War sovereign Soaring The Heavens 1598-1601
ตอนที่ 1,598 : 7 ทวาราเที่ยงแท้
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้รับทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนและเฟิ่งเทียนหวู่ ฟ่งเหินก็ตระหนักได้ทันทีว่าคงมิอาจพึ่งพานิกายคงเฉินชำระแค้นได้แล้ว
เพราะนิกายคงเฉินมิอาจตอแยแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยได้!
กระทั่งบิดาของมัน ประมุขนิกายคงเฉิน หากได้รับทราบเรื่องนี้ ก็ไม่พ้นต้องกล่าวให้มันลบลืมความบาดหมางไปเสีย
มาตอนนี้ฟ่งเหินจึงรู้ว่าไฉนไป๋หยินถึงให้มันลืมความแค้นไปเสีย หากแต่หัวใจของมันไหนเลยจะยินยอมรับได้โดยง่าย!
อนิจจาแม้ใจจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่มันก็จำต้องยอมรับโดยสดุดี
ในแง่ของพลังฝีมือมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
ด้านพื้นหลังแรงหนุนอะไรก็แลจะอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่าย!
เรียกว่าผู้อื่นสะกดข่มมันทุกทาง ประหนึ่งขุนเขาใหญ่ถล่มทับลงบนหัว มันไม่อาจโงหัวขึ้นมาเห็นแสงแห่งความหวังอันใดได้เลย เบื้องหน้าสายตาคงเหลือแต่หนทางอันมืดบอด
เรื่องที่ฟ่งเหินคับแค้นจำต้องกล้ำกลืนอะไรพวกนี้ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลย
ตอนนี้ในเมื่อเฟิ่งเทียนหวู่เป็นคนของนิกายอัคคีล่องลอย เขาก็ได้กลายเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของนิกายอัคคีล่องลอยเช่นกัน ซือถูหังกับซือถูโฮ่วก็กลับกลายเป็นผู้ติดตามเขา
ในเมื่อทั้ง 3 มาเยือนนิกายอัคคีล่องลอยเป็นครั้งแรก ทางนิกายจึงเตรียมงานเลี้ยงฉลองต้อนรับ
แน่นอนทั้งซือถูโฮ่วและซือถูหังทราบดีว่า เป็นเรื่องนี้เป็นอานิสงค์จากต้วนหลิงเทียน
ในงานเลี้ยงประมุขนิกายสื่ออวิ๋นนั่งอยู่หัวโต๊ะบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าภาพ ส่วนเฟิ่งเทียนหวู่ก็นั่งอยู่ด้านขวาของนาง และสายตาของนางแทบไม่ละออกจากต้วนหลิงเทียน ยังเผยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดงาน พาลให้ใบหน้าที่งามล้ำอยู่แล้วยิ่งตราตรึงใจไปกันใหญ่ รอบข้างคล้ายจะหมองลงถนัดตา
เห็นฉากนี้สื่ออวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจ
นางเห็นชัดเจน ว่าใจของศิษย์นางให้ผู้อื่นไปหมดแล้วจริงๆ
แม้นางจะเป็นอาจารย์ แต่นางก็รู้ตัวดีว่าฐานะของนางในใจเฟิ่งเทียนหวู่ ยังต้อยต่ำกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก!
ถึงจะอิจฉาอยู่บ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้!
สตรีเมื่อเติบใหญ่ล้วนต้องออกเรือน!
คำกล่าวนี่มันจริงแท้!
แน่นอนว่านางรู้ตัวดีว่าไม่อาจเทียบอะไรกับต้วนหลิงเทียนได้ เพราะนางพึ่งได้พบกับเฟิ่งเทียนหวู่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วเท่านั้น
ทว่าศิษย์ของนางรักชอบต้วนหลิงเทียนมาเนิ่นนานแล้ว
ในระหว่างงานเลี้ยง ซือถูหังและซือถูโฮ่วก็ยกจอกดื่มคารวะให้สื่ออวิ๋นเพื่อเชื่อมไมตรีอย่างหน้าชื่นตาบาน
ด้วยเห็นแก่หน้าเฟิ่งเทียนหวู่ สื่ออวิ๋น จึงไม่คิดปฏิเสธเรื่องสานไมตรีอะไร เรียกว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย
หลังจากผ่านไปพักใหญ่บรรยากาศงานเลี้ยงก็ค่อยๆซาลง ซือถูหังกับซือถูโฮ่วก็รับประทานอาหารหมดสิ้นแล้ว เรื่องราวบนโต๊ะจึงกลายเป็นเงียบงัน
และพวกมันก็ไม่ใช่ตัวโง่งม ไหนเลยยังไม่รู้งานว่าที่ทั้งหมดเงียบเป็นเพราะมีพวกมันอยู่ด้วย
เช่นนั้นแล้วพวกมันจึงขอตัวลาจากไปเพื่อความเหมาะสม
หลังจากที่ซือถูหังและซือถูโฮ่วจากไป ในห้องอาหารก็หลงเหลือแค่เพียงสื่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนและเฟิ่งเทียนหวู่ 3 คน
“ข้าต้องขอขอบคุณประมุขสื่ออวิ๋นที่ช่วยดูแลเทียนหวู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นประสานมือกล่าวกับสื่ออวิ๋นด้วยรอยยิ้มจากใจ
“เทียนหวู่เป็นศิษย์ข้า แน่นอนว่าข้าต้องดูแลนางอย่างดี…แล้วเจ้าเล่า ที่แท้เป็นอันใดกับเทียนหวู่กันแน่ถึงได้ขอบคุณข้าแทนนาง?”
สื่ออวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ ค่อยเอ่ยถามออกไปเสียงเบา
ได้ยินคำถามนี้ของสื่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็นิ่งไปทันที
ว่าแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทียนหวู่คืออะไรกันแน่?
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่เพื่อนอีกต่อไป หากเป็นแค่เพื่อนไหนเลยจะเสียอาการและยินดีขนาดนั้นเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง?
หรือจะให้เขาปฏิบัติต่อเทียนหวู่ในฐานะน้องสาว?
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แล้ว!
ในอดีตเขายังกล่าวได้ว่าเคยยึดถือเฟิ่งเทียนหวู่เสมือนน้องสาวคนหนึ่ง…หากแต่ด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเป็นนางที่ยินดีสละกระทั่งชีวิตเพื่อช่วยเหลือเขา การเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดินพลันบังเกิดขึ้นในใจ แค่เขายังไม่อาจยอมรับมันได้ในเวลาสั้นๆเท่านั้น
หลังจากที่พบเจอเฟิ่งเทียนหวู่อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานปี เขาจึงไม่อาจระงับความรู้สึกในใจได้อีกต่อไป
แน่นอนว่าเขายังไม่คิดจะเปิดเผยความในใจออกไปตอนนี้
หากเขาเร่งเปิดเผยความในใจออกไป เขาจะเผชิญหน้ากับคู่หมั้นทั้งสองที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีได้อย่างไร?
“ท่านอาจารย์!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนถูกสื่ออวิ๋นจี้ถามจนไปไม่เป็น เฟิ่งเทียนหวู่จึงคิดกล่าวขึ้นมาเพื่อช่วยเขาให้ออกจากสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ
“ฮึ่ม! ยาวโถวน้อยโง่งมนี่! เจ้ายังมิทันแต่งกับเขาก็เข้าขางกันเสียแล้ว…หากแต่งกันไปมิใช่เจ้าจะถูกเขารังแกเอารึไร!?”
