War sovereign Soaring The Heavens 1590-1593
ตอนที่ 1,590 : ค่ำคืนที่ไม่อาจหลับไหลของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน
พอได้รู้ว่าเค่อเอ๋อเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย สีหน้าของต้วนหรูเฟิงก็แลดูอัปลักษณ์ทันที
แต่เดิมมันสมควรมีความสุขเพราะได้รับทราบว่ากำลังจะมีหลานสองคน…แต่ปัญหาก็คือตอนนี้มีหลานเพียงคนเดียวที่ปลอดภัย!
ส่วนหลานอีกคนนั้น เป็นตายอย่างไรก็ไม่ทราบ!
จากที่ข้อความที่ลูกชายมันต้วนหลิงเทียนฝากไว้ เค่อเอ๋อได้ถูกพี่สาวฝาแฝดของนางพาตัวไป แต่พี่สาวของนางก็ปฏิบัติต่อนางด้วยดี จึงไม่น่ามีห่วงกังวลอะไรกับความปลอดภัยของนาง
ทว่าทารกน้อยในครรภ์ของเค่อเอ๋อกลับต่างกันแล้ว!
‘หากเค่อเอ๋อเป็นธิดาเทพของลัทธิบูชาไฟจริงๆ…ถ้าพวกลัทธิบูชาไฟรู้เรื่องนี้ล่ะก็ น่ากลัวจะฆ่าเค่อเอ๋อกับลูกในท้องของนางแน่!’
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้วนหรูเฟิงห่วงที่สุด
ถึงแม้มันจะไม่ค่อยรู้เรื่องลัทธิบูชาไฟเท่าไหร่ แต่มันย่อมรู้ดีว่า ธิดาเทพ ของลัทธิบูชาไฟต้องถือพรหมจรรย์! ยังจะนับประสาอะไรกับตั้งครรภ์!!
‘ส่วนพี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อถึงแม้จะไม่ทำร้ายนาง…แต่เพื่อปกป้องนาง น่ากลัวว่าจะคิดเอาเด็กออก!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหรูเฟิงก็เริ่มกังวลมากขึ้น
นั่นคือหลานของมัน!
ไม่นานต้วนหรูเฟิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับความวิตก กลับมาครองสติแจ่มใสอีกครั้ง
มันรู้ดีว่าตอนนี้ร้อนใจไปก็เท่านั้น เรื่องราวทุกอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของมัน
ตอนนี้มันหวังแค่เพียง ขอให้เค่อเอ๋อได้คลอดทารกอย่างปลอดภัย และถ้าเป็นเรื่องความปลอดภัย หากสามารถเลือกได้แค่ 1 ชีวิตจริงๆ เช่นนั้นขอแค่ตัวเค่อเอ๋อปลอดภัยคนเดียวก็พอ!
มันเชื่อว่าให้เป็นบุตรชายของมันอย่างต้วนหลิงเทียน ก็จะคิดแบบนี้
“เฟยเอ๋อเจ้ากลับไปตำหนักเมฆาครามกับข้าก่อนเถอะ น้าหรัวของเจ้า…ไม่สิท่านแม่ของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่ทุกวัน หากนางได้เห็นเจ้าคงมีความสุขนัก”
ต้วนหรูเฟิงมองลี่เฟยค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อแล้วตัวเลว…เอ่อ พี่หลิงเทียนท่านเจอเขาแล้วหรือไม่?”
ลี่เฟยคิดเรียกหาต้วนหลิงเทียนว่า ตัวเลวร้าย ตามปกติ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าจะอย่างไรก็เป็นบิดาอีกฝ่าย ก็รีบเปลี่ยนคำเรียกหาทันที
“เรื่องเทียนเอ๋อนับว่าซับซ้อนเล็กน้อย พวกเราสนทนากันระหว่างกลับเถอะ”
ต้วนหรูเฟิงเอ่ย
ลี่เฟยพยักหน้าอย่างเข้าใจ และคล้ายนางนึกอะไรออกจึงมองกล่าวกับต้วนหรูเฟิงออกมา “ท่านพ่อหากข้าออกไปแบบนี้ เฉวี่ยไน่ต้องกังวลมากแน่ยามนางกลับมา…”
“กู่มี่เจ้าย้อนกลับไปคฤหาสน์คลื่นขจีอีกรอบเถอะ”
ต้วนหรูเฟิงมองกู่มี่ค่อยกล่าวออกมา แน่นอนว่าวาจาที่พูดให้ลี่เฟยได้ยินมีเท่านี้ แต่ที่จริงยังมีการส่งเสียงผ่านปราณไปกล่าวบอกเพิ่มเติม ว่าอะไรควรพูดและอะไรไม่ควรพูด
เพราะนี่เกี่ยวพันกับอนาคตของบุตรชายมัน มันจึงไม่คิดไม่เชื่อฟังคำที่ท่านผู้เฒ่าพยากรณ์กำชับเอาไว้
“ทราบแล้วท่านจ้าว”
กู่มี่รับคำก่อนที่จะวูบร่างย้อนไปคฤหาสน์คลื่นขจีอีกครั้ง
“พวกเราไปกันก่อนเถอะ”
ตอนนี้เองต้วนหรูเฟิงพลันหันไปพยักหน้าให้ลี่เฟย ในอ้อมแขนอุ้มทารกน้อยเอาไว้อย่างดี ก่อนที่จะแผ่พุ่งพลังไร้สภาพห้อมล้อมตัวลี่เฟยเอาไว้ พากลับไปยังตำหนักเมฆาครามทันที
ด้านกู่มี่พริบตาก็ย้อนกลับมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจี มันลอยร่างเหนือขุนเขาฉากหลังเป็นจันทร์เบ้อเริ่ม คนเปล่งเสียงผสานปราณออกมาดังกังวาลไปทั่วคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานปานฟ้าร้อง!
“บอกคุณหนูเฉวี่ยไน่ด้วย ว่าฮูหยินของนายน้อยและบุตรชายของนาง กลับไปกับข้าแล้ว”
นี่เป็นวาจาที่กู่มี่กล่าว
ในขณะที่เสียงของกู่มี่ดังก้องไปทั่วคฤหาสน์คลื่นขจี ร่างคนก็อันตรธานหายไปในอากาศทันที ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของคฤหาสน์คลื่นขจียังไม่อาจจับได้แม้ร่องรอย!
นับว่าค่ำคืนนี้ของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ถูกกำหนดให้พวกมันไม่อาจหลับไหล!
ในขณะที่ยอดฝีมือทั้งหลายของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานได้ยินเสียงของกู่มี่ สุนัขรับใช้ที่หานจิ้นเหนียนขอให้ดูต้นทางระหว่างจัดการลี่เฟยก็สะดุ้งทันที
“บอกหานเฉวี่ยไน่…ฮูหยินของนายน้อยกับบุตรชาย?”
ได้ยินวาจาดังกล่าว คิ้วของสุนัขรับใช้หานจิ้นเหนียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาตงิดๆ “ฮูหยินของนายน้อยและบุตรชาย…ยังจงใจบอกคุณหนูเฉวี่ยไน่…”
“หรือนั่นจักหมายความถึงสตรีอันเป็นสหายของคุณหนูที่พึ่งคลอดบุตร?”
ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ สุนัขรับใช้หานจิ้นเหนียนก็บังเกิดสังหรณ์อัปมงคล มันรีบวิ่งไปยังห้องของลี่เฟยทันที
“นายน้อย! นายน้อยขอรับ!!”
สุนัขรับใช้มาหยุดตะโกนหน้าประตูห้องลี่เฟยหลายรอบ หากแต่ไม่มีสัญญาณใดๆตอบกลับ ใบหน้าของมันเริ่มเผยอัปลักษณ์
มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยายามจะพังประตูบุกเข้าไป แต่มันก็พบว่าประตูสามารถเปิดออกได้ง่ายดาย เพียงดันเบาๆก็เปิดอ้า
ยามเมื่อประตูเปิดออก มองไปเห็นแสงจันทร์ที่เล็ดรอดหน้าต่าง ฉายส่องให้เห็นเรื่องราวอันน่าตื่นตระหนกในห้องคาตา…ปรากฏร่างชายหนุ่มที่ตามตัวมีรูปุพรุนโลหิตทะลักท่วมพื้น
ตามกายเรียกว่ามีรูนับสิบๆอวัยวะภายในทะลักออกมาคาวคลุ้ง แถมศีรษะเองก็เละเทะมันสมองเยิ้มพื้น ยากระบุใบหน้า!
