War sovereign Soaring The Heavens 1487-1490

 ตอนที่ 1487

 

ภูเขาจิ่วฉี


 


เมื่อชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติฟื้นฟูเสร็จสิ้น หมายความว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับพื้นที่บ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม


 


จากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้


 


สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ดีกว่าชั้น 2 มาก อีกทั้งด้วยอัตราการไหลของเวลาที่ช้าลง นับเป็นความช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ของต้วนหลิงเทียน


 


‘เมื่อซ่อมแซมฟื้นฟูชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้สำเร็จ…ต่อไปก็เป็นการเริ่มซ่อมแซมฟื้นฟูชั้นที่ 4..และทันทีที่ซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 4 ได้ ผู้เฒ่าหั่วบอกว่ามิติภายในเจดีย์จะมีเสถียรภาพ!’


 


ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด ลูกตาเผยประกายวาวโรจน์


 


หากพื้นที่ทั้งมิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีเสถียรภาพ…นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้มันเพื่อหลบซ่อนตัวได้ ยามเมื่อชีวิตเขาตกอยู่ในห้วงคับขันเป็นตาย!


 


เสมือนเรื่องในวันนี้


 


โชคดีที่ชายในชุดคลุมลมดำนั่นมันเป็นผู้ฝึกมาร ไม่งั้นเขาได้ตายแน่!


 


หากพื้นที่และมิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีเสถียรภาพแล้วล่ะก็ ต่อให้ชายในชุดคลุมลมดำไม่ใช่ผู้ฝึกมาร เขาก็ไม่ต้องกลัวมัน


 


เพราะเขาสามารถซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และย่อส่วนมันให้เล็กลงเท่าละอองคลี หลบเร้นสายตาของมันได้ไม่ยาก!


 


พอชายในชุดคลุมลมดำจากไป เขาก็ค่อยโผล่ออกมาอีกครั้ง


 


การซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้สำเร็จ เป็นก้าวแรกเพื่อซ่อมแซมชั้น 4


 


ตอนนี้พอทราบว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สามารถซ่อมแซมได้สมบูรณ์แน่แล้ว ใจต้วนหลิงเทียนย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี


 


“ผู้เฒ่าหั่วท่านเริ่มซ่อมแซมเจดีย์เลยเถอะ…ข้าจะออกเดินทางต่อ พอถึงเมืองหานเหอ ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติน่าจะเสร็จให้ข้าเข้าไปบ่มเพาะพอดี!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วด้วยความตื่นเต้น


 


ผู้เฒ่าหั่วตอบรับและเริ่มต้นทำงานทันที


 


ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะวางวัตถุดิบทั้งหมดในแหวนเอาไว้บนพื้นแบบนั้น และออกจากเจดีย์เพื่อเดินทางไปยังเมืองหานเหอต่อ


 


หลังจากถูกขัดขวางจากหวงเฉิงและชายในชุดคลุมลมดำแล้ว การเดินทางที่เหลือของต้วนหลิงเทียนก็ราบรื่นเสมือนล่องเรือในทะเลสาบสงบ


 


ครึ่งเดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนก็มาถึงพื้นที่แนวเทือกเขาใกล้ๆเมืองหานเหอแล้ว


 


ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมายังเมืองหานเหอนั้น เขาได้ศึกษาจนรู้ตำแหน่งที่ตั้งของมัน รวมทั้งพื้นที่รอบๆเป็นอย่างดี


 


“ที่นี่สมควรเป็นภูเขาจิ่วฉีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหานเหอสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างบนฟ้า เหลือบมองไปยังภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวเป็นแนวยาวเบื้องหน้า


 


ภูเขาลูกนี้มหึมานัก แนวเขายังทอดตัวยาวออกไปนับพันๆลี้ ยากจะมองเห็นจุดสิ้นสุด หากคิดจะไปเมืองหานเหอจำเป็นต้องข้ามเขาลูกนี้ไป


 


‘กล่าวกันว่าแรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีนั้นสูงกว่าพื้นที่ทั่วไปอยู่มาก…กระทั่งตัวตนในขอบเขตสู่เซียนก็ยากที่จะเหินบินได้อย่างเสรี’


 


นี่คือความเข้าใจต่อภูเขาจิ่วฉีที่ต้วนหลิงเทียนมี


 


“ไม่รู้ว่าจะจริงรึเปล่า”


 


มองไปยังขุนเขาใหญ่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็สงสัยไม่น้อย เริ่มบินเข้าไปทันที


 


เขาเองก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าแรงโน้มถ่วงของภูเขาจิ่วฉีที่ว่า จะมากมายขนาดไหน!


