War sovereign Soaring The Heavens 1602-1617

 ตอนที่ 1,602 : ทาสของนิกายหยินหมิง


 


นิกายหยินหมิงนั้นเป็นขุมพลังชั้น 7 ของประเทศฝูเฟิง


 


เพียงแต่ว่าภายในนิกายประเทสฝูเฟิงนั้น นิกายหยินหมิงถือว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่มีกำลังรบอ่อนด้อยที่สุด มันแทบจะไม่ถือว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 ด้วยซ้ำ


 


ภายในนิกายหยินหมิงมีตัวตนในขอบเขตเซียนแค่ 2 คนเท่านั้น


 


และนิกายหยินหมิงแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยผู้ฝึกมารกว่า 8 ส่วน กล่าวได้ว่าผู้ฝึกมารสามารถพบเจอได้ทั่วไปในนิกาย หากแต่ผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกมารนั้นหาได้ยากนัก


 


นิกายหยินหมิงแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่หุบเขาอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง


 


ภายในหุบเขานี้มีสายแร่หินเซียนระดับ 7 อยู่ และมันก็ถูกควบคุมดูแลโดยนิกายหยินหมิงนี่เอง พวกมันมักจะส่งคนมากมายมาขุดหาหินเซียนจากที่นี่


 


หากจะนับกันแต่ในเรื่องการทำเหมืองขุดหาหินเซียนแล้วล่ะก็ นิหายหยินหมิงนับว่าไม่ธรรมดาและผิดจากขุมพลังอื่นๆ…ขุมพลังทั่วไปมักจะส่งศิษย์ของพวกมันมายังเหมืองแร่หินเซียนเพื่อขุดหาหินเซียนไปใช้งาน หากแต่นิกายหยินหมิงนั้นไม่เคยใช้คนของมันกระทำเรื่องนี้…พวกมันใช้แรงงานทาสที่ไปตระเวนจับมาในการขุดหาหินเซียน!!


 


ด้วยเหตุนี้การขุดหาหินเซียนของนิกายหยินหมิงจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น ยังมีแนวโน้มว่าจะเหนือกว่าขุมพลังชั้น 7 อื่นๆอีกด้วย


 


ถึงแม้พลังรบโดยรวมของนิกายหยินหมิงจะสู้ผู้อื่นไม่ค่อยได้ หากแต่ความเร็วในการขุดหาหินเซียนของพวกมันนับว่าเป็น 1 ในระดับแนวหน้าของขุมพลังชั้น 7 ทั้งประเทศฝูเฟิงเลยทีเดียว!


 


ภายในส่วนลึกของหุบเขาอันเป็นเขตของนิกายหยินหมิง เหล่าทาสจำนวนมากกำลังทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เหนือหัวมีแสงตะวันร้อนจ้าคอยแผดเผาเคี่ยวกรำ แต่ละคนแลดูเหนื่อยล้าอิดโรย หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดมือ


 


เพี๊ยะ!!


 


ยามเมื่อทาสชายวัยฉกรรจ์คนผู้หนึ่งสิ้นไร้เรี่ยวแรงจนต้องนั่งลงหยุดพัก เสียงแส้หวดฟาดเลือดเนื้อพลันดังขึ้น เป็นผู้คุมของนิกายหยินหมิงที่ลงมือด้วยอำมหิต!


 


แส้ที่ฟาดแหวกอากาศมาอย่างรุนแรงยามต้องกระทบเนื้อก็พาลให้เนื้อแตกโลหิตซิบ แลดูปวดแสบปวดร้อนไม่น้อย


 


ทาสวัยกลางคนผู้นั้นเดิมทีก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงจะยืนหยัดอยู่แล้ว พอถูกแส้นี้หวดฟาดเข้าไป มันก็ไม่เหลือซึ่งพลังจะประคองกายสืบไป ทรุดล้มลงไปกองกับพื้นปานตะเกียงไร้น้ำมัน


 


“ใต้เท้า…ข้า…ขยับมิไหวแล้ว”


 


ทาสวัยกลางคนพยายามเผยอหน้าขึ้นมามองกล่าววิงวอนร้องขอความเห็นใจจากผู้คุมนิกายหยินหมิงที่ถือแส้ทมิฬน่ากลัว


 


อย่างไรก็ตามทันทีที่วาจาของชายวัยกลางคนผู้นี้ดังออก ผู้คุมนิกายหยินหมิงก็ไม่คิดใช้แส้หวดฟาดมันต่อแต่อย่างไร กลับสะบัดมือเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่ตวัดออกไปอย่างไร้ปราณี ปลดปล่อยลำแสงพลังสังหารขุมหนึ่ง พุ่งทะลวงกลางร่างชายวัยกลางคนก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว…


 


หลังจากกฆ่าทาสไปอย่างไร้เรื่องราว ผู้คุมดังกล่าวก็ใช้พลังหยิบยกไร้สภาพยกศพขึ้นมาใกล้ๆ


 


หลังจากนั้นไม่นาน มันก็จับจ้องไปยังบาดแผลกลางร่าง ก่อนที่จะใช้พลังดูดรั้งขุมหนึ่ง ชักนำโลหิตจากร่างของผู้ตายมาดื่มกินสดๆ!


 


ทันทีที่มันดื่มกินโลหิตผู้ตาย ทั่วร่างมันพลันปรากฏหมอกพลังสีแดงพวยพุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เนการบ่มเพาะด้วยกลวิธีนอกรีต!


 


เป็นการบ่มเพาะของผู้ฝึกมาร!


 


แน่นอนว่าผู้ฝึกมารทุกคนไม่ได้บ่มเพาะพลังโดยการดื่มเลือดผู้คนเท่านั้น นี่เป็นเพียงเคล็ดบ่มเพาะธรรมดาๆ เคล็ดหนึ่งเท่านั้น


 


เมื่อเห็นฉากนี้แรงงานทาสทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสยิวกาย พวกมันรีดเค้นเรี่ยวแรงออกมาสุดชีวิต รีบกระทำงานที่ได้รับมอบหมายของตัวต่อทันที ไม่มีใครอยากพบจุดจบแบบเดียวกับชายวัยกลางคนนั่น…


 


ในนิกายหยินหมิงแห่งนี้ ชีวิตของทาสอย่างพวกมันไร้ค่าเสียยิ่งกว่าชาสักถ้วย…


 


“นี่น่ะเหรอ พวกผู้ฝึกมาร…”


 


ห่างออกไปไม่ไกล มีทาสกลุ่มหนึ่งยืนอยู่และกำลังช่วยกันขุดหาหินเซียน


 


แม้ชุดคลุมของทาสกลุ่งนี้จะแลดูหรูหรามีราคาคล้ายทำจากเนื้อผ้าชั้นดี หากทว่าตอนนี้ชุดผ้าทั้งขาดวิ่นทั้งเปรอะเปื้อนฝุ่นดิน เรียกว่าแลดูมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพบัดซบเสียยิ่งกว่าขอทานอนาถาเสียอีก!


 


แต่หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ เขาต้องสามารถระบุอัตลักษณ์ของร่างมอมแมมสกปรกกลุ่มนี้ได้ทันที…เป็นพวกเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและสหายคนอื่นๆของเขา!


 


ตอนนี้นอกจากป๋ายลี่หงที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนรู้จักของเขารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดสิ้น!


 


หากแต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับกลายเป็นแรงงานทาสของนิกายหยินหมิง


 


“โชคดีที่พวกเรายังพอมีบารมีของอาวุโสป๋ายลี่คุ้มครอง…หาไม่แล้วข้าเองก็คงถูกฆ่าตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”


 


หนานกงยี่กล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


เมื่อวานเพราะมันเหน็ดเหนื่อยเกินไป จึงหยุดพักเพื่อฟืนคืนเรี่ยวแรง และนั่นทำให้มันถูกหวดไปเสียหลายแส้!


 


ตอนนั้นมันยังถูกหวดจนไร้เรี่ยวแรงจะลุกยืนอีกต่อไป


 


อย่างไรก็ตามผู้คุมของนิกายหยินหมิงไม่ได้ฆ่ามัน


 


และสาเหตุที่ทำให้มันไม่ถูกฆาตายเหมือนทาสคนอื่นๆนั้น ไม่พ้นเพราะป๋ายลี่หงได้กระทำอันใดสักอย่างไปแล้วแน่ๆ


 


“ข้าสงสัยนักว่าทางอาวุโสป๋ายลี่เป็นเช่นไรบ้าง…นิกายหยินหมิงนั่นมันหยาบคายต่ออาวุโสป๋ายลี่นัก ยิ่งพอพบว่าพวกเราเป็นจุดอ่อนของอาวุโสป๋ายลี่ พวกมันก็ใช้ชีวิตพวกเราบีบคั้นให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนให้พวกมัน…”


 


เฉินเฉ่าช่วยกล่าวออกมาด้วยความกังวล


 


“ตอนนี้อาวุโสป๋ายลี่หงสมควรสบายดีอยู่…หาไม่แล้วคนของนิกายหยินหมิงจะไม่เลือกปฏิบัติกับหนานกงยี่เป็นพิเศษอย่างเมื่อวาน”


 


ฉงเฉวียนกล่าวออก


 


“กล่าวไปแล้วเป็นเพราะพวกเราแท้ๆ ผู้อาวุโสป๋ายลี่ถึงได้พลอยประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปด้วย…หากมิใช่เพราะพวกนิกายหยินหมิงนั่นจับพวกเราเป็นตัวประกัน มีหรืออาวุโสป๋ายลี่จะยินดียอมถูกจับโดยไม่ขัดขืน”


 


โฉดคลุมทองกล่าว ในวาจาท้ายประโยคยังแฝงเร้นไปด้วยการตำหนิตัวเอง


 


“มิผิด ด้วยพลังฝีมือของอาวุโสป๋ายลี่ถึงแม้จักมิอาจพาพวกเราหลบหนีไปด้วยได้ แต่คิดหลบหนีไปเพียงลำพังย่อมเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก”


 


ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวออกเสียงเข้ม


 


กลับกลายเป็นว่าหลังจากที่ป๋ายลี่หงพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าหลบหนีออกมาจากสำนักจันทร์จรัสแสง มันก็พาทั้งหมดมายังประเทศฝูเฟิงอย่างที่ต้วนหิงเทียนคาดเดาเอาไว้จริงๆ


 


และจุดหมายปลายทางของทั้งหมดก็คือเมืองหลวง


 


อนิจจาทั้งหมดกลับโชคร้ายนัก เพราะก่อนที่จะเดินทางไปถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง กลับต้องพบพานกับกลุ่มล่าทาสของนิกายหยินหมิงที่ออกมาจับผู้คนไปเป็นแรงงานทาสเสียก่อน และกลุ่มล่าทาสดังกล่าวก็ถูกนำมาโดยรองประมุขนิกายหยินหมิงเอง ซึ่งพลังฝึกปรือของมันก็บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียน นับเป็น 1 ใน 5 ของผู้เข้มแข็งนิกายหยินหมิง


 


ต่อหน้าผู้ที่มีพลังฝีมือเท่านี้ ลำพังป๋ายลี่หงเองย่อมสามารถหลบหนีหรือต่อกรกับมันได้


 


อย่างไรก็ตามมันมิได้อยู่ตัวคนเดียว และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าหลบหนีไปได้ทั้งหมด


 


เนื่องจากป๋ายลี่หงไม่คิดหลบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ทั้งหมดจึงถูกคนของนิกายหยินหมิงจับมาด้วยกัน


 


ตอนแรกป๋ายลี่หงตั้งใจเปิดเผยฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวออกไป เพื่อหวังให้นิกายหยินหมิงเห็นคุณค่าและปฏิบัติต่อมันและพวกเฟิ่งหวู่เต้าด้วยดี ไม่ต้องกลายเป็นแรงงานทาสอะไร


 


อน่างไรก็ตามในฐานะนิกายที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกมาร ไหนเลยเรื่องราวจะเรียบง่ายดั่งที่ป๋ายลี่หงคิด


 


พวกมันไม่เพียงจับพวกเฟิ่งหวู่เต้าเป็นแรงงานทาสเหมือนเดิม แต่ยังเอาชีวิตของพวกเฟิ่งหวู่เต้ามาบังคับขู่เข็ญป๋ายลี่หงให้จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้นิกายหยินหมิงพวกมัน


 


หากป๋ายลี่หงไม่จารึกอาคมให้พวกมัน พวกมันจะฆ่าพวกเฟิ่งหวู่เต้าเสีย!


 


ในสายตาของป๋ายลี่หง พวกเฟิ่งหวู่เต้าคือญาติสนิทมิตรสหายที่ศิษย์น้องอย่างต้วนหลิงเทียนฝากฝังมันไว้ด้วยความเชื่อใจ หากมีใครสักคนเกิดเรื่องขึ้นมา มันย่อมไม่มีหน้าไปพบกับต้วนหลิงเทียนอีกแน่ ดังนั้นป๋ายลี่หงจึงให้ความร่วมมือกับนิกายหยินหมิงแต่โดยดีและไม่กล้าขัดขืน


 


อย่างไรก็ตามป๋ายลี่หงยั่งยื่นคำขาดออกมา


 


นั่นคือห้ามให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆถูกทำร้ายถึงตายเด็ดขาด หาไม่แล้วต่อให้มันต้องตายมันก็ไม่มีวันจารึกอาคมเซียนให้นิกายหยินหมิงอีกต่อไป!


 


นิกายหยินหมิงเองก็รู้ว่านี่เป็นขีดจำกัดล่างของป๋ายลี่หงแล้ว จึงยอมรับคำขอแต่โดยดี


 


ด้วยเหตุนี้แม้พวกเฟิ่งหวู่เต้าจะต้องกลายเป็นแรงงานทาสของนิกายหยินหมิง แต่ทั้งหมดก็นับว่าไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไร


 


“เฮ่สหาย! เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ ดูเหมือนประเทศฝูเฟิงเราจักมีอัจฉริยะอีกคนปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว…ดูเหมือนอัจฉริยะผู้นั้นจะเรียกว่าต้วนหลิงเทียนอันใดนี่ล่ะ เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวง!”


 


ทันใดนั้นเองบทสนาทนาของผู้คุม 2 คนที่อยู่ไม่ไกลพลันแว่วดังมาให้พวกเฟิ่งหวู่เต้าได้ยิน



ตอนที่ 1,603 : ต้วนหลิงเทียน แขกกิตติมศักดิ์ตระกูลซือถู?


 


คนของนิกายหยินหมิงทั้ง 2 ที่มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการทำงานของเหล่าทาส กล่าวสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่มีผู้ใดอยู่แถวนั้น


 


อย่างไรก็ตามบทสนทนาเรื่อยเปื่อยของพวกมัน พอแว่วดังเข้าหูพวกเฟิ่งหวู่เต้าก็พาลให้ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตะลึง!


 


ต้วนหลิงเทียน?


 


อัจฉริยะหนุ่ม?


 


แขกกิตติมศักดิ์ตระกูลซือถู?


 


จังหวะนี้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะหันมองสบตากัน “พวกเจ้าว่า…นั่นจะใช้เจ้าหนูหลิงเทียนหรือไม่?”


 


เป็นเฟิ่งหวู่เต้าที่กล่าวถามออกมา


 


“อาจเป็นได้!”


 


ซื่อหม่าฉางฟงพยักหน้า


 


“สมควรเป็นนายน้อย…อย่างไรก็ตามนายน้อยไปเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูได้อย่างไรกัน?”


 


ฉงเฉวียนเผยสีหน้าอื้ออึง


 


“อาจจะแค่เป็นคนที่มีชื่อเหมือนกัน…”


 


เฉินเฉ่าช่วยกล่าวออก ท่าทางมันไม่ค่อยมองโลกในแง่ดีสักเท่าไหร่


 


เพราะแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีความสามารถแข็งแกร่งย่างที่มันไม่อาจเทียบได้ แต่คิดจะเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายนักหรือ?


 


ตระกูลซือถูในเมืองหลวงนั้นก็เป็นขุมพลังชั้น 7 เช่นกัน และยังเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่เหนือกว่านิกายหยินหมิงอย่างที่นิกายหยินหมิงไม่อาจเทียบได้


 


ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะกลายเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู!


 


“อาจจะเป็นผู้ที่มีนามคล้ายกันจริงๆ…”


 


หนานกงยี่พยักหน้ากล่าว มันเองก็คิดเช่นเดียวกับเฉินเฉ่าช่วย


 


“อัจฉริยะหนุ่ม…ต้วนหลิงเทียน สมควรเป็นเจ้าต้วน”


 


หนานกงเฉินที่ยากจะพูดกล่าวออก


 


“เฮ่ย! นั่นพวกเจ้าทำบ้าอะไรกันอยู่ คิดอู้งานรึ!?”


 


และในขณะที่เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆหยุดมือเพื่อสนทนากันนั้น 1 ใน 2 ผู้คุมพลันเหลือบมาเห็นพอดี มันกล่าวออกด้วยวาจาดุร้ายก่อนที่จะเดินเข้ามาเร็วรี่ ยังยกมือขึ้นพร้อมสะบัดแส้ออกไปฟาดหน้าเฉินเฉ่าช่วยทันที


 


เพี๊ยะ!


 


ทันใดนั้นปรากฏรอยแผลลากยาวปานตะขาบช้ำเลือด พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินเฉ่าช่วย!


 


แส้ที่หวดมายังรุนแรงไม่น้อยถึงกับทำให้เฉินเฉ่าช่วยเซไปจนล้ม!


 


ความเจ็บปวดร้อนลวกบนใบหน้า ดึงสติเฉินเฉ่าช่วยให้กลับมาเข้าร่องเข้ารอย มันเร่งหันมองไปยังผู้คุมที่หวดหน้ามาด้วยสายตาเอาเรื่อง


 


ตั้งแต่ทวีปเมฆาล่องจวบจนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันเคยพบพานความอัปยศเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?


 


“อะไร? มองหน้าหาเรื่องหรือ เจ้าจะทำไม? จะสู้กับข้า?”


 


เมื่อเห็นสายตาเปี่ยมโทสะของเฉินเฉ๋าช่วยที่มองมา ผู้คุมพลันแสยะยิ้มอำมหิต เริ่มม้วนแส้เล่น เตรียมฟาดเฉินเฉ่าช่วยให้ตาย!


 


เฉินเฉ่าช่วยเห็นดังนั้นก็หน้ามืดดำลงทันใด แววตาเผยจิตต่อสู้ มือจี้ออกด้วย 2 นิ้วควบรวมกระบี่พลังมีสภาพ


 


จังหวะนี้มันจะสู้ตายกับอีกฝ่าย ถึงรู้ว่าจะสู้ไม่ได้ก็ตามที


 


แม้พลังฝึกปรือมันไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นชนชั้นขลาดเขลาไร้ศักดิ์ศรี!


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เฉินเฉ่าช่วยจะลงมือ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆพลันก้าวเดินออกมายืนเคียงข้างเฉินเฉ่าช่วยทั้งจ้องมองไปยังผู้คุมที่เตรียมลงมือด้วยสายตาเย็นชา


 


“อะไร พวกเจ้าก็อยากลงนรกพร้อมกันกับมันงั้นเหรอ?”


 


นับว่าเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ผู้คุมแลเห็นทาสที่กล้าแข็งข้อต่อต้านกับมันแบบนี้ เจตนาฆ่าฟันเริ่มเผยออกมาตลบในบรรยากาศเมื่อเห็นเฟิ่งหวู่เต้ากับพวกคิดต่อสู้!


 


“เฮ่ยๆๆ เจ้าใจเย็นก่อน…พวกมันสนิทกับปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวคนใหม่ของนิกาย ท่านรองประมุขก็กำชับพวกเรามาแล้ว ว่าอย่าได้ลงมือรุนแรงกับพวกมันหรือฆ่าพวกมันเด็ดขาด”


 


ศิษย์นิกายหยินหมิงอีกคนที่เป็นผู้คุมทาส เร่งจับบ่าสหายแล้วกล่าวเตือนออกมาพร้อมส่ายหน้า


 


“หืม? พวกมันเองน่ะเหรอ ที่เป็นสหายของปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาวคนนั้น?”


 


หลังได้ยินคำกล่าวของสหาย ผู้คุมที่เตรียมลงแส้ฆ่าคนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


 


มันเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าในบรรดาแรงงานทาสชุดใหม่ มีกลุ่มคนที่ไม่อาจแตะต้องได้อยู่ การลงทัณฑ์เบาๆนั้นสามารถกระทำได้ แต่ห้ามไม่ให้ลงมือรุนแรงถึงขั้นพิกลลพิการหรือฆ่าฟันอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด


 


แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าไอพวกข้าทาสชุดใหม่ที่ว่านั่น จะหาญกล้ามองหน้าท้าทายมันแบบนี้!


 


แม้มันสามารถลงมือทุบตีสั่งสอนอีกฝ่ายให้พอหอมปากหอมคอได้ แต่ดูจากจิตต่อสู้ของอีกฝ่าย น่ากลัวว่าเกิดลงมือลงไม้ไป เรื่องราวสมควรบานปลายแน่แท้…


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ มันก็ล้มเลิกความคิดสั่งสอนอีกฝ่ายเสีย


 


เพราะหากพวกมันฮึดสู้ขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายมันอาจจะพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายด้วยโทสะ…คราวนี้ได้ฉิบหายแน่!


 


มันไม่ได้แยแสชีวิตของทาสกลุ่มนี้แม้แต่น้อย


 


แต่คำสั่งของรองประมุขมันไม่กล้าขัดขืน เพราะมันรู้ดีว่าผลของการขัดคำสั่งคืออะไร และเพียงคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ร่างมันก็สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว ไม่คิดจะลองดีอะไร


 


“เหอะ!”


 


แค่นเสียงสบทออกมาเย็นเยียบครั้งหนึ่งผู้คุมดังกล่าวก็เก็บแส้ หันไปมองถลึงตาใส่เฉินเฉ่าช่วยอย่างดุร้าย ก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมสหาย


 


ขณะเดียวกันทาสคนอื่นๆ ก็ได้แต่มองพวกเฟิ่งหวู่เต้าด้วยความอิจฉา


 


ถึงแม้ว่าพวกเฟิ่งหวู่เต้าจะเป็นแรงงานทาสเหมือนกันกับพวกมัน แต่ท่าทีปฏิบัติของผู้คุมทั้งหลายก็ผิดกับพวกมันนัก อีกฝ่ายไม่มีทางตกตายที่นี่แน่นอน และพวกมันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคนของนิกายหยินหมิงถึงไม่ฆ่าอีกฝ่าย


 


พอเห็นผู้คุมทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงจากไปแล้ว พวกเฟิ่งหวู่เต้าก็หันมาสนทนากันอีกครั้ง


 


“มิว่าคนผู้นั้นจะเป็นเจ้าต้วนจริงหรือไม่ พวกเราก็ต้องหาทางยืนยันเรื่องนี้ก่อน…หากเป็นเจ้าต้วนจริงๆ ด้วยอิทธิพลของตระกูลซือถู ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่จะช่วยพวกเราให้หลุดพ้นจากสถานที่ผีสางที่ข้าไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียวนี่!”


 


หนานกงยี่กล่าว


 


ถึงแม้พวกมันจะสามารถรอดชีวิตได้เพราะบารมีของป๋ายลี่หง


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่อาจทานทนรับความอัปยศเช่นนี้ได้!


 


ความเห็นของหนานกงยี่เองก็ทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย


 


“สำหรับพวกเรา ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดคือมิอาจติดต่อกับโลกภายนอกได้ นับประสาอะไรกับติดต่อต้วนหลิงเทียนที่กลายเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวง…พวกเราเป็นเพียงข้าทาสของนิกายหยินหมิง ไหนเลยจะออกไปจากที่นี่ได้”


 


ซื่อหม่าฉางฟงกล่าว


 


“เรื่องนี้นับเป็นปัญหาสำคัญจริงๆ”


 


โฉดคลุมทองพยักหน้าเห็นด้วย ค่อยกล่าวเสริม “ถึงแม้เจ้านายจะอยู่ในตระกูลซือถูจริงๆ…แต่ถ้าพวกเราออกไปแจ้งข่าวมิได้ คงยากที่เจ้านายจะรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่”


 


“พวกเจ้าดูเหมือนจะมองข้ามเรื่องหนึ่งไป…”


 


ตอนนี้เองเฟิ่งหวู่เต้าพลันกล่าวออกมา ในแววตายังทอประกายสว่างมากด้วยปัญญา คล้ายจะกระจ่างแจ้งในเรื่องราว


 


วาจานี้ยังดึงดูดความสนใจของซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆได้สำเร็จ


 


ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคน เฟิ่งหวู่เต้าพลันกล่าวออก “ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องต้วนหลิงเทียนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวงเป็นเจ้าหนูหลิงเทียนของพวกเราหรือไม่…ตอนนี้ชื่อเสียงเขาสามารถแพร่กระจายมาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นสมควรขจรขจายไปนับพันลี้ ด้วยสติปัญญาของอาวุโสป๋ายลี่หากเรื่องนี้ถึงหูท่านเมื่อใด ไหนเลยยังจะไม่มีวิธียืนยันว่าต้วนหลิงเทียนแห่งตระกูลซือถูใช่เจ้าหนูหลิงเทียนของพวกเรา?”


 


“หากคนผู้นั้นเป็นเจ้าหนูหลิงเทียนจริง ด้วยฐานะแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู เพียงขอความช่วยเหลือจากตระกูลซือถูเล็กน้อย คิดจะช่วยพวกเรากับอาวุโสป๋ายลี่ให้ไปจากที่นี่ยังง่ายดายเหมือนทอดแหจับปลาในบ่อ!”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


เสียงของเฟิ่งหวู่เต้าพอดังจบคำ สายตาทุกคนก็ทอประกายวูบวาบขึ้นมาทันที


 


“ไฉนข้าคิดไม่ถึงเรื่องนี้นะ”


 


หนานกงยี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเจื่อนๆ


 


“นี่เรียกว่า ใจสับสนหูตาฝ้าฟาง ข้าเองก็พึ่งฉุดคิดเรื่องนี้ได้…ในเมื่อขนาดพวกเรายังได้ยินเรื่องของต้วนหลิงเทียนแขกกิตติมสักดิ์ตระกูลซือถู อาวุโสป๋ายลี่ย่อมต้องได้ยินเรื่องนี้แล้วเช่นกัน!”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวออกมาอีกครั้ง


 


และเป็นดั่งที่เฟิ่งหวู่เต้าว่าไว้ไม่มีผิด ตอนนี้ป๋ายลี่หงเองก็ได้รับทราบเรื่อง ต้วนหลิงเทียแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวงแล้วเช่นกัน


 


ในฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว ถึงแม้จะถูกนิกายหยินหมิงควบคุมตัวและบังคับให้จารึกอาคมเซียน หากแต่ป๋ายลี่หงก็มีความเป็นอยู่ดีกว่าพวกเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมาก


 


แน่นอนว่าด้วยพลังฝีมือของมัน เว้นเสียแต่จะมีขอบเขตเซียนเฝ้าจับตาดูอยู่..


 


หาไม่แล้วมันสามารถหลบหนีไปได้ตลอดเวลา!



ตอนที่ 1,604 : รองประมุขนิกายหยินหมิง ถานฉี


 


แต่ด้วยความที่นิกายหยินหมิงมีตัวตนในขอบเขตเซียนเพียงแค่ 2 คน ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่อาจมาเฝ้าจับตาดูป๋ายลี่หงด้วยตัวเอง


 


เหตุผลหลักที่ป๋ายลี่หงไม่ได้จากไปไหน เพราะเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย และตลอดเวลาป๋ายลี่หงก็พยายามครุ่นคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆหลบหนีไปจากนิกายหยินหมิง


 


อนิจจามันไม่พบโอกาสอันใดเลย


 


เพราะมันพบว่ารองประมุขนิกายหยินหมิงที่เป็นผู้นำทีมล่าทาสและจับตัวมันมา คล้ายสามารถล่วงรู้ความคิดของมันได้ เช่นนั้นอีกฝ่ายจึงแวะเวียนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของมันอยู่บ่อยครั้ง


 


และถึงแม้รองประมุขนิหายหยินหมิงคนนี้จะไม่มาจับตาดูมันเอาไว้ แต่ป๋ายลี่หงก็พบว่าเป็นเรื่องยากนักหากคิดจะช่วยเหลือพวกเฟิ่งหวู่เต้าหลบหนี


 


นั่นเพราะในสถานที่ๆพวกนิกายหยินหมิงใช้ควบคุมตัวเหล่าทาสเอาไว้ มียอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนมากมายคอยเฝ้าระวัง


 


หากมันพบพานครึ่งก้าวเซียนตัวต่อตัว ด้วยพลังฝีมือย่อมสามารถต่อกรกระทั่งหลบหนีไปได้ หากแต่คิดพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าไปด้วย นับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!


 


เพราะสุดท้ายแล้วพวกเฟิ่งหวู่เต้าก็มีด้วยกันทั้งสิ้น 7 คน!


 


“ต้วนหลิงเทียน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวง?”


 


หลังจากได้รับทราบเรื่องราวของ ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูที่แพร่กระจายไปทั่วประเทศฝูเฟิง ใจของป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความตกตะลึง


 


เพราะหลังจากที่ทราบว่า ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู กลับมีนามเต็มว่าต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงก็มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าสมควรเป็นต้วนหลิงเทียนศิษย์น้องมันแน่!


 


เพราะก่อนหน้านี้มันเคยกล่าวเปรยกับศิษย์น้องของมันไว้บ่อยครั้งว่าอยากมาลงหลักปักฐานที่ประเทศฝูเฟิง!


 


และมันก็ไม่เพียงแต่จะมาจริง ยังนำพาพวกเฟิ่งหวู่เต้ามาด้วย


 


น่าเสียดายที่กลุ่มล่าทาสของนิกายหยินหมิงกลับปรากฏตัวขึ้นระหว่างทาง ยังผลให้พวกมันถูกจับมาด้วยกันทั้งหมด


 


“ว่าแต่ศิษย์น้องไปทำเอาอีท่าไหนกันแน่ถึงได้จับพลัดจับผลูไปเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวงได้? ถึงแม้ตระกูลซือถูจะเป็นขุมพลังชั้น 7 เหมือนกันกับนิกายหยินหมิง หากแต่พลังอำนาจกลับเหนือกว่ากันอย่างมาก! นิกายหยินหมิงมีขอบเขตเซียนแค่ 2 คนเท่านั้น”


 


ก่อนที่จะมายังประเทศฝูเฟิง ป๋ายลี่หงก็เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูลซือถูในเมืองหลวงมาก่อน


สำหรับ ‘นิกายหยินหมิง’ นั้น มันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย


 


จากจุดนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่า นิกายหยินหมิง นั่นอ่อนด้อยกว่าตระกูลซือถู


 


อย่างไรก็ตามศิษย์น้องของมันกลับได้เป็นถึงแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูที่ยิ่งใหญ่นั่น?


 


“ศิษย์น้องผู้นี้ช่างขยันสร้างความประหลาดใจให้ข้าเสียจริงๆ…”


 


เหตุผลที่ว่าทำไมป๋ายลี่หงปักใจว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูคือต้วนหลิงเทียนศิษย์น้องมันแน่ๆ ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องที่มันเคยเปรยไว้ว่าอยากมาประเทศฝูเฟิง


 


แต่เป็นเพราะแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลวซือถูที่ว่า ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี!


 


และศิษย์น้องของมันก็มีอายุน้อยกว่า 40 ปี!


 


“ความก้าวหน้าของศิษย์น้องช่างอัศจรรย์เหลือเชื่อนัก…กระทั่ง แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยยังปราชัย”


 


ป๋ายลี่หงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ตอนที่ยังอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงของ 9 พันธมิตร มันย่อมไม่เคยได้ยินเรื่องราวของแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยมาก่อน


 


ทว่าหลังจากมาถึงประเทศฝูเฟิงแล้ว นามนี้ก็เป็นดั่งอัสนีกึกก้องที่คอยวนเวียนอยู่ในหูมันตลอดเวลา เพราะนั่นคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือรุ่นเยาว์ของประเทศฝูเฟิง!