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันเป็นสุนัขรับใช้หานจิ้นเหนียนมาหลายปี ไหนเลยยังไม่รู้ได้ว่าซากเลอะเลือนที่กองเลือดท่วมบนพื้นนั่นคือเจ้านายของมัน!
“นายน้อย!!”
เห็นเช่นนี้สองขาของสุนัขรับใช้แทบไร้เรี่ยวแรงยืนหยัด ตะโกนร้องลั่นบ้านออกมาทันที
และทันทีที่มันกรีดร้อง ก็ปรากฏร่างหนึ่งวูบมาฉับไวปานภูตผีหยุดอยู่ด้านหลังของมันทั้งกล่าวออกเสียงเย็น “ไฉนเจ้ามาอยู่นี่ได้?”
“อะ…อาวุโสชิงหนู…นะ…นายน้อย”
เป็นชิงหนูที่เร่งรุดกลับมา
หลังจากที่นางได้ยินเสียงตะโกนดังลงมาจากฟ้า ความคิดแรกของนางย่อมนึกถึงลี่เฟยทันที ใจยังคิดว่ามีคนมาพาตัวลี่เฟยกับลูกชายไป!
ดังนั้นนางจึงรีบกลับมาอย่างเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามแม้นางจะรีบกลับมาเร็วที่สุดแล้ว แต่นางก็พบว่าสุนัขรับใช้ของหานจิ้นเหนียนได้เปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนนางทั้งยังร้องดังลั่นบ้าน หน้านางถึงกับเปลี่ยนสีและเร่งเข้ามาดูเรื่องราวในห้องทันที
พอเข้ามานางก็ได้เห็นศพหานจิ้นเหนียน
ถึงแม้นางจะไม่อาจระบุได้ว่าใช่หานจิ้นเหนียนหรือไม่จากหน้าตา แต่นางยังพอจำชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่ได้
ทันใดนั้นใบหน้าชิงหนูก็จมลงโดยพลัน ไหนเลยยังไม่รู้ได้ว่าหานจิ้นเหนียนมาที่นี่ทำอะไร และยามเห็นศพหานจิ้นเหนียนความคิดฆ่าคนก็ปะทุออกมาพาลให้บรรยากาศในห้องเย็นลง
เมื่อรู้แล้วว่าผู้ที่ตายเป็นหานจิ้นเหนียน นางก็หันไปมองสุนัขรับใช้ที่ยืนขาสั่น กล่าวถามมันออกมาทันที “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ข้า…ข้าไม่รู้”
สุนัขรับใช้ส่ายหัวเร็วรี่ มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“แล้วไฉนเจ้ากับมันถึงมาที่นี่?”
วาจานี้ของชิงหนูทำให้สีหน้าสุนัขรับใช้ยิ่งซีดลงไปอีก
ภายใต้สายตาของชิงหนูที่จ้องมาเขม็ง อีกทั้งผู้เป็นนายก็ตายไปแล้ว สุรัขรับใช้เช่นมันไหนเลยจะกล้าอมพะนำ โพล่งความจริงออกมาหมดเปลือก
รวมถึงเรื่องที่นายน้อยมันจงใจให้คนเรียกชิงหนูออกไปด้วย…
“ฮึ! ตัวอุบาทว์! สมน้ำหน้ามันแล้ว!!”
พอได้ฟังความจริงทั้งหมด ชิงหนูก็ไม่สนใจเรื่องที่หานจิ้นเหนียนตกตาย ยังคิดว่ามันสมควรตาย!
อย่างไรก็ตาม นางก็อดไม่ได้ที่จะสับสนในใจ
‘ฮูหยินของนายน้อยกับบุตรชาย สมควรเป็นลี่เฟยกับลูกนาง…บุรุษของลี่เฟยสมควรเป็นต้วนหลิงเทียน! ข้าได้ยินมาจากคุณหนูว่าบิดาของต้วนหลิงเทียนผู้นี้สมควรเป็นยอดฝีมือในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…หรือคนของบิดาต้วนหลิงเทียนจะมาพาลี่เฟยไป?’
ยิ่งชิงหนูคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดว่าสมควรเป็นไปได้อย่างยิ่ง
หากเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆ นางย่อมอธิบายให้คุณหนูของนางเข้าใจโดยง่าย
“เหนียนเอ้อ!”
คฤหาสน์คลื่นขจีพึ่งเงียบลงจากเสียงตะโกนก้องฟ้าได้ไม่ทันไร พลันมีอีกเสียงหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยพลังดังก้องออกมา ทั้งในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยโทสะอันคับแค้นเจือไว้ด้วยความโศกศัลย์ และนั่นประหนึ่งหินร่วงสระก่อเกิดพันระลอก พาลให้ทั้งคฤหาสน์คลื่นขจีปั่นป่วนไปอีกครั้ง!!
“มันรู้แล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามด้วยโทสะนี้ ชิงหนูก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน
และอาวุโสสูงสุดผู้นี้ก็คือปู่ของหานจิ้นเหนียน
แถมหานจิ้นเหนียนยังเป็นหลานชายคนเดียวของมัน
พอได้สินเสียงคำรามด้วยโทสะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันรับรู้ถึงการตายของหานจิ้นเหนียนแล้ว
กล่าวให้ชัดอาวุโสสูงสุดสมควรพบว่าไข่มุกวิญญาณของหานจิ้นเหนียนแตก!
หลังจากที่ชิงหนูมองสำรวจไปรอบๆห้องทั้งบนเตียง นางก็พบว่าไร้ซึงร่องรอยการต่อสู้ใดๆ นางจึงพออนุมานเรื่องราวได้ ว่าไม่พ้นหานจิ้นเหนียนกำลังจะก่อการอุบาทว์ ทว่าคนของบิดาของต้วนหลิงเทียนมาถึงทันเวลา ฆ่ามันและพาตัวลี่เฟยกับลูกชายของนางไป…
พอคิดถึงจุดนี้ชิงหนูก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ
หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลี่เฟย ไม่เพียงแต่หานเฉวี่ยไน่จะไม่ยกโทษให้นาง กระทั่งนางก็ไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้เช่นกัน
โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับลี่เฟย
สำหรับการตายของหานจิ้นเหนียนนั้นนางไม่ได้แยแสสักเพียงนิด ตัวอุบาทว์นี่นางก็รังเกียจขี้หน้ามันมานาน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าปู่ของมันคืออาวุโสสูงสุด น่ากลัวนางจะฆ่ามันไปนานแล้ว!
“อะ…อาวุโสสูงสุด”
สุนัขรับใช้ที่ยืนขาสั่น พอได้ยินเสียงคำรามที่สะท้านไปทั่วคฤหาสน์คลื่นขจี หน้ามันก็ถอดสีโดยพลัน
มันย่อมจินตนาการออกได้ ว่าพออาวุโสสูงสุดพบเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลานชาย มันที่เป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จะมีชะตากรรมอย่างไร
เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นคนที่อยู่กับหานจิ้นเหนียนตลอด…
ถึงแม้มันจะไม่ใช่คนที่ลงมือทำร้ายอะไร แต่ในฐานะข้ารับใช้ที่อยู่ติดกับหานจิ้นเหนียนตลอด ทว่านายมันเป็นศพแต่มันยังอยู่ดี เรื่องนี้จะให้อาวุโสสูงสุดคิดอย่างไร?
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจมันก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“อาวุโสชิงหนูท่านต้องช่วยข้านะ…ข้ามิเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้เลย ข้ายังกล่าวเตือนนายน้อยแล้วว่าอย่าได้ยุ่งกับสหายของคุณหนูเฉวี่ยไน่ แต่นายน้อยดื้อรั้นมิยอมฟังข้า!”
สุนับรับใช้เร่งไปคุกเข่าหน้าชิงหนูแล้วร่ำร้องออกมาอย่างสิ้นหนทาง
“เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้…รอให้อาวุโสสูงสุดมาแล้วกล่าวเล่าความจริงไปเถอะ”
ชิงหนูกล่าวเสียงเรียบ
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้สองตาชิงหนูพลันทอประกายเย็นเยือก “และหากเจ้ากล้าโกหกอันใดอาวุโสสูงสุด แม้มันจะปล่อยเจ้าไป แต่ข้าก็ไม่มีวันละเว้นเจ้า!”