 


อย่างไรก็ตามเพียงเข้าใกล้เขตภูเขา ไม่ทันที่จะถึงตีนเขาด้วยซ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลในอากาศ แรงกดดันดั่งกล่าวทำให้เพดานบินของเขาดิ่งวูบลงมาทันที


 


แรงกดดันนี้เสมือนแรงกดดันในอาคมห้ามบินอยู่บ้าง ทว่ายังมีความต่างจากอาคมห้ามบินไม่น้อย


 


อาคมห้ามบินนั้น หากพลังฝึกปรือไม่ถึงขอบเขตที่กำหนดไว้ จะไม่สามารถเหินบินได้เลย


 


ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนเพียงบินด้วยเพดานบินต่ำเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นบินไม่ได้


 


“ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาจิ่วฉีนั่นแรงกดดันยิ่งมีมาก…ดูเหมือนแรงโน้มถ่วงในเขาจะไม่ใช่เล่นๆซะแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะลงไปเดินยังภาคพื้นดินเมื่อเข้าใกล้ตีนเขาของภูเขาจิ่วฉี ถึงแม้ว่าเขาจะยังพอบินได้ แต่เพดานบินก็ไม่สูงอะไร ทั้งยังลำบากยากเย็นนัก เพราะไม่อาจประคองร่างในอากาศได้นาน!


 


ตอนนี้หากคิดจะบินก็ไม่ต่างอะไรจากหาเรื่องท้าทายแรงดึงดูดของภูเขาจิ่วฉี!


 


แรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีนั้นเป็นพลังอำนาจของธรรมชาติ จำต้องมีพลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะพอเพิกเฉยมันได้


 


ต้วนหลิงเทียนยังไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว


 


‘ดูเหมือนว่าคิดข้ามภูเขาจิ่วฉีนี่ข้าคงทำได้แค่เดินเท้าอย่างเดียว…ได้ยินว่าป่าบนเขาเองก็มีสัตว์ร้ายมากมาย กระทั่งสัตว์เซียนที่มีพลังฝึกปรือสูงเกินสู่เซียนขั้นต้น…ต้องระวังหน่อยแล้ว’


 


ก่อนจะเดินเข้าไปในภูเขาจิ่วฉีเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นตัวขึ้นมา


 


เบื้องหน้ามีหนทางสายหนึ่งที่ทอดยาวไปในภูเขาจิ่วฉี ทันทีที่ย่ำเท้าลงบนเส้นทางเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งทันที


 


และยิ่งเข้าไปมากเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น


 


‘แต่ละก้าวต้องใช้พลังอยู่บ้าง’


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจ


 


เขาเพียงแค่รู้มาว่าแรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีแข็งแกร่ง แต่ไม่รู้เลยว่ามันหนักหนาขนาดไหน มาตอนนี้พอได้เจอกับตัว เขาถึงได้รู้ว่าเขาประเมินแรงดึงดูที่นี่ต่ำไปกว่าที่เป็นจริงอยู่บ้าง


 


‘แรงโน้มถ่วงมากขนาดนี้…นอกจากสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะมีใครเหินบินในเขตภูเขาได้ดั่งใจ’


 


หลังจากตระหนักถึงแรงโน้มถ่วงในภูเขา ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ


 


แน่นอนว่าหากเขาใช้ยันต์เทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว เขาสามารถวิ่งข้ามเขาได้ปร๋อ กระทั่งจะเหินบินผ่านไปก็ทำได้ไม่ยากเย็น แต่เขาไม่คิดจะทำแบบนั้น


 


เว้นแต่จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจริงๆ เขาไม่คิดจะใช้ยันต์เต๋าระดับ 3 ดาวพร่ำเพรื่อ


 


ภูเขาจิ่วฉีลูกนี้ไม่เพียงแรงโน้มถ่วงสูงเท่านั้น แต่ยังมีอันตรายอีกมากมายหลายประการ


 


อันตรายที่ว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นสัตว์ร้าย!


 


สัตว์ร้ายในภูเขาจิ่วฉี พวกมันอยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่เกิด ย่อมคุ้นชินกับแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งดี!


 


เรียกว่าถึงแม้พวกมันเองก็ได้รับผลจากแรงโน้มถ่วงที่สูงของภูเขาจิ่วฉีมาแต่เกิด ทว่านั่นเสมือนการเคี่ยวกรำพวกมันตามธรรมชาติ!


 


การที่มันอยู่รอดมาได้ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายแบบนี้ หมายความว่าในระดับเดียวกัน สัตว์ร้ายที่นี่จะแข็งแกร่งเหนือกว่าสัตว์ร้ายด้านนอก!


 


ดังนั้นการเดินทางในภูเขาจิ่วฉี ต้วนหลิงเทียนจึงไม่กล้าละวางความระวัง คอยสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างตื่นตัวตลอดเวลา


 


“ฮู่มมมมมมม!!”


 


เสียงคำรามของสัตว์ร้ายหนึ่งดังก้องมาในอากาศ สัตว์ร้ายชนิดหนึ่งที่แลไปคล้ายเสือโคร่งกระโจนออกมาจากแนวป่าไผ่ มันพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้าย ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง เผยน้ำลายยืดย้อยตามเขี้ยวแหลมคม!


 


ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนถึงกับสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนขุมหนึ่งพุ่งตีปะทะใบหน้า!


 


และพร้อมๆกันกับคลื่นความร้อนดังกล่าว ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยเตะจมูกอย่างแรง!


 


“หาที่ตาย!”


 


หน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขรึมขึ้นทันใด ดาบใหญ่พันทวีปรากฏขึ้นจากความว่างเข้ามือ เหวี่ยงฟาดไปยังสัตว์ร้ายที่อ้าปากกว้างพร้อมกระโจนเข้ามาอย่างหิวโหยดังกล่าวทันที!