สื่ออวิ๋นกล่าวออกมาอย่างขบขัน
เรื่องขบขันนี้ยังทำให้หน้าเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมา นางอายม้วนราวกับสาวน้อยที่รอคอยเจ้าบ่าวในห้องหอ
“เอาล่ะ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว”
สื่ออวิ๋นที่ยิ้มกล่าวกับเฟิ่งเทียนหวู่ พลันหันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาร้อนแรงค่อยถาม “ท่านต้วน เขตแดนที่เจ้าใช้เมื่อครู่ ดูเหมือนจะเรียกว่าเขตแดนหมื่นกระบี่ใช่หรือไม่?”
“ท่านประมุขสื่ออวิ๋น ท่านเป็นอาจารย์ของเทียนหวู่ก็เหมือนกับผู้อาวุโสของข้า…คำ ท่าน ข้ามิกล้ารับ ไหนเลยให้ท่านเรียกหาข้าแบบนั้นได้ ขอท่านเรียกชื่อข้าเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม
หลังจากนั้นค่อยกล่าวตอบคำถามก่อนหน้า “ถูกแล้ว เขตแดนของข้าเรียกว่าเขตแดนหมื่นกระบี่จริงๆ”
“เจ้าตั้งชื่อให้มันด้วยตัวเองหรือไม่?”
สื่ออวิ๋นจี้ถาม
“ย่อมไม่ใช่”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “หลังจากที่ข้าทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ข้อมูลของเขตแดนพลันปรากฏขึ้นมาในหัวของข้าเอง…จากข้อมูลในใจข้าจึงได้รับทราบว่ามันเรียกหาว่าเขตแดนหมื่นกระบี่”
“หืม? เจ้ามิได้คิดนามเองงั้นเหรอ?”
ได้ยินคำตอบนี้ของต้วนหลิงเทียน สื่ออวิ๋นอดไม่ได้ที่จะลอบสะท้านใจ
นางคิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนตั้งชื่อให้เขตแดนว่า เขตแดนหมื่นกระบี่ ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจผิด!
‘ถึงแม้จะมีเขตแดนที่เรียกหาคล้ายกัน จากบันทึกข้อความที่อาวุโสลึกลับเจ้าของมรดกหงส์ฟ้าจรัสแสงเหลือทิ้งไว้ในหยกบันทึกเสียง…แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่ว่ามีเขตแดนอื่นใด เรียกว่าเขตแดนหมื่นกระบี่มาก่อนชั่วชีวิต!’
ลมหายใจของสื่ออวิ๋นคล้ายปั่นป่วนไปไม่น้อย มองสบตาต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวออกมาเสียงเข้มตรงๆ “7 ทวาราเที่ยงแท้!”
“7 ทวาราเที่ยงแท้?”
พอได้ยินคำสามคำที่อยู่ๆสื่ออวิ๋นก็กล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นงุนงงไม่น้อย “ประมุขสื่ออวิ๋น 7 ทวาราเที่ยงแท้ เป็นหนึ่งในนิกายของประเทศฝูเฟิงหรือ?”
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ อีกฝ่ายถึงกล่าวคำนี้ออกมา แต่เขาก็อดถามกลับไปเสียไม่ได้
ส่วนเฟิ่งเทียนหวู่นั้นรู้ดีว่า 7 ทวาราเที่ยงแท้คืออะไร
อย่างไรก็ตามนางไม่อาจเข้าใจได้ ว่าไฉนอยู่อาจารย์ถึงได้ยกคำนี้มากล่าวถามพี่ใหญ่ต้วนของนาง?
7 ทวาราเที่ยงแท้เป็นขุมพลังอันน่ากลัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าครั้งอดีตกาล หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ของนางกล่าวบอก นางคงไม่อาจรับทราบว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามีขุมพลังอันร้ายกาจนี้ดำรงอยู่
นอกจากนี้นางยังรู้อีกว่า เคล็ดบำเพ็ญจิต หงส์ฟ้าจรัสแสง ที่นางได้รับมา ก็เป็นเคล็ดของ 7 ทวาราเที่ยงแท้
7 ทวาราเที่ยงแท้ มี 7 ผู้เที่ยงแท้
หงส์ฟ้าจรัสแสง เป็น 5 จาก 7 ลำดับของผู้เที่ยงแท้
“เจ้ามิรู้จัก 7 ทวาราเที่ยงแท้หรือ?”
หลังได้ยินคำถามด้วยความสับสนของต้วนหลิงเทียน สื่ออวิ๋นก็กล่าวถามด้วยความแปลกใจ
หากต้วนหลิงเทียนเป็นผู้สืบทอด ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณจริง ไหนเลยยังไม่รู้จักนาม 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้!
ตอนที่ 1,599 : ปฏิเสธ
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
เผชิญหน้ากับคำถามของสื่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัว
7 ทวาราเที่ยงแท้ ชื่อนี้เขาพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
สื่ออวิ๋นได้ที่ฟังคำตอบของต้วนหลิงเทียน ก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ นางรู้ดีว่าครั้งนี้เป็นนางคิดมากเกินไปจริงๆ โลกหล้าไหนเลยมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ได้? ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 เป็นอะไรที่ลึกลับที่สุด ยังพบเจอกันได้ง่ายๆ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สื่ออวิ๋นก็ไม่คิดจะถามอะไรสืบต่อ
เพราะนางรู้สึกว่าไม่จำเป็นแล้ว
ตอนแรกนางยังหลงคิดว่าหากต้วนหลิงเทียนเป็นผู้สืบทอดนามหมอกพิรุณ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 จริง ความสำเร็จในภายภาคหน้าย่อมไม่มีทางอ่อนด้อยกว่าเฟิ่งเทียนหวู่ หากตัดสินจากพลังฝีมือและความสำเร็จในวันนี้
แต่ตอนนี้พอตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ 7 ทวาราเที่ยงแท้ นางจึงยึดถือความคิดเดิมต่อไป ว่าวันหน้าเฟิ่งเทียนหวู่ต้องก้าวล้ำสุดที่ต้วนหลิงเทียนจะเทียบติด
“เจ้าสนใจเข้าร่วมนิกายอัคคีล่องลอยและเป็นศิษย์ข้าหรือไม่?”
