War sovereign Soaring The Heavens 1508-1523

 ตอนที่ 1508

 

ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!


 


การฆ่าล้างสกุลโอวหยางเพียงทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ลืมมันไปจากหัว


 


อย่างไรก็ตามเรื่องที่เขาทราบเป็นเรื่องต่อมากลับทำให้เขาขุ่นขึ้งใจไม่น้อย


 


‘ตัวบัดซบหวงเฉินนั่นมันหนีไปแล้วจริงๆ…’


 


สุดท้ายเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้เกิด ก็ยังเกิด…


 


หวงเฉิง อาวุโสฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงผู้ที่ต้องการฆ่าเขา…มันได้เลือกที่จะออกจากนิกายไปแล้ว หลังจากฆ่าเขาไม่สำเร็จ…!


 


‘มันกลัวว่าพอข้ากลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง แล้วข้าจะไปขอให้ศิษย์พี่ป๋ายฆ่ามันสินะ’


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยาก


 


ถึงแม้หวงเฉิงจะเป็นอาวุโสฝ่ายนอก แต่หากป๋ายลี่หงอยากให้มันตายมันก็ต้องตาย และสำนักก็ไม่มีใครคิดเอาความเรื่องนี้จากป๋ายลี่หงแน่นอน


 


ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ…


 


และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง ทั้งสำนักก็ปั่นป่วนอีกครั้ง หรืออย่างน้อยๆเขาก็ยากจะอยู่อย่างสงบๆได้…


 


นั่นเพราะนอกจากข่าวที่สกุลโอวหยางถูกฆ่าล้างตระกูลแล้ว เรื่องที่เขาทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วก็มาถึงสำนักจันทร์จรัสแสงแล้วเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าแตกตื่นกันทั้งสำนัก


 


“สวรรค์ช่วย! ท่านย่าทวดมาเข้าฝันข้าสักครั้งแล้วบอกข้าทีเถอะว่านี่มันความฝัน!”


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายคนหน้าเสียกันไม่น้อย


 


และศิษย์ฝ่ายในที่หน้าเสียนี้ ทั้งหมดคือคนที่ตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในวันที่เขาทุบตีกรรโชกทรัพย์เฮ่อจง!


 


พวกมันทั้งหมดมั่นใจหนักหนาว่าในวันที่ต้วนหลิงเทียนทุบตีเฮ่อจงนั้น เขายังพึ่งอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น


 


ทว่านี่เวลามันพึ่งผ่านไปเท่าไหร่กัน ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงทะลวงไปยังขอบเขตสู่เซียนแล้ว?


 


“เป็นโอสถเซียนทิพย์หรือสมุนไพรในตำนานอันใดกันแน่ ที่อาวุโสป๋ายลี่มอบให้ต้วนหลิงเทียนกิน?”


 


“เหอๆ…ข้าเกิดมามิเคยได้ยินโอสถเซียนทิพย์หรือสมุนไพรบัดซบอันใด ที่ทำให้ผู้คนทะลวงผ่านจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบมายังสู่เซียนได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้”


 


“ต้วนหลิงเทียนใช่ผู้คนแน่หรือ…หรือที่แท้แล้วเป็นเทพเซียนอมตะกลับชาติมาเกิดกัน?”


 


“อย่าได้กล่าวเหลวไหลเพ้อเจ้อกันให้มากนัก…ข้าว่าคงไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์โดยบังเอิญอันใดมานั่นล่ะ”


 


……


 


ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม แต่เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วก็เป็นความจริง!


 


เพราะในตอนที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยพลังฝึกปรือว่าบรรลุขอบเขตเซียนแล้ว นอกจากคนของสำนักจันทร์จรัสแสงไม่กี่คนวันนั้น เขายังกระทำมันต่อหน้าคนของขุมพลังทั้ง 8 เช่นกัน จึงยากที่จะเป็นข่าวลวงได้


 


เรียกว่าทั้งสำนักจันทร์จรัสแสงถึงกับเดือดพล่านเพราะข่าวนี้!


 


หากสำนักจันทร์จรัสแสงก่อนที่ต้วนหลิงเทียนมาอยู่เป็นน้ำนิ่งล่ะก็ ตอนนี้เสมือนทะเลที่มีมรสุมกระหน่ำ!


 


“ศิษย์น้อง…เจ้าทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วจริง?”


 


ป๋ายลี่หงที่พึ่งได้รับทราบเรื่องราวก็ตกใจไม่น้อย


 


ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือมากมายแพร่กันด้านนอก ว่าพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนก้าวหน้าไวว่องเพราะป๋ายลี่หง แต่ตัวป๋ายลี่หงรู้ดี ว่ามันไม่ได้ส่งเสริมหรือสนับสนุนใดๆต้วนหลิงเทียนในด้านการบ่มเพาะพลังทั้งสิ้น!


 


มันยังไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น!


 


“ทะลวงแล้ว”


 


หันไปหาป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มตอบพร้อมพยักหน้ารับ


 


ครู่ต่อมาป๋ายลี่หงก็ฉีกยิ้มขื่นขมแววตาซับซ้อน “ตอนแรกข้าคิดว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดในเต๋าแห่งการจารึกของศิษย์น้องยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่ผู้ใดจะไปรู้พรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของเจ้ายังน่ากลัวขนาดนี้…ไม่สิ! ไม่ใช่น่ากลัวธรรมดา…ยังน่ากลัวท้าทายสวรรค์นัก!!”


 


ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนกลับยกระดับจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบจนมาถึงขอบเขตสู่เซียน ความก้าวหน้านี้รวดเร็วท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!


 


มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้ว่าไฉนเขาถึงก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน


 


ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะศักยภาพของเขานับว่าไม่เลว แต่ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


การไหลของเวลาที่เชื่องช้าในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ รวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศอันหนาแน่นสุดที่ใครจะจินตนาการได้ ย่อมทำให้พลังฝึกปรือของเขาไล่ตามผู้อื่นทัน กระทั่งก้าวข้ามไปได้…


 


“ศิษย์น้อง เจ้าทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วแบบนี้…เช่นนั้นเจ้าก็จารึกอาคมเซียน 2 ดาวได้แล้วสิ?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถาม


 


“อ่า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า พอกลับมาถึงสำนักเขาเองก็ลองจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวดู หลังพลาดไป 2-3 ครั้งเขาก็สามารถจารึกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


“แล้วสามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดารจารึกได้หรือไม่?”


 


ลูกตาป๋ายลี่หงส่องสว่างขึ้นมาเจิดจ้า เร่งกล่าวถามด้วยความร้อนใจ


 


“หลังจากที่ข้ากลับมา ข้าก็มีจำลองการจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวด้วยเคล็ดวิชาจารึกพิสดารในหัวอยู่บ้าง แต่ข้ายังไม่เคยฝึกหรือทดลองจารึกจริงๆจังๆเลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“เช่นนั้นข้ามีโชคพอจะดูเจ้าทดลองจริงหรือไม่?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“เอาสิ ไม่มีปัญหา”


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยทันที หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทดลองใช้เคล็ดจารึกพิสดารจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวต่อหน้าป๋ายลี่หง


 


ด้วยเคล็ดวิชาจารึกพิสดาร ทำให้วัตถุดิบที่เขาต้องใช้ลดลงกว่าเดิมกว่า 2 เท่า


 


หลังจากที่ทดลองอยู่ไม่กี่ครั้ง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดาร จารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ


 


วัตถุดิบที่ต้องใช้ในการจารึกก็น้อยลงกว่าครึ่ง หากเทียบกับการจารึกแบบปกติ


 


“ศิษย์น้องต้วน กล่าวถึงวิถีจารึกแล้ว เจ้ามันสุดยอดอัจฉริยะชัดๆ!”


 


เห็นต้วนหลิงเทียนลองผิดลองถูกไม่กี่ครั้งก็สามารถใช้เคล้ดวิชาจารึกพิสดารจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้อย่างไร้ตำหนิ ป๋ายลี่หงก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งชมออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


“ข้ายังคิดโน้มน้าวเจ้าให้แบ่งเวลาไปกับการจารึกอาคมเซียนให้มากกว่าเดิมเสียหน่อย…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจักมิจำเป็นอันใด มิว่าจะในเชิงยุทธ์หรือการจารึก พรสวรรค์ของเจ้าก็เหนือกว่าผู้คนทั่วไปมากนัก”


 


“ผู้อื่นย่อมยากที่จะหาจุดลงตัวระหว่างการแบ่งเวลามาฝึกฝนการจารึกอาคมเซียนกับฝึกวรยุทธ์บ่มเพาะพลัง แต่นั่นมิใช่กับเจ้า”


 


ในวาจาของป๋ายลี่หงนั้น เห็นได้ชัดว่าศรัทธาในตัวต้วนหลิงเทียนถึงขั้นหน้ามืดตามัวแล้ว


 


“ศิษย์พี่ข้าว่าจะไปลงทะเบียนเข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายใน…ว่าแต่การทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในมันจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่หรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม


 


“ศิษย์น้องต้วน ด้วยพลังฝีมือของเจ้าตอนนี้…เรื่องการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในยังจำเป็นอีกหรือ? ข้าใช้ให้คนไปเอาป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายในมาให้เจ้าเอง”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก็เห็นว่าจริงตามนั้น


 


ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็เกรงว่าจะไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย


 


ดังนั้นเขาก็ไม่คิดปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ของป๋ายลี่หง


 


“ศิษย์น้อง เจ้าคงยังมิได้ลืมสัญญาว่าจักย้ายมาอยู่กับข้าหลังเจ้ากลายเป็นศิษย์ฝ่ายในหรอกนะ?”


 


ป๋ายลี่หงหยีตากล่าวถาม


 


“ข้าจะลืมได้ยังไงศิษย์พี่หง”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากศิษย์พี่ไม่รังเกียจ งั้นตั้งแต่วันนี้ข้าจะมาอยู่บ้านท่านเลยแล้วกัน”


 


“ฮ่าๆๆ…ดี! มาเถอะ ข้าให้คนไปทำความสะอาดรอเจ้าเข้ามาอยู่ตลอด เจ้าจะมาอยู่ตอนไหนก็ได้”


 


หลังจากได้รับคำยืนยันจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ป๋ายลี่หงก็หัวเราะร่าออกมา มันมีความสุขไม่น้อย


 


ได้ยินคำนี้ของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนก็ตื้นตันใจไม่น้อย


 


“จริงสิ ไปเมืองหานเหอคราวนี้ เจ้าเจอปัญหาอะไรหรือไม่?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถาม


 


มันไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นกับต้วนหลิงเทียนระหว่างที่ไปเมืองหานเหอเลย กระทั่งเรื่องราวในเมืองหานเหอมันก็ไม่รู้เพราะมันไม่เคยถามใคร


 


อันที่จริงก่อนต้วนหลิงเทียนไป มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้วนหลิงเทียนออกเดินทางไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตามมันไม่คิดตำหนิต้วนหลิงเทียนเรื่องนี้ เพราะมันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากรบกวนมันหรือทำให้มันเป็นห่วง


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยอมรับป๋ายลี่หงเป็น ‘พี่ชาย’ มานานแล้ว ถึงแม้ช่องว่างระหว่างวัยจะมีไม่น้อยก็ตาม


 


ดังนั้นเขาไม่คิดซ่อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางกับป๋ายลี่หง และเลือกที่จะกล่าวบอกออกไปเกือบทุกอย่าง


 


แน่นอนว่าเรื่องราวส่วนที่อันตรายเขาก็ตัดออกไป


 


เพราะไม่งั้นเกรงว่าคงทำให้ป๋ายลี่หงตกใจไปกันใหญ่


 


“อาวุโสฝ่ายนอกหวงเฉิงงั้นเหรอ ตัวบัดซบที่ละโมบนัก! กล้าดีอย่างไรถึงคิดฆ่าชิงทรัพย์เจ้า…สมควรตาย! ศิษย์น้องเจ้าอย่าได้กังวล ข้าจะใช้เส้นสายและความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีลากคอหวงเฉิงนั่นกลับมาให้เจ้าให้จงได้! ถึงตอนนั้นเจ้าจะแล่จะสับมันอย่างไรก็ตามใจเจ้า!!”


 


ป๋ายลี่หงนับว่าโมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ


 


หากตอนแรกกล่าวว่ามันรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้องเพราะคิดว่าอีกฝ่ายสามารถสืบทอดเคล็ดจารึกพิสดารได้ล่ะก็


 


มาตอนนี้มันเห็นอีกฝ่ายเป็นศิษย์น้องจริงๆแล้ว!


 


ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายสามารถฝึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารได้สำเร็จ กระทั่งอุปนิสัยใจคอยังเข้ากับมันได้ดี


 


ยามมันอยู่กับต้วนหลิงเทียน มันรู้สึกได้ถึงคำมิตรภาพของสหายต่างวัย


 


พอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเกือบตายด้วยน้ำมือหวงเฉิง ป๋ายลี่หงย่อมโกรธแค้นเป็นฟืนไฟ


 


“ศิษย์พี่อย่าได้โมโหไปเลย ข้าไม่ได้กังวลเรื่องหวงเฉิงสักนิด”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ กล่าวออกด้วยความมั่นใจ


 


เขามั่นใจอย่างที่พูดจริงๆ


 


ถึงตอนนี้พลังฝีมือของเขาอาจจะยังไม่สามารถฆ่าหวงเฉิงได้ง่ายๆ แต่ขอเพียงมีเวลาอีกนิดเขาต้องฆ่ามันได้ง่ายๆแน่!


 


สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นอะไรที่ชั้น 2 ไม่อาจเทียบได้!


 


“ส่วนเจ้าคนชุดคลุมลมดำนั่น สมควรเป็นคนของตลาดมืดหยินชาน!”


 


ไม่นานป๋ายลี่หงก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โชคดีนักที่เจ้าได้พบกับผู้มีพระคุณ ไม่งั้นเรื่องราวคงจบลงเลวร้ายแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่าถึงนักฆ่าในชุดคลุมลมดำออกไปเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามเขาตัดเรื่องตราผนึกมารออกไป แต่เพิ่มยอดฝีมือลึกลับมากคุณธรรมที่บังเอิญผ่านมาเข้าไปแทน


 


“ใช่ ข้านับว่าโชคดีจริงๆที่ได้พบผู้มีพระคุณ…น่าเสียดายที่ข้าถามนามกับความเป็นมาของท่านเพื่อเอาไว้ตอบแทนบุญคุณในภายหลังแล้วแท้ๆ แต่ท่านกลับจากไปโดยไม่บอกอะไรข้าเลย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจ ท่าทางยังสมจริงนัก


 


ป๋ายลี่หงย่อมไม่สงสัยเคลือบแคลงวาจาของต้วนหลิงเทียน “ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเจ้า สมควรเป็นยอดฝีมือรักสันโดษ ที่มาอาศัยอยู่ในเขต 9 พันธมิตร…พลังฝีมือระดับนั้น น่ากลัวว่าจะเทียบได้กับผู้นำสำนักจันทร์จรัสแสง”


 


“ฟังจากที่เจ้าเล่า นักฆ่าในชุดคลุมลมดำของตลาดมืดหยินชานผู้นั้นสมควรบรรลุหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่แล้ว แต่การที่ผู้มีพระคุณเจ้าอาศัยฝ่ามือเดียวก็ฆ่ามันได้ง่ายๆ เห็นชัดว่ามิใช่ยอดฝีมือในขอบเขตเซียนธรรมดาๆ”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวจบ แววตาก็เผยความสำนึกตื้นตันและขอบคุณ ‘ผู้มีพระคุณ’ ลึกลับคนนั้นไม่น้อย


 


ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง พอได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงสำนักอย่างปลอดภัย ทั้งทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว หลิวฮ่วนถึงกับโมโหเป็นฟืนไฟ ยังทำลายข้าวของอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง! พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน!


 


“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! มันไฉนยังอยู่ดี! ข้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!!”


 


หลิวฮ่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าเผยความตื่นตระหนก ยากยอมรับความจริง

 

 

 


ตอนที่ 1509

 

ธาตุไฟเข้าแทรก กลับกลายเป็นมารร้าย!


 


“แล้วไอ้คนของตลาดมืดหยินชาน มันมัวไปทำบัดซบอันใดกันอยู่!?”


 


แม้มันยากจะยอมรับว่าต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็กลับมาแล้วจริงๆ! ถึงหลิวฮ่วนไม่อยากจะเชื่อเพียงใดแต่ก็ทำได้แค่ยอมรับความจริง..


 


ครู่ต่อมามันอดคิดไปไม่ได้ว่าคนของตลาดมืดหยินชานยังไม่ได้ลงมือ!


 


“ไม่! ข้าตกลงกับคนของตลาดมืดหยินชานแล้ว หากเวลาผ่านไปโดยไร้ผลลัพธ์เท่ากับงานนี้ล้มเหลว…ในเมื่อมันเลยกำหนดเวลานัดหมายมานาน นั่นหมายความว่าพวกมันปฏิบัติภารกิจล้มเหลว!”


 


คิดถึงเรื่องนี้สีหน้าหลิวฮ่วนก็มืดดำลงทันใด


 


ไม่นานมันก็ออกจากคฤหาสน์ที่พักกระทั่งออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง มุ่งหน้าไปยังเมืองหานเหออีกครั้ง


 


มันจะไปยืนยันเรื่องราวด้วยตัวเอง!


 


ในขณะที่หลิวฮ่วนจากไป หลายคนในสำนักก็ได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนแล้วแทบหมดสิ้น


 


“ไม่จริง! เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! มันจะเป็นไปได้ยังไง!!”


 


ทันทีที่เยี่ยหมานออกจากการปิดด่านและได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียน มันก็รู้สึกเลื่อนลอยไม่อาจทนรับความจริงข้อนี้ได้!


 


แรกเริ่มเดิมทีมันคิดว่าการมาสำนักจันทร์จรัสแสงครั้งนี้ มันจะไถ่ถอนตัวเองจากเงามืดในอดีต และทำให้ต้วนหลิงเทียนมาหมอบคลานสยบแทบเท้าและฆ่าอีกฝ่ายทิ้งได้สำเร็จ!


 


อนิจจาสวรรค์กลับเล่นตลกกับมันนัก!


 


กระทั่งมันถูกความคิดด้านมืดครอบงำจนเลือกที่จะเดินสู่หนทางแห่งมาร เพื่อยกระดับพลังฝึกปรือให้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด…แต่สุดท้ายก็ยังห่างไกลจากต้วนหลิงเทียน


 


ทุกครั้งที่มันก้าวหน้า ต้วนหลิงเทียนจะนำหน้ามันเสมอ


 


“ไม่! ไม่!! ไม่!!!”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไอมารก็เริ่มแผ่พุ่งออกมาจากทั่วร่างของเยี่ยหมาน ลูกตาของมันยังแดงฉานกลับกลายเป็นสีโลหิต!


 


ทันใดนั้นเองมันก็พุ่งร่างออกจากบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างของมัน และลงมือฆ่าทุกคนที่อยู่ในสายตา!


 


ตอนนี้พลังฝึกปรือของเยี่ยหมานทะลวงมาถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่แล้ว ศิษย์ฝ่ายนอกที่สู้มันได้มีน้อยคนนัก!


 


ไม่นานศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนก็ตกตายภายใต้น้ำมือมัน บ้างก็ถูกฉีกร่างทั้งเป็น บ้างก็ถูกควักหัวใจด้วยมือเปล่า!


 


ฉากสังหารอำมหิตเลือดสาดจนย้อมปฐพีให้แดงฉานนี้ ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกที่เห็นเรื่องราวหวาดผวาพรั่นกลัวนัก!


 


“ฆ่า! ฆ่า!!”


 


“บัดซบ! ธาตุไฟเข้าแทรกเยี่ยหมานจนไอมารครอบงำจิต! มันกลายเป็นมารร้ายไปแล้ว! วิ่งเร็ว!!”


 


“ผู้ดูแล! ผู้อาวุโส! ช่วยพวกเราด้วย! ช่วยด้วย!!”


 


……


 


ศิษย์ฝ่ายนอกที่เห็นเยี่ยหมานฉีกร่างสหายฝ่ายนอก รีบวิ่งหนีทั้งตะโกนร้องเสียงดังลั่น


 


ด้านศิษย์ฝ่ายนอกที่ถูกเยี่ยหมานไล่ฆ่า ก็ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง


 


น่าเสียดายที่อาวุโสฝ่ายนอกทั้งผู้ดูแลฝ่ายนอกไม่อาจมาได้ในพริบตาจำต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เช่นนั้นกว่าจะมาถึงเยี่ยหมานก็ฆ่าคนไปนับสิบแล้ว!


 


ทุกครั้งที่มันฆ่าคน ไอมารทั่วร่างของมันก็เริ่มหนาแน่นขึ้น!


 


สุดท้ายพลังฝึกปรือของมันก็บังเกิดความก้าวหน้า!


 


ไอมารเร่งเร้าปราณแท้จนทำให้มันทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียน!


 


“สู่เซียนขั้นต้น!?”


 


ตอนแรกเยี่ยหมานก็สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ทว่ายามเมื่อพลังฝึกปรือก้าวหน้า มันก็คืนสติกลับมาอีกครั้ง


 


และตอนนี้มันก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันสร้างปัญหาใหญ่หลวงแล้ว!


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอยู่ในขอบเขตสู่เซียน ตัวข้าก็ทะลวงมาถึงสู่เซียนแล้ว…วันหนึ่งข้าจะย่ำเหยียบร่างเจ้า!”


 


หลังจากที่ทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียน ความมั่นใจของเยี่ยหมานก็ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง


 


และเมื่อตระหนักได้ถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังใกล้เข้ามา เยี่ยหมานก็ไม่กล้าอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงต่อไป เร่งรุดหลบหนีออกจากสำนักไปทันที


 


อย่างไรก็ตามความเร็วของมันจะเทียบกับความเร็วของอาวุโสฝ่ายนอกได้อย่างไร?


 


เพียงเวลาแค่ไม่นาน อาวุโสฝ่ายนอกไม่กี่คนก็มาถึง และเริ่มปิดล้อมมันเอาไว้


 


ฟุ่บ!


 


ทันใดนั้นเองเสมือนมีสายลมกรรโชกหอบหนึ่งพัดมา มีร่างหนึ่งวูบมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเยี่ยหมาน


 


“อาวุโสตงฟาง!”


 


อาวุโสที่มาถึงก่อนไม่กี่คนพอเห็นร่างผู้มาใหม่ก็รีบคารวะทักทายทันที


 


คนที่พึ่งมาถึงนั้นคืออาวุโสสูงสุดฝ่ายนอก อาวุโสตงฟาง!


 


อาวุโสฝ่ายนอกไม่กี่คนที่มาถึงก่อน ไม่คิดเลยว่าอาวุโสตงฟางจะออกโรงด้วยตัวเองแบบนี้…อย่างไรก็ตามพอพวกมันคิดถึงความรุนแรงของสถานการณ์ การที่อีกฝ่ายปรากฏตัวแบบนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอีกต่อไป


 


หากอาวุโสตงฟางไม่มาสิ ถึงจะน่าแปลก!


 


สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็นับเป็นผู้อาวุโสที่ควบคุมดูแลทั้งฝ่ายนอก พวกมันชนชั้นอาวุโสฝ่ายนอกและเหล่าผู้ดูแลทั้งหมดอยู่ภายใต้คำสั่งของอีกฝ่าย


 


“เจ้ากล้าดีอย่างไร! ถึงได้ลงมือสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้า!?”


 


ตอนนี้สีหน้าของตงฟางเฉียนนับว่าอัปลักษณ์ปั้นยากนัก มันไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ขึ้นมาได้ ในขณะที่มันดำรงตำแหน่งอาวุโสสูงสุดของฝ่ายนอก!


 


เรื่องราวแบบนี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสงสักเท่าไหร่


 


ถึงแม้ว่าเยี่ยหมานจะไม่เคยเห็นชายชราเบื้องหน้า แต่ฟังจากคำทักทายของอาวุโสรอบๆ เยี่ยหมานก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


 


สีหน้าเยี่ยหมานก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งทันที


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง เยี่ยหมานก็รีบขยับมือฉับไวปานเส้นแสง กลางฝ่ามือปรากฏรอยโลหิตขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หยาดโลหิตยังพุ่งทะลักออกมาอย่างไร้เหตุผล!


 


พริบตาต่อมาเยี่ยหมานก็รีบประกบฝ่ามือเข้าหากัน ทันใดนั้นเองปรากฏแสงสีแดงฉานแผ่พุ่งออกมา!


 


“แย่แล้ว!”


 


เห็นฉากนี้หน้าตงฟางเฉียนเปลี่ยนสีทันที กระทั่งสีหน้าของอาวุโสฝ่ายนอกหลายคนก็ที่พึ่งตามมาถึงก็เปลี่ยนไป


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


ตงฟางเฉียนและอาวุโสฝ่ายนอกไม่กี่คนที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เร่งรีบพุ่งไปซัดกระบวนท่าใส่เยี่ยหมานด้วยความเร็วสูงสุด!


 


อนิจจาแม้จะเป็นตงฟางที่ลงมือฉับไวที่สุดแต่มันก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ฝ่ามือที่มันตบฟาดไม่อาจแตะต้องถูกตัวเยี่ยหมาน เพราะคนทั้งคนกลับหายไปเหลือแต่หมอกโลหิต!


 


เยี่ยหมาน คนตัวเป็นๆกลับสลายหายไปต่อหน้าต่อตา!


 


“ลี้โลหิต! เป็นลี้โลหิต!!”


(ลี้ ในที่นี้ไม่ใช่ระยะ แต่แปลว่า หลบหนี,หลีกหนี )


 


อาวุโสฝ่ายนอกทั้งหลายปั้นหน้าเครียด “บัดซบ เยี่ยหมานเป็นผู้ฝึกมารที่บรรลุขอบเขตสู่เซียนแล้ว!”


 


ลี้โลหิตนั้น เป็นวิชาหลบหนีที่ผู้ฝึกมารขอบเขตสู่เซียนขึ้นไปถึงจะใช้ออกได้


 


เมื่อผู้ฝึกมารใช้ลี้โลหิต พวกมันจะบรรลุความเร็วที่อยู่สูงกว่าพลังฝึกปรืออย่างมหาศาล และพุ่งร่างหลบหนีไปทันที นับเป็นวิชาหลบหนีช่วยชีวิตของเหล่าผู้ฝึกมาร


 


แน่นอนว่าวิชาลี้โลหิตนั้น มาพร้อมกับผลกระทบอันใหญ่หลวง


 


นอกจากชั่วชีวิตจะสามารถใช้ได้แค่ 3 ครั้งเท่านั้น การที่มันต้องผลาญพลังชีวิตเพื่อเพิ่มพูนความเร็วในการหลบหนีนั้น นอกจากส่งผลกระทบต่อพลังฝึกปรือในอนาคต ยังทำให้ร่างกายอ่อนแอสิ้นสูญพลังไปชั่วระยะเวลาหนึ่งหลังจากใช้งาน


 


หากไม่ใช่อยู่ในสถานการณ์เป็นตายจริงๆ คงยากที่ผู้ฝึกมารจะใช้ลี้โลหิต


 


“ผู้ฝึกมารขอบเขตสู่เซียนเช่นมันอาศัยอยู่ในฝ่ายนอกทั้งคน! แต่พวกเจ้ากลับมิมีผู้ใดล่วงรู้เลยงั้นเหรอ!?”


 


ตงฟางเฉียนว่ายตามองอาวุโสฝ่ายนอกทั้งผู้ดูแลที่พึ่งรุดมาถึงด้วยใบหน้าปั้นยาก


 


ผู้ฝึกมารคุ้มคลั่งสังหารศิษย์ฝ่ายนอกนับสิบ!


 


ทว่าตอนนี้ผู้ฝึกมารคนนั้นกลับหลบหนีไปแล้ว!


 


ยังหลบหนีไปใต้จมูกของมัน!


 


นับเป็นเรื่องอัปยศสำหรับมันนัก!


 


ในขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายนอกและผู้ดูแลได้แต่หันมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มขื่นขม ร่างอาวุโสตงฟางก็อันตรธานหายไปในอากาศ พุ่งร่างออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงไปทันที!


 


ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ตอนนี้มันต้องตามหาตัวผู้ฝึกมารที่หนีรอดไปให้เจอ!


 


เพราะมีเพียงกระทำเช่นนั้น มันถึงยังพอมีคำอธิบายให้สำนักรวมถึงเหล่าศิษย์ที่ตกตายไปได้!


 


ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสน้อย แต่มันรู้ดีว่าต้องรีบออกตามหาผู้ฝึกมารคนนั้นให้พบ เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายใช้ลี้โลหิตไปแล้ว พลังทั้งหมดย่อมถดถอย ยากที่จะหลบหนีไปได้ไกล


 


ในขณะที่ตงฟางเฉียนพุ่งร่างออกไปตามหาเยี่ยหมาน ผู้อาวุโสฝ่ายนอกกับผู้ดูแลที่มาทันเห็นเรื่องราวก็เดินทางกลับสำนัก ขณะกลับก็มีกลุ่มอาวุโสผู้ดูแลที่พึ่งติดตามมาถึง ต่างเร่งรุดเข้ามาถามไถ่เรื่องราวกันใหญ่


 


อย่างไรก็ตามพวกมันไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องเยี่ยหมานกันสักคน


 


ไม่ว่าผู้อาวุโสคนอื่นหรือผู้ดูแลคนอื่นจะถามไถ่อย่างไร พวกมันก็ได้แต่บอกว่าพวกมันพบเจออาวุโสตงฟางระหว่างทาง และอีกฝ่ายให้พวกมันกลับมาจัดการเรื่องราวในฝ่ายนอกให้อยู่ในความสงบ


 


“อาวุโสต่งชง เยี่ยหมานเข้าสำนักมาภายใต้การดูแลของเจ้า…ข้าเกรงว่าเรื่องนี้เจ้ายากจะรอดพ้นไปได้”


 


อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งกล่าวออกเสียงเข้มขณะมองไปยังต่งชง


 


ต่งชงนั้นเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่รับผิดชอบในการทดสอบเข้าสำนัก ตอนที่ต้วนหลิงเทียนกับเยี่ยหมานเข้าร่วมสำนัก


 


ได้ยินคำกล่าวนี้ ต่งชงก็ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมตาซึม


 


เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ มันก็ได้แต่เตรียมใจรับผล


 


“หากสำนักจันทร์จรัสแสงเราตั้งกฏไม่ให้ผู้ฝึกมารเข้าร่วมแต่แรก เรื่องราวพรรค์นี้คงมิมีวันเกิดขึ้น!”


 


อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งเข้าข้างต่งชง “สุดท้ายความรับผิดชอบเรื่องนี้สมควรไปตกอยู่กับสำนัก มิใช่อาวุโสต่งชง เพราะอย่างไรเสียอาวุโสต่งชงก็แค่กระทำไปตามหน้าที่เท่านั้น”


 


“นั่นสิ! ทุกคนล้วนรู้กันดีว่าเยี่ยหมานเป็นผู้ฝึกมาร แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าอยู่ดีๆมันจะธาตุไฟเข้าแทรกถึงขั้นถูกจิตมารครอบงำ คุ้มคลั่งฆ่าศิษย์ฝ่ายนอกไปมากมายเช่นนี้”


 


อาวุโสบางคนก็อดไม่ได้ที่จะมีโมโหขึ้นมา


 


“เอาล่ะๆ พวกเจ้าใจเย็นลงก่อนเถอะ ตอนนี้ที่พวกเราต้องเร่งไปกระทำคือทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกที่แตกตื่นสงบลงเสียก่อน…ข้ากลัวว่าเรื่องราววันนี้จะทำให้พวกมันมีแผลใจกันมิใช่น้อย ปล่อยไปคงมิมีผลดีต่อสำนักแน่ พวกเราต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้เข้าที่เข้าทางโดยเร็ว”


 


ยังมีอาวุโสที่สงบใจและมองอ่านเรื่องราวได้ขาด


 


“ถูกแล้ว ตอนนี้มิใช่เวลามาเถียงกันเรื่องกฏสำนัก ที่สำคัญที่สุดคือเร่งไปทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกอยู่ในความสงบ”


 


ต่งชงเองก็เห็นด้วย


 


กว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะรับทราบเรื่องนี้ ก็อีก 3 วันให้หลัง


 


ในตลอด 3 วันที่ผ่านมา เขาได้จารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวในห้องจารึกอาคมอันเงียบสงบของป๋ายลี่หง


 


สุดท้ายเขาก็สามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดารจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้ถึงขั้นไร้ตำหนิ!


 


หลังจากนั้นเขาจึงออกจากห้องจารึกอาคม


 


และพอออกจากห้องจารึกอาคมมา เขาก็ได้รับทราบเรื่องที่ผู้ฝึกมารคุ้มคลั่งอาละวาดฆ่าศิษย์ฝ่ายนอกไปนับสิบ


 


“เยี่ยหมาน?”


 


พอเขารู้ว่าผู้ฝึกมารคนนั้นคือเยี่ยหมาน ต้วนหลิงเทียนก็เผยสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง


 


เยี่ยหมานสำหรับเขาแล้ว ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน


 


เพราะตอนที่เขามาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า คนกลุ่มแรกที่เขาพบเจอก็มีเยี่ยหมานคนนี้นี่เอง


 


พบกันครั้งนั้น เขายังประลองชนะอีกฝ่าย สุดท้ายก็ชิงสิทธิ์เข้าร่วมค่ายมังกรซ่อนของเมืองชงซันไปจากอีกฝ่าย


 


หนึ่งปีหลังจากนั้น เขาถึงได้พบกับเยี่ยหมานอีกครั้งที่สำนักจันทร์จรัสแสง


 


วันนั้นเขาเองก็สังเกตเห็นเจตนาฆ่าฟันที่เยี่ยหมานมีต่อเขากระจ่างชัด อีกฝ่ายยังคล้ายแทบอดรอฆ่าเขาไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเก็บเยี่ยหมานมาใส่ใจเลย


 


ในอดีตตอนที่เยี่ยหมานไม่ใช่ผู้ฝึกมารก็ไม่เคยอยู่ในสายตาเขา ยิ่งมันกลายเป็นผู้ฝึกมารก็ไม่ใช่อะไรที่อยู่ในสายตาเขาเข้าไปใหญ่


 


เพราะเยี่ยหมานที่กลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว ไม่มีทางต้านทานพลังอำนาจสะกดมารของตราผนึกมารที่เขามีได้เลย คิดฆ่าเยี่ยหมาน เขาแค่โยนตราผนึกมารใส่มันก็จบ! คิดมีเรื่องกับเขาชะตามันก็ถูกลิขิตให้ถูกตราผนึกมารบดขยี้เท่านั้น!!


 


‘ธาตุไฟเข้าแทรกมันจนโดนจิตมารครอบงำงั้นสินะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ


 


“แล้วนี่ไม่มีใครจับตัวมันกลับมาได้เลยหรือศิษย์พี่ป๋าย?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามป๋ายลี่หง


 


“หากจะกล่าวกันตามตรง พวกมันจับตัวอีกฝ่ายกลับมามิได้”


 


ป๋ายลี่หงตอบ


 


“กล่าวกันตามตรง…จับไม่ได้? เป็นไปได้ยังไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง

 

 

 


ตอนที่ 1510

 

ทำภารกิจต่อไป


 


เยี่ยหมานแม้จะเป็นผู้ฝึกมารที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนถูกจิตมารครอบงำกลายเป็นมารร้าย จนมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก


 


แต่จะอย่างไรสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ ว่ากันตามจริงมันไม่ควรหลบหนีไปภายใต้เงื้อมมือของอาวุโสฝ่ายนอกได้เลย!


 


ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยหมานยังคุ้มคลั่งฆ่าศิษย์ฝ่ายนอกไปนับสิบชีวิต


 


เรื่องนี้เกรงว่ากระทั่งอาวุโสตงฟางก็จำต้องออกโรง!


 


ตงฟางเฉียนคนนี้ ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายสมควรทัดเทียมกับอาวุโสฝ่ายใน…หากลงมือด้วยตัวเอง แล้วเยี่ยหมานจะรอดไปได้อย่างไร?


 


“เห็นว่ามันใช้ ลี้โลหิต น่ะ”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


“ลี้โลหิต?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด เขารู้ว่า ‘ลี้โลหิต’ คืออะไร


 


“ลี้โลหิตนั่นมันวิชาหลบหนีของผู้ฝึกมารที่บรรลุถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นไปนี่นา…งั้นเยี่ยหมานนั่นมันก็ตัดผ่านมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วงั้นสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง


 


ความเร็วของผู้ฝึกมารขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นยามใช้ลี้โลหิต น่ากลัวว่าจะระเบิดความเร็วทัดเทียมกับขอบเขตเซียนได้!


