War sovereign Soaring The Heavens 1642-1645
ตอนที่ 1,642 : ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลา
การที่สามารถเหินลอยในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงได้ ย่อมหมายความว่าเป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนขึ้นไปเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นการที่อีกฝ่ายมาลอยร่างเหนือตระกูลซือถู และตะโกนเรียกหาซือถูฮ่าวอย่างโอหัง ย่อมใช่ขอบเขตเซียนธรรมดาๆแน่นอน หาไม่แล้วมันคงไม่กล้าถือดีขนาดนี้!
“ผู้ใดหาญกล้าบุกรุกตระกูลซือถูของข้า!?”
หลังจากที่เสียงเรียกของชายชุดดำดังจบคำ พลันมีเสียงหนึ่งอันแฝงไว้ด้วยโทสะกังวานออกมาไกลๆ
ต่อมาเบื้องหน้าชายในชุดคลุมดำก็ปรากฏชายชราร่างหนึ่ง
ชายชราผู้นี้แลดูแข็งแกร่ง เส้นผมขนคิ้วสีขาวหากแต่ผิวกลับสีแดงก่ำ สองตาจับจ้องมองไปยังชายในชุดคลุมดำด้วยความเย็นชา “ยังใส่หน้าปากปีศาจเช่นนี้ คิดเสแสร้งเป็นภูตผีหรือไร?”
“เจ้าคือซือถูฮ่าว?”
หลังจากชายชราปรากฏตัวขึ้น ชายในชุดคลุมดำสวมหน้ากากปีศาจยิ้มแสยะ ก็กล่าวถามออกมา
ผมสีขาวของชายชราถูกมัดรวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง มองไปคล้ายเทพเซียนอมตะผู้หนึ่ง ทั่วร่างเผยให้เห็นกลิ่นอายพลังอันลึกล้ำ
“เจ้าเป็นผู้ใด!?”
ชายชราที่แลคล้ายเทพเซียนไม่ตอบคำชายชุดดำหากแต่เลือกที่จะถามกลับเสียงแข็ง
“ถามมากเรื่องนัก!”
ทันทีที่ชายชรากล่าวถามจบคำ ชายชุดดำก็แค่นคำออกด้วยรำคาญทั้งยกมือขึ้น แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร
ทว่าทันใดนั้นเองพลังงานอันมหาศาลขุมหนึ่ง พลันผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่าง ยังคล้ายทะเลสาบสงบที่บังเกิดระลอกคลื่นจากก้อนหิน มวลพลังกำจายออกไปกดดันเข้าใส่ชายชราดังกล่าว!
ชายชราที่เผยใบหน้าเฉยเมยก่อนหน้าพลันขมวดคิ้วยู่ย่น มันเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาทันใด
จากกลิ่นอายพลังของปราณแรกกำเนิด ก็บ่งบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่ขอบเขตเซียนธรรมดาๆ
ปงงง!!
อนิจจาแม้มันจะเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดออกมาก็เท่านั้น เมื่อถูกคลื่นพลังอันมหาศาลของชายชุดดำ ก็ดั่งเอาไข่ไปกระทบหิน ปราณแรกกำเนิดที่แผ่พุ่งออกมาต้านทานดับสลายหายไปทันใด ยังถูกมวลพลังมหาศาลของชายชราชุดดำซัดเข้ากลางอก!
ร่างชราพลันปลิดปลิวกระเด็นไปนับ 100 หมี่อย่างไร้หนทางต่อต้าน ก่อนที่จะหยุดร่างประคองตัวกลางอากาศได้อีกครั้ง
“ซะ…เซียนขัดเกลา! จะ…เจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่?!”
หลังจากกระอักโลหิตออกมา 2-3 ครั้ง ชายชราก็แลดูมีสภาพน่าเวทนานักต่างจากตอนแรกลิบลับราวกับจากบัณฑิตเป็นขอทาน! สายตาที่ใช้มองชายชุดดำตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของวิญญาณ!
“ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่า!”
ชายในชุดดำยังไม่ทันได้ตอบคำก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
ทันใดนั้น ร่างชายวัยกลางคนร่างหนึ่งก็วูบมาปรากฏ เป็นซือถูฮ่าว ผู้นำตระกูลซือถู
ฟังจากที่ซือถูฮ่าวเรียกหา ชายชราคนนี้ที่แท้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลซือถูนั่นเอง!
“ข้าจะถามอีกครั้ง…เจ้าคือซือถูฮ่าวใช่หรือไม่?”
ถึงแม้ใบหน้าของชายชุดดำจะถูกบดบังไปด้วยหน้ากากรูปปีศาจแสยะยิ้ม หากแต่แววตาอันแสนเย็นชายังเผยให้เห็นชัดเจน และเมื่อมันแลเห็นสภาพบรรพบุรุษ แผ่นหลังของมันก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นทันที
“ท่านอาวุโส ข้าคือซือถูฮ่าว”
เห็นว่ากระทั่งบรรพบุรุษยังถูกอีกฝ่ายซัดทำร้ายจนบาดเจ็บ เช่นนั้นมันย่อมไม่มีปัญญาต้านทานอีกฝ่ายได้แน่
ใจของมันเริ่มเต็มไปด้วยความกังวลทั้งสงสัยทันที ‘จากที่ท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่ากล่าวออกมาเมื่อครู่ ชายชุดดำในหน้ากากปีศาจแสยะยิ้มผู้นี้ กลับเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลา…ตัวท่านบรรพบุรุษอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดแล้ว เช่นนั้นผู้ที่สามารถทำร้ายท่านได้ง่ายๆ สมควรเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนขัดเกลาขึ้นไปเท่านั้น!’
จังหวะนี้ซือถูฮ่าวอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวในใจ
กระทั่งในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิง ก็มียอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลาน้อยคนนัก!
และในประเทศฝูเฟิงแห่งนี้ นอกจากยอดฝีมือที่มีอยู่ไม่กี่คนของตระกูลราชวงศ์แล้ว ก็มีแต่สื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยเท่านั้น ที่เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลา
ขอบเขตเซียนนั้น ก็ยังแยกย่อยได้อีกหลายด่าน
หลังจากที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนได้ จะอยู่ในด่านพลังที่เรียกว่า เซียนดั้งเดิม และในด่านพลังนี้ก็ยังแบ่งย่อยได้อีก 4 ขีดขั้น อันได้แก่เซียนดั้งเดิมขั้นต้น เซียนดั้งเดิมขั้นกลาง เซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญ และเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด!
หลังจากที่ทะลวงผ่านขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดไปแล้ว ท่านก็จะบรรลุถึงขอบเขตเซียนขัดเกลา และยอดฝีมือระดับนี้ส่วนมากจะเป็นเสาหลักของขุมลังชั้น 6!
แน่นอนว่ายังมีขุมพลังชั้น 7 บางขุมพลังที่มียอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลาดำรงอยู่!
นิกายอัคคีล่องลอยเองก็ถือได้ว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น!
ถึงแม้ว่าตัวนิกายจะถูกจัดให้อยู่ในขุมมพลังชั้น 7 ทว่าด้วยพลังอำนาจของสื่ออวิ๋นเพียงคนเดียว จึงทำให้นิกายถูกกล่าวว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ
ซือถูฮ่าวนั้นเป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น มันไม่อาจเทียบกับบรรพบุรุษผู้เฒ่าของมันได้เลย นับประสาอะไรกับเซียนขัดเกลาที่มีพลังฝีมือเหนือชั้นกว่านั้น
“เจ้าคือซือถูฮ่าว ผู้นำตระกูลซือถูคนปัจจุบัน?”
ชายในชุดดำเหลือบมองซือถูฮ่าวทั้งกล่าวถามออกมา
ด้วยอีกฝ่ายสวมหน้ากากปีศาจยิ้ม ทำให้ซือถูฮ่าวไม่อาจเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายได้ มันสุดที่จะคิดคาดได้จริงๆ ว่าไฉนอยู่ๆเซียนขัดเกลาถึงบุกมาหามันที่ตระกูลซือถูแบบนี้ได้!!
“ใช่”
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับคำจี้ถามของชายชุดดำ ซือถูฮ่าวย่อมไม่กล้าหย่อนคล้อยละเลย เร่งพยักหน้าเร็วไวทั้งกล่าวถามออกไปด้วยใจกังวล “ท่านอาวุโสมาที่นี่เพื่อหาข้างั้นหรือ มิทราบว่าอาวุโสมีอันใดกับข้า?”
ตอนนี้เองชายชราผิวแดงก่ำผมสีขาวก็มาลอยร่างข้างๆซือถูฮ่าว จับจ้องไปยังร่างชายชุดดำไม่วางตา ในสายตายังเผยความหวาดกลัวเอาไว้ไม่น้อย
พลังฝืมือของคู่ต่อู้สูงส่งเกินไป!
ถึงแม้มันจะเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แต่ก็ไร้พลังอำนาจจะต่อต้านอีกฝ่ายได้เลย
‘อย่างน้อยๆมันต้องเป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!’
