War sovereign Soaring The Heavens 1618-1621

 ตอนที่ 1,618 : ท่านรู้จัก ‘ตราผนึกมาร’ หรือไม่?


 


พอนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในปีนั้น แววตาของชายชราก็แลดูเหม่อลอยไปเล็กน้อย


 


ในปีนั้นขณะที่อ๋องเฉียนไปล่าสัตว์ ก็ได้ถูกกลุ่มมือสังหารเข้าจู่โจม และด้วยความที่ยอดฝีมือผู้ติดตามของอ๋องเฉียนถูกล่อเสือออกจากถ้ำ จนไปตามล่ามือสังหารกลุ่มนกต่อ ก็มีมือสังหารอีกคนหนึ่งที่แฝงตัวอยู่รอคอยโอกาสเหมาะ…ด้วยความบังเอิญ มันที่เป็นสารถีขับรถม้าก็สังเกตเห็นเข้าพอดี!


 


มือสังหารดั่งอสรพิษพุ่งร่างลงมือฉับไว อย่างที่อ๋องเฉียนไม่ทันได้ตั้งตัว..เสียวพริบตาดาบสังหารก็แทบจะทะลวงตัดขั้วหัวใจอ๋องเฉียนอยู่รอมร่อ!


 


หากแต่มันที่เห็นความเคลื่อนไหวแต่แรก กลับปราดเข้าไปขวางไว้ดั่งโลมนุ่ษย์ได้ทันเวลา ทำให้อ๋องเฉียนรอดพ้นความตายมาได้…


 


และอาศัยการขวางดาบสังหารนั้นไว้ได้ทันท่วงที ทำให้ยอดฝีมือผู้ติดตามอ๋องเฉียนที่ถูกล่อออกไป มีเวลาย้อนกลับมาฆ่ามือสังหารคนนั้นได้ทันกาล ก่อนที่จะเกิดวามเปลี่ยนแปลงใดอื่น


 


และตอนนั้นตัวมันที่พุ่งไปรับดาบก็สาหัสปางตาย


 


อย่างไรก็ตามด้วยอำนาจของอ๋องเฉียน หมอหลวงและโอสถทิพย์ทั้งหลายของราชวงศ์จึงถูกประเคนมารักษามันอย่างเต็มที่ ฉุดดึงมันออกจากหุบเหวแห่งความตายมาได้สำเร็จ!


 


ในตอนนั้นวันที่มันฟื้นขึ้นมาอ๋องเฉียนได้ให้คำมั่นแก่มันเอาไว้ ว่าจะเต็มใจรับปากตามคำขอมันเรื่องหนึ่ง ขอเพียงอยู่ในขอบเขตความสามารถ ใดๆในหล้าล้วนจัดให้มันได้ทั้งสิ้น


 


ตอนนั้นมันก็แค่สารถีธรรมดาๆคนหนึ่ง จึงไม่ได้ยึดถือคำมั่นของอ๋องเฉียนเป็นจริงจังอะไร


 


และด้วยมันได้ประสบเหตุการณ์ลอบสังหารอันน่ากลัวครั้งนั้น ทำให้มันหวาดกลัวไม่น้อย รวมถึงมันเองก็รู้ดีว่าในเวลานั้นอ๋องเฉียนคือผู้มีความสามารถอีกทั้งยังมีความทะเยอทะยานสูง วันหน้าต้องพบพานการลอบสังหารไม่รู้จบเป็นแน่


 


มันก็แค่คนตัวเล็กๆไร้สำคัญ หากแต่หนึ่งชีวิตของตัวยังมีผู้ใดไม่รัก?


 


ภายใต้ความกลัวในเรื่องราวเหล่านี้ทำให้มันเลือกที่จะออกจากการรับใช้อ๋องเฉียน รวมถึงออกจากเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตั้งรกรากในหุบเขาแถบชายแดนใต้ สุดท้ายจึงได้ก่อตั้งกลุ่มโจรของมันขึ้นมา


 


แต่แน่นอนว่าก่อนที่มันจะออกจากวัง อ๋องเฉียนก็ย้ำคำมั่นต่อมันอีกครั้ง ว่าสัญญานี้จะคงอยู่ตลอดไป…


 


มันก็คิดว่าจะไม่ได้ใช้คำมั่นสัญญาดังกล่าวแล้ว ทว่าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งน้องสามของมันกลับต้องมาถูกฆ่าตาย…แถมมันรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือลึกลับดังกล่าว มันจึงนึกถึงคำมั่นสัญญาของอ๋องเฉียนขึ้นมา


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรอนแรมเดินทางหวนคืนสู่เมืองหลวงศิวิไลซ์อีกครั้ง หมายทวงคำมั่นสัญญาดังกล่าว


 


อนิจจามันนับว่าโชคร้ายนัก พอมาถึงก็พบว่าอ๋องเฉียนอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน ทำให้มันได้แต่พักในจวนรับรองแขกเพื่อรอเวลาเข้าเฝ้า


 


จนวันนี้อ๋องเฉียนได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว จึงให้คนมาตามมันเข้าเฝ้า


 


ภายใต้การนำของชายวัยกลางคนหัวล้าน ไม่นานชายชราก็ได้มาถึงหน้าจวนอ๋องอันยิ่งใหญ่

(ขอเปลี่ยนตำหนักอ๋อง เป็นจวนอ๋องนะครับ)


 


หน้าจวนปรากฏองค์รักษ์พิทักษ์ในชุดเกราะเต็มยศนับสิบๆ ยืนเรียงรายเป็นแถว สองตาทั้งหมดแลดูคมกล้า บรรยากาศดุร้ายน่าเกรงขาม กอปรทั้งการเคาะหอกลงพื้นเป็นการต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง พาลให้รู้สึกเสมือนมีสนามพลังสะกดข่มประการหนึ่งกำจายออก


 


“เรียนท่านอ๋อง เยี่ยมู่ไป๋ มาถึงแล้ว”


 


ชายวัยกลางคนหัวล้านกล่าวคำหน้าโถงจวนด้วยความเคารพ


 


“ฮ่าๆๆ เยี่ยมู่ไป๋มาแล้วหรือ ยังไม่รีบพาเข้ามาอีก!”


 


ทันใดนั้นเองมีเสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นจากภายในห้องโถง ชายชราที่มีนามว่า เยี่ยมู่ไป๋ ย่อมจดจำได้ดีว่าเป็นเสียงหัวเราะของอดีตเจ้าชีวิตของมัน…องค์ชาย 4 ในวันวาน อ๋องเฉียน!


 


อ๋องเฉียนนั้นให้ความสำคัญกับมันไม่น้อย ราวกับซาบซึ้งใจนักที่มันได้ช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ไหนเลยจะจริงใจกับคนที่มีฐานะต้อยต่ำอย่างมันจริงๆ?


 


เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดทั้งมวลเพียงแค่ อ๋องเฉียนไม่อยากตกเป็นขี้ปากใคร ว่ามันเป็นคนแล้งน้ำใจ


 


หลังจากที่เข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของจวนอ๋องที่ห่างหายไปหลายปี เยี่ยมู่ไป๋ก็หวนคิดถึงอดีตในวันวาน และมันจดจำได้ทันทีว่าร่างที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้สูงบนแท่นกลางห้องเป็นผู้ใด ถึงความเยาววัย์ในวันวานจะไม่มีอีกต่อไป แต่อีกฝ่ายกลับให้บรรยากาศดั่งเจ้าชีวิต มากไปด้วยบารมีนัก


 


บารมีของชนชั้นเจ้าชีวิตที่เพาะสร้างมานานปี ย่อมสร้างความกดดันให้มันไม่น้อย


 


เยี่ยมู่ไป๋ประหม่าจนแทบหายใจไม่ออก กาลเวลาผันผ่านไปไวเหลือเกิน…หลายสิบปีคล้ายดั่งห้วงฝันตื่นหนึ่ง


 


“ผู้น้อยแซ่เยี่ย ถวายบังคมฝ่าบาท”


 


เมื่อเข้ามาแล้วเยี่ยมู่ไป๋ก็คุกเข่าคารวะด้วยความเคารพสูงสุด


 


“มู่ไป๋ เจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า ไหนเลยต้องทำตัวห่างหินเป็นทางการเช่นนั้น ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก?”


 


องค์ชาย 4 หรือที่รู้จักกันในนามอ๋องเฉียน เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีทอง ในสายตามองไปแลเห็นถึงความเมตตากรุณา หากแต่แววตามีความเข้มแข็งเด็ดขาด แม้ไม่ได้แลดูเป็นคนเจ้าอารมณ์สักเท่าไหร่แต่ก็ยากที่จะปล่อยให้ใครหืออือ เพียงสะบัดมือคราหนึ่งปรากฏพลังไร้สภาพฉุดร่างเยี่ยมู่ไป๋ทันที


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังไร้สภาพประคองตัวดังกล่าว เยี่ยมู่ไป๋อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก


 


อ๋องเฉียนผู้นี้ แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นบรรลุขอบเขตเซียน แต่น่ากลัวว่าจะบรรลุครึ่งก้าวเซียนมานาน พลังฝีมือก้าวหน้าไม่ใช่ชั่วแล้วจริงๆ!


