กลับส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงนัก!


 


“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเรา สมควรมีพลังฝีมือสูงส่งเป็นลำดับ 3 ของผู้เข้าร่วม สุดท้ายต้องได้อันดับที่ 3 มาไม่ผิดแน่!”


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น จะอย่างไรยอดฝีมือที่มีอายุไม่เกิน 50 ปี ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเราที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ หลวงจีนลายบุปผา กับจิ้งชวีจื่อ…พลังฝีมือทั้งคู่สูงส่งทัดเทียมยากรู้แพ้ชนะ แต่นับว่าเหนือกว่านายน้อยคฤหาสน์เราอย่างเห็นได้ชัด”


 


“เจ้ากล่าวว่านายน้อยของคฤหาสน์เรามิอาจสู้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้ข้ายอมรับ…แต่เรื่องที่เจ้าบอกว่านายน้อยของพวกเราสมควรได้อันดับที่ 3 ในการประลองสุดยอดนักรบนั้นข้าว่าไม่จริง….เจ้าอย่าได้ลืมไป ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิว่ล่องเรา ในบรรดายอดฝีมือที่อายุเยาว์กว่า 50 ปี นอกจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง…”


 


“ใช่เจ้าหมายถึง จงกู้ หรือไม่?”


 


“เป็นมัน! เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเราอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนเหมือนกันกับจงกู้ หากแต่พลังฝีมือกลับด้อยกว่าจงกู้อย่างมาก! จนพอนายน้อยทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต่ำได้สำเร็จ จึงมีพลังฝีมือเหนือกว่าจงกู้ที่ยังไม่ทะลวงด่านเซียน…อย่างไรก็ตามข้าได้รับข่าวมาว่าหลังจากนั้นไม่นานจงกู้ ก็ทะลวงด่านเซียนได้สำเร็จ…”


 


“จงกู้ทะลวงด่านเซียนได้สำเร็จงั้นหรือ? เช่นนั้นหากพลังฝีมือยังคงก้าวหน้าสืบต่อมา…น่ากลัวว่าอาจจะคุกคามนายน้อยเราได้จริงๆ!”


 


……


 


เพราะวาจาที่กล่าวกันเหล่านี้ ทำให้ฉีจิ้งจัดสินจะฝึกมารกลืนหยิน!


 


ถึงแม้มันจะเป็นนายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่จำต้องบอกว่าชะตาของมันนั้นกลับอาภัพนัก เพราะในยุคเดียวกันกับมัน เขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กลับปรากฏยอดฝีมือที่มีศักยภาพพรสวรรค์เหนือกว่ามันถึง 2 คน…นั่นคือหลวงจีนลายบุปผา และ จิ้งชวีจื่อ!


 


ก่อนที่ทั้ง 3 จะมีอายุ 40 ปี พวกมันก็ยึดครอง 3 อันดับแรกในรายนามนภาของเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


อันดับระหว่าง หลวงจีนลายบุปผา กับจิ้งชวีจื่อนั้น แปรเปลี่ยนสลับไปสลับมาหลายครั้ง แต่อย่างไรพวกมันก็ยังเป็นที่ 1 และที่ 2 เสมอ


 


มีเพียงฉีจิ้งเท่านั้นที่รั้งอยู่ในอันดับ 3


 


มันไม่ใช่ไม่คิดก้าวไปให้สูงกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่พลังฝีมือของมันไม่อาจเทียบกับ หลวงจีนลายบุปผา และจิ้งชวีจื่อได้…มันท้าทายทั้งคู่หลายต่อหลายครั้ง หากแต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือพ่ายแพ้กลับไป…


 


สำหรับจงกู้นั้นถึงแม้ว่าจะมีอายุใกล้เคียงกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยท้าทายใครในรายนามนภาก่อนอายุ 40 เลย จึงไม่มีใครล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน


 


จนกระทั่งหลายปีต่อมา หลวงจีนลายบุปผา และจิ้งชวีจื่อ ได้หายออกไปจากรายนามนภาเมื่อพลังฝึกปรือของพวกมันเกินเกณฑ์ จงกู้จึงปรากฏตัวออกมาชิงอันดับ 1 ของฉีจิ้งที่พึ่งจะลิ้มรสความหอมหวานได้ไม่ทันไร!


 


เรียกว่าตอนนั้น นอกจากขุนเขาสูง 2 ลูกที่มิอาจข้ามอย่างหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อแล้ว กลับมียอดเขาสูงนาม จงกู้โผล่มาอีกลูก!


 


จนกระทั่งมันทะลวงถึงขอบเขตเซียน เรื่องจงกู้จึงหายไปจากหัวของมัน


 


อย่างไรก็ตาม จากวาจาที่คนภายนอกร่ำลือกัน เห็นว่าครั้งนี้นอกจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ ยังมีจงกู้มาอีกคน! ยามขุนเขา 3 ลูกปรากฏพร้อมพรั่ง ทำให้มันรู้สึกกดดันจนแทบจะจมดิน!


 


ห้วงเวลาท้อแท้นั้นมันจึงคิดถึงมารกลืนหยินขึ้นมา รวมถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจของผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินในอดีตกาล ทำให้ยิ่งมามันก็ยิ่งจมจ่อมเข้าสู่ด้านมืดของพลัง…สุดท้ายจึงมิอาจทานทนอำนาจแห่งพลัง มารกลืนหยินได้อีกต่อไป ตัดสินใจฝึก มารกลืนหยินทันที


 


แน่นอนว่าหากคิดฝึกมารกลืนหยิน ก็จำต้องสังเวยอิสตรีเป็นจำนวนมาก


 


เช่นนั้น สุนัขรับใช้ของมันอันเป็นชายหนุ่มหลังค่อม จึงเริ่มออกไปวิ่งโร่ลักตัวดรุณีน้อยทั้งอิสตรีมากมายเพื่อนำมาให้มันบ่มเพาะ


 


หลังจากที่ฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยิน ทุกครั้งที่ได้ดูดซับแก่นแท้โลหิตของอิสตรี มันจะสัมผัสได้ถึงด่านพลังฝึกปรือที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


พอได้ลิ้มลองรสหอมหวานแล้ว ไหนเลยจะทานรับความจืดชืดได้อีก…


 


แน่นอนว่าด้วยความเป็นศัตรูคู่ฟ้ายากจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ระหว่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กับเจ้าของเดิมของผู้ถือครองเคล็ดวิชามารกลืนหยิน ทำให้ ฉีจิ้ง ไม่กล้าเปิดเผยว่ามันมีเคล็ดมารกลืนหยินไว้ในครอบครอง! เพราะเรื่องนี้คนในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคงยากทำใจรับได้แน่นอน ยังจะฝันอะไรถึงเรื่องสืบทอดตำแหน่งผู้นำสืบไป!


 


อีกทั้งเกรงว่าไม่เพียงแต่มันจะไม่มีหวังได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำ กระทั่งอาวุโสสูงสุดทั้งหลายคงเลือกที่จะฆ่ามัน ที่ฝึกวิชามารกลืนหยินทิ้ง!


 


เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรจากผู้สืบทอดของยอดฝีมือผู้ฝึกมารคนนั้นแม้แต่น้อย


 


คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะปล่อยให้ผู้สืบทอดของศัตรูอาฆาตรอดไปได้ง่ายๆงั้นเหรอ?


 


‘หากหวังพึ่งแต่ทรัพยากรบ่มเพาะของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ทันการประลองสุดยอดนักรบที่จะเริ่มในอีก 10 เดือนหลังจากนี้หรือไม่…น่ากลัวเต็มที่ข้าก็ชนะได้แต่จงกู้ แต่ยากจะเทีบยหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อได้แน่’


 


ฉีจิ้งครุ่นคิดในใจ ‘อย่างไรก็ตามหลังบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยิน ตราบใดที่ข้ามีสตรีพรหมจรรย์มากพอ ข้ามั่นใจว่าสามารถทะลวงถึงเซียนขัดเกลาชั้นเชี่ยวชาญได้เต็ม 10 ส่วน!’


 


“นายน้อยข้าเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วขอรับ”


 


ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู ชายหนุ่มหลังค่อมได้กลับมาแล้ว


 


แอ๊ด!


 


ฉีจิ้งลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะพุ่งร่างไปดั่งสายลมกรรโชกทั้งเปิดประตูออกไปทันที พาลให้ชายหนุ่มหลังค่อมสะดุ้งตกใจเล็กน้อย


 


“มากับข้า…พวกเราจะกลับกันก็ต่อเมื่อการประลองสุดยอดนักรบเริ่ม”


 


ฉีจิ้งกล่าวออกเสียงเบา


 


“นายน้อย ท่านจะไปบ่มเพาะพลังด้านนอกหรือ?”


 


สองตาของชายหนุ่มหลังค่อมส่องสว่างขึ้นมาทันใด ในใจยังตื่นเต้นยินดีไม่น้อย


 


ไหนเลยมันจะไม่ตื่นเต้นยินดีได้ เพราะหากนายน้อยของมันออกไปบ่มเพาะพลังด้านนอก มันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องไปจับสตรีในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับมาอีกต่อไป


 


หากเรื่องที่นายน้อยของมันบ่มเพาะพลังด้วยวิชามารกลืนหยินแดงขึ้นมา ไม่เพียงแต่นายน้อยของมันต้องตาย มันที่เป็นข้ารับใช้ก็คงไม่รอด! โทษฐานเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!!


 


“อืม”


 


ฉีจิ้งพยักหน้ารับอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะพาชายหนุ่มหลังค่อมออกเดินทางเพื่อฝึกฝน


 


เหตุผลที่เลือกจะไปฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้านนอกนั้น ฉีจิ้ง คิดมาดีแล้ว เพราะนั่นจะทำให้หาสตรีพรหมจรรย์ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งไร้พิรุธเรื่องสตรีในคฤหาสน์ที่สูญหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย


 


เป้าหมายของมันในตอนนี้ก็คือ ทะลวงถึง เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ก่อนที่การประลองสุดยอดนักรบจะเริ่มขึ้น!


 


ถึงตอนนั้นมันจะมีพลังสามารถมากพอกาวขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 สุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!



ตอนที่ 1,663 : ไม่จำเป็นเสียหน่อย?


 


ไม่นานหลังจากที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องออกเดินทางเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ มันก็ได้ยินข่าวลือที่แพร่มาจากแดนไกล เป็นข่าวของผู้ครอบครองตราผนึกมาร ต้วนหลิงเทียน!


 


“ตราผนึกมาร 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ สามารถสะกดปราบมารร้ายได้ทั่วหล้า…ปรากฏขึ้นอีกครั้งในภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้?”


 


ฉีจิ้งขมวดคิ้วยู่ย่น ใบหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากไม่น้อย


 


หากเป็นก่อนหน้าที่มันไม่ได้ฝึกมารกลืนหยิน พอได้ยินข่าวตราผนึกมาร ในใจย่อมบังเกิดความโลภไม่น้อยเช่นกัน


 


ทว่าตอนนี้หลังฝึกมารกลืนหยิน มันก็คือผู้ฝึกมารคนหนึ่ง ทำให้หวาดกลัวตราผนึกมารจับใจ!


 


“ต่อให้ข้าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ…แต่ข้าก็สู้ผู้มีตราผนึกมารด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นต้นไม่ได้!”


 


ฉีจิ้งพึมพำกับตัว ยิ่งมาหน้ายิ่งเบี้ยว


 


“ขอนายน้อยอย่าได้กังวลใจไปเลยขอรับ ตราผนึกมารนั่นเห็นว่าผู้ครอบครองยังมีพลังฝึกปรือแค่สู่เซียน จึงมิอาจเป็นภัยคุกคามให้แก่นายน้อยได้ อีกทั้งตราผนึกมารก็มีเพียงชิ้นเดียว ผู้ที่มีตราผนึกมารก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูของนายน้อยเสียหน่อย?”