ครู่ต่อมา สื่ออวิ๋นก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามต้วนหลิงเทียน
คำถามของนาง ทำให้ต้วนหลิงเทียนและเฟิ่งเทียนหวู่อึ้งไม่น้อย
“ด้วยศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้า ความสำเร็จเจ้าในวันหน้าย่อมไร้ขีดจำกัด…หากเจ้าเต็มไปใจเป็นศิษย์ข้า ตำแหน่งประมุขนิกายอัคคีล่องลอยคนต่อไปก็คือเจ้า”
สื่ออวิ๋นมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน พร้อมให้คำมั่น
หากเป็นคนอื่นสื่ออวิ๋นคงไม่กล่าวเสนออะไรแบบนี้
อย่างไรก็ตามศิษย์นางอย่างเฟิ่งเทียนหวู่เชื่อใจบุรุษผู้นี้นัก และศิษย์นางก็ไม่ใช่นัยน์ตามืดบอดมองคนผิด จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากส่งมอบนิกายอัคคีล่องลอยให้ต้วนหลิงเทียนสืบทอด
หลังได้ยินคำของสื่ออวิ๋น คิ้วต้วนหลิงเทียนขมวดเป็นปมทันที ยังหันมองไปทางเฟิ่งเทียนหวู่อย่างไม่รู้ตัว
“เจ้าอย่าได้คิดมากไป”
หลังจากที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนหันไปมองเฟิ่งเทียนหวู่ สื่ออวิ๋นย่อมเข้าใจความคิดของต้วนหลิงเทียน จึงเร่งกล่าวออกมาทันที “เส้นทางที่เฟิ่งเทียนหวู่จะก้าวเดินนั้นมันต่างจากเจ้านัก เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะรับสืบทอดตำแหน่งประมุขนิกายอัคคีล่องลอยในวันหน้า เพราะศักยภาพพรสวรรค์ของนางมิได้ถูกจำกัดอยู่แค่ประเทศฝูเฟิง”
ในวาจาของสื่ออวิ๋นเผยให้เห็นถึงความมั่นใจที่มีต่อเฟิ่งเทียนหวู่
นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นว่าแค่ตำแหน่งประมุขนิกายอัคคีล่องลอย มันไม่คู่ควรให้เฟิ่งเทียนหวู่รับ
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยิน ก็หันมองสื่ออวิ๋นด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาวุโสสื่ออวิ๋นที่เมตตา แต่ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
ตั้งแต่ที่เขาได้รับสืบทอดเคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ที่เป็นมรดกตกทอดของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางมา ใจเขาก็ได้ยึดถือเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเป็นดั่งอาจารย์!
สื่ออวิ๋นที่คิดกล่าวโน้มน้าวเพิ่มเติม แต่พอเห็นสีหน้าแววตาเด็ดเดี่ยว นางก็ไม่คิดจะเปลืองลมหายใจกล่าวอะไรสืบต่อ
นางรู้ดีว่าสายตาของต้วนหลิงเทียนหมายความว่าอย่างไร ให้นางโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ตาย อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเป็นศิษย์ของนาง
จังหวะนี้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังในใจ
อย่างไรก็ตามแม้จะผิดหวัง แต่นางก็ไม่คิดบังคับฝืนใจใคร
“เจ้าไม่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์ก็ได้ไม่มีปัญหา”
ครู่หนึ่งสื่ออวิ๋นคล้ายตัดสินใจครั้งใหญ่อะไรได้ จึงกล่าวออกมาชัดถ้อยชัดคำ “แต่ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมนิกายอัคคีล่องลอย เจ้ามิจำเป็นต้องนับถือผู้ใดกระทั่งข้าเป็นอาจารย์ แต่ข้ายังจะสนับสนุนทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุดให้เจ้า…แน่นอนว่าหากเปลี่ยนใจ เจ้าสามารถเป็นประมุขของนิกายอัคคีล่องลอยได้ทุกเมื่อ”
เห็นได้ชัดว่าสื่ออวิ๋นก็ให้ความสำคัญของพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนอย่างแท้จริง
“ท่านประมุขสื่ออวิ๋นน้ำใจนี้ของท่านข้าทำได้แค่รับไว้ด้วยใจ แต่ข้าต้องขออภัยท่านด้วย เพราะข้าเกรงว่าข้าคงมิอาจทำตามข้อเสนออันดีของท่านได้…ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะรั้งอยู่ที่ประเทศฝูเฟิงนานนัก”
ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวปฏิเสธออกมาอีกครั้งอย่างสุภาพ
สื่ออวิ๋นที่ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนเพียงขมวดคิ้วอยู่ย่นไปพักหนึ่งค่อยคลายลงทั้งพยักหน้า
เมื่อได้ยืนยันแล้วว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ และยืนยันได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดเข้าร่วมนิกายอัคคีล่องลอย นางก็ไร้ความสนใจอะไรอีก เพียงกล่าวบอกเฟิ่งเทียนหวู่และต้วนหลิงเทียนอีกไม่กี่คำ ก็จากไป
ต่อมาก็คงเหลือแต่ต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งเทียนหวู่เท่านั้น
ทั้งคู่ต่างสงสัยในประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาของอีกฝ่ายไม่น้อย
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบประสบการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลายปีของเฟิ่งเทียนหวู่ นับตั้งแต่ช่วงที่นางออกจากทวีปเมฆาล่อง กระทั่งออกจากหมู่เกาะเซียนโพ้นทะเลมายังนิกายอัคคีล่องลอย
หากเทียบกับเส้นทางอันขรุขระเผชิญเรื่องราวหวาดเสียวมากมายของเขา การเดินทางของเฟิ่งเทียนหวู่นับว่าราบรื่นมาก
“พี่ใหญ่ต้วนแล้วท่านเล่าเป็นเช่นไรบ้าง”
เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถามออกมาด้วยความสนใจ
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็กล่าวเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกมาโดยไม่คิดจะปิดบังอะไรนาง และก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
รวมถึงเรื่องที่คู่หมั้นทั้งสองของเขาตั้งครรภ์ และตอนนี้เขาเองก็ไม่ทราบว่าพวกนางไปอยู่ที่ใด ขณะกล่าวใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เป็นกังวลขึ้นมาไม่น้อย
“พี่ใหญ่ต้วน พี่สาวทั้ง 2 คนต้องปลอดภัยดีแน่”
หลังจากได้ยินว่าลี่เฟยกับเค่อเอ๋อตั้งครรภ์ลูกของต้วนหลิงเทียน ลึกลงไปในแววตาเฟิ่งเทียนหวู่พลันเผยความอิจฉาออกมา ขณะเดียวกันนางก็พยายามกล่าวปลอบต้วนหลิงเทียน
“จริงสิเทียนหวู่ บิดาของเจ้า…ลุงเฟิ่งเองก็อยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเฟิ่งเทียนหวู่ “หลังจากที่เกิดเรื่องบนเกาะป้านเยว่ พวกลุงเฟิ่งก็ติดตามข้ามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า”
ต้วนหลิงเทียนยังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เฟิ่งหวู่เต้ามาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าให้นางทราบ
พอได้ยินว่าบิดาของนางมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าสีหน้าเฟิ่งเทียนหวู่อดไม่ได้ที่จะเผยความสุขความยินดีออกมา แต่พอได้ยินว่าตอนนี้บิดาของนางไม่ทราบไปอยู่ที่ใดแล้ว สีหน้าแววตาก็แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นวิตกกังวลทันที
“เจ้าวางใจได้เลย ลุงเฟิ่งอยู่กับศิษย์พี่ของข้า ย่อมต้องปลอดภัยดีแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบโยน “นอกจากนี้ที่ข้ามานิกายอัคคีล่องลอย ก็เพื่อที่จะได้รับชื่อเสียง เพราะมีเพียงแบบนี้ศิษย์พี่ของข้าจะได้รู้ว่าข้ามาอยู่ที่ประเทศฝูเฟิง ถึงตอนนั้นพอทราบข่าวศิษย์พี่ต้องมาหาข้าที่ตระกูลซือถูทันทีแน่ และข้ามั่นใจว่าลุงเฟิ่งก็ต้องมาที่ตระกูลซือถูด้วยเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียนแม้ สีหน้าเฟิ่งเทียนหวู่จะคลายกังวลไปไม่น้อย แต่นางก็ยังอดห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งหวู่เต้าไม่ได้อยู่ดี
“เทียนหวู่พรุ่งนี้ข้าจะออกจากนิกายอัคคีล่องลอยเพื่อกลับตระกูลซือถูแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับเฟิ่งเทียนหวู่ “เจ้าอยากไปกับข้าไหม?”