 


รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งประเทศฝูเฟิง ที่แท้กลับเป็นสตรีจริงๆ! ป๋ายลี่หงยังอดตะลึงไปเสียไม่ได้ยามพบอัตลักษณ์ของอีกฝ่าย!!


 


ไม่ใช่ว่ามันดูถูกอิสตรีแต่อย่างใด


 


หากแต่โดยเนื้อแท้แล้วสตรีเกิดมาก็อ่อนด้อยกว่าบุรุษตามธรรมชาติ การที่อิสตรีสามารถประสบผลสำเร็จได้ นั่นหมายความว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของนางต้องเด่นล้ำเหนือบุรุษไปมากโขจริงๆ!


 


ตอนนั้นมันยังอดคิดไปเสียไม่ได้ ว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้กับศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนของมัน ที่แท้ผู้ใดจะร้ายกาจกว่ากัน


 


มาตอนนี้ข้อเท็จจริงได้มอบคำตอบนั่นแก่มันแล้ว!


 


แขกกิตติมศักดิ์ตระกูลซือถู ท่านต้วน หรือก็คือต้วนหลิงเทียน…สามารถเอาชนะ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอย และช่วงชิงอันดับที่ 23 ในรายนามนภามาเป็นของตัวเอง!


 


“ในเมื่อศิษย์น้องอยู่ที่ตระกูลซือถูอีกทั้งยังเป็นถึงแขกกิตติมศักดิ์…หากศิษย์น้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลซือถู พวกมันย่อมไม่ปฏิเสธแน่”


 


คิดถึงจุดนี้ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ “ในที่สุดทุกคนก็มีหนทางรอดแล้ว”


 


ที่ป๋ายลี่หงพึมพำว่า ‘ทุกคน’ นั้น ไม่ใช่เพราะมันแต่เป็นเพราะคนอื่นๆ


 


ก่อนหน้านี้มันไม่เห็นว่าจะมีหนทางไหนช่วยเหลือพวกเฟิ่งหวู่เต้าได้เลย


 


หากแต่ตอนนี้มันเห็นแสงอรุณแห่งความหวังแล้ว และผู้ที่มอบแสงอรุณแห่งความหวังนี้ให้มันกลับเป็นศิษย์น้องของมันเอง ที่ได้กลายเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู!


 


‘ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือหาข้ออ้างเข้าเมืองหลวง…และหาวิธีส่งข่าวให้ศิษย์น้อง’


 


ต่อมาป่ายลี่หงก็เริ่มครุ่นคิดหาวิธีในใจ ‘ถึงแม้ตัวข้าจะสามารถลอบออกไปได้ แต่หากข้าไปรองประมุขนิกายหยินหมิงผู้นั้นสมควรมีโมโหไม่น้อย สุดท้ายก็ต้องไปลงกับพวกเฟิ่งหวู่เต้า…หากข้าไปหาคนช่วยเหลือแต่พอกลับมาทุกคนตกตายหมดสิ้น แล้วจะยังไปหาผู้ช่วยเพื่ออันใด’


 


ป๋ายลี่หงรู้ว่ามันต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสมให้คนของนิกายหยินหมิง เพื่อให้สามารถเดินทางไปยังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงได้โดยไม่มีพิรุธ


 


‘ใช่แล้ว!’


 


ไม่นานป๋ายลี่หงก็ครุ่นคิดหาวิธีจนได้ ยังไม่รอช้าอะไรเร่งไปหารองประมุขนิกายหยินหมิงที่จับมันกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมาทันที เมื่อพบอีกฝ่ายก็เร่งกล่าวออกไปอย่างไม่รอช้า “รองประมุขถาน ข้าคิดเข้าเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงเพื่อซื้อหาวัตถุดิบสำหรับจาจารึกอาคมเซียนสักครา”


 


“ซือวัตถุดิบเพื่อจารึกอาคมเซียนงั้นเหรอ?”


 


ได้ยินวาจาของป๋ายลี่หง รองประมุขนิกายหยินหมิง ถานฉี ชายชราในชุดคลุมลมดำที่มีรูปร่างกำยำพลันขมวดคิ้วทันที “เจ้าต้องการวัตถุดิบอันใดข้าจักไปดูในคงคลังให้ และหากในคลังมิมีข้าจะให้คนไปซื้อหามาให้เอง”


 


“รองประมุขถาน วัตถุดิบที่ข้าต้องการ บอกตรงๆข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้ออะไรบ้าง มีแต่ต้องไปมองหาด้วยตาตัวเองเท่านั้น”


 


ทันทีที่ป๋ายลี่หงกล่าวเรื่องนี้ออกมา สีหน้าท่าทางของถานฉีแปรเปลี่ยนไปทันใด ยังเผยความจริงจังขึ้นหลายส่วนจับจ้องมองมายังป๋ายลี่หงด้วยสายตาคมกล้า และคล้ายกำลังจะปฏิเสธออกมา


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ป๋ายลี่หงชิงกล่าวออกมาเสียก่อน “วัตถุดิบที่ข้าต้องการนั้น ข้าคิดนำมาทดลองจารึกอาคมเซียนระดับ 4 ดาว…เพราะตอนนี้ข้าสัมผัสได้ว่าข้าใกล้จะปลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวเต็มที…ตราบใดที่มีวัตถุดิบที่เหมาะสมให้ข้าทดลองจารึกและศึกษาดู…ไม่แน่ข้าอาจจะบรรลุถึงขอบเขตปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวได้ในเวลาไม่นาน”


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาว!


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของป๋ายลี่หงมีอานุภาพสะท้านใจมันนัก! ยังเต็มไปด้วยความล่อลวงถึงที่สุด! อย่างน้อยๆถานฉี รองประมุขนิกายหยินหยางก็อดไม่ได้ที่จะชักสีหน้ามีสุขยินดีขึ้นมาออกหน้าออกตา!!


 


นิกายหยินหมิงของพวกมันไม่มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวแม้แต่คนเดียว!


 


กระทั่งปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว แม้นับรวมป๋ายลี่หงแล้ว พวกมันก็มีแค่ 2 คนเท่านั้น!


 


‘หากพวกเรามีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวล่ะก็…’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้สีหน้ารองประมุขนิกายหยินหมิง ถานฉี ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พอหันมองป๋ายลี่หงอีกครั้งสีหน้าแววตากลับกลายเป็นยิ้มร่าแลดูใจดีขึ้นหลายส่วน “เช่นนี้เองหรอกหรือ….ท่านปรมาจารย์ป๋ายทีหลังอย่าได้เกรงใจ แล้วท่านจักไปเมื่อใดเล่าข้าจะไปกับท่านด้วย?”


 


“ไปกันพรุ่งนี้เถอะ”


 


ป๋ายลี่หงไม่แปลกใจอะไรเรื่องที่ถานฉีขอติดตามมันไปเมืองหลวงด้วย


 


บางทีถ้าถานฉีไม่ขอตามไปด้วย นั่นล่ะสมควรทำให้มันแปลกใจมากกว่า!


 


‘ศิษย์น้อง อีกมินานพวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง!’


 


หลังจากที่ถานฉีตอบรับคำขอแล้ว ใจของป๋ายลี่หงก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยากระงับ


 


ถึงแม้มันจะถูกกักตัวไว้ที่นิกายหยินหมิง แต่มันก็เฝ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนมาโดยตลอด ตอนนี้พอได้รับทราบข่าวคราวของต้วนหลิงเทียน มันจึงแทบอดทนรอพบเจออีกฝ่ายไม่ไหวแล้ว!



ตอนที่ 1,605 : ที่อยู่ของป๋ายลี่หง!


 


ย่อมเป็นธรรมชาติที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในโลกภายนอกเลย


 


เพราะตอนนี้เขากำลังฝึกฝนบ่มเพาะอยู่บนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ การไหลของห้วงเวลาบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติยังช้ากว่าในโลกภายนอกถึง 5 เท่า เช่นนั้นเขาฝึกฝนบ่มเพาะในนี้ 5 วันด้านนอกก็พึ่งผ่านพ้นไปเพียงวันเดียว เช่นนั้นแล้วเวลาในการฝึกฝนบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน จึงมากกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างมีนัยสำคัญ


 


หลังจากทำให้รากฐานของขอบเขตพลังสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มั่นคงแน่นหนาดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังเพื่อให้บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่


 


เพราะมีเพียงแต่บรรลุถึงสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้วเท่านั้น ถึงจะเริ่มต้นทะลวงสู่ครึ่งก้าวเซียน และในที่สุดก็บรรลุขอบเขตเซียน!


 


ถึงแม้ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ จะไร้ผู้ใดภายใต้ขอบเขตเซียนต้านติด


 


อย่างไรก็ตามพลังฝึกปรือของเขายังพึ่งแค่เข้าใกล้จุดสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เท่านั้น ยังไม่ได้บรรลุถึงสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เลย!


 


“ตอนนี้ด้วยพลังทั้งความแข็งแกร่งของร่างข้า หากข้าทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนล่ะก็ ทะเลปราณของข้าจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก ถึงตอนนั้นข้าคงสามารถประมือกับขอบเขตเซียนทั่วไปได้แล้วล่ะมั้ง?”


 


ในขณะที่บ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็มักจะวาดหวังในอนาคตเสมอ


 


แน่นอนว่าแม้ใจเขาจะวาดหวังไว้เช่นนั้น แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นขอบเขตเซียนทั่วไปที่ร้ายกาจที่สุดมาแล้วหรือยัง แถมตัวตนครึ่งก้าวเซียนก็ไม่อาจเทียบกับขอบเขตเซียนได้เลย


 


มันเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารจริงๆ!


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่หากแต่เสียงเคาะพลันดังก้องไปในอากาศ ผู้เฒ่าหั่วที่ได้ยินก็เร่งกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนทันที


 


“มีข่าวเรื่องศิษย์พี่กับคนอื่นแล้วงั้นเหรอ!?”


 


ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนพลันลุกวาวขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาได้กำชับซือถูหัง คุณชายใหญ่ตระกูลซือถูเอาไว้แล้ว ว่าอย่ารบกวนเขาตอนปิดด่านบ่มเพาะ จนกว่าจะมีข่าวของป๋ายลี่หงและคนอื่นๆ


 


ตอนนี้ในเมื่อเสียงเคาะประตูมันดังขึ้นมา ย่อมหมายความว่ามีข่าวของป๋ายลี่หง!


 


หลังจากออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆไปเปิดประตูทันที และได้เห็นว่าเป็นซือถูหังที่มาเคาะประตู “คุณชายหัง มีข่าวของศิษย์พี่ข้าแล้วหรือ?”


 


“ใช่!”


 


ซือถูหังพยักหน้า


 


“ศิษย์พี่ข้าอยู่ที่ไหน!?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยความกระตือรือร้น


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ความจริงคือพวกเรายังไม่พบศิษย์พี่ท่าน แต่ศิษย์พี่ท่านเป็นฝ่ายพบเรา…อย่างไรก็ตามดูเหมือนศิษย์พี่ท่านจะประสบปัญหาบางอย่าง จึงวานให้คนมาส่งป้ายหยกบันทึกเสียงที่ตระกูลซือถู นอกจากนี้ยังกำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือท่าน”


 


ซือถูหังกล่าวออก


 


ป้ายหยกบันทึกเสียงที่จารึกด้วยอาคมเซียนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็เหมือนกันกับหยกบันทึกเสียงบนทวีปเมฆาล่อง จุดประสงค์ของมันมีไว้เพื่อบันทึกข้อความเสียงเอาไว้


 


แน่นนอนว่าป้ายหยกบันทึกเสียงของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันแข็งแรงทนทานยิ่งมากกว่าหยกบันทึกเสียงในทวีปเมฆาล่อง อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อความที่บันทึกเอาไว้ได้นานกว่า ยากที่จะเสียหาย


 


ตอนที่ต้วนหรูเฟิงออกจากทวีปเมฆาล่องและทิ้งหยกบันทึกเสียงไว้ให้ต้วนหลิงเทียน หากต้วนหรูเฟิงใช้ป้ายหยกบันทึกเสียงแทนล่ะก็ มันคงไม่เกิดความเสียหายอะไรง่ายๆแบบนั้น


 


และเพราะว่าหยกบันทึกเสียงในกล่องนั่นมันแตกหัก จึงทำให้ข้อความขาดแหว่ง เขาเลยคลาดกับกู่มี่ที่มาเฝ้ารอเขาอยู่ที่เมืองท่า


 


หาไม่แล้วตอนนี้เขาคงได้เดินเฉิดฉายอย่างสบายใจในฐานะจ้าวตำหนักน้อยแห่งตำหนักเมฆาคราม!


 


“หืม?!”


 


ได้ยินวาจานี้ของซือถูหังต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วยู่ย่นทันที “นี่หมายความว่าท่านก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ศิษย์พี่ของข้าหรือไม่งั้นเหรอ?”


 


“ผู้ที่นำป้ายหยกบันทึกเสียงมาส่งที่ตระกูลซือถูได้กล่าวกำชับไว้ ว่าผู้ที่ฝากป้ายหยกมาเรียกว่า ป๋ายลี่หง…ข้าคิดว่าสมควรเป็นศิษย์พี่ของท่านใช่หรือไม่?”


 


ซือถูหังกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่น่าจะผิดคนแล้วล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


หลังจากที่รับป้ายหยกบันทึกเสียงมาจากมือของซือถูหัง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มจ่ายปราณแท้ลงไปในตัวป้ายหยกบันทึกเสียงที่ว่าทันที


 


วิธีใช้งานป้ายหยกบันทึกเสียง ก็เหมือนกันกับวิธีใช้หยกบันทึกเสียงไม่มีผิด ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากป้ายหยก “ศิษย์น้องพอข้าได้ยินมาว่าแขกกิตติมศักดิ์ที่พึ่งปรากฏตัวในตระกูลซือถู มีนามเต็มว่า ต้วนหลิงเทียน…ข้าก็มั่นใจเต็มสิบส่วนทันทีว่าสมควรเป็นเจ้าแน่ๆ เพราะคงมีแต่เจ้าเท่านั้นที่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในประเทศฝูเฟิงอย่างแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยได้!”


 


“ตอนนี้เจ้ากลับมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งประเทศฝูเฟิงแล้ว…ข้าเชื่อว่านี่เป็นเจ้าจงใจกระทำเพื่อให้พวกเรารับทราบข่าวคราวของเจ้า…ดูเหมือนว่าข้าจะเดาไม่ผิด เจ้าสมควรมาตามหาข้าที่ประเทศฝูเฟิงจริงๆ!”


 


พอได้ยินเสียงที่กักเก็บเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนถึงกับเผยความตื่นเต้นออกมาออกหน้าออกตา


 


เขาย่อมจดจำได้ว่านี่เป็นเสียงของป๋ายลี่หง ศิษย์พี่ของเขาไม่ผิดคนแน่!


 


“อันที่จริงหลังจากเจ้าหลบหนีออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง พวกข้าก็เกือบเผชิญกับหายนะแล้วเหมือนกัน โชคดีที่ยอดฝีมือของขอบเขตเซียนได้ทุ่มกำลังออกไปตามหาเจ้ากันจนหมด หาไม่แล้วพวกเราคงมิอาจหลบหนีออกมาจากสำนักจันทร์จรัสแสงได้”


 


“ตั้งแต่ที่ข้าหลบหนีออกมาจากสำนักจันทร์จรัสแสงพร้อมสหายของเจ้า ข้าก็คิดพาสหายของเจ้ามาตั้งหลักที่ประเทศฝูเฟิง…อีกทั้งข้ายังคิดจะพาทั้งหมดมายังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง เพราะนั่นเป็นสถานที่ๆเจริญรุ่งเรืองทั้งมีความปลอดภัยมากที่สุดในประเทศฝูเฟิง…แต่ผู้ใดจะไปคิดฝัน พอพวกเราเดินทางเข้าเขตประเทศฝูเฟิงได้ไม่ทันไร กลับเผชิญคราวเคราะห์ กระทั่งถูกจับขังไว้ที่นิกายหยินหมิงเพื่อเป็นทาสของพวกมัน…”


 


“ยังโชคดีที่ศิษย์พี่เจ้าคนนี้ก็นับเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว ทำให้คนของนิกายหยินหมิงไม่ฆ่าพวกเรา…แต่สหายของเจ้าทั้งหมดยังคงถูกพวกนิกายหยินหมิงส่งไปเป็นคนงานที่เหมือง เพื่อขุดหาหินเซียนให้พวกมัน…”


 


“จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถพาทุกคนหลบหนีออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ…หากเจ้าสามารถกล่าวขอความช่วยเหลือจากตระกูลซือถูจนตระกูลซือถือยอมช่วยล่ะก็ ข้าเชื่อว่าพวกนิกายหยินหมิงต้องไม่กล้าไม่ปล่อยพวกเรา…”


 


เสียงของป๋ายลี่หงยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง “แน่นอนว่าถ้าหากตระกูลซือถูมิคิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ…ศิษย์พี่จักพยายามหาหนทางหลบหนีออกจากนิกายหยินหมิงให้ได้โดยที่ไม่ให้มีใครเจ็บตัว…และตราบใดที่พวกเราสามารถหลบหนีออกจากนิกายหยินหมิงไปถึงเมืองหลวงได้พวกเราจะรีบไปหาเจ้าทันที…สำหรับความเป็นอยู่ของพวกเราตอนนี้ ก็ยังพอทนอยู่กันได้ มิมีอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างไร”


 


นอกเหนือจากคำพูดเหล่านี้แล้ว ป๋ายลี่หงยังกล่าวถึงเหตุผลว่ามาเมืองหลวงได้อย่างไรบอกข้ออ้างที่ใช้ในการออกมา รวมถึงเรื่องที่มีรองประมุขนิกายหยินหมิงอย่างถานฉี และอาวุโสระดับสูง 2 คนที่ติดตามมาด้วย


 


รองประมุขนิกายหยินหมิงที่มีนามว่าถานฉีผู้นี้ คือครึ่งก้าวเซียนผู้หนึ่ง


 


สำหรับอาวุโสที่ติดตามมาทั้ง 2 ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ยอดฝีมือที่บรรลุจุดสูงสุดของครึ่งก้าวเซียน


 


หลังจากนั้นข้อความบันทึกไว้ในป้ายหยกบันทึกเสียงก็หมดลง


 


“นิกายหยินหมิง!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นเยียบออกมา จิตสังหารเริ่มคุกรุ่นในใจ!


 


นิกายหยินหมิงมันกล้าดีอย่างไรถึงได้กล่าจับพวกลุ่งเฟิ่งและสหายของเขาไปเป็นทาสแรงงาน!


 


สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้เสมือนพวกมันตบหน้าเขาดังฉาด!


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ในป้ายหยกบันทึกเสียงนั่นศิษย์พี่ท่านว่าอะไรหรือ? แล้วมีอันใดให้ข้าช่วยได้บ้าง?”


 


หลังจากที่เห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเป็นมืดดำ ซือถูหังเร่งกล่าวออกมาทันทีดั่งสายฝนที่โปรยลงมาในยามแล้ง


 


“คุณชายใหญ่หัง ท่านรู้จักนิกายหยินหมิงหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองซือถูหัง ถาม


 


ในป้ายหยกบันทึกเสียงป๋ายลี่หงได้บอกรายละเอียดของนิกายหยินหมิง เขาพอเดาได้ว่าไฉนศิษย์พี่ถึงไม่กล่าวอธิบายอะไรให้มาก


 


เพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาสมควรหาข้อมูลจากตระกูลซือถูได้อย่างไม่ยากเย็น


 


“นิกายหยินหมิงงั้นหรือ? ข้ารู้!”


 


ซือถูหังพยักหน้า “เช่นเดียวกับนิกายอัคคีล่องลอย นิกายหยินหมิงก็เป็นขุมพลังชั้น 7 ในประเทศฝูเฟิง อย่างไรก็ตามถึงพวกมันจะจัดว่าเป็นขุมพลังชั้น 7 แต่นิกายหยินหมิงก็ไม่อาจเทียบกับนิกายอัคคีล่องลอยได้เลย ไม่เพียงเท่านั้น…พวกมันยังห่างไกลจากการจะเทียบชั้นตระกูลซือถูของเราได้! ในประเทศฝูเฟิงกล่าวได้ว่านิกายหยินหมิงเป็ขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนด้อยที่สุด พวกมันมีตัวตนในขอบเขตเซียนแค่ 2 คนเท่านั้น นอกจากนี้ขอบเขตเซียนทั้ง 2 นั่นก็พึ่งทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน”


 


ขุมพลังชั้น 7?


 


ขอบเขตเซียน 2 คน?


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว


 


ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจทรงพลังเพียงใด แต่หากอยู่ภายใต้ขอบเขตเซียน จะให้มันมีเป็นสิบต้วนหลิงเทียนก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย


 


ด้วยพลังฝีมือในตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าเขาไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตเซียน!


 


อย่างไรก็ตามตัวตนในขอบเขตเซียนยังเป็นอะไรที่เขายากรับมืออยู่บ้าง อย่างน้อยๆด้วยพลังฝีมือของเขาหากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ คงยากจะจัดการกับพวกมัน


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ท่านถามถึงนิกายหยินหมิงเช่นนี้ หรือศิษย์พี่ท่านเกี่ยวพันกับนิกายหยินหมิงงั้นหรือ?”


 


ในฐานะคุณชายใหญ่ของตระกูลซือถู ซือถูหังย่อมไม่ใช่ตัวโง่งมมันพอคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปิดบังอะไร และบอกเรื่องราวที่ศิษย์พี่และสหายของเขาออกไปโดยตรง ว่าตอนนี้ทั้งหมดถูกนิกายหยินหมิงจับตัวเอาไว้ และยังถูกบังคับให้ลายเป็นทาส “ในเมื่อนิกายหยินหมิงเป็นขุมพลังชั้น 7 ด้วยพลังฝีมือของข้าตอนนี้คิดจะช่วยเหลือพวกศิษย์พี่คงยากจะเป็นไปได้…ซือถูหัง ท่านกับบิดาพอจะช่วยเหลือข้าเรื่องนี้ได้หรือไม่?”


 


“หากพวกท่านสามารถช่วยเหลือศิษย์พี่และสหายของข้าได้ ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณท่าน!”


 


วาจาท้ายประโยคต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง


 


หายากนักที่ต้วนหลิงเทียนจะยินดีติดหนี้บุญคุณผู้อื่น เพราะสุดท้ายแล้วหนี้บุญคุณก็เป็นอะไรที่ยากจะชดใช้ตอบแทน


 


อย่างไรก็ตามวันนี้เรื่องราวมันเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของศิษย์พี่และเหล่าสหายของเขา จึงไม่ขัดข้องหากจะติดค้างใคร


 


“นิกายหยินหมิง…”


 


หลังจากได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาซือถูหังทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง ค่อยกล่าว “ท่านปรมาจารย์ต้วน หากไม่ใช่นิกายหยินหมิงแต่เป็นขุมพลังชั้น 7 อื่นๆ ต่อให้มันจะแข็งแกร่งกว่านิกายหยินหมิง ข้าสามารถตอบรับคำขอท่านได้ทันที…อย่างไรก็ตามหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิกายหยินหมิงจริงๆ ข้าต้องไปหารือกับท่านพ่อก่อน เพื่อให้ท่านพ่อตัดสินใจ”


 


ทันทีที่ซือถูหังกล่าวประโยคนี้ออกมา คิ้วต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดเป็นปม


 


เขารู้สึกได้ทันทีว่าซือถูหังกำลังหลีกเลี่ยง!


 


นิกายหยินหมิงเป็นแค่ขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนแอที่สุดในประเทศฝูเฟิง แล้วทำไมตระกูลซือถูถึงกลัวพวกมัน?


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเป็นปม ซือถูหังได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะมันย่อมเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ “ท่านปรมาจารย์ต้วนเหตุผลที่ข้ากล่าวเช่นนี้มิใช่เพราะตั้งใจหลบเลี่ยง…หากแต่นิกายหยินหมิงกับตระกูลซือถูของพวกเรา มีสายสัมพันธ์บางอย่าง…”


 


“พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซือถูของเจ้าด้วยงั้นเหรอ?”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงโดยพลัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านิกายหยินหมิงจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลซือถู หากเขารู้แต่แรกเขาคงไม่คิดช่วยชีวิตซือถูหัง


 


แน่นอนว่าเขาก็ได้แค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น


 


ตอนนั้นแม้เขาจะรู้ว่าตระกูลซือถูเกี่ยวข้องกับนิกายหยินหมิง แต่เขาก็คงรักษาซือถูหังอยู่ดีเพราะเห็นแก่รางวัลที่อีกฝ่ายสัญญาเอาไว้ แต่แน่นอนว่าถ้าเขารู้มาก่อนว่าศิษย์พี่และสหายของเขาถูกนิกายหยินหมิงจับไปเป็นทาสและกดขี่ข่มเหงแบบนี้ เขาไม่มีวันช่วยซือถูหังแน่!


 


“ใช่”


 


ซือถูหังพยักหน้า และพอเห็นสีหน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงเรื่อยๆ มันก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนต้องกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่แน่ๆ จึงเร่งกล่าวอธิบายออกมาทันที “กล่าวให้ชัดพวกมันไม่ได้มีสัมพันธ์กับทั้งตระกูลซือถูของพวกเรา…แต่พวกมันมีสัมพันธ์กับฝ่ายซือถูหมิงและซือถูจั๋ว…”



ตอนที่ 1,606 : ผู้ฝึกมาร?


 


ซือถูจั๋วนั้นเป็นคุณชายรองของตระกูลซือถู นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ทำให้ซือถูหังเกือบตาย!


 


สำหรับซือถูหมิงหรือบิดาของซือถูจั๋วนั้น สถานะของมันในที่แจ้งเพียงเป็นรองแค่ผู้นำตระกูลอย่าง ซือถูฮ่าว เท่านั้น มันยังถูกผู้คนรู้จักกันในนามรองผู้นำหมิงอีกด้วย


 


ตระกูลซือถู แม้แลดูเหมือนเป็นปึกแผ่นมั่นคงดั่งเหล็ก หากแต่ที่จริงภายในกลับแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย


 


ฝ่ายหนึ่งเคารพในตัวซือถูฮ่าว


 


อีกฝ่ายหนึ่งเคารพรองผู้นำอย่าง ซือถูหมิง


 


“อันที่จริงแล้วซือถูหมิงมิใช่คนริเริ่มต่อต้านพวกเรา กระทั่งรุ่นก่อนๆตั้งแต่สมัยท่านปู่ของข้าก็มีปัญหากับบิดาของซือถูหมิงเช่นกัน”


 


ซือถูหังกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


“และบิดาของซือถูหมิง ก็เป็นผู้ที่ริเริ่มเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายหยินหมิง จากข้อมูลที่พวกเราได้รับมา บิดาของซือถูหมิงลอบสนับสนุนนิกายหยินหมิงอย่างลับๆ เมื่อพวกมันเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ก็เหมือนมีดคมของฝ่ายซือถูหมิงที่จ้องจะเสียบอกพวกเรา”


 


กล่าวถึงเรื่องนี้สีหน้าของซือถูหังก็เผยความจริงจังออกมา “ตลอดเวลาที่ผ่านมาทางฝ่ายของพวกเราพยายามหาทางกำจัดนิกายหยินหมิงมาโดยตลอด แต่พวกเรากลับมิมีโอกาสลงมือ เพราะซือถูหมิงลอบคุ้มครองพวกมันในที่ลับ หากพวกเราผลีผลามลงมือ เกรงว่าซือถูหมิงเองก็จะฉวยโอกาสลงมือเช่นกัน”


 


“แม้ตอนนั้นฝ่ายพวกเราสามารถปราบนิกายหยินหมิงได้ แต่ต้องได้รับผลกระทบไม่น้อย เผลอๆขุมพลังของพวกเราอาจจะถูกลดลงเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนแอ ก็เป็นได้”


 


ซือถูหังกล่าวออกมาหน้าเครียด


 


“เป็นแบบนี้นี่เอง…”


 


หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของซือถูหัง ใบหน้าถมึงทึงของต้วนหลิงเทียนก็พอได้ผ่อนคลายลงมาหน่อย หากเป็นเพราะสาเหตุนี้ ทีท่าของซือถูหังก่อนหน้าก็ไม่นับว่าแปลกอะไร


 


“เช่นนั้นหมายความว่า ถึงเจ้าจะไปหารือเรื่องนี้กับบิดา ก็ไม่แน่ว่าตระกูลซือถูจะช่วยข้าได้สินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ข้าย่อมอยากช่วยเหลือท่านยิ่ง…กระทั่งท่านพ่อเองก็สมควรคิดไม่ต่างจากข้า อย่างไรก็ตามบิดาข้าจำต้องคำนึงถึงภาพรวม บางทีท่านพ่อข้าอาจหาวิธีช่วยเหลือสหายของท่านให้ออกจากนิกายหยินหมิงได้ โดยไม่ต้องกระตุกหนวดซือถูหมิง”


 


ซือถูหังกล่าวออกมาด้วยทีท่าขออภัย


 


“คนกว่า 9 ใน 10 ส่วนของนิกายหยินหมิงล้วนเป็นผู้ฝึกมาร พวกมันย่อมมีความรุนแรงเป็นทุน…เป็นการดีที่สุดที่ไม่อาจยืดถ่วงเวลาในการจัดการเรื่องนี้เพราะสหายกับศิษย์พี่ของท่านอาจเป็นอันตรายได้ทุกเมื่อ ข้าจะเร่งไปหารือกับบิดาเดี๋ยวนี้!”


 


ซือถูหังกล่าว และคิดจะไปหาบิดาของมันทันที


 


“ช้าก่อน!”


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกับกล่าวหยุดซือถูหมิงเอาไว้ สองตายังทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง ถามว่า “เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่า…คน 9 ใน 10 ส่วนของนิกายหยินหมิงเป็นผู้ฝึกมารงั้นเหรอ?”


 


ผู้ฝึกมาร!


 


บางทีสำหรับผู้อื่นแล้ว นี่คือตัวตนที่มีความอันตรายสูง อีกทั้งนิสัยยังก้าวร้าวรุนแรงเอาแน่เอานอนไม่ได้


 


อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว…พวกมันเสมือน ‘เนื้อ’ บนเขียง!


 


แน่นอนว่านี่ย่อมหมายถึงผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือในขอบเขตที่เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนเพียงแค่ขอบเขตเดียวเท่านั้น หากเป็นผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนถึง 2 ขอบเขตใหญ่ พวกมันก็ไม่ใช่เนื้อบนเขียงของต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป


 


ทั้งหมดเป็นเพราะ ตราผนึกมาร ที่เขามี มันมีพลังอำนาจสยบผู้ฝึกมารได้แค่….ผู้ฝึกมารที่อยู่เหนือเขา 1 ขอบเขตเท่านั้น!


 


“ใช่!”


 


แม้ไม่ทราบว่าทำไมต้วนหลิงเทียนถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ซือถูหังก็พยักหน้าและพูดว่า “ผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์นิกายหยินหมิง ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกมาร…แต่ประมุขและเหล่าชนชั้นรองประมุขที่เป็นขุมพลังหลักของพวกมัน ล้วนเป็นผู้ฝึกมารทุกคน! แม้ประมุข และอาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงจะพึ่งทะลวงขอบเขตเซียนมาได้แค่ไม่กี่สิบปี แต่เพราะความที่พวกมันเป็นผู้ฝึกมาร ความสามารถในการต่อสู้ของมันจึงเหนือกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆในขอบเขตพลังเดียวกัน…”


 


“เรื่องนี้นับเป็นขอดีของผู้ฝึกมาร! ผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าล้วนรู้กันดีว่าความสามารถในการต่อสู้ของพวกผู้ฝึกมารเป็นเช่นไร!”