 


ชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามฉีจิ้งอยู่ด้านหลัง พอได้ยินคำบ่นพึมพำด้วยความกังวลของผู้เป็นนาย มันก็เข้าใจว่านายน้อยของมันกังวลเรื่องอะไร พลันกล่าวแสดงความคิดเห็นออกมา


 


หลังจากได้ยินคำของชายหนุ่มหลังค่อม สองตาของฉีจิ้งก็ทอแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที


 


“จริงด้วย! เจ้ากล่าวถูกต้อง…นับประสาอะไรกับผู้ครองตราผนึกมารยังเป็นสู่เซียน ตอให้มันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียน ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นศัตรูกับข้าเสียหน่อย! มันจะมามีเรื่องกับข้าทำอะไร!!”


 


ดั่งคำที่ว่า ‘คนเล่นงุนงง คนดูหูตาสว่าง’ ฉีจิ้งพอได้รับคำกล่าวเตือนจากชายหนุ่มหลังค่อม ก็กลับมามีสติแจ่มใสอีกครั้ง


 


“จะว่าไป คนที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียนนั่นก็นับว่ามีโชคนัก ถึงขั้นพบยอดศาสตราเซียนในตำนานอย่างตราผนึกมารเช่นนี้ได้”


 


ชายหนุ่มหลังค่อมแลดูอิจฉาไม่น้อย


 


“แล้วอย่างไรเล่า ครอบครองตราผนึกมารเช่นนี้ น่ากลัวอีกไม่นานยอดฝีมือทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะได้ออกล่าตัวมันให้ควั่ก เช่นนั้นมันไม่ซ่อนตัวก็ต้องตาย…ถึงไม่ซ่อน แต่ก็ยากที่มันจะใช้ตราผนึกมารได้อย่างเปิดเผย”


 


ฉีจิ้งกล่าวค่อนแคะออกมา


 


อย่างไรก็ตามในน้ำเสียงก็แฝงความอิจฉาไม่น้อย


 


โชควาสนาของคนที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียน นับว่าทำให้มันอิจฉาแทบตายแล้วจริงๆ ยังกลายเป็นความเกลียดชังในระดับหนึ่ง


 


หากแต่ฉีจิ้งคงไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนที่ว่า ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับมัน แต่ยังรอนแรมเดินทางมาถึงเขตอิทธิพลหลัก เพื่อฆ่ามันในการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบเป็นที่เรียบร้อย!


 


ในขณะที่ฉีจิ้งกับข้ารับใช้ลอบลักพาตัวสตรีมาบ่มเพาะ ด้านต้วนหลิงเทียนก็กำลังฝึกฝนบ่มเพาะอยู่บนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างหนัก


 


เมื่อเวลาผ่านไป ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างเขาก็ยิ่งมีเสถียรภาพ อีกทั้งยังเริ่มใช้ออกได้ดั่งใจคิด!


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หยุดบ่มเพาะพลัง


 


เขายังบ่มเพาะพลังหมายทะลวงขั้นอื่นๆของเซียนดั้งเดิม!


 


ตอนนี้เป้าหมายของเขาก็คือทะลวงให้ถึงเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง กระทั่งเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญก่อนที่การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบจะเริ่มต้นขึ้น!


 


เพื่อให้มีพลังสามารถฆ่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตามสัญญาที่ให้ไว้กับหานเจิ้งเทียน บิดาของหานเฉวี่ยไน่ได้สำเร็จ! และเขาต้องฆ่ามันให้ได้ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม!!


 


‘หากใช้กระบี่นิลสวรรค์ ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้คิดฆ่าฉีจิ้งย่อมเป็นอะไรที่ง่ายดายนัก…น่าเสียดายในการประลองไม่ให้ใช้ศาสตราเซียนหรือความช่วยเหลือจากภายนอกอื่นใด เช่นนั้นข้าต้องยกระดับพลังฝึกปรือให้มากที่สุด เพื่อที่จะฆ่ามันให้ตายได้แน่ๆ!’


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด ในใจต้วนหลิงเทียนพลันมีแรงกระตุ้นในการบ่มเพาะพุ่งขึ้นราวจะทะลุฟ้า


 


แรงกระตุ้นนี้บางทีก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี


 


อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนตอนนี้ แรงกระตุ้นอันฮึกเหิมก็เรียกว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษ


 


ไม่ใช่อื่นใด หานเฉวี่ยไน่นั้น เป็นดั่งน้องสาวแท้ๆในสายตาของเขา ต่อให้ไม่มีคำสัญญากับหานเจิ้งเทียนบิดาของนาง เขาก็จะทำให้ได้ ต่อให้มันจะยากประหนึ่งบีนใดมีดขึ้นสวรรค์ก็ตาม!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะ เตรียมสู้ศึกประลอง ด้านต้วนหรูเฟิงที่อยู่ในตำหนักเมฆาครามเหนือฟ้าไกลห่าง ก็ยากที่จะสงบใจลงได้


 


มันคาดเดาถึงตัวตนผู้มีพระคุณมามากมายหลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าจะเป็นลูกชายของตัวเองแบบนี้


 


กระทั่งต้วนหรูเฟิงเป็นจ้าวตำหนักเมฆาครามแล้ว ก็อดที่จะตกใจในเรื่องนี้ไม่ได้!


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของลูกชายตัวเอง ในใจก็บังเกิดความกังวลทั้งเป็นห่วงขึ้นมาจับจิต แทบอดรอส่งคนไปตามหาต้วนหลิงเทียนและพากลับมาที่ตำหนักเมฆาครามไม่ไหวแล้ว…เพราะมีแต่กระทำเช่นนั้น มันถึงจะวางใจได้อย่างสมบูรณ์


 


อย่างไรก็ตาม ทันทีที่บังเกิดความคิดนี้ขึ้นในหัว ภาพผู้เฒ่าพยากรณ์ก็จะลอยขึ้นมาทันที


 


ตามที่ผู้เฒ่าพยากรณ์บอกไว้ มันไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเส้นทางการเติบโตของต้วนหลิงเทียน หากมันเข้าไปวุ่นวายก้าวก่ายอาจเกิดผลกระทบอันยากคาดเดาในวันหน้า และนั่นจะส่งผลกระทบต่ออนาคตชั่วชีวิตของบุตรชายมัน!


 


ด้วยความสามารถอันลึกล้ำของผู้เฒ่าพยากรณ์ มันย่อมเชื่อถืออีกฝ่ายหมดใจ ไม่คลางแคลง!


 


หากไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าพยากรณ์มาย้ำเตือนมันด้วยตัวเอง น่ากลัวป่านนี้มันคงส่งคนออกไปตามหาลูกชายเนิ่นนานแล้ว


 


“เทียนเอ๋อความยากลำบากด่านนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถฟันฝ่าไปได้…ข้ายังเฝ้ารอให้เจ้าเอาชนะตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ เพื่อชิงสิทธิ์ในการเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มังกร…สระชำระมังกรนั่น!”


 


ต้วนหรูเฟิงพึมพำออกมาเบาๆ


 


ในขณะที่กล่าวพึมพำ หว่างคิ้วยังเผยให้เห็นถึงความกังวลยากวางใจ


 


ในโลกนี้การเดินทางร้อยแปดพันลี้ของลูกน้อยนับว่ามากไปด้วยอันตรายนัก ไม่เพียงแต่ทำให้บิดากังวล มารดาย่อมกังวลแทบตาย!


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหรูเฟิงจึงไม่คิดบอกลี่หรัวแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะทันทีที่ลี่หรัวรู้นางคงทนเป็นห่วงไม่ไหว จะอย่างไรอีกฝ่ายก็ใจอ่อนกว่ามันมากมายนัก


 


และไม่เพียงแต่ไม่บอกลี่หรัว มันยังไม่คิดจะบอกลี่เฟยด้วยเช่นกัน


 


ถึงขั้นที่มันถ่ายทอดคำสั่งไปยังตำหนักเมฆาครามอย่างลับๆ ว่าให้คอยปิดกั้นข่าวของตราผนึกมารและต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ลี่หรัวและลี่เฟยล่วงรู้เรื่องนี้ และนั่นคงเป็นการดีที่สุด


 


บางเรื่องก็ไม่ควรรู้


 


เพราะไม่รู้ยังดีเสียกว่า


 


อย่างไรก็ตามตำหนักเมฆาครามปิดข่าวและไม่ทำอะไร แต่ไม่ใช่ใช่ว่าทางตลาดมืดหยินชานจะไม่ทำอะไรด้วย


 


ด้วยคำสั่งจากสาขาหลักของตลาดมืดหยินชาน ทำให้ตลาดมืดหยินชานทุกสาขาวุ่นวายกันเป็นการใหญ่!


 


ล่าตัวต้วนหลิงเทียนมาให้จงได้! ไม่ว่าจะต้องจ่ายออกด้วยราคาเท่าไหร่ก็ตาม!!


 


หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ตลาดมืดหยินชานต้องการตัวต้วนหลิงเทียนเพราะเป็นบุตรชายของฝ่ายศัตรูล่ะก็ ตอนนี้ด้วยตราผนึกมารที่อยู่ในความครอบครอง ตลาดมืดหยินชางจึงต้องการล่าตัวต้วนหลิงเทียนเพราะตราผนึกมารนั่น!



ตอนที่ 1,664 : หุบเขาหลิงหลง


 


ถึงแม้ว่าตลาดมืดหยินชานจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้แพร่งพรายออกไป หากแต่ตำหนักเมฆาครามก็ล่วงรู้อยู่ดี


 


“ตู้กู…เจ้าคิดทำบัดซบอะไร!”


 


หน้าต้วนหรูเฟิงมืดดำลง ลูกตาเผยประกายเย็นเยียบ


 


ตอนนี้ต้วนหรูเฟิงทราบแล้ว ว่าผู้นำตลาดมืด ตู้กู ต้องการตราผนึกมารที่อยู่ในความครอบครองของบุตรชายมัน


 


“ตัวบัดซบตู้กูนั่น มันไปเอาภาพเหมือนเทียนเอ๋อมาจากที่ใดกัน…”


 


เรื่องนี้ต้วนหรูเฟิงค่อนข้างงุนงงไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามเพียงเพียงคิดวูบหนึ่ง ต้วนหรูเฟิงก็ตระหนักถึงใดได้บางอย่าง…เรื่องนี้สมควรเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มังกรไม่ผิดแน่! เพราะมันพบพานตู้กูครั้งสุดท้ายที่เผ่าพันธุ์มังกร!!


 


“รูปเหมือนเทียนเอ๋อ…มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บนั่น…สารเลวตี้จิ่ว!”


 


ไม่นานต้วนหรูเฟิงก็รู้ตัวคนเผยแพร่รูป


 


ใบหน้าต้วนหรูเฟิงบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ด้วยไม่คิดเลยว่าตี้จิ่วจะหาญกล้าใจคดถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่นัดหมายประลอง 5 ปีแล้ว แต่มันกล้าเล่นไม่ซื่อลอบกัดเช่นนี้!