เฟิ่งเทียนหวู่แน่นอนว่าย่อมอยากไปกับต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามนางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอาจารย์อย่างสื่ออวิ๋นก่อน “พี่ใหญ่ต้วน เรื่องนี้ข้าต้องไปถามท่านอาจารย์ก่อน”
เฟิ่งเทียนหวู่ไม่รอช้าอะไร เร่งรุดไปหาสื่ออวิ๋นทันที
คำตอบของสื่ออวิ๋นนั้นง่ายดายนัก หากเฟิ่งเทียนหวู่ยังไม่บรรลุขอบเขตเซียน ห้ามมิให้นางก้าวเท้าออกจากนิกายอัคคีล่องลอยไปที่ใดแม้แต่ก้าวเดียว! เพราะมันอันตรายเกินไป!!
ถึงแม้ว่าสื่ออวิ๋นจะมีบารมี แต่โลกนี้กว้างใหญ่นัก! ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะมีใครบ้ากล้าโจมตีนางหรือไม่?
เมื่อเห็นทีท่าของสื่ออวิ๋นว่า ‘ไม่อาจต่อรองได้’ เฟิ่งเทียนหวู่ก็รู้ดี ว่าหากนางยังไม่ทะลวงไปถึงขอบเขตเซียน น่ากลัวว่าคงไม่ได้ก้าวเท้าออกจากนิกายอัคคีล่องลอยแน่แล้ว
นอกจากนี้นางยังรู้ด้วยว่าทั้งหมดเป็นเพราะอาจารย์หวังดีต่อนาง
“ขอบเขตเซียน?”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาเองก็พอรู้ถึงเจตนาของสื่ออวิ๋น “ในเมื่ออาวุโสสื่ออวิ๋นตัดสินใจแบบนี้ก็ไม่เป็นไร…ถ้างั้น เทียนหวู่ เจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ ทะลวงถึงขอบเขตเซียนเมื่อไหร่ค่อยออกจากนิกายอัคคีล่องลอยมาหาข้า”
“แน่นอนว่าก่อนจะถึงวันนั้น หากข้าว่างข้าจะแวะมาหาเจ้า”
เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยเต็มใจของเฟิ่งเทียนหวู่ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักคำ เขาจึงกล่าวบอกนางออกไปเพื่อให้นางคลายกังวลและไม่ต้องคิดมาก
“และถ้าลุงเฟิ่งมายังตระกูลซือถูเมื่อใด ข้าจะพาลุงเฟิ่งมาหาเจ้าที่นี่”
เมื่อเห็นเฟิ่งเทียนหวู่เผยอปากคิดกล่าวอะไร ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาได้ จึงกล่าวเสริมเพื่อทำให้นางไม่ต้องห่วง เพราะเขารู้ว่าไม่พ้นนางต้องกล่าวถึงเรื่องเฟิ่งหวู่เต้าแน่
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเฟิ่งเทียนหวู่ก็แย้มยิ้มออกมา
ดังคำกล่าวที่ว่า
‘นักรบยอมตายเพื่อสหายรู้ใจ สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนรัก’
เช่นนั้นแล้วสำหรับอิสตรี เพียงเพื่อคนที่รักนางย่อมกระทำตามความพอใจของอีกฝ่าย
เช้าวันต่อมาต้วนหลิงเทียน ซือถูหังและซือถูโฮ่วก็เดินทางออกจากนิกายอัคคีล่องลอย
ขามานั้น..ทีท่าของคนนิกายอัคคีล่องลอยช่างแสนเย็นชานัก!
ทว่าขากลับ คนของนิกายอัคคีล่องลอยไม่กล้าละเลยท่าทีปฏิบัติ ด้วยไม่รู้เพราะกริ่งเกรงเฟิ่งเทียนหวู่หรืออย่างไร
เพราะในสายตาคนของนิกายอัคคีล่องลอย เฟิ่งเทียนหวู่คือประมุขนิกายคนต่อไป พวกมันย่อมไม่มีใครกล้าผิดใจกับบุรุษที่นางชมชอบ เพื่อหาเรื่องใส่ตัว
“เทียนหวู่ ส่งกันพันลี้สุดท้ายก็ต้องจาก เจ้ากลับไปได้แล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะกล่าวกับเฟิ่งเทียนหวู่
“พี่ใหญ่ต้วน ข้าจะกลับไปหลังเห็นท่านไปแล้ว”
เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวออกมาอย่างดื้อดึง
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันหลังและจากไปพร้อมซือถูโฮ่วและซือถูหังทันที พริบตาร่างทั้ง 3 ก็เหินลอยขึ้นฟ้า หายลับสายตาเฟิ่งเทียนหวู่ไป
จนกระทั่งมองไปไม่เห็นแผ่นหลังไวๆของต้วนหลิงเทียนแล้ว เฟิ่งเทียนหวู่จึงค่อยหักใจ หันหลังกลับเข้าไปในนิกายอัคคีล่องลอย
“ท่านปรมาจารย์ต้วน ความสัมพันธ์ของท่านกับแม่นางเฟิ่งที่แท้เป็นอันใดกันแน่ ไฉนแววตาท่าทางของนางยามเห็นท่าน คล้ายท่านเป็นสามีที่รักเลยเล่า?”
ระหว่างเดินทาง ซือถูหังที่บังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกา สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวจำต้องถามต้วนหลิงเทียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
เผชิญกับคำถามนี้ของซือถูหัง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แต่ไม่ทราบจะตอบกลับไปอย่างไรดี…
ตอนนี้อารมณ์ของเขาก็ซับซ้อนไม่น้อย
ใจเขานั้นยอมรับเฟิ่งเทียนหวู่มานานแล้ว หากแต่พอคิดถึงเรื่องคู่หมั้นทั้ง 2 ที่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ทราบ เขาจึงไม่อาจคิดเรื่องพวกนี้ได้
เมื่อตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากกล่าวถึง ซือถูหังก็ไม่คิดซักไซ้ไล่เลียงอะไรสืบต่อ เพียงเปลี่ยนเรื่องไปทันที “ท่านปรมาจารย์ต้วนหลังจากที่ท่านเอาชนะแม่นางเฟิ่งเมื่อวาน ข้าเชื่อว่าในเวลาอันสั้นชื่อเสียงของท่านต้องขจรขจายไปทั่วประเทศฝูเฟิงแน่…ถึงตอนนั้นตราบใดที่ศิษย์พี่ของท่านอยู่ในประเทศฝูเฟิง ย่อมต้องได้ยินเรื่องราวของท่าน”
“ถึงตอนนั้นเขาต้องมาหาท่านที่ตระกูลซือถูแน่นอน!”
ซือถูหังกล่าว
“ข้าก็หวังไว้อย่างนั้น…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็อยากให้เรื่องราวมันราบรื่นง่ายดาย
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับซือถูหังและซือถูโฮ่วเดินทางกลับเมืองหลวง คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานก็เริ่มหวนคืนสู่ความสงบ
หากแต่ความสงบนี้เพียงดำรงอยู่แต่ผิวเผินเท่านั้น!
ในฐานะอาวุโสสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจี ตอนนี้หลานชายคนเดียวของมันตายไปทั้งคน มีหรือหานซิ่นจะปล่อยวางเรื่องราวนี้ง่ายๆ “ไม่ว่ามันจะเป็นใคร…กล้ามาฆ่าหลานชายของข้า…ข้าจะให้ทั้งโคตรมันชดใช้ด้วยชีวิต!!”
