War sovereign Soaring The Heavens 1524-1536

ตอนที่ 1524

 

มันต้องตาย!


 


‘ทะลวงมายังสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบได้แล้วแบบนี้…ข้าก็สามารถใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้เสียที!’


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความคึกคักอักโข รีบทดลองใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ทันทีไม่มีรีรอ!


 


อย่างไรก็ตามหลังจากลองใช้พลังออกตามแนวทางกลวิธีที่ศึกษามาอยู่นานสองนาน แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย..


 


‘ข้าเกือบลืมไป…ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราเองก็ไม่อาจใช้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ ท่าทางปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน…ต้องไปลองข้างนอก’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ


 


เพียงห้วงคิดจิตสั่ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมายืนอยู่ในห้องนอนทันที


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะทดลองพลังอะไรในห้องนอนเป็นแน่ จึงเลือกที่จะออกไปลองด้านนอก


 


หลังจากออกจากห้อง ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้ามาถึงลานว่างด้านหลัง และเริ่มเดินพลังตามวิธีใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ทันที


 


ทันใดนั้นกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามขุมหนึ่งก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน


 


ยามเมื่อปราณแท้แผ่พุ่งออกมาพวกมันก็เริ่มลอยตัวขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน ยังปรากฏกลิ่นอายปราณโลหิตอันร้ายกาจเริ่มแผ่ออกมาสะท้านในบรรยากาศ


 


ทันใดนั้นปราณแท้กับปราณโลหิตนั่นก็เริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นร่างมังกรเทพยาดาตัวเขื่อง! ลำตัวยังยาวนับ 10 หมี่!


 


หากมองให้ชัดจะพบว่าที่มือของมันแต่ละมือกลับมีกรงเล็บอยู่ถึง 5 กรงเล็บ!


 


มันเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ!


 


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยปราณโลหิตอันแข็งแกร่งที่ฉาบคลุมไปทั่วร่างมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บนี้ ก็เผยให้เห็นชัดเจนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่บังเกิดขึ้นจากจินตนาการ แต่เป็นสัตว์พลังที่บังเกิดขึ้นจากการดูดซับแก่นแท้โลหิต!


 


สัตว์พลังที่เกิดจากการดูดซับแก่นแท้โลหิต ย่อมมีพลังอำนาจเหนือล้ำกว่าปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์จากจินตนาการ!


 


เพื่อหลีกเลี่ยงความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็สลายมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บไปทันที และคิดออกไปทดสอบพลังของมันนอกสำนัก


 


‘ไปทดสอบพลังของมันดู!’


 


ถึงแม้มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บที่เกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ด้วยวิธีการดูดซับแก่นแท้โลหิตนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแข็งแกร่งขนาดไหน


 


สิ่งที่เขารู้แน่คือปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ที่เกิดจากการดูดซับแก่นแท้โลหิต มันเหนือกว่าปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์จากจินตนาการ


 


แต่เรื่องที่แข็งแกร่งมากกว่ากันขนาดไหนเขาไม่รู้เลย


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจากไป เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นร่างหนึ่งที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าเลย เห็นชัดว่าคนผู้นี้ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น!


 


รวมถึงมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บที่ต้วนหลิงเทียนสร้างขึ้นมาจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์! ยังรู้ด้วยว่ามันใช้การดูดซับแก่นแท้โลหิตมา!!


 


“สัตว์พลังจากแก่นแท้โลหิต…แถมเขายังใช้แก่นแท้โลหิตของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ! พี่หญิง..นี่เขามีใดเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มังกรรึยังไง ไฉนถึงมีแก่นแท้โลหิตของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บได้เล่า?”


 


ความตื่นตระหนกฟังออกจากน้ำเสียง เสียงอันมาจากร่างวิหกสีม่วงที่เกาะอยู่บนไหล่สตรีในชุดคลุมลมดำ!


 


ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์โดยมีปราณโลหิตผสานหลอมรวมด้วยแบบนี้…เกิดจากใช้พลังของแก่นแท้โลหิตเป็นรากฐาน!


 


ถึงแม้มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บที่ต้วนหลิงเทียนสร้างจะมาจากปราณแท้ แต่มันก็มีปราณโลหิตผสมผสานอยู่ด้วย!


 


“อาจเป็นได้”


 


ร่างสตรีในชุดคลุมลมดำกล่าวตอบ รูปร่างของนางงยังมีอำนาจเย้ายวนบุรุษทั่วหล้าไม่เคยเปลี่ยน


 


สตรีในชุดคลุมลมดำนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากนักฆ่า 4 ดาราครึ่งของตลาดมืดหยินชาน ชือเม่ย


 


สำหรับ ‘ตัวตน’ ที่แท้จริงของนาง น่ากลัวว่าคงมีแต่ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร และนกสีม่วงที่เกาะอยู่บนไหล่ของนางเท่านั้นที่รู้


 


“พี่หญิง พวกเราจักออกไปจากสถานที่ผีสางที่กระทั่งนกยังมิอยากขับถ่ายนี้กันเมื่อใด…นอกจากผู้นำสาขาตลาดมืดหยินชานที่อ่อนแอเล็กน้อย คนอื่นนับว่าอ่อนแอเกินไป…ยอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงอะไรนี่ ยังทนรับมือข้าไม่ได้ถึง 3 ท่าเลย…”


 


วิหกสีม่วงกล่าวออกด้วยท่าทางเบื่อหน่ายไม่น้อย


 


“หากเรื่องราวลุล่วง พวกเราย่อมไปจากที่นี่แน่นอน”


 


ชือเม่ยกล่าว


 


“ไปกันก่อนเถอะ…ตามไปดูเขากัน!”


 


ชือเม่ยตอบ ก่อนที่จะกล่าวออกมาอีกครั้ง นางค่อยๆลอยร่างตามต้วนหลิงเทียนที่ออกจากสำนักไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ข่ายอาคมห้ามบินอะไรของสำนักจันทร์จรัสแสง ไม่มีผลกับนางแม้แต่น้อย…


 


ขณะเดียวกันด้านต้วนหลิงเทียนก็ออกจากคฤหาสน์ป๋ายลี่หงด้วยการเดินเท้าออกไป ยังเดินตัดผ่านลานฝึกซ้อมของฝ่ายนอกออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง


 


การออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงครั้งนี้แม้เขาจะออกไปคนเดียว แต่เขาก็ไม่ได้กลัวใครสักนิด


 


ด้วยพลังฝีมือที่ยกระดับขึ้นมาไม่น้อยของเขา ให้เผชิญหน้ากับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ก็ไม่นับว่ามีปัญหาอะไร


 


แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้ง่ายๆทุกคน เพราะสุดท้ายแล้วก็มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มานานและเข้าถึงครึ่งก้าวเซียน


 


คนเหล่านั้นนับเป็นยอดฝีมือที่เพียงอ่อนด้อยกว่าตัวตนขอบเขตเซียนเท่านั้น!


 


หากคนเหล่านั้นใช้เขตแดนที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จัก เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกครึ่งก้าวเซียนได้หรือไม่ด้วยพลังในปัจจุบัน


 


แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็มีหลายอย่างให้พึ่ง เขาจึงมั่นใจว่าหากเขาทุ่มทุกสิ่งอย่าง กระทั่งครึ่งก้าวเซียนเขาก็จัดการได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ครึ่งก้าวเซียนคิดสะกดรอยตามเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ก็นับว่าพวกมันกำลังฝันไป!


 


ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงโต้งๆ ไม่ได้เกรงกลัวอะไร


 


แน่นอนหากขอบเขตเซียนคิดสะกดรอยตามไปฆ่าเขา ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้


 


แต่ขอบเขตเซียนไหนเลยยังต้องสะกดรอยตามไปฆ่าเขา? หากพวกมันคิดลงมือ ก็ลงมือในสำนักเลยไม่ดีกว่าหรือ?


 


หลังออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ๆป๋ายลี่หงพาเขาไปลองอาคมเซียนระดับ 3 เป็นเทือกเขาอันกว้างใหญ่ที่มีสัตว์ร้ายทรงพลังมากมาย


 


เมื่อมาถึงเขาลูกนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาทันที


 


แทนที่จะกล่าวว่าปลดปล่อยพลังทั้งหมด หากกล่าวให้ถูกต้องเป็นปลดปล่อยปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์เต็มกำลังจะถูกต้องกว่า


 


ปรากฏการณ์มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บที่ถือกำเนิดขึ้นจากปราณแท้ และปราณโลหิตโดยมีแก่นแท้โลหิตของมังกรมาร 5 กรงเล็บเป็นรากฐาน นับว่ามีพลังสะกดข่มตามอำนาจของมังกรนัก สัตว์ร้ายทั้งหลายหวาดกลัวจนไม่กล้ามีตัวไหนเข้าใกล้!


 


เดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน มังกรพลังมีสภาพก็เข่นฆ่าสังหารทุกสิ่งที่อยู่ในสายตา!


 


ต้วนหลิงเทียนพบว่ากระทั่งสัตว์ร้ายขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ไม่แม้แต่จะต้านทานการโฉบโจมตีเพียงครั้งของมังกรพลังมีสภาพเขาได้!


 


พลังอำนาจของมังกรเทพยาดาที่บังเกิดจากปราณแท้และปราณโลหิต นับว่าเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มากโข!


 


“มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ข้าแข็งแกร่งกว่าสัตว์พลังจากจินตนาการของปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์คนอื่นไม่ต่ำกว่า 2 เท่า!!”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้


 


จังหวะนี้สายตาเขาเหม่อลอยไปไม่น้อย มุมปากยังยกยิ้ม คล้ายเห็นภาพที่มังกรพลังมีสภาพของเขาบดขยี้สัตว์ร้ายจากปราณแท้ที่เกิดจากจินตนาการของยอดฝีมือคนอื่นอย่างง่ายดาย!


 


“ไหงมังกรพลังนั่นมันแข็งแกร่งนักเล่าพี่หญิง!”


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้าวิหกสีม่วงทำตาลุกวาวเผยความตกใจไม่น้อย


 


“มันจักไม่แข็งแกร่งได้อย่างไรเล่า…มันเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ ที่มีแก่นแท้โลหิตของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บเป็นรากฐาน!”


 


ชือเม่ยกล่าวตอบเสียงเรียบ นางดูไม่ได้แปลกใจอะไร


 


“พี่หญิง แล้วนี่พวกเราต้องคอยติดตามเขาไปแบบนี้เรื่อยๆเลยหรือ?”


 


วิหกสีม่วงกล่าวถาม


 


“อืม”


 


ชือเม่ยพยักหน้า


 


“อ๋อย…แล้วพวกเราต้องตามเขาไปถึงเมื่อไหร่เล่าพี่หญิง?”


 


วิหกสีม่วงกล่าวถามด้วยท่าทางเบื่อหน่าย


 


“จนกว่าเขาจะนำข้าไปพบคนที่ข้าตามหา”


 


ลูกตาชือเม่ยทอประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที


 


ทางต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าตอนนี้มีคนลอบติดตามความเคลื่อนไหวของเขาทุกฝีก้าว อีกทั้งผู้ติดตามยังเป็นถึงขอบเขตเซียน! หาไม่แล้วเขาคงไม่เดินทอดน่องอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้!


 


ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าป่าไปอย่างสบายดั่งคำ พยัคฆ์คืนถิ่น วิหกฟ้าหวนคืนนภา ไม่ว่าจะไปที่ไหนด้วยมังกรพลังมีสภาพก็คล้ายจะไร้เทียมทาน


 


แน่นอนว่าที่เป็นแบบนี้เพราะสัตว์ร้ายส่วนมากที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอเป็นแค่สู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ


 


“ไอพวกสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบมันไปอยู่ไหนกันหมดนะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเริ่มเบื่อขึ้นมาไม่น้อย หลังจากเดินไปสักพักเขาก็รู้สึกว่าการสังหารสัตวร้ายสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญไม่ได้สร้างแรงกดดันอะไรให้เขาเลย เขาอยากจะลองปะทะกับสัตว์ร้ายขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบดูบ้าง ถึงแม้เขาคิดไว้แล้วว่ามังกรพลังเขาอาจจะฆ่าพวกมันไม่ได้ง่ายๆก็ตามที


 


ปรากฏการณ์มังกรพลังมีสภาพนี้ ถึงแม้จะควบรวมเข้ากับปราณแท้โลหิตอันมีขุมพลังมาจากแก่นแท้โลหิตจนมีความแข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว…แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งอย่างไร มันก็กำเนิดขึ้นจากปราณแท้เสี้ยวหนึ่งของเขาเท่านั้น


 


ยังคงมีช่องว่างไม่น้อยหากจะเทียบกับสัตว์ร้ายขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบตัวเป็นๆ


 


ทว่าหลังจากเดินร่อนอยู่ครึ่งวันแต่ไม่เจอสัตว์ร้ายสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบสักตัว ต้วนหลิงเทียนที่คึกคักตอนมาก็เริ่มเบื่อหน่าย สุดท้ายก็กลายเป็นกร่อย


 


“เฮ่อ ช่างมันเถอะ วันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก…ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปเตรียมตัวออกเดินทางไปเกาะป้านเยว่หลังจากนี้อีก 2-3 วันแล้ว”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย ที่เขากำลังจะได้เดินทางกลับเกาะป้านเยว่ในอีกไม่กี่วัน


 


ที่เขาอยากรีบกลับไปเกาะป้านเยว่นั้น นอกจากคู่หมั้นทั้งสองแล้วยังเพราะลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลกอีก 2 คน


 


สำหรับการเตรียมตัวที่ว่า เขาก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากมายนัก


 


เรื่องสำคัญก็คือการไปแจ้งกับป๋ายลี่หงเอาไว้ แล้วก็ร่ำลาคนรู้จักเล็กน้อย


 


นอกจากนี้เขาก็คิดใช้เวลาช่วงนี้ฝึกระฆังศรคลุมกายอีกสักหน่อย


 


ระฆังศรคลุมกายนั้นแม้จะเป็นบทหนึ่งในวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นอย่างมหาเกาทัณฑ์ดาวตก แต่อานุภาพของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าวรยุทธ์เซียนสายป้องกันระดับปฐพีดั้งเดิมแม้แต่น้อย


 


และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ฝึกฝนมันจนบรรลุถึงขั้นที่ 2 พื้นฐาน ทว่าพลังอำนาจในด้านป้องกันของมันยังเหนือกว่าอาภรณ์ทองในขั้นตอนไร้ตำหนิเสียอีก!


 


เป็นธรรมดาที่มีความแตกต่างระหว่างระฆังศรคลุมกายกับอาภรณ์ทอง!


 


ระฆังศรคลุมกายนั้นเน้นหนักไปที่การป้องกันตัวอย่างเดียว มันสร่างม่านศรจำนวนมหาศาลปกคลุมร่างกายเอาไว้ดั่งเปลือกไข่


 


ทว่าอาภรณ์ทองนั้น แม้จะมีม่านพลังฉาบคลุมทั่วกายและเสริมพลังป้องกันให้ร่างกายไม่น้อย แต่มันกลับส่งเสริมศักยภาพร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย


 


อย่างไรก็ตามทั้งสองมีความแตกต่างกันมาก จึงไม่ส่งผลขัดแย้งกันและกัน ยังสามารถใช้ร่วมกันได้!


 


ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเตรียมตัวกลับเกาะป้านเยว่ก็ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้หลิวฮ่วนมันมีสีหน้าบิดเบี้ยวขนาดไหน!


 


ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลิวฮ่วนมันได้รับทราบเรื่องที่ตลาดมืดหยินชานเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนออกไปแล้ว!


 


ทันทีที่มันรู้เรื่องนี้ปฏิกิริยาแรกของมันคือโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!


 


ถึงแม้ตลาดมืดหยินชานจะชดใช้ด้วยการมอบค่าจ้างคืนให้มัน 10 เท่า แต่มันก็ไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย!


 


เพราะมันรู้ว่านับจากวันนี้ไปตลาดมืดหยินชานจะไม่รับภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนอีก!


 


แน่นอนว่าหลิวฮ่วนยังครุ่นคิดไปด้วยว่า ไฉนตลาดมืดหยินชานไม่รับภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน…หรือที่แท้ต้วนหลิงเทียนมีความลับเบื้องหลังอะไรกันแน่ ที่มันยังไม่ล่วงรู้?


 


สุดท้ายมันก็คาดเดาได้ประการเดียว


 


นั่นคือป๋ายลี่หงสมควรมีสัมพันธ์กับตลาดมืดหยินชานและลอบทำข้อตกลงอะไรกันบางอย่าง จนทำให้ตลาดมืดหยินชานเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน..


 


“ข้าต้องเฝ้ามองสารเลวน้อยนั่นเติบโตต่อไปเช่นนี้จริงๆหรือ?”


 


หน้าหลิวฮ่วนแทบจะกลายเป็นสีเดียวกับเหล็กคล้ำ ทุกครั้งที่นึกถึงต้วนหลิงเทียนลูกตามันก็แทบจะพ่นไฟออกมาได้!


 


“ไม่! สารเลวน้อยนั่นมันต้องตาย! ถ้ามันไม่ตายข้าก็ฆ่าตัวบัดซบฟางฮุ่ยนั่นไม่ได้! มันต้องตาย! ฟางฮุ่ยนั่นมันก็ต้องตาย!!”


 


หลิวฮ่วนหัวฟัดหัวเหวี่ยงปานคนบ้า


 


อย่างไรก็ตามพอสัมผัสได้ว่ากำลังมีศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งเข้ามารายงานเรื่องราว อาการของมันก็สงบลง


 


“ต้วนหลิงเทียนกำลังจะออกเดินทางกลับบ้านเกิดคนเดียว? เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าข่าวนี้ถูกต้อง?”


 


หลิวฮ่วนมองถามศิษย์ฝ่ายในที่มารายงานข่าวด้วยท่าทางขึงขัง!

 

 

 


ตอนที่ 1525

 

จ้าวเฟิง!


 


“เป็นความจริงท่านอาวุโส! เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับศิษย์ที่มาจากเมืองชงซันด้วยตัวเอง!”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นพยักหน้ากล่าวย้ำ


 


“ดี! ดี! ดี!!”


 


หลิวฮ่วนถึงกับระเบิดคำดีออกมา 3 ครั้งติดโดยไม่สนใจศิษย์ฝ่ายใน ค่อยกล่าวสืบต่อ “เจ้าไปลอบติดตามความเคลื่อนไหวต้วนหลิงเทียนเอาไว้ แล้วรีบมารายงานข้าทันทีหากมีใดเปลี่ยนแปลง!”


 


“ได้”


 


ถึงแม้ศิษย์ฝ่ายในคนนี้จะไม่ใช่ศิษย์ของหลิวฮ่วน แต่มันก็จงรักภัคดีกับหลิวฮ่วนไม่น้อย เพราะมันเป็นคนที่หลิวฮ่วนชุบเลี้ยงไว้ใช้งาน


 


ด้วยศิษย์พวกนี้ ทำให้หลิวฮ่วนได้รับทราบความเป็นไปของศิษย์ทั้งหลายในฝ่ายในอยู่เสมอ


 


ต้วนหลิงเทียนคิดเดินทางออกจากสำนักกลับบ้านเกิดเพียงลำพัง..!


 


“หากมันไปคนเดียว ก็นับว่าเป็นโอกาสทองของข้า…”


 


หลิวฮ่วนกล่าวพึมพำ ลูกตาทอแสงสว่างโรจน์!


 


“ท่านผู้อาวุโสหลิวฮ่วน”


 


ตอนนี้เองคนศิษย์รับใช้อีกคนของหลิวฮ่วนก็เร่งรุดเข้ามารายงาน “ท่านผู้อาวุโสจ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้วขอรับ!”


 


อาวุโสจ้าวเฟิง!


 


หลังได้ยินคำรายงานของศิษย์ฝ่ายในคนนี้สองตาหลิวฮ่วนทอประกายวูบวาบขึ้นมาอีกครั้งทันที มันไล่ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นให้ออกไป ค่อยเผยรอยยิ้มแสยะ “อาวุโสจ้าวเฟิงกลับออกมาได้พอเหมาะพอเจาะนัก…หรือสวรรค์จักเป็นใจให้ข้าฆ่าต้วนหลิงเทียนแล้วจริงๆ!”


 


จ้าวเฟิงนั้นเป็นอาวุโสฝ่ายในคนหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


อย่างไรก็ตามหากเทียบกับมันแล้ว อาวุโสจ้าวเฟิงยังแข็งแกร่งกว่ามันมาก!


 


พลังฝีมือของอาวุโสจ้าวเฟิงนั้น ติด 1 ใน 3 ของอาวุโสฝ่ายในที่แข็งแกร่งที่สุด!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายออกจากการปิดด่านบ่มเพาะมา มิพ้นต้องบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนแล้วแน่แท้!


 


ถึงจะไม่บรรลุถึงขอบเขตดังกล่าว แต่พลังฝีมือก็ต้องก้าวหน้าขึ้นไม่เบา!


 


นอกจากอาวุโสฝ่ายในแล้วจ้าวเฟิงยังมีอีกฐานะหนึ่ง!


 


มันเป็นอาจารย์ของศิษย์ฝ่ายนอก เฝิงฟ่าน ผู้ที่เคยอยู่ในอันดับ 99 ของรายนามปฐพี!


 


เฝิงฟ่านนั้นด้วยวาจายุยงของโจวฉี ทำให้อีกฝ่ายส่งสารท้าประลองเป็นตายถึงต้วนหลิงเทียน สุดท้ายก็ตกตายคามือต้วนหลิงเทียนในการประลอง!


 


อย่างไรก็ตามเพราะโจวฉีตกตายไป เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องราวลึกลับยากที่ใครจะล่วงรู้


 


ทว่าการที่เฝิงฟ่านตกตายด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียนก็เป็นความจริงที่ไม่อาจหลบเลี่ยง!


 


และก็เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง เรื่องที่เฝิงฟ่านเป็นศิษย์รักของอาวุโสจ้าวเฟิง!


 


ดังนั้นหลังจากที่หลิวฮ่วนรู้ว่าจ้าวเฟิงออกจากการปิดด่าน มันก็รีบไปหาอีกฝ่ายทันที


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยอาวุโสจ้าวเฟิง…ครั้งนี้ท่านคงก้าวหน้าขึ้นมิน้อยใช่หรือไม่?”


 


หลิวฮ่วนที่มาถึงคฤหาสน์ของอาวุโสจ้าวเฟิง ก็เร่งรุดเข้ามาแสดงความยินดีอย่างกระตือรือร้น


 


จ้าวเฟิงนั้นเป็นชายชราที่ใบหน้ายังแลดูอ่อนวัย ผมขาวแก้มแดง กลิ่นอายทั่วกายแลดูไม่ธรรมดา


 


อย่างไรก็ตามเทียบกับอาการกระตือรือร้นของหลิวฮ่วน อาวุโสจ้าวเฟิงกลับสงบกว่ามาก ทีท่าเย็นชาห่างเหินพาลให้ผู้คนอยากออกห่างนับพันลี้ “อาวุโสหลิวฮ่วน เร่งรุดมาหาข้าทันทีที่ออกด่านแบบนี้…ข่าวสารท่านนับว่าไม่เลวเลย”


 


“มิกล้าๆ”


 


หลังจากได้ยินคำนี้ของจ้าวเฟิง หลิวฮ่วนก็ค่อยๆลดสีหน้ายินดีเป็นเคร่งขรึม สุดท้ายค่อยกล่าวด้วยความทอดถอนใจ “อาวุโสจ้าวเฟิงข้ามิได้มาหาท่านก็นับเป็นปีได้แล้ว…แต่ที่ข้ามาคราวนี้เพราะข้ามิอาจไม่มา”


 


“หืม? เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ?”


 


จ้าวเฟิงมองถามหลิวฮ่วน แม้น้ำเสียงจะยังคงเรียบเฉย แต่เผยให้เห็นความสนใจใคร่รู้ไม่น้อย


 


“อาวุโสจ้าวเฟิงท่านพึ่งออกจากการปิดด่าน…คงยังมิทราบเรื่องที่เฝิงฟ่านถูกผู้คนสังหารตกตายแล้วใช่หรือไม่?”


 


หลิวฮ่วนกล่าว ค่อยระบายลมหายใจออกมาอีกรอบ


 


“เจ้าว่าอะไร?!”


 


วาจานี้ของหลิวฮ่วนทำให้สีหน้าท่าทางจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปทันใดไม่อาจคงความสงบอยู่ได้ “เจ้าบอกว่า…เฝิงฟ่านถูกฆ่าตายแล้ว?”


 


“ใช่”


 


หลิวฮ่วนพยักหน้า


 


“ใคร! มันเป็นใคร! มันเป็นใคร!?”


 


จ้าวเฟิงฟล่าวถามซ้ำหลายครั้งหลายครา น้ำเสียงเยียบเย็นปานหล่มน้ำแข็ง กลิ่นอายอำมหิตเริ่มแผ่ออกมาทั่วกาย


 


เมื่อแลเห็นถึงโทสะอารมณ์ที่ลุกโหมของจ้าวเฟิง หลิวฮ่วนลอบยิ้มยินดีในใจ


 


ยิ่งจ้าวเฟิงให้ความสำคัญเฝิงฟ่านมากเท่าไหร่ มันยิ่งพึงใจมากเท่านั้น!


 


“เฝิงฟ่านนั้นถูกสังหารด้วยน้ำมือศิษย์ฝ่ายนอกนามว่าต้วนหลิงเทียน ที่พึ่งเข้าสำนักมาเมื่อเกือบปีที่แล้ว!”


 


หลิวฮ่วนตอบ


 


“พึ่งเข้าร่วมสำนัก?”


 


ได้ยินวาจานี้ของหลิวฮ่วน สีหน้าจ้าวเฟิงมืดลงทันใด มองถามหลิวฮ่วนเสียงเย็นทันที “เจ้ากล่าวเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังโดยละเอียด ข้าอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด!”


 


หลิวฮ่วนพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวการท้าประลองเป็นตายระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเฝิงฟ่าน


 


……


 


สุดท้ายก็เล่าถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าเฝิงฟ่านตายกับมือ


 


ในระหว่างที่เล่าหลิวฮ่วนสังเกตเห็นได้ชัดถึงโทสะอารมณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆของจ้าวเฟิง


 


“มันมีความเป็นมาอย่างไร?”


 


อย่างไรก็ตามจ้าวเฟิงเองก็เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงมานาน มันจึงกล่าวถามเรื่องสำคัญออกมาเสียงเย็น ทว่าวาจานี้กลับดังเสมือนฟ้าร้องในหูหลิวฮ่วน


 


“มันมาจากจวนเจ้าเมืองชงซัน และเป็นศิษย์ของฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซัน”


 


หลิวฮ่วนกล่าว


 


“จวนเจ้าเมืองชงซัน? ศิษย์ฟางฮุ่ย?”


 


จ้าวเฟิงได้ยินคำนี้ก็มองเพ่งหลิวฮ่วนด้วยทันที “หลิวฮ่วนหากข้าจำมิผิด…ฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซันนั่น ดูเหมือนจักเป็นศัตรูของเจ้าใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


หลิวฮ่วนพยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยความรู้สึกผิด “อาวุโสจ้าวเฟิง เรื่องนี้กล่าวไปแล้วข้าก็มีส่วนผิด…หากข้าไม่ปล่อยให้ฟางฮุ่ยมีชีวิตอยู่ มันคงไม่มีวันได้รับศิษย์อย่างต้วนหลิงเทียน…และคงมิแนะนำต้วนหลิงเทียนให้มาเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสง”


 


“หากต้วนหลิงเทียนไม่มาสำนักจันทร์จรัสแสง…เฝิงฟ่านคงไม่ต้องตาย”


 


วาจาหลิวฮ่วนนี้แม้จะเป็นดั่ง ‘ม้าล่าช้า’ แต่มันก็หมายความตามนั้นจริงๆ

(*มาสายเกินไป ทุกอย่างจบไปแล้ว…)


 


“เรื่องเก่าไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว…”


 


ลูกตาจ้าวเฟิงเปี่ยมล้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน คล้ายจะฉีกร่างต้วนหลิงเทียนให้เป็นชิ้นๆหากอีกฝ่ายอยู่ต่อหน้ามันตอนนี้


 


ฉากนี้ทำให้หลิวฮ่วนโล่งใจไม่น้อย


 


มันกังวลอยู่มากว่าหลังจากจ้าวเฟิงฟังเรื่องแล้วแล้วจะถูกใจอัจฉริยะภาพของต้วนหลิงเทียน จนคิดรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ ล้มเลิกความแค้นที่อีกฝ่ายฆ่าเฝิงฟ่าน


 


ทว่าตอนนี้คล้ายมันจะกังวลไปเองอย่างเสียเปล่า


 


“อาวุโสจ้าวเฟิงถึงแม้ท่านจะร้อนใจอยากล้างแค้นให้เฝิงฟ่าน…อย่างไรก็ตามตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมันไม่ได้เหมือนตอนเข้าร่วมสำนักใหม่ๆแล้ว ข้ากลัวว่าต่อให้เป็นเจ้าสำนักเอง ตอนนี้หากพบมันก็จำต้องเกรงใจมันไม่น้อย”


 


หลิวฮ่วนกล่าว


 


“ท่านเจ้าสำนักยังต้องเกรงใจเมื่อพบมัน?”


