War sovereign Soaring The Heavens 1646-1649

 ตอนที่ 1,646 : คุณหนูใหญ่ แห่งคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รับรู้เลยว่า ตอนนี้ข่าวเรื่องที่เขาครอบครองตราผนึกมารอยู่ จะถูกส่งไปถึงหูศัตรูชั่วชีวิตของบิดาเขาเสียแล้ว


 


ส่วนตอนนี้เขาก็เดินทางมาถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์คลื่นขจีเรียบร้อย


 


ตลอดทางนั้นเขาเดินทางโดยใช้ กระบี่บิน อันเป็นกระบี่ที่ควบรวมมาจากเขตแดนหมื่นกระบี่ ความเร็วของมันเรียกได้ว่าทัดเทียมกับเซียนดั้งเดิมขั้นต้น!


 


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงไม่พบปัญหาใดๆตลอดการเดินทาง


 


‘ไปถามข้อมูลจากคนอื่นก่อนดีกว่า’


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมาถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์คลื่นขจีแล้ว แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของเขตอิทธิพลคฤหาสน์คลื่นขจีกันแน่


 


เมื่อเหินเวหาท่องกระบี่มาจนถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ลงไปสอบถามข้อมูลมา จึงได้รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เมืองใต้อาณัติของประเทศที่มีตระกูลอันเป็นขุมพลังชั้น 6 ตั้งตนเป็นจ้าวปกครองอยู่


 


ประเทศแห่งนี้เรียกว่าประเทศเซียน เป็นขุมพลังชั้น 6 ลำดับที่ 6 ภายใต้การปกครองของคฤหาสน์คลื่นขจี


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยู่ในเมืองเล็กๆใต้การปกครองของประเทศดังกล่าว ไม่ได้เป็นเมืองหลวงอะไรด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้วคนที่เขาเจอส่วนใหญ่ ที่ร้ายกาจหน่อยก็มีแค่ระดับสู่เซียนเท่านั้น


 


ในขณะที่ไปสอบถามผู้คนเพื่อหาข้อมูลกับเส้นทาง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจับตาดูเขาอยู่


 


ในเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


เมืองเล็กๆแห่งนี้นับว่าไกลปืนเที่ยงนัก ยากที่จะมีใครแวะเวียนผ่านมา


 


วันนี้ในเมื่อมีคนแปลกหน้าเช่นเขาเข้ามา ย่อมตกเป็นเป้าหมายเป็นธรรมดา


 


ด้วยเนตรเทวะ เขาก็พบว่าในบรรดาคนที่เพ่งเล็งเขาร้ายกาจที่สุดก็แค่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น เขาก็คร้านจะแยแสอะไรพวกมันสืบไป


 


หลังจากที่ไถ่ถามอะไรเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกจากเมือง ก่อนที่จะวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาเหล่าคนที่คอยตามเขามาทั้งหมด


 


“หายไปที่ใดแล้ว?!”


 


พอได้เห็นร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงหายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบไม่กี่คนที่คิดฆ่าปล้นชิงต้วนหลิงเทียน ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นออกมา


 


“ความเร็วนั่น…อย่างน้อยๆต้องบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่?”


 


หนึ่งในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบกล่าวถึมพำ


 


มันเองก็เจียนบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่อยู่รอมร่อ การที่อีกฝ่ายหายตัวไปต่อหน้าต่อตามันได้ เช่นนั้นต้องมีพลังฝึกปรืออย่างน้อยๆ สู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่!


 


“มิใช่! เจ้าหนุ่มนั่น…ท่ทางจะบรรลุครึ่งก้าวเซียนแล้ว!”


 


ในบรรดาทั้งหมด ยอดฝีมือที่ท่าทางจะร้ายกาจที่สุดอดไม่ได้ทีจะกล่าวออกมาพร้อมหลั่งเหงื่อเย็น แววตาของมันยังเต็มไปด้วยความเสียขวัญนัก


 


“ละ…ลูกพี่ อย่าได้บอกพวกเราเชียวว่ากระทั่งท่านยังมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของมัน”


 


ทันใดนั้นหลายคนเริ่มหน้าเปลี่ยนสี ถามออกมาด้วยความหวาดกลัว


 


“ในสายตาของข้า…เหมือนมันหายตัวไปในอากาศว่างเปล่า! กระทั่งครึ่งก้าวเซียนทั่วไปยังมิอาจบรรลุความเร็วระดับนี้ได้ มันสมควรเป็นครึ่งก้าวเซียนระดับยอดฝีมือในรายนามนภา หรือไม่ก็ยอดฝีมือในขอบเขตเซียน!”


 


ชายที่ถูกเรียกหาว่าลูกพี่นั้น มันเป็นคนที่มีพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ตอนนี้ปากของมันอ้าออกค้าง กล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ยอดฝีมือระดับนี้น่ากลัวว่าจะพบการลอบติดตามของพวกเราแต่แรกแล้ว โชคดีที่ท่านผู้นั้นไม่คิดถือสาหาความ หาไม่แล้วพวกเราคงยากจะรอดพ้นความตายกันได้!”


 


จังหวะนี้หลายคนถึงกับเงียบไปไร้คำกล่าว


 


หากมองให้ละเอียด จะพบว่าหว่างคิ้วหน้าผากพวกมัน ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น!


 


อันที่จริงแล้วการสังหารคนกลุ่มนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับต้วนหลิงเทียนนัก


 


อย่างไรก็ตามใจต้วนหลิงเทียนจดจ่ออยู่กับแต่ลี่เฟย เขาจึงคร้านจะมัวมาเสียเวลาอะไรกับคนพวกนี้


 


หลังจากถามว่าพื้นที่ส่วนกลางของเขตอิทธิพลของคฤหาสน์คลื่นขจีอยู่ที่ไหน เขาก็รีบออกเดินทางอย่างเร็วที่สุด


 


เมื่อมาถึงพื้นที่ส่วนกลางแล้ว เป้าหมายต่อไปของเขาแน่นอนว่าต้องเป็น ฐานที่มั่นของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นขุมพลังชั้น 5


 


ในฐานะขุมพลังชั้น 5 แน่นอนว่าคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานไม่ได้จะเข้าไปได้ง่ายๆ


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงจำต้องมายังเมืองคลื่นขจีเสียก่อน


 


เมืองคลื่นขจีนับเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเขตอิทธิพลของคฤหาน์คลื่นขจี ยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์คลื่นขจีเองยังตั้งสาขาย่อยขึ้นมา ณ เมืองแห่งนี้ด้วย


 


สาขานี้มีไว้เพื่อควบคุมดูแลเมืองคลื่นขจี


 


เจ้าเมืองของเมืองคลื่นขจี ก็เป็นคนของสกุลหาน


 


คฤหาสน์คลื่นขจีของสกุลหานนั้น แม้จะเป็นขุมพลังชั้น 5 แต่การจัดการภายในก็คล้ายนิกาย สำนัก อยู่บ้าง


 


ในคฤหาสน์คลื่นขจี ต่อให้ท่านไม่ได้ใช้แซ่หาน แต่หากพลังฝีมือท่านสูงส่งก็ล้วนเป็นที่ยอมรับนับถือ


 


นอกจากนี้กระทั่งเรื่องผู้นำคฤหาสน์ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!


 


ในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ตอนนี้ศิษย์ต่างแซ่ที่นับว่าโดดเด่นที่สุดก็คือผู้ฝึกสัตว์ กล่าวไปคนผู้นี้ก็เป็นดั่งพี่น้องแท้ๆของผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีคนปัจุบัน และผู้ฝึกสัตว์คนนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในคฤหาสน์คลื่นขจี


 


เช่นนั้นแล้วตราบใดที่ท่านมีดีพอ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่มิอาจเข้าร่วมกับคฤหาสน์คลื่นขจีไปเลย


 


หลังจากที่มาถึงเมืองคลื่นขจี ต้วนหลิงเทียนก็มองหาที่พักเล็กๆแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะออกไปนั่งในเหลาอาหารทั้งวัน


 


เหลาอาหารที่เขาเลือกนั้นเป็นเหลาที่คึกคักที่สุดในเมืองคลื่นขจี ถึงแม้ว่าเหลาแห่งนี้จะใหญ่โตมากชั้น แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนแทบจะตลอดเวลา


 


ต้วนหลิงเทียนพยายามจนสามารถนั่งโต๊ะริมหน้าต่างได้ เขาสั่งสุราอาหารของขึ้นชื่อต่างๆมามากมายและลิ้มรสชาติอย่างละเมียดละไม


 


ตอนนี้ต่อให้มีคนรู้จักและสนิทสนมกับต้วนหลิงเทียนมากเพียงใดมาอยู่ที่นี่ ก็คงยากที่จะจดจำเขาได้! เพราะตอนนี้รูปลักษณ์ของเขากลับแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง!


 


ใบหน้าใหม่นี้ของเขาให้ความรู้สึกเย็นชายากเข้าถึง ประหนึ่งมีไอเย็นแผ่ออกมาห้อมล้อมรอบกาย! นี่ไม่ใช่หน้ากากหนังมนุษย์อะไรทั้งสิ้น แต่เป็นการปลอมตัวโดยใช้ทักษะลับ


 


ทักษะลับที่ว่าเขาก็ได้รับมาจากผู้เฒ่าหั่ว


 


แก่นของทักษะลับนี้เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก คือใช้ปราณในร่างเพียงเล็กน้อยแปรเปลี่ยนกล้ามเนื้อบนใบหน้าส่วนนี้นิดส่วนนั้นหน่อย หากแต่นั่นกลับส่งผลให้รูปโฉมเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!