 


อย่างไรก็ตามวิชาลับอย่างลี้โลหิตนี้ แม้จะสามารถระเบิดความเร็วสูงล้ำเกินขีดจำกัดออกมาได้ แต่ผลกระทบหลังจากนั้นก็ร้ายแรงนัก


 


ดังนั้นถึงแม้เยี่ยหมานจะเป็นผู้ฝึกมารที่พึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียน ทว่าหลังจากใช้ลี้โลหิตไป เกรงว่าคงไร้ผู้ใดที่ยังไม่บรรลุขอบเขตเซียนจะรั้งตัวมันเอาไว้ได้


 


“เห็นว่าเยี่ยหมานคนนั้นก็เข้าสำนักมาพร้อมกันกับเจ้าหรือศิษย์น้องต้วน…”


 


ป๋ายลี่หงถอนหายใจ “ข้ามิคิดเลยว่า ศิษย์สำนักที่พึ่งเข้ามาใหม่รุ่นนี้ ยังมีใครที่มีความสามารถร้ายกาจขนาดนี้นอกจากเจ้าอยู่อีก…น่าเสียดายที่มันสังหารพี่น้องร่วมสำนักไปมากมาย ข้าเกรงว่าหลังจากนี้สำนักคงมิยอมรับมันอีกแล้ว”


 


“นอกจากนั้นหลังจากที่มันใช้ลี้โลหิตไป เกรงว่าศักยภาพของมันคงถดถอยลงไปมาก”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


วิชาลับลี้โลหิต ชั่วชีวิตใช้ออกได้เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น


 


อีกทั้งการใช้งานครั้งที่ 3 นั้น ก็ต้องทำให้ตัวผู้ใช้ต้องตาย!


 


ดังนั้นแล้วผู้ฝึกมารทั่วไป ชั่วชีวิตจะใช้ลี้โลหิตเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น หากไม่อยากตาย


 


อีกทั้งทุกครั้งที่ใช้งาน มันก็มีผลข้างเคียงอันใหญ่หลวงนัก!


 


ผลข้างเคียงที่ว่าไม่เพียงส่งผลกระทบถึงอายุขัย กระทั่งการบ่มเพาะในอนาคตก็ได้รับผลกระทบไปด้วย!


 


“ข้าเกรงว่าครานี้ตงฟางเฉียนคงยากจะมีคำอธิบายให้เจ้าสำนักได้แล้ว…”


 


ป๋ายลี่หงส่ายหัวกล่าวพึมพำเบาๆ


 


อย่างไรก็ตามในฐานะที่ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนหรือชีพจรฟ้าดินได้ครบทั้ง 99 จุด โสตประสาทรับฟังของต้วนหลิงเทียนสามารถได้ยินเสียงพึมพำของป๋ายลี่หงชัดเจน


 


เรื่องนี้เขาเองก็พอเข้าใจได้


 


ตงฟางเฉียนไม่ว่าจะอย่างไร ฐานะของอีกฝ่ายก็คืออาวุโสสูงสุดฝ่ายนอก มีหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องราวในฝ่ายนอกทั้งหมด


 


เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ภายใต้ภาระหน้าที่ความดูแลของมันโดยตรง เกรงว่ายากจะรับผิดชอบเรื่องราวได้ไหวหากไม่อาจจับเยี่ยหมานกลับมาได้


 


“ศิษย์น้องต้วน เรื่องที่เยี่ยหมานใช้ลี้โลหิตหลบหนีไปได้เจ้าอย่าได้เอาไปบอกผู้ใดเด็ดขาด…ตอนนี้พวกอาวุโสคงประกาศว่าจับตัวเยี่ยหมานได้แล้ว และจะทำการประหารชีวิตในอีกมิกี่วัน”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


“ข้าเข้าใจดี”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าไฉนกล่าวแบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาเรื่องราวได้กระจ่าง


 


ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหล่าอาวุโสกลัวว่าเรื่องที่เยี่ยหมานหลบหนีไปได้ จะสร้างความหวาดกลัวให้แก่เหล่าศิษย์ฝ่ายนอก ทำให้ทุกผู้คนตกอยู่ในความระส่ำระสาย


 


หากประกาศว่าจับตัวเยี่ยหมานมาลงโทษได้แล้ว ย่อมสามารถระงับความหวาดกลัวของศิษย์ทั้งหลายได้


 


3 วันหลังจากนั้นสำนักจันทร์จรัสแสงก็ประกาศเรื่องการประหารชีวิตของเยี่ยหมานออกมาให้ทั้งสำนักรับทราบ


 


วันประหารเอง ต้วนหลิงเทียนเองก็มาร่วมชมด้วย


 


พอเห็น ‘เยี่ยหมาน’ ที่ถูกจับมัดอยู่บนลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก ท่ามกลางการมุงล้อมของผู้คนจำนวนมาก เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ‘การแปลงโฉมนี่นับว่าน่าประทับใจไม่น้อย ทำได้เหมือนเยี่ยหมานตัวจริงนัก! ถ้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าเยี่ยหมานหนีไปได้แล้ว น่ากลัวว่าข้าเองก็ต้องคิดว่ามันคือเยี่ยหมานตัวจริง!’


 


“มันน่ะเหรอเยี่ยหมาน? ผู้ฝึกมารที่ฆ่าศิษย์ฝ่ายนอกไปถึง 23 ชีวิต!”


 


“ผู้ฝึกมารนั้นเสมือนดั่งระเบิดเวลาชัดๆ…ในความคิดของข้าสำนักควรตรากฏห้ามมิให้ผู้ฝึกมารเข้าร่วมสำนักได้แล้ว!”


 


“ใช่! ตราบใดที่สำนักตรากฏนี้ พวกเราก็ขจัดปัญหาร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้อย่างถาวร!”


 


……


 


ศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงสนทนากันเสียงดังเซ็งแซ่ กระทั่งศิษย์ฝ่ายในเองยามกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ก็เผยความหวาดหวั่นไม่น้อย


 


“เฮอะ! พวกเจ้าจะอคติกับผู้ฝึกมารเกินไปแล้ว! เป็นผู้ฝึกมารแล้วจะอย่างไร? พวกเจ้าดูข้าเถอะ ร้อยวันพันปีมีผู้ใดเคยเห็นข้าธาตุไฟเข้าแทรกคุ้มคลั่งไล่ฆ่าผู้คนบ้าง? นอกจากนี้พวกเจ้าก็อย่าได้ลืมเลือนไป ว่ามีผู้ฝึกมารสองคนที่บรรลุขอบเขตเซียนอยู่ในสำนักของเราตั้ง 2 คน…พวกเจ้าจะขับไล่ท่านทั้ง 2 ไปด้วยเลยหรือไม่เล่า?”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกมารพอได้ยินเรื่องราว ก็กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ


 


ทันใดนั้นศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงที่ได้ยินและบ่นอยู่ก่อนหน้าก็พากันเงียบปากหมด


 


ถูกแล้ว ในสำนักมีผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนถึง 2 คน…


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักจะตรากฏห้ามผู้ฝึกมารเข้าร่วมสำนัก


 


ฉากเรื่องราวต่อมาก็เป็นอะไรที่รวบรัดนัก หนึ่งในอาวุโสคุมกฏของสำนักจันทร์จรัสแสง ลงมือตัดหัวเยี่ยหมานด้วยตัวเอง


 


หลังจากประหารเยี่ยหมานแล้ว อาวุโสคุมกฏคนนั้นก็ว่ายตามองไปรอบๆ “สำนักเรามิเคยเลือกปฏิบัติต่อผู้ฝึกมาร เพราะพวกเราเห็นถึงคุณค่าพลังฝึกปรือที่ก้าวหน้ารวดเร็ว…อย่างไรก็ตามผู้ฝึกมารก็คือผู้ฝึกมารวันยังค่ำ เรื่องนี้เสมือนดาบ 2 คมสำหรับสำนักจันทร์จรัสแสงของพวกเรา!”


 


“หากทว่าสำนักจันทร์จรัสแสงของพวกเราก็ใช้ดาบ 2 คมนี้มาได้ด้วยดีโดยตลอด จนเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมอย่างเยี่ยหมานโผล่ขึ้นมา!”


 


ได้ยินวาจาของผู้อาวุโสคุมกฏ หนังตาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหย่อนขึ้นมาทันที วาจาปราศัยอีกฝ่ายเป็น ‘ทางการ’ เกินไป จนเขาถึงกับเกิดอาการง่วงนอนขึ้นมา


 


วาจาประโยคต่อมาของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาได้


 


ไม่พ้นคงกล่าวเตือนผู้ฝึกมารทั้งหลาย ให้เรื่องระวังการบ่มเพาะพลังอะไรทำนองนั้น


 


“คราวนี้ข้าอยากขอความร่วมมือจากผู้ฝึกมารทุกคน ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรกจนจิตมารครอบงำร่างเช่นนี้อีก ยามเจ้าบ่มเพาะถึงจุดสุ่มเสี่ยง ขอให้ออกจากสำนักไปบ่มเพาะพลังห่างจากผู้คนเสีย…ทั้งหมดจงดูเยี่ยหมานเอาไว้เป็นตัวอย่าง! อย่าให้ข้าเห็นว่ามีใครคุ้มคลั่งขึ้นมาอีก!!”


 


ดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดเอาไว้ อาวุโสคุมกฏกล่าวเรื่องข้อควรระวังต่อผู้ฝึกมารจริงๆ


 


ความหมายของมันก็ง่ายดายนัก


 


หากผู้ฝึกมารที่รู้สึกว่าการบ่มเพาะพลังเริ่มส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ก็ให้พาตัวไปให้ห่างผู้คนซะ!


 


คราวนี้ต่อให้ท่านคุ้มคลั่งหรือเป็นบ้าอะไร ก็ไม่มีทางพลั้งมือทำร้ายพี่น้องจนตกตาย


 


เพราะหากผู้ฝึกมารคุ้มคลั่งฆ่าพี่น้องขึ้นมา สำนักเพียงเหลือแต่หนทางตายให้เท่านั้น!


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจาของอาวุโสคุมกฏนั้นมีประสิทธิภาพไม่น้อย ผู้ฝึกมารทั้งหลายพยักหน้ารับฟังอย่างจริงจัง


 


มีเยี่ยหมานให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างแล้ว พวกมันย่อมไม่อยากเจริญรอยตาม


 


คดีของเยี่ยหมานก็สิ้นสุดลงเท่านี้ สำนักจันทร์จรัสแสงหวนคืนสู่ความปกติอีกครา


 


ด้วยสถานะของป๋ายลี่หงในสำนักจันทร์จรัสแสง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับป้ายศิษย์ฝ่ายในทั้งมีคนทำเรื่องขึ้นทะเบียนให้เสร็จสรรพในเวลาไม่ถึงวัน


 


ต้วนหลิงเทียนได้เป็นศิษย์ฝ่ายในอย่างเป็นทางการ และได้มาอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวของป๋ายลี่หง


 


เนื่องจากสถานะของป๋ายลี่หง แม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งได้เป็นศิษย์ฝ่ายในไม่ทันไร แต่ก็ไม่มีใครกล้ามีเรื่องราวกับเขา


 


วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างจริงจัง ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศอย่างหิวกระหาย รวมถึงดูดซับพลังจากหินเซียนอีกทาง เพิ่มพูนพลังฝึกปรือ


 


เขาต้องการทะลวงไปยังสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด


 


เมื่อเขาทะลวงไปถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้


 


ถึงตอนนั้นพลังฝีมือของเขาจะก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะประสิทธิภาพในการสู้รบจะสูงล้ำขึ้น!


 


‘ทันทีที่ข้าทะลวงถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญและใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบที่แข็งแกร่งที่สุดข้าก็สามารถเอาชนะมันได้! แต่กับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่นั่นยังไม่แน่นัก เพราะอย่างไรพวกมันก็มีเขตแดนจากการรวมปราณ…’


 


ปราณแท้ก่อเขตแดนนั้น ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าร้ายกาจเพียงใด


 


นักฆ่าที่ต้วนหลิงเทียนสงสัยว่าน่าจะเป็นคนของตลาดมืดหยินชาน มันก็ได้ใช้เขตแดนปีศาจโลหิตกับเขา ซึ่งเป็นอะไรที่ปราบเขาได้ทุกทาง แม้จะใช้ยันต์เต๋า 3 ดาวต่อกรก็เป็นอะไรที่ลำบากนัก


 


ในเขตแดนปีศาจโลหิตนั้น ปีศาจโลหิตที่มันสร้างขึ้นมาแต่ละตัว ก็มีพลังน่ากลัวเหลือเกิน


 


‘ไม่รู้ว่าพอข้าทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ เขตแดนของข้าจะปรากฏออกมาในรูปแบบไหน…’


 


ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความคาดหวัง


 


หากบอกว่าปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา กับปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์นั้น สามารถเลือกได้ว่าจะให้เป็นแบบใด


 


ทว่าปราณแท้ก่อเขตแดนนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับศักยภาพและพรสวรรค์ เรียกว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์จะประทานมาให้แต่ละคน


 


เหมือนกับนักฆ่าในชุดคลุมลมดำผู้นั้น สวรรค์ก็เลือกเขตแดนปีศาจให้แก่มัน ซึ่งเป็นอะไรที่เหมาะสมกับตัวมันที่สุด


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังบ่มเพาะฝึกฝนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย หลิวฮ่วนก็ได้บรรลุถึงเมืองหานเหอ และไปเยือนคฤหาสน์ที่เป็นฐานปฏิบัติการของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรอีกครา


 


มันมาที่นี้ด้วยจุดประสงค์อันเรียบง่ายนัก คิดไถ่ถามว่าภารกิจที่มันจ้างไปล้มเหลวแล้วจริงๆหรือไม่?


 


แล้วหลังจากภารกิจล้มเหลวแล้วตลาดมืดหยินชานคิดจัดการอย่างไร


 


“มันล้มเหลวจริงๆหรือ?”


 


ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจพร้อมรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่พอทราบว่าภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนที่มันว่าจ้างไปล้มเหลวจริงๆ ใบหน้าหลิวฮ่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งขรึม


 


“ลูกค้าผู้มีเกียรติ พวกเราทำภารกิจของท่านล้มเหลวจริงๆ ด้วยเพราะพวกเราประเมินฝีมือของเป้าหมายที่ท่านกำหนดเอาไว้ต่ำเกินไป…พวกเราจะคืนเงินที่ท่านชำระไว้กับพวกเรากลับไปให้ท่าน 2 เท่า!”


 


สีหน้าคนของตลาดมืดหยินชานที่รับเรื่องหลิวฮ่วน เผยความรู้สึกผิด กล่าววาจาขอโทษหลิวฮ่วนอย่างจริงใจ


 


กล่าวอีกอย่างได้ว่า หากหลิวฮ่วนใช้หินเซียนระดับ 6 จำนวน 10,000 ก้อนเพื่อซื้อชีวิตต้วนหลิงเทียน มันจะได้รับหินเซียนระดับ 6 ที่จ่ายไปกลับมา และยังได้รับเพิ่มอีก 10,000 ก้อน


 


อย่างไรก็ตามหลิวฮ่วนไม่ได้ยินดีมีสุขกับเรื่องนี้เลย


 


“แล้วจะเป็นอย่างไร หากข้าคิดจ้างให้พวกท่านกระทำภารกิจนี้ต่อไป?”


 


หลิวฮ่วนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


ตอนนี้ใจมันคิดแค่ว่า คนที่ตลาดมืดหยินชานส่งไป น่าจะมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าที่ควรจะเป็น


 


“หากท่านลูกค้าต้องการให้พวกเราดำเนินภารกิจของท่านต่อ ท่านมิต้องจ่ายเพิ่มอันใด เพียงแต่ต้องให้เวลาพวกเราตรวจสอบเป้าหมายให้แน่ชัดอีกสักพัก”


 


คนของตลาดมืดหยินชานกล่าว


 


“ตกลง! ข้าอยากให้พวกท่านดำเนินภารกิจต่อไป…ข้าหวังว่าคราวนี้พวกท่านจะส่งมือดีที่ร้ายกาจกว่าเดิมไปจัดการ อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังอีก”


 


วาจาท้ายประโยคของหลิวฮ่วน เผยความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย


 


“ท่านลูกค้าโปรดวางใจ ตลาดมืดหยินชานของพวกเราจักไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังซ้ำสอง”


 


คนของตลาดมืดหยินชานรับคำเป็นมั่นเหมาะ


 


หลังจากหลิวฮ่วนจากไป ภายในห้องหนึ่งของคฤหาสน์อันเป็นฐานของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร ก็ปรากฏระดับสูง 2 คนมารวมตัวกันหารือเรื่องภารกิจของหลิวฮ่วน


 


ระดับสูงทั้งสองได้แก่ ไท่หวู่ กับ หยินหยาง


 


หยินหยางนั้นเป็นผู้ดูแลเรื่องราวทั่วไปในตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร เรื่องราวทั่วไปในแต่ละวันเป็นมันที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อย


 


ไท่หวู่นั้นเป็นดั่ง ‘ไพ่ลับ’ ของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร อีกฝ่ายมักเทียวไปเทียวมาระหว่างตลาดมืดหยินชานสาขาอื่นกับสาขา 9 พันธมิตร เร็วๆนี้มันก็พึ่งถูกโยกย้ายให้มาประจำที่เมืองหานเหอ


 


ไท่หวู่คนนี้ ยังเป็นยอดฝีมือของตลาดมืดหยินชาน ที่เคยสังหารอดีตผู้นำสำนักยันต์ลี้ลับมาก่อน!

 

 

 


ตอนที่ 1511

 

นักฆ่า 4 ดาราครึ่ง ชือเม่ย!


 


“ภารกิจที่ชือหมิงล้มเหลวไปก่อนหน้า พวกเราต้องดำเนินการต่อ”


 


หยินหยางมองไท่หวู่กล่าว


 


“อืม”


 


ไท่หวู่พยักหน้า “คราวนี้คงมิคิดส่งนักฆ่า 3 ดาราไปจัดการอีกงั้นสิ?”


 


“ถึงแม้ชือหมิงจักมิใช่นักฆ่า 3 ดาราที่ร้ายกาจที่สุด แต่มันก็นับว่าเป็นมือดีในบรรดานักฆ่า 3 ดาราแล้ว แน่นอนว่าข้าคงมิอาจส่งนักฆ่า 3 ดาราคนอื่นไปลงมือได้อีก เพราะหากชือหมิงล้มเหลวคนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะไม่ล้มเหลว คราวนี้ข้าจักส่งชือเม่ยไปจัดการ!”


 


ทันใดนั้นตาสีโคลนของหยินหยางก็ทอประกายสว่างจ้าขึ้นมา


 


เมื่อไม่นานมานี้มันก็ได้กลับไปตรวจสอบที่โถงวิญญารของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร และพบว่าไข่มุกวิญญาณประจำตัวของชือหมิงนั้นแตกสลายไปแล้ว ทั้งเวลาการแตกที่บันทึกไว้ก็เป็นช่วงที่มันออกไปกระทำภารกิจ


 


ไข่มุกวิญญาณแตก ย่อมหมายถึงคนตาย!


 


“ชือเม่ย?”


 


ไท่หวู่ประหลาดใจไม่น้อย กล่าวถามออกมาทันใด “เท่าที่ข้ารู้ ชือเม่ยคนนี้ถือเป็น ไพ่ลับระดับสูงของสาขา 9 พันธมิตรแห่งนี้ใช่หรือไม่? เห็นว่านางมิเคยล้มเหลวในภารกิจสังหารเป้าหมายที่มีด่านพลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตเซียนแม้แต่คนเดียว”


 


“มิผิด ชือเม่ย นับเป็นไพ่ลับที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรของเรา และนางยังเป็นนักฆ่าระดับ 4 ดาราครึ่ง!”


 


หยินหยางพยักหน้า


 


ในตลาดมืดหยินชางนั้น นักฆ่า 4 ดาราครึ่งจะมีพลังฝีมือเทียบเท่ากับตัวตนในขอบเขตครึ่งก้าวเซียน


 


เนื่องจากเป็นนักฆ่า การลงมือนั้นย่อมมิใช่ทวนเปิดเผยแต่เป็นเกาทัณฑ์เร้นลับ


 


ดังนั้นนักฆ่า 4 ดาราครึ่ง ย่อมมีพลังสามารถมากพอจะลอบฆ่าตัวตนในขอบเขตครึ่งก้าวเซียน!


 


แน่นอนว่ายังมีครึ่งก้าวเซียนบางคนที่ร้ายกาจจนพวกมันไม่อาจสังหารได้


 


เพราะครึ่งก้าวเซียนบางคนก็เป็นตัวตนอันอยู่เหนือสามัญสำนึก บ้างก็มีพลังฝีมือทัดเทียมกับตัวตนในขอบเขตเซียนไปแล้ว


 


หากเป็นครึ่งก้าวเซียนเหล่านี้ ต่อให้เป็นนักฆ่า 4 ดาราครึ่ง ก็จนปัญญา


 


อย่างไรก็ตามครึ่งก้าวเซียนระดับนั้น คงยากที่จะพบเห็นได้ในเขตพื้นที่ 9 พันธมิตร!


 


โดยทั่วไปแล้วตัวตนระดับครึ่งก้าวเซียนที่มีพลังฝีมือร้ายกาจมากพอจะต่อกรกับขอบเขตเซียนทั่วไปได้ ล้วนเป็นเหล่าอัจฉริยะที่จะมีอยู่ในขุมพลังขั้น 5 ขึ้นไปเท่านั้น


 


หากต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียน เขาเองก็จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้


 


เพราะศักยภาพและไหวพริบปฏิภาณของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่า อัจริยะจากขุมพลังชั้นนำแม้แต่น้อย


 


“หากส่งชือเม่ยไปลงมือ เช่นนั้นงานนี้ก็มิมีใดให้กังวลแล้ว”


 


ไท่หวู่กล่าว จากวาจาทั้งน้ำเสียงก็เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวชือเม่ย


 


ชื่อเม่ยนั้นนอกจากจะเป็นนักฆ่า 4 ดาราครึ่งแล้ว นางยังเป็นอิสตรีนางหนึ่ง


 


ทั้งยังเป็นอิสตรีเพียงคนเดียวในบรรดานักฆ่าระดับ 4 ดาราครึ่งของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร


 


และนางยังเป็นอิสตรีที่ผู้คนยอมรับว่ามีฝีมือร้ายกาจที่สุดในบรรดานักฆ่า 4 ดาราครึ่งของตลาดมืดหยินชาน!


 


ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของชือเม่ย ถึงแม้จะเป็นไท่หวู่และหยินหยางเองก็ตาม หากแต่พวกมันรู้ดีว่ารูปร่างของชื่อเม่ยนั้นได้สัดส่วนนัก นางมักอยู่ในชุดคลุมลมดำและปกปิดใบหน้าเอาไว้เสมอ


 


แม้ไม่ต้องเห็นใบหน้าของชือเม่ย เพียงแค่รูปร่างของนางที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ชุดคลุมลมดำนั้น ก็มากพอจะชักนำให้บุรุษบังเกิดความปรารถนาอันเร่าร้อนเพียงได้มอง…


 


อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นไท่หวู่กับหยินหยาง ก็ไม่กล้าล่วงเกินหรือทำให้หน้าขุ่นขึ้งใจ


 


เพราะเบื้องหลังของชือเม่ย ก็คือ ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรแห่งนี้


 


สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรนั้น เป็น ‘ความลับ’ สำหรับทุกคนมาโดยตลอด


 


และคนที่ล่วงรู้ความลับนี้ เห็นทีจะมีแต่ตัวชือเม่ยเองกับผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามมีหลายคนในตลาดมืดหยินชานลอบคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างชือเม่ยกับผู้นำไว้หลายประการนัก


 


บ้างก็ว่าชือเม่ยเป็นสตรีของผู้นำ


 


บ้างก็บอกว่าชือเม่ยสมควรเป็นบุตรีของผู้นำ


 


บางคนก็ถึงกับบอกว่าที่แท้แล้วชือเม่ยนั้นเป็นหลานสาวของผู้นำ


 


ไม่ว่าอะไรก็ตาม ชือเม่ยนั้นเป็นตัวตนที่ ‘ลึกลับ’ ในสายตาของทุกคนมาโดยตลอด


 


ถึงแม้ว่าคฤหาสน์อันเป็นฐานปฏิบัติการของตลาดมืดหยินชานในเมืองหานเหอแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในฐานของเขตนี้ ทว่ามันไม่ใช่ที่ซ่อนหลักของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร


 


‘รังลับ’ ที่แท้จริงของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรนั้น ตั้งอยู่ลึกลงไปในป่าทางตอนเหนือของเมืองหานเหอ มีค่ายกลและข่ายอาคมมายามากมายบดบังเอาไว้


 


นอกจากระดับสูงของตลาดมืดหยินชานสาขานี้ และนักฆ่าบางคนที่ถูกมองว่าเป็นมือสังหารระดับต้นๆนั้น ยากที่จะมีผู้ใดในสาขานี้ล่วงรู้กลวิธีในการย่างกรายเข้ามา


 


ค่ายกลป้องกันและข่ายอาคมมายาหลอนประสาทที่ปกปิดรังลับแห่งนี้นั้น ถูกปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาว รวมถึงปรมาจารย์ยันเต๋าระดับ 4 ดาว ที่ตลาดมืดหยินชานสาขาที่อยู่เหนือกว่านี้ส่งมาจัดตั้งสาขาใน 9 พันธมิตร


 


แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรมีปรมาจารย์จารึกเซียนและปรมาจารย์ยันเต๋าให้พึ่งพิง


 


นั่นเพราะหลังจากที่ปรมาจารย์ยันต์เต๋ากับจารึกเซียนระดับ 4 ดาวทั้งสองเสร็จสิ้นภารกิจจัดตั้งฐานลับหลักของสาขา 9 พันธมิตรแล้วพวกมันก็ไม่ได้อยู่ดูแลอะไรสืบไป


 


เมื่อค่ายกลและข่ายอาคมทั้งหลายเสร็จสิ้น พวกมันก็กลับสาขาของพวกมันทันที


 


ข่ายอาคมมายาหลอนประสาทนี้ ต่อให้เป็นตัวตนในระดับเซียนทั่วไป ก็ยากที่จะต้านทานได้


 


แถมพอผ่านข่ายอาคมมายาหลอนประสาทมาได้ ก็ต้องพบเจอหุบเขากว้างใหญ่ อีกทั้งยังมีค่ายกลสังหารจัดตั้งไว้ไม่ใช่น้อย ยังมีลานมากมายนับไม่ถ้วน


 


แต่ละลานก็มียอดฝีมือประจำการ ทั้งมีค่ายกลทรงประสิทธิภาพไว้สังหารผู้บุกรุก


 


ฟิ้ว!


 


ทันใดนั้นศรดอกหนึ่งที่มีป้ายหยกสื่อสารผูกติดเอาไว้ ก็พุ่งแหวกฟ้าทะลวงค่ายกลและข่ายอาคมดังกล่าวมาปักยังต้นไม้ใหญ่ ข้างบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งในหุบเขา


 


ฟุ่บ!


 


แทบจะพร้อมกันกับที่ศรปักลงที่ต้นไม้ ปรากฏวิหกสีม่วงตัวหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า


 


มันเหินพุ่งไปยังดอกศรดังกล่าว ใช้จงอยปากงับดอกศรดังกล่าวเอาไว้ ค่อยถอนออกมาจากต้นไม้อย่างง่ายดาย


 


ฟุ่บ!


 


วิหกสีม่วงดังกล่าวอันตรธานหายไปอีกครั้ง ปรากฏตัวอีกทีก็อยู่ในสนามหญ้าเล็กๆหลังบ้านแล้ว


 


รอบๆสวนหลังบ้านนี้ถูกปกคลุมไปด้วยม่านเมฆหมอกบางๆ เห็นชัดว่ามีข่ายอาคมมายาและค่ายกลบางประการครอบคลุมเอาไว้


 


ยากที่บุคคลภายนอกจะมองเข้ามาล่วงรู้เรื่องราวภายในได้


 


แน่นอนว่าหากมองจากภายในออกมาภายนอก ก็เป็นอะไรที่ชัดเจนนัก


 


ตอนนี้เองบริเวณริมทะเลสาบเล็กๆข้างสวนหลังบ้าน ปรากฏร่างอิสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ นางใช้สองขาอันเรียวงามขาวกระจ่างตีน้ำเล่นอย่างซุกซน ใบหน้างามหมดจดปานเทพธิดาสวรรค์เผยอาการครุ่นคิดเหม่อลอย ยากจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่กันแน่


 


“พี่หญิง พี่หญิง”


 


จนกระทั่งวิหกสีม่วงเหินมาเกาะไหล่ และปล่อยดอกศรที่มีป้ายหยกผูกติดไว้ ร้องเรียกนาง นางจึงค่อยหลุดออกจากภวังค์ครุ่นคิด


 


โยนดอกศรทิ้งออกไป เพียงหยิบป้ายหยกขึ้นมาถือเอาไว้ สตรีงามนางนั้นเริ่มแผ่พลังวิญญาณลงไปในป้ายหยก


 


ครู่ต่อมาข้อมูลมากมายในป้ายหยกก็เริ่มปรากฏภายในใจ


 


“สำนักจันทร์จรัสแสง ต้วนหลิงเทียน สู่เซียนขั้นต้น..ทว่าไม่กี่เดือนที่แล้วยังพึ่งอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ? แปลกนักสถานที่ล้าหลังกระทั่งวิหกยังไม่อยากผ่านมาขับถ่ายเช่นนี้ ยังมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”


 


สตรีนางนั้นแปลกใจไม่น้อย


 


“เป็นเป้าหมายสังหารคนต่อไปของข้างั้นเหรอ…แล้วพวกนักฆ่า 3 ดารามันเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การมิได้หรือไร?”


 


อย่างไรก็ตามไม่นาน คิ้วคู่งามก็ขมวดเล็กน้อย


 


ยิ่งรับทราบข้อมูลที่บันทึกไว้เท่าไหร่ คิ้วนางก็ยิ่งขมวดยู่ย่นมากขึ้นเรื่อยๆ “เห ชือหมิงนั่นก็ล้มเหลวงั้นเหรอ? น่าสนใจดีนี่…สื่อเอ๋อ ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ออกไปเดินเล่นกันอีกแล้ว”


 


วาจาท้ายประโยคนั้น เห็นชัดว่านางกล่าวกับวิหกสีม่วง


 


“ฮิๆ…ในที่สุดก็มีภารกิจมาถึงมือพี่หญิงสักที ครั้งนี้ให้ข้าจัดการนะพี่หญิง ข้าอยากเล่นบ้าง”


 


วิหกสีม่วงที่อยู่บนไหล่สตรีงามหมดจด เริ่มมาเหินบินตีปีกอย่างสนุกสนาน


 


“ไปดูก่อนแล้วกัน”


 


สตรีเลอโฉมเผยยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ สมควรมีคนลอบคุ้มกันอย่างลับๆ…น่าจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวที่เรียกว่าป๋ายลี่หงอะไรนั่น จากข้อมูลเห็นว่ามันเป็นยอดฝีมือที่ยามใช้พลังฝีมือทั้งหมด สามารถต่อกรได้กับตัวตนระดับครึ่งก้าวเซียน”


 


“พี่หญิง งั้นทำไมท่านไม่ให้ข้าไปเล่นกับป๋ายลี่หงอะไรนั่นเล่า? ให้ข้านะๆๆๆ”


 


ได้ยินวาจานี้ของสตรีแสนงาม วิหกสีม่วงก็กล่าวออกมาเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด ท่าทางแลดูคึกคักสนุกสนานไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันไม่นำพาอะไรกับตัวตนที่มีพลังฝีมือระดับครึ่งก้าวเซียนแม้แต่น้อย


 


“พอๆ สื่อเอ๋อ! เจ้าอย่าเสียงดังวุ่นวายแล้ว หากเจ้าพูดมากข้าจะให้เจ้าอยู่เฝ้าบ้านแล้วนะ”


 


สตรีนางนั้นหันมองวหกสีม่วงพร้อมขมวดคิ้ว ทำให้วิหกตัวดังกล่าวปิดปากเงียบสนิทไม่กล้าส่งเสียงเจื้อยแจ้วอะไรอีก


 


หลังจากนั้นสตรีดังกล่าวก็ลุกขึ้นจากริมทะเลสาบเดินผ่านสวนเข้าไปในบ้าน ไม่นานนางก็ออกมาในชุดคลุมลมดำ


 


ใบหน้างดงามปานเทพธิดาของนางตอนนี้ถูกปกปิดไว้มิดชิด


 


อย่างไรก็ตามรูปร่างสมบูรณ์แบบอันเย้ายวนปานปีศาจสาวของนาง ก็มีอานุภาพมากพอจะทำให้สตรีทั้งหลายบังเกิดความอิจฉา และมีมนต์สะกดให้บุรุษทั้งหลายหลงใหล


 


พริบตาต่อมาร่างสตรีดังกล่าวก็อันตรธานหายปในอากาศ


 


ทันทีที่นางหายไป วิหกสีม่วงก็วูบหายไปเช่นกัน


 


ณ หุบเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและห่างไกลจากรังลับของตลาดมืดหยินชานนับหมื่นๆลี้


 


สภาพแวดล้อมของหุบเขาแห่งนี้ช่างแห้งแล้งกันดารนัก ยากจะมองเห็นได้แม้หญ้าเขียวสักต้น


 


ทว่าตอนนี้ปรากฏร่างบอบบางหนึ่งกำลังเดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าลึกลงไปในหุบเขา ในมือกำไข่มุกวิญญาณเอาไว้แน่น


 


“พี่ใหญ่ ตอนนี้สกุลโอวหยางเรามิมีอีกต่อไปแล้ว ท่านพ่อตายแล้ว อาวุโสกับทุกคนก็ตายหมดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษอีกต่อไป…น้องจะไปพาพี่กลับมา”


 


ร่างบอบบางนี้ที่แท้ก็เป็นสตรีนางหนึ่ง


 


หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ย่อมจดจำได้ทันทีว่าสตรีนางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากบุตรีคนรองของโอวหยางป้าแห่งสกุลโอวหยาง โอวหยางหลัว


 


โอวหยางหลัวนั้น นางก็เกือบตกตายลงในวันที่ตระกูลโอวหยางถูกฆ่าล้างตระกูลแล้ว


 


แต่นับว่านางยังมีโชคอยู่นัก เพราะวันที่เกิดเรื่องนางไม่ได้อยู่ภายในตะกูล


 


อย่างไรก็ตามแม้นางจะรอดพ้นหายนะมาได้อย่างเฉียดฉิว แต่นางก็ยากจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบ เพราะมือสังหารของตลาดมืดหยินชานเองก็ถูกส่งมาตามฆ่าคนสกุลโอวหยางที่เหลือรอดอยู่! ทำให้นางจำต้องหลบหนีออกมาจากเมืองหานเหอแบบนี้..


 


และทิศทางที่โอวหยางหรัวกำลังมุ่งหน้าไปนั้น ก็คือหุบไร้ก้นบึ้งที่ร่ำลือกันมาอย่างยาวนานในตระกูลโอวหยาง


 


จุดประสงค์นางเรียบง่ายนัก นางอยากไปหาพี่ชายของนางและพาอีกฝ่ายออกมา


 


หากผู้นำตระกูลโอวหยางยังมีชีวิตอยู่และได้รับทราบความคิดนี้ของนาง คงอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา


 


นั่นเพราะความคิดของโอวหยางหลัวมันไร้เดียงสาและตื้นเขินเกินไป


 


แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่โอวหยางหลัวจะล่วงรู้ตำแหน่งของหุบไร้ก้นบึ้ง เพราะเรื่องนี้ระดับสูงๆของตระกูลโอวหยางก็รู้กันหมด


 


หุบไร้ก้นบึ้งนั้น เสมือนหลุมลึกอันไร้ก้นบึ้ง


 


หากไร้ความสามารถในการกลับออกมา ผู้ที่ถูกส่งลงไปย่อมตายสถานเดียว


 


ทว่าไข่มุกวิญญาณที่โอวหยางหลัวกำเอาไว้ในมือนั้น มันคือไข่มุกวิญญาณของโอวหยางชิง ที่นางนำมาจากโถงบรรพชนของตระกูลโอวหยาง หลังจากที่ตระกูลโอวหยางถูกทำลาย


 


ในวันนั้นนางลอบเข้าไปโดยใช้เส้นทางลับของตระกูลโอวหยาง พอไปถึงก็พบว่าไข่มุกวิญญาณส่วนใหญ่แตกสลายไปหมดแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นของคนที่บังเอิญไม่อยู่ในตระกูลเท่านั้น


 


ในตระกูลโอวหยาง ผู้ที่จะมีไข่มุกวิญญาณตั้งไว้ในโถงบรรพชนได้ ต้องเป็นสายเลือดหลัก!


 


หลังจากที่พบว่าไข่มุกวิญญาณของโอวหยางชิงยังไม่แตกสลาย นางก็หยิบติดมือมา และเร่งออกจากเมืองหานเหอ เดินทางมายังหุบไร้ก้นบึ้งที่โอวหยางชิงถูกส่งตัวมาทันที…

 

 

 


ตอนที่ 1512

 

คลังสมบัติสำนักจันทร์จรัสแสง


 


เพียงชั่วพริบตา กาลเวลาก็ผันผ่านไปอีก 2 เดือน


 


วันหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งเดินออกจากห้องมาด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส


 


เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่น้อย


 


“ในที่สุดข้าก็ทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ซะที!”


 


รอยยิ้มสดใสยินดีค่อยๆจางหายไป ไม่นานก็กลายเป็นยิ้มสะทกสะท้อน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


ด้านนอกเวลาผ่านไป 2 เดือน ทว่ากาลเวลาในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มันล่วงเลยไปถึง 10 เดือนแล้ว!


