War sovereign Soaring The Heavens 1541-1550

 ตอนที่ 1541

 

ทายาทเพียงหนึ่งเดียว


 


เมื่อความเจ็บปวดจี๊ดแล่นวาบจากหน้าขามาถึงสมอง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ฝันไป!


 


ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง!


 


เขาได้รับการถ่ายทอด ‘ยอดใจกระบี่’ ที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางกล่าวว่าเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิต เต๋าแห่งกระบี่ที่ดีที่สุดมาแล้ว!


 


‘ยอดใจกระบี่มันคืออะไรกันแน่ เป็นวิชากระบี่หรือวรยุทธ์เซียนกัน?’


 


ด้วยความอยากรู้ต้วนหลิงเทียนจึงเพ่งจิตนึกถึงองค์ความรู้ที่สถิตย์อยู่ในใจเพื่อหาคำตอบทันที และหลังจากที่อ่านองค์ความรู้ดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้


 


‘ที่แท้…ยอดใจกระบี่ ไม่ใช่ทั้งเคล็ดวิชากระบี่หรือวรยุทธ์อะไร’


 


มันเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตใจสำหรับผู้ฝึกฝนกระบี่!


 


หากคิดฝึกกระบี่ อันดับแรกต้องฝึกฝนจิตใจเสียก่อน!


 


เมื่อใจมีกระบี่ กระบี่อยู่ที่ใจ สรรพสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ!


 


ยอดใจกระบี่!


 


‘เอ่อ…’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นเนื้อหาบางส่วนขององค์ความรู้ เขาอดไม่ได้ที่จะอึ้ง


 


‘บำเพ็ญยอดใจกระบี่จนบรรลุ สรรพวุธทั่วหล้าล้วนสยบศิโรราบ’


 


จากเนื้อหาด้านหลังนั้นเซียนกระบี่ฟงชิงหยางกล่าวไว้อย่างอหังการ ว่ายามใดที่บรรลุใจกระบี่ขั้นสูงสุดศาสตราวุธทั้งมวล…


 


จะยอมศิโรราบ…!


 


กล่าวให้ชัด พวกมันจะยอมจำนนต่อ ยอดใจกระบี่


 


ขั้นสูงสุดของยอดใจกระบี่ เรียกอีกอย่างว่า กระบี่สัมพันธ์จิตใจ…


 


‘ถึงแม้ข้าจะบำเพ็ญยอดใจกระบี่ไม่บรรลุ แต่แค่ขั้นแรกๆก็มีความสามารถอันน่าทึ่งนัก…ถึงมันไม่ใช่วรยุทธ์เซียน แต่กลับเหนือล้ำกว่าวรยุทธ์เซียนซะอีก!’


 


ยิ่งอ่านเคล็ดความและข้อมูลของ ยอดใจกระบี่มากเท่าไหร่ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น


 


ต้วนหลิงเทียนอ่านไล่มาเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นบทสรุปของยอดใจกระบี่


 


แน่นอนว่าก่อนหน้าย่อมมีเนื้อหาเคล็ดความมากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนเพียงมองมันคร่าวๆ


 


เขาแค่อยากรู้ว่าแต่ละขั้นของยอดใจกระบี่คืออะไร แล้วมีความแตกต่างกันอย่างไร


 


ส่วนบทสรุปยอดใจกระบี่นั้น ไม่ได้ซับซ้อนอะไร


 


“ยอดใจกระบี่ เป็นผลของความเพียรพยายามชั่วชีวิตของข้า เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นี้…ถึงแม้ว่ามันจักมิใช่วรยุทธ์เซียน แต่ยังนับว่าเหนือกว่าวรยุทธ์เซียนระดับนภาเสียอีก เคล็ดวรยุทธ์ทั้งหลายในบรรดาวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่นนั้นกล่าวไปยังมิอาจเทียบได้แม้แต่ 1 ใน 10 ของยอดใจกระบี่ข้ายามบรรลุขั้นสูงสุด! เมื่อข้าบรรลุขั้นสูงสุดแล้วตลอดระยะเวลา 10 ปีก่อนที่ข้าจะเยื้องย่างสู่สวรรค์ ก็มิอาจมีผู้ใดรับมือข้าได้อีกเลย…”


 


“และผู้ที่ได้รับยอดใจกระบี่ของข้าไป…จักเป็นผู้สืบทอดของ ‘หมอกพิรุณ’ แต่เพียงผู้เดียว…”


 


ทั้งหมดเป็นบทสรุปที่ว่า


 


แทนที่จะเรียกว่าบทสรุป บอกว่าเป็นข้อความทิ้งท้ายของฟงชิงหยางเสียจะดีกว่า


 


‘กระทั่งวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่นยังเทียบไม่ได้แม้แต่ 1 ใน 10 เลยงั้นเหรอ? แล้วนี่ขั้นสูงสุดของยอดใจกระบี่มันจะร้ายกาจขนาดไหนกัน นี่มันจะไม่เกินจริงไปหน่อยรึไง?’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง ยังคิดไปว่านี่ใช่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นี้กล่าวอวดโอ่ไปรึเปล่า


 


แต่เขารู้ดีว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางไม่จำเป็นต้องกล่าวอวดโอ่อะไร เพราะสุดท้ายแล้วหากอีกฝ่ายกล่าวเกินจริง เรื่องราวคงแดงออกเนิ่นนาน จะเป็นการทำลายชื่อเสียงตัวเองเปล่าๆ


 


เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้โกหก


 


‘ถ้าสิ่งที่ฟงชิงหยางพูดเป็นความจริง…งั้นไม่ใช่ว่าข้ามีสิ่งที่เหนือกว่าวรยุทธ์เซียนระดับนภาโดดเด่นอยู่กับตัวงั้นหรือ!?’


 


สุดท้ายพอคิดได้ถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ลมหายใจยังเริ่มถี่รัวขึ้นมาอย่างยากระงับ


 


“นายน้อย ท่านตื่นแล้วหรือ?!”


 


ด้วยความตื่นเต้นต้วนหลิงเทียนที่ผุดลึกขึ้นมานั่ง ยังลุกขึ้นมายืนพรวดด้วยอาการยินดี ทำให้ฉงเฉวียนตกใจไม่น้อย


 


ไม่นานทุกคนก็รับรู้เช่นกัน


 


“เจ้าหนูหลิงเทียน เจ้าสบายดีรึเปล่า?”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถามด้วยความกังวล


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นไงบ้าง”


 


คนอื่นๆก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความห่วงในเช่นกัน


 


เมื่อเผชิญกับสายตาที่มองมาด้วยความห่วงใยของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย ยิ้มกล่าวตอบออกไปทันที “ข้าไม่เป็นอะไร”


 


“เจ้าหนูเจ้านั่งนิ่งไปกว่าครึ่งปี…สุดท้ายเจ้าจึงเข้าสู่ภวังค์รู้แจ้งอันใดบางอย่างงั้นหรือ?”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถามด้วยความสงสัย


 


“ใช่”


 


ประสบการณ์ที่เขาพบเจอนั้นค่อนข้างอธิบายได้ยากนัก ต้วนหลิงเทียนจึงพยักหน้าตอบรับคำเฟิ่งหวู่เต้าไป


 


จังหวะนี้ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความอิจฉา


 


เพราะสุดท้ายแล้วการรู้แจ้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ


 


มีคำกล่าวไว้ ว่าเมื่อหนึ่งทะยานสู่สวรรค์ กระทั่งไก่สุนัขรอบกายก็ยังพลอยทะยานฟ้าตามติด พวกมันเชื่อว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนต้องยกระดับไปไม่น้อย แถมไม่นานพวกมันก็ต้องพลอยได้อานิงสงค์ด้วยแน่


 


เปรี๊ยะ!!


 


ทว่าก่อนที่คนที่มารุมล้อมต้วนหลิงเทียนจะกล่าวถามอะไรสืบต่อนั้นเอง พลันมีเสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นมาปานฟ้าถล่ม สร้างความตกใจให้ทุกคนไม่น้อย กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เว้น


 


ทันใดนั้นทุกคนก็ทราบได้ทันทีว่าเสียงสนั่นดังกล่าวมาจากไหน


 


วินาทีต่อมาไม่ใช่แค่เพียงต้วนหลิงเทียน กระทั่งคนอื่นๆ ยังหน้าซีดลงทันที


 


เพราะตอนนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ในสองตา คือผาน้ำตกที่มีคำว่า ‘กระบี่’ สลักเอาไว้…มันกำลังแตกร้าว!


 


เสี้ยวพริบตารอยร้าวก็เริ่มแผ่ขยายออกไปดั่งใยแมงมุมอันเขื่อง!


 


คำกระบี่เองตอนนี้ก็เริ่มเลือนหาย!


 


ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!


 


……


 


จากนั้นก็ปรากฏภาพที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง กระทั่งต้วนหลิงเทียนก็จำต้องขมวดคิ้ว


 


เพราะเมื่อผนังผาแตกร้าวมากเข้า ก็มีกลิ่นอายพลังขุมหนึ่งเอ่อล้นออกมา! เป็นปราณกระบี่อันหน้าแน่นที่คล้ายรั่วไหลออกมาจากผาน้ำตก! มันพุ่งออกมาดั่งหมอกควันสีเขียวก่อนที่จะกระจายสลายหายไปในบรรยากาศ และทันใดนั้นเอง…ผาใหญ่ก็ถล่มลงมาทันที!


 


ครึก ครึก ตูม! ตูม!


 


……


 


ด้วยหน้าผามหึมาทรุดทลายลงมา ย่อมบังเกิดฝุ่นดินฟุ้งตลบ แลไปยังคล้ายดอกเห็ดผุดโผล่ขึ้นมาเบ่งบาน ก่อนที่จะกระจายออกไปโดยรอบ!


 


อารามตกใจ ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆไม่ทันได้ป้องกันตัวจากฝุ่นธุลีอะไร ทำให้แต่ละคนถูกเศษฝุ่นเกาะเต็มตัวไปหมด สภาพคล้ายตกถังขี้เถ้ากันมาทั้งสิ้น!


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!?”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆตกตะลึงไม่น้อย


 


มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่พอตระหนักได้ว่าเกิดอะขึ้น และตระหนักได้ว่าทำไมคำ ‘กระบี่’ ถึงหายไปแบบนี้


 


‘เซียนกระบี่ฟงชิงหยางกล่าวบอกเอาไว้ ว่าคำ ‘กระบี่’ มีไว้เพื่อหาผู้สืบทอด…ตอนที่ข้าได้รับเคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ดูเหมือนยังจะกล่าวกำชับเอาไว้อีกว่า…ข้าจะกลายเป็นผู้สืบทอดของ หมอกพิรุณ อะไรซักอย่าง…’


 


‘ทำไมถึงกล่าวไว้ว่าข้าจะเป็นผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียวกันนะ? หรือว่าหลังจากที่ข้าได้รับการยอมรับจากสำนึกเทวะที่สถิตย์อยู่ในคำ ‘กระบี่’ นั่น จนได้รับการถ่ายทอดยอดใจกระบี่มาแล้ว…ไม่เพียงแต่ที่ทวีปเมฆาล่อง กระทั่งทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีป…คำ ‘กระบี่’ แบบนี้ก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน?’


 


พอคิดถึงช่วงหลัง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคาดเดาออกมา


 


แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของต้วนหลิงเทียนฝ่ายเดียว เขาเองก็ไม่แน่ใจเต็มสิบส่วน


 


แต่เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้ก็คือ ทันทีที่ผาน้ำตกที่สลักคำกระบี่ไว้เบื้องหน้ามันพังทลายลง สถานการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับทวีปมนุษย์อีก 2 ทวีปเช่นกัน


 


ทวีปมนุษย์ 1 ในนั้นไม่มีอะไรมาก เพราะไม่มีผู้ใดพบเจอคำ ‘กระบี่’ แบบนี้


 


ทว่าทวีปมนุษย์อีกที่นั้นถูกคนค้นพบมานาน กระทั่งผู้ค้นพบยังถึงกับก่อตั้งนิกายเพื่อครอบครองคำ ‘กระบี่’ เอาไว้เพียงผู้เดียว สุดท้ายยังกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายด้วยซ้ำ


 


อนิจจาวันนี้เป็นวันที่ถูกกำหนดไว้ให้คนในนิกายต้องจดจำไปชั่วกาลนาน…


 


นั่นเพราะหน้าผาศักดิ์สิทธิ์ที่สลักคำ ‘กระบี่’ เอาไว้ของพวกมัน…ได้พังทลายลงแล้ว!


 


ตอนแรกศิษย์ที่ได้รับหน้าที่เฝ้าก็ตกตะลึงพรึงเพริดไม่น้อย เมื่อพบว่าอยู่ดีๆ ผากระบี่เทวะของพวกมันบังเกิดรอยร้าว…สุดท้ายมันก็เร่งส่งสัญญาณฉุกเฉิน ทำให้ระดับสูงของนิกายมารวมตัวกันในพริบตา


 


‘ผากระบี่เทวะ’ ของนิกายพวกมัน กลับพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ภาพนี้สะท้านใจพวกมันสุดที่จะกล่าวออก!


 


“ผากระบี่เทวะทลายแล้ว…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามิมีอีกแล้ว หรือนี่จักเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์พวกเรากัน ที่ครอบครองมันเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว…”


 


เมื่อได้เห็นภาพการล่มสลายของสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ระดับสูงของนิกายอดไม่ได้ที่จะปวดปร่าใจ ทั้งยังตื่นตระหนกกันไม่น้อย


 


ในอดีตนั้น ต้องทราบด้วยว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายที่ร้ายกาจที่สุด ยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ไว้บนหน้าผากระบี่เทวะ…


 


อนิจจาบัดนี้ผากระบี่เทวะทลายลงกลับพังทลายกลายเป็นฝุ่นธุลี…


 


หากไม่ใช่สวรรค์ลงโทษแล้วจะเป็นอะไรได้?


 


ใตหล้านี้ยังจะมีใครทรงพลังทำอย่างนี้ได้อีก?


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ที่ผากระบี่เทวะของพวกมันพังทลายลงมานั้น…เพราะผากระบี่เทวะในสายตาของพวกมัน ได้ค้นพบผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว


 


เมื่อพบผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว คำ ‘กระบี่’ ก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป


 


หากพวกมันรู้เหตุผลเรื่องนี้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียน พวกมันอาจข้ามน้ำข้ามทะเลมานับหมื่นแสนลี้เพื่อร้องหาความรับผิดชอบจากต้วนหลิงเทียนก็เป็นได้…


 


ตอนนี้เมื่อผาน้ำตกทั้งคำ ‘กระบี่’ พังทลายลงไปหมดแล้ว หุบเขากระบี่แห่งนี้ก็คงเหลือแต่ชื่อ…


 


ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ลอยร่างขึ้นมาเหนือหุบเขาเพื่อหลบฝุ่นดิน


 


“ทุกคน ข้าคิดจะเดินทางกลับสำนักจันทร์จรัสแสงที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…แล้วทุกคนล่ะ คิดจะทำอะไรต่อไปกันเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ค่อยกล่าวถามออกมา


 


ตอนนี้ทวีปเมฆาล่องไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเขา มิหนำซ้ำคู่หมั้นทั้ง 2 ของเขาเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน คนอื่นๆก็เงียบไปพักหนึ่ง


 


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกมันล้วนใช้ชีวิตอยู่กันบนเกาะป้านเยว่ และนับว่าคุ้นชินกับเกาะป้านเยว่แล้ว


 


อนิจจาตอนนี้เกาะป้านเยว่กลับพินาศสิ้น อีกทั้งการย้อนกลับไปก็มีความเสี่ยงไม่น้อย


 


ตอนนี้พวกมันเลยไม่รู้จะไปไหน


 


“ต้วนหลิงเทียน ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันเป็นสถานที่อย่างไรหรือ?”


 


เฉินเฉ่าช่วยเป็นคนแรกที่ตอบออกมา มันถามต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ


 


“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินก็นิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวเรื่องราวดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทั้งหมดที่เขารู้ออกมา ขณะเดียวกันเขาก็บอกถึงสถานภาพของเขาในตอนนี้


 


“หากทุกคนอยากไปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็สามารถมากับข้าได้…ด้วยมีศิษย์พี่ของข้าอยู่ ทุกคนสมควรปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ”


 


วาจาท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวรับประกันออกมามั่นเหมาะ


 


เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเองก็บังเกิดความสนใจในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อยหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากต้วนหลิงเทียน


 


ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ไม่เพียงแรงโน้มถ่วงที่มหาศาลขึ้น ก็ไม่มีอะไรที่ทวีปมนุษย์อื่นๆและทวีปเมฆาล่องแห่งนี้เทียบได้เลย…กระทั่งยอดฝีมือด่านพลังจักรพรรดิ ก็ไม่นับเป็นตัวอะไร


 


สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ หินเซียน และวรยุทธ์เซียนนั้น ยังเป็นอะไรที่เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆให้ความสนใจนัก


 


“ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์แล้วหรือ?”


 


หนานกงยี่มองต้วนหลิงเทียนเขม็งพร้อมถาม

 

 

 


ตอนที่ 1542

 

หานจิ้นเหนียน


 


จากที่ต้วนหลิงเทียนเล่า คนอื่นๆนอกเหนือจากเฉินเฉ่าช่วยก็ได้รับรู้เรื่องผู้ฝึกตนขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ว่าเป็นอะไรที่เหนือกว่าจักรพรรดิยุทธ์และจักรพรรดิปีศาจมากนัก!


 


“หลุดพ้นมนุษย์?”


 


หลังได้ยินคำถามนี้ของหนานกงยี่ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวออกมาเบาๆ “ข้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์”


 


“เป็นไปได้ยังไง?!”


 


ได้ยินคำนี้ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆไม่มีใครเชื่อ “หากเจ้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์แล้วไหงเจ้าพาพวกเราเหาะมานี่ได้ไวนักเล่า?”


 


“นั่นสิ! ตอนเจ้าพาพวกเราบินมา มันเร็วจนข้ามองอะไรรอบๆไม่ทันเลยด้วยซ้ำ!”


 


“ต้วนหลิงเทียนเจ้าล้อพวกเราเล่นหรือ…ถึงข้าจะยังไม่บรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิ แต่ข้ารู้ดีว่าไม่มีตัวตนจักรพรรดิคนไหนบรรลุความเร็วระดับนั้นได้”


 


……


 


ทุกคนไม่มีใครเชื่อ เฉินเฉ่าช่วย หนานกงยี่ และหนานกงเฉินถึงกับถามออกมาติดๆกัน


 


“ข้าแค่บอกว่าไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ แต่ข้าไม่ได้บอกว่ายังอยู่ที่ด่านพลังจักรพรรดิ…”


 


ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มออกมาแห้งๆ ก่อนที่จะส่ายหัวไปมา


 


“เจ้าหมายความว่า…”


 


ทุกคนอึ้งไปทันใด


 


สุดท้ายเป็นเฟิ่งหวู่เต้าที่กลับมามีสติคนแรก และตระหนักได้ว่ามันคืออะไร พลันถามออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เจ้าหนูหลิงเทียน…หรือเจ้าข้ามผ่านขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์จนบรรลุด่านพลังที่สูงกว่านั้นไปแล้ว!?”


 


ทันทีที่เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถามออกมา ทุกสายตาก็หันไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนทันที


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนี้ข้าอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็อธิบายให้เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆฟังถึงด่านพลังในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…และนั่นทำให้ทุกคนรู้ว่าขอบเขตสู่เซียน เป็นขอบเขตที่เหนือกว่าหลุดพ้นมนุษย์!


 


ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังได้รับทราบขั้นต่างๆในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์และสู่เซียนอีกด้วย


 


สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ ก็เหมือนสู่เซียนขั้นที่ 4!


 


พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกลับประสบความสำเร็จ และมีด่านพลังฝึกปรือก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเวลาแค่ 3 ปี ทั้งหมดก็ตะลึงงันไปไม่น้อย


 


พอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ลมหายใจยังถี่รัวขึ้นมาชัดเจน!


 


“สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันน่าทึ่งขนาดนั้นเลยหรือ?!”


 


เฉินเฉ่าช่วยอุทานออกมา


 


“นั่นสิ! ถึงแม้พรสวรรค์แต่กำเนิดของเจ้าจะสูงล้ำ แต่เจ้ากลับก้าวหน้าได้อย่างเหลือเชื่อนัก! ต้วนหลิงเทียน…ถึงแม้พรสวรรค์ของข้าจะไม่ได้มากเท่าเจ้า แต่พลังฝึกปรือข้าในช่วง 3 ปีนี้ ยังไม่อาจเทียบได้กับ 1 ใน 10 ของเจ้าด้วยซ้ำ”


 


หนานกงยี่กล่าวออกมาอย่างสะทกสะท้อน


 


ถึงแม้หนานกงเฉินจะไม่ได้กล่าวคำใดออกมา แต่แววตาร้อนแรงแฝงความมุ่งมั่นก็เผยอารมณ์ของมันดี


 


เรียกว่าจังหวะนี้เฟิ่งหวู่เต้าและทุกคน บังเกิดความมุ่งมาดปรารถนาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อย!


 


มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มออกมา เพราะเขารู้ได้ทันทีว่าเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆได้ตัดสินใจกันแล้ว


 


เหตุผลที่ทำให้ทุกคนบังเกิดความคิดเช่นนี้ เพราะทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรจากหนานกงยี่


 


ทุกคนรู้สึกว่าสมควรเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนบรรลุพลังฝึกปรืออันน่าเหลือเชื่อในเวลาแค่ 3 ปี…


 


แต่ทั้งหมดไม่ได้รู้เลย…ว่าที่ด่านพลังของต้วนหลิงเทียนก้าวหน้ามาถึงขนาดนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะ เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!


 


อย่างไรก็ตามเรื่องเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนไม่สะดวกที่จะกล่าวถึง


 


ไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่ตัว แต่เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันกับที่เขาไม่บอกป๋ายลี่หง


 


เฟิ่งหวู่เต้าและทั้งหมดในที่นี้ยินดีตกตายไปพร้อมกันกับเขา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดว่าใครในนี้จะทรยศเขาได้…อย่างไรก็ตามภายใต้ทักษะวิญญาณลี้ลับอ่านความคิดบางประการ รวมไปถึงวิชาน่ากลัวจำพวกควาญวิญญาณนั้น…เป็นอะไรที่ทุกคนไม่อาจควบคุมได้!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมกังวลเรื่องนี้มากที่สุด


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะสาดน้ำเย็นปลุกสติทุกคนให้ตื่นจากฝัน เรื่องคิดไปว่าที่พลังฝึกปรือเขาก้าวหน้าฉับไว้ล้วนเป็นเพราะทรัพยากรบ่มเพาะและสภาพแวดล้อม


 


ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะไม่ได้เลิศล้ำอย่างที่ทุกคนคิด แต่อย่างน้อยๆมันก็ดีกว่าที่ทวีปเมฆาล่องเกินครึ่ง…โดยเฉพาะในสำนักจันทร์จรัสแสง มันเหนือกว่าขุมพลังชั้น 8 และขุมพลังชั้น 9 มากมายนัก


 


“หลิงเทียน…แล้วตอนเจ้าอยู่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เจ้าได้ข่าวคราวของหวู่เอ๋อบ้างหรือไม่?”