 


อาคมเซียนพันทวีที่จารึกอยู่บนดาบถูกเปิดใช้!


 


ประทับไท่ซาน!


 


ยามต้วนหลิงเทียนเหวี่ยงดาบใหญ่ออกไป ให้สภาวะประหนึ่งขุนเขามหึมาถล่มลง เขาฟาดร่างสัตว์ร้ายนั่นอย่างแรง ยังกดดาบใหญ่ทับร่างมันเอาไว้ติดดิน!


 


“อ๋าวววูววว”


 


สัตว์ร้ายที่ถูกดาบใหญ่ฟาดจนเปลี้ยไปกับดิน ถลึงตาดุร้ายสีแดงฉานมองต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง ร่างของมันยังพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการกดทับของดาบใหญ่ในมือต้วนหลิงเทียน!


 


ร่างมันพลิกซ้ายทีขวาทีทั้งดิ้นพล่านไม่หยุด ราวกับจะพยายามหลุดรอดจากการกดดับนี้ให้ได้!


 


“อยากลุกขึ้นงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้ม “อยากลุกนักข้าจัดให้!”


 


กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ยกดาบใหญ่พันทวีขึ้นอย่างฉับไว!


 


ทันใดนั้นลูกตาสัตว์ร้ายคล้ายจะทองแสงสว่างเรื่อ มันเร่งตะเกียกตะกายหมายลุกขึ้นยืนทันที


 


ประทับไท่ซาน!


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไหนเลยให้มันยืนได้ง่ายๆ ดาบใหญ่ที่ยกขึ้นก่อนหน้ากลับกลายเป็นการง้างสุดเหยียด ฟาดฟันลงมาอีกรอบด้วยวรยุทธ์จู่โจมอันแข็งกร้าว! ดาบใหญ่เปี่ยมภาวะสังหารฟาดลงมาปานเขาถล่ม!!


 


ตึงงงง!!


 


ร่างสัตว์ร้ายดังกล่าวถูกดาบใหญ่ทุบเข้าอย่างจังจนกระดูกสันหลังแหลกเหลว ทำได้แค่ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น อวัยวะภายในป่นปี้หมดสิ้น ขาดใจตายไปทั้งอย่างนั้น…


 


หากแต่ลูกตาดุร้ายดวงเขื่องสีแดงฉานยังจ้องมองมาทางต้วนหลิงเทียน คล้ายมันไม่ได้ตายอย่างสงบ!


 


‘สัตว์ร้ายตัวนี้อย่างดีพลังฝึกปรือก็แค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ…แต่พลังของมันกลับเทียบๆได้กับสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ! สัตว์ร้ายในภูเขาจิ่วฉีนับว่าร้ายกาจสมคำร่ำลือนัก!’


 


การฆ่าสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนภาคภูมิใจอะไร กลับกันสีหน้ายังกลายเป็นจริงจังขึ้นมา


 


นี่เป็นแค่สัตว์ร้ายตัวแรกที่เขาพบในภูเขาจิ่วฉี…


 


หากเดินลึกเข้าไปในเขา น่ากลัวว่าจะต้องเจอสัตว์ร้ายที่มีความแข็งแกร่งสูงกว่านี้มากแน่นอน!


 


เช่นนั้นแล้วต้วนหลิงเทียนจึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้นหลายส่วน!


 


ระหว่างเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ได้สังหารสัตว์ร้ายขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์เชี่ยวชาญกับหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบไปอีกไม่กี่ตัว


 


ส่วนสัตว์ร้ายที่มีระดับหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่นั้น หากเลือกที่จะเลี่ยงได้ ต้วนหลิงเทียนก็จะเลี่ยงพวกมัน ไม่อยากไปปะทะด้วยอย่างไม่จำเป็น


 


จะอย่างไรเสียสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ในป่าบนภูเขาจิ่วฉีแห่งนี้ มันก็อยู่ที่นี่มาแต่เกิด เกรงว่าหากเขาคิดจะฆ่ามันก็จำต้องลงมืออย่างจริงจังไม่น้อย


 


และหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริงๆ แน่นอนว่าย่อมสร้างความปั่นป่วนจนก่อให้เกิดเสียงดังวุ่นวาย


 


ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นเตือน และเรียกหาสัตว์ร้ายตัวอื่นมาอย่างไม่จบสิ้น กระทั่งอาจจะเจอสัตว์ร้ายที่ทรงพลังขึ้นมา


 


ดังนั้นถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจว่าหากปะทะกันจริงๆ เขาสามารถสังหารสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ได้แน่ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเสี่ยงปะทะกับมันให้วุ่นวาย


 


สัตว์ร้ายที่เขาไม่หลีกเลี่ยงและเลือกที่จะสังหารนั้น ส่วนมากจะเป็นสัตว์ร้ายที่เขาลงมือฆ่ามันได้ในกระบวนเดียวทั้งสิ้น


 


แน่นอนว่าการฆ่าในกระบวนเดียวนี้ ยังไม่ได้ใช้เกาทัณฑ์ดับตะวัน


 


ด้วยอาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่จารึกอยู่บนเกาทัณฑ์ดับตะวัน ต่อให้เป็นสัตว์ร้ายขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ในภูเขาจิ่วฉี เขาก็มั่นใจว่าสามารถสังหารมันได้ในดอกเดียว!