 


ทักษะลับชนิดนี้นับว่ายากที่จะมองออกได้ และเหนือกว่าทักษะปลอมแปลงรูปโฉมอื่นๆไม่น้อย


 


ทักษะการปลอมแปลงอื่นๆไม่อาจหลอกลวงพลังวิญญาณของยอดฝีมือขอบเขตเซียนได้ง่ายๆ


 


หากแต่ทักษะแปลงโฉมที่ต้วนหลิงเทียนได้รับมาจากผู้เฒ่าหั่วนี้ สามารถหลอกลวงยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้งหลายได้ง่ายดาย เพราะถึงแม้ใบหน้าที่ปลอมแปลงจะถูกสำนึกเทวะแผ่พุ่งมาตรวจสอบ แต่พวกมันก็จะไม่พบความผิดปกติใดๆบนใบหน้าเขาเลย


 


ต้วนหลิงเทียนที่นั่งริมหน้าต่างก็เงี่ยหูฟังบทสนทนาของผู้คนในเหลาไปเรื่อยๆ


 


แต่หลังจากนั่งแช่อยู่ 2-3 วัน เขายังไม่ได้ยินข่าวที่มีประโยชน์ต่อเขาเลย!


 


ตอนนี้เองพอเสี่ยวเอ้อยกอาหารที่เขาสั่งไว้มาถึงอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนพลันยกมือขึ้นก่อนที่จะเรียกหินเซียนระดับ 5 ออกมาก้อนหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปวางไว้เบื้องหน้าเสี่ยวเอ้อ


 


“ท่านลูกค้า นี่คือ…?”


 


เมื่อเห็นหินเซียนระดับ 5 วางไว้เบื้องหน้าสองตาของเสี่ยวเอ้อก็ลุกวาวขึ้นมา ต้องทราบด้วยว่าหินเซียนระดับ 5 นั้น เทียบได้กับเงินเดือนของมันถึง 3 เดือน!


 


“เสี่ยวเอ้อ…ข้ามีอะไรจะถามเจ้าหน่อย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เชิญท่านลูกค้าว่ามาเถอะ”


 


เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวเอ้อพยักหน้าทั้งตอบกลับด้วยเสียงผ่านปราณแท้ทันที ทว่าแม้ยามพูดแต่ลูกตาของมันก็จับจ้องมองหินเซียนระดับ 5 ไม่วางตา


 


“เจ้าเคยได้ยินชื่อ หานเฉวี่ยไน่ หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“คุณหนูเฉวี่ยไน่?”


 


หลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวเอ้อก็อดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านลูกค้า ท่านพึ่งมาถึงเมืองคลื่นขจีเป็นครั้งแรกหรือ?”


 


“เรื่องนี้เจ้ารู้ได้ยังไง?”


 


คราวนี้ถึงตาต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง


 


“ท่านลูกค้า ตราบใดที่ท่านเคยมาพักยังเมืองคลื่นขจีท่านจะรู้ว่า ทุกผู้คนที่อยู่ในเมืองนี้ล้วนรู้จักคุณหนูเฉวี่ยไน่กันดีทั้งสิ้น นางคือคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน และยังเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน!”


 


เสี่ยวเอ้อกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา นี่เขามัวนั่งบ้าทำอะไรอยู่ตั้ง 2-3 วัน?


 


หากเขาถามผู้คนตั้งแต่แรกๆ ป่านนี้เขาคงได้รู้เรื่องหานเฉวี่ยไน่ไปนานแล้ว! ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าหานเฉวี่ยไน่จะมาจากคฤหาสน์คลื่นขจีจริงหรือไม่!!


 


‘ดูเหมือนข้าจะเดาถูกแล้วจริงๆ หานเฉวี่ยไน่เป็นคนของคฤหาสน์คลื่นขจี…แต่ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นบุตรีคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์’


 


เมื่อนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยที่เคยพบในวันวาน สายตาต้วนหลิงเทียนก็เผยความอ่อนโยนขึ้นมา


 


“หินเซียนก้อนนี้เป็นของเจ้าแล้ว”


 


หลังจากได้รับทราบแล้วว่าหานเฉวี่ยไน่เป็นคนของคฤหาสน์คลื่นขจีจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าเขาสมควรทำอะไรสืบต่อ


 


เนื่องจากสถานะที่พิเศษของหานเฉวี่ยไน่ เขาย่อมสามารถไปเยี่ยมนางในฐานะสหายได้ ‘เดี๋ยวนะ ข้าแค่ไปเยือนสาขาของคฤหาสน์คลื่นขจีที่ตั้งอยู่ในเมืองคลื่นขจีนี้ก็พอนี่นา จะไปถึงที่หรือยังไงก็ไม่ต่างกัน ขอเพียงหานเฉวี่ยไน่รู้ว่าข้าอยู่ที่เมืองคลื่นขจีก็ใช้ได้แล้ว’


 


พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


เส้นประสาทที่ขึงตึงมาหลายวันก็พอได้ผ่อนคลายลงบ้าง


 


ตอนแรกแม้จะคาดเดาว่าหานเฉวี่ยไน่อาจจะเป็นคนของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเขาคาดเดาไปเองไม่มีหลักฐานยืนยันสักอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะตึงเครียดกดดันอยู่บ้าง


 


เพราะสุดท้ายหากเดาผิด เขาก็จะเดินทางมาอย่างสูญเปล่า และกลายเป็นเคว้งคว้างไร้จุดหมายแล้วจริงๆ


 


ทว่าตอนนี้ด้วยวาจาของเสี่ยวเอ้อ ทำให้เขารู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง!


 


“ขอบคุณท่าน!”


 


เสี่ยวเอ้อเร่งขอบคุณและรีบหยิบหินเซียนระดับ 5 ไปเก็บไว้ทันที


 


หลังจากที่เสี่ยวเอ้อจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เพียงจิบสุราต่ออีก 2-3 เหยือก กับอาหารอีกไม่กี่จาน หลังจากนั้นเขาก็เตรียมตัวจะออกเดินทาง


 


ตอนนี้เองเสียง 3 เสียงจากโต๊ะข้างๆพลันดังขึ้นเข้าหูเขาพอดี


 


หากเขาได้ยินบทสนทนาของพวกมันก่อนหน้าคุยกับเสี่ยวเอ้อ เขาคงไม่สนใจอะไรเพราะยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของหานเฉวี่ยไน่ในคฤหาสน์คลื่นขจี


 


“ข้าได้ยินมาว่า นายน้อยแห่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมาที่คฤหาสน์คลื่นขจีของพวกเรา เพื่อสู่ขอคุณหนูใหญ่อันเลอค่าของผู้ตำคฤหาสน์ให้วิวาห์กับมัน! น่ากลัวว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเราคงมิได้สืบทอดคฤหาสน์ต่อจากท่านผู้นำ ดั่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรกอีกแล้ว…”


 


หนึ่งในนั้นกล่าว


 


“ข้าได้ยินว่าแม้จะตบแต่งไป..แต่คุณหนูใหญ่คงเป็นได้แค่สนม….เฮ่อ”


 


อีกคนกล่าวขึ้นมา


 


“ข้าเองก็ได้ยินมาแล้วว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแถมมักมากในกามนัก มีภรรยาน้อยใหญ่อยู่มิต่ำกว่า 5 คน ไหนจะสาวอุ่นเตียงคลายเหงาอีกนับไม่ถ้วน! ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้มันจะต้องตาพึงใจคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีของพวกเราขึ้นมาได้!”


 


คนสุดท้ายกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง


 


“ข้ารู้มาว่าก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ นายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็นึกครึ้มมาเยี่ยมคฤหาสน์คลื่นขจีของพวกเราอย่างไร้สาเหตุ…จากนั้นพอมันเห็นคุณหนูใหญ่ของพากเรา มันก็ถูกใจนางทันที”


 


“คุณหนูใหญ่ก็นับว่าโชคร้ายนัก ก่อนหน้านี้นางเป็นดั่งเทพธิดาในคฤหาสน์คลื่นขจีสามารถชี้บันดาลทุกสิ่งได้ตามใจ แต่ต่อหน้านายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง นางก็ทำได้แค่เชื่อฟังไม่อาจทำอะไรให้เป็นที่ขัดใจมันได้”


 


……


ตอนที่ 1,647 : เจ้าเมืองคลื่นขจี!


 


“ทำอย่างไรได้เล่า แม้คฤหาสน์คลื่นขจีเราจะเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นขุมพลังชั้น 5 ที่ไม่ธรรมดาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…แต่กำลังรบก็นับว่าด้อยกว่าอย่างสิ้นเชิงหากยกไปเปรียบเทียบกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง”


 


“นั่นสิจะอย่างไรคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็เป็นถึงขุมพลังชั้น 4 อันแข็งแกร่ง นับว่าพลังอำนาจล้วนครอบงำคฤหาสน์คลื่นขจีทุกทิศทาง! กระทั่งท่านผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจี ยังไม่กล้าไม่สุภาพต่อหน้านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยซ้ำ! เพราะอย่างไรนายน้อยฟ้าลิ่วล่องก็มีอำนาจดั่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาเอง!!”