 


พอได้ฟังเรื่องดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เฟิ่งหวู่เต้าพลันคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมาไม่น้อย มันจึงมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวลใจใคร่รู้


 


“ลุงเฟิ่งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านับว่าใหญ่กว่าทวีปเมฆาล่องมากจนไม่อาจเปรียบกันได้เลย…อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าขุมพลังที่พาเทียหวู่ไป ไม่น่าจะใช่ขุมพลังยิ่งใหญ่อะไร และข้าเองก็ฝากศิษย์พี่ที่ดีกับข้าให้ช่วยหาเบาะแสของเทียนหวู่แล้ว…หากมีข่าวอะไร ศิษย์พี่ของข้าย่อมรีบบอกข้าทันที”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเฟิ่งหวู่เต้า


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยลืมเฟิ่งเทียนหวู่


 


ดังนั้นแล้วหลังจากที่ป๋ายลี่หงรับเขาเป็นศิษย์น้องไม่นาน เขาก็ขอแรงอีกฝ่ายให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ทันที


 


และป๋ายลี่หงก็ใช้เส้นสายที่มี คอยหาข่าวคราวเกี่ยวกับเฟิ่งเทียนหวู่อยู่เสมอ


 


แน่นอนว่าแม้ป๋ายลี่หงจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว แต่อย่างไรเส้นสายของมันก็มีจำกัด ขอบเขตที่มันสามารถค้นหาได้ก็มีแต่ในขุมพลังชั้น 7 ชั้น 8 และชั้น 9 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น


 


หากเฟิ่งเทียนหวู่ถูกคนของขุมพลังชั้น 6 พาตัวไป หรือขุมพลังที่มีระดับสูงกว่านั้น น่ากลัวว่าต้องให้เฟิ่งเทียนหวู่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนโด่งดังเสียก่อน…หาไม่แล้วคงยากที่ป๋ายลี่หงจะรับทราบได้ด้วยสายสัมพันธ์ที่มี


 


กระทั่งตรวจสอบแค่ในบรรดาขุมพลังชั้น 7 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็นับว่ายากเย็นแล้ว


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องขุมพลังชั้น 8 กับชั้น 9 ที่มีมากมายนับไม่ถ้วนเลย


 


“อืม…”


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เฟิ่งหวู่เต้าพยักหน้ารับคล้ายโล่งใจ แต่อารมณ์ยังหนักอึ้งไม่น้อย


 


ในกาลก่อนแม้จะรับทราบว่าบุตรีคนเดียวสมควรถูกพาตัวไปยังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่มันก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามากนัก จึงไม่ได้ห่วงกังวลอะไรมากเกินไป


 


แต่พอได้รับทราบเรื่องราวของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันอดกังวลขึ้นมาเสียไม่ได้


 


ความป่าเถื่อนและอันตรายของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังนับว่าโหดร้ายกว่าทวีปเมฆาล่องเสียอีก


 


ที่นั่นสุดยอดฝีมือของทวีปเมฆาล่องอย่างจักรพรรดิยุทธ์กับจักรพรรดิ์ปีศาจ ล้วนเป็นแค่ตัวตนต้อยต่ำให้ทุกคนย่ำเหยียบ!


 


ในเมื่อเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่ทวีปเมฆาล่องสืบไป


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นเขามีเรื่องที่ต้องไปจัดการเสียก่อน


 


“ลุงเฟิ่ง ครู…พวกท่านรอข้าที่นี่ครู่หนึ่ง ข้ามีบางอย่างต้องไปทำ ข้าจะรีบกลับมา”


 


หลังจากกล่าวแจ้งเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน ดิ่งลงใต้ด้วยความเร็วสูงสุด


 


ตอนนี้ด้วยด่านพลังสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ คิดเดินทางออกจากอาณาจักรพนาครามไปยังอาณาจักรนภาล่อง ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 10 ลมหายใจเท่านั้น…


 


ที่เขากลับมายังอาณาจักรนภาล่องนั้นมีเหตุผลเดียวเท่านั้น คือแจ้งสหายอันดีของเขาให้รับทราบว่า เขากำลังจะไปไหน


 


‘หากเสี่ยวเฟยเอ๋อกับพวกเจ้าตัวเล็กไปหาเฉวี่ยไน่จริง วันหน้าพวกนางต้องย้อนกลับมาแน่…เมื่อเห็นว่าเกาะป้านเยว่ถูกทำลาย เสี่ยวเฟยเอ๋อย่อมมีไหวพริบมากพอจะนึกถึงอาณาจักรนภาล่อง’


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงกลับมายังเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง และกล่าวถึงที่อยู่ของเขาให้สหายเก่ารับทราบเอาไว้


 


ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาดำเนินการไม่นานก็จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น


 


และไม่ถึง 20 ลมหายใจต้วนหลิงเทียนก็กลับมารวมตัวกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ หลังจากกล่าวบอกอะไรอีกเล็กน้อยเขาก็นำพาทั้งหมดมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไม่นานก็ออกจากทวีปเมฆาล่อง


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดเดินทางผ่านเกาะป้านเยว่ แต่ใช้การอ้อมไกลๆเอา


 


ใครจะไปรู้ว่าตี้จิ่วจะเฝ้าปากโพรงกระต่ายบนเกาะป้านเยว่อยู่หรือไม่?


 


เขาไม่กล้าเสี่ยง


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงต้องไปทิ้งข้อมูลเอาไว้ที่อาณาจักรนภาล่อง ไม่คิดไปทิ้งเบาะแสอะไรไว้ที่เกาะป้านเยว่


 


ตอนที่ไปจัดการทิ้งข้อความไว้ในอาณาจักรนภาล่องนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ฝากสหายและคนรู้จักไว้แต่ข้อความปากเปล่าอย่างเดียว เขายังทิ้งหยกบันทึกเสียงเอาไว้ด้วยเช่นกัน


 


ในหยกบันทึกเสียงมีข้อความที่เขาเตียมไว้ให้ลี่เฟย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเค่อเอ๋อถูกพาตัวไปและจุดหมายปลายทางของเขา


 


เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่คิดเหินผ่านเกาะป้านเยว่ เขาจึงไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้เกาะป้านเยว่ได้จมลงสู่ก้นสมุทรไปแล้ว…โลกนี้จึงไม่มีเกาะป้านเยว่อยู่อีกต่อไป


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาเฟิ่งหวู่เต้าและคนทั้งหมดกลับสำนักจันทร์จรัสแสงของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้นเอง


 


ที่ไหนสักแห่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ปรากฏร่าง 4 ร่างที่แลดูอิดโรยเหนื่อยล้าจากการเดินทาง กำลังมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสูงแห่งหนึ่งที่มีม่านเมฆหมอกปกคลุมมิดชิด


 


เมื่อทั้ง 4 ร่างเข้าใกล้เขาลูกนั้น…ไม่ทันที่จะได้แหวกฝ่าม่านเมฆหมอกลงไป ก็ปรากฏผู้คนเหินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน


 


เป็นชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินรูปแบบเดียวกัน 3 คน และชายหนุ่มในชุดปกติ 2 คนที่ขวางทั้ง 4 เอาไว้


 


ชายหนุ่ม 1 ใน 2 คนนั้นแต่งตัวหรูหรามีระดับ พิจารณาจากท่วงท่าการแสดงออกของมันคล้ายเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่ง…ส่วนชายหนุ่มอีกคนมาในชุดปกติ ยังยืนประกบหลังชายหนุ่มแลดูมีระดับเอาไว้ คล้ายเป็นผู้ติดตาม


 


ชายหนุ่มในชุดหรูหรา…ท่าทางยังเป็นผู้นำของกลุ่มคน 5 คนนี้อีกด้วย


 


“พวกเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้กล้าบุกรุกอาณาเขตคฤหาสน์คลื่นขจีของสกุลหาน!?”


 


ชายในชุดหรูหรากล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ตั้งแต่ที่ทั้ง 4 ปรากฏตัวออกมา มันยังไม่คิดจะเหลือบแลให้ชัดเสียด้วยซ้ำ


 


“นายน้อย! สาวงาม! สาวงามขอรับ!!”


 


ชายในชุดหรูหรากล่าวจบไม่ทันไร เสียงชายหนุ่มด้านหลังก็กระซิบบอกมาอย่างตื่นเต้น สุดท้ายยังกล่าวออกด้วยอาการเสียดาย “น่าเสียดาย…ที่นางกลับตั้งครรภ์อยู่”


 


สาวงาม!?


 


หลังได้ยินเสียงกระซิบจากผู้ติดตาม ชายหนุ่มในชุดหรูหราพลันบังเกิดความสนใจทันที มันเงยหน้าขึ้นมามองสำรวจคนทั้ง 4 ที่พึ่งมาถึง


 


ลูกตาของมันถูกร่าง 1 ในนั้นดึงดูดความสนใจไปทันที


 


เป็นสตรีที่มีรูปร่างเย้ายวนปานปีศาจสาว ทว่าใบหน้ากลับงดงามปานเทพธิดา…รูปลักษณ์นี้กล่าวว่างามล่มเมืองก็ไม่นับว่าเกินเลย สภาพแวดล้อมรอบกายนางยังแลดูหม่นหมองไปถนัดตา


 


ที่สำคัญคือความรู้สึกที่นางให้ออกมา นับว่ามีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลไม่น้อย!


 


มันเองก็พบพานสาวงามมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่มันพบพานสาวงามทั้งให้ความรู้สึกยั่วใจ มากเสน่ห์ถึงเพียงนี้


 


“ตังครรภ์แล้วอย่างไร?”


 


แม้จะแลเห็นหน้าท้องของสตรีโฉมงามที่โห่งนูนออกมา ชายหนุ่มในชุดหรูหราก็ไม่แยแสเพียงกล่าวคำเย้ยออกมากับสุนัขรับใช้ด้านข้างอย่างชั่วร้าย “ข้าหานจิ้นเหนียนเองก็เชยชมสตรีมานับมิถ้วน…ทว่ากับสตรีตั้งครรภ์ยังมิเคยลองมาก่อน…โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ที่งดงามมากเสน่ห์เช่นนี้!!”


 


“แม่นางท่านนี้ มิทราบเจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”


 


ใบหน้าหานจิ้นเหนียนเปลี่ยนจากเฉยเมยไม่แยแส กลับกลายเป็นกระตือรือร้นเร่งมาต้อนรับทันที


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้หานจิ้นเหนียนจะเต็มไปด้วยเจตนาอกุศล แต่กลับไม่เผยความชั่วร้ายให้เห็นบนใบหน้าแววตาแม้แต่น้อย มีเพียงประกายตาชั่วร้ายที่สว่างวาบขึ้นมาวูบเดียวก่อนหน้าเท่านั้น


 


ตอนนี้ท่าทางมันแลดูไม่ต่างอะไรจากชายหนุ่มสุภาพแสนดีดั่งวิญญูชนของตระกูลสูงศักดิ์แม้แต่น้อย!

 

 

 


ตอนที่ 1543

 

คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน หานเฉวี่ยไน่


 


และนี่นับเป็นสันดารของหานจิ้นเหนียน


 


โดยปกติแล้วสตรีที่มันสนใจ มันจะใช้ความสุภาพแสนดีเข้าไปเกี้ยวพาราสีก่อน แต่หากไม้นี้ไม่สำเร็จมันก็จะใช้กำลังบังคับข่มเหงทันที!


 


ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงทุกวันนี้…จึงไม่มีสตรีใดพ้นมือมารของมัน!


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


ตอนนี้เองร่างเล็กๆ 3 ร่างพลันมายืนเรียงหน้ากระดานกั้นสตรีท้องโตกับหานจิ้นเหนียนเอาไว้


 


เป็นเด็กชายตัวน้อย กับเด็กหญิงตัวน้อย 2 คน ทั้ง 3 จับจ้องมองหานจิ้นเหนียนด้วยสายตาระวัง


 


เห็นร่างเล็ก 3 ร่างมาบังสตรีเลอโฉมเช่นนี้ หน้าหานจิ้นเหนียนก็มืดลงทันที


 


แต่พอคิดได้ว่าจังหวะนี้ต้องตีหน้าหล่อให้หญิงงามประทับใจ สีหน้ามันก็ผ่อนคลายลงทันที ยังคงมองสบตาสตรีที่หมายตาพร้อมรอยยิ้มดั่งสุภาพชน “ข้าคือหานจิ้นเหนียน แห่งคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน”


 


“หึ! นายน้อยของข้าผู้นี้ยังเป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านอาวุโสสูงสุดสกุลหาน”


 


ตอนนี้เองสุนัขรับใช้ที่ติดตามหานจิ้นเหนียนไม่ห่าง พลันกล่าวเสริมออกมา


 


ส่วนชายวัยกลางคนทั้ง 3 เพียงยืนนิ่งๆ หากแต่มองสตรีผู้เลอโฉมด้วยสีหน้าแววตาสงสาร


 


พวกมันบอกได้ทันทีว่าหานจิ้นเหนียนต้องตาพึงใจสตรีที่กำลังตั้งครรภ์นางนี้เข้าให้แล้ว


 


เท่าที่มันรู้หานจิ้นเหนียนหมายตาสตรีนางใด ก็มิเคยรอดพ้นสักราย


 


อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะรู้ดีแต่ก็จนปัญญาที่พวกมันจะทำอะไรได้


 


ใครใช้ให้หานจิ้นเหนียนเป็นบุตรชายของอาวุโสสูงสุดเล่า?


 


และเป็นดั่งที่สุนัขรับใช้หานจิ้นเหนียนกล่าว มันเป็นหลานชายสุดที่รักของอาวุโสสูงสุด!


 


อาวุโสสูงสุดนั้นมีฐานะมิใช่ชั่วในสกุลหาน กระทั่งผู้นำสกุลหานคนปัจจุบันพบเห็นยังต้องเรียกหาด้วยเคารพว่า ‘ท่านลุง’


 


“อ๋อ! ที่แท้เจ้าคือโจรราคะแห่งสกุลหาน ที่พี่สาวเฉวี่ยไน่เคยกล่าวบอกเอาไว้นี่เอง!”


 


เด็กหญิงตัวน้อยในชุดสีทอง กล่าวออกมาด้วยแก้มอมชมพู สองตากลมโตพยักหน้าหงึกๆ


 


ได้ยินวาจานี้ของเด็กหญิงตัวน้อยชุดทอง สุนัขรับใช้ที่ยืนประกบหลังหานจิ้นเหนียนอดไม่ได้ที่จะหน้าเสีย


 


เด็กหญิงนั่นว่าอันใดนะ!?


 


พี่สาวเฉวี่ยไน่?!


 


ใช่นางกำลังกล่าวถึงคุณหนูใหญ่ อันเป็นที่รักของผู้คนสกุลหานหรือไม่? หรืออีกนามหนึ่งคือนางมารน้อยผู้แสนร้ายกาจของสกุลหาน!?


 


“เจ้ารู้จักเฉวี่ยไน่ด้วยหรือ?”


 


ได้ยินวาจานี้ของเด็กหญิงตัวเล็ก หานจิ้นเหนียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วหน้าเสียไปทันที


 


ในสกุลหานนี้มีไม่กี่คนที่ทำให้มันหวาดกลัว


 


อย่างไรก็ตามหนึ่งในนั้น มีนางมารน้อยนั่นรวมอยู่ด้วย!


 


มันเคยถูกฤทธิ์เดชของนางมาแล้ว!


 


ขณะที่คิดสีหน้าหานจิ้นเหนียนก็เริ่มบิดเบี้ยวลงเช่นกัน เพราะฤทธิ์เดชครั้งนั้นของนางมารน้อย ได้ทำให้มันเสียภาพพจน์ต่อสตรีที่มันหมายปองพังยับเยิน!


 


ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้นเองคล้ายสายลมหอบหนึ่งพัดมาอย่างแรง ปรากฏร่างในชุดสีเขียวผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า


 


เป็นสตรีชรานางหนึ่งในชุดสีเขียว


 


นางลอยร่างกลางหาวอย่างเงียบงัน สภาวะร่างกลับคล้ายหลอมกลืนไปกับฟ้าดิน!


 


“ท่านชิงหนู!”


 


เมื่อชายวัยกลางคนทั้ง 3 เห็นร่างผู้มาใหม่ พวกมันไม่กล้านิ่งเฉย รีบเร่งคารวะทักทายด้วยสุภาพทันที


 


“พวกนางเป็นสหายของคุณหนูใหญ่ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”


 


สตรีในชุดเขียวนางนี้ เป็นคนเดียวกันกับสตรีชราที่ติดตามหานเฉวี่ยไน่ไปยังทวีปมนุษย์บ่อยๆ ชิงหนู นางเหลือบมองชายวัยกลางคนทั้ง 3 อย่างไร้แยแสกล่าวออกเสียงเรียบ


 


“ทราบ”


 


ชายวัยกลางคนทั้ง 3 พอได้ยินดังนั้นก็เร่งจากไปทันที ขณะเดียวกันพวกมันก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดมันก็หนีตัวบัดซบไม่เอาไหน ที่วันๆได้แต่อวดโอ่ความมั่งคั่งทั้งย่ำยีสตรีเสียที!


 


“นายน้อย จิ้นเหนียน”


 


หลังจากชายวัยกลางคนทั้ง 3 จากไป ชิงหนูก็หันมามองหานจิ้นเหนียนด้วยความไม่แยแส ค่อยกล่าวทักไปด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ


 


“ชิงหนู พวกนางเป็นสหายของหานเฉวี่ยไน่หรือ?”


 


หานจิ้นเหนียนขมวดคิ้วถาม


 


“อะไร? หรือนายน้อยจิ้นเหนียนคิดอยากไปถามคุณหนูใหญ่ด้วยตัวเอง?”


 


ในน้ำเสียงชิงหนูแฝงความประชดไว้ไม่น้อย ไม่คล้ายนางจะเคารพหานจิ้นเหนียนแต่อย่างใด


 


“นั่นมิจำเป็นหรอก”


 


หานจิ้นเหนียนส่ายหัวไปมา ในลูกตาเผยประกายเย็นชาขึ้นทันใด หากไม่จำเป็นจริงๆ มันไม่อยากไปเจอนางมารน้อยนั่น!


 


ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้นชิงหนูก็สะบัดมือเบาๆ ก่อนที่ร่างนางพร้อม 4 คนด้านหลังจะอันตรธานหายไปในอากาศ


 


ไม่ว่าจะเป็นโฉมงามยากหาผู้ใดเทียบเทียมหรือเด็กตัวเล็กๆทั้ง 3 ต่างอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย!


 


จังหวะนี้ หานจิ้นเหนียนก็ถูกทิ้งไว้ให้ลอยหัวโด่กลางอากาศกับสุนัขรับใช้ที่คอยประจบประแจง 2 คน


 


“นายน้อย พวกเราก็กลับกันเถอะ”


 


เมื่อเห็นว่าหานจิ้นเหนียนท่าทางอารมณ์ไม่ดี สุนัขรับใช้ก็เร่งกล่าวออกมาทันที


 


“กลับไปแล้วช่วยข้าสืบหาประวัติทั้ง 4 นั่นให้ที…โดยเฉพาะสตรีนางนั้น! ข้าต้องได้นาง!!”


 


ตอนนี้นอกจากสุนัขรับใช้แล้วก็ไม่มีใครอื่น หานจิ้นเหนียนย่อมไม่คิดเสแสร้งสร้างภาพอะไร แววตามากราคะเผยให้เห็นชัดเจน เบื้องล่างยังคล้ายพองตัวขึ้นมาไม่น้อย


 


“นายน้อย พวกเราปล่อยนางไปไม่ดีหรือ? ท่านชิงหนูกล่าวว่านางเป็นสหายของคุณหนูใหญ่แบบนี้…หากท่านแตะต้องนาง ข้ากลัวว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ!”


 


สุนัขรับใช้นั้นคล้ายหวาดกลัวหานเฉวี่ยไน่ไม่น้อย ทุกครั้งที่มันกล่าวถึงนางร่างจะสะท้านสั่นกลัวอย่างไม่อาจห้าม


 


“เหอะ! ถ้านางไม่พอใจเรื่องนี้แล้วจะทำไม นางฆ่าข้าได้หรือไร? ถึงนางคิดฆ่าข้าแต่เกรงว่านางเองก็ไม่กล้าลงมือขนาดนั้น! ถึงนางจะไม่ชอบข้า แต่ข้าก็ไม่เชื่อว่านางจะกล้าฆ่าข้าเพราะคนนอก!!”


 


หานจิ้นเหนียนกล่าวออกเสียงเย็น กล่าวเย้ยออกมาหน้าผยอง


 


“ถึงอย่างนั้นคุณหนูเฉวี่ยไน่ก็จัดการมิง่ายเลย…”


 


สุนัขรับใช้ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม


 


“เจ้าไม่ต้องกล่าวแล้ว…ไม่ว่าจะอย่างไรข้าต้องได้สตรีนางนั้น! หากข้าได้กดนางสักครั้ง ให้ข้าโดนนางมารน้อยแผลงฤทธิ์ใส่จนอายุสั้นลงสัก 2-3 ปี จะเป็นอะไรไป!”


 


หานจิ้นเหนียนสะบัดแขนเสื้อดังฝั่บ ไม่ให้สุนัขรับใช้กล่าววุ่นวายอะไรอีก


 


เมื่อสุนัขรับใช้ได้ยินดังนั้นมันก็ได้แต่เงียบปากไปทันที มันอยู่กับนายน้อยผู้นี้มานาน สันดารเป็นอย่างไรไหนเลยไม่รู้ได้ ลองตัดสินใจไปแล้ว ให้เอาม้า 5 ตัวมาลากก็ยากจะหยุด


 


ส่วนอีกด้านนั้น ร่างทั้ง 4 ที่พึ่งมาถึง ก็ถูกชิงหนูนำแหวกม่านหมอกเข้ามาในเขา


 


ด้านหลังม่านหมอก ปรากฏภาพพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลมีอาคารบ้านเรือนต่างๆมากมาย ไม่ต่างอะไรกับอาณาจักรเล็กๆในม่านเมฆ


 


นั่นคือคฤหาสน์คลื่นขจีของสกุลหาน!