วาจาของชิงหนูทำให้สุนับรับใช้หวาดกลัวจนต้องเร่งก้มหัวลงไปร่ำร้อง “อาวุโสชิงหนู ข้ารู้! ข้าเข้าใจแล้ว!!”
ตอนนี้อาวุโสสูงสุดสมควรพิโรธหนัก หากกล่าวเหลวไหลอะไรออกไปน่ากลัวจะร้ายมากกว่าดี
ไม่นานห้องที่ลี่เฟยอยู่ ก็ไม่ได้มีแค่ชิงหนูกับสุนัขรับใช้ของหานจิ้นเหนียนอีกต่อไป ผู้พิทักษ์ทั้งซ้ายและขวาของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้มาถึงแล้ว
แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีออกไปทำธุระด้านนอก ป่านนี้ก็คงมายืนอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน!
“เหนียนเอ้อ!!”
อาวุโสสูงสุด เป็นชายชรามาในชุดจอมยุทธ์สีเขียว เมื่อแลเห็นร่างเลอะเลือนที่กองบนพื้น สองตามันก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ขณะเดียวกันทั่วกายก็ปรากฏกลิ่นอายพลังทะลักออกมาท่วมห้องหับ พาลให้อุณหภูมิในห้องลดลงทันตา!
ตอนที่ 1,591 : วันประลอง มาถึงแล้ว…
“เกิดอะไรขึ้น!? ไฉนเหนียนเอ้อถึงมาตายที่นี่ได้!?”
อาวุโสสูงสุด หานซิ่น กล่าวถามออกมาเสียงเข้มขณะมองไปยังข้ารับใช้ของหานจิ้นเหนียนที่คุกเข่าอยู่ข้างชิงหนู
ถึงแม้ว่าสุนัขรับใช้ที่คุกเข่าอยู่จะร่างสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวเพราะถูกหานซิ่นจ้องมา จนอยากจะแต่งเรื่องราวให้พ้นภัยย แต่สุดท้ายมันก็ทำได้แค่กล่าวเล่าความจริงออกมาทั้งหมดไม่กล้าใส่สีตีไข่อะไร เพราะนึกถึงคำขู่ของชิงหนู!
ก่อนอื่นเลยมันก็บอกถึงเรื่องที่หานจิ้นเหนียนคิดปลุกปล้ำย่ำยีสตรีตั้งครรภ์อันเป็นแขกของหานเฉวี่ยไน่ เพราะมันมิเคยลองกับสตรีมีครรภ์มาก่อน…ทว่ากลับไร้โอกาสจนถึงวันนี้! ยังกล่าวบอกเรื่องที่พวกมันอาศัยจังหวะตอนพวกหานเฉวี่ยไน่ไม่อยู่ ให้คนอื่นล่อชิงหนูออกไป จะได้ก่อการสะดวก…
เรียกว่ามันกล่าวเล่าเรื่องราวออกมาจนหมดเปลือก
พอได้ยินวาจาที่สุนัขรับใช้หานจิ้นเหนียนกล่าวออกมา ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาของคฤหาสน์คลื่นขจีอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาปริบๆ ต่างหันมามองหน้าสบกันเองด้วยสายตาแปลกประหลาด
หากเรื่องเป็นเช่นนี้…มิใช่ว่าหานจิ้นเหนียนมันหาเรื่องตายเองหรือ?
บางทีหานจิ้นเหนียนคงไม่คิดไม่ฝันว่าสตรีนางนั้นจะมียอดฝีมือลอบคุ้มครองอย่างลับๆ หาไม่แล้วคงไม่หาญกล้าถึงเพียงนี้!
ใบหน้าหานซิ่นสะท้านไปทันใด ยังเปลี่ยนสีสลับกลับกลายไปมาค่อยมืดคล้ำ
แน่นอนว่ามันย่อมรู้นิสัยและสันดารของหลานชายมันดี อย่างไรก็ตามด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นหลานชายคนเดียวของมัน ตัวมันจึงตามใจอีกฝ่ายนัก และไม่เคยดุด่าว่าร้ายอะไรเลย
อนิจจาตอนนี้ดูเหมือนเพราะความมากราคะของหลานมัน กลับทำให้หลานมันประสบหายนะ…
“ชิงหนู ลี่เฟยผู้นั้นที่เป็นแขกของหานเฉวี่ยไน่…เจ้ารู้ความเป็นมาของนางหรือไม่?”
หานซิ่นมองชิงหนูเขม็ง จี้ถาม
“อาวุโสสูงสุด ภูมิหลังของนางข้าพอรู้มาบ้าง…แต่สำหรับผู้ที่มาพาตัวนางไปข้ามิรู้อันใดเลย กระทั่งคุณหนูก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ชิงหนูตอบ
“ผู้ที่พาตัวนางไปเรียกหานางว่า ฮูหยินของนายน้อย…เจ้าควรรู้ว่าบุรุษของนางเป็นผู้ใดใช่หรือไม่?”
หานซิ่นยังคงจี้ถามเสียงเข้ม
“บุรุษของนางเรียกว่าต้วนหลิงเทียน มาจากทวีปเมฆาล่อง…ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่าบิดาของเขาสมควรอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เรื่องนี้ข้าเองก็ได้ยินมาจากคุณหนูเฉวี่ยไน่อีกที สำหรับเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ กระทั่งคุณหนูเฉวี่ยไน่ก็ไม่รู้แล้ว”
ชิงหนูกล่าสืบต่อ
“ต้วนหลิงเทียน?”
หานซิ่นพอได้ยิน แววตามันก็เปลี่ยนไปทันที ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันคิดอะไร
หลังจากนั้นไม่นานมันก็คืนสติ เก็บร่างไร้วิญญาณของหลานชายแล้วหันหลังเตรียมจากไปทันที
“ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 เรื่องราวในวันนี้ ช่วยเห็นแก่หน้าข้าแล้วเก็บไว้ให้มิดชิด…ข้าไม่อยากให้ผู้ใดนินทาว่าร้ายหลานข้า อย่างไรหลานข้าก็ตายไปแล้ว!”
ก่อนจะจากไป หานซิ่นพลันกล่าวออกมา
ได้ยินคำของหานซิ่นผู้พิทักษ์ซ้ายขวาก็พยักหน้ารับคำ เห็นชัดว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องในวันนี้อีก
ฉึบ!
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ และนอกจากเสียงดังกล่าว หว่างคิ้วสุนัขรับใช้ของหานจิ้นเหนียนที่คุกเข่าอยู่พลันบังเกิดหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง ร่างมันทรุดตัวลงไปแน่นิ่งกับพื้น ก่อนที่สองตาจะไร้ประกาย เผยความไม่ยินยอมให้เห็นเด่นชัด
ดั่งที่มันเคยคิดเอาไว้
หานซิ่นไม่คิดปล่อยมันไปจริงๆ…
สุดท้ายนี้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้แพร่ออกไปในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน เพราะหากเรื่องราวมันแพร่ออกไป ผู้คนคงคิดว่าหานจิ้นเหนียนสมควรตายแล้ว
เพราะสุดท้ายก็เป็นหานจิ้นเหนียนคิดอุบาทว์หมายทำผู้อื่นเขาก่อน…
หากหานจิ้นเหนียนไม่คิดอุบาทว์ ไหนเลยจะพบพานจุดจบแบบนี้
หานเฉวี่ยไน่ แน่นอนว่าไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์คลื่นขจีเลย
ตอนนี้นางพาเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และก็เสี่ยวจินมาถึงเกาะป้านเยว่ ทว่าพวกนางก็จำต้องตกตะลึงพรึงเพริด เพราะเกาะป้านเยว่นั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไป…
“เกาะป้านเยว่หายไปที่ใดแล้ว?!”
ใบหน้าของหานเฉวี่ยไน่บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย “ตี้จิ่ว…เผ่าพันธุ์มังกรเจ้ามันตัวดีนัก กลับลงมือถึงขนาดนี้ มันไม่กลัวบาปกรรมรึไร?”
