War sovereign Soaring The Heavens 1563-1566

 ตอนที่ 1563

 

อย่างไรก็ติดค้าง


 


อย่างไรก็ตามการเดินทางข้ามทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดไพศาลโดยไม่พักและไม่ได้หลับนอนก็ยังสร้างภาระให้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย


 


มันไม่ใช่ความเหนื่อยล้าทางกาย แต่เป็นทางจิต!


 


ก่อนที่จะไปหาใครสักคนและถามทาง ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะพักผ่อนก่อน


 


เขาหลับสนิทไปหนึ่งคืน รุ่งเช้ามาเขาก็เหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ


 


หลังจากที่เหินร่างขึ้นเหนือด้วยความเร็วสูงสุดเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็แลเห็นหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง แม้จะห่างไกลแต่ก็ยังเห็นควันไฟลอยล่องออกมาท่าทางจะมีการทำอาหารอะไรไปตามประสา


 


หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าขจีอันกว้างใหญ่ สภาพแวดล้อมและวิวทิวทัศน์นับว่าสบายตาชวนให้ผ่อนคลายไม่น้อย


 


หลังจากเข้าเขตหมู่บ้านแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็โรยตัวลงมาจากฟ้า


 


ทว่าก่อนที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ก็มีร่างคนพุ่งมาขวางต้วนหลิงเทียนเอาไว้


 


“เจ้าเป็นใครกัน?”


 


ผู้ที่ขวางต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นชายวัยกลางคนแลดูแข็งแกร่ง 2 คน แววตาเผยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ทั้งคู่มองต้วนหลิงเทียนอย่างระวัง


 


“พี่ชายทั้ง 2 ไม่ต้องกังวล ข้าแค่ผ่านมาและคิดถามทางเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


ขณะเดียวกันเขาก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อสำรวจพลังฝึกปรือของทั้งคู่ และต่างบรรลุหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่กันแล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ กระทั่งหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้กลับมีหลุดพ้นมนุษย์ยิ่งใหญ่!


 


ต้องทราบด้วยว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ที่จะเป็นผู้นำขุมพลังชั้น 9 ส่วนมากแล้วก็บรรลุหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่กันทั้งสิ้น


 


ทว่าทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเข้มข้นของพลังวิญญาณในฟ้าดิน เขาว่ายตามองสำรวจไปไม่นานก็พบว่าที่หมู่บ้านนี้สมควรมีสายแร่หินเซียน


 


ด้วยด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เขาบอกได้ทันทีว่าเป็นสายแร่หินเซียนระดับ 9!


 


‘สมแล้วที่เป็นประเทศฝูเฟิง กระทั่งหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ยังเทียบได้กับขุมพลังชั้น 9’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนใจ


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สีหน้าชายวัยกลางคนทั้ง 2 ก็ผ่อนคลายลงมาก หากแต่ยังคงกล่าวถามต้วนหลิงเทียนด้วยความระวัง “เจ้าคิดไปที่ใดหรือ?”


 


“ข้าอยากไปเมืองหลวงน่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ


 


“เมืองหลวง?”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนทั้ง 2 ก็อึ้งไปอีกครั้ง


 


ต้องทราบด้วยว่าปกติแล้ว ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋าคนใด คิดไปเมืองหลวงจากที่นี่โดยลำพัง!


 


ที่นี่คือชายแดนประเทศฝูเฟิง คิดไปเมืองหลวงนับว่าไกลแสนไกลนัก! ยังจะมีใครกล้าเดินทางเพียงลำพัง เว้นเสียแต่จะมีพลังฝีมือสูงส่งจริงๆ


 


เพราะสุดท้ายแล้วอาจจะพบเจอโจรร้ายฆ่าชิงทรัพย์อะไรระหว่างทางก็เป็นได้!


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ค่อยถามต่อ “พี่ชายทั้ง 2 ช่วยบอกทิศทางให้ข้าหน่อยได้ไหม”


 


เรื่องนี้นับว่าง่ายดายสำหรับชายวัยกลางคนทั้ง 2 นัก ต่างชี้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือทันที


 


“ขอบคุณพี่ชายทั้ง 2 มาก”


 


ต้วนหลิงเทียนขอบคุณด้วยรอยยิ้มและเตรียมจากไป


 


ทว่าทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงแหวกฝ่าสายลมดังมาแต่ไกล เสียงยังฟังดูรุนแรงน่ากลัวไม่น้อยจึงทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอยู่บ้าง


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนสามารถได้ยินเสียงดังกล่าว แต่ชายวัยกลางคนทั้ง 2 กลับไม่ได้ยิน


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังต้นเสียงทันที และก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา มองผ่านๆก็นับได้หลายสิบ


 


และคนนับสิบๆกลุ่มนี้ก็ถูกชายโตเต็มวัยคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลังของสัตว์ร้ายนำมา


 


ชายโตเต็มวัยผู้นี้ยืนอย่างทะนงองอาจบนหลังสัตว์ร้าย ด้วยหนวดเครารกรุงรังกับท่าทางแข็งกร้าวที่มันเผย ยังคล้ายเสมือนราชสีห์เหี้ยมหาญอยู่บ้าง


 


‘ผู้นำนั่นสู่เซียนขั้นกลาง สัตว์ร้ายที่มันขี่มาสู่เซียนขั้นต้น…ส่วนคนติดตามนับสิบๆที่อยู่ด้านหลังนั่นอ่อนแอสุดก็หลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ…พวกมันคล้ายกำลังจะมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านนี้ เป็นพวกไหนกันนะ’


 


หลังจากใช้เนตรเทวะ ต้วนหลิงเทียนก็รับทราบพลังฝึกปรือกลุ่มคนผู้มาใหม่ทันที


 


คนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นตัวอะไรในสายตาเขา


 


เช่นนั้นเขาก็ไม่ได้เลือกที่จะหลีกเลี่ยงแต่อย่างไร


 


ยิ่งไปกว่านั้นคนกลุ่มนี้ก็คล้ายจะมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้โดยเฉพาะ


 


ถึงจะไม่ได้อะไรมากมาย แต่ก็กล่าวได้ว่าตอนนี้เขาติดค้างชายวัยกลางคนทั้ง 2 เรื่องที่อีกฝ่ายบอกทางเขาอยู่


 


จากไปตอนนี้เกรงว่าจะขัดต่อมโนธรรมในใจเขา


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตอนนี้ชายวัยกลางคนทั้ง 2 เริ่มชักสีหน้าตึงเครียดแล้ว


 


“ฮ่าๆๆ…คนในหมู่บ้านขุยมิคิดออกมาต้อนรับพวกเราหน่อยหรือ!?”


 


ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครารุงรังตะโกนกล่าวเสียงดัง ผู้คนที่ติดตามมันมาหยุดลอยกลางหาวเป็นกลุ่ม มองไปคล้ายเมฆดำกำลังบังแสงตะวัน ก่อให้เกิดเงาคนดำทะมึนพาดทับหมู่บ้าน


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่คิดว่าคนพวกนี้สมควรเป็นกลุ่มโจรมาปล้นหมู่บ้านก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปเล็กน้อย


 


เพราะฟังจากเสียงผู้นำเคราดกนั่น คล้ายจะรู้จักกับหมู่บ้านนี้ดี


 


“พวกมันเป็นกลุ่มโจรที่ออกหากินแถบชายแดนตอนใต้ของประเทศฝูเฟิง พลังของพวกมันเทียบได้กับขุมพลังชั้น 8 ทุกปีจักแวะเวียนผ่านมาหมู่บ้านเราเพื่อเก็บค่าคุ้มครอง”


 


คล้ายเห็นความสงสัยในแววตาต้วนหลิงเทียน ชายวัยกลางคนที่บอกทางคนหนึ่ง ยิ้มเจื่อนๆกล่าวตอบไขข้อสงสัยให้ด้วยการส่งเสียงผ่านปราณแท้


 


ต้วนหลิงเทียนเข้าใจสถานการณ์ได้ทันที


 


หากเป็นแบบนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว


 


หมู่บ้านนี้แม้จะมีพลังอำนาจเทียบได้กับขุมพลังชั้น 9 แต่จะอย่างไรก็อาศัยอยู่ในเขตประเทศฝูเฟิง หากไร้ซึ่งขุมพลังชั้น 7 หรือ 8 อย่างกลุ่มโจรนี่คุ้มครอง เกรงว่าคงยากจะอยู่รอดได้นาน


 


บางทีการพึ่งโจรร้ายหรืออันธพาลให้ช่วยจัดการกับโจรร้ายอันธพาลก็นับเป็นวิธีที่ดี


 


นี่เป็นกฏการอยู่รอด


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นคนกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านเริ่มเหินร่างลอยขึ้นไปบนฟ้า ผู้นำเป็นชายชราในชุดสีเขียว


 


ลูกตาชายชราแฝงไว้ด้วยความอับจนหนทาง หากแต่ใบหน้ายังฝืนปั้นยิ้ม


 


“หัวหน้าสามนี่เป็นค่าคุ้มครองของหมู่บ้านขุยในปีนี้”


 


ต่อหน้าชายชราเครารก ชายชราไม่กล้าไม่สุภาพ ค่อยๆยืนแหวนมิติส่งไปให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม


 


ชายวัยกลางคนเครากรกก็รับมาและตรวจสอบสิ่งของด้านในทันที หลังจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “อืมครบถ้วน! เจอกันปีหน้าเล่าตาเฒ่าขุย!”