 


ในฐานะคนที่เคยทำงานในจวนอ๋อง มันย่อมรู้จักอีกฝ่ายดี


 


“ขอบพระคุณท่านอ๋อง”


 


หลังจากที่ยืนขึ้น เยี่ยมู่ไป๋ก็เร่งกล่าวขอบคุณทันที


 


“มู่ไป๋ เจ้ามาหาเราอ๋องครั้งนี้ ใช่มีเรื่องอันใดให้เราผู้อ๋องช่วยเหลือหรือไม่?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ใช่”


 


เยี่ยมู่ไป๋พยักหน้า “ข้ากลับมาครั้งนี้เพราะมีบางอย่างจะขอความช่วยเหลือจากพระองค์…หลังจากจบเรื่องนี้แล้วข้าน้อยจักมิมารบกวนพระองค์อีก”


 


“มู่ไป๋ เจ้าเกรงใจไปแล้ว เจ้าช่วยชีวิตเราเอาไว้ เราผู้อ๋องซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าเสมอมา คำมั่นที่ผู้อ๋องเคยให้เจ้าไว้ในปีนั้นว่าจักทำทุกอย่างให้เจ้าหากอยู่ในขอบเขตอำนาจของเราล้วนเป็นความสัตย์จริง…หากแต่หลายปีมานี้เจ้ากลับมิเคยหวนกลับมาสักครั้ง เราผู้อ๋องก็คิดว่าเจ้าจะลืมไปเสียแล้ว แต่ที่แท้เจ้ายังคงจดจำมันได้เสมอมา”


 


อ๋องเฉียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแต้มใบหน้า “เจ้าว่ามาเถิด ว่าที่มาคราวนี้เจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่”


 


“ท่านอ๋อง ข้าอยากขอให้ท่านช่วยสังหารคนผู้หนึ่งให้ข้า”


 


เยี่ยมู่ไป๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ค่อยกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


“โฮ่?”


 


ลูกตาอ๋องเฉียนทอประกายสว่างวาบ ค่อยพยักหน้า “ตราบใดที่เราผู้อ๋องมีความสามารถพอจะสังหารคนผู้นั้น ไม่ว่ามันจะเป็นใคร หากฆ่าไม่ได้ไม่เลิกรา…บอกราผู้อ๋องมาเถอะ ว่าเจ้าอยากให้ผู้ใดตายตก?”


 


“ท่านอ๋องข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้าเองก็มิรู้ว่ามันเป็นใคร….”


 


เยี่ยมู่ไป๋เผยยิ้มขื่นขมออกมา


 


พอได้ยินดังนี้ ลึกลงไปในแววตาของอ๋องเฉียนเผยความไม่พอใจขึ้นมาทันที คิ้วยังขมวดเป็นปมเล็กๆ


 


“บังอาจ!!”


 


ตอนนี้เองชายชราที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังของอ๋องเฉียนพลันคำรามออกมาเสียงเหี้ยม


 


ทั้งทั่วร่างของชายชราทั้ง 2 ดังกล่าวยังเริ่มปรากฏไอพลังมหาศาลอันสร้างแรงกดดันอันหนักอึ้งออกมาสะกดร่างเยี่ยมู่ไป๋เอาไว้ทันที พาลให้ร่างมันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม


 


กลิ่นอายพลังกดดันนี้ ทำให้เยี่ยมู่ไป๋หายใจแทบไม่ออกแล้ว!


 


เยี่ยมู่ไป๋ยังตระหนักได้แทบจะทันทีว่าชายชราทั้ง 2 นั่นสมควรเป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนแน่แท้!


 


จนเมื่ออ๋องเฉียนยกมือขึ้นส่งๆคราหนึ่ง แรงกดดันอันหนักอึ้งจึงค่อยสลายไป


 


“มู่ไป๋หากกระทั่งเจ้ายังมิรู้ว่ามันเป็นผู้ใด แล้วจะให้เราผู้อ๋องสังหารมันได้อย่างไร?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถามเยี่ยมู่ไป๋ รอยยิ้มบนใบหน้ายังเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา


 


“ข้าน้อยต้องอภัยท่านอ๋องด้วย ที่มิทันกล่าววาจาให้จบคำในครั้งเดียว…ถึงแม้ข้าน้อยจักมิรู้ว่ามันเป็นผู้ใด แต่ข้าน้อยมีภาพเหมือนของมัน นอกจากนี้ข้าน้อยยังล่วงรู้ว่ามันสมควรมาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้สักพักแล้ว”


 


เยี่ยมู่ไป๋ที่ลอบปาดเหงื่อเย็น เร่งกล่าวออกมาทันที


 


“สมควรมาถึงเมืองหลวงได้สักพักแล้ว?”


 


อ๋องเฉียนขมวดคิ้ว “แต่นั่นหมายความว่า…ตอนนี้เจ้าเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะยังอยู่ในเมืองหลวงใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


เยี่ยมู่ไป๋พยักหน้า และเร่งกล่าวออกมาอีกครั้ง “เรียนท่านอ๋องหากท่านพบว่ามันยังอยู่ในเมืองหลวงก็ขอให้ท่านฆ่ามันเสีย เพราะมันสังหารน้องชายที่ข้าน้อยรัก…หากแต่ถ้าท่านมิพบตัวมันในเมืองหลวงแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าน้อยก็ได้แต่โทษโชคชะตาของข้าน้อยที่มันไร้วาสนา และข้าน้อยจะไม่มารบกวนท่านอ๋องอีกต่อไป”


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจาของเยี่ยมู่ไป๋นั้นหาทางลงสำหรับทุกฝ่ายเอาไว้แล้ว


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ส่งมอบภาพเหมือนของคนผู้นั้นให้เราผู้อ๋องมาเก็บไว้เถอะ แล้วเจ้าก็ไปพักที่จวนรับรองแขกเช่นเดิมเพื่อรอคอยฟังข่าวดี เราผู้อ๋องจักพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตเราผู้อ๋องไว้”


 


อ๋องเฉียนกล่าว


 


“ทราบ”


 


หลังจากที่เยี่ยมู่ไป๋ส่งรูปเหมือนไปให้อ๋องเฉียน มันก็ถูกชายวัยกลางคนพากลับที่พัก


 


ส่วนทางด้านอ๋องเฉียนก็เปิดดูภาพเหมือนดังกล่าวทันที พบเห็นเป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา คิ้วคมเข้มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว


 


‘เยี่ยมู่ไป๋นี้ชรามากแล้ว แต่ยังมิยอมตกตายไปเสียที…กลับหาเรื่องให้ข้าต้องมาวุ่นวายเพื่อหาตัวไอหนุ่มนี่อีก’


 


แน่นอนว่าวาจาเหล่านี้อ๋องเฉียนได้แต่กล่าวในใจ


 


“เรียนท่านอ๋อง ด้านนอกจวนมีชายผู้หนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นประมุขนิกายหยินหมิงมาขอเข้าเฝ้า”


 


ในขณะที่อ๋องเฉียนกำลังดูรูปเหมือนอยู่ ก็มีเสียงรายงานดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง


 


“อี้เฟิงประมุขนิกายหยินหมิง มาคารวะองค์ชาย 4”


 


ตอนนี้เองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก เสียงนี้แฝงเร้นไปด้วยปราณแรกกำเนิด ทำให้มันดังก้องไปทั่วจวนอ๋อง


 


“ท่านอ๋อง มันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียน”


 


ตอนนี้เองชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังอ๋องเฉียนพลันหันมองสบตากันรอบหนึ่ง ค่อยกล่าวออกมา


 


เนื่องจากในน้ำเสียงแฝงเร้นไปด้วยปราณแรกกำเนิด ทำให้มันแผ่กลิ่นอายพลังที่ต่างจากปราณแท้ชัดเจน จึงสามารถระบุขอบเขตพลังผู้กล่าวได้แทบจะทันที


 


“ประมุขนิกายหยินหมิง? มันมาที่นี่ทำอะไร?”


 


อ๋องเฉียนโค้งคิ้วขึ้นพร้อมกล่าวพึมพำออกมาด้วยความสงสัย จากนั้นมันก็ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินออกไปหน้าโถงจวน หัวเราะออกมาเบาๆ “ประมุขอี้เฟิง มิทราบลมอันใดพัดท่านมา ถึงได้ให้เกียรติมาเยืนนเราถึงจวน”


 


ผู้เข้มแข็งในขอบเขตเซียนนั้น เพียงพอที่จะให้มันออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง


 


ในขณะที่อ๋องเฉียนเดินออกมา ชายชรา 2 คนด้านหลังก็เร่งติดตามมาดั่งเงา


 


“คารวะองค์ชาย 4”


 


ด้านนอกห้องโถง ร่างแลดูอ่อนล้าอิดโรยคล้ายเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรีบเดินทางของอี้เฟิงประสานมือคารวะอ๋องเฉียนทันที


 


“ประมุขอี้ ไฉนท่าน…”


 


เมื่อเห็นภาพราวกับสุนัขหอบแดดของอี้เฟิง อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


มันย่อมเคยพบหน้าประมุขนิกายหยินหมิงมาก่อน หากแต่ตอนนั้นอีกฝ่ายแลดูแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ไหนเลยจะมีสภาพไม่ต่างสุนัขชราใกล้ตายเช่นนี้


 


“ด้านนอกคงมิสะดวกให้ข้ากล่าว พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ ท่านอ๋อง…”


 


อี้เฟิงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ


 


“ดี”


 


อ๋องเฉียนพยักหน้าแล้วเดินนำอี้เฟิงกลับเข้าไปยังโถงจวน หลังจากที่มันนั่งเก้าอี้บนแท่นเรียบร้อยแล้ว อี้เฟิงจึงนั่งลงบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ด้านล่าง


 


“ประมุขอี้เฟิง ท่านเองก็เป็นประมุขของนิกายหยินหมิงอนาคตของท่านก็นับว่าไร้ขอบเขต ไฉนตอนนี้ท่านถึงแลดูอ่อนล้าเช่นนี้ได้เล่า?”


 


อ๋องเฉียนมองถามอี้เฟิงด้วยความอยากรู้


 


“องค์ชาย 4 เรื่องนี้พวกเราค่อยสนทนากันภายหลัง…แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องคิดจะถามท่านอ๋องสักครา”


 


อี้เฟิงมองอ๋องเฉียนตาคม


 


“คิดถามอะไรงั้นหรือ?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถามกลับด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“องค์ชาย 4 มิทราบท่านรู้จัก ‘ตราผนึกมาร’ หรือไม่?”