 


“เรื่องนี้มิแปลก ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแม้จะมีบุตร 4 คน หากแต่กลับมีมันเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกตามใจจนเสียคนมาแต่เด็ก นับว่ากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์อยากได้อะไรก็ต้องได้”


 


“ชีวิตผู้คนไฉนถึงได้แตกต่างกันนักนะ…ตั้งแต่ที่มันลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมีอำนาจล้นฟ้า…แต่ดูพวกเราเถอะ ขยันบ่มเพาะฝึกปรือแทบตาย กว่าจะมีได้อย่างทุกวันนี้…”


 


“เฮ่อ…อย่าเอาตัวไปเทียบกับผู้อื่นเลย รังแต่จะปวดใจกันเสียเปล่าๆ…”


 


……


 


ในวาจาของทั้ง 3 เผยให้เห็นว่าพวกมันอิจฉานายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่น้อย ยามกล่าวจบยังระบายลมหายใจกันออกมายกใหญ่


 


‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง? ขุมพลังชั้น 4?’


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเป็นปม ‘นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องตาพึงใจคุณหนูใหญ่คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานตั้งแต่แรกพบ และจากที่เสี่ยวเอ้อพูด เฉวียไน่ก็คือคุณหนูใหญ่ที่ว่า…เจ้านั่นมันชอบหานเฉวี่ยไน่กระทั่งคิดจะสู่ขอตบแต่ง?’


 


‘มันเป็นเดียรัจฉานหรือไร! กลับคิดอุบาทว์เช่นนี้กับสาวน้อยนางหนึ่ง!!’


 


ในความทรงจำของต้วนหลิงเทียนนั้น หานเฉวี่ยไน่ยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่เติบโตเต็มวัย และนางมักแลคล้ายดรุณีน้อยวัยใสอายุราวๆ 15-16 ปีเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้เลยว่าหานเฉวี่ยไน่ทลายพันธนาการเคล็ดบำเพ็ญจิต สลายโซ่ตรวนฉุดรั้งรูปลักษณ์เอาไว้สำเร็จ และเริ่มเติบโตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ขุมพลังชั้น 4…’


 


หลังออกจากเหลาอาหาร ใจของต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา


 


ขุมพลังชั้น 5 สำหรับเขาก็นับว่าเป็นมหาอำนาจแล้ว


 


ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กบ้านนอกที่พึ่งมาเหยียบดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป เขายังรู้เรื่องราวของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อย


 


ในบรรดาเรื่องทั้งหลายเขายังได้รับทราบอีกว่า ด้วยสาเหตุลี้ลับประการหนึ่งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคเบื้องบน กับภูมิภาคเบื้องล่าง


 


และตอนนี้เขาก็อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขุมพลังชั้น 4 ก็เรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจระดับแนวหน้า และมียอดฝีมืออันน่ากลัวมากมาย นอกจากนั้นพวกมันยังมีตัวตนอันร้ายกาจในขอบเขตอริยะเซียน!


 


อริยะเซียน ก็เป็นด่านพลังของขอบเขตเซียน ที่อยู่เหนือเซียนขัดเกลาไปอีกขั้นหนึ่ง!


 


โดยทั่วไปแล้วภายในขุมพลังชั้น 6 นั้น ยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดส่วนมากก็มีพลังฝึกปรืออยู่ที่ ‘เซียนขัดเกลา’ เท่านั้น


 


ส่วนขุมพลังชั้น 5 ก็จะมียอดฝีมือขอบเขต ‘อริยะเซียน’ คุมบังเหียน


 


ในขุมพลังชั้น 4 นั้น มีแม้กระทั่งยอดฝีมือที่ข้ามผ่านขอบเขตอริยะเซียนไปแล้ว


 


‘ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทะลวงถึงขอบเขตเซียนที่อ่อนด้อยที่สุดอย่างเซียนดั้งเดิมด้วยซ้ำ…ต่อให้ใช้ตราผนึกมารอย่างดีข้าก็ฆ่าได้แค่ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ถ้าบังเอิญเจอผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนขัดเกลาสักคน พลังอำนาจมันก็มากพอจะบดขยี้ข้าได้…เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือข้าจำเป็นต้องยกระดับพลังฝึกปรือให้เร็วที่สุด อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมแล้ว!’


 


ระหว่างเดินทางกลับไปยังที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจอย่างวาดหวัง


 


แน่นอนว่านอกจากใช้ตราผนึกมารแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังฆ่าขอบเขตเซียนดั้งเดิมได้ ด้วยการใช้กระบี่นิลสวรรค์


 


ในตอนที่เขายังอยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสง เฉินคงอาวุโสสูงสุดของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ก็เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นต้น หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็สามารถสังหารมันได้ในกระบี่เดียว!


 


ในตอนนั้นต้วนหลิงเทียนพึ่งทะลวงถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ เขาจึงต้องใช้ปราณแท้กว่า 9 ส่วนในการใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์เพื่อสังหารเฉินคง


 


ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหลินตงที่พึ่งทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น เขาอาศัยพลังเพียงแค่ 5 ส่วนก็ฆ่ามันได้ง่ายดาย กล่าวอีกอย่างได้ว่า ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสามารถใช้กระบี่นิลสวรรค์จัดการเซียนขั้นต้นได้ถึง 2 คนติดๆกัน


 


แน่นอนว่าจำกัดไว้แค่ 2 คนเท่านั้น


 


เพราะหลังจากใช้กระบี่นิลสวรรค์สังหารเซียนขั้นต้นทั้ง 2 คนที่ว่าไปแล้ว ปราณแท้ของเขาแทบจะเหือดแห้งไปจากร่าง ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะอ่อนแออย่างหนัก


 


ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็คงฆ่าเขาได้ง่ายๆ


 


‘หากตอนนี้ข้าจ่ายพลังปราณออกไปสัก 9 ส่วนเพื่อใช้งานกระบี่นิลสวรรค์ กระทั่งเซียนดั้งเดิมขั้นกลางก็คงไม่มีปัญหาอะไรหากข้าจะฆ่า…แต่สำหรับขอบเขตเซียนขัดเกลานั้นข้าทำอะไรมันไม่ได้เลย!’


 


ต้วนหลิงเทียนเข้าใจพลังความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นอย่างดี


 


ถึงแม้กระบี่นิลสวรรค์จะเป็นยอดสมบัติสวรรค์ แต่มันก็ต้องใช้พลังอำนาจในการเปิดใช้เปล่งอานุภาพ ยิ่งพลังที่จ่ายไปมากเท่าไหร่ กระบี่นิลสวรรค์ก็จะยิ่งเปล่งอานุภาพออกมามากเท่านั้น


 


ตอนนี้ต่อให้เขาทุ่มพลังทั้งหมดลงสู่กระบี่นิลสวรรค์ แต่อย่างดีที่สุดเท่าที่กระบี่นิลสวรรค์จะทำได้ก็คือระเบิดพลังสังหาร ขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น


 


‘อย่างไรก็ตามทันทีที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนเรื่องราวจะต่างออกไปทันที…ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากหากข้าคิดจะฆ่าเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญด้วยซ้ำหากใช้กระบี่นิลสวรรค์…กระทั่งสูงสุดเซียนขัดเกลาก็อาจต้องตาย!!’


 


ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็มีความมั่นใจนัก


 


เพราะทันทีที่เขาทะลวงถึงขอบเขตเซียนล่ะก็ นอกจากความแข็งแกร่งทุกด้านแล้ว ปราณแท้ของเขาจะยังกลายเป็นปราณแรกกำเนิด และมันยังจะพัฒนาสู่ปราณสุริยันแรกกำเนิดทันที!


 


ถึงตอนนั้นประโยชน์จากการถ่ายทอดปัญญารู้แจ้งที่ผู้เฒ่าหั่วกระทำวันนั้นก็จะเปิดเผยออกมาให้เขาเข้าใจแจ่มชัด


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังในการทะลวงถึงขอบเขตเซียนนัก!


 


อย่างไรก็ตามแม้เขาจะคาดหวังมันมากเท่าใด แต่ตอนนี้เขาก็ติดอยู่ในขั้นสุดท้ายของครึ่งก้าวเซียน เรียกว่าขาดอีกแค่เล็กน้อยก็จะข้ามผ่านประตูเบื้องหน้า บรรลุด่านเซียน!


