War sovereign Soaring The Heavens 1572-1575
ตอนที่ 1572
สตรีที่มาจากทวีปมนุษย์
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ ว่าภายในตระกูลซือถูจะมีเรื่องราวความขัดแย้งอะไรกัน
เพราะนั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
เรื่องที่เขาสนใจคือวัตถุดิบที่เขาให้ซือถูฮ่าวไปรวบรวม!
แน่นอนว่าวัตถุดิบเหล่านั้นไม่ได้เป็นวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำลายอาคมมารของซือถูหังแม้แต่น้อย!
อาคมมารที่กัดกินพลังชีวิตของซือถูหังตอนนี้ เขาอาศัยเพียงพลังวิญญาณก็ทำลายมันได้ไม่ยากในเวลาแค่ไม่กี่วัน!
เหตุผลที่เขาให้รายการวัตถุดิบไปนั้น เพราะเขาคิดใช้ให้ตระกูลซือถูรวบรวมวัตถุดิบ สำหรับซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเท่านั้น!
นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังคิดใช้ตระกูลซือถูให้รวบรวมวัตถุดิบเพื่อใช้ฝึกฝนการจารึกอาคมเซียน!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้ว พลังวิญญาณย่อมยกระดับมาตามติด และมันก็มากพอให้เขาจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวได้!
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวได้แล้ว แต่เขาไม่ได้มีวัตถุดิบให้ใช้มากนัก
เช่นนั้นจึงได้แต่อาศัยอำนาจของตระกูลซือถูรวบรวมมาให้!
“ปรมาจารย์ต้วน วัตถุดิบที่ท่านต้องการอยู่นี่แล้ว”
ต้องกล่าวว่าผู้นำตระกูลซือถูอย่างซือถูฮ่าวดำเนินการฉับไวนัก ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนก็สามารถรวบรวมวัตถุดิบในรายการมาให้เขาครบถ้วน ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในแหวนมิติแล้วมอบมาให้ต้วนหลิงเทียน
แน่นอนว่าที่อีกฝ่ายสามารถรวบรวมวัตถุดิบมาได้อย่างราบรื่น เพราะวัตถุดิบที่ต้วนหลิงเทียนหมายเอาไปซ่อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ไม่ใช่วัตถุดิบหายากอะไร
วัตถุดิบที่หายากนั้น…อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 7 อย่างตระกูลซือถูเลย ให้เป็นขุมพลังชั้น 6 ก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้!
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดใช้งานคนเกินกำลัง
“เอาล่ะ หลังจากนี้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ข้าจะมอบคุณชายใหญ่ที่สมบูรณ์พร้อมให้ท่าน”
ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้ม กล่าวออกด้วยความั่นใจ
“ข้าเชื่อมือท่าน ปรมาจารย์ต้วน!”
ซือถูฮ่าวยิ้มร่าออกมาด้วยความยินดี โดยไม่ได้รู้เลยว่ามันหลงกลต้วนหลิงเทียน ที่หลอกให้ไปสรรหาวัตถุดิบมามากมายเสียแล้ว..
แน่นอนว่าถึงแม้มันจะรู้ มันก็ไม่คิดปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ!
เพราะสุดท้ายแล้ววินาทีนี้ก็มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วงชิงบุตรชายมันมาจากเงื้อมมือของมัจจุราช!
เดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ไปรักษาอาการของคุณชายใหญ่ทุกๆ 7-8 วัน ส่วนเวลาที่เหลือเขาก็หมกตัวอยู่กับการจารึกอาคมเซียน!
ตลอดเดือนที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดารจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวได้คล่องปร๋อ!
ขณะเดียวกัน อาคมมารแมงมุมหยินที่กัดกินพลังชีวิตซือถูหังก็ถูกขจัดออกไปโดยสมบูรณ์
“ปรมาจารย์ต้วน บุญคุณช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าซือถูหังจักจดจำไว้มิมีลืมเลือน!”
หลังจากที่อาคมมารแมงมุมหยินถูกขจัดไป ไม่นานซือถูหังก็ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ มันประสานมือคารวะขอบคุณต้วนหลิงเทียนจากใจจริง
“คุณชายใหญ่ซือถูเกรงใจไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มอ่อน
และตอนนี้ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รับยันต์เต๋าระดับ 4 ดาวเป็นรางวัล เป็นยันต์เต๋าเทพเคลื่อนและยันต์เต๋าม่านพลังทอง หากเขาใช้พวกมัน ก็จะสงผลให้ความเร็วและม่านพลังป้องกันของเขาเทียบได้กับขอบเขตเซียน!
ช่วงเวลานี้เอง พอซือถูหังพลันพบว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งมาเยือนประเทศฝูเฟิงเป็นครั้งแรก ทั้งไม่คุ้นเคยกับผู้ใดเลย มันจึงเชิญต้วนหลิงเทียนให้อยู่ในตระกูลซือถูทันที
สำหรับการตัดสินใจของซือถูหังครั้งนี้ผู้นำตระกูลเองก็เห็นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกไม่กี่วันต่อมาพอซือถูหังได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนที่แท้ยังเป็นถึงปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวอีกด้วย! มันก็ยิ่งบังเกิดความยินดีมากขึ้น ยังถึงกับต้องเร่งรุดไปหาต้วนหลิงเทียนเพื่อขอขมาทันที!
“ปรมาจารย์ต้วน ต้องอภัยอย่างยิ่งที่ข้ามิรู้มาก่อนว่าท่านเป็นถึงปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว…ขออภัยในความเลินเล่อและสะเพร่าของตระกูลซือถูครั้งนี้ด้วย!”
ล้อกันเล่นหรือไร!
ก่อนหน้านี้ในตระกูลซือถูมีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น!
และปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวที่ว่า ก็ดันอยู่ฝ่ายซือถูหมิง!
เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่ธุรกิจจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวถูกฝ่ายซือถูหมิงผูกขาดมาโดยตลอด ทำให้ซือถูหมิงมีอำนาจบาตรใหญ่ในตระกูล ไม่ว่ามันทำอะไรแต่ละคนล้วนพร้อมใจกันปิดหูปิดตาข้างหนึ่งเสมอ
เช่นนั้นทันทีที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว มันจึงเร่งรุดมาหาต้วนหลิงเทียนทันที!
ขณะเดียวกันมันยังให้คำมั่นต่อต้วนหลิงเทียนอีกด้วย ว่าสามารถอยู่ในตระกูลซือถูได้ตราบนานเท่านานตามความพอใจ และตระกูลซือถูจักตอบแทนให้อย่างดีที่สุด!
และการเปิดเผยฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวออกมา ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พลั้งเผลอแต่อย่างใด ยังเป็นการ ‘จงใจ’ ของเขาด้วย
เพราะด้วยสถานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว ย่อมทำให้เขาตั้งหลักในตระกูลซือถูได้มั่นคงยิ่งขึ้น!
นอกจากนี้ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวยังยกระดับคุณค่าในตัวเขาให้สูงขึ้นอย่างมาก
และอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดเอาไว้ไม่มีผิด ซือถูหังได้กลับมาเขาอีกครั้งในเวลาแค่ไม่กี่วัน เพื่อขอให้เขาจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวลงในศาสตราเซียนจำนวนหนึ่ง “ปรมาจารย์ต้วนศาสตราเซียนเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าของตระกูลซือถูเรา…พวกเราจักจัดหาวัตถุดิบมาให้ท่าน แล้วผลกำไรแบ่งปันกันครึ่งครึ่งดีหรือไม่?”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีว่าต่อให้เขาส่วนต่างกำไรมากกว่านี้ ตระกูลซือถูก็ไม่คัดค้าน แต่เขาไม่คิดเรียกร้องอะไรแบบนั้นออกมา
เขาไม่ได้ขาดหินเซียน
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาให้ค่าความสัมพันธ์กับตระกูลซือถูเหนืออื่นใด เช่นนั้นแล้วเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องราวในอนาคตของเขา อีกทั้งยังได้ใจตระกูลซือถูอีกด้วย
สิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ผลประโยชน์อย่างหินเซียน แต่เป็นผลประโยชน์เรื่องอื่น
“ปรมาจารย์ต้วน ท่าน…”
ได้ยินคำตอบตกลงทันทีของต้วนหลิงเทียน ซือถูหังถึงกับหน้าเหวอไปตาปริบๆ…มันเรียกราคาครึ่งครึ่ง เพราะเผื่อมาให้ต้วนหลิงเทียนทำการต่อรองอะไรไว้แล้ว…
อีกทั้งบิดามันก็ได้กล่าวบอกบรรทัดฐานต่ำสุดที่รับได้คือ 3 ต่อ 7
3 ส่วนเป็นของตระกูลซือถู 7 ส่วนเป็นของต้วนหลิงเทียน
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบตกลงทันที โดยไม่คิดแม้แต่จะต่อรองอะไรสักคำ!
จังหวะนี้ในใจมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา
“เอ่อ…ปรมาจารย์ต้วน ข้าว่าข้าเพิ่มส่วนต่างผลกำไรให้ท่านอีกดีกว่า”
ซือถูหังกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขื่นขม
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้ขาดแคลนหินเซียน”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออก “อันที่จริงข้ามีเรื่องคิดขอแรงตระกูลซือถูเสียหน่อย ข้าประสบเหตุจำให้พรัดพรากกับศิษย์พี่และสหายของข้า…ข้าอยากให้ตระกูลซือถูช่วยตามหาเบาะแสว่าศิษย์พี่และสหายของข้าได้มาถึงประเทศฝูเฟิงแล้วหรือไม่..”
“กลับเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้! ปรมาจารย์ต้วน ท่านวาดรูปเหมือนของศิษย์พี่ท่านและสหายมาเถิด ข้าจักเร่งทำสำเนาแล้วให้บิดาส่งคนกระจายตัวกันไปออกค้นหาทันที!”
ซือถูหังกล่าวรับออกมาอย่างไม่อิดออดแม้แต่น้อย
“ลำบากพวกท่านแล้ว อ่าจริงสิ..ศิษย์พี่ของข้ายังเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเหมือนข้า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ยังกล่าววาจาเสริมหลังบอกเรื่องที่ป๋ายลี่หงเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวออกมา “ศิษย์พี่ของข้าไม่เหมือนข้า…ข้านั้นคุ้นเคยกับการออกเดินทางแสวงหาความแข็งแกร่ง ไม่ช้าก็เร็วสักวันข้าก็ต้องออกจากตระกูลซือถู…ทว่าศิษย์พี่ของข้าอาจยินดีเข้าร่วมกับตระกูลซือถู”
วาจาท้ายประโยคของต้วนหลิงเทียนนั้น ต้วนหลิงเทียนจงใจกล่าวเพิ่มเพื่อเน้นความสำคัญ
หลังได้ยินเรื่องนี้จากปากต้วนหลิงเทียน ลูกตาซือถูหังพลันทอแสงจ้าออกมาทันใด
ผ่านไปสักพักมันพึ่งตระหนักได้ ว่าต้วนหลิงเทียนยังอายุน้อยกว่ามันเสียอีก!
ตัดสินจากความสำเร็จของต้วนหลิงเทียนในวันนี้…เช่นนั้นความสำเร็จในวันหน้าย่อมไร้ขีดจำกัด! น่ากลัวว่าไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ต้องจากไป!!
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มันกับบิดาต้องหนักใจอยู่บ้าง
ทว่าความที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา ประหนึ่งแสงอรุณที่สาดส่องมาปัดเป่าหมอกควันสลัวในใจไปหมดสิ้น!
“ขอปรมาจารย์ต้วนโปรดวางใจ! ตราบใดที่ศิษย์พี่ของท่านมาถึงประเทศฝูเฟิงเราแล้ว ตระกูลซือถูของเราย่อมหาคนพบแน่!”
ซือถูหังกล่าวรับประกันออกมา
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
เมื่อเห็นว่าซือถูหังคิดจากไป ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาอีกครั้ง
“มีอันใดที่ข้าสามารถช่วยปรมาจารย์ต้วนได้อีก?”
ซือถูหังกล่าวถามออกมาอย่างไม่กล้าละเลย
“ข้าอยากรู้น่ะ..ในประเทศฝูเฟิงมียอดฝีมือที่ติดอันดับในรายนามนภารึเปล่า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“ย่อมมี”
ซือถูหังพยักหน้า “มีคนจากประเทศฝูเฟิงเราทั้งสิ้น 6 คนที่ติดอันดับในรายนามนภา อีกทั้งผู้ที่มีลำดับสูงสุดในรายนามนภายังมีอันดับถึง 11!”
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ไหน?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“ข้าเกรงว่าคิดหาตัวคนผู้นั้นคงยากที่จะพบได้ในเวลาอันสั้น…ข้าได้ยินมาว่ายามนี้คนผู้นั้นกำลังปิดด่านเพื่อทะลวงขอบเขตพลัง…ทั้งในฐานะผู้ฝึกตนพเนจรไม่สังกัดฝักฝ่าย จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีผู้ใดทราบว่ามันปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่ใด”
ซือถูหังส่ายหน้า
“ถ้างั้นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 5 คนที่เหลือล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกรอบ
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 5 คนที่เหลือ เป็นผู้ที่ได้อันดับในรายนามนภาอันดับที่ 23…มิยากที่จะพบเจอตัวนาง เพราะนางเองก็เป็นศิษย์ของขุมพลังชั้น 7 แห่งหนึ่งในประเทศฝูเฟิงเรา…ปรมาจารย์ต้วน ท่านคิดท้าทายนางหรือ?”
ซือถูหังกล่าวถามด้วยความสงสัย
ซือถูหังเองก็ได้รับทราบจากซือถูโฮ่วมาก่อนแล้วว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมิใช่ชั่ว ยังถึงขั้นร้ายกาจนัก! การถามถึงยอดฝีมือรายนามนภาเช่นนี้ มีความตั้งใจอันใดมันย่อมทราบ!
ท้าทายยอดฝีมือในรายนามนภาที่แข็งแกร่ง หากเอาชนะก็ช่วงชิงอันดับมาเป็นของตัวได้ทันที!
ส่วนยอดฝีมือในรายนามที่พ่ายแพ้ ก็จะถูกลบหายไปจากรายนามนภาทันที!
เหตุผลที่รายนามนภามีกฏว่าผู้แพ้ต้องถูกลบออกจากรายนามไปเลยโดยไม่ใช้การลดหลั่นอันดับนั้น ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดการฮั้วหรือจงใจยอมแพ้อะไรทำนองนั้น
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็คิดเรื่องท้าทายชิงอันดับในรายนามนภามาสักพักแล้ว เพราะหากเขาติดอันดับในรายนามนภาเขาย่อมสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง และยกระดับฐานะในประเทศฝูเฟิงได้อย่างรวดเร็ว!
นอกจากนี้เขายังจะกลายเป็นที่รู้จักในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนอีกด้วย
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดกระทำเพราะอยากอวดอ้างพลังฝีมือ แต่กระทำเพื่อให้เอื้อประโยชน์ต่อการตามหาตัวป๋ายลี่หงและสหายคนอื่น
“ปรมาจารย์ต้วน แม้ข้าจักมิกังขาในพลังฝีมือของท่าน หากแต่การท้าทายอันดับ 23 เลยเช่นนี้กลับเสี่ยงไปอยู่บ้าง เพราะน่ากลัวว่าตอนนี้พลังฝีมือของนาง…สมควรสูงส่งพอที่จะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามนภาแล้ว!”
ซือถูหังกล่าวออกมาด้วยความยำเกรง
“เห? ทำไมท่านพูดแบบนั้นล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนเอียงคอโค้งคิ้วด้วยสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมซือถูหังถึงประเมินอันดับที่ 23 ในรายนามนภาสูงขนาดนี้
“สตรีนางนี้กล่าวไปแล้วนางถือได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะระดับตำนานของประเทศฝูเฟิงเราเลยก็ว่าได้…อายุนางยังมิได้มากมายอะไร กระทั่งยังอ่อนวัยกว่าปรมาจารย์ต้วนด้วยซ้ำ! นอกจากนี้ข้ายังทราบมาอีกว่า นางมีต้นกำเนิดอยู่ในทวีปมนุษย์อันไกลห่าง! แต่เหลือเชื่อนัก…นางเป็นสตรีที่มาจากทวีปมนุษย์แท้ๆหากแต่พลังฝีมือของนางกลับก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์ ใช้เวลาฝึกปรือในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น ก็สามารถยกระดับพลังฝีมือได้อย่างปาฏิหาริย์ ถึงขั้นที่สามารถเอาชนะยอดฝีมืออันที่ 95 ในรายนามนภาลงได้! สุดท้ายเพียงเวลาไม่กี่ปี นางก็มาถึงอันดับที่ 23!”
วาจาท้ายประโยคของซือถูหังอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความยำเกรง “และตอนนี้มันผ่านมาครึ่งปีแล้ว ตั้งแต่วันที่นางได้รับอันดับที่ 23 ในรายนามนภา…”
ตอนที่ 1573
แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย
“วีรสตรีจากทวีปมนุษย์งั้นเหรอ?”
หลังได้ยินคำบอกเล่าจากซือถูหัง ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย
สตรีนางนั้น กระทั่งประเทศฝูเฟิงยังยกให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะระดับตำนาน!
แถมนางยังมีอายุน้อยกว่าเขา!
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่ซือถูหังบอก นางใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีก็สามารถยกระดับพลังฝึกปรือให้สูงขึ้นมาได้อย่างก้าวกระโดด เผยให้เห็นชัดว่านางมีอัจฉริยะภาพก้าวล้ำเหนือรุ่นเยาว์คนใดในประเทศฝูเฟิง!
และที่สำคัญคือสตรีนางนั้นเหมือนกันกับเขา มาจากทวีปมนุษย์!
‘ดูเหมือนว่านอกจากทวีปเมฆาล่องแล้ว ทวีปมนุษย์อีก 2 แห่งก็เต็มไปด้วยเสือซุ่มมังกรซ่อน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนได้ฟังเรื่องราวของยอดหญิงนางนี้ ความคิดแรกเลยก็คือนางสมควรมาจากทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีปที่เหลือ ไม่ใช่จากทวีปเมฆาล่อง
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็มาจากทวีปเมฆาล่อง หากมีสตรีที่โดดเด่นถึงเพียงนั้น ไหนเลยเขาจะไม่เคยได้ยินชือเสียงเรียงนามของนางมาก่อน…
แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่นางจะมาจากทวีปเมฆาล่องเสียทีเดียว
เพราะบางทีนางอาจจะถ่อมตัวและเก็บงำพลังฝีมือที่แท้เอาไว้ก็เป็นได้…
“ว่าแต่…หากข้าสามารถเอาชนะนางได้ ข้าจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในประเทศฝูเฟิงแน่ๆใช่ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องซือถูหังพร้อมถาม
“แน่นอน”
ซือถูหังพยักหน้าอย่างมั่นใจ “หากท่านเอาชนะนางได้ไม่เพียงแต่ท่านจะมีชื่อเสียงโดงดังในประเทศฝูเฟิง…เกรงว่าชื่อเสียงท่านจะเลื่องลือไปทั่วเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนด้วยซ้ำ…”
หลังได้ยินคำของซือถูหังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ “งั้นข้าจะท้าทายนาง!”