 


จ้าวเฟิงชักสีหน้าสงสัย กล่าวถามออกไปเสียงเข้มทันที “ท่านผู้เฒ่าคนใดคนหนึ่งรับมันเป็นศิษย์ปิดสำนักงั้นเหรอ?”

(ศิษย์ปิดด่าน,ศิษย์ปิดสำนัก = ศิษย์คนสุดท้ายที่จะถ่ายทอดทุกสิ่งและมอบทุกอย่างให้)


 


นี่เป็นความคิดแรกที่แว่บขึ้นมาในหัวของจ้าวเฟิง


 


“มิใช่เช่นนั้น”


 


หลิวฮ่วนส่ายหัวไปมา


 


“หากมิใช่เช่นนั้น ใยท่านเจ้าสำนักต้องเกรงใจมัน?”


 


จ้าวเฟิงขมวดคิ้ว


 


“ข้าเองก็มิรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมันไปทำอีท่าไหน ถึงกลายเป็นที่ถูกใจของอาวุโสป๋ายลี่ได้…”


 


หลิวฮ่วนถอนหายใจ “หาไม่แล้วข้าคงลงมือสังหารมันเพื่อล้างแค้นให้เฝิงฟ่าน โดยที่มิต้องรอให้อาวุโสจ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ”


 


“ล้างแค้นให้เฝิงฟ่าน?”


 


จ้าวเฟิงมองลึกไปยังหลิวฮ่วน “ข้าคิดว่าเจ้ากลัวว่ามันจักเติบโตขึ้น จนกลับกลายเป็นยอดฝีมืออันแข็งแกร่งและช่วยฟางฮุ่ยเล่นงานเจ้าเสียมากกว่า เจ้าถึงได้ร้อนใจอยากฆ่ามันเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม”


 


มันเองก็รู้เรื่องระหว่างฟางฮุ่ยกับหลิวฮ่วนดี


 


หลิวฮ่วนเผยยิ้มแหยๆออกมา แต่มันรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่จะไม่ยอมรับ


 


“เช่นนั้นแล้วตอนนี้อาวุโสป๋ายลี่รับมันเป็นศิษย์ไปแล้วงั้นหรือ…ดูเหมือนว่ามันจะน่าประทับใจมิใช่น้อยถึงได้รับความโปรดปรานจากอาวุโสป๋ายลี่ขนาดนี้”


 


ในบรรดาอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสง มีป๋ายลี่หงคนเดียวที่แซ่ป๋ายลี่


 


ดังนั้นพอได้ฟังคำของหลิวฮ่วน จ้าวเฟิงจึงตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนมีสัมพันธ์กับป๋ายลี่หง


 


แน่นอนว่าที่มันนึกได้ก็คือเรื่องที่ป๋ายลี่หงรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์เท่านั้น


 


สำหรับป๋ายลี่หงแล้ว มันก็ยำเกรงคนผู้นี้ไม่น้อย


 


“มันมิได้ถูกอาวุโสป๋ายลี่ยอมรับเป็นศิษย์”


 


หลิวฮ่วนส่ายหัว


 


“มิได้รับเป็นศิษย์?”


 


จ้าวเฟิงได้ยินเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ เพราะมันเองก็ไร้ความกล้าจะต่อกรกับป๋ายลี่หง


 


พลังฝีมือของมันแม้จะจัดอยู่ใน 3 อันดับแรกของอาวุโสฝ่ายใน แต่ป๋ายลี่หงนั้นคืออันดับ 1 มาโดยตลอด!


 


ถึงแม้ตอนนี้พลังฝีมือมันจะก้าวหน้าไม่น้อย แต่น่ากลัวว่าหากให้ท้า มันก็กล้าท้าสู้ได้แต่อันดับที่ 2 เท่านั้น!


 


สำหรับป๋ายลี่หงนั้นมันไม่กล้าท้าเลย


 


หากไม่ใช้ศาสตราเซียนอะไรเพียงประลองกันมือเปล่า มันก็มั่นใจว่าสามารถรับมือป๋ายลี่หงได้


 


แต่หากใช้ศาสตราเซียนล่ะก็ มันรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่มือป๋ายลี่หงแม้แต่น้อย!


 


นั่นเพราะศาสตราเซียนของป๋ายลี่หงนั้น มีอาคมเซียนระดับ 3 ดาวจารึกไว้ถึง 3 อาคม! ยามอีกฝ่ายใช้ศาสตราพร้อมเปล่งอานุภาพอาคมเซียน มันไม่อาจต้านทานได้!


 


เห็นจ้าวเฟิงโล่งใจ หลิวฮ่วนพลันยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ถึงอาวุโสป๋ายลี่จะมิได้รับมันเป็นศิษย์ แต่อาวุโสป๋ายลี่ก็รับมันเป็นศิษย์ในนามอาจารย์…เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงกลายเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่”


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจาดั่งระเบิดลงครั้งนี้ของหลิวฮ่วน ทำให้จ้าวเฟิงถึงกับตกใจไม่น้อย สักพักกว่าจะฟื้นคืนความรู้สึก


 


ต้วนหลิงเทียนที่ฆ่าศิษย์มันอย่างเฝิงฟ่าน…เป็นศิษย์น้องป๋ายลี่หง?


 



 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้หลิวฮ่วนมาหารือกับอาวุโสฝ่ายในอีกคนเผื่อวางแผนฆ่าเขา


 


หากเขารู้คงได้ปลื้มใจไม่น้อย


 


ศิษย์ฝ่ายในที่ทำให้อาวุโสฝ่ายใน 2 คนร้อนรนหาหนทางฆ่า เรื่องพรรค์นี้ไหนเลยยังเคยเกิดขึ้นมนสำนักจันทร์จรัสแสง? ถึงแม้เขาอาจไม่ได้เป็นคนสุดท้าย แต่ก็นับเป็นคนแรกตลอดทั้งประวัติศาตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


ไม่กี่วันก่อนออกเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็ออกไปยังฝ่ายนอกเพื่อบอกหลิงอวิ๋นกับฉงหู่ นอกจากนั้นยังไปบอกกล่าวกับอาวุโสฟ่านเฉียน แจ้งทั้งหมดให้รู้ว่าเขากำลังจะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อจัดการธุระบางอย่าง


 


อาวุโสฟ่านเฉียนนั้น เป็นอาวุโสฝ่ายในที่ต้วนหลิงเทียนพบในศาลาอุทิศ


 


หลังจากนั้นก็เป็นอาวุโสฟ่านเฉียนที่พาเขาไปพบป๋ายลี่หง


 


อาวุโสฟ่านเฉียน ก็นับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ต้วนหลิงเทียนรู้จักในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


“ศิษย์น้อง ให้ข้ากลับไปกับเจ้าด้วยเถอะ”


 


ป๋ายลี่หงกลับเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้ในบรรดาคนที่เขารู้จักทั้งหมด


 


หลังจากทราบแผนการเดินทางกลับบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงก็กังวลไม่น้อยเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินทางกลับไปเพียงลำพัง


 


“ศิษย์พี่ไม่ต้องลำบากแล้ว ข้ากลับคนเดียวได้”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ


 


“มิได้! มันอันตรายเกินไป! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!!”


 


ป๋ายลี่หงส่ายหัว ยืนกรานจะตามไปด้วยให้ได้!


 


อย่างไรก็ตามแม้ป๋ายลี่หงจะยืนกรานเพียงใด สุดท้ายก็ถูกต้วนหลิงเทียนเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ


 


นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนแสดงด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบให้ป๋ายลี่หงรู้ กระทั่งเผยปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ให้อีกฝ่ายชมดู!!

 

 

 


ตอนที่ 1526

 

คนที่ลอบตามมา


 


มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บที่บังเกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของต้วนหลิงเทียน กลับระเบิดทำลายสัตว์ที่เกิดจากปราณแท้ของป๋ายลี่หงได้ในการลงมือครั้งเดียว!


 


เรื่องนี้ย่อมทำให้ป๋ายลี่หงตกตะลึงเป็นธรรมดา!


 


แต่เดิมความก้าวหน้าของต้วนหลิงเทียนที่ทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบก็ทำให้มันตกตะลึงมากแล้ว


 


ตอนนี้พอเห็นสัตว์ปราณของมันกลับถูกสัตว์ปราณของต้วนหลิงเทียนระเบิดทำลายได้ง่ายดาย มันยิ่งหน้าเหวอไปกันใหญ่


 


หากสัตว์ปราณของมันก่อเกิดจากจินตนาการก็แล้วไป…ทว่าสัตว์ปราณที่เกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของมัน ก็มีรากฐานเสมือนของต้วนหลิงเทียน…แก่นแท้โลหิต!


 


ในฐานะที่มันเป็นถึงปรมาจารย์จารึกเซียน ย่อมมีช่องทางรับแก่นแท้โลหิตของสัตว์เซียนอยู่บ้าง!


 


“ศิษย์น้องสัตว์ปราณของเจ้าใช่มังกรเทพยาดาในตำนานหรือไม่?”


 


ป๋ายลี่หงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยความตื่นตระหนก!


 


มันเคยได้ยินเรื่องมังกรเทพยาดามาบ้าง แต่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย!


 


ตอนแรกทันทีที่ต้วนหลิงเทียนใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ สร้างมังกรปราณมีสภาพขึ้นมามันก็ตกใจนัก


 


และพริบตาแรกที่เห็นร่างสัตว์ปราณตัวเขื่อง ในหัวมันก็ทอประกายวาบด้วยความคิดหนึ่ง ว่าสิ่งมีชีวิตนี้กลับละม้ายคล้ายลักษณะของสัตว์เซียนชนิดหนึ่งที่มันเคยอ่านพบในบันทึก!


 


มังกรพลังมีสภาพที่ควบรวมจากปราณแท้ของต้วนหลิงเทียน กลับมีลักษณะเหมือนมังกรเทพยาดาที่มันอ่านเจอแทบทุกประการ! ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม!!


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับพร้อมพยักหน้า


 


“ศิษย์น้อง นั่นหมายความว่าเจ้าเคยได้รับแก่นแท้โลหิตของมังกรเทพยาดามางั้นเหรอ?”


 


ในสายตาของป๋ายลี่หงย่อมเผยประกายอิจฉาขึ้นมาเป็นธรรมดา แน่นอนว่ามันไม่ได้อิจฉาริษยาแต่อย่างไร เพียงอยากได้บ้างก็เท่านั้น และมันยังเต็มไปด้วยความยินดีต่อต้วนหลิงเทียนจากใจ “ศิษย์น้องนับว่าเจ้ายอดเยี่ยมนัก! กลับได้รับแก่นแท้โลหิตของมังกรเทพยาดามาเช่นนี้…ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นถึงจ้าวแห่งสัตว์เซียนทั้งปวง!”


 


ถึงแม้มันจะสงสัยถึงขั้นคันหัวใจยากจะเกาว่าต้วนหลิงเทียนไปทำอีท่าไหนถึงได้รับแก่นแท้โลหิตมังกรมา แต่มันก็ระงับเอาไว้ไม่ถาม


 


ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง


 


ได้ยินคำของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร


 


ตอนนี้เขาตระหนักว่าป๋ายลี่หงยังไม่ล่วงรู้อีกเรื่อง ว่ามังกรที่เขาสร้างขึ้นมาจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์นั้น…มันเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ!


 


‘ดูเหมือนศิษย์พี่จะยังไม่รู้ว่ามังกรเทพยาดาเองก็มีแบ่งระดับชั้นสูงต่ำด้วย’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


ผู้ที่ควรกล่าวคำอำลาก็ไปกล่าวคำลามาหมดแล้ว เขาจึงออกเดินทางจากสำนักจันทร์จรัสแสงทันทีหลังผ่านไปอีก 2 วัน เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังเกาะป้านเยว่


 


ป๋ายลี่หงออกมาสงต้วนหลิงเทียนที่ประตูหน้าสำนัก “ศิษย์น้องข้าจักเฝ้ารอการกลับมาของเจ้า…ถึงตอนนั้นเจ้าก็นำคู่หมั้นทั้งสองของเจ้ากลับมาให้ข้ารู้จักด้วยเลย สตรีที่เป็นคู่หมั้นของเจ้าได้ข้าเชื่อว่ามิได้ธรรมดาเป็นแน่!”


 


“เช่นนั้นศิษย์พี่ต้องเตรียมของขวัญไว้รอต้อนรับแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ


 


“ไม่ใช่แค่ของขวัญ 2 ชิ้นรึไร ยังจะนับเป็นอะไรได้?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


 


“ศิษย์พี่ข้ากลัวว่าจะไม่ใช่แค่ 2 แต่ต้องเป็น 4”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้ม


 


“หืม? 4 ชิ้นรึ?”


 


ป๋ายลี่หงมองถามด้วยความแปลกใจ “มิเจ้ามีคู่หมั้น 2 คนรึไร?”


 


“ข้าลืมบอกท่านไปว่าคู่หมั้นทั้ง 2 ของข้าล้วนตังครรภ์แล้ว กลับไปครานี้ลูกข้าน่าจะคลอดพอดี”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ


 


“เพ่ย! เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ไฉนเจ้าพึ่งบอกข้าเล่า!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถอะ…ให้ข้ากลับไปพร้อมกับเจ้าเลยดีกว่า ไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องเจ้าระหว่างทาง ข้ายังจะได้เห็นหน้าหลานทั้ง 2 เร็วๆ!”


 


“ศิษย์พี่ท่านไม่ต้องรีบขนาดนั้น เดี๋ยวข้ากลับมาก็พาพวกนางพร้อมลูกมาให้ท่านเจออยู่ดี”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ


 


ในอดีตที่เขาไม่ได้พาคู่หมั้นอย่างเค่อเอ๋อกับลี่เฟยมาด้วยนั้น เพราะเขาไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เขาจึงไม่อาจกระเตงพวกนางมาเผชิญความลำบากได้


 


ทว่าตอนนี้เขามีสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ย่อมมีที่ให้สาวน้อยทั้งสองอยู่ได้อย่างปลอดภัย


 


ด้วยมีป๋ายลี่หงอยู่ด้วย ทั้งหมดสมควรปลอดภัยไร้เรื่องราวในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรีบกลับมาโดยเร็ว ข้ากังวลอยากเห็นหน้าหลานทั้ง 2 ที่กำลังจะเกิดแทบตายแล้ว!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


“ขอศิษย์พี่โปรดวางใจ ข้าต้องพาพวกนางพร้อมลูกมาหาท่านแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ป๋ายลี่หง ก่อนที่จะพุ่งร่างเหินขึ้นฟ้าไปทันที


 


เมื่อเห็นแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปจากสายตา ป๋ายลี่หงก็มองขอบฟ้าไกลตาต่ออีกพักหนึ่ง สุดท้ายค่อยเดินกลับเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยประกายตาวูบวาบ


 


มันไม่ได้เดินกลับคฤหาสน์ที่พักของมันแต่อย่างไร แต่มาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง


 


ถึงแม้คฤหาสน์หลังนี้จะไม่ใช่ของมัน แต่ยามมันเดินเข้ามาก็ไม่มีใครกล้าหยุดขวางแม้แต่คนเดียว


 


ข้ารับใช้ในคฤหาสน์นี้ไหนเลยจะมีความกล้าขวางทางมัน!


 


“อาวุโสป๋ายลี่ มิทราบลมอันใดหอบท่านมาหาข้าถึงที่นี่ได้?”


 


ทันใดนั้นเองมีร่างหนึ่งก้าวออกมาต้อนรับป๋ายลี่หงด้วยรอยยิ้มพร้อมประสานมือคารวะอย่างมากมารยาท


 


คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลิวฮ่วน!


 


หลิวฮ่วนนั้นแม้มีท่าทียินดีที่ได้ต้อนรับ ทว่าลึกลงไปในแววตากลับเผย ‘ประกาย’ เย็นเยือกออกมาวูบหนึ่ง คล้ายไม่แปลกใจถึงการมาเยือนของป๋ายลี่หง


 


“มาหาเจ้ามิได้มีใด เพียงมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวอ้างออกไปอย่างไร้เรื่องราว


 


แน่นอนว่าเป้าหมายหลักในการมาหาหลิวฮ่วนครั้งนี้ เพื่อจับตามองอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตาไปไหนในช่วงนี้


 


ทำให้มันคลายกังวลเรื่องหลิวฮ่วนจะไปลงมือกับต้วนหลิงเทียน


 


อย่างไรก็ตามกลับมีเรื่องหนึ่งที่ป๋ายลี่หงคาดไม่ถึง


 


ตอนนี้ไม่ใช่แค่หลิวฮ่วนคนเดียวที่ต้องการชีวิตของต้วนหลิงเทียน


 


ถึงแม้ตลาดมืดหยินชานจะเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนไปแล้ว แต่กลับมีอีกผู้หนึ่งที่ต้องการฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย!


 


ด้านต้วนหลิงเทียน หลังจากอำลาป๋ายลี่หง เขาก็เหินร่างดิ่งลงใต้ทันที


 


ด้วยพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอะไร เพียงเหาะเหินไปตรงๆอย่างไร้ความหวาดกลัว


 


แน่นอนเพราะทิศทางมุ่งลงใต้นี้ เป็นทิศทางไปยังชายฝั่งทะเลตอนใต้ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กล่าวไปก็เป็นพื้นที่ชายขอบที่ไร้สลักสำคัญ กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนยังแทบไม่มี


 


แน่นอนว่าแทบจะไม่มี แต่ก็พบได้บ้างประปราย


 


ทว่าตอนนี้ขอบเขตสู่เซียนที่คุกคามเขาได้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแถวชายขอบแบบนี้เกรงว่าจะมีน้อยคนนัก เขาจึงไม่ต้องกลัวอะไรให้มากเรื่อง


 


ฟุ่บ!


 


ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างเดินทางด้วยความเร็วธรรมดาช่วงแรก ยิ่งมาก็ยิ่งความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่นานก็มาถึงชายหาดอันกว้างใหญ่ไพศาล


 


ชายหาดนี้นับว่าเป็นสุดขอบชายฝั่งของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตอนใต้แล้ว โผล่พ้นออกทะเลไปสักพัก ก็นับว่าออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทันที


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเหาะมาถึงชายหาด ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลอยร่างค้างกลางหาว ก่อนที่จะหันหลังกลับมาช้าๆ


 


“ลอบตามข้ามาตั้งนานจนมาถึงนี่แล้ว เจ้ายังไม่คิดจะออกมาอีกหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวขณะมองไปยังสุดฟ้าไกล เสียงของเขาไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ก็ชัดเจนนักยังกลบเสียงคลื่นที่ซัดสาดเบื้องล่างได้หมดจด


 


อย่างไรก็ตามไม่มีใครปรากฏตัวออกมา ราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนยังคงเฝ้ารออย่างอดทน ก่อนที่จะหันมองจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง กล่าวให้ชัดก็จับจ้องไปยังเมฆก้อนหนึ่งที่ลอยเอื่อยๆบนฟ้า


 


ในที่สุดหลังผ่านไปเค่อนึง ก็ปรากฏร่างค่อยๆเผยตัวออกมาจากด้านหลังก้อนเมฆ


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”


 


ผู้ที่ออกมาจากด้านหลังก้อนเมฆเป็นชายชราผมขาวแก้มแดง แลไปคล้ายหน้าตาเยาว์วัยไม่สมอายุ กลิ่นอายทั่วกายสงบ บรรยากาศโดยรอบเสมือนเซียนวิเศษผู้หนึ่ง


 


มันมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสงสัย แววตายังเผยความประหลาดใจไม่น้อย


 


“เจ้าคิดว่ามันยากนักหรือที่จะพบตัวเจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปเสียงเย็น “แล้วนี่เจ้าเป็นใคร ถึงได้ลอบตามข้ามาแบบนี้?”


 


หากคนที่ติดตามเขามาเป็นหลิวฮ่วนเขาจะไม่แปลกใจอะไรเลย เพราะก่อนที่จะออกเดินทาง เขาก็ได้จงใจปล่อยข่าวเรื่องการเดินทางกลับบ้านเกิด ให้คนในสำนักจันทร์จรัสแสงล่วงรู้กันไปทั่วแต่แรก


 


เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อล่อเหยื่อ!


 


จุดประสงค์ของการใช้เหยื่อล่อแบบนี้ก็เพื่อที่เขาจะได้ตก ‘ปลาใหญ่’ อย่างหลิวฮ่วน!


 


เขาตั้งใจจะล่อให้หลิวฮ่วนตามมา แล้วฆ่ามันทิ้งเสียตรงนี้ ให้มันมาได้แต่ไม่มีวันกลับสำนักจันทร์จรัสแสงได้!


 


ด้วยพลังฝีมือของเขาในปัจจุบัน คิดฆ่าหลิวฮ่วนเป็นอะไรที่เขามั่นใจนัก!


 


หลิวฮ่วนมันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่บรรลุถึงขอบเขตสู่เวียนขั้นยิ่งใหญ่ทั่วๆไป ไม่ได้บรรลุถึงสูงสุดด่านพลังด้วยซ้ำ ยังห่างจากครึ่งก้าวเซียนลิบลับ เขาจึงมั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าจะฆ่ามันได้!


 


เขาคิดฉวยโอกาสกำจัดหลิวฮ่วนให้พ้นทาง ล้างแค้นให้ครูเขาฟางฮุ่ย!


 


อย่างไรก็ตามเรื่องราวกลับผิดแปลกจนเขาประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะหลิวฮ่วนไม่ได้ตามมา


 


และถึงแม้จะมีคนลอบตามเขามาจริงๆ แต่มันกลับไม่ใช่หลิวฮ่วนเสียอย่างนั้น!


 


ทว่าคนผู้นี้ไม่น่าจะอ่อนด้อยกว่าหลิวฮ่วน!


 


“เจ้าฆ่าศิษย์ของข้าไปทั้งคน ยังจะมีหน้ามาถามว่าข้าเป็นใคร?”


 


ชายชราจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเย็นเยือกกล่าวถามเสียงเย้ย


 


“ฆ่าศิษย์เจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็นึกออก


 


ศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงที่เขาฆ่าไป…ดูเหมือนจะมีแค่เฝิงฟ่านคนเดียว


 


เท่าที่เขารู้เฝิงฟ่านผู้นี้ก็มีอาจารย์เป็นอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงเช่นกัน เห็นว่าอีกฝ่าบชื่อจ้าวเฟิงทั้งยังเป็นอาวุโสฝ่ายในที่ร้ายกาจติดอันดับ 1 ใน 3 ของอาวุโสฝ่ายในสำนักจันทร์จรัสแสง!


 


“เจ้าคือจ้าวเฟิงงั้นเหรอ?”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนแทบจะมั่นใจได้ว่า ชายชราหน้าอ่อนสมควรเป็นจ้าวเฟิงคนนั้น


 


“มิผิดข้าคือจ้าวเฟิง”


 


จ้าวเฟิงกล่าวตอบเสียงเย็น


 


“อาวุโสจ้าวเฟิงลำบากติดตามข้ามาไกลถึงนี่ คงไม่ได้คิดมาเพื่อสนทนากับข้าหรอกนะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามจ้าวเฟิงด้วยรอยยิ้ม


 


ถึงแม้จะไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงยังยิ้มร่าสงบใจอยู่ได้ แต่จ้าวเฟิงงก็ไม่หวั่นไหวอะไร


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้กังวลเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมียอดฝีมือลอบคุ้มครองแม้แต่น้อย


 


ด้วยพลังฝีมือของมันๆเชื่อมั่นนักว่าหากไม่ใช่ยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนหรือขอบเขตเซียนมาเอง มันย่อมเอาชนะได้!


 


และต่อให้เป็นป๋ายลี่หงลอบคุ้มครองอย่างลับๆ มันก็ต้องพบเจอตัวอีกฝ่ายแต่แรก


 


“จะตายอยู่แล้วมิคาดเจ้ายังทำใจเย็นอยู่ได้…อาศัยความกล้านี้ของเจ้าก็นับว่าเหนือกว่ารุ่นเยาว์คนอื่นไปมาก น่าเสียดายที่ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ หลังจากที่เจ้าฆ่าศิษย์รักของข้า!!”


 


จ้าวเฟิงกล่าววาจาออกมาฉะฉานนัก


 


“อาวุโสจ้าวเฟิง…”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆค่อยกล่าว “เป็นศิษย์เจ้าเฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายถึงข้าเอง มันคิดฆ่าข้า…หรือเจ้าคิดว่าข้าสมควรยืนนิ่งๆให้มันฆ่า…”


 


“แค่เพราะมันเป็นศิษย์ของเจ้างั้นเหรอจ้าวเฟิง?”

 

 

 


ตอนที่ 1527

 

มังกรเทพยาดาอันทรงพลัง!


 


“เฮอะ! ช่างพูดนัก!”


 


จ้าวเฟิ่งแค่นเสียงสบถ แววตาเย็นลง “อย่างไรก็ตามต่อให้เจ้าปากดีเพียงใด วันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”


 


สิ้นคำกลิ่นอายพลังทั่วร่างจ้าวเฟิงก็แปรเปลี่ยนไป


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน ที่ส่งผลต่อเขาเล็กน้อย


 


เขารู้ได้ทันทีว่านี่คือเขตแดนของจ้าวเฟิง


 


แต่ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเขตแดนของจ้าวเฟิงคืออะไร แต่เขาก็ไม่มีความหวาดกลัวในใจแม้แต่น้อย


 


ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงยังเริ่มใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราและปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ออกมาพร้อมๆกัน


 


จากการกระทำนี้เห็นชัดว่า แม้จ้าวเฟิงจะกล่าววาจาดูแคลนทั้งเหมือนจะไม่เห็นต้วนหลิงเทียนอยู่ในสายตา ทว่ามันก็ไม่คิดประมาทอะไร ท่าทางยังคิดจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายคาที่จริงๆ


 


“หืม ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา…นี่เจ้าบรรลุสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้ว?”


 


ทว่าทันใดนั้นเองม่านตาจ้าวเฟิงก็จำต้องเบิกกว้างขึ้นมาทันใด เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราออกมาเช่นกัน


 


“ข้าเป็นสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้วจะอย่างไร ดูเหมือนในด้านพลังฝึกปรือข้ายังเทียบอาวุโสจ้าวเฟิงไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ


 


“นั่นย่อมแน่นอน!”


 


ในวาจาจ้าวเฟิงเปี่ยมความมั่นใจไม่น้อย “ข้าที่บรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ คิดฆ่าสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญเช่นเจ้าสักคน ยังง่ายดายกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่นัก!”


 


แม้จะกล่าวออกไปแบบนั้น แต่ใจจ้าวเฟิงลอบหวั่นๆ มันตกใจกับพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย!


 


ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าร่วมสำนักมาไม่ถึงปี สามารถฆ่าเฝิงฟ่านได้ในการประลองเป็นตาย…และตอนฆ่ายังไม่แม้แต่จะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนด้วยซ้ำ!


 


ทว่าตอนนี้กลับเป็นสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้ว?


 


“อาวุโสจ้าวเฟิง ท่าทางเจ้าจะมั่นใจในพลังฝีมือตัวเองมากสินะ”


 


รอยยิ้มบนปากต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งฉีกกว้าง


 


อย่างไรก็ตามจ้าวเฟิงไม่ตอบโต้อะไร เพียงกล่าวออกเสียงเรียบ “ที่แท้ดูเหมือนเจ้าจะตัดผ่านด่านหลุดพ้นมนุษย์ไปแล้วตอนที่สังหารเฝิงฟ่านศิษย์ข้า…อย่างไรเสียข้าอยากรู้นักว่าเจ้าปกปิดพลังฝีมือได้อย่างไร กระทั่งถึงขั้นหลอกลวงให้ผู้อื่นคิดว่าเจ้าอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ได้!”


 


ฟังจากคำของจ้าวเฟิง เห็นชัดว่ามันปักใจเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุขอบเขตสู่เซียนตั้งแต่ก่อนเข้าสู่สำนัก


 


และคงเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนมีทักษะลับวิญญาณอะไร ถึงสามารถบิดเบือนพลังฝึกหรือหลอกลวงผู้คนได้แบบนี้


 


หากจะบอกว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งทะลวงผ่านขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์จนมาถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ในเวลาปีเดียวจริงๆ มันไม่มีวันเชื่อ!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเขตปกครองของ 9 พันธมิตรด้วยซ้ำ กระทั่งพื้นที่ส่วนกลางของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอันเป็นแหล่งรวมอัจฉริยะ ก็ไม่มีใครทำได้แบบนี้


 


ดังนั้นมันเชื่อว่าข้อสันนิษฐานนี้ของมันถูกต้อง!


 


ต้วนหลิงเทียนแสร้งเล่นหมูกินเสือ ฆ่าเฝิงฟ่าน!


 


ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เฝิงฟ่านก็ยิ่งมีโมโหมากขึ้นเท่านั้น!


 


“ช่างคิดไปได้!”


 


ได้ยินคำของจ้าวเฟิง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขบขัน ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยเยาะ ทำราวกับเห็นจ้าวเฟิงเป็นตัวโง่งม


 


“เฮอะ! มิว่าเจ้าใช้วิธีอันใดปกปิดพลังฝีมือ แต่วันนี้เจ้าก็หนีความตายไม่พ้น!”


 


จ้าวเฟิงเริ่มลงมือ ทันใดนั้นรัศมี 100 หมี่โดยรอบพลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลง เขตแดนที่มันใช้ออกสำแดงฤทธิ์แล้ว!