 


อนิจจามันเป็นก้าวสุดท้ายที่ต้วนหลิงเทียนเองก็ยังคลำทางไม่พบ


 


เช่นเดียวกันกับ เคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ขั้นที่ 2 ที่เขายังคลำหนทางไม่พบเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม ระหว่างเรื่องทั้ง 2 นี้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าการจะทะลวงด่านพลังสมควรง่ายดายยิ่งกว่าบรรลุขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่มากนัก เพราะอย่างหลังนั้นลึกล้ำเกินไป จนถึงตอนนี้เขายังไม่พบเบาะแสหรือเค้าลางใดๆในการทะลวงมันเลย


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อลอยครุ่นคิดไปเรื่อย ก็เดินกลับมาถึงที่พักโดยไม่ทันรู้ตัว


 


หลังจากกลับมาถึงที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจพักผ่อนหนึ่งวันก่อนที่จะออกเดินทาง ‘เช้าพรุ่งนี้ข้าจะไปคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยในเมืองคลื่นขจีนี่ดู ถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกมันไปแจ้งให้เฉวี่ยไน่รู้ว่าข้ามาหานางในฐานะสหาย และทันทีที่นางรู้ว่าข้ามาถึงเมืองคลื่นขจี นางต้องรีบมาหาข้าแน่’


 


เมื่อวางแผนได้แล้ว ใจต้วนหลิงเทียนก็สงบลง


 


แต่แน่นอนว่าใจเขายังไม่อาจสงบลงได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์ที่หานเฉวี่ยนไน่เผชิญอยู่ตอนนี้เป็นอะไรที่มืดแปดด้านนัก


 


‘ด้วยลักษณะนิสัยของเฉวี่ยไน่ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะยินดีอยู่ร่วมกับนายน้อยฟ้าคฤหาสน์ลิ่วล่องอะไรนั่น…ข้ามั่นใจว่านางต้องปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามข้าไม่รู้ว่านางจะมีปัญหาอะไรกับคฤหาสน์คลื่นขจีหรือไม่ หากนางมีปัญหาข้าคงต้องไปหานางที่นั่นเองแล้วจริงๆ’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วด้วยความกังวล


 


เขารู้จักหานเฉวี่ยไน่มานาน นิสัยนางเป็นเช่นไรเขาย่อมทราบดี


 


เฉวี่ยไน่เคยกล่าวบอกเขาเอาไว้แล้ว ว่าในภายภาคหน้าบุรุษที่จะได้ใจของนางนั้นต้องเป็นบุรุษที่รักเดียวใจเดียว รักถนอมนางเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และนี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนาง


 


เรียกว่าหานเฉวี่ยไน่เคารพวิถี คู่ครองคนเดียว


 


เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไรสำหรับชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน ดังนั้นเขาไม่ถือว่าความคิดของหานเฉวี่ยไน่จะผิดแปลกอะไรแม้แต่น้อย


 


อย่างไรก็ตามสำหรับในโลกใบนี้ ความคิดของหานเฉวี่ยไน่ค่อนข้างผิดแปลกนัก


 


เพราะในโลกนี้ยึดถือพลังฝีมือเป็นที่สุด ผู้เข้มแข็งเป็นจ้าวปกครองทุกสิ่ง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอดฝีมือทั้งหลายจะมีสตรีมากมาย กระทั่งจะมีมากกว่าสิบคนก็ไม่แปลกอะไร ตราบใดที่พวกนางสามารถทนได้ก็พอ


 


แน่นอนว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดว่าหานเฉวี่ยไน่จะยินดีตบแต่งกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นแน่


 


‘หวังว่าเสี่ยวเฟยเอ๋อจะอยู่ที่คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน…หากเป็นเช่นนั้น ลูกของข้าก็น่าจะคลอดออกมาแล้ว’


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มุมปากของต้วนหลิงเทียนพลันเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา


 


เช้าวันรุ่งขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ถามทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยจากเจ้าของที่พัก ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทันที


 


เมื่อได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของหานเฉวี่ยไน่ เจ้าเมืองคลื่นขจีหรือผู้ที่รับผิดชอบทั้งเมืองและคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยที่เมืองคลื่นขจีแห่งนี้ ก็เร่งส่งผู้พิทักษ์ออกไปต้อนรับขับสู้ต้วนหลิงเทียนทันที


 


คฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อย ยังเป็นเขตที่ดินของจวนผู้ว่าแห่งเมืองคลื่นขจีนี้อีกด้วย มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง พื้นที่นั้นกว้างขวางใหญ่โต ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลซือถูในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงแม้แต่น้อย


 


ภายใต้การนำทางโดยผู้พิทักษ์ของเมือง ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าไปในจวนหลักของเจ้าเมือง และไม่นานเขาก็ได้พบกับตัวเจ้าเมืองที่รับผิดชอบดูแลสาขาย่อยของคฤหาสน์คลื่นขจีรวมถึงเมืองแห่งนี้


 


อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมยาวสีเงิน ยืนสงบมองมาทางต้วนหลิงเทียนเขม็ง ยังแผ่พลังไร้สภาพขุมหนึ่งออกมากดดันเขาไม่น้อย


 


“ท่านบอกว่าท่านเป็นสหายของคุณหนูใหญ่งั้นหรือ?”


 


เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนยังคงนิ่งเฉยแม้จะถูกแรงกดดันพลังของมันแผ่พุ่งเข้าใส่ ชายวัยกลางคนชุดคลุมยาวสีเงินก็เผยความตกใจให้เห็นในสายตาไม่น้อย


 


เพราะทันทีที่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้เหยียบเข้าห้องโถงหลักมาก้าวแรก มันก็รู้ได้ทันทีจากกลิ่นอายพลังว่ายังไม่ทะลวงด่านเซียน อีกทั้งจากกลิ่นอายพลังชีวิต มันยังรู้อีกด้วยว่าชายหนุ่มผู้นี้อายุสมควรไม่ถึง 40 ปี…


 


ทว่าอายุไม่ถึง 40 ปีกลับทนรับแรงกดดันพลังจากมันได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี กระทั่งออกอาการสักนิดยังไม่มี นี่ไม่ใช่อะไรที่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลหานจะกระทำได้!


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“แล้วท่านเรียกว่าอะไรหรือ?”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวถามอีกครั้ง


 


“หลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกนามออกไป เป็นนามเก่าที่ไม่ได้รวมแซ่ในโลกนี้เข้าไป


 


แต่เขารู้ดีว่าตราบใดที่นามนี้ถึงหูเฉวี่ยไน่ นางต้องรู้ได้ทันทีแน่ว่าเป็นเขา


 


นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอันง่ายดายนักที่ไฉนเขาถึงปกปิดชื่อที่แท้จริง


 


เพราะหลังจากที่เดินทางออกจากประเทศฝูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี ว่าทันทีที่อ๋องเฉียนรู้ว่าตราผนึกมารไม่ได้อยู่ในแหวนพื้นที่ของมัน มันไม่พ้นหัวเสียอย่างหนัก และเรื่องนี้จะอย่างไรก็ต้องแดงขึ้นมาแน่นอน เขาจะตกเป็นจำเลยสังคมทันที!


 


เพราะเกรงว่าพอถึงตอนนั้น ทุกคนจะสรุปเอาว่า…ตราผนึกมารยังอยู่ในมือเขา!


 


นอกจากนี้ผู้ที่เคยพบเจอเขามาก่อน ก็สามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้ไม่ยากและออกค้นหาเขาไปทุกที่!


 


ถึงแม้ว่าข่าวลือเรื่องตราผนึกมารยังแพร่มาไม่ถึงคฤหาสน์คลื่นขจี


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนกลับมองการณ์ไกลว่าจะอย่างไรก็ต้องแพร่มาถึงแน่ๆ และน่ากลัวว่าในเวลาอันสั้นข่าวลือเรื่องตราผนึกมารจะแพร่ไปทั่วเขตอิทธิพลคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานดั่งไฟลามทุ่ง!


 


ถึงตอนนั้นมิแคล้วคนของคฤหาสน์คลื่นขจีสมควรรู้จักหน้าค่าตาต้วนหลิงเทียน และพวกมันคงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้ถือครองตราผนึกมารอยู่กับตัว!


 


ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงคิดหลีกหนีปัญหาที่ไม่จำเป็นด้วยการเปลี่ยนรูปโฉม


 


หากข่าวของตราผนึกมารล่วงรู้ไปถึงสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าล่ะก็ แม้แต่ยอดฝีมือที่ร้ายกาจระดับแนวหน้าคงนั่งไม่ติด…ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กล้าเปิดเผยตัวตน จนกว่าเขาจะมีพลังอำนาจมากพอถือครองตราผนึกมาร!


 


นั่นเป็นเหตุผลให้เขาเปลี่ยนใบหน้ารูปโฉมและไม่ได้กล่าวบอกชื่อแซ่ที่แท้จริงออกไป


 


“หลิงเทียนหรือ…นามอันประเสริฐนัก”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวยกย่องชมเชยต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวออกมา “แม้ท่านจะบอกว่าท่านเป็นสหายของคุณหนูใหญ่ หากแต่ข้าต้องขออภัยด้วยที่ข้ายังมิอาจไว้ใจท่านได้สมบูรณ์…เช่นนั้นข้าจักให้ท่านพักอยู่ในเรือนรับแขกของจวนข้าก่อน หลังจากที่ข้าส่งผู้คนไปยืนยันกับคุณหนูได้แล้วว่าท่านมิแปลกปลอม ข้าจักพาท่านไปพบกับคุณหนูด้วยตัวเอง”


ตอนที่ 1,648 : เปลี่ยนทัศนคติ


 


“พาข้าไปพบเฉวี่ยไน่?”