“ท่านตัดสินใจแล้ว?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนที่ได้รับทราบความเป็นมาและรายละเอียดไปแล้ว แต่ยังกล้าตัดสินใจท้ารบ ซือถูหังก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามย้ำออกมา
“อ่า ข้าตัดสินใจดีแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ท่านช่วยจัดการให้ข้าได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้มิได้ยากเย็นอันใดเลย…เพียงส่งสารท้าประลองถึงนางเท่านั้น!”
ซือถูหมิงกล่าวตอบค่อยพยักหน้า “ขอท่านปรมาจารย์ต้วนโปรดวางใจ ข้าจะรีบไปจัดการให้ท่านเอง!”
“เอาล่ะ รบกวนท่านแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า แน่นอนว่าพอเห็นซือถูหังรับปากจัดการเรื่องนี้ให้ เขาก็วางใจไม่น้อย
หลังจากได้รับภาพเหมือนป๋ายลี่หงและคนอื่นจากต้วนหลิงเทียน ซือถูหังก็ออกไปตามหาผู้บิดา อันเป็นนำตระกูลซือถูทันที
พอได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนมีศิษย์พี่ที่เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว และตราบใดที่สามารถหาตัวพบ อีกฝ่ายมีแนวโน้มจะเข้าร่วมกับตระกูลซือถู ซือถูฮ่าวก็บังเกิดความสนใจอย่างมาก
ซือถูฮ่าวเองก็คาดไว้แต่แรกว่าอย่างต้วนหลิงเทียนคงไม่รั้งอยู่ตระกูลซือถูนานนัก จะไม่ให้มันดีใจได้อย่างไร!
ถึงแม้มันจะไม่ได้รู้จักต้วนหลิงเทียนมานานอะไร แต่ไหนเลยมันจะบอกไม่ได้ว่าต้วนหลิงเทียนนับเป็นมังกรในหมู่มนุษย์! สักวันย่อมทะยานสู่ฟ้า ไม่อาจรั้งอยู่ในตระกูลซือถูอันกระจ้อยร่อยของพวกมันได้นาน
ด้วยเหตุนี้มันจึงลอบหนักใจอยู่หลายครั้ง
เพราะสุดท้ายแล้วหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป ฝ่ายมันก็จะไร้ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวทันที
ตอนนี้แม้ยังหาศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียนคนนั้นไม่พบ แต่อย่างน้อยๆ พวกมันก็พอได้เห็นแสงแห่งความหวังประหนึ่งเช้าวันใหม่รางๆ!
“ท่านพ่อ ท่านช่วยปรมาจารย์ต้วนตามหาศิษย์พี่กับสหายเถอะ…ส่วนข้าจะจัดการเรื่องส่งสารท้าประลองไปยังนิกายอัคคีล่องลอยเอง”
หลังจากส่งรูปเหมือนป๋ายลี่หงกับคนอื่นให้ซือถูฮ่าวแล้ว ซือถูหังพลันกล่าวแจ้งอีกเรื่องออกมา
“ส่งสารท้าประลองไปยังนิกายอัคคีล่องลอย??”
ได้ยินคำของซือถูหัง คิ้วซือถูฮ่าวอดขมวดเป็นปมเสียไม่ได้ “เกิดอันใดขึ้น? เจ้าไปมีเรื่องราวบาดหมางกับคนของนิกายอัคคีเลื่อนลอยตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ครู่ต่อมาสีหน้าของซือถูฮ่าวพลันเคร่งขึ้นหลายส่วน
นิกายอัคคีล่องลอยเป็นขุมพลังชั้น 7 ของประเทศฝูเฟิง ความแข็งแกร่งไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าตระกูลซือถูของมันเลย!
ตอนนี้พอมาได้ยินว่าบุตรชายของมันจะส่งสารท้าประลองไปถึงนิกายอัคคีล่องลอย ความคิดแรกคือมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน!
ในความเห็นของมันนี่ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…”
ซือถูหังส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่ข้าส่งสารท้าประลองไปเพราะข้ามีเรื่องบาดหมางอะไรกับคนของนิกายอัคคีล่องลอย…แต่เป็นปรมาจารย์ต้วนวานให้ข้าไปส่งสารท้าประลองแทนเขา”
“ปรมาจารย์ต้วน?”
ซือถูฮ่าวยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น “ปรมาจารย์ต้วนมีเรื่องบาดหมางกับนิกายอัคคีล่องลอยหรือ?”
“เปล่า”
ซือถูหังส่ายหน้าไปมา และไม่รอให้ซือถูฮ่าวถามอะไรอีก เพียงกล่าวบอกเหตุผลการไปส่งสารท้าประลองครั้งนี้ทันที “เป็นปรมาจารย์ต้วนคิดท้าทายอันดับที่ 23 ในรายนามนภา…ส่งสารไปยังนิกายอัคคีล่องลอยครั้งนี้ ก็เพื่อท้าประลองกับแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย”
“ส่งสารท้าประลองให้แม่นางเฟิ่ง?!”
พอได้ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีเรื่องราวบาดหมางกับนิกายอัคคีล่องลอยซือถูฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ หากทว่าหลังได้ยินวาจาต่อมาของบุตรชาย ลูกตามันก็อดไม่ได้ที่จะเผยความสับสน “ผู้ที่ติดอันดับในรายนามนภาของประเทศฝูเฟิงเราก็มีไม่น้อย…ไฉนปรมาจารย์ต้วนกลับเลือกที่จะท้าทายแม่นางเฟิ่งเล่า?”
“แม่นางเฟิ่งผู้นั้นมิใช่ตัวตนธรรมดา!”
วาจาท้ายประโยคของซือถูฮ่าวเผยความกริ่งเกรงไม่น้อย!
เพราะไม่ว่าจะเป็นซือถูหัง ซือถูฮ่าวหรือแม้แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศฝูเฟิง ก็รู้กันดีว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้พึ่งผงาดขึ้นมาในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี!
สำหรับชื่อเต็มของแม่นางเฟิ่ง พวกมันไม่มีผู้ใดล่วงรู้!
กระทั่งในนิกายอัคคีล่องลอยเองก็มีน้อยคนนักที่รู้จักชื่อแซ่เต็มๆของแม่นางเฟิ่ง!
ในนิกายอัคคีล่องลอย ไม่ว่าจะอาวุโสของนิกาย ศิษย์สาวกอะไรล้วนเรียกหานางว่าแม่นางเฟิ่งทั้งสิ้น…และนางก็เป็นถึงศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกายอัคคีล่องลอย! หลังจากที่นางเข้าสู่นิกายได้ไม่กี่ปีนางก็ได้ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยคนต่อไป! ทั้งยังเป็นมือหนึ่งของรุ่นเยาว์ในสำนักอัคคีล่องลอยอีกด้วย!!
ปีที่แล้วนางเป็นที่รู้จักกันดี ว่าเป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในขอบเขตสู่เซียนของนิกายอัคคีล่องลอย!
“ท่านพ่อแม่นางเฟิ่งมิธรรมดา…หรือท่านคิดว่าปรมาจารย์ต้วนเป็นคนธรรมดา”
พอได้ยินคำนี้ของซือถูหัง ซือถูฮ่าวอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆด้วยความกระดากใจ
“ปรมาจารย์ต้วนย่อมมิใช่ธรรมดา จากที่อาวุโสโฮ่วกล่าวบอก วันแรกที่ปรมาจารย์ต้วนถูกทดสอบ พลังฝีมือท่านสมควรติดอันดับในรายนามนภาแน่นอน! อย่างไรก็ตามถึงแม้ปรมาจารย์ต้วนจักติดอันดับในรายนามนภาได้ แต่ก็อาจเอาชนะแม่นางเฟิ่งไม่ได้! เวลาผ่านมาครึ่งปีเช่นนี้ สมควรมากพอให้แม่นางเฟิ่งยกระดับพลังฝีมือจนสูงพอติด 10 อันดับแรกในรายนามนภาแล้ว!”
วาจาประโยคหลังของซือถูฮ่าวเห็นชัดว่าไม่ได้มองต้วนหลิงเทียนในแง่ดีเลย
“ท่านพ่อ ข้าเองก็กล่าวบอกเรื่องนี้กับปรมาจารย์ต้วนไปแล้ว…แต่ทว่าหลังจากที่รู้ ปรมาจารย์ต้วนก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ข้าเชื่อว่าคนอย่างปรมาจารย์ต้วนไม่ใช่คนวู่วามทำอะไรโดยประมาท”
ในวาจาซือถูหังเห็นชัดว่าตีค่าต้วนหลิงเทียนไว้สูงลิบ!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ที่ฉุดมันขึ้นมาจากประตูยมโลก ช่วยชีวิตของมันเอาไว้!
ไหนเลยมันจะไม่เข้าข้างต้วนหลิงเทียนได้!!