 


พร้อมกันนั้นเองเหนือศีรษะของมัน ดาบพลังมีสภาพเล่มเขื่องจากปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราก็แผ่กลิ่นอายดุร้าย ปลายดาบจี้เล็งไปทางต้วนหลิงเทียน สัตว์พลังมีสภาพเองก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง!


 


สัตว์พลังมีสภาพนี้แลไปก็ละม้ายคล้ายสิงโต ทว่าไม่เชิงเป็นสิงโตเสียทีเดียวเพราะบนหัวกลับมีเขาแหลมงอกเงย ทั่วกายเริ่มปรากฏกลิ่นอายพลังร้ายกาจขุมหนึ่ง!


 


เป็นกลิ่นอายพลังจากปราณโลหิต!


 


นี่เป็นตัวบ่งชี้ว่า มันคือสัตว์พลังมีสภาพจากปราณแท้ผสานปราณโลหิต!


 


ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของจ้าวเฟิง ที่แท้ก็ใช้แก่นแท้โลหิตเป็นรากฐาน!


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ด้วยความสำเร็จในปัจจุบันของจ้าวเฟิง ตอนยังเยาว์คงไม่พ้นชนชั้นอัจฉริยะของสำนักจันทร์จรัสแสง ย่อมง่ายที่จะได้รับการสนับสนุนจากอาวุโสของสำนัก กระทั่งได้รับแก่นแท้โลหิตมา


 


จุดนี้กระทั่งนักฆ่าในชุดคลุมลมดำที่เขาใช้ตราผนึกมารฆ่าไป ก็เทียบจ้าวเฟิงไม่ได้


 


และทันทีที่จ้าวเฟิงเปิดใช้เขตแดน ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันขุมหนึ่งที่ถาโถมเข้ามา ยังทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย


 


พาลให้สีหน้าซีดลงไม่ต่างกระดาษ


 


“สู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ตกอยู่ในสนามพลังโน้มถ่วงของข้า…ยังจะต่างใดจากปลาบนเขียงรอให้ข้าแล่สับ!”


 


เห็นสีหน้าที่ซีดลงของต้วนหลิงเทียน จ้าวเฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ


 


“สนามพลังโน้มถ่วง”


 


วาจาของจ้าวเฟิงเฉลยข้อสงสัยให้ต้วนหลิงเทียนทันที


 


ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลถาโถมมาจากทุกทิศทาง ที่แท้ปราณแท้ก่อเขตแดนของจ้าวเฟิงกลับเป็นสนามพลังโน้มถ่วงนี่เอง!


 


สนามพลังโน้มถ่วงจัดเป็นเขตแดนธรรมดาๆทั่วไปที่หาพบได้ไม่ยาก เมื่อใช้ออกแรงโน้มถ่วงในขอบเขตจะเพิ่มสูงขึ้นระดับหนึ่ง


 


ในขณะที่จ้าวเฟิงกับต้วนหลิงเทียนกำลังจะปะทะกัน ทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่ามีร่างในชุดคลุมลมดำหนึ่งกำลังเหินลอยร่างเหนือฟ้ามองชมเรื่องราวอยู่ จากรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของนางใครมองก็บอกได้ว่าเป็นสตรี


 


“พี่หญิงให้ข้าลงมือไหม? ข้ากลัวว่าเขาจักมิใช่คู่มือเฒ่าชรานั่น”


 


วิหกสีม่วงที่เกาะบนไหล่ของสตรีชุดดำกล่าวออก


 


“มิจำเป็น”


 


สตรีนางนั้นส่ายหัวไปมาเบาๆ แววตาเผยประกายเจิดจ้า “เจ้ามิเห็นหรือ…มันยังสงบใจอยูได้ นั่นบ่งบอกว่ามีความมั่นใจ”


 


“มั่นใจ?”


 


วิหกสี่ม่วงส่ายหัวไปมาป้อยๆ “มิใช่มันก็แค่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบหรือไร แต่เฒ่าชรานั่นบรรลุจุดสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้ว อีกทั้งเขตแดนของมันยังเป็นสนามพลังโน้มถ่วง…ยากที่ผู้ฝึกยุทธ์เช่นมันจะต้านทาน ยังจะมีปัญญาตอบโต้อันใด?”


 


เห็นได้ชัดว่าวิหกสีม่วงไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมีความสามารถถึงขนาดนั้น


 


“รอดูไปก่อน…ถึงมันสู้มิได้จริงๆ หรือเจ้ายังช่วยไม่ทัน?”


 


สตรีชุดดำกล่าวออก


 


วิหกสีม่วงค่อยพยักหน้า ก่อนจะหันกลับมาชมดูเรื่องราวตาแป๋ว


 


ในสายตาของสตรีชุดดำคล้ายทั้งโลกเหลือแต่ต้วนหลิงเทียน นั่นทำให้นางเห็นชัดเจนถึงความมั่นใจที่แผ่ออกมาจากสีหน้าแววตาของเขา


 


นี่ไม่ใช่ความนิ่งสงบจากการเสแสร้ง แต่เป็นของจริง


 


นางยังอดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


ว่าที่แท้เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่!


 


หรือเขาพบว่าพวกนางอยู่ที่นี่ด้วย และจะลงมือช่วยเหลือยามคับขัน?


 


แต่พอคิด สตรีชุดดำก็พบว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย


 


“ตอนนี้เจ้ารู้สึกเหมือนถูกสะกด มิว่ารีดเค้นปราณแท้มากเพียงใดก็มิอาจต่อต้านสนามพลังโน้มถ่วงของข้าได้ใช่หรือไม่?”


 


จ้าวเฟิงมองต้วนหลิงเทียนที่หน้าซีดลงเป็นกระดาษด้วยความสะใจ ใบหน้าเผยยิ้มเย็นกล่าวเย้ยออกมาด้วยความถือดี


 


อย่างไรก็ตามการกระทำต่อมาของต้วนหลิงเทียน ทำให้ยิ้มเย้ยบนหน้าจ้าวเฟิงชะงักค้างทันที


 


“สนามพลังโน้มถ่วงอะไรของเจ้า มันทำได้เท่านี้หรือ?”


 


เพราะพอเงยขึ้นมามองจ้าวเฟิงอีกครั้ง สีหน้าที่ซีดปานกระดาษของต้วนหลิงเทียนกลับเริ่มมีสีแดงระเรื่อ ไม่นานก็หวนคืนสู่ปกติ ยังกล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้มเฉยเมย


 


“จักตายอยู่รอมร่อ ยังดิ้นรนไม่เข้าท่า!”


 


จ้าวเฟิงกล่าวออกด้วยความขุ่นขึ้ง


 


หลังจากนั้นมันก็ไม่คิดลังเลใดๆสืบไป ดาบพลังมีสภาพที่ชี้จี้มาทางต้วนหลิงเทียนพลันพุ่งลงมาด้วยความฉับไว! สภาวะดาบยังดุร้ายปานจะแยกผ่าร่างต้วนหลิงเทียนให้เป็นสองเสี่ยง!


 


ฮู่มม!!


 


สัตว์พลังมีสภาพ ที่บังเกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์ของจ้าวเฟิง ก็พุ่งทะยานออกมาด้วยความปราดเปรียว ปากมันอ้าออกกว้างคล้ายจะกลืนกินผู้คนในหนึ่งคำ!


 


เผชิญหน้ากับดาบพลังมีสภาพทั้งสัตว์ปราณที่พุ่งเข้ามาอย่างน่ากลัว ทว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน


 


ทว่าทันใดนั้นเองปราณแท้ขุมหนึ่งพลันพวยพุ่งออกจากร่างไปควบรวมเป็นมวลปราณมหาศาลเหนือศีรษะ! ทันใดนั้นมันก็เริ่มก่อตัวกลับกลายเป็นมังกร…ยังเป็นมังกรเทพยาดา!!


 


มังกรเทพยาดาอันเปี่ยมเร้นไปด้วยกลิ่นอายปราณโลหิตอันน่ากลัว เปล่งพลังอำนาจสะกดข่มออกมาท่วมฟ้าทันที!


 


ทันใดนั้นเอง สัตว์พลังมีสภาพจากปราณแท้ก่อลักษณ์ของจ้าวเฟิงที่ปราดมาครึ่งทาง พลันชะงักร่างหยุดนิ่งค้างกลางอากาศ ทีท่ายังเผยความหวาดกลัวที่มีต่อมังกรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนชัดเจน!


 


หากมันเป็นสัตว์ปราณที่บังเกิดจากจินตนาการ มันไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวอะไรแบบนี้!


 


ทว่าสัตว์ปราณนี้ของจ้าวเฟิงกลับมีแก่นแท้โลหิตเป็นรากฐาน มันย่อมเหลือภูมิปัญญารวมทั้งสัญชาตญาณตอนยังมีชีวิตอยู่บ้าง และนั่นทำให้เป็นเหตุผลว่าไฉนมันถึงได้หวาดกลัวมังกรเทพยาดา!


 


ยิ่งไปกว่านั้นมังกรเทพยาดาของต้วนหลิงเทียนยังเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ!


 


มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ เสมือนตัวตนที่อยู่ในชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารแห่งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้นำเผ่าพันธ์มังกรเองก็ล้วนเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ!


 


ยิ่งไปกว่านั้นแก่นแท้โลหิตนี้ต้วนหลิงเทียนยังได้มาจากร่างของมังกรมาร 5 กรงเล็บ!


 


มังกรมาร 5 กรงเล็บ ยังเป็นตัวตนอันน่าพรั่นพรึงที่เหนือมังกรเทพยาดาสีทองอีกที! เป็นสายพันธุ์มังกรเทพยาดาที่แข็งแกร่งที่สุด!


 


“เกิดอันใดขึ้น?!”


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้จ้าวเฟิงนิ่งไปราวตัวโง่งม เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นอะไรแบบนี้ แม้จะใช้ชีวิตอยู่มานานหลายปี


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่จ้าวเฟิงตกตะลึง มังกรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนก็พลันตวัดหางออกไปอย่างเกรี้ยวกราด ฟาดลงไปยังสัตว์ปราณมีสภาพของจ้าวเฟิงที่กำลังสั่นผวาอย่างแรง จนร่างมันระเบิดหายไปในพริบตา!


 


ขณะเดียวกันไม่ทันที่จ้าวเฟิงจะตอบสนองอะไร มังกรพลังมีสภาพที่ฟาดสิงโตพลังจนแตกสลาย ก็ม้วนตัวลงมาใช้กรงเล็บตบฟาด ขยี้ดาบพลังมีสภาพที่พุ่งเข้ามาอย่างง่ายดาย!


 


หลังจากทำลายมวลพลังมีสภาพทั้ง 2 ของจ้าวเฟิงแล้ว มังกรพลังของต้วนหลิงเทียน ก็ลอยร่างกลางหาวด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เหลือบมองลงมายังร่างจ้าวเฟิงด้วยสายตาของผู้อยู่เหนือ!


 


“มังกร! มันคือมังกร…มังกรที่แท้จริง!”


 


ในที่สุดจ้าวเฟิงก็หายจากอาการอื้ออึง ในใจมันปรากฏความทรงจำหนึ่งแล่นวาบ ใบหน้าเผยความตื่นตระหนกไม่น้อยหลังได้เห็นมังกรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน!


 


แน่นอนว่ามันก็เหมือนกันกับป๋ายลี่หง ที่เกิดมาไม่เคยเห็นมังกรตัวเป็นๆมาก่อน


 


มันรู้เรื่องของมังกรเทพยาดา ผ่านบันทึกในตำราเท่านั้น


 


ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังตื่นตระหนกกับปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็ฉีกยิ้มกล่าวออก “อาวุโสจ้าวเฟิง สนามพลังโน้มถ่วงของเจ้ามันก็ไม่เท่าไหร่นี่”


 


ครู่ต่อมาสองตาจ้าวเฟิงพลันเผยความตกใจให้เห็นชัด


 


ท่ามกลางสนามพลังโน้มถ่วง มันแลเห็นร่างต้วนหลิงเทียนวูบมาฉับไวปานสายลม! คล้ายไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากสนามพลังดน้มถ่วงของมันเลย!!

 

 

 


ตอนที่ 1528

 

ปะทะจ้าวเฟิง!


 


ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของต้วนหลิงเทียนยังทำให้จ้าวเฟิงตกใจนัก ยังยากที่มันเชื่อเรื่องราวนี้ได้


 


ที่แท้ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่สู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ แต่เป็นสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ!


 


ยังไม่พอ


 


เรื่องที่ทำให้มันยิ่งตกตะลึงมากขึ้นก็คือ สัตว์ปราณที่ต้วนหลิงเทียนสร้างจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ กลับเป็นมังกรเทพยาดา!


 


ยิ่งไปกว่านั้นมังกรเทพยาดาของต้วนหลิงเทียน กลับสามารถบดขยี้สัตว์ปราณรวมถึงดาบพลังของมันได้ง่ายดาย!


 


ต้องทราบด้วยว่าด่านพลังฝึกปรือต่างกัน พลังของสัตว์ปราณและศาสตราปราณย่อมแตกต่างกันด้วย!


 


ยิ่งมีด่านพลังฝึกปรือมากเท่าไหร่ พลังของทั้ง 2 ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น!


 


เช่นนั้นการที่ต้วนหลิงเทียนในด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ สามารถใช้มังกรพลังทำลายพลังมีสภาพทั้ง 2 อย่างของมันได้ ก็หลงเหลือความเป็นไปได้แค่สองประการ!


 


ประการแรก ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ!


 


ประการที่สอง มังกรพลังจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งเกินไป นั่นทำให้บดขยี้พลังของมันได้อย่างง่ายดาย!


 


ใน 2 ประการนั้น จ้าวเฟิงคิดว่าอย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่า


 


หากเป็นอย่างแรกไม่ใช่หมายความว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน มีความแข็งแกร่งทัดเทียมพลังฝึกปรือของมันหรือไร?


 


หากพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนทัดเทียมกับมัน หมายความว่าอย่างน้อยๆอีกฝ่ายก็ต้องบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ และอาจจะใช้ปราณแท้ก่อเขตแดนได้เช่นกัน!


 


นี่เป็นอะไรที่มันไม่อยากเห็น!


 


มาตอนนี้เมื่อเห็นว่าร่างต้วนหลิงเทียนสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วสูงล้ำ จนคล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากสนามพลังโน้มถ่วงของมันเลย


 


ใจจ้าวเฟิงอดไม่ได้ที่จะสะท้านในใจ!


 


หรือต้วนหลิงเทียนมีพลังฝึกปรือไม่ได้ด้อยไปกว่ามันจริงๆ!?


 


นอกจากเรื่องนี้มันก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้เลย ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงไม่ได้รับผลกระทบจากสนามพลังโน้มถ่วงของมัน!


 


“สนามพลังโน้มถ่วงของเจ้า มันก็เท่านั้น!”


 


ร่างต้วนหลิงเทียนที่วูบฝ่าสนามพลังโน้มถ่วงมาปราดเปรียวคล้ายไร้เรื่องราว ไม่มีเค้าความยากลำบากจนหน้าซีดเป็นกระดาษเหมือนตอนแรกหลงเหลืออยู่เลย!


 


อันที่จริงมันไม่ใช่ไร้เรื่องราว


 


สนามพลังโน้มถ่วงของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งจริงๆ แข็งแกร่งถึงขั้นยากที่จะมีสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบทั่วไปสามารถขยับเขยื้อนในเขตแดนนี้ได้ด้วยซ้ำ!


 


เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนมีทีท่าคล้ายไร้เรื่องราวล้วนเป็นเพราะ ‘ร่างกาย’ ของเขา


 


ร่างกายของเขาผ่านกระบวนการเปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก จนเสมือนเกิดใหม่มาถึง 2 รอบ! โดยเฉพาะตอนที่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติชำระร่างเขา นั่นทำให้ร่างเขาแข็งแกร่งเหนือมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บเสียอีก!


 


ต่อมาร่างกายเขาก็ทรงพลังขึ้นอีกครั้งหลังดูดซับแก่นแท้โลหิตของมังกรมาร


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกเอาไว้ ตอนนี้ร่างกายเขามีความแข็งแกร่งทางกายภาพเหนือกว่า มังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ ไม่สิยังเหนือกว่ามังกรเทพยาดา 7 กรงเล็บด้วยซ้ำที่ด่านพลังฝึกปรือเท่าเทียมกัน!


 


แน่นอนว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่มีมังกรเทพยาดา 6-7 กรงเล็บอาศัยอยู่


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บคือระดับชั้นที่สูงที่สุดของเผ่าพันธุ์มังกรแล้ว!


 


ด้วยเหตุนี้พอต้วนหลิงเทียนปรับตัวเข้ากับสนามพลังโน้มถ่วงได้ มันก็คล้ายไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเขาอีกเลย!


 


‘ดูเหมือนร่างกายที่ทรงพลังนี่ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความสามารถในการต่อสู้หรือป้องกัน กระทั่งช่วยให้ข้ารับมือสนามพลังโน้มถ่วงได้ง่ายขึ้น!’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


แน่นอนว่าถึงแม้ทีท่าของต้วนหลิงเทียนจะแลดูปลอดโปร่งเหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่ทุกวินาทีที่ตกอยู่ในสนามพลังโน้มถ่วง ต้วนหลิงเทียนก็ต้องออกเรี่ยวออกแรงต่อต้านมันอยู่ตลอด!


 


หากปล่อยไปเนิ่นนาน แน่นอนว่าเขาก็ต้องถึงขีดจำกัด…ไม่ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม


 


‘ต้องจบเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว’


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงคิดแก้ปัญหาง่ายๆ.. ฆ่าจ้าวเฟิงให้ตายก่อนที่จะถึงขีดจำกัดที่ร่างเขาทนไหว!


 


ด้วยมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ต้องกลัวศาสตราปราณกับสัตว์ปราณของจ้าวเฟิง


 


นอกจากนี้ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย ในระยะเวลาสั้นๆเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสนามพลังโน้มถ่วง!


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดประมาทจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย


 


จ้าวเฟิงจะอย่างไรก็คือสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่! ไม่จำเป็นต้องพึ่งกลพลังทั้ง 2 นั่น ลำพังปริมาณปราณแท้ของมันก็มีมากมายมหาศาลนัก!


 


นอกจากนี้ด้วยความที่มันอยู่มานาน วรยุทธ์เซียนทั้งหลายสมควรฝึกฝนจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิหมดแล้ว!


 


“จ้าวเฟิง ให้ข้าดูว่าวันนี้เจ้าจะฆ่าข้ายังไง!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ปราดร่างพุ่งเข้ามาพลันตะโกนออกเสียงดัง ก่อนที่จะยกมือเรียกเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมากระชับถือ จากนั้นก็ควบรวมศรพลังมีสภาพจากปราณแท้ ขึ้นสายทันที!


 


สายเกาทัณฑ์ที่สร้างจากเอ็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บถูกน้าว!


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะบรรลุสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ทว่าเขาเพียงรั้งสายมาเล็กน้อยเท่านั้น ยังห่างจากการรั้งสายสุดเหยียดจนตัวเกาทัณฑ์โค้งเป็นจันทร์เต็มดวงได้!


 


พิสูจน์ให้เห็นว่าเอ็นของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บมันแข็งแกร่งปานใด!


 


“ต้วนหลิงเทียนข้าต้องยอมรับเลยว่าดูเบาเจ้าเกินไป…ไม่เพียงแต่ข้า กระทั่งหลิวฮ่วนก็ประเมินเจ้าต่ำไปมาก!”


 


จ้าวเฟิงจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็งกล่าวออกเสียงเข้ม ในขณะเดียวกันความหวั่นหวาดก็สลายหายไปจากแววตา


 


“ดูเหมือนว่าจะเป็นหลิวฮ่วนสินะ ที่บอกเจ้าเรื่องการออกเดินทางของข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ “ข้าคิดว่า ‘เหยื่อล่อ’ ที่ข้าวางไว้ จะล่อหลิวฮ่วนให้มาที่นี่เสียอีก…ไม่คิดเลยว่าหลิวฮ่วนไม่มา แต่เจ้ากลับมาแทน แต่จะเป็นใครผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน!”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ!


 


“นอกจากนี้ข้ายังมีนิสัยเสียเรื่องหนึ่ง…ใครคิดฆ่าข้า มันต้องตาย!”


 


กล่าวใกล้จบแววตาต้วนหลิงเทียนพลันเย็นลง ยังเอ่อล้นไปด้วยจิตสังหาร!


 


“อวดดีนัก! ให้ข้าดูว่าเจ้าจักเอาปัญญาที่ไหนมาฆ่าข้า!!”


 


แม้มันจะหวั่นใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอาจเป็นสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ แต่มันก็ไม่อาจยืนยันเรื่องนี้ได้ ดังนั้นยามเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน มันจึงสลัดความกลัวทิ้ง


 


แน่นอนว่าในใจมันยังมีแผนการสำรอง


 


หากมันยืนยันได้ว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ และมีพลังฝีมือเหนือมันจริงๆล่ะก็ มันจะรีบหนีทันที!


 


หลังออกจากการปิดด่านฝึกตนครั้งนี้ มันมั่นใจว่านอกจากยอดฝีมือขอบเขตเซียนไม่กี่คนรวมถึงเจ้าสำนักและอาวุโสฝ่ายในอย่างป๋ายลี่หง ก็ไม่มีใครในสำนักจันทร์จรัสแสงที่อยู่ในสายตาของมัน


 


มันยังมั่นใจนัก ว่าตอนนี้ต่อให้เป็นอาวุโสฝ่ายในที่ได้อันดับ 2 ในสำนักจันทร์จรัสแสง มันก็เอาชนะได้! แต่กลับต้วนหลิงเทียนมันบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลอย่างประหลาด!


 


ทันทีที่กล่าวจบ จ้าวเฟิงก็เรียกศาสตราเซียนออกมาถือไว้ทันที


 


ศาสตราเซียนของจ้าวเฟิงเป็นไม้พลองสั้นยาวไม่กี่ฉื่อ หากแต่ตัวไม้พลองกลับมีลวดลายอักขระจารึกไว้ทั่ว!


 


‘3 อาคมเซียนงั้นเหรอ?’


 


มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็ระบุได้ทันทีว่าลวดลายบนไม้พลองสั้นของจ้าวเฟิง มันมีรูปแบบแตกต่างกัน 3 รูปแบบ


 


หากแต่อาคมเซียนทั้ง 3 เป็นอาคมอะไรนั้นต้วนหลิงเทียนยากจะบอกได้ชัด เพราะระยะค่อนข้างห่างแถมมุมในการมองยังจำกัด!


 


อย่างไรก็ตามเขามั่นใจอยู่อย่าง


 


ในบรรดาอาคมเซียนทั้ง 3 นั้น มีอาคมเซียนระดับ 3 ดาวอยู่แค่ 1 อาคมเท่านั้น!


 


นี่นับเป็นมาตรฐานศาลตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนของเหล่าอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสง! ในสำนักมีเพียงชนชั้นเจ้าสำนักกับยอดฝีมือขอบเขตเซียนที่มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะมีอาคมเซียนระดับ 3 ดาว 2 อาคมใช้!


 


สำหรับศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ถึง 3 อาคมนั้น มีแต่ป๋ายลี่หงคนเดียวเท่านั้นที่มี


 


แน่นอนว่าตอนนี้ก็มีเพิ่มมาอีกคนแล้ว ก็คือต้วนหลิงเทียนเองผู้เป็นศิษย์น้องของป๋ายลี่หง


 


“ต้วนหลิงเทียน รับมือ!”


 


หลังจากชักศาสตราเซียนออกมาจ้าวเฟิงก็ลงมือออกอย่างไร้ลังเล ร่างมันปราดมาทางต้วนหลิงเทียนดั่งเส้นสายอัสนี!


 


พลองสั้นในมือควงไปมาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะตบฟาดมาอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นพลังมหาศาลพวยพุ่งออก! บังเกิดเป็นคลื่นพลังกระแทกมหาศาลขุมหนึ่งเข่นฆ่าทำลายพุ่งมาจนอากาสแตกระเบิดดังปง!


 


สิ้นเสียงดังปงไม่ทันไร อากาศที่แตกระเบิดก็ก่อให้เกิดสายลมกรรโชกแรงพัดสาดไปทั่วทิศ!


 


สายลมแรงตีปะทะเข้าร่างต้วนหลิงเทียนอย่างจัง นำพาให้ชุดสีม่วงกระพือสะบัดวุ่นวาย


 


วู้มม!!


 


ซัวว!!


 


พร้อมกันกับที่จ้าวเฟิงฟาดพลองสั้นมา ปราณแท้ทั่วร่างของจ้าวเฟิงพลันควบรวมขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนที่จะกลับกลายเป็นดาบพลังมีสภาพเล่มเขื่อง พร้อมสิงโตพลังมีสภาพอีกรอบ พวกมันพุ่งไปหมายต้านทานมังกรพลังของต้วนหลิงเทียน!


 


แน่นอนว่ายามสิงโตพลังมีสภาพของจ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับมังกรพลังของต้วนหลิงเทียน ร่างมันก็เริ่มสั่นเทิ้มอีกครั้ง!


 


อย่างไรก็ตาม คราวนี้ด้วยจิตควบคุมของจ้าวเฟิง แม้ร่างมันจะสั่นเทิ้ม หากแต่ก็ยังฝืนพุ่งไปจู่โจมใส่มังกรพลังสุดตัว!


 


ทันใดนั้นเอง บรรยากาศรอบๆมังกรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสั่นไหว!


 


เป็นจ้าวเฟิงที่ขวบคุมเขตแดนสนามพลังโน้มถ่วง เพ่งพลังอำนาจไปสะกดมังกรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ มังกรพลังพยายามฝืนต้านพักหนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ถูกสนามพลังโน้มถ่วงสะกดได้สำเร็จ!


 


ร่างมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บมีสภาพเสมือนจริง บัดนี้ร่วงตกลงมาด้วยความเร็ว!


 


และตอนนี้เองดาบพลังมีสภาพทั้งสิงโตพลังมีสภาพก็บรรลุถึงตัวมันแล้ว!


 


“ฮู่มมม!!”


 


ทันใดนั้นมังกรพลังมีสภาพที่ถูกสนามพลังสะกด พลันเงยหน้าขึ้นมาเผยความเกรี้ยวกราด คำรามออกเสียงดังสนั่นฟ้า!


 


เสียงมังกรคำรามนี้แฝงเร้นไปด้วยอานุภาพพลังขุมหนึ่ง มวลอากาศเริ่มบิดเบี้ยว คลื่นพลังกระแทกซัดกวาดออกไปทั่วสารทิศ!


 


มังกรนั้นมิยอมรับการถูกสะกดข่ม!


 


มังกรพลังมีสภาพ อย่างไรก็บังเกิดจากปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนผสานปราณโลหิตจากแก่นแท้โลหิต มันย่อมมีความหยิ่งผยองของมังกรเต็มพิกัด ไหนเลยจะทนให้สนามพลังโน้มถ่วงของจ้าวเฟิงสะกดอยู่ได้อย่างพร้อมใจ!


 


อนิจจาหลังมังกรพลังแข็งขืนไปอีกพักหนึ่ง สุดท้ายด้วยมีสนามพลังโน้มถ่วงสะกด ศาสตราทั้งสัตว์ปราณของจ้าวเฟิงก็สามารถทำลายมังกรพลังมีสภาพให้สลายหายไปได้!


 


เรื่องราวทั้งหมดบังเกิดขึ้นในชั่วพริบตา จนต้วนหลิงเทียนไม่อาจตอบสนองได้ทัน!


 


ถึงแม้จ้าวเฟิงจะตกตะลึงกับการปรากฏตัวของมังกรเทพยาดา แต่มันก็ยังลอบโล่งใจไม่น้อยที่เห็นว่าสนามพลังโน้มถ่วงของมันกับปราณพลังมีสภาพสองขุม สามารถทำลายมังกรเทพยาดาน่ากลัวนั่นได้!


 


มันบรรลุเป้าหมายแล้ว!


 


มันตั้งใจทำลายมังกรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนให้ได้ก่อน!


 


จากนั้นก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์สร้างมังกรพลังขึ้นมาอีกรอบ มันจะชิงลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนในหนึ่งกระบวนท่า!


 


ถึงแม้ตัวมันเองจะไม่ได้หวาดกลัวมังกรเทพยาดาที่บังเกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่ยอมรับไม่ได้…ว่ามังกรพลังนั่นแข็งแกร่งพอจะคุกคามมัน!


 


ซู่ม!


 


เผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงที่ปราดมาดั่งอัสนีพร้อมฟาดพลองสั้นลงมาด้วยอำมหิต พร้อมทั้งดาบพลังมีสภาพและสัตว์ร้ายเสมือนจริงที่เปลี่ยนทิศมุ่งมา ต้วนหลิงเทียนไม่แตกตื่น เร่งส่งกระบี่พลังมีสภาพทะลวงแทงไปยังจ้าวเฟิงทันที


 


และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอะไร


 


กระบี่พลังมีสภาพของเขา ถูกพลองสั้นในมือจ้าวเฟิงหวดจนแตกสลายกลับกลายเป็นละอองปราณในพริบตา!


 


หลังจากที่ฟาดทุบกระบี่พลังมีสภาพเล่มเขื่องของต้วนหลิงเทียนแล้ว สภาวะพลองยังไม่ถดถอย แหวกฟ้ามาฉับไวปานเส้นสายอัสนี ปรี่ตงมาทางต้วนหลิงเทียน!