 


พอได้ยินคำพูดของเจ้าเมืองคลื่นขจี ร่างต้วนหลิงเทียนก็นิ่งค้างไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะนึกถึงสถานการณ์ของหานเฉวี่ยไน่ขึ้นมาอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่เขาจะโล่งใจออกมา


 


ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะเป็นไปอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้


 


โอกาสที่หานเฉวี่ยไน่จะถูกคุมขังมีแค่ 1 ใน 10 ส่วน


 


“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้าเมืองล่วงหน้าแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณเจ้าเมืองออกไปทันที


 


“หากท่านเป็นสหายของคุณหนูใหญ่จริงๆ ก็นับว่าท่านเป็นแขกของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานของพวกเรา แน่นอนว่าข้าไม่มีทางปฏิบัติต่อท่านไม่ดี”


 


เจ้าเมืองคลื่นขจีกล่าว


 


และความหมายของวาจาประโยคนี้ยังชัดเจนนัก ทั้งหมดล้วนเพราะเป็นมันนับถือหานเฉวี่ยไน่


 


หากต้วนหลิงเทียนไม่ใช่สหายของหานเฉวี่ยไน่ขึ้นมาล่ะก็ มันจะไม่เห็นหัวเขาเลย!


 


เรื่องนี้เขาเองก็เข้าใจได้ไม่ยาก


 


ในฐานะเจ้าเมืองคลื่นขจี แถมเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อย เจ้าเมืองผู้นี้พลังฝีมือย่อมไม่ใช่ชั่ว ยังสมควรเป็นผู้อาวุโสในคฤหาสน์คลื่นขจีที่มีฐานะสูงส่งไม่น้อย ด้วยทิฐิของคนสกุลหานและพลังฝีมือของมัน ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นหัวคนทั่วไป


 


การที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเพราะความเคารพที่มีต่อหานเฉวี่ยไน่


 


หากมันยืนยันได้แล้วว่าหานเฉวี่ยไน่ไม่มีสหายเช่นเขา น่ากลัวว่ามันคงไม่เหลือความสุภาพอะไรอีกต่อไป ไม่เพียงเท่านั้นมันกระทั่งจะลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนอย่างอำมหิตอีกด้วย


 


ความคิดของเจ้าเมืองคลื่นขจีผู้นี้ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ได้ แต่เขาก็ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย


 


เพราะเขารู้จักคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีจริงๆ ว่าเป็นหานเฉวี่ยไน่ เด็กสาวตัวน้อยที่ชมชอบติดตามไปเล่นกับเขาและมักเรียกหาเขาว่า พี่ใหญ่หลิงเทียน ไม่ขาดปาก


 


“ท่านเจ้าเมืองรบกวนฝากวาจาของข้าไปกล่าวบอกเฉวี่ยไน่หน่อยได้หรือไม่?”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเชื่อมั่นว่า หานเฉวี่ยไน่ต้องรู้ทันทีว่าเป็นเขาตั้งแต่ที่ได้ยินนามหลิงเทียน


 


แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะเพิ่มความมั่นใจให้นาง


 


“ย่อมได้”


 


เจ้าเมืองพยักหน้ารับ ในสายตาของมันเรื่องนี้นับว่าเล็กน้อยนัก


 


“ให้คนของท่านบอกเฉวียไน่ที ว่า พี่ใหญ่หลิงเทียนอยู่นี่แล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


พี่ใหญ่หลิงเทียน?


 


หลังได้ยินวาจาฝากบอกนี้ของต้วนหลิงเทียน ลูกตาของเจ้าเมืองคลื่นขจีหดเล็กลงทันที


 


การที่อีกฝ่ายกล่าวให้ฝากวาจาไปบอกแบบนี้ ทำให้มันรู้สึกกริ่งเกรงชายหนุ่มเบื้องหน้าขึ้นมาไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้คนคงไม่มีใครเรียกหากันเช่นนี้หากไม่สนิทสนมจริงๆ


 


แต่ฟังวาจาฝากบอกของชายหนุ่มนามหลิงเทียนผู้นี้เถอะ! หรือปกติแล้วคุณหนูใหญ่ของมันเรียกหาอีกฝ่ายว่า พี่ใหญ่หลิงเทียน จริงๆ?


 


ทันใดนั้นทัศนคติและทีท่าของมันก็แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง


 


“น้องชายหลิงเทียน เช่นนั้นระหว่างรอคุณหนูตอบรับ ให้ข้าพาท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ”


 


เรียกว่ากล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง น้ำเสียงของเจ้าเมืองคลื่นขจียังอ่อนลงหลายส่วน ราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่ผู้คนที่พึ่งพบเจอครั้งแรก แต่เป็นสหายที่รู้จักกันมานานนับสิบปี


 


การเปลี่ยนแปลงทีท่าของเจ้าเมืองคลื่นขจี ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้แต่แรกแล้ว เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร


 


หลังจากที่ออกจากห้องโถงใหญ่ เจ้าเมืองคลื่นขจีจึงเริ่มกล่าวแนะนำตัวเอง “ข้าเรียกว่า หานชิง เป็นอาวุโสดูแลกิจการฝ่ายนอกของสกุลหาน ข้ามักรับผิดชอบดูแลเรื่องราวในเมืองคลื่นขจีทุกเรื่อง หากน้องชายหลิงเทียนไม่รังเกียจสามารถเรียกหาข้าว่าพี่หานชิงได้ เรียกว่าเจ้าเมืองช่างฟังดูเป็นทางการทั้งห่างเหินยิ่ง…”


 


หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปที่ยังไม่บรรลุขอบเขตเซียนล่ะก็ ให้ตายหานชิงก็ไม่มีวันให้เรียกหามันว่าพี่หานชิงอะไรพรรค์นี้แน่นอน


 


ถึงแม้พรสวรรค์และศักยภาพจะสูงมาก ถึงขั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนก็ตาม


 


เหตุผลที่หานชิงลดทิฐิลงและเรียกหาต้วนหลิงเทียนว่าน้องชายนั้น ล้วนเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีของมัน หานเฉวี่ยไน่!


 


ถึงแม้ในคฤหาสน์คลื่นขจีมันจะเป็นผู้อาวุโสที่มีฐานะสูงไม่น้อย แต่ก็นับว่ายังด้อยกว่าหานเฉวี่ยไน่


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันเคารพนับถือผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานหมดใจถึงขั้นเคารพบูชา เพราะอีกฝ่ายได้ช่วยชีวิตมันเอาไว้ครั้งยังเยาว์แถมยังรับมันมาชุบเลี้ยง หาไม่แล้วมันคงนอนตายเยี่ยงสุนัขข้างถนนไปแต่แรก…


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงพลอยเคารพนับถือหานเฉวี่ยไน่ บุตรีคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีอย่างมากไปด้วย


 


“พี่หานชิง”


 


ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นคนประเภทให้ความเคารพผู้อื่นหากอีกฝ่ายให้ความเคารพแก่เขา นอกจากนี้ท่าทีปฏิบัติของหานชิงที่มีต่อเขาตั้งแต่แรก ก็นับว่าน่าพึงพอใจไม่น้อย


 


พอได้ยินต้วนหลิงเทียนเรียกหาเช่นนี้ หานชิงจึงเผยยิ้มออกมา


 


อันที่จริงหลังจากที่ต้วนหลิงเทียน ได้ฝากข้อความให้มันใช้ลูกน้องไปบอกหานเฉวี่ยไน่ มันก็มั่นใจเกือบ 10 ส่วนแล้วว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นสหายของหานเฉวี่ยไน่จริงๆ หาไม่แล้วคงไม่หาญกล้ามาละเล่นเหลวไหลอะไรพรรค์นี้ถึงจวนเจ้าเมืองคลื่นขจี ราวกับคนเบื่อชีวิตคิดหาที่ตาย…


 


อย่างไรก็ตามชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา แถมดูไม่เหมือนคนสิ้นคิดรนหาที่ตายแม้แต่น้อย


 


ที่สำคัญไปกว่านั้น ท่าทางดูแล้วคุณหนูใหญ่สกุลหานของมัน น่าจะมีสัมพันธ์อันดีกับชายหนุ่มผู้นี้จริงๆ เช่นนั้นทัศนคติของมันจึงแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงทันที


 


“พี่ชายหานชิง ข้าพึ่งมาถึงเมืองคลื่นขจีได้ไม่ทันไร แต่ก็พอได้ยินข่าวเรื่องที่นายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นคิดสู่ขอเฉวี่ยไน่ไปตบแต่งอยู่บ้าง เรื่องนี้…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามหานชิง หากแต่เขายังกล่าวถามไม่ทันจบคำ เขาก็พบว่าใบหน้าหานชิงนั้นมืดดำนัก!


 


“นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นมันช่างกล้านัก! เป็นแค่คางคกคิดจะกินเนื้อห่านฟ้า! มันเป็นนายน้อยที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ยิ่ง..มิได้คู่ควรกับคุณหนูใหญ่สักนิดเดียว!!”