 


อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอาคมเพลิงระเบิดนั้นเสียงดังเกินไป เขาไม่อยากจะใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ


 


ดังนั้นตลอดการเดินทางบนภูเขาจิ่วฉีจึงพยายามเดินทางอย่างเงียบๆ อาศัยความสามารถในการจับสัมผัสข้ามเขาไปอย่างราบรื่น


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่เดินไปตามทางสายหนึ่ง พลันโค้งคิ้วขึ้นด้วยคล้ายจับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เบื้องหน้าเหมือนจะมีคลื่นพลังสะท้อนแผ่พุ่งออก ทั้งมีเสียงดังปงปังจากการประมือ


 


พอลอบเข้าไปชมดูเรื่องราวใกล้ๆ ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายชราคนนึ่งกำลังปะทะรับมือสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอย่างดุเดือด!


 


ไม่ว่าจะเป็นชายชราหรือสัตว์ร้าย ตามเนื้อตัวก็มีบาดแผลเลือดโชก เห็นได้ชัดว่าต่างได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่!


 


อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดหยุด ต่างยังลงมือเข้าใส่กันไม่หยุดพัก ราวกับต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ตายให้จงได้!


 


นอกจากร่างชราที่ปะทะกับสัตว์ร้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นร่างอีก 2 ร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกล


 


อย่างไรก็ตามร่างหนึ่งกับเป็นสตรีที่แลดูค่อนข้างน่ารัก ด้านบุรุษนั้นแม้ใส่เสื้อผ้าหรูหรามีราคาแต่หน้าตากลับแลดูธรรมดาดาษดื่น


 


เพียงมองจากการแต่งกายของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีคู่นี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา น่าจะมาจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยสักตระกูล


 


“ผู้เฒ่าผิงนั้นน่าชื่นชมยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญของสกุลโอวหยาง…กระทั่งปะทะกับสัตว์ร้ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญตัวนี้ได้…จักอย่างไรนี่ก็เป็นสัตว์ร้ายที่เติบโตมาในภูเขาจิ่วฉี พลังของมันนับว่าร้ายกาจกว่าสัตว์ร้ายที่อื่นมากนัก”


 


ชายหนุ่มกล่าวชื่นชมออกมา


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”


 


คิ้วสตรีนางนั้นเชิดขึ้น ความเย่อหยิ่งแผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้ว “มรดกของตระกูลโอวหยางเรา แม้จักกวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองหานเหอ ก็ยังนับเป็นอันดับต้นๆ!”

 

 

 


ตอนที่ 1488

 

อี้เทียนสิง


 


จังหวะที่ได้ยินวาจานี้ของสตรีนางนั้น แววตาของบุรุษหนุ่มทอประกายเย็นเยียบออกมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปในชั่วพริบตา


 


ทว่าแววตาเย็นเยียบนั่น…ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นได้ชัดถนัดตา!


 


‘ไม่ใช่ว่าพวกมันมาด้วยกันรึไง ทำไมถึงแลดูไม่ค่อยลงรอยกันล่ะ?’


 


ต้วนหลิงเทียนรู้สึกงุนงงด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์


 


ตอนนี้เองในที่สุดสัตว์ร้ายด่านพลังสูเซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ถูกเฒ่าชราด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญเช่นกันสังหารลงได้สำเร็จ


 


มือของผู้ชราถือไว้ด้วยดาบ 3 ฉื่อที่เสือกแทงหว่างคิ้วสัตว์อสูรตัวนั้นไปมิดเล่ม! ยังพุ่งร่างหอบหิ้วร่างสัตว์ร้ายที่ถูกทะลวงหว่างคิ้วไปปักคาไว้กับต้นไม้ใหญ่ ร่างสัตว์ร้ายแม้สิ้นชีวิตไปแล้วหากทว่ายังคงกระตุก มันดิ้นกระแด่วๆอีกพักหนึ่งค่อยแน่นิ่ง พาลให้ไม้ใหญ่ถึงกับสั่นไหว ใบไม้ร่วงโปรยลงมาดั่งห่าพิรุณ…


 


“ผู้เฒ่าผิง ท่านร้ายกาจที่สุด!”


 


สตรีแย้มยิ้มค่อยเดินไปหาชายชราด้วยใบหน้าตื่นตาตื่นใจ


 


“อ๊อคค!”


 


ทว่าทันทีที่สตรีนางนั้นเดินถึงเบื้องหน้าชายชรา ใบหน้าของชายชราก็แดงเรื่อคล้ายอึดอัด สุดท้ายค่อยกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ร่างสั่นสะท้านยืนแทบไม่อยู่ทรุดลงไปนั่งชันเข่ามือที่ปักดาบลงพื้นค้ำยันตัวสั่นระริก เห็นชัดว่ามันบาดเจ็บสาหัสนัก!


 


“ผู้เฒ่าผิง! ท่านบาดเจ็บหรือ!?”