“มังกรแต่เดิมก็เป็นพวกใช้พลังอำนาจครอบงำผู้อื่นเสมอ…นอกจากนี้ตี้จิ่วนั่น มันก็เป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บแห่งเผ่าพันธุ์มังกร”
ที่มาพร้อมกันกับหานเฉวี่ยไน่กับเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ก็คือชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนหลังสัตว์ร้ายตัวมหึมา มันคือมู่อี้ เป็นดั่งบิดาคนที่สองของหานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ปาน เพราะอีกฝ่ายนับถือเป็นพี่น้องกับบิดาของนาง
ในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาย มียอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดอยู่ 3 คน
นอกจากอาวุโสสูงสุด กับบิดาของหานเฉวี่ยไน่แล้ว ก็มีมู่อี้ผู้นี้ที่เป็นผู้ฝึกสัตว์!
แถมมู่อี้ยังเป็นบิดาของสหายอันดีที่เล่นกับเฉวี่ยไน่มาตั้งแต่ยังเล็ก มู่เฉวี่ยอี
หลังจากที่พบว่าเกาะป้านเยว่ไม่มีอยู่แล้ว เสี่ยวจิน เสียวเฮยและเสี่ยวไป๋ก็ร้องไห้ออกมาน้ำตาไหลพราก พวกมันอยู่เกาะป้านเยว่แห่งนี้มาพักใหญ่ย่อมผูกพันไม่น้อย
นอกจากนี้ยังมีคนที่พวกมันไปเล่นด้วยเยอะแยะมากมาย ทั้งหมดล้วนใจดีกับพวกมันทั้งสิ้น
“พี่สาวเค่อเอ๋อ…”
เสี่ยวไป๋ร่ำไห้จนสองตาแดงก่ำ
เซี่ยวจินกับเสี่ยวเฮยก็คิดถึงเค่อเอ๋อและคนอื่นๆไม่น้อย
“พวกเราลองกลับไปทวีปเมฆาล่องกันดูก่อนเถอะ…บางที่พี่ใหญ่หลิงเทียนอาจจะย้อนกลับไปที่นั่น”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวเสนอออกมา
หลังจากนั้น ทั้ง 5 คนก็มุ่งหน้าไปยังทวีปเมฆาล่อง
ไม่ว่าจะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน หรือการไปเยือนทวีปเมฆาล่องของพวกหานเฉวี่ยไน่และเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
ตอนนี้เขากำลังนั่งบ่มเพาะพลัง รอให้ถึงเช้าวันพรุ่ง
เมื่ออรุณรุ่งของอีกวันมาเยือน อาวุโสของนิกายอัคคีล่องลอยก็มาเคาะประตู เพื่อพาต้วนหลิงเทียนและอีก 2 คนไปเยี่ยมชมนิกายอัคคีล่องลอย แน่นอนว่ายังมีแขกเหรื่ออีกมากมายที่มาจากทั่วสารทิศออกมาเดินเยี่ยมชมนิกายด้วย
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นจุดสนใจตามคาด
ทุกสายตาที่มองมายังเขานั้นเต็มไปด้วยความสนใจทั้งสงสัย บ้างก็ชื่นชม บ้างก็ดูหมิ่น…แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเป็นใคร ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยได้
อย่างไรก็ตามแม้สายตาทั้งหลายจะมองต้วนหลิงเทียนไม่ดี แต่ก็ไม่มีใครยั่วยุเขาเหมือนคนของนิกายคงเฉิน
ทั้งวันผ่านไปอย่างไร้เรื่องราว
“ดูเหมือนว่าฟ่งเหินกับเฒ่าชราของนิกายคงเฉินจะไม่กล้าเสนอหน้าออกมา…สะใจยิ่ง!”
ตลอดทั้งวันจนกลับมายังที่พักตอนเย็น พอซือถูหังไม่เห็นชายสองคนจากนิกายคงเฉินที่มาวุ่นวายเมื่อวาน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มร่าออกมาด้วยความสบายใจ
ได้ยินคำของซือถูหังต้วนหลิงเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เมื่อวานนี้อาการของฟ่งเหินที่ถูกเขาซัดทำร้ายไปมันหนักหนาแค่ไหน เขาย่อมรู้ดีกว่าใคร…
น่ากลัวว่าป่านนี้คงนอนเป็นผักอยู่บนเตียง!
อีกทั้งวันพรุ่งนี้ที่เขาจะประมือกับแม่นางเฟิ่งของนิกายอัคคีล่องลอย น่ากลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มาดู เพราะไม่แน่ว่าจะลุกออกจากเตียงได้!
“ท่านปรมาจารย์ต้วนพรุ่งนี้ท่านก็จะประลองกับแม่นางเฟิ่งแล้ว ท่านกลับไปเตรียมตัวและพักผ่อนให้ดีเถอะ พวกเราไม่รบกวนท่านแล้ว”
หลังจากกลับมายังเรือนรับแขกที่นิกายอัคคีล่องลอยจัดให้ ซือถูหังกับซือถูโฮ่ว ก็กล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสุภาพ ก่อนที่จะแยกย้ายกันจากไป
ถึงแม้พวกมันจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะเอาชนะแม่นางเฟิ่งได้
แตในใจลึกๆของพวกมันก็ยังแอบหวัง ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีชัย!
เพราะหากการประลองในวันพรุ่งนี้เป็นต้วนหลิงเทียนที่เอาชนะได้ ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนจะเลื่องลือไปทั่วประเทศฝูเฟิง กระทั่งตระกูลซือถูเองก็พลอยได้อานิสงค์รับชื่อเสียงนี้ด้วย…เพราะสุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนก็เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู
เมื่อชื่อเสียงต้วนหลิงเทียนโด่งดังขึ้นมาในประเทศฝูเฟิง ตระกูลซือถูก็ต้องเป็นที่กล่าวขานไปทั่วเช่นกัน!
นี่ไม่ใช่เกียรติยศที่ขุมพลังชั้น 7 ทั่วไปจะมีได้!
ค่ำคืนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะบ่มเพาะในห้องอีก แต่เลือกที่จะเข้าไปบ่มเพาะบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิง 7 สมบัติ
เพราะ 1 คืนด้านนอก ก็เทียบได้กับเวลา 2 วันครึ่งในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ระยะเวลา 2 วันครึ่งมากพอให้ต้วนหลิงเทียนฝึกฝนบ่มเพาะได้อีกนิด
เผชิญหน้ากับ แม่นางเฟิ่ง ของนิกายอัคคีล่องลอยครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดประมาท
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเข้าไปบ่มเพาะฝึกฝนบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้นเอง…
ภายในพื้นที่ต้องห้ามของนิกายอัคคีล่องลอย ใกล้ๆกับภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ก็ปรากฏร่างสตรีในชุดแดงเพลิงนางหนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศเหนือปากปล่องภูเขาไฟ
สตรีนางนี้นับว่างามล้ำยากจะหาผู้ใดเทียบ แม้นางจะนั่งอยู่ปากปล่องภูเขาไฟอันมีหินหลอมเหลวร้อนระอุปะทุออกมาไม่ขาด อีกทั้งหินหลอมเหลวเหล่านั้นยังคล้ายจะพุ่งขึ้นมาหานางราวถูกบางสิ่งชักนำมองไปคล้ายเวทมนตร์ก็ไม่ปาน
หากทว่าแม้ลาวาร้อนระอุจะสาดท่วมร่างนาง หากแต่ร่างงามกลับไม่ถูกเผาไหม้แต่อย่างใด ชุดเสื้อผ้าอะไรก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น คล้ายลาวาร้อนเดือดเป็นเสมือนสายลมเย็นๆที่พัดผ่าน!
ทันใดนั้นสตรีดังกล่าวพลันลืมตา
อีกทั้งในแววตานางคล้ายมีประกายไฟลุกวาบ ร่างที่ลอยล่องอยู่เหนือปากปล่อง อยู่ดีๆก็ดิ่งวูบลงไปในลาวาร้อนระอุที่ปะทุอยู่ตลอดเวลา กระทั่งจมหายลงไป!!
หากใครมาแลเห็นภาพนี้คงอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เพราะนี่แทบไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย!