 

 

 


ตอนที่ 1529

 

เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง


 


 


‘อาคมเซียนพันทวี อาคมเซียนทำลาย แล้วก็อาคมเซียนทับซ้อนงั้นเหรอ!’


 


ในขณะที่จ้าวเฟิงใช้พลองสั้นทุบฟาดทำลายกระบี่พลังเล่มเขื่องของเขา ต้วนหลิงเทียนก็มองอาคมเซียนที่จารึกไว้บนพลองสั้นของอีกฝ่ายออกทันที


 


อาคมเซียนพวกนั้นเป็นอาคมเซียนระดับ 2 ดาว 2 อาคม ส่วนอีกอาคมเป็นระดับ 3 ดาว


 


อาคมเซียนพันทวีกับอาคมเซียนทำลายนั้นเป็นอาคมเซียนระดับ 2 ดาว


 


ส่วนอาคมเซียนทับซ้อนเป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว


 


ในบรรดาอาคมเซียนทั้ง 3 อาคมเซียนพันทวียังเป็นอาคมเซียนเดียวกันกับที่จารึกไว้ในดาบใหญ่ของเฝิงฟ่าน…


 


หลังจากที่เฝิงฟ่านถูกเขาฆ่าตาย ต้วนหลิงเทียนก็เป็นเจ้าของไปโดยปริยาย


 


ส่วนอาคมเซียนทำลายนั้น มันเป็นอาคมเซียนที่สามารถทำลายแรงต้านของอากาศได้ได้ในระดับหนึ่ง


 


และอาคมเซียนทับซ้อนอันเป็นอาคมเซียนสุดท้าย มีความสามารถเพิ่มพูนพลังอำนาจให้ผู้ใช้ได้อีกระดับหนึ่งทำให้พลังความแข็งแกร่งเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม


 


ถึงแม้จะไม่ได้เลิศล้ำดั่งทบทวีไปอีกเท่าตัว แต่ก็นับว่าส่งผลกระทบไม่ใช่น้อย


 


สำหรับอาคมเซียนทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนได้เรียนรู้มาจากป๋ายลี่หง


 


แน่นอนว่าอาคมเซียนทั้งหมดบนพลองสั้นของจ้าวเฟิง ป๋ายลี่หงก็เป็นผู้จารึก


 


หากให้ป๋ายลี่หงล่วงรู้ว่า จ้าวเฟิงกลับใช้อาคมเซียนที่มันจารึกมาเล่นงานศิษย์น้องของตัวแบบนี้ เกรงว่าป๋ายลี่หงคงพิโรธถึงขั้นไม่ตายไปขางไม่เลิกรา


 


ระฆังศรคลุมกาย!


 


เผชิญหน้ากับพลองสั้นที่มาด้วยสภาวะน่ากลัว ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้หลบแต่อย่างไรด้วยรู้ดีว่าแม้หลบไปก็ไร้ประโยชน์


 


เขาจึงเลือกที่จะใช้ออกด้วยวรยุทธ์ป้องกันหนึ่งเดียวของมหาเกาทัณฑ์ดาวตก ระฆังศรคลุมกาย!


 


พริบตานั้นเองดอกศรพลังมีสภาพนับหมื่นพันก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่าง พวกมันเสมือนมีชีวิตก็ไม่ปาน พุ่งไวดั่งแสงวนเวียนไปรอบกายต้วนหลิงเทียน สร้างม่านพลังกำบังดั่งเปลือกไข่ห่อหุ้ม!


 


มองไกลๆเปลือกไข่ดังกล่าวก็มีรูปลักษณ์คล้ายระฆังไม่น้อย!


 


กล่าวให้ชัดมันเป็นระฆังขนาดมหึมา!


 


และตอนนี้ร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกระฆังมหึมานั่นคลุมครอบเอาไว้!


 


“คิดหยุดพลองข้าด้วยวิชาป้องกัน เจ้าฝันไปรึ!?”


 


เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่เลือกใช้วิชาป้องกันต้านรับ จ้าวเฟิงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเยาะ


 


ตอนนี้มันมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนยังพึ่งมีพลังฝึกปรือแค่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น!


 


เพราะหากต้วนหลิงเทียนเป็นสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่จริง สถานการณ์คับขันถึงชีวิตเช่นนี้ ไหนเลยยังไม่ใช้ออกด้วยเขตแดน?


 


ปง! ปง! ปง! ปง!


 


……


 


พลองสั้นในมือจ้าวเฟิงมาด้วยสภาวะน่าครั่นคร้าม ยามแหวกฝ่าอากาศด้วยความเร็วสูง ยังบันดาลให้อากาศแตกระเบิดส่งเสียงดังคำรามไม่หยุด!


 


พริบตาพลองสั้นก็อยู่ไม่ห่างระฆังมหึมาแล้ว!


 


เปรี๊ยงงงง!!


 


เสียงสนั่นลั่นดังก้องฟ้า พลองสั้นในมือจ้าวเฟิงฟาดไปยังระฆังยักษ์อย่างเกรี้ยวกราด ตัวระฆังสั่นไหวรุนแรงคล้ายจะพังทลายลงมา!


 


จากจุดศูนย์กลางการปะทะระหว่างพลองสั้นกับม่านพลังของระฆังศร คลื่นกระแทกขุมหนึ่งระเบิดออกมาอย่างรุนแรง บังเกิดเป็นมวลอากาศม้วตลบกวาดซัดออกไปปานมหาพายุ


 


พริบตามวลอากาศดังกล่าวก็ซัดหมู่เมฆไกลตาจนละลิ่ว กระทั่งห้วงสมุทรเวิ้งน้ำไพศาลเบื้องล่างยังถึงกับบังเกิดเป็นคลื่นใหญ่โต ปั่นป่วนไปทั่วคุ้ง


 


“วรยุทธ์ป้องกันอันใดกัน! ไฉนแข็งแกร่งนัก!?”


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้าวิหกสีม่วงอดไม่ได้ที่จะอุทาน “วรยุทธ์ป้องกันนั่น…พลังของมันสามารถสะกดได้ทุกวรยุทธ์ป้องกันระดับมนุษย์โดดเด่น…ดูท่าวรยุทธ์เซียนที่ชายคนนั้นฝึกจักมิใช่ธรรมดาแล้ว!”


 


“มันเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นชั้นยอดมิผิดแน่”


 


สตรีในชุดคลุมลมดำ ชือเม่ย นักฆ่าของตลาดมืดหยินชานกล่าวพึมพำ “ที่แท้เขาเป็นใครกันแน่ สำนักจันทร์จรัสแสงก็แค่ขุมพลังชั้น 7 กระจ้อยร่อย ไหนเลยจะมีวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นชั้นยอดแบบนี้ได้?”


 


“กระทั่งขุมพลังชั้นแนวหน้าของดินแดนนี้ ก็มิได้มีวรยุทธ์เซียนระดัยมนุษย์โดดเด่นชั้นยอดแบบนี้มากนัก”


 


วิหกสีม่วงกล่าวเสริม


 


“เป็นไปมิได้”


 


จ้าวเฟิงที่มั่นใจในการโจมตีของตัวเองถึงกับหน้าเบี้ยวทันใด ยังคล้ายมีคำไม่เชื่อสักไว้เต็มหน้า เพราะเมื่อครู่มันทุบฟาดไปด้วยพลัง 9 ส่วนแล้วแท้ๆ ยังคิดว่าสมควรบดขยี้วรยุทธ์ป้องกันของต้วนหลิงเทียนได้โดยง่าย!


 


ทว่ามันไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าไฉนคนที่พึ่งบรรลุสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ กลับมีวรยุทธ์ป้องกันที่ร้ายกาจขนาดนี้


 


อนิจจามันถูกลิขิตให้ไม่มีวันได้รู้


 


ดาวตกพิฆาต!


 


จังหวะที่จ้าวเฟิงฟาดพลองมาด้วยพลังแทบทั้งหมดล้มเหลว อาศัยช่องว่างเสี้ยวพริบตาที่พลังของมันขาดห้วง ต้วนหลิงเทียนก็พุ่งออกจากระฆังศรคลุมกายที่สั่นไหวใกล้พังทลาย ก่อนที่จะปะทุพลังยิงเกาทัณฑ์!


 


ปราณแท้ทะลักออกจากทะเลปราณ ไหลผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายปานน้ำหลาก! ควบแน่นเป็นศรพลังมีสภาพยิงออกด้วยดาวตกพิฆาตเต็มกำลัง!!


 


ซึ่ม!


 


หนึ่งศรนี้ เสมือนทำให้กาลเวลาในโลกหล้าหยุดเดิน!


 


ราวกับฟ้าดินคงเหลือไว้แค่ศรดอกเดียว!


 


และศรนี้ก็มาได้ฉับไว แหวกอากาศไปไร้สำเนียงบรรลุพึงร่างจ้าวเฟิงก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนองอะไรได้ทัน ชำแรกหว่างคิ้วทะลวงสมองก่อนที่จะพุ่งทะลุหายลับฟ้าไปในเสี้ยวพริบตา!


 


จวบจนวินาทีสุดท้ายที่ชีวิตถูกพรากไปอย่างไม่เต็มใจ จ้าวเฟิงก็มิอาจเข้าใจได้ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงมีวรยุทธ์ป้องกันสูงล้ำขนาดนี้


 


มันไม่เคยคิดถึงภาพที่มันจะล้มเหลวในการทำลายม่านพลังป้องกันของต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เช่นนั้นมันจึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะป้องกันดอกศร!


 


ในฐานะสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่กระทั่งบรรลุจุดสูงสุดของด่านพลังแล้ว กลับต้องตกตายไปอย่างไม่ยินยอม!


 


อนิจจาโลกที่ยึดถือพลังเป็นที่สุด ไร้ความเมตตาให้แก่ผู้อ่อนด้อย


 


เก่งกล้าเพียงใดตายไปก็แค่ซากกระดูกผุๆ


 


ชนะเป็นจ้าวแพ้เป็นโจร


 


“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้…”


 


หลังจากฆ่าจ้าวเฟิงแล้วต้วนหลิงเทียนก็ตอบคำมันอย่างสงบ ก่อนที่จะสะบัดมือริบแหวนมิติของจ้าวเฟิงและซัดฝ่ามือพลังไร้สภาพออกไปคราหนึ่ง ป่นร่างจ้าวเฟิงเป็นละอองเลือด


 


แน่นอนว่าวาจาสุดท้ายที่กล่าวออก จ้าวเฟิงคงไม่มีวันได้ยิน


 


‘ระฆังศรคลุมกายสมแล้วที่สามารถทัดเทียมวรยุทธ์เซียนสายป้องกันระดับปฐพี…ปราณแท้ข้าที่จ่ายออกไปทั้ง 99 เส้นชีพจร ก่อเกิดเป็นม่านพลังศรในพริบตา ยังสามารถลดพลังโจมตีของจ้าวเฟิงไปได้มากกว่า 8 ส่วน!’


 


ถึงแม้จะรู้แล้วว่าระฆังศรคลุมกายมีอำนาจป้องกันอันน่ากลัว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนใช้งานจริง จึงค่อยทราบว่ามันน่ากลัวขนาดไหน!


 


จ้าวเฟิงเป็นใคร?


 


มันคือสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ หากมันปลดปล่อยพลังทั้งหมดใช้ออกด้วยอาคมเซียนจารึกทั้ง 3 อาคม กระทั่งยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนยังไม่กล้าจะรับกระบวนท่าของมันด้วยวรยุทธ์ป้องกันตรงๆ


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนกล้า!


 


แม้จะไม่อาจป้องกันพลังทำลายได้สมบูรณ์ แต่ก็สลายไปกว่า 8 ส่วน อาศัยความเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตานี้ จึงทำให้จ้าวเฟิงหมดสิทธิ์ป้องกันการลงมือต่อเนื่องของเขาอย่างสิ้นเชิง


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าเขาสามารถฆ่าจ้าวเฟิงได้แต่แรก แต่เขารู้ดีว่าที่จ้าวเฟิงแพ้พ่ายตายตกไปไวแบบนี้เพราะอีกฝ่ายประมาทเขา


 


กล่าวให้ชัดอีกฝ่ายประเมิน ระฆังศรคลุมกาย ของเขาต่ำไป!


 


หาไม่แล้วถึงแม้เขาจะมั่นใจว่ายังสามารถฆ่าจ้าวเฟิงได้ แต่ก็คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้


 


‘น่าเสียดายที่หลิวฮ่วนมันไม่ได้มาด้วย…ดูเหมือนข้าต้องฆ่าหลิวฮ่วนหลังจากกลับมา’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


เขาเองก็เสียดายไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามพอคิดอีกครั้งเขาก็ไม่ติดใจอะไรอีก


 


ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ขอเพียงมีโอกาส คิดฆ่าหลิวฮ่วนก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร


 


หลังจากฆ่าจ้าวเฟิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเกาะป้านเยว่ต่อ


 


ด้วยพลังความแข็งแกร่งในปัจจุบัน การกลับไปเกาะป้านเยว่ก็ไม่ได้ใช้เวลามากเท่าไหร่


 


ตอนนั้นกว่าเขาจะมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้มันกินเวลาไปไม่น้อย ทว่านั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้เส้นทาง กระทั่งยังใช้เวลาไปมากกับการหลงทาง


 


แต่คราวนี้เขาสามารถระบุทิศทางที่แน่ชัดได้แล้ว


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามี 1 คนกับ 1 วิหกลอบติดตามเขามาโดยตลอด


 


“เพียงบรรลุสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบกลับสามารถฆ่าสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้…มิคิดเลยว่าเขาจะมีสามารถขนาดนี้”


 


วิหกสีม่วงกล่าวพร้อมทอดถอนใจ จากน้ำเสียงเผยให้เห็นอารมณ์เสียดายไม่น้อย


 


แน่นอนว่าที่มันเสียดายเพราะมันรู้ดีว่ายากจะมีโอกาส…


 


โอกาสได้ต่อยตีกับต้วนหลิงเทียน


 


แม้ชือเม่ยจะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ต่างออกไปจากเดิม ยังกล่าวพึมพำออกมาเบาๆ “ข้าหวังว่าเจ้ากับนางจักมิมีสัมพันธ์เกินเลย…หาไม่แล้วแม้จะไม่อยาก แต่ข้าก็จำต้องฆ่าเจ้า!!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนออกเดินทางต่อหลังฆ่าจ้าวเฟิง ทางด้านสำนักจันทร์จรัสแสงก็บังเกิดความวุ่นวายไม่น้อย


 


ลึกลงไปภายในพื้นที่หวงห้ามของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


นอกเหนือจากอาวุโสฝ่ายในระดับสูงแล้ว ศิษย์ฝ่ายในรวมทั้งอาวุโสทั่วไปห้ามมิให้ก้าวเข้ามาในเขตนี้แม้แต่ก้าวเดียว ผู้ที่หาญกล้าฝ่าฝืนละเมิดกฏดังกล่าวจำต้องถูกขับออกสำนักสถานเดียว และนี่เป็นการลงโทษสถานเบาที่สุดแล้ว


 


พื้นที่หวงห้ามของสำนักจันทร์จรัสแสง เป็นสถานที่บ่มเพาะพลังของยอดฝีมือขอบเขตเซียน รวมถึงเจ้าสำนัก


 


ตอนนี้ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่งมิทราบเป็นอะไร แต่กลับมีเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมา


 


เสียงกรีดร้องยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจับใจ!


 


ภายในคฤหาสน์หลังดังกล่าว ปรากฏร่างชายชราแก่หง่อมคนหนึ่ง ยืนจับจ้องมองไข่มุกวิญญาณบนหิ้งที่แตกเป็นเสี่ยงด้วยสองตาแดงก่ำปานโลหิต


 


“จ้าวเฟิงตายแล้ว? ผู้ใด! เป็นฝีมือผู้ใด!?”


 


เสียงเล็ดรอดไรฟันของชายชรา ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะขนลุก เพราะมันเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้นถึงที่สุด!


 


“อาจารย์ลุงเฉียน!”


 


ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากภายนอกคฤหาสน์ ปลุกสติของมันให้กลับคืนมา


 


“เจ้าสำนัก”


 


ชายชราระงับอารมณ์ก่อนที่จะร่างมันจะวูบหายไปด้วยความเร็วสูง ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่หน้าประตูคฤหาสน์ กล่าวทักทายชายคนร่างสูงผู้หนึ่งที่มีใบหน้ากระจ่างปานหยกเนื้อดีด้วยความเคารพ


 


ชายวัยกลางคนร่างสูงนี้เพียงยืนเฉยๆก็ให้บรรยากาศสูงส่งมากบารมี เห็นชัดว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม


 


จากวาจาของชายชรา สืบทราบได้ว่าที่แท้มันคือเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง เจียงเว่ย


 


“อาจารย์ลุงเฉียน เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”


 


เจี่ยงเว่ยกล่าวถามชายชราออกไปด้วยสีหน้ามิสู้ดี


 


“เจ้าสำนัก…จ้าวเฟิงตายแล้ว”


 


ชายชรากล่าวออกเสียงเข้ม


 


“อะไร! จ้าวเฟิงตายแล้ว??”


 


ได้ยินวาจานี้ของชายชรา เจียงเว่ย อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


ถึงแม้จ้าวเฟิงจะเป็นอาวุโสฝ่ายในระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสงคนหนึ่ง แต่เจียงเว่ยก็รู้ดีถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจ้าวเฟิงกับชายชรา


 


จ้าวเฟิงนั้น ตอนแรกทุกคนเข้าใจว่าเป็นศิษย์ปิดสำนักของชายชราผู้นี้อย่างลับๆ


 


แต่ไม่ทราบว่าไฉนชายชรากลับไม่คิดเปิดเผยฐานะนี้ออกมา ทำให้จ้าวเฟิงไม่ได้ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นศิษย์ปิดสำนักของอีกฝ่าย


 


ด้วยเหตุนี้มีน้อยคนนักในสำนักจันทร์จรัสแสง ที่ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงกับชายชรา


 


อย่างไรก็ตาม ในกาลก่อนด้วยความบังเอิญ เจียงเว่ยกลับได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าสำนักคนก่อนกับชายชรา จึงได้รับทราบว่าที่แท้จ้าวเฟิงกลับเป็นบุตรนอกสมรสของชายชรา!


 


ด้วยเหตุนี้ชายชราเบื้องหน้าจึงไม่ได้ยอมรับจ้าวเฟิงเป็นศิษย์


 


“ไม่ว่าผู้ใดมันหาญกล้าฆ่าจ้าวเฟิง ต่อให้ข้าต้องพลิกแผ่นดินกระทั่งขุดพื้นลึกลงไป 3 ฉื่อ ข้าก็จะลากคอมันมาฆ่าให้ตาย!”


 


ชายชรากล่าวออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด


 


ใบหน้าชายชราที่เผยความดุร้ายอาฆาตออกมา กระทั่งเจียงเว่ยยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยิวกาย


 


“อาจารย์ลุงเฉียนข้าจะรีบส่งคนไปสืบเรื่องนี้ทันที…ท่านรอฟังข่าวเถอะ”


 


เจียงเว่ยกล่าวกับชายชรา


 


มันไม่กล้าละเลยเรื่องของชายชราเบื้องหน้า


 


เพราะไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นอาจารย์ลุงของมัน อีกฝ่ายยังเป็นผู้พิทักษ์ของสำนักจันทร์จรัสแสงอีกด้วย!

 

 

 


ตอนที่ 1530

 

หลิวฮ่วนตกตะลึง!


 


หลังออกจากเขตหวงห้ามเจียงเว่ยก็มุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ของจ้าวเฟิงที่ตั้งอยู่ในส่วนที่พักของอาวุโสฝ่ายในทันที


 


ไม่นานมันก็ได้รับทราบจากข้ารับใช้ในคฤหาสน์ ว่าจ้าวเฟิงพึ่งออกจากการปิดด่านมาได้ไม่นาน อาวุโสหลิวฮ่วนก็มาหา สุดท้ายจ้าวเฟิงก็ออกไปข้างนอกจนป่านนี้ยังไม่กลับมา…


 


เจียงเหว่ยได้ฟังก็รู้ดีในใจว่าจ้าวเฟิงไม่มีวันได้กลับมาอีกต่อไป


 


เพราะคนได้ตายไปแล้ว!


 


“หลิวฮ่วน…”


 


หลังออกจากคฤหาสน์จ้าวเฟิง เจียงเว่ยก็ไปเยือนคฤหาสน์ของหลิวฮ่วนต่อทันที ทว่าพอเดินมาใกล้ถึงด้านหน้าคฤหาสน์มันก็เห็นร่างคุ้นตาหนึ่งเดินออกมา


 


“อาวุโสป๋ายลี่?!”


 


เจียงเว่ยค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยที่เห็นอาวุโสป๋ายลี่เดินออกมาจากคฤหาสน์ของหลิวฮ่วน


 


ตอนนี้ป๋ายลี่หงไม่ควรมาอยู่ที่คฤหาสน์ของหลิวฮ่วนไม่ใช่รึไร?


 


เพราะมันจำได้ว่าคนที่ป๋ายลี่หงยอมรับเป็นศิษย์น้อง เป็นคนของจวนเจ้าเมืองชงซันมาก่อน


 


และความบาดหมางระหว่างจวนเจ้าเมืองชงซันกับหลิวฮ่วน เจียงเว่ยก็รู้ดีแก่ใจ


 


มันยังเผลอคิดไปว่าใช่ป๋ายลี่หงบุกมาฆ่าหลิวฮ่วนหรือไม่?


 


หากป๋ายลี่หงมาฆ่าหลิวฮ่วนจริงๆ มันก็ไม่อาจทำอะไรได้


 


ถึงแม้หลิวฮ่วนจะเป็นอาวุโสฝ่ายใน แต่ก็ไม่นับเป็นตัวอะไรหากเทียบกับป๋ายลี่หง!


 


กล่าวกันตามตรงในสำนักจันทร์จรัสแสงนี้ หากจะเปรียบเทียบแล้วล่ะก็…หลิวฮ่วนยังไม่คู่ควรจะถือรองเท้าให้ป๋ายลี่หงด้วยซ้ำ!


 


ป๋ายลี่หงเป็นใคร?


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว!


 


มองทั่วพื้นที่ปกครองของ 9 พันธมิตร หากไม่นับตลาดมืดหยินชาน ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวก็มีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น!


 


ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นใครในสำนักจันทร์จรัสแสงกระทั่งมันเอง ยามเจอป๋ายลี่หงก็ต้องมีมารยาททั้งให้ความเคารพต่ออีกฝ่าย ด้วยเพราะกลัวจะผิดใจ จนอีกฝ่ายออกจากสำนักไป


 


ต้องทราบด้วยว่าป๋ายลี่หงเป็นที่ต้องการของอีก 8 สำนักมาก กระทั่งตลาดมืดหยินชานเองก็ไม่เว้น


 


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา 8 สำนักรวมถึงตลาดมืดหยินชานเองก็หยิบยื่นข้อเสนออันดีให้ป๋ายลี่หง เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมขุมกำลัง แต่ป๋ายลี่หงเลือกจะปฏิเสธพวกมันทั้งหมด เพราะได้มีมิตรภาพอันดีกับสำนักจันทร์จรัสแสงก่อน นอกจากนั้นป๋ายลี่หงยังรู้สึกพึงพอใจกับการดูแลปฏิบัติอันดีที่สำนักมีให้


 


ด้วยเหตุนี้ระดับสูงทั้งหมดในสำนักไม่เว้นเจ้าสำนักอย่างเจียงเว่ย จึงสำรวมตัวยามพบกับป๋ายลี่หง


 


ดั่งเช่นตอนนี้ เจียงเว่ยปั้นหน้ายิ้ม กล่าวทักทายป๋ายลี่หงอย่างมากไมตรี


 


“เจ้าสำนัก?”


 


ด้านป๋ายลี่หงที่เดินออกมาเจอเจ้าสำนักหน้าคฤหาสน์ก็แปลกใจเช่นกัน “เจ้าสำนักมาหาหลิวฮ่วนรึ?”


 


“เป็นเช่นนั้น”


 


เจียงเหว่ยยิ้มตอบพร้อมพยักหน้า


 


“เช่นนั้นข้าไม่อยู่รบกวนเจ้าสำนักแล้ว”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวลาเจียงเว่ยและเดินจากไป


 


ตอนนี้มันผ่านไปเป็นวันแล้ว มันไม่กลัวว่าหลิวฮ่วนจะลงมือออกไปตามล่าต้วนหลิงเทียน ศิษย์น้องของมันที่เดินทางกลับบ้านเกิดอีกต่อไป


 


ตัดกลับมาที่คฤหาสน์ของหลิวฮ่วน หลังจากที่หลิวฮ่วนเดินออกมาป๋ายลี่หงหน้าประตู มันก็เดินย้อนกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทันที ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวมันก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นจากด้านหลัง “ทะ…ท่านเจ้าสำนัก!”


 


เสียงตื่นตระหนกทั้งติดอ่างนั้น กลับเป็นของศิษย์ที่มันมอบหน้าที่ให้เฝ้าประตูเอาไว้


 


ศิษย์ผู้นี้เป็นเพียงข้ารับใช้เท่านั้น ไม่ใช่ศิษย์ของมันแต่อย่างไร


 


“เจ้าสำนัก?”


 


ได้ยินเสียงติดอ่างจากด้านหลัง หลิวฮ่วนก็แปลกใจไม่น้อย จึงรีบหันตัวกลับมาทันที


 


มองไปไม่ไกลมันก็แลเห็นชายวัยกลางคนร่างสูง ใบหน้ากระจ่างปานหยกเสลา อีกฝ่ายมองทักมันอย่างสงบ “อาวุโสหลิวฮ่วน”


 


“ท่านเจ้าสำนัก…ไฉนท่านมาถึงที่นี่ได้”


 


เห็นหน้าเจียงเว่ยโผล่มาแบบนี้ หลิวฮ่วนอดไม่ได้ที่จะตะลึง


 


ต้องทราบด้วยว่าเจียงเว่ยไม่เคยมาเหยียบคฤหาสน์มันมาก่อนเลย


 


ถึงแม้มันจะเป็นผู้อาวุโสฝ่ายใน แต่มันก็มีศักดิ์ฐานะไม่ได้สูงส่งอะไรในบรรดาผู้อาวุโส มันไม่แม้แต่จะเคยเข้าร่วมประชุมสำนักเพื่อออกเสียงตัดสินใจเรื่องราวอะไรของสำนักด้วยซ้ำ กระทั่งหน้าเจ้าสำนักมันยังแทบไม่ได้เห็น


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจ้าสำนักมาหามันถึงบ้านเลย!


 


แม้จะตกตะลึง แต่หลิวฮ่วนก็เร่งกล่าวต้อนรับเจ้าสำนักด้วยรอยยิ้ม


 


ตอนนี้หลิวฮ่วนก้มหน้างุดๆ มองไปคล้ายสุนัขเชื่องๆ


 


เรียกว่าหลิวฮ่วนตอนนี้แทบจะเป็นคนละคนกับหลิวฮ่วนที่เชิดหน้าถือดียามไปบุกเมืองชงซันและเดินอวดบารมีที่เมืองหานเหอ


 


แตกต่างราวกับสวรรค์และโลก


 


ในห้องโถงรับรอง หลิวฮ่วนต้อนรับเจียงเว่ยอย่างดี ควักใบชาล้ำค่าที่มีเหลือน้อยนิดออกมาชงให้เจ้าสำนักดื่ม


 


เจียงเว่ยเองก็ไม่เกรงใจอะไร นั่งลงบนโต๊ะ ลิ้มรสชาทันที


 


“ท่านเจ้าสำนัก ท่านมาหาข้าเช่นนี้มีอันใดให้ข้าหลิวฮ่วนรับใช้หรือ?”


 


หลิวฮ่วนที่รอเจ้าสำนักจิบชาเสร็จ ก็กล่าวถามออกมา


 


เจ้าสำนักมาหามันถึงที่แบบนี้แม้ในใจจะลอบปลื้มปิติ แต่มันก็รู้ดีว่าท่าทางเรื่องราวจะไม่ได้ราบรื่นดั่งตาเห็น…


 


เจ้าสำนักมาหามันแบบนี้ สมควรมีเรื่องใดผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว!


 


กระทั่งอาจจะไม่ได้มาสนทนาด้วยดี!


 


แว่บแรกหลิวฮ่วนพลันฉุกคิดถึงต้วนหลิงเทียน และเป็นไปได้สูงที่ป๋ายลี่หงจะไปกดดันเจ้าสำนักให้มาเล่นงานมัน!


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใจหลิวฮ่วนก็สั่นสะท้านทันที


 


มันกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แล้วหลังจากนี้มันจะทำอย่างไรดี?


 


ออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง?


 


ทว่ามันหลิวฮ่วนอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงมาชั่วชีวิต ทุกสิ่งอย่างของมันอยู่ที่นี่ แล้วจะให้มันออกไปตั้งต้นชีวิตใหม่นอกสำนักได้อย่างไร? ไหนเลยมันจะเต็มใจ!


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกโชคดีมาตลอด ที่ป๋ายลี่หงไม่เคยลงมือแบบนี้กับมัน


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ป๋ายลี่หงก็แค่มากล่าววาจากดดันมัน และมาเฝ้าจับตาดูมันไว้ไม่ได้ลงมือรุนแรงอะไร


 


‘น่าจะมาเพราะเรื่องอื่น’


 


หลิวฮ่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลอบปลอบใจตัวเอง


 


“ทันทีที่อาวุโสจ้าวเฟิงออกจากการปิดด่าน เจ้าก็ไปหาทันทีเลยใช่หรือไม่?”