 


ซือถูหังกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดจากปากซือถูหัง


 


ผู้ฝึกมาร? มีความสามารถในการต่อสู้?


 


อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่ซือถูหังกล่าวออกมา สำหรับต้วนหลิงเทียนก็เป็นแค่เรื่องตลก!


 


บางทีผู้ฝึกมารนั้นอาจจะร้ายกาจและน่ากลัวในสายตาของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ


 


แต่สำหรับคนที่มีตราผนึกมารไว้ในครอบครองอย่างเขา พวกมันไม่คู่ควรให้กล่าวถึง…แน่นอนว่านี่หมายถึงผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือเหนือเขาแค่ขอบเขตเดียว


 


“คุณชายใหญ่หัง…ท่านบอกว่าจะไปหารือกับบิดา แต่ข้าถามได้หรือไม่ว่าท่านมีความมั่นใจเท่าไหร่?”


 


ประกายตาต้วนหลิงเทียนเรืองสว่างออกมาวูบหนึ่ง ถามซือถูหัง


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน แม้ท่านจะมิได้แก่กว่าข้า แต่ข้าก็เคารพท่านดั่งผู้อาวุโส ย่อมไม่คิดหลอกลวงท่าน อันที่จริงข้ามั่นใจไม่ถึง 3 ส่วนด้วยซ้ำ…”


 


ซือถูหังระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ใจมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนัก


 


“ถ้างั้น เรื่องนี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกบิดาท่าน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ทะ..ท่านปรมาจารย์ต้วน?”


 


ซือถูหังถึงกับตัวแข็งค้างไปทันใด ด้วยไม่ทราบว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเพราะมีโทสะหรืออย่างไร


 


“ข้าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง!”


 


หลังจากกล่าวบอกซือถูหังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็จากไปทันที ร่างคนวูบหายไปต่อหน้าต่อตาซือถูหัง


 


“คุณชายใหญ่หัง ข้ารู้ว่าท่านจะยังคงไปรายงานบิดาของท่านให้ทราบอยู่ดี ข้าซาบซึ้งในความหวังดีของท่าน อย่างไรก็ตามถึงแม้บิดาท่านคิดจะช่วยเหลือข้าจริงๆ แต่ข้าอยากขอให้พวกท่านทั้งคู่รอข้ากลับมาก่อน…ใครจะไปรู้ข้าอาจทำให้พวกท่านทั้งคู่ประหลาดใจเมื่อกลับมาก็เป็นได้”


 


ในขณะที่ซือถูหังจะออกไปหาบิดาเพื่อหารือถึงเรื่องนี้ พลันมีเสียงผ่านปราณแท้ส่งตรงถึงหูของมัน เป็นเสียงของต้วนหลิงเทียน


 


และเสียงของต้วนหลิงเทียนยังเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก!


 


จักหวะนี้ซือถูหังอดไม่ได้ที่จะยืนอึ้ง ด้วยไม่ทราบจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนไปเอาความมั่นใจมาจากไหน


 


ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนนั้น หลังจากออกจากตระกูลซือถูแล้ว เขาก็รีบก้าวอาดๆไปบนถนนของเมืองหลวงฝูเฟิง มุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตก


 


จากป้ายหยกบันทึกเสียงที่ป๋ายลี่หงวานให้คนมาส่ง ตอนนี้ป๋ายลี่หงอยู่ในฐานปฏิบัติการณ์ของนิกายหยินหมิงที่เมืองหลวง


 


ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงไม่ใช่ความลับอะไร เพียงถามผู้ใดแถวนั้นเอาก็ได้ ต่างรู้ถึงที่ตั้งกันดี


 


ในฐานะขุมพลังชั้น 7 แม้จะเป็นขุมพลังที่อ่อนด้อยที่สุด แต่ก็ยังมีผู้เข้มแข็งในขอบเขตเซียนคุมบังเหียน ทำให้ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงก็มีขนาดใหญ่โตและตกแต่งดูดีไม่เบา ถึงแม้จะเทียบกับตระกูลซือถูไม่ได้เลยก็ตาม


 


บริเวณกำแพงฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิง ต้วนหลิงเทียนเลือกเฟ้นจุดอับสายตาหนึ่ง ค่อยโดดข้ามกำแพง ลอบแทรกซึมเข้าไปในฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงโดยที่ไร้ผู้ใดล่วงรู้


 


ด้วยพลังฝีมือในปัจจุบันของเขา ยากที่ใครจะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวและตัวตน เว้นเสียแต่คนผู้นั้นจะเป็นตัวตนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่า ครึ่งก้าวเซียน!



ตอนที่ 1,607 : ใจกังวลความคิดสับสน


 


ที่ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงในเมืองหลวงนั้น โดยปกติแล้วจะมีชนชั้นรองประมุขประจำการอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น


 


เมื่อรวมกับถานชี และอาวุโสระดับสูง 2 คนที่มากับป๋ายลี่หง ทำให้ในฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงมียอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ 2 คน และครึ่งก้าวเซียนถึง 2 คน


 


หากแต่แม้จะเป็นครึ่งก้าวเซียน 2 คน และสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ 2 คนต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขามี ตราผนึกมาร 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ของรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าสามารถเอาชนะพวกมันได้ด้วยพลังฝีมือส่วนตัวโดยไม่ต้องใช้ตราผนึกมาร!


 


ด้วยพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ รวมถึงความสามารถย่อยในขอบเขตสู่เซียนทั้งหลายที่มี ทำให้เขาแทบเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตเซียน!


 


ภายในฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิง ในบ้านลานหลังหนึ่ง ปรากฏร่างป๋ายลี่หงเดินวนไปเวียนมาบนสนามหญ้า ด้วยความว้าวุ่นใจ “ป่านนี้ศิษย์น้องสมควรได้รับป้ายหยกบันทึกเสียงที่ข้าใช้ให้คนไปส่งแล้วใช่หรือไม่?”


 


ด้านป๋ายลี่หงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้แทรกซึมเข้ามาในฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงแห่งนี้แล้ว


 


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่ลอบเข้ามาในฐานปฏิบัติการได้อย่างลับๆ ก็จับตัวศิษย์นิกายคนหนึ่งที่เดินลาดตระเวนอยู่ พร้อมกล่าววาจาออกมาเสียงเย็น “ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวที่พึ่งมาถึงไม่นานอยู่ไหน พูด! ไม่งั้นเจ้าตาย!”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงเย็นพาลให้หนาวสะท้านไปถึงไขสันหลัง


 


สำหรับศิษย์นิกายแล้ว ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้ มันก็เหมือนเด็กน้อยไร้เรี่ยวแรงและไร้กำลังจะต่อต้านขัดขืน ใครจะไปคิดไปฝันว่ามันต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้


 


“ยะ…อยู่ในลานขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ยะ…ยังมีต้นสน 100 ปีสูงใหญ่เป็นจุดสังเกต”


 


ศิษย์นิกายหยินหมิงให้ความร่วมมือแต่โดยดี


 


ด้านต้วนหลิงเทียนที่ได้รับทราบคำตอบแล้ว ก็สะบัดมือซัดศิษย์ดังกล่าวจนสลบ แต่ไม่ได้ลงมือฆ่ามันแต่อย่างไร


 


สาเหตุที่เขาไม่ฆ่ามันนั้น เพราะต่อให้มันไม่ตายแต่มันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเขาเลย แถมมันยังให้ความร่วมมือกับเขาแต่โดยดี


 


ต้วนหลิงเทียนมุ่งหน้าไปยังส่วนที่ศิษย์คนนั้นกล่าว ไม่นานเขาก็แลเห็นต้นสนสูงใหญ่ อายุราวๆ 100 ปี เขายังสังเกตเห็นป๋ายลี่หงที่กำลังชักสีหน้าบึ้งตึงเดินวนไปเวียนมาในสนามหญ้าแทบจะทันที


 


“ศิษย์พี่!”


 


เมื่อเห็นร่างอันคุ้นเคยของป๋ายลี่หง ลูกตาของต้วนหลิงเทียนพลันส่องประกายจ้าขึ้นมา เร่งร้องทักออกไปอย่างไม่รอช้า


 


ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงก็หันขวับมาทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว


 


“ศิษย์น้อง!”


 


พอได้เห็นร่างต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ หากแต่เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมาคนเดียวก็ทำให้ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะงุนงง “แล้วคนของตระกูลซือถูอยู่ที่ใด? ไฉนถึงไม่ได้มากับเจ้าเล่าศิษย์น้อง?”


 


“ปรมาจารย์ป๋ายลี่…ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าท่านจักมีศิษย์น้องด้วย!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงพึ่งพบหน้ากันได้ไม่ทันไร เสียงไม่เป็นมิตรหนึ่งพลันดังขึ้นพร้อมกันกับที่ชายในชุดคลุมลมดำปรากฏตัวขึ้นมา


 


“ถานฉี เจ้าลอบจับตาดูข้างั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นร่างที่ปรากฏตัวออกมา หน้าป๋ายลี่หงก็จมลงโดยพลัน กล่าวออกเสียงเย็น “ศิษย์น้องของข้าพึ่งมาพบข้าที่นี่เท่านั้น เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


“ศิษย์น้องท่านมาหาท่านหรือ?”


 


ได้ยินคำของป๋ายลี่หง ถานฉีพลันแสยะยิ้มกล่าว “ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ ดูเหมือนว่าศิษย์น้องท่านจักแข็งแกร่งมิใช่ชั่ว ถึงกับลอบเขามาได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้…ยังเล็ดลอดสายตาศิษย์ที่ลาดตระเวณไปทั้งหมด!”


 


ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค สองตาถานฉีก็หันไปจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยประกายเย็นชา


 


ในเมื่ออยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็โผล่ขึ้นมาแบบนี้ ถานฉีย่อมเห็นเขาเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ


 


“พลังฝีมือศิษย์น้องข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เขาเพียงมาพบข้าที่เป็นศิษย์พี่เท่านั้น และจะจากไปทันที!”


 


ป๋ายลี่หงที่ไม่เห็นคนของตระกูลซือถูเร่งกล่าวออกมา แน่นอนว่ามันไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนต้องปะทะกับถานฉี เพราะอีกฝ่ายมีพลังฝึกปรือเหนือกว่ามันมาก


 


แน่นอนว่าหากต้องปะทะกับถานฉีจริงๆ มันก็ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย!


 


“ปรมาจารย์ป๋ายลี่ ในเมื่อศิษย์น้องท่านอุตส่าห์มาทั้งที ในเมื่อมาแล้วก็อยู่มันเสียที่นี่เลยเถอะ!”


 


ถานฉีหัวร่อออกมา


 


ในสายตาของมันในเมื่อชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้เป็นศิษย์น้องของป๋ายลี่หง หากมันจับตัวชายหนุ่มผู้นี้ได้ ต้องสามารถควบคุมป๋ายลี่หงได้ดีขึ้นแน่


 


“ถานฉี เจ้าอย่าได้บีบคั้นข้า!”


 


ป๋ายลี่หงคำรามออกเสียงดัง ก่อนที่จะวูบร่างไปบังขวางอยู่ด้านหน้าต้วนหลิงเทียน มองจ้องถานฉีอย่างเอาเรื่อง


 


ปราณแท้ยังเริ่มแผ่พุ่งออกมาทั่วร่าง อีกทั้งศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ถึง 3 อาคมก็ปรากฏขึ้นในมือ ป๋ายลี่หงยังยกอาวุธขึ้นมาชี้หน้าถานฉี คล้ายมันจะลงมือเต็มกำลังหากอีกฝ่ายกล้าทำอะไรต้วนหลิงเทียน!


 


ในขณะนี้ด้วยใจที่กังวลป๋ายลี่หงคล้ายจะลืมเลือนไปหมดสิ้น


 


ในตอนนี้ไม่เพียงต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือร้ายกาจ ยังร้ายกาจถึงขั้นเอาชนะ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยอันดับที่ 23 ในรายนามนภาลงได้…แน่นอนว่าพลังฝีมือที่แท้จริงของนางยังสามารถติดได้แม้แต่ 1 ใน 10!


 


“ปรามาจารย์ป๋ายลี่ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ท่านมิใช่คู่มือข้า…ถึงแม้ท่านจะรั้งข้าไว้ได้ แต่ท่านคิดหรือว่าศิษย์น้องของท่านจะหนีไปที่ใดได้?”


 


ถานฉีเผยยิ้มร่าออกมา


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่ถานฉีกล่าวจบคำ ร่างชายชราในชุดคลุมลมดำ อีก 2 คนพลันปรากฏตัวขึ้น ทั้งคู่มองเขม็งไปยังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย คล้ายพร้อมลงมือจัดการต้วนหลิงเทียนทันทีที่เขาคิดหนี


 


ชายชราทั้ง 2 คืออาวุโสระดับสูงของนิกายหยินหมิงที่ติดตามถานฉีมายังเมืองหลวง


 


แม้พลังฝึกปรือของพวกมันจะยังไม่ถึง ครึ่งก้าวเซียน แต่พวกมันก็ถือเป็นสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ และห่างอีกไม่มากก็จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนแล้ว นับได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่จริงๆ!


 


เห็นภาพนี้หน้าป๋ายลี่หงก็เปลี่ยนสีไปทันใด


 


มันคิดว่าถึงแม้ตัวมันจะไม่อาจรับมือถานฉีได้ไหว แต่อย่างน้อยก็สามารถพัวพันอีกฝ่าย ซื้อเวลาให้ต้วนหลิงเทียนหลบหนีไปได้


 


อนิจจาดูท่าเรื่องนั้นจะเป็นไปไม่ได้แล้ว


 


“ถานฉีหากวันนี้เจ้าไม่ปล่อยศิษย์น้องข้าไป ข้าจะไม่มีวันกลับไปนิกายหยินหมิงกับเจ้า!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวข่มขู่ออกมาเสียงเข้ม


 


“ปรมาจารย์ป๋ายลี่ นี่ท่านขู่ข้างั้นเหรอ”


 


อย่างไรก็ตามพอได้ยินวาจาข่มขู่ของป๋ายลี่หง ถานฉีพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องตลกขบขันที่สุดในโลก


 


“เจ้าหัวเราะอะไร!?”


 


ใบหน้าป๋ายลี่หงมืดลงทันใด


 


“ปรมาจารย์ป๋ายลี่ เรื่องไม่กลับไปนิกายหยินหมิงข้าเชื่อว่าพลังฝีมือของท่านย่อมกระทำได้…อย่างไรก็ตามถึงท่านจะหลบหนีไปได้ แต่คิดจริงๆหรือว่าศิษย์น้องท่านจะรอด ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าจำไม่ผิดยังมีอีกหลายคนที่ท่านห่วงใย อยู่ในนิกายหยินหมิง…หรือท่านไม่กลัวพวกมันตายตกแล้ว?”


 


ถานฉีหัวเราะออกมาดังร่าสีหน้าท่าทางเผยให้ห็นชัดว่า มันคิดว่าทุกสิ่งอยู่ในกำมือของมัน!


 


“เจ้า!”


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของถานฉีจี้เข้าจุดอ่อนของป๋ายลี่หงทันที ทำให้มันรู้สึกไร้พลังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


 


“รองประมุขถาน”


 


ครู่ต่อมาป๋ายลี่หงพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวออกอีกครั้ง”โปรดปล่อยศิษย์น้องของข้าไปเถอะ…ในนิกายหยินหมิงมีสหายของข้าอยู่มากมาย เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะคิดหนีไปที่ใด ไม่จำเป็นต้องเพิ่มศิษย์น้องข้าไปอีกคนหรอก”


 


ทว่าน้ำเสียงป๋ายลี่หงคราวนี้ นับว่าอ่อนลงหลายส่วนนัก


 


เพื่อเห็นแก่ต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงจึงยินดีกล่าวอ่อนข้อออกมาแบบนี้


 


“ฮ่าๆๆๆ!!”


 


ทว่าพอได้ยินวาจานี้ของป๋ายลี่หง ถานฉีพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ นี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆที่เห็นท่านถ่อมตัวถึงขนาดนี้ ที่แท้ฐานะศิษย์น้องในใจท่านกลับสูงนัก ยังสูงเสียยิ่งกว่าสหายที่เหลือทั้งหมดนั่นเสียอีก เช่นนี้ข้ายังจะปล่อยมันไปได้อย่างไร!!”


 


วาจาของถานฉีทำให้หน้าป๋ายลี่หงเปลี่ยนสีทันที มันรู้สึกราวกับได้ผลักไสศิษย์น้องของมันเข้าปากเสืออย่างไรอย่างนั้น


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ทันได้ตระหนักเลย ว่าต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังของมันนั้นไม่ได้เผยอาการตื่นตระหนกอะไรแม้แต่น้อย คล้ายไม่ได้สนใจจะฟังคำของถานฉีด้วยซ้ำ อันที่จริงท่าทางก็คงจะไม่ได้ฟังจริงๆ!


 


ท่าทีเช่นนี้ เป็นไปได้แค่ 2 ทางเท่านั้น


 


หนึ่งคือต้วนหลิงเทียนหูหนวกและไม่มิทักษะในการอ่านริมฝีปากผู้คน


 


ทางที่ 2 คือ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เห็นถานฉีอยู่ในสายตาเลย…


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วแน่นอนว่าไม่มีวันเป็นอย่างแรกไปได้


 


“รองประมุขถาน ข้าเกรงว่าเรื่องนี้เจ้าจะยังไม่รู้ แต่ศิษย์น้องของข้าคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ข้าแน่ใจว่าตระกูลซือถูย่อมล่วงรู้ถึงการมาเยือนที่นี่ของเขาแล้วแน่นอน หากเจ้ากล้าจับศิษย์น้องของข้า อย่าได้คิดว่าตระกูลซือถูจะปล่อยพวกเจ้าไป!”


 


ทันใดนั้นในใจป๋ายลี่หงคล้ายมีประกายไฟสว่างวาบ มันที่พึ่งนึกฐานะของต้วนหลิงเทียนออก เร่งยกมาขู่ข่มถานฉีทันที ยังไม่ลังเลอะไรขณะยกเอาตระกูลซือถูมากล่าวอ้าง


 


ตอนนี้ด้านป๋ายลี่หงที่ใจกังวลทำให้ความคิดสับสนนัก! ถึงกับลืมเลือนไปเสียสิ้นแล้ว ว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั้นร้ายกาจมากพอจะติด 1 ใน 10 อันดับรายนามนภาด้วยซ้ำ


 


ทว่าป่ายลี่หงลืมคิดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะลืมคิดเหมือนกับมันด้วย


 


พริบตานั้น อาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงที่จ้องต้วนหลิงเทียนอย่าดุร้ายเมื่อครู่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวทันที


 


ส่วนอีกด้าน ถานฉีที่ได้ยินคำของป๋ายลี่หง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยพลัน สีหน้ายังเริ่มซีดลง หันมองถามต้วนหลิงเทียนเสียงเข้มด้วยสงสัย “เจ้าคือต้วนหลิงเทียน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ที่เอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย และชิงอันดับที่ 23 ในรายนามนภามา?”


 


ต้องกล่าวเลยว่านามของต้วนหลิงเทียนมีอานุภาพสะกดข่มผู้คนไม่น้อย!


 


อย่างน้อยที่สุดก็ได้ผลกับถานฉี!


 


เพราะสุดท้ายแล้วแม้ถานฉีจะเป็นครึ่งก้าวเซียน หากแต่พลังฝือของมันยังไม่สูงพอที่จะติดอันดับในรายนามนภา!


 


และไม่นานถานฉีก็ได้พบว่า คล้ายต้วนหลิงเทียนจะไม่แยแสมันเลย!


 


จังหวะนี้ในใจของมันพลันบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมา!


 


หลังจากที่รับทราบตัวตนของมันแล้ว แต่ยังยืนเหม่อลอยเช่นนี้ หากไม่ใช่ตัวโง่งม ก็เป็นเพราะไม่ได้กริ่งเกรงอะไรมันเลย!


 


แน่นอนว่าชายหนุ่มชุดม่วงนี่มิใช่อย่างแรกแน่นอน!


 


‘จริงสิ! ข้ากลับเลอะเลือนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร! ศิษย์น้องเป็นสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิง! ยังเป็นยอดฝีมือในรายนามนภา แม้จะมีอันดับที่ 23 หากแต่พลังฝีมือที่แท้กลับมากพอจะติด 1 ใน 10 อันดับแรก!!’


 


ในที่สุดป๋ายลี่หงพึ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ และนึกได้แล้วว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมันร้ายกาจปานใด


 


จังหวะนี้ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวทั่วไปใบหน้า หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มแหยๆ


 


มาตอนนี้มันรู้สึกว่ามันนั้นเหรอหราถึงเพียงใด…


 


ตอนนี้พลังฝีมือมันยังไม่อาจเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้ด้วยซ้ำ แต่กลับมาออกตัวป้องกันอีกฝ่าย!


 


ยิ่งนึกถึงเรื่องก่อนหน้ามากเท่าไหร่ป๋ายลี่หงก็ยิ่งรู้สึกอับอายนัก! มันอยากจะขุดหลุมแล้วมุดดินหนีไปเสียบัดนี้!!



ตอนที่ 1,608 : กระบี่เหินปลิดหัว!


 


ความคิดในใจของป๋ายลี่หงแน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้


 


แต่ถึงเขาจะรู้เขาก็ไม่คิดจะว่าอะไรป๋ายลี่หงสักคำ นั่นเพราะทั้งหมดเป็นป๋ายลี่หงที่ห่วงใยเขามากเท่านั้น เขาจะยิ่งซาบซึ้งตื้นตันเพราะความห่วงใยนี้ของป๋ายลี่หงเสียมากกว่า คงไม่คิดว่ามันน่าขันแม้แต่น้อย


 


“แล้วอีกคนนั่น เมื่อไหร่จะออกมาเสียที?”


 


ในขณะที่ถานฉีและอาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงกำลังจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนอย่างระวัง อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็หันไปเหลือบมองทิศทางหนึ่ง พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


 


ทันใดนั้นทุกสายตาไม่เว้นถานฉีก็หันมองตามต้วนหลิงเทียนไปอย่างพร้อมเพรียง


 


ถึงแม้พวกมันจะไม่เห็นใครสักคนก็ตาม…


 


“สมแล้วที่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู! สมคำร่ำลือนัก!!”


 


แต่ทว่าทันใดนั้นเอง พลันปรากฏร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังรั้วกั้นลาน มันค่อยๆย่างเท้าเดินเข้ามาในลานอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


มองไปเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าได้รูปปานหยกเสลา หากแต่มีไฝเม็ดเขื่องอยู่ตรงหว่างคิ้วเป็นจุดเด่น ท่วงท่าแลดูสงบขณะก้าวเท้าเดินตัดลานมาทางต้วนหลิงเทียน


 


“โจวชู!”


 


เมื่อเห็นร่างชายวัยกลางคนผู้นี้ สองตาของถานฉีก็ทอแสงสว่างจ้าขึ้นมาทันที ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือ โจวชู หัวหน้าผู้ดูแลควบคุมฐานปฏิบัติการณ์ของนิกายหยินหมิงประจำเมืองหลวงฝูเฟิง อีกฝ่ายยังเป็นรองประมุขเช่นเดียวกันกับมัน!


 


ทว่าทางด้านโจวชูนั้นกลับเป็นยอดฝีมือในรายนามนภา!


 


อย่างไรก็ตาม อันดับในรายนามนภาของโจวชูตอนนี้กลับเทียบต้วนหลิงเทียนที่อยู่อันดับที่ 23 ไม่ได้ เพราะมันอยู่ในอันดับที่ 30..


 


แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพลังฝีมือของโจวชูอ่อนด้อยกว่าต้วนหลิงเทียน เพราะอันดับที่ 30 นี่ของโจวชู ไม่มีใครท้าทายสั่นคลอนได้มานับสิบปีแล้ว


 


และในสิบปีที่ผ่านมา คนของประเทศฝูเฟิงก็สับสนไม่น้อยว่าไฉนโจวชูไม่ช่วงชิงอันดับที่สูงกว่า เพราะในสายตาของพวกมัน กระทั่งคนที่เคยอ่อนด้อยกว่าโจวชูในอดีตก็สามารถเข้าสู่ 10 อันดับแรกของนายนามนภาได้กันหมดแล้ว…


 


หากแต่โจวชูยังไม่เลื่อนอันดับแต่อย่างไร คล้ายจะพึงพอใจกับอันดับที่ 30 ในรายนามนภา


 


มีเพียงไม่กี่คนของนิกายหยินหมิงเท่านั้นที่ล่วงรู้เหตุผลการกระทำดังกล่าวของโจวชู ไม่ใช่ว่ามันอยากรั้งอยู่ในอันดับ 30 ตลอดไป แต่มันกำลังบ่มเพาะฝึกปรือยกระดับฝีมือ เพื่อให้มันสามารถทะยานขึ้นสู่ 3 อันดับแรกในรายนามนภาในครั้งเดียว!


 


สำหรับโจวชูแล้ว เรื่องนี้นับเป็นเกียรติยศ!


 


และนับเป็นโอกาสในการสร้างชื่อเสียงอีกด้วย!!


 


ถึงตอนนั้นทุกคนจะกล่าวกันว่า รองประมุขนิกายหยินหมิง สามารถทะยานขึ้นมาจากอันดับที่ 30 ในรายนามนภาจนบรรลุถึง 3 อันดับแรกในคราวเดียว!


 


ภายใต้ชื่อเสียงนี้ ผู้คนย่อมสนใจและอยากเข้าร่วมนิกายหยินหมิงกันมากขึ้นแน่ๆ


 


ถานฉีที่เป็นรองประมุขของนิกายหยินหมิงเช่นกัน ก็ย่อมได้รับทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว


 


มันยังถึงกับคิดว่าพลังฝีมือของโจวชูเหนือล้ำกว่าแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยมานานปี!


 


นอกจากนี้มันเชื่อมั่นว่าด้วยพลังฝีมือในปัจจุบันของโจวชู ย่อมไม่ต้อยต่ำไปกว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูที่เอาชนะแม่นางเฟิ่งมาได้แน่นอน!


 


ดังนั้นหลังจากที่มันเห็นโจวชูปรากฏกาย มันก็ทำท่าราวกับพบพานพระผู้ช่วย!


 


ตั้งแต่ที่โจวชูปรากฏตัวออกมาต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเลย เพียงหันไปมองกล่าวกับป๋ายลี่หงด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ท่านพาข้าไปนิกายหยินหมิงเถอะ พวกเราจะได้รับตัวพวกลุงเฟิ่งและคนอื่นๆมาที่เมืองหลวงกัน”


 


ในวาจา คล้ายต้วนหลิงเทียนไม่เห็นหัวโจวชู ถานฉีและคนอื่นๆแม้แต่น้อย !


 


จังหวะนี้ใบหน้าของถานฉีอดไม่ได้ที่จะมืดคล้ำ มันพึ่งเคยถูกผู้ที่ไม่ใช่เซียนเมินเฉยกันถึงขนาดนี้!


 


ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือในรายนามนภา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยออกมา “ถึงแม้เจ้าจะเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู แต่คิดว่าจะร้องขอผู้คนจากนิกายหยินหมิงก็ร้องขอกันได้ง่ายๆงั้นเหรอ!?”


 


หากเป็นขุมพลังชั้น 7 ขุมอื่นๆที่มีพลังอำนาจทัดเทียมได้กับตระกูลซือถู พวกมันอาจจะหวาดกลัวแล้วจริงๆ


 


หากแต่กับตระกูลซือถู พวกมันไม่กลัวเลย!


 


เพราะพวกมันมีความสัมพันธ์กับตระกูลซือถูในระดับหนึ่ง!


 


ในสายตาของมัน ต่อให้ตระกูลซือถูจะรู้ว่าสหายของต้วนหลิงเทียนถูกนิกายหยินหมิงมันจับขังเอาไว้ ทางตระกูลก็ไม่มีทางสอดมือเขามาช่วยเหลือแน่!


 


ตอนนี้เองหน้าของโจวชูก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก!


 


มันที่เป็นถึงรองประมุขนิกายหยินหมิง อาวุโสระดับสูงสุดในนิกายหยินหมิง มันย่อมมีความภาคภูมิใจเป็นธรรมดา หากแต่ต้วนหลิงเทียนกลับไม่เห็นหัวมัน! ทำให้มันมีโมโหนัก ลูกตายังเผยประกายดุร้ายเอ่อล้นไปด้วยจิตสังหารปราณแท้เริ่มแผ่ซ่านออกมา ทั้งปราณมารยังหลั่งไหลออกมาพาลให้บรรยากาศเย็นลงทันตา!!


 


“ใครคิดจะร้องขอผู้คนจากนิกายหยินหมิงของพวกเจ้ากัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบคำของถานฉีแทบจะทันที ยังกล่าวออกด้วยความดูแคลน “กับอีแค่พวกสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้ไม่กี่ตัวของนิกายหยินหมิง ยากนักหรือที่จะกำจัดพวกมันให้พ้นทาง?”


 


สัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้ไม่กี่ตัวในนิกายหยินหมิง?


 


วาจาของต้วนหลิงเทียนคล้ายเหล็กไนผึ้งก็ไม่ปาน ไม่เพียงแต่ทำให้ถานฉีหน้าเปลี่ยนสี กระทั่งโจวชูและอาวุโสอีก 2 คนตอนนี้ก็โมโหต้วนหลิงเทียนจนควันแทบออกหู ต่างถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้ายทั้งสิ้น


 


“รนหาที่ตาย!!”


 


ถานฉีตะโกนออกมาอย่างดุร้าย หากแต่มันไม่ได้ลงมือเองแต่อย่างไร เพียงหันมองไปทางโจวชู…


 


ถึงแม้ว่ามันจะโมโหมากเพียงใด แต่มันก็ไม่ใช่ไร้สมอง!


 


ด้วยตัวตนของต้วนหลิงเทียน หากคิดเอาชนะอีกฝ่ายด้วยเล่ห์ยังพอมีทาง แต่จะให้มันประมือกับอีกฝ่ายตรงๆคงเป็นไปไม่ได้เลย!


 


“โอหังนัก! เจ้าคิดว่าตัวเจ้ามันไร้เทียมทานนักหรือหลังจากที่เอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยและชิงอันดับในรายนามนภาของนางมาได้?”


 


โจวชูย่ำเท้าออกมาอีกก้าวหนึ่ง ปราณมารค่อยๆห้อมล้อมเวียนวนทั่วกาย ไอปราณที่เอ่อล้นออกมายังคล้ายมีดแหลมปานจะพุ่งไปแทงต้วนหลิงเทียน


 


“ไร้เทียมทานคำนี้ข้าไม่กล้าพูด…แต่กับพวกสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้แค่ไม่กี่ตัวของนิกายหยินหมิง ข้าจัดการได้ไม่ยาก”


 


ใบหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงเฉยเมยไร้แยแส กล่าวออกด้วยน้ำเสียงสงบนัก


 


“หาที่ตาย!!”


 


ในที่สุดโจวชูก็ไม่อาจทนไหว กลิ่นอายพลังพวยพุ่งออก ปราณมารยังทะลักออกมาอย่างท่วมท้น


 


ทันใดนั้นเองพื้นที่ในรัศมี 100 หมี่จากตัวมันเริ่มเย็นลงในฉับพลันคล้ายจะผนึกแช่ได้ทุกสิ่ง เป็นปราณแท้ก่อเขตแดนของโจวชู!


 


ในขณะที่เขตแดนกำลังก่อตัว เหนือขึ้นไปจากร่างโจวชูก็มีสัตว์ร้ายตัวเขื่อง พร้อมขวานขนาดใหญ่มหึมาเปล่งพลังคมกล้าเสียดฟ้าก่อลักษณ์ขึ้น


 


สัตว์ร้ายอันบังเกิดจากปราณแท้ควบแน่นจนมีสภาพ พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนพร้อมอ้าปากกระหายเลือดออกกว้างปานจะกลืนกินต้วนหลิงเทียนในหนึ่งคำ


 


ขวานมหึมายังฟาดผ่าลงมาด้วยสภาวะแยกฟ้า ปานจะผ่าร่างต้วนหลิงเทียนให้เป็น 2 เสี่ยง!