 


หน้าสตรีถึงกับถอดสีทันใด ยังกล่าวถามคำถามเหลวไหลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง


 


สตรีนางนี้คงไม่คิดว่าเฒ่าชรานั่น พ่นเลือดเพราะนึกสนุกหรอกนะ?


 


ช่างเลอะเลือนนัก!


 


นี่คือความเห็นแรกของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อสตรีนางนั้น


 


“คุณหนูรอง…พวกเรารีบกลับไปยังเมืองหานเหอกันเถอะ”


 


ชายชราพยายามเงยหน้าขึ้นมากล่าวคำกับสตรีนางนั้นอย่างยากลำบาก


 


“อื้อ พวกเรารีบกลับ!”


 


สตรีนางนั้นพยักหน้ารับอย่างรีบร้อน ค่อยหันไปมองบุรุษในชุดหรูหรากล่าวออกพร้อมขมวดคิ้ว “อี้เทียนสิง เจ้ายังยืนทำอะไรของเจ้าอยู่อีก! ใยมิรีบมาช่วยท่านผู้เฒ่าผิงเล่า!?”


 


“ข้าไปแล้วๆ”


 


บุรุษหนุ่มในชุดหรูหรายิ้มรับแหยๆ ค่อยๆก้าวเดินไปยังชายชราที่ถูกสตรีนางนั้นดูอาการ


 


ทว่าทันใดนั้นเอง มันกลับหยุดลงสีหน้าแววตาของมันยังกลับกลายเป็นเย็นชา เผยจิตมุ่งร้ายออกมาชัดเจน


 


“โอวหยางผิง”


 


อี้เทียนสิงพลันตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้สตรีนางนั้นตกใจไม่น้อย


 


โอวหยางผิงที่ชันเข่าข้างหนึ่งเพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองอี้เทียนสิงตามคำเรียกอย่างงุนงง


 


ทว่าทันทีที่มันเห็นอี้เทียนสิงยกมือขึ้นเรียกมีดเล่มหนึ่งมาถือไว้ สีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันใด แววตาเผยความร้อนรนไม่น้อย


 


เพราะตอนนี้ถึงแม้พลังฝึกปรือของมันจะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ทว่าตอนนี้มันอ่อนแอไร้กำลังหลังจากรบกับสัตว์ร้ายจนบาดเจ็บ!


 


ในกาลก่อนมันไม่เคยกลัวบุรุษหนุ่มในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นผู้นี้เลย ทว่าหากอีกฝ่ายลงมือตอนนี้ ก็สุดที่มันจะต้านทานรับได้จริงๆ!


 


ฉัวะ! กลุกกลักๆ


 


ศีรษะของโอวหยางผิงถูกสะบั้นจนกลิ้งตกพื้นพร้อมตาเบิกกว้างด้วยรังสีพลังสะบั้นจากมีด! ของเหลวสีแดงฉานพุ่งออกมาจากคอที่ไร้หัวดั่งน้ำพุ กระจายราดรดไปทั่ว!


 


พาลให้บรรยากาศส่งกลิ่นคาวคลุ้งขึ้นมาทันที


 


“อี้เทียนสิง! เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า! นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร!?”


 


สุดท้ายสตรีที่ตะลึงงันก็ค่อยได้สติ นางมองเรื่องราวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “จะ…เจ้ากล้าฆ่าผู้เฒ่าผิงได้อย่างไร เจ้าตายแน่! เรื่องนี้ต่อให้บิดาเจ้าออกหน้า เจ้าก็ไม่มีทางรอด!”


 


“ให้บิดาข้าออกหน้าข้าก็ไม่มีทางรอด?”


 


อี้เทียนสิงหัวเราะร่า “โอวหยางหลัว ดูเหมือนเจ้าจะยังมิเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้สินะ ไอ้แก่ที่คุ้มกะลาหัวเจ้ามันตกตายไปแล้ว…เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะมีโอกาสรอดไปจากเขาลูกนี้ได้หรือ?”


 


“จะ…เจ้าคิดฆ่าข้า?!”


 


สีหน้าโอวหยางหลัวซีดลงทันใด “ถ้าเจ้าฆ่าข้า ตระกูลอี้ของเจ้าจักถูกสับจนแหลกเยี่ยงสุนัข!”


 


“เหอะๆ ข้าฆ่าเจ้าที่นี่ ผู้ใดยังจะล่วงรู้ได้?”


 


อี้เทียนสิงแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ข้าบังเอิญพบเจอพวกเจ้าระหว่างทาง เช่นนั้นหากเจ้ามิได้กลับไปรายงานเรื่องราวที่ตระกูลโอวหยางสักคน…ยังจะมีผู้ใดล่วงรู้? ทั้งหมดย่อมคิดว่าพวกเจ้าทั้งคู่ตกตายในเขาจิ่วฉี! ไหนเลยจะมาสงสัยข้าอี้เทียนสิงได้?!”


 


ได้ยินวาจานี้ของอี้เทียนสิง สีหน้าโอวหยางหลัวซีดลงจนไม่เหลือสีเลือด นางรู้ดีว่าวาจานี้ของอีกฝ่ายไม่แปลกปลอม


 


“อะ…อี้เทียนสิง ข้าว่า พะ…พวกเราก็มิได้มีเรื่องอันใด บะ…บาดหมางกันมาก่อน ทะ…ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้!?”