 


กล่าวจบชายวัยกลางคนเครารกก็กระตุกบังเหียน ทำให้สัตว์ร้ายใต้ฝ่าเท้าหันหลังกลับทันที ดูท่าเตรียมจะพากลุ่มคนจากไปแล้ว


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองกลุ่มชายวัยกลางคนเครารกที่กำลังจะออกเดินทางไปจากหมู่บ้านนั้น ชายชราที่ติดตามอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนเคราดกก็บังเอิญเห็นต้วนหลิงเทียนพอดี


 


ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าชายชราคนนั้นหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับชายวัยกลางคนเครารกทันที


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรู้ตัวทันทีว่าเรื่องราวชักไม่ดีแล้ว


 


และตอนนี้เองชายวัยกลางคนเคราดกที่เป็นผู้นำก็กระตุกบังเหียนสัตว์ร้ายทำให้มันหันกลับมาอีกครั้ง เมื่อมันแลเห็นต้วนหลิงเทียน ลูกตามันก็ทอประกายสว่างวาบขึ้นมา


 


“เจ้าน่ะ! ใช่คนของหมู่บ้านขุยหรือไม่?”


 


ชายวัยกลางคนเครารกจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายทอประกายปานมีฟ้าแลบ กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม


 


ขณะเดียวกันไม่ว่าจะกลุ่มโจรที่เหลือหรือคนในหมู่บ้านขุย ก็หันมองตามมัน เบนตามาตกยังร่างต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียง


 


หัวหน้าหมู่บ้านอันเป็นชายชราในชุดเขียวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา


 


“ข้า…”


 


ต้วนหลิงเทียนคิดจะบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนของหมู่บ้านขุย ทว่ากลับมีคนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน


 


“หัวหน้าสามเขาเองก็เป็นคนของหมู่บ้านขุยเรา หากแต่มิค่อยได้ออกมาพบเจอผู้คนสักเท่าไหร่”


 


หัวหน้าหมู่บ้านอันเป็นชายชราชุดเขียวได้รับเสียงผ่านปราณแท้จากชายวัยกลางคนที่ต้วนหลิงเทียนมาถามทางเรียบร้อย เป็นมันที่กล่าวแทรกบอกต่อชายวัยกลางคนเครารก


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนยังได้ยินเสียงผ่านปราณแท้จากชายชราหัวหน้าหมู่บ้าน “เจ้าหนุ่ม พวกมันมิอาจล้อเล่นด้วยได้ เจ้าเพียงกล่าวบอกว่าเป็นคนของหมู่บ้านขุยเราเถอะ”


 


ได้ยินคำของชายชราหัวหน้าหมู่บ้าน แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่เห็นพวกโจรกิ๊กก๊อกเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่ในใจอดไม่ได้ที่จะตื้นตันขึ้นมา ไม่คิดจะกล่าวตัดคำหัวหน้าหมู่บ้านแต่อย่างไร


 


เพราะสุดท้ายแล้วหัวหน้าหมู่บ้านนี้ก็หวังดีต่อเขา


 


“เฒ่าขุย เจ้าคิดจริงๆหรือว่าหัวหน้าสามเช่นข้ามีตาแต่ไร้แวว…เจ้าคิดว่าหมู่บ้านขุยของเจ้าจักมีชายหนุ่มที่มีลักษณะผู้ดีเช่นนี้ได้หรือ?”


 


ชายวัยกลางคนเครากรกกล่าวเย้ยออกมา


 


ได้ยินคำชายวัยกลางคนเครากรก ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านขุยก็ตื่นตระหนกทันที มันไร้คำจะกล่าวหากแต่หันกลับไปจ้องมองต้วนหลิงเทียนให้ละเอียดอีกครั้ง และพบว่าอีกฝ่ายมากสง่าราศี นับว่าโดดเด่นไม่น้อยยามอยู่กลางฝูงชน มิน่าจะใช่คนธรรมดาทั่วไป


 


“ชายชราขุยข้าจักคิดเสียว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้ยินคำของเจ้าก็แล้วกัน…เช่นนั้นข้าจักกล่าวถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าหนุ่มนั่นมันใช่คนในหมู่บ้านขุยของเจ้าหรือไม่ข้าขอเตือนให้เจ้ากล่าวตอบตามตรง ผลของการโหกข้าเป็นเช่นไรเจ้าสมควรรู้ดี…


 


ชายวัยกลางคนเครารกกล่าวถามออกมาเสียงเย้ย


 


จังหวะนี้ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านขุยถึงกับหน้าเสียเหงื่อเย็นเม็ดเขื่องผุดซึมเต็มหน้าผาก มันได้แต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอับจน


 


ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ได้แต่พยายามส่งสายตาให้ต้วนหลิงเทียนกระทำตามที่มันบอก


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน และเข้าใจถึงความลำบากใจอีกฝ่ายดี ค่อยหันไปมองกล่าวกับชายวัยกลางคนเครารกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “สายตาเจ้าไม่เลวนี่ ข้าไม่ใช่คนของหมู่บ้านขุยหรอก แค่ผ่านมาถามทางเท่านั้น”


 


“ข้าก็ว่าแล้วเชียว ไหนเลยคนของหมู่บ้านขุย จะดูดีมีระดับเช่นเจ้าได้”


 


ชายวัยกลางคนเคราดกเผยความพึงพอใจออกมาบนใบหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เห็นหรือยัง!’ ขณะมองต้วนหลิงเทียน “วันนี้ข้าอารมณ์ดีมิอยากเห็นผู้ใดหลั่งเลือด เจ้าเพียงมอบแหวนมิติมา แล้วก็ไสหัวไปเสีย”


 


“อารมณ์ดีมิอยากเห็นผู้ใดหลั่งเลือด”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆออกมาเมื่อได้ยินวาจาของหัวหน้ากลุ่มโจรเคราดก “จากวาจาของเจ้า ดูเหมือนเจ้าคิดว่าเจ้ามีอำนาจตัดสินใจงั้นสิ”


 


หลังจากกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอให้ชายวัยกลางคนตอบคำอะไร พุ่งร่างเหินจากไปทันที


 


แน่นอนว่าความเร็วในการเหินบินจากไปนั้นไม่ได้เร็วนัก เพียงคงไว้ในระดับสู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามด้วยความเร็วเท่านี้ ก็นับว่าทิ้งห่างกลุ่มโจรไปพอสมควร เพราะพวกมันยังยืนอึ้งตะลึงกันอยู่


 


ทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะไปก็เป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศทางไปสู่เมืองหลวงนั่นเอง


 


“สุราคารวะมิรับ ชมชอบสุราจับกรอก!!”


 


ในที่สุดหลังอึ้งอยู่พักหนึ่งชายวัยกลางคนเครารกก็ไล่ตามต้วนหลิงเทียนไปทันที ลูกตาเผยจิตฆ่าฟัน กระทืบเท้าเบาๆกระตุ้นให้สัตว์ร้ายใต้เท้าพุ่งตามต้วนหลิงเทียนไป!


 


กลุ่มโจรก็เหินร่างติดตามมันไปเช่นกัน


 


“ชายหนุ่มผู้นั้นโชคร้ายยิ่ง…”


 


ผู้คนในหมู่บ้านขุยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นภาพนี้


 


ทั้งหมดเห็นกันชัดเจนว่าความเร็วของชายหนุ่มไม่ได้มากมายอะไร


 


อย่างน้อยๆก็ไม่ได้เหนือไปกว่าชายวัยกลางคนเครารก


 


“คนหนุ่มนับว่าเลือดร้อนนัก…เพียงมอบแหวนมิติไปจักเป็นอันใด หรือเขาเห็นว่าสมบัติยังสำคัญกว่าชีวิต?”


 


หัวหน้าหมู่บ้านขุยได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ก่อนหน้านี้มันพยายามให้คำแนะนำต่อชายหนุ่มแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดกระทำตาม จึงทำให้มันรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง

 

 

 


ตอนที่ 1564

 

โจรที่ไม่ธรรมดา


 


ในขณะที่เติ้งเหล่าซันเริ่มต้นไล่ล่าต้วนหลิงเทียนไปได้พักหนึ่ง มันก็บังเกิดความคิดละทิ้งสัตว์ร้าย หมายออกไปตามล่าด้วยตัวเอง


 


เพราะอย่างไรสัตว์ร้ายที่มันขี่ก็เพียงมีด่านพลังสู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น ความเร็วก็ทำได้แค่ทัดเทียมกับต้วนหลิงเทียน คิดไล่ให้ทันนับว่ายากเย็นอยู่บ้าง


 


และในฐานะที่มันเองก็เป็นสู่เซียนขั้นกลาง ไปไล่สู่เซียนขั้นต้นย่อมเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย…


 


เห็นได้ชัดว่าจากความเร็วที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก ทำให้มันคิดว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนมีแค่สู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น


 


“หืม?”