“เอาล่ะ ในเมื่อปรมาจารย์ต้วนอยากประลองกับนาง เจ้าก็ไปส่งสารท้าประลองถึงแม่นางเฟิ่งในนามปรมาจารย์ต้วนเถอะ…หลังจากส่งสารท้าประลองแล้ว ข้าจะให้อาวุโสโฮ่วพาเจ้ากับปรมาจารย์ต้วนไปยังนิกายอัคคีล่องลอยเพื่อประมือกับแม่นางเฟิ่งเอง…หากมิใช่เพราะข้ามีเรื่องราวที่ต้องจัดการในตระกูลล้นมือ ข้าเองก็อยากไปนิกายอัคคีล่องลอยด้วยตัวเอง เพื่อยลโฉมแม่นางเฟิ่งผู้นี้สักครา…”
ซือถูฮ่าวกล่าวออกมา ในวาจาเผยให้เห็นถึงความสนใจในตัวแม่นางเฟิ่งที่ว่าไม่น้อย
ถึงแม้ว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้จะโด่งดังขึ้นมาจนผู้คนรู้จักไปทั่ว แต่มันเองก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
“ข้าได้ยินว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้งดงามประหนึ่งธิดาสวรรค์จุติลงมาเกิด มีอำนาจถึงขั้นล่มเมืองได้ทีเดียว…คราวนี้ข้าติดตามปรมาจารย์ต้วนไป คงได้ยลโฉมนางเป็นบุญตาแล้ว…”
ซือถูหังกกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
“ตามใจเจ้าเถอะ แต่หลังจากที่เสร็จเรื่องการท้าประลองของปรมาจารย์ต้วนกับแม่นางเฟิ่งแล้ว เจ้าก็ติดตามข้าเข้าวังหลวง เพื่อหารือเรื่องพิธีวิวาห์ระหว่างเจ้ากับองค์หญิงชิวหมิงเถอะ”
ซือถูฮ่าวพลันกล่าวย้ำเตือนเรื่องหนึ่งออกมา พร้อมฉีกยิ้ม
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ซือถูหังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดอาการเขินอายถึงขั้นหูแดง ยังเร่งรุดหลบหนีหน้าบิดาไปเสียอย่างนั้น…
“เด็กน้อยนี้ โตขนาดนี้แล้วแต่ยังคงนิสัยขี้อายนัก…”
เมื่อเห็นซือถูหังเขินจนหลบหน้าจากไป ซือถูฮ่าวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนในแววตาแฝงไปด้วยความรัก
ต้องบอกเลยว่าซือถูหังนั้นเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของมันจริงๆ
ไม่ถึง 2 วันสารท้าประลองของต้วนหลิงเทียนที่ซือถูหังร่าง และใช้ให้คนของตระกูลซือถูไปส่ง ก็บรรลุถึงนิกายอัคคีล่องลอย…
กล่าวให้ชัดมันส่งถึงมือศิษย์เฝ้าประตูนิกายอัคคีล่องลอย
“แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ท่านต้วน…ต้องการท้าประลองกับ แม่นางเฟิ่ง อันดับที่ 23 ในรายนามนภา?”
พอศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยได้เห็นสารท้าประลอง สองตาทั้งหลายก็เบิกกว้างทันที “ไร้ชื่อเสียงเรียงนามอันใดแท้ๆ แต่กล้าเรียกหาตัวเองว่า ท่านต้วน…คนผู้นี้ช่างกล้านัก! มันคิดหรือว่าสามารถเทียบกับแม่นางเฟิ่งของนิกายอัคคีล่องลอยพวกเราได้!? ตัวโง่งมอีกคนที่หาเรื่องขายขี้หน้า!!”
ในฐานะที่เป็นศิษย์ทำหน้าที่เฝ้าประตูนิกายอัคคีล่องลอย แม้มันจะไม่ได้มาทำหน้าที่ทุกวัน แต่ตลอดปีที่ผ่านมาก็ได้รับสารท้าประลองมาไม่ต่ำกว่า 10 ฉบับ!
เนื้อหาของสารท้าประลองของทั้งหมดล้วนแล้วแต่คิดท้าทายแม่นางเฟิ่งทั้งสิ้น!
ถึงแม้จะมีผู้ท้าชิงมากมาย แต่ผลลัพธ์เดียวที่ทั้งหมดได้รับกลับไป…คือแพ้พ่ายคามือแม่นางเฟิ่ง!
ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือขึ้นมาของแม่นางเฟิ่ง นับวันยิ่งมีสารท้าประลองส่งมาน้อยฉบับลงทุกที! กระทั่งเดือนที่แล้วก็ไม่มีมาแม้แต่ฉบับเดียว!!
ทว่าไม่คิดเลยว่าพึ่งผ่านมาได้แค่เดือนเดียวกลับมีสารท้าประลองส่งมาอีกฉบับแบบนี้!
นอกจากนี้บุรุษที่แส่หาเรื่องเจ็บตัวขายหน้าคราวนี้ยังวางท่าไม่เผยนามออกมา เพียงลงนามอย่างถือดีไว้ว่า ท่านต้วน เท่านั้น!
หากต้วนหลิงเทียนได้รู้ความในใจของศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยเขาคงอดไม่ได้ที่จะสลดใจ เพราะตัวเขาเองแท้ๆยังไม่รู้เลยว่าความในสารเป็นอย่างไร…
หากสารประลองใบนี้เป็นเขาที่เขียนมันเองกับมือ เขาย่อมลงชื่อเต็มของตัวเองมาแล้ว
ทว่าด้วยความที่ผู้ที่ร่างสารท้าประลองฉบับนี้กลับเป็นซือถูหัง และซือถูหังเองก็เคารพนับถือเขาเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายย่อมไม่กล้าเขียนชื่อแซ่เต็มๆของเขาโดยตรง
ท่านต้วน ในสายตาของซือถูหังนั้น เป็นคำเรียกหาที่ให้ความเคารพ! และมันก็แสดงความเคารพต่อต้วนหลิงเทียนออกมาในรูปแบบนี้!
“ตระกูลซือถู? ตระกูลซือถูที่อยู่ในเมืองหลวงน่ะหรือ?”
ศิษย์คนหนึ่งของนิกายอัคคีล่องลอยพอได้ยินก็นึกสงสัยขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าจะใช่นะ”
ศิษย์ที่อ่านสารกล่าวตอบ
“อืม…ลงไว้ว่าแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูอีกด้วย หรือตระกูลซือถูมิกลัวขายหน้า?”
ศิษย์อีกคนกล่าวออก
“ถึงแม้แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูอย่างท่านต้วนบ้าบออันใดนี่จักแพ้พ่ายไป ก็คงมีผลกระทบต่อตระกูลซือถูแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นล่ะ…เพราะอย่างไรเสีย แม่นางเฟิ่งของนิกายอัคคีล่องลอยพวกเรา ก็คือสุดยอดอัจฉริยะที่รู้จักกันดีในนามสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ในขอบเขตสู่เซียนของประเทศฝูเฟิง! สำหรับอันดับที่ 11 ในรายนามนภานั่น มันดีแต่หลบหน้าไม่กล้าสู้กับแม่นางเฟิ่งด้วยซ้ำ หาไม่แล้วอันดับที่ 11 คงเปลี่ยนมือไปนานแล้ว!”
“ข้าเองก็ได้ยินจากผู้อาวุโสมาว่า…พลังฝีมือของแม่นางเฟิ่งยามนี้สมควรก้าวไปอยู่ใน 10 อันดับแรกได้สบายๆ!”
……
แต่ละคำที่กล่าวออกมาของศิษย์นิกายอัคคีล่องลอย เห็นชัดว่าเทิดทูนและยกย่องแม่นางเฟิงมากมายเพียงใด!
ตอนที่ 1574
ต้วนหรูเฟิงที่ทะยานขึ้นมาดั่งจรวด
ที่ตั้งของนิกายอัคคีล่องลอยนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ใจกลางที่มีภูเขาไฟล้อมรอบ
แน่นอนว่าภูเขาไฟหลายลูกที่อยู่บริเวณนี้นอกจากลูกที่ตั้งติดกับพื้นที่ตรงกลางที่ยังคุกรุ่นอยู่เสมอ ลูกอื่นนั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทไปแล้วทั้งสิ้น
เขตในกับเขตนอกของนายก็แบ่งแยกกันในพื้นที่ระหว่างภูเขาไฟที่ดับกับยังคุกรุ่นอยู่
พื้นที่ๆภูเขาไฟยังคุกรุ่นอยู่นั้น กล่าวไปยังเป็นเขตหวงห้ามของนิกายอัคคีล่องลอย ยังเป็นพื้นที่อันพิเศษของเขตใน เพราะมันเป็นสถานที่บ่มเพาะพลังของตัวตนในขอบเขตเซียนของนิกาย
โดยปกติแล้วพื้นที่ส่วนนี้จะอนุญาตให้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายในระดับสูงๆเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ แน่นอนว่ายังต้องมีเรื่องที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น…
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กฏดังกล่าวกลับต้องถูกละเว้นไปเพื่อคนๆหนึ่ง!
ยังเป็นคนแรกที่ไม่ได้บรรลุขอบเขตเซียน แต่สามารถมาฝึกฝนบ่มเพาะพลังในพื้นที่ต้องห้ามส่วนนี้ของนิกายอัคคีล่องลอยได้! นอกจากนี้นางยังเป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกายอัคคีล่องลอย ที่รู้จักกันดีในนาม ‘แม่นางเฟิ่ง’
ตอนนี้หลายคนยังจดจำได้ดีว่ายามที่นางมาถึงนิกายเป็นครั้งแรก ทั้งหลายต่างพากันอิจฉากันขนาดไหน ยังซุบซิบนินทาว่าร้ายกันอย่างไร…
ทั้งหมดคิดว่าเพียงเพราะนางโชคดีที่มีอาจารย์เป็นประมุขนิกาย ทำให้สามารถลอบเข้าประตูหลังมาได้เช่นนี้ อีกทั้งยังร่ำลือกันว่านางมีวาจาประจบประแจงเป็นเลิศ ประมุขถึงกล้าละเว้นกฏดังกล่าวให้นางเข้ามาฝึกปรือในพื้นที่หวงห้าม อันเป็นสถานที่ๆมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นที่สุด…
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เคยรับศิษย์ส่วนตัวไว้ 2 คน อนิจจาไร้ผู้ใดได้รับอภิสิทธิ์ดั่ง แม่นางเฟิ่ง สักคน! ไม่อาจเข้ามาฝึกฝนบ่มเพาะในพื้นที่ต้องห้ามของนิกายแบบนาง..
อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นผ่านมาไม่กี่ปี ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวนินทาว่าร้าย แม่นางเฟิ่ง ผู้นี้อีกต่อไป และไม่มีใครกล้าคิดว่านางไร้คุณสมบัติบ่มเพาะในพื้นที่อันประเสริฐแห่งนี้แม้คนเดียว!
ล้อกันเล่นหรือไร!
จากความสำเร็จที่นางเผยออกมาทุกวันนี้ นางถูกลิขิตมาแล้วเต็มสิบส่วนว่าต้องบรรลุขอบเขตเซียนได้แน่ๆ อีกทั้งพลังฝีมือในภายภาคหน้าย่อมไม่มีทางต่ำต้อยไปกว่าประมุขนิกายและยอดฝีมืออันเป็นเสาหลักของนิกายแน่นอน
นั่นเพราะให้เป็นประมุขนิกายและอาวุโสขอบเขตเซียนทั้งหลาย ตอนที่ทั้งหมดมีอายุเท่านาง ไม่มีผู้ใดมีความสำเร็จได้ถึงครึ่งของนางสักคน!
ดังนั้นไม่ว่าจะสูงหรือต่ำในนิกาย ไม่มีใครหาญกล้าว่าร้ายนางสืบไป
ในบริเวณใจกลางของพื้นที่ต้องห้ามของนิกาย มีลานแห่งหนึ่งถูกสร้างไว้อยู่กลางภูเขา
ในลานเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้อันเขียวขจี มีไม้ดอกไม้ประดับงดงามยากจะเห็น ปลูกเรียงรายกันเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกสงบเงียบนัก
ถัดจากลานก็เป็นบ้านหลังหนึ่ง และยามนี้ก็ปรากฏร่างสตรีในชุดสีแดงเพลิงปานเทพธิดาอัคคีเปิดประตูเดินเข้ามาในลานอย่างเงียบงัน
ผมยาวสลวยของนางทอดยาวลงมาถึงเอวบางดั่งม่านน้ำตก รูปโฉมพวงพักต์แลดูสมบูรณ์ไร้ตำหนิ แม้นกล่าวว่าธิดาสวรรค์จุติลงมาเกิดยังไม่เกินเลย
คิ้วโค้งงาม ดวงตากระจ่างใส จมูกเล็กโด่งสัน ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้นสีดั่งอิงเถา ทั้งหมดลงตัวปานภาพวาดที่รังสรรมาจากเซียนสวรรค์…
ไม่ใช่คำกล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย หากจะบอกว่าสตรีชุดแดงนางนี้ เป็นโฉมงามล่มเมือง!
“ยังอีกแค่ก้าวเดียว…”
สตรีนางนั้นพึ่งออกมาจากบ้านและยืนอยู่ในลานได้ไม่นาน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า “พี่ใหญ่ต้วน…อีกไม่นานเทียนหวู่จะไปหาท่านแล้ว…ท่านอาจารย์กล่าวไว้ตราบใดที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนเมื่อใด ท่านอาจารย์จะวางใจให้ข้าออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับไปยังทวีปเมฆาล่อง…พี่ใหญ่ต้วนท่านรอข้านะ อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงผ่านจุดรอคอยสุดท้ายและบรรลุเซียนแล้ว…”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด หากแต่สตรีโฉมงามนางนั้นกลับแหงนมองฟ้าทิศใต้ ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง
สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเลื่อนลอยท่วมท้นไปด้วยคะนึงหา…คล้ายใจของนางลอยละลิ่วปลิวเหินข้ามเมฆไปยังแดนไกล
อย่างไรก็ตามไม่นานกลับมีร่างหนึ่งมาเยือนถึงที่ทำให้นางหลุดออกจากห้วงคิดแสนหวาน และผู้ที่พึ่งมาถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น สื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย
สื่ออวิ๋นนั้นเป็นสตรีที่แลดูสง่างามทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งมากบารมี ใบหน้าของนางสะอาดหมดจดทั้งยังเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ เผยให้เห็นว่าครั้งยังเยาว์นางก็ไม่ได้งดงามด้อยไปกว่าสตรีที่เรียกหาตัวเองว่า เทียนหวู่ เลย
“เทียนหวู่”
ทันทีที่สื่ออวิ๋นปรากฏตัวนางก็เดินมาหยุดข้างสตรีในชุดแดงเพลิงและเรียกหาทันที ยังผลให้สตรีชุดแดงต้องหลุดจากภวังค์กลับมามีสติอีกครั้ง
“อาจารย์”
ต่อหน้าสื่ออวิ๋น สตรีในชุดแดงเพลิงเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เพราะนางมีอย่างทุกวันนี้ได้ทั้งหมดเป็นเพราะอีกฝ่าย
“เจ้าเตรียมตัวเอาไว้…อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู จะมาเยือนนิกายเราและต้องการประลองกับเจ้า”
สื่ออวิ๋นยกมือขึ้นปรากฏสารม้วนหนึ่ง ยื่นส่งไปให้สตรีชุดแดง
“ตระกูลซือถู? ตระกูลซือถูในเมืองหลวงน่ะหรือ?”
สตรีชุดแดงรับสารท้าประลองมาด้วยความสงสัย
“มิผิด เป็นตระกูลซือถูในเมืองหลวง…หากแต่แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูผู้นี้ ข้าได้ยินมาว่ามันมิใช่ธรรมดา ยามประลองกับมันเจ้าก็อย่าได้ประมาทไป”
สื่ออวิ๋นกล่าวเตือน
“อื้อ”
สตรีชุดแดงพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยคลี่สารท้าประลองออกอ่าน เมื่อเห็นคำว่า ‘ต้วน’ นางอดไม่ได้ที่จะอื้ออึงไปเล็กน้อย
“ท่านต้วน? ชื่อเต็มไม่ระบุ..ท่าทางจะหยิ่งยะโสไม่น้อย”
สตรีชุดแดงกล่าว
“มิว่ามันจะเป็นผู้ใด จะหยิ่งยะโสหรือไม่…ข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า”
สื่ออวิ๋นกล่าว
ขณะเดียวกันทางด้านเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ซือถูหังก็ได้กลับมาหาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“ปรมาจารย์ต้วน ข้าได้ส่งสารท้าประลองให้ท่านแล้ว…อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ท่านจะประลองกับ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยอย่างเป็นทางการ”
หลังจากพบต้วนหลิงเทียน ซือถูหังก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวรายงานทันที
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นลูกตาค่อยทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่งถามว่า “ศิษย์สตรีของนิกายอัคคีล่องลอยที่ร้ายกาจคนนี้ นางแซ่ เฟิ่ง งั้นเหรอ?”
“ใช่”
ซือถูหังพยักหน้า
“แซ่เฟิ่งจากทวีปมนุษย์…หรือจะเป็นเทียนหวู่กัน?”
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนอยู่ดีๆถึงบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
“ท่านรู้จักชื่อแซ่เต็มๆของแม่นางเฟิ่งผู้นี้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยถามซือถูหังออกไป
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้”
ซือถูหังส่ายหัวไปมา “ที่จริงอย่าว่าแต่ข้าเลยท่านปรมาจารย์ต้วน น่ากลัวว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศฝูเฟิง…กระทั่งคนในนิกายอัคคีล่องลอยเอง ก็ไม่ได้ล่วงรู้ถึงชื่อแซ่เต็มๆของนางด้วยซ้ำ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอีกรอบ ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาเบาๆ ล้มเลิกความคิดที่แม่นางเฟิ่งจะเป็น เฟิ่งเทียนหวู่ ออกไปทันที
‘ไม่น่าเป็นเทียนหวู่ไปได้ แม้ศักยภาพของเทียนหวู่จะดี แต่นั่นก็แค่ในทวีปเมฆาล่อง…ถึงนางจะมีรากฐานดีเพียงไหน แต่ก็ไม่น่าจะยกระดับพลังฝึกปรือขึ้นมาได้พรวดพราดหลังมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างเหลือเชื่อแบบนี้’
เมื่อคิดถึงความสำเร็จที่ร่ำลือกันของ แม่นางเฟิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็ขจัดความสงสัยที่ว่านางอาจจะเป็นเฟิ่งเทียนหวู่ไปหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมา ใจต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกเศร้าไปเสียไม่ได้ ‘เทียนหวู่ เจ้าไปอยู่ไหนแล้ว…รู้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่ต้วนกำลังตามหาเจ้าอยู่’
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายจมอยู่ในห้วงอารมณ์ และท่าทางจะเป็นเอามากไม่น้อย ซือถูหังก็ไม่กล้ารบกวนอะไรเร่งเดินจากไปอย่างเงียบๆทันที
มันรู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่มันควรทำที่สุดคือไม่รบกวนเวลาของปรมาจารย์ต้วน
ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เผ่าพันธุ์มังกร
เผ่าพันธุ์มังกรนั้น สถานที่อยู่ของพวกมันเป็นอะไรที่ลึกลับสำหรับผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านัก อย่างไรก็ตามต่อให้รู้…ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะเข้าไปได้!
ทว่าสำหรับบางคน การบุกมาเยือนรังมังกรถึงที่แบบนี้ ก็ง่ายดายเสมือนเดินชมสวนว่างร้างผู้คน…
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพร้อมร่างชราในชุดคลุมลมดำ บุกเข้ามาถึงที่ซ่อนเผ่าพันธุ์มังกรดื้อๆ! อย่างที่ไม่คิดจะปกปิดอะไรแม้แต่น้อย ยังคล้ายจะบุกเข้ามาอย่างดุดันด้วยซ้ำ!!