 


ใบหน้าอี้เฟิงเผยความเข้มขรึม สายตายังเพ่งมองอ๋องเฉียนอย่างจริงจังขณะถาม


 


ตราผนึกมาร!


 


ได้ยินคำถามนี้ของอี้เฟิงไม่เพียงแต่อ๋องเฉียน กระทั่งชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังยังเสียอาการ


 


ตราผนึกมาร! คำ 3 คำนี้มิได้แปลกหูสำหรับพวกมันแต่อย่างไร!


 


กระทั่งทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า คำเพียง 3 คำนี้ ก็มีอานุภาพมากพอจะทำให้ผู้คนทั้งดินแดนตะลึง


 


ตราผนึกมาร มันคือ 1 ใน 10 สุดยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เป็นดั่งฝันร้ายสำหรับผู้ฝึกตนในหนทางมาร…



ตอนที่ 1,619 : เป็นมัน!


 


“ประมุขอี้เฟิง…อยู่ๆท่านกล่าวถึงตราผนึกมารเช่นนี้ สมควรมีเหตุผลใช่หรือไม่?”


 


อ๋องเฉียนมองอี้เฟิง ทั้งเพ่งตามองถาม


 


ตราผนึกมาร 1 ในยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ใครจะไม่รู้จัก?


 


พออี้เฟิงกล่าวถามออมกมาแบบนี้ สิ่งแรกที่อ๋องเฉียนคิดถึงก็คือ อี้เฟิงอาจจะรู้ที่อยู่ของตราผนึกมาร!


 


อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่อ๋องเฉียน


 


ชายชรา 2 คนด้านหลังก็คิดไม่ต่าง


 


“ข้ากล่าวถึงตราผนึกมารขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล”


 


อี้เฟิงพยักหน้าทันที ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ยังกล่าวเสริมอย่างตรงไปตรงมา “เพราะตอนนี้ข้ารู้ว่าตราผนึกมารอยู่ที่ใด!”


 


เปรี๊ยง!!


 


สิ้นวาจานี้ของอี้เฟิง ประหนึ่งอัสนียามแล้งฟาดผ่าลงมาไม่มีผิด ยังไม่ต่างใดจากหนึ่งหินหล่นสระบังเกิดคลื่นพันระลอก พาลให้สายตาของอ๋องเฉียนและชายชราทั้ง 2 หรี่มองอี้เฟิงทันที


 


สายตาทั้ง 3 ยังคมกล้าปานจะฉีกทึ้งร่างอี้เฟิงเป็นชิ้นๆ!


 


“ตราผนึกมารอยู่ที่ใด?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถาม


 


ชายชราทั้ง 2 ที่อยู่เบื้องหลังอ๋องเฉียนยังแผ่สำนึกเทวะไปสะกดร่างอี้เฟิงเอาไว้ทันที


 


“นั่นคือเรื่องต่อไปที่ข้ากำลังจะพูด…”


 


อี้เฟิงไม่ได้โกรธอะไรที่ถูกสำนึกเทวะของชายชราทั้ง 2 สะกดขัง สีหน้าท่าทางยังคงสงบกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน


 


“ก่อนหน้านี้มิใช่องค์ชาย 4 กล่าวถามข้าหรือ ว่าไฉนสภาพข้าถึงแลดูอ่อนล้าเช่นนี้…ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฝีมือผู้ครอบครองตราผนึกมาร! ข้ามั่นใจว่าองค์ชาย 4 รู้ดีว่าข้าคือประมุขนิกายหยินหมิง และยังเป็นผู้ฝึกมารในขอบเขตเซียน”


 


อีเฟิงกล่าวสืบต่อ


 


อ๋องเฉียนพยักหน้ารับ เรื่องอี้เฟิงเป็นผู้ฝึกมารมันย่อมรู้ดี


 


อย่างไรก็ตามเรื่องที่มันอยากรู้ที่สุดก็คือ ตอนนี้ตราผนึกมารอยู่ในมือใคร!


 


“ผู้ที่ครอบครองตราผนึกมาร เป็นเพียงผู้ฝึกตนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับครึ่งก้าวเซียน…แต่ด้วยเพราะความที่มันมีตราผนึกมาร ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงของข้าต้องตกตายอย่างไร้หนทางต่อสู้ หากตัวข้าไม่เร่งรีบหลบหนีออกมา ไม่แคล้ววิญญาณของข้าคงถูกตราผนึกมารนั่นสะกดทำลายเช่นกัน!”


 


วาจาต่อมาของอี้เฟิงยามกล่าว มันเผยอาการหวาดผวาขลาดกลัวไม่น้อย


 


“หากข้าจำมิผิดอาวุโสสูงสุดนิกายท่าน ก็เป็นผู้ฝึกมารในขอบเขตเซียนใช่หรือไม่?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


อี้เฟิงพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกันกับข้า…แต่เพราะพวกเราเป็นผู้ฝึกมาร จึงถูกตราผนึกมารสะกดพลังอำนาจทุกทาง! หากพวกเรามิใช่ผู้ฝึกมาร คิดฆ่าตัวบัดซบนั่นคงง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ!!”


 


“มันเป็นใคร!?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถามด้วยสายตาร้อนรุ่ม


 


สำหรับมันแล้วผู้ฝึกตนในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนไม่ใช่ปัญหาของมันแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรให้มันกังวลเลยด้วยซ้ำ!


 


ตราบใดที่มันล่วงรู้ว่าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวเซียนที่ว่าอยู่ที่ใด มันจะไปฆ่าชิงตราผนึกมารมาทันที!


 


“องค์ชาย 4 ก่อนที่ข้าจะกล่าวบอกตัวตนของคนผู้นั้น ข้าอยากให้ท่านสัญญาว่าจะรับปากข้า 2 เรื่อง”


 


ลูกตาของอี้เฟิงทอประกายสว่างวาบ กล่าวออกมาตรงๆ


 


“โอหัง!”


 


ได้ยินวาจาประโยคนี้ของอี้เฟิง อ๋องเฉียนขมวดคิ้วเป็นปม ส่วนชายชราที่อยู่ด้านหลังทั้ง 2 ถึงกับตะคอกเสียงแข็ง “อี้เฟิง เจ้ากล้าดีอย่างไร! เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรต่อรองกับฝ่าบาทงั้นหรือ!?”


 


“เจ้ามันก็แค่สุนัขข้างถนน! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพวกเราสามารถฆ่าเจ้าให้ตายคาที่ได้ทุกเมื่อ!”


 


ชายชราผู้เป็นขอบเขตเซียนทั้ง 2 แผ่พุ่งพลังออกมามหาศาลจนคล้ายหมอกเมฆ มวลพลังทั้งหมดพุ่งไปสะกดข่มอี้เฟิงเอาไว้อย่างเกรี้ยวกราด!


 


หากทว่าอี้เฟิงไม่ได้นำพาอาการดุร้ายขู่ข่มของพวกมัน เพียงมองจ้องอ๋องเฉียนด้วยสายตาสงบ “องค์ชาย 4 ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มืออาวุโสทั้ง 2 …คงเป็นเรื่องง่ายดายนักที่อาวุโสจะฆ่าข้า แต่องค์ชาย 4…ท่านยินดีล้มเลิกเรื่องตราผนึกมารแล้วหรือ?”


 


พออี้เฟิงกล่าวจบคำ สีหน้าของชายชราก็ถมึงทึงขึ้นมาทันใด ยังคิดจะเพิ่มแรงกดดันบีบคั้นให้อีกฝ่ายกระอัก ทว่าเป็นอ๋องเฉียนที่ยกมือขึ้นมาหยุดเอาไว้ก่อน


 


“ประมุขอี้เฟิง ท่านต้องการอันใดบ้างลองบอกกล่าวมาเถอะ”


 


อ๋องเฉียนมองกล่าวกับอี้เฟิงเสียงเรียบ สีหน้าท่าทางไม่คล้ายมีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ


 


“องค์ชาย 4 ตอนนี้อาวุโสสูงสุดของข้าก็ตายไปแล้ว ทั้งตัวข้ายังต้องหนีมาแบบนี้ นิกายหยินหมิงข้าคงไม่พ้นเหลือแต่ชื่อ…ข้าอยากขอให้ท่านรับตัวข้า…ไว้เป็นขุมกำลังของท่านอีกสักคน”


 


อี้เฟิงกล่าวต่ออ๋องเฉียนตรงๆ ในน้ำเสียงยังมีความสุภาพขึ้นมาหลายส่วน


 


“หืม? เจ้าคิดจะเข้าร่วมกับข้างั้นรึ?”


 


อ๋องเฉียนยิ้ม “เท่าที่ข้าทราบ มิใช่ว่าเจ้าก็มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซือถูมิใช่หรือไร…หากเจ้าเข้าร่วมกับข้ามิใช่ว่าจะเป็นการทรยศตระกูลซือถู ไม่สิกล่าวให้ชัดต้องทรยศซือถูหมิงสินะ”


 


ในฐานะที่เป็นองค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูเฟิง แน่นอนว่าอ๋องเฉียนย่อมรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในของตระกูลซือถู


 


“องค์ชาย 4 ท่านก็ล่วงรู้คำที่ว่า น้ำไหลลงที่ต่ำ คนปีนป่ายขึ้นที่สูง…ข้ามิใช่โง่เขลา หากข้าบอกเรื่องตราผนึกมารกับทางตระกูลซือถู เกรงว่าพวกมันคงคิด ‘ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน’ แน่แท้…นอกจากนี้ซือถูหมิงยังจะนับเป็นตัวอะไรได้หากเทียบกับท่าน”


 


อี้เฟิง ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียน ตอนนี้กลับกล่าววาจาประจบสอพลออ๋องเฉียนหน้าตาเฉย


 


“น้ำไหลลงที่ต่ำ คนปีนป่ายขึ้นที่สูง…ดี! วาจาอันประเสริฐนัก!!”