 


ในช่วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่าน นอกจากฝึกฝนวรยุทธ์เซียนทั้งหลาย ต้วนหลิงเทียนยังเน้นหนักในการบ่มเพาะเพิ่มพูนด่านพลังเป็นพิเศษ


 


อนิจจาหลังจากที่ทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้ว เขาพบว่าไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่อาจใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราออกมาได้เลย!


 


เรื่องปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรานั้น ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็ไปสอบถามสิ่งที่ควรทราบจากป๋ายลี่หงไว้ก่อนแล้ว และเขาได้รู้ว่ามันเป็นกลวิธีใช้พลังประการหนึ่ง ที่สามารถจ่ายปราณแท้ออกมาควบรวมเป็นศาสตรามีสภาพเสมือนจริง


 


สำหรับชนิดศาสตรานั้นเป็นอะไรที่ปรับเปลี่ยนได้ตามแต่ใจ


 


คราวนี้อยากควบรวมเป็นดอกศร ต่อไปอยากเป็นกระบี่ พลอง หอก สนับมือกรงเล็บอันใด ก็ไร้ข้อกำหนดทั้งสิ้น


 


แน่นอนว่าในกลวิธีใช้พลังทั้ง 3 แบบของตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญถึงขั้นยิ่งใหญ่นั้น ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราเป็นอะไรที่อิสระและไร้กฏเกณฑ์ข้อบังคับมากที่สุดแล้ว


 


ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ไม่อาจปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้


 


และปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์นั้น ก็มีกลวิธีในการกำหนดรูปลักษณ์ 2 วิธี หนึ่งคือใช้แก่นแท้โลหิตของสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนที่ต้องการ อีกประการนั้นใช้จินตนาการตั้งมั่น โดยมีโลหิตของสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนใดๆก็ได้เป็นตัวทำปฏิกริยา


 


อย่างไรก็ตาม พลังของสัตว์ที่อยู่ในจินตนาการนั้น จะด้อยกว่าหากนำไปเทียบกับสัตว์ที่บังเกิดขึ้นจากการใช้แก่นแท้โลหิต…


 


อย่างหลังนั้นมีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาตามที่ท่านจินตนาการ ทว่าอย่างแรกนั้นนอกจากรูปร่างแล้วกลิ่นอายพลังอะไรกลับเสมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวนั้นๆเลย!


 


ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอมาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้ใช้เท่านั้น


 


นั่นเพราะมันเป็นเรื่องยากเย็นอย่างมากที่จะได้แก่นแท้โลหิตของสัตว์ร้าย ยิ่งสัตว์เซียนยิ่งยากไปกันใหญ่!


 


แก่นแท้โลหิตนั้นไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ อีกทั้งมีเพียงสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนที่มีสายเลือดระดับสูงและมีความบริสุทธิ์ระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมีได้ เรียกว่าพบพานได้ยากประหนึ่งมังกรและหงส์ฟ้า…แถมไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนที่จะมีแก่นแท้โลหิตได้ ส่วนมากแล้วก็ต้องเป็นสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเสียก่อน


 


ดังนั้นแล้วหากท่านไม่ใช่ตัวตนที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา หรือมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือ ก็ยากที่จะสรรหาแก่นแท้โลหิต มาประกอบพิธีกำหนดปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้


 


‘ข้าได้ดูดซับแก่นแท้โลหิตของมังกรมาร 5 กรงเล็บไว้แล้ว…เช่นนั้นข้าสามารถสร้างมังกรมาร 5 กรงเล็บออกมาได้ทันที หากข้าสามารถใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้หลังบรรลุถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ’


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความคาดหวังนัก


 


ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนดูดซับแก่นแท้โลหิตมังกรมาร 5 กรงเล็บ เช่นนั้นแล้ววันใดที่เขาใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้ สิ่งที่เขาสร้างออกมา หากไม่ถึง 10 ก็ต้องมี 9 ส่วนที่มันจะทรงพลังอำนาจเหนือกว่าปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของผู้อื่น!


 


ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่สัตว์ปราณของเขาจะเอาชนะสัตว์ปราณที่บังเกิดจากตัวตนที่มีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่า!


 


“หืม?”


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่า หลังจากออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขากลับสามารถควบรวมปราณแท้ตามกลวธีพลังในการใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้สำเร็จ! เบื้องหน้าปรากฏกระบี่พลังมีสภาพเสมือนจริงยากแยะแยะผุดขึ้นมาในความว่าง!


 


เพียงห้วงคิด กระบี่พลังดังกล่าวก็พุ่งทะยานออกไปปานจุดระเบิด บินฉวัดเฉวียนในอากาศเพียงใจคิด ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณควบคุมอะไรให้ลำบากเหมือนกาลก่อน!


 


“อะไรกัน? ที่แท้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราจะใช้ไม่ได้เฉพาะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเท่านั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อย


 


ตอนแรกเขาหลงคิดว่าใช่เขามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถึงไม่อาจใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้ ยังใจเสียด้วยคิดว่าเขาอาจจะเสียเปรียบผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่มีด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้วด้วยซ้ำ


 


“นะ..นั่นมัน! ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรางั้นเรอะ!?!”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนควบคุมปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราให้บินฉวัดเฉวียนในอากาศ ทั้งลองปรับเปลี่ยนรูปร่างเป็นศาสตราชนิดอื่นๆจนเพลินปานเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่นั้นเอง เขาพลันได้ยินเสียงตื่นตระหนกโพล่งดังขึ้นมา! ดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง!


 


เสียงโพล่งด้วยความตื่นตระหนกนี้ ต้วนหลิงเทียนบอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของป๋ายลี่หง


 


“ศิษย์พี่ป๋าย”


 


เพียงห้วงคิด หอกพลังมีสภาพเสมือนจริงที่เกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา ที่กำลังพุ่งทะลวงอากาศก็อันตรธานหายไปทันที หันไปกล่าวทักผู้มาถึงด้วยรอยยิ้ม


 


ทว่าป๋ายลี่หงกลับไม่ตอบสนองการทักทาย


 


ลูกตาของมันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตกตะลึง คล้ายพึ่งเคยพบเจอต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรก


 


ถึงแม้มันจะรู้มาว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว แต่มันหลงคิดว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นก็เท่านั้น


 


ทว่ามันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ ถึงขั้นตกตะลึงพรึงเพริดให้แก่มัน หลังออกจากการปิดด่านฝึกตนเป็นเวลา 2 เดือน


 


แทนที่จะใช้คำว่าตกตะลึงพรึงเพริด ต้องใช้คำว่า หวาดกลัวจนเสียขวัญมากกว่า!


 


ไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำจากพลังฝึกปรือหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ…กลับบรรลุสู่เซียนั้นเชี่ยวชาญแล้ว!


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ ให้ตายมันก็ไม่เชื่อว่าจะมีอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เช่นนี้ดำรงอยู่ในโลก!


 


“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านมาหาข้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”


 


เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงยืนจ้องมองตาค้าง ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือว่าไฉนอีกฝ่ายถึงมาหาเขา


 


หากไม่มีเรื่องราวอะไร ปกติป๋ายลี่หงจะไม่มาหาเขาถึงบ้านแบบนี้


 


ตอนนี้เองในที่สุดป๋ายลี่หงก็ดึงสติกลับมาได้สำเร็จ มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตกใจอีกพักหนึ่งค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “สัตว์ประหลาด!”


 


ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินคนเรียกหาเขาแบบนี้ แต่พอเห็นอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างป๋ายลี่หงเรียกหา ต้วนหลิงเทียนก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้


 


“ศิษย์น้องต้วน ข้าถามจริงๆเถอะ นี่เจ้าบ่มเพาะพลังอีท่าไหนกันแน่ ถึงได้ทะลวงมายังขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ไวถึงเพียงนี้ กระทั่งใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้คล่องแคล่วนัก!”


 


ถึงแม้มันจะรู้ดีว่านี่เป็น ‘ความลับ’ ของต้วนหลิงเทียน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา


 


แน่นอนว่ามันได้เตรียมใจรับฟังคำปฏิเสธบอกปัดของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว เพราะทุกคนย่อมมี ‘ความลับ’ ส่วนตัว แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปถึงจะรู้ว่าไม่อาจได้รับคำตอบก็ตามที


 


“ศิษย์พี่ป๋าย ใช้เวลาครึ่งปีบ่มเพาะพลังฝึกปรือจากขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบไปยังสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ…ท่านว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้จริงๆหรือ?”


 


มองป๋ายลี่หงที่กล่าวถามด้วยสงสัย ต้วนหลิงเทียนเพียงแย้มยิ้มแล้วกล่าวถามกลับแทน


 


“ก่อนหน้านี้เป็นธรรมชาติที่ข้าจักมิเชื่อ…แต่เห็นเจ้ากับตาข้าไม่เชื่อก็คงไม่ได้”


 


ป๋ายลี่หงเผยยิ้มอันขื่นขมออกมา


 


“แล้วถ้าข้าบอกว่า ข้ารู้เคล็ดวิชาลับบางประการ ที่สามารถบิดเบือนผลจากการตรวจสอบพลังฝึกปรือด้วยทักษะวิญญาณลี้ลับเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“เอ่อ…”


 


ได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


 


มันไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้เลย เพราะมันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเคล็ดวิชาลับอะไรที่ทำแบบนี้ได้


 


“ที่แท้…เป็นเช่นนี้นี่เอง!”


 


ป๋ายลี่หงรู้สึกโล่งใจทันที


 


ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาลับนี่จะทำให้มันตกใจไม่น้อย แต่ก็ยังน้อยกว่าความจริงที่ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาครึ่งปี ทะลวงมาจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบจนถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ


 


ตรงกันข้ามหากบอกว่านี่เป็นการปกปิดพลังอันแยบคาย ป๋ายลี่หงค่อนข้างเชื่อมันมากกว่า


 


เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงเชื่อเรื่องนี้สนิทใจ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ


 


ทว่าอย่างไรเสียในใจเขาก็รู้สึกผิดไม่น้อย


 


เพราะสุดท้ายแล้วป๋ายลี่หงก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ ทว่าเป็นเขาที่ต้องโกหกอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า


 


แต่แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าต้องทำแบบนี้


 


เรื่องของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นความลับอันใหญ่หลวงนัก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะชักนำเภทภัยอันไร้สิ้นสุดมาสู่ตัว


 


แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าด้วยนิสัยของป๋ายลี่หง ถึงแม้จะรู้เรื่องนี้ แต่ให้ตายอีกฝ่ายก็ไม่มีทางแพร่งพราย


 


อย่างไรก็ตาม บางครั้งแม้ไม่พูด แต่ก็ไม่อาจไม่แพร่งพรายเรื่องราว!


 


ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก มีทักษะวิญญาณมากมายที่ใช้อ่านความทรงจำของผู้คน และแน่นอนว่าเป็นอะไรที่ยากนักที่จะป้องกันจากทักษะอันตรายเหล่านี้ เพราะผู้ใช้ย่อมเป็นตัวตนที่น่ากลัวยากหยั่งถึง


 


เมื่อถูกทักษะลับระดับนั้นล้วงข้อมูล เกรงว่าต่อให้ตายก็ยากจะปกปิดอะไรได้!


 


ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะปิดบัง


 


เขาเชื่อว่าการไม่บอกความจริงกับป๋ายลี่หง ยังเป็นผลดีกับป๋ายลี่หงด้วยซ้ำ!


 


“ศิษย์น้อง ข้าแวะเวียนมาหาเจ้าหลายครั้งตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว…ทว่าเจ้ายังคงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตลอด จึงมิคิดรบกวนเจ้า”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


“มาหาข้าหลายครั้งตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยความแปลกใจ “พี่ป๋าย ท่านมีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ?”


 


“ใช่”


 


ป๋ายลี่หงตอบ “มิใช่ว่าเจ้าชมชอบสะสมวัตถุดิบแปลกๆหรือไร ตอนนี้เจ้ามีโอกาสที่จะได้เห็นพวกมันในคลังสมบัติของสำนัก…หากเจ้าลงแรงสักนิดอาศัยโชคสักหน่อย ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถเข้าไปมองหาวัตถุดิบที่เจ้าต้องการได้”


 


เห็นชัดว่าป๋ายลี่หงรับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไปตามหาวัตถุดิบแปลกๆมากมายที่เมืองหานเหอมาแล้ว ป๋ายลี่หงจึงคิดช่วยเหลือเขาเรื่องนี้


 


และทันทีที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว ป๋ายลี่หงก็นึกถึงคลังสมบัติของสำนักทันที


 


น่าเสียดายที่คลังสมบัตินั้น ต่อให้มันมีฐานะอาวุโสฝ่ายในระดับสูงและมีฐานะพิเศษในสำนักจันทร์จรัสแสง ก็ยังยากที่จะเข้าไปยังคลังสมบัติสำนักตามอำเภอใจ


 


นั่นเพราะคลังสมบัติสำนัก มีไว้ให้ศิษย์ที่โดดเด่นเข้าไปรับรางวัลเท่านั้น


 


นอกจากนั้นแล้วให้เป็นเจ้าสำนักหรือใครก็ตาม ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคลังสมบัติของสำนักเพื่อหยิบฉวยอะไรไปเด็ดขาด


 


“คลังสมบัติของสำนัก?”


 


ต้วนหลิงเทียนสงสัย “มันสำคัญยังไงหรือพี่ป๋าย?”


 


“คลังสมบัติของสำนักนั้นนอกจากศาสตราเซียนและทรัพยากรล้ำค่า ยังมีวัตถุดิบประหลาดและพิสดารสะสมไว้มิใช่น้อย…สิ่งที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นคนรุ่นก่อนนำมาสะสมเอาไว้ เรียกว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย…”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวอธิบายเพิ่มเติม “อย่างไรก็ตามคลังสมบัติสำนัก ทุกๆปีเพียงเปิดให้ศิษย์ฝ่ายในที่โดดเด่นเข้าไปได้เท่านั้น”


 


“ของปีนี้กำลังจะเปิดให้เข้าหรือ?”


 


หลังได้ยินคำอธิบายของป๋ายลี่หงต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความสนใจในคลังสมบัติของสำนักไม่น้อย ยิ่งงได้รับทราบว่ามักมีวัตถุดิบแปลกประหลาดสะสมเอาไว้ ก็ยิ่งสนใจมากขึ้น


 


“ถูกแล้ว”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้า “หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน สำนักจะเปิดให้ศิษย์ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี เข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์…ถึงตอนนั้นผู้ที่ได้อันดับต้นๆ จักได้รับโอกาสให้เข้าไปเลือกของรางวัลในคลังสมบัติของสำนักได้ตามใจชอบ…”

 

 

 


ตอนที่ 1513

 

รองเจ้าสำนัก จงหั่ว


 


“ศิษย์ฝ่ายในที่อายุน้อยกว่า 40?”


 


ได้ยินคำนี้ของป๋ายลี่หง ใบหน้าต้วนหลิงเทียนก็เผยรอยยิ้มอันไร้ซึ่งความกดดันใดๆออกมา


 


ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ ศิษย์ฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงที่ยังอายุไม่ถึง 40 ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย ให้เป็นอันดับ 1 ในช่วงอายุนี้ก็ไม่ใช่คู่มือเขา


 


ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ถึงแม้ว่ายังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าสามารถเอาชนะยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้แน่นอน แต่ตราบใดที่ยังเป็นตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ ย่อมไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามสำหรับเขาอีกต่อไป…


 


ดังนั้นการแข่งขันล่าสัตว์ของสำนักจันทร์จรัสแสงในสายตาต้วนหลิงเทียนแล้ว ไม่ได้ต่างอะไรจากการไปเดินเล่นชมวิว!


 


“ใช่”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้ารับพร้อมหัวเราะร่า “ด้วยพลังฝีมือของศิษย์น้อง การแข่งขันล่าสัตว์ก็เสมือนพิธีการเท่านั้น…เจ้าคิดชิงอันดับ 1 นับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก!”


 


ในวาจาของป๋ายลี่หงนั้น มันเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียน


 


แค่ทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแบบนี้ ในบรรดาศิษย์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปีของสำนักจันทร์จรัสแสงยังไม่มีแม้แต่คนเดียว


 


กระทั่งศิษย์ฝ่ายในที่อายุต่ำกว่า 40 ปีแต่สามารถทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นกลางได้ ก็นับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะของสำนักแล้ว


 


ความสำเร็จของต้วนหลิงเทียนเป็นอะไรที่ห่างไกลจากพวกมันนัก


 


“ข้าได้จัดการเรื่องลงทะเบียนแข่งขันอันใดให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว…อีก 10 วันหลังจากนี้เจ้าสามารถมุ่งหน้าไปยังสถานที่แข่งขันล่าสัตว์ได้เลย…วันนั้นข้าเองก็จะไปกับเจ้าด้วย”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านจะไปด้วยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย


 


“ใช่ ข้าได้ขอตำแหน่งผู้ตรวจสอบการแข่งขันจากเจ้าสำนักเอาไว้แล้ว เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ใดอาศัยเส้นสายและคดโกงอันใดในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้”


 


ป๋ายลี่หงหัวเราะ


 


“อ้าว แล้วนี่เจ้าสำนักไม่กลัวว่าท่านลอบช่วยเหลือให้ข้าโกงการแข่งขันหรือไง?”


 


ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวล้อเล่นออกมาพร้อมหัวเราะ


 


“ด้วยพลังฝึกปรือของศิษย์น้องยังต้องให้ข้าช่วยโกงอันใดอีก…แต่อันที่จริงถึงข้าช่วยเจ้าโกงการแข่งจริง เจ้าสำนักก็ไม่ว่าอะไรข้าหรอก…”


 


วาจาของป๋ายลี่หงนี้ เผยถึงความมั่นใจในตัวเองไม่น้อย


 


เรื่องแบบนี้เกรงว่าในบรรดาอาวุโสทั้งหลายของสำนักจันทร์จรัสแสง มีเพียงมันคนเดียวที่กล้าพูด!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงชนชั้นอาวุโสอะไรด้วยซ้ำ ให้เป็นรองเจ้าสำนักยังไม่กล้าพูดออกมาแบบนี้!


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ศิษย์พี่ของเขาไม่เพียงแต่เป็นอาวุโสฝ่ายในของสำนัก แต่ยังเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงหนึ่งเดียวของสำนักจันทร์จรัสแสง ฐานะนับว่าสูงส่งเหนือกว่าชนชั้นรองเจ้าสำนักเสียอีก


 


กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนอันเป็นเสาหลักของสำนักยังต้องเกรงใจป๋ายลี่หง


 


10 วันในโลกภายนอกนั้น สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วมันก็คือ 50 วันบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


ระยะเวลา 50 วันมากพอให้เขาทำอะไรได้หลายๆอย่าง


 


“ตอนนี้ อาภรณ์ทองได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว…ส่วนวรยุทธ์หลักของมหาเกาทัณฑ์ดาวตกข้าก็สำเร็จขั้นที่ 4 อีกแค่นิดเดียวก็บรรลุขั้นที่ 5 ไร้ตำหนิ…”


 


ต้วนหลิงเทียนบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ “นอกจากนั้น ประทับไท่ซาน ของวรยุทธ์เผิงทองถาโถมเองก็ขาดอีกแค่เล็กน้อย…”


 


“ในช่วง 50 วันนี้ข้าเน้นฝึกดาวตกพิฆาตกับคนเกาทัณฑ์ร่วมประสานของมหาเกาทัณฑ์ดาวตกดีกว่า…หากฝึกพวกมันจนบรรลุขั้นสูงสุดอย่างไร้ตำหนิ ค่อยเปลี่ยนไปฝึกพิรุณดาวตกต่อ”


 


พิรุณดาวตกนั้นก็เป็น 1 ในเคล็ดจู่โจมของวรยุทธ์เซียนมหาเกาทัณฑ์ดาวตก นอกจากนี้ยังเป็นรากฐานของระฆังศรคลุมกายอันเป็นเคล็ดป้องกันหนึ่งเดียวของมหาเกาทัณฑ์ดาวตกอีกด้วย


 


มีเพียงฝึกพิรุณดาวตกจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิก่อนเท่านั้น ถึงจะเริ่มฝึกระฆังศรคลุมกายได้


 


เคล็ดป้องกันระฆังศรคลุมกายนี้ แม้จะนำไปเทียบกับวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นสายป้องกันอย่างอาภรณ์ทอง เกรงว่ายังจะเหนือกว่ากันมากนัก


 


อาภรณ์ทองก็ยังถือเป็นวรยุทธ์ที่ทัดเทียมกับพิรุณดาวตกอันเป็นระดับมนุษย์โดดเด่น ทว่าระฆังศรคลุมกายนั้น อานุภาพของมันน่ากลัวว่าจะทัดเทียมกับวรยุทธ์เซียนสายป้องกันระดับปฐพี!


 


และวรยุทธ์เซียนระดับปฐพีนั้น มีแต่ต้องบรรลุขอบเขตเซียนขึ้นไปเท่านั้นถึงจะฝึกฝนได้!


 


ด้วยเหตุนี้ใจต้วนหลิงเทียนจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับ ระฆังศรคลุมกาย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยละเลยการฝึกพิรุณดาวตก!


 


วันนี้พิรุณดาวตกของเขาก็ฝึกฝนจนมาถึงขั้นตอนเจนจัด อันเป็นขั้นตอนที่ 4!


 


“ตั้งแต่ที่ผู้เฒ่าหั่วยกระดับพลังฝึกปรือของข้าให้บรรลุถึงสู่เซียนขั้นกลาง ข้ารู้สึกว่าการฝึกฝนวรยุทธ์เซียนมันง่ายดายขึ้นอย่างไรไม่ทราบ…ยังรู้สึกเหมือนข้าจะเข้าใจอะไรๆหลายๆอย่างที่ก่อนหน้ายากจะเข้าใจได้อีกด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนค้นพบเรื่องนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้เขาเลยลองไปถามผู้เฒ่าหั่วมาแล้ว อีกฝ่ายก็ตอบมาเพียง 4 คำเท่านั้น


 


กายสุริยัน!


 


สำหรับกายสุริยันนั้น ต้วนหลิงเทียนเพียงรู้เรื่องราวครึ่งๆกลางๆเท่านั้น เพราะผู้เฒ่าหั่วเพียงบอกว่าตอนนี้เขามีกายสุริยันแล้วก็เท่านั้น


 


ส่วนเรื่องที่ว่ากายสุริยันมันดีอย่างไรนั้นผู้เฒ่าหั่วไม่ได้บอกเขาเลย อีกฝ่ายบอกว่าให้เขาค้นพบมันด้วยตัวเอง


 


จนถึงตอนนี้เขาก็ค้นพบความพิเศษของมันได้ประการเดียวเท่านั้น คือสามารถฝึกฝนวรยุทธ์เวียนได้รวดเร็วมากขึ้น


 


อย่างไรก็ตามแม้จะค้นพบเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนมันก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก!


 


“จากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก กายสุริยันยังมีความลับที่รอให้ข้าค้นพบซุกซ่อนอยู่อีกมาก…ข้าอยากรู้จริงๆว่าจะมีอะไรน่าประหลาดใจรอข้าอยู่บ้างกันแน่”


 


คิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง


 


ระยะเวลา 50 วันนั้น มันไม่ได้สั้นหรือยาวอะไร


 


ด้วยการทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักของต้วนหลิงเทียน 50 วันก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก


 


และตอนนี้ดาวตกพิฆาตกับคนเกาทัณฑ์ร่วมประสานของเขา ก็ฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!


 


นอกจากนี้พิรุณดาวตกของเขาที่บรรลุขั้นตอนเจนจัดมาก่อนหน้า ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!


 


หากบรรลุได้เมื่อไหร่ เขาก็สามารถเริ่มฝึกฝนใช้ออกด้วยระฆังศรคลุมกายทันที


 


น่าเสียดาย ที่พิรุณดาวตกยังไม่ทันทะลวงผ่านขั้นที่ 4 ไปยังขั้นที่ 5 เวลา 50 วันก็หมดลงเสียก่อน


 


ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที


 


ตอนเขาออกมาข้างนอกก็ยังเป็นเวลากลางคืน การแข่งขันล่าสัตว์ของสำนักจันทร์จรัสแสงจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้


 


คืนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดกลับไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแต่อย่างไร เพียงนอนเองหลังอยู่บนเตียงในห้องหับ สงบจิตสงบใจ


 


ไม่นานความคิดของเขาก็ล่องลอยไปไกล


 


‘หลังจากที่ด่านพลังฝึกปรือของข้าทะลวงถึงขอบเขตสมบูรณ์แบบ ข้าจะกลับไปยังเกาะป้านเยว่ทันที’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่างในใจ


 


เขาเชื่อว่าด้วยมีชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ การจะทะลวงผ่านไปยังสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบนั้น สมควรใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน!


 


แน่นอน 3 เดือนที่ว่า หมายถึงเวลาในโลกภายนอก!


 


สำหรับชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ 3 เดือนในโลกภายนอกก็เทียบได้กับ 1 ปีกับอีก 3 เดือน!


 


“ลูกน้อยของข้าคงใกล้คลอดเต็มที…”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความตื่นเต้นมากมาย ยังมากกว่าตอนที่พลังฝึกปรือเขายกระดับอย่างก้าวกระโดดเสียอีก!


 


เมื่อลูกน้อยทั้ง 2 คลอดออกมา นั่นหมายความว่าเขาได้เป็นพ่อคน!


 


เรื่องนี้เป็นอะไรที่ตัวเขาในชีวิตที่แล้วไม่กล้าคิดมาก่อน กระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึง!


 


ชีวิตที่แล้วของเขา หลังออกราชการปลดเกษียนตัวเองจากหน่วยรบพิเศษเขี้ยวหมาป่า เขาก็ผันตัวไปเป็นทหารรับจ้าง ชีวิตแต่ละวันประหนึ่งเดินบนคมดาบ เส้นทางที่ก้าวผ่านมีแต่ความตายกับการนองเลือด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น


 


ด้วยเหตุนี้ชีวิตที่แล้วเขาจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมีลูกเลย


 


ทว่าชีวิตนี้เขากำลังจะมีลูกน้อยแล้ว!


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นลูกน้อยสองคน!


 


สุดท้ายพอคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็แทบจะพาร่างเหินลอยไปยังเกาะป้านเยว่


 


เช้าวันรุ่งขึ้น หลังต้วนหลิงเทียนอาบน้ำเปลี่ยนชุดสีม่วงตัวใหม่ที่ให้ข้ารับใช้ในบ้านซักไว้เรียบร้อย เขาก็ออกไปหาป๋ายลี่หง และเดินทางไปยังสถานที่จัดการแข่งขันล่าสัตว์


 


ครั้งนี้ผู้ที่ควบคุมการจัดการแข่งขันล่าสัตว์ก็คือรองเจ้าสำนักคนหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง นอกจากรองเจ้าสำนักคนนี้แล้ว ก็มีอาวุโสฝ่ายในอีก 3 คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบการแข่งขัน และ 1 ในนั้นก็คือป๋ายลี่หง


 


เดิมทีป๋ายลี่หงจะขอเป็นผู้ดำเนินการจัดการแข่งขันเองก็ได้


 


ทว่ามันคร้านจะทำเรื่องยุ่งยากวุ่นวายอะไร จึงขอเป็นแค่ผู้ตรวจสอบก็พอ


 


“อาวุโสป๋ายลี่”


 


ทันทีที่มารวมตัวกับกลุ่มคนที่มารออยู่ก่อน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายชราร่างกายกำยำแลดูกระฉับกระเฉงคนหนึ่งก้าวมาหาป๋ายลี่หงพร้อมทักทายด้วยรอยยิ้ม


 


ชายชรานี้ร่างกายบึกบึนกำยำไม่เหมือนผู้ชราแม้แต่น้อย มองไปประหนึ่งยักษ์ปักหลั่นก็ไม่ปาน ขณะเดินมายังคล้ายเนินเขาเคลื่อนตัวอย่างไรอย่างนั้น


 


“รองเจ้าสำนักจง”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้ารับทั้งทักทายชายชราร่างใหญ่ผู้นี้กลับ ในวาจายังเปิดเผยฐานะของอีกฝ่ายออกมา


 


เป็นผู้ดำเนินการจัดการแข่งขันล่าสัตว์ในปีนี้ของสำนักจันทร์จรัสแสง รองเจ้าสำนัก จงหั่ว!


 


“เช่นนั้นผู้นี้สมควรเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่ ศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนที่ร่ำลือสินะ?”


 


ไม่นานจงหั่วก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม


 


“รองเจ้าสำนักจง”


 


ต้วนหลิงเทียนรับคำทักทายทันที ทว่าในใจกลับรู้สึกอึดอัดพิกล


 


อีกฝ่ายเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้มคล้ายไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ในใจต้วนหลิงเทียนกลับบังเกิดความรู้สึกถึงอันตรายประการหนึ่ง..


 


ทั้งเขายังรู้สึกเสมือนว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นศัตรูอย่างไรอย่างนั้น!


 


แน่นอนว่าความเป็นปรปักษ์นี้ ต้วนหลิงเทียนเพียงสัมผัสถึงมันได้อย่างเบาบางเท่านั้น


 


เขาพบหน้ารองเจ้าสำนักจงหั่วผู้นี้เป็นครั้งแรก ไม่สมควรมีเรื่องราวบาดหมางอะไรกันมาก่อน


 


“ศิษย์น้องต้วน รองเจ้าสำนักจงหั่วผู้นี้ เป็นอาจารย์ของ ‘เฮ่อจง’ ที่เจ้าทุบตีกระทืบมันจนยับ ซ้ำยังรีดไถคะแนนอุทิศมันเป็นล้านคนนั้น…”


 


ตอนนี้เองเสียงผ่านปราณแท้ของป๋ายลี่หงพลันส่งตรงมาถึงหูต้วนหลิงเทียน เฉลยข้อสงสัยในใจต้วนหลิงเทียนทันที…เขาไม่ได้รู้สึกไปเองจริงๆ!


 


‘ที่แท้ก็อาจารย์ของเฮ่อจงนี่เอง’


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที


 


ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของเฮ่อจง นับเป็นเรื่องปกตินักที่มันจะเห็นเขาเป็นศัตรู


 


เฮ่อจงมันเป็นหลานชายของหลิวฮ่วน และวันนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทุบตีมันจนยับ สุดท้ายยังบังคับให้มันกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าจะไม่คิดร้ายและยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาอีก


 


เมื่อสายตาของต้วนหลิงเทียนมองผ่านไปยังด้านหลังของจงหั่ว เขาก็แลเห็นร่างเฮ่อจงยืนปะปนอยู่ในกลุ่มศิษย์ฝ่ายในที่มาถึงก่อนแล้วเช่นกัน


 


‘หืม? เฮ่อจงมันเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้วงั้นเหรอ?’


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้งเล็กน้อย


 


เขาไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องที่เฮ่อจงกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน


 


ในฐานะที่มันเป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนัก เพียงอาจารย์มันกล่าวคำเดียว สถานะศิษย์ฝ่ายในย่อมได้รับมาโดยง่าย


 


สิ่งที่ทำให้เขาอึ้งอยู่บ้างก็คือ ยามที่เขาใช้เนตรเทวะตรวจสอบพลังฝึกปรือของมัน มิคาดมันกลับทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นแล้ว…!

 

 

 


ตอนที่ 1514

 

วิกฤตการณ์ของฟางฮุ่ย!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนใช้เนตรเทวะสำรวจพลังฝึกปรือของเฮ่อจง ด้านเฮ่อจงเองก็หันมามองเขาด้วยสายตาซับซ้อน


 


สาเหตุที่มันสามารถทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนได้รวดเร็วแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น!


 


เรื่องของเรื่องเป็นเพราะ เมื่อเกือบ 3 เดือนที่แล้ว พอมันได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตสู่เซียน ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกกดดันครั้งใหญ่!


 


พอรู้สึกกดดันมันก็มีแรงบันดาลใจกลายเป็นฮึดสู้ขยันบ่มเพาะฝึกปรือ ในที่สุดก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนได้ตั้งแต่เดือนก่อน


 


หลังจากที่มันทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนมันก็ได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน และถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าเป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนักจงหั่ว


 


ถึงตอนนี้ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายจึงได้รู้ว่าที่แท้เฮ่อจงไม่ใช่ศิษย์ที่หลิวฮ่วนลอบรับไว้ แต่กลับเป็นรองเจ้าสำนักที่มาลอบรับตัวมันไว้เป็นศิษย์!


 


อย่างไรก็ตามทั้งหลายมีภูมิคุ้มกันเพราะตกใจกับเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมามากพอแล้ว พอได้รู้เรื่องของเฮ่อจงจึงไม่ได้แตกตื่นอะไรกันสักเท่าไหร่


 


เพราะสุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนก็เป็นถึงศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่หง!


 


อาวุโสป๋ายลี่หงเป็นใคร?


 


อาวุโสฝ่ายในที่ฐานะสูงส่งที่สุด!


 


ยังสูงเหนือกว่ารองเจ้าสำนักที่มีไม่กี่คนของสำนักจันทร์จรัสแสงเสียอีก!


 


นอกจากนั้นกระทั่งเสาหลักอันเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนกับตัวเจ้าสำนักเอง ก็ยังต้องเกรงใจไว้หน้าป๋ายลี่หง ปฏิบัติกับป๋ายลี่หงเสมือนมีฐานะเท่าเทียมกัน!


 


ทันทีที่ป๋ายลี่หงรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง สถานะและรุ่นของต้วนหลิงเทียนก็เรียกว่าเปลี่ยนไปจนวุ่นวาย!


 


กระทั่งรองเจ้าสำนักอย่างจงหั่ว ยามพบเจอต้วนหลิงเทียนที่มาพร้อมป๋ายลี่หง ยังต้องเรียกหาต้วนหลิงเทียนว่าศิษย์น้อง!


 


‘ข้าได้แต่หวังว่าท่านลุงจะล้มเลิกความคิดเป็นศัตรูกับต้วนหลิงเทียนและละวางความแค้นให้ได้เร็วไว…ไม่ใช่แค่ตอบรับอย่างขอไปทีกับข้า!’


 


เฮ่อจงลอบกล่าวในใจอย่างเคร่งเครียด


 


วันนั้นพอมันได้ยินว่าป๋ายลี่หงประกาศรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง มันก็ไม่เหลือความคิดมุ่งร้ายใดๆต่อต้วนหลิงเทียนเหลืออยู่อีกเลย


 


เรื่องที่ผ่านไปแล้วมันก็ปล่อยให้แล้วกันไป ไม่นึกถึงอีก


 


เพราะมันรู้ดีว่าหากยังดื้อรั้นคิดร้ายกับอีกฝ่าย ก็รังแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น!


 


อีกทั้งครั้งนี้เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนทำให้มันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล จึงทำให้มันบังเกิดใจฮึดสู้ ทำให้ตัดผ่านมาถึงขอบเขตสู่เซียนเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้ จึงทำให้ในใจรู้สึกขอบคุณต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง


 


“เฮ่อจง ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”


 


ต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายริเริ่มทักทายเฮ่อจงก่อน


 


เฮ่อจงถึงกับหน้าเหวอเป็นตัวโง่งม เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวแสดงความยินดีแบบนี้!


 


‘ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย’ คำกล่าวที่ส่งผ่านปราณแท้มาของต้วนหลิงเทียน ทำให้เฮ่อจงตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงอะไร…ไม่ใช่ใดอื่นนอกจากเรื่องที่มันทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียน!


 


ทว่าจนถึงตอนนี้ไม่ใช่มีแต่มันกับอาจารย์เท่านั้นที่ทราบหรือ…ว่ามันทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว!?


 


มันยังไม่ได้เปิดเผยพลังฝึกปรือกับใคร กระทั่งลุงมันก็ไม่รู้!


 


ทว่าตอนนี้กลับถูกต้วนหลิงเทียนค้นพบ! ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกเสมือนยืนเปลือยเปล่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียน!


 


“เจ้า…เจ้ามองออกด้วยเหรอ?”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบอารมณ์แตกตื่น เฮ่อจงกล่าวถามผ่านปราณแท้กลับไปทันที


 


ทว่าคราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบอะไร เพียงยกยิ้มขึ้นมาบางๆแลดูลึกลับไม่น้อย ทำให้ใจเฮ่อจงสะท้านไปทันใด


 


ในใจมันยังรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนกลับกลายเป็นอะไรที่น่ากลัวและอันตรายมากขึ้นหลายส่วน


 


ไม่นานอาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบการแข่งขันอีก 2 คนที่เหลือก็เดินทางมาถึง ทั้งคู่เร่งรุดมาทักทายป๋ายลี่หงด้วยเคารพทันที


 


“อาวุโสป๋ายลี่!”


 


ตอนนี้เองศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งสังเกตเห็นไม่เว้นเฮ่อจงก็เร่งคารวะทักทายป๋ายลี่หง


 


“ศิษย์น้องต้วน”


 


ไม่นานอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ที่พึ่งมาถึงก็ทักทายต้วนหลิงเทียนเช่นกัน


 


ฉากนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายที่มาถึงแล้วอิจฉาตาร้อนกันไปเป็นแถบๆ ยังบังเกิดความรู้สึกเกลียดต้วนหลิงเทียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น! ไม่เพียงแต่มากพรสวรรค์แล้วยังมีชีวิตอันดีด้วย! อนิจจาแต่แข่งอะไรแข่งได้แต่จะแข่งบุญวาสนาแข่งกันได้หรือ?