อย่างไรก็ตามยามเมื่อลาวาพวยพุ่งปะทุออก จนเผยให้เห็นร่างในทะเลลาวา ก็พบว่านางยังอยู่ดีไม่มีแม้แต่ร่องรอยถูกเผ่าไหม้จากความร้อนอันใด อีกทั้งยังมีไอพลังสีแดงฉานจากลาวาที่ถูกนางชักนำเข้าร่างไม่หยุดหย่อน คล้ายพวกมันกำลังช่วยสตรีงามล้ำสั่งสมพลังก็ไม่ปาน!
ยิ่งมายิ่งเห็นไอพลังจากลาวาหลั่งไหลเข้ากายนางดั่งสายธารแดงฉานอันเชี่ยวกราด!
‘ร่างของเทียนหวู่ ราวกับจะเกิดมาเพื่อเคล็ดบำเพ็ญจิต ‘เหยียนหลี่’ ที่ข้าสืบทอดมามิมีผิด…นางยังประสบความสำเร็จทั้งก้าวหน้าเหนือกว่าข้าในอดีตอย่างน้อยสองเท่า!’
ในขณะที่สตรีที่งดงามปานเทพธิดาอัคคีกำลังบ่มเพาะพลังอยู่นั้น พลันมีสตรีโฉมงามอีกหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเหนือฟ้าไม่ไกล กำลังจับจ้องมองไปยังร่างที่จมอยู่ในลาวาพร้อมกล่าวในใจ
ถึงแม้จะดึกดื่นมืดค่ำ หากแต่แถวนี้ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงจากลาวาร้อนระอุ
หากมีคนของนิกายอัคคีล่องลอยมาอยู่ที่นี่สักคน ย่อมจดจำได้ว่าสตรีที่เหินลอยอยู่ผู้นี้ก็คือ สื่ออวิ๋น ประมุขนิกาย
‘พรุ่งนี้ก็ถึงวันประลองระหว่างเทียนหวู่กับแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูแล้ว…ถึงแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูจะแลดูเยาวว์วัย แต่มิน่าใช่คนธรรมดา’
พอนรึกถึงรายงานที่ได้รับทราบมาจากอาวุโส สื่ออวิ๋นพลันครุ่นคิดในใจ ‘หวังว่ามันจะเป็นหินลับมีดอันดีให้เทียนหวู่!’
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน แสงตะวันสีทองสาดส่องขับไล่ความมืดมิด นิกายอัคคีล่องเลยก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ศิษย์ทั้งหลายออกจากการบ่มเพาะแทบทั้งหมด
เพราะวันนี้ก็คือวันประลองระหว่างแม่นางเฟิ่งของพวกมันกับแขกกิตตมศักดิ์ของตระกูลซือถู ท่านต้วน! พวกมันทั้งหลายล้วนไม่มีใครอยากพลาดในการเป็นสักขีพยานของการประลองครั้งนี้!!
ตอนที่ 1592 : ที่แท้เขาเรียกว่าต้วนหลิงเทียน!
การประลองระหว่างแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยกับท่านต้วนแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูนั้น ถูกจัดขึ้นบนลานประลองฝ่ายนอกอันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางส่วนตะวันออกของเขตนิกายอัคคีล่องลอย
เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในระดับนี้ จึงไม่ต้องจัดสร้างเวทีเป็นพิเศษอะไร
ตั้งแต่เช้าตรู่ พื้นที่ว่างรอบๆ ลานประลองฝ่ายนอกก็คาคั่งไปด้วยผู้คน
นอกจากเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายอัคคีล่องลอยแล้ว ก็ยังมีแขกเหรื่อที่แห่กันมาชมดูเรื่องราวจากทั่วทุกสารทิศ เรียกว่าแทบจะทุกขุมพลังล้วนส่งผู้คนมาสังเกตการณ์
แน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่ได้มา
เช่นเดียวกับนายน้อยของนิกายคงเฉิน ฟ่งเหิน ที่ไม่ได้ปรากฏตัว
แน่นอนว่าที่มันหายหน้าหายตาไปนั้น เพราะตอนนี้มันยังนอนตัวร้าวอยู่บนเตียง แทบไม่อาจขยับเขยื้อนใดๆได้ไหว
อย่างไรก็ตามข้างกายมันยังมีคนคอยดูแลรักษา เป็นชายชราคนหนึ่ง
ชายชราคนนี้ เรียกว่าไป๋หยิน พลังฝีมืออยู่ในขอบเขตเซียน ไม่ได้ด้อยไปกว่าซือถูโฮ่วแม้แต่น้อย
“คนของตระกูลซือถูมากันแล้ว!!”
ทันใดนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนออกมา แต่เสียงนี้ทำให้ผู้คนล้วนหันขวับไปยังทิศตะวันตก ทางเข้าลานประลองของนิกายอัคคีล่องลอยทันที
ปรากฏร่าง 3 ร่างก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“นั่นๆคนนั้น! นั่นคือคุณชายใหญ่ซือถูหังแห่งตระกูลซือถู!”
“ผู้เฒ่าคนนั้นน่ะหรือ ซือถูโฮ่ว ยอดฝีมือขอบเขตเซียนที่ร่ำลือกันของตระกูลซือถู”
“เช่นนั้นชายหนุ่มในชุดม่วงคนนั้น ก็คือ ท่านต้วน ที่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูงั้นสิ!?”
……
เหล่าศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยเริ่มสนทนาออกความเห็นกันดังระงม ลูกตาของพวกมันทั้งหมดล้วนจับจ้องไปยังร่างในชุดสีม่วง ในแววตายังเต็มไปด้วยความดูแคลนสงสัย
นี่น่ะเหรอ…คนที่หาญกล้าท้าทายแม่นางเฟิ่งแห่งอัคคีล่องลอยที่ติดอันดับที่ 23 ในรายนามนภาของพวกมัน!?
“เฮอะ! เห็นมันหน้าละอ่อนเช่นนี้ น่ากลัวว่าอายุที่แท้จริงคงปาเข้าไป 70-80 แล้ว!”
“เฒ่าชรากลับกล้ามาท้าแม่นางเฟิ่งของพวกเรา ช่างไม่มีความละอายใจเสียจริง!”
“สำหรับคนบางคนหากมิได้รับบทเรียนเจ็บๆสักคราๆ ก็คงไม่รู้ว่าไฉนกุหลาบถึงมีสีแดง…ข้าอยากเห็นนักว่าหลังมันถูกแม่นางเฟิ่งทุบตี มันจักทำหน้าอย่างไร”
……
ในถ้อยวาจาของเหล่าศิษย์นิกายอัคคีล่องลอย เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครดูดีต้วนหลิงเทียนเลย
อันที่จริงเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นธรรมดา เพราะสำหรับพวกมัน ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูผู้นี้ อยู่ๆก็โผล่มาอย่างไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ที่สำคัญพวกมันยังมั่นใจในตัว แม่นางเฟิ่ง ของพวกมันมาก
เสียงสนทนากระซิบกระซาบของเหล่าศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยแม้จะไม่ได้ดังอะไร แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินชัดเจน เพราะเขาได้ทะลวงเปิดชีพจรเซียนจุดหูครบหมดสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตามเขาไม่สนใจ
เรื่องนี้เขาก็คาดไว้แล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึงคนของนิกายอัคคีล่องเลยเองด้วยซ้ำ ขนาดคนฝ่ายเขาอย่างซือถูหังกับซือถูโฮ่วเอง ยังไม่ได้เชื่อมือเขาสักนิด!
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะกล่าวอะไรให้มากความ หมื่นพันวาจามิสู้หนึ่งการกระทำ
หากเขาคิดจะเปลี่ยนทัศนคติของผู้คน มีเพียงต้องเอาชนะ แม่นางเฟิ่ง ของนิกายอัคคีล่องลอยให้ทุกคนประจักษ์
สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็มีความมั่นใจมาก
ทุกวันนี้เขาได้ทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้ว กระทั่งยังบ่มเพาะเคล็ดบำเพ็ญจิตยอดใจกระบี่จนสำเร็จขั้นแรก อีกทั้งยังมีเขตแดนหมื่นกระบี่อันทรงพลัง
หลังจากที่ทดสอบมาสักพักใหญ่ๆ ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าเขตแดนหมื่นกระบี่ของเขาเป็นอะไรที่ทรงพลังเหนือกว่าเขตแดนทั่วไปเป็นอย่างมาก ราวกับมันเป็นเขตแดนพิเศษ!