นั่นเพราะความเร็วในการพุ่งร่างเข้ามาของทั้งคู่มันเหนือชั้นเกินไป จนผู้ที่เฝ้าปากทางเข้ารังมังกร ไม่แม้แต่จะตอบสนองอันใดได้ทัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนล่วงล้ำเข้าถิ่นที่อยู่ของมันไปแล้ว…
ร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงจากขอบฟ้าไกลไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามและกู่มี่ หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีพลังสามารถสูงส่ง…
แต่เดิมด้วยความเร็วของต้วนหรูเฟิง สมควรบุกมาถึงรังมังกรในเวลาอันสั้นหลังจากที่ออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง
ทว่าขณะที่เดินทางมาถึงครึ่งทาง กลับต้องเจอปัญหาบางอย่าง
‘ไม่คิดเลยว่าคนของลัทธิบูชาไฟ จะลงมาจากภูมิภาคเบื้องบนมาเยือนภูมิบาคเบื้องล่างแบบนี้…หากเข้าใจไม่ผิด คนที่มันประกาศตามหาไปทั่วก็คือลูกสะใภ้ของข้าอย่างเค่อเอ๋อ เป็นแน่!’
แม้จะบุกเข้ามาถึงรังมังกรแล้วแต่ต้วนหรูเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรในเผ่าพันธุ์มังกรแม้แต่น้อย
จิตใจยังจมอยู่กับความคิดยามเผชิญหน้ากับคนองลัทธิบูชาไฟก่อนหน้า
คนกลุ่มนั้นของลัทธิบูชาไฟนับว่าพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลย แต่ละคนล้วนอ่อนด้อยกว่ากู่มี่แค่เล็กน้อยเท่านั้น…หากทั้งกลุ่มกลุ้มรุม กระทั่งกู่มี่ก็ไม่น่าจะเอาชนะพวกมันได้
และหลังจากที่ต้วนหรูเฟิงลงมือด้วยตัวเองจัดการคนทั้งกลุ่มจนตกตายเกือบหมด และเหลือคนสุดท้ายไว้ใช้ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ จึงได้ทราบว่าพวกมันไม่ใช่ตัวตนสำคัญอันใดในลัทธิบูชาไฟ
แน่นอนว่าในเมื่อมันไม่ใช่คนสำคัญอะไรในลัทธิบูชาไฟ พวกมันก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก
ต้วนหรูเฟิงพบว่า พวกมันลงมายังภูมิภาคเบื้องล่างคราวนี้ เพราะกำลังตามหาคนสำคัญของลัทธิบูชาไฟที่หายตัวไปนานปี…ธิดาเทพ
จากเบาะแสที่ต้วนหลิงเทียนบุตรชายของมันทิ้งไว้ที่ทวีปเมฆาล่อง ทำให้ต้วนหรูเฟิงอนุมานได้ว่า ธิดาเทพที่ลัทธิบูชาไฟกำลังตามหาสมควรเป็นเค่อเอ๋อ ที่ได้ถูกสตรีนางหนึ่งที่กล่าวว่าเป็นพี่สาวและอ้างว่ามาจากลัทธิบูชาไฟพาตัวไปแล้ว
ถึงแม้มันจะไม่เคยเห็นเค่อเอ๋อมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้จักเรื่องราวของนางอะไร
นั่นเพราะมันมักจะได้ยินภรรยากล่าวถึงเค่อเอ๋ออยู่บ่อยครั้ง ว่าลูกสะใภ้คนนี้เติบโตมาด้วยกันกับต้วนหลิงเทียน ทั้งเรื่องราวต่างๆความเป็นมาของนาง ภรรยามันก็เล่าให้ล่วงรู้หมดสิ้น
ฟุ่บ!
สายลมหอบหนึ่งพัดมาฉับไว ปรากฏเป็นร่างชายชราในชุดคลุมสีแดงฉานผุดโผล่ขึ้นมาปิดกั้นต้วนหรูเฟิงและกู่มี่เอาไว้
ต้วนหรูเฟิงได้สังเกตเห็นถึงการมาของคนผู้นี้แต่แรก จึงหยุดคิดเรื่องราวอะไร และหยุดร่างลง
“ข้าล่ะกำลังสงสัยอยู่นัก ว่าผู้ใดมันกล้าบุกรุกเผ่าพันธุ์มังกร…ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองหรือ เจ้าเฒ่ากู่มี่”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงเลือดหันไปมองกู่มี่ด้วยความสนใจทันที เห็นชัดว่ามันรู้จักกันกับกู่มี่มาก่อน
หลังจากนั้นมันก็เบนตาไปมองยังร่างต้วนหรูเฟิงที่ลอยร่างอยู่ด้านหน้ากู่มี่ ถึงแม้มันจะไม่รู้จักมักคุ้นกับต้วนหรูเฟิง แต่ก็ไม่ยากอะไรที่จะเดาฐานะของอีกฝ่ายออก จากการสังเกตเห็นท่าทางเรียบๆร้อยๆของกู่มี่ที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังแบบนี้
“ยินดีที่ได้พบ ท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม”
หลังจากคาดเดาความเป็นมาของชายวัยกลางคนเบื้องหน้าออก ชายชราก็ค่อยโค้งคารวะกล่าวทักอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาคราม ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปีด้วยซ้ำ ในการก้าวขึ้นมาถึงจุดๆนี้!
ระยะเวลา 40 ปี สำหรับเผ่าพันธุ์มังกรแล้ว เสมือนนอนหลับฝันไปตื่นหนึ่งเท่านั้น!
หากทว่าเพียงระยะเวลาอันสั้น ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับบังเกิดยอดคนเช่นนึ้นมาได้ ยอดคนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นเป็นต้วนหรูเฟิงเอง!
ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปี ต้วนหรูเฟิงก็สามารถครองอำนาจในตำหนักเมฆาครามได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนั่นคือขุมพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มังกรของมันเลย เสมือนจ้าวในที่แจ้งกับผู้ยิ่งใหญ่ในความมืดก็ไม่ปาน
ถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะอายุน้อยกว่ามันเป็นรอบๆ แต่มันไม่กล้าละเลยท่าทีปฏิบัติต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เพราะมันรู้ดีว่าพลังฝีมือของต้วนหรูเฟิงเหนือล้ำกว่ามันไปมาก กระทั่งยังเทียบได้กับผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรของพวกมันด้วยซ้ำ!
ทั้งพลังและสถานะของต้วนหรูเฟิง คือตัวตนที่ทัดเทียมกับผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรอย่างแท้จริง!
ตอนที่ 1575
กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาคราม?
“ท่านจ้าวตำหนัก นั่นเป็นมังกรโลหิต 5 กรงเล็บของเผ่าพันธุ์มังกร เฉวี่ยฉาน”
ในขณะที่ชายชราในชุดคลุมสีแดงเลือดกล่าวคารวะทักทายต้วนหรูเฟิง กู่มี่พลันส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดกล่าวบอกฐานะของอีกฝ่ายให้ต้วนหรูเฟิงทราบ “นอกจากนี้มันยังเป็นผู้คุมกฏของเผ่าพันธุ์มังกรอีกด้วย”
“ข้ามาหา ตี้จิ่ว ตอนนี้มันอยู่ไหน”
ต้วนหรูเฟิงมองมังกรโลหิต เฉวี่ยฉาน เบื้องหน้าค่อยกล่าวเสียงเรียบ
ตี้จิ่ว?
หากต้วนหรูเฟิงกล่าวบอกว่ามาหาผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรเฉวี่ยฉานคงไม่แปลกใจอะไร แต่พออีกฝ่ายบอกว่ามาหาตี้จิ่ว มันย่อมรู้สึกพิกลแล้ว
ตี้จิ่วแม้จะเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บเหมือนผู้นำเผ่าพันธุ์มังกร แต่มันก็ยังไม่ได้เติบโตเต็มที่
ถึงแม้พลังฝีมือตี้จิ่วจะใช้ได้ แต่กระทั่งตัวมันเองพลังฝีมือยังนับว่าห่างไกลจากจ้าวตำหนักเมฆาครามลิบโลก…
“จ้าวตำหนักเมฆาคราม ข้าขอเรียนถามท่านได้หรือไม่ ว่าไฉนท่านถึงได้มาหาตี้จิ่ว?”
เฉวี่ยฉานกล่าวถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
มันย่อมสัมผัสได้ว่าท่าทางจ้าวตำหนักเมฆาครามจะไม่ได้มาดีเป็นแน่!
“เฉวี่ยฉานท่านจ้าวตำหนักข้ามาหาตี้จิ่วก็มาหาตี้จิ่ว เจ้าจะถามให้มากความทำอะไร! ท่านจ้าวตำหนักข้าต้องรายงานให้เจ้ารู้งั้นเหรอ?”
กู่มีกล่าวออกมาด้วยความเย้ยหยัน มองเฉวี่ยฉานด้วยสายตาหาเรื่อง
แม้เฉวี่ยฉานจะเป็นมังกรโลหิต 5 กรงเล็บ แต่กู่มี่ก็ไม่ได้หวาดกลัวมันแม้แต่น้อย อันที่จริงอีกฝ่ายยังเป็นคู่ปรับเก่าของมันด้วยซ้ำ ถึงแม้มันจะเอาชนะเฉวี่ยฉานไม่ได้ง่ายๆ แต่อีกฝ่ายก็ยากจะทำอะไรมันได้เช่นกัน!