 


หากพวกมันมีศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หงบ้าง ป่านนี้พวกมันได้เดินทอดน่องเชิดหน้าชูตาทั่วสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างสบายใจไปแล้ว!


 


“ไปกันเถอะ”


 


ป๋ายลี่หงไม่คิดรอช้าอะไรกล่าววาจาออกมาคำหนึ่ง จงหั่วก็หันไปสั่งการและเดินนำทั้งหมดออกจากสำนักทันที


 


หลังจากออกพ้นเขตสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ทั้งหมดก็เหินร่างขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดการแข่งขันล่าสัตว์ทันที


 


ไม่นานหลังจากที่ทั้งหมดออกเดินทางไปยังสถานที่แข่งขัน หลิวฮ่วนที่อยู่ในคฤหาสน์ก็ออกมานั่งที่สวนด้านหลง


 


หลิวฮ่วนใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะ คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ตอนนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนน่าตายนั่นมันคงออกเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์แล้วสินะ?”


 


 


“ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสอันประเสริฐนัก…หวังว่าพวกตลาดมืดหยินชานจักไม่ทำพลาดซ้ำสอง!”


 


ขณะกล่าวพึมพำลูกตาของหลิวฮ่วนก็ทอประกายเย็นเยือกออกมาวูบวาบ ยังเต็มไปด้วยจิตฆ่าฟัน


 


“นอกจากนั้นยังมีสวะอย่างฟางฮุ่ยนั่นอีก…นี่ก็ผ่านมาหลายปีดีดัก…เห็นทีว่าข้าต้องไปจบเรื่องราวกับมันเสียที! ตอนแรกก็มิคิดเลยว่ามันจะมีปัญญาสร้างปัญหาอะไรได้ถึงได้ปล่อยให้มันอยู่ แต่สารเลวนั่นกลับรับศิษย์มากพรสวรรค์อย่างต้วนหลิงเทียนมาเสียได้!”


 


ลูกตาหลิวฮ่วนยิ่งมายิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยจิตฆ่าฟัน


 


ครู่ต่อมามันก็ลุกขึ้นยืนและเผยทีท่าคิดออกไปข้างนอก


 


“อาจารย์”


 


ตอนนี้เองมีเสียงเรียกหนึ่งดังขึ้น เป็นซูฉีที่พึ่งเดินเข้ามาถึง


 


ในมือซูฉีถือถาดที่มีกาน้ำชาพร้อมจอกชาเล็กๆมาชุดหนึ่ง “ท่านอาจารย์นี่เป็นชาหยกกระจ่างที่ท่านชมชอบ ข้าพึ่งชงมาให้ท่าน รีบดื่มตอนยังร้อนเถอะ”


 


“นับว่าจิตใจเจ้าดีงามรู้กตัญญูนัก ศิษย์เนรคุณอย่างโจวฉีนั่น กระทั่งชาสักกามันยังมิเคยชงมาให้ข้าเช่นเจ้า”


 


สำหรับศิษย์คนนี้ หลิวฮ่วนรู้สึกพึงพอใจเหลือเกิน


 


ตั้งแต่ที่มันรับอีกฝ่ายมาอยู่ด้วย ไม่เพียงแต่จะขยันหมั่นเพียรบ่มเพาะฝึกฝนวรยุทธ์ ยังกตัญญูรู้คุณ มักชงชาทั้งทำอาหารมาเอาใจมันเสมอทุกๆ 2 วัน สำรับอาหารแต่ละครั้งก็แปลกใหม่สร้างความชื่นชอบให้มันมาโดยตลอด


 


หลังจากลองดื่มชาหยกกระจ่างที่ซูฉีชงมา หลิวฮ่วนก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย นับว่าเป็นชาอันประเสริฐเหมือนเคย ทันใดนั้นหลิวฮ่วนก็คล้ายตัดสินใจอะไรได้


 


“ซูฉี วันนี้เจ้าติดตามอาจารย์ออกไปเที่ยวข้างนอกเถอะ”


 


หลิวฮ่วนกล่าวชวนซูฉี


 


“ทราบ”


 


ซูฉีไม่ทำให้หลิวฮ่วนต้องผิดหวัง กล่าวตอบรับไปทันที


 


“เจ้ามิถามหน่อยหรือว่าอาจารย์จักพาเจ้าไปที่ใด?”


 


หลิวฮ่วนกล่าวถาม


 


“ที่ๆอาจารย์จักพาไป ศิษย์ล้วนยินดีติดตาม ต่อให้บุกน้ำลุยไฟฝ่าภูเขาดาบทะเลมีด ศิษย์เพียงเชื่อฟังโดยดีไม่มีขมวดคิ้ว!”


 


ซูฉีกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ฮ่าๆๆๆ…ดี ดี ดี! ในชีวิตนี้สิ่งที่ทำให้ข้าหลิวฮ่วนผิดหวังมากที่สุดคือรับศิษย์เนรคุณอย่างโจวฉี ส่วนที่ทำให้ข้าภูมิใจที่สุดคือมีศิษย์ประเสริฐเช่นเจ้า!”


 


หลิวฮ่วนกล่าวออกมาด้วยความพึงพอใจ


 


“ไป! อาจารย์จักพาเจ้ากลับไปยังเมืองชงซัน!”


 


ทันทีที่กล่าวจบคำหลิวฮ่วนก็เดินออกไปทันที


 


เมืองชงซัน!


 


วาจานี้ทำให้ใจซูฉีสะท้านไปทันใด


 


มันตระหนักได้ถึงเรื่องที่หลิวฮ่วนคิดกระทำได้ทันที!


 


นอกจากนี้มันยังตระหนักได้ว่า สิ่งที่ทำให้หลิวฮ่วนตัดสินใจกระทำเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะการผงาดขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน!


 


อย่างไรก็ตามซูฉีเพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ ก็เร่งก้าวเดินตามหลิวฮ่วนออกไป


 


ก่อนหน้านี้ทางด้านเมืองชงซัน เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่หงอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงก็ได้แพร่มาถึงเมืองชงซัน แน่นอนว่าจวนเจ้าเมืองชงซันย่อมได้รับทราบข่าวนี้กันหมด!


 


ด้านฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซันเองพอได้รับทราบข่าวนี้ก็ถึงกับแตกตื่นอึ้งค้างไปอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว ยังรู้สึกยากจะทำใจเชื่อเรื่องราวได้ลงคอ


 


“เขา…ถูกอาวุโสป๋ายลี่หงผู้นั้นยอมรับเป็นศิษย์น้อง?”


 


ใจฟางอุ่ยนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเหลือเชื่อนัก


 


ทว่าสุดท้ายมันก็เผยยิ้มยินดีออกมา กระทั่งสองตายังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ


 


เป็นหยาดน้ำตาแห่งความสุข!


 


ในฐานะที่เคยเป็นคนของสำนักจันทร์จรัสแสง ฟางฮุ่ยไหนเลยยังไม่รู้จักอาวุโสป๋ายลี่หงได้!


 


นั่นคือตัวตนที่แม้แต่เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงยังต้องเกรงใจ!


 


สำหรับมันแล้วอาวุโสป๋ายลี่หงก็เสมือนขุนเขาสูงตระหง่านที่มันไม่มีวันปีนข้ามไปได้


 


ตอนที่มันพบเจออาวุโสป๋ายลี่หงครั้งแรก มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ ด้วยกลัวว่าจะสร้างความรำคาญให้อีกฝ่าย!


 


ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกลับได้เป็นศิษย์น้องของป๋ายลี่หงที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น!


 


เรื่องนี้จะไม่ให้มันประหลาดใจได้อย่างไรไหว!?


 


“เขาทะลวงผ่านมายังขอบเขตสู่เซียนแล้วงั้นหรือ!?”


 


หลังจากนั้นไม่นานฟางฮุ่ยก็ได้รับทราบข่าวคราวจากสำนักจันทร์จรัสแสงอีกครั้ง


 


และข่าวนี้ก็เป็นข่าวที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว!


 


“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่หงถึงได้รับเขาเป็นศิษย์น้อง…ดูเหมือนท่านจักแลเห็นถึงพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…มิคิดเลยว่าครั้งหนึ่งข้ากลับถือดีคิดรับเขาเป็นศิษย์! ช่างน่าสมเพชนัก!!”


 


วาจาท้ายประโยคน้ำเสียงของฟางฮุ่ยยังเย้ยหยันตัวเองไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามมันมีความสุขความยินดีกับความก้าวหน้าของต้วนหลิงเทียนนัก!


 


“มีท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่หงหนุนหลังเช่นนี้ ยากที่ตัดบัดซบหลิวฮ่วนนั่นจะแตะต้องอันใดเขาได้! ทั้งมีต้วนหลิงเทียนดูแลอยู่ หลิงอวิ๋นกับฉงหู่ย่อมปลอดภัยเช่นกัน!!”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ฟางฮุ่ยก็รู้สึกวางใจเรื่องศิษย์ทั้งสอง


 


ยังอดรู้สึกผ่อนคลายปลอดโปร่งและโล่งใจเสียไม่ได้ เสมือนเมฆหมอกมืดมัวที่ปกคลุมในใจของมันมานานปี ได้สลายหายไปอย่างไรอย่างนั้น


 


อนิจจาความสุขนี้ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน


 


“ฟางฮุ่ย!!”


 


เสียงหนึ่งพลันดังกึกก้องมาจากน่านฟ้าเหนือจวนเจ้าเมืองชงซัน ปลุกฟางฮุ่ยที่กำลังมีความสุขและยินดีให้ตื่นขึ้นมา สีหน้าเริ่มมืดดำลง ใจรู้สึกหนักอึ้ง…


 


เสียงนี้หาได้แปลกหูมันแต่อย่างไร กระทั่งชาตินี้เกรงว่าคงไม่มีวันลืม!


 


“หลิวฮ่วน!”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ ใบหน้าฟางฮุ่ยกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก มันไม่คิดเลยว่าหลิวฮ่วนที่ไม่แม้แต่จะเห็นหัวมัน สุดท้ายวันนี้กลับมาเยือนมันถึงถิ่น!


 


อย่างไรก็ตามมันรู้ดี ว่าการที่หลิวฮ่วนมาเคาะประตูหน้าบ้านมันแบบนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของต้วนหลิงเทียน!


 


บางทีความสำเร็จของต้วนหลิงเทียน คงสร้างแรงกดดันให้หลิวฮ่วนถึงขั้นสุดที่จะทานทนได้ไหวสืบไป!


 


พอนึกถึงเรื่องนี้สีหน้าเคร่งเครียดของฟางฮุ่ยก็คลี่คลายลง ยังเริ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ “หลิวฮ่วน ในที่สุดเจ้าก็หวาดกลัวจนนั่งไม่ติดแล้วหรือ?”


 


เมื่อฟางฮุ่ยลอยร่างขึ้นมาบนฟ้า มันก็พบว่าไม่เพียงแต่หลิวฮ่วนที่มา ยังมีอีกร่างที่มาพร้อมกันด้วย ยังเป็นร่างที่คุ้นเคยสำหรับมันนัก!


 


“ซูฉี!”


 


เมื่อเห็นซูฉีลอยร่างข้างกายหลิวฮ่วน ใจฟางฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านสะเทือน


 


ซูฉีนั้น เดิมทีเป็นศิษย์ที่มันภาคภูมิใจและชื่นชอบมากที่สุด อีกฝ่ายมีศักยภาพและพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เหนือล้ำกว่าใครที่เคยปรากฏตัวขึ้นมาในเขตปกครองเมืองชงซันของมัน ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัว…


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงเอาใจใส่ดูแล และทุ่มเททุกอย่างให้แก่ซูฉี


 


อนิจจาสุดท้ายกลับกลายเป็นตัดชุดวิวาห์ให้หลิวฮ่วนไปเสียได้ เรื่องนี้ทำให้มันปวดใจและผิดหวังเป็นที่สุด


 


วันนี้พอได้เห็นซูฉีลอยร่างเคียงข้างหลิวฮ่วนด้วยตัวเอง มันก็รู้ได้ทันทีว่าซูฉีทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว หาไม่แล้วคงมิอาจเหินลอยเหนือน่านฟ้าเมืองชงซันที่มีอาคมห้ามบินแบบนี้ได้


 


ข่ายอาคมห้ามบินของเมืองชงซันนั้น เพียงจำกัดให้ผู้ที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าขอบเขตสู่เซียนมิอาจเหินบิน!


 


เช่นนั้นหมายความว่ามีเพียงตัวตนที่บรรลุขอบเขตสู่เซียนขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถลอยร่างค้างกลางหาว เหินบินได้อย่างเสรี…

 

 

 


ตอนที่ 1515

 

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน


 


วิกฤตการณ์ที่ฟางฮุ่ยกำลังประสบอยู่นี้ เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย


 


เขาเองก็คงไม่คิดว่าหลังจากเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ จนเขาเป็นที่จับตาของผู้คนแล้ว แต่หลิวฮ่วนมันยังจะกล้าล้ำเส้น บุกมาฆ่าฟางฮุ่ยถึงเมืองชงซัน!


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ติดตามป๋ายลี่หงรวมถึงกลุ่มคนของสำนักจันทร์จรัสแสงไปยังสถานที่จัดการแข่งขันล่าสัตว์ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่ารกชัดในหุบเขาแห่งหนึ่ง


 


อยู่บนฟ้าทอดตาลงมาก็เห็นผืนป่าเขียวอันกว้างใหญ่ขุนเขาสุดไพศาล หมอกลงจางๆแฝงกลิ่นอายลี้ลับประการหนึ่ง


 


“เขาลูกนี้ล้วนเป็นเวทีประลองของพวกเจ้า…พวกเจ้าสามารถลงไปเข่นฆ่าสัตว์ร้ายทั้งหลายได้ตามใจ! อย่างไรก็ตามตอนฆ่าสัตว์ร้ายขอให้พวกเจ้าทิ้งร่องรอยหรือสัญลักษณ์แสดงตัวตนของพวกเจ้าเอาไว้บนศพพวกมันด้วย เพื่อที่พวกเราจักได้ตรวจสอบผลคะแนนได้”


 


รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง จงหั่ว กล่าวกับเหล่าศิษย์รวมถึงต้วนหลิงเทียน


 


ได้ยินคำประกาศของจงหั่ว ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นก็พยักหน้ารับ


 


“ดูเหมือนว่าคงไม่อาจลงมือฆ่าสัตว์ร้ายรุนแรงเกินไปจนไม่เหลือซากศพสินะ…หากร่างมันถูกทำลายไปหมด คราวนี้ก็คงพิสูจน์ยากแล้วว่าสัตว์ร้ายถูกใครฆ่า…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ


 


ในระหว่างเดินทางเขาก็ได้รับทราบกฏเกณฑ์การแข่งขันจากจงหั่ว


 


ในการแข่งขันล่าสัตว์นี้ คะแนนที่จะได้รับก็ขึ้นอยู่กับด่านพลังของสัตว์ร้ายที่ฆ่าไป


 


“ต่อไปป้ายหยกนี้จะแจกให้พวกเจ้าแต่ละคนพกติดตัวเอาไว้…หากพวกเจ้าประสบอุบัติเหตุอันใด เพียงทำลายป้ายหยกนี้เสีย แล้วถึงตอนนั้นข้ากับผู้ตรวจสอบทั้ง 3 จะเร่งรุดไปช่วยพวกเจ้าโดยเร็วที่สุด”


 


จงหั่วยกมือขึ้นปรากฏป้ายหยกนับสิบๆผุดขึ้นมาลอยล่องในความว่าง ต่อมาพวกมันก็ถูกแจกจ่ายให้ต้วนหลิงเทียนกับเหล่าศิษย์


 


“อย่างไรก็ตามข้าจักต้องกล่าวแจ้งพวกเจ้าไว้ก่อน ว่าทันทีที่พวกเจ้าทำลายป้ายหยก นั่นเท่ากับว่าการแข่งขันล่าสัตว์ของพวกเจ้าก็จำต้องถึงกาลสิ้นสุด ต้องออกจากการแข่งขันล่าสัตว์ทันที”


 


ความหมายของจงหั่วก็ชัดนัก หากไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงตายก็อย่าได้ทำลายป้ายหยกเด็ดขาด


 


นอกจากต้วนหลิงเทียนที่มองตรวจสอบป้ายหยกอย่างจริงจังแล้ว ศิษย์คนอื่นๆรวมถึงเฮ่อจงเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น


 


“อาคมเซียนงั้นเหรอ?”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็เห็นอาคมเซียนที่จารึกเอาไว้ในป้ายหยก


 


รูปแบบของอาคมเซียนนี้แปลกตาเขานัก มันไม่ใช่อาคมเซียนป้องกัน จู่โจม หรือเพิ่มความเร็วอะไร อย่างน้อยๆเขาก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน


 


“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านเป็นคนจารึกอาคมเซียนลงป้ายหยกพวกนี้หรือ?”


 


เสียงผ่านปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนส่งไปถามป๋ายลี่หงทันที ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออาคมอะไร แต่จากลักษณะการจารึกและกลิ่นอายพลังวิญญาณที่แฝงในวงจรพลัง ต้วนหลิงเทียนก็พอจะบอกได้ว่าเป็นฝีมือป๋ายลี่หง


 


การสลักจารึกก็เสมือนลายมือ ทุกผู้คนย่อมมีความแตกต่างกัน


 


“มิผิด”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้ารับค่อยตอบ “ศิษย์น้องเจ้าอย่าได้เห็นว่าอาคมเซียนพวกนี้ธรรมดาๆเชียว อย่างน้อยๆอาคมเซียนพวกนี้ก็เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว”


 


อาคมเซียนระดับ 3 ดาว?!


 


ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ตกใจไม่น้อย


 


“แต่อย่างไรเสีย ถึงแม้จักเป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว ทว่ามันก็เป็นอาคมแจ้งเตือนเท่านั้น วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีราคาน้อยยิ่งกว่าอาคมเซียนระดับ 2 ดาวเสียอีก”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวเสริม


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จฉงนใจ


 


“แต่ถึงแม้ราคาวัตถุดิบจะต่ำทั้งจารึกได้มิยากเย็นอะไร…ทว่าสุดท้ายมันก็เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว เช่นนั้นต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนก็มิอาจหยุดยั้งผลของอาคมนี้ได้ ทว่าหากเป็นขอบเขตเซียนก็เป็นอีกเรื่องแล้ว”


 


ป๋ายลี่หงร่ายยาวออกมา


 


“สามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนได้ แม้จะเผชิญหน้ากับครึ่งก้าวเซียนงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนยอมรับว่าประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่กล้าดูเบาอาคมเซียนที่แลดูไม่ยากเย็นในมืออีกต่อไป


 


“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็ลงไปออกล่าได้แล้ว…ผู้ตรวจสอบทั้ง 3 รวมถึงข้า ก็จักลาดตระเวนตรวจตาอยู่ไม่ห่าง หากพวกเจ้าพบอันตรายที่มิอาจจัดการได้เพียงเร่งทำลายป้ายหยกนั่นเสีย พวกเราก็จักไปช่วยเหลือพวกเจ้าทันที”


 


รองเจ้าสำนักจงหั่วไม่กล่าววาจาใดให้มากความ เพียงกล่าวย้ำเรื่องราวอีกรอบก็ปล่อยให้ทุกคนมีอิสระในการลงมือทันที


 


สำหรับรายละเอียดอื่นๆทั้งหลายในการแข่งขัน มันกล่าวแจ้งทั้งหมดระหว่างเดินทางมาเรียบร้อยแล้ว


 


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


 


……


 


สิ้นเสียงจงหั่ว ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายที่กำลังคึกคักฮึกเหิมก็เร่งเหินร่างลงจากฟ้าพุ่งไปในป่ารกชัดของเขาลูกนี้ทันที ทั้งหมดหายไปในพริบตาประหนึ่งหินร่วงหล่นทะเลไร้ระลอกคลื่นอันใด


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ป๋ายลี่หง ก่อนที่จะโรยตัวลงไปด้านล่างอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ในบรรดาผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดวันนี้ ข้าว่าศิษย์น้องต้วนของท่านน่าจักมีแววมากที่สุด เห็นทีอันดับของเขาน่าจะมิพ้นอันดับ 1 แล้วท่านว่าใช่หรือไม่?”


 


หลังจากที่เหล่าศิษย์รวมถึงต้วนหลิงเทียนหายลงไปในป่าเขาด้านล่างแล้ว จงหั่วก็ยิ้มมองป๋ายลี่หงค่อยหยีตากล่าวถาม


 


แน่นอนว่ามันจงใจถาม


 


อย่างไรก็ตามคำตอบต่อมาจากปากป๋ายลี่หง ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะอึ้ง


 


“ไม่ใช่มิพ้นอันดับ 1 แต่ต้องได้อันดับ 1 แน่นอน! ศิษย์น้องข้าไหนเลยยังมิอาจคว้าอันดับ 1 ในการแข่งขันนี้ได้!”


 


นี่คือคำตอบของป๋ายลี่หง


 


วาจาของป๋ายลี่หงไม่เพียงทำให้จงหั่วอึ้ง กระทั่งผู้ตรวจสอบอีก 2 คนที่เหลือก็ตะลึงไปไม่ต่าง พวกมันรู้สึกว่าป๋ายลี่หงจะเชื่อมั่นในตัวต้วนหลิงเทียนมากเกินไป นี่มันถึงขั้นหน้ามืดตามัวแล้ว!


 


แม้พวกมันจะไม่อาจไม่ยอมรับว่าพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนนั้นยอดเยี่ยม!


 


อย่างไรก็ตามมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังฝีมือจะแข็งแกร่ง!


 


ในสายตาของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งทะลวงผ่านจากขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบมายังขอบเขตสู่เซียนได้ในเวลาแสนสั้นแบบนี้ น่ากลัวว่ารากฐานจะไม่มั่นคง! ยากที่จะทัดเทียมกับศิษย์ฝ่ายในคนอื่นที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนมานาน!!


 


แน่นอนว่าที่พวกมันคิดกันแบบนี้เพราะไม่ล่วงรู้ ความลับ ของต้วนหลิงเทียน


 


หากพวกมันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พวกมันคงไม่มีวันคิดเรื่องแบบนี้


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงมาในป่า และออกเดินทางไล่ฆ่าสังหารสัตว์ร้ายในเขา ทางด้านจวนเจ้าเมืองชงซันก็กำลังประสบกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่


 


เหนือขึ้นไปบนฟ้า ฟางฮุ่ย มองร่างซูฉีด้วยสายตาซับซ้อน อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


ในสายตาของมัน ทางเลือกของซูฉีไม่นับว่าผิดอะไร


 


โลกนี้ที่ยึดถือความแข็งแกร่งเป็นที่สุด น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ คนขวนขวายปีนขึ้นสูง…การฝึกฝนบ่มเพาะก็เพื่อยกระดับพลังฝีมือให้ก้าวขึ้นมาอยู่เหรือใครไม่ใช่หรือ?


 


ซูฉีเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองและแสวงหาความแข็งแกร่งโดยเข้าพวกกับหลิวฮ่วน เรื่องนี้มันไม่อาจตำหนิซูฉีได้


 


เพื่อความอยู่รอดแล้ว ซูฉีจะทำแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร


 


อย่างไรก็ตามพอได้เห็นแววตาของหลิวฮ่วนที่ท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร ฟางฮุ่ยก็รู้ดีว่าที่หลิวฮ่วนมาหามันวันนี้ ที่ดีไม่มา ที่มาไม่ดีเป็นแน่! สมควรมาเอาชีวิตมันแล้ว!!


 


มันไม่ได้แปลกใจอะไรที่หลิวฮ่วนอยากฆ่ามันให้ตาย!


 


ทว่าหลิวฮ่วนพาซูฉีมาด้วยแบบนี้ ใจมันก็รู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาทันที


 


หลิวฮ่วนคิดอวดพลังอำนาจ ทั้งคิดหยามหยันมันต่อหน้าอดีตศิษย์อย่างซูฉี!


 


เมื่อหยามหยันมันต่อหน้าอดีตศิษย์จนสาแก่ใจแล้ว ถึงค่อยเอาชีวิตมัน!!


 


“ฟางฮุ่ย จะอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้ายิ่งนัก…ที่อุตส่าห์ไปสรรหาศิษย์อันประเสริฐเช่นนี้มามอบให้ข้า!!”


 


หลิวฮ่วนมองหยามฟางฮุ่ยค่อยกล่าวเย้ยเยาะออกมา


 


“หลิวฮ่วนเจ้าอย่าได้เสแสร้งอันใดอีกเลย…ที่เจ้าถึงกับต้องถ่อมาฆ่าข้าวันนี้ มิใช่เพราะเจ้าร้อนใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งหนามยอกอกคอยตำใจเจ้าหรือไร?”


 


ฟางฮุ่ยมองสวนหลิวฮ่วนค่อยกล่าวออกมาเสียงเย็น “ต่อให้วันนี้ข้าฟางฮุ่ยต้องตาย ข้าก็มีใดให้เสียใจ…ต้วนหลิงเทียนนั้นถูกกำหนดมาให้เป็นดาวพิฆาตของเจ้าไปชั่วชีวิต…! ข้าก็หวังว่าเจ้าจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตให้ดี และหวังว่าเจ้าจักอยู่ได้นานพอ!!”


 


“ฮ่าๆๆๆ!!!”


 


หลังกล่าวจบฟางฮุ่ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ในน้ำเสียงเผยถึงความปลอดโปร่ง ไม่ยี่หระต่อความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา


 


“ฟางฮุ่ย!”


 


หน้าหลิวฮ่วนเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันใด มันคำรามออกมาด้วยโทสะ!


 


มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ฟางฮุ่ยยังกล้ากล่าวยั่วยุมันออกมา! เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่นำพาความตายอันใด!!


 


“เฮอะ! เจ้าคิดว่ายั่วยุข้าเช่นนี้แล้วข้าจะรีบลงมือฆ่าเจ้าทิ้งหรือไร? โง่เขลานัก! ข้ามิให้เจ้าด่วนตายนักหรอก!”


 


ไม่นานหลิวฮ่วนก็ฉุกคิดขึ้นได้ มันจึงกลับมาสงบใจ กล่าวถามเย้ยออกมาเสียงเย็น


 


“หลิวฮ่วน จินตนาการของเจ้ายังบรรเจิดเหมือนกาลก่อนมิมีผิด!”


 


ฟางฮุ่ยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ไม่คล้ายคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายแม้แต่น้อย


 


“เจ้าคิดว่ากล่าวเช่นนี้ข้าจะเร่งสังหารเจ้าให้ตายโดยไม่เจ็บปวดหรือไร?”


 


หลิวฮ่วนยังคงกล่าวเย้ยออกมาสืบต่อ “วันนี้เจ้าต้องตายแน่นอน แต่มิมีวันที่ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างสบาย! ข้าจะให้เจ้ารับรู้ถึงคำว่าอยู่มิสู้ตาย! กระทั่งสุดท้ายเจ้าต้องมาวิงวอนร้องขอความตายจากข้า!!”


 


ได้ยินวาจานี้ของหลิวฮ่วน แม้ฟางฮุ่ยจะไม่หวั่นหวาดต่อความตาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอึ้งในใจอยู่บ้าง


 


“ยินดีเป็นหยกแหลกลาญ มิขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์! หลิวฮ่วน..ตัวข้าจะเป็นตายร้ายดีก็สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ แต่การตายของข้ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น…จุดเริ่มต้น ‘ฝันร้าย’ ของเจ้าอย่างไรเล่า!”


 


ฟางฮุ่ยยังคงหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง ยิ่งมายิ่งรู้สึกสาสมใจนัก!


 


เป็นเวลาเนิ่นนานหลายปีแล้วที่มันมีเรื่องบาดหมางกับหลิวฮ่วน เพราะอีกฝ่ายดับอนาคตมัน ย่ำยีคนรักของมัน ให้มันอยู่อย่างไร้อนาคต…ทุกคืนวันผันผ่านไปด้วยความระทม หนึ่งวันที่ทุกข์ตรมยังรู้สึกเนิ่นนานเป็นปี! ทว่าวันนี้มันกลับรู้สึกยินดีมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!


 


หลายปีที่ผ่านมาที่มันต้องทุกข์ระทมตรอมตรม มิใช่บังเกิดความรู้สึกสิ้นหวังในใจหรอกหรือ?


 


ทว่าวันนี้ศิษย์ของมันอย่างต้วนหลิงเทียนกลับเติบโตเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ การดำรงอยู่ของต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ต่างใดจากหนอมยอกอกที่คอยตำใจหลิวฮ่วน และหนามนี้ยิ่งมายิ่งแหลมคมเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ! มันรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ผ่านมาช่างคุ้มค่าแล้ว!


 


เมื่อมันได้รับรางวัลและผลตอบแทนเช่นนี้ในบั้นปลายชีวิต ไหนเลยยังไม่สาแก่ใจได้!


 


ในสายตาของมัน ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้มัน!


 


มีต้วนหลิงเทียนอยู่ทั้งคน ไหนเลยมันยังต้องห่วงเรื่องที่จะไม่ได้ล้างแค้นหลิวฮ่วนอีก!?


 


ถึงแม้มันจะอยู่กับต้วนหลิงเทียนแค่ไม่ถึงปี แต่อุปนิสัยใจคอของต้วนหลิงเทียนเป็นเช่นไร ใยมันจะไม่ทราบ!


 


หากมันตกตายลงไป ต้วนหลิงเทียนไม่มีวันละเว้นหลิวฮ่วนแน่! อีกฝ่ายได้แต่นับวันรอที่จะถูกฆ่าตายคามือต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!!


 


“หาที่ตาย!!”


 


หลิวฮ่วนพิโรธหนักนัก ทั่วร่างปรากฏปราณแท้มหาศาลขุมหนึ่งปะทุออกแข็งกล้า จนฟ้าสะท้านมวลอากาศสะเทือน!


 


ยามเมื่อหลิวฮ่วนคิดลงมือจู่โจม ชุดคลุมของมันเริ่มโบกสะบัดไหวแรงไม้ไร้ลม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดคล้ำอำมหิต แววตาเย็นเยียบปานหล่มน้ำแข็ง มันยกมือขึ้นฉับไวด้วยความเร็วสูงล้ำ ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างมันสะท้านไปวูบหนึ่ง ฝ่ามือพลิกกลับ เร่งตบฟาดออกไปด้านข้างทันที!!


 


ปงงงง!!


 


เสียงสนั่นดังขึ้นคราหนึ่ง ปรากฏร่างหนึ่งถูกซัดกระเด็นปลิดปลิวออกไปไม่เป็นท่า! โลหิตพุ่งเป็นเส้นสายลากผ่านฟ้า!!


 


ร่างที่ถูกซัดปลิวนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นซูฉี!


 


กล่าวให้ชัดเป็นซูฉีที่ถูกซัดออกมา เพราะได้เรียกเข็มสีทมิฬเล่มหนึ่งออกมาลอบแทงฉับไวดั่งอสรพิษฉกกัด ไปยังต้นแขนหลิวฮ่วน ในขณะที่หลิวฮ่วนคิดตบฟาดฝ่ามือซัดทำร้ายฟางฮุ่ย!


 


“ซูฉี!”


 


เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และตอนนี้ร่างหลิวฮ่วนก็เริ่มสั่นสะท้านไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หากฟางฮุ่ยยังไม่รู้ว่าที่แท้นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ก็เสียทีที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายปีแล้ว!


 


จังหวะนี้มันตระหนักได้ทันที!


 


ที่แท้ซูฉีมิได้ทรยศหักหลังมันแต่อย่างไร ใจอีกฝ่ายยังอยู่กับมันเสมอมา!


 


ซูฉีไม่ได้หวาดกลัวความตายแต่อย่างไร…


 


แต่อีกฝ่ายทานทนรับความอัปยศอดสู ยังยินดีถูกตราหน้าว่าตัวทรยศ! เพื่อเฝ้ารอคอยเวลาที่จะได้ล้างแค้นให้อาจารย์ไม่เอาไหนอย่างมัน!!


 


เห็นดังนั้น ฟางฮุ่ยก็ไม่คิดอะไรให้มากความ ปะทุพลังชั่วชีวิตพุ่งไปรับร่างซูฉีที่ร่วงหล่นฟ้าทันที


 


“ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่เอาไหนไร้สามารถ…ล้างแค้นให้อาจารย์มิได้…หากมีเวลาอีกมิกี่เดือนข้ามั่นใจว่าต้องฆ่ามันได้แน่ๆ…น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก!”


 


ซูฉีที่เลือดกลบปากทั้งยังกระอักออกมาไม่หยุด กล่าวออกมาด้วยสีหน้าแววตาเสียดายเป็นที่สุด


 


“สารเลว! ศิษย์เนรคุณ! เจ้าลอบวางยาพิษข้าตั้งแต่เมื่อใด!?”


 


หลิวฮ่วนที่ร่างสั่นระริกไกลตา ตะคอกเสียงดังลั่นฟ้ากล่าวถามออกมาด้วยอำมหิต


 


มันพบว่าทันทีที่เข็มของซูฉีทิ่มแทงลงมา ก็ประหนึ่งจุดชนวนอะไรบางอย่าง พิษร้ายที่ไม่ทราบมาแต่ที่ใด กลับปะทุแล่นพล่านขึ้นมาทั่วกายของมันทันที!


 

 

 


ตอนที่ 1516

 

ซูฉีตายตก หวังเทาเผยกาย!


 


จังหวะนี้หลิวฮ่วนก็ตระหนักได้ ว่าซูฉีได้วางแผนร้ายต่อมันมานานแล้ว!


 


พิษร้ายที่แล่นพล่านอยู่ในกายของมัน มิใช่อะไรที่จะมีได้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน!


 


“หลิวฮ่วน อาหารกับชาพิษของข้าอร่อยมากหรือไม่เล่า..ฮ่าๆๆ…แค่ก….แค่กก”


 


ซูฉีที่ถูกฟางฮุ่ยเหินร่างมารับเอาไว้ มองหลิวฮ่วนทั้งหัวเราะออกมาอย่างสะใจทว่ายิ่งมันหัวเราะโลหิตก็ยิ่งกระอักออก สีหน้ายิ่งมายิ่งซีดเซียวลง


 


ขณะเดียวกันกลิ่นอายพลังทั่วร่างของมันก็ถดถอยอ่อนจาง ดั่งตะเกียงใกล้สิ้นน้ำมัน


 


“ชาอาหารพิษ?! ที่แท้…ที่แท้เป็นเช่นนี้! ดูเหมือนว่าในสายตาเจ้ามิเคยเห็นข้าเป็นอาจารย์ตั้งแต่แรก! เสียทีที่ข้าดูแลประคบประหงมเจ้าอย่างดี สุดท้ายกลับมาแว้งกัดข้า ศิษย์ทรพี!!”


 


หลิวฮ่วนย่อมปะติดปะต่อเหตุการณ์จนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ทันที ใบหน้าของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำ


 


“ศิษย์ทรพี?”


 


ซูฉีได้ยินคำนี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่าออกมา “ชั่วชีวิตข้าซูฉี จดจำได้ว่าข้ากราบอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น! และนั่นมิใช่ตัวอุบาทว์เช่นเจ้า หลิวฮ่วน! น่าขันนักที่คนต่ำช้าเช่นเจ้ากลับกล้าคิดว่าข้าจะยินยอมสยบให้! หากมิใช่เพราะข้าคิดล้างแค้นให้ท่านอาจารย์ ไหนเลยข้าจักลดตัวไปเสแสร้งแสดงเป็นศิษย์ของตัวต่ำช้าเช่นเจ้า!!”


 


“ข้าเพียงเสียดายที่เรื่องราวมิอาจยืดเยื้อไปกว่านี้…หากข้ามีเวลาอีกแค่มิกี่เดือน ข้ามั่นใจว่าพิษร้ายในกายเจ้าจักปะทุออกโดยสมบูรณ์ดับชีวิตสุนัขของเจ้า!!”


 


วาจาท้ายประโยคของซูฉีนั้น เผยความเสียดายออกมาไม่น้อย


 


หลิวฮ่วนเป็นถึงยอดฝีมือสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ยากที่พิษธรรมดาทั่วไปจะทำร้ายมันถึงตายได้


 


ดังนั้นมันจึงใช้พิษที่ออกฤทธิ์ช้าที่มีแต่ในทวีปมนุษย์วางยาหลิวฮ่วนมาโดยตลอด พิษนี้ไร้สีไร้กลิ่นยากที่จะมีผู้ใดตรวจพบ


 


พิษประเภทนี้ปกติแล้วตัวมันไม่นับว่ามีพิษอะไร


 


แต่ทว่าเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสารบางอย่าง ถึงตอนนั้นมันจะทำปฏิกิริยาและกลับกลายเป็นพิษร้ายแรงทันที!


 


และเข็มที่มันลอบแทงเข้าต้นแขนของหลิวฮ่วนนั้น ก็คือพิษที่มีคุณสมบัติเร่งปฏิกิริยาอันรุนแรง สามารถกระตุ้นพิษร้ายในกายหลิวฮ่วนให้ปะทุออกมา


 


“ท่านอาจารย์รีบหนีไปเร็วเข้า! ตอนนี้หลิวฮ่วนมันต้องเดินพลังขับพิษในกาย มันมิกล้าติดตามท่านไปเป็นแน่! ท่านอาจารย์รีบหนี!!”