 


ทว่าครู่ต่อมาเติ้งเหล่าซันก็ล้มเลิกความคิดไล่ตามด้วยตัวเอง


 


เพราะมันพบว่าชายหนุ่มที่เหินนำไปไกลเบื้องหน้าอยู่ๆก็หยุดลง และท่าทางคล้ายเฝ้ารอพวกมันเสียอย่างนั้น


 


จังหวะนี้ไม่รู้ทำไม แต่ในใจมันบังเกิดความรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมา


 


ยังอยากจะหันหลังแล้วรีบหนีไปทันที!


 


อย่างไรก็ตามพอคิดว่าตอนนี้มีกลุ่มคนที่ติดตามมากำลังเฝ้าดูมันอยู่ มันก็ได้แต่ขบเคี้ยวฟัน และพุ่งร่างไปต่อ ‘มันก็แค่สู่เซียนขั้นต้นมิใช่หรือไร ในสถานที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้ข้าฆ่ามันไปผู้ใดจะรู้ ให้มันมีความเป็นมาไม่ธรรมดาก็เท่านั้น ใครจะรู้ว่าข้าเติ้งเหล่าซันฆ่ามัน?’


 


พอฉุกคิดเรื่องนี้เติ้งเหล่าซันก็บังเกิดความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครา


 


ครู่ต่อมาเติ้งเหล่าซันและสมุนโจรก็ไล่ตามต้วนหลิงเทียนมาทัน เริ่มกระจายวงล้อมคิดล้อมกรอบต้วนหลิงเทียน


 


“ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจส่งมอบแหวนมิติของเจ้าแล้วรึ?”


 


เติ้งเหล่าซันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “มาเถอะ ข้าจักให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง หากเจ้าส่งมอบแหวนมิติมาแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้าแล้วกัน”


 


ได้ยินวาจานี้ของเติ้งเหล่าซัน ชายชรา 2 คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ


 


ต้องทราบด้วยว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่เคยเจอมาก่อน และทุกครั้งเมื่อเติ้งเหล่าซันไล่ตามคนที่คิดหนีได้ทัน จะลงมือฆ่าอีกฝ่ายทันทีทุกครั้ง


 


ทว่าคราวนี้กลับเลือกจะให้โอกาสที่สองกับต้วนหลิงเทียน?


 


เรื่องนี้ทำให้พวกมันประหลาดใจนัก


 


‘บางทีหัวหน้าเห็นว่ามันเลือกที่จะหยุดเองแต่โดยดี จึงบังเกิดจิตคิดเมตตา’


 


ชายชราทั้ง 2 หันมองสบตากัน และต่างเห็นอารมณ์คล้ายเหมือนในแววตาของอีกฝ่าย


 


พวกมันไหนเลยจะทราบได้


 


ว่าตอนนี้ใจเติ้งเหล่าซันจะบังเกิดความกริ่งเกรงต่อชายหนุ่มเบื้องหน้าขึ้นมา


 


“อ่อ แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ?”


 


ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าท่าทางของต้วนหลิงเทียนยังคงสงบ คล้ายต่อให้ขุ่นเขาถล่มลงตรงหน้าก็ไม่ยี่หระ


 


หลังจากได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเติ้งเหล่าซันเปลี่ยนไปทันที


 


“ไอ้หนูเจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือไง!?”


 


“หัวหน้าสาม ฆ่ามันเลยเถอะ!!”


 


“ฆ่ามัน!!”


 


……


 


ตอนนี้เองโจรร้ายที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็เริ่มโห่ร้องออกมาหลังได้ยินคำต้วนหลิงเทียน


 


หากไม่ใช่เพราะยังไม่มีคำสั่งของเติ้งเหล่าซัน พวกมันคงกรูเข้าไปรุมทึ้งฉีกร่างเจ้าหนุ่มที่ไม่รู้ว่าอะไรดีต่อตัวไปแล้ว


 


“ฆ่ามัน!!”


 


จังหวะนี้พอได้ยินเสียงโห่ร้องของลูกน้อง เติ้งเหล่าซันรู้สึกเสมือนขึ้นขี่หลังเสือยากจะลง สั่งฆ่าออกไปทันที!


 


“ฆ่ามัน!”


 


“ฆ่ามัน!”


 


……


 


ตอนนี้เองนอกจากเติ้งเหล่าวซันที่ขี่สัตว์ร้ายและชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลัง เหล่าสมุนโจรที่เหลือก็อดใจไม่ไหวพุ่งรี่เข้าหาต้วนหลิงเทียนคล้ายจะไปรุมฉีกร่างเขาอย่างไรอย่างนั้น!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ถูกกลุ่มโจรกรูกันเข้ามา พลันเผยรอยยิ้มบางๆ


 


และเมื่อเห็นว่ากลุ่มโจรนับสิบเริ่มใกล้เข้ามา อาณาบริเวณเหนือฟ้าในรัศมี 100 หมี่รอบตัวเขาเริ่มสั่นสะเทือน!


 


หลังจากนั้นพื้นที่ดังกล่าวก็ปรากฏ ปราณกระบี่ที่ควบแน่นจนมีสภาพราวของจริงผุดจากความว่าง!


 


มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่ามีกระบี่ผุดโผล่ออกมานับหมื่นเล่ม!


 


“มะ…มารดาของมัน! ขะ…เขตแดน!!”


 


ตอนนี้เองเติ้งเหล่าซันและชายชราพลันโพล่งคำออกมาด้วยความตื่นตระหนก! ไหนเลยพวกมันยังไม่ทราบว่านี่มันเรื่องอะไร! ใบหน้าเริ่มเผยความหวาดผวาเสียขวัญออกมาทันที! พวกมันเตะเอาตอเหล็กเข้าให้แล้ว!!


 


ล้อกันเล่นหรือไร!


 


มีเพียงยอดฝีมือที่สามารถใช้ปราณแท้ก่อเขตแดนได้เท่านั้น ถึงจะสร้างเขตแดนออกมาได้!


 


และยอดฝีมือที่ใช้ปราณแท้ก่อเขตแดนได้ ก็มีแต่ยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่หรือเหนือกว่านั้น!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงพวกมันและเหล่าลิ่วล้อด้วยซ้ำ ลำพังหัวหน้าพวกมันอย่างเติ้งเหล่าซัน ก็ยังห่างอีกไกลกว่าจะบรรลุสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ เป็นแค่สู่เซียนขั้นกลางธรรมดาๆเท่านั้น!


 


กระทั่งหัวหน้าพวกมันยามพบเจอสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ยังต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว เสมือนหลานชายพบพานท่านปู่!


 


แต่ทว่าพวกมันกลับไล่ตามสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มาเพราะคิดฆ่าชิงทรัพย์?


 


ในขณะที่เติ้งเหล่าซันและชายชราทั้ง 2 หน้าเปลี่ยนสีด้วยความตื่นตระหนก กระบี่ทั้งหมื่นเล่มก็คล้ายกลับกลายเป็นดาวตก พวกมันพุ่งจี้เข้าหากลุ่มโจรด้วยความฉับไวเหนือเสียง!


 


พริบตาร่างโจรร้ายทั้งหลายก็ถูกกระบี่น่ากลัวเสียบทะลวงดวงใจ! ร่างร่วงตกไปเป็นซากเนื้อเลอะเลือนบนพื้นคนแล้วคนเล่า!!


 


โจรร้ายกลุ่มนี้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็แค่สู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น ต่อหน้าเขตแดนหมื่นกระบี่ของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ไม่ต่างใดจากปลาบนเขียง…


 


พริบตานอกจากเติ้งเหล่าซันกับชายชราทั้ง 2 ..สมุนโจรที่เหลือก็ร่วงไปตกตายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนหมดสิ้น!


 


ตอนนี้เองเติ้งเหล่าซันคล้ายพึ่งตอบสนองเรื่องราว เร่งกล่าวออกมาเสียงหลง


 


“ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเติ่งเหล่าซันมีตาแต่ไร้แวว ไท่ซานตั้งอยู่เบื้องหน้ากลับมิอาจแลเห็น! ข้าน้อยผิดไปแล้วขอใต้เท้าโปรดเมตตาด้วย!!”


 


เติ้งเหล่าซันที่หน้าซีดเร่งพุ่งออกมาก้มหัวขอขมาเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนทันที ไม่เหลือทีท่าถือดีอะไรอีก


 


ในใจมันหวังเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น


 


หวังว่าชายหนุ่มแสนร้ายกาจเบื้องหน้าจะเมตตาละเว้นชีวิตมัน!


 


เพราะต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้ มันไร้ซึ่งหนทางต่อต้านโดยสมบูรณ์ ได้แต่ยินยอมรับชะตาตามที่อีกฝายจะตัดสินเท่านั้น!


 


แน่นอนว่าในใจมันยังร่ำร้องไปด้วยความไม่ยินยอม…ชายหนุ่มผู้นี้เป็นสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แท้ๆ กลับจงใจใช้ความเร็วของสู่เซียนขั้นต้น ละเล่นหมูกินเสือ!


 


นี่ยังไม่ใช่ขุดหลุมพรางล่อให้พวกมันตกลงไปหรอกรึ!