 


หากแต่แม้จะเผชิญหน้ากับพลังอันดุร้ายของโจวชู หน้าต้วนหลิงเทียนยังคงเฉยเมยไร้อารมณ์!


 


“ทำลาย…”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันเอ่ยคำออกอย่างไร้แยแส


 


พริบตานั้นความว่างในอาณารัศมี 100 หมี่จากตัวต้วนหลิงเทียน คล้ายจะถูกฉีกกระชาก! สนามพลังคมกล้าขุมหนึ่งปะทุออก!


 


เร็วปานอัสนีวาบฟ้า กระบี่พลังมีสภาพหมื่นเล่มพลันปรากฏในสนามพลังอันน่ากลัวนั่น!


 


เป็นเขตแดนหมื่นกระบี่ของเขา!


 


กระบี่ทั้งหมื่นเล่มไม่เพียงเปี่ยมไปด้วยอำนาจทำลายอันน่ากลัว ความเร็วของพวกมันยังเหนือล้ำยิ่งกว่าเขตแดนใดๆ


 


ก่อนที่เขตแดนของโจวชูจะปรากฏลักษณ์เต็มพลัง เขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนพลันก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังบดขยี้เขตแดนของโจวชูจนพินาศสิ้นในพริบตา!


 


“เป็นไปมิได้!!”


 


เห็นฉากนี้ ม่านตาโจวชูพลันหดเล็กลงด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้ายังเผยความตกใจเหลือเชื่อ!


 


ถึงแม้มันจะเคยได้ยินพลังอำนาจของเขตแดนต้วนหลิงเทียนว่ามีอานุภาพทำลายมหาศาล หากแต่มันคิดว่าสมควรเป็นเขตแดนแม่นางเฟิ่งที่อ่อนแอเอง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียน ที่แท้จะทรงพลังถึงขั้นนี้!


 


จังหวะนี้มันรู้สึกยากจะยอมรับความจริงได้!


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!


 


……


 


ในขณะที่โจวชูกำลังตื่นตระหนก ต้วนหลิงเทียนใช้เพียงหนึ่งห้วงคิด กระบี่พลังมีสภาพนับหมื่นเล่มพลันก่อตัวเป็นสายธารกระบี่ปานมังกร พวกมันแยกออกเป็น 2 สาย พุ่งทะลวงทำลายสัตว์ปราณ และศาสตราปราณของโจวชูจนแหลกสลายหายไปในอากาศ!!


 


“นี่มัน…”


 


เห็นฉากทำลายล้างอันเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่เหนือชั้นกว่า ถานฉีและอาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิง ถึงกับเผยอาการตื่นตะลึง สองตาเบิกโพลง ใบหน้าคล้ายไม่อาจทำใจเชื่อเรื่องราวได้


 


ถึงแม้พวกมันจะเคยได้ยินคำร่ำลือของต้วนหลิงเทียนมาแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะร้ายกาจขนาดนี้!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งถานฉีที่รู้พลังฝีมือของโจวชูดีว่าแกร่งกล้าสามารถเพียงใด หากแต่กลับกลายเป็นตัวอ่อนแอที่ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อยต่อหน้าการลงมือของต้วนหลิงเทียน นี่ทำให้มันไม่อาจยอมรับได้จริงๆ!


 


ทั้ง 4 ยังไม่ทันได้ตอบสนองต่อเรื่องราวอะไร กระบี่พลังมีสภาพนับหมื่นเล่มก็พุ่งมาควบรวมใต้เท้าของต้วนหลิงเทียน หมื่นกระบี่พลันรวมเป็นหนึ่ง บังเกิดเป็นกระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องที่ไม่ต่างใดจากกระบี่จริงๆ คลื่นพลังกระบี่กำจายออกมา พาลให้บรรยากาศรอบๆกระบี่คล้ายบิดเบือน ยังแลเหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเวลา!


 


โจวชูร่างสะท้านไปทันใด มันไม่ใช่ตัวโง่งมที่จะไม่ทราบว่าอานุภาพกระบี่ใต้เท้าต้วนหลิงเทียนมีพลังอำนาจระดับใด!


 


และแม้มันไม่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะใช้ออกด้วยวรยุทธ์เซียนอะไร ทว่ากลิ่นอายพลังที่ยิ่งมาก็ยิ่งคมกล้าเสียดแทง ยังส่งเสียงกู่ร้องดังวิ้งๆ ให้มันสัมผัสได้ว่าการโจมตีที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะปลดปล่อยออกมา มันรับไม่ได้! ยังไร้ซึ่งหนทางจะต้านรับ!!


 


“หนี!!”


 


จังหวะนี้โจวชูหลงเหลือเพียงความคิดเดียวในใจ และมันยังลงมือกระทำทันที!


 


ต่อหน้าภัยคุกคามถึงชีวิต มันไม่กล้าคิดอะไรฟุ้งซ่านให้มากความ พลังชั่วชีวิตปะทุออก เร่งพุ่งร่างขึ้นฟ้าหลบหนีไปทันที!


 


“ท่านรองประมุขโจว คิดหนีหรือ?”


 


อาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงถึงกับอื้ออึงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว


 


ฟั่บ!


 


ทันใดนั้นเองเสียงกระบี่แหวกอากาศพลันดังขึ้น ถานฉีกับอาวุโสทั้ง 2 รวมถึงป๋ายลี่หงที่พึ่งได้ยินเสียงหอนของกระบี่ได้ไม่ทันไร กระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องทั้งต้วนหลิงเทียนก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว!


 


ในบรรดาทั้ง 4 คน มีเพียงถานฉีเท่านั้นที่พอแลเห็นความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนได้รางๆ!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนยืนเหยียบอยู่บนกระบี่พลังเล่มเขื่อง กระบี่เหินคนท่อง! พริบตาก็พุ่งแซงร่างโจวชูที่กำลังหลบหนี และขณะพุ่งเลยผ่านร่าง กระบี่พลังยังปลิดหัวของมันออกไปได้อย่างง่ายดาย!!


 


ภาพเรื่องราวทั้งหมดอุบัติขึ้นฉับไวนัก กระทั่งร่างต้วนหลิงเทียนที่เหินกระบี่ปลิดหัวโจวชูจนพุ่งเลยไปหลายช่วงตัวแล้ว โลหิตของโจวชูยังไม่ทันได้ไหลออกมาด้วยซ้ำ!


 


จนกระทั่งกระบี่ผ่านไปไกลจากร่าง ร่างไร้หัวนั่นถึงค่อยพ่นโลหิตออกมาดั่งน้ำพุ ประหนึ่งบุปผาสีเลือดเบ่งบานกลางหาว บังเกิดเป็นความงามคลุ้งกลิ่นคาวเลือดประการหนึ่ง!


 


โจวชูตกตายแล้ว…!


 


ครู่ต่อมาป๋ายลี่หง ถานฉีและอาวุโสอีก 2 คน ได้แต่จับจ้องร่างในชุดสีม่วงที่เหินกระบี่บินย้อนกลับมา คนยืนสงบนิ่งบนกระบี่บิน สองมือไพร่หลังปรายตามองลงมาอย่างไร้แยแส…



ตอนที่ 1,609 : บุกนิกายหยินหมิง ช่วยคน!


 


เมื่อมองไปยังร่างสงบของต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนกระบี่บินเล่มเขื่อง ในแววตาของป๋ายลี่หงเอ่อล้นไปด้วยความประหลาดใจ!


 


ถึงแม้จะเคยได้ยินมาแล้วว่าพลังฝีมือของศิษย์น้องมันร้ายกาจไม่ธรรมดา แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงข่าวลือเท่านั้น พอได้มาเห็นชัดถนัดตา นับว่าสร้างความตกตะลึงให้มันนัก!


 


รองประมุขนิกายหยินหมิง ผู้ดูแลฐานปฏิบัติการในเมืองหลวง โจวชู กลับตกตายลงง่ายดายเช่นนั้น!


 


ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในนิกายหยินหมิงได้ไม่นาน แต่มันก็ได้ยินเรื่องของโจวชูมาไม่น้อย ว่านี่คือผู้ที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเป็นอันดับ 3 ของนิกายหยินหมิง อีกฝ่ายเป็นรองแค่ประมุขนิกายกับอาวุโสสูงสุดของนิกายเท่านั้น และทั้งสองก็คือตัวตนในขอบเขตเซียน!!


 


‘โจวชูผู้นี้แม้จะค้างอยู่ที่อันดับ 30 ในรายนามนภามานานปี…แต่ถึงมันจะไม่ท้าทายอันดับที่เหนือกว่าตลอดหลายปีที่ผ่าน แต่พลังฝีมือของมันน่ากลัวว่าจะเหนือกว่าอันดับที่ 30 ในรายนามนภาไปไกล’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอย่างสะท้าน ปากยังอ้าออกค้างปล่อยหวอ จมอยู่กับความตะลึงในพลังของต้วนหลิงเทียนไม่หาย!


 


ส่วนอีกด้านนั้น ถานฉีกลับมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกใจ


 


‘โจวชูกลับถูกสังหารลงง่ายดายเช่นนั้น…นอกจากนี้เจ้านั่นมันยังใช้แค่ความเคลื่อนไหวเดียว! นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!? แม้จะเทียบกับแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย โจวชูก็มิได้อ่อนแอกว่านางแม้แต่น้อย ต้วนหลิงเทียนบัดซบนี่มันเป็นตัวประหลาดอันใดกันแน่ ถึงฆ่าโจวชูได้อย่างง่ายดายแบบนี้!’


 


ใจถานฉีเต็มไปด้วยความสยดสยอง ยากที่มันจะทำใจเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้จริงๆ


 


หลังเห็นร่างของโจวชูไปทางหัวไปทาง สีหน้าท่าทีของอาวุโสนิกายหยินหมิงทั้ง 2 ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยามมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาก็คงเหลือแต่เพียงความหวาดผวาพรั่นกลัวเท่านั้น!


 


แม้จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือลำดับที่ 3 ของนิกายหยินหมิงพวกมัน ต้วนหลิงเทียนยังลงมือฆ่าทิ้งได้อย่างง่ายดาย ทำให้พวกมันรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงนัก!


 


“ศิษย์พี่ในป้ายหยกบันทึกเสียงที่ท่านให้คนมาส่งถึงข้า ท่านได้กล่าวถึงคนที่จับท่านกับสหายข้า รวมถึงบีบบังคับท่านให้ทำงานกับนิกายหยินหยาง…ใช่เจ้านี่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนกระบี่บิน กล่าวถามป๋ายลี่หงออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ชุดผ้าสีม่วงของเขาเริ่มโบกสะบัดแม้ไร้ลม สองตาเบนไปตกยังร่างถานฉี


 


ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน สีหน้าถานฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง


 


“มิผิด! เป็นมัน!!”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้า และมองไปยังถานฉีเช่นกัน


 


หากไม่ใช่เพราะถานฉีจับพวกมันไปยังนิกายหยินหมิง ป่านนี้พวกมันทั้งหมดคงมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงไปนานแล้ว และคงได้รวมตัวกับศิษย์น้องอีกครั้งแต่แรกอย่างไร้ปัญหา…


 


“เข้าใจผิด…ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด!!”


 


เมื่อแลเห็นสายตาที่จับจ้องมองมาของต้วนหลิงเทียน แววตาของถานฉีเปลี่ยนไปใหญ่หลวง มันพยายามฝืนยิ้มออกมา หากแต่รอยยิ้มของมันช่างแลดูอุบาทว์ลูกตานัก!


 


เรียกว่ารอยยิ้มของมัน น่าเกลียดยิ่งกว่าผู้คนร่ำไห้เสียอีก!


 


ในใจถานฉี ตอนนี้มันอยากหนีไปให้ไกลสุดฟ้า!


 


อนิจจาพอนึกถึงจุดจบของโจวชู ร่างมันก็คล้ายแข็งค้างเป็นปูนปั้น!


 


พลังฝีมือของโจวชูเหนือล้ำมันไปไกล อีกฝ่ายย่อมมีความเร็วเหนือมันหลายขุม!


 


หากกระทั่งโจวชูยังไม่มีปัญญาหนีพ้นเงื้อมมือชายหนุ่มเบื้องหน้า แล้วมันจะไปหนีพ้นได้อย่างไร!


 


“เข้าใจผิด?”


 


ป๋ายลี่หงหัวเราะเยาะ


 


ถานฉีย่อมไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะของป๋ายลี่หง สองตามันยังจับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนไม่วาง คล้ายจะดูความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าและอาการของต้วนหลิงเทียนอย่างระวัง ราวกับมันอยากจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดเห็นอย่างไร ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะมองไปยังกระบี่บินเล่มเขื่องใต้เท้าต้วนหลิงเทียน เพราะเกิดมามันพึ่งเคยเห็นการควบรวมสร้างกระบี่จากเขตแดนเช่นนี้!


 


อีกทั้งกระบี่เล่มนี้คล้ายจะมีอานุภาพพลังอันมหาศาลนัก!


 


เรื่องนี้มันเห็นได้ชัดเจน เพราะกระทั่งโจวชูยังตกตายภายใต้คมกระบี่ดังกล่าวอย่างไร้หนทางต่อต้าน


 


ทันใดนั้นลมหายใจของถานฉีพลันขาดห้วง!


 


นั่นเพราะมันพบว่ากระบี่พลังใต้เท้าต้วนหลิงเทียน กลับส่องแสงสว่างขึ้น กลิ่นอายพลังคมกล้ายังปะทุออกน่ากลัว!


 


พริบตานี้ทั่วร่างของมันรู้สึกเสมือนถูกกลิ่นอายพลังคมกล้าเพ่งเล็ง!


 


กลิ่นอายพลังคมกล้าน่ากลัวที่เพ่งเล็งมาที่มัน…ย่อมมาจากกระบี่บินดังกล่าว!


 


ตอนนี้สมองของถานฉีคล้ายจะอื้ออึงไม่อาจคิดอะไรได้อีก


 


ฟั่บ!


 


เสียงหอนกระบี่กรีดอากาศแว่วดังเข้าหูป๋ายลี่หงกับอาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงอีกครั้ง แน่นอนว่ายังดังเข้าหูถานฉีด้วย…


 


และเสียงหอนของกระบี่ดังกล่าว ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่มันได้ยินในชีวิตนี้…


 


ต้วนหลิงเทียนเหินกระบี่บินออกไปอีกครั้ง และปลิดหัวถานฉีด้วยความฉับไว ศีรษะที่สองตาเบิกโพลงหมุนติ้ว ร่วงตกพื้นกลิ้งหลุนๆค่อยหยุด เจริญรอยตามโจวชูไปติดๆ


 


เพียงเวลาแค่พริบตา รองประมุขนิกายหยินหมิงทั้งสอง กลับถูกสังหารภายใต้คมกระบี่ของต้วนหลิงเทียน…


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


เห็นฉากดังกล่าวอาวุโสทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงหันมองสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเหินบินแยกย้ายออกไปคนละทิศทาง ระเบิดพลังทั้งชีวิตหนีตายด้วยความหวาดกลัว!


 


พวกมันรู้ดี ว่าต้วนหลิงเทียนไม่มีวันละเว้นพวกมันแน่!


 


ถึงแม้พวกมันจะไม่รู้ว่าจะสามารถหลบหนีได้หรือไม่ แต่ถ้าอยู่พวกมันก็ตายสถานเดียว! สู้ดิ้นรนครั้งสุดท้ายเสียยังประเสริฐกว่า!!


 


“เหอะ!”


 


เห็นอาวุโสทั้ง 2 แยกย้ายกันหนี ต้วนหลิงเทียนเพียงพ่นลมออกมาเสียงเย็น


 


ทันใดนั้นกระบี่พลังมีสภาพใต้เท้าพลันเปล่งแสงสว่างจ้าออกมาอีกครั้งปานดวงตะวัน และทันใดนั้นก็ปรากฏกระบี่บิน นับหมื่นเล่มพุ่งออกมาทุกทิศทาง!


 


กระบี่บินเหล่านี้คล้ายมีดวงตางอกเงย พวกมันหลบเลี่ยงป๋ายลี่หง ไม่มีเล่มใดเฉียดกรายทำร้ายป๋ายลี่หงแม้แต่นิด


 


ครู่ต่อมาร่างอาวุโสทั้ง 2 ก็ถูกกระบี่นับหมื่นเล่ม ที่แยกย้ายกันออกไป 2 ทางทิ่มทะลวงจนร่างปุพรุนปานรังผึ้ง ตกตายอนาถในเวลาเดียวกัน!


 


การสังหารรองประมุขทั้งสองของนิกายหยินหมิงและอาวุโสสูงสุด ต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องใช้ตราผนึกมารแต่อย่างไร เขาเพียงอาศัยพลังฝีมือส่วนตัว เข่นฆ่าสังหารอย่างรวบรัดเท่านั้น


 


เขามั่นใจในพลังฝีมือของตัวตอนนี้นัก ว่ามันไร้เทียมทานภายใต้ขอบเขตเซียน!


 


สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบตั้งตัวไม่ติด ทำให้ป๋ายลี่หงตื่นตาตื่นใจไม่น้อย


 


“ศิษย์พี่”


 


จนเมื่อเสียงต้วนหลิงเทียนเรียกหาออกมา ป่ายลี่หงถึงได้คืนสติ หันมองต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ในแววตายังเต็มไปด้วยความซับซ้อน หากแต่บนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มยินดีออกมาจากใจ มันรู้สึกดีใจนักที่ต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จถึงระดับนี้แล้ว!


 


กาลครั้งหนึ่งศิษย์น้องของมันคนนี้ยังต้องให้มันคอยปกป้อง


 


แต่บัดนี้พลังฝีมือของศิษย์น้องมัน ก้าวข้ามมันไปแล้ว


 


“ศิษย์พี่ ท่านพาข้าไปนิกายหยินหมิงเลยเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวกับป๋ายลี่หง


 


ไปนิกายหยินหมิง!


 


หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาป๋ายลี่หงทอประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที เร่งกล่าวถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ “ศิษย์น้อง แล้วตระกูลซือถูส่งผู้ใดมาช่วยเหลือพวกเราหรือไม่?”


 


“ไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวค่อยกล่าว “มีแค่ข้ากับท่านเท่านั้นล่ะศิษย์พี่…”


 


“แค่พวกเราหรือ?”


 


ทันใดนั้นคิ้วป๋ายลี่หงก็ขมวดขึ้นมาเป็นปม “ศิษย์น้องเรื่องนี้มิอาจล้อเล่นได้…แม้โจวชูที่เจ้าพึ่งสังหารไปจะเป็นยอดฝีมือลำดับ 3 ของนิกายหยินหมิง แต่ผู้เข้มแข็งที่สุดในนิกายหยินหมิงกลับเป็นตัวประมุขและอาวุโสสูงสุด และพวกมันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียน! พวกเราบุกไปย่อมไร้หนทางปกปิดจากพวกมัน เช่นนั้นก็ยากที่จะช่วยคนภายใต้จมูกของพวกมันแล้ว…”


 


“และทันทีที่พวกเราเริ่มต้นต่อสู้ น่ากลัวว่าจะจบสิ้นกัน…”


 


วาจาท้ายประโยคของป๋ายลี่หง เผยให้เห็นถึงความอับจนหนทางไม่น้อย


 


“ศิษย์พี่ ที่ท่านกล่าวข้าเข้าใจดี แต่ท่านอย่าห่วงเลยข้ามีหนทาง…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ศิษย์น้อง…หรือเจ้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนแล้ว!?”


 


ทันใดนั้นในใจป๋ายลี่หงพลันปรากฏแสงหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาด้วยความหวัง เร่งกล่าวถามออกไปด้วยความตื่นเต้นทันที


 


“ไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พลังฝึกปรือของเขาก็ก้าวหน้าด้วยความเร็วไม่น้อย แต่เขายังขาดอีกเล็กน้อยถึงจะบรรลุครึ่งก้าวเซียน


 


แม้เขาจะมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะอีกสักพัก…


 


“ไม่?”


 


หลังได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงก็เผยความอับจนออกมา “ศิษย์น้องข้าไม่ได้ดูเบาเจ้า…พลังฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระทั่งอาจจะเป็นอันดับ 1 ในรายนามนภาได้แล้ว หากแต่ต่อให้เป็นอันดับ 1 ในรายนามนภาก็มิอาจเทียบได้กับขอบเขตเซียนทั้ง 2…ช่องว่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับขอบเขตเซียนนั้นกว้างใหญ่เกินที่ผู้ใดจะถมกลบได้ ยังนับประสาอะไรกับมีขอบเขตเซียน 2 คน”


 


“อีกทั้งภายใต้การเฝ้าระวังของเซียนทั้ง 2 คน…คงยากที่พวกเราจะช่วยสหายของเจ้าได้อย่างปลอดภัย”


 


เรื่องนี้ป๋ายลี่หงก็ตระหนักได้ชัดเจน


 


นี่เป็นเพราะมันรู้ว่าถานฉีได้ไปรายงานต่อประมุขเรียบร้อยแล้ว


 


เรื่องที่ตัวมันอ้างว่ากำลังจะบรรลุปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาว นั่น ไม่พ้นคงทำให้ประมุขนิกายเลือกที่จะไปเฝ้าจับตาดูพวกเฟิ่งหวู่เต้าด้วยตัวเอง


 


เพราะมันตระหนักได้ชัดเจนดี ว่าขอเพียงนิกายหยินหมิงยังมีพวกเฟิ่งหวู่เต้าเป็นตัวประกัน ตัวมันก็ต้องถูกนิกายหยินหมิงควบคุมเอาไว้ให้อยู่ใต้อาณัติอย่างไม่ยากเย็น


 


ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้เรื่องที่จะลอบเข้าไปช่วยเหลือพวกเฟิ่งหวู่เต้า โดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!


 


“ศิษย์พี่ขอท่านโปรดวางใจ ข้ามีวิธีที่จะช่วยเหลือลุงเฟิ่งและคนอื่นๆ”


 


ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะกล่าวเตือนเรื่องขอบเขตเซียนทั้ง 2 ไปแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็แลคล้ายไม่ยี่หระ ประหนึ่งไม่ได้นำพาอะไรกับขอบเขตเซียนทั้ง 2 นั่นเลย สีหน้าแววตายังเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก


 


ป๋ายลี่หงไม่ใช่พึ่งรู้จักกับต้วนหลิงเทียนมาแค่วันสองวัน แน่นอนย่อมรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนทำอะไรอย่างขอไปที


 


ถึงแม้มันจะไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน แต่มันก็ไม่กล่าวอะไรให้เวิ่นเว้อสืบต่อ หลังออกจากฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิง ป๋ายลี่หงก็พาต้วนหลิงเทียนไปยังนิกายหยินหมิงทันที


 


ระหว่างเดินทาง อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งพล่านขึ้นมาไม่น้อย


 


‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้ข่าวเรื่องของลุงเฟิ่งเร็วขนาดนี้…หากลุงเฟิ่งรู้ว่าข้าพบเทียนหวู่แล้ว ไม่รู้ว่าลุงเฟิ่งจะยินดีมากถึงขนาดไหน ข้าเองยังดีใจไม่น้อย…พ่อกับลูกสาวที่ไม่พบหน้ากันหลายปี กำลังจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง!’


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่ที่รออยู่ที่นิกายอัคคีล่องลอย


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงเดินทางไปนิกายหยินหมิง ทางด้านฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงที่เมืองหลวงก็แทบลุกเป็นไฟ


 


นั่นเพราะกลิ่นคาวโลหิตจากร่างของรองประมุขทั้ง 2 และผู้อาวุโสสูงทั้ง 2 ได้ดึงดูดความสนใจของศิษย์นิกายหยินหมิงทั้งหมด!


 


ข่าวเรื่องการตายของทั้ง 4 แพร่ไปไวดังไฟลามทุ่ง! ยังเริ่มแพร่กระจายออกไปนอกฐานปฏิบัติการอีกด้วย!!


 


“เรื่องประหลาดใจ?”


 


ที่ตระกูลซือถู ผู้นำตระกูลอย่างซือถูฮ่าว พึ่งได้รับทราบเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกกับซือถูหังเอาไว้ และก่อนที่มันจะได้หารืออะไรต่อในเรื่องนี้ ก็มีคนของตระกูลซือถูเร่งรุดเข้ามาห้องโถงหลัก


 


ผู้ที่รีบร้อนเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซือโฮ่ว อาวุโสสูงสุดของตระกูลซือถู


 


มีเพียงมันเท่านั้นที่จะกล้าบุกเข้ามาพบซือถูฮ่าวแบบนี้ โดยไม่ต้องกล่าวแจ้งเตือน



ตอนที่ 1,610 : ประมุขนิกายหยินหมิง


 


“ท่านผู้นำ ฐานปฏิบัติการณ์ของนิกายหยินหมิงในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! รองประมุขนิกาย โจวชู ถานฉี และผู้อาวุโสระดับสูง 2 คนถูกยอดฝีมือลึกลับผู้หนึ่งสังหาร!”


 


ทันทีที่ซือถูโฮ่วเข้ามา ก็เร่งรายงานออกมารวดเดียวจบ!


 


ในน้ำเสียงยังเผยความสุขความยินดีเอาไว้อย่างยากจะปิด


 


นิกายหยินหมิง กล่าวไปก็เสมือนหอกข้างแคร่ฝ่ายมัน เพราะอีกฝ่ายเป็นขุมกำลังของซือถูหมิง!


 


ข่าวที่ดั่งระเบิดลงนี้ของนิกายหยินหมิง เรียกว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพวกมันแน่นอน!


 


หลังได้ยินรายงานของซือถูโฮ่ว ซือถูฮ่าวกับบุตรชายอย่างซือถูหังถึงกับหันหน้ามามองกันทันที


 


และตอนนี้ทั้งพ่อทั้งลูกต่างได้เห็นถึงแววตาประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อจากอีกฝ่าย!


 


“ปรมาจารย์ต้วน!!”


 


ครู่ต่อมาทั้งคู่ก็โพล่งออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน!


 


“ปรมาจารย์ต้วน? เกิดอันใดกับท่านปรมาจารย์ต้วนหรือ?”


 


ซือถูโฮ่วที่ได้ยินพ่อลูกโพล่งออกมาพร้อมกันก็แปลกใจ จนอดถามออกไปด้วยความงุนงงเสียไม่ได้


 


“ท่านปู่โฮ่ว…เมื่อครู่ท่านบอกว่า กระทั่งรองประมุขอย่างโจวชูก็ถูกฆ่าตายด้วยเช่นกันงั้นหรือ?”


 


ซือถูหังอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามย้ำออกมา


 


“ใช่”


 


ซือถูโฮ่วพยักหน้า “โจวชูตกตายคาที่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกตัดหัว…ตอนนี้หลายคนกำลังถกเถียงกันอยู่ ว่ามือสังหารน่าจะเป็นยอดฝีมืออันร้ายกาจในขอบเขตเซียน เนื่องจากสามารถสังหารโจวชูได้อย่างง่ายดาย…ถึงแม้โจวชูผู้นี้จะรั้งอยู่ในอันดับที่ 30 ของรายนามนภา แต่นั่นก็เป็นอันดับเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว”


 


“เหตุผลที่โจวชูยังรั้งอยู่ในอันดับนี้ เพราะมันมิคิดท้าทายผู้ใดในอันดับต้นๆ…อันที่จริงพลังฝีมือของมันตอนนี้ สมควรแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่า 10 อันดับแรกด้วยซ้ำ”


 


ซือถูโฮ่วกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


“ว่ากันตามตรงพลังฝีมือของมันสมควรเหนือกว่าแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยเสียอีก”


 


ซือถูหังพยักหน้ารับทราบ


 


“ดูเหมือนว่าท่านปรมาจารย์ต้วนจะร้ายกาจยิ่งกว่าที่พวกเราคิดไว้…”


 


ซือถูฮ่าวกล่าวออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “ดูท่าแล้วพลังฝีมือที่แท้จริงของท่านปรมาจารย์ต้วน คิดจะเอาชนะ 3 อันดับแรกในรายนามนภา ก็คงมิได้ยากเย็น”


 


“นั่นสิ”


 


ซือถูหังพยักหน้าเห็นด้วย


 


“อะไร?!”


 


ผู้กล่าวเพียงกล่าวออกมาอย่างไม่คิดอะไร แต่ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะตะลึงลาน ซือถูโฮ่วถึงกับจ้องผู้นำอย่างซือถูฮ่าวด้วยความตื่นตา “ท่านผู้นำ ท่านหมายความว่า…มือสังหารที่ฆ่าโจวชู เป็นท่านปรมาจารย์ต้วนหรือ?”


 


“หัง ลูกบอกเรื่องที่พึ่งบอกพ่อให้อาวุโสโฮ่วฟังเถอะ”


 


ซือถูฮ่าวหันไปกล่าวทั้งพยักหน้าให้ซือถูหัง


 


ไม่นานซือถูหังก็เล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ซือถูฮ่าวฟังแก่ซือถูโฮ่วทั้งหมด


 


“อะไรนะ?! ศิษย์พี่ของท่านปรมาจารย์ต้วนกับสหายถูกคนของนิกายหยินหมิงกักขังเอาไว้?”


 


ซือถูโฮ่วขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เราควรช่วยเหลือท่านปรมาจารย์ต้วน…แต่กลับเกี่ยวข้องกับนิกายหยินหมิงเช่นนี้ พวกเราเองก็มิอาจลงมือวู่วามได้ หาไม่แล้วตระกูลเราคงได้บังเกิดความเปลี่ยนแปงพลิกฟ้าคว่ำดินแน่! นอกจากนี้การที่ฐานปฏิบัติการนิกายหยินหมิงเกิดเรื่อง ฝ่ายซือถูหมิงมิพ้นต้องสงสัยพวกเราเป็นอันดับแรก!”


 


“ถึงแม้ตอนนี้พวกมันจะไม่ฉีกหน้าพวกเราและมาหาความโดยตรง แต่พวกมันสมควรจับตาดูพวกเราอยู่…หากพวกเราช่วยท่านปรมาจารย์ต้วนในเรื่องนี้ และเรียกร้องให้พวกนิกายหยินหมิงปล่อยคน น่ากลัวว่าพวกมันจะเริ่มสงครามกลางเมือง แตกหักกับฝ่ายเรา!”


 


สงครามกลางเมือง!


 


คำสองคำนี้เป็นดั่งหายนะสำหรับตระกูลซือถู


 


ในประเทศฝูเฟิงนั้นมีขุมพลังชั้น 7 มากมาย และก็มีหลายขุมพลังที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าตระกูลซือถู อย่างไรก็ตามหากเกิดการต่อสู้แตกหักขึ้นมาจริงๆ ไม่พ้นต้องประสบความสูญเสีย ประทั่งอาจจะเสียเสาหลักของตระกูล เรื่องที่จะตกไปเป็นขุมพลังชั้น 8 ชั้น 9 ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นขุมพลังใด ล้วนพยายามหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองและการแตกหักภายในกันถึงที่สุด


 


นั่นเพราะเมื่อขุมพลังใดต่อสู้แตกหักเริ่มเปิดสึกกลางเมือง ย่อมเข้าอีหร็อบ “นกกระสากับหอยกาบสู้กัน ชาวประมงอยู่ด้านหลัง”


 


เรียกว่าหากเกิดการรบพุ่งแตกหักจริงๆ ทุกๆขุมพลัง 7-8 ส่วนที่เคยเป็นศัตรูกับตระกูลซือถู ย่อมไม่พลาดโอกาสอันประเสริฐนี้แน่!


 


“เรื่องนี้ ท่านปรมาจารย์ต้วนกล่าวไว้ ว่าพวกเรามิต้องยื่นมือ…”


 


ซือถูหังกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วนยังบอกไว้ว่าจะทำให้พวกเราประหลาดใจ…เป็นไปได้หรือไม่ ว่าที่ท่านปรมาจารย์ต้วนกล่าวจะหมายถึงเรื่องสังหารโจวชู และคนอื่นๆ?”