 


ทั้ง 4 ที่พึ่งมาถึงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลี่เฟย เสี่ยวเฮย เสียวไป๋ และเสี่ยวจินที่เดินทางหลบหนีออกมาจากเกาะป้านเยว่


 


หลังจากหลบหนีออกมาจากเกาะป้านเยว่ ตอนแรกลี่เฟยก็เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเค่อเอ๋อ จนคิดอยากย้อนกลับไปช่วยหลายรอบ แต่นางรู้ดีว่าย้อนกลับไปก็ไม่ต่างอะไรจากขุดหลุมฝังศพตัวเอง หากนางอยู่ลำพังนางไม่กลัวเลยว่าต้องตายไปพร้อมกับเค่อเอ๋อ


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้นางไม่ได้อยู่คนเดียว!


 


ในท้องของนางยังมีลูกน้อยทั้งคน…เป็นลูกของนางกับชายที่นางรัก!


 


ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนั้นนางจึงตัดสินใจให้ เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจิน พานางกลับมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เร่งรุดมายังคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานเพื่อขอความช่วยเหลือ


 


ไม่ง่ายเลยที่จะมาถึงที่นี่ได้ พวกนางใช้เวลาเดินทางร่วมปี!


 


อย่างไรก็ตามในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง!


 


“พี่หญิงเฟยเอ๋อ!”


 


ไม่นานลี่เฟยก็ได้พบกับหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง เมื่อหานเฉวี่ยไน่เห็นลี่เฟยลูกตานางก็ทอประกายสว่างจ้า เร่งพุ่งมากุมมือลี่เฟยพร้อมกล่าวทักทายทันที “พี่หญิงเฟยเอ๋อ! ไฉนท่านมาถึงนี่ได้เล่า!?”


 


“เฉวี่ยไน่ เจ้าเปลี่ยนไปมากเลย”


 


ได้พบหานเฉวี่ยไน่อีกครั้ง ลี่เฟยอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ


 


หลังจากทะลวงมาถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ รูปร่างของหานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ถูกจำกัดด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะอีกต่อไป นั่นเป็นเหตุผลให้นางเริ่มเติบโตจากดรุณีน้อยเป็นสตรีวัยใสอันงดงาม


 


รูปร่างหน้าตานางไม่ได้ด้อยไปกว่าลี่เฟยเลย


 


“ฮิฮิ”


 


เฉวี่ยไน่ยิ้ม ค่อยหันไปมองถามเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจิน “ไฉนพวกเจ้ามากัน 4 คนเล่า? แล้วพี่หญิงเค่อเอ๋อล่ะ?”


 


“เฮ่อ…”


 


ลี่เฟยถอนหายใจออกมาดังเฮือกทันที พอได้ยินคำเค่อเอ๋อจากปากเฉวี่ยไน่ แววตานางก็เป็นกังวลนัก


 


ตอนนี้ที่นางห่วงที่สุดก็คือความปลอดภัยของเค่อเอ๋อ


 


“เกิดอันใดขึ้น! มีเรื่องอะไรกันแน่!?”


 


หน้าหานเฉวี่ยไน่เปลี่ยนไปทันใด นางสัมผัสได้ว่าเรื่องราวผิดท่าแน่แล้ว!


 


“พี่สาวเฉวี่ยไน่…เกาะป้านเยว่…”


 


ตอนนี้เองสีหน้าเสี่ยวจินก็กลายเป็นคับแค้น พวงแก้มน้อยๆเผยโทสะให้เห็นชัด นางเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะ รวมถึงการมาถึงของตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บทันที


 


สุดท้ายนางยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสลดใจ “ตอนนี้พวกเรามิรู้ด้วยซ้ำว่าพี่สาวเค่อเอ๋อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พี่สาวเฉวี่ยไน่ท่านต้องช่วยพวกเรานะ!!”


 


“เกือบปีที่แล้วงั้นเหรอ…”


 


หานเฉวี่ยไน่พยักหน้ารับ ในใจยังหนักอึ้งไม่น้อย เรื่องราวผ่านมาเกือบปีแล้วตั้งแต่เกิดเหตุ…ไม่ทราบว่าที่เหลือจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร


 


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ฟังว่าผู้บุกรุกกลับเป็นตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ หานเฉวี่ยไน่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบาก


 


ตี้จิ่วนั้น ต่อให้นางที่เป็นคุณหนูใหญ่แห่งคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานยังรู้สึกรับมือไม่ได้ เพราะนางรู้ดีว่ามันคือ 1 ใน 2 มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บแห่งเผ่าพันธุ์มังกร!


 


หากเป็นตี้จิ่วคนเดียวก็ไม่เป็นไร


 


แต่ปัญหาคือเบื้องหลังตี้จิ่วนั่น…คือเผ่าพันธุ์มังกรทั้งเผ่าพันธุ์ ยังทรงพลังยิ่งกว่าตี้จิ่วเสียอีก!


 


“พี่หญิงเฟยเอ๋อท่านสบายใจได้ ท่านเพียงดูแลลูกน้อยในท้องให้ดีและคอยอยู่ที่นี่ ปล่อยให้พวกข้าจัดการเรื่องนี้เอง…พวกท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยมามากกับการเดินทาง ตอนนี้ไปพักผ่อนก่อนเถิด”


 


หานเฉวี่ยไน่กล่าวกับลี่เฟย ค่อยหันไปมองชิงหนู


 


ชิงหนูไม่รอให้หานเฉวี่ยไน่สั่งอะไร นางก็สะบัดมืออีกครานำพาร่างลี่เฟยกับเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ไปยังที่พักทันที โดยไม่มีเวลาให้ลี่เฟยกล่าวอะไรเพิ่มเติม


 


“ตี้จิ่ว มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บแห่งเผ่าพันธุ์มังกร…ข้ากลัวว่ากระทั่งท่านพ่อยังยากจะแทรกแซงเรื่องนี้…ข้าทำได้แค่ไปหาท่านอาจารย์และให้ท่านอาจารย์ออกหน้าสักครั้ง!”


 


หานเฉวี่ยไน่กล่าวพึมพำ ในใจปั่นป่วนวุ่นวาย มือกำแน่นขึ้น


 


“คราวนี้ถึงท่านอาจารย์จะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ข้าก็ต้องพบท่านให้ได้…เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตพี่หญิงเค่อเอ๋อ ดังนั้นข้าไม่ยอมให้เกิดเรื่องเด็ดขาด! ข้าเสียพี่ใหญ่หลิงเทียนไปคนแล้ว ไม่ว่าอันใดข้ามิอาจยอมแพ้เรื่องพี่หญิงเค่อเอ๋อได้…หาไม่แล้ววันหน้าหากข้าเจอพี่ใหญ่ข้าจะกล่าวกับพี่ใหญ่อย่างไร…”


 


ในวาจาของหานเฉวี่ยไน่คล้ายมั่นใจแล้วว่าต้วนหลิงเทียนยังปลอดภัยดีอยู่


 


เหตุผลที่นางมั่นใจเรื่องนี้ก็เพราะอาจารย์ของนาง


 


เมื่อตัดสินใจได้หานเฉวี่ยไน่ก็ออกจากคฤหาสน์ใหญ่โตของสกุลหาน เหินร่างขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของคฤหาสน์สกุลหาน


 


อาจารย์ของนางบ่มเพาะอยู่ที่นั่น!

 

 

 


ตอนที่ 1544

 

กลับมาพบกันอีกครั้ง


 


ร่างหว่างเดินทางกลับสำนักจันทร์จรัสแสงที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งขุ่นมัวนัก


 


ตอนนี้ใจเขาได้แต่คิดถึงและกังวลเกี่ยวกับคู่หมั้นทั้ง 2 ตลอดเวลา


 


เค่อเอ๋อนั้นเขาพอวางใจได้บ้าง ว่านางสมควรปลอดภัยดี


 


ด้านลี่เฟยนั้นแม้เขาจะรู้แล้วว่าเป็นเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 กำลังพากลับไปยังบ้านของหานเฉวี่ยไน่ แต่ระหว่างการเดินทางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ยังเป็นอันตรายที่ยากรับมือเสียอีก


 


จึงทำให้เขายิ่งเป็นกังวลนัก


 


ด้วยเหตุนี้ระหว่างการเดินทาง ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอ่านเคล็ดความของยอดใจกระบี่


 


อย่างไรก้ตามแม้จะไม่ได้อ่านเคล็ดบำเพ็ญจิตใจอย่างยอดใจกระบี่ แต่ยอดใจกระบี่ของต้วนหลิงเทียนก็บรรลุขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว


 


การที่เขานั่งนิ่งไปครึ่งปีไม่ได้เสียเปล่า!


 


สำหรับกระบี่ที่เขาลุกขึ้นมาร่ายรำ จากเรียบง่ายสู่ซับซ้อนระทั่งหวนกลับมาเรียบง่าย ดั่งสูงสุดหวนคืนสู่สามัญนั้น เป็นขั้นแรกของยอดใจกระบี่


 


ขั้นแรกของยอดใจกระบี่ยังเรียกอีกอย่างได้ว่า สัมผัสใจกระบี่


 


ถึงแม้มันจะเป็นเพียงขั้นแรกของยอดใจกระบี่ ทว่าพลังอำนาจของมันกลับก้าวข้ามดาวตกพิฆาต ที่ต้วนหลิงเทียนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิไปแล้วเสียอีก…แน่นอนว่าต้องเป็นการใช้ดาวตกพิฆาตโดยไม่พึ่งพาอาคมเซียน


 


กลาวอีกอย่างได้ว่า เพียงแค่ขั้นแรกของยอดใจกระบี่ พลังอำนาจของมันก็เหนือล้ำไปกว่าวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นเสียแล้ว!


 


ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ยกเว้นครึ่งก้าวเซียนอันเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือที่มีไม่กี่คนในสำนัก เขามั่นใจว่าสามารถเอาชนะครึ่งก้าวเซียนทั่วไป กระทั่งสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้ง่ายดาย กล่าวได้ว่าต่ำกว่าเซียนเกิน 9 ส่วนต้วนหลิงเทียนไม่หวั่นหวาด


 


ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ทำให้การเดินทางราบรื่นนัก เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆไม่พบพานอันตรายใดๆเลย


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็นำพาเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง


 


เวลานี้ต้วนหลิงเทียนนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในสำนักจันทร์จรัสแสงแล้วอย่างแท้จริง


 


ดังนั้นหลังจากที่เขามาถึงสำนัก ตั้งแต่ประตูหน้าก็มีผู้คนรุดมาเคารพทักทายเขาด้วยความสุภาพ ในแววตาของทั้งหมดยังแฝงความนับถือเลื่อมไสให้เห็นชัด


 


กระทั่งเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเองก็ไม่ถูกใครตรวจสอบความเป็นมาอะไร


 


ล้อกันเล่นหรือ!


 


ศิษย์พี่ต้วนผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของพวกมัน ยังเป็นศิษย์น้องของอาวุโสฝ่ายในอย่างป๋ายลี่หง ยังจะมีใครกล้าขวางทางตรวจสอบอะไรคนของเขา?


 


“เฮ่ เจ้าต้วนดูเหมือนศิษย์ในสำนักจะนับถือเจ้าไม่น้อยเลยนี่”


 


เฉินเฉ่าช่วยอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจ


 


คนอื่นๆเองก็ประหลาดใจไม่มากก็น้อยไม่ต่าง


 


ตอนนี้พวกมันยังพบว่าความเคารพนับถือจากเหล่าศิษย์เฝ้าประตูของสำนักจันทร์จรัสแสงยังมาจากใจ!


 


โดยเฉพาะแววตาที่ทั้งหลายใช้มองต้วนหลิงเทียน นั่นคือแววตาที่ใช้มองผู้แข็งแกร่งที่พวกมันเลื่อมไสคิดเอาเป็นแบบอย่าง


 


ทุกคนที่มากับต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอยากรู้นัก ว่าเวลาแค่ 3 ปีต้วนหลิงเทียนทำอะไรไปบ้างไฉนถึงมีชื่อเสียงและเป็นที่นับหน้าถือตาได้ขนาดนี้


 


หากพวกมันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งเข้าสำนักมาได้ปีเดียว ไม่ทราบจะออกอาการอย่างไร


 


“ศิษย์พี่ต้วน!”


 


“คารวะศิษย์พี่ต้วน”


 


“ศิษย์พี่หลิงเทียนท่านสบาย”


 


……


 


ระหว่างทางยิ่งมาก็ยิ่งได้ยินคำทักทายมากขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจแล้ว!


 


เพราะตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนนำทั้งหมดเข้าประตูมาจนเดินมาถึงลานฝ่ายนอก ทุกคนที่เห็นต่างเร่งมาทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความนับถือ กระทั่งยังหันมามองพยักหน้าทักทายพวกมันอย่างดีเช่นกัน


 


เนื่องจากตอนนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ จึงไม่ได้ยิ้มพยักหน้ากลับ เพียงพยักหน้ารับคำทักทายอย่างเฉยเมยหน้านิ่งเท่านั้น


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พาเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเข้าสู่สายใน มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง


 


ด้วยคำขอของต้วนหลิงเทียน ข้ารับใช้ในคฤหาสน์ก็เร่งไปตระเตรียมที่พักให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆทันที…ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้นไปพบป๋ายลี่หงก่อนอื่นใด ส่วนที่เหลือก็ให้รอคอยที่ห้องโถงหลัก


 


“อ้าว ศิษย์น้องไฉนเจ้ากลับมาเร็วนักเล่า?”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนกลับมาเร็ว ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


ไม่ใช่ว่าศิษย์น้องของมันกลับไปพบหน้าภรรยาทั้ง 2 ที่ไม่เจอกันนานหรือไร?


 


“น้องสะใภ้ทั้ง 2 ของข้าเล่า จริงสิแล้วหลานชายของข้าลืมตาดูโลกแล้วหรือไม่ ให้ศิษย์พี่ผู้นี้ไปรับขวัญหลานเร็วๆ!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถามด้วยความคาดหวัง


 


“ศิษย์พี่…”


 


เมื่อได้ยินการถามถึงคู่หมั้นทั้ง 2 จากป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนที่พยายามควบคุมอารมณ์เต็มที่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าปวดปร่า ท่าทางยังอัดอั้นใจไม่น้อย


 


“ข้ากลัวว่าจะทำให้ท่านผิดหวังแล้ว…”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่งเพื่อครองสติ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบป๋ายลี่หงไปเสียงเหนื่อย


 


“เกิดอันใดขึ้น? มีอะไรผิดพลาดงั้นเหรอ!?”


 


หลังจากพบว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ หน้าป๋ายลี่หงก็เปลี่ยนไปทันใด เร่งกล่าวถามออกไปเสียงกังวล


 


เมื่อเห็นป๋ายลี่หงชักสีหน้ากังวลเต็มไปด้วยความห่วงใยถามมา ใจต้วนหลิงเทียนพอได้อบอุ่นขึ้นบ้าง เขาเริ่มอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นอย่างละเอียดให้ป๋ายลี่หงทราบทันที


 


“มะ..มังกร? ยังเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ!?”


 


หลังจากที่ได้รับทราบเรื่องราวว่าที่แท้แม่น้ำลึกเพียงใด ป๋ายลี่หงก็ถึงกับชักสีหน้าเคร่งเครียดทันที


 


ความรู้เกี่ยวกับ ‘มังกร’ ของมันทั้งหมด เพียงได้รับมาจากบันทึกเท่านั้น!


 


ทว่าถึงแม้จะเป็นแค่ในบันทึก ป๋ายลี่หงก็รู้ว่าเผ่าพันธุ์มังกรคือมหาอำนาจอันน่ากลัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า! มีน้อยขุมพลังนักที่หาญกล้าท้าทายเผ่าพันธุ์มังกร!!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับทราบถึงพลังฝีมือของตี้จิ่ว ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นไร้พลัง และตระหนักได้ว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใด


 


จากที่ต้วนหลิงเทียนเล่ามา น่ากลัวพลังฝีมือของตี้จิ่วจะเหนือล้ำกว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนในสำนักที่มีไม่กี่คนไปไกล!


 


นอกจากนี้ป๋ายลี่หงยังได้รับทราบเรื่องราวของ ‘ชือเม่ย’ เช่นกัน


 


“ศิษย์น้องในเมื่อชือเม่ยนั่นเป็นพี่สาวฝาแฝดของน้องสะใภ้ อีกทั้งนางยังเป็นห่วงเป็นใยน้องสะใภ้เช่นนี้ ก็ยากที่น้องสะใภ้จะมีเรื่องร้ายๆใดแล้ว…ทว่าเรื่องนิกายบูชาไฟนั้น ข้าที่อยู่มาค่อนชีวิตกลับมิเคยได้ยินมาก่อนเลย”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวปลอบต้วนหลิงเทียน แต่วาจาท้ายประโยคนั้นมันอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า


 


“สำหรับน้องสะใภ้อีกคนกับสหายตัวน้อยที่เจ้าเล่า ในเมื่อนางอุ้มท้องลูกเจ้าอยู่ เช่นนั้นสมควรได้รับพรและวาสนาของเจ้าไปไม่น้อย…เจ้ามิต้องกังวลให้มากนักหรอก”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกมาอีกรอบ


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนรับฟังและสีหน้าดีขึ้น ป่ายลี่หงก็เร่งตีเหล็กตอนร้อน กล่าวปลอบโยนให้ต้วนหลิงเทียนวางใจทันที


 


ต้องกล่าวว่าป๋ายลี่หงสมแล้วที่อยู่มานาน มันสามารถกล่าวปลอบให้ต้วนหลิงเทียนสงบจิตสงบใจและอาการดีขึ้นได้จริงๆ


 


“จริงสิศิษย์พี่ คราวนี้ข้าพาผู้อาวุโสของข้ารวมถึงสหายมาด้วย”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็กล่าวบอกป๋ายลี่หงเรื่องเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆ


 


สีหน้าป๋ายลี่หงกลายเป็นสดใสขึ้นมาทันที “ให้ทั้งหมดพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้เลย เรือนที่ว่างยังมีมากมายนัก ในเมื่อทั้งหมดเป็นอาวุโสและหสายของเจ้า ทั้งหมดก็นับเป็นสหายของข้าป๋ายลี่หงเช่นกัน!”


 


“ขอบคุณท่านศิษย์พี่”


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งกล่าวขอบคุณทันที


 


“ศิษย์น้อง เจ้าเอาอีกแล้ว…”


 


ป๋ายลี่หงเงยหน้าขึ้นมากล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง


 


“อ่า ข้าลืมไป เอาล่ะศิษย์พี่ครั้งหน้าหากมีอะไรที่ข้าให้ท่านช่วยได้ข้าจะไม่ขอบคุณท่านแบบนี้อีกแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มเจื่อนๆออกมา


 


“ไป! พาข้าไปพบผู้อาวุโสกับสหายของเจ้าเร็ว”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว “สหายอุตส่าห์มาจากแดนไกลทั้งที ข้าผู้เป็นเจ้าบ้านไหนเลยเป็นตัวไร้มารยาทไม่ออกไปต้อนรับได้”


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาป๋ายลี่หงไปพบกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ


 


ด้านเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆ พอได้พบหน้าป๋ายลี่หงครั้งแรกก็อึ้งไปไม่น้อย


 


ถึงแม้พวกมันจะเคยได้ยินมาแล้วว่าต้วนหลิงเทียนที่ศิษย์พี่ในสำนักจันทร์จรัสแสง อีกทั้งฐานะของศิษย์ในสำนักยังไม่ต่ำทราม…แต่พวกมันล้วนคิดว่าศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียน คงเป็นศิษย์อัจฉริยะ หรือลูกชายระดับสูงในสำนักจันทร์จรัสแสงอะไรแบบนั้น


 


พวกมันไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าจะเป็นชายชราผมสีดอกเลาแบบนี้ไปได้


 


นอกจากนี้ชายชราผู้นี้เพียงแรกพบพวกมันก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา!


 


“ทุกท่าน ในเมื่อพวกท่านเป็นอาวุโสและสหายของศิษย์น้องข้า แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนเป็นสหายของข้าป๋ายลี่หง…จากวันนี้ไปทุกคนอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะ ข้าจะไปรับป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในมาให้ทุกคนในวันพรุ่งนี้ ต่อไปทั้งหมดล้วนเป็นคนของสำนักจันทร์จรัสแสง”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม


 


ศิษย์ฝ่ายใน?


 


ถึงแม้จะรับทราบมาแล้วว่าฐานะป๋ายลี่หงไม่ธรรมดา แต่พอได้ยินวาจาของป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆถึงกับใบ้กิน


 


เข้ามาสำนักจันทร์จรัสแสงไม่ทันไร พวกมันก็ได้รับฐานะศิษย์ฝ่ายในเลยหรือ?


 


เรื่องภายในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ทั้งหมดรับทราบมาจากต้วนหลิงเทียนคร่าวๆแล้ว จึงรู้ดีว่าฐานะศิษย์ฝ่ายในมีความหมายอย่างไร


 


กระทั่งศิษย์ฝ่ายในที่อ่อนด้อยที่สุด อย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น! และศิษย์ฝ่ายนอกนั้นส่วนมากก็อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญหรือขั้นสมบูรณ์แบบ!


 


พวกมันที่ไม่แม้แต่จะบรรลุถึงหลุดพ้นมนุษย์ ปกติคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยซ้ำ!


 


“ศิษย์พี่ของเจ้าต้วนคนนี้…คงมิใช่เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงหรอกนะ”


 


เฉินเฉ่าช่วยมองหนานกงยี่ค่อยส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดชวนคุยทันที


 


“แม้เขาจักมิได้เป็นเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง แต่เกรงว่าฐานะคงมิได้ต่ำต้อยแน่แท้…หาไม่แล้วจะมีอำนาจขนาดนี้ได้อย่างไร?”