“ข้าย่อมมิได้หมายความเช่นนั้น…”
หากมีแค่กู่มี่คนเดียวเฉวี่ยฉานจะไม่กลัวเลย ทว่าต่อหน้าต้วนหรูเฟิงแบบนี้ มันไม่กล้าฉุนเฉียวทำอะไรบุ่มบ่าม!
กู่มี่คนเดียวก็สามารถพัวพันรับมือมันได้แล้ว
น่ากลัว…ต้วนหรูเฟิงลงมือเพียงครั้งก็สยบมันได้ง่ายดาย
ครู่ต่อมาเฉวี่ยฉานพลันพบว่าต้วนหรูเฟิงไม่ได้เห็นหัวมันแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเลือกจะเมินคำถามมันแล้วพุ่งร่างข้ามหัวมันไปเสียดื้อๆ พุ่งตรงเข้าไปยังส่วนลึกถิ่นที่อยู่เผ่าพันธุ์มังกร!
ทันใดนั้นเองสำนึกเทวะอันทรงพลังก็แผ่พุ่งออกจากร่างต้วนหรูเฟิง พริบตาพื้นที่กว่าครึ่งของเผ่าพันธุ์มังกรก็อยู่ในความรับรู้ของต้วนหรูเฟิง คล้ายคนจะพลิกเผ่าพันธุ์มังกรทั้งเผ่าให้คว่ำลง เปิดเผยทุกสิ่งออกมาจนหมด!
สำนึกเทวะอันทรงพลังของต้วนหรูเฟิง ทำให้เฉวี่ยฉานถึงกับหน้าเปลี่ยนสี แม้สำนึกเทวะนั่นจะไม่ได้แผ่พุ่งมาที่มันตรงๆ ทว่าลมหายใจของมันถึงกับติดขัด ยิ่งมายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเล็กกระจ้อยร่อยเพียงใด
‘เสียงลือว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิงผู้นี้แม้จะพึ่งผงาดขึ้นมายึดครองตำหนักเมฆาคราม แต่พลังฝีมือมิได้ด้อยไปกว่าท่านผู้นำ…บัดซบข่าวลือล้วนเหลวไหลทั้งเพ! พลังฝีมือมันเหนือกว่าที่ลือกันไว้หลายขุม!!’
เฉวี่ยฉานตะลึงลาน ในใจยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัว
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่ต้วนหรูเฟิงเมินไม่เห็นหัวมัน ทั้งไม่ไว้หน้าเผ่าพันธุ์มังกรแม้แต่น้อย ทำให้เฉวี่ยฉานบังเกิดโทสะขึ้นมาทันที “จ้าวตำหนักต้วนท่าน…”
เฉวี่ยฉานที่คิดจะหยุดต้วนหรูเฟิง พลันถูกร่างในชุดคลุมลมดำหนึ่งพุ่งมาขวางเอาไว้ก่อน
“เฉวี่ยฉาน ไม่เห็นเจ้าหลายปี ให้ข้าดูหน่อยปะไร ว่าเจ้าก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว…”
ผู้ที่หยุดเฉวี่ยฉานย่อมเป็นกู่มี่
ร่างกายผอมแห้งในชุดคลุมลมดำ แววตาสีโคลนทอประกายเย็นเยือก มุมปากแสยะยิ้ม มือหนึ่งถือไม้เท้าควงไปมา อีกมือหักนิ้วเล่นดังกล็อกๆ ให้บรรยากาศราวกับคนพร้อมมีเรื่องได้ทุกเวลา พาลให้เฉวี่ยฉานตาขวางไปทันใด
หากมีเพียงกู่มี่คนเดียว เฉวี่ยฉานคงพุ่งไปรบกันให้รู้เรื่องแล้ว…
อนิจจาตอนนี้จุดประสงค์มันเพียงแค่คิดขัดขวางต้วนหรูเฟิง…แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เช่นนั้นมันยังจะลงมือให้เจ็บตัวทำอะไร?
มันเลยไม่ได้บ้าจี้ลงมือกับกู่มี่
‘ไปหาท่านผู้นำ!’
ตอนนี้เรื่องเดียวที่เฉวียฉานคิดได้ก็มีเท่านี้ เพราะคนเดียวในเผ่าพันธุ์มังกรที่มีพลังสามารถพอจะหยุดต้วนหรูเฟิงได้ ก็มีแค่ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนเดียวเท่านั้น!
เฉวี่ยฉานเพียงถลึงตามองกู่มี่ด้วยสายตาอาฆาตอีกครั้ง ก่อนที่จะพุ่งร่างหายไป
กู่มี่ก็ไม่ได้ตามมันไปแต่อย่างใด เพียงเร่งพุ่งร่างตามแผ่นหลังไวๆของต้วนหรูเฟิงไปทันที
“กู่มี่ เจ้าเคยเห็นเจ้าตี้จิ่วอะไรนั่นแล้วใช่หรือไม่? ลากคอมันมาให้ข้า!”
ใบหน้าต้วนหรูเฟิงแม้จะยังสงบเฉยเมย หากแต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยจิตฆ่าฟัน
มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บที่เรียกว่า ตี้จิ่ว นั่น…เกือบฆ่าบุตรชายมันตายแล้ว!
ในโลกใบนี้ในสายตาของต้วนหรูเฟิง มีเพียง 2 คนที่ไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้ และนั่นคือลี่หรัว กับต้วนหลิงเทียน
ที่มันทิ้งต้วนหลิงเทียนไว้ในทวีปเมฆาล่อง ก็เพราะอยากให้บุตรชายวางรากฐานให้แน่นหนา ยามที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าพลังฝึกปรือจะได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ มันคงพาต้วนหลิงเทียนมายังตำหนักเมฆาครามตั้งนานแล้ว
“ทราบ!”
กู่มี่รับคำแข็งขัน สองตาทอประกายเจิดจ้า เร่งแผ่สำนึกเทวะออกไปค้นหาทันที
หลังจากที่ได้รับทราบว่า ตี้จิ่ว เกือบสังหารจ้าวตำหนักน้อย ใจมันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนัก!
นั่นเพราะตอนที่ตี้จิ่วเดินทางผ่านท่าบริเวณชายฝั่งทะเลตอนใต้หมายออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันก็ได้ทักตี้จิ่วและสนทนากันพักหนึ่ง และเมื่อคิดว่าเป้าหมายของตี้จิ่วไม่ใช่จ้าวตำหนักน้อยมันจึงไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่าย…
หากมันรู้แต่แรกว่าเป้าหมายของตี้จิ่วคือจ้าวตำหนักน้อย มันไม่มีวันปล่อยให้ตี้จิ่วพุ่งร่างลงใต้ไปแบบนั้น!
ด้วยความละอายใจในเรื่องนี้ กู่มี่จึงแผ่สำนึกเทวะออกไปเต็มกำลัง หมายหาตัวตี้จิ่วให้พบโดยเร็วที่สุด
ต้วนหรูเฟิงและกู่มี่ได้แผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบผู้คนไปทั่วอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้ ย่อมทำให้เผ่าพันธุ์มังกรรู้สึกได้ ตอนแรกพวกมันทั้งหมดก็มีโมโหทั้งเดือดดาลอยากออกมาสั่งสอนกู่มี่กับต้วนหรูเฟิงนัก
อย่างไรก็ตามพอพวกมันออกมาและแลเห็นว่าเหล่าอาวุโสในเผ่าพันธุ์ที่ลงมือไวกว่าพวกมัน กลับถูกอีกฝ่ายทุบตีคนละฝ่ามือก็สิ้นสภาพสู้รบ ทำให้พวกมันไม่กล้าทำอะไรสืบไป…
“พวกมันที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่?!”
“พวกมันลงมือกับคนของเผ่าพันธุ์มังกรเราอย่างไม่เห็นหัวผู้ใด ยังทำราวกับออกมาเดินเล่นชมสวนหลังบ้าน…”
“อย่ายอมให้พวกมันหยามหน้าเราอีกเลย! พวกเราออกไปสู้มันเถอะ!!”
“สู้กับผีอันใด! เจ้าเห็นชายชราชุดดำผู้นั้นหรือไม่? ข้าว่ามันมิพ้นเป็นข้ารับใช้ของชายวัยกลางคนนั่น…ทว่าลำพังชายชุดดำตบฟาดออกมาฝ่ามือเดียว ก็เอาชนะมังกรเทพยาดา 4 กรงเล็บของเผ่าพันธุ์พวกเราได้ง่ายๆ”
“หากอาวุโส มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บทั้งหลายมิลงมือ น่ากลัวว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดพวกมันได้!”
……
เมื่อเห็นว่าต้วนหรูเฟิงกับกู่มือลงมืออย่างไม่ไว้หน้าใครและอุกอาจมากถึงเพียงใด คนในเผ่ามังกรก็ได้แต่คับแค้น ทว่าจนปัญญาจะทำอะไรได้ จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายตรวจสอบไปอย่างไม่อาจต้านทาน
ตอนนี้พวกมันทำได้แค่เฝ้ารอให้เหล่าอาวุโสมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บออกโรง!
“ผู้ใดกัน!? กล้าบุกมาทำเรื่องบังอาจเพียงนี้ถึงเผ่าพันธุ์มังกร!!”
คล้ายสวรรค์ได้ยินคำภาวนาของคนในเผ่าพันธุ์มังกรหรืออย่างไรไม่ทราบ ไม่นานก็มีร่างกำยำหนึ่งพุ่งมาพร้อมเสียงประกาศกร้าวปานฟ้าผ่า หยุดขวางหน้าต้วนหรูเฟิงกับกู่มี่เอาไว้ เป็นชายชราร่างใหญ่ในชุดสีเขียว…
ชายชราร่างใหญ่ผู้นี้ ลอยร่างค้างกลางหาวอย่างสง่างาม ในแววตายังเต็มไปด้วยประกายคมกล้า สภาวะร่างสงบเปี่ยมพลัง คล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากความเดือดดาลหัวเสียแม้แต่น้อย!