มาถึงขั้นนี้แล้วมันแทบจะมั่นใจเรื่องนี้
ตอนนี้เองในอากาศว่างเปล่าห่างออกไปไม่ไกล พลันมีอีกร่างหนึ่งลอยค้างเติ่งอยู่กลางหาวไม่ขยับเขยื้อนราวกับมีรากงอกเงย
ร่างนี้กลับเป็น ซือถูโฮ่ว ผู้อาวุโสของตระกูลซือถู!
มันเห็นบรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลซือถู ถูกศัตรูสยบลงได้อย่างง่ายดาย ยังบาดเจ็บสาหัสจากการลงมืออย่างขอไปทีจากชายชุดดำไม่น้อย! ตอนนี้มันรู้สึกเสมือนตัวเองเป็นมดตัวกระจ้อยร่อยยามอยู่ต่อหน้าชายชุดดำ
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายทำให้มันหวาดกลัวถึงก้นบึ้งของหัวใจแล้วจริงๆ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีแขกกิตติมศักดิ์นามต้วนหลิงเทียน อยู่ที่ตระกูลซือถูด้วยใช่หรือไม่?”
ชายชุดดำมองถามซือถูฮ่าวต่อทันที
“อาวุโสมาหาปรมาจารย์ต้วนหรือ?”
พอได้ยินวาจาถามไถ่นี้ของอีกฝ่าย ซือถูฮ่าวอดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะมันคิดไม่ถึงเลยว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาจะมาเยือนตระกูลซือถูเพราะแขกกิตติมศักดิ์ ต้วนหลิงเทียน
“อาวุโส ท่านปรมจารย์ต้วนมิได้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูเราอีกแล้ว…”
ซือถูฮ่าวได้แต่เผยยิ้มขื่นขมตอบกลับ
“หืม? มิได้เป็นแขกกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูอีกแล้ว? นี่เจ้าหมายความว่าอะไร?”
เมื่อชายในชุดดำได้ยิน แววตาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ยังกล่าวถามออกมาทันทีเสียงเย็น นอกจากนั้นกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวก็แผ่พุ่งออกมารอบกาย พาลให้ซือถูฮ่าวอดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลัง
“อาวุโสข้ามิได้มีใดปิดบังท่าน ปรมาจารย์ต้วนได้ออกจากตระกูลซือถูไปตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อน”
ซือถูฮ่าวเผยยิ้มเจื่อนๆออกมา
“ออกไปแล้ว?”
เสียงชายชุดดำเข้มขึ้น “แล้วมันไปไหน?”
“เอ่อ อาวุโส ข้าคิดว่า…ท่านน่าจะยังมิรู้เรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนใช่หรือไม่?”
ซือถูฮ่าวกล่าวออก
มันย่อมตระหนักได้ชัดเจนว่าชายชุดดำเบื้องหน้าเผยเค้าความอ่อนล้าอิดโรยจากการเดินทางไกลมา แถมอีกฝ่ายสมควรพึ่งมาถึงเมืองหลวง นอกจากนี้คงมุ่งหน้าตรงมายังตระกูลซือถูทันที เห็นได้ชัดว่าคงไม่ได้รู้ข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศฝูเฟิงก่อนหน้าเลย หาไม่แล้วคงไม่มาเยือนตระกูลซือถูแบบนี้
“มีเรื่องอะไร?”
ขายในชุดดำกล่าวถามด้วยน้ำเสียงแฝงรำคาญ
พอได้ยินจากน้ำเสียงว่าความอดทนของชายชุดดำคล้ายจะหมดสิ้นเต็มที ซือถูฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว ไม่กล้ารอช้าอะไรรีบกล่าวเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปทันที
หลังจากนั้นมันก็ได้ยินเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนหลังออกจากตระกูลซือถู
“ต้วนหลิงเทียนฆ่า หลินตง ยอดฝีมืออันดับ 1 ในรายนามนภาของเขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน?”
พอได้ยินเรื่องนี้ ลูกตามันอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลงโดยพลัน
“หลินตงยังคงถูกฆ่า แม้จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนแล้ว?”
ยิ่งพอได้รู้เรื่องนี้แววตาของชายชุดดำอดไม่ได้ที่จะเผยความตื่นตระหนกตกใจ!
ผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนกลับสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเซียน?
ถึงแม้จะเป็นการลอบโจมตี แต่การที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยพลังฝีมือสู่เซียนสังหารเซียนได้นั้น เป็นเรื่องราวที่เหลือเชื่อดั่งพลิกแผ่นฟ้าแล้ว!
‘นั่นมันยังเป็นอะไรที่ผู้คนกระทำได้ด้วยหรือ?’
นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของมัน เพราะมันไม่เคยได้ยินเลยว่ามีสู่เซียนคนไหนสามารถลอบโจมตีสังหารตัวตนในขอบเขตเซียนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้
อย่างไรก็ตาม พอได้รับทราบเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่ง ชายชุดดำก็ทิ้งเรื่องความตายของหลินตงไปทันที!
“ตราผนึกมาร!? 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ในความครอบครองของต้วนหลิงเทียน…กระทั่งยังใช้มันฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนไปอีก 2 ในพริบตา?!”
พอได้ยินว่าตราผนึกมารอยู่ในมือของต้วนหลิงเทียน สองตาองชายชุดดำก็ทอประกายแห่งความโลภขึ้นมาทันที อีกทั้งลมหายใจยังถี่รัวขึ้นไม่น้อย
ตราผนึกมาร!
นั่นคือสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง!
“จวนอ๋องเฉียน!?”
หลังได้รับทราบว่าตราผนึกมารตกอยู่ในมือของอ๋องเฉียน ชายชุดดำก็หายไปจากสายตาของซือถูฮ่าวทันที ราวกับคนทั้งคนอันตรธานหายไปในอากาศ
หลังจากชายชุดดำไปแล้ว ซือถูฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
ตอนนี้เม็ดเหงื่อยังผุดซึมออกมาจากหน้าผากไม่หยุด
ด้วยการสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าของอ๋องเฉียนเรื่องที่ไม่มีตราผนึกมารในครอบครองไม่ได้แพร่กระจายออกมา ซือถูฮ่าวจึงไม่ได้รู้เลยว่าตราผนึกมารไม่ได้อยู่ในมืออ๋องเฉียน หาไม่แล้วมันจะไม่บอกชายชุดดำไปว่าตราผนึกมารอยู่ในมืออ๋องเฉียน เพราะนั่นยังต่างอะไรกับกล่าวโป้ปด?
“บรรพบุรุษผู้เฒ่า…มันเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาหรือ?”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆสงบใจ ซือถูฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะมองถามชายชราข้างๆ อย่างระมัดระวัง
“มันเป็นเซียนขัดเกลาจริงๆ กระทั่งอย่างน้อยๆก็เป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!”
ชายชราพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ต่อหน้ามันข้าไร้พลังอำนาจที่จะต้านทานอันใด…นี่เป็นความรู้สึกที่มีแต่ขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางขึ้นไปจะมอบให้ข้าได้เท่านั้น!”
“เซียนขัดเกลาขั้นกลาง!?”
ซือถูฮ่าวที่ได้ฟังก็สะท้านขึ้นมาในใจทันที
ต้องทราบด้วยว่าแม้จะเป็นตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงก็มีเซียนขัดเกลาขั้นกลางแค่คนเดียว และนั่นก็คือสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิงแล้ว
ทว่าตอนนี้ชายวัยกลางคนที่มา กลับมีพลังทัดเทียมกับตัวตนเช่นนั้น
ขอบเขตเซียนขัดเกลาก็แบ่งออกเป็นขีดขั้นย่อยเหมือนกันกับเซียนดั้งเดิม อันได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นเชี่ยวชาญ และขั้นสูงสุด และแต่ละขีดขั้นก็มีพลังความแข็งแกร่งห่างกันมาก
‘ข้าไม่คิดเลยว่าแม้ข้าจะยังหาต้วนหลิงเทียนมิพบ แต่กลับได้รับทราบเรื่องราวอันน่าตื่นตระหนกขนาดนี้! หากข้าได้รับตราผนึกมานั่นมาล่ะก็ ข้าจะเหยียบย่ำเจ้าเฒ่าชรานั่นให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าได้ง่ายดาย จากนั้นข้าจิ้งหยวนผู้นี้ก็สามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดมืดสาขาประเทศฝูเฟิงแทนมัน!’
ทันทีที่ชายชุดดำมาถึงน่านฟ้าเหนือจวนอ๋องเฉียน ใจของมันก็เต้นรัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น!
ตอนที่ 1,643 : จุดหมายปลายทาง คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน!
ชายในชุดดำที่สวมหน้ากากปีศาจแสยะยิ้มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือจิ้งหยวน ผู้ที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 2 ในตลาดมืดหยินชานสาขาประเทศฝูเฟิง!
พลังฝีมือของจิ้งหยวนนั้น เป็นรองก็แค่หงเจิ้นผู้เดียวเท่านั้น และหงเจิ้นนั่นก็เป็นผู้ฝึกมาร! หากจิ้งหยวนได้ตราผนึกมารมาล่ะก็ หงเจิ้นจะไม่มีวันสู้มันได้เลย!