 


หากต้วนหลิงเทียนจากไปด้วยความเร็วของสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ พวกมันยังจะไล่ตามมาหรือไม่? ไม่มีทาง! พวกมันย่อมไม่กล้าไล่ตามมาแบบนี้แน่ๆ!!


 


และถึงต่อให้พวกมันคิดไล่ตาม ก็ไม่มีวันไล่ทัน!


 


“ใต้เท้าหนุ่มโปรดเมตตาละเว้นพวกเราด้วย!”


 


“ไว้ชีวิตข้าด้วยใต้เท้า!”


 


ชายชราทั้ง 2 ที่อยู่เบื้องหลังเติ้งเหล่าซัน ก็เร่งรุดมาหมอบฟุบก้มหัวกลางอากาศ วาจายามกล่าวน้ำเสียงสั่นไปไม่น้อย พยายามร้องขอความเมตตาจากต้วนหลิงเทียนเต็มที่


 


ตอนนี้ในหัวพวกมันก็คิดไปไม่ต่างจากเติ้งเหล่าซัน


 


กระทั่งสัตว์ร้ายที่เติ้งเหล่าซันขี่ยังคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตรายจากต้วนหลิงเทียน มันหงอยซึมจนขดตัวหมอบฟุบไปมทันใด ท่าทางเรียบๆร้อยๆนัก


 


“ถ้าข้าเป็นแค่สู่เซียนขั้นต้นจริงๆ แล้วปฏิเสธไม่ส่งแหวนมิติให้พวกเจ้า พวกเจ้ายังจะละเว้นข้าหรือไม่?”


 


ต่อหน้าทั้ง 3 ที่ร่ำร้องของความเมตตา ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยเสียงเฉยเมย


 


แม้จะไม่ถาม ต้วนหลิงเทียนก็รู้คำตอบดี


 


เช่นนั้นก่อนที่ทั้ง 3 คนจะตอบอะไร กระบี่อันคมกล้าน่ากลัว 3 เล่มจากเขตแดนหมื่นกระบี่ก็เริ่มพุ่งไปเข่นฆ่าสังหารอีกครั้ง พริบตาเติ้งเหล่าซันกับชายชรารวมทั้งสัตว์ร้าย ก็ถูกกระบี่ทะลวงกลางใจตายตกไม่มีเหลือรอด…


 


ก่อนที่เขาจะออกจากหมู่บ้านขุย พอเห็นพวกเติ้งเหล่าซันเพียงมาเก็บค่าคุ้มครองไม่คิดฆ่าคน เขาก็ไม่ได้คิดจะฆ่าพวกมันแต่อย่างไร


 


หมู่บ้านขุยจ่ายค่าคุ้มครองเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกใบนี้…


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดทำลายหรือขัดขวางการทำมาหากินของพวกมัน


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากวุ่นวายกับพวกมันแล้ว แต่พวกเติ้งเหล่าซันดันเลือกที่จะมาตอแยเขาเอง


 


เขาก็ไม่ได้คิดอะไรให้มาก ฆ่าก็ฆ่า…


 


แต่อย่างน้อยเพื่อไม่ให้หมู่บ้านขุยเดือดร้อน เขาจึงเลือกที่จะล่อพวกเติ้งเหล่าซันมาถึงที่นี่ พอมาถึงแล้วก็สามารถลงมือได้อย่างสบายใจ


 


“เขตแดนหมื่นกระบี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


ภายใต้การควบคุมของต้วนหลิงเทียน กระบี่หมื่นเล่มในเขตแดนเบื้องหน้าสามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ


 


ฉากเรื่องราวที่กระบี่หมื่นเล่มแปรขบวน ทั้งเหินบินสังหารดั่งใจนึกนั้น…ช่างเป็นอะไรที่น่าดูชมนัก!


 


สุดท้ายหลังจากกวาดล้างกลุ่มโจรแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ควบคุมให้กระบี่นับหมื่นเล่มควบรวมกลับกลายเป็น กระบี่สีทอใต้ฝ่าเท้า แล้วเขาก็ท่องกระบี่ดังกล่าวเหินบินออกไปทันที มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้ววยความเร็วสูงสุด!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมุ่งหน้าไปเมืองหลวง พลันมีเสียงกรีดร้องด้วยความเสียใจดังลั่นหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลหมู่บ้านขุย


 


“น้องสาม!!”


 


ชายชราร่างใหญ่ผมสีขาวโพลนมองไข่มุกวิญญาณที่แหลกเป็นเสี่ยงด้วยน้ำตานองหน้า


 


กลิ่นอายพลังยะเยือกเริ่มแผ่ออกจากร่างมัน


 


“พี่ใหญ่เกิดอะไรขึ้น!?”


 


ครู่ต่อมาปรากฏชายวัยกลางคนแต่งตัวคล้ายบัณฑิตวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ


 


และเมื่อมันเห็นไข่มุกวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยงก็อดไม่ได้ที่จะหน้าเสีย “นะ…นี่มัน ไข่มุกวิญญาณของน้องสาม?!”


 


“มิว่าเป็นผู้ใด ข้าจะฆ่ามันล้างแค้นให้น้องสาม!!”


 


ลูกตาชายชรากลับเป็นสีแดงฉาน หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย เสียงกล่าวเต็มไปด้วยความเยียบเย็นทั้งเคียดแค้นนัก


 


“พี่ใหญ่ท่านรอนี่ ข้าจะรีบไปตรวจสอบทันที!”


 


ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่แลคล้ายบัณฑิตก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ไม่ต่าง แม้พวกมันจะไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด แต่ความสัมพันธ์ของพวกมันแน่นแฟ้นสนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือดเสียอีก!!


 


เนื่องจากต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทำลายซากศพอะไร ทำให้ชายวัยกลางคนคล้ายบัณฑิต ติดตามมาพบศพที่แหลกเหลวบนพื้น ยังเห็นว่ากลางอกมีรอยกระบี่ทะลวง… มันจึงนำศพกลับไปที่พักทันที


 


“พี่ใหญ่ข้าไปถามหมู่บ้านรอบๆแถบนี้ที่น้องสามตกตายมาแล้ว…เห็นว่าก่อนที่น้องสามจะตกตายได้ติดตามชายหนุ่มคนหนึ่งออกไป”


 


ชายวัยกลางคนคล้ายบัณฑิตไม่เพียงแต่จะเฉลียวฉลาด แต่มันยังเป็นหัวหน้าลำดับ 2 ของกลุ่มโจรอีกด้วย และเป็นดั่งมันสมองของกลุ่ม ใช้เวลาไม่นานก็สืบทราบเรื่องราว “ข้าได้ความจากคนหมู่บ้านขุยมาว่า ชายหนุ่มผู้นั้นคิดเดินทางไปเมืองหลวง”


 


“เมืองหลวง?”


 


หลังได้ยินคำของชายวัยกลางคนแลคล้ายบัณฑิต ชายชราที่ร่ำไห้สองตาแดงฉานพลันกล่าวออกด้วยอำมหิต “เช่นนั้นข้าจักให้มันตายคาเมืองหลวง!!”


 


“พี่ใหญ่…ท่านคิดไปเมืองหลวงหรือ?”


 


ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว กล่าวออกเสียงเครียด “พี่ใหญ่ ข้าดูจากบาดแผลของผู้ที่ตกตายทั้งหมด…ทั้งหลายสมควรทะลวงใจตกตายในกระบี่เดียว อีกทั้งจากคราบเลือดทั้งหมดสมควรตกตายในเวลาพร้อมๆกัน…ข้ากลัวว่าพลังฝีมือของเจ้าหนุ่มนั่นจักมิด้อยไปกว่าท่าน! อีกทั้งจากการตรวจสอบสภาพแวดล้อม ข้ามิพบร่องรอยอื่นใดบ่งชี้ว่ามันมีพรรคพวก…ข้าคิดว่ามันสมควรใช้เขตแดนบางอย่าง…หมายความว่ามันเป็นสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ หรืออาจจะเหนือกว่านั้น”


 


“เพื่อล้างแค้นให้น้องสาม ข้าจักไปเมืองหลวง! ก่อนหน้านี้องค์ชาย 4 ที่เคยติดค้างข้าได้ให้คำมั่นกับข้าเอาไว้ ว่าหากข้ามีเรื่องให้ช่วยเหลืออันใดสามารถไปบอกท่านได้! ขอเพียงอยู่ในขอบเขตความสามารถ..องค์ชาย 4 ล้วนยินดีกระทำให้ข้า…ต่อให้มันจักเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียน หากองค์ชาย 4 สั่งคำเดียวมันยังไม่ตายได้?!”


 


ลูกตาของชายชราตอนนี้สีแดงฉานปานจะหลั่งเลือด คล้ายมันจะเสียสติไปแล้ว “น้องรองเจ้าไปหมู่บ้านขุยแล้ววาดภาพเหมือนเจ้าหนุ่มนั่นออกมาเถอะ…ได้ภาพเหมือนมันเมื่อใดข้าจักไปเมืองหลวงทันที!”


 


“พี่ใหญ่ ข้าต้องขอบคุณท่านแทนน้อง 3 ด้วย!”