 


หานชิงกล่าวออกด้วยเสียงเข้มแฝงโทสะ เห็นชัดว่ามันไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้เลย


 


ชีวิตของมันเป็นผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีช่วยไว้ เรื่องนี้มันย่อมอยู่ข้างเดียวกับหานเฉวี่ยไน่


 


“แต่ข้าได้ยินมาว่าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นขุมพลังชั้น 4 …เรื่องนี้ข้าคิดว่าคฤหาสน์คลื่นขจีคงยากหลีกเลี่ยงใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนถาม


 


“ยากที่จะหลีกเลี่ยงแล้วจริงๆ”


 


หานชิงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ที ค่อยพูดต่อ “ในเรื่องนี้ภายในของคฤหาสน์คลื่นขจีก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย…ฝ่ายหนึ่งนำโดยผู้นำและมิเห็นด้วยกับการแต่งงาน อีกฝ่ายนั้นนำโดยอาวุโสสูงสุดซึ่งเห็นด้วยกับการให้คุณหนูใหญ่แต่งงาน เพื่อมิเป็นการล่วงเกินคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง”


 


“แล้วตอนนี้ฝ่ายใดมีเสียงข้างมากอยู่หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาหน้านิ่วคิ้วขมวด


 


“น่ากลัวว่าโอนเอียงไปข้างผู้อาวุโสสูงสุดกันแล้ว…”


 


ลูกตาหานชิงเผยประกายโทสะอันคับแค้นออกมา “อันที่จริงข้ามิเคยสังเกตด้วยซ้ำว่าคนของคฤหาสน์คลื่นขจีที่แท้กลับขลาดเขลาถึงเพียงนี้ พอมาเผชิญหน้ากับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องข้าถึงค่อยแลเห็นธาตุแท้พวกมัน! เพียงเพราะกลัวจักล่วงเกินคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พวกมันถึงกับยินดีใช้ความสุขชั่วชีวิตของเด็กสาวตัวเล็กๆนางหนึ่ง แลกกับความปลอดภัยในชีวิตของพวกมัน!!”


 


หลังจากได้ยินเรื่องนี้จากปากหานขิง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าท่าทางสถานการณ์นั้นไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไรแล้ว


 


“พี่ชายหานชิง ท่านช่วยเล่าเรื่องราวในคฤหาสน์คลื่นขจีให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“น้องหลิงเทียน มิใช่ว่าพี่ชายไม่เชื่อในตัวเจ้า แต่เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความลับของคฤหาสน์คลื่นขจี ข้าจึงมิสะดวกบอกกล่าวต่อเจ้ามากเกินไปก่อนที่คุณหนูใหญ่จะยืนยันฐานะของเจ้า”


 


หานชิงกล่าวขอขมาต่อต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าอับจน “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ หากคุณหนูใหญ่ยืนยันตัวตนเจ้าแล้ว พี่ชายผู้นี้จักเล่าเรื่องทั้งหมดของคฤหาสน์คลื่นขจีให้เจ้าฟังเองดีหรือไม่?”


 


“พี่หานชิงท่านอย่าได้อึดอัดใจไป ข้าย่อมเข้าใจความลำบากของท่าน”


 


ที่หานชิงเป็นกังวลนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจได้ ดังนั้นเขาไม่คิดถามเซ้าซี้อีกต่อไป


 


ภายใต้การจัดการของหานชิง ต้วนหลิงเทียนจึงได้พักอยู่ในเรือนรับรองอย่างดีของจวนเจ้าเมือง ยังเป็นพื้นที่อันกว้างขวาง เป็นบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่าง ที่มีพื้นที่มากพอให้ฝึกวรยุทธ์เซียนได้สบาย นอกจากนี้ในบ้านยังมีห้องหับว่างอยู่อีกถึง 3 ห้อง


 


ห้องพักแลดูสะอาดสะอ้านตา เห็นชัดว่ามีการดูแลรักษาความสะอาดอยู่เป็นประจำ


 


หลังจากกล่าวคำอำลากับต้วนหลิงเทียน หานชิงก็ขอตัวลาจากไปเพราะมันมีเรื่องที่ต้องไปจัดการไม่น้อย


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่คิดสงสัยตัวตนของต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่มันก็ยังต้องส่งคนไปยืนยันเรื่องนี้กับคุณหนูใหญ่ หานเฉวี่ยไน่ ให้เรียบร้อย


 


หลังจากที่หานชิงจากไป ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปที่ห้องพัก ปิดประตูหน้าต่างลงดาลลั่นกลอนเรียบร้อย ก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที


 


“ถ้าเพียงแต่ ข้าทะลวงผ่านขอบเขตเซียนได้ล่ะก็…ข้าอาจช่วยเฉวี่ยไน่ได้”


 


พอคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของหานเฉวี่ยไน่ อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนพลันกลายเป็นหนักอึ้งไม่น้อย


 


ในสายตาของเขาหานเฉวี่ยไน่ก็เหมือนน้องสาวตัวน้อยที่เขาต้องปกป้องดูแล นางไม่ต่างอะไรจากน้องสาวแท้ๆของเขาเอง…ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเป็นนางที่ช่วยเหลือเขามาตลอดก็ตาม


 


พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความสุขชั่วชีวิตของน้องสาวตัวน้อย ไหนเลยเขายังไม่เป็นกังวลได้


 


‘ถึงแม้บิดาของเฉวี่ยไน่จะเป็นผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจี…แต่ในฐานะขุมพลังชั้น 5 ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเปรียบในเรื่องนี้! เว้นเสียแต่บิดาของเฉวี่ยไน่จะมีพลังฝีมือสูงพอทำลายล้างได้ทุกสิ่ง…อนิจจาตอนนี้พลังฝีมือบิดาของเฉวี่ยไน่คงไม่ขนาดนั้น’


 


พอนึกถึงเรื่องที่หานชิงกล่าวออกมา ใจของต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกหนักถ่วงขึ้นมาทันที คล้ายจะมีหินใหญ่หมื่นพันชั่งลากถ่วงไว้อย่างไรอย่างนั้น


 


สูดลมหายใจลึกๆไม่กี่ที่เพื่อสงบสติอารมณ์ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มบ่มเพาะพลังสืบต่อ


 


ในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลัง ก็มีร่างหนึ่งออกจากจวนเจ้าเมืองคลื่นขจี


 


หลังจากออกจากจวนเจ้าเมืองคลื่นขจีหรือคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยแล้ว ร่างดังกล่าวก็ยังออกจากเมืองคลื่นขจีมุ่งหน้าไปยังทางเหนือด้วยความเร็วสูงตลอดทั้งคืนทั้งวัน จนในที่สุดก็เข้าสู่เขตภูเขาลึกลับที่ปกคลุมไปด้วยม่านเมฆ


 


ด้านหลังแนวเขานั่น จะเป็นสถานที่ตั้งของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานแล้ว


 


มันมาจากสาขาย่อยและจวนเจ้าเมืองคลื่นขจี ย่อมไม่ถูกคนของคฤหาสน์คลื่นขจีขวางเอาไว้ ไม่นานก็ไปถึงส่วนกลางของคฤหาสน์คลื่นขจีได้อย่างง่ายดาย


 


“ข้าคือรองเจ้าเมืองคลื่นขจี มีเรื่องด่วนสำคัญใคร่ขอเข้าพบคุณหนูใหญ่”


 


ยืนอยู่หน้าสถานที่พักของหานเฉวี่ยไน่ คุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจี ชายในชุดเกราะมีเคราดกหนาที่เร่งรุดเดินทางมาทั้งคืนทั้งวัน เร่งกล่าวรายงานต่อสาวรับใช้ทั้งสองด้านนอกที่พักทันที


 


สตรีรับใช้ได้ยินดังนั้นก็เร่งรุดเข้าไปแจ้งเรื่องราว


 


“คุณหนูให้เจ้าเข้าไปได้”


 


ไม่นานสาวน้อยนางนั้นก็เดินออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินนำชายเคราดกเข้าไป


 


สวนด้านหลังบ้านพักหลังโตนี้ เป็นทะเลสาบกระจ่างอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ยังมีศาลากลางน้ำแลดูวิจิตรงดงาม


 


ภายในศาลาดังกล่าวมีอิสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งฟุ่บหมอบไปกับโต๊ะ นางหนุนทับแขนข้างหนึ่งด้วยท่าทางเกียจคร้านเบื่อหน่าย ยามมองไปที่นางพาลให้รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบหม่นสีและไม่สดใสอย่างที่เคย


 


ทว่าหว่างคิ้วแววตาของสตรีดังกล่าวกลับเผยความทุกข์ตรมทั้งกังวลออกมาไม่น้อย ยากที่ใครจะกล่าวบอกได้ว่านางมีเรื่องหนักอกหนักใจอันใดแบกไว้อยู่กันแน่


 


“คุณหนู”


 


จนกระทั่งสตรีรับใช้ที่พึ่งนำพาชายชุดเกราะเคราดกมาถึงเริ่มกล่าววาจาเรียกหาออกมา สตรีที่ฟุบกับแขนบนโต๊ะในศาลาจึงค่อยคืนสติกลับมารู้สึกตัว นางว่ายตาหันมามองจนเห็นชายในชุดเกราะเคราดกข้างๆสตรีรับใช้ ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างฝืนๆพร้อมกล่าวถาม “ลุงชิง มีธุระกับข้างั้นหรือ?”


 


ชายชุดเกราะเคราดกผู้นี้แจ้งว่ามาจากจวนเจ้าเมืองคลื่นขจี และคนเดียวที่นางรู้จักในจวนเจ้าเมืองคลื่นขจีก็มีแต่ หานชิง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเท่านั้น


 


“ใช่แล้วคุณหนู”


 


ชายเคราดกตอบกลับด้วยความเคารพ


ตอนที่ 1,649 : พบกันอีกครั้ง


 


สตรีที่ฟุบอยู่ในศาลากลางน้ำนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคุณหนูใหญ่คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน หานเฉวี่ยไน่เอง!