ด้วยเหตุนี้จิ้งหยวนจึงบังเกิดความปรารถนาที่จะครอบครองตราผนึกมารนัก!
อย่างไรก็ตามยิ่งตั้งความหวังมากเท่าไร ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น
คนของจวนอ๋องเฉียนเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้งหยวนก็ไร้พลังอำนาจในการต่อสู้แม้แต่น้อย
ล้อกันเล่นหรือไร!
จิ้งหยวนคือเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ในประเทศฝูเฟิงมียอดฝีมือที่พอจะเทียบมันได้แค่คนเดียวเท่านั้น!
การมาถึงของยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ทำให้จวนอ๋องเฉียนไร้หนทางต่อสู้อย่างสิ้นเชิง อ๋องเฉียนยังยืนหน้าทุกผู้คนอย่างสงบเสงี่ยมปานแมวเซา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
“ท่านผู้อาวุโสข้าได้สาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าไปแล้วว่าตราผนึกมารมิได้อยู่ในการครอบครองของข้า…ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าเองก็พยายามขบคิดเรื่องนี้เช่นกัน และทั้งหมดสมควรเป็นพลังวิเศษลึกลับบางอย่างของตราผนึกมารที่มีแต่ต้วนหลิงเทียนที่รู้”
อ๋องเฉียนกล่าวบอกต่อจิ้งหยวนด้วยรอยยิ้มขื่นขมใจ
“ต้วนหลิงเทียน?”
ใบหน้าจิ้งหยวนที่ถูกซ่อนใต้หน้ากากมืดคล้ำลงทันใด แววตายังเผยประกายเย็นเยียบวูบวาบ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ใด?”
“ท่านอาวุโสข้าน้อยไม่คิดปิดบังท่าน พวกเราเองก็กำลังระดมกำลังพลทั้งหมดที่มีออกตามล่าหาตัวมันอยู่เช่นกัน หากแต่พวกเราก็มิพบเบาะแสอันใดเลย…ข้าคิดว่ามันต้องออกจากเมืองหลวงไปวันนั้นแล้วแน่ ตอนนี้ผู้คนในประเทศฝูเฟิงมากมายล้วนออกตามหาตัวมันทั้งสิ้น ข้ากลัวว่าผ่านไปอีกระยะหนึ่งจะมีคนตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นข้าเกรงว่าประเทศฝูเฟิงจะไม่มีที่ให้มันยืนอีกต่อไปแล้ว”
อ๋องเฉียนกล่าวสันนิษฐาน “ถึงตอนนั้นข้าเชื่อวันมันต้องออกจากประเทศฝูเฟิงแน่”
จิ้งหยวนเองก็เห็นด้วยกับวาจานี้ของอ๋องเฉียน
เมื่อข่าวของตราผนึกมารแพร่ออกไป น่ากลัวจะดึงดูดสุดยอดฝีมือจากทุกทั่วสารทิศมายังประเทศฝูเฟิง
“จากที่เจ้ากล่าววันนั้น ต้วนหลิงเทียนมันทำราวกับส่งมอบตราผนึกมารให้แก่เจ้าโดยดี…เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับมันคงมิค่อยสู้ดีเท่าไรใช่หรือไม่?”
จิ้งหยวนถามออกมา
“ถูกแล้ว วันนั้นเป็นข้าเลอะเลือนไปเอง หากข้าตรวจสอบว่าตราผนึกมารอยู่ในแหวนแล้วหรือไม่ ต้วนหลิงเทียนคงมิอาจรอดพ้นไปได้ง่ายๆเช่นนี้…มานึกย้อนดูตอนนี้มันสมควรหยิบตราผนึกมารออกมาเพื่อเบนความสนใจจากทุกผู้คน และจากไปเงียบๆในขณะที่ความสนใจของผู้คนมาตกอยู่ที่ข้า”
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่อ๋องเฉียนก็ยิ่งกระจ่างในเรื่องราวมากขึ้นเท่านั้น “ดังนั้นสุดท้ายแล้วตราผนึกมารยังคงต้องอยู่ในมือของมันแน่! ข้ามั่นใจ!!”
ลูกตาจิ้งหยวนทอประกาบสว่างวาบออกมา นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ไม่พูดอะไรออกมา
จังหวะนี้กลุ่มคนของจวนอ๋องเฉียนได้แต่หวาดกลัวจับใจ ด้วยกลัวว่าจิ้งหยวนจะบังเกิดความไม่พอใจอะไรขึ้นมาแล้วฆ่าพวกมันทิ้งทันที
พลังฝีมือของจิ้งหยวนกล้าแข็งเพียงใดพวกมันรู้ดี
ยามจิ้งหยวนมาถึง ซือถูหมิงก็ลงมือกับจิ้งหยวนทันที หมายเอาผลงานกับอ๋องเฉียน อนิจจา…ซือถูหมิงกลับถูกฆ่าในพริบตา!
ตั้งแต่ต้นจนจบจิ้งหยวนไม่ได้ลงมือทำอะไรมากมาย ไม่ขยับแม้ปลายนิ้ว เพียงใช้พลังงานจากเขตแดนสังหารซือถูหมิงทิ้งทันทีเท่านั้น
พลังฝีมือที่ทำให้สามารถฆ่าซือถูหมิงที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลางได้ด้วยพลังดิบเถื่อนจนแลดูง่ายดายเช่นนี้…
มันบ่งบอกว่าจิ้งหยวนมีพลังฝีมืออยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางเป็นอย่างน้อย!
เรื่องนี้กระทั่งชายชราทั้ง 2 และขอบเขตเซียนคนอื่นในจวนอ๋องเฉียนก็ตระหนักได้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงว่านอนสอนง่ายต่อหน้าจิ้งหยวน ไม่กล้าไม่เชื่อฟังแม้แต่น้อย
ขวับ!
เมื่อเห็นว่าอยู่ๆจิ้งหยวนก็ยกมือขึ้น ใบหน้าอ๋องเฉียนและคนอื่นๆก็เริ่มเผยความหวาดผวาเสียขวัญออกมาทันที ด้วยกลัวว่าจิ้งหยวนคิดจะฆ่าล้างพวกมันแล้ว!
“ท่านอาวุโส ข้า…”
อ๋องเฉียนคิดร้องขอความเมตตา แต่ทว่าฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็ทำให้มันรู้ว่าเป็นมันเข้าใจผิดไปเอง
ชายในชุดดำสวมใส่หน้ากากปีศาจแสยะยิ้มนั้น เพียงยกมือขึ้นมาหยิบม้วนกระดาษออกมาม้วนหนึ่งเท่านั้น
“พวกเจ้าทุกคนดูนี่…คนในภาพเหมือนใช่ต้วนหลิงเทียนที่พวกเจ้าเคยเจอหรือไม่?”
จิ้งหยวนกล่าวถามขณะคลี่กางม้วนกระดาษ
ภาพนี้เป็นภาพที่มันคัดลอกมาจากภาพเหมือนที่ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขาประเทศฝูเฟิงได้รับมาอีกที มันเป็นชายหนุ่มรูปงาม แลดูโดดเด่น คิ้วคมเข้มดวงตากระจ่างใส เพียงมองก็ให้ความรู้สึกสบายตาเหมือนดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากคลี่ม้วนภาพแล้ว จิ้งหยวนก็มองอ๋องเฉียนกล่าวถามออกมาเสียงเข้มอีกครั้ง “ใช่มันหรือไม่?”
“เป็นมัน! เป็นมันจริงๆ!!”
อ๋องเฉียนมองรูปเหมือนปราดเดียวก็เร่งรีบพยักหน้า ทั้งยังหยิบรูปเหมือนที่มันมีออกมาเช่นกัน “ท่านผู้อาวุโสลองดูภาพนี้ของข้า”
หลังจากนั้นอ๋องเฉียนก็คลี่ม้วนกระดาษ อันเป็นรูปเหมือนเช่นกันออกมา และคนในรูปก็ละม้ายคล้ายกันกับรูปในมือจิ้งหยวนกว่า 9 ส่วน เช่นนั้นใครก็บอกได้ทันทีว่าชายในรูปทั้ง 2 ใบเป็นคนๆเดียวกัน
“ไม่ผิดแน่! มันเป็นคนที่ตลาดมืดหยินชานของพวกเรากำลังตามหา”
มองไปยังภาพเหมือนในมือ ลมหายใจของจิ้งหยวนก็ถี่รัวขึ้นมาทันใด
ครู่ต่อมาหลังจากที่จิ้งหยวนปรับลมหายใจและสงบอารมณ์ได้แล้ว มันก็หันมาถามอ๋องเฉียนด้วยความเฉยเมย “ต้วนหลิงเทียนมีญาติสนิทมิตรสหายอื่นใดในประเทศฝูเฟิงอีกหรือไม่?”