 


หนานกงยี่ที่ยืนอึ้งเป็นไก่ตาแตกพอได้ยินเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของเฉินเฉ่าช่วย ก็ส่งเสียงตอบกลับทันที


 


ในขณะที่เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ยังตะลึงกับวาจาของป๋ายลี่หงไม่หาย ด้านป๋ายลี่หงก็สะบัดมือเรียกหินเซียนออกมามากมาย


 


“หินเซียนระดับ 6 เหล่านี้ถือเป็น ‘ของขวัญแรกพบ’ เถอะ…นอกจากนี้ข้าจักนำบัตรแก้วให้พวกเจ้าทุกคนในวันพรุ่งนี้ และข้าจักแบ่งคะแนนอุทิศให้พวกเจ้านำไปแลกหาวรยุทธ์เซียน และโอสถเซียนบ่มเพาะทั้งหลาย “


 


“ส่วนศาสตราเซียนเดี๋ยวข้าจะจัดการให้ทุกคนด้วยตัวข้าเอง”


 


ป๋ายลี่หงยิ้มกล่าว


 


เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่ได้ยิน ก็เร่งประสานมือขอบคุณป๋ายลี่หงทันที


 


แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้รู้เลยว่าของขวัญที่ป๋ายลี่หงจะมอบให้นั้นสำคัญขนาดไหนในสำนักจันทร์จรัสแสง! นับว่ามากพอจะสร้างความอิจฉาให้ครึ่งสำนักจันทร์จรัสแสงเลยก็ว่าได้!!


 


ศาสตราเซียนที่ป่ายลี่หงคิดจัดให้เป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าต้องจารึกอาคมเซียนที่เหมาะสมสำหรับทุกคน


 


เมื่อใช้ศาสตราเซียนเช่นนั้น พลังฝีมือทุกคนย่อมก้าวหน้าขึ้นมาก


 


“เอาล่ะ วันนี้ทุกคนคงเหนื่อยกับการเดินทางไม่น้อย เช่นนั้นข้าไม่คิดรบกวนเวลาพักผ่อนแล้ว”


 


หลังจากกล่าวอำลาเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะจากไป


 


หลังป๋ายลี่หงจากไปแล้ว เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆก็หันมองต้วนหลิงเทียนทันที เป็นเฟิ่งหวู่เต้าที่กล่าวถามออกมาคนแรก “เจ้าหนูหลิงเทียนศิษย์พี่เจ้าที่แท้เป้นผู้ใดกัน?”


 


“ต้วนหลิงเทียน…อย่าได้บอกข้านะว่าศิษย์พี่ของเจ้าเป็นเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง”


 


เฉินเฉ่าช่วยยังอดถามออกมาไม่ได้


 


“ศิษย์พี่ของข้าเป็นอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสง…แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ฐานะของศิษย์พี่ข้าในสำนักจันทร์จรัสแสงพิเศษนัก กระทั่งเจ้าสำนักยังไม่กล้าละเลยยามพบเขา”


 


เมื่อเห็นความตกใจใคร่รู้ของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำอธิบายออกมาให้รับทราบ

 

 

 


ตอนที่ 1545

 

เสียงเพรียกหาของกระบี่นิลสวรรค์!


 


“สำหรับเหตุผลนั้นเป็นอะไรที่ข้ายากจะอธิบาย…เอาไว้พอทุกคนอยู่สำนักจันทร์จรัสแสงไปสักพักจะรับทราบเอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


เมื่อรำลึกถึงการพบกัน ทั้งของขวัญแรกพบที่ป๋ายลี่หงมอบให้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตื้นตัน


 


ศิษย์พี่นั้นจัดการทุกอย่างให้เขาเรียบร้อย


 


เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือทรัพยากรบ่มเพาะ! และศิษย์พี่เขาก็นับว่าแก้ปัญหานี้ได้อย่างดี!!


 


“ลุงเฟิ่ง ครู…วันนี้พวกท่านพักผ่อนกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำกันอีกมาก”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆอีกสักพัก ก็ลาจากไป


 


แม้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆจะมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย แต่ต้วนหลิงเทียนก็อำลาจากไปทั้งอย่างนั้น


 


“ต้วนหลิงเทียนบอกว่าพรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกมาก…”


 


“นั่นสิ! แล้วมันอะไรเล่า เจ้าต้วนยังชอบทำให้เรื่องมันลึกลับอยู่เรื่อย บ้าจริง!”


 


……


 


เฉินเฉ่าช่วยกับหนานกงยี่กล่าวออกมาอย่างจนปัญญา


 


เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆสุดท้ายก็กลับไปพักผ่อนตามห้องหับที่จัดไว้ หลังจากหลับสนิทไปเต็มตื่นคืนหนึ่ง ตื่นมาก็เข้าใจความหมายของต้วนหลิงเทียน


 


นอกจากจะมอบป้ายประจำตัวบอกฐานะศิษย์ฝ่ายในแล้ว ป๋ายลี่หงยังมอบบัตรแก้วพร้อมคะแนนอุทิศมาให้อีกด้วย


 


นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดไปยังศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสง และบอกวิธีหยิบยืมวรยุทธ์เซียนและการซื้อหาโอสถบ่มเพาะ นอกจากนั้นเขายังจัดโอสถเซียนที่มีผลในการชำระชีพจร รวมถึงป้ายหยกที่บอกเรื่องราวต่างๆในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามาให้ด้วยตัวเอง


 


ในตอนนี้เองที่ทุกคนตระหนักได้ว่าคะแนนอุทิศในบัตรแก้วนั้นมีความหมายอย่างไร


 


ที่แท้มันคือ ‘สกุลเงิน’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักจันทร์จรัสแสง!


 


นอกจากนั้นหลังจากจ่ายคะแนนอุทิศยืมป้ายเซียนมาร่ำเรียนยุทธ์เซียนแล้ว ทั้งหมดก็ตระหนักได้ว่าวิชายุทธ์ที่ฝึกฝนกันมาจากทวีปเมฆาล่อง..มันแทบไม่ต่างอะไรจากขยะเมื่อเทียบกับวรยุทธ์เซียนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


หลังจากได้ลิ้มรสความหอมหวานและผลอันเลิศล้ำของโอสถเซียน ทั้งหลายก็คล้ายคนติดยาทันที!


 


ตอนนี้ทั้งหมดยังตระหนักได้ว่าที่แท้ก่อนหน้านี้พวกมันเป็น กบก้นบ่อ ที่ไม่รู้เรื่องราวในโลกมากขนาดไหน


 


ไม่กี่วันหลังจากนั้นเฟิ่งหวู่เต้าและทั้งหมดก็ค่อยได้ทราบถึงตัวตนของป๋ายลี่หง และนั่นทำให้พวกมันตกใจกันไม่น้อย


 


ปรมาจารย์เซียนจารึกระดับ 3 ดาว!


 


ศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ที่แท้เป็นถึงปรมาจารย์เซียนจารึกระดับ 3 ดาว!


 


ต้องทราบด้วยว่าหลังมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง พวกมันได้รับทราบเรื่องราวของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจากป้ายหยกที่จ่ายคะแนนอุทิศซื้อมาแล้ว


 


พวกมันรับรู้ว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ นอกเหนือจากผู้ฝึกยุทธ์ก็มีผู้ฝึกเต๋าด้วย!


 


ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์มีตัวตนพิเศษที่เรียกว่าปรมาจารย์จารึกเซียน…


 


และในบรรดาผู้ฝึกเต๋าก็มีตัวตนพิเศษที่เรียกว่า ปรมาจารย์ยันต์เต๋า!


 


อีกทั้งภายในเขตปกครอง 9 พันธมิตรแห่งนี้ ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว ก็คือปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสูงสุด และป๋ายลี่หงเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนเพียงหนึ่งเดียวของสำนักจันทร์จรัสแสง!


 


ว่ายตามองทั้ง 9 พันะมิตร มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น! ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์จารึกเซียนทั้ง 2 จึงนับเป็นตัวตนที่พิเศษนักใน 9 พันธมิตร!!


 


ดังนั้นพอมันรับทราบว่าป๋ายลี่หงเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว และยังเป็นคนเดียวในสำนักจันทร์จรัสแสงพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะยำเกรง


 


มาตอนนี้พวกมันถึงได้เข้าใจคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ก่อนหน้า…


 


“เจ้าต้วนนี่มันจะเหลือเชื่อไปไหน…เจ้านั่นมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้กี่ปีกัน? แต่กลับมีตัวตนระดับอาวุโสป๋ายลี่หนุนหลังแล้ว? ยังทะลึ่งเป็นถึงศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่อีก! ให้ตายเถอะ!!”


 


หนานกงยี่กล่าวออกมาด้วยความเหลือเชื่อ


 


และวาจานี้ของมันยังพาลให้คนอื่นคล้อยตามไม่น้อย


 


กระทั่งฉงเฉวียนที่มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมาโดยตลอด ก็ตกใจไม่น้อยหลังได้รับทราบตัวตนของป๋ายลี่หง


 


มันไม่คิดเลยว่านายน้อยของมันมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้แค่ 3 ปี กลับประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้


 


“สมแล้วที่เป็นนายน้อยของข้าฉงเฉวียน!”


 


ใจฉงเฉวียนเต็มไปด้วยความภาคภูมินัก


 


ในขณะที่เฟิ่งหวู่เต้ารับทราบถึงฐานะป๋ายลี่หง ขณะเดียวกันคนในสำนักจันทร์จรัสแสงก็ได้รับทราบฐานะของเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเช่นกัน


 


ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาศิษย์ฝ่ายนอกทั้งศิษย์ฝ่ายใน 8-9 ส่วนล้วนสนทนากันถึงเรื่องนี้


 


นั่นเพราะทั้งหมดโดดเด่นเกินไป!


 


แน่นอนว่าไม่เหมือนกับความโดดเด่นที่ต้วนหลิงเทียนเคยกระทำไว้ เพราะต้วนหลิงเทียนสร้างทุกสิ่งมาด้วยพลังฝีมือ


 


ทว่าเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆนั้น โดดเด่นเพราะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากป๋ายลี่หง


 


ดังนั้นหลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะลอบดูแคลนเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆในใจ เพราะพวกเฟิ่งหวู่เต้าเสมือนลักลอบเข้าประตูหลังมาก็ไม่ปาน ไม่ทันไรก็ได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในทันที! นี่สร้างความอิจฉาให้ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งศิษย์ฝ่ายในที่พยายามอย่างหนักมากมาย!!


 


ไม่กี่วันหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงสำนัก หลิวฮ่วนที่ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ ก็ได้รับรู้เรื่องราวการกลับมาเช่นกัน


 


“มันยังไม่ตายๆไปอีก!”


 


ใบหน้าหลิวฮ่วนบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก สิ่งที่มันหวาดกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว


 


จ้าวเฟิงไม่ได้ฆ่าต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะถูกยอดฝีมือที่ไหนไม่รู้ฆ่าตาย…


 


“ต้วนหลิงเทียน…ข้าไม่คิดเลยว่าชะตาเจ้าจะแข็งกล้าตายยากตายเย็นขนาดนี้…เว้นเสียแต่เจ้าจะหดหัวอยู่แต่ในสำนัก หาไม่แล้วข้าหลิวฮ่วนจะให้เจ้าได้ตายอนาถ!”


 


ลูกตาหลิวฮ่วนฉายแสงเย็นจ้า ยังขบฟันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟันอำมหิต


 


ความเกลียดชังคับแค้นที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่ต่างจากความแค้นที่มีต่อศัตรูฆ่าบิดาถล่มมารดาและจับน้องสาวไปขายหอนางโลมแม้แต่น้อย…


 


เป็นธรรมชาติที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ล่วงรู้เรื่องนี้ เพราะตอนนี้เขานั่งนิ่งจมอยู่ในห้วงคิดมาเนิ่นนาน ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนแม้แต่น้อย


 


ด้วยมีป๋ายลี่หงคอยเป็นธุระจัดการเรื่องราว เขาจึงวางใจในทุกสิ่ง


 


อย่างไรก็ตามสุดท้ายเขาก็ยังไม่อาจคลายกังวลในใจได้


 


หลังจากนั่งคิดอยู่ในห้อง 2 คืนเต็มๆ ต้วนหลิงเทียนก็ตัดใจได้ “ไร้ประโยชน์! ป่วยการที่ข้าจะครุ่นคิดอะไรให้มากสืบไป…ตอนนี้ที่สำคัญคือเร่งบ่มเพาะพลังฝึกปรือ สักวันข้าจะได้มีพลังพอพาเค่อเอ๋อกลับมา!”


 


กระทั่งตี้จิ่วอันเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บยังไม่รู้จักนิกายบูชาไฟ


 


อย่างไรก็ตามจากพลังฝีมือที่ชือเม่ยใช้จัดการตี้จิ่วนั้น เห็นได้ชัดว่านิกายบูชาไฟไม่ใช่ขุมพลังสามัญ!


 


ตอนนี้ในเมื่อชือเม่ยพาตัวเค่อเอ๋อไป ในอนาคตเขาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับนิกายบูชาไฟ…หากคิดพาเค่อเอ๋อกลับมา! เมื่อถึงตอนนั้นถ้าพลังฝีมือเขาไม่ถึงขั้น น่ากลัวจะได้ตายก่อนเห็นหน้าเค่อเอ๋อ!!


 


“สำหรับเสี่ยวเฟยเอ๋อ…”


 


พอคิดถึงลี่เฟยต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกังวล “ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 สมควรไร้อุบัติเหตุใดๆในการเดินทางกลับบ้านของเฉวี่ยไน่…หวังว่าระหว่างเดินทางจะไม่เจอปัญหาอะไรจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบว่า ในระหว่างการเดินทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานของทั้ง 4 ต่างพบพานอุบัติเหตุไม่น้อย


 


โชคดีที่ที่สุดท้ายเรื่องร้ายๆกลับกลายเป็นวาสนา


 


หาไม่แล้วน่ากลัวว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่อาจได้เห็นหน้าลี่เฟยรวมถึงเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 อีกในชีวิตนี้


 


เมื่อตระหนักได้ว่าไม่ควรมามัวเสียเวลาจมจ่อมกับเรื่องที่ยากจะแก้ไข ต้วนหลิงเทียนจึงเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


หลังจากที่เข้ามาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ผู้เฒ่าหั่วก็ทักเขาทันที “เจ้ามิต้องกังวล คนของเจ้ายังปลอดภัยดี”


 


“หืม?”


 


เมื่อได้ยินวาจานี้จากผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเค่อเอ๋อกับลี่เฟยขึ้นมา ยังมองผู้เฒ่าหั่วด้วยความตกตะลึง


 


“ผู้เฒ่าหั่วท่านรู้ได้อย่างไร?”


 


เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังไม่คล้ายล้อเล่นของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งถามกลับไปทันที


 


“เจ้าอย่าได้ลืม ‘ต้นกำเนิด’ ของข้า…ถึงแม้ข้าจักมิได้ชำนาญเวทย์เต๋าสายอ่านลิขิตชะตาอันใด…แต่ข้าก็เคยพบพานมาไม่น้อย เช่นนั้นกับอีแค่เรื่องวาสนาหรือลางมรณะอันใดสำหรับผู้ที่ใกล้ชิดกับเจ้า ข้ายังพอสัมผัสได้”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


“ผู้เฒ่าหั่ว…ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นหรอกนะ!?”


 


ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่วใจต้วนหลิงเทียนย่อมยินดีทันใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใช่ผู้เฒ่าหั่วแค่อยากปลอบใจเขาหรือไม่?


 


“ข้าเคยล้อเล่นกับเจ้าหรือ?”


 


ผู้เฒ่าหั่วย้อนถาม


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ในเมื่อท่านรู้แต่แรกทำไมไม่รีบบอกข้าเล่า!? ให้ข้านั่งเป็นตัวโง่งมกังวลจนพูดคนเดียวเหมือนคนบ้า 2 วัน 2 คืนติดๆแบบนี้”


 


แม้จะดีใจไม่น้อยที่เค่อเอ๋อกับลี่เฟยปลอดภัยดีอยู่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มถามด้วยความขื่นขม


 


“ก็มันนับว่ายากนักที่ข้าจะได้เห็นเจ้าจมจ่อมอยู่ในห้วงทุกข์จนประสาทกินแบบนี้…อันที่จริงข้าอยากเห็นเจ้าซึมไปแบบนี้อีกสัก 2-3 วันด้วยซ้ำ…จักได้เคี่ยวกรำจิตใจเสียหน่อย”


 


คำนี้ของผู้เฒ่าหั่วแทบทำให้ต้วนหลิงเทียนกระอักเลือดแล้วจริงๆ ‘บ้าจริง! ทำไมข้าไม่เคยเห็นมุมนี้ของผู้เฒ่าหั่วมาก่อนนะ…’


 


“หืม?!”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกใจสั่นเต้นไปไม่เป็นจังหวะ คล้ายมีบางสิ่งกำลังร้องเรียกหาเขา


 


กล่าวให้ชัดมันกำลังเรียกหาใจเขา…


 


ท่าทางที่ผิดแปลกไปของต้วนหลิงเทียนทำให้ผู้เฒ่าหั่วสงสัยทันที


 


หลังจากนั้นภายใต้สายตาสงสัยของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินขึ้นไปยังชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างเหม่อลอย คล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง…


 


จังหวะนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้เฒ่าหั่วอดที่จะติดตามไปดูเสียไม่ได้


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกใจเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ยังหวิวๆไปอย่างบอกไม่ถูก


 


แถมเขาไม่อาจหักห้ามใจได้…คล้ายถูกบางสิ่งกำลังร่ำร้องเรียกหา! ที่สำคัญเขาเองก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลย!!


 


ระหว่างเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็พบว่าใจที่สั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะค่อยๆสงบลง แต่ความรู้สึกที่คล้ายถูกอะไรบางอย่างเพรียกหายิ่งมากลับยิ่งแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ


 


“ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างในชั้น 2 กำลังร้องเรียกหาข้า…”


 


ก่อนที่จะถึงชั้น 2 ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ


 


เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ


 


เพราะเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!


 


“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินขึ้นมาถึงชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


และหลังจากที่เขาเดินมาถึงชั้น 2 ของเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรที่มันกำลังเรียกหาเขา


 


“กระบี่นิลสวรรค์!”


 


สิ่งที่เพรียกหาเขาที่แท้คือยอดสมบัติสวรรค์ กระบี่นิลสวรรค์ ที่วางอยู่บนแท่นศิลาชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างเงียบงันมาโดยตลอด และยังเป็น 1 ใน 6 ยอดสมบัติสวรรค์ที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!


 


กระบี่นิลสวรค์ เป็นยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


ในอดีตตอนที่เขาฟื้นฟูชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ เขาก็สนใจกระบี่นิลสวรรค์และอยากใช้มันนัก


 


อนิจจาเขาพบว่ากระบี่นิลสวรรค์กลับหนักเกินไป หนักจนเขาไม่อาจขยับเขยื้อนมันได้ด้วยซ้ำ!


 


กระทั่งหลังจากที่ทะลวงผ่านมาถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขาก็มาลองหยิบกระบี่นิลสวรรคูดูอีกรอบ แต่ผลก็เหมือนเดิม…ไม่อาจขยับได้แม้องคุลี!


 


ทว่ามาตอนนี้กระบี่นิลสวรรค์กลับเพรียกหาเขา!


 


ใจต้วนหลิงเทียนคล้ายได้ยินเสียงกู่ร้องจากกระบี่นิลสวรรค์ที่กำลังสั่นพ้องกับใจ!


 


“เป็นเพราะยอดใจกระบี่งั้นเหรอ?!”


 


ในขณะที่กำลังสงสัย ในใจต้วนหลิงเทียนพลันมีความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาทันที


 


ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมัน่ใจมากขึ้นเท่านั้น!!


 

 

 


ตอนที่ 1546

 

แดนสวรรค์


 


‘คิดไปแล้วสมควรเป็นได้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว…หลังจากข้าได้รับถ่ายทอดยอดใจกระบี่มา ข้าก็ไม่เคยเข้ามาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเลย…วันนี้เป็นวันแรกที่ข้าเข้ามาหลังได้รับสืบทอดยอดใจกระบี่ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่!’


 


คิดถึงจุดนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นครั้งใหญ่!


 


จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้ยังไงไหว?


 


กระบี่นิลสวรรค์มันเป็นยอดสมบัติสวรรค์ที่ไม่ต่างอะไรกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ! ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดสมบัติสวรรค์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการสังหาร!!


 


หากเขาใช้มันได้ มันย่อมเหนือกว่าศาสตราเซียนใดๆทั่วหล้า!


 


ต่อหน้ายอดสมบัติสวรรค์อย่างกระบี่นิลสวรรค์ ให้เป็น 10 สุดยอดศาสตราเซียนในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ก็ห่างไกลเกินกว่าจะนำมาเทียบกับกระบี่นิลสวรรค์! กระทั่งต่อให้เป็นศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 9 ไว้เต็มพิกัดก็ยังไม่คู่ควร!!


 


‘ในเมื่อมันกำลังร้องเรียกหาข้า…หมายความว่าข้าสามารถใช้มันได้แล้วงั้นเหรอ!?’


 


อยู่ดีๆใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคิดนึ้ขึ้นมาดื้อๆ


 


พอคิดแล้วก็ยากจะห้ามไม่ให้คิด!


 


ภายใต้สายตางุนงงสงสัยของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนเดินมาหยุดหน้าแท่นศิลาที่มีกระบี่นิลสวรรค์วางไว้ มือขวาค่อยๆเอื้อมออกไปอย่างช้าๆ บรรจงจับด้ามกระบี่นิลสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าคิดยกกระบี่..


 


อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าหั่วไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะยกกระบี่สวรรค์ขึ้นมาได้!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนจับด้ามกระบี่นิลสวรรค์ เขาก็พบว่าใจเขาที่ร่ำร้องมันสงบลงทันใด ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่นิลสวรรค์ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยนัก ราวกับมันกับเขาผูกพันชิดใกล้กับเขามาแสนนาน!


 


วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนใจเขาได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับกระบี่นิลสวรรค์!


 


หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนที่จับกระบี่นิลสวรรค์แล้ว ก็เริ่มออกแรงเพียงเล็กน้อย


 


แรงที่ใช้ออกยังไม่ถึง 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ…ทว่ากระบี่นิลสวรรค์ที่แต่เดิมหนักเสมือนขุนเขาหมื่นแสนชั่ง กลับถูกหยิบยกขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย!


 


ถูกแล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนที่คล้ายจะออกแรงเพียงน้อยนิด กลับยกกระบี่นิลสวรรค์ขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์!


 


ทั้งต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกเสมือนกระบี่ในมือได้เชื่อมโยงผูกพันกับสายเลือดเขาอย่างไรไม่ทราบ!


 


“นี่มัน…”


 


เห็นฉากนี้ผู้เฒ่าหั่วก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด


 


เพราะต่อให้เป็นมันตอนนี้ แม้อาจจะฝืนหยิบยกกระบี่นิลสวรรค์ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากการใช้งานมันได้!