 


เจียงเว่ยมองหลิวฮ่วนค่อยกล่าวถามเสียงเรียบ


 


“ใช่”


 


แม้มันจะไม่ทราบว่าไฉนเจียงเว่ยกล่าวถามเรื่องนี้ แต่มันก็พยักหน้าตอบไปตามตรง


 


นี่ไม่ใช่ความลับอะไร


 


มีคนมากมายในคฤหาสน์ของจ้าวเฟิงที่รู้ว่ามันไปเยือน


 


‘ไม่ใช่ว่าจ้าวเฟิงออกไปตามฆ่าต้วนหลิงเทียนหรือไร? ไฉนจ้าวสำนักมาถามข้าเรื่องนี้?’


 


หลิวฮ่วนรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากลขึ้นมาแล้ว


 


“แล้วเจ้ารู้เรื่องที่อาวุโสจ้าวเฟิงออกไปข้างนอกเมื่อวานหรือไม่?”


 


เจียงเว่ยกล่าวถามออกมาอีกรอบ


 


“ข้ามิรู้”


 


หลิวฮ่วนส่ายหน้าไปมา แววตาเผยความไม่เข้าใจ “ท่านเจ้าสำนัก มิทราบว่านี่มันเรื่องอะไรกันหรือ?”


 


มันย่อมรู้ดีว่าจ้าวเฟิงออกไปเมื่อวาน อีกทั้งมันยังเป็นคนมายุยงอีกฝ่ายโดยตรง


 


แต่จะให้มันยอมรับได้อย่างไรว่ามันรู้?


 


สุดท้ายแล้วเรื่องที่มันคิดยืมมีดฆ่าคนให้จ้าวเฟิงฆ่าต้วนหลิงเทียน ก็ไม่อาจเผยในที่แจ้งได้


 


“อาวุโสจ้าวเฟิงตายแล้ว”


 


เจียงเหว่ยมองสบตาหลิวฮ่วนค่อยกล่าวสืบต่อเสียงเรียบ


 


อาวุโสจ้าวเฟิงตายแล้ว!?


 


วาจานี้ของเจียงเว่ยยามดังเข้าหูหลิวฮ่วน ประหนึ่งฟ้าผ่าดังเปรี๊ยงก็ไม่ปาน ทำให้มันตะลึงลานไปด้วยความตกใจทันที


 


“อาวุโสจ้าวเฟิง…ตายแล้ว?”


 


ทันทีที่หลิวฮ่วนคืนสติ สีหน้ามันก็ซีดลง แววตาล่อกแล่กเต็มไปด้วยความสับสนไม่เข้าใจ


 


แน่นอนว่านี่เป็นท่าทีตอบสนองตามสัญชาตญาณของหลิวฮ่วน


 


ทว่าพอเจียงเว่ยได้เห็นท่าทีสับสนตื่นตระหนกของหลิวฮ่วน มันก็คิดว่าหลิวฮ่วนไม่รู้เรื่องราวมาก่อนแน่ๆ


 


ทั้งยังคิดว่าหลิวอ่วนตกใจกับการตายของจ้าวเฟิง เพราะท่าทางอีกฝ่ายนั้นแลดูตกใจไม่เบา ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแม้แต่น้อย


 


จ้าวเฟิงตายแล้ว!


 


มันรู้ดีว่าจ้าวเฟิงออกไปทำอะไร


 


ในสายตาของมันป่านนี้จ้าวเฟิงน่าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้แล้ว และขจัดหนามยอกออกของมันได้เสียที


 


มันยังเฝ้ารอให้จ้าวเฟิงกลับมา และคิดเลี้ยงฉลองกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!


 


ทว่าไม่ทันที่จ้าวเฟิงจะกลับมา เจ้าสำนักกลับมาบอกข่าวอันน่าตื่นตระหนกกับมัน


 


‘จ้าวเฟิงออกไปฆ่าต้วนหลิงเทียน…ป๋ายลี่หงก็มาจับตาดูข้าไว้ เช่นนั้นคนที่ฆ่าจ้าวเฟิงย่อมไม่ใช่ป๋ายลี่หง แล้วจ้าวเฟิงถูใครฆ่ากัน?’


 


คิดถึงเรื่องนี้หลิวฮ่วนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว


 


แน่นอนมันไม่เคยคิดเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะฆ่าจ้าวเฟิงได้เลย


 


ถึงแม้พรสวรรค์ต้วนหลิงเทียนจะน่ากลัว และบรรลุถึงขอบเขตสู่เซียนได้ในเวลาอันสั้น


 


ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบมันก็เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นแค่ ‘เหลือบไร’


 


หากไม่ใช่เพราะมีป๋ายลี่หงคุ้มกะลาหัว ต้วนหลิงเทียนคงตกตายไปเนิ่นนานแล้ว ถึงไม่ใช่เพราะฝีมือมันแต่ก็ต้องถูกมือสังหารของตลาดมืดหยินชานฆ่า!


 


‘จ้าวเฟิงตายแล้ว…หรือมันไปทำให้ยอดฝีมือระหว่างทางขุ่นเคืองจนถูกฆ่ากัน? ไม่รู้ว่ามันฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ก่อนตายหรือไม่’


 


ตอนนี้หลิวฮ่วนไม่ได้สนใจความตายของจ้าวเฟิงเลย


 


เพราะจ้าวเฟิงจะตายก็ตายไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมัน


 


ที่มันสนมีแต่เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนยังอยู่หรือตายแล้วกันแน่


 


หากต้วนหลิงเทียนยังอยู่ มันก็ยากจะมีคืนวันอันดี ไม่อาจกินอิ่มนอนหลับ!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบหลิวฮ่วนไม่เคยสงสัยว่าจ้าวเฟิงตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนหรือไม่ กระทั่งไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะมียอดฝีมือคุ้มครอง และยอดฝีมือคนนั้นก็ได้ลงมือฆ่าจ้าวเฟิงเลย


 


ในสายตาของมันต้วนหลิงเทียนก็เป็นแค่ ‘เด็กบ้านนอก’


 


หากไม่ใช่เด็กบ้านนอก ไหนเลยจะไปยอมรับนับถือชนชั้นสวะอย่างฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซันเป็นครู?


 


เด็กบ้านนอกพรรค์นั้น จะไปมียอดฝีมือลอบคุ้มครองได้อย่างไร?


 


แน่นอนว่ามันก็เคยคิดว่าอาจเป็นป๋ายลี่หงส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันต้วนหลิงเทียน ทว่านั่นก็เป็นไปไม่ได้


 


หากป๋ายลี่หงส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันต้วนหลิงเทียนถึงขั้นมีพลังมากพอฆ่าจ้าวเฟิงได้จริง แล้วไฉนป๋ายลี่หงต้องมาเฝ้าจับตาดูมันไว้ไม่ให้ออกไปลอบฆ่าต้วนหลิงเทียนแบบนี้?


 


ดังนั้นมันจึงตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ทิ้งไป


 


ด้วยเหตุนี้ก็เหลือเพียงความเป็นไปได้ประการเดียว จ้าวเฟิงถูกยอดฝีมือที่ไม่เกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนสังหาร


 


“เรื่องนี้เจ้ารู้แล้วก็เงียบไว้ อย่าได้แพร่งพรายออกไป”


 


เจียงเว่ยมองหลิวฮ่วนค่อยกำชับเสียงเรียบ ก่อนที่ร่างจะอันตรธานหายไปทันทีหลังได้รับคำตอบรับจากหลิวฮ่วน


 


ขณะเดียวกันหลิวฮ่วนก็ลอบเช็ดเหงื่ออย่างตื่นตระหนก


 


“หวังว่าจ้าวเฟิงจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ก่อนที่จะถูกผู้ใดไม่รู้ฆ่าตาย…หาไม่แล้วข้าก็ต้องหาโอกาสฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองอีกครั้ง”


 


หลิวฮ่วนบ่นพึมพำ


 


‘อย่างไรเสียจ้าวเฟิงนั่นนับว่าโชคร้ายนัก ปิดด่านบ่มเพาะมานานปี แต่กลับถูกฆ่าทันทีที่ออกมา…ยังดีนักที่ข้าไม่ได้ลงมือเอง หาไม่แล้วคนที่ตายอาจเป็นข้า!’


 


คิดถึงเรื่องนี้หลิวฮ่วนอดไม่ได้ที่จะเสียวสันหลัง..

 

 

 


ตอนที่ 1531

 

สามปีผ่านไป ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน


 


เนื่องจากไร้เบาะแสใดๆจากหลิวฮ่วน การตายของจ้าวเฟิงจึงกลับกลายเป็นปริศนาอันลึกลับยากคลี่คลายของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


แต่แน่นอนว่ามีน้อยคนนักที่รู้ว่าจ้าวเฟิงตายแล้ว


 


กระทั่งป๋ายลี่หงยังไม่รู้เรื่องใดๆด้วยซ้ำ


 


อีกด้านหนึ่งต้วนหลิงเทียนที่เดินทางด้วยความเร็วสูง ในที่สุดเขาก็แลเห็นจุดดำๆเบื้องหน้าไกลตา


 


ด้วยความเร็วอันสูงล้ำ จุดดำๆดังกล่าวพลันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นเกาะอันมีม่านหมอกปกคลุมบางๆ ยากจะแลเห็นเรื่องราวบนเกาะ


 


“เกาะป้านเยว่!”


 


เป็นเวลา 3 ปีแล้วตั้งแต่ที่เขาออกเดินทางจากเกาะป้านเยว่


 


อารมณ์คิดถึงเอ่อล้นขึ้นมาทันใด!


 


ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกก็คือคิดถึงนัก


 


อย่างไรก็ตามพอนึกถึงใบหน้าคู่หมั้นทั้งสองและเด็กน้อยในครรภ์พวกนาง ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาทันที


 


“เค่อเอ๋อ เสี่ยวเฟยเอ๋อ…ข้ากลับมาแล้ว!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างด้านนอกเกาะป้านเยว่พลันกล่าวรำพันออกมา


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาเหินร่างไปหยุดลอยเหนือน่านฟ้าของเกาะป้านเยว่ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติด้านหลังเมฆหมอกทันที


 


“เกิดอะไรขึ้นกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่เขาสัมผัสได้ว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเกาะป้านเยว่เป็นแน่!


 


ร่างต้วนหลิงเทียนเร่งดิ่งลงฝ่าเมฆหมอกลงมา จนแลเห็นเกาะป้านเยว่ชัดถนัดตา


 


ปราดมองเพียงวูบเดียวหน้าเขาก็ซีดลงอย่างหนัก


 


ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าประหนึ่งค้อนใหญ่ทุบฟาดลงกลางใจ เลือดลมทั่วร่างกลับกลายเป็นปั่นป่วน พักใหญ่กว่าจะสงบลงได้


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นอะไร?


 


เกาะป้านเยว่ตอนนี้…แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพัก!


 


เกาะป้านเยว่แต่เดิมนั้นเขียวขจีไปด้วยมวลหมู่แมกไม้ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ประหนึ่งสวรรค์บนดิน


 


ทว่ายามนี้ตัวเกาะเต็มไปด้วยหลุมบ่อกับคราบเลือดแห้งกรังคล้ายมีภัยพิบัติ!


 


ไม่เพียงเท่านั้นอาคารของนิกายหลิงเทียนที่เคยตั้งตระหง่านอย่างโอ่อ่าบนเกาะ ตอนนี้ก็พังพินาศหมดสิ้น! ยังมีซากศพกระจัดกระจายกองระเนระนาดเกลื่อนพื้น จากสายตาซากศพนั้นเริ่มย่อยสลายแล้ว เผยให้เห็นว่าตายมาเนิ่นนาน!


 


“นี่มันอะไรกัน! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!!”


 


ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงพรึงเพริด ตอนนี้ใจเขาหวิวๆร่างกายรู้สึกล่องลอย เสมือนมีใครมาควักใจออกไปจากกลางอก ลูกตายังเปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ


 


“ใคร? ใครหน้าไหนมันทำแบบนี้!!”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนแทบจะเสียสติไปให้ได้


 


ที่นี่ไม่เพียงแต่มีคู่หมั้นทั้งสองที่เขาใส่ใจมากที่สุด แต่ยังมีสหายสนิทและนิกายหลิงเทียนของเขา


 


อนิจจาบัดนี้พินาศสิ้นแล้ว…


 


ซากปรักหักพังนั่นยังเต็มไปด้วยซากศพ…


 


เขาไม่กล้าคิดเรื่องนี้สืบไป


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัว ก่อนที่จะโรยตัวลงมายังซากปรักหักพัง บริเวณส่วนที่พักระดับสูงของนิกาย


 


ใจเขารู้ดีว่าตอนนี้แม้ไม่อยากจะตรวจสอบแค่ไหน ก็จำต้องตรวจสอบ!


 


เขาต้องยืนยันให้ได้ว่าคู่หมั้นทั้งสองของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่! ยังอยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!!


 


ยังต้องยืนยันว่าสหายของเขาและคนที่เป็นดั่งครอบครัวเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่


 


“เจ้านาย!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนโรยตัวมาเจียนถึงซากปรักหักพังส่วนที่พักชนชั้นสูงของนิกายด้วยหัวใจบีบคั้นที่แทบจะหยุดเต้นลง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนทันที


 


และเสียงที่ดังเข้าหูนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็เสมือนหยาดน้ำฟ้าที่ร่วงหล่นลงมายามแล้งไม่มีผิด!


 


“โฉดคลุมทอง!?”


 


ได้ยินเสียงนี้ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของโฉดคลุมทอง


 


โฉดคลุมทองนั้นก็คือ สุนัขนิรยขนทอง ที่เขารับมาอยู่ใต้อาณัติ


 


ครู่ต่อมาร่างโฉดคลุมทองก็ออกมาจากที่ซ่อนข้างเศษซากปรักหักพัง รีบพุ่งมาหาต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแดงฉาน


 


“โฉดคลุมทอง…นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?”


 


เสียงต้วนหลิงเทียนสั่นเครือ ตอนนี้เขาแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้


 


“เจ้านาย ท่านมากับข้าก่อน”


 


หลังจากกล่าว โฉดคลุมทองก็เหินร่างนำต้วนหลิงเทียนไปยังส่วนตะวันออกของเกาะป้านเยว่ทันที ไม่นานก็บรรลุถึงเขาลูกหนึ่งในส่วนตะวันออก ก่อนที่จะเข้าไปถึงหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง


 


ในหุบเขามีบ้านไม้ปลูกไว้หลายหลัง


 


มีร่าง 2 ร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่งในนั้น


 


เฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง!


 


เมื่อเห็นร่างทั้งสองต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อย เขาเป็นคนคิดพาทั้งคู่มายังเกาะป้านเยว่ เขาคงยากจะอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิตหากทั้งคู่เกิดเรื่องอะไรร้ายๆขึ้น!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟิ่งหวู่เต้า


 


หากเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งหวู่เต้า วันหน้าพอเขาพบเฟิ่งเทียนหวู่ เขาจะกล่าวบอกนางอย่างไร…


 


“ลุงเฟิ่ง! ครู!”


 


ดั่งประกายแสง ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปจากด้านข้างของโฉดคลุมทอง พริบตาก็ไปปรากฏเบื้องหน้าเฟิ่งหวู่เต้าและซื่อหม่าฉางฟงทันที


 


ด้วยความเร็วในตอนนี้ของต้วนหลิงเทียน ทั้งคู่ย่อมไม่อาจตอบสนองใดได้ทัน พอได้ยินเสียงเรียกพวกมันก็หันมองมาด้วยท่าทางตื่นตัว ตั้งท่าระแวดระวังราวกับผู้พิทักษ์


 


และทันทีที่เห็นดวงตาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยมวลอารมณ์ยากจะกล่าว


 


“เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”


 


เฟิ่งหวู่เต้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่ามันจะอยู่มาครึ่งชีวิต แต่มันก็ยากจะระงับอารมณ์ตัวเองได้ แม้จะพึ่งผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาก็ตาม


 


แม้ซื่อหม่าฉางฟงจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่จากสีหน้าแววตาก็บอกให้รู้ว่าอารมณ์อีกฝ่ายไม่ได้สงบเหมือนท่าทาง


 


“นายน้อย!”


 


ขณะเดียวกันนั้นเองชายวัยกลางคนร่างใหญ่แลดูเข้มแข็งก็ก้าวเดินออกมาจากบ้านไม้ พอเห็นต้วนหลิงเทียนใบหน้าของมันก็เผยความชื่นมื่นยินดี ร้องทักด้วยน้ำเสียงดีใจ


 


“ฉงเฉวียน”


 


เมื่อเห็นชายวัยกลางคนร่างกายกำยำเดินออกมาจากบ้านไม้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ส่องสว่างขึ้นมาทันใด ความอึดอึดเสมือนหินทับอกค่อยๆคลายลง


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้ากลับมาแล้วเหรอ?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนยังเห็นคู่แฝดหนานกงค่อยๆก้าวออกมาจากบ้าน เฉินเฉ่าช่วยเองก็ยังมีชีวิตอยู่


 


จังหวะนี้หินก้อนใหญ่ที่ทับใจของต้วนหลิงเทียน เสมือนค่อยๆหลุดร่วงออกไปทีละก้อนๆ


 


ต้วนหลิงเทียนเร่งจับจ้องไปยังประตูบ้านไม้หลังอื่นเขม็ง เพราะยังเหลือคนสำคัญที่สุดสำหรับเขาอีก 2 คนที่ยังไม่เดินออกมา


 


ขณะมองไปในใจก็หวั่นๆไม่น้อย


 


แล้วเค่อเอ๋อกับลี่เฟยเล่า?


 


เสี่ยวเฮย เสียวไป๋ เสี่ยวจินเล่า ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?


 


ในที่สุดประตูบ้านไม้หลังอื่นก็เปิดออก ร่างหนึ่งค่อยๆเดินออกมา


 


“ท่านประมุข”


 


เป็นสตรีนางหนึ่ง และทันทีที่นางเห็นต้วนหลิงเทียน ลูกตานางก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน


 


“หลัวผิง”


 


สตรีที่พึ่งออกมานี้คือรองประมุขนิกายหลิงเทียน หลัวผิง


 


“ฮูหยินประมุข ท่านประมุขกลับมาแล้ว”


 


เมื่อเห็นหลัวผิงเดินไปเรียกหาคนในบ้านไม้หลังข้างๆ ใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเต้นรัวขึ้นมาทันที


 


เพราะคนที่หลัวผิงเรียกหาว่าฮูหยินประมุขได้มีเพียง 2 คนเท่านั้น ก็คือเค่อเอ๋อกับลี่เฟย!


 


ครู่ต่อมาประตูบ้านไม้หลังดังกล่าวก็เปิดออก ร่างอรชรหนึ่งเหินออกมาทันใด กลิ่นหอมจรุงลอยมาตามลม คนโผเข้าไปหาอ้อมกอดต้วนหลิงเทียน


 


ไร้ซึ่งความลังเลอันใด ต้วนหลิงเทียนอ้าแขนออกรอรับร่างงามที่เหินเข้ามาทันที


 


“เค่อเอ๋อ ข้ามาช้าไป…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน


 


“นายน้อย”


 


โฉมงามในอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนนี้ เป็นเค่อเอ๋อ หนึ่งในคู่หมั้นเขาเอง


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ในที่สุดร่างงามที่สั่นเทิ้มเบาๆในอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนก็กลับมาเป็นปกติ นางซุกอกต้วนหลิงเทียนไม่ห่าง สุดท้ายกลับหลับลงไปคาอ้อมกอดต้วนหลิงเทียนเสียอย่างนั้น


 


“อะ…อะไรกัน?”


 


ตอนนี้เองเหนือขึ้นไปบนฟ้าสูง วิหกสีม่วงที่เกาะไหลสตรีชุดดำถึงกับต้องเบิกตากว้างกล่าวออกด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเค่อเอ๋อที่อยู่ในอ้อมกอดต้วนหลิงเทียน “พะ…พี่หญิง…นางเหมือนท่านยิ่งนัก! นางเป็นคนที่ท่านกำลังตามหาอยู่หรือ?”


 


“ในที่สุดข้าก็ได้พบนางแล้ว”


 


ชือเม่ยในชุดคลุมลมดำกล่าวพึมพำ น้ำเสียงนางไร้ทุกข์สุข เรียกว่าไม่มีอารมณ์อันใด


 


“ท่านประมุข ฮูหยินประมุขมิได้นอนหลับดีๆมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ที่ท่านจากไป”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองเค่อเอ๋อที่หลับไปด้วยสายตาเป็นกังวล หลัวผิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอธิบายออกมา


 


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่กอดเค่อเอ๋ออยู่เมื่อเห็นนางหลับไปแล้วก็ค่อยๆอุ้มนางให้นอนดีๆ ก่อนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงหาจะหายไปกลายเป็นจริงจัง กล่าวถามออกมาน้ำเสียงเคร่งขรึม


 


ตอนที่เขาจากเกาะป้านเยว่ไปเมื่อ 3 ปีก่อน เกาะยังสงบเรียบร้อยดั่งแดนสวรรค์


 


3 ปีผ่านไป พอเขากลับมาอีกครั้ง เกาะกลับกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว


 


สามปีผ่านไป ทุกสิ่งแปรเปลี่ยน…


 


“ให้ข้าเล่าเถอะนายน้อย”


 


ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากันด้วยไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี ฉงเฉวียนก็ก้าวออกมา


 


จากนั้นด้วยการเล่าเรื่องทั้งหมดของฉงเฉวียน ต้วนหลิงเทียนก็รับทราบว่าที่แท้มันเกิดอะไรขึ้น


 


เมื่อเกือบปีที่แล้วมีคนในชุดคลุมสีทองที่เรียกหาตัวเองว่า ‘ตี้จิ่ว’ มาถึงเกาะป้านเยว่ พอมันมาถึงก็ไม่พูดไม่จาลงมือเข่นฆ่ายอดฝีมือบนเกาะป้านเยว่ทนัที กระทั่งยังฆ่า 2 ใน 3 รองจ้าวเกาะที่ขึ้นมาไถ่ถามในพริบตา!


 


หลังจากนั้นตี้จิ่วที่คล้ายสงบอารมณ์ลงได้หลังฆ่าคน ก็หันมาถามว่าใครเป็นคนฆ่าจ้าวเกาะป้านเยว่ ตี้ยง


 


ทุกคนย่อมไม่รู้เรื่องนี้เป็นธรรมดา


 


ไม่ใช่ว่าจ้าวเกาะตี้ยงเดินทางออกไปลำพังหรือไร? ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบเกาะป้านเยว่ให้ต้วนหลิงเทียน ประมุขของนิกายหลิงเทียนดูแลอีกด้วย


 


เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่รู้ความ ตี้จิ่วพาลอารมณ์เสียขึ้นมาอีกรอบ มันเริ่มลงมือเข่นฆ่าผู้คนราวผักปลา ระบายความเกรี้ยวกราดไม่รู้จบ!


 


เวลานั้นเกาะป้านเยว่เสมือนเผชิญหน้ากับวันโลกาวินาศก็ไม่ปาน!


 


อีกทั้งด้วยโทสะที่ล้นใจ ยิ่งมาตี้จิ่วผู้นั้นยิ่งคล้ายเสียสติ สุดท้ายคนก็กลับกลายเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ เริ่มต้นสังหารหมู่ทุกชีวิตบนเกาะป้านเยว่! ผู้คนบนเกาะป้านเยว่เริ่มหนีตายกันจ้าละหวั่น!!


 


และกลุ่มคนรู้จักของต้วนหลิงเทียน ก็อาศัยจังหวะชุลมุนนั้นหลบหนีออกจากเกาะ


 


“แล้วเฟยเอ๋อเล่า? นอกจากนั้นพวกเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ เสี่ยวจินล่ะ ไปไหนกันหมดแล้ว?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนแดงรื้นขึ้นมาด้วยความกังวล


 


“ในช่วงชุลมุน ข้ากับพี่หญิงเฟยเอ๋อจำต้องแยกจากกัน ตอนนั้นพวกเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋แล้วก็เสี่ยวจินอยู่กับพี่หญิงเฟยเอ๋อ”


 


ไม่ทราบเมื่อไหร่ แต่เค่อเอ๋อที่ถูกปลุกขึ้นเพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านของต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวออกมาด้วยความเสียใจ


 


“ตอนที่แยกกัน ข้าเห็นว่าเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 พานางแหวกฝูงชนพุ่งหายไป…หลังจากที่เหตุการณ์สงบแล้ว พวกเราก็ย้อนกลับมา และมิได้พบเจอศพไหนที่คล้ายพวกนาง เช่นนั้นพวกเราจึงมั่นใจได้ 9 ใน 10 ส่วนว่าพวกนางยังปลอดภัยดี”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าว


 


9 ใน 10 ส่วนยังมีชีวิตอยู่?


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อยเมื่อได้ฟังคำของเฟิ่งหวู่เต้า


 


เพียงแค่มีชีวิตอยู่ก็พอ


 


“แล้วคนอื่นๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“นอกจากคนที่มิได้อยู่บนเกาะป้านเยว่แล้ว ล้วนตายตกหมดสิ้น”


 


ลูกตาหลัวผิงเผยประกายหมองหม่น กล่าวออกมาด้วยความทอดถอนใจ “จางซันหลี่ซื่อตายแล้ว…กระทั่งรองจ้าวเกาะทั้ง 3 ก็ตกตายหมด”


 


ตายหมดแล้ว!


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำของหลัวผิง พลันปวดใจขึ้นมาทันใด


 


“ตี้จิ่ว…มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ…”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนเย็นเยียบลงทันใด ยังเต็มไปด้วยจิตฆ่าฟัน “ตี้จิ่วแห่งเผ่าพันธุ์มังกร ข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำเรื่องครั้งนี้ไว้ไม่มีลืม สักวันเจ้าต้องชดใช้!!”

 

 

 


ตอนที่ 1532

 

จะอยู่หรือตาย


 


“วาจาที่เขื่องโขโอหังนัก!”


 


แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ เสียงหนึ่งพลันดังกังวาลทั่วฟ้ามาแต่ไกล


 


เสียงนี้ทำให้เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆหน้าซีดลงทันที


 


หน้าพวกมันไม่ได้เปลี่ยนสีเพราะตกใจที่เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน แต่สำหรับพวกมันแล้วเสียงนี้ไม่ได้แปลกหูแต่อย่างไร!


 


เหตุผลที่เกาะป้านเยว่ต้องกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ล้วนเป็นเพราะเจ้าของเสียงนั่น!


 


“ข้ายังสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าไฉนคนพวกนี้ถึงได้ย้อนกลับมาทั้งๆที่หนีไปได้แล้ว ที่แท้พวกมันกำลังรอเจ้าอยู่นี่เอง…เช่นนั้นเจ้าคงเป็นจ้าวเกาะป้านเยว่คนใหม่ต้วนหลิงเทียน ประมุขนิกายหลิงเทียนอันใดนั่นใช่หรือไม่?”


 


เสียงก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้ง ปรากฏร่างหนึ่งค่อยๆโรยตัวลงมาจากฟ้า ก่อนหยุดลงเหนือหุบเขา


 


ร่างดังกล่าวเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีทองอร่าม สภาวะมันประหนึ่งหอคอยเหล็กตระหง่านค้ำฟ้า เหลือบมองลงมาสำรวจร่างต้วนหลิงเทียนด้วยความไม่แยแส


 


ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันมหาศาลขุมหนึ่งกวาดผ่านร่างเขา!


 


วินาทีนี้เขารู้สึกเสมือนยืนเปลือยเปล่าต่อหน้าอีกฝ่าย ยากที่จะเก็บซ่อนความลับอันใดไว้ได้


 


“พลังฝีมือเจ้านับว่าเข้มแข็งเหนือพวกนี้จริงๆ แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังเป็นแค่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง อาศัยเจ้าเพียงคนเดียวคิดหรือว่าจะทำอันใดข้ากับเผ่าพันธุ์มังกรได้?”


 


ชายกลางคนในชุดคลุมสีทองไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ ตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ หลังจากที่มันตรวจสอบต้วนหลิงเทียนเสร็จ มันก็มองกล่าวเย้ยต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าดูแคลน ทั้งขบขันปานพึ่งได้ยินเรื่องชวนหัวที่สุดในโลก


 


“เจ้าคือตี้จิ่ว?”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันใด เขาย่อมตระหนักถึงตัวตนผู้มาใหม่ได้ในทันที


 


และอาศัยความจริงที่อีกฝ่ายสามารถมองพลังฝึกปรือเขาออก มันต้องบรรลุขอบเขตเซียนขึ้นไป


 


ยิ่งไปกว่านั้นดูท่ามันจะเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บที่โตเต็มวัยแล้ว!


 


“มิผิด! ข้าคือตี้จิ่ว คนที่ทำลายเกาะป้านเยว่แห่งนี้! มิใช่ว่าเจ้าคับแค้นข้าหรือไร? ตอนนี้ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วไง อยากรู้นักว่าเจ้าจะมีปัญญาทำอันใดข้าได้!”


 


ตี้จิ่ว มองกล่าวหยามหมิ่นต้วนหลิงเทียน ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความดูถูก


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนหม่นหมองลงทันใด วาจาตี้จิ่วยังทำให้เขาอับอายจนอยากชำแรกพสุธาหลบหนีไปเสีย


 


ที่เขากล่าวว่าจะไปตามหาตี้จิ่วและเผ่าพันธุ์มังกรเพื่อให้อีกฝ่ายชดใช้นั้นไม่ผิด แต่นั่นไม่ใช่ตอนนี้!