 


ซูฉีมองฟางฮุ่ยพร้อมกล่าวออกมาด้วยท่าทางรีบร้อน


 


มันที่เป็นผู้วางยา ย่อมรู้ดีว่าผลเป็นอย่างไร


 


ตอนนี้หลิวฮ่วนกำลังเดินพลังขับพิษทั่วกาย มันจึงไม่อาจเคลื่อนไหวใดๆได้ เพราะหากมันใช้พลังสุ่มสี่สุ่มห้าพิษร้ายย่อมแล่นสู่หัวใจทำร้ายชีพจรพลังทั่วร่างมันสาหัส พอถึงตอนนั้นให้หลิวฮ่วนมีพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ก็มิอาจหลีกหนีความตายได้พ้น กระทั่งเทพเซียนบนสวรรค์ก็มิอาจช่วย!


 


และหากหลิวฮ่วนคิดขับพิษร้ายในกายออก ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่สามารถกระทำได้หากมิใช้เวลาสักหนึ่งชั่วยาม!


 


หนึ่งชั่วยามหรือสองชั่วโมงย่อมมากพอให้อาจารย์ของมันอย่างฟางฮุ่ยหลบหนีไปซ่อนให้พ้นหูตาของหลิวฮ่วน!


 


“ซูฉี!!”


 


ฟางฮุ่ยมองซูฉีด้วยน้ำตานองหน้า ใจมันเต็มไปด้วยความปวดปร่านัก


 


บุรุษมิอาจหลั่งน้ำตาได้โดยง่าย หากใจไม่ปวดร้าวแทบขาดรอน


 


พอมันรู้ว่าที่แท้ซูฉีไม่เคยทรยศมันเลย ความผิดหวังสูญเสียในใจพลันมลายหายไปสิ้น หลงเหลือก็แต่ความสุขความยินดีที่มันไม่ได้มองคนผิดไป


 


ศิษย์คนนี้ที่อยู่เคียงข้างมันมานาน ยังเห็นมันเป็นอาจารย์หนึ่งเดียวในใจเสมอมา…


 


“ท่านอาจารย์รีบไปเร็วเข้า!”


 


ซูฉีรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามามัวพิรี้พิไรกล่าววาจาอ่อนไหวอันใดให้มากความ


 


“มันมิใช่ถูกพิษอยู่หรือไร?! ข้าจักฆ่ามันเดี๋ยวนี้!!”


 


ฟางฮุ่ยไม่คิดจากไป ลูกตามันเผยประกายเย็นเยือกยามมองไปยังร่างหลิวฮ่วนที่สั่นสะท้านเดินพลังจนทั่วกายปรากฏหมอกควันแพร่ฟุ้ง เร่งขับพิษสุดกำลัง!


 


“ท่านอาจารย์! แม้มันมิกล้าเคลื่อนไหวส่งเดช แต่ร่างกายมันมิใช่ขาดพลัง มันย่อมป้องกันตัวเองได้…ท่านรีบหนีไปเร็วเข้า!!”


 


ซูฉียังคงกล่าวกระตุ้นอย่างร้อนรน สุดท้ายมันก็กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ อาการบาดเจ็บยิ่งทรุดหนักลงไปใหญ่!


 


“ได้! ข้าไปแล้ว!!”


 


แม้ไม่เต็มใจเพียงใด แต่ฟางฮุ่ยรู้ดีว่าซูฉีไม่หลอกมันเป็นแน่ มันขบฟันดังกรอดก่อนที่จะหอบหิ้วร่างซูฉีพุ่งหนีไปทันที


 


ทว่าทันใดนั้นเอง…


 


“ฮ่าๆๆๆ…!!”


 


เสียงหัวเราะพลันลั่นดังสนั่นฟ้า กึกก้องไปในบรรยากาศ


 


ได้ยินเสียงหัวเราะนี้ ทั้งฟางฮุ่ยและซูฉีหน้าเปลี่ยนสีทันที


 


หันมองกลับไปยังร่างหลิวฮ่วนที่อยู่ไกลตา อีกฝ่ายเพียงลอยตัวหัวเราะดังด้วยสีหน้าที่กลับคืนสู่ปกติ


 


หลิวฮ่วนที่ลอยร่างอยู่นั้น หน้าตาแจ่มใสไม่มีร่องรอยหมองคล้ำอันใดหลงเหลือ! ไม่คล้ายคนถูกพิษอะไร!!


 


“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทาง!!”


 


เห็นฉากนี้ร่างซูฉีสะท้านไปทันใดศีรษะส่ายไปมาไม่หยุด ใบหน้าแววตาเผยความเหลือเชื่อตื่นตระหนก เห็นชัดว่ามันไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้


 


“มิมีอันใดเป็นไปไม่ได้!”


 


หลิวฮ่วนกล่าวเย้ยหยันออกมา “เรื่องนี้เจ้าคงมิรู้ แต่เดิมทีตัวข้าก็นับว่าเป็นปรมาจารย์เซียนหลอมโอสถคนหนึ่ง…ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านข้าจักมิได้หลอมกลั่นโอสถอันใด แต่ผู้ที่จักเป็นปรมาจารย์เซียนหลอมโอสถเช่นข้าได้ ชีวิตย่อมพัวพันกับสมุนไพร ไหนเลยจักมิเคยอาบสมุนไพรพิษ! ตั้งแต่เด็กข้าก็จำต้องกลืนกินสมุนไพรพิษกระทั่งทนรับพิษจากสัตว์พิษทั้งหลาย…ภูมิคุ้มกันพิษในร่างของข้าไหนเลยเจ้าจักหยั่งถึง!”


 


“แม้พิษที่เจ้าใช้จักประเสริฐมิน้อย ทั้งไร้สีไร้กลิ่นยากแยกแยะ…แต่ปริมาณเพียงเท่านี้อย่าได้หวังว่าจักคุกคามอันใดข้าได้!!”


 


วาจาหลิวฮ่วนรอบนี้เสมือนเส้นสายอัสนีพุ่งมาฟาดผ่าลงกลางใจของซูฉี ทำให้หน้าซูฉีเปลี่ยนเป็นซีดขาวไร้โลหิต แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง


 


“ในเมื่อเจ้ากับศิษย์มันรักกันดีนัก! เช่นนั้นข้าจักส่งพวกเจ้าไปลงนรกเสียพร้อมกันทั้งคู่!!”


 


ลูกตาหลิวฮ่วนเผยประกายเย็นเยียบอำมหิต ร่างกายวูบไหวคราหนึ่งก่อนที่จะพุ่งวาบตัดฟ้าปรี่ตรงเข้าหาซูฉีกับฟางฮุ่ยปานมหาพายุ!


 


“ท่านอาจารย์ชาติหน้ามีจริง…ขอให้ข้าได้เกิดเป็นศิษย์ของท่านอีกครั้ง!!”


 


ทันใดนั้นซูฉีพลันกัดฟันหลั่งโลหิต แววตาเผยประกายเด็ดเดี่ยว ระเบิดทะเลปราณที่หว่างคิ้ว มวลปราณแผ่พุ่งไปทั่วร่าง ยังผลาญเชื้อชีวิตเปลวสุดท้ายพุ่งสวนเข้าไปหาหลิวฮ่วนหมายแลกตาย!


 


มันจะใช้พลังเฮือกสุดท้ายนี้ปกป้องอาจารย์จนสิ้นลมหายใจสุดท้าย!


 


ตายไม่เสียดาย!


 


“ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!!”


 


หลิวฮ่วนหัวเราะเยาะเสียงดัง ก่อนที่จะปะทุพลังขุมหนึ่งตบฟาดฝ่ามือออกไป ระเบิดร่างซูฉีที่พุ่งเข้ามาจนแตกระเบิดกลับกลายเป็นหมอกโลหิต


 


หมอกโลหิตกำจายท่วมฟ้าหากแต่หามีแม้แต่หยาดหยดเปรอะเปื้อนหลิวฮ่วนไม่ ทว่าด้านฟางฮุ่ยนั้นกลับเปื้อนไปด้วยละอองโลหิต


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงละอองโลหิตที่ฟุ้งมาถูกกาย แม้จะยังเหลือความอุ่นร้อนแต่ฟางฮุ่ยกลับรู้สึกเย็นเยียบจับใจ กระทั่งจิตวิญญาณยังอดไม่ได้ที่จะสะท้าน ปากตะโกนร่ำร้องแทบขาดใจ “ซูฉี! ซูฉี!!!”


 


“หลิวฮ่วน ตาย!!”


 


ทันใดนั้นฟางฮุ่ยก็กรีดร้องลั่นฟ้า ทั่วร่างปะทุพลังชั่วชีวิตซัดออก! คล้ายหมายแลกชีวิตกับหลิวฮ่วน!!


 


อนิจจาเพียงดาบพลังมีสภาพเล่มยักษ์ ที่สร้างขึ้นด้วยกลวิธีปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราเพียงอย่างเดียว ก็ทำลายมวลพลังชั่วชีวิตที่ฟางฮุ่ยซัดออกมาจนดับสิ้น!


 


“ฟางฮุ่ย ครั้งเราเจ้ายังเยาว์ตัวเจ้าก็ยังพอจะสู้กับข้าได้…ทว่ายามนี้ในสายตาข้า เจ้าก็มิต่างอันใดไปจากมดตัวกระจ้อย!”


 


หลิวฮ่วนมองหยามฟางฮุ่ยค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแสยะ


 


“มิผิดที่พลังข้ากระจ้อยร่อยมิอาจสู้เจ้า…แต่ศิษย์ที่ข้าฟางฮุ่ยรับไว้ เจ้าหลิวฮ่วนมิมีวันเทียบได้!!”


 


เผชิญหน้ากับความเป็นตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ฟางฮุ่ยไม่เพียงไม่ทุกข์เศร้ากลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า ในใจยังปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นมา…เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่กำลังแย้มยิ้มให้มันบางๆ ความหวังสุดท้ายของมัน!


 


ต้วนหลิงเทียน!


 


“ฟางฮุ่ย ข้าจักมิให้เจ้าได้ด่วนตายนักหรอก…ข้าจะค่อยๆทรมานเจ้าให้อยู่มิสู้ตาย!!”


 


ได้ยินวาจายกศิษย์มาอ้างนี้ของฟางฮุ่ย หลิวฮ่วนก็รู้สึกเสมือนมีมีดกรีดใจ แววตายิ่งมายิ่งเย็นลง ค่อยย่างเท้าเหยียบอากาศก้าวไปหาฟางฮุ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน ราวกับนักล่าหยอกเย้าเหยื่อ


 


แต่ละย่ำก้าวสร้างแรงกดดันอันหนักอึ้งประหนึ่งมีขุนค้อนฟาดทุบลงกลางอกฟางฮุ่ย!


 


ทันใดนั้นเมื่อก้าวย่ำไปจนเหลือเพียงอีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะบรรลุถึงร่างฟางฮุ่ย หลิวฮ่วนพลันยกมือขึ้นฉับไวเตรียมปะทุพลังตบฟาดทำลายพลังฝึกปรือของฟางฮุ่ย!


 


ทว่าในพริบตานั้นเอง กลับมีรังสีดาบอันคมกล้าขุมหนึ่ง พุ่งวาบตัดฟ้ามาฉับไว ผ่ากลางความว่างระหว่างหลิวฮ่วนกับฟางฮุ่ยเอาไว้ หยุดหลิวฮ่วนไม่ให้ลงมือได้อย่างพอดิบพอดี


 


“ผู้ใด!?”


 


เมื่อตระหนักได้ถึงพลังอำนาจของคลื่นดาบที่มีพลังมากพอจะคุกคามชีวิตมัน หลิวฮ่วนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หันมองไปทิศทางหนึ่งพร้อมตะโกนถามออกมาเสียงดังลั่น


 


“ฮ่าๆๆ…อาวุโสหลิวฮ่วน นานแล้วมิพบกัน…กี่ปีแล้วนะ?”


 


ทันใดนั้นเองปรากฏร่างหนึ่งโรยตัวลงมาจากหมู่เมฆ เป็นชายวัยกลางคนที่แลดูดุดันทั้งแข็งแกร่ง


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้มาในชุดจอมยุทธ์เรียบง่าย ในมือถือดาบชี้ลงเบื้องล่างข้างตัว


 


“เจ้า…หวังเทางั้นเหรอ?!”


 


หลิวฮ่วนขมวดคิ้วยู่ย่นมองชายวัยกลางคนอยู่พักหนึ่ง ค่อยเอ่ยถาม


 


“โฮ่? เป็นเกียรติข้านัก ดูเหมือนว่าอาวุโสหลิวฮ่วนจะยังจดจำข้าได้…”


 


หวังเทาแย้มยิ้ม


 


“เหอะ! หวังเท้าดูเหมือนว่ามิพบกันเพียงไม่กี่ปีพลังฝึกปรือเจ้าจักบรรลุถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้ว…แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าอาศัยเจ้าเพียงคนเดียวจะขวางข้าหลิวฮ่วนได้?”


 


หลิวฮ่วนเชิดหน้ากล่าวถามออกมาเสียงเย้ย


 


ชายเบื้องหน้านั้นหลิวฮ่วนย่อมจดจำได้ อีกฝ่ายไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นผู้ดูแลฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสง หวังเทา!


 


อย่างไรก็ตามมันคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะได้พบเจออีกฝ่ายที่นี่!


 


สามารถลอบเข้ามาใกล้ๆมันได้ในระยะ 100 หมี่โดยที่มันมิอาจตรวจพบ ก็มากเกินพอที่จะทำให้มันคาดเดาพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายได้ออก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหวังเทาคนนี้ได้ทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เรียบร้อยแล้ว!


 


แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หวาดกลัวหวังเทาแต่อย่างไร!


 


ผู้ฝึกยุทธ์ที่พึ่งทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้ไม่กี่ปี ไหนเลยจะเป็นคู่มือมันได้!


 


“ไม่ว่าข้าจะขวางได้หรือไม่…เรื่องนี้อาวุโสหลิวฮ่วนจำต้องลองถึงจะรู้ได้…”


 


หวังเทายิ้มอ่อน ใบหน้าสงบไร้กังวลแววตาคมกล้ากระจ่างใส คล้ายไม่ได้เห็นหลิวฮ่วนอยู่ในสายตา


 


“ผู้ดูแลฝ่ายใน หวังเทา?!”


 


ฟางฮุ่ยเองก็พึ่งตอบสนองต่อเรื่องราว มันมองไปยังร่างชายวัยกลางคนผู้มาใหม่ไม่นาน ก็จดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มันเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าคนผู้นี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แถมดูท่าแล้วจะมาเพื่อคุ้มครองมัน!


 


หวังเทานั้นเป็นผู้ดูแลฝ่ายในที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


นอกจากนี้ยังเป็นมือดาบ!


 


ด้วยอุปนิสัยสันโดษไม่นิยมสุงสิงกับผู้ใดใจเพียงมุ่งฝึกวิถีดาบ จึงไม่ค่อยมีชื่อเสียงอะไรสักเท่าไหร่


 


ฟังจากคำของหลิวฮ่วน หวังเทาคนนี้กลับทะลวงไปถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่แล้ว!


 


“ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!!”


 


ได้ยินหวังเทากล่าวหลิวฮ่วนก็มีโมโหไม่น้อย ยิ้มเย็นกล่าวถาม “หวังเทาข้าอยากรู้นักว่าไฉนเจ้าต้องมาปกป้องมันด้วยเท่าที่ข้ารู้…มันกับเจ้าก็มิได้มีสัมพันธ์อันใดกัน!”


 


“อาวุโสหลิวฮ่วนอย่าได้สนใจอะไรให้มาก ข้าปกป้องฟางฮุ่ยเพียงเพราะมีคนขอให้ข้าปกป้องก็เท่านั้น”


 


หวังเทากล่าวออกเสียงเรียบ


 


“คนที่มีอำนาจสั่งให้เจ้าปกป้องมันได้…หรือจะเป็นอาวุโสป๋ายลี่!?”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หน้าหลิวฮ่วนเปลี่ยนสีไปทันใด แววตายังเผยความหวั่นหวาดออกมาขณะถาม


 


อย่างไรก็ตามหวังเทาไม่ได้ตอบคำอะไรมัน เพียงลอยร่างอย่างสงบมองมาที่มันอย่างเฉยเมยราวกับรอให้มันเป็นฝ่ายลงมือก่อน


 


มาตอนนี้หลิวฮ่วนย่อมยืนยันเรื่องราวได้


 


“ดี!”


 


หน้าหลิวฮ่วนบิดเบี้ยวทันใด สุดท้ายก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน ก่อนที่จะตัดสินใจวางมือ


 


อย่างไรก็ตามก่อนมันออกเดินทางจากไปมันก็ไม่ลืมที่จะหยุดมาหันมองกล่าวกับหวังเทา “หวังเทานับจากวันนี้ไปข้ากับเจ้านับว่าเป็นศัตรูกัน!”


 


ที่มันตัดสินใจวางมือและจากไปเช่นนี้เพราะคิดดีแล้ว


 


เดิมมันก็กลัวเรื่องที่บุกมาฆ่าฟางฮุ่ยจะแพร่งพรายออกไป


 


ด้วยเหตุนี้มันจึงแผ่เขตแดนของมันออกมาตรวจสอบเรื่องราวในรัศมี 100 หมี่ รวมไปถึงปกปิดกลิ่นอายพลังอะไรไม่ให้เล็ดรอดออกไป


 


เพราะมันกลัวว่าหากมีใครล่วงรู้ว่ามันบุกมาฆ่าฟางฮุ่ย เรื่องนี้ต้องไปถึงหูอาวุโสป๋ายลี่แน่นอน แน่นอนว่าป๋ายลี่คงไม่สนใจความเป็นตายของฟางฮุ่ยแต่อย่างใด แต่ทุกข์สุขของต้วนหลิงเทียนคงยากที่จะไม่สน!


 


ตราบใดที่มันสามารถฆ่าฟางฮุ่ยเงียบๆโดยไม่มีใครรู้มันก็ไม่ต้องกลัวอะไร


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสงสัยว่าเป็นฝีมือมัน แต่ถ้าไร้หลักฐานเอาผิด ต่อให้เป็นป๋ายลี่หงเองก็ไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหววู่วาม!

 

 

 


ตอนที่ 1517

 

กอริลลายักษ์!


 


อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของหวังเทา ทำให้มันต้องยอมแพ้เรื่องฆ่าฟางฮุ่ย…


 


หวังเทาผู้นี้เห็นชัดว่าเป็นคนที่อาวุโสป๋ายลี่ส่งมาให้ลอบคุ้มครองฟางฮุ่ย


 


ถึงแม้ตัวมันจะมั่นใจไม่น้อยว่าสามารถเอาชนะหวังเทาได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฆ่าอีกฝ่าย! เพราะอย่างน้อยหวังเทาก็บรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เหมือนกัน หากพลังฝีมือไม่ต่างกันมากจริงๆคิดฆ่าให้ตายเป็นอะไรที่ยากเย็นนัก!


 


ยิ่งไปกว่านั้นถึงมันจะมั่นใจว่าสามารถฆ่าหวังเทาได้ แต่ป๋ายลี่หงย่อมบังเกิดข้อสงสัยแน่นอนเมื่อพบว่าทั้งฟางฮุ่ยและหวังเทาตายตก!


 


มีน้อยคนนักในเขตปกครองของสำนักจันทร์จรัสแสงที่สามารถฆ่าหวังเทาได้ ป๋ายลี่หงย่อมเดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝีมือมัน!


 


การฆ่าหวังเทานั้นเป็นเรื่องราวที่แตกต่างจากฆ่าฟางฮุ่ยโดยสิ้นเชิง!


 


ฟางฮุ่ยนั้นจะอย่างไรพลังฝึกปรือก็พึ่งมีแค่สู่เซียนขั้นกลาง ให้เป็นสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญคนไหนก็ฆ่าฟางฮุ่ยได้ง่ายๆ


 


“ขอบคุณผู้ดูแลหวัง”


 


เมื่อเห็นว่าหลิวฮ่วนรีบร้อนจากไป ฟางฮุ่ยก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เร่งหันไปประสานมือขอบคุณหวังเทาทันที


 


“ขอบคุณข้าล้วนไม่จำเป็น ข้าก็แค่ถูกคนขอให้มากระทำเช่นนี้เท่านั้น”


 


หวังเทากล่าวตอบเสียงเรียบก่อนที่จะวูบร่างหายจากไป


 


แน่นอนว่าหวังเทาไม่ได้จากไปไหนจริงๆ เพียงไปเร้นกายลอบคุ้มครองฟางฮุ่ยจากที่ลับต่อเท่านั้น


 


ส่วนอีกด้าน ตอนนี้หลิวฮ่วนนับว่ามีโมโหนัก มันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “บัดซบ! ไอ้แก่ป๋ายลี่หงนั่นนับว่ายุ่งยากเสียจริง!”


 


ตอนนี้ใจหลิวฮ่วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนแอไร้กำลัง ยังอับจนหนทางไม่น้อย เพราะราวกับทุกย่างก้าวของมันล้วนอยู่ในการคำนวณของป๋ายลี่หงหมดสิ้น เรื่องนี้ทำให้มันแค้นใจนัก!


 


‘ข้าหวังว่าคนของตลาดมืดหยินชาน จะฉวยโอกาสในการเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ ฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย! ขอเพียงต้วนหลิงเทียนตายไปสักคน วันหน้าป๋ายลี่หงมันก็ไม่เห็นข้าเป็นศัตรูอีกต่อไป!’


 


หลิวฮ่วนลอบกล่าวในใจ


 


“นอกจากนี้ต่อไป ผู้ใดคิดเป็นศิษย์ข้าหลิวฮ่วน ข้าต้องบังคับให้มันกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจักมิทรยศข้า..หากพวกมันกล้าปฏิเสธไม่เอ่ยคำสาบาน ข้าจะไม่มีวันรับพวกมันเป็นศิษย์เด็ดขาด! ต่อให้มีพรสวรรค์และศักยภาพสูงล้ำเพียงใดก็ตาม!!”


 


เมื่อนึกถึงซูฉีที่มันพึ่งฆ่าไปวันนี้กับโจวฉีที่ฆ่าไปวันนั้น ใจหลิวฮ่วนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความขุ่นขึ้ง


 


มันรู้สึกราวกับถูกสวรรค์สาปก็ไม่ปาน! ศิษย์ทั้ง 2 ของมันแทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ล้วนคิดคดทรยศต่อมันทั้งคู่!


 


ดังนั้นมันจึงตัดสินใจแล้ว


 


หลังจากนี้ใครคิดกราบมันเป็นอาจารย์ จำต้องสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเสียก่อน!


 


ในขณะที่หลิวฮ่วนกลับสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยความคับแค้นใจ ด้านต้วนหลิงเทียนก็ไล่ล่าฆ่าสัตว์ร้ายในป่าเขาไปมากมายอย่างสบายอารมณ์


 


และถึงแม้เขาจะฆ่าสัตว์ร้ายไปมากมาย แต่ชุดคลุมสีม่วงของเขาก็ยังสะอาดเรี้ยมเร้เรไร ไม่เปื้อนโลหิตหรือฝุ่นดินแม้แต่น้อย ราวกับการสังหารสัตว์ร้ายในป่านี้เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก


 


อันที่จริงมันก็ไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้เขาเลย


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาสามารถเอาชนะศัตรูที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าด้วยซ้ำ ลำพังแค่ด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญของเขา ก็มีสัตว์ร้ายน้อยตัวนักในป่าที่จะบรรลุถึง


 


‘ป่าแบบนี้สัตว์ร้ายระดับสูงๆคงแทบไม่มีอยู่เลยสินะ’


 


ต้วนหลิงเทียนพูดในใจ


 


ด้วยเหตุนี้แม้จะมีสัตว์ร้ายสู่เซียนขั้นกลางนับสิบๆที่เข้ามาจู่โจมเขา พวกมันก็ได้แต่ตกตายอย่างรวบรัด


 


ส่วนสัตว์ร้ายที่เขาฆ่าไปส่วนมากนั้น พวกมันพึ่งอยู่ในระดับสู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น และเขาก็ฆ่าไปกว่า 100 ตัวแล้ว


 


บางทีฟ้าอาจได้ยินคำในใจของต้วนหลิงเทียน เพราะหลังจากที่เขาเดินต่อไปอีกสักพัก เขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามหนึ่งดังก้องกังวานมาในอากาศ ยังดังเสมือนฟ้าผ่าในหู ทำให้แก้วหูต้วนหลิงเทียนสะเทือนอยู่บ้าง


 


“เสียงนี่มัน…สัตว์ร้ายสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจเล็กน้อย หลังได้ยินเสียงดังลั่นจนแทบคล้ายเป็นการจู่โจมด้วยคลื่นเสียงอยู่รอมร่อ


 


ไม่นานเขาก็แลเห็นสัตว์ร้ายตัวเขื่องตัวหนึ่งกำลังตะกุยดินวิ่งโร่มาทางเขา ทุกย่างก้าวของมันพาลให้พสุธาสะเทือนประหนึ่งแผ่นดินไหว!


 


ทุกที่ทางที่สัตว์ร้ายตัวเขื่องนั้นย่างผ่าน ต้นไม้ใหญ่อันใดล้วนโค่นล้มระเนระนาด ยังทิ้งรอยเท้ามหึมาประทับไว้บนผืนดิน!


 


รอยเท้าแต่ละรอยมองไปยังเหมือนหลุมยักษ์ก็ไม่ปาน!


 


“มาได้ดี!”


 


เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวเขื่องขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่หวดากลัว ร่างยังพุ่งสวนเข้าหามันทันที


 


ทันใดนั้นปราณแท้พลันแผ่พุ่งขึ้นมาปกคลุมทั่วกายต้วนหลิงเทียน ปราณแท้ขุมหนึ่งยังแบ่งออกไปก่อเกิดเป็นค้อนมหึมาอันหนึ่งบนฟ้าในชั่วพริบตา! เสมือนอุกอาบาตถล่มก็ไม่ปาน…ค้อนมหึมานั่นทุบฟาดลงมายังร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่อง คล้ายกอริลลายักษ์อย่างไร้ปราณี!


 


“ฮู่มมม!!!”


 


เผชิญหน้ากับค้อนมหึมา อันเกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราของต้วนหลิงเทียน กอริลลายักษ์เปิดปากกระหายเลือดออกกว้าง คำรามสนั่นปานฟ้าผ่า บังเกิดเป็นคลื่นเสียงพลังสังหารพุ่งสวนไปยังค้อนทันใด!


 


คลื่นเสียงพลังสังหารดังกล่าว ยังมีอานุภาพทำลายไม่ใช่ชั่ว! มวลอากาศแตกระเบิดออกเป็นทิวแถว กลับกลายเป็นคลื่นกระแทกกวาดซัดออกมาทุกทิศทาง!


 


ด้วยคลื่นเสียงสังหารทั้งคลื่นกระแทกอันทรงพลัง ค้อนมหึมาจากปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราของต้วนหลิงเทียนก็เสมือนทุบตีลงปุยนุ่นไม่อาจทำอะไรได้!


 


สุดท้ายค้อนมหึมาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้!


 


“คลื่นเสียงสังหารที่น่ากลัวนัก!”


 


เห็นฉากนี้ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปไม่น้อย เขาไม่คิดเลยว่าสัตว์ร้ายสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญจะทำลายค้อนพลังของเขาได้ง่ายดายแบบนี้!


 


ต้องทราบด้วยว่าค้อนอันเขื่องจากปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราของเขา สามารถทุบฟาดสังหารสัตว์ร้ายสู่เซียนขั้นกลางให้ดับดิ้นได้ในทีเดียว!


 


“ร้ายกาจนัก! ไม่คิดเลยว่าลิงจ๋ออย่างเจ้าจะเอาเรื่องแบบนี้…งั้นข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง!”


 


เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายตัวเขื่องอย่างกอริลลายักษ์ขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญอันดุร้าย ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่หวาดกลัว แววตายังทอประกายเจิดจ้าแลดูสนุกสนานขึ้นมาไม่น้อย มือสะบัดเรียกดาบใหญ่ที่จารึกอาคมเซียนพันทวีเอาไว้ออกมาทันที!


 


“ฮู่มมม!!”


 


ตอนนี้เองด้านกอริลล่าตัวเขื่องก็คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด มันกำหมัดมหึมาของมันแน่น ทุบฟาดลงมาใส่ต้วนหลิงเทียนทันที ยามฟาดทุบมาอากาศที่ถูกแหวกผ่ายังส่งเสียงดังระเบิดปงๆ!


 


“มาได้ดี!”


 


เจอหมัดเหล็กฟาดทุบลงมาดั่งกระสุนปืนใหญ่ต้วนหลิงเทียนยิ้มร่า ก่อนจะคอนดาบใหญ่ขึ้นมาทั้งฟาดเหวี่ยงสวนขึ้นไปยังหมัดมหึมาดังกล่าว!


 


“ประทับไท่ซาน!”


 


คล้ายต้วนหลิงเทียนจะคึกไม่น้อย ถึงกับประกาศชื่อท่าออกมาดังลั่น ตัวดาบเปล่งอานุภาพเสมือนขุนเขาใหญ่ถล่มทลาย ฟาดตรงไปยังหมัดมหึมาอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ปงงงง!


 


ปงงง!!


 


เสียงสนั่นลั่นก้องขึ้นมา 2 คำรบ ดาบใหญ่ในมือต้วนหลิงเทียนฟาดปะทะเข้ากับหมัดมหึมาอย่างจัง!


 


การปะทะกันถึงกับทำให้อากาศ ณ จุดปะทะระเบิดออก! บังเกิดเป็นคลื่นกระแทกอันร้ายกาจซัดออกเป็นวง!!


 


คลื่นกระแทกที่ซัดออกพาลให้มวลอากาศที่สงบเงียบพุ่งพล่าน ก่อเกิดเป็นสายลมรุนแรงกวาดออกทั่วทิศ ฝุ่นดินใบหญ้าปละปลิวคละคลุ้ง ราวกับใต้ฝุ่นก่อตัว!


 


“ฮู่มมม!!”


 


กอริลล่ายักษ์ที่โถมทุบมาสุดแรงมิคาดกลับต้องผงะถอยไปหลายก้าวใหญ่ มันคำรามออกมาดังลั่น ลูกตากลมโตปานฆ้องศึกเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวชัดเจน!


 


ถึงแม้ว่าสัตว์ร้ายจะไร้สติปัญญาเหมือนสัตว์อสูรปีศาจหรือสัตว์เซียน แต่อย่างไรมันก็ยังมีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดล้นปรี่ จึงสามารถอยู่รอดมาได้ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย!


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถใช้ดาบใหญ่นั่นต้านทานกำปั้นมันได้!


 


ตอนนี้มันจึงถือว่าต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูอันร้ายกาจทรงพลัง!


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนแลเห็นความหวาดกลัวในสายตากอริลล่ายักษ์ เขาก็คิดว่ามันสมควรคิดหนีแน่แล้ว ทว่าเรื่องราวต่อมากลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย


 


ตึง! ตึง! ตึง!


 


……


 


กอริลล่ายักษ์ไม่เพียงไม่หนี แต่มันกลับยืนยืดตัวขึ้นมาแอ่นอก ก่อนที่จะใช้ 2 หมัดทุบลงหน้าอกตัวเองส่งเสียงดังปานกลองศึก! ลักษณะของมันแทบไม่ต่างใดจากลิงกอริลล่าในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียนเลย!


 


หากจะกล่าวว่ามันแตกต่างกันที่ใด ก็เห็นจะเป็นกอริลล่ายักษ์เบื้องหน้า ขนาดตัวมันใหญ่โตกว่าหลายเท่า!


 


“มันบ้าไปแล้วรึไง?”


 


เมื่อเห็นว่าสัตว์ร้ายตัวเขื่องเบื่องหน้าคล้ายจะคุ้มคลั่งไปด้วยทุบอกชกตัวไม่หยุด ทันใดนั้นก็บังเกิดฉากอันน่าตกใจเกิดขึ้น!


 


กอริลล่ายักษ์เบื้องหน้ายิ่งมันตีอกชกตัวมากเท่าไหร่ หมอกสีแดงฉานปานโลหิตก็คล้ายจะแผ่พุ่งออกมาจากทรวงอกบริเวณตำแหน่งหัวใจ และไม่นานหมอกโลหิตดังกล่าวก็แผ่ซ่านไปทั่วกาย!


 


สุดท้ายกอริลล่ายักษ์ตัวเขื่องก็เสมือนมีม่านโลหิตฉาบคลุมย้อมกายให้แดงฉาน!


 


นอกจากม่านโลหิตแดงฉานแล้ว ทั่วกายของมันยังคล้ายมีเส้นสายอัสนีแล่นวาบแปลบปลาบ ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ! มองไปคล้ายพลังเอ่อล้นอย่างไรอย่างนั้น!!


 


“นี่มันอะไรกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปไม่น้อย เพราะฉากเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นอะไรที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน!


 


“มันเข้าสู่สภาวะคุ้มคลั่งได้งั้นเหรอ?”


 


พริบตานั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ


 


เหตุผลที่เขาฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเขาเคยเห็นอาการคล้ายคลึงกันนี้จากหนูคลั่งพันทางมาก่อน อีกฝ่ายก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถเข้าสู่สภาวะคุ้มคลั่งได้เช่นกัน และเมื่อเข้าสู่สภาวะคุ้มคลั่งพลังฝึกปรือของมันก็เพิ่มพูนสูงขึ้นไปอีกขั้น!


 


“ฮู่มมมมม!!”


 


ตอนนี้กอริลล่ายักษ์ที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยไอพลังโลหิตทั้งมีกระแสไฟฟ้าแล่นวาบแปลบปลาบ ทำให้บรรยากาศประหนึ่งมันเป็นเทพสงครามจุติลงมาเกิดก็ไม่ปาน! เสียงคำรามของมันยังก่อให้เกิดคลื่นเสียงระเบิด ยัลผลให้มวลอากาศโดยรอบปั่นป่วน!!


 


“มันแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ”


 


คลื่นเสียงดังกล่าวทำให้ต้วนหลิงเทียนระคายหูไม่น้อย และเขาก็ตระหนักได้ชัดเจนว่ามันร้ายกาจกว่าคลื่นเสียงก่อนหน้าเสียอีก!


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ไร้ซึ่งความลังเลอะไรอีก ร่างต้วนหลิงเทียนปะทุปราณแท้ออกมาหนาแน่น ควบรวมลงสู่ดาบใหญ่เปิดใช้อาคมเซียนพันทวีทันที! เมื่อสัตว์ร้ายตัวเขื่องยิงหมัดออกมาอีกครั้ง แววตาเขาก็เปลี่ยนไป ก้าวเท้าบิดเอวเหวี่ยงดาบใหญ่แฝงอาคมพันทวีสวนไปอย่างเกรี้ยวกราด!!


 


ประทับไท่ซาน!!


 


ดาบเล่มเดิมกับกระบวนท่าเดิม ทว่ายามแฝงเร้นไปด้วยพลังอำนาจของอาคมเซียนพันทวี กลับทรงพลานุภาพสูงขึ้นหลายขุม!


 


อย่างไรก็ตามดาบใหญ่ที่เหวี่ยงฟาดไปด้วยสภาวะแข็งกร้าวน่ากลัว กลับถูกหมัดเหล็กมหึมาของกอริลล่ายักษ์คลั่งชกจนกระเด็น! ยิ่งไปกว่านั้นแรงสะท้อนจากการปะทะยังทำให้ง่ามมือต้วนหลิงเทียนถึงกับชา!!


 


ถึงแม้โลหิตจะไม่ได้ถึงขั้นปริฉีกจนหลั่งเลือด แต่ก็เผยอาการห้อเลือดให้เห็น ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย!


 


เพราะร่างกายของเขานั้นมันแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไปลิบลับ!


 


กระทั่งมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตขีดขั้นเดียวกัน ยังไม่อาจเทียบชั้นความแข็งแกร่งทางกายภาพกับเขาได้!


 


แต่กระนั้นง่ามมือของเขายังห้อเลือด!


 


“ฮู่มมม!!”


 


หลังจากชกดาบใหญ่ต้วนหลิงเทียนจนกระเด็นกลับ กอริลล่ายักษ์คลั่งยิ่งกลายเป็นดุร้ายได้ใจ มันยิงหมัดมหาประลัยใหญ่เบิ้มปรี่ตรงเข้ามายังร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง! คล้ายหากไม่บดขยีร่างมนุษย์ตัวกระจ้อยให้แหลกคาหมัดมันจะไม่หยุด!!


 


“ไอตัวใหญ่นี่ ข้าไม่เล่นแล้ว!”


 


สีหน้าผ่อนคลายของต้วนหลิงเทียนแปรเปลี่ยนไป คิ้วกลับมาขึงตึง หว่างคิ้วแผ่พุ่งความจริงจังออก ปราณแท้ยังทะลักจากทะเลปราณไหลผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายไปควบรวมไว้ยังหมัดขวา!


 


หมัดขวากำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น! คล้ายเตรียมชกสวนออกไปต้านหมัดมหึมาของกอริลล่ายักษ์คลั่ง!!