 


ได้ยินคำสอพลออี้เฟิง อ๋องเฉียนก็ยิ้มร่าออกมาอย่างถูกใจ “เอาล่ะข้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ของเจ้า”


 


“อย่างไรก็ตามก่อนที่เจ้าจะเข้าร่วมกับข้าเจ้าควรรู้ไว้…เรื่องศึกช่วงชิงบัลลังก์ของพวกข้าพี่น้อง ทางตระกูลซือถูนั้นมิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับข้า เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับข้าหมายความว่าเจ้าก็อยู่คนละฝั่งกับตระกูลซือถู ถึงแม้ซือถูหมิงกับซือถูฮ่าวจักมิลงรอยกัน แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้พวกมันก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน คงยากที่จะเปลี่ยนจุดยืนของพวกมันได้”


 


อ๋องเฉียนพลันกล่าวเตือนออกมา


 


“องค์ชาย 4 เรื่องนี้ขอท่านโปรวางใจ ข้ามีวิธีสร้างความแตกแยกในตระกูลซือถู กระทั่งยังมีหนทางดึงตัวซือถูหมิงออกมาให้เข้าร่วมกับพวกเรา”


 


อี้เฟิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


 


“โฮ่?”


 


ลูกตาอ๋องเฉียนส่องแสงสว่างโร่ขึ้นมาทันใด “เจ้ากล่าวจริงหรือ?”


 


หากมันได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายซือถูหมิงของตระกูลซือถู ไม่เพียงแต่ขุมกำลังของมันจะทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น หากแต่ยังเป็นการลดทอนขุมกำลังของฝ่ายตรงข้ามลงด้วย!


 


สำหรับมันแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องอันดีงามนัก!


 


“อี้เฟิงผู้นี้ ยังจะกล้าหลอกลวงองค์ชาย 4 หรือ?”


 


อี้เฟิวกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“เอาล่ะ ได้เช่นนั้นก็ดี…แต่ต่อให้มิได้ก็ไม่เป็นไร อี้เฟิงหลังจากนี้ไปหากเจ้าดีกับเราผู้อ๋อง เราผู้อ๋องก็ย่อมไม่ร้ายกับเจ้า”


 


อ๋องเฉียนหัวเราะร่า “แล้วสำหรับเงื่อนไขอีกข้อเล่า?”


 


“คำขอของข้าเรื่องนี้มิใช่เรื่องยากสำหรับองค์ชาย 4 แม้แต่น้อย ยังเปรียบดั่งผลักเรือตามกระแสน้ำด้วยซ้ำ…”


 


อี้เฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลูกตาบังเกิดประกายเย็นเยียบวูบวาบออกมา “ข้าหวังเพียงแต่ว่าเมื่อองค์ชาย 4 แย่งชิงตราผนึกมารมาได้แล้ว ข้าขอให้ท่านส่งตัวผู้ที่ครอบครองตราผนึกมารมาให้ข้า เพื่อที่ข้าจะได้ฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!!”


 


“เจ้าต้องการให้เราผู้อ๋องสัญญาเรื่องเท่านี้?”


 


คราวนี้อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแล้ว เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนั้นไม่มีอะไรส่งผลเสียกับมันเลยแม้แต่น้อย ยังแทบไม่ต่างอะไรจากขอพลับสักลูกในสวน


 


“ใช่!”


 


อี้เฟิงพยักหน้า ค่อยกล้าวออกมาด้วยความคับแค้น “ตัวบัดซบนั่นมันไม่เพียงแต่ฆ่าผู้อาวุโสสูงุสดของนิกายข้า ยังทำให้ข้าต้องหนีจากนิกายหยินหมิงมาอย่างหัวซุกหัวซุน…ตอนนี้นิกายหยินหมิงของข้าสมควรล่มสลายไปแล้ว เรียกว่ามันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของข้าที่เพียรสร้างมาทั้งชีวิต! ข้าต้องฆ่ามันกับมือให้ได้!!”


 


“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เราผู้อ๋องสัญญากับเจ้า!”


 


อ๋องเฉียนเร่งกล่าวตอบรับไปทันที


 


“ขอบพระคุณท่านองค์ชาย 4”


 


อี้เฟิ่งเร่งกล่าวขอบคุณออกมาทันที


 


“ถึงตอนนี้เจ้าสามารถบอกได้แล้วหรือไม่ ว่าผู้ที่ครอบครองตราผนึกมารมันเป็นใคร?”


 


อ๋องเฉียนกล่าวถาม


 


จังหวะนี้กระทั่งชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองไปยังร่างอี้เฟิงตาเขม็ง คล้ายพวกมันจะจับสังเกตทุกทีท่าความเปลี่ยนแปลงของอี้เฟิง ว่ากล่าวความจริงออกมาหรือไม่


 


“องค์ชาย 4 ผู้ที่ถือครองตราผนึกมารอยู่…ท่านเองก็สมควรได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของมันมาแล้ว”


 


อี้เฟิงกล่าว


 


“หืม? ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของมันงั้นเหรอ?”


 


เมื่ออี้เฟิงเกริ่นมาแบบนี้ อ๋องเฉียนยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ “มันเป็นผู้ใดกันแน่!?”


 


“ต้วน! หลิง! เทียน!!”


 


อี้เฟิงขบฟันกรามจนแทบแตก กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


อ๋องเฉียนขมวดคิ้ว “นามนี้คุ้นหูเรานัก…เคยได้ยินจากที่ใดแล้วนะ?”


 


“เรียนท่านอ๋องมันคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู โด่งดังขึ้นมาในฐานะปรมาจารย์ต้วนและท่านต้วน แต่นามเต็มๆของมันก็คือ ต้วนหลิงเทียน”


 


ตอนนี้เองชายชรา 1 ใน 2 ที่อยู่ด้านหลังอ๋องเฉียนพลันกล่าวออกมา


 


“เป็นมันงั้นเหรอ?”


 


หลังได้ยินคำเตือน อ๋องเฉียนก็หันไปมองหน้าอี้เฟิงอีกครั้ง คล้ายรอการยืนยัน


 


“ถูกแล้ว! เป็นมัน!!”


 


อี้เฟิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “วันก่อนมันบุกเข้ามายังนิกายหยินหมิงของข้า และฆ่าอาวุโสสูงุสดด้วยตราผนึกมาร ข้าเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด แต่ยังดีที่ข้าสามารถหนีมาได้ทันเวลา…”


 


คิดถึงฉากในวันนั้น ร่างอี้เฟิงยังสั่นไม่หาย


 


ตอนที่มันถูกพลังอำนาจของตราผนึกมารเพ่งเล็งมันเองก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะหนีรอดมาได้ โชคดีนักที่อาวุโสสูงสุดอยู่ใกล้ตราผนึกมารมากกว่า จึงหันไปไล่ล่าอาวุโสสูงสุดก่อน


 


มันเองก็อาศัยจังหวะดังกล่าวเร่งรุดหลบหนีมาสุดชีวิต ยังเผาแก่นโลหิตเพื่อให้หลุดพ้นจากการเพ่งเล็งของตราผนึกมาร จนหนีรอดมาได้ในที่สุด


 


“แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียน เจ้าของตราผนึกมาร…ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าจะมาหาข้าเช่นนี้ เพราะเจ้าของตราผนึกมารกลับอยู่ที่ตระกูลซือถู!”


 


ลูกตาอ๋องเฉียนทอประกายเรืองวูบ กล่าวออกมาด้วยไหวพริบ


 


ในตระกูลราชวงศ์นั้น มีน้อยคนนักที่จะมีความสามารถในการแย่งชิงบัลลังก์ หากแต่จำนวนก็ไม่ถือว่าเล็กน้อย ถึงแม้มันจะเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถดังกล่าว แต่มันก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด


 


และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ องค์ชายรองที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซือถู!


 


อี้เฟิงไม่ได้ไปหาพี่รองของมันแต่มาหาตัวมันแบบนี้ ตอนแรกมันก็คิดว่าพิกลนัก แต่สุดท้ายกลับเป็นเพราะสาเหตุนี้นั่นเอง…


 


หากอี้เฟิงไปหาพี่รองของมัน แม้พี่รองของมันจะต้องการตราผนึกมาร แต่ก็คงยากจะปล่อยแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูให้อี้เฟิงจัดการ…สำหรับอี้เฟิงแล้วเรื่องล้างแค้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด


 


และเป็นมันที่สามารถมอบโอกาสในการล้างแค้นให้อี้เฟิงได้


 


‘ต้วนหลิงเทียน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ตราผนึกมารในมือเจ้าต้องเป็นของข้าอ๋องเฉียน!!’


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด หากแต่มุมปากของอ๋องเฉียนพลันแสยะยิ้มเย็นออกมา ในใจยังบังเกิดความตื่นเต้นทั้งคึกคักอักโขนัก ทำราวกับมันแลเห็นภาพที่มันได้ตราผนึกมารมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว


 


‘หากข้าได้ตราผนึกมารมาล่ะก็ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายพี่รองนั่นอีกต่อไป! กระทั่งข้ายังสามารถใช้ตราผนึกมารจัดการกับพวกมันด้วยตัวเองด้วยซ้ำ!!’


 


ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่อ๋องเฉียนก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีมากขึ้นเท่านั้น


 


พอตื่นเต้นเข้าหน่อย อะไรในมือมันก็ไม่คิดจะสนใจต่อไป สุดท้ายจึงปล่อยภาพเสมือนที่เยี่ยมู่ไป๋ให้ไว้ทิ้งไปราวกับขยะ


 


“เป็นมัน!!”