 


เขาไม่ได้หยิ่งยะโสถือดีจนคิดว่าตอนนี้เขามีปัญญาทำอะไรเผ่าพันธุ์มังกรได้!


 


“หืม!?”


 


ทันใดนั้นสายตาของตี้จิ่วที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไป มันเร่งกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม “ต้วนหลิงเทียน ไฉนในร่างเจ้ากลับมีกลิ่นอายของลูกชายข้าได้!!”


 


“ลูกชายของเจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้ง


 


“เหอะ! อย่าได้แสร้งเป็นตัวโง่งม! ลูกชายของข้างคือตี้ยง อดีตจ้าวเกาะป้านเยว่!”


 


ตี้จิ่วพ่นลม ค่อยกล่าวออกด้วยเสียงเย็นเยียบ


 


ได้ยินวาจานี้ของตี้จิ่ว ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจอะไรๆได้หลายอย่างทันที


 


ที่แท้ตี้จิ่วเป็นบิดาของตี้ยง!


 


สำหรับเรื่องที่ตี้จิ่วล่วงรู้ว่าบุตรชายตายตก ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก…อีกฝ่ายไม่พ้นมีไข่มุกวิญญาณของตี้ยงเก็บไว้!


 


ทันทีที่ตี้ยงตาย ตี้จิ่วจึงรับทราบได้ทันที


 


“ที่แท้เจ้าเป็นบิดาของตี้ยงนี่เอง”


 


ตอนนี้เองใบหน้าต้วนหลิงเทียนพลันหวนคืนสู่ความสงบกล่าวออกเสียงเรียบ “ตอนนั้นตี้ยงบอกข้าว่าจะเดินทางออกจากเกาะป้านเยว่ไปยังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ดังนั้นมันจึงฝากให้ข้าดูแลเกาะป้านเยว่ อีกทั้งยังมอบแก่นแท้โลหิตให้ข้าไว้เป็นการตอบแทน”


 


“นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าสัมผัสกลิ่นอายของมันได้จากตัวข้า”


 


หลังจากกล่าวจบสีหน้าต้วนหลิงเทียนยังนิ่งเฉย ไม่เห็นความกังวลใดๆแม้แต่น้อย


 


“แก่นแท้โลหิตของลูกชายข้าหรือ…มิน่าแปลกใจเลย มิน่าแปลกใจเลยจริงๆ”


 


ตี้ยงหันมาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ในแววตากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าบอกจากปากของผู้คนอื่นๆบนเกาะมาพอแล้ว! หากไม่ใช่เพราะข้ารู้แต่แรกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกชายข้าจะเดินทางออกจากเกาะป้านเยว่ไปยังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า! พวกเจ้าอาจจะหลอกข้าได้สำเร็จ!!”


 


กล่าวถึงตรงนี้ ตี้ยงก็ยิ้มเยาะออกมา


 


“เป็นไปไม่ได้? ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ


 


“เฮอะ! เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้ แต่ตอนนั้นข้าให้ตี้ยงสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าแล้ว ว่าหากด่านพลังของมันยังไม่บรรลุขอบเขตเซียน มันจักมิได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากเกาะป้านเยว่!”


 


สีหน้าของตี้จิ่วยามกล่าวยังเผยอาการคล้าย ‘ข้ารู้ไต๋เจ้าแล้ว’


 


ได้ยินวาจานี้ของตี้ยง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะวุ่นวายในใจ


 


ตี้ยงมันกล่าวคำสาบานอะไรแบบนี้ไว้ด้วยงั้นเหรอ?


 


และต้วนหลิงเทียนก็สามารถเดาได้อีกด้วย ว่าไฉนตี้ยงถึงสามารถออกจากเกาะป้านเยว่ได้อย่างไรเรื่องราว หลังจากที่มันถูกหวังป้าครอบงำร่างกาย


 


นั่นเพราะ ดวงจิต ของตี้ยงได้เปลี่ยนไปแล้ว


 


อัสนีสวรรค์นั้นตอบรับต่อจิตวิญญาณของผู้สาบาน ไม่ใช่ร่างกาย!


 


“ถึงแม้ข้าจักมิรู้ว่าเจ้าไปเอาแก่นแท้โลหิตของบุตรชายข้ามาได้อย่างไร แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจนักว่าเจ้าต้องมีส่วนรู้เห็นต่อการตายของบุตรชายข้าแน่!!”


 


ยิ่งมาสายตาที่ตี้จิ่วใช้มองต้วนหลิงเทียนยิ่งเย็นชา ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนตกลงไปจมอยู่ในหล่มน้ำแข็ง


 


“พูดมา! ลูกชายข้าตายได้อย่างไร? ตราบใดที่เจ้าพูดความจริงและสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าเจ้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของบุตรชายข้า…บางทีข้าอาจจะละเว้นผู้อื่นในที่นี้นอกจากเจ้า!”


 


ขณะกล่าวสายตาตี้ยงยังเหลือบไปมองเค่อเอ๋อที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียน


 


ครู่ต่อมามันก็ว่ายตามองเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆเช่นกัน


 


“ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องไปสนใจมัน! ไม่ต้องสนเรื่องที่มันกล่าวว่าจะละเว้นพวกเราเป็นความจริงหรือไม่! แม้ข้าอาจโง่งมไม่รู้อะไรมาก แต่ที่ข้ารู้คือหากปล่อยเจ้าให้ตายคนเดียว ชั่วชีวิตข้าคงไม่อาจอยู่ได้อย่างสบายใจอีก!”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เฉินเฉ่าช่วยพลันชักกระบี่ 3 ฉื่อออกจาด้านหลังมาคอนไว้ ก่อนที่จะก้าวมายืนหยัดข้างๆต้วนหลิงเทียน


 


“เจ้าหนูหลิงเทียน แม้ไม่มีผู้ใดไม่กลัวตาย แต่ข้าเฟิ่งหวู่เต้ายินดีติดตามเจ้าไปโลกหน้า…”


 


เฟิ่งหวู่เต้าพลันก้าวออกมายืนข้างต้วนหลิงเทียนพร้อมประกาศเจตนารมย์เช่นกัน


 


ซื่อหม่าฉางฟงไม่กล่าวคำใด แต่การกระทำกลับบอกชัด แววตายังเด็ดเดี่ยวเผยให้เห็นความมุ่งมั่นไม่ต่างใดจากเฟิ่งหวู่เต้า


 


จากนั้นไม่ว่าจะเป็นฉงเฉวียน โฉดคลุมทอง หรือคู่แฝดหนานกง ก็ออกมายืนเคียงข้างต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น ยินดีรับชะตากรรมเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน


 


ให้มันยืนดูต้วนหลิงเทียนตกตาย แล้วหนีเอาตัวรอดไปแบบนั้น ให้พวกมันตายเสียดีกว่าที่จะต้องทนอยู่อย่างสุนัขขลาดเขลา!


 


ตอนนี้คงเหลือเพียงหลัวผิงที่ยังยืนลังเลด้วยความหวาดกลัว


 


ถึงแม้นางเองก็ไม่คิดทรยศต้วนหลิงเทียน แต่เพราะฉากเรื่องราวสังหารอันน่ากลัวของมังกรในตำนานเมื่อเกือบปีที่แล้ว…พลังอำนาจที่เหนือจินตนาการนั่นทำให้นางหวั่นหวาดจนทำอะไรไม่ถูก!


 


หากเลือกได้แน่นอนว่านางเองก็อยากรอดชีวิต


 


“ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก…แต่เห็นได้ชัดว่ายังมีบางคนที่อยากให้เจ้าตายเพื่อเอาตัวรอดอยู่!”


 


ในระหว่างที่กล่าว สายตาตี้จิ่วพลันเบนไปตกยังร่างหลัวผิงที่ยืนนิ่งไปด้วยความหวาดกลัวทันที เรื่องนี้ยิ่งทำให้หลัวผิงหวาดผวาจนมือไม้สั่น


 


สำหรับการกระทำของเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟง เฉินเฉ่าช่วยและคนอื่นๆ นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอบอุ่นในใจไม่น้อย แม้อาการลังเลกล้ากลัวๆของหลัวผิงจะทำให้เขาผิดหวังบ้างแต่เขาก็ไม่ถือสาหาความอะไร


 


เพราะสุดท้ายแล้วกระทั่งเขาเอง วันนี้ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่หรือตาย


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันพบว่ามืออันบอบบางของเค่อเอ๋อพลันกุมมือเขาเอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่านางพร้อมจะร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขา!


 


มีภรรยาแบบนี้เขายังต้องการอะไรอีก!


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนพลันอ่อนโยนลงดั่งสายน้ำ สุดท้ายแววตาอ่อนโยนก็กลายเป็นเด็ดเดี่ยวคล้ายตัดสินใจอะไรได้


 


ปงงง!!


 


ทว่าทันใดนั้นเองพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้น ไม่ทันที่ผู้คนจะได้ตอบสนองอะไร ทั้งหมดก็พบว่าหลัวผิงได้ถูกพลังขุมหนึ่งป่นร่างจนระเบิดหายไปแล้ว


 


กระทั่งหยาดโลหิตแม้เพียงหยดก็ไม่หลงเหลือ ปานมันจะระเหิดหายไปในอากาศ


 


การลงมือของตี้จิ่ว ทำให้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนขุ่นมัวขึ้นมาอีกครั้งทันที


 


แข็งแกร่ง!


 


มันร้ายกาจเกินไป!


 


พลังความแข็งแกร่งของตี้จิ่วทำให้เขารู้สึกด้อยอำนาจ ไร้หนทางต่อกรอย่างสิ้นเชิง


 


เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ว่าหากตี้จิ่วคิดเข่นฆ่า…อาศัยเพียงมันสะบัดมือ เขาและคนที่อยู่ในที่นี้คงไม่มีหนทางรอดชีวิตเป็นแน่!


 


“ข้าช่วยเจ้ากำจัดปัญหาเรื่องคนที่ไม่ภัคดีเช่นนี้ เจ้าไม่คิดจะขอบคุณข้าหน่อยหรือ?”


 


ตี้จิ่วมองมาทางต้วนหลิงเทียน กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย


 


แม้น้ำเสียงจะเฉยเมย แต่เจตนาฆ่าฟันที่แฝงเร้นมาก็ชวนให้ขนลุกนัก


 


“เรื่องเจ้ากล่าวก่อนหน้า เจ้ากล่าวจริงหรือไม่?”


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่คิดกล่าวขอบคุณ แต่เลือกที่จะถามตี้จิ่วกลับไป


 


“ย่อมเป็นความจริง”


 


เมื่อตระหนักได้ถึงคำถามของต้วนหลิงเทียน สองตาตี้จิ่วพลันลุกวาวขึ้นมาทันที ก่อนที่จะกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงไร้แยแส “พวกมันก็เป็นได้แค่มดในสายตาข้า เช่นนั้นพวกมันจะอยู่หรือตายข้าก็หาได้แยแสอันใดไม่”


 


“ใครจะไปรู้ หากเจ้ากลับคำขึ้นมาล่ะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน


 


“หากข้าคิดฆ่าพวกมันจริงๆ ข้าคงลงมือไปตั้งแต่พวกมันย้อนกลับมาที่เกาะนี่นานแล้ว”


 


ตี้จิ่วพลันหัวเราะเยาะออกมา


 


ที่มันพูดก็เป็นความจริง หากมันคิดฆ่า เค่อเอ๋อกับคนที่นี่คงไม่อาจอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้


 


“เจ้ากล้าพูดหรือไม่ ว่าเจ้าไม่ได้ไว้ชีวิตทั้งหมดเพื่อจุดประสงค์อื่น?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเชื่อคำตี้จิ่ว เพียงย้อนถามไปเสียงแข็ง


 


“แล้วเจ้าต้องการอะไร?”


 


ตี้จิ่วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์


 


“นอกเสียจากว่าเจ้าจะกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า…ว่าจะไม่ทำร้ายคนของข้าไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ข้าถึงจะไปกับเจ้า”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ไอ้หนู เจ้านับเป็นคนแรกเลยจริงๆ ที่เหิมเกริมคิดให้ข้าตี้จิ่วคนนี้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า!”


 


ตี้จิ่วกล่าวถามออกมาเสียงเย็น


 


“เจ้าอยากรู้สาเหตุการตายของบุตรชายของเจ้าหรือไม่ เจ้าก็เลือกเอาเองเถอะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ


 


“ดูเหมือนที่ข้าคิดไว้จักมิผิดเพี้ยนจริงๆ…เจ้ารู้!”


 


ลูกตาตี้จิ่วหดเล็กลงทันใด แววตายังเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามันอยากรู้ตัวฆาตกรสังหารบุตรชาย มันคงลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนและทั้งหมดไปนานแล้ว


 


ตอนนี้เอง คนอื่นๆรวมถึงเค่อเอ๋อพลันตระหนักได้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไร


 


ต้วนหลิงเทียนคิดสละชีวิตตัวเองช่วยเหลือพวกนาง!


 


“นายน้อยข้าจะตายพร้อมท่าน! หากท่านตายข้ามิอาจอยู่ต่อได้!”


 


เค่อเอ๋อรีบกุมมือต้วนหลิงเทียนไว้แน่น น้ำเสียงของนางแฝงเร้นไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว


 


“เจ้าหนูหลิงเทียน ในนี้ไม่มีใครคิดปล่อยให้เจ้าตายคนเดียว ต่อให้มันจักแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ไม่มีทางบีบคั้นพวกเราได้!”


 


เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวเสริม


 


ซื่อหม่าฉางฟงเองก็กล่าวออกมาทำนองเดียวกัน


 


“ทุกคนไม่ต้องห่วงข้าตัดสินใจดีแล้ว ข้ามีหนทาง…แต่นั่นต้องให้มันสาบานกับทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว วาจาท้ายประโยคยังหันไปมองตี้จิ่ว


 


“เหอะ!”


 


หน้าตี้จิ่วมืดคล้ำดำลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สุดท้ายก็ได้แต่เลือกทำตามคำขอของต้วนหลิงเทียน กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าออกมา


 


“ไอ้หนู ตอนนี้เจ้าพูดได้แล้วหรือยัง?”


 


หลังจากที่กล่าวคำสาบานตี้จิ่วก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม

 

 

 


ตอนที่ 1533

 

พี่สาวของเค่อเอ๋อ?


 


อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะเมินเฉยไม่ตอบคำของตี้จิ่ว


 


เขาหันไปมองเค่อเอ๋อที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้าด้วยรอยยิ้ม “เค่อเอ๋อ ใจเจ้าข้ารู้ดี…แต่อย่าได้ลืมไปว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว…ในท้องเจ้ายังมีลูกของเรา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในแววตายังเปี่ยมไปด้วยความรักความห่วงใยขณะมองไปยังท้องที่โป่งโตของเค่อเอ๋อ


 


‘โชคร้ายนัก ที่ข้าต้วนหลิงเทียนอาจไม่มีโอกาสได้อยู่เห็นหน้าลูก…รวมถึงเฟยเอ๋อกับลูกของนาง’


 


ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน เสียใจนัก


 


แต่เขารู้ดีว่าคราวนี้เขาถึงวาระแล้วจริงๆ ถึงแม้จะใช้วิธีการใดๆ ก็ยากจะพลิกกลับสถานการณ์ได้


 


ตี้จิ่วมันแข็งแกร่งเกินไป!


 


ถึงแม้เขาจะมีศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หงมาสนับสนุน แต่ก็ยากจะทำอะไรตี้จิ่วได้!


 


ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนเค่อเอ๋อก็เงียบไปพักหนึ่ง


 


“นายน้อย เค่อเอ๋อเข้าใจ”


 


เมื่อได้เห็นสายตาอ่อนโยนที่มองมาของต้วนหลิงเทียนเค่อเอ๋อได้แต่รับคำ ถึงแม้นางจะเห็นด้วยกับคำของต้วนหลิงเทียน แต่นางก็ตัดสินใจแล้ว…ว่าหลังจากที่คลอดบุตร นางจะติดตามนายน้อยผู้เป็นสามีของนางคนนี้ไปทันที


 


ในเมื่อนายน้อยอันเป็นสามีที่รักของนางจากโลกนี้ไป ใดๆในหล้าล้วนไร้ความหมายสำหรับนาง


 


เมื่อเห็นว่าเค่อเอ๋อยังมีเหตุผล ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


“ลุงเฟิ่งพวกท่านไปเถอะ ข้าฝากดูแลเค่อเอ๋อด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนหันมองเฟิ่งหวู่เต้าก่อนที่จะว่ายตามองทุกคนพร้อมกล่าวฝากฝัง


 


ทว่าเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆไม่ทันได้ตอบรับอะไร ปรากฏเสียงหนึ่งดังลงมาจากฟากฟ้า!


 


“เจ้าตั้งครรภ์ลูกมันจริงหรือ!?”


 


ทั้งยามเสียงนี้ดังลงมาจากฟ้า ยังเย็นเยียบปานคล้ายจะแช่แข็งอากาศให้หยุดเคลื่อนไหว


 


“ใคร?!”


 


หน้าตี้จิ่วเปลี่ยนสีไปเป็นมืดคล้ำทันที เพราะตั้งแต่ต้นจนจบมันกลับไม่อาจจับสัมผัสของการดำรงอยู่ของผู้ที่กล่าววาจาได้เลย!


 


พลังฝีมือของผู้มาใหม่ ไม่ได้ด้อยไปกว่ามัน!


 


ฟุ่บ!


 


สายลมยะเยือกพัดผ่านทุกผู้คน ปรากฏร่างในชุดคลุมลมดำวูบมาปรากฏในฉับพลัน ทั้งรูปร่างของนางยังมีมนต์สะกดชวนให้หลงไหลไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามแม้ในที่นี้จะมีบุรุษอยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจในเรื่องนี้


 


ทั้งหมดกลับนิ่งอึ้งไปจากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของสตรีลึกลับในชุดคลุมลมดำ


 


“เป็นเจ้า!”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปทันที “ชือเม่ย นี่เจ้าลอบสะกดรอยตามข้ามางั้นเหรอ?”


 


เห็นชือเม่ยอยู่ที่นี่ต้วนหลิงเทียนก็ประหลาดใจไม่น้อย อย่างไรก็ตามเขากลับมาครองสติได้แทบจะทันที เพราะเริ่มคาดเดาเรื่องราวบางอย่างได้


 


นอกจากนั้นวาจาก่อนหน้าของชือเม่ย เห็นชัดว่ากล่าวกับเค่อเอ๋อ


 


น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความตำหนิอย่างรุนแรง


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนรู้จักกันกับสตรีผู้มาใหม่ หน้าตี้จิ่วก็ยิ่งมืดคล้ำลงไปอีกหลายส่วน


 


ทว่าพอพบว่าระหว่างต้วนหลิงเทียนกับผู้มาใหม่กลับเผยบรรยากาศคลุ้งกลิ่นดินปืน มันก็ตระหนักได้ว่าสตรีนางนี้ไม่ได้มาช่วยต้วนหลิงเทียนแน่


 


พอสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้มันก็โล่งใจ


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้กลัวสตรีผู้มาใหม่ แต่มันก็ไม่เต็มใจจะสู้กับนางอย่างไร้จำเป็น


 


นั่นเพราะนางทำให้มันสัมผัสได้ถึงอันตราย


 


อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน ชือเม่ยเลือกที่จะไม่แยแส เพียงหันไปมองเค่อเอ๋อที่กำลังมองนางด้วยความสับสนงุนงง ขณะนั้นเองนางก็ค่อยๆถอดหน้ากากทั้งเลิกโม่งคลุมออก


 


เมื่อใบหน้างามพิลาศเปิดเผยให้ผู้คนแลเห็น ทั้งหมดในที่นี้ยกเว้นต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับต้องตะลึงงัน


 


นั่นเพราะใบหน้างามหมดจดนั่น กลับเหมือนเค่อเอ๋อไม่มีผิดเพี้ยน!


 


นอกจากอารมณ์ความรู้สึกที่แผ่ออกมาแล้ว ไม่มีสิ่งใดผิดแผกแตกต่าง


 


“ทะ…ท่านเป็นใครกัน?”


 


เค่อเอ๋อที่แลเห็นหน้างามของสตรีผู้มาใหม่ อดไม่ได้ที่จะถามออกไปเสียงสั่นด้วยความตกใจ เพราะใบหน้าอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรจากใบหน้าที่นางเห็นในกระจกแม้แต่น้อย


 


ตอนแรกนางเองก็ไม่ทราบเพราะเหตุอันใด แต่ทันทีที่เห็นสตรีผู้มาใหม่ ในใจของนางกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ผุดขึ้นมาประการหนึ่ง


 


ความรู้สึกนั้นยังแรงกล้าเสียจน ตัวนางเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร


 


ทว่ามาตอนนี้พอได้เห็นสตรีนางนั้นเปิดเผยโฉมหน้า และได้แลเห็นรูปลักษณ์ที่เหมือนกันกับนาง เค่อเอ๋อก็ตระหนักได้ทันที ว่านางกับอีกฝ่ายอาจมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด


 


“ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า”


 


เมื่อเผชิญกับเค่อเอ๋อที่ถามออกมาด้วยสีหน้าสับสน ชือเม่ย ที่เย็นชาอดไม่ได้ที่จะเผยความอ่อนโยนออกมาหลายส่วน ยามกล่าวตอบเค่อเอ๋อ เสียงแข็งเย็นของนางอ่อนลงมาก


 


อันที่จริงนางคิดตำหนิน้องสาวที่พรัดพรากจากกันหลายปีนี้ไม่น้อยที่ปล่อยตัวปล่อยใจจนท้องโต แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้ว ความรักความห่วงใยกลับท่วมท้นออกมากลบความไม่พอใจทันที กระทั่งโทสะอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาก่อนหน้ายังสลายหายไปไม่มีเหลือ


 


พี่สาว!?


 


ได้ยินคำตอบของชือเม่ย ไม่เพียงทุกคนในที่นี้จะตกตะลึง กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองแม้จะคาดเดาไว้แล้ว แต่ก็อึ้งไปไม่ต่าง


 


เค่อเอ๋อไปมีพี่สาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเค่อเอ๋อด้วยความสงสัยทันที เพราะเขาไม่เคยได้ยินนางพูดถึงเรื่องที่นางมีพี่สาวสักครั้ง


 


ทว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนพบเห็นความเลื่อนลอยว่างเปล่าบนใบหน้าเค่อเอ๋อ เขาเองก็รู้ได้ทันทีว่าตัวนางเองก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้สึกได้…ว่าชือเม่ยไม่ได้กล่าวอ้างออกมาส่งเดช เพราะใบหน้าของพวกนางเหมือนกันเกินไป!


 


เหมือนกันปานส่องกระจกแบบนี้ พบได้แต่ใน ‘ฝาแฝด’ เท่านั้น!


 


แน่นอนว่าใต้หล้าหามีอันใดที่แน่นอน บางทีคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยในโลกอาจจะมีหน้าตาเหมือนกันก็เป็นได้


 


ทว่าตอนที่ชือเม่ยกล่าวบอกเค่อเอ่อว่าเป็นพี่สาว น้ำเสียงและท่าทางของนางที่อ่อนโยนนั่น รวมถึงแววตาที่สั่นไหว ไม่ใช่การเสแสร้งแสดงเด็ดขาด


 


จังหวะนี้กระทั่งเฟิ่งหวู่เต้ายังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคู่แฝดหนานกง


 


หลังจากนั้นมันก็หันกลับมามองเค่อเอ๋อทีชือเม่ยที ก่อนที่จะสรุปได้ว่าพวกนางเป็นฝาแฝดกันแน่นอน!


 


“นี่เป็นไปมิได้…ข้ามิมีพี่สาว ข้ามีแต่ท่านแม่…แต่ท่านแม่ก็ตกตายไปแล้ว…ท่านแม่ตายไปเนิ่นนานแล้ว”


 


เค่อเอ๋อส่ายหัว นางปฏิเสธจะเชื่อคำของชือเม่ย ถึงแม้ว่านางจะสัมผัสได้ว่าชือเม่ยคล้ายห่วงใยและเอ็นดูนางมาก แต่นางยากที่จะยอมรับความจริง เรื่องที่นางยังมีพี่สาวอยู่บนโลกแบบนี้ได้


 


“ถึงแม้ข้าจักมิรู้ว่า ท่านแม่ ที่เจ้ากล่าวอ้างถึงเป็นผู้ใด แต่ข้าอยากบอกเจ้าให้รู้ไว้ ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดพวกเรา ยังมีลมหายใจและมีชีวิตอยู่…อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่ท่านจะไม่คิดถึงเจ้า”


 


ชือเม่ยกล่าวกับเค่อเอ๋อ


 


มารดาผู้ให้กำเนิด!?


 


ยังมีชีวิตอยู่!


 


ตอนนี้เค่อเอ๋อตะลึงลานแล้วจริงๆ


 


นางพยายามอย่างหนักที่จะไม่เชื่อคำของชือเม่ยง่ายๆ หากแต่ใจของนางก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อถือในวาจาของอีกฝ่าย


 


เพราะไม่เพียงแต่ชือเม่ยจะมีรูปโฉมเหมือนนางทุกประการ ทว่านางสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงและความผูกพันทางสายเลือดที่มันข้นกว่าน้ำได้จากชือเม่ย


 


อีกทั้งชือเม่ยทำให้นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแลไว้วางใจอย่างประหลาด


 


“ยามนั้นเจ้าถูกคนลักพาตัวไป สุดท้ายก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย…แม้ท่านแม่จะพยายามส่งคนออกไปตามหาตัวเจ้า แต่ด้วยฐานะที่พิเศษนัก จึงมิอาจเคลื่อนไหวเอิกเกริกได้…แต่นางก็พยายามทุกคืนวันเพื่อตามหาตัวเจ้าให้พบ”


 


ชือเม่ยกล่าวออกเสียงอ่อน “หลายปีที่ผ่านมาท่านแม่มิเคยสิ้นหวังเรื่องตามหาเจ้าสักครั้ง ข้าเองก็อาศัยความเชื่อมโยงทางสายเลือดของฝาแฝด ที่ทำให้ข้าสัมผัสถึงเจ้าได้รางๆ คอยตระเวนหาเจ้าไปทุกที่…ในที่สุดฟ้าก็ไม่ละทิ้งคนเพียร ข้าสามารถพบตัวเจ้าก่อนที่พวกมันจะเจอตัวเจ้า!”


 


ยามที่ชือเม่ยกล่าวถึงคำ ‘พวกมัน’ ท้ายประโยค น้ำเสียงของนางแฝงความกังวลไม่น้อย


 


“นับว่าโชคดีนักที่ข้าเจอตัวเจ้าก่อน หาไม่แล้ว…”


 


กล่าวถึงตรงนี้ชือเม่ยก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนทันที ในแววตายังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน สีหน้ายังกลายเป็นดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คนให้ได้


 


บุรุษตัวดีผู้นี้กลับทำให้น้องสาวของนางตั้งครรภ์จริงๆ!


 


บุรุษน่าตายผู้นี้ไม่ได้รู้เลย ว่าเรื่องนี้จะเป็นภัยต่อเค่อเอ๋อมากมายขนาดไหน!


 


เมื่อแน่ชัดแล้วว่าชือเม่ยสมควรเป็นพี่สาวของเค่อเอ๋อจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดีกับเค่อเอ๋อ ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยชาติกำเนิดที่แท้จริงของเค่อเอ๋อไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พอสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตปานจะฆ่าให้ตายจากชือเม่ย ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเสียวสันหลัง


 


บ้าจริง! ยังไงเขาก็เป็นน้องเขยนางแล้วนะ ไฉนนางทำเหมือนจะฆ่าเขาให้ตายเล่า!?


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนสับสนและไม่เข้าใจนัก


 


“น้องหญิงเจ้ามากับพี่เถอะ…พี่จะปกป้องเจ้าด้วยพลังทั้งหมด มิมีวันปล่อยให้เจ้าต้องเจอเรื่องร้ายๆอันใดอีกแล้ว”


 


ต่างกับสายตาอาฆาตมุ่งร้ายยามมองต้วนหลิงเทียนลิบลับ พอชือเม่ยหันไปมองกล่าวกับเค่อเอ๋อ นางกลายเป็นอ่อนโยนคนละเรื่อง


 


“พี่…พี่หญิง”


 


ไม่ทราบว่าทำไม แต่วาจาและแววตาของชือเม่ยทำให้เค่อเอ๋อรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด


 


กระทั่งตอนนี้ตัวนางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าไฉนยามเรียกหาอีกฝ่ายเป็นพี่หญิง กลับกล่าวออกมาได้เป็นธรรมชาตินัก คล้ายไม่ตะขิดตะขวงแคลงใจอันใดเลย


 


เมื่อได้ยินคำเรียกหาว่า ‘พี่หญิง’ จากเค่อเอ๋อ ความเย็นชาสุดท้ายของชื่อเม่ยก็สลายหายไป


 


“พี่หญิงข้าไปกับท่านก็ได้ แต่ท่านต้องพานายน้อยกับคนอื่นๆไปกับพวกเราด้วย”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง เค่อเอ๋อรวบรวมความกล้ากล่าวร้องขอต่อชือเม่ยออกมา


 


“น้องหญิง เพราะลูกในท้องเจ้ากับมัน ข้าจึงมิอาจหักใจฆ่ามันได้ลงคอ…แต่หากให้ข้าคิดช่วยเหลือตัวน่าตายนี่ ข้ามิอาจทำได้จริงๆ!”