 


แต่อย่างไรแม้ต้วนหรูเฟิงจะบอกได้ว่าสมควรเป็นตี้จิ่วลอบกัด แต่ด้วยความที่ไร้ซึ่งหลักฐานอันใด ก็ไม่อาจไปหาความตี้จิ่วถึงเผ่าพันธุ์มังกรเพื่อระบายโทสะได้


 


มีเหตุผลมากมายที่ตี้จิ่วจะยกขึ้นมาอ้างว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมัน


 


เมื่อรู้ว่าตลาดมืดหยินชานลงมือสุดกำลังเพื่อตามล่าตัวลูกชาย ต้วนหรูเฟิงก็ยิ่งกังวลในความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนมากขึ้น ใจยังว้าวุ่นยากสงบ


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงวาจากำชับย้ำนักหนาของผู้เฒ่าพยากรณ์ ต้วนหรูเฟิงก็ได้แต่กล้ำกลืนอดทนเอาไว้


 


ความกังวลของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดาที่จะไม่ทราบเลย


 


ตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาคือจ้าวตำหนักเมฆาคราม ผู้นำขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ขณะเดียวกันด้านเฟิ่งเทียนหวู่ที่พึ่งมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีไม่ทันไร ก็ได้ยินข่าวลือที่ผู้คนกล่าวกันหนาหู และนางก็อดกังวลถึงความปลอดภัยต้วนหลิงเทียนขึ้นมาเสียไม่ได้ ‘ข้าหวังว่าคนดีอย่างพี่ใหญ่สวรรค์จักคุ้มครอง…พี่ใหญ่ต้วนตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ใดแล้ว..’


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีแล้ว เฟิ่งเทียนหวู่ก็ไม่ได้รีบร้อนจากไป


 


หนึ่งเดือนหลังจากที่มาถึงคฤหาสน์คลื่นขจี นางก็สอบถามเกี่ยวกับตัวตนของหานเฉวี่ยไน่


 


ถึงแม้นางเองก็ไม่เคยพบพานกับหานเฉวี่ยไน่มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินนามอีกฝ่ายจากพี่ใหญ่ต้วนของนางมากกว่าหนึ่งครั้ง นางยังพอทราบคร่าวๆว่าหานเฉวี่ยไน่เป็นคนเช่นไร


 


ในสายตาของพี่ใหญ่ต้วน หานเฉวี่ยไน่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา และสมควรมีฐานะที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย


 


ในขณะที่เฟิ่งเทียนหวู่ได้ยินเรื่องหานเฉวี่ยไน่จากปากของต้วนหลิงเทียน ด้านหานเฉวี่ยไน่ก็เคยได้ยินเรื่องราวของเฟิ่งเทียนหวู่จากเขาเช่นกัน


 


ดังนั้นแม้ทั้งคู่จะไม่เคยพบเคยเจอ แต่ก็รับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายกันมาเนิ่นนาน


 


ด้วยเหตุนี้เมื่อเฟิ่งเทียนหวู่เปิดเผยตัวตน แจ้งกับคนของคฤหาสน์คลื่นขจีให้ไปรายงานเฉวี่ยไน่ไม่นาน หานเฉวี่ยไน่ก็ส่งคนมาเชิญตัวเฟิ่งเทียนหวู่มาที่บ้านของนางทันที


 


“ท่านคือพี่สาวเทียนหวู่หรือ!? พี่ใหญ่หลิงเทียนมักกล่าวถึงท่านบ่อยๆ!!”


 


เมื่อได้พบเจอเฟิ่งเทียนหวู่ หานเฉวี่ยไน่รู้สึกตื่นเต้นยินดีไม่น้อย


 


“เฉวี่ยไน่ พี่ใหญ่ต้วนก็ชอบกล่าวถึงเจ้าเช่นกัน”


 


เฟิ่งเทียนหวู่ยิ้มตอบ ก่อนที่จะเข้าประเด็นทันทีเร่งถามออก “เฉวี่ยไน่ พี่ใหญ่หลิงเทียนของท่าน ได้มาหาท่านแล้วใช่หรือไม่?”


 


“อื้ม พี่ใหญ่หลิงเทียนมาที่นี่เพื่อมาตามหาพี่สาวเฟยเอ๋อ…”


 


หานเฉวี่ยไน่ระบายลมหายใจออกมา “หากแต่เมื่อไม่นานมานี้พี่สาวเฟยเอ๋อพึ่งถูกพาตัวไป…พี่ใหญ่หลิงเทียนมาไม่เจอ เขาพักที่นี่ได้แค่เดือนเดียวก็รีบร้อนจากไปทำธุระบางอย่าง แต่ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่ต้องกลับมาเยี่ยมข้าก่อนจะถึงวันนั้นแน่นอน…”


 


วาจาท้ายประโยคของหานเฉวี่ยไน่เบาลงจนแทบจะเป็นการกระซิบ


 


“ไปแล้วหรือ?”


 


พอได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีแล้วสองตาเฟิ่งเทียนหวู่ก็ส่องสว่างขึ้นมา แต่ทว่าพอพบว่าอีกฝ่ายเพียงอยู่ได้เดือนเดียวก็จากไป ก็ทำให้ใจของนางหมองลงทันที


 


เพราะนี่หมายความว่านางไม่อาจหาพี่ใหญ่ของนางพบอีกแล้ว…


 


“เฉวี่ยไน่ พี่ใหญ่ต้วนได้บอกท่านไว้หรือไม่ว่าเขาจะไปที่ใด?”


 


เฟิ่งเทียนหวู่มองสบตาหานเฉวี่ยไน่ ก่อนที่จะเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมาด้วยประกายตาวาดหวัง


 


“พี่ใหญ่มิได้บอกไว้…”


 


หานเฉวี่ยไน่ได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไป


 


พอเห็นเช่นนี้ เฟิ่งเทียนหวู่ก็เผยความผิดหวังออกมาทันที


 


เพราะเบาะแสสุดท้ายของต้วนหลิงเทียนได้ขาดลงตรงนี้


 


จังหวะนี้เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกเคว้งคว้างล่องลอย ด้วยไม่รู้ว่าจะไปตามหาต้วนหลิงเทียนที่แห่งหนตำบลใด…


 


ด้วยคำเชิญของหานเฉวี่ยไน่ เฟิ่งเทียนหวู่จึงพักอยู่ในบ้านของนาง


 


ไม่ทันครบเดือน ข่าวเกี่ยวกับคนนอกที่มาเข้าพักบ้านหานเฉวี่ยไน่อีกครั้งก็ล่วงรู้มาถึงหูของหานซิ่น อาวุโสสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจีอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามเพราะเฟิ่งเทียนหวู่เป็นสตรี พวกมันเลยไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไร


 


แล้วกาลเวลาก็ล่วงเลยไหลไปดั่งสายน้ำอย่างเงียบงัน…


 


ภายในเขตคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง บทสนทนาเรื่องการประลองสุดยอดนักรบก็เรียกว่ามาถึงจุดสูงสุด และเพียงพริบตาเวลาที่เหลือก่อนการประลองจะเริ่มก็มีแค่เดือนกว่าๆเท่านั้น


 


ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนของเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ผู้คนก็สนทนากันแต่เรื่องสุดยอดนักรบทั้ง 10 เท่านั้น


 


ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดก็ไม่พ้นคาดเดากันว่าผู้ใดจะได้อันดับที่เท่าใดในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง


 


เวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆนั้นไม่ได้สั้นหรือยาวอะไร


 


และอีก 1 เดือนหลังจากนี้สถานที่จัดการประลองสุดยอดนักรบ ก็จะจัดขึ้นที่หุบเขาอันกว้างใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า หุบเขาหลิงหลง ซึ่งเป็นสถานที่ๆเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและคึกคักไม่น้อย


 


เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประลองสุดยอดนักรบ ก็ทยอยกันมาถึงเพื่อเตรียมความพร้อม


 


ตอนนี้สามารถพบเจอสุดยอดอัจฉริยะระดับแนวหน้าจากขุมพลังต่างๆได้ไม่ยาก เรียกว่านายน้อยสูงศักดิ์ วีรสตรีลือชื่อ ล้วนแห่กันมาอย่างคับคั่ง


 


ภายในหุบเขาหลิงหลงอันกว้างใหญ่ จึงเต็มไปด้วยภาพผู้คนมากมายบ่มเพาะพลังเพื่อเฝ้ารอเวลา บ้างก็บนยอดไม้ บ้างกลางอากาศ บ้างก็บนก้อนหิน ไอปราณแรกกำเนิดฟุ้งตลบไปทั่ว พลังวิญญาณฟ้าดินเองก็ไหลวนเวียนปานสายธารเชี่ยว


 


ดูแล้วเหมือนขอบเขตเซียนทั่วไปๆจะไม่นับเป็นตัวอะไรจริงๆ…


 


“คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาถึงแล้ว!”


 


สามวันก่อนที่การประลองเฟ้นหาสุดยอดนักรบจะเริ่มต้นขึ้น ก็มีใครบางคนตะโกนออกมา และสามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้คนได้ในทันที


 


เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็จะแลเห็นคนกลุ่มหนึ่งเหินร่างมาอย่างพร้อมพรั่ง แต่ละคนแลดูน่าเกรงขาม กลุ่มผู้คนที่ว่านำมาโดยชายชราหนึ่งคน พอมาถึงก็ยึดครองยอดเขาแห่งหนึ่งเป็นจุดรวมพลทันที ส่วนผู้ฝึกตนที่จับจองอยู่ก่อนก็จำต้องจรลีจากไปอย่างไม่อาจหืออือเพราะถูกพลังไร้สภาพขุมหนึ่งซัดร่างปลิดปลิว!


 


ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟาลิ่วล่อง ยังจะมีผู้ใดหาญกล้าหืออือ?


 


ดังนั้นแม้จะเผชิญหน้ากับการไล่ที่อย่างไร้แยแสจากคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ถึงแม้พวกมันจะมีโทสะแต่ก็ไม่กล้าเผยออก


 


“ชายชราผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นอาวุโสลำดับ 9 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องใช่หรือไม่?”


 


“มิผิด! มันคืออาวุโส 9 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจริงๆ ข้าเคยพบเจอครั้งหนึ่ง…แต่ดูเหมือนด้านหลังจักเป็นเพียงศิษย์ทั่วไปในคฤหาสน์ ส่วนนายน้อยอย่างฉีจิ้งยังไม่เห็นเลย”


 


“จะว่าไปแล้วหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อก็ยังไม่มาเลยนี่นา”


 


“เหลืออีกตั้ง 3 วัน จะรีบร้อนทำอะไร…”


 


……


 


เสียงสนทนาเริ่มดังอื้ออึงขึ้นมาในหุบเขาหลิงหลงอีกครั้งทันที…



ตอนที่ 1,665 : หลวงจีนลายบุปผา แห่งวัดฟ่านเทียน!


 


ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาผู้คนทยอยกันมาถึงหุบเขาหลิงหลงกันอย่างคับคั่งหนาตา


 


คนเหล่านี้บ้างก็มาจากขุมพลังชั้น 5 ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง บ้างก็มาจากขุมพลังชั้น 6 ชั้น 7


 


สำหรับขุมพลังชั้น 8 ชั้น 9 นั้น แม้จะมาแต่ก็คงไม่มีใครรู้จักพวกมัน


 


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นยอดฝีมือของขุมพลังชั้น 8 ชั้น 9 แต่ก็ไม่มีใครกล้ามา…ต่างหวาดกลัวกันทั้งสิ้น!


 


การประมือระหว่างเซียนดั้งเดิมที่เป็นชนชั้นยอดฝีมือ หรือการปะทะกันของเซียนขัดเกลา พลังสะท้อนคลื่นกระแทกอะไรย่อมไม่ใช่ชั่ว หากพลังฝึกปรือของพวกมันไม่สูงพอ และไม่เว้นระยะห่างให้มากเข้าไว้…เผลอๆพวกมันอาจจะพลอยซวยไปด้วย สถานเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หนักหน่อยก็ตกตาย…


 


ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมีขุมพลังชั้น 5 ที่ทรงพลังอยู่ทั้งสิ้น 3 ขุม


 


หลวงจีนลายบุปผา และ จิ้งชวีจื่อ ก็มาจาก 2 ใน 3 ขุมพลังดังกล่าว


 


หลวงจีนลายบุปผานั้น เป็นศิษย์ของขุมพลังชั้น 5 อย่างวัดฟ่านเทียน ส่วนจิ้งชวีจื่อนั้นเป็นศิษย์ของขุมพลังชั้น 5 ที่รู้จักกันในนามศาลเจ้าชุนหยาง


 


ทั้ง 2 ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


กระทั่งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ยังถูกสะกดข่มเอาไว้ภายใต้ชื่อเสียงของทั้งคู่!