“อาวุโสชิงเหยียน!”
“เป็นอาวุโสชิงเหยียนจริงๆ!!”
“อาวุโสชิงเหยียน เป็น 1 ในบรรดามังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บของพวกเรา! ท่านต้องรับมือ 2 ตัวดีนั่นได้แน่!”
……
ทันทีที่ชายชราร่างกายกำยำปรากฏตัวขึ้น เหล่าคนในเผ่าพันธุ์มังกรก็กลับมามีกำลังขวัญแข็งกล้าอีกครั้ง พวกมันเลิกหวาดกลัวพลังอำนาจของผู้บุกรุกทันที
เมื่อโดนชายชราร่างหนาหยุดขวางเอาไว้ อดไม่ได้ที่คิ้วของต้วนหรูเฟิงจะขมวดขึ้นมาด้วยความขัดใจ! ตอนนี้ยิ่งหาตัวตี้จิ่วไม่เจอ อารมณ์ก็ยิ่งไม่ค่อยสู้ดีเป็นทุน!!
“ไสหัวไป!!”
กู่มีกลับเป็นผู้ที่โพล่งออกมาเสียงดังเสียก่อน ทั้งยังพุ่งร่างออกมาลงมือดื้อๆ! สะบัดไม้เท้าคราหนึ่ง พาลให้อาณาบริเวณกินรัศมี 100 หมี่รอบตัวบังเกิดความเปลี่ยนแปลงทันใด! กระทั่งความว่างยังคล้ายจะถูกสะกด!!
ซัว! ซัว! ซัว!
……
ในอาณาบริเวณ 100 หมี่รอบตัวกู่มี่พลันปรากฏเถาวัลย์แห้งเหี่ยวผุดโผล่ชอนไชออกมาจากความว่าง! พริบตาร่างชราหนาใหญ่นามชิงเหยียนที่พึ่งมาถึง ก็ถูกเถาวัลย์แห้งเหี่วดังกล่าวรัดพัวพันไปอย่างที่ไม่อาจตอบสนองอันใดได้ทัน!!
หลังจากที่ถูกมัดร่าง ชิงเหยียนก็ไม่ใช่ไม่ต่อต้าน ทว่าให้มันเร่งเร้าพลังเท่าไหร่ก็ไม่อาจคลายการรัดกุมของเถาวัลย์แห้งๆนี่ได้เลย อีกทั้งพลังอำนาจทั่วกายยังถูกสะกดไว้ไม่อาจใช้ออก คิดคืนร่างที่แท้จริงยังทำไม่ได้!
“ขะ…เขตแดนเถาไม้แห้งเหี่ยว! จะ…เจ้าคือ กู่มี่ แห่งตำหนักเมฆาครามงั้นเหรอ!?”
ในขณะที่ชิงเหยียนกำลังตกตะลึงกับพลังอำนาจของเถาวัลย์แห้งเหี่ยวที่รัดพันรอบตัว มันก็คล้ายนึกอะไรได้ออก เร่งกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตาม กู่มี่ ไม่คิดจะสนใจอะไรมัน เพียงสะบัดมือคราหนึ่ง เถาไม้แห้งที่รัดพันร่างชิงเหยียนก็เหวี่ยงร่างมันออกไปดั่งลูกข่าง! ผู้ชราหมุนคว้างติ้วๆไม่ทราบกี่รอบ สุดท้ายค่อยชนกำผนังเขา ร่างจมฝังไปลึกมองเห็นเป็นหลุมดำ!
กู่มี่ที่เขวี้ยงร่างตัวเกะกะให้พ้นทางไปแล้ว ก็ลอยร่างรอกลงอากาศให้ต้วนหรูเฟิงนำเข้าไปด้านในต่อ
ในฐานะมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ ชิงเหยียนย่อมมีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย แต่วันนี้มันกลับถูกผู้คนไม่เห็นหัวทั้งเขวี้ยงทิ้งราวหมูหมา ยังจะให้มันทนไหวได้อย่างไร!?
ฮู่มมมม!!
เปรี๊ยงงง!!
ชิงเหยียนที่ร่างฝังลึกในเขาเดือดดาลถึงขีดสุด มันคำรามออกมาดังลั่นด้วยโทสะ ระเบิดพลังชั่วชีวิตออกมาอย่างเกรี้ยวกราด! พริบตาที่มวลพลังปะทุออก เขาลูกนั้นพลันแตกระเบิดออกทันที!!
ปรากฏเป็นร่างมังกรเทพยาดาสีเขียวตัวใหญ่มหึมายาวหลายร้อยหมี่ทะยานออกมาจากเศษซากขุนเขาขึ้นไปลอยค้างกลางหาว มองไปยังกรงเล็บพบว่ามันมีถึง 5 กรงเล็บ!
“อาวุโสชิงเหยียนคืนร่างที่แท้จริงเช่นนี้ ท่านหมายลงมือจริงจังฆ่าผู้บุกรุกแล้ว!”
เห็นฉากนี้ คนในเผ่าพันธุ์มังกรที่หน้าเสียเมื่อครู่ พลันเผยความตื่นเต้นเต็มไปด้วยความหวังออกมาอีกครั้ง
“ชายชราร่างผอมผู้นั้นที่แท้เป็นใครกันแน่…เมื่อครู่แม้จะเป็นการชิงลงมือก่อน แต่กลับรัดพันทั้งเขวี้ยงปาร่างอาวุโสชิงเหยียนไปได้ง่ายๆเช่นนี้ จนยั่วโทสะให้อาวุโสชิงเหยียนเดือดดาลได้ถึงขีดสุด…มิธรรมดาเลยจริงๆ”
คนของเผ่าพันธุ์มังกรหลายคนยังอดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงเรื่องนี้
“เมื่อครู่หากข้าฟังไม่ผิด คล้ายอาวุโสชิงเหยียนจะสงสัยว่ามันคือ กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาคราม…”
เผ่ามังกรคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความไม่แน่ใจ
“อะไร!? กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาคราม?”
เผ่าพันธุ์มังกรหลายคนหันมองหน้ากันเองทั้งส่ายหัว เห็นชัดว่าไม่เคยได้ยินนามดังกล่าว…ทว่ามีบางคนที่กลับหน้าดำคร่ำเครียด เงยหน้าขึ้นมองเรื่องราวบนฟ้าด้วยสายตาเป็นกังวล
“ข้าหวังว่ามันจักมิใช่กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาคราม…หาไม่แล้ว อาวุโสชิงเหยียนจบสิ้นแน่!”
เป็นเหล่าอาวุโสมังกรเทพยาดา 4 กรงเล็บ ที่เคยได้ยินเสียงคำร่ำลือของกู่มี่มาก่อน!
“ท่านอาวุโส กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาครามร้ายกาจมากหรือ?”
ทันใดนั้นรุ่นเยาว์ของเผ่าพันธุ์มังกรหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
“กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาคราม ไม่ว่าจะฐานะหรือพลังฝีมือกล่าวไปมิได้ต้อยต่ำไปกว่า ท่านอาวุโสผู้คุมกฏของเผ่าพันธุ์มังกรเรา…อาวุโสเฉวี่ย! เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วอาวุโสเฉวี่ยปะกะกับกู่มี่นับสิบครั้ง…ทว่าผลลัพธ์กลับทำได้แค่เสมอ!”
หนึ่งในอาวุโสมังกรเทพยาดา 4 กรงเล็บกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อะไรนะ!?”
และวาจานี้ของมัน นับว่าทำให้คนในเผ่าพันธุ์มังกรที่ได้ฟังตื่นตระหนกไปทันที
ในฐานะคนในเผ่าพันธุ์มังกร พวกมันรู้ดีว่าอาวุโสผู้คุมกฏแห่งเผ่าพันธุ์มังกร อย่างอาวุโสเฉวี่ยฉานนั้นร้ายกาจปานใด…พลังฝีมืออาวุโสเฉวี่ยฉานจัดอยู่ใน 3 อันดับแรกของเผ่าพันธุ์มังกร!
ทว่าตัวตนเช่นนั้นกลับทำได้เพียงสู้เสมอกับกู่มี่แห่งตำหนักเมฆาคราม?
‘หวังว่าตาแก่นั่นมันจักมิใช่กู่มี่แห่งตำหนักเมฆาครามจริงๆ…’
ทันใดนั้นคนในเผ่าพันธุ์มังกรทั้งหลายก็ลอบภาวนาในใจอย่างลับๆ
อนิจจาคำภาวนานี้ของพวกมันถูกกำหนดให้ล้มเหลว
เพราะเวลาเพียงแค่พริบตา ร่างชิงเหยียนในรูปลักษณ์มังกรเทพยาดาสีเขียว 5 กรงเล็บ ก็ถูกกู่มี่ลงมือซัดไป 10 กระบวนท่าจนทั่วกายยับเยิน!
ตูมมมม!!
เสียงสนั่นลั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทุกผู้คนในเผ่าพันธุ์มังกรได้แต่ชมมองร่างชราในชุดคลุมลมดำอันผ่ายผอมลอยร่างค้างกลาวหาวอย่างไร้แยแส…
กลับกัน อาวุโสชิงเหยียนที่พวกมันมั่นใจก่อนหน้า…ตอนนี้ถูกซัดร่วงฟ้าตกลงมากระแทกเขาลูกหนึ่งอย่างแรงปานอุกาบาตถล่ม! พาลให้ขุนเขาลูกที่ 2 พังทลายตามลูกแรกไปติดๆ พื้นใต้เท้ายังสั่นสะเทือนไปปานแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น