 


บัณฑิตวัยกลางคนก้มหัวคำนับชายชราเพื่อแสดงความขอบคุณ

 

 

 


ตอนที่ 1565

 

อาคมมาร?


 


ในประเทศฝูเฟิง ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าองค์ชายนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ของฝูเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!


 


ด้วยราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิงเป็นถึงขุมพลังชั้น 6 แน่นอนว่าขุมพลังรบย่อมเหนือกว่าขุมพลังชั้น 7 อย่างทาบไม่ติด


 


ในสำนักจันทร์จรัสแสงเพียงมีขอบเขตเซียนด่านต่ำๆไม่กี่คน แถมยังนับว่าเป็นขอบเขตเซียนที่ต่ำต้อยที่สุด!


 


ทว่าในขุมพลังชั้น 6 อย่างตระกูลราชวงศ์นั้น มียอดฝีมือขอบเขตเซียนเช่นนั้นเพียบ กระทั่งยังมีผู้ที่ด่านเซียนยังสูงล้ำกว่ามากมาย


 


ส่วนเรื่องที่วันนี้ไฉนต้วนหลิงเทียนไม่ทำลายซากศพพวกโจรนั้น เพราะเขาไม่ได้แยแสอะไรพวกมัน


 


ในสายตาของต้วนหลิงเทียนพวกมันก็แค่ โจรกระจอกขุมพลังชั้น 8! เสมือนมดตัวกระจ้อยที่บังเอิญเดินเหยียบ…ยังมีผู้ใดเหยียบมดแล้วย้อนกลับไปทำลายศพมดหรือไม่?


 


เช่นนั้นแล้วพวกมันจึงไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย


 


เช่นนั้นเรื่องทำลายศพหรืออะไร ยังทำให้รู้สึกเปลืองมือไปบ้าง


 


อย่างไรก็ตามคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะล่วงรู้ วาพี่ใหญ่ของมันอันเป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มโจรนี้ จะเคยมีบุญคุณช่วยเหลือองค์ชาย 4 เอาไว้ นับว่ามีสัมพันธ์กับราชนิกูลของขุมพลังชั้น 6!


 


หากต้วนหลิงเทียนล่วงรู้เรื่องนี้เขาคงไม่จัดการพวกมันทิ้งไปแบบนั้น


 


ในชีวิตคนเราย่อมมีบางครั้งที่กระทำผิดพลาดไปแบบไม่ตั้งใจ


 


อย่างไรก็ตามครั้งนี้กล่าวไป เสมือนต้วนหลิงเทียนผิดพลาดเพราะตีค่าพวกมันต่ำเกิน…


 


แน่นอนว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่รู้เรื่องราวอะไร เขายังคงเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงอย่างไม่รู้เหนื่อย


 


“ด้วยความเร็วของข้าตอนนี้…พรุ่งนี้ก็น่าจะถึงเมืองหลวงฝูเฟิงนั่นแล้วล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินกระบี่บิน กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ


 


ในเวลาเดียวกันนั้น ที่รังลับในหุบเขา พี่น้องของหัวหน้ากลุ่มโจรร้ายที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าตายไป ในที่สุดพวกมันก็ได้รูปเหมือนต้วนหลิงเทียนมาแล้ว และพี่ใหญ่ของกลุ่มโจรก็กำลังจะออกเดินทางไปเมืองหลวง


 


หากต้วนหลิงเทียนเห็นภาพนี้เขาคงแปลกใจไม่น้อย เพราะมันเหมือนกับหน้าเขาถึง 9 ส่วน!


 


คนที่เคยเห็นรูปใบนี้ พอเห็นหน้าเขาต้องจำได้ทันที!


 


“พี่ใหญ่คำมั่นที่องค์ชาย 4 มีต่อท่านนับเป็นเรื่องที่ท่านเก็บไว้ใช้มาตลอดชีวิต…ท่านคิดใช้มันเพื่อน้องสามจริงหรือ?”


 


หลังจากผ่านไป 2-3 วัน บัณทิตวัยกลางคนอันเป็น หัวหน้าลำดับ 2 ของกลุ่มโจรก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กำลังจะออกเดินทาง


 


“น้องรองต่อไปอย่าได้กล่าวถามเรื่องนี้อีกแล้ว ข้าไม่อยากฟัง”


 


ชายชรากล่าวถามเสียงเข้ม


 


“พี่ใหญ่ หากน้องสามรู้เรื่องนี้ น้องสามต้องซาบซึ้งน้ำใจพี่ใหญ่นัก”


 


บันฑิตวัยกลางคนกล่าว


 


“ซาบซึ้งมีความสุขแล้วจักอย่างไร น้องสามตายแล้วก็ดั่งตะเกียงไร้น้ำมัน…เอาล่ะ ข้าจักไปแล้ว”


 


สิ้นคำชายชรา ร่างของมันก็พุ่งหายไป


 


มองแผ่นหลังชายชราที่พุ่งขึ้นฟ้าหายไป แววตาของบัณฑิตวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะเผยอารมณ์สะท้อน “พี่ใหญ่หากเป็นข้าที่ตกตายไป ท่านจักใช้คำมั่นขององค์ชาย 4 เพื่อข้าหรือไม่?”


 


คิดไปพักหนึ่งลูกตาของบัณฑิตวัยกลางคนก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มละอายออกมา…


 


ณ เมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเห็นความยิ่งใหญ่และงดงามของเมืองหานเหอ อันเป็นเมืองหลักในเขตปกครอง 9 พันธมิตรมาแล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะทึ่งกับเมืองหลวงแห่งนี้!


 


ในสายตาเขาหากยกเอาเมืองหานเหอมาเทียบกับที่นี่ ก็เสมือนหมู่บ้านเล็กๆอย่างไรอย่างนั้น


 


หลังมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจคำ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือขุนเขาสูงยังมีขุนเขาที่สูงกว่าเสมอ…เทียบกับเมืองหลวงแห่งนี้ เมืองหานเหอไม่ต่างจากเมืองเล็กๆในชนบท ไม่ว่าจะการค้าขายหรือกิจการต่างๆ เทียบกันไม่ติดเลย


 


เมื่อมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงต้วนหลิงเทียนก็พยายามไม่ทำตัวโดดเด่นอะไร เลือกที่จะเดินเท้าเข้าเมือง


 


แต่แน่นอนเรื่องเดินเท้าเข้าเมืองไม่เกี่ยวกับที่เขาจะถ่อมตัวอะไร เพราะในเมืองก็มีข่ายอาคมห้ามบินกำกับเอาไว้ และข่ายอาคมนี้มีระดับเหมือนกับข่ายอาคมของสำนักจันทร์จรัสแสง เพียงแต่กว้างใหญ่กว่าเท่านั้น


 


เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกระทำก็คือเข้าไปนั่งในเหลาอาหาร คอยฟังเรื่องราวต่างๆ


 


ไม่ว่าจะเป็นทวีปเมฆาล่องหรือดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า สถานที่ๆมีชีวิตชีวาที่สุด หากไม่ใช่เหลาอาหารก็ต้องเป็นหอนางโลม และคิดหาข่าวจะดีที่สุดหากเข้าเหลาอาหาร


 


เขาไม่ได้มาเมืองหลวงแห่งนี้อย่างมั่วซั่ว เขามาเพราะมีเป้าหมายสำคัญ


 


นั่นคือหาข่าวของป๋ายลี่หงและเฟิ่งหวู่เต้า ว่ามาถึงแล้วหรือยัง


 


ประการที่สองเขาคิดมาสืบหาว่า…หานเฉวี่ยไน่ที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ในเมืองหลวงนี้เขาน่าจะพบคำตอบนั้นได้!


 


‘เฉวี่ยไน่นี่ก็จริงๆเลย นางไม่เคยบอกข้าว่าตระกูลหานของนางเป็นขุมพลังชั้นใด…คิดตามหาตัวนางตอนนี้ ก็ไม่รู้จะเริ่มหาจากที่ไหนอยู่บ้าง’


 


ต้วนหลิงเทียนทอดถอนใจ


 


เบาะแสที่หานเฉวี่ยไน่ทิ้งไว้ให้เขาก็มีแค่หินเซียนระดับ 4 กับระดับ 5 เท่านั้น รวมถึงแซ่ของนางคือหาน


 


ต้วนหลิงเทียนคิดตามหาหานเฉวี่ยไน่นั้น ไม่ใช่เพราะคิดหาคนหนุนหลัง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าขุมพลังเบื้องหลังหานเฉวี่ยไน่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดจะพึ่งพาแต่อย่างใด


 


จุดประสงค์ของเขาคือหาตัวคู่หมั้นอย่าง ลี่เฟย ต่างหาก


 


‘จากการประเมินเบื้องต้น ตระกูลหานของเฉวี่ยไน่สมควรเป็นขุมพลังชั้น 5…’


 


จากข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนมี ต้วนหลิงเทียนจึงพอคาดเดาขุมพลังของสกุลหานได้ ‘มาเมืองหลวงฝูเฟิงครั้งนี้ ข้าต้องสืบให้รู้ชัด’


 


ผ่านไปสักพัก สุราอาหารที่ต้วนหลิงเทียนสั่งไปก็ยกมาจัดวางแล้วเช่นกัน


 