“เรียนอาวุโส ข้าน้อยรู้แค่ว่าต้วนหลิงเทียนกับซือถูหัง คุณชายใหญ่ตระกูลซือถูสนิทกันมาก อีกทั้งตอนนี้ซือถูหังก็ดูแลคนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งเข้าร่วมตระกูลซือถูอย่างดี”
อ๋องเฉียนเล่าออกทุกสิ่งที่มันล่วงรู้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดฝีมืออย่างจิ้งหยวนมันไม่กล้าเก็บงำอะไร ไม่เพียงเท่านั้นมันยังไม่กล้ากล่าววาจาใส่สีตีไข่เกินความจริงอีกด้วย…
หากล่วงเกินตอแยให้อีกฝ่ายขุ่นข้องใจ น่ากลัวว่าจะพบพานกับหายนะแล้ว!
หากอีกฝ่ายรู้สึกขัดใจขึ้นมากระทั่งลงมือสังหารมัน ตอนนั้นมันจะไปฟ้องร้องกับใครได้?
“ตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินเบาะแสจากอ๋องเฉียน สองตาจิ้งหยวนก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ทันไรร่างมันก็อันตรธานหายไปจากจวนอ๋องเฉียนทันที ย้อนกลับไปที่ตระกูลซือถูอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส”
เมื่อเห็นว่ายอดฝีมือในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางหวนกลับมา ซือถูฮ่าวก็เต็มไปด้วยความกังวลล้นใจ แต่มันก็เร่งทักทายออกไปด้วยท่าทางสุภาพทันที
“ข้าได้ยินมาว่าลูกชายของเจ้า ซือถูหัง นั้นสนิทสนมกับต้วนหลิงเทียนนัก นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังนำคนกลุ่มหนึ่งมาตั้งรกรากที่ตระกูลซือถู”
จิ้งหยวนหยีตามองซือถูฮ่าวกล่าวถาม
เผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ร้ายกาจอย่างจิ้งหยวน แม้ซือถูฮ่าวจะไม่อยากให้บุตรชายของมันรวมถึงสหายของต้วนหลิงเทียนพลอยรับผลกระทบอะไรไปด้วย แต่มันก็ไร้หนทางเลือกอื่นใด
หากอีกฝ่ายเกิดขุ่นขึ้งหมองใจขึ้นมา ตระกูลซือถูคงตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่แล้ว
โชคดีที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางผู้นี้ก็ไม่ได้จิตใจเลวร้ายอะไร มันไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ซือถูหังและสหายคนอื่นๆของต้วนหลิงเทียน
หลังจากที่ทุกคนกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมาว่าไม่รู้จริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะไปที่ไหน จิ้งหยวนก็จากไปทันที เพราะคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์มันพิสูจน์ได้เกินพอว่าทุกคนไม่ได้โกหก
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ด้วย คงต้องระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกยกใหญ่
โชคดีนักที่เขาไม่ได้บอกป๋ายลี่หงและคนอื่นๆเอาไว้ว่าจะไปที่ไหนกันแน่ หาไม่แล้วทุกคนคงต้องตกอยู่ในสถาณการณ์ยากลำบาก เพราะน่ากลัวว่าทั้งหมดคงเลือกที่จะตายดีกว่าทรยศเขา
เมื่อจิ้งหยวนออกจากเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ข่าวการมาเยือนจวนอ๋องเฉียนของยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง แถมยังบังคับให้อ๋องเฉียนกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าก็เริ่มแพร่กระจายออกไป
แน่นอนว่าทุกผู้คนล้วนให้ความสำคัญกับถ้อยคำที่อ๋องเฉียนใช้กล่าวสาบานเป็นที่สุด!
“อ๋องเฉียนกลับสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่ามิได้ครอบครองตราผนึกมาร?”
หลายคนยังอดตกตะลึงไปเสียไม่ได้เมื่อรู้ข่าว
“ไม่กี่วันก่อนข้าเห็นต้วนหลิงเทียนมอบตราผนึกมารให้อ๋องเฉียนกับตา และอ๋องเฉียนก็เก็บตราผนึกมารลงแหวนพื้นที่แล้วชัดๆ…แต่ตอนนี้อ๋องเฉียนกลับบอกว่ามิได้ครอบครองตราผนึกมาร?”
คนอื่นอดไม่ได้ที่จะโพล่งถามออกมา
“แล้วเจ้าจะอธิบายที่อ๋องเฉียนสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าได้อย่างไร? รู้ๆกันอยู่หากผิดคำสาบานย่อมตกตายสถานเดียว ไม่มีผู้ใดหนีอัสนีทัณฑ์สวรรค์ได้!”
“ใช่แล้ว! ข้าเชื่อว่าที่อ๋องเฉียนกล่าวสาบานออกมาล้วนเป็นความจริง หาไม่ป่านนี้มันคงถูกฟ้าผ่าไปนานแล้ว!!”
……
นานเข้าเนื้อหาของคำสาบานก็ถูกผู้คนล่วงรู้กันไปทั่ว
จังหวะนี้กระทั่งคนที่คิดว่าอ๋องเฉียนไม่ได้ไม่มีตราผนึกมารอยู่กับตัว ก็จำต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้
หลังจากยอมรับความจริงแล้ว ทั้งหมดก็อดที่จะนึกถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมาไม่ได้
“ในวันนั้นต้วนหลิงเทียนส่งตราผนึกมารไปให้อ๋องเฉียน และอ๋องเฉียนก็รับมันและเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเรามัวแต่สนใจอ๋องเฉียน ไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนจากไปเมื่อใด”
“นั่นสิ ย้อนกลับมาคิดดูแล้ว…นี่ใช่แผนเบี่ยงเบนความสนใจของต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่! เขาสมควรมีกลวิธีเรียกคืนตราผนึกมารจากระยะไกล ดังนั้นเขาจึงจัดฉากให้เห็นว่าอ๋องเฉียนได้รับตราผนึกมารไปอย่างตั้งใจ ฉากลวงหลอกว่าอ๋องเฉียนได้รับตราผนึกมารนี้นับว่าดึงดูดความสนใจของพวกเราไปหมดสิ้น จึงมีโอกาสหลบหนี”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงมิใช่ว่าต้วนหลิงเทียนร้ายกาจมากหรือ…กระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นยังกล้าเดินหมากเสี่ยงอย่างแยบคาย พวกเจ้าต้องรู้ด้วยว่าหากเรื่องนี้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวเขาต้องตาย!”
“ไม่ผิด! ตราบใดที่อ๋องเฉียนตรวจสอบแหวนพื้นที่แล้วทำการสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเสียตั้งแต่ตอนนั้น ทุกคนจะหันกลับมาสนใจต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง คงยากที่ต้วนหลิงเทียนจะจากไปได้!”
……
ใประเทศฝูเฟิงนับว่าฮือฮากันใหญ่ วาจาทำนองเดียวกันดังขึ้นไปทุกที่ ผู้คนมากมายหลายคนยังชื่นชมต้วนหลิงเทียนจากใจ
พวกมันลองถามตัวเองดู หากเป็นพวกมันที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น น่ากลัวว่าคงไม่อาจหลบหนีจากไปได้แบบนี้…
แต่ต้วนหลิงเทียนทำได้
ต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมชาติที่จะไม่รู้เรื่องราวอะไรในประเทศฝูเฟิง เพราะตอนนี้เขาได้ออกนอกอาณาเขตของประเทศฝูเฟิงเข้าสู่พื้นที่อิทธิพลของคฤหาสนหลิ่งหนานหยวนแล้ว
แน่นอนว่าถึงประเทศฝูเฟิงก็จะเป็นพื้นที่ๆอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน…กล่าวให้ชัดต้วนหลิงเทียนกำลังเข้าสู่ พื้นที่ส่วนกลาง ของเขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน
ที่นี่ไม่มีประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเป็นขุมพลังชั้น 6 อีก มีแต่ขุมพลังชั้น 6 อย่างตระกูล นิกายและสำนักเท่านั้น
แน่นอนว่าที่แข็งแกร่งที่สุดยังเป็นคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน
คฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนนอกจากได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่อิทธิพลแล้ว คฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนยังเป็นขุมพลังชั้น 5 ที่ร้ายกาจและมีอิทธิพลต่อทุกขุมพลังในเขตพื้นที่ดังกล่าว
แน่นอนว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว เขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนก็เป็นแค่ทางผ่านของเขาเท่านั้น
จุดหมายปลายทางของเขาคือคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน
คฤหาสน์คลื่นขจี ก็เหมือนกันกับคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน ล้วนเป็นขุมพลังชั้น 5 ที่ปกครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าดุจเดียวกัน
ฟุ่บ!
ร่างหนึ่งเหินท่องกระบี่ข้ามฟ้ามาด้วยความเร็วสูง ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นต้วนหลิงเทียนเอง
เขาค่อนข้างรีบไม่น้อย
ตอนที่ 1,644 : ความภาคเพียรของเฟิ่งเทียนหวู่!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดเดินทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจี ไม่นานข่าวที่ลือกันในประเทศฝูเฟิงก็เริ่มแพร่กระจายออกมา จนสร้างความตื่นตระหนกให้พื้นที่เขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนไปกว่าครึ่ง!