 


หากใครอยู่ที่นี่คงต้องคิดว่าต้วนหลิงเทียนสติแตก เป็นบ้าไปแล้วแน่แท้!


 


กระทั่งดาบใหญ่แฝงอาคมพันทวีที่ใช้ออกด้วยวรยุทธ์จู่โจมอันแข็งกร้าวยังแพ้พ่าย แต่กลับกล้าใช้หมัดเปล่าเปลือยชกสวนหมัดมหึมาของกิริลล่ายักษ์คลั่ง?


 


อย่างไรก็ตาม ยากจะมีใครทราบ ว่าหมัดเปล่าเปลือยนี้ของต้วนหลิงเทียน มันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังความแข็งแกร่งดิบเถื่อนอันน่ากลัว!


 


พลังดิบเถื่อนอันเหนือกว่ามังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บปะทุออกเต็มพิกัด! ควบผสานไปด้วยปราณแท้ขุมใหญ่ ชกสวนไปยังหมัดมหึมาอันเอ่อล้นไปด้วยมวลพลังสีแดงฉานปานโลหิตทั้งมีสายฟ้าแล่นวาบแปลบปลาบอย่างไร้ครั่นคร้าม!!

 

 

 


ตอนที่ 1518

 

พฤติกรรมที่แปลกไปของชือเม่ย


 


เปรี๊ยงงง!!


 


เสียงสนั่นดังขึ้นก่อนอื่นใด ทันใดนั้นความว่างเปล่าคล้ายจะเริ่มบิดเบือนสุดท้ายก็แตกระเบิด! ก่อเกิดคลื่นกระแทกซัดออกเป็นวงกวาดไปรอบทิศ!


 


ปงงง!!


 


เสียงสนั่นดังลั่นขึ้นอีกครา แรงระเบิดรอบนี้ยังทำให้แผ่นดินถึงกับสะเทือน กระทั่งวิหกที่เกาะกิ่งไม้ห่างไปนับร้อยๆหมี่ยังถึงกับแตกฮือ โผบินขึ้นฟ้าจ้าละหวั่น!


 


พร้อมกันนั้นเองละอองโลหิตพลันฟุ้งไปในอากาศ! มองไปคล้ายพิรุณเลือดเนื้อตกจากฟ้าก็ไม่ปาน!


 


เป็นหมัดมหึมาของกอริลล่ายักษ์คลั่ง ที่ถูกหมัดเปล่าเปลือยของต้วนหลิงเทียนชกจนแตกระเบิดออกเป็นเศษเนื้อ!


 


“อ๋าวววู!!”


 


เมื่อหมัดทั้งครึ่งแขนถูกพลังซัดจนแหลกเหลว กอริลล่ายักษ์คลั่งถึงกับหวีดร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ความกลัวแผ่ซ่านจับใจของมันทันใด สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดเร่งสั่งให้มันเร่งรุดหลบหนีไปทันที!


 


ตอนนี้ในสายตาของมัน ร่างมนุษย์ตัวกระจ้อยอย่างต้วนหลิงเทียนเสมือนปีศาจร้ายที่กำลังจะเอาชีวิตมันก็ไม่ปาน!


 


ตอนนี้มันอยากหนีไปให้ห่างจากต้วนหลิงเทียนนัก!


 


“ให้ตายเถอะ! ความรู้สึกปะทะกันตรงๆแบบนี้มันสะใจดีจริงๆ!”


 


มองไปยังกำปั้นขวาที่ไม่ทราบมีม่านพลังสีทองปานฉาบไว้ปานสวมถุงมือตั้งแต่เมื่อใด ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา!


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่หมัดอัดแน่นไปด้วยพลังทั้งหมดของเขากำลังจะปะทะกับหมัดมหึมาของกอริลล่ายักษ์คลั่ง เขาก็ได้ใช้อาภรณ์ทองที่บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิออกมาในเวลาที่เหมาะสม ส่งเสริมพลังดิบเถื่อนให้แข็งกร้าวขึ้นไปอีกส่วน!


 


ด้วยเหตุนี้จึงง่ายดายนักที่จะป่นหมัดมหึมาของกิริลล่ายักษ์ขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญให้แหลกได้โดยง่าย


 


“ในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ ดูเหมือนคะแนนจากการฆ่าสัตว์ร้ายสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญจะสูงกว่าขั้นกลางไม่น้อยสินะ”


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนไม่แปลกใจอะไร


 


ในระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเขาก็ไม่ได้ลืมกอริลล่ายักษ์ที่วิ่งหนีไปแต่อย่างใด สะบัดมือคราหนึ่งปรากฏเกาทัณฑ์ดับตะวันจากความว่าง มือขวาควบแน่นปราณแท้สร้างศรพลังมีสภาพ ก่อนที่จะขึ้นสายทั้งยิงศรพลังออกไปทันที!


 


ศรพลังแหวกอากาศไปฉับไวไร้สำเนียง ทะลุศีรษะกอริลล่ายักษ์ตัวเขื่องพรากชีวิตมันไปในพริบตา!


 


สำหรับเขาแล้วสัตว์ร้ายตัวนี้คือคะแนน!


 


ตึง!!


 


ร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่องที่ถูกศรพลังยิงทะลวงศีรษะล้มลงเสียงดัง ต้วนหลิงเทียนเองก็วูบร่างมาหยุดที่ศพมหึมาปานเนินเขาย่อมๆ ก่อนที่จะทำสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาเป็นคนฆ่าทันที!


 


ตราบใดที่เขาทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้ก่อน เขาก็ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะมีใครมาทำสัญลักษณ์ซ้ำเพื่อแอบอ้างว่าเป็นคนฆ่า


 


เพราะรอยที่หลงเหลือนั้นสามารถอ้างอิงจากความแห้งกรังของโลหิตได้ไม่ยาก ถ้าคิดชั่วหมายลบรอยแล้วทำรอยตัวเองทับ ก็จำต้องทำให้แนบเนียนหมดจด หาไม่แล้วถ้าถูกจับได้ผลที่ออกมานับว่าเลวร้ายนัก! ยังไม่รวมถึงข้อท้วงติงหลังแจกแจงคะแนน ถึงขั้นพอต้องสาบานพิสูจน์ก็คงร้ายมากกว่าดี!!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนไปทำสัญลักษณ์ว่าเขาเป็นผู้สังหารบนร่างกอริลล่ายักษ์ตัวเขื่องนั้นเอง เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีร่างสีดำอาศัยใบไม้ปกปิด ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ไกลๆ!


 


“ร่างกายของคนผู้นี้คล้ายจะมี…”


 


ร่างที่ซ่อนตัวอยู่นั้นเพียงใครได้มองปราดเดียวก็ต้องรู้ได้ทันทีว่าเป็นอิสตรีนางหนึ่ง! เพราะทรวดทรงองค์เอวของนางนับว่างดงามนัก!!


 


อีกทั้งยามนี้ดวงตากลมโตกระจ่างให้บรรยากาศคล้ายสารทฤดูยังเผยความตื่นเต้นไม่น้อย


 


“เจอแล้ว! ในที่สุดข้าก็หาเจอแล้ว!!”


 


ลูกตาของนางไม่เพียงฉายแววตื่นเต้น ร่างนางยังสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า ราวกับต้วนหลิงเทียนเป็นคนรู้จักที่พรัดพรากไปนานปี!!


 


“เขาคือต้วนหลิงเทียนที่ว่างั้นเหรอ? แต่กลิ่นอายนั่น…มิผิดแน่!!”


 


ไม่นานร่างสตรีดังกล่าวก็สงบลง นางพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ


 


บนไหล่ของนางมีวิหกสีม่วงตัวหนึ่งเกาะไว้ นกตัวนี้แลดูน่ารักน่าชังนักมองไปไม่คล้ายมีพิษมีภัยต่อสรรพชีวิตใดๆ


 


ถึงแม้นกตัวนี้จะแลดูสงบนิ่ง ทว่าสองตากลมใสที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนกลับทอประกายออกมาวูบวาบ บอกให้รู้ชัดว่ามันไม่ได้สงบและไร้พิษภัยดั่งตาเห็น


 


สตรีนางนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนักฆ่า 4 ดาราครึ่งของตลาดมืดหยินชาน ชือเม่ย!


 


“เขาต้องรู้จักนางเป็นแน่…อีกทั้งความสัมพันธ์สมควรมิใช่อะไรที่ธรรมดา! หาไม่แล้วกลิ่นอายของนางที่ตกค้างบนร่างของเขาคงมิชัดเจนเช่นนี้!!”


 


ชือเม่ยที่สงบสติอารมณ์ลงได้หลังสัมผัสถึงกลิ่นอายบางประการบนร่างต้วนหลิงเทียน กล่าวพึมพำออกมาด้วยความมั่นใจ


 


ขณะเดียวกันร่างของนางก็ไหววูบอันตรธานหายไปจากกิ่งไม้ใหญ่ทันที ระยะทางห่างไกลคล้ายย่นหายในชั่วพริบตา ร่างบางพลันมาปราฏตัวในอากาศเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน สองตาจับจ้องมองสำรวจต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง!


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


ตัวตนที่ทรงพลังถึงขั้นต้วนหลิงเทียนไม่อาจจับสัมผัสได้เลยกระทั่งนางมาอยู่เบื้องหน้าเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบแบบนี้ เขาย่อมรู้ได้ทันทีว่านางไม่ใช่ธรรมดา! เมื่อรู้สึกตัวท่าทางเขาก็จริงจังใงระวังไม่น้อย!!


 


“ชือเม่ย จากตลาดมืดหยินชาน”


 


ชือเม่ยกล่าวตอบ น้ำเสียงยังกระจ่างใสไพเราะไม่น้อย


 


และหากนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานคนอื่นมาได้ยินวาจาประโยคนี้ของนางล่ะก็ คงต้องตกตะลึงพรึงเพริดแน่แท้ ที่เห็นชือเม่ยหาญกล้ากล่าววาจาเปิดเผยตัวตนออกไปแบบนี้!


 


ต้องทราบด้วยว่าคนของตลาดมืดหยินชานนั้น แทบจะทุกคนต้องกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนให้คนนอกรับทราบ และนั่นทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปิดเผยตัวตนออกมาแบบนี้!


 


และหากนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานมาเห็นว่า กระทั่งชือเม่ยกล่าววาจาเปิดเผยตัวตนออกไปแล้ว แต่กลับไม่ถูกอัสนีสวรรค์สังหารแต่อย่างใด ก็คงต้องทวีความตื่นตระหนกไปอีกขั้น!


 


เพราะนี่หมายความว่า ชือเม่ย ไม่ได้เอ่ยคำสัตย์สาบาน!


 


หากไม่เอ่ยคำสัตย์สาบาน นั่นหมายความว่าชือเม่ยผู้นี้ไม่ได้มีฐานะเป็นนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานจริงๆ!!


 


อย่างไรก็ตามจากอัตลักษณ์ที่ชือเม่ยเผยออกรวมถึงการกระทำในกาลก่อน นางนั้นสมควรเป็นนักฆ่าไม่ผิดแน่!!


 


ด้วยเหตุนี้ย่อมมีเหตุผลเพียงประการเดียวเท่านั้น…มีบางคนมอบสถานะนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานให้นางโดยไม่ต้องกล่าวคำสาบาน!


 


และตัวตนที่กระทำเช่นนั้นได้ น่ากลัวว่าต้องเป็นระดับสูงๆของตลาดมืดหยินชาน!!


 


ในตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันะมิตรนั้น ผู้เดียวที่มีอำนาจสูงพอจะกระทำอะไรแบบนี้ได้ เห็นทีจะมีแต่ผู้นำสาขาเท่านั้น!!


 


“ตลาดมืดหยินชาน!?”


 


ได้ยินวาจาไพเราะที่สตรีเบื้องหน้ากล่าวออก สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้แปลกใจเรื่องที่นางเป็นอิสตรีแต่อย่างใด


 


ไม่ยากเลยที่เขาจะระบุได้ทันทีว่านางเป็นสตรี จากรูปร่างสมบูรณ์แบบนั่น กล่าวไปยังงดงามถึงขั้นเย้ายวนใจบุรุษแทบทุกคน!


 


กระทั่งตัวเขาเองทันทีที่เห็นรูปร่างนี้ของนาง ส่วนลึกในใจก็บังเกิดจิตคิดอยากเดินไปถอดหน้ากากของนางเพื่อยลโฉมสักครา ไม่ใช่ว่าเขาถูกรูปร่างของนางสะกดแต่อย่างไร แต่เป็นสัญชาตญาณของบุรุษเท่านั้น


 


เพราะสตรีเบื้องหน้า ทรวดทรงองค์เอวของนางมีอำนาจยั่วยวนบุรุษเหลือเกิน!


 


ไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่หมั้นทั้ง 2 ของเขาด้วยซ้ำ!


 


อย่างไรก็ตามพอได้ยินวาจาเปิดเผยตัวตนที่อีกฝ่ายกล่าวออก สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที


 


ตลาดมืดหยินชานกลับส่งคนมาฆ่าเขาอีกแล้ว!


 


ก่อนหน้านี้เขาก็ได้รับทราบจากศิษย์พี่อย่างป๋ายลี่หงมาว่า หากตลาดมืดหยินชานส่งนักฆ่ามาสังหารเป้าหมายไม่สำเร็จ มันจะส่งนักฆ่าที่มือดีกว่ามาแทน!


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งนั่นหมายความว่า…สตรีเบื้องหน้า แข็งแกร่งกว่าชายในชุดคลุมลมดำหน้าผี!


 


ชายในชุดคลุมลมดำนั่นก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เข้าไปแล้ว!


 


หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกมาร ที่เขาสามารถใช้ตราผนึกมารกำราบมันได้ล่ะก็…เขาคงสิ้นชื่อไปตั้งแต่คืนนั้น!


 


ทว่าสตรีเบื้องหน้ากลับมีพลังฝีมือสูงส่งกว่าชายในชุดคลุมลมดำ…ในตอนนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นไร้หนทาง!


 


ไม่ว่าพลังฝีมือของเขาจะก้าวหน้าและมีความแข็งแกร่งเหนือผู้คนในขอบเขตขีดขั้นเดียวกันมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ให้พยายามลงมือเต็มที่ก็สามารถสู้ทัดเทียมกับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ทั่วๆไปเท่านั้น!


 


หากเผชิญหน้ากับชายในชุดคลุมลมดำวันนั้นโดยไม่ใช่ตราผนึกมาร ถึงแม้อาจจะไม่ตายแต่เขาก็ยังไม่อาจเอาชนะมันได้อยู่ดี!


 


ทว่าสตรีรูปร่างสมบูรณ์แบบทั้งน้ำเสียงไพเราะเพราะพริ้งนางนี้กลับมีพลังฝีมือสูงกว่าเจ้านั่น…แล้วเขาจะต่อต้านนางได้อย่างไร?


 


‘ข้าแค่หวังว่านางจะเป็นผู้ฝึกมารเช่นกัน…’


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบภาวนาในใจ เพราะมีเพียงเป็นแบบนั้นเขาถึงจะรอดพ้นเงื้อมมือนางได้!


 


ในขณะเดียวกันเขาก็ลอบหยิบป้ายหยกออกมาแล้วเร่งบีบมันจนแตกทันที!


 


ป้ายหยกที่รองเจ้าสำนักจงหั่วมอบมาให้ไว้นั้น มันจารึกอาคมเซียนแจ้งเตือนเอาไว้!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนบดขยี้ป้ายหยก ก็บังเกิดลำแสงสายหนึ่งพุ่งวาบออกจากป้ายหยกอย่างฉับไว ยังทะยานขึ้นฟ้าไปในชั่วพริบตา!


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะทันได้พุ่งพ้นเหนือแนวป่าเขียวชอุ่ม มันก็ถูกพลังไร้สภาพขุมหนึ่งทำลายไปอย่างไร้ร่องรอย!


 


ครืน!


 


เห็นฉากเรื่องราวนี้ สีหน้าต้วนหลิงเทียนมืดคล้ำดำลงทันที เขามองสตรีเบื้องหน้าพร้อมกล่าวถามเสียงเรียบ “เจ้า…ยอดฝีมือขอบเขตเซียนงั้นเหรอ?”


 


ก่อนหน้านี้เขาได้ยินป๋ายลี่หงกล่าวบอกเอาไว้แล้ว ว่าป้ายหยกนี้กระทั่งตัวตนครึ่งก้าวเซียนยังไม่อาจหยุดยั้งได้


 


“หากข้าไม่ใช่ตัวตนในขอบเขตเซียน เจ้าคิดว่าข้าจะหยุดอาคมเซียนแจ้งเตือนเมื่อครู่ได้ง่ายๆงั้นหรือ?”


 


สตรีนางนั้นปริปากกล่าววาจาออกมาอีกครา น้ำเสียงไพเราะปานดุริยางค์สวรรค์ดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เสียงนี้ยังคล้ายมีมนต์สะกดชวนให้หลงใหลก็ไม่ปาน!


 


‘กลิ่นอายพลังของนาง…ไม่สมควรเป็นของผู้ฝึกมาร’


 


ถึงแม้เขาจะมองไม่ทันเลยว่าเมื่อครู่สตรีเบื้องหน้าลงมืออย่างไร แต่เขามันใจว่านางร้ายกาจเกินกว่าที่เขาจะต้านทานได้ เพราะถ้านั่นไม่ใช่นางลงมือด้วยตัวเอง ก็สมควรเป็นเขตแดนของนาง!


 


อย่างไรก็ตามแม้นางจะลงมือออกมาแล้ว ทว่าตราผนึกมารในแหวนมิติของเขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย!


 


การที่ตราผนึกมารไม่ตอบสนอง นั่นหมายความว่านางไม่ใช่ผู้ฝึกมาร และเขาไม่อาจใช้ตราผนึกมารกับนางได้!


 


‘นางไม่ใช่ผู้ฝึกมาร…ไม่ใช่ผู้ฝึกมารแบบนี้…แล้วข้าจะทำยังไง?’


 


ตอนนี้แม้ใบหน้าจะยังคงความสงบหากแต่ในใจต้วนหลิงเทียนกลับร้อนรนไม่น้อย พลังฝึกปรือของนางสมควรบรรลุขอบเขตเซียน อีกทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกมาร แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้!?


 


อย่างไรก็ตามแม้ในใจจะร้อนรนกังวลหนักหนา แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดงอมืองอเท้ารอรับความตาย สะบัดมือคราหนึ่งเรียกเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมากระชับถือไว้ทันที เตรียมพร้อมลงมือสู้เต็มกำลัง!


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นเองชือเม่ยพลันกล่าวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ สายตายังจับจ้องมองไปยังมือซ้ายของต้วนหลิงเทียนเขม็ง “ธนูคันนี้ของเจ้า ท่าทางจะมิใช่ธนูธรรมดาๆสินะ?”


 


ทันใดนั้นเองชือเม่ยพลันยกมือขึ้นคราหนึ่ง บังเกิดพลังไร้สภาพผนึกร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้! ทำให้เขาไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้แม้แต่ปลายนิ้ว! ทำได้แค่มองนางใช้พลังดูดรั้งชิงเกาทัณฑ์ดับตะวันไปต่อหน้าต่อตา!!


 


“วัตถุดิบนี่มัน…”


 


ทันใดนั้นชือเม่ยก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยทันที “นี่เจ้าไปได้ธนูคันนี้มาจากที่ไหนกัน?”


 


“ข้าแค่เจอมัน”


 


หลังจากที่พยายามดิ้นรนขัดขืนก็แล้ว เร่งเร้าพลังสุดตัวก็แล้วแต่ไม่อาจหลุดพ้นจากพลังไร้สภาพที่สะกดร่างเอาไว้ได้เลย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าตอนนี้ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของสตรีเบื้องหน้าเสียแล้ว ทว่าพอได้ยินคำถามนี้ของนาง เขาพลันกลับมาครองสติได้อีกครั้ง


 


และตอนนี้เขายังพบความผิดปกติบางประการ


 


หากอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานจริง ไฉนต้องมาเสียเวลากล่าววาจาไร้สาระอะไรกับเขาให้มากความ? ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ…เขายังไม่อาจจับสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันจากร่างของนางเลย!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าไม่ใช่แค่เพียงตัวเขาเท่านั้นที่แปลกใจ แต่เกรงว่าต่อให้ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรเห็นการกระทำผิดแปลกชือเม่ย ที่เอาแต่กล่าววาจาวุ่นวายแบบนี้คงได้ตะลึงงันเป็นแน่! เพราะพฤติกรรมของชื่อเม่ยกลับผิดแปลกไปจากเดิมราวคนละคน!!


 


“อะไรเล่า? นี่เจ้าคิดว่าข้าอยากได้ธนูของเจ้ารึไง หือ?”


 


ชือเม่ยยิ้มบางๆ สะบัดมืออีกครั้ง พลังไร้สภาพที่สะกดผนึกร่างต้วนหลิงเทียนไว้ก็สลายหาย ก่อนที่นางจะใช้พลังหยิบยกส่งมอบเกาทัณฑ์ดับตะวันคืนมาให้เขา


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย “เจ้าเป็นนักฆ่าของตลาดมืดหยินชาน ที่มานี่..ไม่ใช่เพราะมาเพื่อฆ่าข้ารึไง?”


 


“ข้าก็มาที่นี่เพราะต้องฆ่าเจ้านั่นล่ะ”


 


ชือเม่ยพยักหน้า


 


ได้ยินวาจานี้ของชือเม่ย ลูกตาของต้วนหลิงเทียนทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง กล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงระวัง “อาศัยพลังฝีมือของเจ้า คิดฆ่าข้าคงง่ายดายไม่ต่างฆ่าไก่…แล้วทำไมเจ้ายังไม่ลงมือ?”

 

 

 


ตอนที่ 1519

 

เหมือนกัน


 


“ฆ่าเจ้านับเป็นเรื่องง่ายดายนัก ทว่ายามนี้ข้าสนใจเจ้ามาก เจ้าวางใจได้เลย…หลังจากนี้ไปตลาดมืดหยินชานจะเพิกถอนภารกิจฆ่าเจ้าทุกกรณี”


 


ได้ยินวาจาเรียบๆคล้ายไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี้ของชือเม่ย ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง


 


สตรีนางนี้ใช่แอบหลงรักเขาตั้งแต่แรกพบหรือไม่?


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมา


 


ถึงแม้สตรีเบื้องหน้าจะมีทรวดทรงองค์เอวอันไร้ที่ติ แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าภายใต้หน้ากากและโม่งดำนั่น นางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร?


 


อาจน่าเกลียดน่ากลัวเป็นตัวประหลาดก็ได้!


 


อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับตะลึงงัน


 


นั่นเพราะอยู่ดีๆชือเม่ยก็เอื้อมมือขึ้นไปเลิกผ้าคลุมทั้งถอดหน้ากากออกมาอย่างกะทันหัน เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา!


 


ผมสีดำขลับยาวสลวยทอดยาวลงมาปานม่านน้ำตก ดวงตากระจ่างใสแฝงกลิ่นอายสารทฤดู ยามต้องแสงพลันเผยประกายสว่างไสวปานมวลหมู่ดาราบนฟ้าในราตรีกาล จมูกน้อยๆโด่งตั้งคมสัน ริมฝีปากอวบอิ่มเผยสีแดงระเรื่อ แม้ใช้คำงามล่มเมือง ยังไม่เกินเลยแม้แต่น้อย..


 


ใบหน้าที่งดงามได้รูปของนางปานหยกสลาขัดเกลามาอย่างดีแทบไม่ต่างใดจากภาพวาด


 


อย่างไรก็ตามพอได้เห็นใบหน้างดงามอันไร้ที่ตินี้ ร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับนิ่งค้างไปทันใด สองตายังเบิกกว้างเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อปานพบพานภูตผีกลางวันแสกๆ


 


เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจถึงที่สุดและอื้ออึงยากจะเชื่อของต้วนหลิงเทียน ลึกลงไปในแววตาของชือเม่ยพลันเรืองแสงสว่างขึ้นมาวูบหนึ่ง


 


ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะเป็นดั่งที่นางคาดเอาไว้!


 


ชายผู้นี้สมควรมีสัมพันธ์กับคนที่นางตามหา อีกทั้งคงมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน หาไม่แล้วกลิ่นอายที่ตกค้างบนร่างของชายเบื้องหน้าคงไม่มากมายขนาดนี้


 


จังหวะนี้ยากจะมีผู้ใดในโลกเข้าใจอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนได้!


 


ใจเขาเตลิดเปิดเปิงแถมเต็มไปด้วยมวลอารมณ์จุกอกยากจะกล่าว ไม่อาจสงบใจลงได้อยู่นาน ครู่ต่อมาแววตาสับสนไม่เข้าใจก็เผยความอ่อนโยน หลังจากนั้นก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกำลังหวนคำนึงถึงความทรงจำในวันวาน สุดท้ายก็กลายเป็นสลับซับซ้อน


 


เรื่องที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับเสียอาการไปแบบนี้ไม่ใช่อื่นใด เพราะรูปโฉมของสตรีเบื้องหน้าไม่ใช่อะไรที่แปลกหน้าสำหรับเขาเลย


 


แน่นอนว่าถึงแม้ใบหน้าในความทรงจำของเขาจะเหมือนกันกับใบหน้าของนางทุกประการ แต่ความรู้สึกที่ให้ยังต่างกันไม่น้อย…นางไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนสาวน้อยของเขา


 


ถูกแล้ว ใบหน้าของชือเม่ยที่งดงามปานล่มเมืองนั้น แทบไม่มีใดผิดแผกไปจากเค่อเอ๋อ สาวน้อยไร้เดียงสาคู่หมั้นของเขาไม่มีผิด!


 


ไม่ว่าจะรายละเอียดอะไรบนใบหน้าเรียกว่าไม่ต่างใดจากกระจกสะท้อน!


 


อย่างไรก็ตามแม้ใบหน้าของนางจะเหมือนเค่อเอ๋อมากเพียงใด แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีทางเข้าใจผิดว่านางเป็นเค่อเอ่อเด็ดขาด!


 


นั่นเพราะความรู้สึกที่ให้ มันคนละเรื่องกับเค่อเอ๋อเลย!


 


ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ยามมองเค่อเอ๋อนั้น บริสุทธิ์สดใสเต็มไปด้วยความอ่อนโยน หากทว่าชือเม่ยเบื้องหน้ากลับแฝงความเย็นชาเด็ดเดี่ยวเอาไว้


 


ในตอนนี้ใจต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความคิดขึ้นมาประการหนึ่ง ว่านางใช่ฝาแฝดของเค่อเอ๋อหรือไม่?


 


ทว่าครู่ต่อมาเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดดังกล่าวไปทันที


 


นั่นมันเพราะเรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!


 


ชือเม่ยเป็นนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานที่อยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า อีกทั้งยังเป็นตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียน!


 


ทว่าเค่อเอ๋อนั้น ถือกำเนิดในถิ่นธุรกันดารล้าหลังอย่างอาณาจักรนภาล่องของทวีปมนุษย์ และนางก็เป็นเหมือนเขา..มีต้นกำเนิดที่เมืองวายุโปรย ยากนักที่นางจะมีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับเค่อเอ๋อ!


 


ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขาพบพานเค่อเอ๋อ นางยังต้องขายตัวเองเป็นทาสเพื่อหาเงินไปฝังศพมารดาด้วยซ้ำ


 


และเขาไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งที่เค่อเอ๋อจะกล่าวว่ามารดาของนางไม่ใช่มารดาแท้ๆ


 


“ว่ามา เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเก็บคำถามนับหมื่นพันไว้ในใจ ค่อยกล่าวเรื่องสำคัญตอนนี้ออกมาเสียงเข้ม


 


ชือเม่ยเบื้องหน้าจะอย่างไรก็คือนักฆ่าของตลาดมืดหยินชาน แต่จากวาจาของนางก่อนหน้า…ไม่เพียงแต่นางจะไม่ฆ่าเขา แต่นางจะถอนภารกิจสังหารของเขาออกไปด้วย!


 


เรื่องนี้ทำให้เขาตระหนักได้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล


 


นั่นเพราะนางไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอะไรแบบนี้


 


หากมีใดผิดปกติสมควรมีปีศาจ!


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจนัก


 


“อะไรกัน? เจ้าเป็นบุรุษตัวโตแท้ๆ แต่กลัวสาวน้อยบอบบางเช่นข้าหรือ?”


 


รอยยิ้มโค้งอันสมบูรณ์แบบเผยให้เห็นบนริมฝีปากอวบอิ่มของชือเม่ย


 


ใบหน้างามล่มเมืองของชือเม่ย และร่างกายอันไร้ที่ติของนางนั้นมากพอจะกระตุ้นแรงปรารถนาในส่วนลึกของบุรุษทุกคน ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้เขาตื่นตัวระแวดระวังมากขึ้น


 


“ข้าแน่ใจว่าเจ้าคงไม่ล้มเลิกความคิดสังหารข้า กระทั่งถอนภารกิจสังหารข้าออกจากตลาดมืดหยินชานโดยไร้เหตุผล…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“ไร้เหตุผล? แน่นอนว่าข้าย่อมมีเหตุผล!”


 


ชือเม่ยกล่าวเสียงเบาพร้อมหัวเรา “ก่อนหน้าเจ้า หากข้าชือเม่ยลงมือ มิเคยมีใครรอดจากภารกิจสังหารของข้าแม้แต่คนเดียว…เจ้านับเป็นคนแรก!”


 


“งั้นข้าต้องรู้สึกเป็นเกียรติแล้วสิ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเย้ยเบาๆ ค่อยถาม “ว่ามาเถอะว่าเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ถึงไม่เพียงไม่ฆ่าข้า แต่ยังช่วยถอนภารกิจออกให้ข้า?”


 


“ต้องการอะไร? อืม…เอาเป็นว่า ข้าอยากทำเพื่อเจ้าดีหรือไม่?”


 


ชือเม่ยเผยยิ้ม


 


วาจานี้ของชือเม่ยทำให้หน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันใด


 


ผู้ใดจะไปรู้ว่าสตรีเบื้องหน้าเขานางนี้ใช่เป็นแม่มดเฒ่าชราพันปีปลอมตัวมาหรือไม่ ยังมีใครบอกได้ว่าอายุของนางมิใช่รุ่นราวคราวเดียวกับยายทวดเขา?


 


ยังดีที่ชือเม่ยไม่อาจอ่านความในใจของต้วนหลิงเทียนได้ หาไม่แล้วหากนางรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดอะไรอยู่ นางคงได้ทุบตีเขาจนตาย!


 


“เอาล่ะ ข้าเชื่อว่าพวกเราต้องได้พบกันอีก”


 


ชือเม่ยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งรอบหนึ่ง ก่อนที่จะอันตรธานหายไปจากสายตาเขา โดยที่เขาไม่อาจจับความเคลื่อนไหวของนางได้เลย


 


“นางเป็นใครกันแน่?”


 


ใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสับสนไม่น้อย


 


‘นักฆ่าของตลาดมืดหยินชาน ที่หน้าคล้ายเค่อเอ่อราวฝาแฝด…ตอนแรกนางมาเพื่อฆ่าข้าไม่ผิดแน่ แต่ไม่ทราบเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้นางเปลี่ยนใจ สุดท้ายไม่เพียงไม่ฆ่าข้าแต่ยังเพิกถอนภารกิจสังหารข้าให้อีก…’


 


ใจต้วนหลิงเทียนค่อยๆเรียบเรียงเรื่องราว ทว่ายังจับต้นชนปลายไม่ถูก


 


แน่นอนว่าเขาคงไม่หลงตัวเองถึงขั้นที่คิดว่านางไม่ฆ่าเขา เพราะเห็นความหล่อของเขาอะไรแบบนั้นแน่นอน


 


ในฐานะนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานที่จิตใจอำมหิตเย็นชา คงยากที่นางจะมีความรู้สึกเหลวไหลอะไรเช่นนั้น


 


‘คิดยังไงเรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างเดียว…นางมีความเกี่ยวข้อกับเค่อเอ๋อไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่งแน่! แต่ยังไงก็ตามถึงมันจะเกี่ยวข้องกับเค่อเอ๋อจริง…แล้วนางรู้ได้ยังไงว่าข้ามีความสัมพันธ์กับเค่อเอ๋อ อย่าได้บอกเชียวว่านางปิดบังตัวตนและคอยจับตาดูข้ากับเค่อเอ๋อมาโดยตลอด…’


 


‘แต่ถ้านางปิดบังตัวตนเช่นนั้น นางสมควรต้องเป็นไปลอบปกป้องคุ้มครองเค่อเอ๋อ…แล้วทำไมนางถึงมาติดตามข้าได้ นอกจากนี้ก็แม้จะติดตามข้ามาจริงแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่นางต้องเปิดเผยตัวตนแม้แต่น้อย’


 


ยิ่งขบคิดเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนก็ยากจะเข้าใจเรื่องราว


 


‘หลังจากที่กลับไปเกาะป้านเยว่ข้าจะลองถามเค่อเอ๋อดู…แต่เค่อเอ๋อก็เล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังหมดแล้ว นางไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ยังมีญาติหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้เลย’


 


เมื่อไม่อาจคิดได้ออก ต้วนหลิงเทียนก็หยุดคิดมันไปเสีย เขากลับมาสนใจการแข่งขันล่าสัตว์อีกครั้ง


 


เวลาผ่านไปอีกสักพักจนในที่สุดก็ครบกำหนด…การแข่งขันล่าสัตว์จึงถึงกาลสิ้นสุด


 


ในแง่ของผลคะแนน แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมได้อันดับที่ 1 เป็นธรรมชาติ!


 


“ต้วนหลิงเทียนจักมีคะแนนมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร…นี่มันมากกว่าอันดับที่สองถึง 10 เท่า! ต่อให้ฆ่าสัตว์ร้ายทั้งหมดที่พบเจอในป่า ก็มิน่าจักเป็นไปได้ที่จะมีคะแนนมากมายถึงเพียงนี้!!”


 


ต้วนหลิงเทียนได้อันดับ 1 ในการแข่งขันล่าสัตว์ เรื่องนี้ศิษย์ฝ่ายในไม่มีใครแปลกใจ เพราะได้ยินเรื่องราวความสามารถของต้วนหลิงเทียนมาก่อนแล้ว


 


อย่างไรก็ตามความสำเร็จที่มากเกินไปของต้วนหลิงเทียน อดทำให้ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายคิดไปไม่ได้ว่าเขาโกง!


 


เผชิญหน้ากับคำถามแคลงใจของศิษย์ฝ่ายในทั้งหลาย ต้วนหลิงเทียนยังคงสงบและไม่ได้สนใจอะไรพวกมันเลย


 


“เหตุผลที่คะแนนของต้วนหลิงเทียนสูงมากนั่นเพราะเขาได้ฆ่า กอริลล่ายักษ์คลั่ง!”


 


ตอนนี้เหล่าอาวุโสที่ทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบคะแนนต้วนหลิงเทียน ทำได้แค่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน สุดท้ายก็อดไม่ได้จำต้องกล่าวอธิบายให้ศิษย์ฝ่ายในที่แคลงใจทั้งหลายฟัง


 


ในขณะที่มันกล่าวออกมา อาวุโสคนอื่นก็เผยยิ้มขมขื่น เห็นชัดว่ารู้อยู่แล้ว


 


ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าป๋ายลี่หงยังคงสงบ ปานรู้แต่แรกว่าจะต้องเป็นแบบนี้


 


รองเจ้าสำนักจงหั่ว มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมายากจะบอกได้ว่ามันคิดอะไรอยู่


 


“กอริลล่ายักษ์คลั่ง!”


 


สิ้นคำอธิบายของอาวุโสตรวจสอบ ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายถึงับตะลึงงันอ้าปากหวอ!


 


กอริลล่ายักษ์คลั่ง ไม่ใช่ชื่อที่แปลกหูสำหรับพวกมัน


 


นั่นคือสัตว์ร้ายที่รู้จักกันดี ว่าเป็นตัวอันตรายในบรรดาสัตว์ร้ายขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ! และเมื่อมันเข้าสู่สภาวะคุ้มคลั่ง พลังอำนาจของมันก็เหนือกว่าสัตว์ร้ายในขอบเขตเดียวกันไปไกล ทั้งหลายยังตั้งสมญานานให้มันว่า เครื่องจักรสังหารสู่เซียนเชี่ยวชาญ!


 


อย่างไรก็ตามสัตว์ร้ายที่อันตรายนั่นกลับถูกต้วนหลิงเทียนฆ่า?


 


ขวับ! ขวับ! ขวับ!


 


……


 


ทันใดนั้นทุกสายตาของศิษย์ฝ่ายในก็พร้อมใจกันหันมามองจ้องต้วนหลิงเทียน


 


ในแววตาทั้งหลายเผยความตื่นตะลึงและประหลาดใจ


 


ไม่ว่าต้วนหลิงเทียนจะลงมืออย่างไรกันแน่ แต่ตอนนี้นับว่าโดดเด่นนัก!