 


ทว่าตอนนี้กระบี่นิลสวรรค์กลับถูกต้วนหลิงเทียนถือเอาไว้ ทั้งกวัดแกว่งได้อย่างง่ายดาย ราวกับไร้น้ำหนักด้วยซ้ำ!


 


จังหวะนี้ผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะใช้เนตรเทวะตรวจสอบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนทันที!


 


มันร้อนใจอยากรับทราบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนนัก!


 


แม้มันจะรู้ดีแก่ใจดีว่าพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนอยู่ระดับใด แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก ถึงขั้นตรวจซ้ำอีกรอบ!


 


เขากลับหยิบยกกระบี่นิลสวรรค์ขึ้นได้จริงๆ!


 


ยามถือกระบี่นิลสวรรค์ไว้ในมือ ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่อันบางเบา ว่ามันคิดสยบโลกหล้าทั้งใบไว้แทบเท้า!


 


และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันทดลองจ่ายปราณแท้ลงสู่กระบี่นิลสวรรค์ และนั่นทำให้หน้าเขาเปลี่ยนสีทันที!


 


เพราะปราณแท้ที่เขาจ่ายไปยังกระบี่นิลสวรรค์ ประหนึ่งมันร่วงลงสู่หุบเหวอเวจีไร้ก้นบึ้ง! แถมตัวกระบี่กลับดูดกลืนปราณแท้ในร่างของเขาอย่างหิวกระหาย! กระทั่งปราณแท้ในทะเลปราณก็ถูกกระบี่ชักนำผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 เส้นเพื่อดูดกลืนด้วยความเร็วอันน่ากลัว!


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ และพบว่าการมีชีพจรเซียนมากมายก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีเสมอไป!!


 


ภายใต้เส้นสายชีพจรเซียนทั้ง 99 เส้น ปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนแทบทั้งหมดถูกสูบกลืนไปในเวลาถึง 20 ลมหายใจ! เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกถึงขั้นต้องโยนกระบี่นิลสวรรค์ลงบนแท่นหินเหมือนเดิมทันที


 


หลังจากที่โยนกระบี่ทิ้งไปแล้ว เขาก็พบว่าในทะเลปราณหลงเหลือปราณแท้อยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น


 


มองไปยังกระบี่นิลสวรรค์อันมีรูปลักษณ์เรียบง่ายไร้เครื่องตกแต่งอะไรตอนนี้ กลับมีไอพลังสีครามฉาบอยู่จางๆ…ทว่าไอพลังสีครามนั่นเพียงเรืองสว่างอยู่ไม่นานมันก็ดับหายไป…


 


“อะไรกัน ดูดปราณแท้ข้าไปแทบหมดตัว…แต่ตอนนี้กลับใช้หมดแล้วเหรอ?!”


 


เห็นภาพนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตะลึง ยังอดหัวเราะออกมาแห้งๆเสียไม่ได้ ยังเสียใจไม่น้อยที่ดันทำอะไรผลีผลามลงไปแบบเมื่อครู่


 


“เจ้า…เจ้าใช้มันได้อย่างไร!?”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังยิ้มขื่นขมจากการถูกสูลพลังไปแทบหมดตัว ผู้เฒ่าหั่วก็มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแตกตื่นปานเห็นผี “เจ้าเป็นแค่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ ยังมิมีปราณแรกกำเนิดด้วยซ้ำ…ไฉนเจ้าถึงยกกระบี่นิลสวรรค์ขึ้นมาได้! กระทั่งใช้พลังอำนาจของมันได้แบบนี้!!”


 


“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่!?”


 


วาจาสุดท้ายของผู้เฒ่าหั่วยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งเหลือเชื่อ


 


สำหรับผู้เฒ่าหั่วต้วนหลิงเทียนย่อมไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาเล่าเรื่องการสืบทอดมรดกของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง รวมถึงเรื่องที่เขาได้รับเคล็ดบำเพ็ญจิตยอดใจกระบี่ออกไปทันที ทั้งยังบอกว่าตอนนี้เขาสำเร็จยอดใจกระบี่ขั้นแรกแล้ว!


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้…มิคิดเลยว่าในพิภพนี้กลับมีผู้ที่สามารถบรรลุ ใจกระบี่ ได้…คนผู้นี้กระทั่งเป็นแดนสวรรค์ก็ยังนับเป็นอัจริยะไร้ผู้ต้านคนหนึ่ง! หลังจากที่คนผู้นี้ย่างเยื้องไปถึงแดนสวรรค์แล้ว ว่าด้วยความสำเร็จในเชิงกระบี่…น่ากลัวจะกลายเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานได้ในเวลาอันสั้น!!”


 


ผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากที่ได้ยินเรื่องเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านกล่าวเกินไปรึเปล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความสับสน ท่าทางยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง


 


ใครคือผู้เฒ่าหั่ว?


 


อีกาทองคำ 3 ขา ในอดีตกาลครั้งรุ่งโรจน์ยังมีพลังอำนาจเหนือกว่าเทพสวรรค์เสียอีก


 


น่าแปลกใจนักไมน้อยเมื่อรู้ว่า ยอดใจกระบี่ ที่ฟงชิงหยางบรรลุกลับถูกตัวตนอย่างผู้เฒ่าหั่วกล่าวชมถึงขนาดนี้


 


“มิเกินเลยแม้ครึ่งคำ”


 


ผู้เฒ่าหั่วสายหน้าไปมาค่อยกล่าวออกเสียงขรึม “ในแดนสวรรค์ เท่าที่ข้ารู้เกรงว่าจักมีเพียงเง็กเซียนฮ่องเต้ และยอดคนอีกเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที้สามารถเทียบกับคนผู้นี้ได้ในเต๋ากระบี่”


 


แม้ต้วนหลิงเทียนจะได้ยินผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งแรก แต่เขารู้จักนามจักรพรรดิหยกดี


 


จักรพรรดิหยกนั้น เป็นอะไรที่คนในโลกเก่าเขารู้จักกันดี


 


ไม่ว่าจะในนามเง็กเซียนฮ่องเต้ จักรพรรดิสวรรค์หรืออะไรก็ตาม ล้วนคือจักรพรรดิหยกทั้งสิ้น นี่เป็นเทวะตำนานในโลกเก่าของเขาครั้งสมัยอยู่ประเทศหัวเซี่ย


 


ในเทวะตำนานกล่าวถึงจักรพรรดิหยกไว้มากมาย เป็นตัวตนที่อยู่สูงสุดใน อวี้หวงเทียน!


 


และอวี้หวงเทียนนั้น ก็คือแดนสวรรค์!


 


หลังจากที่ฟังผู้เฒ่าหั่วกล่าว จักรพรรดิหยกที่ว่าก็เป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่งในแดนสวรรค์


 


“ยอดคนอีกคนนอกจากจักรพรรดิหยกนั้น แต่เดิมก็เป็นเหมือนกันกับเจ้า…คนจากพิภพเหยียนหวง! ถึงแม้ชีพจรเซียนที่คนผู้นั้นทะลวงเปิดได้จักมิมากมายเท่าเจ้า ทว่ายังนับเป็นคนที่ 2 นอกเหนือจากจักรพรรดิหยก ที่มีพลังอำนาจสูงส่งจนได้กลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ทว่าเป็นจักรพรรดิสวรรค์ในแดนสวรรค์อีกแดนหนึ่ง..”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


“คนผู้นั้นเป็นใครหรือ?”


 


ได้ยินวาจาที่ผู้เฒ่าหั่วเกริ่นออกมา ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงสัยว่าคนที่ผู้เฒ่าหั่วพูดถึงเป็นใคร


 


ไม่เพียงแต่จะบรรลุเต๋ากระบี่ทัดเทียมกับฟงชิงหยาง กระทั่งยังเทียบได้กับจักรพรรดิหยก ถึงขั้นได้กลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ในแดนสวรรค์แดนอื่น


 


“กงซุน เซวียนเหยียน”


 


เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบออกมา 4 คำ


 


“กงซุน เซวียนเหยียน”


 


ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


 


ในฐานะที่เป็นคนของหัวเซี่ย ไหนเลยเขาจะไม่รู้จักนามนี้ได้!


 


จักรพรรดิเหลือง กงซุนเซียนเหยียน


 


พิภพเหยียนหวง…คำว่า หวงในที่นี้ ก็แทนนามของจักรพรรดิเหลือง!


 


เขาเองก็กล่าวได้ว่าเป็นลูกหลานของจักรพรรดิเหลือง!


 


จักรพรรดิหวงเปรียบได้ดั่งบรรพบุรุษของชนชาวหัวเซี่ยทุกคน!


 


“กงซุน เซียนเหยียนผู้นั้น…ด้วยกระบี่เซวียนเหยียนในมือ สามารถเข่นฆ่าสร้างเส้นทางโลหิตแผ้วทางไปถึงแดนสวรรค์อีกแดนที่มิใช่อวี้หวงเทียน ก่อนที่จะเข่นฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ของแดนสวรรค์นั้น และขึ้นครองราชน์ในฐานะจักรพรรดิสวรรค์คนใหม่!”


 


ขณะกล่าวถึงกงซุยเซียนเหยียน สีหน้าแววตาผู้เฒ่าหั่วยังอดไม่ได้ที่จะเผยความเคารพเลื่อมไส


 


“ร้ายกาจนัก!”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย ยังตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินตำนานของจักรพรรดิเหลืองมาบ้าง ทว่าล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์เท่านั้น


 


สำหรับเรื่องราวหลังจากนั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย


 


เห็นได้ชัดว่ายากที่มนุษย์ปุถุชนจะล่วงรู้ได้


 


“ผู้เฒ่าหั่วก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่า…นอกจากจักรพรรดิหยกก็มีจักรพรรดิเหลืองเพียงคนเดียว ที่มีเต๋ากระบี่ทัดเทียมกับเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง?”


 


นึกถึงวาจาก่อนหน้าของผู้เฒ่าหั่วอดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


“มิผิด”


 


ผู้เฒ่าหั่วชักสีหน้าจริงจังกล่าวออกเสียงเข้ม “ข้ามิรู้ว่าฟงชิงหยางผู้นี้ดำรงอยู่ในยุคสมัยใด ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะยังเอาชนะกงซุนเซวียนเหยียนไม่ได้ แต่ข้าเชื่อมั่นว่าในอนาคต…พลังฝีมือสมควรไม่อ่อนด้อยไปกว่ากงซุนเซียนเหยียน! มิแน่บางทีคนผู้นี้หลังจากที่เยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์ อาจจะเพิ่มพูนพลังฝีมือถึงขั้นกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ในแดนสวรรค์แดนใดแดนหนึ่งไปแล้วก็เป็นได้”


 


เยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์!


 


เยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์อีกแล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์มาหลายครั้ง แต่จนบัดนี้เขายังไม่มั่นใจนักว่าคำเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์นั้น จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่


 


“ผู้เฒ่าหั่วเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์จริงๆแล้วมันหมายความว่าอะไรกันแน่ แล้วมันเกี่ยวข้องกับแดนสวรรค์อย่างไร?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม


 


“ย่างเยื้องขึ้นสู่สวรรค์นั้น หมายความว่าเมื่อเจ้าบรรลุพลังฝีมือถึงระดับหนึ่ง เจ้าจักได้ยินเสียงเรียกหาจากพิภพสวรรค์ จากนั้นเจ้าจักเผชิญหน้ากับภัยพิบัติสู่สวรรค์ หากเจ้าสามารถเอาชนะและข้ามผ่านภัยพิบัติสู่สวรรค์ได้สำเร็จ เจ้าก็จักสามารถเข้าสู่พิภพสวรรค์ได้…เส้นทางสู่พิภพสวรรค์จักเปิดขึ้นสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบาย


 


“ในห้วงจักรวาลอันไร้สิ้นสุดนี้ มีแดนสวรรค์ทั้งสิ้น 81 แดน! อวี้หวงเทียนที่ข้าเคยกล่าวเป็นหนึ่งในนั้น และหากใครบางคนจากพิภพเหยียนหวงประสบความสำเร็จในการย่างเยื้องขึ้นสู่สวรรค์ ก็จักขึ้นไปสู่อวี้หวงเทียน เพราะมันใกล้ที่สุด…สำหรับผู้คนบนโลกนี้ข้าเองก็มิแน่ใจเช่นกันว่าจะไปยังแดนสวรรค์แดนใดหลังจากเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์…”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


“และที่ข้าเคยบอกเจ้าก่อนหน้านี้ว่าเจ้าสามารถกลับโลกเหยียนหวงได้นั้น…ตราบใดที่เจ้าฝึกฝนจนบรรลุกระทั่งสามารถย่างเยื้องขึ้นสู่สวรรค์ได้แล้ว เมื่อไปถึงแดนสวรรค์…เจ้าสามารถใช้การเคลื่อนย้ายข้ามแดนสวรรค์เพื่อไปยัง อวี้หวงเทียนได้มิยาก และเมื่อไปถึงอวี้หวงเทียนแล้ว เจ้าก็สามารถลงไปยังโลกมนุษย์ของเจ้า พิภพเหยียนหวงได้อีกครั้ง”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ


 


และวาจาผู้เฒ่าหั่วรอบนี้ เป็นธรรมดาที่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนตื่นตระหนก


 


ในเวิ้งจักรวาลอันไร้สิ้นสุด แดนสวรรค์มีทั้งสิ้น 81 แดนงั้นเหรอ?!


 


อวี้หวงเทียน เป็นแค่ 1 ในนั้น?


 


“ผู้ที่บรรลุใจกระบี่ในโลกใบนี้…ข้ากลัวว่าจักมีน้อยคนนัก กระทั่งในแดนสวรรค์ทั้ง 81 แดน ตัวตนเช่นนี้ยังมิอาจพบพานได้โดยง่าย…เช่นนั้นเจ้าอย่าได้คิดดูแคลนผู้ที่ถ่ายทอด ‘ยอดใจกระบี่’ ให้เจ้าเด็ดขาด”

 

 

 


ตอนที่ 1547

 

พลังของกระบี่นิลสวรรค์!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ที่ท่านกล่าวถึง ใจกระบี่ ก่อนหน้านี้มันคืออะไรเหรอ? ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความสงสัย


 


“ใจกระบี่นี้ ข้าเองก็มิรู้จะใช้คำใดอธิบายให้เจ้ารับรู้ดี…เจ้าเพียงเข้าใจว่ามันคือจุดสูงสุดของเต๋ากระบี่ในพิภพเบื้องล่างเถอะ! มีอยู่บ้างที่สามารถบรรลุใจกระบี่ได้หลังจากอยู่บนแดนสวรรค์ ทว่าเกือบทั้งหมดของผู้ที่บรรลุใจกระบี่บนแดนสวรรค์นั้น…มิได้โดดเด่นอันใด”


 


“สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะบำเพ็ญบนแดนสวรรค์ย่อมเหนือล้ำสุดที่พิภพเบื้องล่างจะทัดเทียมได้ เช่นนั้นผู้ที่ฝึกฝนกระบี่ย่อมสามารถบรรลุใจกระบี่บนแดนสวรรค์ได้ง่ายดาย ทว่าใจกระบี่ที่บรรลุกลับมิได้สมบูรณ์ อย่างที่ผู้คนในโลกียะบรรลุถึง…”


 


“และผู้ที่สามารถบรรลุถึงใจกระบี่ได้ในพิภพเบื้องล่าง ก็ถือว่าเป็นวาสนาครั้งใหญ่! เพราะเมื่อสามารถข้ามพ้นภัยพิบัติสู่สวรรค์จนบรรลุแดนสวรรค์ได้แล้ว…จิตใจของเจ้าจักได้รับการชำระจากสวรรค์! ยามนั้นใจกระบี่ที่เจ้าบรรลุจักยกระดับกลายเป็น ใจกระบี่เทวะ…”


 


“ในแดนสวรรค์ทั้งหลาย ผู้ที่ครอบครองใจกระบี่เทวะ ล้วนแล้วแต่บรรลุใจกระบี่จากพิภพเบื้องล่างทั้งสิ้น แน่นอนว่าใจกระบี่ก็ยังมีสูงต่ำ…และอย่างที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้า ทั่วทั้ง 81 แดนสวรรค์ น้อยคนนักที่จักบรรลุถึงใจกระบี่ขั้นสูงส่งดั่งเช่นกงซุนเซวียนเหยียน…แน่นอนว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้บรรลุ ยอดใจกระบี่ และถ่ายทอดมันให้เจ้า ก็คือ 1 ในตัวตนอันน่าทึ่งเหล่านั้นด้วย”


 


ผู้เฒ่าหั่วค่อยกล่าวอธิบายออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


ต้องบอกเลยว่าที่ผู้เฒ่าหั่วค่อยๆอธิบายอย่างช้าๆ ก็เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนย่อยข้อมูลที่ได้รับทัน


 


ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้อึ้งเหวอไปตาปริบๆแต่แรกแล้ว


 


มาตอนนี้เขาพึ่งตระหนักได้ว่า ยอดใจกระบี่ ที่เขาได้รับถ่ายทอดมามันเลิศล้ำขนาดไหน เซียนกระบี่ฟงชิงหยางที่แท้กลับเป็นยอดคนจริงๆ มิคาดเต๋ากระบี่ของคนผู้นี้ ยังยากจะหาผู้ใดทัดเทียมได้กระทั่งในแดนสวรรค์!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยุคสมัยที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผงาดขึ้นมา มันก็ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


เผลอๆตอนนี้เซียนกระบี่ฟงชิงหยางอาจจะบรรลุพลังฝีมืออันน่าพรั่นพรึงกระทั่งได้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ ในแดนสวรรค์แดนใดแดนหนึ่งไปแล้วก็เป็นได้! เป็นยอดคนที่ทัดเทียมได้กับจักรพรรดิเหลืองกงซุนเซวียนเหยียนที่เขาเคารพนับถือ!!


 


ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาแทบกระดอนออกปาก ยากจะสงบอารมณ์พุ่งพล่านนี้ได้อยู่นาน


 


ยอดใจกระบี่ที่เขาได้รับถ่ายทอด…กลับมาจากยอดคนเช่นนี้!


 


“จากที่เจ้ากล่าว ยอดใจกระบี่ ที่เจ้าได้รับสืบทอดมา ยามเจ้าบรรลุขั้นสูงสุด กระบี่สัมพันธ์จิตใจ…ยามนั้นเจ้าสมควรก่อเกิดใจกระบี่ได้สำเร็จ…หากเจ้าบรรลุ ใจกระบี่ ได้สำเร็จ ความสำเร็จในอนาคตของเจ้าย่อมมิต้อยต่ำไปกว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นั้น และมิได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเหลืองกงซุนเซวียนเหยียนเป็นแน่”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


วาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว ยิ่งทำให้ต้วนหลิงเทียนเพ้อละเมอด้วยความตื่นเต้นไปกันใหญ่


 


เซียนกระบี่ฟงชิงหยางเป็นตัวตนเช่นไร…เขาไม่อาจทราบได้แน่ชัด


 


ทว่ากงซุนเซวียนเหยียน หรือจักรพรรดิเหลืองนั้นเขารู้ดี!


 


จะอย่างไรวิญญาณของเขานั้นก็มาจากพิภพเหยียนหวง ยังมาจากหัวเซี่ย ประชาชนในประเทศอันได้รับการเรียกหาว่าลูกหลานของจักรพรรดิเหลือง!


 


พอคิดว่าวันหนึ่งเขาอาจมีความสำเร็จเทียบได้กับมหาบุรุษในตำนานอย่างกงซุนเซวียนเหยียน ความตื่นเต้นของต้วนหลิงเทียนย่อมพุ่งสูงเกินระงับ


 


“กระทั่งตัวข้าเองยังอดมิได้ที่จะอิจฉาในวาสนานี้ของเจ้า…ไม่เพียงแต่เจ้าจักได้รับการยอมรับจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ยังมี ยอดใจกระบี่ ที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางผู้นั้นถ่ายทอดให้อีก! นั่นเป็นเคล็ดบำเพ็ญจิตใจ เต๋าแห่งกระบี่อันสูงส่ง ที่สามารถสร้าง ใจกระบี่ ในโลกียะ…ตอนนี้กระทั่งข้ายังอดคิดไปไม่ได้ว่าเจ้าใช่ดวงจิตของเทพสวรรค์ จุติลงมาเกิดใหม่หรือไม่…หาไม่แล้วไฉนเจ้าถึงได้รับพรอันประเสริฐมากมายเช่นนี้?”


 


ผู้เฒ่าหั่วจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน ค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมาขนาดนี้ ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมาอย่างโง่งม


 


จังหวะนี้เขาไม่รู้จะว่ายังไงดี


 


นับตั้งแต่ดวงวิญญาณเขาข้ามพิภพมาอย่างพิลึกพิลั่น ประสบการณ์ทั้งหลายคล้ายดั่งมายาฝันตื่นหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่านี่มิใช่มายาฝันอันใด หากแต่เป็นม่านแห่งความจริงบทหนึ่งที่คลี่ออก


 


ระลึกถึงวาสนาที่ต้วนหลิงเทียนเค่ยพบพานมา กระทั่งผู้เฒ่าหั่วยังอดไม่ได้ที่จะอิจฉาวาสนานี้


 


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม จากวาจาของผู้เฒ่าหั่ว…ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเสมือนได้เบิกเนตร


 


เขาได้รับทราบถึงแดนสวรรค์แล้ว


 


ยังรับทราบถึงคุณค่าของ ยอดใจกระบี่ ที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางถ่ายทอดมาให้แล้ว


 


“นอกจากเรื่องนี้ดูเหมือนเซียนกระบี่ฟงชิงหยางจะไม่ได้ถ่ายทอดยอดใจกระบี่ให้ข้าอย่างเดียว แต่ยังบอกอีกด้วยว่าข้าคือผู้สืบทอด หมอกพิรุณ หรืออะไรสักอย่าง…แถมข้ายังเป็นผู้สืบทอด หมอกพิรุณ อะไรนั่นเพียงคนเดียวอีกด้วย”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงสัยในเรื่องผู้สืบทอดหมอกพิรุณขึ้นมาไม่น้อย เพราะเรื่องนี้เซียนกระบี่ฟงชิงหยางไม่ได้ทิ้งรายละเอียดอะไรให้เขาไว้เลย


 


“หากเป็นไปได้ เจ้าพยายามทุ่มเทเวลาบำเพ็ญยอดใจกระบี่นี้ให้มาก เจ้าจักได้มีโอกาสในการก่อใจกระบี่มากขึ้น…แน่นอนว่าเจ้ามิต้องห่วงว่าจะเสียเวลาเปล่ากับยอดใจกระบี่ เพราะยอดใจกระบี่นั้นสามารถทำให้เจ้าเข้าใจในสรรพวิชาทั้งหลายในใต้หล้าได้โดยง่าย จึงมิต้องกลัวว่าหากทุ่มเวลาให้มันแล้ว วรยุทธ์อื่นใดของเจ้าจะถดถอยไร้ก้าวหน้า”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวกำชับต้วนหลิงเทียน


 


ตอนแรกต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงเรื่องอะไร


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาลองใช้วรยุทธ์เซียนรวมถึงสรรพวิชาทั้งหลายที่เขาเคยฝึกฝนมา เขาพบว่านอกจากจะใช้งานมันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นแล้ว ทุกสรรพวิชาวรยุทธ์เซียนทั้งหมดยังแฝงเจตจำนงของยอดใจกระบี่ออกมาเช่นกัน


 


ยอดใจกระบี่นั้นคล้ายวรยุทธ์เซียน หากแต่ในขณะเดียวกันมันกลับแตกต่างจากวรยุทธ์เซียน ยังเหนือล้ำยิ่งกว่าวรยุทธ์เซียน


 


ยอดใจกระบี่ บรรลุเพียงหนึ่งกลับพบความสำเร็จอีกหมื่นพันวิถี


 


นอกจากครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมให้ความสำคัญกับกระบี่นิลสวรรค์ ตอนนี้ในเมื่อเขายกมันขึ้นมาและใช้ได้คล่องแล้ว เขาย่อมใช้พลังอำนาจของมันได้แน่!