ลูกตาหานซิ่นเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ราวกับมันกลายเป็นมารร้ายกระหายเลือด!
ในเวลาเดียวกันทางด้านหานเฉวี่ยไน่และคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึงอาณาจักรนภาล่องในทวีปเมฆาล่องแล้ว
และไม่นานทั้งหมดก็ได้รับทราบเบาะแสที่ต้วนหลิงเทียนฝากสหายเก่าเอาไว้…
ตอนที่ 1,600 : ลี่หรัวแทบพังทลาย
“สำนักจันทร์จรัสแสง!”
หานเฉวี่ยไน่และคนอื่นๆพอได้รับเบาะแสที่อยู่ของต้วนหลิงเทียน ทั้งหมดก็เร่งเดินทางออกจากทวีปเมฆาล่อง มุ่งหน้าย้อนกลับไปยังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทันที!
จุดหมายปลายทางของพวกนางคือสำนักจันทร์จรัสแสง!
ตอนนี้เองทางด้านสำนักจันทร์จรัสแสง ผู้คนในสำนักก็เริ่มพบเห็นเรื่องผิดปกติ เพราะพวกมันตระหนักได้ว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้งหมดของสำนัก ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ! รวมถึงประมุขก็ไม่เคยปรากฏตัวที่โถงหลักอีกเลย!!
เมื่ออาวุโสฝ่ายในบางคนตัดสินใจเข้าไปสืบเรื่องราวในเขตหวงห้าม ในที่สุดมันก็พบว่าไม่มีใครอยู่สักคน!
ในตอนแรกพวกมันก็จงใจปิดเรื่องนี้เอาไว้
อย่างไรก็ตามสุดท้ายกระดาษก็ไม่อาจห่อไฟ ไม่นานข่าวการหายตัวไปของประมุขและยอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนัก ก็เริ่มแพร่กระจายไปในสำนักจันทร์จรัสแสง และทุกคนในสำนักจันทร์จรัสแสงก็ตระหนักได้ถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา!
เพราะเมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อีก 8 ขุมพลังก็จ้องจะหยิบชิ้นปลามันด้วยกันทั้งสิ้น!
ไม่ว่าจะเป็นขุมพลังที่เคยมีสัมพันธ์อันดีกำสำนักจันทร์จรัสแสงมาก่อน หรือขุมพลังที่มีเรื่องราวกับสำนักจันทร์จรัสแสง พอพวกมันพบว่าสำนักจันทร์จรัสแสงไร้ยอดฝีมือในขอบเขตเซียนคุ้มกะลาหัว พวกมันก็เริ่มบังเกิดความโลภในทรัพยากรของสำนัก แต่ละฝ่ายเริ่มลงมือเคลื่อนไหวกันทั้งสิ้น!
ไม่นานสำนักจันทร์จรัสแสงก็ถูกผู้คนบุกมาช่วงชิงทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติถูกตัดเฉือนหันแบ่งปานชื้นเนื้อหอมหวาน! กระทั่งรุ่นเยาว์ที่พอมีแววก็ไม่เว้นถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามแต่ละขุมพลัง!
เหล่ารองเจ้าสำนักนั้นเสมือนนกรู้! พวกมันชิงเอาตัวรอดไปก่อนใคร ทั้งพยายามฉกฉวยทรัพยากรล้ำค่าของสำนักแล้วรีบเตลิดหนีไปก่อนที่จะเกิดเรื่อง! ได้กำไรกันไปเป็นกอบเป็นกำนัก!!
ส่วนเหล่าอาวุโสและศิษย์ของสำนักจันทร์จรัสแสงที่ไม่รู้จะทำอย่างไ ก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้รุกรานเข้ามากวาดทุกสิ่งอย่างไปต่อหน้าต่อตา อย่างที่ไม่อาจต้านทานอะไรได้…
เพียงเวลาแค่ไม่นาน สำนักจันทร์จรัสแสงก็เหลือแต่ชื่อ…
กว่าที่พวกหานเฉวี่ยไน่จะมาถึง สำนักจันทร์จรัสแสงก็ไม่อาจเรียกว่าสำนักได้อีกแล้ว
ถึงแม้ว่าจะได้รับทราบข่าวของต้วนหลิงเทียนจากอดีตศิษย์ที่ยังคงอาศัยสายแร่หินเซียนบ่มเพาะพลังอยู่ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะหายตัวไป แต่ศิษยี่เหลือก็รู้แค่ว่าต้วนหลิงเทียนได้จากไปแล้วเท่านั้น
ส่วนเรื่องอื่นๆพวกมันที่เป็นชนชั้นปลายแถวก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย…
ดังนั้นเบาะแสของต้วนหลิงเทียนก็ได้ขาดหายไปที่นี่อีกครั้ง
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านไปอยู่ที่ใดกันแน่…”
ใบหน้าของหานเฉวี่ยไน่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะนางรับทราบจากศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงมาว่า ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะหายตัวไป สถานการณ์ของเขาก็ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไร เห็นว่าได้สังหารขอบเขตเซียนซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างไม่อาจอภัยให้ได้!!
ในเมื่อเบาะแสมันขาดหายไปแล้ว หานเฉวี่ยไน่ก็ทำได้แค่ย้อนกลับไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานเท่านั้น
อย่างไรก็ตามพอนางกลับมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินจากชิงหนูว่า…ลี่เฟยถูกใครก็ไม่ทราบรับตัวไปพร้อมลูกน้อยเสียแล้ว!
“คุณหนูท่านอย่าได้กังวลไป ผู้ที่มารับตัวแม่นางลี่เฟยกับทารก…สมควรเป็นคนของบิดาต้วนหลิงเทียน”
ชิงหนูกล่าว “เรื่องนี้ข้าคาดจากวาจาที่คนผู้นั้นกล่าวทิ้งไว้…เห็นว่าแม่นางลี่เฟยเป็นฮูหยินของนายน้อย”
“คนของบิดาพี่ใหญ่หลิงเทียนหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่พอได้ฟังเรื่องนี้ก็พอได้โล่งใจขึ้นมาหน่อย “แล้วมิมีร่องรอยอื่นใดจากผู้ที่พาตัวพี่สาวลี่เฟยไปเลยเหรอ?”
“ไม่เลย”
ขิงหนูส่ายหัวไปมา หากแต่สีหน้าแววตาของนางก็แลดูลอกแลกเล็กน้อย
“หือ? มีเรื่องอะไรอีกงั้นหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่นั้นเรียกว่าตั้งแต่เด็กจนโตล้วนอยู่กับชิงหนูมาตลอด พอได้เห็นสีหน้าแววตาของชิงหนู ใจนางก็รู้สึกถึงลางไม่ดีทันที
ชิงหนูถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวก่อนที่ลี่เฟยจะจากไปออกมา
“เป็นหานจิ้นเหนียนคิดก่อการอุบาทว์กับแม่นางลี่เฟย โชคดีที่คนของบิดาต้วนหลิงเทียนมาช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันเวลา หลังจากที่ยอดฝีมือผู้นั้นฆ่าหานจิ้นเหนียนตาย ก็พาตัวลี่เฟยกับทารกน้อยจากไปโดยที่มิมีผู้ใดในคฤหาสน์คลื่นขจีสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวได้เลย”
ชิงหนูกล่าว
“หานจิ้นเหนียน!!”