 


ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปหล่อเหลาในภาพ ลูกตาของอี้เฟิงพลันหดแคบลงทันใด ยังร้องโพล่งออกมาด้วยความแค้น!



ตอนที่ 1,620 : ‘ตอเหล็ก’


 


“อะไรกัน ท่านรู้จักมันด้วยรึ?”


 


ความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอารมณ์ในฉับพลันนี้ของอี้เฟิง อ๋องเฉียนย่อมพบเห็น สองตาของมันทอประกายสว่างวาบกล่าวถามออกมาทันที


 


กล่าวตามตรง ตอนที่มันได้รับภาพเหมือนนี้มาจากเยี่ยมู่ไป๋ มันเองก็ไม่รู้จะไปตามหาตัวคนในภาพที่ใด…


 


แต่ตอนนี้พอมันทำภาพเหมือนหล่นโดยไม่ตั้งใจจนกางออกให้อี้เฟิงแลเห็นหน้า มิคาดอีกฝ่ายกลับเผยท่าทีแบบนี้ออกมา นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายสมควรรู้จักคนในภาพแน่แล้ว!


 


‘อี้เฟิงผู้นี้มันเป็นดาวนำโชคของข้ารึไร?’


 


จังหวะนี้อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ


 


“องค์ชาย 4 ภาพนี้ของท่าน…มิใช่ว่าเป็นภาพต้วนหลิงเทียนหรือไร?”


 


พอสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่พักหนึ่ง อี้เฟิงก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ก่อนที่จะกล่าวถามอ๋องเฉียนออกไปด้วยความงุนงง


 


เพราะฟังจากคำถามของอ๋องเฉียน คล้ายอีกฝ่ายจะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน


 


อย่างไรก็ตามหากอ๋องเฉียนไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนมาก่อน ไฉนถึงมีภาพต้วนหลิงเทียนถืออยู่ในมือได้?


 


มันย่อมงุนงงและสับสนในเรื่องนี้


 


“ว่าอะไร!? มันน่ะหรือ..ต้วนหลิงเทียนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู!?”


 


กระทั่งอ๋องเฉียนเองพอได้ยินคำถามของอี้เฟิง ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “คนที่เยี่ยมู่ไป๋อยากให้ข้าช่วยสังหารให้…ที่แท้กลับเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู? เจ้าของตราผนึกมาร?”


 


“นี่มันจักมิบังเอิญไปหน่อยหรือ?”


 


ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังทั้ง 2 หันหน้ามองตากัน และต่างเห็นถึงความประหลาดใจในสายตาของอีกฝ่าย


 


“องค์ชาย 4 เรื่องนี้…”


 


อี้เฟิงย่อมไม่เข้าใจในสถานการณ์


 


หลังจากได้รับคำอธิบายจากชายชรา 1 ใน 2 ที่ยืนอยู่ด้านหลังอ๋องเฉียน อี้เฟิงจึงค่อยได้ทราบว่าที่แท้มันเรื่องอะไรกัน สองตายังทอประกายสว่างขึ้นมาทันที “ใต้หล้ากลับมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่จริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมไม่ได้รู้เรื่องราวที่บังเกิดขึ้นในวังหลวงเลย


 


ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ตกเป็นเป้าของตัวตนที่แข็งแกร่ง และมีอำนาจมาก เรียกว่าสถานะในประเทศฝูเฟิงแทบไม่ต้อยต่ำไปกว่าใคร


 


ตอนนี้เขาก็ได้พาเฟิ่งหวู่เต้ามาถึงนิกายอัคคีล่องลอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


ครั้งก่อนตอนมายังนิกายอัคคีล่องลอยเพื่อท้าประลองเฟิ่งเทียนหวู่ มีน้อยคนนักที่ไม่ได้เห็นต้วนหลิงเทียน ดังนั้นพอมาถึงหน้าประตูใหญ่ของนิกาย ศิษย์ที่รับหน้าที่เฝ้าประตูจึงจดจำเขาได้แทบจะทันที


 


หากต้วนหลิงเทียนเพียงชนะเฟิ่งเทียนหวู่อย่างเดียว พวกมันอาจไม่ค่อยไว้หน้าต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่


 


ทว่าตัดสินจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้น น่ากลัวว่า ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูคนนี้ กับ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยของพวกมัน สมควรมีสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันนัก!


 


“ท่านต้วน”


 


ดังนั้นเมื่อเจอหน้าต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เหล่าศิษย์นิกายอัคคีจึงเร่งทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพ


 


“ข้ามาหาแม่นางเฟิ่งกับประมุขของพวกเจ้าน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวกับเหล่าศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงประมุขนิกายด้วย เพราะเขาคิดให้สื่ออวิ๋นรับทราบตัวตนของเฟิ่งหวู่เต้า กระทั่งอยากให้อีกฝ่ายคอยช่วยดูแลเฟิ่งหวู่เต้าอีกทาง


 


“ท่านต้วน โปรดตามข้ามาทางนี้”


 


ไม่นานศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยก็พาต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งหวู่เต้าเข้าไปด้านในนิกาย มุ่งหน้าไปยังโถงรับแขก


 


ในระหว่างทางเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่เห็นต้วนหลิงเทียนมาเยือนนิกายอัคคีล่องลอยอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนทนาทันที “ท่านต้วนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูไฉนมาเยือนนิกายเราอีกแล้วเล่า?”


 


“ฮัยยา เขามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับแม่นางเฟิ่ง ก็มิใช่เรื่องปกติหรือที่จะไปมาหาสู่กัน?”


 


“ถูกแล้วๆ! คนรักกันมาพบกันบ่อยๆ ก็นับเป็นเรื่องราวอันปกตินัก”


 


……


 


เสียงสนทนายิ่งมาก็ยิ่งดังและยิ่งเรียกร้องความสนใจของเหล่าศิษย์ ทว่ามีเหล่าศิษย์ชายหลายคนที่อดไม่ได้ที่จะทำหน้าทำตาละห้อย ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายของพวกมัน ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในนิกาย กลับถูกคนนอกขโมยหัวใจไปเสียแล้ว สำหรับพวกมันนี่ย่อมเป็นข่าวเศร้าชวนให้สลดใจไม่น้อย


 


ได้ยินบทสนทนาอื้ออึงจากเหล่าศิษย์รอบๆ เฟิ่งหวู่เต้าก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองไปยังต้วนหลิงเทียน


 


มันย่อมหวังจากใจว่าบุตรีของมันจะลงเอยและได้อยู่กับต้วนหลิงเทียน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีคู่หมั้นกระทั่งพวกนางก็ตั้งครรภ์แล้วถึงสองคนก็ตาม…


 


เพราะมันเชื่อมั่นว่าถึงบุตรีมันจะอยู่กับต้วนหลิงเทียน นางก็ไม่มีทางถูกอีกฝ่ายรังแกแน่นอน


 


แถมต้วนหลิงเทียนมีความรับผิดชอบสูงนัก


 


หลังจากที่รับรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมาถึง ไม่นานสื่ออวิ๋นก็ออกมาต้อนรับเป็นการส่วนตัวหน้าดโถงรับแขก


 


“ประมุขสื่ออวิ๋น”


 


หลังจากที่เห็นสื่ออวิ๋นออกมาด้วยตัวเอง ต้วนหลิงเทียนก็เร่งประสานมือคารวะทักทาย หากทว่าเขากลับไม่เห็นเฟิ่งเทียนหวู่ จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ประมุขสื่ออวิ๋น แล้วเทียนหวู่เล่า?”


 


“เทียนหวู่ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ทั้งยังอยู่ในช่วงสำคัญไม่น้อย”


 


สื่ออวิ๋นกล่าวตอบออกมาทันที “อีกทั้งหลังจากนี้นางอาจจะต้องปิดด่านบ่มเพาะบ่อยครั้ง เพราะเกี่ยวพันถึงอนาคตของนาง จึงเป็นการดีเสียกว่าที่เจ้าจะไม่มารบกวนนางให้มาก หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ”


 


ในวาจาของสื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยเจตนากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน ว่าอย่ามารบกวนเทียนหวู่ให้มากจนเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของนาง


 


ถึงแม้เรื่องที่เฟิ่งเทียนหวู่มีใจให้ต้วนหลิงเทียนนางจะไม่คัดค้านอะไร แต่นางก็ไม่คิดว่าอนาคตของทั้งคู่จะสดใสสักเท่าไหร่


 


เพราะในสายตาของนางเฟิ่งเทียนหวู่ที่ได้รับสืบทอดมรดก เคล็ดบำเพ็ญจิตหงส์ฟ้าจรัสแสง อันเป็น 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น สุดท้ายนางต้องก้าวหน้าเหนือล้ำต้วนหลิงเทียนไปไกล อย่างที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นได้แม้แต่ฝุ่น…ด้วยความภาคภูมิใจของต้วนหลิงเทียน น่ากลัวว่าถึงวันนั้นอีกฝ่ายคงไม่อาจทำใจอยู่กับเทียนหวู่ได้ลงคอ


 


ถึงแม้นางจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับต้วนหลิงเทียน และไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมากนัก แต่นางก็พอรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนก็สมควรมีทิฐิอยู่ไม่น้อย


 


“คารวะประมุขสื่ออวิ๋น”


 


ตอนนี้เองเฟิ่งหวู่เต้าก็ประสานมือคารวะสื่ออวิ๋นด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะหันมองต้วนหลิงเทียนแล้วพูดออกมาด้วยความเสียดาย “เจ้าหนูหลิงเทียน ในเมื่อเทียนหวู่ปิดด่านบ่มเพาะถึงช่วงสำคัญ พวกเราก็อย่าได้รบกวนนางเลย…”


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“แล้วนี่คือ…?”