 


อนิจจาก่อนที่จะลองใช้อำนาจของมัน ตอนนี้เขาต้องนั่งลงเดินพลังสั่งสมปราณแท้เสียก่อน…เพราะตอนนี้ในทะเลปราณ เหลือปราณแท้อยู่หรอมแหรมจนน่าสงสารนัก…


 


หลังจากที่ฟื้นฟูปราณแท้กลับมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มถ่ายทอดปราณแท้ลงกระบี่นิลสวรรค์อีกครั้ง และด้วยความกลัวว่าจะเกิดเรื่องอย่างก่อนหน้าเขาจึงค่อยๆจ่ายปราณแท้ลงไปทีละนิดๆ ด้วยกลัวกระบี่จะสูบกลืนพรวดเดียวหมดตัวอีก…


 


หลังจากที่ทดลองอยู่นาน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์ได้สำเร็จ!


 


แน่นอนว่าด้วยพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ คิดใช้อานุภาพทั้งหมดของกระบี่นิลสวรรค์ย่อมเป็นได้แค่ฝัน เขาสามารถใช้พลังอำนาจของมันได้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น…


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ลองทำการประมาณคร่าวๆดู


 


หากเขาจ่ายปราณแท้ลงกระบี่ไป 3 ส่วนจากปราณแท้ทั้งหมดในทะเลปราณ ยามเขาจู่โจมออกด้วยกระบี่นิลสวรรค์ พลังอำนาจของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาทุ่มพลังทั้งหมดจู่โจมก่อนหน้านี้


 


“หากข้าผนึกปราณแท้ 5 ส่วนลงกระบี่นิลสวรรค พลังอำนาจของมันสูงล้ำนัก ข้ามั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนก็ต้องตายในกระบี่เดียว!”


 


หลังจากทดลองจ่ายปราณแท้ลงไป 3 ส่วนบ้าง 5 ส่วนบ้าง และใช้กระบี่นิลสวรรค์ดู ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับคำตอบที่มั่นใจ


 


“อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะจ่ายปราณแท้ทั้งหมดลงไปในกระบี่นิลสวรรค์ แต่ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้ ยังไม่อาจฆ่าขอบเขตเซียนที่อ่อนด้อยที่สุดได้…ช่องว่างระหว่างบรรลุเซียนกลับยังไม่บรรลุขอบเขตเซียนมันกว้างเกินไป พลังอำนาจยังมากมายต่างกันเกินสองเท่า!”


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอตระหนักได้


 


ตอนนี้แม้จะจ่ายปราณแท้ทั้งหมดเปิดใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์ เต็มที่เขาก็ฆ่าได้แค่สุดยอดฝีมือในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนเท่านั้น


 


ถึงแม้ตัวตนในขอบเขตเซียนอาจจะถูกกระบี่ของเขาคุกคามทำร้ายได้ แต่คิดฆ่าตัวตนระดับนั้นยังยากเกินไป


 


‘แต่ถ้าพลังฝึกปรือข้าบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เมื่อไหร่ ทะเลปราณของข้าจะขยายขึ้นอีกครั้ง ปราณแท้เองก็มีปริมาณมากขึ้น…ถึงตอนนั้นหากข้าจ่ายปราณแท้ทั้งหมดลงในกระบี่นิลสวรรค์ ข้าไม่คิดว่าตัวตนในขอบเขตเซียนทั่วไปจะรับกระบี่ข้าได้!’


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นในใจ


 


แม้ปกติแล้วเขาจะเอาชนะยอดฝีมือที่มีระดับเหนือกว่าได้


 


อย่างไรก็ตามด้วยพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ เขาสามารถเอาชนะได้แค่ครึ่งก้าวเซียนเท่านั้น แม้จะใช้กระบี่นิลสวรรค์แล้ว


 


ความแตกต่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับเซียนมันกว้างใหญ่เกินไป หากเป็นก่อนหน้านี้แม้พลังของเขาจะสูงกว่าคนทั่วไป แต่ถึงจะใช้พลังดิบเถื่อนจากความแข็งแกร่งของร่างกายผสาน เขาก็ไม่อาจลบความต่างถึงขั้นฆ่าตัวตนในขอบเขตเซียนได้…


 


ทว่าตอนนี้เมื่อมีกระบี่นิลสวรรค์เรื่องราวกลับต่างออกไปทันที


 


ตราบใดที่เขาทะลวงไปถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ตัวตนใต้ขอบเขตเซียนทั้งหมดไม่มีทางรอดพ้นคมกระบี่ของเขาได้! กระทั่งตัวตนในขอบเขตเซียนทั่วไป ก็อาจจะตกตายได้ในกระบี่เดียว!


 


‘อย่างไรก็ตามข้าไม่อาจลงมือได้หากไม่มั่นใจว่าจะลงมือสำเร็จ เพราะหลังจากใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมด ข้าก็เสมือนลูกเกาทัณฑ์ที่ยิงออกไปแล้ว หากศัตรูหลบได้และลงมือสวนกลับ ถึงตอนนั้นคงยากที่ข้าจะหนีพ้นความตาย…’


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักถึงความเสี่ยงดี


 


หลังจากที่ทดลองอยู่อีกไม่กี่ครั้ง ปราณแท้ในทะเลปราณที่ฟื้นคืนมาของต้วนหลิงเทียนก็พร่องไปกว่า 8 ส่วน เขาจึงเริ่มนั่งลงฟื้นฟูพลังอีกครั้ง


 


หลังจากใช้เวลาฟื้นฟูพลังพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบออกจากชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแต่อย่างไร เขายังตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอยู่บนชั้น 3 เพื่อทะลวงไปยังสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ให้ได้โดยเร็ว


 


ทันทีที่เขาทะลวงถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ด้วยความช่วยเหลือของกระบี่นิลสวรรค์ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลยามปะทะกับตัวตนขอบเขตเซียนระดับต่ำๆ


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงบ่มเพาะฝึกฝนหนักขึ้นกว่าเดิม


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนบ่มเพาะพลังในเจดีย์ ใครบางคนในสำนักจันทร์จรัสแสงก็เริ่มนั่งไม่ติด


 


“ต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่นใจคอมันจะหดหัวอยู่แต่ในบ้านมิออกไปไหนเลยหรือ!?”


 


ใบหน้าของหลิวฮ่วนบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียหลังจากที่กลับมาแล้ว จะแช่อยู่ในคฤหาสน์ของป๋ายลี่หงโดยไม่ออกไปไหนเลย


 


เรื่องนี้ทำให้มันอับจนหนทาง เพราะไม่มีโอกาสลงมือ!


 


“ข้าทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนี้หรือ…”


 


หลิวฮ่วนที่นั่งไม่ติด ได้แต่เดินวนไปวนมาด้วยความเครียด ใบหน้ามันมืดดำแทบจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก “หากมันคิดบ่มเพาะพลังในคฤหาสน์ป๋ายลี่หง 2-3 ปี ข้าจะยังปล่อยให้มันบ่มเพาะพลังดีๆได้เหรอ?”


 


“ไม่! เรื่องนั้นปล่อยให้เกิดขึ้นมิได้เด็ดขาด!!”


 


หลิวฮ่วนส่ายหัวไปมาราวคนบ้า “ด้วยพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนนั่น เพียงมิกี่ปีพลังฝีมือมันต้องก้าวข้ามข้าไปได้แน่…ตอนนี้ข้ายังเอาชนะมันได้ แต่ถ้าผ่านไปอีกมิกี่ปีก็เป็นไปมิได้แล้ว!!”


 


แม้หลิวฮ่วนไม่เต็มใจรับ แต่เรื่องนี้มันก็จำต้องยอมรับ


 


ศักยภาพพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนสูงจนมันหวาดกลัว


 


“ข้าปล่อยให้มันเติบโตต่อไปแบบนี้มิได้!!”


 


หลิวฮ่วนที่ร้อนใจดังไฟลามก้น เริ่มบังเกิดความคิดอันตรายขึ้นมา ยังอดรอไม่ได้ที่จะไปดำเนินการ “ถึงแม้เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อมันไม่มาก…แต่อย่างน้อยๆ ข้าก็มั่นใจว่าต้องทำให้มันมิอาจบ่มเพาะพลังได้อย่างสงบสุข! คราวนี้ตราบใดที่มันออกจากคฤหาสน์ของป๋ายลี่หงหรือออกจากสำนักข้าจักได้มีโอกาสลงมือ!!”

 

 

 


ตอนที่ 1548

 

สองข่าวที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่


 


หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะ นอกสำนักจันทร์จรัสแสง กลับมีคนพบศพถูกสังหารอย่างปริศนา…


 


ที่สำคัญคือบริเวณเอวของศพดังกล่าว กลับห้อยป้ายบ่งบอกฐานะศิษย์ฝ่ายในเอาไว้!


 


ตอนนี้สำนักจันทร์จรัสแสงที่เงียบมาทั้งเดือนพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที!


 


กล้าสังหารศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงใกล้ๆสำนัก ทั้งยังเป็นศิษย์ฝ่ายในอีก! นี่ยังต่างใดกับลูบคมสำนักจันทร์จรัสแสง…ใครมันช่างกล้า!?


 


และในขณะที่สำนักจันทร์จรัสแสงกำลังเดือดเพราะเรื่องนี้


 


ก็มีข่าวหนึ่งแพร่ไปในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


“เห็นว่าศิษย์ฝ่ายในที่ถูกตายใกล้ๆสำนักเรา…ที่แท้เป็นการฆ่าปิดปาก! เพราะมันดันเป็นพยานในเหตุการณ์ที่อาวุโสจ้าวเฟิงถูกคนฆ่าตาย!”


 


ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าข่าวนี้มาจากใครและมาได้อย่างไร รู้กันอีกทีทุกคนก็กล่าวถึงเรื่องนี้กันไปทั่วแล้ว ข่าวยังแพ่รไปทั่วสำนักดั่งไฟลามทุ่ง!


 


เรื่องนี้นับว่าทำให้ฝ่ายในแตกตื่นกันไม่น้อย!


 


อาวุโสจ้าวเฟิงตายแล้ว!?


 


กลุ่มแรกที่ตกใจก็คือเหล่าศิษย์ฝ่ายในที่ทำหน้าที่ดูแลรับใช้จ้าวเฟิงในคฤหาสน์ ทั้งหมดพอได้ทราบเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง!


 


“มิน่าแปลกใจเลยว่าวันนั้นไฉนท่านจ้าวสำนักถึงมาถามว่าอาวุโสจ้าวเฟิงไปที่ใด…ท่านเจ้าสำนักอาจล่วงรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าอาวุโสจ้าวเฟิงถูกคนสังหาร!”


 


เหล่าศิษย์ที่ทำงานในคฤหาสน์จ้าวเฟิง เริ่มตั้งวงหารือกันตาปริบๆ ยิ่งมาก็ยิ่งมั่นใจ เพราะทุกอย่างมันประจวบเหมาะเกินไป!


 


ขณะเดียวกัน เหล่าอาวุโสฝ่ายในทั้งหลายที่มีสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเฟิงก็เร่งรุดไปยังคฤหาสน์จ้าวเฟิงกันยกใหญ่ ด้วยอยากรู้ว่านี่มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่…


 


และพอพวกมันรับทราบว่าจ้าวเฟิงได้ออกจากคฤหาสน์ไปร่วมเดือน จนบัดนี้ยังไม่ได้กลับมา พร้อมทั้งเดือนที่แล้วจ้าวสำนักก็มาไถ่ถามหาจ้าวเฟิงด้วยตัวเอง…ทั้งหมดก็ตระหนักได้ว่าข่าวลืออาจเป็นความจริง!


 


หลังจากอาวุโสเหล่านี้ยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเรื่องอาวุโสจ้าวเฟิงตกตายแล้ว…ก็กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนในสำนักจันทร์จรัสแสงรับทราบกันถ้วนหน้า!


 


ภายในพื้นที่หวงห้ามของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


เพล๊ง!!


 


ถ้วยชาถูกปัดตกโต๊ะจนแตก


 


ผู้ที่ปัดทำลายถ้วยชานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายชราแก่หง่อม! ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก! ยังเต็มไปด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด!!


 


ครู่ต่อมาชายชราแก่หง่อมนั่นก็ออกจากคฤหาสน์ที่พัก เพื่อไปยังคฤหาสน์อีกหลังข้างๆทันที


 


“เจ้าสำนัก มิใช่เจ้ากล่าวบอกข้าหรอกหรือว่าการตายของจ้าวเฟิงเป็นปริศนาไร้ผู้ใดล่วงรู้…แล้วไฉนยามนี้ถึงไดมีข่าวเรื่องศิษย์ฝ่ายในถูกฆ่าปิดปากเพราะเป็นพยานรู้เห็นการตายของจ้าวเฟิงแพร่ออกมาได้!?”


 


ชายชรามองจี้ถามเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยสายตาคมกล้า ไม่มีทีท่าเคารพในฐานะเจ้าสำนักแม้แต่น้อย


 


เมื่อเห็นว่าชายชราบุกมาหาความเรื่องนี้ เจียงเว่ยเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงย่อมไม่แปลกใจอะไร ได้แค่ฝืนยิ้มออกไปอย่างขื่นขมค่อยกล่าว “อาจารย์ลุงนี่เป็นเพียงข่าวลือที่มิมีมูลความจริงอันใด…ข้าลองออกไปตรวจสอบมาสองสามวันแล้ว แต่พบว่ามิมีผู้ใดรู้เลยว่าข่าวนี้มาจากที่ใด…”


 


“เช่นนั้นเป็นได้อย่างยิ่ง ว่าสมควรมีผู้ใดชักใยอยู่เบื้องหลังแล้ว…”


 


เจียงเว่ยกล่าวตอบไปอย่างมั่นใจ


 


“จักมีผู้ชักใยอุบาทว์อันใดอยู่เบื้องหลังข้ามิสน ข้าสนว่าเรื่องนี้มันจริงหรือไม่! หากเจ้ามิมีปัญญาตรวจสอบได้ ข้าจักไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง! นานแล้วตั้งแต่ผู้ชราเช่นข้ามิได้ทำอันใด…เส้นสายนับว่าตึงไปหมด บางทีข้าอาจใช้โอกาสนี้ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย!”


 


ชายชรากล่าวออกเสียงเข้ม


 


“ท่านอาจารย์ลุงเฉียน ข้าจักหาสาเหตุการตายของจ้าวเฟิงให้ท่านเร็วที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้”


 


เจียงเว่ยกล่าวให้คำมั่นออกมา “ขออาจารย์ลุงโปรดวางใจ แล้วรอคำตอบจากข้าเถอะ”


 


มันกลัวใจเหลือเกินว่าชายชราจะออกไปอาละวาดด้วยตัวเอง มันเองก็รู้นิสัยชายชราผู้นี้ดี น่ากลัวว่าเพื่อจ้าวเฟิงแล้วไม่มีอะไรที่อีกฝ่ายไม่กล้าทำ!


 


“เจ้าสำนัก รู้ไว้เสีย…ว่าความอดทนของข้ามีจำกัด!”


 


ชายชราเพียงมองจี้เจียงเว่ยตาเขม็งอีกครั้งพร้อมกล่าว ค่อยจากไป


 


หลังจากชายชราออกไป ใบหน้าเจียงเว่ยก็ไม่เหลืออาการปั้นยิ้มเกรงใจอะไรอีก กลับกลายเป็นมืดลงทันใด


 


ถึงแม้ชายชราจะเป็นอาจารย์ลุงของมัน แต่จะอย่างไรมันก็คือเจ้าสำนัก! การที่ชายชรามาคาดคั้นข่มขู่มันแบบนี้ทำให้มันไม่พอใจนัก คล้ายศักดิ์ศรีเจ้าสำนักของมันถูกท้าทาย!


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่พลังฝีมือของชายชรามิได้ด้อยไปกว่ามันเลย ความหงุดหงิดในใจของมันก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


นอกจากนี้จะอย่างไรชายชราผู้นี้ก็ทำเพื่อสำนักจันทร์จรัสแสงมามาก


 


แถมเรื่องของชายชราครั้งนี้ กล่าวไปก็เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของมัน…


 


“สารเลวตัวใดกันที่หาญกล้าสร้างเรื่อง…เจ้าซ่อนตัวไว้ให้ดีเถอะ! หาไม่แล้วหากถูกข้าพบเมื่อใด ข้าจักให้เจ้าตายอนาถ!!”


 


พอคิดถึงคนที่แพร่ข่าวลือจ้าวเฟิง สีหน้าเจียงเว่ยก็คล้ายจะกลายเป็นมารร้ายทันที


 


“จนถึงตอนนี้ผู้ที่รู้เรื่องราวการตายของจ้าวเฟิง สมควรมีอาจารย์ลุงเฉียน ข้า แล้วก็หลิวฮ่วน…นอกจากนี้ก็มีแต่ฆาตกรที่ลงมือฆ่าจ้าวเฟิง!”


 


ในฐานะเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง ความคิดอ่านของเจียงเว่ยย่อมมิได้มืดบอดหลงกลข่าวลือที่จงใจแพร่ออกมาแบบนี้ได้โดยง่าย


 


ดังนั้นผู้ต้องสงสัยแรกในใจของมันย่อมเป็น ‘หลิวฮ่วน’


 


ต้องกล่าวเลยว่าเจียงเว่ยนั้นมิใช่ชนชั้นโง่งม มันกลับตระหนักได้ว่านี่เป็น ‘ข่าวลือ’ ที่จงใจแพร่ออกมาทันที กระทั่งการตายของศิษย์ฝ่ายในคนนั้นสมควรเป็นการจัดฉาก!


 


อย่างไรก็ตาม ผู้บงการเรื่องราวอย่างหลิวฮ่วน ไหนเลยจะทิ้งร่องรอยใดๆ ให้สาวมาถึงตัวได้โดยง่าย! กระทั่งยามถูกซักถามก็ไม่เผยพิรุธใดๆให้เห็น!


 


ดังนั้นแม้เจียงเว่ยจะพยายามทดสอบหลิวฮ่วนหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล


 


‘ได้เวลาที่ข้าจะปล่อยอีกข่าว ที่จักสร้างผลกระทบครั้งใหญ่แล้ว…’


 


เมื่อเห็นเจียงเว่ยออกจากคฤหาสน์ไป ยิ้มเย็นเยือกก็ยกแสยะขึ้นที่มุมปากหลิวฮ่วนทันที


 


‘ต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หง…ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกมา ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจักสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้! โดยเฉพาะเจ้าต้วนหลิงเทียน!!’


 


หลังจากบ่นในใจ ลูกตาหลิวฮ่วนก็ทอแววอาฆาตมาดร้ายออกมาทันที


 


และไม่กี่วันหลังจากที่ข่าวการตายของจ้าวเฟิงทั้งการฆ่าศิษย์ฝ่ายในปิดปากแพร่กระจายไปทั่ว ก็มีอีกข่าวลือหนึ่งที่แพร่ออกมาทับข่าวแรก ทำให้สำนักปั่นป่วนอีกครั้ง!


 


“เห็นว่าที่อาวุโสจ้าวเฟิงออกไปวันนั้นเพราะคิดล้างแค้นให้ศิษย์ส่วนตัวอย่างเฝิงฟ่าน…แต่ผู้ใดจักไปรู้ ที่กล่าวกันว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’ กลับมิผิด อาวุโสจ้าวเฟิงกลับเตะเข้าตอเหล็ก ไม่เพียงล้างแค้นมิสำเร็จยังถูกฆ่าตายเสียเอง!!”


 


นี่คืออีกข่าวลือหนึ่งที่แพร่กระจายขึ้นมาในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


เช่นเคย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าข่าวนี้มาจากผู้ใดและมาจากไหนกันแน่ คล้ายอยู่ๆก็ผุดขึ้นมาพร้อมกันทั้งสำนัก!


 


ทว่าข่าวนี้กลับเป็นประเด็นร้อนยิ่งกว่าข่าวก่อนหน้าเสียอีก! ถึงกับทำให้สำนักจันทร์จรัสแสงโกลาหลกันยกใหญ่!!


 


“ที่แท้เฝิงฟ่านเป็นศิษย์ของอาวุโสจ้าวเฟิง!”


 


“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนมันเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแท้ๆถึงได้มีวรยุทธ์เซียนมนุษย์โดดเด่น ทั้งศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวเช่นนั้นไว้ใช้งาน…ถึงว่าล่ะ มิมีอาวุโสฝ่ายในคนใดมารับตัวมันไปเป็นศิษย์เลย ถึงแม้จะติดอันดับในรายนามปฐพีแบบนั้น!”


 


เรื่องนี้ก็ทำให้ความสงสัยในใจของศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายคลี่คลายเช่นกัน


 


เรื่องนี้เป็นอะไรที่ในกาลก่อนพวกมันสงสัยกันนัก


 


“คิดไปล้างแค้นให้เฝิงฟ่าน…เฮ่ย! มิใช่ว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเป็นคนฆ่าเฝิงฟ่านหรอกเหรอ?”


 


ไม่นานก็มีบางคนกล่าวออกมาด้วยความตกใจ


 


“มิผิด! ผู้ที่ลงมือสังหารเฝิงฟ่านเป็นศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน! อย่างไรก็ตามนี่เพราะเฝิงฟ่านเป็นฝ่ายส่งสารท้าประลองเป็นตายให้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเอง…ถึงแม้จักตายไปก็เป็นเพราะอ่อนแอกว่าผู้อื่น เรื่องนี้มิอาจโทษศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนได้มิใช่หรือไร?”