 


ซือถูฮ่าวกล่าวออกด้วยสงสัย


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น”


 


ซือถูโฮ่วพยักหน้า


 


“เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ของนิกายหยินหมิงนัก ฝ่ายซือถูหมิงเองก็คงต้องเร่งรุดไปตรวจสอบสถานการณ์…หัง ลูกเห็นท่านปรมาจารย์ต้วนกลับมาแล้วหรือยัง?”


 


ซือถูฮ่าวหันไปถามซือถูหัง


 


ซือถูหังส่ายหน้าเป็นคำตอบ


 


ในเวลาเดียวกัน อีกฟากหนึ่งในเขตที่พักตระกูลซือถู มีผู้คนมารวมตัวกันมากมายในลานแห่งหนึ่ง


 


ในบรรดาคนเหล่านี้มีผู้นำเป็นชายวัยกลางคน


 


หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ด้วย คงจดจำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ทันที มันไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นรองผู้นำตระกูลซือถู ซือถูหมิง ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านี้


 


“ท่านรองผู้นำ อยู่ดีๆ ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงก็เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ข้ากลัวว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาแล้ว…ท่านว่า เรื่องนี้จะใช่ฝีมือของผู้นำหรือไม่?”


 


ชายชรามากอายุคนหนึ่งมองถามซือถูหมิง


 


“ข้าเองก็คิดว่าสมควรเป็นฝีมือของท่านผู้นำ…หาไม่แล้วฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงที่อยู่อย่างสงบมาหลายปี ไฉนเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมาได้?”


 


ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเห็นด้วย


 


“แต่ข้ากลับไม่คิดว่านี่เป็นฝีมือของท่านผู้นำ…บางทีอาจเป็นฝีมือของศัตรูนิกายหยินหมิง จะอย่างไรพวกนิกายหยินหมิง 9 ใน 10 ส่วนล้วนแต่เป็นผู้ฝึกมาร สันดารพวกมันล้วนก้าวร้าวหัวรุนแรงเป็นทุน ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกมันเคยล่วงเกินใครมาบ้าง บางทีอาจมีใครในพวกมันไปตอแยยอดฝีมือเข้า…ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้น”


 


ชายวัยกลางคนที่แลคล้ายบัณฑิตพลันกล่าวความเห็นออกมาในเวลาที่เหมาะสมนัก


 


“เรื่องนี้ก็อาจเป็นได้!”


 


วาจาของบัณฑิตวัยกลางคนมีผู้คนเห็นด้วยไม่น้อย หากแต่ก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วย จึงเกิดการถกเถียงกันตามประสา


 


“เอ่าละ เลิกเถียงกันเสียที! เรื่องนี้พวกเราอย่าพึ่งกังวลไปให้มาก…เพียงรออาวุโสจงกลับมาเถอะ ถึงตอนนั้นพวกเราจักได้รับคำตอบ”


 


ซือถูหมิงกล่าววาจาออกมาหยุดการถกเถียงคาดเดา และทันทีที่มันกล่าวจบทั้งลานก็ตกอยู่ในความเงียบ


 


เห็นได้ชัดว่าบารมีของซือถูหมิงนั้นมากมายนัก เพียงมันกล่าวคำเดียวทุกผู้คนก็เงียบปาก กระทั่งตอนนี้ให้เข็มตกลงพื้นสักเล่มก็คงได้ยิน


 


อาวุโสจงที่ซือถูหมิงพูดถึง ก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลซือถูเช่นกัน


 


ในตระกูซือถูแห่งนี้ ศักดิ์ศรีของมันก็เทียบได้กับซือถูโฮ่ว


 


หลังจากผ่านไป 1 เค่อ ก็ปรากฏร่างชายชราศีรษะโล้นเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งหน้าลาน


 


ลูกตามันคมกล้าดั่งพญาอินทรีย์ ยากที่จะมีใครหาญกล้าสบตามัน มันว่ายตามองไปที่ใดทุกคนก็หลบสายตาของมันหมด


 


“มิใช่ฝีมือของซือถูโฮ่วและซือถูฮ่าว”


 


ชายชราหัวโล้นผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น มันคือ ซือถูจง! หลังจากมันเดินเข้ามาในลานไม่ทันไรมันก็มองกล่าวกับซือถูหมิงทันที


 


พอได้ยินคำนี้ของชายชรา ซือถูหมิงก็พยักหน้ารับคำ ค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


“ดูเหมือนว่าจักเป็นศัตรูของนิกายหยินหมิงที่บุกมาถึงถิ่นพวกมัน…ครั้งนี้คงเป็นเพราะนิกายหยินหมิงมันไปตอแยคนผิดเข้าแล้วจริงๆ ตอนนี้พวกมันกลับสูญเสียสุดยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนอย่างโจวชูไปแล้ว นิกายของพวกมันยังหวังจะเป็นใหญ่ได้หรือ? มิรู้พวกมันจะหันไปพึ่งพิงผู้ใด?”


 


ครู่ต่อมาก็มีเสียงแค่นคำเย้ยหยันดังขึ้น


 


เสียงเย้ยเยาะด้วยความสะใจยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากแต่ก็มีคนที่หน้าเสียเช่นกัน


 


ในฐานะที่เป็นคนสำคัญในฝ่ายซือถูหมิง เหล่าผู้ที่หน้าเสียย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายซือถูหมิงกับนิกายหยินหมิงดี แน่นอนว่าการที่นิกายหยินหมิงประสบความสูญเสีย ก็นับเป็นความสูญเสียของพวกมันเช่นกัน!


 


“เอาล่ะพอได้แล้ว กล่าวไปตอนนี้ก็ป่วยการ…เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ เร่งออกตามหาผู้ที่นิกายหยินหมิงไปล่วงเกินเสีย!”


 


ซือถูหมิงกล่าวออกมาด้วยความขุ่นขึ้งใจ


 


ในขณะที่ฝ่ายซือถูหมิงกำลังตกใจ และสับสนกับโชคร้ายที่อยู่ๆหล่นทับฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงนั้นเอง ทางด้านต้วนหลิงเทียนที่มีป๋ายลี่หงนำทางก็ได้บรรลุถึงนิกายหยินหมิงเรียบร้อย


 


“ศิษย์น้อง เจ้ามีแผนอันใด?”


 


ป๋ายลี่หงมองต้วนหลิงเทียนพร้อมถามเสียงเข้ม


 


“ศิษย์พี่เพียงรอข้าอยู่ที่นี่…ข้าจะไปสำรวจที่ทางสักพัก แล้วพวกเราจะไปช่วยเหลือลุงเฟิ่งกับคนอื่นๆด้วยกันหลังจากที่ข้ากลับมา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกป๋ายลี่หง


 


กล่าวจบเขาก็ไม่รอให้ป๋ายลี่หงตอบสนองอะไร เพียงวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาป๋ายลี่หงอย่างฉับไว ยังคล้ายอันตรธานหายไปในอากาศ


 


เห็นดังนี้ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็จำต้องอดทนรออยู่ที่นี่


 


นิกายหยินหมิงนั้นไม่มีอาคมห้ามบินจารึกเอาไว้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่ต้วนหลิงเทียนจะบุกเข้าไปในเขตนิกาย และเขาก็ไม่ถูกผู้ใดขัดขวาง มุ่งหน้าไปยังส่วนตะวันออกได้อย่างราบรื่น


 


เส้นทางในนิกายหยินหมิงนั้น ต้วนหลิงเทียนได้รู้มาจากป๋ายลี่หงขณะเดินทางมาเรียบร้อยแล้ว


 


ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้ง 2 คนของนิกายหยินหมิงนั้น จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่ส่วนตะวันออก ทั้งคู่คือประมุขกับอาวุโสสูงสุด ที่พวกมันอยู่ตรงนั้นเพราะส่วนตะวันออกมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นที่สุด และเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดในนิกาย ทั้งสายแร่หินเซียนระดับ 7 ของนิกายหยินหมิงก็ขุดได้หินเซียนระดับ 6 เป็นจำนวนมาก


 


ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จึงหนาแน่นนัก!


 


ต้วนหลิงเทียนเข้าไปในส่วนตะวันออกอย่างง่ายดาย คล้ายกำลังเดินเล่นชมสวน


 


ถึงแม้จะมีผู้คนเฝ้าเขตนี้เพียงแค่ไม่กี่คน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนที่ก้าวหน้าจนไม่ใช่อะไรในอดีตจะเทียบได้ คนส่วนใหญ่ก็จึงไม่อาจจับสัมผัสพลังและความเคลื่อนไหวของเขาได้เลย


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณขุมหนึ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นในความว่าง และกำลังกวาดผ่านมาทางเขา


 


“สำนึกเทวะสินะ…”


 


พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าสำนึกเทวะของตัวตนในขอบเขตเซียน


 


“เจ้าเป็นผู้ใด ไฉนถึงได้บุกรุกเข้ามาพื้นที่หวงห้ามของนิกายข้า!?”


 


แทบจะพร้อมกันกับที่สำนึกเทวกวาดผ่านร่างเขา ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงหนึ่งที่คล้ายจะดังขึ้นจากทุกทิศทาง


 


“เจ้าเป็นประมุขนิกายหยินหมิง หรืออาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงกันล่ะ?”


 


แม้จะได้ยินเสียงนี้ หากแต่สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน ท่าทางยังคงสบายๆเหมือนเดิมกล่าวถามออกไปเสียงเรียบ


 


“หืม!? เจ้านับว่ามีความกล้าเหนือสู่เซียนทั่วไปไม่น้อย รู้ทั้งรู้ว่าข้าอาจะเป็นประมุขนิกายหยินหมิง แต่ยังคงใจเย็นอยู่ได้”


 


เสียงผ่านปราณแรกกำเนิดดังขึ้นอีกครั้ง ในน้ำเสียงเผยความประหลาดใจเล็กน้อย


 


“เจ้าเป็นประมุขนิกายหยินหมิงแล้วมันจะทำไมหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงถามกลับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


ฟู่ม!


 


ทันใดนั้นเองคล้ายมีสายลมแรงพัดมาหอบหนึ่งใกล้ๆจุดที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ กลางอากาศว่างเปล่ายังปรากฏคลื่นพลังจางๆขุมหนึ่ง มองไปเป็นร่างที่คล้ายจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า


 


แน่นอนว่าร่างมันไม่ได้โผล่ออกมาจากความว่างจริงๆ


 


ภายใต้ม่านตาพิสดารที่ต้วนหลิงเทียนเปิดใช้การทำงานเล็กน้อย เขาก็แลเห็นเส้นทางการบินของร่างผู้มาใหม่ชัดเจน


 


มันเป็นร่างในชุดคลุมสีดำบริเวณชายขอบขลิบไว้ด้วยสีแดง ชุดคลุมของมันนับว่าดูเป็นทางการ เรียบร้อยนัก


 


มองให้ชัดจะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าได้รูปปานหยกเสลา ดวงตาคมกล้าคิ้วเข้มคล้ายดาบ เพียงใครมองก็บอกได้ว่าครั้งอีกฝ่ายยังเยาว์ต้องเป็นคุณชายที่หล่อเหลาเอาเรื่องคนหนึ่ง



ตอนที่ 1,611 : ผู้เข้มแข็งขอบเขตเซียน…2 คน!


 


และร่างชายวัยกลางคนที่คล้ายจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศธาตุนี้ก็คือประมุขนิกายหยินหมิง อี้เฟิง!


 


“เจ้าเป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นิกายหยินหมิงข้า พูดมา!”


 


อี้เฟิงมองไปยังร่างชายหนุ่มนุชดสีม่วงเบื้องหน้า คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อยกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม


 


หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มในชุดสีม่วงเบื้องหน้ายังคงมีท่วงท่าสงบใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ มันคงลงมือสังหารอีกฝ่ายทันทีดั่งฟ้าผ่า จบเรื่องราวไปนานแล้ว…


 


ในฐานะผู้ฝึกมาร การที่มีคนบุกรุกเข้ามายังสถานที่บ่มเพาะอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เป็นอะไรที่ทำให้มันรู้สึกเสมือนถูกลูบคม เสียหน้านัก!


 


อย่างไรก็ตามท่าทางใจเย็นของอีกฝ่ายทำให้มันจำต้องระวัง ผู้ใดจะไปรู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดาหรือไม่? หากเกิดลงมือหรือฆ่าอีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่ทราบแน่ชัด น่ากลัวว่าคงเป็นมันและนิกายหยินหมิงที่พบพานหายนะแล้ว!


 


“ข้าชื่อต้วนหลิงเทียน”


 


ต้วนหลิงเทียนมองอี้เฟิงด้วยท่าทางสงบ กล่าวตอบออกไปเสียงเบา


 


ต้วนหลิงเทียน!


 


คำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้สองตาอี้เฟิงเบิกกว้างขึ้นมาทันใด


 


นาม ต้วนหลิงเทียน สำหรับมันไม่ใช่นามแปลกหูแต่อย่างไร


 


แขกกิตติมศักดิ์ที่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาในตระกูลซือถูเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยังเป็นที่รู้จักกันดีในนาม ปรมาจารย์ต้วน และยิ่งกลายเป็นมีชื่อเสียงหลังจากที่สามารถรักษาอาการของซือถูหัง คุณชายใหญ่ตระกูลซือถู รวมถึงเรื่องที่สามารถเอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยที่อยู่ในอันดับ 23 ของรายนามนภาได้! เรียกว่าจากไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ก็กลายเป็นกระเดื่องเลื่องลือคับฟ้า!


 


กล่าวได้ว่าสำหรับประเทศฝูเฟิงแล้ว นามนี้แทบจะรู้จักกันทุกบ้าน


 


ในฐานะที่มันก็เป็นประมุขของนิกายหยินหมิง ไหนเลยจะไม่รู้เรื่องต้วนหลิงเทียนได้


 


นอกจากนี้ไม่เพียงแต่มันจะรู้จักต้วนหลิงเทียน แต่ยังรู้ด้วยว่าต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นดั่งหนามยอกอกของรองผู้นำตระกูลซือถู อย่างซือถูหมิง!


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ช่วยชีวิตซือถูหังเอาไว้ ทำให้คุณชายรองของตระกูลซือถูอย่างซือถูจั๋วบุตรชายของซือถูหมิง หมดสิทธิ์ที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลซือถูรุ่นต่อไป เรียกว่าการมาของต้วนหลิงเทียนได้ทำลายแผนการของฝ่ายซือถูหมิงจนราบคาบ


 


ถึงแม้ว่าการแข่งขันช่วงชิงภายในตระกูลซือถูระหว่างซือถูหมิงกับซือถูฮ่าวนั้นจะเป็นไปอย่างลับๆ เพราะซือถูหมิงย่อมไม่กล้าเปิดศึกกับซือถูฮ่าวโดยตรง เพราะนี่จะเป็นการทำให้ตระกูลซือถูตกต่ำลง


 


ไม่ว่าใครก็ตามที่ชนะ ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย


 


ชัยชนะที่แท้จริงคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าครอบครองตระกูลซือถูโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ!


 


การลอบสังหารซือถูหังนั้น เป็นทางลัดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


อนิจจาแผนการของซือถูหมิงล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมาจากที่ใดก็ไม่ทราบ และทำลายแผนการของมันหมดสิ้น!


 


ดังนั้นในสายตาของคนฝ่ายซือถูหมิง ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ต่างอะไรไปจากหนามยอกอก!


 


ประมุขนิกายหยินหมิงและอาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิง เคยสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเอาไว้ว่าจะภัคดีต่อฝ่ายของซือถูหมิง เพราะพวกมันเคยได้รับความอุปถัมป์จากบิดาของซือถูหมิง จึงนับว่านิกายหยินหมิงก็เหมือนแขนข้างหนึ่งของซือถูหมิง แม้จะไม่ได้แซ่ซือถูเหมือนกันก็ตาม…


 


แน่นอนว่าหนามยอกอกของฝ่ายซือถูหมิง ก็เป็นดั่งหนามยอกอกของพวกมันนิกายหยินหมิงเช่นกัน!


 


“เจ้าน่ะเหรอปรมาจารย์ต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู”


 


ยามเมื่ออี้เฟิงมองพินิจต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองตามันก็เผยประกายคมกล้า กล่าวถามออกไปเสียงเข้ม “ปรมาจารย์ต้วน ท่านกับนิกายหยินหมิงพวกเรามิเคยข้องเกี่ยวอันใดกัน…ไฉนวันนี้ท่านถึงได้บุกมายังนิกายหยินหมิงของข้าเช่นนี้เล่า?”


 


“หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้ใช่ประมุขนิกายหยินหมิง คงกำลังคิดอยู่ว่าจะฆ่าข้าให้ตายทันทีเลยดีหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ


 


อี้เฟิงตกใจกับวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะอ่านใจมันออก


 


ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะมีความคิดนี้อยู่ในใจ แต่มันก็ไม่เผยสีหน้าท่าทีอะไรแบบนั้นแม้แต่น้อย


 


มันมั่นใจในความสามารถควบคุมสีหน้าอารมณ์ของมันนัก


 


‘หรือมันจะรู้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฝ่ายซือถูหมิง…หรือที่มันมาครั้งนี้เป็นเพราะซือถูฮ่าวใช้มันเป็นนกต่อ ด้วยคิดอาศัยเรื่องนี้กำจัดพวกเรานิกายหยินหมิง?’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ อี้เฟิงก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที


 


“ปรมาจารย์ต้วน ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไร?”


 


อย่างไรก็ตามเปลือกนอกของอี้เฟิงยังคงเสแสร้งเป็นโง่งม ทำหน้าเหรอหราคล้ายมันไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น


 


“ซือถูหมิง”


 


ใบหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงเฉยเมยไร้อารมณ์ เพียงค่อยๆกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ 3 คำ


 


เป็น 3 คำ ที่ทำให้ลูกตาของอี้เฟิงจำต้องหดเล็กลง มันเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกายทันที ยังแผ่สำนึกเทวะออกไปเต็มกำลังด้วยกลัวว่ามีผู้เข้มแข็งซุ่มซ่อนตัว รอคอยโอกาสลงมือรวบหัวรวบหางมัน!


 


ขณะเดียวกันมันก็ลอบยกมือขึ้นด้านหลัง ปรากฏป้ายหยกแผ่นหนึ่ง


 


และทันใดนั้นเอง ปรากฏลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากป้ายหยก ก่อนที่จะพุ่งหายลับไปในหุบเขาด้านหลังนิกายด้วยความฉับไวสุดที่ใต้ขอบเขตเซียนจะมองตามทัน


 


“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า…ข้ามาคนเดียว ผู้นำตระกูลซือถูหรือคนอื่นๆไม่ได้มาด้วย”


 


เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอี้เฟิง ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ทันทีว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ เพียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย


 


มีแค่เจ้า?


 


เรื่องพรรค์นี้อี้เฟิงย่อมไม่เชื่อ ทั้งไม่เพียงแต่ไม่เชื่อ มันยังยิ่งระแวงมากกว่าเดิม มันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมาคนเดียว!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อต้วนหลิงเทียนล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับฝ่ายซือถูหมิงแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะบุกมานิกายหยินหมิงคนเดียว เพราะนั่นยังจะต่างอะไรกับหาที่ตาย?


 


และต้วนหลิงเทียนดูไม่เหมือนคนรนหาที่ตายสักกะผีกเดียว!


 


เผชิญหน้ากับความระแวดระวังของอี้เฟิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำของเขา เช่นนั้นจึงเฝ้ารอคอยเวลาอย่างเงียบงัน


 


ด้วยม่านตาพิสการการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของอี้เฟิง เขาก็แลเห็นหมดสิ้น


 


เขารู้ว่าอี้เฟิงกำลังเรียกหาใครบางคน


 


และจากสถานการณ์ตอนนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อี้เฟิงจะเรียกหา…ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิง!


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ความว่างข้างๆกายอี้เฟิงพลันกระเพื่อมสั่นไหว ปรากฏร่างชายชราร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมา เป็นชายชราที่มาในสุดผ้าธรรมดาๆ เส้นผมสีดอกเลาของมันกระจายปรกไหล่ แววตาเผยความเย็นชากระหายเลือด มองไปไม่คล้ายผู้คนธรรมดา


 


ยังให้ความรู้สึกกดดันบีบคั้นไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามความรู้สึกกดดันบีบคั้นนี้ เพียงใช้ได้กับผู้คนธรรมดาเท่านั้น มันไม่ได้ส่งผลต่อต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย


 


“อาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายชราข้างอี้เฟิงรอบหนึ่ง ค่อยกล่าวถามออกมาเสียงเบา


 


อย่างไรก็ตามชายชราไม่ได้สนใจจะตอบเขา อีกฝ่ายเพียงหันไปมองอี้เฟิงที่อยู่ข้างๆ พร้อมถามออกมา “ประมุข ไฉนถึงรีบร้อนเรียกข้าออกมา?”


 


“อาวุโสเผิง นี่คือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียน”


 


อี้เฟิงที่พยายามสำรวจรอบๆ แต่กลับไม่พบสิ่งใด ก็หันมากระซิบกล่าวบอกชายชรา


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


อาวุโสที่ถูกเรียกว่า อาวุโสเผิง ผู้นี้ เห็นชัดว่าเคยได้ยินนามต้วนหลิงเทียนมาก่อน ความกระหายเลือดในแววตาของมันยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้นทันทีที่ได้รับทราบตัวตนของอีกฝ่าย


 


ทั่วร่างยังปรากฏจิตสังหารแผ่พุ่งออกมาอย่างเย็นเยียบ


 


ดูไปดั่งมันเป็นอสรพิษกระหายเลือดก็ไม่ปาน…



ตอนที่ 1,612 : ปลาที่เล็ดรอดร่างแห


 


อย่างไรก็ตามแม้อาวุโสเผิงจะเผยเจตนาฆ่าฟันต่อต้วนหลิงเทียน หากแต่มันก็ไม่รีบร้อนลงมือ


 


มันเริ่มแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบทั่วทุกสารทิศเหมือนอี้เฟิง หมายจะค้นหาว่าใช่มีผู้ใดซุ่มซ่อนตัวอยู่ในที่ลับหรือไม่


 


ทั้งคู่ล้วนคิดดุจเดียวกัน ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมียอดฝีมืออย่างซือถูฮ่าวลอบคุ้มครองในที่ลับ หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้เข้มแข็งในขอบเขตเซียนอื่นๆ หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่มีวันกล้ามาเปิดเผยตัวต่อหน้าพวกมันแบบนี้เพียงลำพัง!


 


พวกมันไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ว่า…ต้วนหลิงเทียนเพียงลำพังจะสามารถกำจัดพวกมันทั้งสองได้!


 


‘ล้วนเป็นตัวโง่งมทั้งคู่


 


เมื่อเห็นว่าทั้ง 2 นั้นยังคงจับจ้องมองมาที่เขา หากแต่ความสนใจของพวกมันไม่ได้อยู่ที่เขาเลย ต้วนหลิงเทียนก็ลอบด่าทอในใจ


 


ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏป้ายศิลาป้ายหนึ่งขึ้นข้างมือของต้วนหลิงเทียน


 


มันเป็นป้ายศิลามุมแหว่งป้ายหนึ่ง ตัวป้ายยังมีอักขระโบราณจารึกสลักเอาไว้ แม้แต่จนวันนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทราบจริงๆว่าอักขระจารึกเหล่านั้นมันมีความหมายว่าอย่างไร


 


อย่างไรก็ตามแม้อักขระจารึกบนป้ายศิลามุมแหว่งนี้เขาจะไม่ทราบความหมาย แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อการใช้งานมัน


 


ฟุ่บ!


 


ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือออกไปปานสายฟ้าฟาด คว้าป้ายศิลาดังกล่าวมาถือไว้ทันที


 


พริบตาต่อมาสองตาเขาก็หรี่ลงทั้งเผยประกายคมกล้า จับจ้องมองไปยังร่างชายชราทั้งอี้เฟิงเขม็ง!


 


ทันใดนั้นเขาพลันซัดป้ายศิลาประหลาดออกไปดั่งสายฟ้าฟาดไปทางอี้เฟิงทันที!


 


ยามเมื่อป้ายศิลาประหลาดมุมแหว่งเหินพุ่งแหวกอากาศไป มันก็เริ่มปลดปล่อยหมอกทมิฬออกมาฉาบคลุม!


 


ทันทีที่หมอกทมิฬดังกล่าวปรากฏขึ้นห้อมล้อมป้ายศิลา กลิ่นอายทรงพลังอันน่าพรั่นพรึงก็แผ่ซ่านกำจายออกมาอย่างเร็ว กระทั่งอี้เฟิงและชายชราที่พยายามแผ่สำนึกเทวะตรวจสอบ ก็จำต้องดึงสติกลับมาทันที สังหรณ์อัปมงคลยังร้องลั่นในใจ!


 


กลิ่นอายทรงพลังเต็มไปด้วยอำนาจสะกดข่มนี้ ทำให้ใจพวกมันสั่นสะท้าน!


 


พวกมันที่ดึงสติกลับมา ก็จับจ้องไปยังวัตถุประหลาดที่ต้วนหลิงเทียนซัดออกมาทันที จึงพบว่าเป็นป้ายศิลามุมแหว่งป้ายหนึ่ง!


 


หากแต่ป้ายศิลามุมแหว่งนี้กลับให้ความรู้สึกอันตรายแก่พวกมันนัก!


 


ความรู้สึกนี้แทบทำให้พวกมันก้าวขาไม่ออก!


 


ซู่ม!! ซู่ม!!


 


ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ อี้เฟิงกับชายชราพลันลงมือพร้อมกันทันที!


 


เสียงระเบิดของพลัง 2 เสียงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ไอพลังน่ากลัว 2 ขุมพลันปะทุขึ้นในรัศมี 100 หมี่จากร่างของทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังเปิดใช้เขตแดน ทั้งยังเป็นการใช้เขตแดนด้วยปราณแรกกำเนิด!


 


ปราณแรกกำเนิดเป็นขุมพลังหลักของขอบเขตเซียน!


 


เขตแดนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยปราณแรกกำเนิด ไม่ใช่อะไรที่เขตแดนจากปราณแท้จะทาบติด!


 


ไม่เพียงแต่สนามพลังจะร้ายกาจรุนแรงกว่ากันหลายขุม กระทั่งความเร็วในการก่อเกิดเขตแดนของปราณแรกกำเนิดยังรวดเร็วกว่ากันหลายเท่า!


 


เขตแดนของอี้เฟิงเพียงพึ่งเริ่มปรากฏยังไม่ทันสมบูรณ์ดี ก็สร้างความกดดันให้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย ทำให้สีหน้าต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยความเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา


 


‘สมแล้วที่เป็นขอบเขตเซียน…เขตแดนทรงพลังขนาดนี้ กระทั่งเขตแดนหมื่นกระบี่ของข้าในตอนนี้ก็ทำลายมันไม่ได้!’


 


จุดนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดเจน


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขตแดนของอีกฝ่ายจะทรงพลังร้ายกาจ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ตั้งใจลงมือเคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติม


 


สายตาของเขาเพียงจับจ้องไปยังป้ายศิลามุมแหว่งที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงจนตามองแทบไม่ทันด้วยความเชื่อมั่น!


 


ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แต่นั่นคือตราผนึกมาร 1 ใน 10 สุดยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ และยังเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีพลานุภาพสะกดข่มมารร้ายได้อย่างชะงัดงัน!


 


และแทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้


 


เขตแดนของอี้เฟงและชายชราที่พึ่งก่อตัวขึ้นมาไม่ทันไร ตราผนึกมารก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงเขตแดนปราณแรกกำเนิดดังกล่าว กลิ่นอายพลังรอบตราผนึกมารพลันทวีความรุนแรงขึ้นหลายส่วน คล้ายกำลังมีโมโหเพราะถูกท้าทายจากเขตแดน!


 


เมื่อไอพลังดั่งหมอกทมิฬปะทุออกมา มันก็เปล่งพลังน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่ง สะกดเขตแดนของทั้งคู่เอาไว้ทันใด!


 


แม้ตอนนี้เขตแดนพวกมันเพียงถูกสะกดระงับไว้ไม่ให้ก่อตัวสมบูรณ์ทว่าพวกมันก็ยังไม่ถูกทำลาย แต่ดูๆแล้วท่าทางพวกมันก็กำลังจะสิ้นอานุภาพในไม่ช้า!


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


“เป็นไปได้อย่างไร!!”


 


เห็นฉากเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า สีหน้าท่าทางของอี้เฟิงและชายชราเปลี่ยนไปมหันต์ ลูกตาของพวกมันเผยความตื่นตระหนกขณะมองไปยังแผ่นหินประหลาดมุมแหว่งที่อยู่ๆก็ระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมา สะกดต้านทานเขตแดนของพวกมันเอาไว้ไม่ให้ก่อตัวเสร็จสมบูรณ์!!


 


อาศัยผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียน ไหนเลยจะมีพลังอำนาจไล่ต้อนพวกมันได้ถึงขนาดนี้!


 


แน่นอนว่าพวกมันแลเห็นกระจ่างชัดแก่ตาดี ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะอานุภาพของป้ายศิลาประหลาดนั่นอย่างเดียว!!


 


ป้ายศิลาประหลาดนั่นมันอะไรกันแน่!


 


“ไม่จริงน่า…”


 


ทันใดนั้นสองตาอี้เฟิงพลันทอประกายสว่างวาบคล้ายจดจำบางสิ่งได้! ลูกตาของมันกลายเป็นเบิกโพลงไปด้วยความหวาดกลัว ร่ำร้องออกมาเสียงหลง “เป็นตราผนึกมาร! นั่นคือตราผนึกมาร!!”


 


ตราผนึกมาร!


 


วาจานี้ของอี้เฟิงทำให้สีหน้าชายชราที่อยู่ข้างๆเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มันยังตกใจจนไม่ได้ควบคุมพลังที่จ่ายส่งไปยังเขตแดนเพื่อต่อต้านการระงับอีกต่อไป


 


และพริบตานั้นเอง เมื่อเขตแดนที่ยังก่อตัวไม่สมบูรณ์ เมื่อพลังงานขาดห้วง จึงถูกพลังอำนาจของตราผนึกมารที่แผ่มาสะกดไว้ก่อนหน้าบดขยี้จนแหลกพินาศ!


 


เขตแดนของอี้เฟิง เองก็ประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิง เมื่อไร้พลังสนับสนุน มันก็พังทลายตามไปติดๆ


 


จังหวะนี้พวกมันทั้งสองที่ไร้ซึ่งเขตแดนให้พึ่งพา ก็นับว่าพวกมันตัวเปล่าเล่าเปลือยต่อหน้าตราผนึกมารโดยสมบูรณ์!


 


“วิ่ง!!”


 


“หนีเร็ว!!”


 


ต่อหน้า ตราผนึกมาร ที่เป็นดั่งเรื่องเล่าขานในตำนานของผู้ฝึกมารอย่างพวกมัน อี้เฟิงและชายชราที่ได้สัมผัสกับพลังอำนาจของตราผนึกมารด้วยตัวเองแล้ว ย่อมไม่หลงเหลือความคิดต่อสู้แข็งขืนสืบไป อันที่จริงพวกมันไม่แม้แต่จะหันมองสนใจสหายข้างกายด้วยซ้ำ ต่างแยกย้ายกันหลบหนีไปคนละทิศคนละทางทันที!!


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ!!


 


ต้องกล่าวเลยว่าในฐานะผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนแล้ว ความเร็วของพวกมันนับว่าไม่ใช่ชั่วจริงๆ!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทั้งคู่แยกย้ายกันหนีอย่างนี้ ทำให้ตราผนึกมารเลือกเป้าหมายได้ทีละคนเท่านั้น!


 


และสุดท้ายตราผนึกมารก็เลือกที่จะไล่ตามอาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงไป


 


แม้ความเร็วของอาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงจะไม่ใช่ชั่ว แต่ตราผนึกมารก็รวดเร็วไม่ด้อยไปกว่ามัน!!