 


“อีกทั้งเพราะกอริลล่ายักษ์คลั่งนั่น มันถูกสังหารตอนที่เข้าสู่สภาวะคุ้มคลั่ง คะแนนที่ได้จากการสังหารมันก็ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน…นี่เป็นเหตุผลว่าไฉนคะแนนล่าของต้วนหลิงเทียนจึงสูงกว่าพวกเจ้านัก…หรือหากมีพวกเจ้าคนใดกังขา ก็ไปฆ่าสัตว์ร้ายขอบเขตสู่เซียนเชี่ยวชาญที่เข้าสู่สภาวะคุ้มคลั่งจนมีพลังอำนาจสูงกว่าเดิมนับสองเท่าดูเองเถอะ!”


 


อาวุโสฝ่ายในที่ตรวจสอบคะแนนต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอีกรอบ


 


จังหวะนี้ถึงแม้ศิษย์ฝ่ายในจะเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน แต่ก็ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาอีก


 


ด้วยเหตุนี้การแข่งขันล่าสัตว์ประจำปีจึงสิ้นสุดลง โดยมีต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จได้รับเกียรติยศอันดับ 1 นอกจากนั้นยังได้รับสิทธิ์ในการเข้าคลังสมบัติของสำนัก


 


ถึงแม้สิ่งของในคลังสมบัติสำนักจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น อีกทั้งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของดีจึงทำให้เข้าข่ายตาดีได้ตาร้ายเสีย แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีของดีอยู่ไม่น้อย


 


แน่นอนว่าโดยมากแล้วพวกมันเป็นขยะ!


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนก็ตั้งความหวังเอาไว้ไม่น้อย! เขายังรู้สึกว่า…เขาน่าจะได้รับสมบัติล้ำค่าบางอย่างออกมา!


 


ในขณะเดินทางกลับสำนักจันทร์จรัสแสง ศิษย์ฝ่ายในหลายคนก็ลอบมองมาทางต้วนหลิงเทียนบ่อยครั้ง สายตายังเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อนยากจะกล่าว


 


พวกมันทั้งหมดล้วนเข้าร่วมสำนักมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วขึ้นไปทั้งสิ้น ทว่ากลับไม่มีใครเลยที่สามารถเทียบกับต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเข้าร่วมสำนักมาได้แค่เพียงปีเดียว ทำให้พวกมันรู้สึกอึดอัดในใจอยู่บ้าง


 


‘ท่านลุงข้าหวังว่าท่านจะละวางความบาดหมางระหว่างท่านกับต้วนหลิงเทียนให้ได้โดยเร็ว…หาไม่แล้วท่านก็ทำได้ขุดหลุมฝังศพตัวเองเท่านั้น’


 


เฮ่อจงเองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อนเช่นกัน ยังยิ่งกว่าศิษย์ฝ่ายในคนอื่นด้วยซ้ำ


 


ต้วนหลิงเทียนนั้น กล่าวได้ว่ามันเห็นอีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆทีละก้าว ความเร็วในการก้าวหน้าเติบโตของต้วนหลิงเทียน มันทำได้เพียงกินฝุ่นที่อีกฝ่ายเหลือทิ้งไว้เท่านั้น…


 


ขณะเดินทางกลับ…อาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสง ไม่ว่าจะเป็นป๋ายลี่หงหรือจงหั่วไม่ได้รู้ตัวแม้แต่น้อย


 


ว่าด้านหลังห่างไปไม่ไกล มีร่างหนึ่งในชุดคลุมลมดำลอบติดตามพวกมันมาด้วยความเร็วไม่รีบไม่ร้อน ร่างในชุดคลุมลมดำที่ว่าเป็นสตรีอันมีรูปร่างเย้ายวนใจ


 


บนไหล่ของนางมีวิหกสีม่วงเกาะอยู่ ท่าทางยังคล้ายงีบหลับไปแล้ว


 

 

 


ตอนที่ 1520

 

เผิงอัสนีเมฆม่วง!


 


“ติดตามชายคนนั้นไป พวกเราต้องพบตัวนางเป็นแน่!”


 


สตรีในชุดคลุมลมดำที่ลอบติดตามคนของสำนักจันทร์จรัสแสงมา ไม่ใช่ใครอื่น…เป็น ชือเม่ย นักฆ่า 4 ดาราครึ่งของตลาดมืดหยินชาน นางมองเขม็งมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ!


 


“สื่อเอ๋อเดี๋ยวข้าจะกลับไปก่อนสักพัก เจ้าคอยติดตามเขาไว้อย่าให้คลาดสายตาเล่า”


 


ชือเม่ยกล่าวกับวิหกสีม่วงบนไหล่


 


“เข้าใจแล้วพี่หญิง”


 


วิหกสีม่วงกล่าว “น่าเบื่อจริง! ข้านึกว่ามานี่จะได้ยืดเส้นยืดสายบ้างอะไรบ้าง!”


 


“เจ้าอยากยืดเส้นยืดสายก็ไปจัดการคนพวกนั้นตามใจเถอะ แต่อย่าได้ทำอันตรายคนใกล้ชิดของเขาก็พอ”


 


ชือเม่ยกล่าวออกเสียงเรียบ ขณะมองไปยังกลุ่มคนของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


วิหกสีม่วงพอได้ยินดังนั้นก็คึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่ ยังเร่งเร้าชือเม่ยออกมาทันที “ได้ๆๆ! พี่หญิงท่านรีบกลับไปเถอะ!”


 


เทียบกับวิหกสีม่วงที่ง่วงหงาวหาวนอนก่อนหน้า ตอนนี้มันคึกคักเสียจนคล้ายเป็นนกคนละตัวอย่างไรอย่างนั้น


 


ชือเม่ยส่ายหัวเบาๆอย่างไร้คำจะกล่าว ก่อนที่ร่างของนางจะอันตรธานหายไปในท้องฟ้าอย่างไร้ร่องรอย


 


ไม่นานนางก็เหินร่างมาถึงจุดที่ไม่ไกลจากที่ซ่อนรังลับของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร


 


หลังจากที่ชือเม่ยจากไป ลูกตาวิหกสีม่วงก็เผยประกายสดใสขึ้นมาในฉับพลัน ร่างมันกางปีกสะบัดวูบหนึ่ง ก็พุ่งวาบไปปานเส้นอัสนีสีม่วงตรงไปยงคนของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


ฟูวว!


 


เสียงหวีดหวิวแหวกฝ่าสายลมที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง ทำให้เหล่าอาวุโสของสำนักจันทร์จรัสแสงถึงกับชักสีหน้าเคร่งเครียดด้วยคิดว่าศัตรูบุกจู่โจม


 


“นั่นมันอันใดกัน!”


 


ทันใดนั้นทุกคนก็ตระหนักได้ถึงเงาดำมหึมาที่ลอยร่างอยู่เหนือพวกมัน เงานี้ยังใหญ่โตปานเมฆที่ลอยล่องกลางฟ้า บดบังแสงตะวันที่สาดส่องลงจนมิด!


 


และเมื่อพวกมันเงยหน้าขึ้นมา แววตาก็เผยความหวาดกลัวทันที


 


เพราะตอนนี้ปรากฏเป็นวิหกตัวมหึมาสีม่วงลอยร่างกลางหาว สองตาจับจ้องมองมาที่พวกมันเขม็ง!


 


ปีกวิหกยักษ์ที่แผ่กางออก ให้ความรู้สึกสุดไพศาลปานก้อนเมฆ ก่อให้เกิดเป็นแรงกดดันอันหนักอึ้งแก้ทุกคน!


 


ในขณะที่ป๋ายลี่หง จงหั่ว และอาวุโสฝ่ายในอีก 2 คน ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนรวมถึงศิษย์ฝ่ายในกำลังชักสีหน้าเคร่งเครียดนั้นเอง


 


เสียงผ่านปราณแท้หนึ่งก็ดิ่งตรงเข้าหูต้วนหลิงเทียน


 


“เจ้าหนูๆ! ในกลุ่มนี้เจ้าเกลียดขี้หน้าผู้ใดบอกข้ามาเร็วๆ”


 


นี่คือความที่ส่งมา


 


“เจ้าเป็นใครกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินเสียงดรุณีเจื้อยแจ้ว เร่งหันรีหันขวางทว่าก็ไม่เห็นวี่แววสาวน้อยจากที่ไหนเลย


 


“โอ๊ย เจ้าตาถั่วเหรอ! อยากรู้ว่าข้าเป็นใครทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมามอง!”


 


เสียงใสดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกรอบ พาลให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย แต่เขาก็รู้สึกตัวทันที “เจ้า…เจ้าคือนกตัวใหญ่นี่น่ะหรือ?”


 


“ฮึ่มจะตัวใหญ่ตัวเล็กแล้วยังไง? เจ้าหมิ่นข้ารึ…ฟังให้ดีนะ ข้าผู้นี้คือยอดสัตว์เซียน เผิงอัสนีเมฆม่วง! ไม่ใช่นกตัวใหญ่อะไรของเจ้า!!”


 


นกยักษ์สีม่วงกล่าวออกมาอีกครั้ง ท่าทางไม่ค่อยพอใจคำนกตัวใหญ่สักเท่าไร


 


ยอดสัตว์เซียน เผิงอัสนีเมฆม่วง!


 


ได้ยินวาจานี้ของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ประหลาดใจเล็กน้อย เขาเร่งพินิจรูปร่างอีกฝ่ายอีกครั้งให้ละเอียดทันที และก็พบว่านางเหมือนเผิงอัสนีเมฆม่วงในบันทึกจริงๆ ต่างกันก็แค่เพียงเหนือหัวของนางมีเขาสีทองเล็กๆงอกอยู่


 


‘นี่ถ้ามันไม่พูด ข้าคงไม่รู้เลยว่าที่แท้มันเป็นตัวเมีย’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ


 


“เจ้าหนู นี่เจ้าไม่ได้ยินที่พี่สาวถามรึ? ในกลุ่มนี้เจ้ามิชอบขี้หน้าผู้ใด บอกพี่สาวมาเร็วๆ!”


 


เผิงอัสนีเมฆม่วงกล่าวถามออกมาอีกรอบ


 


ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมเผิงอัสนีเมฆม่วงถึงถามเรื่องนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังหันมองไปยังจงหั่ว รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างไม่ตั้งใจ ถึงแม้เข้าเองจะอธิบายไม่ได้ก็ตาม


 


อาจเป็นเพราะจงหั่วมันเห็นเขาเป็นศัตรูเสมอ จึงทำให้เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไร


 


“เจ้าต้องเป็นสัตว์เซียนใช่หรือไม่ ไฉนถึงมาขวางทางพวกเราเล่า?”


 


ตอนนี้เอง จงหั่วพลันก้าวออกมากล่าวถามวิหกสีม่วงตัวเขื่อง


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่รู้จักวิหกสีม่วงตัวใหญ่นี่ ทว่ากลิ่นอายพลังที่อีกฝ่ายแผ่ออกก็ทำให้มันรู้สึกกดดันนัก


 


และตัวตนที่ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกกดดันได้ ทั้งๆที่ตัวมันก็อยู่เป็นถึงครึ่งก้าวเซียน นั่นหมายความว่าพลังฝึกปรือสมควรอยู่ในขอบเขตเซียน!


 


เหตุผลที่ไฉนมันถึงคาดเดาได้ว่าวิหกสีม่วงเบื้องหน้าเป็นสัตว์เซียน เพราะกลิ่นอายพลังของสัตว์เซียนกับสัตว์ร้ายมันแตกต่างกันไม่ใช่น้อย รวมถึงลักษณะต่างๆที่บอกได้ไม่ยาก


 


และที่เห็นได้ชัดเจนนักว่าวิหกสีม่วงตัวเขื่องเบื้องหน้าไม่ใช่สัตว์ร้าย เพราะดวงตากระจ่างใสของมันแฝงความลึกล้ำทรงปัญญา!


 


“ข้าเบื่อไม่มีอะไรทำนิ เจ้าจะทำไมล่ะ?”


 


วิหกยักษ์สีม่วงหรือที่รู้จักกันในนาม เผิงอัสนีเมฆม่วง กล่าวตอบออกมาราวคนขี้เกียจ…


 


จังหวะนี้มุมปากของจงหั่วถึงกับกระตุกอย่างแรง


 


เหตุผลบ้าบออะไร?


 


ป๋ายลี่หง อาวุโสฝ่ายในอีกสองคน ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับอึ้ง!


 


ถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้งุนงงเหมือนคนอื่น แต่วาจาที่เผิงอัสนีเมฆม่วงใช้ตอบจงหั่ว ก็ทำให้มุมปากเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาเช่นกัน


 


และเมื่อเขาเห็นสายตาที่เผิงอัสนีเมฆม่วงใช้มองจงหั่ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าจงหั่วนั้นท่าทางจะถึงคราวซวยแล้ว…


 


ในตอนนี้เขายังอดคิดไปไม่ได้…ว่าใช่เขาสร้างปัญหาให้จงหั่วหรือไม่?


 


ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ทันจบ ปีกของเผิงอัสนีเมฆม่วงก็เริ่มขยับแล้ว!


 


พั่บ! พั่บ!


 


ระลอกคลื่นสีม่วง 2 ลูกเริ่มแผ่ออกมาจากปีกทั้ง 2 ข้างของมัน!


 


และทุกที่ทางที่ระลอกคลื่นสีม่วงเคลื่อนผ่าน คล้ายจะกวาดได้ทุกสรรพสิ่งกระทั่งอากาศ!


 


ทันใดนั้นเอง นอกเหนือจากจงหั่ว คนของสำนักจันทร์จรัสแสงทั้งหมด ก็ถูกพลังไร้สภาพอันมหาศาลขุมหนึ่งจากคลื่นสีม่วงนั่นผลักดันให้ล่าถอยออกไปนับ 100 หมี่!


 


เมื่อพวกมันรู้สึกตัว ก็พบว่าไกลห่างคงเหลือเพียงวิหกสีม่วงกับจงหั่วเท่านั้น


 


“เจ้ามาช่วยยืดเส้นยืดสายให้ข้าหน่อย!”


 


เผิงอัสนีเมฆม่วงที่ลอยร่างกลางหาวกล่าวกับจงหั่วด้ววยน้ำเสียงเกียจคร้าน


 


ได้ยินวาจานี้ของวิหกสีม่วงตัวเขื่อง จงหั่วแทบจะเป็นลม!


 


หากก่อนหน้านี้มันคาดเดาว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนล่ะก็


 


พอมันเห็นการลงมือของเผิงอัสนีเมฆม่วงเมื่อครู่ มันก็มั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์เซียนที่บรรลุขอบเขตเซียนไปแล้วแน่นอน


 


สัตว์เซียนตัวนี้คิดให้มันช่วยยืดเส้นยืดสาย?


 


นี่มันคงไม่ถูกเลาะกระดูกหรอกนะ?


 


“อาวุโสวิหก ข้าน้อยคือจงหั่วรองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง หากข้าน้อยเคยทำอันใดให้อาวุโสไม่พอใจได้โปรดบอกมาเถิด ข้าน้อยจะได้ขอขมาต่อท่านให้ดี…”


 


จงหั่วกล่าวกับวิหกยักษ์เบื้องหน้าด้วยท่าทางยำเกรง น้ำเสียงยังสั่นไปไม่น้อย


 


ตอนนี้มันหวังว่าวิหกยักษ์เบื้องหน้าจะปล่อยมันไป เพราะเกรงใจสำนักจันทร์จรัสแสง


 


อย่างไรก็ตามคำต่อมาที่วิหกยักษ์เบื้องหน้ากล่าว ทำให้สีหน้าจงหั่วยิ่งซีดหนักลงทันที


 


“สำนักจันทร์จรัสแสง? ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน! เจ้าไม่ได้ทำอะไรให้ข้าไม่พอใจหรอก ข้าแค่อยากยืดเส้นยืดสายเท่านั้นเอง…อย่าหวงไป ข้าไม่เผลอทำเจ้าตายหรอก”


 


เผิงอัสนีเมฆม่วงกล่าวออกเสียงเรียบค่อยส่ายหัว


 


และทันทีที่กล่าวจบคำ คล้ายปรากฏพายุพลังปานใต้ฝุ่นขุมหนึ่งแผ่พุ่งไปทางจงหั่วด้วยความเร็วเหนือเสียง!


 


ห่างออกไปไม่ไกล ทางด้านต้วนหลิงเทียนอาวุโสฝ่ายในทั้ง 3 และศิษย์ฝ่ายในสำนักจันทร์จรัสแสง ก็เห็นว่ามีพายุพลังสีม่วงพัดออกจากร่างวิหกยักษ์อย่างฉับไว ต่อมาร่างจงหั่วก็อันตรธานหายไป!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าจงหั่วไม่ได้หายไปไหน


 


เป็นเพราะตอนนี้อีกฝ่ายเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง!


 


“สัตว์เซียนขอบเขตเซียน!”


 


จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นป๋ายลี่หง หรืออาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ต่างเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา


 


พวกมันยังพอมองเห็นเรื่องราวได้รางๆจึงได้รู้ว่าตอนนี้จงหั่วประสบชะตาอนาถแค่ไหน


 


แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วย


 


หากสัตว์เซียนขอบเขตเซียนเกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมา และหันมาลงมือกับพวกมันได้ ไม่ฉิบหายหรือไร?


 


ตอนนี้กระทั่งป๋ายลี่หงยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ ที่วิหกสีม่วงตัวเขื่องนั่นเลือกจงหั่วเป็นเป้าหมายไม่ใช่มัน


 


มิฉะนั้นกระดูกมันไม่แหลกตายไปแล้วหรือไง?


 


ป๋ายลี่หงย่อมคิดว่าที่วิหกสีม่วงเลือกจงหั่วนั้น เพราะสุ่มเอา


 


หากมันรู้ว่าที่วิหกสีม่วงเลือกจงหัวมาทุบตียืดเส้นยืดสายเพราะถามต้วนหลิงเทียนล่ะก็ ไม่ทราบมันจะทำหน้าอย่างไร…


 


“สัตว์เซียน ขอบเขตเซียน?”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เผยความเคร่งขรึมเช่นกัน เพราะเขาตระหนักได้ว่าเผิงอัสนีสีม่วงตัวนี้ก็เป็นถึงสัตว์เซียนขอบเขตเซียน!


 


พอคิดถึงข้อความที่สัตว์เซียนตัวนี้ส่งมาก่อนหน้า ใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


ไฉนอีกฝ่ายถึงถามว่าเขาเกลียดขี้หน้าใคร?


 


ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็แค่หันไปมองจงหั่วโดยไม่รู้ตัว ถึงทำให้จงหั่วประสบชะตาอนาถแบบนี้


 


คล้ายเผิงอัสนีเมฆม่วงกำลังระบายอารมณ์แทนเขาอย่างไรไม่รู้!


 


เขาลองถามตัวเองหลายครั้ง แต่ก็พบว่าเขาไม่เคยเห็นเผิงอัสนีเมฆม่วงตัวเขื่องแบบนี้มาก่อนเลย อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาด้วยซ้ำที่ได้เห็นสัตว์เซียนขอบเขตเซียน!


 


‘วันนี้ข้าโชคข้ามันอะไรกันแน่ ถึงได้เจอตัวตนระดับเซียน 2 คนติดๆ…ไม่รู้ว่าทั้งคู่เกี่ยวข้องกันไหม’


 


กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาอดคิดไปไม่ได้ว่านี่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับชือเม่ยนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานที่อยู่ในขอบเขตเซียนรึเปล่า


 


“ไม่สนุกเลย! เจ้ามันอ่อนแอเกินไป! ฮึ่ม ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว…ไปสำนักจันทร์จรัสแสงของเจ้าดีกว่า ลองดูว่าคนเก่งที่สุดในสำนักเจ้าจะทำให้ข้าสนุกหรือไม่! อา…พอคิดแล้วน่าสนใจยิ่ง!!”


 


ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้ยินวาจานี้ของเผิงอัสนีเมฆม่วงดังขึ้น


 


และหลังจากนั้นไม่ทันไร ร่างเผิงอัสนีเมฆม่วงรวมถึงจงหั่วก็ปรากฏให้เห็นในสายตาอีกครั้ง


 


เผิงอัสนีสีม่วงยังอยู่ดีแลเปี่ยมไปด้วยความคึกคัก ทว่าจงหั่วนั้นคล้ายพึ่งโผล่ออกมาจากเครื่องปั่น นอกจากรอยฟกช้ำดำเขียวทั่วกาย เลือดยังไหลซิบๆท่วมกาย! เสื้อผ้าของมันก็ขาดๆแหว่งๆ หาชิ้นดีไม่ได้ปานถูกคลื่นดาบนับพันเชือดเฉือน!!


 


ตอนนี้แม้มันจะลอยล่องอยู่กลางอากาศ แต่อาการก็แลดูมิค่อยสู้ดี คล้ายพร้อมจะร่วงตกลงไปได้ทุกเมื่อ


 


ถึงแม้สภาพจะน่าอับอายขายหน้า แต่จงหั่วก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจที่รอดตาย


 


“ท่านอาจารย์!!”


 


ตอนนี้เองเฮ่อจงรีบกุลีกุจอพุ่งไปประของร่างจงหั่วที่จะร่วงแหล่มิร่วงแหล่เอาไว้ทันที ในแววตายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่น้อย


 


“ไปๆๆ ข้าจะไปสำนักจันทร์จรัสแสงที่ว่ากับพวกเจ้าด้วย”


 


ในขณะที่คนของสำนักจันทร์จรัสแสงได้ยินคำกล่าวนี้จากวิหกม่วงตัวเขื่อง สีหน้าทั้งหมดก็กลับกลายเป็นซีดเซียวยกเว้นต้วนหลิงเทียน และทันใดนั้นเองทั่วร่างมหึมาก็ปรากฏแสงสวางจ้า พอดับลงให้เห็นภาพชัดอีกครั้ง ก็พบว่ามีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา…เป็นดรุณีน้อยวัย 16-17 ปีในชุดสีม่วง!


 


ยังเป็นดรุณีน้อยที่รูปโฉมงดงามแลดูน่ารักไม่ใช่น้อย!


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่มีใครกล้าสนใจรูปลักษณ์ของนางเลย ทั้งหมดถูกครอบงำไปด้วยความหวาดกลัวจากพลังอำนาจที่นางพึ่งสำแดงออกมา


 


อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมากลางอากาศ แล้วมาถามหาผู้คนให้ช่วยยืดเส้นยืดสาย


 


หลังจากนั้น รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง จงหั่ว ก็เป็นผู้โชคร้าย


 


ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้กำลังแปลกใจไม่น้อย เพราะหากเขาไม่ได้เห็นเรื่องราวกับตา เขาก็ยากจะเชื่อได้ว่าดรุณีน้อยนางนี้คือเผิงอัสนีเมฆม่วงตัวเขื่องก่อนหน้า…!

 

 

 


ตอนที่ 1521

 

ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขานี้


 


เมื่อคนของสำนักจันทร์จรัสแสงมองสำรวจดรุณีน้อยที่น่ารักงดงามราวกับไร้พิษภัยต่อสิ่งมีชีวิต พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเข้าใกล้นาง


 


และพอได้ยินว่านางจะติดตามพวกมันกลับสำนักจันทร์จรัสแสงด้วย พวกมันก็ทำได้แค่ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆเท่านั้น


 


“แม่นางท่านนี้ มิทราบจะให้พวกเราเรียกหาท่านอย่างไร?”


 


ป๋ายลี่หงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพยายามฝืนยิ้มกล่าวถามออกไป


 


“สื่อเอ๋อ”


 


ดรุณีน้อยชุดม่วงกล่าวตอบด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว ขณะเดียวกันนางก็หันมาขยิบตาให้ต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับพูดไม่ออก


 


ข้าไม่เคยเจอนางจริงๆเหรอ?


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวตนของดรุณีน้อยชุดม่วงไม่น้อย


 


‘ไม่รู้ว่านางจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชือเม่ยหรือไม่…ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้มันก็จะบังเอิญเกินไปแล้ว?’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ


 


“เมื่อครู่ ทำไมเจ้าต้องช่วยข้าทุบตีมันด้วยล่ะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านปราณแท้ไปถามนาง


 


“เพราะเจ้าเป็นคนเดียวในคนกลุ่มนี้ที่ใส่ชุดสีม่วง!”


 


คำตอบนี้ของดรุณีน้อยทำให้ต้วนหลิงเทียนไปไม่เป็น พูดอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง “แค่เรื่องนี้ เจ้าถึงกับช่วยข้าทุบตีผู้คนเลยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จะกล่าวคำไหนเลยดีจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าดรุณีน้อยนางนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชือเม่ยเสียอีก เพราะทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาก็ส่งเสียงถามเขา


 


แต่มาตอนนี้เขารู้แล้วว่าไฉนตอนแรกนางถึงได้ส่งเสียงงถามเขาอย่างคึกคัก!


 


เพราะเขาใส่ชุดสีม่วงแบบเดียวกับนาง!


 


ในกลุ่มคนของสำนักจันทร์จรัสแสงมีเขาใส่ชุดสีม่วงเพียงคนเดียว อันที่จริงชุดที่เขาสวมใส่ประจำมันก็มีแค่สีม่วงเท่านั้น


 


ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่แล้วหรือชีวิตนี้ เขาก็ต้องตาพึงใจแต่สีม่วง


 


“เป็นแม่นางสื่อเอ๋อนี่เอง”


 


ป๋ายลี่หงไม่ทันสังเกตเห็นตอนที่นางขยิบตาให้ต้วนหลิงเทียน เนื่องจากมันเองก็ไม่กล้ามองสบตาอีกฝ่าย เพราะจะอย่างไรเสียนี่ก็คือสัตว์เซียนขอบเขตเซียน!


 


“แม่นางสื่อเอ๋อ”


 


ตอนนี้เองอาวุโสของสำนักจันทร์จรัสแสงอีก 2 คนก็เร่งมาคารวะทักทายดรุณีน้อยด้วยความสุภาพ ด้วยกลัวว่าพวกมันจะทำให้นางขุ่นเคืองหากไม่สุภาพนอบน้อม


 


เมื่อเห็นอาวุโสฝ่ายในทั้ง 3 เร่งรุดไปคารวะทักทายสาวน้อย เหล่าศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายก็ไม่กล้าละเลย


 


กระทั่งจงหั่วที่ถูกนางทุบตีจนเละ ก็เร่งมาโค้งคารวะทักทายนางหลังกินโอสถเซียนจนอาการทุเลาลง


 


ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำให้มันอับอายขายหน้า แต่จงหั่วก็ไม่กล้ามีความคิดมุ่งร้ายต่อนาง


 


ล้อกันเล่นหรือไร!?


 


อีกฝ่ายเป็นถึงสัตว์เซียนขอบเขตเซียน!


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันยังพึ่งอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนด้วยซ้ำ เกรงว่าต่อให้มันทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนแล้ว มันก็ไม่น่าจะเป็นคู่มือให้นางได้ด้วยซ้ำ!


 


ตั้งแต่ที่นางกล้าไปเยือนสำนักจันทร์จรัสแสงแบบนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้มีความกริ่งเกรงอะไรต่อสำนักจันทร์จรัสแสงแม้แต่น้อย หาไม่แล้วคงไม่วู่วามเช่นนี้


 


“ศิษย์น้อง!”


 


เมื่อเห็นว่ามีเพียงต้วนหลิงเทียนที่ไม่รีบเข้ามาคารวะทักทายดรุณีน้อย และยืนหัวโด่อยู่คนเดียว ป๋ายลี่หงก็เร่งส่งเสียงผ่านปราณแท้มาเตือนด้วยความหวาดกลัวทันที


 


และตอนนี้เองคนอื่นๆก็เห็นเรื่องนี้แล้วเช่นกัน


 


“แม่นางสื่อเอ๋อ”


 


เมื่อเห็นความกังวลใจของป๋ายลี่หงต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง เขาจึงพยักหน้าทักทายดุรณีน้อยทันที


 


เมื่อเห็นทีท่าสบายๆของต้วนหลิงเทียนป๋ายลี่หงถึงกับหน้าเสีย!


 


สำหรับคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจงหั่วกลับรู้สึกชอบใจอยู่บ้าง เพราะคิดว่าต้วนหลิงเทียนน่าจะถึงคราวซวยเหมือนมันแล้ว!


 


อย่างไรก็ตามการตอบสนองของดรุณีน้อยชุดม่วงถึงกับทำให้พวกมันอึ้งไปเป็นตัวโง่งม


 


“เจ้าไม่เลวเลย! แถมท่าทางพวกเราจักมีรสนิยมเหมือนกันอีก ข้าเองก็ชอบใส่ชุดสีม่วงนัก! ในโลกนี้สีม่วงสวยงามที่สุด ส่วนสีเขียวนี่…แหวะ! น่าเกลียดยิ่ง!”


 


ดรุณีน้อยพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองจงหั่วพร้อมขมวดคิ้ว “ไฉนโลกหล้าถึงมีตัวรสนิยมต่ำตมถึงเพียงนี้ได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเจ้ากล้าใส่ชุดสีเขียวนี่เดินออกนอกบ้าน…”


 


จังหวะนี้ทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก


 


ในสายตาท่านเห็นดีแต่สีม่วงรึ?


 


ใส่ชุดเขียวกลับกลายเป็นรสนิยมต่ำตม?


 


ได้ยินวาจานี้ของดรุณีน้อยชุดม่วง มุมปากต้วนหลิงเทียนถึงกับกระตุกขึ้นมาตงิดๆ อีกฝ่ายไม่ได้เล่นงานจงหั่วเพราะเขาหันมองอย่างเดียว แต่ที่แท้ยังเพราะนางเกลียดชังสีเขียว?


 


จังหวะนี้ทุกผู้คนก็เข้าใจเรื่องราว


 


อดไม่ได้ที่สายตาทั้งหลายจะหันไปมองร่างจงหั่วที่ยังสาหัสด้วยสายตาเวทนาสงสาร


 


จงหั่วที่ได้ยินคำนี้ของดรุณีน้อยก็แทบจะกระอักเลือดเสียให้ได้!


 


ในใจยังคิดไปว่ากลับไปถึงสำนักเมื่อใด มันจะกลับไปคุ้ยชุดสีเขียวในตู้ทั้งหมดมาเผาเสียให้วอด!


 


มาตอนนี้มันก็เข้าใจแล้วว่าไฉนดรุณีน้อยนางนี้ถึงได้จ้องเล่นงานมันแต่เพียงผู้เดียว ที่แท้เพราะมันใส่ชุดเขียวที่นางรังเกียจ!


 


รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง จงหั่ว ผู้น่าเกรงขาม กลับถูกสัตว์เซียนขอบเขตเซียนหาเรื่องทุบตีเพราะใส่ชุดผิดสี!


 


ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะคิดกันไปว่า หากข่าวนี้แพร่ไปในสำนักต้องเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนแน่นอน


 


การที่ดรุณีน้อยนางนี้ชมชอบสีม่วงพวกมันก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ร่างที่แท้จริงของนางก็เป็นวิหกตัวเขื่องสีม่วง


 


แต่การที่ดรุณีน้อยรังเกียจสีเขียวนี่ ต้องบอกเลยว่าเป็นจงหั่วมันดวงตก ถึงคราวเคราะห์แล้วจริงๆ


 


พริบตานี้ไม่เพียงแต่จงหั่ว กระทั่งทุกคนในที่นี้ยกเว้นต้วนหลิงเทียน ยังคิดไปในทำนองเดียวกัน ว่าหากกลับไปถึงสำนักเมื่อใด จะเร่งคุ้ยชุดสีเขียวที่มีทั้งหมดออกมาเผาให้วอด


 


จงหั่วนับเป็นบทเรียนอย่างดี!


 


ตอนนี้กระทั่งตัวจงหั่วเองก็ไม่ทราบเลยว่า เรื่องราวในวันนี้จะกลับกลายเป็นที่เล่าขานไปในสำนักจันทร์จรัสแสงอีกนาน กระทั่งผ่านไปนับร้อยปี เรื่องนี้ผู้คนยังไม่ลืม


 


แน่นอนว่ามันกลายเป็นเรื่องชวนหัวคลายเครียดได้เป็นอย่างดี


 


เรื่องราวนี้กลับกลายเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของจงหั่ว กระทั่งจวบจนวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตาย มันก็ยังปวดปร่าใจไม่น้อยที่มันใส่ชุดเขียวมาวันนี้


 


อย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องราวในภายหลัง


 


ด้วยประการฉะนี้ คนของสำนักจันทร์จรัสแสงจึงกลับสำนักโดยมีดรุณีน้อยติดตามไปด้วย


 


หากเลือกได้พวกมันก็ไม่อยากให้นางติดตามไปนักหรอก


 


แต่พวกมันยังมีทางเลือกด้วยหรือ?


 


ในขณะที่คนของสำนักจันทร์จรัสแสงเดินทางกลับสำนัก ด้านชือเม่ยก็มาถึงรังลับของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรเรียบร้อยแล้ว


 


ทันทีที่นางกลับมาถึง นางก็มุ่งหน้าไปหา ผู้นำ ตลาดมืดหยินชานสาขานี้ทันที


 


ผู้นำตลาดมืดหยินชาน ก็พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังโตที่ปลูกไว้กลางหุบเขา


 


ทว่าชือเม่ยกลับเข้าไปในบ้านได้ง่ายดาย กระทั่งเหินลอยลงมาจากฟ้าโดยตรงด้วยซ้ำ


 


ส่วนข่ายอาคมและค่ายกลป้องกันต่างๆนาๆ คล้ายไม่มีผลกระทบใดๆต่อนางเลย


 


ในสวนหลังบ้านปรากฏชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำขลิบทองกำลังนอนไขว่ห้างเอนหลังบนเก้าอี้ไม้ปรับเอนอย่างสบายอารมณ์ ทว่าพอมันสัมผัสได้ว่ามีผู้คนบุกรุกเข้ามามันก็เร่งลุกขึ้นมาทันใด


 


การที่ถูกรบกวนแบบนี้ สีหน้าของมันแน่นอนว่ามิค่อยสู้ดีสักเท่าไร!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อพบว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาจนทำให้มันตื่น ความไม่พอใจบนใบหน้าก็มลายหาย กลับกลายเป็นถูกความเคารพเข้ามาแทนที่


 


“แม่นางชือเม่ย”


 


ชายวัยกลางคนที่ผุดลุกขึ้นมาพรวดพราดเร่งโค้งคารวะชือเม่ยอย่างมากมารยาท ความเคารพนี้ของมันยังมาจากใจจริง


 


ฉากนี้ถ้าให้คนของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรมาเห็น เกรงว่าคงได้ตกใจแทบตาย


 


ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร ที่ผู้คนมากมายต่างยำเกรง กลับปฏิบัติต่อชือเม่ย นักฆ่า 4 ดาราครึ่งเช่นนี้?


 


การปฏิบัติตัวของผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร ทำราวกับมันพบพานตัวตนที่อยู่เหนือกว่าอย่างไรอย่างนั้น!


 


“เพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนของสำนักจันทร์จรัสแสงไปเสีย ข้ามีเรื่องต้องใช้เขา”


 


เผชิญหน้ากับผู้นำ ชือเม่ยเพียงเหลือบมองด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวออกเสียงเรียบ


 


“ทราบ”


 


ได้ยินคำของชือเม่ย ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขานี้ก็เร่งพยักหน้ารับคำ โดยไม่ถามไถ่แม้ครึ่งคำ


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฟังคำสั่งของชือเม่ย มันก็เร่งรุดออกจากบ้านไปดำเนินการเพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนทันที


 


ครึ่งชั่วยามต่อมา ก็มีคำสั่งสูงสุดถ่ายทอดมาถึงฐานปฏิบัติการตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร


 


“เพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนศิษย์ฝ่ายในสำนักจันทร์จรัสแสง?”


 


ได้ยินคำสั่งนี้ หยินหยางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ด้วยไม่ทราบว่าได้ยินอะไรผิดไปหรือไม่


 


กระทั่งมันได้ยินคำกำชับอีกครั้งว่านี่เป็นคำสั่งที่ผู้นำสาขา ถ่ายทอดออกมาโดยตรง มันก็แน่ใจว่าได้ยินไม่ผิด


 


“ชือเม่ยคงมิได้พลาดท่าเสียทีเจ้าหนุ่มนั่นเข้าหรอกนะ?”


 


ไท่หวู่ขมวดคิ้ว


 


“อาจเป็นได้”


 


หยินหยางพยักหน้า ทว่าแววตายังเผยความสับสนไม่น้อย “อย่างไรก็ตามแม้ชือเม่ยจะล้มเหลวในการสังหาร…แต่ชือเม่ยจะอย่างไรก็เป็นนักฆ่าระดับ 4 ดาราครึ่งเท่านั้น พวกเรายังมีนักฆ่า 5 ดาราอยู่นี่นา?”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นพลังฝีมือของผู้นำสาขาก็เทียบได้กับนักฆ่า 5 ดารา”


 


หยินหยางพบว่าเรื่องราวนี้มันแปลกประหลาดไม่น้อย


 


“หรืออาจมียอดฝีมืออยู่เบื้องหลังต้วนหลิงเทียนคนนั้น…ยอดฝีมือที่กระทั่งผู้นำสาขายังหวาดกลัว?”


 


ไท่หวู่สันนิษฐาน


 


“เรื่องนี้เข้าเค้ามิน้อย”


 


หยินหยางพยักหน้าเห็นด้วย เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วมันก็หาเหตุผลอื่นมารองรับไม่ได้เลย


 


“มาตอนนี้ข้าชักอยากรู้จักต้วนหลิงเทียนของสำนักจันทร์จรัสแสงนัก”


 


ไท่หวู่กล่าวออกด้วยประกายตาเรืองวูบ


 


พลังฝีมือของไท่หวู่นั้น เทียบได้กับนักฆ่าระดับ 5 ดารา!