 


น้ำเสียงของโอวหยางหลัวสั่นเครือ นางเป็นลูกคุณหนูที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไหนเลยจะเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้?


 


“ทำไมข้าต้องทำแบบนี้งั้นเหรอ?”


 


อี้เทียนสิงได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของมันกลายเป็นดุร้ายตะคอกคำเสียงดัง “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้า! เจ้า! คุณหนูรองตระกูลโอวหยาง! มิเคยมองข้าอี้เทียนสิงดีๆสักครั้ง…!! แต่เล็กจนโตข้าเขียนจดหมายไปหาเจ้านับร้อยนับพันฉบับ…เจ้าเคยได้อ่านมันบ้างหรือไม่?!”


 


“ในใจเจ้า ข้าอี้เทียนสิงต้อยต่ำมิคู่ควรเสมอ!”


 


วาจาท้ายประโยคแทบจะกลายเป็นคำรามอยู่รอมร่อ


 


โอวหยางหลัวได้ฟังเรื่องราวก็ถึงกับอึ้งไปทันใด นางไม่คิดเลยว่าอี้เทียนสิงจะกลายเป็นคนเสียสติ ฆ่าคนอย่างโหดร้ายเพราะเรื่องเพียงเท่านี้


 


ที่แท้จิตใจมันต้องบิดเบี้ยววิปริตถึงขั้นใดกัน จึงสามารถกระทำเช่นนี้ได้?


 


จังหวะนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเสียขวัญ


 


“อี้เทียนสิง เรื่องมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด…ข้าอ่านจดหมายของเจ้าทุกฉบับ แต่ข้ามิชมชอบเขียนจดหมาย จึงมิได้ตอบกลับหาเจ้า”


 


โอวหยางหลัวกล่าววาจาปั้นน้ำเป็นตัวออกมา เพื่อทำให้อี้เทียนสิงสงบลง


 


“มิชมชอบเขียนจดหมาย…เลยมิได้ตอบกลับ?”


 


อี้เทียนสิงยิ้มออกมาราวคนคลั่ง “แล้วที่เจ้าตอบจดหมายของซือถูฮั่วนั่นหมายความว่าอันใด? กระทั่งจนถึงตอนนี้เจ้ายังทำราวกับข้าเป็นตัวโง่งมที่เจ้าจะหลอกปั่นหัวได้อยู่ร่ำไปงั้นเรอะ!?”


 


สีสันยิ่งมายิ่งจางหายไปจากหน้าโอวหยางหลัว นางไม่คิดเลยว่ากระทั่งเรื่องนี้ อี้เทียนสิงก็รู้!


 


“ข้าได้ยินมาว่าคนสกุลซือถูจะยกขบวนแห่ไปยังตระกูลโอวหยางเจ้า เพื่อสู่ขอเจ้าให้วิวาห์กับซือถูฮั่วเร็วๆนี้…และดูเหมือนว่าบิดาของเจ้าเองก็เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ด้วย หึๆๆ…ตอนแรกข้าคิดว่าข้าจะเสียเจ้าไปแล้ว แต่มิคิดเลยว่าฟ้ากลับประทานโอกาสนี้แก่ข้า!!”


 


อี้เทียนสิงค่อยๆย่างเท้าไปหาโอวหยางหลัวที่สั่นกลัวอย่างไม่รีบร้อน ในดวงตาเผยให้เห็นความปรารถนาอันหื่นกระหายชัดเจน


 


“อี้เทียนสิง ตะ…ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป ข้าสาบานว่าข้าจะเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ไว้เป็นความลับ…สำหรับผู้เฒ่าผิง ข้าจะกล่าวบอกทุกคนว่าท่านผู้เฒ่าตายเพราะปกป้องข้าจากสัตว์ร้าย!”


 


ตอนนี้โอวหยางหลัวรู้สึกหวาดกลัวจับใจ


 


“มิจำเป็น! ในเมื่อหากข้าลงมือกับเจ้าเสียวันนี้ จะอย่างไรเรื่องราวนี้ก็มิมีวันกระจ่าง…มิใช่ว่าเจ้าทำตัวหยิ่งยโสเชิดใส่ข้าอยู่ตลอดหรือไร? ใยตอนนี้เจ้าไม่ทำท่ายะโสเชิดหน้าเมินข้าเหมือนอย่างเคยแล้วเล่า?!”


 


วาจาท้ายประโยคของอี้เทียนสิงคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยความคับแค้นที่สั่งสมมานานปี ท่าทางของมันดุร้ายราวสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง


 


ทันใดนั้นเองโอวหยางหลัวเร่งสะบัดมือเรียกยันต์ ทั้งขว้างปาไปทางอี้เทียนสิงทันที


 


“สำแดง!”