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้ตอนนี้จะมีคนของวัดฟ่านเทียน ทั้งศาลเจ้าชุนหยางมากันไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครเห็นหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อเลย


 


“ดูเหมือนว่าคนของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางจะมาที่นี่เพื่อตระเตรียมจุดพักสำหรับผู้ที่จะตามมาภายหลังสินะ…อย่างไรเสียการประลองก็กินเวลามากกว่า 1 วัน จักมีที่พักผ่อนก็มิแปลกอะไร”


 


นากจากอาวุโส 9 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ยึดครองสถานที่ๆดีที่สุดไปแล้ว วัดฟ่านเทียน ศาลเจ้าชุนหยาง และขุมพลังชั้น 5 ที่เหลือเองก็พยายามเฟ้นหาสถานที่ดีที่สุดที่พวกมันจะถือครองได้ทันที


 


ส่วนผู้ที่อยู่ก่อน พอถูกขับไล่ออกมาก็ไม่อาจกล่าววาจาอะไรได้


 


ในโลกนี้เข้มแข็งเป็นจ้าว…กำปั้นผู้ใดใหญ่กว่าก็คือคำตอบสุดท้าย


 


สองวันผ่านพ้นไป และตอนนี้การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบก็จะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเหล่าผู้คนที่แห่กันมา ตอนนี้ก็เริ่มซาลง เหมือนหยาดน้ำค้างก๊อก ที่ค่อยๆร่วงหยด


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มาถึงภายหลังนี้ นับว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือกันไม่น้อย


 


“เฮ่! นั่นมันหลวงจีนลายบุปผานี่นา! คนอื่นๆของวัดฟ่านเทียนมากันแล้ว!!”


 


ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ร้องโพล่งออกมาคนแรก หากแต่เสียงของมันก็ดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนรอบๆเท่านั้น หุบเขาหลิงหลงนี้ไม่ใช่เล็กๆ แม้เสียงมันจะดัง แต่ก็ไม่อาจกึกก้องไปทั่ว


 


อย่างไรก็ตามคนที่ไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสัมผัสได้ไม่ได้ พอเห็นว่ามีผู้คนเริ่มหันไปมอง ทั้งหลายก็หันตามต่อๆกันไปอย่างไม่รู้ตัว


 


พอเห็นว่าไกลตามีร่างคนกลุ่มหนึ่ง ที่นำโดยชายชราหัวล้านในชุดจีวรสีทอง คิ้วทั้งคู่ลากยาวลงมาสีขาวโพลน ตอบรับกับเคราที่ยาวเฟื้อยสีขาวอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะค่อยๆลอยตัวมาในอากาศหากแต่กลับให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา ยากหยั่งถึง


 


“นั่นเจ้าอาวาสของวัดฟ่านเทียน ไต้ซือฮุ่ยฉือ!”


 


ไม่นานก็มีคนจดจำหลวงจีนชราผู้นี้ได้ กล่าวนามออกมา


 


เจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียน ก็คือผู้นำของวัดฟ่านเทียน เรียกว่ามีฐานะสูงที่สุดในวัด


 


ด้านหลังเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนก็มีหลวงจีนติดตามมาด้วยกันทั้งสิ้น 4 คน ในบรรดากลุ่มนี้มีหลวงจีนชรา 3 คนสวมใส่จีวรสีเงิน ทั้ง 3 แลดูอายุมากทั้งคล้ายมีบารมีไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่หลวงจีนธรรมดาๆสามัญ


 


ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ถัดไปจากหลวงจีนชราทั้ง 3 กลับเป็นหลวงจีนหนุ่มมาในชุดจีวรสีแดง รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดา ยากที่จะจดจำได้ออก หากมันปะปนไปกับฝูงชน อย่างไรก็ตามอาศัยความจริงที่มันสามารถยืนเคียงไหล่กับหลวงจีนชราทั้ง 3 ได้ ก็มากพอจะบอกแล้วว่ามันไม่ใช่ธรรมดา!


 


หลวงจีนหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันเป็นหลวงจีนที่รู้จักกันดีในนาม หลวงจีนลายบุปผา แห่งวัดฟ่านเทียน


 


ที่มันถูกเรียกหาว่าหลวงจีนลายบุปผานั้น เพราะมันละเว้นศีลข้อกาเม…ชมชอบอิสตรีและรักในการเชยชมบุปผาหลงใหลในหนั่นเนื้อนงคราญทั้งหลาย!


 


แน่นอนว่าถึงแม้มันจะเป็นหลวงจีนทุศีลที่ชมชอบเสพสังวาสกับสตรี แต่มันก็ไม่เคยบังคับหรือฝืนใจผู้ใดสักครั้ง กระทั่งด้วยฝีปากช่างเจรจากับพลังฝีมือของมัน ไม่ทราบมีอิสตรีมากมายเท่าใดที่ยินดีเสี่ยงลงนรก ทั้งเสียสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้อยู่กับมัน…!


 


ดังนั้นแล้วในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แม้ชื่อเสียงมันจะไม่ได้ดังในทางดีงามอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย


 


แน่นอนว่าหากมันเป็นศิษย์ธรรมดาๆทั่วไปของวัดฟ่านเทียน หากประพฤติตัวไม่เหมาะไม่ควรใต้ร่มกาสาวพัสตร์เช่นนี้ คงได้ถูกจับศึก ทั้งทำลายวรยุทธ์และขับไล่ออกจากวัดแน่แท้…


 


หากแต่หลวงจีนลายบุปผานั้นเป็นข้อยกเว้น…


 


ที่มันสามารถเป็นข้อยกเว้นได้ ก็เพราะอาจารยของมันก็คือเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียน ไต้ซือฮุ่ยฮือ! รวมถึงพลังฝีมือและความสามารถในเชิงยุทธ์ของมัน ที่ได้รับความเคารพจากหลวงจีนอาวุโสในวัดฟ่านเทียนจวบจนไปถึงศิษย์ทุกคน เช่นนั้นแม้มันจะละเมิดกฏก็ไม่มีใครว่าอะไรมัน!


 


จะให้ขับไล่มันไปได้ลงคอหรือ?


 


ต้องทราบด้วยว่าหลวงจีนลายบุปผานั้น มีศักยภาพพรสวรรค์สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของวัดฟ่านเทียน เรียกว่ามันคือผู้ที่จะนำพาวัดฟ่านเทียนให้ก้าวหน้าไปอีกระดับ อาจบรรลุได้ถึงขุมพลังชั้น 4!


 


ตัวตนเช่นนี้…จะให้ปฏิบัติเหมือนตัวตนธรรมดาในวัดฟ่านเทียนได้หรือ!?


 


“เดี๋ยวนะ…นั่นคือสามอรหันต์ทองคำแห่งวัดฟ่านเทียนมิใช่หรอ?!”


 


หลวงจีนหลายบุปผานั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรสำหรับผู้คนที่อยู่ในหุบเขาหลิงหลง เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบอยู่ประจำที่วัดสักเท่าไร มักเตร็ดเตร่อยู่ในสถานที่อโคจรของเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่ใดมีสาวงามที่นั่นย่อมมีมัน นอกจากนี้การกระทำของมันของมันยังเป็นที่รู้กันไปทั่ว ทำให้คนมากมายในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องรู้จักมันดี


 


เรียกว่าต่อให้ไม่พบพานตัวจริง ก็ต้องเคยได้ยินชื่อทั้งแลเห็นภาพเหมือน จึงมีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักมัน


 


ส่วนหลวงจีนชราทั้ง 3 ในจีวรสีเงินนั้น มีน้อยคนนักที่จะจดจำพวกมันได้…


 


ไตรอรหันต์ทองคำของวัดฟ่านเทียนนั้น เป็นตัวตนที่รองก็แต่เพียงเจ้าอาวาสเท่านั้น เรียกว่าเป็นหลวงจีนอาวุโสสูงสุดของวัดฟ่านเทียนก็ได้ พลังฝีมือของพวกมัน 3 คนเป็นที่รู้กันดีในพื้นที่อิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกมันไม่ค่อยแสดงตัวเท่าไร่ จึงมีน้อยคนที่จดจำพวกมันได้


 


ทั้ง 3 นั้น คนเดียวอาจมีพลังฝีมือไม่เท่าไหร่ แต่ยามทั้ง 3 ออกกระบวนท่าสอดรับประสานถึงขีดสุด…พลังฝีมือของพวกมันนับว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าอาวาสวัดฟ่านเทียนเลย!


 


“นั่นน่ะหรือ ไตรอรหันต์ทองคำของวัดฟ่านเทียน ฮุ่ยฟง ฮุ่ยอวิ๋น ฮุ่ยหั่ว…”


 


“ใช่แล้ว!”


 


“กล่าวกันว่าตั้งแต่ที่ทั้ง 3 ได้เข้าบวชเรียนที่วัดฟ่านเทียน ทั้งหมดก็ฝึกปรือวรยุทธ์ทั้งอยู่ด้วยกันหลายร้อยปี ความคิดความอ่านจึงรู้เท่าทันกันอย่างดี”


 


“ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มา…ทั้ง 3 นั้นคล้ายสามารถประสานใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ยามลงมือพร้อมกันน่ากลัวพลังฝีมือจะถึงขั้นทัดเทียมกับเจ้าอาวาสวัดฟาดเทียน!”


 


“ทั้ง 3 แม้จะมิได้ร่วมมือกัน ทว่าแต่ละคนก็ล้วนบรรลุอริยะเซียนหมดสิ้นแล้ว นับเป็นยอดฝีมือระดับเสาหลักของวัดฟ่านเทียน!”


 


“ดูเหมือนว่าวัดฟ่านเทียนจักให้ความสำคัญกับการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เจ้าอาวาส…กระทั่งไตรอรหันต์ทองคำยังมาด้วยเช่นนี้!”


 


……


 


เสียงสนทนาดังอื้ออึงก้องไปทั่วหุบเขาหลิงหลง


 


สำหรับหลวงจีนชราและหลวงจีนในวัยกลางคนที่ติดตามมาอยู่ด้านหลังทั้ง 5 อีกทีนั้น แทบจะถูกผู้คนลืมเลือนไปเสียหมดสิ้น…


 


แน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้คนที่จดจำอัตลักษณ์ของหลวงจีนเหล่านั้นได้ เพราะกล่าวไปแล้วหลวงจีนที่อยู่ด้านหลังกลุ่มนี้ก็มิใช่ชนชั้นไก่กา บ้างก็มีพลังฝึกปรือและอาวุโสเหนือกว่าหลวงจีนของวัดฟ่านเทียนที่มาถึงเมื่อ 2-3 วันก่อนมากนัก!


 


หลวงจีนอาวุโสที่นำพาเหล่าศิษย์ทั่วไปมาถึงก่อนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีชื่อเสียงไม่น้อย ผู้คนเองก็รู้จักกันดี เรียกว่ายังได้รับความสนใจมากมาย


 


อนิจจาหลวงจีนอาวุโสและหลวงจีนที่ติดตามอยู่ด้านหลังนี้ กลับมาพร้อมเจ้าอาวาส ไตรอรหันต์ทองคำ และหลวงจีนลายบุปผา พวกมันจึงเป็นดั่งใม้สีเขียวรองฐาน ส่วนหลวงจีนทั้ง 5 รูปก่อนหน้า ก็คือบุปผาสีแดงสดใส…


 


ใบไม้เขียวรองชูดอกไม้แดง!