ในขณะเดียวกันผู้คนก็ทยอยกันเข้าออกเหลาอาหารกันหนาตา


 


เมื่อมีผู้คนมากขึ้น บรรยากาศก็กลายเป็นคึกคักมีชีวิตชีวาไม่น้อย


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินบทสนทนาซุบซิบนินทามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนพากันกล่าวถึงคุณชาย นายน้อยทั้งหลายในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ซึ่งมันไม่ค่อยมีสาระสักเท่าไร


 


อย่างไรก็ตามพอได้ฟังต้นหลิงเทียนก็ลอบอึ้งไปเสียไม่ได้


 


ฟังจากกลุ่มคนที่ชมชอบดื่มสุราทั้งหลายเล่ามา ตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงแห่งนี้ส่วนมากล้วนเทียบได้กับขุมพลังชั้น 7 ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แต่ละตระกูลก็มียอดฝีมือขอบเขตเซียนปกปักษ์พิทักษ์


 


ทั้งในบรรดาตระกูลที่เป็นที่นับหน้าถือตาในเมือง ยอดฝีมือขอบเขตเซียนยังมีไม่น้อย


 


‘เหอะๆ ตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงแห่งนี้ ล้วนมีพลังรบเหนือกว่าสำนักจันทร์จรัสแสงทั้งนั้น…’


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนได้เปิดหูเปิดตา เห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม


 


ในอดีตตอนที่เขาอยู่ในเขตปกครอง 9 พันธมิตร สำนักจันทร์จรัสแสงแม้ไม่ร้ายกาจที่สุด แต่ก็ยังเป็นขุมพลังที่ผู้คนต้องกริ่งเกรง


 


แต่พอมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสำนักจันทร์จรัสแสงไม่ได้นับเป็นอะไร…


 


เท่าที่เขาฟังมา ตอนนี้อย่างต่ำๆก็มี 3 ตระกูลในเมืองหลวงแห่งนี้ที่มีพลังรบเหนือกว่าสำนักจันทร์จรัสแสง


 


ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศฝูเฟิงนอกจาก 3 ตระกูลใหญ่ที่ว่า ก็ยังมีขุมพลังชั้น 6 อื่นๆอยู่อีก…พอเทียบที่นี่กับเขตปกครอง 9 พันธมิตรแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าที่นั่นมันล้าหลังและกันดารเพียงใด ยังรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่


 


“สหายปิง เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่? เห็นว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลซือถูอาการทรุดลงไปอีกแล้ว…น่ากลัวจะอยู่ไม่พ้นสิ้นเดือนนี้แล้วล่ะ เฮ่อ…”


 


ทันใดนั้นชายวัยกลางคนร่างผอมที่นั่งอยู่ใกล้ๆโต๊ะต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมา น้ำเสียงแววตายังเผยความเศร้าออกมาไม่น้อย อีกทั้งยังพยายามกระซิบกล่าวกับสหายด้วยเสียงเบาปานจั๊กจั่นกระพือปีกด้วยกลัวจะมีผู้ใดเผลอมาได้ยิน


 


หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียน 18 จุดหลัง อันเป็นชีพจรส่วนหูล่ะก็ เขาคงไม่สามารถได้ยินการกระซิบครั้งนี้ได้ ต่อให้จะบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ตามที


 


หากแต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ยินชัดแจ๋วแหวว


 


‘ตระกูลซือถู?’


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินสน้ำเสียงสลดของคนนอกกล่าวถึงตระกูลหนึ่งแบบนี้ย่อมบังเกิดความสนใจไม่น้อย จึงอยากรู้ว่าตระกูลซือถูเป็นอย่างไร ไฉนถึงมีคนอาลัยให้เช่นนี้ และไม่นานเขาก็นำข้อมูลคร่าวๆของตระกูลซือถูจากหลายๆโต๊ะมาประติดประต่อกัน


 


สุดท้ายจึงได้รู้ว่า ตระกูลซือถูนั้นในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงแห่งนี้ยังนับเป็นตระกูลใหญ่ ซ้ำยังมีสัมพันธ์กับตระกูลาชวงศ์ กล่าวได้ว่าน้องสาวของผู้นำตระกูลซือถูตอนนี้ เป็นสนมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของประเทศฝูเฟิง! ยังเป็นนางสนมที่พระองค์รักถนอมมากที่สุด!


 


“คุณชายใหญ่ตระกูลซือถู?”


 


ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าสหายปิงกล่าวตอบเสียงเบา


 


“ใช่ เป็นคุณชายใหญ่”


 


ชายร่างผอมพยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “คุณชายใหญ่ช่างโชคร้ายนัก ฮ่องเต้พึ่งประทานศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 4 ดาวไว้ให้ได้ไม่ทันไร…กลับต้องมาล้มป่วยด้วยโรคประหลาด ข้าคิดว่าคงมิมีวาสนาได้ใช้ศาสตราเซียนประทานอันนั้นแล้ว…”


 


“จะว่าไปกล่าวถึงโรคร้ายนี่ก็ประหลาดนัก…ปรมาจารย์เซียนหลอมมากมายที่ชำนาญเรื่องโอสถ ก็มิอาจสืบทราบสาเหตุได้”


 


ชายอีกคนกล่าว


 


“ข้าได้ยินมาว่ากระทั่งหมอหลวงยังจนปัญญา…แถมปรมาจารย์เซียนหลอม กับปรมาจารย์แพทย์ที่จ้างมาจากทั่วสารทิศ ก็ตรวจมิพบต้นตอของโรคร้าย…”


 


ชายร่างผอมว่าต่อไป


 


“หรือจักเป็นสวรรค์ลงโทษคุณชายใหญ่จริงๆแล้ว…แต่ที่ข้าทราบคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูนั้นเป็นคนดียิ่ง นับเป็นวิญญูชนคนหนึ่ง มิเคยดูถูกเหยียดหยามผู้ใด แถมยังจิตใจเมตตาช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเสมอ…ไฉนฟ้าถึงได้กลั่นแกล้งเช่นนี้”


 


“เฮ่อ…กล่าวไปคนดีนั้นอายุสั้น แต่พวกสารเลวมักอยู่คำฟ้า…โลกเราไฉนเป็นเช่นนี้นะ”


 


“น่าเสียดายนัก”


 


“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลซือถูได้ตั้งรางวัลเอาไว้ด้วย…หากผู้ใดสามารถรักษาอาการคุณชายใหญ่ได้ ไม่เพียงแต่จักได้รับยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 4 ดาว กระทั่งยังได้ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 4 ดาวอีกด้วย!”


 


“แม้ไม่มียันต์เต๋าจู่โจมระดับ 4 ดาว แต่แค่เท่านี้ก็ยากจะมีใครปฏิเสธรางวัลใหญ่นี่ได้ อนิจจาคงยากจะมีผู้ใดรักษาอาการของคุณชายใหญ่ได้”


 


“นั่นสิ! โรคคุณชายใหญ่แปลกประหลาดนัก อย่าว่าแต่รักษา กระทั่งปานสีดำที่ปรากฏบนหว่างคิ้วแลคล้ายแมงมุมนั่น ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ…”


 


……


 


บทสนทนาตอบโต้ไปมาของชายวัยกลางคน 2 คนโต๊ะข้างๆล้วนเข้าหูต้วนหลิงเทียนหมดสิ้น


 


‘เดี๋ยวนะ…ปานสีดำคล้ายแมงมุมที่หว่างคิ้วงั้นเหรอ’


 


หลังจากได้ยินบทสนทนาของชายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนพลันโค้งคิ้วขึ้นมาทันที ข้อมูลประการหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาในใจ เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้ในป้ายเซียน อันบันทึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารที่ศิษย์พี่ป๋ายลี่หงมอบให้เขา


 


‘นั่นมัน…หรือจะเป็นอาคมมาร?’


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย


 


อาคมมารนั้นก็นับเป็นอาคมเซียนประเภทหนึ่ง


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า อาคมมารนั้นต้องเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนที่บ่มเพาะในหนทางมารเท่านั้นถึงจะจารึกได้ อีกทั้งวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็ล้ำค่านัก แถมไม่ใช่ว่าจะจารึกกันได้ง่ายๆต้องมีความรู้สูงไม่น้อย


 


นอกจากนั้นข้อกำหนดในการใช้งานก็เป็นอะไรที่จำเพาะเจาะจงนัก


 


เพราะอาคมมารค่อนข้างแตกต่างจากอาคมเซียนอย่างสิ้นเชิง หากจะจัดประเภทของมันแล้ว สมควรต้องจัดอยู่ในประเภทกาฝาก..เชื้อร้ายแอบแฝง! มันเป็นอาคมที่จะสร้างเภทภัยให้แก่ผู้ที่ใช้งาน!!


 


‘ฟังว่าคุณชายใหญ่ได้รับศาสตราเซียนจากฮ่องเต้ของประเทศฝูเฟิง ก่อนที่จะเป็นโรคร้าย…นอกจากนี้ยังเป็นศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนะระดับ 4 ดาว…หรือฮ่องเต้ฝูเฟิงคิดให้คุณชายใหญ่ตระกูลซือถูมีอันเป็นไปกัน?’