 


สื่ออวิ๋นย่อมสังเกตเห็นเฟิ่งหวู่เต้านานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าดวงตาของเฟิ่งหวู่เต้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายจึงอดไม่ได้ที่จะหันมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวกล่าวถามออกมา


 


“ประมุขสื่ออวิ๋น นี่คือลุงเฟิ่ง บิดาบังเกิดเกล้าของเทียนหวู่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกสื่ออวิ๋น


 


“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเทียนหวู่ได้ท่านประมุขสื่ออวิ๋นช่วยดูแลจนประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ ข้าเฟิ่งหวู่เต้าขอขอบพระคุณท่านจากใจ”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวจบก็ประสานมือทั้งโค้งคารวะขอบคุณสื่ออวิ๋นจากใจ


 


บิดาบังเกิดเกล้าของเทียนหวู่!


 


หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาสื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะวาวสว่างขึ้นมาทันใด และเมื่อเห็นว่าเฟิ่งหวู่เต้ากำลังโค้งคารวะนางอยู่ นางก็เร่งใช้พลังไร้สภาพยกอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาทันที


 


“ที่แท้ท่านก็คือบิดาของเทียนหวู่นี่เอง…ตลอดหลายปีที่ผ่านนางกล่าวถึงท่านบ่อยครั้งนัก”


 


ต่อหน้าเฟิ่งหวู่เต้า สีหน้าสื่ออวิ๋นกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส วาจายังเสียงอ่อนแลดูเป็นมิตรน่าฟังกว่ายามสนทนากับต้วนหลิงเทียนคนละเรื่อง คล้ายกับเป็นคนละคนไปเลยก็ไม่ปาน


 


‘การปฏิบัตินี่มันอะไรกัน…ดูท่านทำเข้า’


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างอ่อนใจ


 


“ท่านนับว่าให้กำเนิดบุตรีอันประเสริฐนัก!”


 


สื่ออวิ๋นยิ้มกล่าวกับเฟิ่งหวู่เต้า ก่อนที่จะผายมือเชื้อเชิญให้ไปนั่งในห้องรับแขกทันที เมื่อเข้ามาแล้วนางก็นั่งลงที่หัวโต๊ะพร้อมกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ข้าไม่เอาไหน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะประมุขสื่ออวิ๋นที่ดูแลสอนสั่งนางอย่างดี”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวตอบออกไปอย่างถ่อมตน


 


ไม่นานเฟิ่งหวู่เต้ากับสื่ออวิ๋นก็เริ่มกล่าวสนทนากันอยู่ 2 คน แถมเฟิ่งหวู่เต้าเองก็เริ่มเล่าเรื่องราวครั้งเฟิ่งเทียนหวู่ยังเด็กออกมาหลายเรื่อง ด้านสื่ออวิ๋นก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนถูกลืม…กลายเป็นส่วนเกินในห้องอย่างไรไม่ทราบ


 


หลังจากผ่านไปราวๆ 2 เค่อ คล้ายเฟิ่งหวู่เต้าจะนึกออกว่าในห้องยังมีต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่ด้วยอีกคน จึงยิ้มออกมาอย่างละอายแล้วกล่าวเปิดประเด็นใหม่กับสื่ออวิ๋น “กล่าวไปแล้วที่ข้าสามารถหลบหนีออกมาจากนิกายหยินหมิงได้ ล้วนต้องขอบคุณเจ้าหนูหลิงเทียนทั้งสิ้น”


 


“หลบหนี? นิกายหยินหมิง?”


 


สื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว “นี่มันเรื่องอันใดกัน?”


 


เฟิ่งหวู่เต้าจึงเริ่มเล่าเรื่องราวช่วงที่จับพลัดจับผลูถูกจับไปเป็นแรงงานทาสที่นิกายหยินหมิงออกมา


 


“นิกายหยินหมิง ช่างกล้านัก!!”


 


สื่ออวิ๋นกล่าวสบถออกมาเสียงเย็น “กระทั่งบิดาของศิษย์ข้าสื่ออวิ๋น พวกมันยังจะกล้าจับไปเป็นทาส นับว่าครั้งนี้พวกมันกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วจริงๆ! คุณชายเฟิ่งโปรดวางใจ ข้าจะให้พวกมันมอบคำอธิบายที่ดีต่อท่าน!”


 


“ไม่ต้องหรอกประมุขสื่อ”


 


เฟิ่งหวู่เต้าพอได้ยินก็ส่ายหัว


 


“หรือคุณชายเฟิ่งไม่เชื่อในตัวข้า?”


 


สื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว


 


“ประมุขสื่อท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าบอกว่าไม่ต้องหรอก เพราะตอนนี้นิกายหยินหมิงสมควรล่มสลายไปแล้ว อาวุโสสูงสุดของพวกมันตกตาย ประมุขหนีหาย ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะไปหาความอันใดที่นิกายหยินหมิงเพื่อแก้แค้นให้ข้า เกรงว่าคงมิอาจจับคนผิดได้แล้ว…”


 


เฟิ่งหวู่เต้า เร่งกล่าวอธิบายออกมาทันที


 


“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


สื่ออวิ๋นอึ้งไปพักหนึ่ง นางเหลือบมองต้วนหลิงเทียนสักพักค่อยกล่าวถามออกมา


 


นิกายอัคคีล่องลอยที่นางเป็นผู้ควบคุมนั้นด้อยกว่าก็เพียงตระกูลราชวงศ์เท่านั้น ข้อมูลที่นางมีทั้งข่าวกรองต่างๆก็น่ากลัวไม่น้อย นางรู้ความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับตระกูลซือถูดี


 


และแน่นอนว่านางย่อมรู้ด้วยว่านิกายหยินหมิงนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซือถูเช่นกัน!


 


ดังนั้นนางจึงทราบว่าตระกูลซือถู ไม่น่าจะช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในเรื่องนี้ได้!


 


“ข้าเองก็มิค่อยรู้เรื่องราวอะไรมาก แต่ดูเหมือนจักมียอดฝีมือลึกลับบุกมานิกายหยินหมิง ฆ่าอาวุโสสูงสุดกระทั่งทำให้ประมุขหวาดกลัวจนหนีไป พอนิกายตกอยู่ในความปั่นป่วน ก็เป็นเจ้าหนูหลิงเทียนฉวยโอกาสดังกล่าวเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา”


 


เฟิ่งหวู่เต้าที่คิดจะกล่าวเล่าความจริงที่ได้รับทราบมาออกไป หากแต่เป็นต้วนหลิงเทียนที่ส่งเสียงผ่านปราณแท้มากล่าวหยุดเอาไว้เสียก่อน


 


ถึงแม้มันจะไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงไม่อยากให้มันพูดความจริง แต่มันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนคิดให้มันทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลบางประการแน่นอน และในเมื่อมันเองก็ไว้วางใจต้วนหลิงเทียนเสมอมา..


 


ดังนั้นมันจึงกล่าวตามที่ต้วนหลิงเทียนแนะออกไป


 


ที่ต้วนหลิงเทียนขอให้เฟิ่งหวู่เต้าพลิกลิ้นในฉับพลันเช่นนี้แน่นอนว่าเขามีเหตุผล เพราะมันคงไม่ส่งผลดีอะไรกับตัวเขาเลย ที่จะให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเขาที่เป็นสู่เซียน แต่สามารถฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนอย่างอาวุโสสูงสุดได้!


 


การที่ผู้ฝึกตนในขอบเขตสู่เซียนฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนได้ มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป!


 


ถึงแม้ว่าหากข่าวดังกล่าวแพร่ออกไป เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะโยงมาถึงตราผนึกมาร แต่ไม่น้อยต้องสงสัยเกี่ยวกับวิธีที่เขาใช้ฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนแน่นอน ถึงตอนนั้นน่ากลัวทั้งหลายจะแห่กันมารังควาญให้ปวดหัวตาย!


 


หากแค่ทำให้เขารำคาญเพราะถามนู่นนี่นั่นยังไม่เป็นไร แต่หากเป็นยอดฝีมือที่คิดมาเค้นความ…หมายรับทราบกลวิธีที่ว่าของเขา นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้!


 


แล้วจะให้เขาแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรล่ะทีนี้?


 


‘จะอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายภัยซ่อนเร้นก็ยังอยู่ ตราบใดที่อี้เฟิงนั่นยังไม่ตาย…’


 


พอคิดถึงเรื่องที่อี้เฟิงล่วงรู้ว่าเขามีตราผนึกมารและมันดันหนีไปได้แบบนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็จมลงไม่น้อย


 


เขาบังเกิดสังหรณ์ประการหนึ่ง ว่าอี้เฟิงจะใช้เรื่องตราผนึกมารนำพามรสุมมาสู่เขา


 


จากนั้นปัญหามากมายย่อมประดังใส่เขาเป็นแน่…


 


“ที่แท้เป็นเช่นนั้น”


 


หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเฟิ่งหวู่เต้า สื่ออวิ๋นก็พอจะคาดเดาสาเหตุได้ “ดังนั้นนับว่าท่านยังมีโชคนัก…สำหรับผู้ที่ลงมือฆ่าอาวุโสสูงสุดกระทั่งทำให้ประมุขอย่างอี้เฟิงหวาดกลัวจนต้องหลบหนีไป ข้าเชื่อว่าสมควรเป็น 1 ในตอเหล็กที่นิกายหยินหมิงมันเผลอไปเตะเข้า! เพราะอย่างไรเสียเรื่องชื่อเสียของนิกายหยินหมิง ก็ล่วงรู้กันทั้งประเทศฝูเฟิงอยู่แล้ว การที่สักวันพวกมันจะประสบหายนะเข้าเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร!”


 


อย่างไรก็ตามสื่ออวิ๋นไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ‘ตอเหล็ก’ ที่นางกล่าวถึง ก็คือต้วนหลิงเทียนที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้า!