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเวลามีไม่พอ
หากให้เวลาอีกสักนิด ข่าวดังกล่าวย่อมสะท้านไปทั่วทั้งเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน กระทั่งขุมพลังชั้นสูงอื่นๆนอกจากคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนไม่นานก็คงได้รับทราบเช่นกัน
นี่เพราะข่าวนี้มันเกี่ยวพันถึง 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตราผนึกมาร!
เนื่องจากพลังสามารถพิเศษที่สามารถสะกดปราบมารร้ายได้ทั่วหล้า ตราผนึกมารจึงเป็นยอดศาสตราเซียนที่ได้รับความนิยมสูงนักแม้จะเป็นในบรรดา 10 ยอดศาสตราเซียนด้วยกัน
การปรากฏขึ้นอีกครั้งของมัน มากพอจะทำให้หลายคนคลั่งไคล้ ผู้ฝึกตนและเต๋าขอบเขตเซียนทั้งหลายล้วนสนใจกันทั้งสิ้น
ข่าวแรกที่แพร่ออกมาก็คือ อ๋องเฉียนได้รับตราผนึกมาร
แต่หลังจากนั้นกลับมีอีกข่าวแพร่ออกมาบอกว่า อ๋องเฉียนสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าแล้วว่าไม่มีตราผนึกมาร…และคนก็มิอาจหลอกลวงอัสนีสวรรค์ได้!
เรื่องราวของต้วนหลิงเทียนและการเผชิญหน้าในการประลองเป็นตายระหว่างเขากับหลินตงถูกเล่าออกมาเป็นฉากๆ
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนจึงกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง
มากกว่า 9 ส่วนของผู้คน ล้วนคิดว่าตราผนึกมารยังอยู่ในมือต้วนหลิงเทียน!
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่าต้วนหลิงเทียนอยู่ที่ไหน
ถึงกระนั้นก็ยากที่จะหยุดยั้งมวลชนและขุมพลังต่างๆในการเข้ามาเยือนประเทศฝูเฟิง เพราะพวกมันคิดว่านี่อาจเป็นข่าวลวง!
จนเมื่อพวกมันเห็นอ๋องเฉียนกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้ากับตาพวกมันถึงจะเชื่อ!
ด้วยเหตุนี้อ๋องเฉียนจึงรู้สึกสลดหดหู่ใจนัก มีตัวตนอันทรงพลังแวะเวียนผ่านมาทีไร มันต้องกล่าวคำสาบานซ้ำใหม่อีกรอบ เพื่อที่จะตัดปัญหาจากการล่วงเกินอีกฝ่าย…
เรียกว่ามันกล่าวคำสาบานแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่อาจนับได้!
“เรียนองค์ชาย 4 ตอนนี้คนของตระกูลหลินมาถึงแล้วขอรับ”
ข้ารับใช้ที่พึ่งออกไปส่งแขกอันเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งกลับไป จำต้องกลับเข้ามารายงานอีกครั้ง
ส่วนผู้มาใหม่นั้นกลับเดินติดตามข้ารับใช้ดังกล่าวมาอย่างไม่แยแส ก้าวอาดๆเข้ามาในโถงประชุมอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น!
เรียกว่าชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่รับส่งแขกถึงกับหน้าเสียไปทันใด มีโมโหไม่น้อย!
“เจ้า…พวกเจ้าทั้ง 2 ไฉนถึงได้รีบร้อนเข้ามานัก ที่นี่จวนอ๋องเฉียน พวกเจ้ากลับกล้าหยาบคายถึงเพียงนี้!!”
ชายวัยกลางคนที่กลับมารายงานหันไปตวาดกล่าวอย่างไม่พอใจ เรียกว่าไม่สนใจว่าทั้งคู่จะเป็นใครด้วยซ้ำ
อนิจจานั่นเป็นวาจาประโยคสุดท้ายในชีวิตของมัน
“เหอะ!”
เสียงสบถเย็นชาหนึ่งดังขึ้น เป็นชายชราที่อยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนในชุดสีเขียวเป็นผู้ลงมือ เพียงมันยกมือขึ้นสะบัด ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพควบรวมขึ้นจากความว่าง ก่อนที่จะพุ่งทะยานออกไป!
ฉัวะ!
พริบตาต่อมาเสียงหอนแหวกอากาศจากกระบี่พลันดังขึ้น หลุมโลหิตหลุมหนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของข้ารับใช้คนดังกล่าว ร่างมันทรุดลงไปตกตายอย่างไม่ทันรู้ตัว
“หลิน…อาวุโสหลิน!”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีเขียว หน้าอ๋องเฉียนก็เปลี่ยนไปมหันต์ทันที เพราะมันเคยเห็นชายวัยกลางคนชุดเขียวผู้นี้มาก่อน อีกฝ่ายไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหลินจ้าน !
ยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของหลินตง!
“จูเฉียนชิง เจ้าจักชดใช้ให้กับข้าอย่างไร? เจ้าอยากตกตายเพียงคนเดียวหรืออยากให้คนทั้งจวนอ๋องเฉียนร่วมกลบฝังไปพร้อมกันกับเจ้า?”
ลูกตาหลินจ้านเผยประกายเย็นเยียบกล่าวออกเสียงแข็ง เสียงยังคล้ายผุดขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็งฟังแล้วพาลให้หนาวยะเยือกจับจิตนัก
ถึงแม้มันจะมีบุตรชายทั้งสิ้น 3 คน และอีก 2 คนจะมีพลังฝีมือมากกว่าหลินตงก็ตาม
อย่างไรก็ตามหลินตงเป็นบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของมัน เพียงยังเยาว์ก็สามารถติดอันดับ 1 ในรายนามนภาได้แล้ว กลายเป้นสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน
ด้วยเหตุนี้ตอนหลินตงบอกมันว่าจะติดตามองค์ชาย 4 ของประเทศฝูเฟิง จูเฉียนชิง ไปฆ่าขอบเขตสู่เซียนคนหนึ่งที่ประเทศฝูเฟิงมันจึงไม่คิดจะห้ามแต่อย่างไร
เพราะในสายตาของมันภายใต้เขตอิทธิพลคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนนั้น ไร้ขอบเขตสู่เซียนคนใดที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าบุตรชายของมัน
อย่างไรก็ตามหลังจากบุตรชายมันไปอยู่ประเทศฝูเฟิงได้ไม่กี่เดือน มันก็ได้รับทราบข่าวว่าบุตรชายของมันหลินตง เสียชีวิตแล้ว
พอทราบถึงเรื่องนี้มันก็เร่งุรดเดินทางมายังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง มาหาอ๋องเฉียนทันที
จุดประสงค์ของมันนั้นง่ายดายนัก
หากอ๋องเฉียนไม่มาหาลูกมัน ลูกมันก็คงไม่ตาย!
“อาวุโสหลิน ข้าเองก็เศร้าเสียใจกับการตายของน้องหลินตงยิ่งนัก มิคิดเลยว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจักแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ แม้มันจะเป็นแค่สู่เซียนแต่กลับลอบจู่โจมสังหารน้องหลินตงที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้ในกระบี่เดียว”
ถึงแม้จะรู้ดีว่าช่วงเวลานี้จะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว หากแต่ใจของอ๋องเฉียนก็เป็นกังวลไม่น้อย
ในขณะที่อ๋องเฉียนกำลังปวดหัวกับการมาถึงของหลินจ้านบิดาหลินตง ยอดฝีมือมากมายก็เริ่มทยอยกันมาถึงเมืองหลวงประเทศฝูเฟิงแล้ว
และเมื่อเวลาผ่านไปยอดฝีมือทั้งหมดก็จากจวนอ๋องเฉียนไป และเบนเข็มไปที่การล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน!
“ศิษย์น้อง…”
ป๋ายลี่หงที่อยู่ตระกูลซือถู อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลอย่างหนักในใจ
ในตอนแรกที่มันเห็นศิษย์น้องส่งมอบตราผนึกมารให้อีกฝ่าย มันก็ยังอดถามไปด้วยความเสียดายไม่ได้ ทว่าเป็นศิษย์น้องบอกให้มันรอชมเรื่องสนุกสนาน
จนกระทั่งไม่นานมานี้มันจึงเข้าใจว่าเรื่องสนุกสนานที่ว่าของศิษย์น้องคืออะไร
ที่แท้ศิษย์น้องมันไม่ได้ส่งตราผนึกมารไปให้อ๋องเฉียนจริงๆ สิ่งที่มันเห็นเป็นเพียงการจัดฉากหลอกลวงเท่านั้น ตราผนึกมารยังคงอยู่กับศิษย์น้องมัน
และพอได้รับทราบว่ายอดฝีมือผู้เข้มแข็งทั้งหลาย ต่างออกจากจวนอ๋องเฉียนเพื่อไปตามล่าหาตัวศิษย์น้องของมันทั้งสิ้น ก็ทำให้มันอดเป็นกังวลขึ้นมาเสียไม่ได้
ซื่อหม่าฉางเฟิง เฉินเฉ่าช่วย ฉงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็เป็นห่วงต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
นิกายอัคคีล่องลอย พื้นที่ต้องห้าม
บนภูเขาไฟลูกหนึ่ง ปรากฏธารลาวาพวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่ากลัว ก่อนที่จะพรั่งพรูกระจายเกลื่อนฟ้า ดั่งห่าพิรุณร้อนลวก ทว่าท่ามกลางห่าเพลิงหินหลอมเหลวนั้น กลับมีร่างหนึ่งก้าวเดินออกมาโดยไร้อันตรายใดๆ มองไปยังคล้ายเทพธิดาอัคคีอยู่บ้าง
เป็นสตรีมาในชุดคลุมจอมยุทธ์หญิงสีแดงเพลิง รูปร่างหน้าตางามพิลาศหมดจด ยามนางปรากฏกายคล้ายทำให้สรรพสิ่งโดยรอบแลดูหม่นหมองไปถนัดตา
“ในที่สุดก็ทะลวงผ่าน…นี่น่ะหรือขอบเขตเซียน?”