 


“หากอาวุโสจ้าวเฟิงออกไปล้างแค้นให้เฝิงฟ่านและคิดฆ่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจริง…เช่นนั้นก็มิคู่ควรเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในแล้ว!”


 


“ข้าเองก็เห็นด้วย! ตั้งแต่ที่เฝิงฟ่านกล้าส่งสารท้าประลองเป็นตายให้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นก็อยู่ที่ลิขิตฟ้าแล้วว่าผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะตาย…นี่เป็นกฏเหล็กของสำนักจันทร์จรัสแสง ต่อให้อาวุโสจ้าวเฟิงเป็นอาวุโสฝ่ายในก็มิใช่จักละเมิดกันได้ง่ายๆ! กฏต้องเป็นกฏ!!”


 


“ข้าเองก็ได้ยินว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากสำนักไปช่วงหนึ่ง…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าช่วงเวลาที่อาวุโสจ้าวเฟิงถูกสังหาร กลับเป็นช่วงนั้นพอดี?!”


 


“ข้ากลัวว่าเรื่องนี้ สมควรมีคนแพร่ข่าวลือเพื่อหวังผลอันใดบางอย่าง ข้าคิดว่าแรงจูงใจของมันคือชี้นำให้ผู้คนคิดว่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเป็นผู้สังหารอาวุโสจ้าวเฟิง!”


 


“เหลวไหล! ถึงแม้ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจักเป็นยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนแล้ว แต่เป็นไปมิได้เลยที่ศิษย์พี่ต้วนจะลงมือฆ่าอาวุโสจ้าวเฟิงได้”


 


“นั่นสิ…อาวุโสจ้าวเฟิงจะอย่างไรก็เป็นอาวุโสฝ่ายในที่มีพลังฝีมือติดอันดับ 1 ใน 3 …ไม่เพียงแต่เป็นยอดฝีมือสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ยังบรรลุสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้วด้วยซ้ำเพราะเห็นว่าพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะมา!”


 


“เหอๆ พวกเจ้าอย่าได้ลืมกันไปเสียเล่า…ว่าเบื้องหลังศิษย์พี่ต้วนคืออาวุโสป๋ายลี่! แถมพลังฝีมือของผู้อาวุโสป๋ายลี่ยังเทียบได้กับครึ่งก้าวเซียน!”


 


“เฮอะ! เจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้…หรือเจ้าสงสัยว่าอาวุโสป๋ายลี่เป็นคนสังหารอาวุโสจ้าวเฟิง?”


 


……


 


แตกต่างจากข่าวก่อนหน้าไม่น้อย เพราะข่าวนี้กลับเกี่ยวพันถึงต้วนหลิงเทียนที่กำลังมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากสำนักจันทร์จรัสแสง ด้วยเหตุนี้เรื่องราวยิ่งมาจึงยิ่งร้อนระอุขึ้น!


 


สุดท้ายจึงกลายเป็นทุกคนสงสัยว่าจ้าวเฟิงอาจจะตกตายด้วยฝีมือป๋ายลี่หง!


 


“โชคร้ายที่ตอนป๋ายลี่หงออกจากคฤหาสน์ข้าไปวันนั้นมันสมควรสวนกับเจ้าสำนัก…หาไม่แล้วเจ้าสำนักคงสงสัยมันมากที่สุด”


 


ในขณะที่กำลังพึงพอใจกับผลกระทบของข่าวลือ หลิวฮ่วนก็ลอบเสียดายเรื่องนี้เสียไม่ได้


 


“อย่างไรเสียแม้เจ้าสำนักจะรู้ว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่ฝีมือป๋ายลี่หง แต่เรื่องราวคงมิจบลงง่ายดายนัก…ผู้ใดจะไปรู้อาจเป็นยอดฝีมือที่ป๋ายลี่หงจ้างวานให้ปกป้องต้วนหลิงเทียนเป็นคนลงมือฆ่าจ้าวเฟิงใช่หรือไม่?”


 


หลิวฮ่วนแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “จะอย่างไรก็มิมีทางใดที่ต้วนหลิงเทียนจะรอดพ้นจากเรื่องนี้ไปได้ในเวลาอันสั้น…ข้าหวังว่ามันจะถูกข่าวลือนี้รบกวนจนไร้กะจิตกะใจบ่มเพาะ จำต้องออกมาเดินเล่นด้านนอกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์!”


 


คิดถึงตอนสุดท้าย หลิวฮ่วนก็แสยะยิ้มเย็นเยือก ประกายตายังสว่างวาบขึ้นมา


 


นี่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน!!


 


ในขณะเดียวกัน ที่เขตหวงห้ามของสำนักจันทร์จรัสแสง สถานการณ์ก็ยากจะสงบลงได้


 


“อาจารย์ลุงเฉียน ข้าสามารถสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าได้ ว่าวันนั้นพอท่านมาแจ้งข้าเรื่องการตายของจ้าวเฟิง ข้าก็ไปหาหลิวฮ่วนทันที และข้าพบว่าผู้อาวุโสป๋ายลี่เองก็พึ่งออกมาจากคฤหาสน์ของหลิวฮ่วน!”


 


เจียงเว่ยไม่รอคำตอบ เลือกที่จะสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าทันที ค่อยกล่าวสืบต่อ “หากอาวุโสป๋ายลี่สังหารจ้าวเฟิงจริง คงมิมีทางที่จะย้อนกลับมาที่สำนักเร็วถึงเพียงนี้…นอกจากนั้นเท่าที่ข้ารู้ ช่วงนั้นอาวุโสป๋ายลี่เองก็พักอยู่ที่คฤหาสน์ของหลิวฮ่วนตลอด…”


 


“เช่นนั้นกล่าวได้ว่าตอนที่จ้าวเฟิงถูกสังหาร อาวุโสป๋ายลี่สมควรอยู่ที่คฤหาสน์ของหลิวฮ่วน จึงเป็นไปมิได้เลยที่อาวุโสป๋ายลี่จะเป็นคนลงมือสังหาร นอกเสียจากอาวุโสป๋ายลี่จะสามารถแยกร่างอยู่ 2 ที่ได้พร้อมกัน”


 


ตอนนี้เจียงเว่ยเป็นกังวลนัก ข่าวแรกไม่ทันหาตัวคนลงมือได้…ข่าวที่สองกลับแพร่ออกมาสร้างความปวดหัวให้มันอีกครั้ง! นี่ใครมันขยันหาเรื่องนักหนากัน คิดเล่นงานมันให้ปวดหัวตายหรือ?!


 


“บางทีมันอาจมิใช่ผู้ลงมือเอง แต่เป็นคนที่มันจ้างวานไปคุ้มครองต้วนหลิงเทียนอะไรนั่นลงมือก็เป็นได้!”


 


ชายชราหยีตาลง ยังเผยประกายคมกล้ากล่าวออกเสียงเย็น “มิว่าอันใดเรื่องนี้ข้าจักออกไปไถ่ถามมันซึ่งๆหน้าด้วยตัวข้าเอง!”


 


“อาจารย์ลุงเฉียน…ท่านอย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย”


 


ได้ยินคำนี้ของจ้าวเฉียน เจียงเว่ยอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ฝืนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม

 

 

 


ตอนที่ 1549

 

ป๋ายลี่หงยืนกราน


 


 


“เจ้าสำนัก ข้ารู้ดีว่าเจ้าลำบากใจเรื่องอันใด…เพราะมันคือปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว แต่เจ้าสำนักมั่นใจได้ หากมันพิสูจน์ได้ว่าการตายของจ้าวเฟิงมิมีใดเกี่ยวของกับมันจริงๆ ชายชราผู้นี้ยินดีก้มหัวขอขมาต่อมันเอง”


 


ชายชรากล่าวออกเสียงเข้ม


 


มาตอนนี้เจียงเว่ยรู้ดีว่ามิอาจห้ามชายชราได้อีกต่อไป และมันรู้ว่าถึงห้ามอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องกระทำให้จงได้


 


ชายชราตัดสินใจไปแล้ว ไหนเลยมันจะทำอะไรได้อีก


 


“อาจารย์ลุงเฉียนในเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย”


 


เจียงเว่ยกล่าว


 


ชายชราไม่กล่าวใดเพิ่มเติม ปล่อยให้เจียงเว่ยติดตามมาแต่โดยดี


 


ไม่นานทั้งคู่ก็พากันมาถึงคฤหาสน์ป๋ายลี่หง


 


ป๋ายลี่หงที่ได้รับทราบข่าวลือมาก่อนแล้ว จึงไม่แปลกใจอะไรที่เห็นเจ้าสำนักมาที่นี่


 


อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่มีใดเกี่ยวข้องกับมัน ยังจะกังวลใจไปทำอะไร


 


อย่างไรเสียแม้ไม่กังวล แต่อารมณ์ก็มิใช่จะสู้ดีสักเท่าไร!


 


หากข่าวลือนั่นเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจ้าวเฟิงคิดฆ่าศิษย์น้องของมันหรอกรึ?!


 


มันยังรู้สึกขอบคุณสวรรค์นัก…เพราะตอนแรกคิดว่ามีเพียงหลิวฮ่วนเท่านั้นที่คิดฆ่าศิษย์น้องของมัน ทว่าไม่เคยคิดถึงจ้าวเฟิงเลยแม้แต่น้อย ‘โชคดีที่มิมีใดเกิดขึ้นกับศิษย์น้อง…หาไม่แล้วข้าจะมีหน้าไปพบอาจารย์ในโลกหน้าอีกหรือ’


 


คิดถึงเรื่องนี้ ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวในใจ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


เพราะไม่ใช่แค่เพียงเจียงเว่ยเท่านั้นที่รออยู่ กลับมีใบหน้าคุ้นตาหนึ่งรออยู่ด้วย! ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียนที่มีน้อยคนในสำนักจันทร์จรัสแสง!


 


ยังเป็นอาจารย์ลุงของเจ้าสำนัก…เฉียนคง!


 


“เจ้าสำนัก อาวุโสเฉียน พวกท่านสบาย”


 


แม้ป๋ายลี่หงจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว และมีฐานะอันพิเศษในสำนักจันทร์จรัสแสง แต่ก็ไม่กล้าละเลยท่าทีต่อเจียงเว่ยและเฉียนคง


(พ่อจ้าวเฟิงไม่ได้ชื่อจ้าวเฉียน…แต่เป็นเฉียนคง ตอนก่อนๆผมดูผิดไปขออภัยด้วย)


 


“อาวุโสป๋ายลี่”


 


เจียงเว่ยยิ้มตอบคำทักของป๋ายลี่หง


 


หากเป็นปกติเฉียนคงเองก็คงยิ้มตอบคำทักเช่นกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้มันเลือกที่จะยิงคำถามออกมาตรงๆ “อาวุโสป๋ายลี่ ข้ามาวันนี้เพราะเรื่องของจ้าวเฟิง”


 


“มีข่าวลือกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงกับอาวุโสเฉียนเป็นดั่งอาจารย์และศิษย์ปิดสำนัก ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงไม่ยอมรับจ้าวเฟิงเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ แต่มาตอนนี้ท่านกลับทำเพื่อมันมิใช่น้อย”


 


ถึงแม้จะแปลกใจที่เฉียนคงมาด้วยตัวเอง แต่ป๋ายลี่หงก็ยังยิ้มตอบกลับไป


 


มันเองก็เคยได้ยินเรื่องของเฉียนคงกับจ้าวเฉียนมาแล้ว


 


มันเองก็สงสัยไม่น้อยว่าทำไมเฉียนคงไม่ทำเรื่องจ้าวเฟิงให้ชัดเจนกันไป


 


“ถึงแม้ว่าข้าจะเชื่อมั่นในตัวอาวุโสป๋ายลี่มิน้อย แต่ข้ายังหวังว่าจักได้รับคำยืนยันจากปากท่าน…ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการตายของจ้าวเฟิงหรือไม่?”


 


ลูกตาเฉียนคงมองป๋ายลี่หงไม่วางตา คล้ายจะจับทุกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของป๋ายลี่หง


 


“มิมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าเลย”


 


ป๋ายลี่หงยังคงยิ้มตอบ หัวส่ายไปมา


 


“ท่านสามารถกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าได้หรือไม่ ว่าท่านมิมีส่วนรู้เห็นอันใดกับการตายของจ้าวเฟิง?”


 


เฉียนคงยังถามสืบต่อ คำถามนี้ยังเหลือเชื่อทั้งน่าตกใจไม่น้อย


 


พอได้ยินคำนี้ของเฉียนคง หน้าป๋ายลี่หงพลันแข็งไปทันใด รอยยิ้มสลาย กล่าวถามกลับไปเสียงเข้ม “หรืออาวุโสเฉียนมิเชื่อถือในคำข้า?”


 


“นี่มิใช่ข้ามิเชื่อท่านแต่อย่างใดอาวุโสป๋ายลี่…ข้าเพียงต้องการยืนยันให้แน่ชัดเท่านั้น หากท่านกล่าวคำสาบานว่ามิมีส่วนรู้เห็นต่อการตายของจ้าวเฟิง…ข้าเฉียนคงยินดีก้มหัวขอขมาท่าน!”


 


เฉียนคงกล่าวย้ำออกมาอีกครั้ง


 


วาจาของเฉียนคงแน่นอนว่าทำให้ป๋ายลี่หงตกใจไม่น้อย


 


เฉียนคงผู้นี้ยินดีก้มหัวขอขมามันป๋ายลี่หง?


 


กล่าวจริงหรือ?


 


จังหวะนี้ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะมองเจียงเว่ยด้วยความสงสัย ราวกับจะถามว่าที่แท้เฉียนคงมีสัมพันธ์อันใดกับจ้าวเฟิงกันแน่ ถึงได้ยอมทำขนาดนี้


 


น่าเสียดายแม้เจียงเว่ยจะรู้เรื่องนี้ แต่มันก็ไม่อาจกล่าวตอบไปตามตรงได้


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ข้าบอกท่านได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ลุงเฉียนกับจ้าวเฟิงนั้น แน่นแฟ้นมิต่างอันใดจากบุตรบิดา…”


 


เจียงเว่ยได้แต่กล่าวตอบไปแบบนี้เท่านั้น


 


“มิต่างบุตรบิดา?”


 


ได้ยินคำนี้ของเจียงเว่ย ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะเย้ยเยาะในใจ หากพวกเจ้าสนิทสนมกันถึงขนาดนั้น แล้วใยไม่ย่อมรับจ้าวเฟิงเป็นศิษย์ปิดสำนักให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยเล่า?


 


“อาวุโสเฉียนท่านให้ข้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเช่นนี้ ก็มิตองสงสัยเลยว่าที่แท้ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไร…ตลอดชั่วชีวิตข้ามิเคยก้มหน้าโป้ปด! อย่างไรเสียในเมื่อท่านอยากให้ข้ายืนยันด้วยการสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้านัก ข้าก็จักทำให้ตามที่ท่านต้องการ!!”


 


ป๋ายลี่หงมองเฉียนคุนด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวออกเสียงเย็น


 


หลังจากที่กล่าวจบ ก็จิกนิ้วหลั่งโลหิต กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าทันที


 


เนื้อหาคำสาบานก็ไม่มีใดอื่น…มันไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆต่อการตายจ้าวเฟิงทั้งสิ้น


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


……


 


เมื่อเสียงอัสนีสวรรค์ลั่นดังก้องฟ้า 9 คำรบ ก็หมายความว่าสวรรค์ตอบรับสัตย์สาบานครั้งนี้แล้ว ในเมื่ออัสนีฟ้าไม่ผ่าพิฆาตลงทัณฑ์ นั่นหมายความว่าป๋ายลี่หงไม่ได้โกหก


 


จังหวะนี้เจียงเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ


 


มันล่ะกลัวใจเหลือเกินว่าป๋ายลี่หงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ อย่างไรเสียตอนนี้มันก็ตกที่นั่งลำบากยัก เพราะต้องมาอยู่คั่นกลางระหว่างทั้งสอง!


 


เฉียนคงเป็นผู้พิทักษ์สำนักจันทร์จรัสแสง และมีศักดิ์เป็นอาจารย์ลุงของมัน


 


ป๋ายลี่หงก็คือปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงหนึ่งเดียวของสำนัก


 


ทั้งคู่ล้วนมีความสำคัญต่อสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างยิ่งยวด มันไม่อาจยอมรับได้หากจะต้องเสียใครคนใดคนหนึ่งไป


 


และในที่สุดตอนนี้เรื่องราวก็จบลงด้วยดี


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ข้าขอภัยสำหรับการสงสัยในตัวท่านครั้งนี้”


 


เฉียนคงก็นับว่าเป็นชนชั้นกล้าทำกล้ารับ เมื่อรู้ว่าป๋ายลี่หงกลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ มันก็ประสานมือก้มหัว โค้งร่างขอขมาต่อป๋ายลี่หงทันที


 


ถึงแม้ว่าท่าทางจะไม่ค่อยจริงใจเสียเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆมันก็ยอมลดศักดิ์ศรีของมันลงแล้ว


 


“อาวุโสเฉียน หากไม่มีเรื่องใดก็อย่าถือที่ข้าไม่ส่ง”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวคำตัดบทออกมา เห็นได้ชัดว่าคิดขับไล่ผู้คน!


 


ปกติแล้วมันนับว่าเป็นคนใจกว้าง ทว่าการกระทำของเฉียนคงวันนี้ทำให้มันมีโมโหนัก!


 


“อาจารย์ลุงเฉียน พวกเราไปกันเถอะ”


 


จากสีหน้าท่าทางป๋ายลี่หง ไหนเลยเจียงเว่ยจะไม่ทราบได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์อันใด มันเร่งชักชวนเฉียนคงให้กลับไปทันที


 


“ช้าก่อน”


 


อย่างไรก็ตามเฉียนคงกลับส่ายหัวไปมา สองตามองป๋ายลี่หงค่อยกล่าวสืบต่อออกมาอีกครั้ง “อาวุโสป๋ายลี่ ข้าต้องขออภัยท่านด้วย แต่ทว่าข้าอยากขอให้ท่านเรียกต้วนหลิงเทียนออกมาพบข้าหน่อย”


 


“อาวุโสเฉียน เรื่องนี้ท่านหมายความว่าอะไร?”


 


หน้าป๋ายลี่หงเปลี่ยนไปมหันต์ในทันใด กล่าวถามออกไปเสียงแข็ง


 


“อาวุโสป๋ายลี่ยามนี้ตัวข้าทราบแล้วว่าท่านมิมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการตายของจ้าวเฟิง…หากแต่ข้ามิอาจเชื่อได้ว่าเรื่องนี้จักมิมีอันใดเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียน! โปรดให้ศิษย์น้องของท่านออกมายืนยันและได้พิสูจน์ตัวเองเถอะ!”


 


เฉียนคงกล่าวคำขาด


 


“อะไร?! หรืออาวุโสเฉียนคิดให้ศิษย์น้องของข้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเช่นเดียวกับข้า ว่ามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของจ้าวเฟิง?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวเย้ยออกมาเป็นการประชด


 


“ถูกแล้ว”


 


เฉียนคงพยักหน้ารับ


 


“อาวุโสเฉียนที่ข้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเมื่อครู่ นอกเหนือจากเห็นแก่หน้าท่านแล้ว ข้ายังมิอยากให้เจ้าสำนักต้องลำบากใจ…หาไม่แล้วด้วยนิสัยของข้า ตัวข้าไม่มีวันยอมกล่าวคำสาบานเช่นนี้เด็ดขาด! เรื่องนี้ทำให้ใจข้ารู้สึกอัปยศนัก!!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่พอใจ


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ข้าต้องขออภัยท่านแล้วจริงๆ”


 


เฉียนคงกล่าวตอบเสียงเบา


 


“ท่านหมายความเช่นนั้นจริงๆ?”


 


ป๋ายลี่หงพลันฉีกยิ้มออกมาทันใด “อาวุโสเฉียนหากท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าอยากให้ท่านกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าให้ข้าเรื่องหนึ่ง หากท่านมิได้กระทำเรื่องที่ข้าสงสัยข้าจะขอขมาท่านเอง ได้หรือไม่?”


 


“ทำไมจะไม่ได้?”


 


เฉียนคงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


“ประเสริฐ! เช่นนั้นอาวุโสเฉียนช่วยกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าให้ข้ามั่นใจทีเถอะ ว่าเกิดมาท่านมิเคยลักลอบมุดผ้าห่มไปถล่มมารดาของท่านเลยสักครั้ง? แม้ข้าจะเชื่อมั่นในตัวท่าน แต่ข้ายังอยากให้ท่านกล่าวคำสาบานเช่นนี้สักครั้งเพื่อให้ข้ามั่นใจ อาวุโสเฉียน!”


 


แม้ใบหน้าเฉียนคงจะแปรเปลี่ยนไปปานหมึกตั้งแต่ครึ่งประโยคแรก แต่ป๋ายลี่หงก็ไม่แยแส เพียงกล่าวออกจนจบด้วยใบหน้าเฉยเมย


 


ลิ้นอาบยาพิษนัก!!


 


กลับเป็นเจียงเว่ยที่ที่อดไม่ได้ที่จะหน้าซีดปานศพ! ทั่วร่างยังเริ่มเร่งเร้าปราณแท้ออกมา ตระเตรียมป้องกันป๋ายลี่หง เพราะมันกลัวเฉียนคงจะลงมือด้วยโทสะแล้วจริงๆ!


 


ใจมันยังอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความขื่นขมกระทั่งอับจนหนทางอยู่บ้าง ไฉนมันไม่เคยรู้มาก่อนกัน ว่าคำพูดป๋ายลี่หงจะร้ายกาจปานเคลือบยาพิษเช่นนี้!?


 


แม้เฉียนคงจะกล้ากล่าวคำสาบานเรื่องนี้อย่างไม่กลัวเกรง แต่เฉียนคงย่อมไม่มีวันกระทำเด็ดขาด!


 


เพราะนี่นับเป็นการดู่หมิ่นเหยียดหยามเฉียนคงอย่างแรง!


 


อีกทั้งไม่เพียงแต่ทำให้มันเสื่อมเสีย กระทั่งยังพาลให้มารดาเสื่อมเสียอีกด้วย!


 


“ป๋ายลี่หง หลายปีมานี้…เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าคิดฆ่าคนครั้งแรก!”