 


คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ลอบส่ายหัว เขาไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้


 


ในเมื่อน้องสาวของผู้นำตระกูลซือถูเป็นนางสนมที่ฮ่องเต้รักมากที่สุด เช่นนั้นแล้วคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูก็เปรียบเสมือนหลานของมันคนหนึ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฮ่องเต้ฝูเฟิงจะทำร้ายหลานแบบนี้

 

 

 


ตอนที่ 1566

 

ไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียน


 


แน่นอนว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะคิดว่าสมควรเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจซะทีเดียว…


 


ในโลกที่เข้มแข็งอยู่อ่อนแอตายตก พลังอำนาจคือเอกอุเหนือสิ่งใด กระทั่งบุตรฆ่าบิดาเองก็มีให้เห็นกันหนาตานับประสาอะไรกับลุงหลาน


 


‘อย่างไรก็ตามของรางวัลตระกูลซือถูนั่นมันยั่วใจจริงจัง…ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 4 ดาว กับยันต์เต๋าม่านพลังทอง 4 ดาวงั้นเหรอ…’


 


อันที่จริงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย


 


ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 3 ดาว สามารถสร้างม่านพลังที่ป้องที่เทียบเท่ากับการป้องกันของสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เป็นเวลา 1 เค่อ


 


หากได้ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 4 ดาวมาล่ะก็ นั่นจะทำให้เขามีม่านพลังที่เทียบเท่าม่านพลังของระดับเซียนได้ถึง 1 เค่อ!


 


ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 4 ดาวนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันสมควรมอบความเร็วของขอบเขตเซียนให้เขาเป็นเวลา 1 เค่อเช่นกัน!


 


ถึงแม้ตอนนี้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะนับว่าสูงเกินคนทั่วไปในด่านพลังเดียวกัน แต่เขาก็ฆ่าได้แค่ตัวตนในขอบเขตเซียนด่านพลังต่ำๆเท่านั้น และนั่นยังต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์อีกด้วย! นับว่าต้องจ่ายออกด้วยราคาไม่น้อย เสมือนทำร้ายศัตรู 10 ส่วนทำร้ายตัวเอง 8 ส่วน!


 


ส่วนความเร็วนั้น แม้เขาจะเหินกระบี่ ด้วยอาศัยหมื่นกระบี่รวมหนึ่งจากเขตแดน แต่เขาก็ทำได้แค่บรรลุความเร็วขอบเขตเซียนที่ต่ำต้อยที่สุดเท่านั้น ยังไม่อาจเทียบกับเซียนที่ฝีมือสูงได้


 


‘ข้าพึ่งมาเมืองหลวงฝูเฟิง ที่ทางอะไรก็ไม่คุ้นเคย…บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่ข้าจะลงหลักปักฐานที่เมืองนี้’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็ตื่นเต้นไม่น้อย


 


เขาพึ่งมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงได้ไม่ทันไร ไม่ว่าจะหาป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆ กระทั่งสืบหาขุมพลังของหานเฉวี่ยไน่ เขาก็ต้องมีเส้นสาย


 


ทว่าตอนนี้เขาไม่รู้จักใครเลย


 


เหตุการณ์เลวร้ายที่บังเกิดกับคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูนับเป็นโอกาสอันดีของเขา!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมีความมั่นใจกว่า 8 ส่วน ว่าคุณชายใหญ่ซือถูสมควรได้รับผลกระทบจากอาคมมาร เพราะอาการที่แสดงออกมันชัดเจนนัก!


 


อาคมมารนั้นถูกบันทึกไว้ในหยกที่บันทึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารไว้หลายอาคมเช่นกัน และยังอธิบายถึงวิธีแก้ไขลบล้างอาคมมารอีกด้วย


 


นอกจากนี้ฟังจากที่เล่ามา อาการของคุณชายใหญ่นั้นไม่ได้ถูกอาคมมารระดับสูงๆแต่อย่างไร


 


แต่ถึงมันจะไม่ใช่อาคมมารระดับสูง ทว่าต่อให้เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 9 ดาวมาเอง ถ้าไม่รู้วิธีแก้ไขก็จนปัญญา!


 


‘ปานสีดำรูปแมงมุมที่หว่างคิ้วงั้นเหรอ? อาคมมาร แมงมุมหยิน?’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ


 


ในข้อมูลจากหยกบันทึกนั่น ก็ได้บอกวิธีลบล้างอาคมมารดังกล่าวไว้ชัดเจน


 


และอาคมมารแมงมุมหยินนี้ จากในบันทึกมันยังเป็นแค่อาคมมารระดับ 1 ดาวเท่านั้น ซึ่งเป็นอาคมมารระดับต่ำต้อยขั้นพื้นฐาน


 


แน่นอนถ้าไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาจารึกพิสดารไปได้หลายส่วนล่ะก็ เขาไม่มีวันได้อ่านข้อมูลในส่วนนี้เลย เพราะมันต้องทำความเข้าใจเรื่องก่อนหน้ามากมายมาก่อน


 


ต้วนหลิงเทียนยังมั่นใจว่ากระทั่งป๋ายลี่หงเอง ก็ไม่อาจอ่านหยกบันทึกมาถึงส่วนนี้ได้ เพราะจนปัญญาจะฝึกเคล็ดความช่วงแรก…


 


ในเมื่อข้อมูลในหยกบันทึกนั้น ไม่ใช่อะไรที่ทำความเข้าใจได้ง่ายๆ แถมหากไม่ทำความเข้าใจเรื่องราวก่อนหน้าให้ถ่องแท้ ก็ไม่อาจได้อ่านข้อมูลบทที่ยากกว่าด้วยซ้ำ ก็ยากที่จะมีใครรับทราบถึงเรื่องอาคมมาร!


 


หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนสามารถฝึกเคล็ดจารึกพิสดารกระทั่งใช้ออกได้ดั่งใจสำเร็จเคล็ดความบทหน้า ก็คงไม่มีวันได้อ่านถึงบทอาคมมารที่อยู่ในเคล็ดความบทหลัง!


 


‘ลองไปบ้านสกุลซือถูดูก่อนแล้วกัน…หากยืนยันได้ว่าเป็นฮ่องเต้คิดสังหารองค์ชายใหญ่จริง ข้าก็แค่วางมือเรื่องนี้เสีย จะให้ไปจมปลักโคลนพัวพันกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงฝูเฟิงก็ใช่ที่ เกิดผิดใจกับฮ่องเต้ขึ้นมาทีนี้ได้มีปัญหาตามมาเป็นพืดแน่’


 


หลังจากรับประทานอาหารทั้งดื่มสุราที่สั่งมาหมด ต้วนหลิงเทียนก็เรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงิน ก่อนที่จะสอบถามข้อมูลอะไรเพิ่มเติม


 


หลังจากรับทราบที่ตั้งบ้านสกุลซือถูแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปทันที


 


ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงฝูเฟิง อาณาบริเวณของตระกูลซือถูนับว่ากว้างใหญ่ไพศาลนัก ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยซ้ำ


 


ต้องทราบด้วยว่าสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าเขา…


 


หากแต่ตระกูลซือถูกลับตั้งอยู่ในเมือง ซึ่งที่ดินมีค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก!


 


เพราะอย่างไรเสียสายแร่หินเซียนระดับ 6 ที่ราชวงศ์ฝูเฟิงควบคุมอยู่ก็อยู่ในเมืองแห่งนี้ นั่นทำให้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเมืองหลวงเป็นอะไรที่ดีมาก…อีกทั้งที่ตระกูลซือถูก็มีสายแร่หินเซียนระดับ 7 ทำให้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเขตตระกูลซือถูยังเหนือกว่าสำนักจันทร์จรัสแสง!


(เผื่อลืม มีสายแร่ย่อมดีกว่าชีพจรวิญญาณ เพราะชีพจรวิญญาณที่สั่งสมพลังนานๆจะกลายเป็นสายแร่ ให้ขุดหินเซียนอะไรมาใช้ได้)


 


เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแจ้งกับผู้เฝ้าประตูว่ามาด้วยเหตุอะไร คนเฝ้าประตูจึงรีบกลับเข้าไปรายงานด้านในทันที


 


ครู่ต่อมาก็ปรากฏชายชราเร่งรุดออกมา ผู้ที่ไปแจ้งก็ติดสอยห้อยตามมาด้านหลัง


 


ชายชราคนนี้แลดูรูปร่างธรรมดา หากแต่ประกายตากลับแหลมคมเผยไหวพริบไม่น้อย มองปราดเดียวก็บอกได้ทันทีว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม


 


“เจ้ามั่นใจหรือ?”


 


ทันทีที่ชายชราออกมาก็ไม่ได้กล่าวทักทายอะไรให้มากความ จับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็งแล้วเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกมาทันที พยายามยืนยันว่าต้วนหลิงเทียนมั่นใจจริงหรือไม่


 


ได้ยินคำถามของชายชราสีหน้าท่าทางต้วนหลิงเทียนยังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวตอบออกไปอย่างเฉยเมย “แทนที่ท่านจะเสียเวลาถามข้าว่ามั่นใจหรือไม่ ไฉนไม่ลองให้ข้าเข้าไปดูอาการคุณชายใหญ่ดู…ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกท่านควรกระทำเสมือน ‘เห็นม้าตายแล้วรักษาดุจม้าเป็น’ หรอกหรือ?”