อย่างน้อยๆ ไม่ว่าเขตแดนอะไรที่เขาเคยพบเจอมา ก็ไม่มีเขตแดนไหนทรงอานุภาพทัดเทียมกับเขตแดนหมื่นกระบี่ของเขาเลย
แน่นอนว่าถึงแม้จะไม่มีความได้เปรียบจากเขตแดนหมื่นกระบี่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะกลัวผู้ฝึกตนที่อยู่ภายใต้ขอบเขตเซียน…ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาสามารถใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ สร้างมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บอันน่ากลัวได้ด้วยซ้ำ
อีกทั้งจากคำของผู้เฒ่าหั่ว ตอนนี้ร่างกายของเขาได้แข็งแกร่งทัดเทียมกับมังกรเทพยาดา 7 กรงเล็บเข้าไปแล้ว
นอกจากร่างกายอันแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา เขายังทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ครบทั้งสิ้น 99 จุด นั่นทำให้พลังในร่างของเขาหนุนเนื่องฉับไว ใช้ออกได้ทันใจคิด!
และจำนวนจุดชีพจรเซียนที่ทะลวงเปิดได้ ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงมั่นใจในพลังของตัวเอง และไม่คิดว่าจะมีผู้ฝึกตนคนใดที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนสามารถทำอันตรายแก่เขาได้
“หืม?”
ภายใต้สายตานับหมื่นพันที่จับจ้องมองมา อยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนพลันชะงักไปวูบหนึ่ง
นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองมานับหมื่นพันนั้น กลับมีสายตาคู่หนึ่งที่มองเขามาด้วยอาฆาต ยังเผยเจตนาฆ่าฟันออกมาชัดเจน
เจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายชราที่เรียกว่าหยินไป๋แห่งนิกายคงเฉินที่พึ่งมาถึง
นอกจากนั้นยังเป็นชายชราที่ติดสอยห้อยตาม ฟ่งเหิน นายน้อยแห่งนิกายคงเฉิน
หลังได้พบว่าเจ้าของสายตาอาฆาตเปี่ยมเจตนาฆ่าฟัน คือชายชรานามไป๋หยินจากนิกายคงเฉิน ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
เพราะเมื่อวานเขาพึ่งซัดนายน้อยที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองมันจนกระดูกแหลกไปทั้งร่าง มันจะมองเขาแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
และทีท่าไม่แยแสของต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้หยินไป๋หัวร้อนขึ้นมาไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะข้างกายต้วนหลิงเทียนมีซือถูโฮ่วประกบอยู่ มันจะพุ่งร่างทะยานออกไปดั่งฟ้าผ่าฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!
การมาถึงของต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของทุกคนโดยรอบ และแน่นอนว่าต้องผชิญหน้ากับสายตามากมาย
หากแต่ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ระหว่างซือถูหังกับซือถูโฮ่วคล้ายไม่ยี่หระนำพา เพียงหลับตาสงบจิตใจเฝ้ารอเวลาการปรากฏตัวของแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสงบ ราวกับผู้ที่เป็นฝ่ายท้าทายวันนี้เป็นแม่นางเฟิ่งไม่ใช่เขา
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
……
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร หากแต่เสียงเรียกที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงพลันปลุกต้วนหลิงเทียนที่ยืนสงบจิตใจให้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
พอมองไป เขาก็แลเห็นร่างสตรีสวยสง่าเหินร่างลงมาจากฟากฟ้าพร้อมด้วยชายชราและหญิงชรากลุ่มหนึ่ง เมื่อนางลงมาถึงพื้นดินและเดินเข้ามา ศิษย์และผู้อาวุโสนิกายอัคคีล่องเลยก็เร่งคารวะทักทายนางด้วยเคารพ
สตรีนางนี้นับว่าโดดเด่นท่ามกลางฝูงคนไม่เบา ใบหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความงามของสตรีเต็มวัย ถึงแม้รอบกายจะเผยกลิ่นอายเย็นชาทำให้ผู้คนยากจะสบตามองนางตรงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่านางมีรูปโฉมงดงามไม่ธรรมดา
หากอ่อนวัยกว่านี้สัก 10 ปี น่ากลัวว่าต้องเป็นโฉมสะคราญล่มเมืองคนหนึ่ง
“นางคือสื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย”
ตอนนี้เองซือถูหังพลันกระซิบกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนเบาๆ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ ค่อยหันไปมองสื่ออวิ๋นตั้งแต่หัวจรดเท้า ในใจอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดไป ‘นี่น่ะเหรอยอดยุทธ์หญิงที่ไร้เทียมทานในประเทศฝูเฟิง หากไม่นับพวกตระกูลราชวงศ์’
ถึงแม้จะเห็นกับตาแต่ต้วนหลิงเทียนก็ยากจะเชื่อได้ลงคอ ว่าสตรีนางนี้เป็นผู้เข้มแข็งที่อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวนำพาให้นิกายอัคคีล่องลอยกลายเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศฝูเฟิง
ต้องกล่าวเลยว่าแม้ยังยากจะเชื่อ แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกชื่นชมนางจากใจ
การมาถึงของสื่ออวิ๋นประมุขนิกายอัคคีล่องลาย ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่ดูโดดเด่นคล้ายจะหมองลงไปทันตา เพราะทุกคนกลับหันไปให้ความสนใจนางหมด
“ประมุขสื่ออวิ๋น!”
“ประมุขสื่ออวิ๋น!”
……
ตอนนี้เองเหล่าแขกเหรื่อจากขุมพลังต่างๆที่แห่กันมาทั่วสารทิศ ก็เร่งประสานมือคารวะทักทายประมุขหญิงนางนี้ด้วยความเคารพ กระทั่งตัวตนในขอบเขตเซียน รวมถึงไป๋หยินจากนิกายคงเฉินเองก็ให้ความเคารพนางไม่น้อย
“ประมุขสื่ออวิ๋น!”
หลังจากที่แขกเหรื่อต่างๆคารวะทักทายสื่ออวิ๋นแล้ว ซือถูหังกับซือถูโฮ่วก็ประสานมือคารวะทักทายนางเช่นกัน
เมื่อได้รับการทักทายจากซือถูหังและซือถูโฮ่ว สื่อหวิ๋นก็เพียงพยักหน้ารับตอบไป
ในเรื่องนี้ซือถูหังกับซือถูโฮ่วไม่ถือแต่อย่างไร เพราะสื่ออวิ๋นปฏิบัติกับทุกคนเช่นนี้เหมือนกันหมด
“ท่านสมควรเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ท่านต้วน ใช่หรือไม่?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะทักทายสื่ออวิ๋นบ้าง อีกฝ่ายพลันกล่าวถามเขาออกมาเสียก่อน
“ข้าต้วนหลิงเทียน ยินดีที่ได้พบประมุขสื่ออวิ๋น”
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นเขย่ากล่าวทักสื่ออวิ๋นไปด้วยรอยยิ้ม
“ต้วนหลิงเทียน? ที่แท้เขาเรียกว่าต้วนหลิงเทียน!”
มาตอนนี้ผู้คนทั้งหมดเลยได้รู้ชื่อของต้วนหลิงเทียนกัน
เพราะสุดท้ายแล้วนอกจากผู้นำตระกูลซือถู ซือถูหังและซือถูโฮ่ว ก็ไม่มีใครในประเทศฝูเฟิงรู้จักชื่อแซ่เขาเต็มๆสักคน
และไม่ว่าจะผู้นำตระกูลซือถู ซือถูหัง หรือซือถูโฮ่ว ก็เต็มไปด้วยความเคารพต่อเขา ทั้งหมดจึงไม่อาจหาญเอ่ยนามเขาออกมาตรงๆ
ดังนั้นนี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่ชื่อ ต้วนหลิงเทียน ของเขาได้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในประเทศฝูเฟิง
“ต้วนหลิงเทียน….ผู้อยู่เหนือสวรรค์แซ่ต้วน ช่างเป็นนามที่อหังการนัก! ข้าล่ะหวังว่าพลังฝีมือของมันจะร้ายกาจสมนามนะ!”
ลูกตาของศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยหลายคนหยีลงทันใด
“ถึงแม้นี่จักเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับท่านต้วน แต่ข้าก็ได้ยินความสามารถของท่านต้วนมาแล้ว…นับว่าเพราะท่านคนเดียว คุณชายใหญ่ซือถูหังถึงปลอดภัยแคล้วคลาดมาได้! ท่านนับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งสามารถฉุดรั้งผู้คนจากขอบเหวแห่งความตายให้ฟื้นคืนกลับมาได้ราวปาฏิหาริย์!”
น้ำเสียงสื่ออวิ๋นแม้จะสงบและไม่ได้ดังอะไร หากแต่ในวาจากลับแฝงเร้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
สิ้นคำกล่าวของสื่ออวิ๋นทุกสายตาพลันหันมาจับจ้องมองร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้งทันที
จริงสิ!
เพราะมีเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนท้าทายแม่นางเฟิงแห่งนิกายอัคคีล่องลอย ทำให้พวกมันลืมเลือนเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้ช่วยชีวิตซือถูหังที่กระทั่งปรมาจารย์ 4 ดาวทั้งหลายกระทั่งหมอหลวงยังช่วยไม่ได้ไปหมดสิ้น!
ดูเหมือนว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้โด่งดังขึ้นมาเพราะพลังฝีมือ แต่เป็นความสามารถในการรักษาที่ประหนึ่งมีมือวิเศษพลิกฟื้นชีวิตคนที่กำลังจะตายให้หวนกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง!!
จังหวะนี้หลายคนที่มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาของพวกมันพลันสลายความดูแคลน เริ่มเผยประกายแห่งความนับถือออกมา
ไม่ต้องสนเรื่องพลังฝีมือหรือพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด แค่เพียงความสามารถในการรักษาผู้คนอย่างเดียวก็ทำให้พวกมันเลื่อมไสแล้ว!
“ประมุขสื่ออวิ๋นกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ข้าแค่มีโชคที่รู้วิธีรักษาอาการป่วยของคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูพอดี”
ได้ยินวาจากล่าวชมของสื่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวเบาๆ
และคำพูดนี้ก็จริงดังที่เขาว่า
เพราะสุดท้ายแล้วหากเขาไม่รู้จักอาคมมารบนร่างซือถูหังและวิธีทำลายอาคมมารนั่น เขาก็ยากที่จะช่วยชีวิตซือถูหังไว้ได้…
ตอนที่ 1,593 : แม่นางเฟิ่ง เฟิ่งเทียนหวู่!
“ท่านต้วนถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
อย่างไรก็ตามสื่ออวิ๋นกลับเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนถ่อมตัวเสียอย่างนั้น
อันที่จริงไม่ใช่แค่สื่ออวิ๋น กระทั่งทุกคนที่ได้ยินก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนถ่อมตัวเกินไป
จังหวะนี้หลายคนพลันมีความรู้สึกดีๆต่อต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในใจ เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะเอาชนะแม่นางเฟิ่งของพวกมันได้
“แม่นางเฟิ่งมาแล้ว!!”
ทันใดนั้นเองศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยกลุ่มหนึ่งพลันตะโกนออกมา
พริบตานี้ทุกผู้คนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็หันขวับไปจับจ้องเหนือฟ้าทิศทางหนึ่งของนิกายอัคคีล่องลอยทันที
ปรากฏร่างหนึ่งกำลังย่ำเท้าเดินลงมาจากฟากฟ้าปานลงบันไดเมฆ
ทุกย่างก้าวแลดูสบายๆคล้ายกำลังเดินเล่นชมสวน บังเกิดเป็นความงดงามประการหนึ่ง
เป็นสตรีมาในชุดแดงเพลิง รูปร่างสมส่วนชวนให้หลงไหล นับว่ามากล้นไปด้วยเสน่ห์สกะกดใจ เกษาสีดำขลับปรกบ่าแผ่วพลิ้วเล่นลมเบาๆ ใบหน้าของนางปกคลุมไว้ด้วยม่านผ้าสีขาว ยากที่ใครจะได้ยลโฉม ยังผลให้รอบกายคล้ายมีหมอกควันเลือนรางฉาบคลุมมิอาจแตะต้อง
อย่างไรก็ตามเพียงประกายตาสดใสที่ส่องทะลุม่านผ้าบางๆนั่นมา ทั้งร่องรอยคิ้วโค้งตอบรับใบหน้าที่แลเห็นได้รางๆ ก็สามารถบอกได้ว่าพวงพักตร์ใต้ม่านบางเป็นความงามอันยากบรรยาย
“แม่นางเฟิ่ง!!”
ทันใดนั้นบุรุษมากหน้าหลายตาจากขุมพลังทั้งหลายพลันเรียกหาออกมาด้วยความวาบหวามใจ
เป็นธรรมดาที่ชายทุกผู้จะชื่นชอบในความงาม
อีกทั้งความสง่างามแลดูสมบูรณ์แบบอย่างที่ยากจะแตะต้องของสตรีที่ย่ำอากาศลงมา ก็มากพอปลุกเร้าความฮึกเหิมของชายทุกผู้ให้ใจคึกคักใคร่ถนอม
กระทั่งซือถูหังที่ยืนอยู่ข้างต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เว้น หากแต่มันมองผู้อื่นไปสักพักก็หน้าแดงไปของมัน…ใบหน้าแววตายังเหรอหราราวตัวโง่งม
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็พินิจร่างแม่นางเฟิ่งผู้นี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามสีหน้าอาการของเขาแตกต่างจากซือถูหังและบุรุษทุกคนที่หลงใหลในความงามของนาง กลับกลายเป็นตะลึงลานด้วยความตกใจ!
ในลูกตาเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่ท่วมท้นออกมาอย่างมิอาจห้าม
ราวกับได้แลเห็นสิ่งวิเศษอันน่าทึ่ง
จังหวะนี้อดไม่ได้ที่ใจของต้วนหลิงเทียนจะล่องลอยย้อนทวนกระแสเวลาไปยังวันวาน…ภาพจำยังคงแจ่มชัดเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน
งานประลองเลือกคู่หน้าจวนเจ้าเมืองหงส์ฟ้า ของจักรวรรดิศิลาทมิฬ
พริบตานี้ร่างสตรีผู้มาใหม่คล้ายจะซ้อนทับกับเงาร่างดรุณีเย็นชาในกาลก่อน ที่ย่ำเท้าก้าวขึ้นมาบนเวทีพร้อมม่านคลุมหน้า พาลให้หัวใจของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะพองโตทั้งเต้นรัวขึ้นมาไม่เป็นจังหวะ
ต่อหน้าสายตาร้อนแรงเต็มไปด้วยความชื่นชมของบุรุษนับร้อยพัน สีหน้าของเฟิ่งเทียนหวู่ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังม่านบางๆอดไม่ได้ที่เผยความเย็นชาไม่ชมชอบ เพราะตอนนี้นางถูกผู้คนจับจ้องมากเกินไป
อันที่จริงแล้วนางไม่เคยชมชอบสถานที่ๆมากไปด้วยผู้คนแม้แต่น้อย นางไม่เคยอยากเป็นจุดสนใจอะไร
หากทำได้ นางไม่อยากจะเฉียดกรายมาที่นี่เลย
“หืม?”
ทว่าไม่นานเฟิ่งเทียนหวู่พลันสัมผัสได้ถึงสายตาที่เหลือบมองมายังนางสายตาหนึ่ง ที่คล้ายจะแตกต่างจากทุกสายตาในที่แห่งนี้…
สายตาอื่นๆนั้นไม่ได้ซ่อนเร้นถึงความหลงใหลและความปรารถนาในตัวนางแม้แต่น้อย
หากแต่หนึ่งสายตานี้กลับแฝงเร้นไปด้วยความยินดีที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุด ไร้ความคิดอื่นใด
นอกจากนี้สายตาดังกล่าวยังให้ความรู้สึกอันแสนคุ้นเคยอย่างไรไม่ทราบ
เฟิ่งเทียนหวู่ด้วยความสนใจ จึงไล่สายตาหันมองไปยังเจ้าของสายตาที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยนี้แก่นางทันที…ไม่นานวิสัยทัศน์ของนางก็คล้ายจะย่นย่อไปนับร้อยหมี่ มองข้ามทุกผู้คนจนหยุดอยู่ที่ร่างหนึ่งบนเวที…พริบตานั้นร่างนางพลันสะท้านไปปานต้องอัสนีสวรรค์!