ในขณะที่สตรีนางนั้นกล่าวพึมพำเบาๆ พลังงานสีแดงเพลิงพลันปะทุพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของนาง ยังเปล่งกลิ่นอายร้อนลวกแทบไม่ต่างอะไรจากหินหลอมเหลวสักเพียงนิด!
“อย่างที่ท่านอาจารย์ว่าไว้ไม่มีผิด ทันที่ข้าบ่มเพาะพลังตามเคล็ดจนบรรลุขอบเขตเซียน ข้าสามารถทำให้ปราณแรกกำเนิดกลายเป็น ปราณอัคคีแรกกำเนิดได้…”
สตรีนางนั้นยังคงกล่าวรำพันต่อไป อย่างไรก็ตามไม่นานรอยยิ้มเริ่มฉีกกว้างบนใบหน้าของนาง
“ในที่สุดก็ได้เวลาไปหาพี่ใหญ่ต้วนเสียที…อ๊ะ ต้องไปหาท่านพ่อก่อน”
สตรีที่คล้ายเทพธิดาอัคคีนางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย เฟิ่งเทียนหวู่
เมื่อไม่นานมานี้ ตอนที้เฟิ่งเทียนหวู่ออกจากการปิดด่านฝึกฝน นางก็ได้พบกับเฟิ่งหวู่เต้าที่รอนางอยู่ที่นิกายอัคคีเรียบร้อยแล้ว
บิดากับบุตรสาวที่ไม่ได้พบเห็นมานาน เจอกันอีกครั้งนับว่าเป็นเรื่องสะเทือนอารมณ์ไม่น้อย
เพื่อที่จะได้ไปอยู่กับต้วนหลิงเทียนให้ได้โดยเร็วที่สุด หลังจากใช้เวลาอยู่กับบิดาพักหนึ่ง เฟิ่งเทียนหวู่ก็กลับไปเร่งปิดด่านบ่มเพาะพลังอีกครั้ง และในที่สุดนางก็ทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนได้เสียที!
เนื่องจากการปิดด่านบ่มเพาะ จึงทำให้นางตัดขาดจากโลกภายนอก จึงไม่ทราบเรื่องราวใดๆแม้แต่น้อย เฟิ่งหวู่เต้าเองก็บ่มเพาะพลังรอคอยนางโดยไม่รู้เรื่องราวอื่นใดเช่นกัน
จนกระทั่งเมื่อบิดาและบุตรพากันไปพบกับประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋น เพื่อบอกว่าต้องการไปพบต้วนหลิงเทียน จึงค่อยได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากปากของสื่ออวิ๋นเอง
“อันดับ 1 ในรายนามนภา หลินตงท้าประลองกับพี่ใหญ่ต้วน?”
หลังจากได้รับทราบเรื่องนี้ เฟิ่งเทียนหวู่อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลแทนต้วนหลิงเทียน
อันดับ 1 ในรายนามนภา แม้นางจะไม่เคยพบพาน แต่นางรู้ดีว่าพลังฝีมืออีกฝ่ายย่อมไม่ใช่ชั่ว หาไม่แล้วคงไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าร้ายกาจที่สุดใต้เซียนในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหานหยวน!
พอเฟิ่งเทียนหวู่ได้รับทราบถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียน ใช้หมื่นกระบี่รวมหนึ่ง ควบคุมกระบี่ทั้งเขตแดนให้กลายเป็นเล่มเดียวหลบหลีก หลินตง ด้วยความเร็วอันเหนือชั้น มุมปากเฟิ่งเทียนหวู่พลันมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “ข้ามิยากจะเชื่อเลยว่าพี่ใหญ่ต้วนกลับมีพลังฝีมือสูงส่งขนาดนี้!”
อย่างไรก็ตามพอนางทราบว่าในห้วงเวลาคับขันหลินตงได้เลือกที่จะบ่มเพาะพลัง หมายทะลวงไปยังขอบเขตเซียน และมันก็ทำสำเร็จ ทำให้นางชักสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ทว่าในขณะที่เรื่องราวคล้ายกำลังจะถึงจุดจบ อยู่ๆต้วนหลิงเทียนกลับกล่าววาจาเผยเจตนาอ๋องเฉียน ทั้งยังหยิบตราผนึกมารออกมาเพื่อดึงความสนใจของทุกผู้คน!
และเขาก็อาศัยจังหวะนั้น จู่โจมสังหารหลินตงในกระบี่เดียว!
เรียกว่ากระบี่เดียวก็ดับชีวิตหลินตงที่พึ่งทะลวงผ่านขอบเขตเซียนได้อย่างง่ายดาย!
“พลังของพี่ใหญ่ต้วน ร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือ?”
เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกตกใจกับพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย และนางรู้ดีว่าตราผนึกมารที่ว่าสมควรเป็นป้ายศิลามุมแหว่งที่ต้วนหลิงเทียนเคยให้นางยืมใช้
ก่อนหน้านี้นางยังไม่รู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของตราผนึกมาร แต่พอมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า นางจึงได้รับทราบว่าตราผนึกมารคือยอดศาสตราเซียน ในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 10
“พี่ใหญ่ต้วนมอบตราผนึกมารให้อ๋องเฉียนจริงหรือ?”
พอได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนมอบตราผนึกมารให้อ๋องเฉียน สีหน้าเฟิ่งเทียนหวู่ก็เหยเกทันที นางยังเข้าใจความรู้สึกไม่ยินยอมของเขาได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามพอนางได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนจัดฉากเรื่องราวให้เหมือนอ๋องเฉียนได้ตราผนึกมารไป นางก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน นับว่าพี่ใหญ่ต้วนของนางช่างน่าทึ่งจริงๆ
ทว่าสุดท้ายแล้วพอได้ยินว่ายอดฝีมืออันน่ากลัวทั้งหลายกำลังออกตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียนให้ควั่ก นางก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านอาจารย์ข้าอยากไปหาพี่ใหญ่ต้วน”
เฟิ่งเทียนหวู่มองเฟิ่งหวู่เต้าและสื่ออวิ๋นค่อยกล่าวออกมา
“เทียนหวู่ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี…”
สื่ออวิ๋นส่ายหัวไปมา “แต่เจ้ารู้หรือว่าพี่ใหญ่ต้วนของเจ้าเดินทางไปที่ใด การจากไปครั้งนี้เขามิได้บอกที่หมายของเขาไว้กับผู้ใดเลย…การหาตัวเขาก็มิต่างใดจากงมเข็มในกองฟาง”
“ท่านอาจารย์ข้าอยากลองดู”
เฟิ่งเทียนหวู่ยังคงยืนกราน นางเป็นห่วงความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนนัก หากนางไม่ได้เห็นกับตาว่าต้วนหลิงเทียนยังอยู่ดี ใจนางก็ยากที่จะสงบลงได้
“เทียนหวู่ เจ้าสมควรจำที่ข้ากล่าวเอาไว้ได้ หากยังไม่บรรลุถึงเซียน ข้ามิอนุญาตให้เจ้าออกจากเขตนิกายอัคคีล่องลอย”
สื่ออวิ๋นกล่าวกับเฟิ่งเทียนหวู่
เนื่องจากเคล็ดบำเพ็ญจิตหงส์ฟ้าจรัสแสง ถึงแม้เฟิ่งเทียนหวู่จะทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนแล้ว หากแต่กลิ่นอายพลังยังคงถูกเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดนัก
อย่างไรก็ตามพอได้ยินวาจานี้ของสื่ออวิ๋นเฟิ่งเทียนหวู่ก็จงใจเร่งเร้าปราณแรกกำเนิดในร่าง ทำให้กลิ่นอายพลังของขอบเขตเซียนแผ่พุ่งออกมาทันที!