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา สีหน้าชายชราพลันมืดลงทันใด “เจ้ากล้าเทียบคุณชายใหญ่เรากับม้าตายงั้นรึ!?”


 


ทันใดนั้นคนของตระกูลซือถูที่อยู่รอบๆพลันมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเอาเรื่องทันที คล้ายขอเพียงชายชราสั่งแม้ครึ่งคำ พวกมันจะลงมือทุบตีผู้คนเสีย!


 


“ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วตระกูลซือถูของพวกเจ้ายังไม่ได้ร้อนใจอะไรสักเท่าไร…เช่นนั้นก็ทำเหมือนว่าข้าไม่เคยมาเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา และทำท่าเหมือนกับจะจากไป


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันกลับไป ชายชราก็กล่าวออกมาเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าหากเจ้าเห็นคุณชายใหญ่ของพวกเราแล้วจักมีหนทางรึ? เจ้าคิดจริงๆว่าตระกูลซือถูของเราใช้การมิได้ขนาดนั้น?”


 


“จะเอาก็เข้ามา!”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงเย็นอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าชายชราน่าจะลงมือจู่โจมนั้นเอง พลันเกิดเรื่องเหนือคาดขึ้น


 


“เชิญท่าน”


 


ชายชราไม่เพียงไม่ลงมือ หากแต่ยังผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้าไปด้านในด้วยความสุภาพ


 


ฉากนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปเล็กน้อย


 


ผู้ดูแลบ้านซือถูนี่สติไม่สมประกอบรึยังไง? หรือชอบชวนผู้อื่นทะเลาะ?


 


“คุณชายท่านนี้ข้าต้องขออภัยกับกริยามิสุภาพก่อนหน้าด้วย ข้าเพียงต้องการแน่ใจว่าท่านมีวิชาสามารถจริงๆ เพราะยามนี้คุณชายใหญ่ของเราอาการทรุดหนักเลวร้ายยิ่ง แทบมิอาจทานทนรับความเจ็บปวดไหวอีกแล้ว…”


 


เมื่อเห็นสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียน ชายชราพลันกล่าวออกมาหน้าสลด แววตาทุกข์ใจและกังวลนัก


 


“แล้วตอนนี้เจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าข้ามีสามารถจริงๆ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามชายชราด้วยรอยยิ้ม


 


“เห็นท่าทางมั่นใจของคุณชายท่านนี้ ก็มากเกินพอแล้วที่ข้าจักให้คุณชายลองดูอาการของคุณชายใหญ่ดู…อย่างที่ท่านกล่าว…ยามนี้พวกเราเห็นม้าตายรักษาดุจม้าเป็นแล้วจริงๆ…”


 


ชายชรากล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“นำทางไปเถอะ”


 


ได้ยินคำนี้ของชายชราต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขบขันในใจ สีหน้ามืดลงทั้งสงสัยก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น


 


และมีคำกล่าวที่ว่า ‘ยากจะตบหน้าผู้ที่กำลังยิ้ม’ ในเมื่ออีกฝ่ายจริงใจมา เขาก็ไม่อาจผลักไสได้


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาคิดตั้งหลักในเมืองหลวงประเทศฝูเฟิงจริงๆ ตระกูลซือถูนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


หลังจากที่เข้ามาด้านในตระกูลซือถู ฉากที่ผู้คนมากมายคารวะทักทาย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างโดยรอบก็ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายไม่น้อย


 


สมแล้วที่เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงประเทศฝูเฟิง เพียงการตกแต่งลานด้านหน้า สวนจำลองและอาคารทั้งหลายก็นับว่าวิจิตรงดงามสมฐานะ เปิดหูเปิดตาผู้คนไม่น้อย อย่างน้อยๆการประดับประดาตกแต่งของที่นี่ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยพบเจอที่ไหนจะสวยงามและลงตัวขนาดนี้มาก่อน


 


ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบตัวตนของชายชรา


 


ชายชราเป็นผู้ดูแลเรื่องราวภายนอกของตระกูล


 


ถึงแม้ชายชราจะพาเขาเข้ามา แต่ดูๆแล้วชายชราก็คล้ายไม่ได้หวังไว้ว่าเขาจะรักษาคุณชายใหญ่ได้ เสมือนว่าอีกฝ่ายกระทำตามหน้าที่อย่างเป็นทางการมากกว่า…


 


ส่วนฉากเรื่องราวด้านนอก เขาพอเดาได้ว่าสมควรเป็นบททดสอบของตระกูลซือถู


 


หากไม่มั่นใจในตัวเอง…ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาลองให้เสียเวลา!


 


นี่คือทัศนคติของตระกูลซือถู!


 


โดยมีชายชรานำทาง ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินผ่านลานหน้าบ้านของตระกูลซือถู ตัดเข้ามาในเขตที่พักเรื่อยๆ สุดท้ายไปจบที่หน้าประตูใหญ่ที่หน้าแพงกั้นเขตบานหนึ่ง


 


มาถึงหน้าประตูนี้ทั้งชายชราและต้วนหลิงเทียนก็หยุดลง เพราะมีคนเฝ้าหน้าประตูอย่างแข็งขัน


 


‘สมแล้วที่เป็นตระกูลใหญ่ การตรวจตรานับว่าเข้มงวดนัก’


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น ต้องทราบว่าระหว่างทางมาไม่ว่าจะเดินผ่านส่วนไหน ล้วนแล้วแต่มีคนเฝ้าระวังตามจุดต่างๆแน่นหนานัก


 


“คุณชายท่านนี้มาเพื่อดูอาการของคุณชายใหญ่ ช่วยพาคุณชายท่านนี้ไปพบกับผู้ดูแลฝูด้วย”


 


ตอนนี้เองชายชราก็มอบต้วนหลิงเทียนให้เป็นธุระแก่คนของตระกูลซือถูที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังส่วนนี้ หลังจากนั้นก็หันกลับมากล่าวกับต้วนหลิงเทียน “คุณชาย…หากท่านเข้าประตูบานนี้ไป ก็นับเป็นพื้นที่ฝ่ายในของตระกูลซือถูแล้ว…อีกมินานจะมีคนมาพาท่านไปพบกับผู้ดูแลฝ่ายในของตระกูลซือถู ผู้ดูแลฝูก็จักพาท่านไปยังเรือนพักรักษาของคุณชายใหญ่”


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ให้คนของตระกูลซือถูนำเขาไปด้านใน


 


เมื่อเข้ามาถึงฝ่ายในของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียนก็ได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง


 


การตกแต่งของพื้นที่ฝ่ายในเป็นอะไรที่งดงามเสียยิ่งกว่าด้านนอกซะอีก ให้บรรยากาศสดชื่นผ่อนคลายนัก


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้พบกับ ผู้ดูแลฝู ที่ผู้ดูแลฝ่ายนอกกล่าวบอกไว้ อีกฝ่ายกลับเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงามนางหนึ่ง แลดูมีอายุอานามราวๆ 30-40 ปี ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตานางจะเทียบกับคู่หมั้นทั้ง 2 ของเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้บุรุษหลงใหลไม่น้อย


 


หลังจากที่รับทราบจุดประสงค์การมาของต้วนหลิงเทียนก่อนแล้ว พอเห็นต้วนหลิงเทียนนางอดไม่ได้ที่จะพินิจต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า


 


ถึงแม้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า รูปร่างหน้าตามิอาจบ่งบอกอายุที่แท้จริงได้ ทว่ารูปร่างหน้าตาอ่อนวัยทั้งหล่อเหลาของต้วนหลิงเทียน กลับทำให้รู้สึกเสมือนเป็น ‘เด็กน้อยขนอุย’ ที่ไม่อาจทำอะไรจริงจังเรื่องใหญ่ได้…


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมชินชากับทีท่าและทัศนติของสตรีนางนี้ดี แต่เขาไม่ได้นำพาอะไร เพียงมองนางแล้วส่งยิ้มให้บางๆเท่านั้น


 


“เชิญท่านมากับข้า”


 


สตรีงามเพียงกล่าวออกมาเสียงเบาค่อยเดินนำเข้าไป


 


ด้วยทรวดทรงองค์เอวอวบอิ่มส่ายไปมาเป็นจังหวะของนาง พาลให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบมองบันท้ายนางเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มอกุศล…เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของบุรุษเพศ!


 


“ท่านเป็นปรมาจารย์เซียนจารึกกี่ดาวหรือ?”


 


ระหว่างทางสตรีน่าดูพลันกล่าวถามออกมาเสียงใส


 


“ข้าไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียนหรอก”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวตอบกลับแววตาทอประกายวูบหนึ่ง


 


และคำตอบนี้ของเขาทำให้สตรีดังกล่าวถึงกับหยุดเดินทันที ยังหันมามองจ้องเขาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายหัวเสียไม่น้อย “ท่านมิใช่ปรมาจารย์เซียนจารึก? แล้วท่านมาที่นี่ทำอะไร!?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)