ร่างสีม่วงดังกล่าว ยืนอยู่ตรงนั้น…เป็นร่างเดียวกันกับที่สถิตย์อยู่ในใจนางทุกคืนวัน ซ้ำยังชมชอบโผล่มาหยอกเย้านางในฝันอยู่ทุกราตรี
ตราบใดที่นางบังเกิดความคะนึงหาต่อร่างดังกล่าว นางพลันเกิดแรงฮึดสู้ล้นใจ บังเกิดเป็นแรงผลักดันให้เร่งฝึกปรืออย่างไม่รู้หน่าย เพื่อให้ได้บรรลุจุดหมายขอบเขตเซียนเร็วไว เพราะมีเพียงบรรลุเซียนแล้วเท่านั้น อาจารย์ของนางถึงจะวางใจให้เดินทางกลับทวีปเมฆาล่อง…
และวันนี้นางก็ได้ก้าวเดินมาถึง ครึ่งก้าวเซียน แล้ว ขาดอีกเพียงแค่เล็กน้อยก็จะบรรลุถึงจุดหมายที่วาดหวังมานานปี
อย่างไรก็ตามร้อยพันหมื่นคาดนางก็ไม่เคยคิด ว่าไม่ทันที่นางจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนเพื่อกระทำตามเป้าหมายที่อาจารย์วางไว้ให้สำเร็จ ร่างในฝันที่สลักในใจ กลับมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า…
จังหวะนี้อดไม่ได้ที่นางจะสงสัย ว่าใช่นางกำลังฝันไปหรือไม่…
อย่างไรก็ตามพอได้แลเห็นสายตาอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีของอีกฝ่าย เฟิ่งเทียนหวู่ก็ตอบตัวเองได้ทันที ว่าทุกอย่างเบื้องหน้าคือความจริงไม่ใช่มายาฝันแต่อย่างไร
เพียงเพราะ เขา ในความฝัน คงมิได้เด่นชัดถึงเพียงนี้…
ฟุ่บ!
ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่นพัน แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยพลันเลิกม่านผ้าคลุมออก ทั้งโยนทิ้งให้ปลิดปลิวไปในอากาศ เผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาให้ทุกผู้ได้ยล
จังหวะนี้ผู้คนถึงกับชะงักงันไปปานคนตาย ลมหายใจยังขาดห้วงคล้ายลืมเลือนไปว่าผู้คนควรหายใจอย่างไร
สิ่งที่ประจักษ์หลังม่านบางนั้น กลับเป็นความงามอันตราตรึงใจยากจะลบเลือน
คิ้วโค้งได้รูปปานพู่กันสวรรค์ตวัดวาด ดวงตากลมใสดั่งมณีแก้วให้ความรู้สึกดั่งสายธารยามสารท จมูกน้อยๆหากแต่โด่งสันพร้อมฟันขาวตัดกับริมฝีปากสีดั่งผลอิงเถา ลงมาเห็นเป็นคอเรียวระหงส์ตั้งตรง ค่อยเป็นทรวดทรงค์องค์เอวอันไร้ที่ติ รวมแล้วมองไปให้ความรู้สึกดั่งร่างแก้วผลึกมิอาจจับต้อง หากแต่ในความงดงามจนพาลให้หายใจไม่ออก ยังแฝงเร้นไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง
พินิจทั้งมวลแล้วประหนึ่งธิดาสวรรค์ย่างเยื้องลงมาแดนดินก็ไม่ปาน
“ช่างงามเหลือเกิน…ผู้คนเรางดงามได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ…”
……
นั่นเป็นความคิดเดียวกันที่ผุดโผล่ขึ้นมาในใจของทุกคน
กระทั่งศิษย์และเหล่าอาวุโสของนิกายอัคคีล่องลอยที่มีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเฟิ่งเทียนหวู่ยังถึงกับตะลึงงัน ถึงแม้พวกมันทั้งหลายจะได้รับทราบมาแล้วว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้ทั้งงดงามทั้งตราตรึงสะกดใจยิ่ง หากแต่พวกมันก็ไม่เคยเห็นกับตา จึงพาลให้สงสัยว่าใช่กล่าวเกินเลยไปหรือไม่
หากแต่บัดนี้ความสงสัยในใจอันใดล้วนมลายหายไปสิ้น
“เทียนหวู่…”
ประมุขนิกายอัคคีล่องลอง สื่ออวิ๋น พลันขมวดคิ้วทันใด ด้วยนางย่อมรู้นิสัยของศิษย์นางคนนี้ดี ว่ามิชมชอบเป็นจุดสนใจท่ามกลางผู้คนมากมายถึงเพียงใด ยิ่งไม่มีทางที่อยู่ๆนางจะเปิดเผยใบหน้าออกมาแบบนี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้นางกลับเปิดเผยโฉมหน้าออกมา นั่นทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดใจนัก
“หืม?”
ไม่นานนางพลันพบว่าสองตาของศิษย์รัก คล้ายจะหยุดไว้ที่ร่างหนึ่ง อีกทั้งในแววตากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนดั่งสายน้ำ! นี่พาลให้นางถึงกับตะลึงลานไปแล้ว เพราะตั้งแต่อยู่มานางไม่เคยเห็นสายตานี้ของศิษย์นางเลยแม้แต่ครั้งเดียว!!
หากแต่แววตานี้นางมิได้ไม่คุ้นเคยแต่อย่างไร…
ทว่าแววตานี้ของสตรี…มักเผยออกมายามเห็นคนรักของนางเท่านั้น
“เทียนหวู่!”
หลังจากที่เฟิ่งเทียนหวู่เปิดม่านคุลมหน้าและโยนทิ้งไปให้ต้วนหลิงเทียนเห็นหน้าตาของนางชัดๆ เขาที่พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับความตื่นเต้นแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหักห้ามใจ ไม่ให้เรียกหานางออกมาได้
เสียงที่เรียกหายังอ่อนโยนนัก มันกึกก้องไปในอากาศส่งตรงถึงร่างบางทันที
ฉากเบื้องหน้านั้นทำให้เขาตะลึง ยังตะลึงมากเกินไป สุดที่จะตั้งตัวได้แล้ว จังหวะนี้คล้ายในสายตาทุกอย่างมลายหาย เหลือไว้ให้เห็นเพียงร่างเฟิ่งเทียนหวู่เท่านั้น
การประลองท้าทายชิงอันดับในรายนามนภาอะไร เพื่อให้มีชื่อเสียงเลื่องลือในประเทศฝูเฟิงทั้งเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน ล้วนถูกโยนทิ้งไปหมดสิ้น!
“พี่ใหญ่ต้วน!”
ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้คืนสติรู้สึกตัว เฟิ่งเทียนหวู่พลันร่ำร้องออกมาเสียงใส
หลังจากนั้นร่างเฟิ่งเทียนหวู่ก็แปลเปลี่ยนไปคล้ายเทพธิดาอัคคี พริบตาก็พุ่งวูบมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
หลังจากนั้นภายใต้ตะลึงงันไม่เข้าใจของทุกผู้คน แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยก็โผตัวเข้าสู่อ้อมอกของต้วนหลิงเทียนที่ผายมือรอไว้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ…
จังหวะนี้บุรุษทั้งมวลที่แลเห็นเรื่องราว คล้ายได้ยินเสียงหัวใจที่แตกร้าวดั่งจอกชาที่หล่นร่วง…
ตอนแรกซือถูหังเองก็ตะลึงงันไปปานตัวโง่งมเพราะถูกความงามของแม่นางเฟิ่งผู้นี้สะกดให้เลื่อนลอย
พอมันฟื้นคืนสติกลับมารู้สึกตัว มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม ยังอดกล่าวไปเสียไม่ได้ว่า “นี่น่ะหรือความงดงามและเสนห์อันมิอาจต้านทานของแม่นางเฟิงที่ร่ำลือ? ดั่งนางฟ้านางสวรรค์บนแดนดินนัก…น่าเสียดายที่หมดใจของข้าล้วนมีไว้เพื่อ องค์หญิงชิวหมิง..”
อย่างไรก็ตามพอได้แลเห็นร่างงามปานเทพธิดาอัคคีถลันเข้าสู่อ้อมแขนของชายหนุ่มชุดม่วงที่ยืนข้างกาย มันก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงลานอ้าปากค้าง “ฮะ…เฮ่ยย…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น