 


“ไท่หวู่ เจ้าอย่าได้ฝ่าฝืนคำสั่งเด็ดขาด! นี่เป็นคำสั่งโดยตรงที่ส่งมาจากท่านผู้นำสาขา เจ้าเองก็สมควรรู้นิสัยท่านผู้นำดี…ผู้ใดหาญกล้าขัดคำ ล้วนมิได้ตายดีสักคน!”


 


หยินหยางเร่งกล่าวเตือนออกมาทันที เมื่อได้ยินคำของไท่หวู่


 


“เจ้าวางใจได้ ข้าเพียงบอกว่าอยากรู้เรื่องราวของต้วนหลิงเทียน มิได้จะลงมืออันใด”


 


ไท่หวู่กล่าว


 


พอคิดถึงผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร ไท่หวู่เองก็เผยความยำเกรงไม่น้อย


 


ตอนที่มันมาถึงสาขานี้ปีแรก มันก็ได้เอาชนะยอดฝีมือขอบเขตเซียนที่นี่ได้ทั้งหมด ทว่าสุดท้ายมันกลับปราชัยให้แก่คนผู้หนึ่ง


 


กระทั่งผู้ที่ยัดเยียดความปราชัยให้มัน ยังลงมือเพียงกระบวนท่าเดียว! พลังฝีมือนับว่าต่างชั้นกันเกินไป!!


 


และผู้ที่เอาชนะมันได้ก็คือผู้นำตลาดมืดสาขา 9 พันธมิตรนั่นเอง


 


ไม่นานภารกิจที่หลิวฮ่วนจ้างวานฆ่าต้วนหลิงเทียนก็ถูกตลาดมืดหยินชานเพิกถอน


 


ขณะเดียวกันทางด้านต้วนหลิงเทียน และคนอื่นๆ ในที่สุดก็กลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสงโดยสวัสดิภาพ


 


ต้วนหลิงเทียนโล่งใจไม่น้อยเมื่อดรุณีน้อยในชุดม่วง อันมีร่างที่แท้จริงเป็นสัตว์เซียนขอบเขตเซียนอย่างเผิงอัสนีเมฆม่วงเลิกจับตาดูเขา


 


ถึงแม้ดุรณีน้อยนางนี้จะปฏิบัติกับเขาด้วยดี แต่พอนึกถึงเรื่องที่นางสามารถฆ่าเขาให้ตายได้ง่ายดาย ใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นเกรงทุกครั้ง


 


‘ไม่รู้ว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงที่มีอยู่น้อยคนจะรับมือนางได้รึเปล่า…’


 


คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใจต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที

 

 

 


ตอนที่ 1522

 

จานค่ายกล


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความอยากรู้ไม่ใช่น้อย ว่าดรุณีน้อยชุดม่วงอันเป็นเผิงอัสนีเมฆม่วงนั้น จะสร้างความปวดหัวให้แก่ระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสงได้มากเพียงไหน อย่างไรก็ตามสุดท้ายกลับไม่ได้มีใดเอิกเกริก…


 


เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง


 


เขายังคิดอยู่ว่าหากขอบเขตเซียนของสำนักปะทะกับนางจริง เขาคงได้ชมดูการต่อสู้ของขอบเขตเซียนไว้เป็นวิทยาทาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เห็นภาพนั้น


 


อย่างไรก็ตามไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หันไปสนใจเรื่องอื่น


 


นั่นเพราะคลังสมบัติสำนักกำลังจะเปิดให้เข้าไปแล้ว


 


และในฐานะที่เขาได้อันดับ 1 ในการแข่งขันล่าสัตว์ประจำปี เขาย่อมได้สิทธิ์เข้าไปในคลังสมบัติของสำนักเป็นคนแรก อีกทั้งของรางวัลที่สามารถหยิบออกมาได้ก็มีเยอะชิ้นกว่าผู้อื่น


 


จำนวนสมบัติที่สามารถนำออกมาจากคลังสมบัติได้ก็ขึ้นอยู่กับอันดับในการแข่งขันล่าสัตว์


 


“ศิษย์น้อง เดิมทีเจ้าสามารถหยิบฉวยสมบัติในคลังสำนักได้แค่ 5 ชิ้น…แต่ข้าไปกล่าวกับผู้นำเรียบร้อยแล้ว และเพิ่มจำนวนสมบัติให้เจ้าสามารถเลือกได้ 10 ชิ้นแทน”


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าไปในคลังสมบัติ ป๋ายลี่หงก็กล่าวแจ้งเรื่องนี้ให้แก่เขา


 


“ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่!”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาวขึ้นมาทันใด อดไม่ได้ที่จะกล่าวขอบคุณป๋ายลี่หง


 


หากไม่ใช่เพราะป๋ายลี่หง ด้วยอันดับที่ 1 ของเขาก็มีสิทธิ์เลือกสมบัติได้แค่ 5 ชิ้นเท่านั้น


 


ทว่าตอนนี้เขาสามารถเลือกได้เพิ่มเป็นสองเท่า!


 


“เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าไหนเลยยังต้องเกรงใจมาขอบคุณอันใดกันอีก หากวันหน้าเจ้ายังเกรงใจอยู่อีก ศิษย์พี่จักโกรธเจ้าแล้ว”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวพร้อมปั้นหน้าเข้ม


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับพร้อมพยักหน้า


 


“เอาล่ะ เจ้าไปเลือกของเถอะ…หลังออกมาจากคลังสำนักแล้วมาหาข้าด้วย ข้ามีเรื่องคิดบอกเจ้า”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว


 


“ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนตอบ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังคลังสำนัก


 


คลังสมบัติของสำนักนั้นจะเปิดให้ศิษย์ที่ได้อันดับต้นๆไปเลือกสมบัติอยู่หลายวันเหมือนกัน เขาที่ได้อันดับแรก ก็ได้สิทธิ์เข้าเป็นคนแรก


 


วันที่ 2 ก็เป็นสิทธิ์ของอันดับที่ 2


 


หลังจากนั้นก็ไล่ไปเรื่อยๆ


 


คลังสมบัติของสำนักจันทร์จรัสแสงตั้งอยู่พื้นที่ทางตอนเหนือของสำนัก และยังเป็นสถานที่ๆแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว เป็นหอสูงราวๆ 3 ชั้น แลดูสงบเงียบนัก


 


เบื้องหน้าหอมีชายชราในชุดผ้าโทรมๆเก่าๆคนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้ที่ปลิวร่วงลงมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ท่าทางแลดูแล้วไม่น่าจะใช่คนธรรมดา


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาใกล้ เขาก็พบว่าทุกครั้งที่ชายชรากวาด ปรากฏพลังไร้สภาพอันแยบคายควบคุมใบไม้รวมไปถึงละอองธุลีให้มีวิถีพุ่งไปควบรวมเป็นกองได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่ส่งผลให้อากาศกระเพื่อมเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย


 


‘ยอดฝีมือ!’


 


เห็นพลังฝีมือย่อยอันไม่ธรรมดานี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องมีการควบคุมพลังสูงขนาดไหน ใบหน้าเขาอดไม่ได้ที่จะเผยความยำเกรงออกมา


 


“ผู้อาวุโส”


 


ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับชายชราต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าละเลยอะไร ประสานมือคารวะทักทายไปอย่างมีมารยาท


 


“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”


 


ชายชราค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองต้วนหลิงเทียนช้าๆ หากแต่ไม้กวาดในมือยังคงกวาดต่อไป ธุลีดินทั้งใบไม้ยังคงถูกชักนำให้พุ่งไปด้วยวิถีเดิม ไม่ได้รับผลกระทบใดจากการที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาถามเขาแม้แต่น้อย


 


ฝีมือย่อยควบคุมนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทึ่งไปอีกรอบ


 


“ใช่”


 


อย่างไรเสียพอเผชิญหน้ากับคำถามของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าละเลยไม่ตอบ


 


“หืม?”


 


ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตว่าแววตาที่ชายชรามองเขาผิดแปลกไป แววตาอีกฝ่ายที่คล้ายเมฆหมอกเลื่อนลอยคล้ายมีเพลิงหนึ่งลุกวาบขึ้นมา


 


ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนถูกอีกฝ่ายมองทะลุปรุโปร่ง


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่ายากที่จะเก็บงำความลับอันใดจากสายตาชายชราได้


 


“เข้าไปเถอะ”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรู้สึกหวิวๆ ชายชราก็กล่าวออกมาอีกครั้ง และอนุญาตให้เขาเข้าไปด้านใน


 


และทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวของชายชรา ประตูคลังสมบัติของสำนักพลันเปิดอ้าออกมาทันที


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในคลังสมบัติของสำนัก


 


เมื่อข้ามผ่านประตูคลังสมบัติเข้ามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองชายชราอีกครั้ง สภาวะอีกฝ่ายคล้ายหลอมกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบ ยังให้ความรู้สึกเลือนรางดั่งหมอกควันไม่อาจจับต้อง


 


‘อาวุโสผู้นี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนคนหนึ่งของสำนัก’


 


แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในใจเขากลับปรากฏความคิดนี้ขึ้นมา


 


แต่ไม่ว่าชายชราคนนี้จะใช่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนหรือไม่ เขาก็ประทับใจอีกฝ่ายไม่น้อย


 


หลังจากที่เข้ามายังคลังสมบัติสำนักแล้ว สิ่งแรกที่เขากระทำคือติดต่อกับผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ “ผู้เฒ่าหั่วท่านลองตรวจสอบดู ว่าในนี้มีอะไรใช้ซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้บ้าง”


 


สิ่งของที่อยู่ในคลังสมบัติสำนักนั้น เก็บรักษาไว้จากรุ่นสู่รุ่น


 


สิ่งของเหล่านี้บางชิ้นก็มีรูปร่างพิลึกพิลั่นไม่น่ามอง กระทั่งยังแลดูเสมือนขยะทำให้ศิษย์ฝ่ายในที่เข้ามาไม่คิดจะเหลียวแลมันสักนิด


 


หากแต่มีผู้เฒ่าหั่วอยู่ ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กลัวว่าจะมองหาเพชรในตมไม่เจอ!


 


“เจ้าสามารถเลือกสมบัติกลับไปได้ 10 ชิ้น”


 


ทันใดนั้นเสียงผ่านปราณแท้หนึ่งก็ส่งตรงถึงหู


 


แว่บแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของชายชราที่กวาดลานหน้าหอ


 


ภายใต้สายตาเฉียบคมของผู้เฒ่าหั่ว พริบตาต้วนหลิงเทียนก็เลือกหยิบสิ่งของออกมาถึง 7 ชิ้นจากกองสมบัติที่สุมๆกันไว้


 


สมบัติทั้ง 7 ชิ้นนี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่สามารถใช้ซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ และยังเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่าที่มีในคลังสมบัติ


 


ถึงแม้จะยังมีวัตถุดิบอื่นที่สามารถใช้ซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้อยู่อีก แต่พวกมันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพดีเท่าทั้ง 7 ชิ้นที่เขาเลือกออกมา


 


“ในสามชิ้นที่เหลือ เจ้าไปหยิบของพวกนั้นมาเสีย”


 


ด้วยคำแจ้งเตือนของผู้เฒ่าหั่วต้วนหลิงเทียนก็เดินไปหยิบของ 3 ชิ้นที่ผู้เฒ่าหั่วแนะออกมา พวกมันแลคล้ายเข็มทิศไว้สำหรับการตรวจสอบฮวงจุ้ยในโลกเก่าไม่น้อย


 


แน่นอนว่ามันแค่ละม้ายคล้ายเข็มทิศฮวงจุ้ยแค่ผิวเผินเท่านั้น แต่ลักษณะรวมถึงส่วนประกอบของมันเยอะอย่างมากกว่าเข็มทิศฮวงจุ้ยมากมาย


 


“ของทั้ง 3 ชิ้นนี่มันคืออะไรหรือผู้เฒ่าหั่ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วด้วยความสงสัย


 


“เป็นจานค่ายกล”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ


 


“จานค่ายกล?”


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย “มันมีไว้ทำอะไรหรือผู้เฒาหั่ว?”


 


“เจ้าไม่รู้จักจานค่ายกล แต่เจ้าสมควรรู้จักค่ายกลใช่หรือไม่?”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถาม


 


“รู้จัก”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า สำหรับค่ายกลนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับเขา


 


ในทวีปมนุษย์ด้วยความที่เขามีความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เขาจึงมีความสามารถในการจัดตั้งค่ายกล ซึ่งจัดเป็นการประยุกต์ใช้อาคมในรูปแบบหนึ่ง


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ก็แบ่งประเภทของอาคมเป็น 3 ประเภทหลักๆ


 


ประเภทที่หนึ่งคือ อาคม จากยันต์เต๋า


 


สองคืออาคมเซียน จากการจารึกอาคมเซียน


 


ประเภทสุดท้ายคือการผนวกรวมทั้งอาคมเซียนที่เกิดจากการจารึก และพลังอาคมจากการวาดเขียนยันต์เต๋าให้สอดประสานหนุนเสริมกัน


 


ในบรรดาอาคมทั้ง 3 รูปแบบนั้น ประเภทสุดท้ายนับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด


 


“หากมีจานค่ายกลนี่ เจ้าสามารถเปิดใช้งานค่ายกลได้ทันที”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบาย “โดยปกติแล้วหากเจ้าคิดจัดตั้งค่ายกล จำต้องจารึกอาคมวุ่นวาย ทั้งต้องติดตั้งวัตถึที่จารึกอาคมดังกล่าวไว้ตามจุดต่างๆตามหลักการเกื้อหนุนของพลังงาน เรื่องนี้นับว่าต้องมีความชำนาญและเชี่ยวชาญมิใช่น้อย…แต่ทว่าหากเจ้ามีจานค่ายกล มิจำเป็นต้องมีความรู้อันใดเจ้าก็สามารถกระตุ้นใช้ค่ายกลจากจานค่ายกลได้ทันที”


 


เมื่อผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบายออกมาต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่งกว่าจะคืนสติ


 


“จานค่ายกล…ของที่สามารถทำให้เปิดใช้ค่ายกลได้ทันทีงั้นเหรอ?”


 


หลังจากดึงสติกลับมาอยู่กับตัว ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ส่องประกายสว่างวาบไปด้วยความยินดี


 


อย่างไรก็ตามวาจาประโยคถัดมาของผู้เฒ่าหั่ว ก็เสมือนน้ำเย็นราดรดศีรษะต้วนหลิงเทียน


 


“ถึงแม้จานค่ายกลทั้ง 3 ชิ้นนี่นับว่าดีไม่น้อย แต่พวกมันก็เสียหายยับเยินจนไม่อาจเปิดใช้งานค่ายกลได้อีก”


 


ผู้เฒ่าหั่วพูด


 


“ผู้เฒ่าหั่วในเมื่อมันเสียหายจนใช้ไม่ได้…แล้วข้าเอาพวกมันไปจะมีประโยชน์อะไร? ของ 3 ชิ้นที่เหลือท่านจะให้ข้าเลือกขยะนี่จริงเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขมขื่น


 


ถึงแม้ว่าจานค่ายกลจะฟังดูน่าสนใจ แต่ถ้ามันเสียหายจนใช้การไม่ได้แล้ว ยังต่างอะไรจากขยะ?


 


“ใครบอกเจ้าว่าพวกมันเป็นขยะ?”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบทันที “ข้าสามารถซ่อมแซมจานค่ายกลทั้ง 3 นี่ได้…แต่ในบรรดาพวกมันมี 2 ชิ้นที่ข้าต้องใช้เวลาซ่อมแซมไม่น้อย เพราะพวกมันเสียหายหนักนัก แต่จานค่ายกลจานสุดท้ายนั่น มิเกิน 3 เดือนข้าก็สามารถซ่อมมันได้แล้วเสร็จ”


 


“ท่านสามารถซ่อมได้?”


 


หลังได้ยินวาจาประโยคนี้ของผู้เฒ่าหั่ว ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง


 


“หากเป็นคนทั่วไป ยับเยินถึงเพียงนี้คงยากที่จะซ่อมแซมพวกมันได้อีก…อย่างไรก็ตามนับเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับข้านัก อีกทั้งจานค่ายกลทั้ง 3 นี้ก็มิได้มีประสิทธิภาพดีเลิศอะไร”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าว


 


“ไม่ใช่จานค่ายกลที่ดีเลิศ?”


 


พอได้ยินวาจาประโยคต่อมาของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหงอยไปทันที


 


“มันมิใช่จานค่ายกลที่ดีเลิศอะไรสำหรับข้า แต่สำหรับเจ้ามันมีค่าไม่น้อย…หากข้าใช้พวกมันกระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตเซียนของดินแดนนี้ ก็มิอาจทำลายทั้งต้านทานค่ายกลที่อยู่ในจานค่ายกลทั้ง 3 ได้”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบออกมาอีกครั้ง


 


“กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตเซียนของดินแดนนี้ก็ไม่อาจทำลายมันได้?”


 


ตอนนี้ความรู้สึกของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา


 


มาตอนนี้เขาค่อยนึกได้ว่าผู้เฒ่าหั่วเป็นตัวตนระดับใด


 


สำหรับผู้เฒ่าหั่วของที่ดูไม่ดีในสายตา แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


“อย่างไรก็ตามแม้จานค่ายกลพวกนี้จะซ่อมแซมฟื้นฟูจนมีสภาพสมบูรณ์ แต่พลังของค่ายกลก็ยังอิงกับพลังที่ผู้ใช้จ่ายเข้าไปอยู่ดี…หากเป็นเจ้าใช้ผลลัพธ์ย่อมมิเหมือนกันกับข้า”


 


ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและพอเข้าใจได้


 


ก็เหมือนกับตอนที่เขาจัดตั้งค่ายกลหรือข่ายอาคมอะไรก็ตามในทวีปเมฆาล่อง พลังอำนาจของพวกมันก็อิงตามหินต้นกำเนิดที่เขาใช้เป็นตัวขับเคลื่อน


 


“งั้นข้าเลือกพวกมันนี่ล่ะ”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมเชื่อมือผู้เฒ่าหั่ว เขาจึงเลือกจานค่ายกลทั้ง 3 ชิ้นนี่ทันที และในคลังสมบัติของสำนักจันทร์จรัสแสงก็มีจานค่ายกลแค่ 3 ชิ้นนี้เท่านั้น


 


ถึงแม้ว่าจานค่ายกลทั้ง 3 ชิ้นจะดูไม่ได้เตะตาอะไร แถมยังตั้งอยู่ที่มุมของคลังสมบัติ แต่พวกมันก็ถูกวางไว้ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของผู้อาวุโสสำนักจันทร์จรัสแสงในอดีต


 


เมื่อเลือกสิ่งของต่างๆครบตามกำหนดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดที่จะรั้งอยู่ในคลังสมบัติสำนักสืบไป


 


ในขณะที่ออกมาจากคลังสมบัติ ก่อนเดินทางกลับต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมที่จะกล่าวอำลาชายชราที่กวาดลานหน้าหอ อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะตรวจสอบแหวนมิติอะไรเขาเลย…


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ด้วยพลังฝีมือของชายชรา ไหนเลยยังไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเขาภายในคลังสมบัติได้? หากเขาคิดตุกติดยักยอกของเข้าแหวนมิติ ชายชราผู้นี้ต้องจับได้ทันที!


 


“ผู้เฒ่าหั่ว แล้วค่ายกลที่ติดตั้งอยู่ในจานค่ายกลนี่มันเป็นค่ายกลอะไรบ้าง?”


 


ระหว่างเดินกลับ ต้วนหลิงเทียนที่อยากรู้อยากเห้นจนทนไม่ไหวก็กล่าวถามผู้เฒ่าหั่วออกมา


 


“จานค่ายกลทั้ง 3 ชิ้นนั่น 1 ติดตั้งค่ายกลมายาหลอนประสาทเอาไว้ ส่วนอีก 2 เป็นค่ายกลโจมตีกับค่ายกลป้องกัน”


 


ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วก็ตอบกลับมาทันที

 

 

 


ตอนที่ 1523

 

สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ!


 


“ค่ายกลที่แตกต่างกันถึง 3 ชนิด!”


 


ได้ยินคำผู้เฒ่าหั่ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวทันที


 


ตอนแรกเขายังกังวลว่าค่ายกลที่ติดตั้งอยู่ในจานค่ายกลจะเป็นชนิดเดียวกันอยู่หรือไม่


 


แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะห่วงเรื่องไม่เป็นเรื่อง


 


“ผู้เฒ่าหั่ว แล้วจานค่ายกลที่ท่านสามารถซ่อมได้เร็วที่สุด มันเป็นค่ายกลอะไรเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนถามด้วยความสงสัย


 


ใจเขาลอบหวังเอาไว้เล็กๆ ว่ามันจะเป็นค่ายกลโจมตี!


 


เขาเชื่อว่าพลังโจมตีที่บังเกิดจากค่ายกลที่ผู้เฒ่าหั่วบอกว่าดีสำหรับเขา ต้องมีพลังอำนาจจู่โจมเหนือกว่าเขาลงมือเองแน่!


 


ดังนั้นเขาเลยหวังว่าจานค่ายกลที่จะซ่อมแซมได้เร็วที่สุดเป็นจานค่ายกลที่มีค่ายกลจู่โจม!


 


อนิจจาภาพฝันสวยหรูแต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก


 


“เป็นค่ายกลมายาหลอนประสาท”


 


คำตอบของผู้เฒ่าหั่วทำให้ต้วนหลิงเทียนผิดหวังนัก หากเป็นจายค่ายกลที่มีค่ายกลป้องกันเสียยังจะดีกว่า ทำไมต้องเป็นค่ายกลมายาหลอนประสาทด้วย?


 


ค่ายกลมายาหลอนประสาทก็ไม่ต่างใดจากค่ายกลลวงตาหรือค่ายกลมายาที่เขาเคยพบเจอในทวีปเมฆาล่อง สามารถใช้ภาพมายาล่อลวงเป้าหมาย


 


แต่พอคิดไปคิดมาต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเผยยิ้ม ‘เอาเถอะ เป็นค่ายกลมายาหลอนประสาทก็ดี อย่างน้อยก็สามารถใช้สร้างความสับสนให้ศัตรูได้ชั่วขณะเปิดโอกาสให้ข้าลงมือ ใครจะไปรู้มันอาจจะแก้ไขสถานการณ์วิกฤตให้ข้าก็เป็นได้’


 


สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ยินดี ที่จานค่ายกลนี้กำลังจะถูกซ่อมจนใช้ได้ในเวลาไม่นาน


 


อย่างไรเสียนี่ก็เป็นของที่เขาได้รับมาโดยไม่คาดหมาย มีไว้ก็ย่อมดีกว่าไม่มีอยู่แล้ว


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจอารมณ์ดีได้อยู่นาน


 


นั่นเพราะพอเขาเขากลับมาถึงบ้าน ป๋ายลี่หงก็แจ้งเรื่องราวหนึ่งให้เขาทราบ


 


“ครูเกือบถูกหลิวฮ่วนฆ่าตายงั้นเหรอ!?”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันใด ลูกตายังเผยประกายดุร้ายเลือดเย็น “หลิวฮ่วนมันไปลงมือกับอาจารย์เพราะทำอะไรข้าไม่ได้สินะ”


 


“ศิษย์น้อง ข้ายังคิดว่าเป็นหลิวฮ่วนที่ไปจ้างนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานให้มาสังหารเจ้า…”


 


ป๋ายลี่หงคาดเดา


 


“เป็นไปได้สูง”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับกล่าวออกเสียงเข้ม ประกายที่วูบวาบในแววตายิ่งมายิ่งเย็นเยียบ


 


“ฮึ่ม! ข้าคิดว่าหลิวฮ่วนนั่นมันจะสำเหนียกตัวหลังจากข้าไปหามัน…ไม่คิดว่ามันจะเสแสร้งแต่เพียงผิวเผิน กลับกล้าลงมืออุกอาจเช่นนี้! ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยมันไปแน่!!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกเสียงเย็น แววตาเผยจิตสังหาร


 


บางทีกระทั่งตัวหลิวฮ่วนเองก็คงคิดไม่ถึง ว่าความสำคัญของต้วนหลิงเทียนในใจป๋ายลี่หงจะสูงขนาดนี้


 


ถึงขั้นที่ป๋ายลี่หงคิดฆ่าหลิวฮ่วนทิ้ง เพราะหลิวฮ่วนไปพยายามฆ่าฟางฮุ่ย รวมถึงสงสัยว่ามันน่าจะเป็นคนที่จ้างนักฆ่าของตลาดมืดหยินชานให้มาเล่นงานต้วนหลิงเทียน


 


หากหลิวฮ่วนรู้เรื่องนี้ หลังออกจากเมืองชงซันแล้วมันคงไม่กล้าย้อนมาสำนักจันทร์จรัสแสงอีก


 


“ศิษย์พี่อย่าห่วงไป เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม ยังเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจับใจ แววตาไร้อารมณ์ใดๆแม้แต่น้อย


 


หลิวฮ่วนนับว่าแตะขีดจำกัดล่างของเขาแล้วจริงๆ


 


“ข้าเข้าใจ”


 


เมื่อเห็นใบหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงก็เข้าใจได้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดอะไรอยู่ เมื่อรู้ดีว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแล้วมันจึงได้แต่พยักหน้ารับ


 


“จริงสิ ตอนนี้ฟางฮุ่ยเองก็อยู่ที่ฝ่ายนอก เจ้าต้องการพบหรือไม่?”


 


ป๋ายลี่หงบอกต้วนหลิงเทียน


 


“ครูอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนส่องแสงสว่างวาบ เขาลาป๋ายลี่หงและออกจากฝ่ายในไปฝ่ายนอกเพื่อพบฟางฮุ่ยทันที


 


เมื่อเห็นฟางฮุ่ย ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงเป็นแบบเดิม เรียกหาอีกฝ่ายว่าครูเหมือนกาลก่อน


 


“ตอนนี้เจ้าเป็นถึงศิษย์น้องของท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่แล้ว เจ้ามิอาจเรียกหาข้าว่าครูได้อีกต่อไป…ผู้อื่นจะมองเจ้าไม่ดีหากมาได้ยินเรื่องนี้”


 


ได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ใบหน้าฟางฮุ่ยก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที


 


“พวกมันจะมองจะพูดอะไรก็ช่างหัวพวกมันเถอะ ท่านยังคงเป็นครูของข้าและมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยความจริงจัง


 


“สองอย่างในชีวิตที่ข้าภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติสูงสุดนั้นคือได้รับเจ้าและซูฉีเป็นศิษย์!”


 


ฟางฮุ่ยกล่าวออกด้วยมวลอารมณ์ท่วมท้นใจ


 


“ซูฉี?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


 


ซูฉีไม่ใช่ว่าทรยศฟางฮุ่ยหรือไร? ไฉนฟางฮุ่ยถึงกล่าวว่าเป็นเกียรติและภาคภูมิใจ?


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ฟางฮุ่ยก็รู้ได้ทันทีว่าในใจต้วนหลิงเทียนคิดอะไร


 


หลังจากนั้นฟางฮุ่ยก็กล่าวเรื่องที่ซูฉีแสร้งทรยศหักหลัง เลือกเดินบนหนทางอัปยศและโดดเดี่ยวเพื่อตั้งใจล้างแค้นให้มัน นอกจากนี้ยังเล่าถึงเรื่องที่ซูฉีสละชีวิต จนตายตกคามือหลิวฮ่วนออกมา


 


หลังจากฟังวาจาของฟางฮุ่ยแล้ว ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทันที


 


ซูฉีนับว่าได้ทำเพื่อครูของเขาอย่างมาก!


 


ขณะนี้กระทั่งเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะละอายใจ


 


“ซูฉี เป็นข้าผิดที่มองเจ้าผิดไปวันนั้น…เจ้าหลับพักผ่อนให้สบายเถอะ ข้าจะชำระหนี้เลือดให้เจ้า!”


 


ต้วนหลิงเทียนแหงนมองฟ้าไปยังทิศตะวันตกค่อยกล่าวพึมพำออกมา วาจายังเต็มไปด้วยความแน่วแน่


 


“ครู ท่านไม่ควรกลับไปเมืองชงซันแล้ว…ข้าจะไปบอกอาวุโสตงฟางให้ท่านอยู่ที่นี่”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออก


 


อาวุโสตงฟางที่เขาเอยถึง ย่อมเป็นตงฟางเฉียน อาวุโสสูงสุดฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสง


 


“มิต้อง”


 


ฟางฮุ่ยส่ายหัวและปฏิเสธความหวังดีของต้วนหลิงเทียน “ข้าคุ้นชินกับเมืองชงซันและอยู่มาหลายปีแล้ว…เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้า เพราะมีคนที่อาวุโสป๋ายลี่ส่งมาคุ้มครองข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยถามสืบต่อ “แล้วครูจะกลับเมืองชงซันตอนไหนหรือ? ข้าจะได้ไปส่ง”


 


“ที่ข้ามานี่เพียงคิดพบหน้าเจ้าสักครั้ง ในเมื่อตอนนี้ได้พบแล้วข้าก็กลับไปได้อย่างหมดห่วง”


 


ฟางฮุ่ยกล่าว


 


“งั้นท่านค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้เถอะ ข้าจะไปส่งท่านเอง”


 


ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดเล็กน้อยค่อยตอบกลับไป


 


ใจเขาเองก็มีแผนจะกลับไปยังเมืองชงซันเพื่อพบเจอคนที่ไม่เห็นกันนาน ก่อนที่จะปิดด่านบ่มเพาะ เพื่อทะลวงไปยังขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ


 


หลังจากที่ทะลวงถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขาก็จะออกเดินทางออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง เพื่อกลับเกาะป้านเยว่


 


“ดี!”


 


ฟางฮุ่ยเห็นด้วย


 


เช้าวันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เดินทางกลับเมืองชงซันพร้อมฟางฮุ่ย โดยมีอีกคนที่ติดตามมาอีกคนก็คือป๋ายลี่หง


 


เหตุผลที่ป๋ายลี่หงติดตามมาด้วยล้วนเป็นเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน


 


ด้วยมีป๋ายลี่หงมาด้วย การเดินทางกลับเมืองชงซันของต้วนหลิงเทียนจึงราบรื่นนัก


 


เมื่อได้รับรู้ว่าฟางฮุ่ยกลับเมืองชงซันไปพร้อมต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หง สีหน้าหลิวฮ่วนถึงกับบิดเบี้ยวเหยเก “ไอพวกตลาดมืดหยินชานมันมัวทำบ้าอะไรอยู่กันแน่? ไฉนถึงพลาดโอกาสดีที่จะสังหารต้วนหลิงเทียนในการแข่งขันล่าสัตว์ได้?”


 


“หวังว่าครั้งนี้พวกมันจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังอีก!”


 


หลิวฮ่วนคิดไปว่าคนของตลาดมืดหยินชานคงไม่รู้ข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไปเข้าแข่งขันล่าสัตว์ จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนยังมีชีวิตอยู่


 


หากหลิวฮ่วนได้รับทราบว่า ตลาดมืดหยินชานได้เพิกถอนภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนไปแล้ว ไม่รู้มันจะทำหน้าอย่างไร…


 


กลับไปยังเมืองชงซันครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเวลามันผ่านไปไวนัก


 


ครั้งนี้ที่กลับไปยังเมืองชงซัน เขาก็อยากพบเจอพี่ใหญ่อย่างหงอวี่รวมถึงเด็กน้อยอย่างซือซือ


 


ไม่กี่วันหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป ฟางฮุ่ยก็พาหงอวี่กับซือซือเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนเจ้าเมือง นี่ทำให้ตำแหน่งของหงอวี่สูงขึ้นอีกครั้ง และได้มีโอกาสที่จะพบเจอระดับสูงๆของเมืองชงซัน


 


หงอวี่รู้ดีแก่ใจว่าโอกาสอันดีนี้เป็นต้วนหลิงเทียนมอบให้


 


หาไม่แล้วเรื่องแบบนี้คงยากที่จะเกิดขึ้นกับหัวหน้ากองรักษาการณ์ในเมืองอย่างมัน


 


ขณะเดียวกันพรสวรรค์ของเด็กสาวตัวน้อยอย่างซือซือในฐานะผู้ฝึกสัตว์ก็เปล่งประกายออกมาไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนจึงกำชับเรื่องนี้กับฟางฮุ่ยก่อนที่จะจากมา และหวังให้ฟางฮุ่ยส่งเสริมนางในเรื่องนี้อย่างดี


 


ฟางฮุ่ยแน่นอนว่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก


 


อีกทั้งมันก็เอ็นดูเด็กสาวแก้มชมพูแลดูสดใสไม่น้อย


 


ในขณะที่เดินทางออกจากเมืองชงซันพร้อมป๋ายลี่หง ในใจต้วนหลิงเทียนปรากฏร่างสตรีนางหนึ่งขึ้นมา เป็นสตรีที่เข้าสู่ค่ายมังกรซ่อนของจวนเจ้าเมืองชงซันพร้อมกันกับเขา นางเป็นคนจิตใจดีและกล้าหาญนัก ยังมีความเด็ดเดี่ยวเหนือกว่าบุรุษทั่วไปเสียอีก


 


อย่างไรก็ตามการกลับมาเมืองชงซันรอบนี้ เขาก็ไม่ได้ไปหานางในฐานะสหายเก่าแต่อย่างไร เพียงฝากเรื่องราวไว้กับฟางฮุ่ย ให้ดูแลนางอย่างดี


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนคนเดิมอีกต่อไป ฟางฮุ่ยแน่นอนว่าไม่คิดลังเลหรือปฏิเสธคำขอของเขา


 


ถึงแม้มันจะเป็นครูของต้วนหลิงเทียนแต่เพียงในนาม แต่ความสำคัญของต้วนหลิงเทียนในใจมันก็สูงนัก


 


หลังจากกลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสงพร้อมป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนก็แจ้งเรื่องปิดด่านฝึกฝนกับอีกฝ่าย เพื่อที่จะทะลวงไปยังขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ…


 


แน่นอนว่าการทะลวงขีดขั้นย่อมมีอุปสรรคไม่ใช่น้อย วันใดที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถึงจุดรอคอย เขาก็จะหยุดบ่มเพาะ หันไปฝึกฝนวรยุทธ์เซียนแทน


 


ต้วนหลิงเทียนที่ใช้วันเวลาฝึกปรือบ่มเพาะในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่นานก็ฝึกพิรุณดาวตกให้บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิได้ในที่สุด


 


“พิรุณดาวตกบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิแล้ว…ตอนนี้ข้าจะได้เริ่มฝึกวรยุทธ์ป้องงกันเพียงหนึ่งเดียวของมหาเกาทัณฑ์ดาวตกเสียที ระฆังศรคลุมกาย!”


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง วันที่เขาเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึง


 


ระฆังศรคลุมกายเป็นเคล็ดป้องกันหนึ่งเดียวของวรยุทธ์เซียนมหาเกาทัณฑ์ดาวตกที่เป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่น พลังอำนาจของมันย่อมเหนือกว่าวรยุทธ์ป้องกันอื่นๆในระดับนี้ไปมาก


 


การฝึกฝนจึงนับว่ายากเย็นไม่น้อย


 


หลังจากที่เริ่มฝึกฝนระฆังศรคลุมกาย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้เสียทีว่าทำไมต้องฝึกพิรุณดาวตกให้บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิเสียก่อน


 


นั่นเพราะระฆังศรคลุมกายนั้น จะถูกสร้างขึ้นจากพิรุณดาวตก!


 


กล่าวให้ชัดมันจะถูกสร้างขึ้นจากพิรุณดาวตกที่บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ!


 


ดอกศรจากเคล็ดพิรุณดาวตกจำนวนมหาศาล จะถูกควบคุมให้หมุนวนรอบตัวต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูงล้ำ ก่อเกิดเป็นม่านศรป้องกัน แม้จะพึ่งฝึกฝนได้ไม่นานแต่ความสามารถในการป้องกันของมันก็อยู่เหนือวรยุทธ์เซียนสายป้องกันระดับมนุษย์โดดเด่นไปมาก


 


และเพราะต้วนหลิงเทียนเฝ้ารอที่จะฝึกระฆังศรคลุมกายมาแสนนาน รวมถึงพลังในการป้องกันมันก็เลิศล้ำ เขาจึงทุ่มเทให้มันเป็นพิเศษ


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ฝึกฝนระฆังศรคลุมกาย ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมที่จะบ่มเพาะพลังแต่อย่างใด


 


ในที่สุดหลังจากที่เขาใช้เวลา 4 เดือนในโลกภายนอก หรือ 20 เดือนภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็ทะลวงจุดรอคอยสุดท้าย ตัดผ่านไปถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ!


 


“ทะลวงผ่านแล้ว!”


 


หลังจากที่ด่านพลังตัดผ่าน ต้วนหลิงเทียนที่นั่งหลับตาบ่มเพาะพลัง ก็ค่อยๆเปิดตาขึ้นมา ใบหน้าเผยยิ้มสดใสไม่น้อย “ได้เวลาเดินทางออกจากสำนักกลับเกาะป้านเยว่เสียที”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)