 


โอวหยางหลัวร้องออกมาเสียงดัง ทว่าทันใดนั้นเองเสียง ‘สำแดง’ อีกคำก็ดังขึ้นตามติด อี้เทียนสิงเองก็ซัดยันต์ใบหนึ่งออกมา รังสีพลังสังหารจากยันต์ทั้ง 2 ปะทะหักล้างกันกลางอากาศ จนสลายหายไปเช่นนั้น


 


ยันต์ของทั้งคู่ล้วนเป็นยันต์เต๋าจู่โจมระดับ 2 ดาว พลังอำนาจจึงมิได้ผิดแผกแตกต่างกัน


 


“โอวหยางหลัวเจ้าอย่าได้ดิ้นรนอีกเลย…หากเจ้ามิขัดขืนและคอยปรนนิบัติข้าอย่างดี บางทีข้าอาจให้เจ้าได้ตกตายโดยมีซากศพสมบูรณ์ หาไม่แล้วข้าจักหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆแล้วปล่อยให้สัตว์ร้ายรับประทานไปเสีย!!”


 


อี้เทียนสิงแสยะยิ้มปากฉีกแทบถึงหู รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายวิปลาศนัก


 


โอวหยางหลัวได้ฟังก็ตื่นกลัวถึงที่สุด นางที่ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่นิ่งเงียบงัน ตัวสั่นระริก


 


อี้เทียนสิงเริ่มลงมือถอดชุดคลุมตัวนอกออก ยังลดมือไปดึงสายคาดเอว คล้ายจะเผยอาวุธเตรียมขยี้บุปผางาม


 


ถึงแม้ว่าโอวหยางหลัวจะดิ้นรนขัดขืนมัน แต่นางก็ยังห่างไกลจากการทำอะไรมันได้ เพียงไอพลังขุมหนึ่งที่อี้เทียนสิงแผ่ไปกดดัน นางก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แล้ว


 


นางเป็นแค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น นางไม่อาจต้านทานพลังอำนาจของอี้เทียนสิงที่บรรลุสู่เซียนขั้นต้นแล้วได้เลย…


 


“จึกๆๆ ให้มันได้ยังงี้สิ…ใจเจ้ามันต้องบิดเบี้ยววิปริตถึงขนาดไหนกัน ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ”


 


ในขณะที่อี้เทียนสิงกำลังเอื้อมมือไปกระชากชุดของโอวหยางหลัวที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเพื่อย่ำยีขืนใจนั้นเอง เสียงต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้น ค่อยๆก้าวออกมาจากเงามืดของต้นไม้ เดาะลิ้นด้วยความเบื่อหน่ายส่ายหัวกล่าว


 


ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนชอบสอดเรื่องชาวบ้าน


 


กระทั่งนิสัยท่าทีของสตรีอย่างโอวหยางหลัวนั้นเขาก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่


 


อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของอี้เทียนสิงมันต่ำช้าเกินกว่าที่เขาจะทนดูอยู่เฉยๆได้จริงๆ


 


ให้ทนดูอี้เทียนสิงข่มขืนสตรีต่อหน้าแบบนี้ เขารู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ


 


“ผู้ใด!?”


 


เสียงของต้วนหลิงเทียนทำให้สีหน้าอี้เทียนสิงเปลี่ยนไปทันที มันรีบหันกลับมาจนได้เห็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน


 


“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญว่าเจ้าทำให้ข้าขยะแขยงนัก”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองอี้เทียนสิงที่ร่างเปลือยเปล่าเบื้องล่างชูชันเตรียมก่อการด้วยสายตาเย็นชาแฝงรังเกียจ ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน “บุรุษผู้นึงกลับกลายเป็นวิปริตใจบิดเบี้ยวเพราะสตรีนางหนึ่ง…น่าเศร้านัก”


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงกล้ากล่าววาจาสั่งสอนข้า!”


 


อี้เทียนสิงแสยะยิ้มกล่าวเยาะ ทันใดนั้นมันก็ชักมีดที่บางปานปีกจั๊กจั่นออกมาสะบัดวาด ทันใดนั้นปรากฏคลื่นสะบั้นคมกริบสีครามสายหนึ่งซัดพุ่งออกไปดั่งเสี้ยวจันทร์ ปรี่เข้าหาลำคอต้วนหลิงเทียน!


 


คลื่นสะบั้นนี้ยังมีความไวอันน่าทึ่งนัก!


 


หากทว่าต้วนหลิงเทียนที่เตรียมพร้อมอยู่แต่แรก เพียงสืบเท้าไม่กี่ก้าว ร่างก็วูบหลบคลื่นพลังสะบั้นสีครามไปได้อย่างง่ายดาย!


 


นี่เป็นเพราะอี้เทียนสิงลงมืออย่างฉุกละหุกไม่ได้ใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดอย่างตั้งใจ หาไม่แล้วหากมันลงมือจริงจังเกรงว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่อาจหลบได้ง่ายดายไร้เรื่องราวแบบนี้


 


เพราะอี้เทียนสิงผู้นี้ จะอย่างไรเสียก็กล่าวได้ว่ามันเป็นชนชั้นสู่เซียนขั้นต้นคนหนึ่ง


 


“ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!!”