 


ครู่ต่อมาภายใต้สายตาที่จับจ้องมองเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน ตราผนึกมารก็พุ่งไล่อาวุโสสูงสุดนิดกายหยินหมิงทัน ยังปลดปล่อยหมอกทมิฬออกมาขุมหนึ่ง พุ่งไปฉาบคลุมทั่วร่างของอาวุโสสูงสุดนิดกายหยินหมิงในเวลาชั่วพริบตา!


 


ครู่ต่อมาหมอกทมิฬที่ฉายคลุมอาวุโสสูงสุดก็ค่อยๆจางหายไปเผยให้เห็นอาวุโสสูงสุดอีกครั้ง


 


ทว่ายามมันปรากฏออกมาอีกครั้ง สองตาของมันก็หม่นแสงไร้ประกาย ไร้ซึ่งชีวิตชีวาอีกต่อไป


 


ตราผนึกมารยามพบพานผู้ฝึกมารนั้น เพียงสะกดทำลายแค่ดวงจิต ไม่ได้ทำลายกายเนื้อ…


 


ดังนั้นแม้แลผ่านๆ ร่างกายของอาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงยังคงมีสภาพดี หากแต่มันก็ตกตายไปแล้ว เพราะดวงจิตของมันถูกตราผนึกมารดูดไปทำลายในตราผนึกมาร!


 


อย่างไรก็ตามด้วยความที่ตราผนึกมารเลือกไล่ตามอาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิง ทำให้ตราผนึกมารคลาดโอกาสในการไล่ตามอี้เฟิงและปล่อยให้มันหลบหนีไปได้


 


ต้วนหลิงเทียนที่คิดว่าตราผนึกมารจะพุ่งไล่ตามอี้เฟิงไปหลังจากจัดการอาวุโสสูงสุดแล้ว ก็ชักสีหน้าเหวอไปทันใด เขาไม่คิดว่าอยู่ๆตราผนึกมารจะหยุดลงแบบนี้ คล้ายมันไม่อาจสัมผัสถึงอี้เฟิงได้อีกต่อไป…


 


“ดันหนีไปได้คนนึงแบบนี้…ข้าซวยแล้วไง!!”


 


ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากขึ้นมาทันที เขาอุตส่าเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือ และอุตส่าห์เฝ้ารอให้พวกมันทั้ง 2 พร้อมหน้าพร้อมตา จนมีโอกาสที่จะกำจัดพวกมันทั้งคู่ได้ดีที่สุดแล้วแท้ๆ…แต่ไม่คิดเลยว่าประมุขนิกายหยินหมิงอย่างอี้เฟิงจะหนีไปได้!


 


และการหลบหนีไปได้ของอี้เฟิง นั่นหมายความว่ามันกำลังจะทำให้เขาเจอปัญหา!


 


ยังเป็นปัญหาใหญ่ด้วย!!



ตอนที่ 1,613 : ภัยซ่อนเร้น


 


ก่อนจะมาที่นี่ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้แล้ว ว่าเขาจะกำจัดขอบเขตเซียนทั้ง 2 ของนิกายหยินหมิงทิ้ง!


 


แน่นอนว่าเขายังตั้งใจจะจัดการพวกมันให้ได้พร้อมๆกันในการลงมือครั้งเดียว!


 


ในตอนแรกเขายังคิดถึงเรื่องที่เขาจะล่อพวกมันออกมาจัดการทีละคนดีหรือไม่ แต่พอคิดให้ถี่ถ้วนแล้วเรื่องนี้ไม่อาจกระทำได้..


 


ถึงแม้พลังฝีมือในปัจจุบันของเขาก็นับว่าแข็งแกร่ง แต่หากไม่ใช้ตราผนึกมารน่ากลัวว่าจะไม่ใช่คู่มือของขอบเขตเซียนที่เป็นผู้ฝึกมารทั้งสองของนิกายหยินหมิง!


 


และสถานการณ์ของเขาคงต้องอันตรายมากแน่หากไม่ใช้ตราผนึกมาร และที่สำคัญถ้าเขาใช้ตราผนึกมารกับ 1 ในพวกมันคนใดก่อน อีกคนก็ต้องรู้ได้ทันทีด้วยสำนึกเทวะ!


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดใช้ตราผนึกมาร ตอนที่พวกมันอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา และยังคิดจะลงมือเล่นงานที่เผลอแบบก่อนหน้า


 


อันที่จริงเรื่องราวทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ไม่มีผิด…


 


เรียกว่าทันทีที่ประมุขนิกายหย่างอี้เฟิงปรากฏตัวพร้อมกับผู้อาวุโสสูงสุด ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายจะเห็นภาพพวกมันทั้งคู่ถูกตราผนึกมารจัดการอย่างพร้อมเพรียง ตกตายคาที่!


 


อนิจจาเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมากลับเป็นอะไรที่เหนือคาดคิดของต้วนหลิงเทียนอย่างสิ้นเชิง!


 


เขาไม่คิดเลยว่าตราผนึกมารจะเหมือนเด็กน้อยดื้อรั้น หันไปเปล่งพลังสะกดเขตแดนของทั้งคู่ หมายทุบทำลายด้วยพลังที่เหนือกว่าจนเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้มีโอกาส แทนที่จะพุ่งไปทุบตีพวกมันให้ตายเหมือนอย่างเคย…


 


และเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าอี้เฟิงจะจดจำตราผนึกมารได้ทันที ยังฉวยโอกาสในช่วงที่เขตแดนถูกทำลายเร่งรุดหลบหนีไปแบบนั้น!


 


เรียกว่าสถานการณ์กลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปเหนือคาดคิด!


 


เป็นอาวุโสสูงสุดที่อยู่ใกล้ตราผนึกมารมากกว่า จึงทำให้ตราผนึกมารพุ่งไปจัดการกับมันก่อน และทำให้อี้เฟิงสามารถรอดไปได้แบบนี้!


 


“บ้าฉิบ…กระทั่งตราผนึกมารยังจับสัมผัสอี้เฟิงไม่ได้ ด้วยความเร็วของมันตอนนี้ถึงข้าจะตามไป ข้าก็ตามมันไม่ทันแน่!”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนแลดูอัปลักษณ์นัก


 


หากอี้เฟิงแค่หนีไปได้เฉยๆ เขาคงไม่อะไรมากมาย


 


แต่ตอนนี้อี้เฟิงรู้ว่าเขามีตราผนึกมารที่จะใช้จัดการมันได้อยู่ในมือ…


 


เมื่ออี้เฟิงรู้ว่าสิ่งที่เขามีคือตราผนึกมาร มันก็ต้องรู้ดีเช่นกันว่าตราผนึกมารเป็นดั่งของแสลงของผู้ฝึกมารทั่วหล้า! และเป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่!!


 


หากอี้เฟิงแพร่ข่าวออกไปว่าตราผนึกมารอยู่ในมือเขา มันก็จะกลายเป็นการชักนำเภทภัยไม่สิ้นสุดมาสู่เขา!


 


แค่คิดถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา..


 


ตราผนึกมารนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนเลย น่ากลัวว่าทุกผู้คนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าล้วนหมายตามันทั้งสิ้น!


 


ตราผนึกมารนั้น สำหรับผู้ฝึกมารแล้วแทบไม่ต่างอะไรจาก ‘ฝันร้าย’


 


นั่นหมายความว่าใครที่ครอบครองตราผนึกมารเอาไว้ในมือ ก็ไม่ต้องกลัวผู้ฝึกมารในขอบเขตพลังเดียวกัน กระทั่งสูงกว่า 1 ขอบเขต เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากแล้ว!


 


และเพราะเรื่องนี้ ก็มากเกินพอที่จะทำให้ยอดฝีมือทั่วหล้าไม่ว่าจะผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธ์ ต้องหมายตาอยากได้ตราผนึกมารในมือเขาจนตัวสั่น!


 


และถ้ายอดฝีมือระดับนั้นล่วงรู้ว่าตราผนึกมารอยู่ในมือเขา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น!


 


เพียงแค่คิดถึงคนที่จะมาหาเขาเพื่อแย่งชิงตราผนึกมารไป ต้วนหลิงเทียนก็ปวดหัวขึ้นมาตงิดๆแล้ว!


 


หากทว่าเพียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สีหน้าแววตาเขาก็หวนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง “เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็แล้วกันไปเถอะ ตอนนี้คิดอะไรมากไปก็ป่วยการ…ไปช่วยลุงเฟิ่งกับครูและคนอื่นๆก่อนดีกว่า”


 


ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่พักเรื่องของอี้เฟิงเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว


 


ในเมื่อขอบเขตเซียนของนิกายหยินหมิง ตายหนึ่ง และหนีไปหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต้องกริ่งเกรงอะไรในนิกายหยินหมิงอีกต่อไป เขาบุกไปยังเหมืองแร่หินเซียนของนิกายหยินหมิงโต้งๆ ไม่คิดปกปิดตัวตนอะไรทั้งสิ้น


 


“ผู้ใด!?”


 


การบุกมาอย่างโจ่งแจ้งของต้วนหลิงเทียน นับว่าดึงดูดหน่วยลาดตระเวนของนิกายหยินหมิงจำนวนมาก ศิษย์นิกายหยินหมิงเริ่มกรูกันเข้ามามุงล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ดั่งเกี๊ยว


 


ตอนที่เขาฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดนั้น เรื่องราวมันไม่ได้ส่งเสียงเอะอะแต่อย่างใด ทำให้ไม่มีใครรู้อะไร


 


หาไม่แล้วศิษย์นิกายหยินหมิงคงไม่ทำเป็นห้าวต่อหน้าเขาแบบนี้


 


ล้อกันเล่นหรือไง?


 


พวกมันจะหาญกล้าวางท่าข่มขู่ตัวตนที่สามารถฆ่าอาวุโสสูงสุดของพวกมันได้หรือ?


 


เผชิญหน้ากับศิษย์นิกายหยินหมิงนับสิบๆ ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วทั้งกล่าวออกด้วยความรำคาญ “ไสหัวไป!”


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว หากไอพวกนี้มันไม่มาวุ่นวายอะไรเขาและจากไปอย่างเชื่อฟัง เขาก็ไม่คิดจะแยแสอะไรชีวิตของพวกมัน


 


น่าเสียดายที่พอได้ฟังคำตวาดไล่ของต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่ศิษย์นิกายหยินหมิงเหล่านี้กลับมีโมโหขึ้นมาถึงขีดสุด “ไอ้หนู! ปากดีนักนะ! เจ้าอยากตายนักหรือไร!?”


 


“ไอเด็กขนอุยบัดซบ กล้าบุกมานิกายหยินหมิงของข้า แล้วยังปากกล้าไล่ข้างั้นเหรอ…ข้าจะชำแหละศพเจ้าจนมารดาของเจ้าจดจำไม่ได้!!”


 


“พวกเจ้าจักพล่ามเหลวไหลอันใด ฆ่ามันไปเสียให้จบๆ!!”


 


……


 


เหล่าศิษย์นิกายหยินหมิงทั้งหมดกลายเป็นโมโหขึ้นมาทันที ทั้งหมดกรูกันเข้ามาหมายจะจ้วงต้วนหลิงเทียนสักแผล ลักษณ์พลังมากมายโถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทุกทิศทาง มองไปดั่งตาข่ายฟ้าแหสวรรค์ ไร้หนทางให้ต้วนหลิงเทียนหลบหนี


 


“เหอะ!”


 


แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง รอบกายต้วนหลิงเทียนในรัศมี 100 หมี่พลันปรากฏสนามพลังคมกล้า! กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงของกระบี่นับหมื่นเล่มปรากฏขึ้นมาทันที


 


และในขณะที่ทั้งหมดกำลังตื่นตระหนกกับกลิ่นอายดังกล่าว กระบี่พลังมีสภาพเสมือนจริง 10,000 เล่มก็ล่องลอยคลุมฟ้า ในพื้นที่กินรัศมี 100 หมี่รอบตัวต้วนหลิงเทียน!


 


“เขตแดน! มันเป็นสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่!!”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปลดปล่อยเขตแดนหมื่นกระบี่ออกมา ห่าพลังที่ศิษย์นิกายหลินหมิงซัดมารอบทิศก็ถูกกระบี่พุ่งไปทำลายจนพินาศหมดสิ้น! พวกมันได้แต่ร่ำร้องออกมาเสียงหลงด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น!!


 


และภาพห่ากระบี่นับหมื่นที่พุ่งทะลวงสหายร่วมนิกาย ก็คือภาพสุดท้ายก่อนที่ชีวิตของพวกมันจะจบสิ้นลง


 


ร่างในชุดสีม่วงก้าวเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน กระบี่นับหมื่นเล่มเหินบินดั่งใจคิด พุ่งเสียบทะลวคร่าชีวิตของศัตรูทุกคนในสายตา ไม่ว่าผู้ใดแผ้วผ่านมา ร่างล้วนปรุพรุนเป็นรังผึ้ง


 


เหล่ากลุ่มศิษย์ที่มาอย่างห้าวก่อนหน้า บัดนี้ร่วงตกจากฟาฟฟ้ากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนภายใต้คมกระบี่พลังหมื่นเล่มของเขาทีละคนๆจนหมด


 


“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าไปแล้ว…”


 


มองไปยังซากศพเลอะเลือนที่ปุพรุนเกลื่อนพื้น ต้วนหลิงเทียนเพียงชักสายตาเฉยเมยไร้อารมณ์ กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็สร้างเส้นทางโลหิตมุ่งตรงมายังเหมืองอย่างไม่มีผู้ใดต้านทานได้


 


ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนยังฆ่าผู้ฝึกมารครึ่งก้าวเซียนที่หาญกล้ามาสู้กับเขาไปอีก 2 คน หนึ่งในนั้นคือรองประมุข ส่วนอีกคนก็เป็นผู้อาวุโสระดับสูง!


 


การปรากฏตัวของต้วนหลิงเทียนทำให้ทาสแรงงานในเหมืองตื่นตระหนก ตกตะลึงกันไม่น้อย


 


กลับมีคนบุกเข้ามาสังหารรองประมุขนิกายและผู้อาวุโสระดับสูงลงดื้อๆเช่นนี้?


 


หากเป็นแต่ก่อน พวกมันคงไม่อาจจินตนาการเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ออกเลย


 


หากแต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับปรากฏชัดเจนในสายตา


 


“ต้วนหลิงเทียน!!”


 


ไม่นานก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งในบรรดาทาสแรงงานร้องโพล่งออกมาเสียงดังเมื่อแลเห็นหน้าค่าตาผู้ที่บุกมาฆ่าคนราวผักปลา สีหน้าของผู้ตะโกนยังเต็มไปด้วยความสุขความยินดี ยังมีความประหลาดใจไม่น้อยยามเห็นร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่คล้ายอยู่ยงคงกระพันฆ่าคนตาไม่กระพริบเบื้องหน้า


 


“หืม!? เจ้านั่นมันรู้จักกับยอดฝีมือผู้นั้นด้วยหรือ!?”


 


“มิใช่มันก็เป็นทาสใช้แรงงานเหมือนพวกเราหรือไร ไฉนไปรู้จักกับตัวตนที่น่ากลัวเช่นนั้นได้!?”


 


“นั่นสิ หากมันรู้จักยอดฝีมือที่ร้ายกาจเช่นนี้จริง ไฉนต้องมาเป็นทาสใช้แรงงานเหมือนพวกเรา”


 


……


 


เหล่าคนงานเหมืองเริ่มซุบซิบสนทนากันหลังเห็นชายคนหนึ่งร้องโพล่งออกมา


 


“ว่าไงหนานกงยี่…หืม? ดูๆไปแล้วท่าทางว่าเจ้าจะไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่นี่นา…งานแถวนี้ไม่หนักรึไง?”


 


มองไปยังร่างชายหนุ่มที่คุ้นตา กำลังลอยร่างขึ้นมาหาเขาด้วยสภาพชุดมอมแมม ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกออกมาด้วยความขบขัน


 


ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน 1 ในคู่แฝดหนานกง หนานกงยี่!


 


หลังจากที่ได้เจอหนานกงยี่แล้ว ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้เจอเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงรวมถึงคนอื่นๆด้วย เมื่อเห็นว่าทั้งหมดปลอดภัยดี ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


“ลุงเฟิ่ง ครู”


 


ต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงมาจากฟ้า ก่อนที่จะมาหยุดลงหน้าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่มารวมตัวกัน ร้องทักผู้ใหญ่ทั้งคู่ออกไปก่อนใคร


 


หลังจากนั้นก็หันไปทักทายเฉินเฉ่าช่วยหนานกงเฉิน ก่อนที่จะพยักหน้าให้ฉงเฉวียนและโฉดคลุมทอง “ขอโทษพวกเจ้าด้วย ที่ข้าเป็นเหตุให้พวกเจ้าต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้”


 


“นายน้อย/เจ้านาย อย่าได้ขอโทษพวกเราเลย”


 


ฉงเฉวียนกับโฉดคลุมทองส่ายหน้ากล่าวออกพร้อมเพรียง ก่อนจะเป็นฉงเฉวียนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่านายน้อยต้องมาช่วยพวกเราแน่ๆ!!”


 


“เจ้านาย ท่านคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศฝูเฟิงหรือไม่?”


 


โฉดคลุมทองมองต้วนหลิงเทียนพร้อมถามออกมาด้วยความอยากรู้


 


พอโฉดคลุมทองถามออกมา สายตาของเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ก็หันมาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกันด้วยความอยากรู้


 


“ใช่”


 


เจอคำถามนี้ของโฉดคลุมทอง ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ายิ้มตอบ “ข้าก็คือ ปรมาจารย์ต้วน ที่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูคนนั้นล่ะ และตอนนี้ข้าก็จะพาทุกคนไปพักที่ตระกูลซือถูเป็นการชั่วคราว หลังจากที่พวกเราออกไปจากที่นี่”


 


แขกกิตติมศักดิ์ตระกูลซือถู!


 


ปรมาจารย์ต้วน!


 


ได้ยินคำยอมรับของต้วนหลิงเทียน เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆ นั้นอดไม่ได้ที่จะตกใจ ถึงแม้ทั้งหมดจะคาดไว้แล้วก็ตาม


 


พวกมันรู้ดีว่าชื่อเสียงแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด!


 


ต้วนนี้พอได้รับทราบว่าเป็นต้วนหลิงเทียนคนเดียวกัน จะไม่ให้พวกมันไม่ตกใจได้อย่างไรไหว!?


 


“ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆ..ว่าจะเป็นเจ้าไปได้”


 


เฉินเฉ่าช่วยประหลาดใจไม่น้อย


 


“ถ้างั้น…เจ้ามาที่นี่พร้อมกับยอดฝีมือของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”


 


เมื่อเห็นซากศพศิษย์นิกายหยินหมิงที่ตายเกลื่อนพื้น หนานกงยี่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา


 


“เปล่า ข้ามาคนเดียว”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว


 


มาคนเดียว?


 


วาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ นิ่งค้างไปปานจะกลายเป็นหิน!


 


ตัวคนเดียวกลับบุกเข้ามาสังหารคนของนิกายหยินหมิงตายเป็นเบือ ยิ่งไปกว่านั้นยังฆ่ารองประมุขกับผู้อาวุโสระดับสูงไปแล้วด้วย!


 


แม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือกล้าแข็งขนาดนี้ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่แปลกใจอะไร


 


เพราะสุดท้ายแล้ว พวกมันก็ได้รับรู้มาว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู คือยอดฝีมือที่ติดอันดับที่ 23 ในรายนามนภา ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะสังหารครึ่งก้าวเซียนในนิกายหยินหมิง ที่ไม่แม้แต่จะติดอันดับในรายนามนภาด้วยซ้ำ…


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกล้าเปิดฉากสังหารนองเลือดอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ย่อมเป็นการกระตุ้นเตือนยอดฝีมือขอบเขตเซียนของนิกายหยินหมิงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


พอคิดถึงเรื่องที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้ง 2 อาจจะรู้ตัวและกำลังบุกมา สีหน้าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆก็ซีดลงทันที!


 


“นายน้อย ท่านรีบหนีไปก่อนเร็วเข้า! หากประมุขนิกายหยินหมิงกับอาวุโสสูงสุดนั่นมันพบเรื่องนี้ ท่านจักตกอยูในอันตราย!!”


 


ฉงเฉวียนเป็นคนที่ได้สติก่อนใคร เร่งกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างร้อนใจด้วยใบหน้าเป็นกังวล


 


“ใช่แล้วเจ้าหนู! เจ้ารีบหนีไปก่อน เดี๋ยวพวกเราจะอาศัยสถานการณ์วุ่นวายลอบหลบหนีไปกันเอง แล้วพวกเราค่อยไปพบกันที่เมืองหลวง!”


 


เฟิ่งหวู่เต้าก็พยักหน้าเห็นด้วยกับฉงเฉวียน เร่งกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


ถึงแม้ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆจะไม่ได้พูดอะไร แต่ด้วยสายตาที่มองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวลก็บ่งบอกความในใจของพวกมันหมดสิ้น ทั้งหมดต้องการให้ต้วนหลิงเทียนรีบเร่งหลบหนีไป ก่อนที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนจะค้นพบสถานการณ์ที่เหมือง ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนคิดหนี ก็ยากจะหนีแล้ว!


 


“ทุกคนใจเย็นลงก่อน…พวกมันไม่มาหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวเบาๆ ค่อยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ พวกเราออกจากที่นี่แล้วไปหาศิษย์พี่ป๋ายลี่ก่อนเถอะ…ตอนนี้ศิษย์พี่กำลังรอพวกเราอยู่ด้านนอกนิกายหยินหมิง”



ตอนที่ 1,614 : เฟิ่งหวู่เต้าตื่นเต้น


 


“ไม่มาหรือ?”


 


เมื่อเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะลังเล ด้วยไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงกล่าวออกมาแบบนั้น


 


อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นใบหน้าเปี่ยมความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็จำต้องเชื่อถือ


 


ถึงแม้ว่าทั้งหมดจะสับสนและไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ตามต้วนหลิงเทียนออกไปก่อน


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนนำพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าไปแล้ว ทาสทั้งหลายที่ยืนอึนกันตาปริบๆ ค่อยได้สติกลับคืน


 


“ขะ…เขาคือ ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู!?”


 


แรงงานทาสบางคนเริ่มกล่าวออกมาด้วยความตกใจ


 


นั่นเพราะเมื่อครู่พวกมันอยู่ไม่ห่างจากกลุ่มต้วนหลิงเทียนสักเท่าไร จึงพอได้ยินบทสนทนาระหว่างต้วนหลิงเทียนกับพวกเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมาบ้าง


 


“ดูเหมือนที่ลือกันจักมิผิดเพี้ยนแล้วจริงๆ ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูผู้นี้ นับเป็นยอดฝีมือในรายนามนภาจริงๆ”


 


ทาสคนอื่นๆเริ่มกล่าว


 


“ฮึ่ม! ท่านต้วนไม่เพียงแต่จะติดอันดับในรายนามนภา กระทั่งผู้ที่อยู่ในรายนามนภายังมีสูงต่ำ! ตอนนี้ท่านต้วนอยู่ในอันดับที่ 23 …”


 


“หากทว่าพลังฝีมือของท่านต้วนมิได้มีเพียงแค่อันดับที่ 23 แน่ เพราะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยเป็นที่ยอมรับกันว่าพลังฝีมือนั้นได้เข้าสู่ 10 อันดับแรกแล้ว!”


 


“พี่ชายท่านนี้กล่าวถูกแล้ว! พลังฝีมือของท่านต้วน คิดรับ 10 อันดับแรกในรายนามนภา มิใช่ปัญหาแต่น้อย!”


 


……


 


เหล่าทาสแรงงานเริ่มจับกลุ่มคุยกัน ตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดจะทำงานอีกต่อไป เพียงสนทนาจ้อเรื่องต้วนหลิงเทียนไม่หยุด


 


“ข้าล่ะคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าทาสกลุ่มนั้นจักมีสัมพันธ์กับท่านต้วนได้ ที่ท่านต้วนบุกมาฆ่าล้างสังหารคนของนิกายหยินหมิงครานี้เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อช่วยเหลือพวกมัน! น่าอิจฉายิ่งนัก!”


 


“เหอะๆ หยุดเพ้อฝันได้แล้ว อย่างเจ้ายังหวังจะได้รู้จักกับท่านต้วนอีกรึ!”


 


“จะว่าไป ตอนนี้ท่านต้วนก็ฆ่าล้างศิษย์นิกายหยินหมิงที่คุมเหมืองหมดสิ้นแล้วนี่นา…พวกเจ้าจะยืนสนทนากันอีกนานหรือไม่ หากยังไม่รีบหนีตอนนี้เดี๋ยวพวกหยินหมิงกลุ่มอื่นมันมา…ก็มิได้ตายดีหรอก”


 


……


 


พอมีทาสคนหนึ่งเปิดประเด็นถึงเรื่องนี้ วงสนทนาก็แตกโดยพลัน แต่ละคนเร่งรุดหลบหนีกันใหญ่


 


และไม่นานพวกมันก็พบว่า การหลบหนีไม่ได้เสี่ยงอันตรายใดๆ เพราะไม่มีศิษย์นิกายหยินหมิงกลุ่มไหนมาจัดการกับพวกมันเลย กระทั่งพอมองให้ดี…พวกมันยังพบว่าศิษย์นิกายหยินหมิงก็กำลังเร่งรุดหลบหนีหน้าตั้งเช่นกัน!


 


“เอ่อ…นั่นมันกลุ่มพวกอาวุโสไม่ใช่หรือ นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน? ไฉนพวกมันยังหนีไวกว่าพวกเราอีกเล่า!?”


 


ในเรื่องนี้เหล่าแรงงานทาสอดไม่ได้ที่จะงุนงง


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่ได้ทราบเลย ว่าเหล่าศิษย์นิกายหยินหมิงได้เร่งรุดไปยังส่วนตะวันออกเพื่อรายงานเรื่องนี้ก่อนแล้ว ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนฆ่ากลุ่มศิษย์ที่เฝ้าเหมืองรวมถึงสังหารรองประมุขและอาวุโสครึ่งก้าวเซียนไป


 


อย่างไรก็ตามพอพวกมันมาถึงส่วนตะวันออก พวกมันก็พบว่าประมุขของพวกมันไม่อยู่ที่นั่น


 


ไม่เพียงแค่ประมุขไม่อยู่ แต่พวกมันยังพบร่างไร้ชีวิตของผู้อาวุโสสูงสุดที่กลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนคล้ายร่วงตกจากฟ้าสูงกองอยู่บนพื้น!


 


หลังจากที่เหล่าศิษย์เห็นศพ พวกมันก็ตื่นตระหนกแล้วรีบไปแจ้งเหล่าอาวุโสที่ยังเหลือทันที และทั้งหมดก็คิดว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบสละเรือนามนิกายหยินหมิง เร่งแยกย้ายกันหลบหนีทันทีด้วยกลัวเภทภัยที่จะมาถึงตัว


 


“ท่านผู้อาวุโสตกตายแล้ว กระทั่งท่านประมุขก็หายตัวไป…หากพวกเรายังอยู่จนยอดฝีมือที่สังหารทั้งคู่กลับมา มิใช่จะตกตายอนาถเช่นกันหรือ!?”


 


ไม้ใหญ่โค่นล้มฝูงลิงแตกฮือ สภาพนิกายหยินหมิงก็เป็นเช่นนี้


 


เรื่องราวพวกนี้แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ และเขาก็ไม่คิดจะสนใจด้วย เพียงนำพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าไปพบป๋ายลี่หงที่จุดนัดพบ


 


“ศิษย์น้องต้วนนี่เจ้า…”


 


ป๋ายลี่หงที่รอคอยต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็รู้สึกเสมือนเวลามันได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก แต่พอได้เห็นต้วนหลิงเทียนพาพวกเฟิ่งหวู่เต้าออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


 


ศิษย์น้องของมันร้ายกาจถึงขนาดนี้แล้วหรือ?


 


นอกจากนี้ ไฉนถึงสามารถเล็ดรอดหูตาของขอบเขตเซียนอย่างประมุขและอาวุโสสูงสุดมาได้?


 


แล้วทำไมประมุขนิกายกับอาวุโสสูงสุดถึงไม่ออกมาหยุดยั้งเอาไว้?


 


“หรือประมุขนิกายหยินหมิงกับอาวุโสสูงสุดจะพร้อมใจกันปิดด่านฝึกตนอยู่กัน ถึงเปิดโอกาสให้ศิษย์น้องช่วยเหลือทุกคนออกมาได้?”


 


สุดท้ายป๋ายลี่หงก็คิดได้ในทางนี้ทางเดียว


 


เกรงว่าเรื่องนี้ต่อให้ป๋ายลี่หงขบคิดจนหัวแทบแตก ก็คงยากที่มันจะล่วงรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


“ศิษย์พี่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักป๋ายลี่หงด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะสะบัดมือครั้งหนึ่ง ปรากฏเป็นพลังไร้สภาพโอบหุ้มพวกเฟิ่งหวู่เต้าเอาไว้ แล้วพาเหินบินไปยังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงทันที!


 


ระหว่างเดินทางกลับ ป๋ายลี่หงก็อดถามออกมาไม่ได้ “ศิษย์น้อง แล้วประมุขนิกายกับอาวุโสสูงสุดนั่น มิได้ปรากฏตัวออกมาหรือ?”


 


วาจานี้ของป๋ายลี่หงทำให้สายตาของพวกเฟิ่งหวู่เต้าหันไปจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเช่นกัน


 


ในเรื่องนี้ทุกคนก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย


 


นั่นเพราะมันเกิดเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ที่จริงประมุขนิกายและอาวุโสสูงสุดสมควรออกมาจัดการเรื่องราวแล้ว แต่นี่พวกมันไม่เห็นอีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ พาลให้ทุกคนแปลกประหลาดใจไม่น้อย


 


หากมีสิ่งใดผิดปกติสมควรมีภูตผีปีศาจ!


 


พวกมันเชื่อว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น โดยที่พวกมันไม่รู้เป็นแน่


 


“มันหนีไปแล้วน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอ


 


หนีไปแล้ว?


 


และวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้ป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ งงเข้าไปกันใหญ่


 


“อาวุโสสูงสุดมันตายคามือข้า ส่วนประมุขนิกายหยินหมิงก็เร่งรุดหลบหนีไปแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าออกมา พอหวนคิดถึงเรื่องที่อี้เฟิงหลบหนีไปได้ คิ้วเขาก็ขมวดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


 


หากพวกมันทั้งคู่ตกตายเรื่องราวในวันนี้คงจบลงด้วยดีอย่างสมบูรณ์แบบ


 


หากแต่อี้เฟิงหลบหนีไปได้แบบนี้ มันจึงกลายเป็นภัยซ่อนเร้นทันที!


 


ถึงแม้ว่าในเร็วๆนี้ ‘ภัยซ่อนเร้น’ คงไม่ปรากฏออกมาโดยง่าย แต่เขาก็ไม่ทราบจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากเรื่องที่เขามีตราผนึกมารแพร่กระจายออกไป


 


ป๋ายลี่หงกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆนั้นไมทันสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมของต้วนหลิงเทียน เพราะพวกมันอึ้งค้างจนคล้ายจะกลายเป็นหินตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาแล้ว


 


กระทั่งป๋ายลี่หงที่เหินบินอยู่ถึงกับหยุดลงทันที


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นดังนั้น ก็ใช้พลังประคองร่างพวกเฟิ่งหวู่เต้าให้หยุดลงด้วย


 


“ตะ…ต้วนหลิงเทียนนี่เจ้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนแล้วงั้นเหรอ?!”


 


เฉินเฉ่าช่วยโพล่งถามออกมาด้วยความตกตะลึง


 


“เจ้ามันสัตว์ประหลาดจากฟ้ารึไงหา?!”


 


หนานกงยี่ยังมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอึ้งเหวอปานเห็นผี


 


ลูกตาเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ก็เผยอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน


 


ตอนแรกที่พวกมันรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนก็คือ ปรมาจารย์ต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู พวกมันก็ตกใจแทบตายแล้ว!