ตอนที่ 1,645 : ร้องเรียงเรื่องราว
“เทียนหวู่เจ้า…เจ้าทะลวงถึงเซียนแล้ว?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังจากร่างเฟิ่งเทียนหวู่ สองตาสื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะหรี่ลงทันที ยังเผยความยินดีออกมาไม่น้อย
“ทะลวงแล้ว”
เฟิ่งเทียนหวู่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หากแต่หว่างคิ้วยังขดเป็นปมด้วยความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน
“เซียน…ขอบเขตเซียน? หวู่เอ๋อทะลวงถึงขอบเขตเซียนแล้ว!?”
เฟิ่งหวู่เต้าที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงครั้งใหญ่ มันเหม่อมองบุตรีตัวเองอยู่นานกว่าจะกลับมารู้สึกตัว
ขอบเขตเซียนหมายความว่าอะไร มันรู้ดีแก่ใจ
ถึงแม้มันจะรู้มาว่าบุตรตรีของมันห่างจากเซียนเพียงแค่ครึ่งก้าว แต่พอได้ฟังว่านางทะลวงผ่านแล้วมันก็ยังตกใจไม่น้อย
สุดท้ายแล้วนางก็คือบุตรีที่มันเลี้ยงมาแต่เล็กจนโต!
เมื่อนึกย้อนกลับไปในวันนั้น มันยังอดนึกถึงต้วนหลิงเทียนที่พบกันในปีนั้นขึ้นมาเสียไม่ได้ และรู้สึกขอบคุณต้วนหลิงเทียนนัก
เป็นเพราะต้วนหลิงเทียน บุตรีของมันจึงรอดพ้นจากหายนะของร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ ทำลายชะตากรรมดับสูญนั่นลงได้ ทำให้นางประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
เนื่องจากเฟิ่งเทียนหวู่ทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนแล้ว สื่ออวิ๋นจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะรั้งนางไว้สืบไป
แม้นางจะเสียใจและอยากเปลี่ยนเงื่อนไขเดิมนัก แต่นางก็ไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้ เพราะรังแต่จะทำให้ศิษย์ของนางเกลียดชังนางเสียเปล่าๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
เพื่อที่จะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของนางในใจศิษย์เสื่อมเสีย นางจึงเลือกอนุญาตให้เฟิ่งเทียนหวู่ออกเดินทางได้
เฟิ่งเทียนหวู่กำลังจะออกเดินทาง เฟิ่งหวู่เต้าแน่นอนว่าย่อมไม่คิดรั้งอยู่ที่นิกายอัคคีล่องลอยสืบต่อ มันจะกลับไปยังตระกูลซือถู และไปอาศัยอยู่กับป๋ายลี่หงและซื่อหม่าฉางฟง
หลังจากบิดาและบุตรีสกุลเฟิ่งเดินทางออกจากนิกายอัคคีล่องลอยไปแล้ว สื่ออวิ๋นพลันเดินเข้าไปยังพื้นที่หวงห้ามของนิกายอัคคีล่องลอย ภายในภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ ปรากฏห้องลับหนึ่งซ่อนอยู่ใต้ธารลาวา ผนังห้องลับทุกทิศทางล้วนเป็นสีแดงฉาน เปล่งกลิ่นอายพลังร้อนระอุออกมาน่ากลัวนัก
อย่างไรก็ตามการมาที่นี่ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับสื่ออวิ๋นสักเท่าไหร่
“ประมุขสื่ออวิ๋น”
มุมหนึ่งของห้องปรากฏสตรีชรานางหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนเตียงศิลา และเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของสื่ออวิ๋น นางก็ลืมตาพร้อมลุกขึ้นมาจากเตียงกล่าวทักทายสื่ออวิ๋นด้วยท่าทางเป็นกันเองทันที
“เฮยหยา ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากให้เจ้าไปกระทำ…หลังจากที่เจ้ากระทำเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าก็เป็นอิสระแล้ว”
(เฮยหยา = อีกาทมิฬ)
สื่ออวิ๋นมองไปยังร่างสตรีชราในชุดสีเทาค่อยกล่าวออกมา
“ในที่สุดเจ้าก็จะให้ข้าตอบแทนเรื่องที่ข้าติดค้างเจ้าไว้แล้วหรือ?”
สตรีชราในชุดสีเทาที่ถูกเรียกว่า เฮยหยา นั้น เผยสีหน้าอื้ออึง สองตายังทอแสงสว่างวาบเร่งถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลายปีที่แล้วสื่ออวิ๋นเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง
และนางก็ไม่ใช่คนเนรคุณคน เช่นนั้นแล้วจึงติดตามสื่ออวิ๋นกลับมายังนิกายอัคคีล่องลอยแห่งนี้ด้วย และสัญญาว่าจะออกจากนิกายอัคคีล่องลอยหลังตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของสื่ออวิ๋น
และนั่นก็กินเวลากว่า 20 ปีมาแล้ว
อิสรภาพนั้นนางย่อมโหยหามันเป็นธรรมชาติ แต่ในสายตาของนางมีเพียงอิสรภาพหลังจากที่นางได้ชำระหนี้ ตอบแทนบุญคุณสื่ออวิ๋นแล้วเท่านั้น ถึงจะเป็นอิสรภาพที่แท้จริง
หาไม่แล้วปมในใจของนางคงไม่อาจคลาย
เดิมทีเฮยหยาคิดว่านางคงไม่ได้ช่วยเหลืออะไรสื่ออวิ๋นไปชั่วชีวิตเสียแล้ว…เพราะพลังฝีมือของสื่ออวิ๋นตอนนี้ ไม่มีอะไรให้นางช่วยจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาไม่กี่ปีให้หลังมานี้ ช่องว่างความห่างของพลังฝีมือระหว่างนางกับสื่ออวิ๋นก็มีแต่จะหดแคบลง
นางได้คิดถึงเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว และนั่นก็คือการอยู่นิกายอัคคีล่องลอยไปชั่วชีวิต
ทว่าวันนี้การมาของสื่ออวิ๋น เสมือนเป็นแสงอรุณแห่งความหวังที่ส่องเข้ามาในใจที่เงียบสงบมานานปีของนางก็ไม่ปาน
“ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าเรื่องนี้ พวกเราถือว่าหายกัน”
สื่ออวิ๋นกล่าว
“เจ้าว่ามาเถอะ!”
เฮยหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาตรงๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะขออะไรหากอยู่ในวิสัยที่นางพอกระทำได้ นางจะทำมันให้ได้!
“ศิษย์ของข้าพึ่งเดินทางออกจากนิกาย คราวนี้นางคงร่อนเร่อยู่ข้างนอกอีกนาน…ข้าอยากให้เจ้าคอยลอบคุ้มกันนางอย่างลับๆ จนกว่าพลังฝีมือของนางจะเหนือกว่าเจ้า! จากนั้นระหว่างข้ากับเจ้า พวกเราถือว่าหายกัน ไม่มีใดติดค้างกันอีก เจ้าสามารถออกจากนิกายอัคคีล่องลอยไปใช้ชีวิตตามที่ใจเจ้าปรารถนาได้”
สื่ออวิ๋นกล่าวออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“ศิษย์เจ้า นังหนูเฟิ่งน่ะหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าเฮยหยาล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของเฟิ่งเทียนหวู่
“ใช่”
สื่ออวิ๋นพยักหน้า
“อะไรกัน นาง…นางทะลวงถึงขอบเขตเซียนแล้ว!?”
เฮยหยากล่าวถามออกมาด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันในแววตายังเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่านางเองก็เอ็นดูเฟิ่งเทียนหวู่ไม่น้อย นอกจากนี้นางยังรู้ข้อกำหนดที่เฟิ่งเทียนหวู่จะออกจากนิกายอัคคีล่องลอยอีกด้วย
สื่ออวิ่นพยักหน้ารับอีกครั้ง
“ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของนังหนูเฟิ่ง นางกลับทะลวงถึงเซียนเร็วเพียงนี้…ข้าคิดว่าไม่ถึง 10 ปีนางก็ก้าวล้ำเหนือข้าไปแล้ว! ประมุขสื่ออวิ๋น เจ้าแน่ใจนะว่าจะให้ข้าชำระหนี้บุญคุณเรื่องนี้จริงๆ?”