 


เฉียนคงจับจ้องมองป๋ายลี่หงเขม็ง ลูกตายังวูบวาบด้วยแสงเย็นฉ่ำ


 


หากไม่ใช่เพราะเจียงเว่ยอยู่ข้างๆ และหากไม่ใช่เพราะมันเห็นแก่ตัวตนของป๋ายลี่หง เกรงว่ามันคงลงมือไปนานแล้ว!


 


“อาวุโสเฉียนข้าก็แค่อยากจะให้ท่านกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าในเรื่องที่ข้าไม่มั่นใจเท่านั้นเอง หากท่านไม่กล่าวสาบาน…ไหนเลยข้ายังพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร”


 


ป๋ายลี่หงไม่กลัวเฉียนคงแต่อย่างไร ยังกล่าวต่อไปอย่างไม่แยแส


 


หลังจากกล่าวจบก็ไม่รอให้เฉียนคงตอบกลับ เพียงหันไปมองเจียงเว่ยและเอ่ยออกมาอีกครั้งทันที “เจ้าสำนัก รายละเอียดของศิษย์น้องข้าต้วนหลิงเทียน ข้าคิดว่าท่านคงสืบจนแน่ชัดแล้ว…ท่านคิดจริงๆหรือว่าศิษย์น้องข้ามีพลังสามารถถึงขนาดนั้น? ฆ่าอาวุโสจ้าวเฟิงได้?”


 


“เพียงคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าของข้าก็นับว่ามากเกินพอแล้วที่จะเผยให้เห็นว่าการตายของจ้าวเฟิง ไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ยังรวมถึงศิษย์น้องของข้าด้วย!”


 


ป๋ายลี่หงยังกล่าวยืนกรานออกมาเสียงแข็ง “วันนี้ข้ายอมให้อาวุโสเฉียนหมิ่นเกียรติข้าคนนึงแล้ว แต่ข้ามิอาจยอมให้อาวุโสเฉียนมาหมิ่นเกียรติศิษย์น้องข้าอีกคน!”


 


“หากข้าป๋ายลี่หง กระทั่งปกป้องศิษย์น้องเพียงคนเดียวยังทำไม่ได้ ข้ายังจะอยู่ในโลกนี้ไปเพื่ออันใด!?”


 


วาจาท้ายประโยคของป๋ายลี่หงนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ดื้อรั้นนัก


 


“อาวุโสป๋ายลี่อย่าได้มีโทสะไปเลย ทั้งหมดผิดที่ข้า…ที่ยังมิได้อธิบายเรื่องศิษย์น้องท่านให้อาจารย์ลุงเฉียนฟังชัดๆ”


 


เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงยืนกรานออกมาอย่างดื้อรั้นแฝงโทสะ เจียงเว่ยก็กังวลใจหนักหนาเร่งกล่าวบอกเฉียนคงทันที “อาจารย์ลุงเฉียนเนื่องจากอาวุโสป๋ายลี่กล่าวคำสาบานไปแล้วว่ามิมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับการตายของจ้าวเฟิง เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งไม่อาจเกี่ยวข้องไปใหญ่!”


 


“ศิษย์น้องอาวุโสป๋ายลี่ต้วนหลิงเทียนคนนี้…ข้าตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่ามาจากเมืองชงซัน อันเป็น 1 ใน 18 เมืองใต้อาณัติของสำนักจันทร์จรัสแสงเรา…นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังมาจากทวีปมนุษย์ ไร้เบื้องหลังอันใด”


 


“ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ย่อมไม่มีทางฆ่าจ้าวเฟิงได้เด็ดขาด…ทั้งต่อให้มีเบื้องหลัง ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเหนือไปกว่าอาวุโสป๋ายลี่หงได้”


 


เจียงเว่ยกล่าวออกมารวดเดียวจบ ส่วนใหญ่แล้วเพื่อขจัดความสงสัยใดๆให้หมดไป ด้วยกลัวเฉียนคงจะเอาเรื่องอะไรป๋ายลี่หงอีก


 


ได้ยินคำของเจียงเว่ย สีหน้าของเฉียนคงค่อยๆผ่อนคลายลง หากแต่ขณะมองไปยังป๋ายลี่หงในแววตายังเผยจิตฆ่าฟันให้เห็นชัด


 


ป๋ายลี่หงก็มองสบตาสวนไปไม่ได้หวาดกลัวอะไร และไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือ


 


“เหอะ!”


 


หลังจากสบถคำออกมาคำหนึ่ง ร่างเฉียนคงก็วูบหายไปฉับไวปานสายลม

 

 

 


ตอนที่ 1550

 

สารภาพ


 


 


 


ป๋ายลี่หงไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นถึงปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว นับว่ามีความสำคัญต่อสำนักจันทร์จรัสแสงใหญ่หลวงนัก


 


เฉียนคงรู้ดี ว่าถึงแม้มันจะลงมือต่อป๋ายลี่หง แต่สุดท้ายไม่พ้นคงต้องถูกเจียงเว่ยหยุดไว้…


 


หากมันตัวคนเดียวไหนเลยมันจะยังกลัวเจียงเว่ย เพราะต่างบรรลุขอบเขตเซียนด้วยกันทั้งคู่!


 


อย่างไรก็ตาม มันยังมีทายาทหลายคนที่อาศัยอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง หากมันยังหวังให้ทั้งหมดอยู่เย็นเป็นสุขในสำนักจันทร์จรัสแสง มันก็มิอาจล้ำเส้นเจียงเว่ยไปมากกว่านี้ ที่ควรหยุดก็ต้องหยุด


 


และเมื่อครู่เจียงเว่ยก็กล่าวอธิบายเรื่องราวออกมาชัดแล้ว เห็นชัดว่าหากมันยังดื้อรั้นลงมือ เกรงว่าคงได้แตกหักกับเจียงเว่ยจริงๆ…


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ข้าต้องขออภัยต่อท่านด้วยที่เกิดเรื่องแบบนี้กับท่าน”


 


หลังเฉียนคงจากไปเจียงเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยังเร่งหันไปประสานมือกล่าวคำกับป๋ายลี่หงด้วยความรู้สึกผิด


 


“เจ้าสำนัก เรื่องนี้ท่านมิได้ทำผิดอันใด ไหนเลยยังต้องขอขมาข้า”


 


ป๋ายลี่หงย่อมส่ายหัวไปเป็นธรรมดา เพราะมันเองก็รู้ดีว่าเจียงเว่ยไร้หนทางให้เลือก ที่สำคัญอีกฝ่ายก็ดูแลมันอย่างดีมาโดยตลอด


 


หาไม่แล้วมันคงออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงไปเข้าร่วมกับขุมพลังอื่นเนิ่นนานแล้ว


 


“อย่างไรเสียเรื่องนี้ข้าก็นับว่ามีส่วนผิดอยู่ดี…เอาอย่างนี้เถอะ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องท่านพามิตรสหายมาเข้าร่วมสำนักเรา…ให้ข้ามอบคะแนนอุทิศให้ทุกคนๆละหนึ่งล้านแต้ม ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ให้ท่านเถอะอาวุโสป๋ายลี่…”


 


เจียงเว่ยย่อมเป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง ไหนเลยยังไม่รู้ได้ว่าหากมันคิดให้คะแนนอุทิศป๋ายลี่หง…อีกฝ่ายย่อมไม่มีวันรับ! มันจึงเลือกที่จะให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆแทน!


 


และนับว่ามันฉลาดเลือกจริงๆ!


 


“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว เจ้าสำนัก”


 


แม้ป๋ายลี่หงไม่สนใจรับคะแนนอุทิศอะไรจากเจียงเว่ยเพื่อเป็นการชดเชย ทว่าของชดเชยคราวนี้กลับเกี่ยวข้องกับมิตรสหายของต้วนหลิงเทียน และคะแนนอุทิศดังกล่าวก็นับว่ามีประโยชน์ต่อทุกคนไม่น้อย ในเมื่ออีกฝ่ายคิดชดใช้ให้มันๆก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ!


 


“อาวุโสป๋าย ท่านลี่เกรงใจข้าเกินไปแล้ว”


 


เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงยินดีรับการชดเชย เจียงเว่ยก็จากไปอย่างโล่งอก


 


เจียงเว่ยในฐานะเจ้าสำนัก แน่นอนว่ากล่าวคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ไม่ทันพ้นครึ่งวันดีก็มีอาวุโสฝ่ายในมาเยือนคฤหาสน์ป๋ายลี่หง และโอนคะแนนอุทิศให้เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆ…


 


คนละ 1,000,000 คะแนนอุทิศ!


 


วันนี้เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆก็ไม่ใช่ผู้ไม่ประสาที่พึงมาสำนักวันแรกอีกต่อไป! ทั้งหลายตระหนักได้ชัดเจนดีถึงความสำคัญของคะแนนอุทิศ 1,000,000 แต้ม! ด้วยเหตุนี้จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกันถ้วนหน้า!!


 


“…คะแนนอุทิศมากมายขนาดนี้ ท่านเจ้าสำนักให้พวกเราจริงหรือ?”


 


กระทั่งอาวุโสฝ่ายในที่มาถ่ายโอนคะแนนให้จากไป ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะมองแต้มคะแนนอุทิศที่ปรากฏบนบัตรแก้วด้วยสายตาอื้ออึง จังหวะนี้ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะหันมองสบตากันเอง และต่างเห็นถึงความประหลาดใจและสับสนในแววตากันและกัน


 


พวกมันไม่รู้จริงๆว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!


 


ฐานะเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นสูงส่งเกินไป ยากที่พวกมันจะเข้าถึงได้…


 


ทว่าตัวตนที่มีฐานะสูงส่งขนาดนั้นกลับส่งคนมามอบคะแนนอุทิศให้พวกมันคนละล้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ!


 


“เรื่องนี้…สมควรเป็นอาวุโสป๋ายลี่ทำอันใดบางอย่างเพื่อพวกเรา”


 


ซื่อหม่าฉางฟงคาดเดา


 


คนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะมีแต่อาวุโสป๋ายลี่เท่านั้นที่จะมีอำนาจขนาดนี้


 


กว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้เรื่องนี้ก็อีกหลายวันหลังจากนั้น


 


ทันทีที่เขาออกมาจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็ไปหาเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆทันที ด้วยอยากรู้ว่าทั้งหมดปรับตัวเข้ากับสำนักจันทร์จรัสแสงได้แล้วหรือยัง และนั่นทำให้เขาได้รับทราบจากเฟิ่งหวู่เต้าว่าแต่ละคนได้รับคะแนนอุทิศเพิ่มมาอีกคนละล้านแต้ม!


 


ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อพบว่า คะแนนอุทิศเหล่านี้เป็นเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงส่งคนมามอบให้!


 


ทันทีที่ทราบเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องราวครั้งนี้คงไม่ง่าย


 


ล้อกันเล่นหรือไง!?


 


เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆได้คะแนนอุทิศมาคนละล้านเปล่าๆ รวมๆแล้วนี่มันเกือบๆ 10 ล้านคะแนนอุทิศเชียวนะ!


 


ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงสมควรมีคะแนนอุทิศเหลือเฟือ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยิบจ่ายได้ตามใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเอามามอบให้ผู้ที่พึ่งเข้าร่วมสำนักได้ไม่ทันไรแบบนี้อีก


 


ด้วยความอยากรู้ต้วนหลิงเทียนจึงไปหาป๋ายลี่หงทันที


 


“ศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักมอบคะแนนอุทิศให้ลุงเฟิ่งกับคนอื่นๆคนละ 1 ล้านแต้มงั้นเหรอ…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?”


 


เมื่อเจอป๋ายลี่หงต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกไปทันที


 


เห็นใบหน้าสงสัยของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงเพียงยิ้มบางๆกล่าวตอบ “มิมีใดหรอกเพียงแค่เจ้าสำนักคิดชดใช้ให้ข้า แต่มันรู้ดีว่าหากให้ข้าโดยตรงข้าย่อมไม่ยอมรับ จึงเลือกที่จะทำเช่นนี้ ข้าเองก็มิมีเหตุผลให้ปฏิเสธ”


 


“เจ้าสำนักชดใช้ให้ท่าน?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำตอบ ก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ “แล้วทำไมเจ้าสำนักต้องชดใช้ให้ท่านด้วยเล่า?”


 


“เป็นเพราะจ้าวเฟิงน่ะ”


 


ป๋ายลี่หงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลงลึกค่อยตอบ


 


หลายวันที่ผ่านป๋ายลี่หงก็ลองคิดทบทวนเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


การตายของจ้าวเฟิงใช่อุบัติเหตุจริงหรือไม่?


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่เชื่อว่าศิษย์น้องของมันมีพลังฝีมือสูงพอจะฆ่าจ้าวเฟิง ทว่าเรื่องราวกับประจวบเหมาะเกินไป


 


ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงออกไปทำธุระนอกสำนักลำพังบ่อยครั้งก็ไม่เคยมีปัญหา


 


ทว่าคราวนี้เพราะคิดไปตามฆ่าศิษย์น้องมัน กลับต้องชะตาขาดพบพานกับความตายเสียได้!


 


“จ้าวเฟิง!?”


 


ได้ยินคำของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้ยินเรื่องคนผู้นี้มาบ้าง…เห็นว่าเป็นอาจารย์ของเฝิงฟ่านที่ข้าฆ่าไป”


 


แม้สีหน้าต้วนหลิงเทียนจะสงบ แต่ในใจลอบสั่นไหวไปเสียไม่ได้


 


‘ดูเหมือนจ้าวเฟิงนั่นก็มีไข่มุกวิญญาณด้วยสินะ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


“ยามนี้ในสำนักมีข่าว 2 ข่าวลือที่กำลังเป็นประเด็นร้อน เจ้ายังไม่ทราบหรือ?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ข่าวลืออะไรเหรอศิษย์พี่?”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบจริงๆเพราะเขาตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาโดยตลอด และการปิดด่านบ่มเพาะคราวนี้…แม้ยังไม่บรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ แต่เขาก็บ่มเพาะมาถึงจุดรอคอยแล้ว!


 


และด้วยความที่เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆก็กำลังง่วนอยู่กับเร่งพัฒนาด่านพลัง นั่นทำให้ทั้งหมดเองก็ไม่ได้ออกไปไหน จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่รู้เรื่องข่าวลือทั้ง 2 ที่ว่าเลย…


 


หลังจากนั้นป๋ายลี่หงก็กล่าวบอกข่าวลือที่ว่าทั้ง 2 ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นมาทันใด “ไม่คิดเลยว่าข้าปิดด่านบ่มเพาะพลังครั้งนี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมายแบบนี้ได้…ข้าคิดว่าข่าวลือที่ว่าสมควรเป็นหลิวฮ่วนปล่อยออกมาไม่ผิดแน่!”


 


“เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกเหรอ?”


 


ลูกตาป๋ายลี่หงหรี่ลง แสงเย็นเยือกหนึ่งวูบวาบออกมา


 


“ก็ไม่จำเป็นต้องคิดจริงๆนั่นล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนยังอดขำขึ้นมาไม่ได้


 


“สำหรับเรื่องที่เจ้าสำนักชดใช้ให้ข้า ก็มาจากเรื่องนี้เช่นกัน…หลายวันก่อนเจ้าสำนักกับอาวุโสเฉียนคงมาหาข้า เพื่อยืนยันว่าข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการตายของจ้าวเฟิง”


 


เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ป๋ายลี่หงก็เริ่มเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


“อาวุโสเฉียนคง?”


 


ต้วนหลิงเทียนสงสัย


 


“มันเป็นอาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสง ยังเป็นหนึ่งในตัวตนขอบเขตเซียนที่มีอยู่ไม่กี่คนในสำนัก”


 


ป๋ายลี่หงอธิบายเพิ่ม


 


ขอบเขตเซียน!


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย ‘เฉียนคงอะไรนั่นมันสนิทกับจ้าวเฟิงงั้นหรอ?’


 


การตายของจ้าวเฟิงกลับทำให้เฉียนคงต้องออกโรงมาแบบนี้ หากบอกว่าทั้ง 2 ไม่มีสัมพันธ์อะไรกันเขาไม่มีทางเชื่อ!


 


“ข้าเองก็มิคิดว่าการตายของจ้าวเฟิงจะทำให้เฉียนคงถึงกับออกหน้ามาเค้นความกับข้าแบบนี้…ทำให้ตัวตนขอบเขตเซียนเช่นมันเคลื่อนไหวได้ น่ากลัวความสัมพันธ์ระหว่างมันกับจ้าวเฟิงคมิใช่ธรรมดา!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ


 


“หรือจ้าวเฟิงนั่น เป็นลูกนอกสมรสของมันกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวหยอกล้อออกมาด้วยความขบขัน


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนคงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวาจาเหลวไหลเรื่อยเปื่อยนี้ที่แท้กลับเป็นความจริง!


 


“ศิษย์พี่ ท่านเองก็นับว่าดุร้ายเอาเรื่องนัก! ถึงกับขอให้เฉียนคงนั่นกล่าวคำสาบานแบบนั้นได้ลงคอ…ตอนนั้นไม่พ้นมันต้องมีโมโหคิดฆ่าท่านใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาคล้ายหยอกล้อ หากแต่ในใจลอบรู้สึกหนักอึ้งไม่น้อย


 


เหตุผลที่ป๋ายลี่หงกระทำแบบนี้เพราะคิดปกป้องเขา


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะบอกความจริงกับป๋ายลี่หง ว่าเขาฆ่าจ้าวเฟิงไปแล้วจริงๆ


 


“มันคิดฆ่าข้าทันทีเลยล่ะ!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวเย้ยออกมา “น่าเสียดายที่เจ้าสำนักคงไม่มีวันปล่อยให้มันทำอะไรแบบนั้นได้…นอกจากนี้ต่อให้มันฆ่าข้าจริงๆ เกรงว่าหลังจากนี้คืนวันในสำนักจันทร์จรัสแสงคงไม่สงบสุขและอยู่ดีอีกแล้ว เพราะถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่เจ้าสำนัก กระทั่งอาวุโสขอบเขตเซียนทั้งหลายก็ต้องไม่พอใจมันแน่ กระทั่งอาจจะลอยแพมัน…อย่างไรเสียมันไม่ได้อยู่ในสำนักเพียงลำพัง จักทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังห่วงใยคนรอบกาย เฒ่าชราเช่นมันย่อมไม่ใช่ตัวโง่งมไหนเลยยังไม่ไตร่ตรองถึงเรื่องนี้…”


 


ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะกล่าวออกมาคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงอันตรายที่ป๋ายลี่หงเผชิญทันที!


 


หากป๋ายลี่หงต้องเป็นอะไรไปเพราะเขาขึ้นมา ชาตินี้ทั้งชาติเขาคงไม่มีวันอภัยให้ตัวเอง!


 


“ศิษย์พี่…ข้ามีเรื่องจะสารภาพต่อท่าน”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ เขาค่อยๆกล่าวออกมา “เป็นข้าเอง…ที่ฆ่าจ้าวเฟิง”


 


เปรี๊ยง!


 


วาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ยามเข้าหูป๋ายลี่หงก็เสมือนฟ้าผ่า!


 


ศิษย์น้องมันฆ่าจ้าวเฟิง?


 


มันเองก็สงสัยแต่แรกแล้วว่าการตายของจ้าวเฟิงสมควรเกี่ยวข้องกับศิษย์น้องมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าจะถึงขั้นลงมือเอง! มันยังคิดไปว่าบางทีศิษย์น้องมันที่แท้อาจมีความเป็นมาไม่ธรรมดา และมีสุดยอดฝีมือลอบคุ้มครองอยู่ และยอดฝีมือคนนั้นก็เป็นผู้ที่ฆ่าจ้าวเฟิง!!


 


ทว่ามาตอนนี้ พอต้วนหลิงเทียนกล่าวสารภาพออกมา ก็ทำให้มันตระหนักได้ว่าที่มันคาดเอาไว้ล้วนผิดหมด!


 


“ศิษย์น้อง…นิ…นี่เจ้าเป็นคนฆ่าจ้าวเฟิงจริงๆหรือ?”


 


หลังอึ้งไปอยู่นานป๋ายลี่หงก็กล่าวถามออกมาด้วยความเหลือเชื่อ


 


“ศิษย์พี่ข้าไม่มีเหตุผลที่ต้องหลอกท่าน…อันที่จริงก่อนออกเดินทางครั้งนี้ ข้าจงใจปล่อยให้เรื่องการเดินทางกลับบ้านเกิดเพียงลำพังของข้ารั่วไหลออกไปเอง ทั้งหมดเพื่อล่อเหยื่ออย่างหลิวฮ่วนมาฆ่า…แต่ใครจะไปรู้ว่าหลิวฮ่วนไม่มา กลับเป็นจ้าวเฟิงที่มาแทน…เรื่องนี้อันที่จริงก็อยู่เหนือความคาดหมายของข้าเช่นกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ไม่คิดเลยว่าจ้าวเฟิงนั่นมันจะลอบติดตามมาฆ่าข้า…แต่สุดท้ายมันต้องตายด้วยมือข้าแทน”


 


“ศิษย์น้องทีหลังเจ้ามีแผนอันใดสมควรปรึกษาข้าบ้าง…ที่หลิวฮ่วนมิได้ตามไปฆ่าเจ้า เป็นเพราะข้าเฝ้าจับตาดูมันอยู่ตลอดเวลา…”


 


ป๋ายลี่หงเผยยิ้มขื่นขมออกมา “ข้าเฝ้าจับตาดูมันแบบนั้น แล้วมันจะออกไปฆ่าเจ้าได้อย่างไร…”


 


“ศิษย์พี่ ท่าน…”


 


วาจานี้ของป๋ายลี่หงทำให้ต้วนหลิงเทียนใบ้กินไปพักหนึ่ง


 


เขากำลังสงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าด้วยนิสัยของหลิวฮ่วน เป็นไปได้ยังไงที่มันยังไม่รีบแจ้นออกมาฆ่าเขา…


 


ที่แท้เป็นเพราะศิษย์พี่ของเขาเฝ้าจับตาดูมันเอาไว้นั่นเอง!


 


“ศิษย์น้องคราวหลังเจ้ามี ‘เรื่องดี’ อันใดช่วยกล่าวบอกข้าไว้ก่อนเถอะ…ข้าจะได้ไม่ทำให้ ‘เรื่องดี’ ของเจ้าเสียไปเช่นนี้”


 


ป๋ายลี่หงระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน คำ ‘เรื่องดี’ ยังเน้นหนักเป็นพิเศษ


 


“ศิษย์พี่ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ข้าไม่ควรปกปิดเรื่องนี้กับท่านจริงๆ…”


 


แม้ป๋ายลี่หงจะไม่ตำหนิอะไรเขา แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซึมไปด้วยความรู้สึกผิด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)