ตอนที่ 1,666 : ลี่เฟิง


 


อย่างไรก็ตาม สุดท้ายในบรรดากลุ่มคนทั้งหมดของวัดฟ่าเทียน ผู้ที่ทุกคนสนใจที่สุดก็มีแต่ หลวงจีนลายบุปผา เท่านั้น


 


เพราะนั่นคือตัวเก็งในการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบในครานี้!


 


“พลังฝีมือของหลวงจีนลายบุปผา กับจิ้งชวีจื่อแห่งศาลเจ้าชุนหยางล้วนสูสี ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาโดยตลอด…ครานี้อยากรู้นักว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายมีชัย และได้อันดับ 1 ในการประลองสุดยอดนักรบไปครองกันแน่! เพราะผลการประลองครั้งีน้นับว่าเป็นเกียรติที่มิอาจยอมให้กันได้จริงๆ!”


 


“ถูกแล้ว! นั่นนับเป็นเกียรติยศสูงสุดจริงๆ หากชนะไม่ว่าเจ้าตัวหรือขุมพลังต้นสังกัด…ล้วนได้เชิดหน้าชูตาไปอีกนาน!”


 


“ก็นะ เกียรติยศอันดับ 1 รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง มันธรรมดาที่ไหนเล่า…”


 


“คราวนี้ข้าว่าจะอย่างไรอันดับ 1 กับ 2 ก็สมควรเป็นหลวงจีนหลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อช่วงชิงกันเองเหมือนเคย ข้าเพียงแต่สงสัยว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะชิงที่ 3 มาได้หรือไม่?”


 


“ข้าว่าคงยาก เพราะเท่าที่ทราบจงกู้เองก็ทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาแล้วเช่นกัน”


 


“ก็ไม่แน่หรอกนะ…พวกเจ้าอย่าได้ลืม อย่างไรนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะเยอะนัก ข้าเชื่อว่าปริมาณที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอัดฉีดให้มัน น่ากลัวจะมหาศาลสุดที่ผู้คนทั่วไปจะจินตนาการออก กระทั่งป่านนี้มันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ก็ไม่แปลกอะไร”


 


“เรื่องนี้จะว่าไปมันก็นะ…เจ้าพูดอีกก็ถูกอีก! หากฉีจิ้งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแต่จงกู้ไม่ ก็คงยากจะสู้กันได้”


 


……


 


ภายในหุบเขาหลิงหลง ผู้คนสนทนาออกความเห็นกันใหญ่ หัวข้อก็ไม่พ้นพวกหลวงจีนลายบุปผา จงกู้ จิ้งชวีจื่อ และฉีจิ้ง


 


เรียกว่าวันนี้ทั้ง 4 เป็นดั่งตัวละครเอกในการประลองคราวนี้!


 


หลังจากที่กลุ่มคนของวัดฟ่านเทียนโรยตัวลงมาถึงบริเวณยอดเขาที่คนของวัดฟ่านเทียนล่วงหน้ามาตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อน ทั้งหมดก็เริ่มแยกย้ายหาที่นั่งพักทันที แต่มีหลวงจีนรูปหนึ่งที่ไม่ได้นั่งพักเหมือนชาวบ้าน หากแต่หันรีหันขวางมองสำรวจไปทั่ว


 


เป็นหลวงจีนลายบุปผานั่นเอง และตอนนี้มันก็กำลังจับจ้องไปยังร่างๆหนึ่งที่เตะตาพิกล


 


เป็นชายหนุ่มอันมีใบหน้าท่าทางเย็นชาห่างเหิน ยืนกอดอกโดยในมือถือกระบี่แลดูธรรมดาสามัญไว้เล่มหนึ่ง สภาวะกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบ มองไปเห็นมีอยู่แต่คล้ายไม่มีอยู่


 


เหตุผลที่มันรู้สึกสนใจร่างๆนี้ ก็เพราะความนิ่งสงบไม่นำพาใดๆของอีกฝ่าย


 


หลวงจีนลายบุปผาสัมผัสได้ชัด ว่าตอนที่วัดฟ่านเทียนของพวกมันมาถึง มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้คนเดียวที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย ราวกับเมินการมาถึงของพวกมันไปอยน่างสิ้นเชิง…


 


แน่นอนว่าบางทีอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่แยแสพวกมัน


 


เพราะจากสภาวะร่างของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลงอย่างสมบูรณ์


 


เช่นนั้นก็มีอยู่ 2 ประการเท่านั้น หนึ่งคือเป็นคนเฉยเมยและไม่คิดจะสนใจอะไรวัดฟ่านเทียน สองอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ทำให้ไม่สนใจวัดฟ่านเทียนของพวกมัน


 


อย่างไรก็ตามสัญชาติญาณของมันร้องบอกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนประเภทหลัง


 


“สหายท่านนี้ มาเข้าร่วมการประลองสุดยอดนักรบด้วยเหมือนกันหรือ?”


 


หลวงจีนลายบุปผาเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ในเมื่อมันสนใจชายหนุ่มที่แลดูไม่ธรรมดาคนนี้ มันก็ย่ำอากาศตัดระยะไปหยุดยืนข้างอีกฝ่าย ก่อนที่จะเริ่มกล่าวทักทายออกมาทันที


 


“เจ้ามีอะไรหรือ?”


 


ชายหนุ่มที่แลดูเย็นชา ทั้งค่อยๆลืมตาหันมองมาทางหลวงจีนลายบุปผาแล้วกล่าวออกเสียงเรียบ


 


“ไม่มีใดหรอกสหาย อาตมาเรียกว่าหลวงจีนลายบุปผา มิทราบสหายเรียกว่าอะไรรึ?”


 


หลวงจีนลายบุปผากล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ลี่เฟิง”


 


ชยหนุ่มอันมีใบหน้าเย็นชาคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนเอง


 


แน่นอนว่าถึงแม้ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนจะเย็นชาห่างเหิน แต่ก็ไม่ใช่รูปลักษณ์เดียวกับที่ใช้ตอนเดินทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจี เขาเปลี่ยนไปใช้โฉมหน้าอื่นด้วยเคล็ดแปลงโฉมพิสดาร แม้จะแลดูเย็นชาห่างเหิน แต่ก็นับว่าแตกต่างจากใบหน้าของ หลิงเทียน ไม่น้อย


 


เขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลองสุดยอดนักรบ


 


ลี่เฟิงเป็นนามของรูปโฉมนี้


 


ลี่ มาจากแซ่ของมารดาเขา


 


ส่วนเฟิง เป็นพยางค์สุดท้ายจากชื่อบิดาไม่เอาไหนของเขา


 


“ที่แท้เป็นพี่ลี่เฟิงนี่เอง ท่านเองก็มาเข้าร่วมการประลองสุดยอดนักรบด้วยหรือ?”


 


หลวงจีนลายบุปผายิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวถามออกมาคำเดิม


 


“อือ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าทั้งขานรับเบาๆ ในใจลอบคิดไป ‘หลวงจีนลายบุปผาคนนี้นับว่าสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ ไม่ยึดติดจรรยาอะไรทั้งนั้น บวชเป็นหลวงจีนแต่ก็ไม่เหมือนหลวงจีนสักนิด…สมแล้วที่ถูกผู้คนเรียกว่าเป็นตัว ‘ผ่าเหล่า’ ในวัดฟ่านเทียน’


 


‘อย่างไรเสีย การที่มันมีพลังพลังฝีมือมากพอจะเอาชนะฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้…ก็นับว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ’


 


สำหรับ หลวงจีนลายบุปผา คนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงคำร่ำลือของอีกฝ่ายมาไม่น้อย


 


นอกจากหลวงจีนลายบุปผา เขายังได้ยินเรื่องของ จิ้งชวีจื่อ มาด้วยเช่นกัน


 


ในขณะที่หลวงจีนลายบุปผาคิดจะกล่าววาจาอะไรสืบต่อ มันก็คล้ายจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง มันละสายตาออกจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันมองไปสุดฟ้าไกลตาทางหนึ่ง


 


มีขบวนแลดูน่าเกรงขามหนึ่งกำลังเหินข้ามฟ้ามา มาหยุดลอยยังพื้นที่ว่างจุดหนึ่ง


 


ผู้นำขบวนดังกล่าวเป็นชายชราในชุดนักพรตสีน้ำเงิน ในมือถือไว้ด้วยไม้ปัดฝุ่น ผมของมันสีขาวหากแต่สีผิวกลับแดงก่ำ ชุดคลุมของมันสั่นไหวสะบัดแม้ไร้ลม มองไปคล้ายเทพเซียนในนิทาน


 


ด้านหลังของชายชราเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งกับชายชราอีก 2 คน พวกมันมาในชุดนักพรตสีน้ำเงินเช่นกัน ในมือยังถือไม้ปัดฝุ่นเอาไว้


 


ด้านหลังทั้ง 4 ก็ยังมีกลุ่มนักพรตวัยกลางคน และนักพรตชราอีกไม่น้อย


 


“เป็นนักพรตจากศาลเจ้าชุนหยาง!”


 


ตอนนี้เองผู้คนในหุบเขาหลิงหลงที่สังเกตเห็นการมาถึงขบวนนักพรต ก็เริ่มกล่าวกันออกมาอื้ออึง


 


ผู้ที่นำกลุ่มขบวนนักพรตมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้นำศาลเจ้าชุนหยางนั่นเอง


 


สำหรับชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังก็คือรองผู้นำศาลเจ้าชุนหยาง ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆทั้งคู่นั้น ก็คือ จิ้งชวีจื่อ นักพรตเต๋าที่มีอัจฉริยะภาพสูงสุดในศาลเจ้าชุนหยาง


 


ตอนนี้ในศาลเจ้าชุนหยาง ยกเว้นชายชราและผู้อาวุโส ผู้คนในวัยไล่เลี่ยกันทั้งหมดล้วนเรียกหามันว่า ศิษย์พี่ใหญ่ ทั้งสิ้น


 


ดังนั้นจึงเป็นที่รู้กันทั่วในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ว่าหากกล่าวถึง ศิษย์พี่ใหญ่ของศาลเจ้าชุนหยาง ก็คือ จิ้งชวีจื่อ คนนี้นี่เอง


 


แตกต่างจากคนที่เอาแต่ใจไร้จรรยาอย่างหลวงจีนลายบุปผาคนละโลกนัก! เพราะจิ้งชวีจื่อคนนี้นับว่าเป็นคนเจ้าระเบียบแถมยังประพฤติตัวอยู่ในศีลธรรมอันดี…ในด้านอัจริยะภาพทางเชิงยุทธ์ทั้งคู่อาจทัดเทียมกัน แต่บุคลิกภาพของพวกมันนับว่าต่างกันสุดขั้ว!


 


“เฮ่! โยมชวีจื่อพวกเรามิได้พบกันนานแล้วนะ…การประลองสุดยอดนักรบคราวนี้ อาตมาขอบิณฑบาตอันดับ 1 แล้วกัน!”


 


หลวงจีนลายบุปผามองจิ้งชวจื่อค่อยกล่าวออกมาพร้อมหัวร่าอย่างสนุกสนาน ในวาจายังเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจไม่น้อย


 


ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าทั้งงคู่ล้วนตั้งตัวเป็นคู่แข่งกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด มักจิกกัดกันอยู่เสมอ ไม่ค่อยจะญาติดีกันสักเท่าไหร่


 


“หึ!”