เฮยหยามองถามสื่ออวิ๋น “เรื่องนี้เจ้าออกจะเสียเปรียบอยู่นะ”
“ตราบใดที่เทียนหวู่ปลอดภัย สำหรับข้าถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
สื่ออวิ๋นไม่รู้สึกเสียเปรียบหรือขาดทุนอะไรเลย
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เฮยหยาพยักหน้า
“นางยังพึ่งออกไปได้ไม่นาน เห็นว่าจะไปยังตระกูลซือถูที่เมืองหลวงก่อน…เจ้าพยายามปกปิดตัวตนและลอบคุ้มครองนางอย่างลับๆ หากไม่จำเป็นอย่าได้ออกมาช่วยเหลือนาง เพราะการออกเดินทางครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนสำหรับนางเช่นกัน”
สื่ออวิ๋นกล่าวกำชับเฮยหยา
เฮยหยาพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่จะออกจากสถานที่ๆนางอาศัยอยู่มา 20 กว่าปี…
เฟิ่งเทียนหวู่ย่อมไม่รู้เลยว่ามีเฮยหยาลอบติดตามมาด้วย เพราะความต่างของพลังฝึกปรือ…
เฟิ่งเทียนหวู่ยังไม่พบ นับประสาอะไรกับเฟิ่งหวู่เต้า
หลังจากที่พ่อและลูกสาวเดินทางออกจากนิกายอัคคีล่องลอย ทั้งคู่ก็มาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงในเวลาไม่นาน มุ่งหน้าไปยังตระกูลซือถูทันที
ตระกูลซือถูรู้ว่าแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยกำลังจะมา ซือถูฮ่าวจึงออกมารอต้อนรับนางด้วยตัวเอง นับว่าให้ความสำคัญกับนิกายอัคคีล่องลอยนัก แน่นอนว่านี่เป็นการแสดงความเคารพต่อต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
ใครในประเทศฝูเฟิงยังไม่รู้ ว่าแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย มีความสัมพันธ์อันดีกับอดีตแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียน
ป๋ายลี่หง ซื่อหม่าฉางฟง และคนอื่นๆพอรู้ว่าเฟิ่งเทียนหวู่มาก็ดีใจไม่น้อย
“แม่นางเทียนหวู่!”
ได้เห็นเฟิ่งเทียนหวู่อีกครั้ง ฉงเฉวียนและโฉดคลุมทองก็ดีใจนัก
“พวกเราไม่เจอกันหลายปีแล้ว พวกเจ้าสบายดีหรือไม่”
เฟิ่งเทียนหวู่ยิ้มทักทั้งคู่
“สบายดี พวกเราสบายดียิ่ง!”
ฉงเฉวียนเร่งพยักหน้าตอบรับพร้อมหัวเราะ
เฟิ่งเทียนหวู่ออกจากนิกายอัคคีล่องลอยมาครั้งนี้ แน่นอนว่าเพื่อพบต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ป๋ายลี่หงและคนอื่นๆจะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนไปไหน แต่นางยังพอทราบจุดหมายปลายทางของเขาได้ จากข้อมูลที่นางรวบรวมมาจากทุกคน “พี่สาวเค่อเอ๋อถูกคนจากลัทธิบูชาไฟพาตัวไป ขุมพลังอันทรงอำนาจในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่ควรเป็นไปได้ที่พี่ใหญ่ต้วนจะไปหาพี่สาวเค่อเอ๋อในตอนนี้…”
“ดังนั้นพี่ใหญ่ต้วนสมควรไปตามหาพี่สาวลี่เฟยที่น่าจะอยู่กับน้องสาวเฉวี่ยไน่เป็นแน่…ขุมพลังเบื้องหลังเฉวี่ยไน่ไม่ควรธรรมดาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเช่นกัน! ก่อนที่พี่ใหญ่ต้วนจะมาที่นี่นางได้มอบหินเซียนระดับ 5 และระดับ 4 ให้พี่ใหญ่ไว้บางส่วน…”
เฟิ่งเทียนหวู่นั่นรู้เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่พวกป๋ายลี่หงเองก็พึ่งได้ทราบรายละเอียด
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ในที่สุดเฟิ่งเทียนหวู่ก็เผยประกายตาสว่างวาบ “เช่นนั้นขุมพลังเบื้องหลังเฉวี่ยไน่น่าจะเป็นขุมพลังชั้น 5…ขุมพลังชั้น 5 แซ่หาน หานเฉวี่ยไน่….ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามีแซ่เดียวกันมากมาย แต่ขุมพลังชั้น 5 แซ่หานมีเพียงขุมพลังเดียว…คฤหาสน์คลื่นขจี!”
ในที่สุดเฟิ่งเทียนหวู่ก็กล่าวชี้ชัดออกมา
คฤหาสน์คลื่นขจี สกุลหาน!
สองตาเฟิ่งเทียนหวู่ทอประกายสว่างจ้าแฝงเร้นไปด้วยความแน่วแน่
แน่นอนว่านางไม่อาจยืนยันได้เต็ม 10 ส่วนว่าใช่แน่ๆ
อย่างไรก็ตามแม้นางไม่กล้ายืนยัน แต่นางจะไม่พลาดเบาะแสอันสำคัญเช่นนี้
ความคิดในหัวนางก็ละม้ายคล้ายคลึงกับต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามแม้นางจะสงสัยว่าต้วนหลิงเทียนสมควรไปคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน แต่นางก็ไม่ได้บอกใครกระทั่งบิดาของนางเอง
นางรู้ดีแก่ใจ ว่าการบอกเรื่องนี้กับบิดา ป๋ายลี่หง และคนอื่นๆ รังแต่จะส่งผลร้ายต่อทุกคนเท่านั้น
หากต้วนหลิงเทียนรับทราบความคิดของเฟิ่งเทียนหวู่ล่ะก็ เขาคงรู้สึกว่าไหวพริบนางไม่เลวเลยทีเดียว นางคิดเหมือนเขาแทบจะทุกอย่าง
หลังจากที่มีเป้าหมายแล้วเฟิ่งเทียนหวู่ก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเฟิ่งหวู่เต้าอีกสักพัก ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงและมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ขณะที่นางออกเดินทาง นางบังเกิดสังหรณ์ในใจอย่างแรงกล้า ว่าการตัดสินใจของนางครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง!
เฟิ่งเทียนหวู่ยังไม่รู้ตัวว่ามีสตรีชราหัวหงอกลอบติดตามนางอยู่ทางด้านหลัง
“ต้วนหลิงเทียน ตราผนึกมาร?!”
ภายในรังลับของตลาดมืดหยินชานสาขาประเทศฝูเฟิง หลังจากที่หงเจิ้นผู้นำสาขาได้พบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงมันก็ตกใจมาก
ในฐานะที่มันเองก็เป็นผู้ฝึกมาร เช่นนั้นแล้วในโลกใบนี้ นอกจากยอดฝีมือที่ร้ายกาจกว่ามัน ตัวมันเพียงหวาดกลัวต่อตราผนึกมารเป็นที่สุด!
ตราผนึกมารแม้ผู้ใช้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋าที่มีขอบเขตพลังต่ำต้อยกว่ามัน…ก็สามารถฆ่ามันได้!
ดังนั้นหลักจากที่ได้รับทราบว่าตราผนึกมารปรากฏขึ้นอีกครั้งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า สิ่งแรกที่มันคิดจึงไม่ใช่เอื้อมมือไปหมายช่วงชิงตราผนึกมาร แต่เป็นพยายามหลีกเลี่ยงมันด้วยความหวาดกลัว!
‘ข้าสงสัยนักว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้จะเป็นคนเดียวกันกับที่สาขาหลักตามหาตัวอยู่หรือไม่ หากสาขาหลักล่วงรู้เรื่องตราผนึกมารมาแต่แรก มันก็สมควรเป็นต้วนหลิงเทียนที่สาขาหลักตามล่าอยู่!’
หงเจิ้นลอบกล่าวในใจ
ไม่นานหลังจากนั้น จิ้งหยวนที่หงเจิ้นส่งออกไปตรวจสอบก็กลับมา
“จิ้งหยวนเจ้าตรวจสอบแล้วหรือยัง?”
เมื่อเห็นจิ้งหยวนกลับมา หงเจิ้นก็เร่งถามออกไปทันที “ต้วนหลิงเทียนที่พวกเรากำลังตามหาตัวกันอยู่ ใช่คนเดียวกับผู้ที่สร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ในประเทศฝูเฟิงหรือไม่?”
“ยืนยันแน่ชัดแล้ว สมควรเป็นคนๆเดียวกัน!”
จิ้งหยวนพยักหน้า “อย่างไรก็ตามยามนี้มันหายตัวไป และยอดฝีมือมากมายก็กำลังตามล่าตัวมันอยู่ นับว่ามิง่ายเลยที่พวกเราจะหาตัวมันเจอก่อน!”
“เป็นคนๆเดียวกันจริงๆ!”
สองตาหงเจิ้นทอประกายสว่างจ้า กล่าวออกเสียงเข้ม “ถึงแม้พวกเราจะหาตัวมันมิพบ แต่ก็ต้องตามหามัน! อีกทั้งพวกเราต้องรีบรายงานเรื่องนี้ไปยังสาขาเบื้องบนให้เร็วที่สุด!”
ไม่นานข่าวของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มถูกส่งไปยังสาขาเบื้องบนของตลาดมืดหยินชาน
และในที่สุดก็มาถึงสาขาหลักของตลาดมืดหยินชาน
“ลูกชายของต้วนหรูเฟิง มีตราผนึกมารไว้ในครอบครองงั้นเหรอ!?”
ที่สาขาหลักของตลาดมืดหยินชาน ทันทีที่ผู้นำตู้กูรับทราบเรื่องนี้สองตาพลันหรี่เล็กลงทันที เพราะมันเองก็เป็นผู้ฝึกมาร ย่อมหวาดกลัวตราผนึกมารจากก้นบึ้งของใจ
หากเป็นไปได้มันยังหวังให้ตราผนึกมารหายสาบสูญไปจากโลกหล้าเสีย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น