ตอนที่ 1,621 : ผู้มาเยือนจากจวนอ๋องเฉียน!


 


ในเมื่อเฟิ่งเทียนหวู่กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ต้วนหลิงเทียนจึงคลาดกับนางและไม่ได้พบกันในครั้งนี้


 


“เจ้าหนูหลิงเทียน เจ้าจะไม่อยู่รอพบเทียนหวู่กับข้าหรือ?”


 


เฟิ่งหวู่เต้าที่ได้รับคำเชิญจากสื่ออวิ๋นให้พักอยู่ที่นิกายอัคคีล่องลอย พอได้ยินต้วนหลิงเทียนบอกว่าจะกลับตระกูลซือถูไปก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามรั้งออกมา


 


“ลุงเฟิ่ง ท่านไม่ได้พบเทียนหวู่มาหลายปีแล้ว เช่นนั้นท่านก็เฝ้ารอพบนางอยู่ที่นี่เถอะ…ส่วนข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องกลับไปจัดการ เกรงว่าจะเฝ้ารอพบนางพร้อมท่านไม่ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวปฏิเสธออกมาด้วยท่าทางขออภัย


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนตัดสินใจไปแล้ว เฟิ่งหวู่เต้าก็ไม่คิดพูดอะไรให้มากความอีก “เช่นนั้นขากลับเจ้าก็ระวังตัวให้มาก”


 


“ขอบคุณลุงเฟิ่ง เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปอำลาสื่ออวิ๋นและจากไปทันที


 


หลังจากที่ออกนอกเขตนิกายอัคคีล่องลอยและไร้ซึ่งอาคมห้ามบินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เปิดใช้เขตแดนอย่างไม่รอช้า ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพนับหมื่นเล่มผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


วู้ม!!


 


ทันใดนั้นกระบี่พลังมีสภาพนับหมื่นเล่มพลันหลอมรวมสู่หนึ่ง กลับกลายเป็นกระบี่เหินเล่มเขื่องใต้ฝ่าเท้าต้วนหลิงเทียน นำพาต้วนหลิงเทียนพุ่งทะยานตัดฟ้า มุ่งหน้าไปทิศทางเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงด้วยความเร็วสูง!


 


ซัวว!!


 


ร่างของต้วนหลิงเทียนวูบหายลับขอบฟ้าไปราวกับภูตผี!


 


จังหวะนี้เหล่าเงาผู้พิทักษ์ทั้งหลายในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนที่ลอบติดตามมาคุ้มกันต้วนหลิงเทียนตามคำสั่งของซือถูฮ่าว ก็เรียกว่าถูกต้วนหลิงเทียนสลัดหลุดในพริบตา…


 


“เอ่อ…”


 


พวกมันถึงกับต้องออกจากที่ซ่อน มายืนมองหน้ากันตาสลอน!


 


“ให้ตายเถอะ…เขาเป็นครึ่งก้าวเซียนเหมือนพวกเราจริงๆหรือ?”


 


“ถึงแม้ความเร็วเมื่อครู่ของเขาจักมิอาจเทียบยอดฝีมือขอบเขตเซียนได้ แต่ก็เหนือกว่าครึ่งก้าวเซียนอย่างพวกเรามาก…น่ากลัวว่าจะทัดเทียมกับพวกที่พึ่งบรรลุเซียนด้วยซ้ำ…”


 


“แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูเรานับว่ามิใช่คนธรรมดาจริงๆ…ไม่ต้องกล่าวถึงใดอื่น ลำพังแค่ความเร็วเมื่อครู่ ข้ากลัวว่าต่อให้เป็นอันดับ 1 ในรายนามนภาก็พ่ายแพ้เขาย่อยยับแล้ว!”


 


“สรรพวิชาทั้งวรยุทธ์เซียนใดๆในใต้หล้า ความเร็วถือเป็นที่สุด…กระทั่งยอดฝีมืออันดับ 1 ในรายนามนภา น่ากลัวว่าชายเสื้อของท่านปรมาจารย์ต้วนก็มิอาจแตะถูก!”


 


……


 


หลังจากที่ทั้งหลายยืนสนทนากันพักหนึ่งอย่างอึนๆ ทั้งหมดก็เลือกที่เร่งรุดเดินทางกลับตระกูลซือถูไปรายงานซือถูฮ่าวทันที


 


อย่างไรก็ตามระหว่างเดินทางกับ พวกมันไม่อาจเห็นแม้แต่ฝุ่นที่ต้วนหลิงเทียนทิ้งไว้


 


การที่ต้วนหลิงเทียนเร่งรีบออกจากนิกายอัคคีล่องลอยหมายกลับไปถึงตระกูลซือถูในเมืองหลวงให้เร็วที่สุดนั้น ตัวเขาย่อมมีเหตุผล


 


เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิกายหยินหมิงมันต้องแพร่มาถึงเมืองหลวงในเวลาอันสั้นแน่นอน!


 


พอถึงตอนนั้นหากซือถูหมิงรู้ว่า อาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงตายตก ประมุขหนีหาย และนิกายก็ล่มสลายเหลือแต่ชื่อล่ะก็…


 


น่ากลัวว่าต่อให้มันเป็นพระก็จำต้องกระโดดกำแพงวัดแล้ว!


 


สิ่งที่เขาพอจะทำได้คือเร่งรุดกลับไปสนับสนุนซือถูฮ่าวกับลูกชาย


 


ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ขอบตัวตนขอบเขตเซียนหากไม่ใช้ทุกสิ่ง แต่สำหรับพวกที่อยู่ภายใต้ขอบเขตเซียน ให้พวกมันมัดรวมกันมาเป็นสิบเป็นร้อยเขาก็ไม่หวั่น!


 


นี่คือความมั่นใจในตัวเอง!


 


และดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดไว้ไม่มีผิด ไม่กี่วันหลังจากที่เขากลับมาถึงตระกูลซือถู ข่าวจากนิกายหยินหมิงก็แพร่มาถึงเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว ตระกูลซือถูก็ย่อมได้รับทราบเรื่องราวเช่นกัน


 


“1 ใน 2 ขอบเขตเซียนของนิกายหยินหมิงอย่างอาวุโสสูงสุดตกตายด้วยน้ำมือของยอดฝีมือลึกลับ…ส่วนตัวประมุขหนีหายไปที่ใดก็มิมีผู้ใดทราบ”


 


“นิกายหยินหมิงถูกทิ้งร้าง ไม่ว่าจะทรัพย์สมบัติอันใดล้วนไม่มีใครกล้าแตะ…”


 


“เกรงว่าคราวนี้ 9 ใน 10 ส่วนนิกายหยินหมิงคงได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศฝูเฟิงอย่างสมบูรณ์”


 


……


 


วาจาคล้ายคลึงกันนี้กำลังแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงดั่งไฟลามทุ่ง


 


หากแต่แม้จะมีข่าวดังกล่าว ทว่าสถานการณ์ในตระกูลซือถูยังคงสงบเงียบนัก


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดี…ว่านี่มันคือความสงบก่อนที่พายุจะเข้า!


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณท่านจริงๆ”


 


ซือถูฮ่าวมาเยี่ยมต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เพื่อกล่าวขอบคุณจากใจ


 


แม้ว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาก่อนหน้ามันก็ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนิกายหยินหมิงคร่าวๆแล้ว รวมถึงมันก็เชื่อในวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว แต่ข่าวนี้จะอย่างไรก็สร้างผลกระทบให้ฝ่ายซือถูหมิงมหาศาลนัก อดไม่ได้ที่มันจะมาขอบคุณต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองอีกรอบ


 


“ผู้นำซือถู ท่านจะเกรงใจข้าไปทำอะไร พวกเราก็เสมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวรับคำด้วยรอยยิ้ม


 


ในฐานะผู้นำตระกูลซือถูซือถูฮ่าวหรือแม้แต่กระทั่งซือถูหังเองก็รู้ดีว่าวาจานี้ต้วนหลิงเทียนหมายความว่าอะไร


 


อันที่จริงตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนขจัดอาคมมารแมงมุมหยินให้ซือถูหัง ก็เสมือนต้วนหลิงเทียนได้เลือกที่จะอยู่ฝ่ายของมันไปแล้ว และเลือกที่จะขัดแย้งกับฝ่ายซือถูหมิงอย่างเห็นได้ชัด


 


ไม่เหมือนกับอารมณ์เปี่ยมไปด้วยความสุขความยินดีของฝ่ายซือถูฮ่าว ตอนนี้ฝ่ายซือถูหมิงถึงกับเคร่งเครียดจนหัวพ่นควัน!


 


ในเขตที่อยู่อาศัยของฝ่ายซือถูหมิง วันนี้เสียงจานชามถ้วยไหแตกพลันดังออกเป็นระยะๆในโถงประชุม! ไม่ทราบพวกมันเล่นทำนองอันใด แต่ฟังแล้วเกรี้ยวกราดพิกล “บัดซบ! มีผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!? ซือถูฮ่าวกับซือถูโฮ่วมันมิได้ก้าวออกจากตระกูลซือถูแม้แต่ครึ่งก้าวด้วยซ้ำ..ไฉนนิกายหยินหมิงถึงได้เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาได้!?”


 


“ท่านพ่อ ท่านว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนนั่นอีกหรือไม่?”


 


ซือถูจั๋วที่อยู่ข้างๆซือถูหมิง พลันกล่าวสันนิษฐานออกมาด้วยประกายตาเรืองวูบ


 


ครั้งที่แล้วก็เป็นต้วนหลิงเทียนทำลายแผนอันประเสริฐของมัน ช่วยชีวิตซือถูหังเอาไว้!


 


หาไม่แล้วตอนนี้ตำแหน่งว่าที่ผู้นำของตระกูลซือถูคงเปลี่ยนมือ และมันคงได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำไปแล้ว!