 


เผชิญหน้ากับวาจาเหลวไหลยั่วยุของหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจือเพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกสวนไปหนึ่งคำ แลคล้ายขี้คร้านตอบกลับอะไรอื่น


 


แต่ถึงแม้มันจะไม่กล่าววาจาอะไร แต่สีหน้าท่าทางเหยียดๆนั่น ก็เผยให้เห็นว่ามันไม่คิดสักนิดว่าคราวนี้หลวงจีนลายบุปผาจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป!



ตอนที่ 1,667 : หยิ่งผยอง!


 


‘จิ้งชวีจื่อ’


 


ตอนนี้สายตาต้วนหลิงเทียนก็เบนไปตกยังร่างจิ้งชวีจื่อเช่นเดียวกัน


 


เขาเองก็เคยได้ยินมานานแล้วเกี่ยวกับอัจฉริยะในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องผู้นี้ อีกฝ่ายมีพลังฝีมือทัดเทียมกับหลวงจีนลายบุปผา และเหนือกว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้ง…


 


แน่นอนว่าพวกมันแข็งแกร่งกว่าฉีจิ้ง แต่ก็อาจจะเป็นแค่ ‘เคยแข็งแกร่งกว่า’ เท่านั้น…


 


พรุ่งนี้เป็นวันประลองเพื่อหาสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่าง ฉีจิ้ง ไหนเลยจะไม่เตรียมตัวมา?


 


กระทั่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่คิดจะเสียดายทรัพยากรบ่มเพาะแม้แต่น้อย ต่างทุ่มทุนสร้างอัดฉีดให้มันเต็มที่!


 


ดังนั้นแม้จะเป็นต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าด่วนสรุปว่า ตอนนี้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะมีพลังเหนือกว่าฉีจิ้ง!


 


แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะยังไม่สรุป หากแต่ในใจก็ลอบโอนเอียงคิดไปว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ น่าจะยังมีพลังฝีมือเหนือกว่าฉีจิ้งอยู่ดี


 


“เฮ่! จงกู้ ก็มาถึงแล้ว!”


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้นอีกเสียง และดึงความสนใจของผู้คนได้ทันที


 


ต้วนหลิงเทียนพอหันมองตามไป เขาก็แลเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดจอมยุทธ์ธรรมดาๆ ในมือถือดาบใหญ่ไร้ฝักเล่มหนึ่ง ทว่ากลับถูกพันด้วยผ้าแทน เรียกว่าแลแล้วซ่อมซ่ออนาถาพิกล


 


หากแต่แม้ชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ธรรมดาแลดูซอมซ่ออนาถาผู้นี้ กลับสร้างความฮือฮาให้ผู้คนในหุบเขาหลิงหลงไม่น้อย


 


เพระมันคือ จงกู้!


 


หากกล่าวกันว่าในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง บรรดาผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีและโดดเด่นที่สุดล่ะก็ นอกเหนือจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแล้ว อันดับถัดๆมาย่อมมีมันติดโผอยู่ด้วยแน่นอน!


 


เพราะตอนที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนเหมือนกัน จงกู้ก็สามารถเอาชนะนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้มาแล้ว!


 


อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ฉีจิ้ง ก็ทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นก่อนมัน มันจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีจิ้งอีก


 


อย่างไรก็ตาม ผู้คนล้วนกล่าวกันว่า…หากจงกู้ทะลวงไปถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นด้วยแล้วสู้กันอีกครั้งล่ะก็…น่ากลัวว่าฉีจิ้งก็อาจไม่ใช่คู่มือมันเหมือนเดิม!!


 


แต่แน่นอนว่าตอนที่มันทะลวงผ่าน ฉีจิ้งก็ยากที่จะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นอีกต่อไป


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ฉีจิ้ง จะอย่างไรมันก็คือนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ผู้มีทรัพยากรไร้จำกัด!


 


หลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ และจงกู้ปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน 3 คนเช่นนี้ นับว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนในหุบเขาหลิงหลงไม่น้อย


 


กลับกันต้วนหลิงเทียนที่อยู่ไม่ห่างหลวงจีนลายบุปผา ก็ไม่ได้เป็นที่สนใจอะไรมากมาย เพราะมีเป้าสายตาอย่างหลวงจีนลายบุปผาใกล้ๆ แถมตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนจะมีเพียงแต่หลวงจีนลายบุปผาคนเดียวเท่านั้นที่คล้ายจะสนใจในตัวเขา


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่สนทนากันอยู่พักหนึ่ง หลวงจีนลายบุปผาก็ไม่พบความพิเศษอะไรจากต้วนหลิงเทียนเลย…นี่ยังทำให้มันรู้สึกผิดแปลกอยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันก็กล่าวลาต้วนหลิงเทียนแล้วกลับไปรวมตัวกับเหล่าหลวงจีนของวัดฟ่านเทียน


 


ส่วนจิ้งชวีจื่อกับคนของศาลเจ้าชุนหยาง ก็โรยตัวลงมาหาที่โล่งๆในหุบเขาหลิงหลง


 


ในฐานะผู้ฝึกตนเพนจรไร้สังกัด จงกู้ ไม่ได้สุงสิงกับใคร เพียงหาที่ว่างๆได้มันก็ลงไปพักผ่อนอย่างสงบ ตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่คุยกับใครเลย คล้ายจะเย็นชาห่างเหินไม่น้อย


 


เวลาผ่านไปนานเข้า เหล่าผู้มีอิทธิพลก็ทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ


 


แน่นอนว่าบางคนก็ส่งคนมาแผ้วทางหาที่ไว้ก่อนแล้ว ยิ่งขุมพลังชั้น 5 อีกขุม ก็เรียกว่าส่งคนมาจัดแจงที่พักอะไรเรียบร้อยดีจนแลไปราวกับสวนหลังบ้านของตัว พอพวกมันมาถึงก็พักได้ทันที


 


แม้ว่าเหล่าขุมพลังชั้น 5 อีกขุมนี้จะไร้อัจฉริยะมากพรสวรรค์อะไรอย่าง หลวงจีนลายบุผาของวัดฟ่านเทียน และจิ้งชวีจื่อของศาลเจ้าชุนหยาง แต่พวกมันก็ไม่ได้ไร้ชนชั้นอัจฉริยะเสียทีเดียว พวกมันก็พายอดฝีมือรุ่นเยาว์มาเข้าร่วมการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบไม่น้อย


 


แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่กล้าฝันถึง 3 อันดับแรก!


 


กระทั่งอันดับที่ 4 ในการประลองสุดยอดนักรบ พวกมันก็ยังไม่กล้าคิด!


 


ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ของเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง หากไม่มีเหตุผิดพลาดอะไรเกิดขึ้น 4 อันดับแรกในการประลองครั้งนี้สมควรเป็นชื่อ หลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อ จงกู้ แล้วก็ฉีจิ้งที่จะชิงชัยกันแน่นอน


 


แน่นอนว่าถึงอาจจะมีเหตุผิดพลาด แต่มันจะมีอะไรผิดพลาดได้มากมายขนาดผลเปลี่ยน?


 


ดังนั้นทุกผู้คนล้วนปักใจเชื่อกันหมด ว่า 4 อันดับแรก ต้องเป็นนามทั้ง 4 นี้แน่นอน


 


เป้าหมายของขุมพลังชั้น 5 ขุมนี้ก็คือยึดครองอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องที่เหลือให้ได้มากที่สุด!


 


ไม่นานตะวันก็ค่อยๆลดต่ำลงเจียนลับฟ้า กลับกลายเป็นย้อมชโลมหุบเขาหลิงหลงให้กลายเป็นสีแดงนวลตา


 


“ป่านนี้แล้วคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยังไม่มากันอีกหรอ?”


 


หลายคนเริ่มหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีใครเห็นว่าจะมีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาเลย


 


แน่นอนว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องในหุบเขาหลิงหลงก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่พวกมันเป็นคนที่มาเพื่อตระเตรียมพื้นที่แต่แรก ที่ถูกนำมาโดยอาวุโสลำดับที่ 9 เท่านั้น


 


“นี่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคิดจะทำอะไรกัน? หรือจะมาพรุ่งนี้เลย?”


 


“นั่นเป็นไปไม่ได้ ตามกฏการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง การประลองจะเริ่มต้นทันทีเมื่อแสงแรกของวันสาดส่องขึ้นมาจากทิศตะวันออก ข้าเชื่อว่าครั้งนี้ก็ต้องจัดขึ้นเวลาเดิม เป็นไปไม่ได้ที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมาพรุ่งนี้ เพราะนั่นจะสายไป!”


 


“ไม่ใช่แค่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…กระทั่งคนจากขุมพลังชั้น 4 อีก 2 คนก็ยังมาไม่ถึงเช่นกัน”


 


“ขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 2 ย่อมมาแน่ เพราะอย่างไรบรรพบุรุษของุทกขุมพลังก็ออกกฏไว้แล้ว ว่าทุกๆ 50 ปี ที่จัดการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าการประลองจัดอันดับจะเป็นไปอย่างยุติธรรมไร้เส้นสาย ต้องให้คนนอกมาเป็นผู้ควบคุมการประลอง!”


 


“ปกติก็มักจะมาพร้อมกันกับคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นล่ะ”


 


……


 


ในหุบเขาหลิงหลง ผู้คนก็เริ่มสนทนากันอื้ออึง


 


‘ขุมพลังชั้น 4 อีก 2 ขุมงั้นเหรอ…’


 


แม้จะเป็นต้วนหลิงเทียนเองก็พึ่งรับทราบเรื่องนี้ไม่นาน ว่าจะมียอดฝีมือจากขุมพลังชั้น 4 มาร่วมด้วยอีก 2 คนเพื่อความเป็นธรรมในการประลอง


 


ยอดฝีมือจากขุมพลังชั้น 4 นั่นจะมาจากอีก 2 ขุมพลังที่ต่างกัน


 


ยอดฝีมือเหล่านี้จะมาเป็นกรรมการตัดสินการประลองฟ้าลิ่วล่องทุกๆ 50 ปี แต่แน่นอนว่ายามที่ถึงเวลาขุมพลังพวกมันจัดการประลอง คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็จะส่งคนไปจัดการประลองและเป็นผู้ตัดสินด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดความยุติธรรม


 


ขุมพลังชั้น 4 อีก 2 ขุมพลังที่ว่าก็ไม่ได้มีสัมพันธ์ซ่อนเร้นอะไรกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทั้งสิ้น


 


ดังนั้นยอดฝีมือที่มาเข้าร่วมการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบจึงไม่ต้องกลัวคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแต่อย่างไร เพราะคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่มีทางใช้อำนาจส่วนตัวกดดัน และโกงผู้อื่นได้!


 


ด้วยเหตุนี้การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจึงมีความเป็นธรรม!


 


หลังจากที่ได้รับทราบเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อุ่นใจไม่น้อย ‘ดังนั้นต่อให้ข้าฆ่าฉีจิ้งในการประลองจัดอันดับนี่ แต่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่มีทางลงมือทำอะไรข้าต่อหน้ายอดฝีมือทั้ง 2 ที่มางั้นสินะ ‘


 


เขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ฆ่าฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เพื่อช่วยหานเฉวี่ยไน่ให้พ้นจากห้วงทุกข์!


 


สำหรับอันดับในรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องอะไรเขาไม่สนใจสักนิด!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาไม่ใช่คนในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยซ้ำ เพราะในสายตาเขา…เรื่องจัดอันดับว่าใครดีกว่าใครอะไรทำนองนี้ มันก็แค่ผายลม!


 


ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อเสียงจอมปลอมทั้งนั้น


 


เขาผ่านชีวิตมานาน ประสบการณ์อะไรก็มาก ล้วนมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว


 


“มาแล้ว! มากันแล้ว!!”