 


เพียงเวลาแค่ไม่นานต้วนหลิงเทียนกลับมีพลังสามารถเอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยได้ ถึงขั้นติดอันดับในรายนามนภาแบบนี้…


 


ในความเห็นของพวกมัน เรื่องราวเหล่านี้ก็เหลือเชื่อจะแย่อยู่แล้ว


 


แต่พวกมันไม่คิดเลย ว่าคำเหลือเชื่อยังคล้ายจะน้อยไป!


 


ต้วนหลิงเทียนกลับกล่าวว่า ได้ฆ่าอาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิง…


 


พวกมันไหนเลยไม่รู้ว่า นั่นคือตัวตนอันทรงพลังในขอบเขตเซียน!


 


การที่พวกมันได้อยู่ในนิกายหยินหมิงมาพักหนึ่ง แม้จะเป็นแค่ทาสใช้แรงงาน แต่พวกมันก็รู้ดีว่านิกายหยินหมิงมียอดฝีมือขอบเขตเซียนอยู่ 2 คน


 


ฟังจากที่ต้วนหลิงเทียนว่า ขอบเขตเซียนทั้ง 2 หนึ่งตายคามือ อีกหนึ่งหลบหนี?


 


อีกทั้งต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ามาเพียงลำพัง ไม่ได้นำพาคนของตระกูลซือถูมาด้วย…ไม่ใช่หมายความว่าอี้เฟิงหลบหนีไปเพราะต้วนหลิงเทียนหรอกหรือ?


 


จะไม่ให้พวกมันตกใจเมื่อได้รู้ความจริงอันน่าเหลือเชื่อนี้ได้อย่างไร?


 


“ศิษย์น้อง…มิใช่ก่อนหน้าเจ้าบอกข้าหรือ ว่าเจ้ายังมิได้ทะลวงถึงขอบเขตเซียน?”


 


ไม่นานป๋ายลี่หงก็กลับมารู้สึกตัว เร่งถามออกมาด้วยใบหน้าฉงนใจ


 


ขณะเดียวกันสายตาของเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ก็หันมาจับจ้องที่ต้วนหลิงเทียนด้ยความสนใจ ด้วยอยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบว่าอะไร


 


“ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้หลอกลวงท่าน ข้ายังไม่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนจริงๆ”


 


ต่อหน้าสายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกมา “สำหรับเรื่องที่ข้าฆ่าอาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิง และทำให้ประมุขอย่างอีเฟิงหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว เพราะข้าใช้กลวิธีพิเศษบางประการ”


 


กลวิธีพิเศษ?


 


ทุกคนย่อมทราบดี ว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเช่นนี้ เพราะหมายความว่าเขาไม่สะดวกที่จะกล่าวถึง


 


“ยังมิทันบรรลุขอบเขตเซียน…เจ้ากลับสังหารขอบเขตเซียนคนหนึ่ง แถมทำให้อีกคนหวาดกลัวจนหลบหนีได้อีก…ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเจ้าแล้วศิษย์น้อง”


 


ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


แน่นอนว่ามันย่อมเชื่อคำพูดของต้วนหลิงเทียนอย่างไม่คลางแคลงสงสัย


 


ป๋ายลี่หงตกตะลึง พวกเฟิ่งหวู่เต้าก็อึ้งไปไม่ต่าง


 


ป๋ายลี่หงที่ได้เห็นการเติบโตของต้วนหลิงเทียนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังตกใจขนาดนี้ แล้วพวกเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆที่เห็นต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากทวีปเมฆาล่องกับตาจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรไหว เพราะกล่าวได้ว่าพวกมันก็เห็นทุกย่างก้าว ในการเติบโตของต้วนหลิงเทียน


 


มาวันนี้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนได้ก้าวล้ำนำหน้าพวกมันไปไกลแสนไกลแล้ว


 


“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าทวีปเมฆาล่องของเราจะเพาะสร้างตัวประหลาดผิดมนุษย์อย่างเจ้าต้วนมันได้…”


 


เฉินเฉ่าช่วยระบายลมหายใจออกมาพร้อมกล่าวรำพัน


 


เรื่องนี้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆล้วนเห็นด้วยกับวาจาของมันหมดสิ้น


 


“จริงสิลุงเฟิ่ง”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะกล่าวถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพียงมองเฟิ่งหวู่เต้าพร้อมกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าพบเทียนหวู่แล้ว”


 


พบเทียนหวู่แล้ว!!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ใช่เฟิ่งหวู่เต้าคนเดียวที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นเต้น ป๋ายลี่หงและซื่อหม่าฉางฟงรวมถึงคนอื่นๆ ก็เช่นกัน


 


เฟิ่งเทียนหวู่ ไม่ใช่นามแปลกหูสำหรับป่ายลี่หงแต่อย่างไร


 


เป็นนั่นคือสตรีที่ศิษย์น้องของมันได้ขอแรงให้มันช่วยใช้สายสัมพันธ์ทั้งหลายตามหาตัว และสตรีนางนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับศิษย์น้องของมัน…มาจากทวีปเมฆาล่อง! ทั้งยังเป็นบุตรีของเฟิ่งหวู่เต้าอีกด้วย!


 


ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆก็ไม่ได้ไม่คุ้นเคยกับนามเทียนหวู่


 


อย่างน้อยที่สุดทุกคนก็รู้ดีว่านั่นคือบุตรีของเฟิ่งหวู่เต้า อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนไม่ชัดเจนกับต้วนหลิงเทียนอีกด้วย


 


หลังที่ได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนพบตัวเฟิ่งเทียนหวู่แล้ว คนอื่นๆก็รู้สึกยินดีกับเฟิ่งหวู่เต้านัก


 


“พี่เฟิ่ง ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย!”


 


ซื่อหม่าฉางฟงเป็นคนแรกที่เริ่มประสานมือกล่าวออกด้วยรอยยิ้มยินดี มันอยู่กับเฟิ่งหวู่เต้ามานานหลังจากต้วนหลิงเทียนไปรับตัวมา จนวันนี้นับได้ว่าเป็นสหายสนิทกันแล้ว


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยลุงเฟิ่ง”


 


เฉินเฉ่าช่วยคู่แฝดหนานกงเองก็ประสานมือแสดงความยินดีกับเฟิ่งหวู่เต้าด้วยเช่นกัน


 


“แม่นางเทียนหวู่!”


 


ไม่เพียงแต่ฉงเฉวียนกับโฉดคลุมทองจะรู้จักเฟิ่งเทียนหวู่ แต่ทั้งคู่ยังได้ใช้เวลาอยู่กับเฟิ่งเทียนหวู่มาพักหนึ่ง สองตาพวกมันส่องสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อทราบว่านายน้อยของพวกมันพบเจอนางแล้ว


 


“เทียนหวู่…ตอนนี้นางอยู่ที่ใดหรือ รึว่าอยู่ที่ตระกูลซือถูแล้ว?”


 


เฟิ่งหวู่เต้ามองถามต้วนหลิงเทียนทันที ลมหายใจยังถี่ขึ้นไม่น้อย


 


“เปล่า”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว


 


“มิได้อยู่หรือ?”


 


เฟิ่งหวู่เต้าขมวดคิ้ว


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “นี่เพราะอาจารย์ของนางไม่ยอมให้นางออกไปไหน…หากนางยังไม่บรรลุขอบเขตเซียน ตอนนี้นางจึงยังคงบ่มเพาะอยู่ที่นิกายของนาง หลังจากที่พวกเรากลับไปถึงตระกูลซือถูแล้ว ข้าจะพาลุงเฟิ่งไปพบเทียนหวู่เอง”



ตอนที่ 1,615 : ข่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจ


 


“อาจารย์ของเทียนหวู่?”


 


หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนแล้ว เฟิ่งหวู่เต้าอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดด้วยสงสัย


 


มันไม่รู้เลยว่าหลังจากที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้แล้ว บุตรีคนเดียวของมันเป็นอยู่อย่างไร ไหนเลยจะทราบได้ว่าบุตรีของมันกลับมีอาจารย์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว


 


“ลุงเฟิ่งถึงแม้ว่าท่านจะอยู่ที่นิกายหยินหมิงได้ไม่นาน แต่ท่านสมควรรู้เรื่องของประเทศฝูเฟิงมาบ้างใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามเฟิ่งหวู่เต้า


 


“อืม”


 


เฟิ่งหวู่เต้าพยักหน้า


 


“ในเมื่อท่านรู้ว่าข้าคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู เช่นนั้นท่านควรรู้ใช่หรือไม่ว่าไฉนข้าถึงโด่งดังขึ้นมาในประเทศฝูเฟิงได้?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามเพิ่ม


 


“เจ้าในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ได้เอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย”


 


ครั้งนี้เฟิ่งหวู่เต้ายังไม่ทันตอบ เป็นหนานกงยี่ที่ตอบขึ้นมาแทน


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวถามอีกคำ “งั้นทุกคนรู้จักแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยกันหรือไม่?”


 


“แน่นอน!”


 


ลูกตาหนานกงยี่เปล่งแสงวูบวาบ “กล่าวถึงแม่นางเฟิ่งผู้นี้ พลังฝึกปรือของนางก้าวหน้าราวปีศาจ..ว่ากันว่านางพึ่งปรากฏตัวได้ไม่กี่ปี ก็สามารถติดอันดับในรายนามนภาเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งยังกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่เยาว์วัยที่สุดในประเทศฝูเฟิงที่ติดอันดับในรายนามนภาอีกด้วย! และที่สำคัญที่สุดนางเป็นสตรี!!”


 


“หลังจากเข้าสู่รายนามนภาได้ เพียงแค่ครึ่งปีต่อมานางก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 23 ไม่เพียงแต่นางจะมีชื่อเสียงในประเทศฝูเฟิง กระทั่งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน”


 


“ผ่านมาครึ่งปี ทุกคนล้วนคิดว่านางมีพลังฝีมือสูงพอที่จะก้าวเข้าสู่ 10 อันดับแรกในรายนามนภา…หากแต่นางกลับพ่ายแพ้ต่อเจ้าเสียก่อน…กล่าวได้ว่านางนั้นโด่งดังนัก และด้วยพลังฝีมือของนางแม้จะแพ้เจ้าแต่คิดจะขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆในรายนามนภาอีกครั้งคงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร”


 


“นางเป็นสตรีแท้ๆ แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกอับอายนัก ที่สามารถประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ทั้งๆที่ยังมิได้อายุ 40”


 


วาจาท้ายประโยคหนานกงยี่อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


“เจ้าหนูหลิงเทียน…เจ้าอย่าได้บอกข้าเชียว ว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้…คือ…”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจงใจกล่าวถึงแม่นางเฟิ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เฟิ่งหวู่เต้าตระหนักได้ถึงบางสิ่ง…สองตาของมันทอประกายวูบวาบขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ


 


ยังเป็นเรื่องที่สุดที่มันจะคาดคิดได้จริงๆ!


 


“ท่านลุงเฟิ่ง ดูเหมือนว่าท่านจะเดาได้แล้ว…”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นอาการของเฟิ่งหวู่เต้า เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกล่าว “ถูกแล้ว แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยคนนั้น ก็คือเฟิ่งเทียนหวู่บุตรีของท่านเอง”


 


เปรี๊ยง!


 


วาจานี้ไม่ว่าจะดังเข้าหูเฟิ่งหวู่เต้า ป๋ายลี่หงหรือใครอื่น ก็ประหนึ่งอัสนีบาตฟาดผ่าดังลั่น!


 


“เป็นเทียนหวู่จริงๆ!!”


 


ลูกตาของเฟิ่งหวู่เต้าทอประกายวูบวาบไปด้วยความตื่นเต้น ร่างยังสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ยากจะหยุดยั้ง


 


“อะไรนะ! แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย คือเฟิ่งเทียนหวู่งั้นเรอะ!?”


 


ป๋ายลี่หง ซื่อหม่าฉางฟง เฉินเฉ่าช่วยและคู่แฝดหนานกงโพล่งออกมาพร้อมกัน


 


แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยคือตัวตนระดับใด พวกมันไหนเลยจะไม่ทราบได้!


 


หากปราศจากต้วนหลิงเทียนสักคน นางก็คือสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


ถึงแม้นางจะพ่ายแพ้ลงภายใต้เงื้อมมือของต้วนหลิงเทียน แต่นางก็แค่ลดหลั่นลงไปกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 2 ของประเทศฝูเฟิงเท่านั้น!


 


อย่างไรก็ตามอัจฉริยะสุดยอดฝีมือนางนั้น ที่แท้กลับเป็นเฟิ่งเทียนหวู่ บุตรีที่เฟิ่งหวู่เต้ารวมถึงพวกมันกำลังตามหา!


 


จะไม่ให้พวกมันตกใจได้อย่างไรไหว?


 


“แม่นางเฟิ่ง คือแม่นางเทียนหวู่งั้นหรือ!?”


 


ขณะเดียวกันทางด้านโฉดคลุมทองกับฉงเฉวียนก็หันหน้ามองสบตากันด้วยความตกใจ


 


เฟิ่งเทียนหวู่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกมันเลย


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าเวลาพึ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี สตรีโฉมงามที่หลงรักนายน้อยหรือเจ้านายของพวกมันจะประสบความสำเร็จมหาศาลขนาดนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนเลยด้วยซ้ำ!


 


เมื่อเห็นสีหน้าอาการตกตะลึงของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


เพราะสุดท้ายแล้ว กระทั่งเขาทันทีที่รู้ว่าแม่นางเฟิ่งคือเทียนหวู่ เขาเองก็ตกตะลึงตาค้างเช่นกัน


 


“หวู่เต้า ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย!”


 


ป๋ายลี่หงเป็นคนแรกที่คืนสติ เร่งแสดงความยินดีกับเฟิ่งหวู่เต้าทันที


 


ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆก็เร่งรุดแสดงความยินดีออกมาเช่นกัน และสุดท้ายเป็นซื่อหม่าฉางฟงที่กล่าวปิดท้าย “พี่ใหญ่เฟิ่ง ข้าว่าชีวิตนี้ท่านคงมิมีอันใดให้เสียใจอีกแล้ว เพราะท่านมีบุตรีอันประเสริฐเช่นนี้!”


 


ในตอนนี้เอง เฟิ่งหวู่เต้าก็พึ่งดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ได้แสดงอาการดีใจเหมือนคนอื่น


 


“เพียงไม่กี่ปีที่ผ่าน เทียนหวู่กลับมีความก้าวหน้าขนาดนี้…เช่นนั้นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านนางต้องผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากถึงขนาดไหนกัน…”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวออกด้วยความปวดใจ


 


ความยากลำบากและอุปสรรคทั้งหลายล้วนเคี่ยวกำหล่อหลอมให้คนเป็นยอดคน


 


เฟิ่งหวู่เต้าเชื่อว่าเบื้องหลังความสำเร็จของบุตรีมัน มิได้ง่ายดายดั่งหนทางที่โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบเป็นแน่ และนางต้องทรมานทั้งเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย นั่นทำให้มันรู้สึกปวดใจนัก


 


หากทำได้มันก็หวังให้บุตรีอยู่อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวลใดๆ ไม่ใช่ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อความแข็งแกร่ง มันแค่หวังเพียงให้นางมีชีวิตอันสงบสุขเท่านั้น


 


นี่คือความจริงจากใจของผู้เป็นบิดา


 


“เอาล่ะพวกเรากลับไปที่เมืองหลวงกันก่อนเถอะ”


 


เมื่อเห็นความคาดหวังอันแรงกล้าในสายตาเฟิ่งหวู่เต้า ต้วนหลิงเทียนหันไปมองสบตาป๋ายลี่หง ก่อนที่จะพาเฟิ่งหวู่เต้าและทุกคนเดินทางกลับด้วยความรวดเร็ว


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางกลับ ข่าวอันน่าตื่นตระหนกก็เริ่มแพร่กระจายออกมาจากนิกายหยินหมิง


 


ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้ง 2 คนของนิกายหยินหมิง อาวุโสสูงสุดตกตาย ส่วนประมุขนิกายหนีหาย


 


อีกทั้งผู้อาวุโสระดับสูง ทั้งชนชั้นรองประมุขก็ถูกฆ่าตาย!


 


เหล่าอาวุโสที่เหลือทั้งศิษย์ที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงเข้าหน่อยต่างเร่งรุดหลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น ด้วยกลัวจะชักนำเภทภัยมาสู่ตัวหากยังรั้งอยู่ที่นิกายหยินหมิง!


 


เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา นิกายหยินหมิงก็พังทลายลงเป็นเสี่ยงๆ!


 


เรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้นิกายหยินหมิงจะล่มสลายลง หากแต่ไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาควบคุมสายแร่หินเซียนระดับ 7 ในความครอบครองของนิกายหยินหมิงเลย กระทั่งทรัพย์สมบัติของนิกายหยินหมิงยังถูกทิ้งเอาไว้ไม่มีใครกล้าแตะ เพราะไม่มีใครรู้ว่ายอดฝีมือที่ทำลายนิกายหยินหมิงจนย่อยยับขนาดนี้จะย้อนกลับมาเอาหรือไม่…


 


“นิกายหยินหมิงล่มสลายแล้ว?”


 


“ถึงแม้นิกายหยินหมิงจะเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนด้อยที่สุดในประเทศฝูงเฟิงและไม่มีอะไรเทียบได้กับขุมพลังชั้น 6 แต่จะอย่างไรก็คือขุมพลังชั้น 7! นอกจากนี้ยังมีขอบเขตเซียนดูแลอยู่ถึง 2 คน มิคิดเลยว่าจะล่มสลายลงในเวลาไม่ถึงวัน!”


 


“นิกายหยินหมิงไปเหยียบเท้าผู้ใดเข้ากันแน่?”


 


……


 


ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้คนที่อยู่ใกล้ๆที่ตั้งของนิกายหยินหมิงก็กล่าวถึงเรื่องนี้กันถ้วนหน้า และบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นกันนัก ว่านิกายหยินหมิงไปล่วงเกินขุมพลังใดมากันแน่


 


ไม่นานข่าวอื่นๆก็แพร่กระจายออกมา


 


ในวันเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงตกตาย ประมุขอย่างอี้เฟิงหนีหาย กลุ่มศิษย์ของนิกายหยินหมิงได้เห็นปรมาจารย์ต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูบุกเข้ามา อีกทั้งไม่เพียงบุกเข้ามาถ่ายเดียว ยังฆ่าชนชั้นครึ่งก้าวเซียนอันเป็นรองประมุขกับอาวุโสระดับสูงไปอีก 2 คน!


 


“เป็นฝีมือของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น…ข้าสงสัยนักว่านิกายหยินหมิงไปล่วงเกินตระกูลซือถูเรื่องอะไรกันแน่ ถึงขั้นต้องลงมือทำลายนิกายกันเช่นนี้”


 


“จะอย่างไรก็เป็นขุมพลังชั้น 7 เช่นกัน มันง่ายนักหรือที่ตระกูลซือถูจะกวาดล้างนิกายหยินหมิง?”


 


“เหอะ! นิกายหยินหมิงมันก็แค่ขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนด้อยที่สุดในประเทศฝูเฟิงของพวกเรา เจ้าจักเอาไปเทียบกับตระกูลซือถูได้อย่างไร? ตระกูลซือถูก็นับเป็นขุมพลังชั้น 7 ระดับแนวหน้าของประเทศ นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลราชวงศ์อีก นิกายหยินหมิงไม่คู่ควรยกมาเทียบด้วยซ้ำ!”


 


……


 


ไม่นานข่าวลือเรื่องตระกูลซือถูทำลายนิกายหยินหมิง ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีศิษย์นิกายหยินหมิง รวมถึงทาสที่หลบหนีออกมามากมายเห็นต้วนหลิงเทียนบุกมาเข่นฆ่าผู้คนกับตา ในวันที่นิกายล่มสลาย


 


ในเมื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวเช่นนี้ ด้วยฐานะแขกกิตติมศักดิ์ เช่นนั้นหมายความว่าสมควรมียอดฝีมือตระกูลซือถูติดสอยห้อยตามมาด้วย!


 


อย่างไรก็ตามการแพร่กระจายของข่าวลือชุดนี้ ยังช้ากว่าความเร็วในการมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงของต้วนหลิงเทียนและป๋ายลี่หง


 


ด้วยความที่เฟิ่งหวู่เต้าร้อนใจและคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่มาก ต้วนหลิงเทียนและป๋ายลี่หงจึงใช้ความเร็วสูงในการเหินบิน เพียงเวลาไม่กี่วันก็รุดกลับมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงในที่สุด


 


เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังตระกูลซือถูทันที


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน”


 


หลังจากเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามา เหล่าผู้เฝ้าประตูของตระกูลซือถูก็เร่งโค้งคารวะทักทายด้วยความเคารพ พวกมันไม่กล้าหย่อนคล้อยท่าทีปฏิบัติแม้แต่น้อย


 


ล้อกันเล่นหรือไร!


 


กระทั่งผู้นำตระกูลซือถูของพวกมัน ยังเคารพนับถือท่านปรมาจารย์ต้วนผู้นี้นัก


 


นับประสาอะไรกับพวกมันยามเห็นชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ ยังจะหละหลวมได้หรือ?


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับคำทักทายพร้อมพยักหน้าให้ผู้เฝ้าประตูเบาๆ ก่อนที่จะพาป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้า และคนอื่นๆเข้าไปในตระกูลซือถู


 


ถึงแม้ว่าคนที่ต้วนหลิงเทียนพามาจะแลดูมอมแมมกันไม่น้อย แถมยังแปลกหน้าแปลกตา แต่ผู้เฝ้าประตูก็ไม่กล้าหยุดตรวจอะไร


 


เพราะพวกมันรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด นอกจากนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ถือสาหาความ แต่พวกมันก็ไม่กล้าล่วงเกินตัวตนที่กระทั่งคุณชายใหญ่กับผู้นำยังให้ความเคารพ…


 


หากพวกมันกล้าให้คนของต้วนหลิงเทียนหยุดและทำการตรวจสอบอะไรขึ้นมา เกรงว่าทันทีที่คุณชายใหญ่หรือผู้นำตระกูลล่วงรู้ แม้อาจไม่ถึงฆ่าตาย แต่พวกมันก็ต้องเก็บข้าวเก็บของระเห็จออกจากตระกูลซือถูแน่แท้…


 


“เอ่อ…เมื่อครู่ ท่านต้วนกระทั่งส่งยิ้มแถมพยักหน้าให้พวกเราเลยหรือ…ช่างเป็นคนที่อัธยาศัยดีนัก!”


 


ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งกล่าวออกด้วยอารมณ์ซาบซึ้ง “ก่อนหน้านี้มีสหายของคุณชายรองคนหนึ่งมา พลังฝีมือของมันเห็นได้ชัดว่าอ่อนด้อยกว่าท่านปรมาจารย์ต้วนหลายขุมฐานะก็เทียบกันไม่ติด แต่มันเชิดหน้าถือตาเสียทำราวกับเห็นพวกเราเป็นข้าทาส…คนสองคนกลับแตกต่างกันได้มากมายถึงเพียงนี้”


 


“ข้าเองก็อยู่ด้วยวันนั้น…อย่างที่ว่า คนน่ารังเกียจมักเป็นตัวปัญหา”


 


ผู้เฝ้าประตูอีกคนกล่าว


 


“ฮ่าๆๆ…เป็นอย่างที่เจ้าว่า สหายของคุณชายรองคนนั้น เทียบกับท่านปรมาจารย์ต้วนมิได้เลย”


 


ผู้ดูแลประตูอีกหลายคนหัวเราะออกมา


 


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบมีผู้ดูแลประตูคนหนึ่งที่ไม่ได้กล่าวใดออกมาสักคำ


 


ทันใดนั้นสองตามันก็กระพริบวูบวาบขึ้นมา ก่อนที่จะเร่งกล่าวกับคนอื่นๆ “พี่ชายทั้งหลาย ข้ารู้สึกว่าจุดรอคอยของข้าเริ่มคลายตัวลงคล้ายจะมีความก้าวหน้า…ข้าขอลาไปบ่มเพาะพลังครู่หนึ่งได้หรือไม่ แล้วข้าจะรีบกลับมาหาพวกท่านทันทีที่เสร็จเรื่อง”


 


“โอ้ เจ้าไปเถอะน้องชาย”


 


ผู้เฝ้าประตูคนอื่นๆพยักหน้าและคิดว่าเรื่องเพียงเท่านี้ก็ไม่นับเป็นอะไร แถมพวกมันเองก็เคยเจอสถานการณ์เดียวกันมาก่อน



ตอนที่ 1,616 : เยี่ยมญาติ


 


ผู้ดูแลประตูหน้าตระกูลซือถูคนดังกล่าว เมื่อปลีกตัวออกมาแล้วมันไม่ได้กลับไปบ่มเพาะดั่งที่ว่าแต่อย่างใด


 


จุดหมายของมันคือมุ่งหน้าไปยังเขตใน!


 


กล่าวให้ชัดมันมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่งอันเป็นที่อยู่อาศัยของรองผู้นำตระกูลซือถู ซือถูหมิง!


 


“ท่านรองผู้นำ”


 


หลังจากแจ้งฐานะให้ผู้เฝ้าคฤหาสน์ ผู้ดูแลประตูก็สามารถเข้ามาพบเจอซือถูหมิงได้ในเวลาไม่นาน


 


“เจ้าเร่งรุดมาเช่นนี้ มีอันใดผิดปกติงั้นเหรอ?”


 


เพียงเหลือบมองครั้งหนึ่ง ซือถูหมิงก็จดจำได้ทันทีว่าผู้ดูแลประตูที่พึ่งมาพบมัน คือคนของมันที่ส่งไปเป็นสายเฝ้าหน้าประตูใหญ่


 


เมื่อมีสายที่คอยเฝ้าประตูอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าใครจะไปใครจะมาตระกูลซือถู มันย่อมรับรู้ได้ทันที


 


“ท่านรองผู้นำ ปรมาจารย์ต้วนกลับมาแล้ว”


 


ผู้ดูแลประตูกล่าว


 


“หืม? มันพึ่งกลับมางั้นเหรอ?”


 


ซือถูหมิงขมวดคิ้ว


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในฐานปฏิบัติการของนิกาหยหยินหมิง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนออกจากตระกูลซือถูไป


 


อันที่จริงมันยังสงสัยว่าที่ฐานปฏิบัติการของนิกายหยินหมิงเกิดเรื่อง ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนรึเปล่า เพราะอย่างไรพลังฝีมือของอีกฝ่ายก็สูงมากพอจะติด 10 อันดับแรกในรายนามนภา!


 


อย่างไรก็ตามพอมันคิดถึงพลังฝีมือของรองประมุขที่เฝ้าฐานปฏิบัติการนิกายหยินหมิงอย่างโจวชู มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะใช่คู่มือของโจวชู!


 


“ขอรับท่าน”


 


ผู้ดูแลประตูพยักหน้ารับ พร้อมกล่าวสืบต่อ “ครั้งนี้เขายังนำคนมาด้วยอีก 8 คน”


 


“นำคนมาด้วย 8 คนงั้นเหรอ?”


 


ซือถูหมิงขมวดคิ้วด้วยสงสัย “เป็นผู้ใดกัน?”


 


“เรื่องนี้ข้าน้อยก็มิทราบแน่ชัด”


 


ผู้ดูแลประตูส่ายหัว


 


“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”


 


ซือถูหมิงตอบ พร้อมโบกมือให้ผู้เฝ้าประตูล่าถอยไป


 


หลังผู้ดูแลประตูจากไป คิ้วซือถูหมิงพลันขมวดขึ้นมาเป็นปมอีกครั้ง สีหน้ายังมืดลงปานศพ “ต้วนหลิงเทียนบัดซบนี่มันผุดโผล่มาจากที่ใดกันแน่…อยู่ๆกลับโผล่หัวขึ้นมาในประเทศฝูเฟิงทั้งทำลาย ‘เรื่องดีๆ’ ของข้าจนย่อยยับหมดสิ้น!”


 


‘เรื่องดีๆ’ ที่ซือถูหมิงกล่าวถึง ย่อมเป็นเรื่องที่มันเกือบฆ่าซือถูหังได้สำเร็จ!


 


เรื่องนั้นไม่ใช่อะไรที่บุตรชายของมันคนเดียวจะกระทำได้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงย่อมเป็นตัวมันเอง


 


ข่าวการกลับมาของต้วนหลิงเทียนย่อมแพร่ไปถึงหูผู้นำตระกูลอย่างซือถูฮ่าวและคุณชายใหญ่ของตระกูลซือถูอย่างซือถูหังทันที ทั้งสองเร่งรุดออกมาต้อนรับทักทายต้วนหลิงเทียนทันที


 


“ผู้นำตระกูล คุณชายใหญ่หัง”


 


เมื่อเห็นซือถูฮ่าวกับซือถูหังเร่งรุดออกมาต้อนรับ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มทักทันที ก่อนที่จะแนะนำป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้ารวมถึงคนอื่นๆให้ทั้งคู่รู้จัก


 


“ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่”


 


สำหรับป๋ายลี่หงนั้น ซือถูฮ่าวกับซือถูหังได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงมานานแล้ว


 


แน่นอนว่าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆก็ไม่ถูกลืมแต่อย่างใด ทั้งคู่ก็ทักทายด้วยความสุภาพเช่นกัน เพราะนี่คือสหายอันดีของต้วนหลิงเทียน


 


ไม่นานซือถูฮ่าวก็ให้คนไปจัดเตรียมที่พักแก่ทั้งหมดอย่างดี แน่นอนว่าให้อยู่อาศัยที่คฤหาสน์ของซือถูหัง ที่มีห้องหับเหลือเฟือ


 


เรื่องนี้แน่นอนว่าเพื่ออำนวยความสะดวก และสร้างความพึงพอใจให้กับต้วนหลิงเทียนกับสหายที่รอนแรมเดินทางมาไกลด้วยดี


 


หลังจากที่ได้รับการจัดแจงที่พักอะไรแล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปยิ้มกล่าวกับป๋ายลี่หง และพวกเฟิ่งหวู่เต้า “ศิษย์พี่ ลุงเฟิ่งครู และก็ทุกคน ทั้งหมดคงเหนื่อยกันมามากแล้ว ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ…อ่า ลุงเฟิ่งพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านไปยังนิกายอัคคีล่องลอยด้วยตัวเองแต่เช้า”


 


“อ่า”


 


ถึงแม้เฟิ่งหวู่เต้าจะแลดูเป็นกังวลและร้อนใจไม่น้อย แต่มันก็ไม่ได้รีบร้อนถึงขนาดนั้น หลังจากพยักหน้าเป็นเชิงตกลง มันก็กลับไปพักผ่อนยังห้องหับที่ถูกเตรียมไว้ให้ทันที


 


หลังจากกล่าวลาป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปคฤหาสน์ของซือถูหังพร้อมกับซือถูฮ่าวทันที


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ท่านกลับสามารถไปช่วยทุกคนได้ด้วยตัวท่านเองจริงๆ!”


 


ซือถูหังกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ท่านเดินทางไปนิกายหยินหมิงครั้งนี้ ท่านมิได้พบกับประมุขและอาวุโสสูงสุดของนิกายงั้นหรือ?”