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


ได้ยินคำของซือถูจั๋ว ซือถูหมิงพลันขมวดคิ้ว “เรื่องที่มันอาจเป็นคนฆ่าโจวชูนับว่าทำให้ข้าตกใจอยู่บ้าง…แต่เรื่องขอบเขตเซียนทั้ง 2 ที่ตกตายไปคนกับหลบหนีไปอีกคน ใช่เรื่องที่มันจะมีปัญญาทำได้งั้นหรือ?”


 


“ท่านพ่อ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ผู้ที่ลงมือก็เป็นได้”


 


ซือถูจั๋วยังยืนกรานข้อสันนิษฐาน “มันกับแม่นางเฟิ่งของนิกายอัคคีล่องลอยนั่นมีสัมพันธ์ไม่ธรรมดา…บางทีอาจเป็นแม่นางเฟิ่งไปร้องขอต่อประมุขอย่างสื่ออวิ๋นให้ช่วยเหลือ นางจึงลงมือฆ่าอาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงเสีย…อันที่จริงประมุขสื่ออวิ๋นอาจไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง เพียงส่งกำลังไปจัดการก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้”


 


“ไม่! เรื่องนี้มิอาจเป็นไปได้เลย!”


 


ซือถูหมิงส่ายหน้าปฏิเสธ ค่อยกล่าวอธิบายออกมาให้ซือถูจั๋วกระจ่าง “หนึ่งในรองประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เป็นสหายอันดีกับพ่อ…ทั้งยังเป็นผู้ที่มีสิทธิ์มีเสียงในนิกายไม่น้อย หากประมุขอย่างสื่ออวิ๋นลงมือกระทั่งส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ ไหนเลยสหายพ่อจักมิอาจรับรู้ได้”


 


“ตราบใดที่สหายพ่อล่วงรู้ย่อมต้องแจ้งให้พ่อทราบก่อนใคร เช่นนั้นแล้วเรื่องที่เจ้าว่าจึงเป็นไปมิได้เลย”


 


ซือถูหมิงกล่าวออกอย่างมั่นใจ


 


เพราะมันสนิทสนมกับรองประมุขนิกายอัคคีคนนั้นไม่น้อย


 


“หากมิใช่ฝีมือคนของนิกายอัคคีล่องลอย เช่นนั้นก็หลงเหลือความเป็นไปได้เพียงสองทาง…อย่างแรกต้วนหลิงเทียนผู้นั้นอาจบรรลุขอบเขตเซียนแล้ว! อย่างที่สองนิกายหยินหมิงเผลอไปล่วงเกินยอดฝีมืออันใดเข้า!”


 


ผู้อาวุโส ซือถูจงที่ยืนอยู่ข้างๆซือถูหมิงกล่าวออกมาอย่างประจวบเหมาะ


 


“อืม…บางทีพวกเราอาจคิดผิดกันไปตั้งแต่แรก…เรื่องที่เกิดขึ้นที่ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิง พวกเราก็มิรู้คนลงมือแน่ชัด เพียงคาดเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือต้วนหลิงเทียน เพราะยามนั้นมันออกจากตระกูลวือถูไปพอดี แต่สุดท้ายพวกเราก็มิมีหลักฐานยืนยันสักอย่าง”


 


ซือถูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ ก็สงบสติอารมณ์ลง ทั้งคล้ายจะกระจ่างเรื่องราวขึ้นอีกส่วน “บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นก็แค่บังเอิญตรงกับเวลาที่ต้วนหลิงเทียนออกไปพอดี…”


 


“สำหรับเรื่องที่คาดว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตเซียนแล้ว..นั่นเป็นไปมิได้แน่! เพราะในตอนที่มันกับผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นบิดาของแม่นางเฟิ่งออกเดินทางจากตระกูลซือถู ข้าลองใช้สำนึกเทวะสำรวจพลังทั่วกายมัน แต่ว่าข้าก็มิอาจจับกลิ่นอายพลังในขอบเขตเซียนจากตัวมันได้เลย…เช่นนั้นข้ามั่นใจว่ามันมิใช่ขอบเขตเซียนแน่ๆ!”


 


ซือถูหมิงกล่าวยืนยันออกมาด้วยความมั่นใจ


 


“เช่นนั้นท่านพ่อหมายความว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงที่เมืองหลวง และนิกายหยินหมิงฐานหลัก อาจไม่มีใดเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ?”


 


ซือถูตั๋วขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่พอใจ


 


มันหวังให้เรื่องราวทั้งหมดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียน บิดามันจะได้ทำทุกทางเพื่อกำจัดต้วนหลิงเทียนให้พ้นหูพ้นตามันไปเสีย


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น”


 


ซือถูหมิงพยักหน้า ก่อนที่สายตาจะเพ่งมองความว่างอย่างดุร้าย “นิกายหยินหมิงนั่นล้วนเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้ยิ่งนัก! โดยเฉพาะอี้เฟิงนั่น! ข้าบอกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ควบคุมคนของมันเสียให้ดีๆ อย่าได้เที่ยววางท่าเขื่องโขต่อผู้อื่นให้มาก แต่มันเคยฟังข้าที่ไหน! ดูตอนนี้เข้าเถอะ อยู่ๆหายหัวไปเช่นนี้จะเป็นตายก็มิมีผู้ใดล่วงรู้!!”


 


“ท่านรองผู้นำ!”


 


ในขณะที่ซือถูหมิงกำลังด่ากราดออกมาด้วยความโมโห เพราะคิดว่าที่นิกายหยินหมิงพบจุดจบอนาถแบบนี้เป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัว ไปเตะเอาเข้าตอเหล็กอย่างล่วงเกินยอดฝีมือที่ทรงพลังเข้า ก็พลันมีเสียงเรียกดังขึ้นจากนอกห้องโถงประชุม!


 


“เข้ามา!”


 


ซือถูหมิงโค้งคิ้วขึ้นค่อยกล่าวออกด้วยเสียงเฉยเมย


 


หลังจากนั้นไม่นานซือถูหมิงก็เห็นอาวุโสของตระกูลที่อยู่ฝ่ายเดียวกับมัน พาร่างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา


 


“ท่านรองผู้นำ”


 


เมื่ออาวุโสดังกล่าวเห็นซือถูหมิง มันก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทันที


 


“ยินดีที่ได้พบ รองผู้นำตระกูลซือถู”


 


หลังจากนั้นชายวัยกลางคนแปลกหน้าที่พึ่งเข้ามาในโถงประชุม ก็มองซือถูหมิงทั้งทักทายทันที หากแต่ในแววตาของชายวัยกลางคนยังเผยความหยิ่งยโสถือดี คล้ายไม่แยแสซือถูหมิง


 


พอเห็นทีท่าดังกล่าว ซือถูหมิงก็ขมวดคิ้วทันที


 


“เจ้าเป็นใคร? กล้าหยาบคายกับบิดาข้างั้นเหรอ!?”


 


ประกายตาซือถูจั๋วเปล่งแสงเย็นออกมาวูบหนึ่ง กล่าวตะโกนถามไปเสียงเข้ม


 


ขวับ!


 


หากแต่พอชายวัยกลางคนดังกล่าวยกือขึ้น และปรากฏป้ายทองป้ายหนึ่งสีหน้าซือถูจั๋วก็เปลี่ยนไปทันใด


 


นั่นเพราะมันสังเกตเห็นอักษร 3 ตัวบนป้ายทองนั่นชัดถนัดตาดี


 


จวนอ๋องเฉียน!


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นคนของจวนอ๋องเฉียน?


 


พอคิดถึงจุดนี้สีหน้าของซือถูจั๋วก็ซีดลงแทบไร้สีเลือด


 


สวรรค์!


 


มันพึ่งตะคอกใส่คนจากจวนอ๋องเฉียนงั้นเหรอ?


 


ผู้ที่สามารถมีป้ายของจวนอ๋องเฉียนได้ ย่อมมีความหมายประการเดียวเท่านั้น นั่นคืออีกฝ่ายเป็นคนของอ๋องเฉียน!


 


ทันทีที่เห็นชายวัยกลางคนแปลกหน้า หยิบป้ายทองของจวนอ๋องเฉียนออกมาแสดง สีหน้าซือถูหมิงและคนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายซือถูหมิงก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีเช่นกัน


 


“ที่แท้เป็นใต้เท้าจากจวนอ๋องเฉียน ข้าเสียมารยาทแล้ว”


 


ซือถูหมิงประสานมือทั้งพยักหน้าให้ชายวัยกลางคนเป็นเชิงขอขมา “แต่มิทราบว่าใต้เท้าจากจวนอ๋องมาที่นี่เพราะเหตุอันใดหรือ?”


 


ถึงแม้ชายวัยกลางคนเบื้องหน้าของมันจะไม่ใช่ตัวตนในขอบเขตเซียน หากแต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนของอ๋องเฉียน ก็ไม่ใช่อะไรที่มันซือถูหมิงจะล่วงเกินได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่อีกฝ่ายพกป้ายทองของจวนอ๋องเฉียนมาด้วย!


 


“รองผู้นำตระกูลซือถู…ข้าได้รับคำสั่งท่านอ๋องเฉียนให้มาเชิญเจ้าไปยังจวนอ๋องเฉียน”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาตรงๆ


 


และทันทีที่มันกล่าวคำนี้จบ ไม่เพียงแต่สีหน้าของซือถูหมิงจะเปลี่ยนไป กระทั่งซือถูจั๋วและอาวุโสของฝ่ายซือถูหมิงก็หน้าเปลี่ยนสีกันหมดทันที


 


ในฐานะคนของตระกูลซือถู พวกมันทั้งหมดรู้ดีว่าตระกูลซือถูได้ทำการเลือกข้างที่จะเข้าร่วมเรียบร้อยแล้ว และนั่นก็เป็นคู่แข่งขององค์ชาย 4!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)