 


เสียงชือเม่ยนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดขาด ไม่เปิดช่องว่างให้เจรจาต่อรองแม้แต่น้อย


 


พอได้ยินคำนี้ของชือเม่ย สีหน้าเค่อเอ๋อเปลี่ยนไปทันที “พี่หญิงหากท่านไม่พานายน้อยกับคนอื่นไปด้วย ข้าไม่ไปกับท่านแล้ว!”


 


“เฮ่อ..”


 


หลังได้ยินคำของเค่อเอ๋อ ชือเม่ยพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นไม่ทราบนางลงมือเคลื่อนไหวอย่างไร เค่อเอ๋อพลันสิ้นสติไปในพริบตา และก่อนที่ร่างนางจะล้มลง ร่างชือเม่ยก็มารับตัวนางไว้ได้ทันท่วงที


 


“เค่อเอ๋อ!”


 


เมื่อเห็นภาพนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนพลันมืดลง อย่างไรก็ตามพอสัมผัสของเขาบ่งบอกให้รู้ว่า เค่อเอ๋อเพียงสิ้นสติไปเท่านั้น เขาก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


“พี่หญิง ให้ข้าอุ้มนางเองเถอะ”


 


ทันใดนั้นเองวิหกสีม่วงบนไหล่ชือเม่ยพลันกล่าวออก ก่อนที่มันจะโดดลงมาจากไหล่ พร้อมกันนั้นทั่วร่างก็บังเกิดแสงสว่างจ้า สุดท้ายก็กลับกลายเป็นดรุณีน้อยในชุดสีม่วงนางหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆรับร่างเค่อเอ๋อมาอุ้มถือไว้อย่างระมัดระวัง


 


“เป็นนาง!”


 


เมื่อเห็นดรุณีน้อยชุดม่วง ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง


 


สตรีนางนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา นางเป็นคนเดียวกันกับสัตว์เซียนที่ปรากฏขึ้นหลังจากการแข่งขันล่าสัตว์ของสำนักจันทร์จรัสแสงจบลง นางยังทุบตีทำร้ายรองเจ้าสำนักอย่างจงหั่วได้อย่างง่ายดาย กระทั่งยังติดตามกลับสำนักจันทร์จรัสแสงไปกับเขา


 


‘นางเกี่ยวข้องกับชือเม่ยจริงๆ’


 


ตอนนี้ปริศนาที่ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนไม่เข้าใจ พลันกระจ่างแจ้งหมดแล้ว


 


การปรากฏตัวของดรุณีน้อยชุดม่วงนั่น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงๆ


 


“สื่อเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”


 


เหลือบมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งด้วยความดุร้ายคาดโทษ ชือเม่ยก็ละสายตาจากเขา ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับดรุณีน้อยชุดม่วงเสียงเรียบ


 


ฟุ่บ!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ยอมปล่อยให้ชือเม่ยพาตัวเค่อเอ๋อไปง่ายดายแบบนี้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้าชือเม่ยจะไม่ได้กล่าวเรื่องราวอะไรออกมามากมาย แต่ต้วนหลิงเทียนที่ได้ฟังก็ตระหนักได้ว่าเค่อเอ๋อกำลังตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงไม่น้อย เช่นนั้นเขาจึงรีบเหินร่างไปขวางทางชือเม่ยเอาไว้ทันที

 

 

 


ตอนที่ 1534

 

นิกายบูชาไฟ


 


“เจ้าคิดว่าจะหยุดข้าได้งั้นเหรอ?”


 


เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียนที่โผล่มาขวางทางเอาไว้ ชือเม่ยเพียงกล่าวคำค่อนแคะออกไปด้วยสีหน้าดูแคลน


 


“เฮ่! เจ้าหลบไปเถอะ…พลังฝีมือของพี่หญิงข้า ต่อให้มีข้า 10 คนยังสู้ไม่ได้เลย!”


 


สื่อเอ๋อที่อุ้มเค่อเอ๋ออยู่กล่าววาจาเตือนต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยความปรารถนาดี อาจเป็นเพราะเขาสวมชุดสีม่วงเหมือนนางก็เป็นได้


 


“ตี้จิ่ว หากเจ้าอยากรู้ว่าลูกชายเจ้าตายยังไง เจ้าต้องชิงตัวภรรยาของข้าคืนมาให้ข้า!”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีทางหยุดชือเม่ยได้ด้วยพลังของตัว ไม่ต้องกล่าวถึงชือเม่ย กับอีแค่ดรุณีน้อยชุดม่วงเขายังจนปัญญาจะสู้!


 


ดังนั้นเขาจึงหันไปมองตี้จิ่วทันที และกล่าวเงื่อนไขออกมา


 


“ไอ้หนู ก่อนหน้านี้ที่พวกเราตกลงกันไว้ มิได้รวมถึงเรื่องนี้!”


 


ตี้จิ่วกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ


 


“ถ้างั้นก็เพิ่มมันลงไปตอนนี้เลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเรียบ


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆม่กี่ที ตี้จิ่วก็ระงับโทสะในใจได้สำเร็จ มันหันไปมองชือเม่ยค่อยกล่าวถามออกมาเสียงเข้ม “แม่นาง มิทราบว่าแม่นางเป็นผู้ใด แต่แม่นางมิคิดหรือว่าสอดมือเข้ามาแบบนี้มันเกินไป หรือไม่เห็นหัวข้าแล้ว?”


 


ถึงแม้ว่าตี้จิ่วอยากจะหลีกเลี่ยงปะทะกับชือเม่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลัวชือเม่ย


 


ถึงแม้ว่ามันจะถูกต้วนหลิงเทียนบีบให้ต้องวุ่นวายเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่พอใจที่ถูกชือเม่ยเข้ามาสอดมือเช่นกัน


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ…แต่ต่อให้ผู้นำเผ่าพันธ์มังกรของเจ้าอยู่ที่นี่ก็อย่าได้คิดว่าจะมีปัญญาหยุดข้า ยังนับประสาอะไรกับเจ้า”


 


ชือเม่ยเหลือบมองไปทางตี้จิ่วด้วยสายตาไม่แยแส แววตาทั้งวาจายังคล้ายดูแคลนตี้จิ่วไม่น้อย


 


“วาจาเขื่องโขโอหังผู้ใดก็พูดได้! ให้ข้าดูหน่อยเถอะว่าเจ้ามันจะแน่สักแค่ไหน!!”


 


ตี้จิ่วไม่ได้เกรงกลัววาจาของชือเม่ย ชุดคลุมสีทองของมันเริ่มกระพือขึ้นมาแม้ไร้ลม มวลพลังปะทุออก เตรียมลงมือกับชือเม่ย!


 


ทว่าในขณะที่มันกำลังจะลงมือพุ่งร่างไปจู่โจมชือเม่ย และก่อนที่มันจะทันได้ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลขุมหนึ่งปะทะเข้าร่าง ทั้งสลายพลังในร่างที่มันกำลังเร่งเร้าออกมาจนหมดสิ้น! ยังง่ายดายเสมือนบดขยี้ใบไม้แห้งกรอบ!!


 


ปงงง!!


 


เสียงสนั่นดังขึ้น ร่างตี้จิ่วปลิวละลิ่วไปกระแทกกับผนังหุบเขาจนร่างฝังลงไปในผาทันที หลุมรูปคนอันน่ากลัวนั่นช่างชวนให้ผู้คนในหุบเขาเสียวสันหลังนัก!


 


“อั๊ค!”


 


ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองด้วยความตกตะลึงของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ตี้จิ่วค่อยๆโผล่ออกมาจากหลุมรูปคนดังกล่าว ทว่าตอนนี้เค้าความน่าเกรงขามเปี่ยมพลังอำนาจของมันไม่เหลือแม้แต่น้อย ชุดคลุมสีทองของมันเปรอะเปื้อน อาการของมันยังสาหัสนัก!


 


เฟิ่งหวู่เต้าที่เคยเห็นความยิ่งใหญ่ทรงพลังตี้จิ่วมาก่อน อดไม่ได้ที่จะถูกเรื่องราวทำให้สมองตื้อตัน!


 


ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองคนนี้ ใช่คนเดียวกับผู้ที่กวาดล้างทำลายเกาะป้านเยว่ให้พินาศย่อยยับได้ง่ายดาย และแปลงกายเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บอันน่าครั่นคร้ามนั่นจริงหรือ?


 


พวกมันไม่อาจมองเห็นด้วยซ้ำ ว่าสตรีที่หน้าตาละม้ายคล้ายเค่อเอ๋อลงมืออย่างไร หากแต่กลับซัดร่างชายในชุดคลุมทองให้ปลิวไปง่ายดาย นอกจากนั้นสารรูปตอนนี้ท่าทางจะได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสนัก!


วูบ! วูบ! วูบ!


 


……


 


เมื่อเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆมองชือเม่ยอีกครั้ง แววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แต่พวกมันเท่านั้น


 


แม้แต่ต้วนหลิงเทียนที่เห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองค้างไปด้วยความตกใจ


 


ตี้จิ่วกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยการลงมือส่งๆของชือเม่ย?


 


แล้วพลังฝีมือของชือเม่ยร้ายกาจถึงขั้นไหนกัน!?


 


จังหวะนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอ่อนแอไร้พลังอีกครั้ง


 


“ข้ารู้ดีว่าเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเจ้านั้นรักพวกพ้องนัก…แต่ยามเจ้ากลับไปยังเผ่ามังกรของเจ้าเพียงบอกพวกมันเสีย ว่าคนที่ทำร้ายเจ้าคือคนของนิกายบูชาไฟ หากพวกมันต้องการล้างแค้นให้เจ้า ก็ให้พวกมันเสนอหน้ามาที่นิกายบูชาไฟได้ทุกเมื่อ หากพวกมันกล้ามาล่ะก็นะ…”


 


ชือเม่ยที่ซัดตี้จิ่วจนสาหัส เหลือบมองตี้จิ่วด้วยสายตาเฉยเมยพร้อมกล่าว


 


นิกายบูชาไฟ?


 


ได้ยินวาจานี้ของชือเม่ย แววตาตี้จิ่วกลายเป็นเลื่อนลอยทันที เห็นชัดว่ามันไม่เคยได้ยินเรื่องราวของนิกายบูชาไฟมาก่อน


 


“สำหรับเจ้า…ข้าล่ะอยากจะฆ่าเจ้าให้ตายสักหลายๆรอบนัก! แต่เห็นแก่น้องสาวกับลูกในท้องของนางข้าจะละเว้นเจ้าสักครั้ง! อย่างไรเสียนับแต่วันนี้ไปเจ้าจงสำเหนียกตัวเองเสีย ว่าเจ้ากับนางมันอยู่กันคนละโลก!”


 


ชือเม่ยหันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา กล่าวออกเสียงเรียบ “นอกจากนี้ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้ ว่าเป็นการดีเสียกว่าหากเจ้าลืมเรื่องราวในอดีตระหว่างเจ้ากับนางเสียให้หมด…หาไม่แล้วมีแต่ความตายเท่านั้นที่รอเจ้าอยู่!”


 


“แน่นอนว่านั่นต้องหลังจากที่เจ้ามีปัญญาเอาตัวรอดจากวันนี้ไปได้”


 


กล่าวกับต้วนหลิงเทียนจบ ชือเม่ยก็เหลือบมองตี้จิ่วอีกครั้ง “ข้าจะพาน้องสาวไปแล้ว…ส่วนเรื่องมันกับเจ้า ข้าไม่คิดสนใจ”


 


หลังจากกล่าวจบ ก็ไม่รอให้ตี้จิ่วตอบสนองอะไร ร่างนางก็อันตรธานหายไปในพริบตา


 


และหลังจากวันนี้ ชือเม่ย ก็ได้หายไปจากตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรตลอดกาล สุดท้ายนางก็ถูกผู้คนลืมเลือนไป


 


ส่วนดรุณีน้อยในชุดม่วงที่อุ้มเค่อเอ๋ออยู่นั้น นางหันมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ก่อนที่จะอันตรธานหายไปเช่นกัน


 


แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวของดรุณีน้อยชุดม่วง ตี้จิ่วยังพอมองเห็นได้รางๆ


 


จังหวะนี้มันก็ตระหนักได้ทันที ว่ากระทั่งดรุณีน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายสตรีในชุดดำ ก็มีด่านพลังฝึกปรือที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ามันเลย!


 


“นิกายบูชาไฟ มันคืออะไรกันแน่?”


 


เรื่องนี้ตี้จิ่วเองก็อยากรู้ไม่น้อย มันคิดกับตัวเองว่ากลับไปถึงเผ่า ต้องไปไถ่ถามเรื่องราวจากผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรให้รู้ความ อย่างไรก็ตาม นั่นต้องเอาไว้หลังจากมันสะสางเรื่องราวการตายของบุตรชายให้เรียบร้อยก่อน!


 


“เค่อเอ๋อ เค่อเอ๋อ…”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมามีสติเขาก็รู้สึกปวดใจนัก


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตอนนี้มือที่กำแน่นของเขามันกำจนเล็บได้เจาะฝ่ามือจนหลั่งเลือดออกชุ่มโชก หากแต่คนคล้ายไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเหลือเกิน กระทั่งสตรีของตัวเองยังไม่อาจปกป้องไว้ได้


 


ไม่เพียงแต่ไม่อาจปกป้องสตรีของตัวไว้ได้ มาตอนนี้เกรงว่ากระทั่งชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอด


 


“อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเท่าไหร่ ที่นางพาเค่อเอ๋อไป…”


 


พอคิดว่าวันนี้เขาอาจจะต้องตายด้วยน้ำมือตี้จิ่ว ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกท้อแท้ ก็คล้ายปลงได้


 


ในสายตาเขาชือเม่ย ไม่สมควรทำร้ายอะไรเค่อเอ๋อแน่นอน


 


เค่อเอ๋อไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นน้องสาวฝาแฝดของนาง


 


“ไอ้หนู ได้เวลาที่พวกเราจะมาชำระความกันแล้ว!”


 


ตี้จิ่วมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง น้ำเสียงยังเย็นเยียบลง คล้ายคิดระบายโทสะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย เพราะเป็นเหตุให้มันถูกชือเม่ยทุบตีจนสาหัสแบบนี้


 


“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์อันใด…หาไม่แล้ววันนี้พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”


 


ลูกตาเย็นชาแฝงอำมหิตของตี้จิ่วเริ่มหันไปว่ายมองเฟิ้งหวู่เต้าและคนอื่นๆทีละคน


 


ทว่าเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นไม่ได้กลัวอะไร ทั้งหมดเพียงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากังวล ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความเป็นห่วง


 


ถึงแม้พวกมันจะไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน แต่พวกมันก็รู้ดีว่าตอนนี้อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยสู้ดีนัก หากเป็นพวกมันอยู่ในจุดของต้วนหลิงเทียน น่ากลัวคงใจสลายแล้ว


 


“ผู้เฒ่าหั่ว ข้าขออภัยท่านด้วย…แต่ข้าคิดว่าคงไม่อาจปลดปล่อยท่านออกมาจากเจดีย์ได้แล้ว ข้าหวังว่าให้ท่านได้เจอคนที่มาจากโลกเดียวกันกับข้าโดยเร็ว หากคนผู้นั้นได้รับการยอมรับจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเช่นกัน เขาจะได้ช่วยปลดปล่อยท่านแทนข้า”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวส่งเสียงผ่านปราณแท้ไปยังผู้เฒ่าหั่วก่อนทันที


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


ผู้เฒ่าหั่วที่ไม่ได้สนใจมองเรื่องราวนอกเจดีย์แต่แรก พอได้ฟังเสียงผ่านปราณแท้ของต้วนหลิงเทียน ก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวผิดท่าทันที


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าสถานการณ์ให้ผู้เฒ่าหั่วฟังคร่าวๆ “มันแข็งแกร่งเกินไป! ถึงข้าจะใช้ทั้งหมดที่มี แต่ก็ยากที่จะต่อกรกับมันได้ ผู้เฒ่าหั่วขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด ตอนนี้ข้ากลับทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว”


 


“แม้จักยากที่จะลงมือ…แต่ก็มิใช่ว่าไร้หนทางเสียทีเดียว เพียงแต่พวกเราต้องลงมือตามแผนให้สำเร็จ แต่ข้ามิรู้ว่ามันจะเล่นตามแผนหรือไม่..”


 


ผู้เฒ่าหั่วนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวตอบต้วนหลิงเทียน


 


หลังจากนั้นผู้เฒ่าหั่วก็อธิบายแผนการให้ต้วนหลิงเทียนฟัง


 


“ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกนะ! วิธีนี้น่าจะสำเร็จ!!”


 


หลังได้ยินแผนการของผู้เฒ่าหั่ว ใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นรัวขึ้นมา ตอนนี้เสมือนมีแสงสว่างริบหรี่ส่องขึ้นที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดก็ไม่ปาน


 


เขาย่อมไม่พลาดโอกาส! หากยังมีหวังที่จะรอด!!


 


“เจ้าหนู นี่เจ้าไม่ได้ยินข้ารึไง?!”


 


เสียงของตี้จิ่วเผยความร้อนใจไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะมันอยากรู้ความจรจิงเรื่องการตายของลูกชาย มันคงลงมือเข่นฆ่าระบายโทสะไปเนิ่นนานแล้ว


 


“มากับข้า”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเรืองออกมาวูบหนึ่ง ค่อยหันไปกล่าวกับตี้จิ่ว


 


ทันทีที่กล่าวจบเขาก็เหินร่างออกไปทันที ทั้งยังหันมองลงมากล่าวผ่านปราณแท้แจ้งเฟิ่งหวู่เต้ากับทุกคน “อย่าตามข้าไป เพียงรอข้าอยู่ที่นี่แล้วข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด!”


 


“แต่ถ้า 3 วันแล้วข้ายังไม่กลับมา ก็ไปที่ๆอยากไปกันเถอะ…”


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะกล่าววาจาป้องกันไว้อีกประโยค


 


ถึงแม้เขาจะตระหนักว่าแผนการนี้เข้าทีและน่าจะได้ผล แต่ก็ไม่กล้าพูดเต็มปากว่าจะจัดการตี้จิ่วได้แน่ๆ เกิดอีกฝ่ายไม่หลงกลเขายังเหลือหนทางอีกหรือ?


 


เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงผ่านปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนก็เผยความกังวลขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่มีใครขัดต้วนหลิงเทียน เพียงเชื่อฟังและรออยู่ในหุบเขาแห่งนี้


 


“ฟังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว คล้ายจะมีหนทางแล้ว”


 


เฉินเฉ่าช่วยสงสัยไม่น้อย


 


“สมควรเป็นเช่นนั้น แต่จากวาจาทิ้งท้ายนั่นเผยให้เห็นว่า เจ้าต้วนเองก็มิได้มั่นใจว่าจะสำเร็จแน่”


 


หนานกงยี่พยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยสายตากังวล


 


“นายน้อยต้องสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่!”


 


ฉงเฉวียนกล่าวออกด้วยสายตามั่นใจ


 


ส่วนอีกด้านนั้น ตี้จิ่วได้เหินร่างตามต้วนหลิงเทียนออกทะเลมุ่งไปทางทิศตะวันออกเรื่อยๆ แต่หลังจากเหินบินอยู่นานมันก็เริ่มหมดความอดทน “ไอ้หนูนี่เจ้าจะพาข้าไปถึงไหนกัน!? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าคิดจะเล่นลูกไม้โง่ๆกับข้า!”


 


“ข้าจะไปเล่นลูกไม้อะไรกับเจ้าได้? ตอนนี้ข้ากำลังจะพาเจ้าไปสถานที่หนึ่ง! เจ้าไม่อยากรู้รึไงว่าลูกชายเจ้ามันตายได้ยังไง แล้วทำไมมันถึงมอบแก่นแท้โลหิตให้ข้า…ถึงตอนนี้แล้วข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ก็ได้ ที่ลูกชายเจ้ามอบแก่นแท้โลหิตให้ข้า เพราะมันพึงพอใจกับการแลกเปลี่ยนอันประเสริฐกับข้าสำหรับข้อมูลสถานที่แห่งนั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ


 


หลังจากฟังวาจาของต้วนหลิงเทียน ตี้จิ่วก็เริ่มเชื่อคำเขาไม่น้อย “สถานที่แห่งนั้น? มันคืออะไร เป็นที่ไหน?”


 


“สถานที่แห่งนั้นเป็นที่ๆลึกลับมาก…ตอนข้าเข้าไป ข้าก็กลัวจนไม่กล้าเข้าไปลึก และโชคดีที่ข้าสามารถหนีออกมาได้ทันเวลา! มาตอนนี้พอข้าย้อนคิดดู ที่ตี้ยงบอกว่าจะออกเดินทางไปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า น่าจะเป็นข้ออ้างของมัน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ “ข้าคิดว่ามันคงทำเพื่อปิดบังข้า และเลือกที่จะไปยังที่แห่งนั้นเพียงลำพัง หวังฮุบสมบัติไว้แต่เพียงผู้เดียว…ตี้ยงน่าจะตกตายอยู่ในนั้นไม่ผิดแน่”


 


วาจาต้วนหลิงเทียนลื่นไหล สีหน้าแววตายังจริงจังไร้พิรุธใดๆ ตี้จิ่วจึงไม่สงสัยอะไร


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียน ก็พาตี้จิ่วพุ่งลงจากฟ้า ดำลงไปใต้ทะเลลึก หลังจากลงมาไม่นานก็มาถึงเหวใต้ทะเลลึก


 


เขาพาตี้จิ่วดำลงไปในเหวใต้ทะเลลึกนั่นทันที


 


“ดูเหมือนจะไม่ใช่จุดนี้…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่พาตี้จิ่วลงมาถึงก้นเหวใต้ทะเลลึกแล้ว ก็พุ่งร่างเวียนวนอยู่สักพัก ค่อยส่งเสียงผ่านปราณแท้กล่าวบอกตี้จิ่ว


 


ตี้จิ่วที่ติดตามมาไม่ห่าง พลันกล่าวถามออกไปด้วยความหงุดหงิดร้อนใจ “มิใช่เจ้าเคยมาที่นี่ก่อนแล้วหรือไร ไฉนมาตอนนี้ถึงจดจำไม่ได้!?”

 

 

 


ตอนที่ 1535

 

สงครามที่ไร้กลิ่นดินปืน


 


“ข้าเคยมาที่นี่แค่ 2 ครั้ง และนั่นมันก็กว่า 3 ปีมาแล้ว…ข้าจะไปจำได้แม่นยำได้ยังไง”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบตี้จิ่วไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


 


หลังจากที่ตอบตี้จิ่วไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แสร้งบินวนไปมาอีก 2 สามรอบ สุดท้ายพอเหินไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็โพล่งผ่านปราณแท้ออกมา “ใช่แล้ว! ตรงนี้ล่ะ!!”


 


ฟังจากน้ำเสียงตื่นเต้นดังกล่าว ทำราวกับพบทวีปใหม่ก็ไม่ปาน


 


เรื่องนี้นับว่าดึงดูดความสนใจของตี้จิ่วได้ไม่น้อย


 


หลังจากนั้นตี้จิ่วก็เห็นว่าต้วนหลิงเทียน เดินแหวกกลุ่มส่าหร่ายใต้ทะเลลึกไป ก่อนที่จะกระทืบเท้าลงไปยังพื้นก้นเหวใต้ทะเลลึกอย่างไร้เหตุผล


 


ปึงงง!!


 


เสียงสนั่นดังออกใต้เวิ้งน้ำ แรงกระแทกจากการกระทืบเท้ายังทำให้บังเกิดเป็นคลื่นน้ำรุนแรงซัดกวาดออกไป ใต้ทะเลปั่นป่วนไปพักใหญ่กว่าจะค่อยๆสงบลง


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ตี้จิ่วไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น


 


สายตาของมันจับจ้องมองไปยังพื้นที่ว่างห่างออกไป เจดีย์ประหลาดหนึ่งอยู่ๆก็ผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า! พาลให้น้ำทะเลกวาดซัดออกมาอีกรอบ!


 


มวลน้ำมหาศาลซัดมาตีปะทะเข้าร่างตี้จิ่วไม่หยุด หากทว่าตี้จิ่วไม่ได้แยแสอะไรแม้แต่น้อย เพราะสองตาของมันถูกเจดีย์ประหลาดที่อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาดึงความสนใจไปเสียสิ้น!


 


เจดีย์ประหลาดนั่นมีทั้งสิ้น 7 ชั้น ตั้งตระหง่านปานอสุรกายโบราณตัวเขื่อง!


 


ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ตี้จิ่วสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากตัวหอคอยชัดเจนดี!


 


กลิ่นอายพลังนี้เก่าแก่โบราณ อีกทั้งยั้งลึกล้ำสุดที่ตี้จิ่วจะหยั่งถึง!


 


“เป็นเจดีย์หลังนี้ล่ะ!”


 


ตอนนี้เองเสียงต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้น “ตอนแรกที่ข้ากับตี้ยงเข้าไป ด้วยความที่มันมีกลิ่นอายพลังประหลาดน่ากลัวมาก พวกเราจึงไม่กล้าเข้าไปลึก… แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็พบศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียน 3 ดาวไว้เป็นจำนวนมาก…”


 


“และสถานที่พวกเราเข้าไปสำรวจ ก็เป็นแค่พื้นที่ใกล้ๆทางเข้าของเจดีย์เท่านั้น…เพราะข้ารู้สึกถึงอันตรายจึงไม่กล้าเข้าไปลึกกว่านั้น ตี้ยงเองก็บอกข้าว่ามันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายเช่นกัน และนั่นทำให้มันคิดว่าข้างในน่าจะมีสมบัติเลิศล้ำอยู่เป็นแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกตี้จิ่วผ่านปราณแท้


 


“เจ้ารู้ความเป็นมาของเจดีย์หลังนี้หรือไม่?”


 


ตี้จิ่วกล่าวถาม


 


“เรื่องนี้ข้าพอมีเบาะแส”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “หลังจากที่ข้ากับตี้ยงค่อยๆสำรวจอย่างระวัง พวกเราก็พบร่องรอยของแผ่นหินโบราณบางอย่าง ดูไปคล้ายศิลาจารึกที่บันทึกประวัติศาสตร์อะไรเอาไว้…”


 


“ดูเหมือนคนที่ทิ้งเจดีย์หลังนี้ไว้ จะเป็นคนที่ชื่อฟงชิงหยาง อ่า…ดูเหมือนมันจะเรียกตัวเองว่าเซียนกระบี่ ฟงชิงหยางอันใดนี่ล่ะ “


 


วาจาครึ่งท้ายประโยคต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ พอขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่งก็กล่าวต่อจนจบ


 


ฟงชิงหยาง?


 


เซียนกระบี่?


 


“เซียนกระบี่ ฟงชิงหยาง!?”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ลูกตาตี้จิ่วหดเล็กลงโดยพลัน ร่างยังสะท้านไปทันใด “จะ…เจ้าแน่ใจหรือ ว่าผู้ที่ทิ้งนามไว้บนจารึกนั่นคือ เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง”


 


“ไม่ผิดแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยแววตาสงสัย “เจ้ารู้จักมันด้วยเหรอ?”


 


เมื่อเห็นแววตาสงสัยทั้งวาจากล่าวถามคล้ายไม่รู้ประสีประสาของต้วนหลิงเทียน ตี้จิ่วอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดด้วยความโง่เขลาของอีกฝ่าย หากแต่มันก็ไม่ได้รีบตอบคำอะไรกลับมา เพราะตอนนี้สองตามันทอประกายจ้า จับจ้องเจดีย์เบื้องหน้าไม่วางตา


 


“เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…จริงๆหรือ! นี่เป็นสิ่งที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้! ตำนานกล่าวไว้ว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเคยเป็นสุดยอดฝีมือไร้เทียมทานเป็นหนึ่งไม่มีสองของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ในยุคสมัยนั้นไร้ผู้ใดหาญกล้าต่อกรเพลงกระบี่ของฟงชิงหยางแม้แต่คนเดียว!”


 


ตอนนี้หัวใจของตี้จิ่วยิ่งมายิ่งเต้นถี่ระรัว ยากที่จะระงับอาการตื่นเต้นเอาไว้ได้


 


มันไม่ได้แปลกใจกับความโง่เขลาของต้วนหลิงเทียนที่ไม่รู้จัก เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง


 


เพราะกระทั่งมันยังรู้จักเซียนกระบี่ฟงชิงหยางผ่านบันทึกที่สืบทอดกันมาของผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรแต่ละรุ่น นั่นทำให้มันรู้ว่านามนี้คือนามของตัวตนที่สะท้านแดนดิน หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พิชิตทั่วหล้า ไร้ผู้ใดหาญกล้าต่อกร!


 


มีข่าวลือกันหนาหูว่า ก่อนที่จะเยื้องย่างสู่สวรรค์เบื้องบน เซียนกระบี่ได้ทิ้ง มรดก เอาไว้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพื่อหวังให้ชนรุ่นหลังสืบสานเพลงกระบี่อันไร้เทียมทานของมัน


 


“เจดีย์นี่…ที่แท้เป็นมรดกที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางทิ้งเอาไว้หรือ!?”