 


แตกต่างไปจากความทรงจำของต้วนหลิงเทียน ที่หานเฉวี่ยไน่เป็นเพียงดรุณีน้อยวัย 15-16 ปีนัก เพราะตอนนี้ความอ่อนวัยไร้เดียงสาได้มลายหายไปจากใบหน้าหานเฉวี่ยไน่หมดแล้ว ราวกับนางเติบโตเป็นสาวงามในชั่วข้ามคืน


 


อย่างน้อยๆความงามของหานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลี่เฟย เค่อเอ๋อ และเฟิ่งเทียนหวู่เลย!


 


“ท่านลุงชิงมีธุระกับข้าหรือ?”


 


หานเฉวี่ยไน่กล่าวถามออกมา


 


ทว่าชายเคราดกไม่กล่าวออกมาทันที เพียงมองไปยังสตรีรับใช้ข้างกาย


 


ท่าทางนี้ของมันก็สื่อเจตนาชัดแจ้ง ว่าไม่สะดวกกล่าวยามมีคนนอกอยู่


 


แน่นอนว่ามันสามารถส่งเสียงกล่าวกับอีกฝ่ายได้


 


อนิจจาเนื่องจากสถานะของมันกับสตรีเบื้องหน้าแตกต่างกันเกินไป หากไม่จำเป็นมันไม่กล้าส่งเสียงกล่าวกับตัวตนที่มีระดับสูงส่งแบบนี้ เพราะมันจะแลดูหยาบคายไม่เคารพ


 


“เจ้าออกไปก่อน”


 


หานเฉวี่ยไน่กล่าวตอบรับทันที สั่งให้สตรีรับใช้ล่าถอยออกไป


 


ครู่ต่อมาก็คงเหลือแต่หานเฉวี่ยไน่กับชายเคราดกเท่านั้นในศาลากลางน้ำ


 


“มีเรื่องสำคัญงั้นหรือ?”


 


จากสีหน้าท่าทางของชายเคราดก หานเฉวี่ยไน่ก็บอกได้ท่าทางเรื่องที่มันนำมาจะไม่ธรรมดา ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวตอบนางจึงกล่าวถามออกมาเสียก่อน


 


“ใช่ขอรับคุณหนู”


 


ชายเคราดกผงกศีรษะรับ


 


“เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องสงวนท่าที กล่าวบอกกับข้าด้วยการส่งเสียงได้เลย”


 


ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าลุงชิงมีธุระอะไรกับนาง แต่นางคิดว่าต้องสำคัญแน่แท้ เพราะรู้ว่าหากไม่สำคัญจริงๆ อีกฝ่ายจะไม่ส่งคนมาหานางแบบนี้


 


ชายเคราดกพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวส่งเสียงออกมาทันที “อันที่จริง ท่านเจ้าเมืองให้ข้ามาถามคำถามกับคุณหนูไม่กี่ประโยคขอรับ”


 


“ถามข้าไม่กี่ประโยค?”


 


หานเฉวี่ยไน่ถามกลับดว้ยความอยากรู้ทันที


 


“เรื่องแรกท่านเจ้าเมืองให้ข้าเรียนถามคุณหนูว่า ท่านเคยรู้จักบุรุษที่มีนามว่า ‘หลิงเทียน’ หรือไม่ บุรุษผู้นี้ยังมีอายุมิถึง 40 ปี”


 


ชายเคราดกส่งเสียงกล่าวสืบต่อออกมา


 


หลิงเทียน!


 


วาจาเพียงครึ่งประโยคแรกของชายเคราดกก็ทำให้สองตาหานเฉวี่ยไน่ลุกวาวขึ้นมาแล้ว ความตื่นเต้นยังปรากฏบนใบหน้างดงามของนางอย่างเห็นได้ชัด


 


หลิงเทียน สองคำนี้ไม่ใช่คำแปลกหูของนางแต่อย่างไร


 


นี่เป็นนาม พี่ใหญ่หลิงเทียน ของนาง!


 


ทันทีที่นางได้ยินคำ 2 คำนี้ สิ่งแรกที่นางคิดถึงก็คือ พี่ใหญ่หลิงเทียน ต้วนหลิงเทียนของนาง!


 


“เขาเรียกว่าหลิงเทียนหรือ แล้วเขาได้กล่าวบอกแซ่กับเจ้าหรือไม่?”


 


หานเฉวี่ยไน่กล่าวถาม


 


“เอ่อ หลิงมิใช่แซ่ของเขาหรือขอรับ?”


 


ชายเคราดกอึ้งไปเล็กน้อย


 


“ไม่ได้กล่าวแจ้งแซ่ไว้งั้นเหรอ?”


 


ได้ยินคำของชายเคราดก หานเฉวี่ยไน่ขมวดคิ้วคู่งามขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคลายออกในเวลาไม่นาน


 


เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้กล่าวแจ้งแซ่ไว้ แต่นางยังรู้สึกได้ว่านี่สมควรเป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?”


 


“อยู่ในเรือนรับรองของจวนเจ้าเมืองขอรับ”


 


ชายเคราดกกล่าวออกไปตามตรง


 


“ในเรือนรับรองของจวนเจ้าเมืองงั้นเหรอ?”


 


พอหานเฉวี่ยไน่ได้ยิน นางก็คิดจะแจ้นไปจวนเจ้าเมืองในเมืองคลื่นขจีทันทีเพื่อดูว่า คนผู้นี้ใช่พี่ใหญ่หลิงเทียนของนางจริงๆหรือไม่!


 


ถึงแม้นางจะมีสัญชาตญาณอันแรงกล้าว่าคนผู้นี้สมควรเป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจเต็มสิบส่วน!


 


แน่นอนว่าแม้หานเฉวี่ยไน่จะคิดถึงเรื่องแจ้นไปยังจวนเจ้าเมืองที่เมืองคลื่นขจี แต่นางก็รู้ดีว่าไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้


 


ถึงแม้ตอนนี้นางจะดูเหมือนเป็นอิสระ แต่จริงๆแล้วรอบเขตที่พักของนางนั้นซุกซ่อนไว้ด้วยยอดฝีมือของคฤหาสน์คลื่นขจีมากมาย…ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนอยู่ฝ่ายเดยีวกับอาวุโสสูงสุด หานซิ่น ต่างเห็นดีเห็นงามให้นางแต่งกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง!


 


จุดประสงค์เดียวที่พวกมันมาซุ่มจับตาดูอยู่รอบๆแบบนี้ ก็เพื่อกันไม่ให้นางหลบหนีไปไหนได้!


 


ดังนั้นถึงแม้นางจะอยากออกไปยืนยันมากแค่ไหน แต่นางรู้ดีว่าไม่พ้นต้องถูกหยุดเอาไว้แน่..


 


“เขายังกล่าวบอกอะไรเจ้ามาอีกหรือไม่?”


 


หานเฉวี่ยไน่มองชายเคราดกด้วยใบหน้าตื่นเต้น กล่าวถามออกมาอย่างร้อนใจ


 


“ท่านเจ้าเมืองฝากข้ามาให้บอกต่อคุณหนู ว่าเขาฝากวาจามาถึงคุณหนูประโยคหนึ่งขอรับ”


 


ชายเคราดกกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ว่าอะไร!?”


 


ลมหายใจของเฉวี่ยไน่เร่งร้อนขึ้นมาเล็กน้อย แววตายังกลายเป็นคมกล้า


 


“พี่ใหญ่หลิงเทียนอยู่นี่แล้ว”


 


ชายเคราดกกล่าวตอบออกไป “นี่เป็นวาจาที่เขาฝากมาขอรับ”


 


และไม่นานมันก็พบว่าทันทีที่มันกล่าวจบคำ สตรีแสนงามเบื้องหน้าก็คล้ายถูกจี้สกัดจุดชีพจร นางยื่นแน่นิ่งไม่ไหวติง สีหน้าของนางยังชะงักค้างไปทันใด


 


อย่างไรก็ตามพอผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มันก็แลเห็นถึงความตื่นเต้นยินดีเอ่อล้นออกมาในแววตาหานเฉวี่ยไน่ ยังแลเห็นซึ้งถึงความดีใจที่เผยออกบนใบหน้าชัดเจน


 


‘ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจักเป็นสหายของคุณหนูใหญ่จริงๆ’


 


ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ชายเคราดกก็ตัดสินไปในใจแล้ว


 


“ชายผู้นั้นเขาอ้างว่าเป็นสหายของคุณหนูใหญ่ขอรับ”


 


อย่างไรก็ตามชายเคราดกยังคงส่งเสียงกล่าวออกมาตามหน้าที่


 


พี่ใหญ่หลิงเทียน!


 


พอได้ยินคำสี่พยางค์นี้ หานเฉวี่ยไน่มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าผู้มาคือพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางแน่นอน! คนที่รอนางอยู่ในเรือนรับรองของจวนเจ้าเมือง เป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง!!


 


อย่างไรก็ตามนางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพี่ใหญ่ของนางจะมาพบกับนางในสถานการณ์เช่นนี้


 


ต้องทราบด้วยว่านางเคยกังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนจะทานทนรับแรงกดดันไม่ไหว เช่นนั้นแล้วนางจึงไม่เคยบอกพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางเลย ว่านางคือคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คฤหาสน์คลื่นขจีเป็นขุมพลังชั้นใดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าด้วยซ้ำ


 


พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนอยู่ที่จวนเจ้าเมือง หานเฉวี่ยไน่ก็ร้อนใจอยากเหินร่างออกไปหาใจแทบขาด


 


อนิจจาพอนางหวนคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ เพราะรู้ดีว่านางคงไม่อาจออกไปได้


 


อย่างไรก็ตาม นางออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้!