หลังจากที่ได้ทราบว่าหานจิ้นเหนียนคิดล่วงเกินลี่เฟย ใบหน้าหานเฉวี่ยไน่ก็บิดเบี้ยวไปปานยักษ์มาร ลูกตากระจ่างปานสระยามสารทเผยความดุร้ายเย็นเยียบออกมาทันที
ตอนนี้ถ้าหากหานจิ้นเหนียนมันมาอยู่ใกล้ๆมือ นางจะฟาดมันให้ตาย!
เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจิน ก็โมโหจนสองตาแดงก่ำ!
“คุณหนู…มันถูกฆ่าตายไปแล้ว”
พอตระหนักได้ถึงจิตสังหารจากหานเฉวี่ยไน่และเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ชิงหนูพลันกล่าวสืบต่อ
“ตายได้ดี!!”
เสี่ยวเฮยกำหมัดพร้อมคำรามออกมาอย่างสะใจ
เสี่ยวจินกับเสี่ยวไป๋ก็พักหน้าด้วยความถูกใจ ยังเผยให้เห็นว่ายินดีปรีดาไม่น้อย!
“วาจาเหล่านี้เพียงกล่าวกันแค่นี้เถอะ…หากอาวุโสหานซิ่นมาได้ยินเข้าเดี๋ยวจักเป็นเรื่องเอา”
ชิงหนูระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
“มันรู้แล้วจะอย่างไร!?”
หานเฉวี่ยไน่แสยะยิ้มเย้ยออกมาด้วยสายตาเย็นชา “ตัวอุบาทว์หานจิ้นเหนียนมันสมควรตายแล้ว! ยังดีที่มันก่อการอุบาทว์ไม่สำเร็จ หาไม่แล้ววันหน้าข้ามิรู้จะพบหน้าพี่สาวลี่เฟยกับพี่ใหญ่หลิงเทียนอย่างไร! และถ้าหากมันยังไม่ตายข้านี่ล่ะจะรีบไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้! ต่อให้อาวุโสหานซิ่นจะมีโมโหก็ช่างหัวมันไปสิ!!”
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหานจิ้นเหนียนก็ตายไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้โทสะของหานเฉวี่ยไน่จึงสงบลงได้ในเวลาอันสั้น “เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือค้นหาว่าพี่สาวลี่เฟยถูกผู้ใดพาตัวไป…ข้ามั่นใจว่ายอดฝีมือที่เข้ามาพาตัวพี่สาวลี่เฟยไปต้องทรงอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่สามารถพาตัวพี่สาวลี่เฟยไปภายใต้จมูกยอดฝีมือของตระกูลหานเราโดยที่มิมีผู้ใดรู้ตัว! ดูเหมือนว่าฐานะของบิดาพี่ใหญ่หลิงเทียนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจักมิใช่ธรรมดาเสียแล้ว!!”
ถึงแม้คาดว่าลี่เฟยน่าจะถูกคนของบิดาต้วนหลิงเทียนพาตัวไป แต่หานเฉวี่ยไน่ก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อทั้งหมด และอยากรู้ไม่น้อยว่าลี่เฟยถูกพาตัวไปที่ใดกัน
อย่างไรก็ตาม หานเฉวี่ยไน่คงไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าลี่เฟยจะถูกพาไปอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามแล้ว!
ตำหนักเมฆาครามนั้นเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่ใช่อะไรที่ขุมพลังชั้น 5 อย่างคฤหาสน์คลื่นขจีจะมีสัมพันธ์ด้วยได้ เช่นนั้นเรื่องตามหาตัวลี่เฟยคงยากที่จะกระทำได้…
ในตำหนักเมฆาครามที่ลอยล่องเหนือฟ้าห่างไกลจากความวุ่นวาย ลี่เฟยที่ถูกพาตัวมาก็ได้พบเจอกับลี่หรัวอีกครั้ง ทำให้ลี่หรัวมีความสุขความยินดีนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางได้เห็นทารกที่อยู่ในอ้อมแขนลี่เฟย นางก็ตื่นเต้นยินดีสุดที่จะหาใดเปรียบ แย้มยิ้มไม่หุบ “ข้ามีหลานชายแล้ว ข้ามีหลานชายแล้ว!”
ทว่าหลังจากที่ตื่นเต้นไปพักใหญ่ ลี่หรัวพลันได้สติ เร่งหันกลับมาถามลี่เฟยทันที “แล้วเค่อเอ๋อเล่า? ก่อนที่ข้าจะออกจากทวีปเมฆาล่อง ข้าได้ยินเทียนเอ๋อบอกว่าเจ้าอยู่กับเค่อเอ๋อมิใช่หรือ?”
ได้ยินคำถามนี้ของลี่หรัว ลี่เฟยพลันนิ่งเงียบไป สองตาอันงดงามของนางเริ่มสั่นระริกยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทันที
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ลี่หรัวพลันสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“น้าหรัว…”
ทว่าทันทีที่ลี่เฟยกล่าวออกมา ก็ถูกลี่หรัวขัดเอาไว้ก่อน “เจ้าให้กำเนิดหลานชายข้าแล้ว ยังเรียกหาข้าว่าน้าอีกหรือ…”
“ท่านแม่…”
พอเปลี่ยนวาจาเรียกหา ในที่สุดลี่เฟยก็ยากระงับสืบไป หยาดน้ำตาพลันไหลพรากออกมารดแก้มงามเป็นสาย
ไม่นานลี่หรัวก็ได้รับทราบเรื่องราวทุกอย่างจากปากลี่เฟย และทั้งหมดที่นางทราบก็คือสิ่งที่ต้วนหรูเฟิงรู้อยู่แล้ว
รวมถึงเรื่องการหายตัวไปของต้วนหลิงเทียน กระทั่งเรื่องที่เค่อเอ๋อถูกผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดพาตัวไป…
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ร่างลี่หรัวพลันสะท้านไปทันที สีหน้ายังซีดเซียวลงอย่างมาก “เรื่องทั้งหมดนี้…พ่อเจ้ารู้หรือไม่?”
“ท่านพ่อทราบแล้ว”
ลี่เฟยพยักหน้า
ลี่หรัวได้ยินดังนั้นก็เร่งส่งเด็กน้อยในอ้อมอกคืนลี่เฟยไป ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปหาต้วนหรูเฟิงทันที
“หรัวเอ๋อ…เจ้ารู้เรื่องแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของลี่หรัวที่บุกเข้ามาหา ต้วนหรุเฟิงย่อมคาดเดาเรื่องราวได้ อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจ
“พี่รู้ว่าเจ้าคิดกล่าวเรื่องอะไร…พี่ได้ส่งคนอกไปตามหาตัวเทียนเอ๋อแล้ว ส่วนเค่อเอ๋อนั้น…เพราะนางถูกคนของลัทธิบูชาไฟพาตัวไป พี่ไร้อำนาจทำอะไรในเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้นางต้องพึ่งโชคชะตาของนางเองแล้ว…”
วาจาท้ายประโยคของต้วนหรูเฟิงก็เผยให้เห็นถึงความอับจนหนทาง
“พึ่งโชคชะตาของนางเอง?”