 


จวบจนกระทั่งมีเสียงโพล่งร้องดังขึ้น ต้วนหลิงเทียนจึงค่อยคืนสติจากการเหม่อคิด เขาค่อยๆหันหน้าไปมองตามทิศที่คนส่วนใหญ่หันไปดูเช่นกัน


 


มีกลุ่มคนกำลังมาจากที่ไกลๆ


 


หลังจากที่คนกลุ่มนี้มาถึง เขาก็แลเห็นชัดเจนว่าพวกมันแบ่งได้อีกเป็น 3 กลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มย่อยก็เรียงหน้ากระดานมาเป็นตับๆ


 


“นั่นอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีเสิ่น!”


 


ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่สายตาเฉียบแหลม สามารถระบุตัวชายชราที่นำมาและอยู่ตรงกลางได้


 


เป็นชายชราที่มีหนวดเคราดก และไม่ว่าจะขนคิ้วหรือหนวดเคราของมันก็เป็นสีขาวโพลน พาลให้ยามมองไกลๆคล้ายมันเป็นราชสีห์เฒ่าอยู่บ้าง รอบกายยังเต็มไปด้วยแรงกดดันไร้สภาพขุมหนึ่ง!


 


มันคืออาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีเสิ่น


 


ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แม้ฉีเสิ่นจะไม่ได้มีพลังฝีมือติด 3 อันดับแรก หากแต่ใน 5 อันดับแรกย่อมมีนามของมันปรากฏอยู่แน่นอน!


 


ดังนั้นการมาถึงของมันจึงทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ!


 


เพราะกล่าวไปแล้วสถานะของฉีเสิ่นนั้นเพียงด้อยกว่าผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง และรองผู้นำอีก 2 คนเท่านั้น มันทัดเทียมกับอาวุโสหลักอีกคนที่เป็นดั่งมังกรเทพยาดาเห็นหัวไม่เห็นหาง..


 


“ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าอาวุโสฉีเสิ่นจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง…ดูเหมือนคฤหานสน์ฟ้าลิ่วล่องจะให้ความสำคัญกับการประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องไม่น้อย”


 


“นี่เจ้าไม่คิดว่าวาจาเจ้าเหลวไหลมั่งหรือไรหา? รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วลอง คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ในฐานะยักษ์ใหญ่สูงสุดไหนเลยยังไม่ให้ความสำคัญได้? ประสาท!”


 


“น้องสาวเจ้าสิประสาท! แล้วเจ้าเห็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องโผล่หัวมาแล้วรึยังเล่า?”


 


“เอ่อ…นั่นสิ แล้วนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเล่า?!”


 


……


 


หลายคนพบว่าตัวเอกของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งนั้นยังไม่ปรากฏตัวออกมา คล้ายไม่ได้มาพร้อมกับอาวุโสหลักอย่างฉีเสิ่นและคนอื่นๆ!


 


“หรือฉีจิ้งไม่คิดมาประลองกัน?”


 


“เหลวไหล! นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร!? จะอย่างไรมันก็เป็นถึงนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! แถมพลังฝีมือก็มิใช่ต่ำทราม จะพลาดการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบไปได้อย่างไร!?”


 


“นั่นสิ การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบเพียงจัดขึ้นทุกๆ 50 ปีเท่านั้น และยังจำกัดอายุที่จะเข้าร่วมไว้แค่ 50 ปีเช่นกัน กล่าวได้ว่าแต่ละคนล้วนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดชั่วชีวิต ไหนเลยยังไม่เข้าร่วมได้?”


 


“ถูก! ถึงแม้จะไม่ต้องการชื่อเสียง แต่หากคิดรับตำแหน่งผู้นำคนต่อไปของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็จำเป็นต้องติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเสียก่อน…เท่าที่ข้ารู้ผู้ที่ไม่ติดอันดับล้วนหมดสิทธิ์เป็นผู้นำ! นี่เป็นกฏเหล็กของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่สืบทอดกันมานาน!!”


 


“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน…แปลกนัก อาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องพาคนมาขนาดนี้ แต่กลับไร้วี่แววฉีจิ้ง…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”


 


“หรือเกิดเรื่องผิดคาดอันใดกับมันหรือไม่?”


 


……


 


ในหุบเขาหลิงหลงเริ่มฮือฮาขึ้นมาด้วยความสนใจไม่น้อย ถกประเด็นดังกล่าวกันยกใหญ่


 


“เหอะ! หยิ่งผยองนัก!!”


 


“ในแง่พลังฝีมือผู้อื่นก็เหนือกว่ามัน แต่ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก ยังจะเป็นเรื่องอะไรได้?!”


 


“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องงั้นหรือ จึกๆๆ…หากมิใช่เพราะมันคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่เป็นวัดฟ่านเทียนหรือศาลเจ้าชุนหยางล่ะก็ น่ากลัวคงโดนพวกหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อกดไว้จนมิอาจโงหัวขึ้นได้แน่!!”


 


……


 


ตอนนี้ยิ่งมาในหุบเขาหลิงหลงยิ่งคึกคักขึ้นไม่น้อย หลายคนถึงกับเริ่มกล่าวเหยียดนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องขึ้นมาแล้ว!



ตอนที่ 1,668 : กระดานหมากหลิงหลง


 


ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั้นถึงแม้ฉีจิ้งจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดเป็นเพราะฐานะของมันทั้งสิ้น!


 


ในแง่ของพลังฝีมือมันมิอาจเทียบชั้นหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อได้เลย


 


กระทั่งผู้คนยังมองว่ามันไม่อาจเทียบกับจงกู้ได้ด้วยซ้ำ!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่ถือผู้มีพลงัฝีมือเป็นที่สุด มันที่เทียบกับหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อไม่ได้ พอมากระทำหยิ่งผยองแสร้งมาสายเพื่อเป็นจุดสนใจเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจนัก!


 


ในสายตาของทุกคน ที่ฉีจิ้งมีวันนี้ได้เป็นเพราะชาติกำเนิดของมันทั้งสิ้น!!


 


หากไม่ใช่เพราะมันคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในฐานะนายน้อย มันจะยังเป็นตัวอะไรได้? กระทั่ง 10 อันดับแรกในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องอาจไม่มีชื่อมันติดโผด้วยซ้ำ!


 


เมื่อได้ยินเสียงความเห็นจากปากผู้คนมากมายในหุบเขาหลิงหลง ไม่ว่าจะเป็นอาวุโสหลักหรืออาวุโส 9 ที่มาถึงก่อนหน้า ก็ชักสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ทั้งสิ้น!


 


หากเป็นสถานการณ์ปกติ พวกมันคงส่งคนไปไล่ตบปากทั้งหมดให้ฟันร่วงแล้ว!


 


อนิจจาตอนนี้มียอดฝีมือจากขุมพลังชั้น 4 อีก 2 คนที่ไม่ได้เป็นคนของพวกมันมาด้วย แม้มันจะมีโมโหวาจาเหลวไหลรอบด้านมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจลงมือทำอะไรได้


 


“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเรา ได้ออกเดินทางไปฝึกฝนนอกคฤหาสน์…การประลองสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องคราวนี้ นายน้อยเราย่อมมาแน่…ไม่ลำบากให้พวกเจ้าทุกคนต้องเป็นห่วง!!”


 


สุดท้ายฉีเสิ่นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา


 


ทันทีที่มันกล่าวจบ เสียงของมันก็ควบผนึกไปกับปราณแรกกำเนิดกึกก้องไปทั่วหุบเขาหลิงหลง


 


ตอนนี้ผู้คนที่กำลังกล่าวนินทากันอยู่ก็จำต้องหุบปากลงทันที


 


เพราะพวกมันสัมผัสได้ถึงโทสะอารมณ์ที่แฝงเร้นมาในน้ำเสียง!


 


แน่นอนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ดีว่าตอนนี้มียอดฝีมือจากขุมพลังชั้น 4 อื่นมาควบคุมสถานการณ์ และอาวุโสของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ไม่กล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา พวกมันจึงยังกระซิบกล่าวนินทากันต่อ!


 


เนื้อหาที่กระซิบนินทาก็ไม่พ้นเรื่องฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง


 


“อาวุโสฉีเสิ่น ดูเหมือนว่านายน้อยของพวกท่าน คงมาถึงหลังจากที่เริ่มประลองไปแล้ว?”


 


ตอนนี้ซ้ายมือของกลุ่มคนที่มาพร้อมอาวุโสหลักอย่างฉีเสิ่น ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


ชายชราผู้นี้มาในชุดจอมยุทธ์ผ้าเนื้อดีสีเขียว ในมือถือไว้ด้วยไม้เท้า แววตารอยยิ้มแลดูอ่อนโยนประหนึ่งคุณตาใจดีข้างบ้าน…


 


ฉีเสิ่นที่ได้ยินวาจานี้ทำได้แค่ยิ้นเจื่อนๆตอบไปเท่านั้น “สมควรเป็นเช่นนั้นแล้ว”


 


“พวกท่านทั้งสองไปพักผ่อนด้านนั้นก่อนเถอะ”


 


ฉีเสิ่นผายมือไปทางพื้นที่ๆแลดูสงบและตกแต่งไว้อย่างดีทางหนึ่งของหุบเขาหลิงหลง กล่าวบอกกับชายชราในชุดสีเขียวพร้อมผู้นำคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วยน้ำเสียงสุภาพไม่กล้าหย่อนท่าที


 


ชายชราในชุดจอมยุทธ์สีเขียวกับชายผู้นำอีกกลุ่มหนึ่งนั้น ล้วนมาจากขุมพลังชั้น 4 ทั้งคู่ พลังฝีมือของพวกมันไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นแม้แต่น้อย


 


สถานที่ๆฉีเสิ่นผายมือไปก็เป็นสถานที่ๆ อาวุโส 9 ล่วงหน้ามาจัดไว้ให้


 


คนจากขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 3 จะพักกันในบริเวณนี้


 


‘ขุมพลังชั้น 4 อีก 2 ขุมนั่น สมควรเป็น คฤหาสน์ข้ามฟ้า กับคฤหานสน์คลื่นคลั่งสินะ..’


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้อะไรมากมายเกีย่วกับขุมพลังชั้น 4 ที่จะมาเป็นผู้ควบคุมการประลอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่มารออยู่ในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสักพัก แค่ชื่อขุมพลังเขายังพอรู้มาบ้าง


 


ทั้งคฤหาสน์ข้ามฟ้า กับคฤหาสน์คลื่นคลั่ง เป็นขุมพลังชั้น 4 ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย และพวกมันก็อยู่ใกล้ๆกับคฤหาสน์คลื่นขจีเช่นกัน


 


กล่าวให้ชัดคฤหาสน์คลื่นขจีอยู่ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง


 


‘พลังฝึกปรือของอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นข้ากลับมองไม่ออก…สมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนสินะ’


 


ต้วนหลิงเทียนมองแผ่นหลังที่ค่อยๆหายลับตาไป ขณะครุ่นคิดในใจ


 


ได้เห็นอาวุโสหลักอย่างฉีเสิ่นนั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันอยู่บ้าง แรงกดดันที่ว่ายังเหนือกว่าตอนที่เขาพบเจอหานเจิ้งเทียน ผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีเป็นครั้งแรกเสียอีก


 


ดังนั้นเขาสรุปได้ทันทีว่าอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมีพลังฝีมือสูงส่งกว่าหานเจิ้งเทียน!