 


ดังนั้นหานเฉวี่ยไน่จึงรีบไปหาชิงหนูทันที และขอให้ชิงหนูพาชายเคราดกกลับจวนเจ้าเมือง และรับตัวต้วนหลิงเทียนมาที่นี่เพื่อพบเจอกับนาง…นางมีเรื่องอยากสนทนากับพี่ใหญ่มากมายนัก และนางก็อยากเจอเขาเป็นพิเศษ เพราะนางคิดถึงพี่ใหญ่คนนี้มาหลายปีแล้ว


 


“ต้วนหลิงเทียนมาถึงที่นี่งั้นหรือ?”


 


พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนมารอหานเฉวี่ยไน่ที่จวนเจ้าเมืองคลื่นขจี ชิงหนูก็อดประหลาดใจขึ้นมาเสียไม่ได้


 


ไม่นานชิงหนูก็พาชายเคราดกย้อนกลับมาถึงจวนเจ้าเมือง


 


แน่นอนว่าเมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง สิ่งแรกที่ชิงหนูกระทำก็คือไปพบกับเจ้าเมืองคลื่นขจี “อาวุโสหานชิง”


 


“ชิงหนู ท่านถึงกับเดินทางมาด้วยตัวเอง…ดูเหมือนว่าน้องชายหลิงเทียนของข้ากลับเป็นพี่ใหญ่ของคุณหนูใหญ่แน่แล้ว!”


 


เมื่อได้เห็นชิงหนูเดินทางมารับคนด้วยตัวเองแบบนี้ หานชิง ก็ยืนยันได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ชิงหนูกล่าวบอก


 


“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดหรือ?”


 


ชิงหนูกล่าวถาม


 


“เขามาถึงที่นี่เมื่อ 2 วันที่แล้ว ข้าจึงจัดให้เขาไปพักผ่อน และรอคอยที่เรือนรับรอง! ไปพบเขากันเถอะ!”


 


หานชิงกล่าวบอกชิงหนู ก่อนที่จะนำไปยังสถานที่พักของต้วนหลิงเทียนทันที


 


พอทั้งคู่เข้าใกล้สถานที่พักอาศัยของต้วนหลิงเทียน ตัวต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะพลังอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ลืมตาขึ้นมาทันที


 


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเขาขอให้ผู้เฒ่าหั่วคอยบอกเรื่องราวกับเขา


 


ผู้เฒ่าหั่วนั้นสามารถมองออกไปตรวจสอบเรื่องราวด้านนอกเจดียืหลิงหลง 7 สมบัติได้ หลังจากที่ฟื้นคืนพลังกลับมาเมื่อครั้งก่อน และโดยปกติแล้วตอนที่ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังในเจดีย์ ผู้เฒ่าหั่วก็จะคอยตรวจสอบเรื่องราวโดยรอบให้


 


ทันทีที่ภายนอกบังเกิดสถานการณ์หรือมีความเปลี่ยนแปลงอะไร ผู้เฒ่าหั่วจะรีบแจ้งให้ต้วนหลิงเทียนทราบทันที


 


ดังนั้นเมื่อหานชิงพาชิงหนูเข้าใกล้เขตที่พักของเขา ต้วนหลิงเทียนจึงตื่นจากภวังค์บ่มเพาะทันที


 


‘แม้ข้าจะจับความรู้สึกของการทะลวงขอบเขตเซียนได้แล้ว แต่ก็ยังห่างจากมันอีกเล็กน้อย’


 


หลังจากตื่นขึ้นมาจากการบ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ถึงแม้ว่าจะขาดอีกแค่เพียงเล็กน้อย ทว่าก้าวเล็กๆนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่รั้งเขาไว้ไม่ให้ทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียน…


 


เพียงห้วงคิดร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ไปอยู่ในห้องพักทันที


 


ก๊อก! ก๊อก!


 


ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินไปเปิดประตู เขาก็แลเห็นใบหน้าคุ้นตา ทั้ง 2 ทันที


 


ไม่นานเขาก็กลับสู่ความรู้สึกและตอบสนองต่อใบหน้าที่เขาคุ้นตามานานก่อน เป็นชิงหนูที่มาพร้อมหานชิง อีกฝ่ายยังเป็นคนที่นำพาเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 อันได้แก่เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจินไปฝึกฝน พอทั้ง 3 กลับมาพลังฝีมือก็นับว่าก้าวหน้าครั้งใหญ่จนเขาตกใจ!


 


เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกขอบคุณชิงหนูมาก เพราะนางช่วยเหลือเจ้าตัวน้อยทั้ง 3 เอาไว้


 


“พี่ชายหานชิง อาวุโสชิงหนู”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักทายทั้ง 2 ออกไปทันที ใจเขายังรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาไม่น้อย


 


การที่ได้เจอชิงหนูแบบนี้ หมายความว่าอีกไม่นานเขาต้องได้เจอหานเฉวี่ยไน่อีกครั้งเป็นแน่!


 


สุดท้ายก็เป็นชิงหนูพาเขาเดินทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจี เพื่อไปพบเจอหานเฉซี่ยไน่


 


เมื่อเดินทางมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีเป็นครั้งแรก ต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกตื่นตาตื่นใจเสียไม่ได้


 


‘นี่น่ะหรือ ขุมพลังชั้น 5 ของดินแดนเทพยุทธืเซียนเต๋า คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน’


 


มองไปยังถิ่นที่อยู่อันกว้างใหญ่สุดไพศาลปานประเทศเล็กๆเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจเล็กน้อย


 


นี่คือขุมพลังชั้น 5!


 


หากขุมพลังชั้น 5 ยังขนาดนี้ แล้วขุมพลังชั้น 4 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมพลังชั้น 3 กระทั่งเหนือกว่าไปจนถึงขุมพลังชั้น 1 เล่า?


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้ดีว่าขุมพลังชั้น 3 ขึ้นไปนั้นมีอยู่แต่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น ส่วนภูมิภาคเบื้องล่าง…ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือขุมพลังชั้น 4 และขุมพลังชั้น 4 ที่โดดเด่นทั้งแข็งแกร่งเหนือใครจะถูกเรียกหาว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3!!


 


ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น..มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!


 


พอได้พบเจอหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะเสมือนเขาได้พบพานกับสตรีที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน


 


แน่นอนว่ามีเพียงความอ่อนวัยเท่านี้นที่หายไป ส่วนเค้าโครงรูปหน้านั้นยังทำให้เขาจดจำนางได้


 


ในสายตาของเขาหานเฉวี่ยไน่เสมือนเติบโตเป็นสาวในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน อีกทั้งนางยังเป็นดั่งกุหลาบที่ตูม เพียงอีกไม่นานก็จะเบ่งบานจนร้อนแรงแทบไม่ต่างอะไรจากเพลิงไฟ!


 


หานเฉวี่ยไน่มิใช่เป็นเด็กสาวตัวน้อยอย่างในวันวานอีกต่อไป


 


นางเติบโตกลับกลายเป็นโฉมงามล่มเมืองไปเสียแล้ว


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนนายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องถึงได้ต้องตาพึงใจนางได้…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง หากแต่หานเฉวี่ยไน่ไม่ได้ตกตะลึงแต่อย่างไร ยามนางเห็นต้วนหลิงเทียนใจนางก็สั่นสะท้าน และจากนั้นก็คล้ายนางได้พบพานที่พึ่งพิงและที่ระบาย นางโผร่างเข้าอ้อมอกต้วนหลิงเทียน ทั้งร่ำไห้ออกมาน้ำตานองหน้าทันที


 


น้ำตานี้เป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้า และอัดอั้นตันใจ


 


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม้นางถูกกดดันบีบคั้นจนรู้สึกทุกข์ใจหนักหนา แต่นางก็ไม่เผยความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น แม้กระทั่งมู่เฉวี่ยอี สหายคนสนิทของนางก็ตาม…


 


นางเองก็คิดจะร่ำไห้โวยวายกับบิดาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าบิดาของนางต้องทานรับแรงกดดันที่หนักอึ้งไม่ต่างจากนางแน่นอน


 


นางไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่ามิใช่บิดานางรักนางที่สุดหรือ ไฉนนางปฏิเสธงานแต่งครั้งนี้แล้ว แต่บิดาถึงเต็มใจ?


 


อย่างไรก็ตามพอนางได้เห็นต้วนหลิงเทียน นางก็คล้ายปลดเปลื้องพันธนาการในใจสุดท้ายออก โผตัวเข้ากอดต้วนหลิงเทียนทั้งร่ำไห้ระบายความเศร้าออกมาทันที


 


เพราะตอนนี้อ้อมแขนต้วนหลิงเทียนเสมือนดั่งท่าเรือของนาง สามารถให้นางระบายความอัดอั้นตันใจและความทุกข์ทั้งมวลออกมาได้


 


“เฉวี่ยไน่…”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นทั้งไม่ยินยอมของหานเฉวี่ยไน่ สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายเย็นเยือกออกมาวูบหนึ่ง ทว่าพริบตาต่อมาก็กลับกลายเป็นอ่อนโยน สองมือเอื้อมออกไปตบหลังหานเฉวี่ยไน่เบาๆ ทั้งค่อยๆลูบหัวนางกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ…ไม่เป็นไรแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)