ลี่หรัวตัวสั่นระริกไปโดยพลัน สองตายังเริ่มแดงรื้นขึ้นมา ไม่นานหยาดน้ำตาสองสายเริ่มไหลริน กล่าวออกด้วยเสียงสั่นเครือ คล้ายรับไม่ไหวใกล้พังทลายเต็มที “ท่านพี่หมายความว่า…ข้าได้แต่ฝากชีวิตของนางกับหลานข้าไว้กับสวรรค์งั้นหรือ?”
ตอนที่ 1,601 : ชื่อเสียงสนั่นไปทั่วประเทศฝูเฟิง
“นั่นเป็นลูกสะใภ้กับหลานข้าทั้งคน ไฉนท่านพี่ถึงกล่าวเช่นนี้? ท่านพี่จะให้ข้านิ่งดูดายและฝากพวกนางไว้กับชะต้าฟ้าลิขิตเช่นนั้นหรือ!?”
ต้วนหรูเฟิงที่ได้ยินลี่หรัวกล่าวก็ทำได้แค่ยิ้มขื่นขมออกมาสองตาละห้อย “หรัวเอ๋อ…พี่เคยบอกเรื่องภูมิภาคเบื้องบนให้เจ้าฟังแล้วมิใช่หรือ? เจ้าเองก็รับทราบเรื่องขุมพลังอันน่ากลัวที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องบนแล้ว…ถึงแม้ตำหนักเมฆาครามของพวกเราจะทรงอำนาจและไม่ด้อยกว่าขุมพลังใดในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้…แต่พวกเราก็มิอาจกระทำอันใดได้เลย!”
“ลัทธิบูชาไฟ เป็น 1 ใน 3 ลัทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…เป็นขุมพลังที่ดำรงอยู่อย่างยิ่งใหญ่ทั้งเรืองอำนาจข้ามผ่านกาลเวลามานับพันหมื่นปี! กระทั่งก่อนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ภูมิภาค พวกมันก็นับเป็นขุมพลังระดับสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว! ยามนี้กาลเวลาผ่านมาเนิ่นนาน น่ากลัวว่าพวกมันก็จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น..”
วาจาท้ายประโยคของต้วนหรูเฟิง เผยให้เห็นถึงความอับจนหนทางนัก
ในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ต่อให้มันเป็นจ้าวตำหนักอันไร้ผู้ต้าน และตำหนักเมฆาครามก็ไม่ต้องกริ่งเกรงใครหน้าไหน หรือแม้แต่ต่อให้ขุมพลังทั้งหลายมัดรวมกันมาพวกมันก็ไม่หวั่น!!
อนิจจาพลังอำนาจนี้ใช้ได้แต่กับเฉพาะภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้เท่านั้น…
ในภูมิภาคเบื้องบนยอดฝีมือดั่งหมู่เมฆ ขุมพลังอันร้ายกาจก็ดั่งปลาหลีที่แหวกว่ายในลำธาร…!
หากยกตำหนักเมฆาครามในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ไปอยู่ในภูมิภาคเบื้องบน น่ากลัวว่ายังไม่อาจเทียบได้กับค่าเฉลี่ยของขุมพลังทั้งภูมิภาคเบื้องบนด้วยซ้ำ! เพราะขุมพลังอื่นๆแม้จะเทียบไม่ได้กับนิกายโบราณหรือลัทธิบูชาไฟ แต่ก็ยังเป็นมหาอำนาจที่พวกมันไม่อาจต่อกรได้!!
“ลัทธิบูชาไฟ…เป็นขุมพลังชั้นนำของภูมิภาคเบื้องบนงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินวาจาเสียงอ่อนด้วยจนปัญญาของต้วนหรูเฟิง ลี่หรัวก็รู้สึกเสมือนทั่วร่างสิ้นไร้เรี่ยวแรงตัวยังเซไปเจียนล้ม ยังดีที่ต้วนหรูเฟิงยังเร็วพอที่จะมารับร่างของนางเอาไว้ได้ทัน
มันย่อมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของภรรยาดี…
ในอดีตมันไม่เพียงแต่ได้ยินภรรยาพร่ำกล่าวถึงเค่อเอ๋ออย่างนู้นอย่างนี้ ทำให้มันรับทราบว่าสถานะของเค่อเอ๋อในใจลี่หรัว ไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกชายในไส้อย่างต้วนหลิงเทียนเลย
“พี่เฟิง…ท่านว่าเค่อเอ๋อกับลูกในท้องของนางจักมีอันตรายหรือไม่?”
ลี่หรัวกล่าวออกด้วยสายตาห่วงกังวล
“มิมีใดหรอก น้องพี่เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย…”
ต้วนหรูเฟิงกล่าวปลอบออกมาด้วยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คนที่พาตัวเค่อเอ๋อไป ได้กล่าวอ้างว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของนาง อีกทั้งจากที่เทียนเอ๋อกล่าวบอก ทีท่าของนางยังแลดูเป็นห่วงเป็นใยในตัวเค่อเอ๋ออย่างยิ่ง นางย่อมมีมีวันทำร้ายเค่อเอ๋อของเจ้าแน่”
แน่นอนว่าถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะกล่าวไปเช่นนั้น แต่ใจมันก็รู้ดีว่าเรื่องราวอาจต่างออกไปจากนี้เป็นคนละเรื่อง!
บางทีพี่สาวของเค่อเอ๋อคงไม่ทำร้ายอะไรเค่อเอ๋อ…ทว่ากับลูกในท้องนั้น น่ากลัวว่านางอาจไม่เอาไว้!
นอกจากนี้ถึงเค่อเอ๋อจะได้รับการคุ้มครองจากพี่สาวฝาแฝดของนาง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทานทนรับแรงทัดทานจากลัทธิบูชาไฟได้! เพราะเรื่องที่ธิดาเทพของลัทธิสูญเสียพรหมจรรย์ เป็นอะไรที่ร้ายแรงนัก!!
ถึงแม้ตัวต้วนหรูเฟิงเองจะไม่รู้เรื่องราวของลัทธิบูชาไฟอะไรมากมาย
แต่เท่าที่มันทราบ ลัทธิทั้ง 3 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน รวมทั้งลัทธิบูชาไฟ ตัวตนของธิดาเทพคือสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์! เป็นตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์และจุดศูนย์รวมศรัทธาของพวกมัน! แน่นอนว่าต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทินใดๆ!!
อนิจจาเค่อเอ๋อไม่เพียงมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกชายมัน นางกระทั่งยังตั้งครรภ์หลานมันอีกด้วย!
หากปล่อยให้ลัทธิบูชาไฟรับทราบเรื่องนี้ น่ากลัวเค่อเอ๋อคงไร้หนทางรอดแน่แล้ว!
แต่แน่นอนล่ะว่าเรื่องพวกนี้มันไม่กล้าบอกลี่หรัวออกไปเด็ดขาด! หาไม่แล้วนางคงได้เป็นกังวลจนไม่เป็นอันกินอันนอน เสมือนคนไร้วิญญาณไปตลอด จนกว่าจะสามารถยืนยันความปลอดภัยของเค่อเอ๋อได้…และนั่นไม่ใช่อะไรที่มันอยากจะเห็นแม้แต่น้อย!
นอกจากนี้แม้ต้วนหรูเฟิงจะกล่าวบอกลี่หรัวว่าได้ส่งคนออกไปตามหาต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่อันที่จริงมันก็ไม่ได้ทำอย่างที่ว่าด้วยความจริงจังสักนิด…
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะคำ ‘กำชับ’ จากผู้เฒ่าพยากรณ์ที่บอกมันไว้ถึงเส้นทางของต้วนหลิงเทียน!