 


หลังจากที่ขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 3 เริ่มเข้าที่พักอะไรดีแล้ว เหล่าขุมพลังชั้น 5 ทั้งหลายก็เร่งรุดเข้ามาเพื่อทักทายคารวะทันที ไม่กล้าละเลยทีท่าอะไร ด้วยกลัวว่าจะเกิดหายนะหากพวกมันไม่สนใจอีกฝ่าย!


 


แม้ในฐานะขุมพลังชั้น 5 พวกมันจะมีพลังอำนาจแข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว แต่ยังไม่นับเป็นอะไรต่อหน้าขุมพลังชั้น 4!


 


สุดท้ายยามโพล้เพล้ก็ผ่านพ้นไปจนมืดค่ำ


 


แต่กระทั่งมืดค่ำแล้ว ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา!


 


“ฉีจิ้งนั่นมันคิดมาเข้าร่วมการประลองหลังจากเริ่มประลองไปแล้วจริงๆงั้นเหรอ?”


 


ในซอกหุบเขาแห่งหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนเพียงมองไปยังจุดพักของขุมพลังชั้น 4 พร้อมขมวดคิ้วกล่าวบ่นกับตัวออกมาเบาๆ


 


ต้องทราบด้วยว่าจุดประสงค์ของเขาคือฉีจิ้งคนเดียวเท่านั้น!


 


ด้วยไม่เห็นฉีจิ้งโผล่หัวมาสักทีแบบนี้ อารมณ์ของเขาย่อมหงุดหงิดเป็นธรรมดา


 


เมื่อย่ำค่ำแม้ในหุบเขาหลิงหลงจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หากแต่บรรยากาศกลับดำเนินไปอย่างสงบเงียบไร้ผู้ใดสนทนากัน


 


ตลอดทั้งคืนไม่มีแม้แต่ครึ่งคำ


 


เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน แสงอัสดงแรกของวันพลันสาดส่องออกมาจากช่องเขาทิศตะวันออก ทุกผู้คนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะเหินลอยขึ้นฟ้าทันที


 


ครืนนน!!


 


เสียงสนั่นหนึ่งดังขึ้น เป็นชายชราของคฤหาสน์ข้ามฟ้า ยกมือขึ้นก่อนที่จะชี้ไปยังน่านฟ้าที่อยู่ใจกลางคฤหาสน์หลิงหลง!


 


และทันใดนั้นความว่างเปล่าประหนึ่งจะสั่นสะเทือน ระลอกพลังดั่งคลื่นน้ำเริ่มปรากฏขึ้นมากลางอากาศ


 


‘นั่นมันกำลังทำอะไรอยู่กัน?’


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะฉงนใจ


 


และพริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่ายอดฝีมือจากขุมพลังชั้น 4 อีกคนเริ่มลงมือเคลื่อนไหวเช่นกัน


 


อีกฝ่ายเป็นชายศีรษะโล้นเลี่ยนรูปร่างอ้วนท้วมในชุดสีน้ำเงิน เพียงมันยกมือขึ้นเบาๆก็ปรากฏค้อนธรรมดาไร้ลวดลายอันเขื่องผุดขึ้นจากความว่าง มันคว้าค้อนดังกล่าวก่อนที่จะเหวี่ยงฟาดออกไปทันที!


 


เป้าหมายที่ค้อนฟาดทุบออกไป สมควรเป็นจุดที่บังเกิดระลอกคลื่นพลังแผ่กำจายออกมาของชายชราชุดเขียวก่อนหน้า!


 


ทั้งคู่พลันลงมือไปยังจุดเดียวกัน!


 


ระลอกพลังดั่งคลื่นที่กำจายออกมาจากความว่างไม่หยุดเมื่อถูกค้อนฟาดทุบ มันก็กระจัดกระจายสลายไปทันที


 


ทว่าจุดกึ่งกวางความว่างนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนแลเห็นเสมือนรอยปริร้าว ปานกระจกแตก อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นกลางอากาศ แถมรอยแตกดังกล่าวยังเริ่มปริร้าวขยายออกไปเรื่อย พาลให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสะท้านไปถึงไขสันหลัง ด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ


 


อันที่จริงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ หลายคนในหุบเขาหลิงหลงเองก็บังเกิดความหวาดกลัวไม่ต่างกัน!


 


แน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่ได้แปลกใจกับภาพนี้


 


และคนที่ไม่แปลกใจเหล่านี้ก็คือผู้ที่มาเข้าร่วมงานประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเมื่อ 50 ปีที่แล้ว


 


‘ที่แท้เป็นผลกระทบของค่ายกล!’


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ ว่าฉากน่ากลัวที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรนั้น สมควรเกิดจากค่ายกลอะไรสักอย่าง!


 


กล่าวให้ชัด ภาพท้องฟ้าเหนือหุบเขาหลิงหลงนั้น ที่แท้เป็นภาพมายาที่เกิดจากค่ายกล!


 


ยอดฝีมือจากคฤหาสน์คลื่นคลั่งและคฤหาสน์ข้ามฟ้านั้น ได้ร่วมกันลงมือทำลายค่ายกลอะไรบางอย่างนั่น จนมันปริแตกแยกร้าวเช่นนั้น และตอนนี้สิ่งที่ค่ายกลปกปิดอยู่ก็กำลังจะเผยตัวออกมา!


 


และไม่นานฉากที่อยู่เบื้องหลังค่ายกลนั่นก็เปิดเผยออกมาให้ต้วนหลิงเทียนและทุกคนประจักษ์…มันคือกระดานหมาก! ทั้งกระดานหมากดังกล่าวยังเสมือนกำลังขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆต่อหน้าต่อตาทุกคน…แรกเห็นมันมีขนาดเท่าจุด ต่อมาก็ใหญ่ขึ้นจนเท่ากำปั้น


 


และตอนนี้ไม่นานมันก็ใหญ่เท่าผู้คน


 


อีกสักพักมันก็ใหญ่จนให้ผู้คนนับร้อยไปยืนบนกระดานได้!!


 


เมื่อมันขยายใหญ่ออกจนคนนับรอยไปยืนบนนั้นได้ไม่แออัด มันก็หยุดการขยายขนาดทันที!


 


‘นี่พวกเราอยู่ในค่ายกลลวงตาตั้งแต่เมื่อไหร่!’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนหายจากอาการตื่นตระหนก เขาก็พบว่าตอนนี้ไม่ทราบตัวเขามายืนอยู่บนกระดานหมากที่แผ่ขยายออกไปจนสุดสายตาตั้งแต่เมื่อไหร่! เรียกว่าใต้เท้าของเขาเป็นกระดานหมากขนาดมหึมา ให้ 200 คนมายืนรวมบนนี้ยังได้ หากไม่ถือเรื่องที่อาจจะแออัดเบียดไหล่เล็กน้อย


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบอารมณ์ได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ว่ากระดานหมากยามนี้คล้ายแผ่ขยายออกไปไร้จุดจบ เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าอีกครั้ง


 


ตอนนี้เขาเห็นว่าเหนือขึ้นไปบนฟ้ากลับเป็นฟ้าที่มืดครึ้ม ราวกับเมฆฝนกำลังแผ่ขยายปกคลุมทุกผู้คนบนกระดานหมากนี้ก็ไม่ปาน!


 


“นี่น่ะหรือ กระดานหมากหลิงหลง!?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ ‘กระดานหมากหลิงหลง?’


 


ไม่นานหลังจากที่ได้ฟังเสียงสนทนาเซ็งแซ่โดยรอบต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ว่ากระดานหมากหลิงหลงที่ว่าคืออะไร ที่แท้มันเป็นค่ายกลกระดานหมากหลิงหลงที่ถูกจัดตั้งขึ้นไว้ในหุบเขาหลิงหลง!


 


กล่าวได้ว่ากระดานหมากหลิงหลงที่เขายืนอยู่ตอนนี้ สมควรเป็นค่ายกลมายาลวงตาอะไรสักอย่าง


 


แถมกระดานหมากหลิงหลงที่ว่ายังเป็นเวทีประลองสำหรับการจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง อันที่จริงแล้วที่หุบเขาหลิงหลงแห่งนี้ถูกเรียกว่าหุบเขาหลิงหลง ก็สืบเนื่องมาจากกระดานหมากหลิงหลงนี้นั่นเอง!


 


ตอนนี้หลังจากได้ฟังข้อมูลโดยรอบต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้เรื่องราวเสียที


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เสียงแหวกฝ่าสายลมเสียดหูดังขึ้นกลางหาว พอมองไปเขาก็พบว่าชายชราจากคฤหาสน์ข้ามฟ้า กลับชายอ้วนหัวล้านจากคฤหาสน์คลื่นคลั่งได้เหินลอยขึ้นไปบนฟ้าสูง พริบตาก็พุ่งขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา


 


ถึงกระนั้นผู้คนบนกระดานหมากหลิงหลงมากมายก็ยังคงอื้ออึงด้วยไม่เข้าใจเรื่องราว


 


เพราะฉากเบื้องหน้าทำให้พวกมันตกตะลึงกันไม่น้อย


 


ส่วนผู้ที่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นและยังดูสงบสติอยู่ได้ ล้วนเป็นผู้ที่เคยมาเข้าร่วมการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบแล้วทั้งสิ้น!


 


“ทั้งหมดจงฟัง เนื่องจากกฏที่ท่านบรรพบุรุษได้ตราไว้ คฤหาสน์ข้ามฟ้าของข้าจักส่งคนมาควบคุมการประลองจัดอันดับรายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องทุกๆ 50 ปี ซึ่งคราวนี้ ผู้ที่คฤหาสน์ข้ามฟ้าส่งมาก็คือข้า!”


 


ชายชราในชุดจอมยุทธ์สีเขียวที่ถือไม้เท้ากล่าวออกเสียงดังฉะฉาน


 


แม้ดูเหมือนมันจะชราแล้ว หากแต่วาจาของมันก็ดังลั่นเต็มไปด้วยพลังอำนาจไม่คล้ายผู้ชราใกล้ลงดลงอะไร!


 


“ข้าเรียกว่า เริ่นจง เป็นรองผู้นำของคฤหาสน์ข้ามฟ้า…พวกเจ้าจักเรียกหาข้าว่ารองผู้นำคฤหาสนืเริ่ม หรืออาวุโสเริ่นก็แล้วแต่พวกเจ้าจะสะดวกเถอะ”


 


ชายชรากล่าวสืบต่อ


 


เปรี๊ยง!


 


หากแต่ถ้อยวาจานี้ของชายชรากลับทำให้ทั้งหุบเขาหลิงหลงแตกตื่นกันไม่น้อย


 


รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้างั้นเหรอ?!


 


ผู้คนส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยรู้จักคฤหาสน์ข้ามฟ้ากันดีสักเท่าไร เพราะพวกมันอยู่ในเขตของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันก็ยากจะมีสัมพัสธ์หรือติดต่ออะไรกับขุมพลังระดับคฤหาสน์ข้ามฟ้า


 


แต่แน่นอนว่าถึงแม้พวกมันไม่มีโอกาสติดต่อกับขุมพลังระดับนั้น แต่พวกมันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เดียงสาจนไม่ทราบอะไรเลย!


 


นั่นคือขุมพลังชั้น 4!


 


ในสายตาของพวกมันคฤหาสน์ข้ามฟ้าก็มีพลังอำนาจทัดเทียมกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกมัน รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า ย่อมมีฐานะไม่ต่างอะไรจากรองผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกมัน!!


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าที่แท้ท่านผู้เฒ่าคนนั้นจักเป็นถึงรองผ็นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า!!”


 


หลายคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ด้วยไม่คิดเลยจริงๆว่าชายชราแลดูใจดีเหมือนคุณตาข้างบ้านผู้นี้ ที่แท้จะมีศักดิ์ฐานะยิ่งใหญ่เป็นถึงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า! ตัวตนที่พวกมันยากจะเข้าถึง!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)