 


ซือถูฮ่าวกล่าวถาม


 


มันยังไม่ทราบเรื่องราวที่นิกายหยินหมิงถูกทำลายแม้แต่น้อย


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างซือถูหมิงกับนิกายหยินหมิง มันก็รู้ดีว่าฝ่ายซือถูหมิงนั้นเป็นอย่างไร หากต้วนหลิงเทียนบุกไปทำอะไรเอิกเกริกที่นิกายหยินหมิง น่ากลัวว่าพวกมันจะยกพวกมาฆ่าต้วนหลิงเทียนแน่แล้ว


 


หากมีขอบเขตเซียนอีก 2 คนร่วมมือกับฝ่ายซือถูหมิง กระทั่งพวกมันก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้


 


ถึงแม้หากเกิดเรื่องใหญ่โตถึงขั้นนั้น จนทำให้บรรพบุรุษของตระกูลซือถูออกโรง แต่น่ากลัวว่าฝ่ายของมันคงได้รับความสูญเสียไม่น้อย บางทีอาจจะสู้ฝ่ายของซือถูหมิงไม่ได้อีกเลยก็เป็นได้


 


ในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษของตระกูลซือถู แม้ฝ่ายซือถูหมิงอาจจะทำเกินเลยไปบ้าง แต่จะอย่างไรก็เป็นตระกูลเดียวกัน เมื่อเรื่องราวการต่อสู้เห็นผลแล้ว มันก็คงไม่คิดแทรกแทรงอะไร


 


นี่คือ ‘กฏแห่งป่า’ ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ด้วยเหตุนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะขอให้พวกมันช่วยเหลือในเรื่องนี้ แม้พวกมันจะสามารถช่วยได้ แต่พวกมันก็ไม่อยากจะเสี่ยงให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนั้น


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับอาศัยกำลังของตัวเอง ช่วยเหลือทุกคนกลับมาได้แล้วจริงๆ!


 


“ข้าย่อมเจอพวกมัน”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ


 


“เจอพวกมัน?”


 


ซือถูฮ่าวและซือถูหังพ่อลูกพอได้ฟัง สองตาก็อดไม่ได้ที่จะหดแคบลง “เอ่อ…ท่านเจอกับพวกมันด้วยหรือ?”


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นตายไปแล้ว ส่วนประมุขอย่างอี้เฟิงก็หนีหายไปที่ใดไม่รู้ และตอนนี้นิกายหยินหมิงก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป พวกมันสมควรเหลือแต่ชื่อเท่านั้น…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อนสีหน้าท่าทางแลดูสบายๆ คล้ายสนทนาเรื่องทั่วไปอย่างดินฟ้าอากาศ…


 


“อะไรนะ!!”


 


ทว่าวาจาสบายๆนี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้สองพ่อลูกถึงกับตะลึงงันจนร่างของพวกมันคล้ายจะนิ่งค้างเป็นปูนปั้น! ทั้งคู่ล้วนจับจ้องไปยังสีหน้าแววตาของต้วนหลิงเทียนว่าใช่กล่าวล้อเล่นหรือไม่ แต่ท่าทางแล้วจะไม่ได้โกหกจริงๆ


 


“คุณชายใหญ่หัง ก็ไม่ใช่ข้าบอกท่านไว้แล้วหรือว่าข้าไปครั้งนี้ อาจนำความประหลาดใจมาให้ท่าน…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองซือถูหังพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ


 


ความประหลาดใจ!


 


จังหวะนี้ซือถูหังพลันย้อนนึกถึงเรื่องราวเมื่อวันก่อนขึ้นมา ถูกแล้ว ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือของตระกูลซือถู และจะนำความประหลาดใจมาให้!


 


อย่างไรก็ตามความประหลาดใจที่ต้วนหลิงเทียนบอก พวกมันเพียงคิดถึงเรื่องรองประมุขนิกายหยินหมิงที่ตกตายในฐานปฏิบัติการที่เมืองหลวงเท่านั้น!!


 


ตอนนี้พวกมันพลันตระหนักได้ว่าความประหลาดใจที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว กลับไม่ใช่เรื่องนั้น…แถมยังเป็นเรื่องที่พวกมันไม่อาจคิดคาดจินตนาการได้จริงๆ ว่าจะเป็นเรื่องที่อาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงตายตก ประมุขหนีหาย และความล่มสลายของนิกายหยินหมิง!


 


‘ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ต้วน สมควรมีขุมพลังอันยิ่งใหญ่ลอบสนับสนุนอยู่’


 


ซือถูหังลอบกล่าวในใจ ‘หรือครั้งนี้จะเป็นสุดยอดฝีมือของนิกายอัคคีล่องลอยที่ลอบคุ้มครองท่านปรมาจารยต้วนอย่างลับๆ ลงมือ?’


 


พอคิดถึงความสัมพันธ์ที่แลดูสนิทสนมระหว่างแม่นางเฟิ่งกับต้วนหลิงเทียน ซือถูหังอดคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ กอปรกับที่แม่นางเฟิ่งเป็นศิษย์รักของสื่ออวิ๋น เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้หลายส่วนนัก


 


ความคิดของซือถูฮ่าวก็ละม้ายคล้ายกันกับซือถูหัง


 


นิกายหยินหมิงถูกทำลายแล้ว!


 


พอคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ใจของซือถูฮ่าวก็เต็มไปด้วยความยินดี แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งพลันเอ่อล้นไปด้วยความสุขยากบรรยาย


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ขอบพระคุณท่านมาก!”


 


ในฐานะผู้นำตระกูลซือถู ซือถูฮ่าวถึงกับก้มหัวโค้งคารวะต้วนหลิงเทียนด้วยความขอบคุณจากใจ เรื่องนี้ถ้ากล่าวออกไปไม่ทราบจะมีคนที่ตกใจ?


 


ซือถูหังก็เร่งกล่าวขอบคุณเขาเช่นกัน


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเป็นธรรมชาติที่จะไม่ล่วงรู้ความคิดในหัวของซือถูฮ่าวกับซือถูหัง


 


เพียงมองไปยังซือถูฮ่าวค่อยกล่าว “ผู้นำตระกูล ศิษย์พี่กับสหายของข้าอาจจะต้องพักอาศัยที่ตระกูลซือถู เรื่องนี้…”


 


“เรื่องนี้ขอท่านปรมาจารย์ต้วนอย่าได้เกรงใจอันใด ศิษย์พี่และสหายของท่านสามารถอาศัยอยู่ในตระกูลซือถูของเราได้ตราบนานเท่านาน ทั้งหมดจะได้รับการปฏิบัติดั่งแขกผู้มีเกียรติ และพวกเราจะรับรองให้ทั้งหมดรู้สึกเสมือนได้อยู่บ้าน”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะกล่าวจบ ซือถูฮ่าวเร่งกล่าวออกมาด้วยความยินดี ทั้งรับประกันความสุขสบายของทั้งหมดให้ต้วนหลิงเทียน


 


“เช่นนั้นข้าขอขอบคุณผู้นำตระกูลล่วงหน้าแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งประสานมือกล่าวขอบคุณทันที


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน ท่านเกรงใจไปแล้ว”


 


ซือถูฮ่าวหัวเราะออกมาด้วยความยินดี “ท่านเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูเรา เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี”


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน…”


 


ทันใดนั้นซือถูหังคล้ายจะนึกอะไรบางอย่างออก มันร้องทักต้วนหลิงเทียนขึ้นมาก่อนที่จะมองถามด้วยสายตาจริงจัง “ว่าแต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินท่านสนทนากับ คุณชายเฟิ่ง ว่าจะพาไปยังนิกายอัคคีล่องลอยในวันพรุ่งนี้…”


 


“อ่าใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“ท่านปรมาจารย์ต้วน”


 


ตอนนี้เองสีหน้าซือถูฮ่าวก็เข้มขรึมขึ้นมาทันที “ท่านคงมิทราบว่าในตอนที่ท่านมิอยู่ ฝ่ายซือถูหมิงได้มีความเคลื่อนไหวไม่น้อย…ก่อนหน้านี้ที่ท่านออกเดินทางยังดีที่พวกมันไม่รู้ว่าท่านไปที่ใด แต่ตอนนี้พวกมันพบว่าท่านกลับมาแล้ว น่ากลัวพวกมันต้องจ้องเล่นงานท่านทุกฝีก้าวแน่”


 


“หากท่านออกเดินทางพรุ่งนี้ ข้ากลัวว่าท่านอาจจะพบกับการซุ่มโจมตี”


 


ซือถูฮ่าวเปิดเผยเรื่องที่มันกำลังกังวลใจออกมาทันที


 


“ถูกแล้ว”


 


ซือถูหังเองก็พยักหน้าลงด้วยความเคร่งเครียด “ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ท่านปู่โฮ่วจะไปกับท่าน ก็นับว่ายังเสี่ยงอันตรายและมิปลอดภัยเท่าไหร่…จากที่ข้ารู้มา ฝ่ายซือถูหมิงมันสงสัยว่าท่านเป็นผู้ที่ฆ่าผู้ดูแลฐานปฏิการของนิกายหยินหมิงที่เมืองหลวงแล้ว และนับว่าท่านได้ทำลายแผนชั่วของพวกมันไปหลายครั้งหลายครา ตราบใดที่พวกมันพบโอกาสเหมาะ พวกมันไม่ยอมเลิกราง่ายๆเป็นแน่”


 


“เรื่องแค่นี้เองเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม ไม่คล้ายจะแยแสอะไรมากมาย


 


“ท่านประมาจารย์ต้วน เรื่องนี้ท่านมิอาจดูเบาพวกมัน…ซือถูหมิงนั่นมันคนบ้า แถมเพราะท่านทำลายแผนการของมันโดยช่วยหัง ถึงแม้คราวนี้ข้าไม่รู้ว่ามันจะลงมือด้วยตัวเองหรือไม่…แต่ข้าเองก็ไม่อาจวางใจปล่อยให้ท่านเดินทางทั้งๆที่เสียงได้”


 


ซือถูฮ่าวเผยยิ้มขื่นขม “พรุ่งนี้ต่อให้อาวุโสโฮ่วไปคอยคุ้มกันท่าน ก็มิแน่ว่าจะปลอดภัย หากซือถูหมิงมันนำกำลังคนออกมาฆ่าท่านด้วยตัวเอง พร้มกับอาวุโสขอบเขตเซียนทั้ง 2 ข้ากลัวว่าต่อให้เป็นผู้อาวุโสโฮ่วกับข้าร่วมมือกัน ก็ยากจะที่จะหยุดพวกมันได้…”


 


“อย่างไรก็ตาม หากท่านปรมาจารย์คิดจะเดินทางไปให้ได้จริงๆ ข้าก็ยินดีติดตามท่านไปพร้อมกับอาวุโสโฮ่ว”


 


เมื่อเห็นว่าคล้ายต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาด ซือถูฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกล่าวออกมา


 


“ท่านผู้นำตระกูล น้ำใจนี้ของท่านข้าขอรับไว้ด้วยใจแล้ว แต่เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะกล่าวออกพร้อมประกายตาสดใส “ตราบใดที่ท่านช่วยกระจายข่าวเรื่องวัตถุประสงค์การเดินทางไปเยือนนิกายอัคคีล่องลอยของข้าครั้งนี้ออกไป ต่อให้ฝ่ายซือถูหมิงมันจะมีความกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่า พวกมันก็ไม่กล้าลงมือเด็ดขาด!”


 


“วัตถุประสงค์การเดินทางหรือ? เป็นวัตถุประสงค์อันใดหรือท่าน?”


 


คล้ายจะถูกความเชื่อมั่นของต้วนหลิงเทียนทำให้คล้อยตามก็ไม่ปาน ซือถูฮ่าวอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้


 


ซือถูหังเองก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน


 


“ลุงเฟิ่งของข้าไม่ใช่ผู้ไร้หัวนอนปลายเท้า แต่ท่านคือบิดาของแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย! พวกท่านเพียงกระจายข่าวว้าข้ากับลุงเฟิ่งจะไปเยี่ยมญาติที่นิกายอัคคีล่องลอย ทั้งเผยแพร่ออกไปว่าลุงเฟิ่งคือบิดาของแม่นางเฟิ่ง…คราวนี้ข้าเองก็อยากจะรู้นัก…ว่าพวกมันยังจะกล้าลงมืออีกหรือไม่”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


 


คำพูดประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน ยามดังในหูของพ่อลูกตระกูลซือถู ประหนึ่งห่าระเบิดถล่มลงมาก็ไม่ปาน ถึงขั้นที่พวกมันตะลึงลานกันไปแล้ว


 


“คุณชายเฟิ่งผู้นั้น…กะ…กลับเป็นถึงบิดาของแม่นางเฟิ่ง!?”


 


ซือถูหังตกใจนัก สองตาของมันยังเบิกโพลงออกมาแทบถลนเบ้าปานลูกวัวแรกเกิด



ตอนที่ 1,617 : ตำหนักอ๋องเฉียน


 


พอได้รับทราบว่าคุณชายเฟิ่ง ที่ต้วนหลิงเทียนพามาวันนี้ ที่แท้ก็คือบิดาของแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย…


 


ทั้งซือถูฮ่าวและซือถูหังก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด!


 


พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าชายวัยกลางคนที่แลดูธรรมดาสามัญ ด่านพลังฝึกปรือสมควรพึ่งทะลวงมาถึงหลุดพ้นมนุษย์เท่านั้น กลับเป็นบิดาของสตรีที่มีนามกระเดื่องเลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศฝูเฟิง!


 


แม่นางเฟิ่งเป็นผู้ใด!?


 


ในอดีตนางคือสุดยอดฝีมืออัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 1 แห่งประเทศฝูเฟิง หากไร้ปรมาจารย์ต้วนสักคน นางก็คือมือหนึ่งของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากพรสวรรค์และศักยภาพในการต่อสู้แล้ว แม่นางเฟิ่งผู้นี้ก็มีฐานะที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง!


 


นางเป็นศิษย์ปิดสำนักของ ยอดหญิงแห่งประเทศฝูเฟิง สื่ออวิ๋น ผู้นำขุมพลังชั้น 7 อย่างนิกายอัคคีล่องลอย!


 


นอกจากนี้ยังเป็นศิษย์ที่สื่ออวิ๋นรักถนอมมากที่สุด ยังเอ็นดูนางไม่ต่างอะไรจากบุตรีในไส้ด้วยซ้ำ!


 


ทั่วทั้งประเทศฝูเฟิงล่วงรู้กันดี…ว่าหากล่วงเกินแม่นางเฟิ่ง ก็ไม่ต่างอะไรจากล่วงเกินสื่ออวิ๋นประมุขนิกายอัคคีล่องลอย!


 


แล้วประมุขสื่ออวิ๋นคือใครน่ะหรือ?


 


นั่นคือตัวตนระดับยอดฝีมือที่แม้กระทั่งตระกูลราชวงศ์เองก็ไม่อยากตอแย


 


ในประเทศฝูเฟิงแห่งนี้ นางมีพลังอำนาจสะกดข่มผู้คนนัก!


 


“หากเป็นเช่นนี้ ท่านปรมาจารย์ต้วนก็มิต้องกังวลเรื่องที่จะถูกฝ่ายซือถูหมิงซุ่มโจมตีแล้ว!”


 


ซือถูฮ่าวพยักหน้าทันที


 


มันเองก็รู้ดีแก่ใจว่า หากซือถือหมิงได้รู้เหตุผลการไปเยือนนิกายอัคคีล่องลอย ด้วยวัตถุประสงค์อย่างพาบิดาของแม่นางเฟิ่งไปพบนางล่ะก็ พวกมันไม่มีวันกล้าลงมือเคลื่อนไหวแน่ ต่อให้กินดีหมีหัวใจเสือไปเป็นกระบุงก็ตามที


 


บางทีพวกมันอาจลอบลงมือได้โดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้


 


อย่างไรก็ตามหากเกิดเรื่องขึ้นกับเฟิ่งหวู่เต้าและต้วนหลิงเทียน น่ากลัวว่าแม่นางเฟิ่งต้องระเบิดโทสะอันเดือดดาลออกมาแน่


 


ถึงตอนนั้นถึงแม้สื่ออวิ๋นจะไม่ลงมือเพราะต้วนหลิงเทียน แต่ต้องลงมือเพื่อเฟิ่งหวู่เต้าแน่นอน เพราะเฟิ่งหวู่เต้าเป็นถึงบิดาบังเกิดเกล้าของศิษย์ที่นางรักมากที่สุด!


 


การฆ่าเฟิ่งหวู่เต้าแทบไม่ต่างอะไรจากตบหน้านางดังฉาด!


 


ถึงตอนนั้นต่อให้ไร้หลักฐานว่าผู้ลงมือคือฝ่ายซือถูหมิง แต่ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋นไหนเลยจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเพราะต้องการหลักฐาน? นางไม่มีวันละเว้นซือถูหมิงแน่นอน!


 


ไม่ว่าใครหน้าไหนขอเพียงมีแรงจูงใจในการสังหารต้วนหลิงเทียนและเฟิ่งหวู่เต้าสักนิด นางจะลงมือฆ่าสังหารล้างบางอย่างไร้ลังเล ยินดีฆ่าคนผิดพันคน แต่ไม่ปล่อยให้คนร้ายหนึ่งคนเล็ดรอด!


 


“ข้าคิดมิถึงเลยจริงๆว่าคุณชายเฟิ่งผู้นั้นที่แท้จักเป็นถึงบิดาของแม่นางเฟิ่ง…มิได้การแล้ว ท่าทีปฏิบัติก่อนหน้านี้ของข้า นับว่ายังดีไม่พอ!”


 


ซือถูหังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


“คุณชายหังไม่ต้องคิดมาก ลุงเฟิ่งไม่เอาเรื่องแค่นี้มาใส่ใจหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะบอกลาพ่อลูกทั้งสอง เพื่อกลับไปพักผ่อนที่ห้อง


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับไปพักที่ห้องแล้ว ด้วยการลงมือของ 2 พ่อลูกที่จงใจเผยแพร่วัตถุประสงค์การไปเยือนนิกายอัคคีล่องลอยของต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งหวู่เต้า ก็ทำให้เรื่องนี้ดั่งไปทั่ว


 


ทำให้ทุกคนล่วงรู้กันดี ว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ปรมาจารย์ต้วน กำลังจะพาบิดาของแม่นางเฟิ่งไปเยี่ยมญาติที่นิกายอัคคีล่องลอยในวันพรุ่งนี้!


 


ในคฤหาสน์ของซือถูหัง ร่างคนผู้หนึ่งหนึ่งก็เร่งรุดเข้ามารายงานเรื่องราวดังกล่าวทันที


 


“ท่านรองผู้นำ พรุ่งนี้ต้วนหลิงเทียนจะไปเยือนนิกายอัคคีล่องลอยโดยมิมีซือถูโฮ่วคุ้มกัน”


 


ผู้ที่เข้ามารายงานนี้กลับเป็นอาวุโสคนหนึ่งของตระกูลซือถู


 


“โอ้?”


 


พอได้ยินวาจาของอาวุโสสองตาของซือถูหมิงพลันส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที มุมปากยังยกยิ้มแสยะด้วยอำมหิต “ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสกำจัดตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนนั่นแล้ว?”


 


สำหรับมันแล้ว การดำรงอยู่ของต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่เป็นผลดีอะไรกับมันแม้แต่น้อย อีกทั้งอีกฝ่ายยังทำลายแผนการอันดีของมันหมดสิ้น มันจึงแทบรอฆ่าต้วนหลิงเทียนไม่ไหวแล้ว! เมื่อมีโอกาสฆ่าอีกฝ่ายปรากฏ มันย่อมคว้าเอาไว้ไม่ยอมให้พลาด!!


 


“หืม? ว่าแต่ไฉนซือถูโฮ่วถึงไม่เดินทางไปพร้อมกับมันเล่า?”


 


ทว่าไม่นานซือถูหมิงก็ค้นพบความผิดปกติดังกล่าว


 


อันที่จริงแล้วมันไม่ได้กลัวเรื่องที่ซือถูโฮ่วจะตามไปคุ้มครองต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรก็แค่ซือถูโฮ่วคนเดียว


 


ถึงเวลานั้นมันเพียงนำกำลังคนในฝ่ายมันไปด้วยสักคน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับซือถูโฮ่ว ก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่ซือถูโฮ่วจะรับมือเซียนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมถึงสองคนได้พร้อมๆกัน


 


“เรื่องนี้เป็นเพราะวัตถุประสงค์ในการไปเยือนนิกายของต้วนหลิงเทียนพรุ่งนี้…”


 


อาวุโสที่เร่งเข้ามารายงานกล่าวสืบต่อ “จากข่าวที่ข้าได้ยินมา ดูเหมือนพรุ่งนี้ต้วนหลิงเทียนจะพาชายผู้หนึ่งที่เป็นบิดาของแม่นางเฟิ่ง ไปเยี่ยมญาติที่นิกายอัคคีล่องลอย”


 


“บิดาของแม่นางเฟิ่ง?”


 


หน้าซือถูหมิงจมลงโดยพลัน “นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?”


 


“กล่าวกันว่า คนที่ต้วนหลิงเทียนพากลับมายังตระกูลซือถูวันนี้ หนึ่งในนั้นกลับเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของแม่นางเฟิ่ง”


 


อาวุโสคนเดิมยังกล่าวสืบต่อ “แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้สมควรเป็นข่าวลวง…เพราะแม่นาเฟิ่งก็มีชื่อเสียงในประเทศฝูเฟิงมานาน ข้ามิยักกะเคยได้ยินเรื่องบิดาของนางสักครั้ง!”


 


“เฮอะ! ไหนเจ้าลองบอกข้าทีว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางเฟิ่งกับต้วนหลิงเทียนมาก่อนหรือไม่?”


 


ซือถูหมิ่งแค่นคำออกมาเสียงเย็น


 


อาวุโสของตระกูลซือถูผู้นั้นพอได้ยินก็เงียบปากไปทันที


 


ตอนนี้ข่าวความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทสนมเกินสหายระหว่างปรมาจารย์ต้วนและแม่นางเฟิ่งได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศฝูเฟิงแล้ว


 


หลายคนล้วนเรียกหาทั้งคู่ว่าคือคู่ที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก หนึ่งยอดบุรุษอีกหนึ่งก็ยอดสตรี ต่างยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในประเทศฝูเฟิง เรียกว่าทั้งคู่เปรียบได้ดั่งแบบอย่างอันประเสริฐของบรรดารุ่นเยาว์ทั่วประเทศ


 


“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนซือถูฮ่าวมันถึงกล้าปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่นมันเดินทางไปลำพังโดยไร้คนคุ้มกัน…ที่แท้มันมีบิดาของแม่นางเฟิ่งไปด้วย”


 


ซือถูหมิงกล่าวออกมาด้วยความสลดใจ


 


พอคิดว่าโอกาสที่ดั่งฟ้าประทานมา ที่แท้ก็คือหลุมพรางสู่ขุมนรก มันย่อมไม่กล้ากระโดดลงไปเด็ดขาด!


 


หากมีแค่ต้วนหลิงเทียนมันก็คงไม่คิดอะไรมาก


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีสัมพันธ์สนิทสนมกับแม่นางเฟิ่ง แต่ก็ไม่ได้มีค่ามากพอให้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋นลงมือเป็นการส่วนตัว


 


เพราะสุดท้ายแล้ว ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะยังคลุมเครือไม่ชัดเจน เช่นนั้นแล้วแม้แม่นางเฟิ่งจะเป็นศิษย์รักของสื่ออวิ๋น แต่ด้วยฐานะของนางคงไม่คิดลงมืออะไรมากมายหากไร้หลักฐานที่แน่ชัด


 


คนเราเมื่อตายไปก็เหมือนตะเกียงไร้น้ำมัน สำหรับคนที่ความสัมพันธ์ยังไม่ชัดเจน สื่ออวิ๋นคงไม่คิดทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายขนาดนั้น


 


หากแต่บิดาของแม่นางเฟิ่งนั้นแตกต่างกัน!


 


การที่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดถึงขั้นเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของแม่นางเฟิ่งถูกฆ่าตาย แม่นางเฟิ่งสมควรเดือดดาลเป็นการใหญ่แน่แท้ ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่าสื่ออวิ๋นไม่มีทางที่จะนิ่งดูดายเด็ดขาด


 


หากนางยังนิ่งดูดายอยู่ได้ ไม่พ้นผู้คนต้องครหาว่าบิดาของศิษย์รักตายทั้งคน แต่นางกลับไม่คิดจะทำอะไรเลย นั่นนับว่านางไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ของแม่นางเฟิ่งแล้ว!


 


“ข้าคิดว่าสมควรเป็นข่าวลวงแน่แท้”


 


อาวุโสตระกูลซือถูที่เข้ามารายงานยังคงยืนยันความคิดเดิมของตัว


 


“ถึงมันจักเป็นข่าวลวง แต่เจ้าว่าพวกเราสามารถเสี่ยงเดิมพันได้หรือ? และหากมันเป็นจริงเล่า ถึงตอนนั้นเจ้าว่าสื่ออวิ๋นจะนิ่งดูดายรึไง?”


 


ซือถูหมิงยิ้มเยาะ


 


“ตราบใดที่เรื่องราวมิดชิดมิรั่วไหล ต่อให้เป็นประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋นจักทำอันใดพวกเราได้?”


 


อาวุโสคนเดิมยังกล่าวเสนอ


 


“เจ้าคิดว่าสื่ออวิ๋นคนนั้น ใช่คนที่ต้องมีหลักฐานในการลงมือหรือไม่? นางอยากจะฆ่าใครสักคนในประเทศนี้ กระทั่งล้างบางสักตระกูล ข้าถามเจ้าคำเดียวยังจะมีผู้ใดสามารถหยุดนางได้หากนางคิดลงมือ?”


 


ซือถูหมิงกล่าวออกเสียงเครียด หน้ายังมืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!


 


ถึงแม้มันจะรู้ดีแก่ใจว่าพรุ่งนี้ต้วนหลิงเทียนจะออกเดินทางโดยไร้ผู้คุมกัน ซึ่งนับเป็นโอกาสอันประเสริฐที่สุดการกำจัดอีกฝ่าย


 


นอกจากนี้มันเองก็คิดถึงเรื่องที่จะพยายามฆ่าต้วนหลิงเทียนเพื่อไม่ให้บิดาแม่นางเฟิ่งโดนลูกหลงไว้แล้ว


 


อนิจจาแต่พอคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ก็พบว่ายากที่จะเป็นไปได้


 


ดังนั้นมันทำได้แต่ยืนมองต้วนหลิงเทียนออกเดินทางไปสองตาปริบๆ ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย ถึงแม้มันจ้าบ้าดีเดือดเพียงใดแต่มันก็ยังไม่บ้าพอที่จะลงมืออย่างคนไร้สมอง!


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนและเฟิ่งหวู่เต้าออกเดินทาง ก็เป็นดั่งคาด เพียงไปกัน 2 คนเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็พบว่าซือถูฮ่าวส่งคนลอบติดตามมาคุ้มกันเขา แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนที่ล่วงรู้ก็ไม่คิดจะเปิดเผยผู้ที่ลอบติดตามมาแต่อย่างใด ด้วยรู้ดีว่านี่เป็นความหวังดีของซือถูฮ่าว


 


อีกทั้งในระหว่างการเดินทาง จะมากจะน้อยก็อาจมีคนที่ไม่รู้ความมากวนใจ


 


ด้วยผู้คนที่ซือถูฮ่าวส่งมาด้วยความหวังดี อย่างน้อยๆ เขาก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจัดการด้วยตัวเอง


 


เฟิ่งหวู่เต้าที่ออกเดินทางมาพร้อมต้วนหลิงเทียน ยากนักที่จะปกปิดความตื่นเต้นในสายตา เพราะสุดท้ายแล้วมันก็กำลังจะได้พบกับบุตรีที่ไม่เจอหน้ากันหลายปีเสียที


 


เฟิ่งเทียนหวู่นั้นเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของมัน นางเปรียบดั่งแก้วตาดวงใจของมัน


 


หลังจากที่ได้รับทราบว่าเฟิ่งเทียนหวู่ยังปลอดภัยดี ความกังวลหนักอึ้งในใจที่เก็บไว้นานปี ในที่สุดก็เสมือนถูกยกออก


 


ถึงแม้มันจะทุกข์ใจเมื่อคิดถึงความลำบากที่บุตรีมันผ่านมา หากแต่ก็อดยินดีกับความสำเร็จของเฟิ่งเทียนหวู่ในวันนี้เสียไม่ได้


 


“ลุงเฟิ่ง นิกายอัคคีล่องลอยก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ด้วยความเร็วของข้าไม่ทันเที่ยงวันก็สมควรไปถึงแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเฟิ่งหวู่เต้าด้วยรอยยิ้ม


 


เขาเองก็สังเกตเห็นความตื่นเต้นยินดีของเฟิ่งหวู่เต้าได้ชัดเจน และเขาก็รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายดี “ข้าว่าเทียนหวู่ต้องยินดีมากแน่ๆ ที่ได้เจอท่าน”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดมีความสุขกับเฟิ่งเทียนหวู่เสียไม่ได้


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งหวู่เต้าออกเดินทางไปยังนิกายอัคคีล่องลอย ปรากฏร่าง 2 ร่างเดินออกมาจากพระราชวังหลังหนึ่ง และกำลังมุ่งหน้าไปยังตำหนักที่พักอันหรูหราแห่งหนึ่ง


 


ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่ง


 


ส่วนคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังนั้นเป็นชายชรา ที่แลดูท่าทางอึดอัดคล้ายประหม่าไม่น้อย


 


“เจ้ากลับมายังวังหลวงครั้งนี้ ใช่คิดมารับหนี้บุญคุณที่องค์ชายสี่เคยติดค้างไว้ใช่หรือไม่?”


 


ทันใดนั้นชายวัยกลางคนที่เดินนำพลันกล่าวถามชายชราออกมาเสียงเบา


 


“ใช่แล้วท่าน”


 


ต่อหน้าชายวัยกลางคน ชายชราไม่กล้าละเลยอะไรเร่งตอบกลับไปตามตรงด้วยสุภาพทันที มันไม่กล้าไม่สุภาพ!


 


“เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเสียตั้งแต่ตอนนี้ หากองค์ชายสี่ยินดีช่วยเหลือเจ้าเพื่อตอบแทนบุญคุณ เช่นนั้นแล้วหลังจากนี้ตัวเจ้าจักมิมีอันใดเกี่ยวข้องกับตำหนักอ๋องเฉียนแห่งนี้อีกต่อไป”


 


ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ข้าเข้าใจดี”


 


ชายชราพยักหน้ารับ หากแต่แววตายังทอความเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยน


 


ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มันได้ใช้ชีวิตอยู่บริเวณชายแดนตอนใต้ของประเทศฝูเฟิงอย่างอิสระ จิตใจของมันย่อมเสมือนน้ำนิ่งกระจ่าง ไม่เคยคิดจะย้อนกลับมายังตำหนักอ๋องเฉียน ที่มันเคยทำงานรับใช้อย่างถวายหัวเลยสักครั้ง


 


อย่างไรก็ตามหลังจากมันปลีกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษไม่ทันไร มันก็ได้พบพี่น้องรู้ใจที่มาบรรเทาความเดียวดาย เป็นน้องรอง กับน้องสามของมัน


 


กลุ่มโจรของพวกมันก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยเหตุนี้


 


ในช่วงหลายปีที่ผ่านพี่น้องของมันทั้ง 2 ได้ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นตายมาก็มาก เรียกว่าแม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากพี่น้องแท้ๆ กล่าวไปยังสนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆเสียอีก!


 


ทว่าไม่นานมานี้ น้องสามของมันกลับต้องมาตกตายลง!


 


และผู้ที่สังหารน้องสามของมันก็คือยอดฝีมือที่มันไม่อาจต่อกรด้วยได้!


 


เมื่อมาถึงจุดนี้มันก็ได้รำลึกถึงหนี้บุญคุณที่องค์ชายสี่เคยติดค้างมันเอาไว้ ในยามนั้นมันเคยทำงานถวายหัวรับใช้อีกฝ่าย เป็นข้ารับใช้คนหนึ่งในตำหนักอ๋องเฉียนหรือตำหนักขององค์ชายสี่


 


เหตุผลที่องค์ชายสี่ติดหนี้บุญคุณของมันนั้น เพราะครั้งหนึ่งมันเคยมีโอกาสได้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้


 


ด้วยเหตุนี้อ๋องเฉียนหรือองค์ชายสี่ที่ติดค้างมัน ก็ให้คำมั่นกับมันไว้คำหนึ่ง! ไม่ว่ามันจะร้องขออะไรหากอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจก็จะกระทำให้มันเป็นการตอบแทน!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)