ตามที่ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวบอกไว้ ถึงแม้ครอบครัวมันอยากจะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง แต่เป็นการดีเสียกว่าหากให้ต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายค้นพบสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง! ไม่ใช่การกระทำอันเกิดจากอิทธิพลและขอบเขตอำนาจของมัน..
‘เทียนเอ๋อ มิใช่ว่าพ่อโหดร้ายต่อเจ้า…หากแต่นี่เป็นเส้นทางที่เจ้าต้องก้าวเดินด้วยตัวเอง พ่อมั่นใจว่าวาจาของท่านผู้เฒ่าพยากรณ์นั้นล้วนไม่แปลกปลอม เมื่อท่านกล่าวให้พ่อกระทำเช่นนี้ พ่อเชื่อว่าทั้งหมดล้วนส่งผลดีต่อเจ้า’
ถึงแม้ต้วนหรูเฟิงเองก็คิดถึงบุตรชายคนเดียวอยู่ไม่น้อย จนอยากจะออกไปตามหาด้วยตัวเองเสียเดี๋ยวนี้
หากแต่พอคิดถึงอนาคตของบุตรชาย มันก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ หักใจไม่กระทำ!
‘หลังจากนี้อีก 5 ปี เทียนเอ๋อจะเอาชนะตี้จิ่วนั่นได้จริงๆน่ะหรือ?’
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในใจต้วนหรูเฟิงพลันนึกถึงเรื่องที่ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวชี้แนะขึ้นมาอีกครั้ง
ทำอย่างไรก็ได้ให้หาหนทางท้าประลองชิงสิทธิ์เข้าสระชำระมังกรจากเผ่าพันธุ์มังกรให้ต้วนหลิงเทียน…
หากเป็นตัวมันเอง แม้จะเชื่อมั่นในตัวบุตรชายอย่างไร้เงื่อนไขเพียงใด แต่มันก็ไม่คิดว่าบุตรชายของตัวเองจะสามารถใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี ฝึกฝนบ่มเพาะจนมีพลังสามารถสูงถึงขั้นต่อกรกับตี้จิ่ว กระทั่งเอาชนะได้…
หากแต่นี่เป็นการตัดสินใจของผู้เฒ่าพยากรณ์!
เนื่องจากมันเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวผู้เฒ่าพยากรณ์ จึงได้แต่บังคับใจตัวให้เชื่อมั่นในเรื่องนี้ด้วย และพยายามทำใจเชื่อให้ได้ว่า…พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนหลังจากนี้อีก 5 ปี จะสูงพอสยบตี้จิ่วลงได้! ‘หากข้าตามหาเทียนเอ๋อจนเจอ และให้เทียนเอ๋อบ่มเพาะในตำหนักเมฆาคราม แม้จะทุ่มทรัพยากรที่ดีที่สุดให้เทียนเอ๋อ แต่เกรงว่าในเวลาเพียงแค่ 5 ปี ก็มิมีทางยกระดับพลังให้ทัดเทียมกับตี้จิ่วได้เลย…เรื่องนี้จุดเปลี่ยนสมควรเป็นวาสนาปาฏิหาริย์ในโลกภายนอก!’
ด้วยคิดเช่นนี้ ต้วนหรูเฟิงจึงเริ่มเห็นด้วยกับคำของผู้เฒ่าพยากรณ์!
ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้ แน่นอนว่าไม่ได้รับทราบเรื่องราวอันว้าวุ่นใจอะไรของบิดาตัวเองแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาเริ่มปวดหัวตึ๊บๆ หลังจากกลับมาถึงตระกูลซือถูได้ไม่กี่วัน
นั่นเพราะชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปรวดเร็วเกินไป! ผู้คนมากหน้าหลายตาจึงพากันแห่มาตระกูลซือถูเพื่อทำความรู้จักกับเขา!!
ตอนแรกด้วยเห็นแก่หน้าของซือถูหัง ต้วนหลิงเทียนจึงยินยอมพบปะเชื่อมไมตรีกับผู้คนที่มาเยือน
ทว่าวันแรกยังพอทน แต่พอวันที่ 2 พวกแห่กันมาดั่งตลาดแตก ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ไหวจะปั้นยิ้มรับแขกสืบไป! จากนั้นเขาจึงหนีกลับเข้าไปในห้อง และปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างไม่คิดจะออกมา!!
ไม่ว่าด้านนอกจะมีมรสุมเข้า หรือผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดินปานใด ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติ ก็พบพานแต่ความเงียบสงบ ไม่ได้รับผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะกลับห้องไปปิดด่านบ่มเพาะ เขาก็ได้แจ้งกับซือถูหังทั้งกำชับเอาไว้อย่างดีแล้ว ยกเว้นเสียแต่มีข่าวคราวของศิษย์พี่เขาป๋ายลี่หง ถึงจะมาเคาะประตูเรียกหาเขาได้
นอกจากนั้นต่อให้ฮ่องเต้ของประเทศฝูเฟิงถ่อมาเองเขาก็ไม่รับแขก!
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็พูดไปงั้นๆ
ถึงแม้เขาจะเอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย ชิงอันดับที่ 23 ในรายนามนภามา จนกลายเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิงได้…
อย่างไรก็ตามเพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะทำให้ฮ่องเต้ฝูเฟิงเดินทางมาพบเขาด้วยตัวเอง!
ตอนนี้ข่าวการประมือกันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเฟิ่งเทียนหวู่ เรียกว่าแพร่สะพัดไปทั่วประเทศฝูเฟิงดั่งไฟลามทุ่ง!
แม่นางเฟิ่งนั้น ทั้งหมดรับทราบกันดีว่านางคืออัจฉริยะอันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิง การที่ถูกบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเอาชนะไปได้เช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะเสียอันดับที่ 23 ในรายนามนภา นางยังสูญเสียนาม ‘สุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิง’ ไปอีกด้วย
ส่วนชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียน หรือ ‘ท่านต้วน’ แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแห่งเมืองหลวง ก็กลับกลายเป็นผู้รับช่วงต่อนามแห่งเกียรติยศนามนี้ไป
“ข้ามิคิดเลยจริงๆว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเทศฝูเฟิงของเราจักให้กำเนิดสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ขึ้นมาได้ถึง 2 คน…ด้วยพลังฝีมือของทั้งคู่ แม้จะกวาดตามองไปทั่วเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน น่ากลัวว่าจะเป็นสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ระดับแนวหน้า!”
“ดูเหมือนว่าฮวงจุ้ยประเทศฝูเฟิงเราประเสริฐยิ่งนัก! แม่นางเฟิ่งก็คนนึงแล้ว ยังมีท่านต้วนผู้นี้ผุดโผล่ขึ้นมาอีกคน อายุอานามก็ยังมิ 40 ด้วยซ้ำ!”
“ข้าพเจ้าจะรีบติดต่อสหายของข้าพเจ้า ให้ภรรยาของมันอั้นเอาไว้ให้เต็มที่ ค่อยมาคลอดลูกที่ประเทศฝูเฟิงของเรา!!”
……
ตอนนี้ในประเทศฝูเฟิง ชื่อเสียงและวีรกรรมของต้วนหลิงเทียนเรียกว่าแพร่กระจายไปทุกแห่งหนแล้วจริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น