 


ตี้จิ่วมองเจดีย์เบื้องหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย ประหนึ่งนักล่าพบพานเหยื่ออันโอชะ


 


‘ดูเหมือนว่ามันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางมาเหมือนกัน’


 


เห็นการแสดงออกของตี้จิ่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะโล่งใจ


 


การเดิมพันครั้งนี้สำเร็จแล้ว!


 


ในเมื่อตี้จิ่วรู้ดีว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเป็นตัวตนเยี่ยงไร โอกาสที่มันจะตกหลุมพรางที่เขาวางไว้ก็สูงขึ้นทันตาเห็น


 


‘โอกาส’ นี้เป็นผู้เฒ่าหั่ววางแผนขึ้นมาได้ทันกาล!


 


การกระทำทั้งหมด รวมถึงวาจาที่กล่าวออก ล้วนชักนำให้ตี้จิ่วถลำลึก เพื่อให้มันเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ผู้เฒ่าหั่วจัดการ!


 


ตอนนี้พลังฝึกปรือของผู้เฒ่าหั่วฟื้นคืนมาแล้วเล็กน้อย ถึงแม้จะห่างไกลจากช่วงรุ่งโรจน์หลายขุม แต่พลังอำนาจที่มีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตี้จิ่วเลย


 


‘หลุมพราง’ นี้ฟังแล้วง่ายดาย


 


ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้ตี้จิ่วหลงเชื่อ เพราะหากอีกฝ่ายมีความแคลงใจแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเป็นต้องล้มเหลว!


 


เพราะหากมันมีความแคลงใจและไม่ยินยอมพร้อมใจเต็มสิบส่วน เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติย่อมไม่อาจดึงร่างมันเข้าไปได้


 


และหากมันไม่ถูกดึงเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แผนการนี้แน่นอนว่าต้องล่มไม่เป็นท่า คราวนี้ต้วนหลิงเทียนคงได้ตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นไร้หนทางรอดแล้วจริงๆ


 


ในระหว่างทางต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวหว่านล้อมให้ตี้จิ่วเชื่อใจ เพื่อที่จะดึงมันเข้าไปด้านในเจดีย์


 


กระทั่งยังชักแม่น้ำทั้ง 5 กล่าวถึงสาเหตุการตายของตี้ยง ว่าอาจจะเป็นเพราะอันตรายในเจดีย์


 


นอกจากนั้นยังกล่าวถึงเรื่องสมบัติออกมา


 


ทุกอย่างเพียงให้ตี้จิ่วถลำลึกลงไปในหลุมพราง!


 


และเพื่อเพิ่มน้ำหนักในวาจาที่กล่าวออก เขาจึงยกอ้างนามของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางออกมา และนี่ยังเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่อีกด้วยว่าตี้จิ่วจะเคยได้ยินนามนี้มาหรือไม่


 


ปรากฏว่าเดิมพันนี้เขาชนะ!


 


ตี้จิ่วล่วงรู้ถึงตัวตนของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!


 


“เจ้ากล่าวว่ายามเจ้าเข้าไปในเจดีย์นี่ เจ้าพบศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่บริเวณทางเข้าใช่หรือไม่?”


 


ตี้จิ่วมองถามต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง


 


ตี้จิ่วย่อมระวังตัวไม่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ระวังท่าที มองสบตาตี้จิ่วพร้อมพยักหน้า ก่อนที่จะสะบัดมือเรียกศาสตราเซียนที่อาวุโสฝ่ายในอย่างจ้าวเฟิงของสำนักจันทร์จรัสแสงพกติดตัวไว้ออกมา ก่อนที่จะส่งมอบไปให้ตี้จิ่วดู “นี่เป็นศาสตราเซียนที่ว่า ในนั้นมีอาคมเซียน 3 ดาว 2 ดาว และ 1 ดาวจารึกเอาไว้”


 


ตี้จิ่วรับศาสตราเซียนอันเป็น พลองสั้น มาตรวจสอบดูทันที “อืม เป็นศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียน 3 ดาวจารึกเอาไว้จริงๆ…แต่เจ้าได้รับมันมาจากด้านในเจดีย์แน่หรือ?”


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะส่งของเป็นการพิสูจน์แล้ว แต่ตี้จิ่วยังคงระแวงอยู่ดี


 


เผ่าพันธุ์มังกรเดิมทีก็เป็นพวกขี้ระแวงอยู่แล้ว


 


ในฐานะที่ตี้จิ่วเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ สายเลือดที่ไหลเวียนในกายของมันนับว่าบริสุทธิ์กว่าใครในเผ่า มันย่อมขี้ระแวงกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว


 


“ข้ามาจากทวีปมนุษย์ แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะมีปัญญาไปเอาศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวแบบนี้มาจากไหน?”


 


ได้ยินคำถามของตี้จิ่ว ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับพร้อมหัวเราะแห้งๆ


 


แน่นอนว่านี่เป็นท่าทีที่แสร้งแสดงผิวเผินเท่านั้น ในใจยังอดเครียดไปเสียไม่ได้ เพราะตี้จิ่วมันขี้ระแวงเหลือเกิน


 


กระทั่งเขายกเซียนกระบี่ฟงชิงหยางขึ้นมากล่าวอ้าง มันยังมีสติไม่ถูกเรื่องนี้ครอบงำใจโดยสมบูรณ์ นับว่ามันเชื่อคนยากไม่น้อย


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้เขายิ่งต้องใจเย็นให้มาก และแสดงสีหน้าท่าทางให้แนบเนียนที่สุด


 


หากมีพิรุธแม้เพียงจุดเดียว เกรงว่าจะล่มทั้งกระดาน


 


ในขณะที่กล่าวถาม ตี้จิ่วก็จับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็งคล้ายจะสังเกตทีท่าอาการต้วนหลิงเทียนว่าโกหกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่คล้ายโกหกกระทั่งยังหัวเราะเยาะตัวเอง มันก็พยักหน้ารับเบาๆ ในใจก็ลอบเห็นด้วย


 


ที่มาของต้วนหลิงเทียนนั้น หลังจากที่มันมาถึงเกาะป้านเยว่มันก็สืบทราบชัดแล้ว


 


“อันที่จริงกระทั่งด่านพลังฝึกปรือของข้าในตอนนี้ ก็ต้องขอบคุณสมุนไพรวิเศษในเจดีย์เช่นกัน…ตอนนั้นเมื่อ 3 ปีที่แล้วข้ากับตี้ยงเองก็ลองกินเข้าไปทั้งคู่ ทำให้ด่านพลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าขึ้นไปมาก ถึงขั้นบรรลุสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบได้อย่างอัศจรรย์…”


 


“ถ้าตี้ยงลูกเจ้ายังอยู่ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของมันป่านนี้คงบรรลุขอบเขตเซียนไปแล้วล่ะ”


 


กล่าวถึงประโยคสุดท้าย ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาด้วยความทอดถอน


 


“มิน่าแปลกใจเลยที่พลังฝึกปรือของเจ้ากลับก้าวหน้ารวดเร็วนัก!”


 


ตี้จิ่วที่มองต้วนหลิงเทียนยามนี้ในแววตาเผยประกายลึกซึ้งไม่น้อย มันอดไม่ได้ที่จะอิจฉาต้วนหลิงเทียนเรื่องนี้จริงๆ อีกทั้งในใจยังบังเกิดความปรารถนาอันแรงกล้า


 


สมุนไพรวิเศษนั่น อาจจะช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้มันได้เช่นกัน!


 


‘ก้นบึ้ง’ ของต้วนหลิงเทียนนั้น มันตรวจสอบมาโดยละเอียดแล้ว นั่นทำให้มันรู้ดี ว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากเกาะป้านเยว่ อีกฝ่ายยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ด้วยซ้ำ!


 


ทว่า 3 ปีผ่านไป ผู้ฝึกยุทธ์จากทวีปมนุษย์ที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ กลับบรรลุขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบได้อย่างอัศจรรย์!


 


อันที่จริงตอนมันเห็นต้วนหลิงเทียนครั้งแรกแล้วตรวจสอบพลังฝึกปรืออีกฝ่าย มันยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง


 


ทว่าความจริงตั้งอยู่ตรงหน้า ไหนเลยยังไม่เชื่อได้


 


ตอนนั้นมันคิดไปว่าต้วนหลิงเทียนคงประสบโชควาสนาบางประการ


 


ดูเมือนว่าที่แท้ เจดีย์ประหลาดเบื้องหน้านี่ จะเป็นโชควาสนาของอีกฝ่าย


 


มาตอนนี้ความสงสัยในใจของตี้จิ่วจึงคลายลงไปมาก


 


แน่นอนว่าที่เป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้เผยพิรุธใดๆออกมา


 


ทุกวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวดั่งสายลมที่คอยผลักใบเรือ ล้วนคลายข้อสงสัยในใจตี้จิ่วได้อย่างแยบคาย


 


แน่นอนว่าตี้จิ่วไม่เคยเผยข้อสงสัยใดๆออกมา เป็นต้วนหลิงเทียนคาดเดาแล้วเลือกที่จะชิงกล่าวออกมาก่อนทั้งสิ้น


 


ตอนนี้สงครามระหว่างต้วนหลิงเทียนกับตี้จิ่วนั้นไร้กลิ่นดินปืนอะไร เพียงทำสงครามจิตวิทยากันเท่านั้น


 


“โชคร้ายที่ถึงแม้จะมีสมุนไพรมากมายหลายชนิด แต่ข้ากับตี้ยงมาพบเอาทีหลังว่ามีเพียงต้นแรกที่พวกเรากินของชนิดนั้นๆเท่านั้นถึงจะมีผลเลิศล้ำที่สุด ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงกินอย่างเสียเปล่าไปหลายสิบต้นเช่นกัน ในนั้นจึงเหลือสมุนไพรแค่ไม่กี่สิบต้นเท่านั้น”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นประกายแห่งความโลภที่อยู่ลึกลงไปในแววตาของตี้จิ่ว พลันส่งแรงผลักเรือตามกระแสมาอีกรอบ


 


พอได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน ลูกตาตี้จิ่วทอประกายวาบขึ้นมายังลอบด่าต้วนหลิงเทียนในใจ ‘ตัวโง่งมเอ๊ย!’


 


ตอนที่ตี้จิ่วมาถึงเกาะป้านเยว่ครั้งแรก มันโกรธแค้นจนแทบสิ้นสติ มันจึงเข่นฆ่าสังหารและทำลายทุกสิ่งอย่างเพื่อระบายอารมณ์ หวังให้มนุษย์เหล่านี้กลบฝังไปพร้อมบุตรชายมัน


 


หลังจากนั้นพออารมณ์มันสงบลง ทำให้แม้จะเห็นพวกเฟิ่งหวู่เต้าย้อนกลับมามันก็ไม่ได้ออกมาลงมือเข่นฆ่าแต่อย่างไร เพียงลอบฟังและเก็บข้อมูลเท่านั้น


 


เป็นเวลาเกือบปีที่มันเฝ้ารออย่างอดทน


 


จนพอได้รับฟังอะไรหลายๆอย่างสติมันก็แจ่มใส และคิดที่จะสืบหาสาเหตุการตายของบุตรชายมัน


 


แน่นอนว่าหากบุตรชายมันถูกฆ่าจริงๆ มันย่อมไม่มีวันปล่อยให้มือสังหารรอดไปได้!

 

 

 


ตอนที่ 1536

 

มั่นใจ 5 ส่วน


 


มาตอนนี้ตี้จิ่วเชื่อคำของต้วนหลิงเทียนไปแล้วถึง 7-8 ส่วน


 


พอได้รู้ว่าบุตรชายของมันอาจจะตกตายเพราะความโลภ ประสบคราวเคราะห์ในเจดีย์หลังบุกเข้าไป ในใจมันก็คงเหลือแต่เพียงความโศกเศร้าไร้ความเกลียดชังอะไร


 


ท้ายที่สุดแล้ว มันก็มิอาจเกลียดชังโกรธแค้นหอคอยนี่ได้


 


‘ยงเอ๋อ…อย่าได้บอกข้าว่าเจ้ากลับตกตายในเจดีย์นี่จริงๆ…หากเจ้ามิตกตายและได้รับมรดกของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง เจ้าย่อมสามารถหวนคืนสู่เผ่าพันธุ์มังกรเราได้อย่างภาคภูมิ ด้วยพลังฝีมือของเจ้า..ยามนั้นสมควรกล้าแข็งมากพอจะสะกดได้ทั้งเผ่ามังกร…น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก! ดูเหมือนกระทั่งฟ้ายังริษยาอัจฉริยะเช่นเจ้า!!’


 


ตี้จิ่วลอบร่ำร้องในใจอย่างเงียบงัน มันรู้สึกเศร้าใจนักที่พบว่าบุตรชายของมันกลับตายเปล่าเช่นนี้


 


อย่างไรก็ตามหลังยืนยันสาเหตุการตายของบุตรชายได้แล้ว มันก็ระงับความโศกเศร้าในใจชั่วคราว ก่อนที่จะมองสำรวจเจดีย์ 7 ชั้นขนาดมหึมาเบื้องหน้าด้วยความสนใจ ‘มรดกของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ทั้งจากขนาดใหญ่โตของเจดีย์นี่ สมควรมีสมบัติทั้งมรดกตกทอดที่ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย’


 


‘ที่ร้ายกาจที่สุดของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางคือ วรยุทธ์กระบี่…หากข้าตี้จิ่วได้สืบทอดวรยุทธ์นั่น ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ก็ไร้ผู้ใดทัดเทียมข้าได้!’


 


เมื่อนึกถึงโอกาสที่มันอาจจะได้รับสืบทอดมรดกและวรยุทธ์ของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง ตี้จิ่วก็ตื่นเต้นไม่น้อย


 


มาตอนนี้มันโยนเรื่องราวความตายของบุตรชายไว้ด้านหลัง ยังเจือจางหายไปดั่งควันต้องลม


 


บางทีคงเป็นเพราะมันรู้ว่าลูกมันไม่ได้ถูกใครฆ่าตาย ความโกรธแค้นจึงหายไป เหลือก็แต่เพียงความเศร้าเล็กน้อยเท่านั้น


 


ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แข็งแกร่งย่อมได้รับความนับถือ อ่อนแอก็เป็นแค่เศษธุลี


 


พอรู้ว่าบุตรชายไม่ได้ถูกฆ่าตาย มันก็เลิกสนใจไปทันที เพราะยังมีสิ่งสำคัญที่มันต้องให้ความสนใจก่อน


 


“พวกเราจักเข้าไปในเจดีย์นี่ได้อย่างไร?”


 


ตี้จิ่วมองถามต้วนหลิงเทียน


 


“คิดเข้าไปด้านในเจดีย์ พวกเราต้องจัดตั้งค่ายกลแยกน้ำทะเลออกไปเสียก่อน…จากนั้นเมื่อรอบๆเจดีย์ไร้น้ำทะเลแล้ว พอพวกเราเข้าไปใกล้ จะสัมผัสได้ถึงพลังดูดรั้งประการหนึ่ง เรื่องนี้ต้องอย่าต่อต้านแม้แต่น้อย เพราะถ้าคิดต่อต้านก็ไม่อาจเข้าไปได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบตี้จิ่ว


 


“แยกน้ำทะเล? ไฉนต้องทำอะไรเช่นนั้นด้วย?”


 


ตี้จิ่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


 


มันไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ เพราะนี่มันแปลกประหลาดเกินไป


 


หรือน้ำทะเลจะทะลักเข้าไปในเจดีย์ด้วย?


 


“ถ้าไม่ได้แยกน้ำทะเลออก แม้พวกเราจะสามารถเข้าไปในเจดีย์ได้ แต่พวกเราจะถูกขับออกมาจากเจดีย์ทันที…เรื่องนี้เป็นข้ากับตี้ยงหาหนทางอยู่นานกว่าจะค้นพบ ตี้ยงยังบอกข้าว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะมิติภายในเจดีย์มันไม่เสถียร ทำให้ไม่อาจถูกการรบกวนจากสิ่งเร้าภายนอก”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ


 


“เจ้าลองเข้าไปให้ข้าดู”


 


หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ตี้จิ่วก็นิ่งคิดไปพักหนึ่ง ค่อยกล่าวสั่งออกมา


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนชักสีหน้างุนงง นิ่งไปพักหนึ่ง


 


“ข้าบอกให้เจ้าเข้าไป”


 


ตี้จิ่วกล่าวย้ำด้วยความขัดใจ


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำของตี้จิ่ว ก็มองจ้องตี้จิ่วทั้งขมวดคิ้ว ค่อยลอบทอดถอนในใจ ‘ตี้จิ่วนี่มันระวังตัวแจทีเดียว’ หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เข้าเจดีย์ไปด้วยท่าทางไม่พร้อมใจสักเท่าไร


 


และพอเข้าไปในเจดีย์ ร่างเขาก็ถูกเขย่าอย่างแรงปานแผ่นดินไหว ก่อนที่จะถูกเจดีย์ขับออกมาทันที สีหน้ายังซีดลงไม่น้อย


 


ด้วยน้ำทะเลห้อมล้อมแบบนี้ มิติภายในเจดีย์ย่อมไร้เสถียรภาพ


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้กล่าวโป้ปดแต่อย่างใด


 


แม้ถึงตอนที่ตี้จิ่วจะเข้าไปด้านในจริงๆ เขาก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมรอบเจดีย์ให้ไร้สิ่งรบกวนใดๆ ด้วยวิธีนี้ตี้จิ่วจะไม่ถูกเจดีย์ขับไล่ออกมาเร็วนัก


 


ผู้เฒ่าหั่วก็ต้องใช้เวลาในการฆ่ามันเช่นกัน


 


ดังนั้นวาจาที่เขากล่าวบอกมันออกไป ก็เสมือนการฉีดยาเสริมภูมิคุ้มกันให้มันล่วงหน้า เพื่อให้ตี้จิ่วไม่สงสัยเรื่องถูกขับออกมาจากเจดีย์


 


เมื่อเห็นสีหน้าอาการย่ำแย่ของต้วนหลิงเทียน ตี้จิ่วก็เชื่อทันที


 


“ให้ข้าลองดู”


 


ขณะเดียวกันตี้จิ่วก็เริ่มเข้าไปใกล้เจดีย์ หมายลองเข้าไปดู


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นดังนั้นก็คิดให้เจดีย์ดูดร่างตี้จิ่วเข้าไปทันที ทว่าแม้เขาจะคิดให้เจดีย์ดูดร่างมันเข้าไปแล้ว แต่ตี้จิ่วก็ยังยืนอยู่ด้านนอกไม่ได้วูบหายเข้าไป


 


ต้วนหลิงเทียนสะท้านในใจทันใด เขารู้ว่านี่เป็นเพราะตี้จิ่วต่อต้านการเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!


 


เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติตอนนี้ยังไม่มีอำนาจดูดรั้งผู้คนเข้าไปอย่างไม่ยินยอม


 


“มีพลังดูดรั้งจริงๆ”


 


นี่เป็นการทดสอบของตี้จิ่วเท่านั้น เพื่อทดสอบดูว่าต้วนหลิงเทียนโกหกมันหรือไม่


 


“อีกครั้ง”


 


เมื่อมาถึงจุดนี้ตี้จิ่วก็ยินยอมพร้อมใจปล่อยให้พลังดูดรั้งของเจดีย์ชักนำเข้าไปอีกรอบ


 


พริบตาต่อมาเมื่อร่างตี้จิ่ววูบหายเข้ามาอยู่ในเจดีย์ มันก็สัมผัสได้ถึงพลังต้านทานมหาศาลกดทับลงบนร่าง หมายผลักมันออกไป!


 


พลังมหาศาลดังกล่าว ทำให้มันสำเหนียกตัวว่ามันยังอ่อนแอถึงเพียงใด!


 


ความรู้สึกอัดอัดกระจายไปทั่วร่างกาย ตี้จิ่วไม่อาจต้านทานอันใดได้ สุดท้ายเพียงแค่พริบตาตี้จิ่วก็พบว่าตอนนี้ตัวมันถูกขับออกมาอยู่ด้านนอกเจดีย์แล้ว


 


“ข้าไม่ได้หลอกเจ้าเห็นรึยัง?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองตี้จิ่ว ค่อยกล่าวพร้อมยักไหล่


 


ตี้จิ่วพ่นลมดังเหอะ ก่อนที่จะมองถามต้วนหลิงเทียน “แล้วตอนนั้น เจ้ากับตี้ยงทำอย่างไร?”


 


“ข้าแยกน้ำทะเลออกไปด้วยค่ายกลของทวีปมนุษย์ เพราะตี้ยงมอบวัตถุดิบให้ข้ามากมาย ข้าจึงจัดตั้งค่ายกลที่สามารถคงสภาพไว้ได้นาน…หากใช้วัตถุดิบที่ข้ามีตอนนี้ คงคงสภาพค่ายกลนั่นไว้ไม่ได้นาน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวอธิบายออกมาอย่างรื่นไหล


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ใช้วัตถุดิบจัดตั้งค่ายกลนั่นก่อน ข้าจักเข้าไปสำรวจดูเล็กน้อย…หลังจากนั้นค่อยเข้าไปอีกครั้งดีๆ หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบอันใดเรียบร้อยแล้ว”


 


ตี้จิ่วกล่าว


 


“ข้าได้ยินมาว่าที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็มีปรมาจารย์ยันเต๋า กับปรมาจารย์จารึกเซียน พวกมันก็มีความสามารถจัดตั้งค่ายกลเหมือนทวีปมนุษย์ อีกทั้งยังมีอานุภาพสูงล้ำกว่า…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปยังตี้จิ่วด้วยสายตาร้อนแรง


 


“ข้าไม่ใช่ปรมาจารย์ยันเต๋าหรือปรมาจารย์จารึกเซียน”


 


วาจาตี้จิ่วย่อมทำให้ต้วนหลิงเทียนผิดหวังไม่น้อย


 


แม้ใจจะผิดหวัง แต่เรื่องนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงลอบคิดไปอย่างเสียดาย ‘ตอนแรกข้าคิดให้มันขุดหลุมฝังศพตัวเองซะหน่อย หากมันเป็นปรมาจารย์ยันเต๋าหรือปรมาจารย์จารึกเซียน…แต่ตอนนี้ดูเหมือนข้าได้แต่ลงมือด้วยตัวเองเท่านั้น นอกจากนั้นเพื่อไม่ให้มันสงสัยข้าไม่อาจใช้อาคมเซียนจัดตั้งค่ายกล’


 


ตอนนี้ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 2 ดาวแล้ว เขาย่อมจัดตั้งค่ายกลที่ใช้อาคมเซียนได้เช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้ตี้จิ่วเคลือบแคลงสงสัย เขาทำได้แต่จัดตั้งค่ายกลของทวีปมนุษย์เท่านั้น


 


ตอนนี้เขาต้องระวังทุกฝีก้าว ไม่อาจเสี่ยงผิดพลาดอะไรได้


 


ก้าวผิดเพียงครั้ง พังทั้งกระดาน!


 


‘ด้วยวัตถุดิบที่เหลือติดตัว…ค่ายกลแยกน้ำทะเล อย่างดีก็คงสภาพไว้ได้ 10 ลมหายใจ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวกับตี้จิ่วทันที “บางทีพวกเราควรไปหาวัตถุดิบมาก่อนดีหรือไม่ เพราะด้วยวัตถุดิบที่ข้ามีอย่างดีก็จัดตั้งค่ายกลที่คงสภาพไว้ได้แค่ 4-5 ลมหายใจเท่านั้น”


 


เพื่อที่จะทำให้ตี้จิ่ววางใจ ต้วนหลิงเทียนจึงจงใจบอกระยะเวลาให้สั้นลงกว่าครึ่ง


 


อย่างไรก็ตามวาจาตอบกลับของตี้จิ่ว ทำให้ต้วนหลิงเทียนผิดหวัง


 


“มีเวลาให้ข้าเข้าไปสำรวจ 2-3 ลมหายใจก็เพียงพอ ข้าเพียงคิดสำรวจสภาพแวดล้อมด้านในคร่าวๆเท่านั้น มิได้คิดเข้าไปลึกแต่อย่างไร”


 


นี่เป็นความตั้งใจของตี้จิ่ว


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยากเขกกะโหลกตัวเองสักทีนัก เขาควรจะบอกตี้จิ่วว่าไม่มีวัตถุดิบใดๆที่ใช้ในการจัดตั้งค่ายกลเลยมากกว่า! เพราะนั่นจะทำให้เขาไปเตรียมวัตถุดิบที่ดีกว่านี้และคงสภาพค่ายกลได้นานเท่าที่ต้องการ!!


 


ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เขาจึงมีเวลาให้ผู้เฒ่าหั่วลงมือแค่ 10 ลมหายใจเท่านั้น ‘ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าหั่วจะฆ่ามันได้ใน 10 ลมหายใจหรือไม่’


 


คิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามผู้เฒ่าหั่วผ่านปราณแท้ทันที


 


“ด้วยพลังฝีมือของมันที่ข้าตรวจสอบดูคร่าวๆ ด้วยสภาพร่างกายของข้าตอนนี้ ทำให้มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าข้าเลย…10 ลมหายใจ…ข้าไม่กล้ารับปากเจ้าว่าจะฆ่ามันได้! แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อฆ่ามันคลี่คลายสถานการณ์วิกฤติให้เจ้า!”


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบ


 


“ท่านมั่นใจว่าจะฆ่ามันได้กี่ส่วนหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“5 ส่วน”


 


ผู้เฒ่าหัวตอบกลับมาทันที


 


“5 ส่วน?”


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนคิดหนักไม่น้อย สุดท้ายก็กัดฟันตอบไป “ลงมือเถอะ!”


 


โชคเป็นของผู้กล้า!


 


และ ณ จุดนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น มีแต่ต้องเสี่ยงเท่านั้น


 


“ในระหว่างที่ข้าจัดตั้งค่ายกล ข้าต้องให้เจ้าช่วยแยกน้ำทะเลรอบเจดีย์ให้ข้า พอเราเข้าไปในเจดีย์แล้วถึงจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของค่ายกล”


 


ต้วนหลิงเทียนมองไปทางตี้จิ่วพร้อมกล่าว


 


ตี้จิ่วพยักหน้ารับเบาๆ ไม่เห็นว่ามันลงมืออย่างไร แต่ทันใดนั้นมวลน้ำทะเลมหาศาลรอบเจดีย์พลันถูกขับออกไปในชั่วพริบตา!


 


ไม่ทันไรรอบเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ไม่มีน้ำทะเลเหลืออยู่เลย


 


สำหรับตี้จิ่วแล้ว การใช้พลังแยกน้ำทะเลแบบนี้เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก คล้ายมันแทบไม่เหนื่อยแรงอะไรด้วยซ้ำ


 


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ


 


ไม่ต้องกล่าวถึงยอดฝีมือในขอบเขตเซียนอันร้ายกาจเช่นมัน กระทั่งด้วยพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบของต้วนหลิงเทียน เขาก็สามารถใช้พลังแยกน้ำทะเลแบบนี้ได้ยาวนานต่อเนื่องสิบวันครึ่งเดือนด้วยซ้ำ


 


‘หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าน่าจะเตรียมวัตถุดิบไว้จารึกอาคมให้มากหน่อย’


 


ในขณะที่จารึกอาคมเพื่อเตรียมจัดตั้งค่ายกล ต้วนหลิงเทียนก็ลอบเสียดายในใจไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตาม ไหนเลยเขาจะรู้ว่าต้องมาเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้?


 


‘ทหารมาจัดทัพสู้ น้ำมาก่อทำนบกั้นสินะ…’


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สงบอารมณ์ เริ่มเตรียมการจารึกอาคมยิบย่อยทั้งหลายเพื่อจัดตั้งค่ายกล


 


เขาจะต้องอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด


 


ด้วยวิธีนี้เขาถึงจะทำได้ดีที่สุดกระทั่งอาจทำให้ค่ายกลมีพลังเหนือกว่าเดิม และนั่นยังเป็นการซื้อเวลาเพิ่มให้ผู้เฒ่าหั่วด้วย อย่างไรเสีย 10 ลมหายใจมันก็สั้นเกินไป


 


โดยไม่รู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็จดจ่ออยู่กับการจารึกอาคมเต็มที่ ตัดขาดเรื่องราวโดยรอบไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งใจจารึกอาคมเก่าๆที่ไม่ได้กระทำมาเนิ่นนานแล้ว


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้เขาจะไม่ได้จารึกอาคมแบบเก่ามานาน แต่ด้วยความละม้ายคล้ายเหมือนของการจารึกอาคมเซียน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พบปัญหาอะไรในการจัดตั้งค่ายกลครั้งนี้


 


ทั้งยังทำได้ดีกว่าเป้าหมายเดิมอีกด้วย


 


‘ค่ายกลนี่สมควรคงสภาพเอาไว้ได้ 11 ลมหายใจ…เกินกว่าที่ข้าคาดไว้ 1 ลมหายใจ’


 


หลังจากจารึกอาคมและจัดตั้งค่ายกลเสร็จสิ้น ต้วนหลิงเทียนก็พึงพอใจไม่น้อย


 


เวลาที่เพิ่มขึ้นมาแค่ 1 ลมหายใจแม้จะสั้นนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ซื้อเวลาเพิ่มให้ผู้เฒ่าหั่วได้สำเร็จ ทำให้มีโอกาสในการฆ่าตี้จิ่วมากขึ้น


 


“จัดตั้งค่ายกลเสร็จแล้ว?”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นยืน ตี้จิ่วก็กล่าวถามออกมาทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)