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนหลบคลื่นสะบั้นของอี้เทียนสิงได้อย่างง่ายดายอี้เทียนสิงจึงต้องปล่อยโอวหยางหรัวและหันมารับมือเรื่องราว มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง


 


ด้านโอวหยางหรัวที่หลุดจากพลังสะกด ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นเร่งดึงชุดที่ถูกกระชากออกให้เข้าที่ ยังรีบวิ่งไปหลบด้านหลังต้วนหลิงเทียนทันที


 


ตอนนี้ทีท่าคุณหนูผู้สูงส่งของนางไม่มีเหลืออยู่เลย


 


“ช่วยข้า! แล้วตระกูลโอวหยางจะตอบแทนเจ้าอย่างงามมิมีตระหนี่…ถึงตอนนั้นมิว่าเจ้าต้องการอันใด ตระกูลโอวหยางของข้าจะพยายามหามาให้เจ้าเท่าที่พวกเราจะกระทำได้!”


 


โอวหยางหลัวเร่งกล่าวกับต้วนหลิงเทียน


 


ถึงแม้ว่ายามกล่าวโอวหยางหลัวจะไม่ได้หยิ่งยะโสมากมายอะไร ทว่าต้วนหลิงเทียนได้ยินวาจาประโยคแกมสั่งนี้ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง


 


อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจแล้ว


 


ในเมื่อมีโอกาสมาถึงที่ เขาเองก็จะเรียกร้องจากตระกูลโอวหยางให้มันมากๆหน่อย!


 


“ตายเสีย!”


 


ตอนนี้เองอี้เทียนสิงพลันลงมือออกมาอีกครั้ง ปราณแท้มันหลั่งไหลลงใบมีด บังเกิดเป็นมีดปราณบางเท่าจั๊กจั่นฉาบคลุมมีดมันเอาไว้อีกที มันใช้วรยุทธ์ที่มันฝึกปรือทั้งหมดลงมือเต็มกำลัง ร่างปรี่ตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนปานกระสุน!


 


พลังอำนาจของสู่เซียนขั้นต้นปะทุเต็มพิกัด คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนคลื่นพลังสะบั้นครั้งแรก!


 


ต้วนหลิงเทียนที่เห็นอีกฝ่ายพุ่งมาด้วยท่าร่างอันฉับไว ทั้งไอพลังกล้าแข็งที่ฉาบบนมีด เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอี้เทียนสิงนับเป็นยอดฝีมือสู่เซียนขั้นต้นคนหนึ่ง


 


นอกจากนี้สายตาเขายังแลเห็นชัด ถึงลวดลายพร้อมอักขระจารึกที่สลักบนมีดเล่มนั้น…มันคืออาคมเซียน 2 ดาว! พาลให้พลังมีดคล้ายไร้เทียมทานอยู่บ้าง!!


 


หากเขาใช้ดาบใหญ่พันทวีต้านรับ เกรงว่าคงไม่อาจเอาชนะอี้เทียนสิงได้ง่ายๆ


 


ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้กระบวนท่าสังหารของเขาออกมาทันที!


 


เกาทัณฑ์ดับตะวัน!


 


คนเกาทัณฑ์ร่วมประสาน!


 


ดาวตกพิฆาต!


 


ต้วนหลิงเทียนยิงดอกศรไปด้านข้าง พร้อมใช้ออกด้วยท่องเกาทัณฑ์ทิ้งระยะจากอี้เทียนสิง! ก่อนที่จะเปิดใช้อาคมจารึกทั้ง 3 ของเกาทัณฑ์ดับตะวัน ยิงดาวตกพิฆาตออกไปด้วยพลังทั้งหมดในชั่วพริบตา!!


 


ซู่ม!


 


ดอกศรพุ่งแหวกอากาศฉับไว เล็งไปยังจุดตายของอี้เทียนสิง!


 


“เปล่าประโยชน์! เจ้าประเมินตัวเองสูงไป!!”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณแท้จากร่างกายต้วนหลิงเทียนอี้เทียนสิงพลันแสยะยิ้มเย็นเยือก มันตวัดมีดที่ฉาบไว้ด้ยปราณพลังบางดั่งปีกจั๊กจั่นออกมาเบื้องหน้านับสิบมีดในชั่วพริบตา สร้างม่านพลังกำบังหมายต้านรับลูกเกาทัณฑ์ของต้วนหลิงเทียน!!


 


ในสายตาของมัน ศรพลังมีสภาพที่บังเกิดจากการควบรวมปราณแท้ของผู้ฝึกตนหลุดพ้นมนุษย์ ย่อมไม่มีวันทำอันตรายใดๆมันได้!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อดอกศรของต้วนหลิงเทียนปะทะกับม่านพลังคมมีด อี้เทียนสิงก็ได้ตระหนักเรื่องราวประการหนึ่ง…ว่าตัวมันนั้นตื้นเขินถึงเพียงใด…


 


ศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน ปานได้รับอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพ! ทะลวงฝ่าม่านพลังคมมีดของอี้เทียนสิงไปได้อย่างง่ายดาย! ด้านอี้เทียนสิงที่หน้าตาตื่นสองตาหวาดผวา รีบเบี่ยงตัวหลบเพื่อไม่ให้ศรทะลวงกลางใจ


 


ไม่พ้น! สุดท้ายยังถูกศรพลังมีสภาพทะลวงหัวไหล่จนทะลุ!!

 

 

 


ตอนที่ 1489

 

ความคิดของโอวหยางหลัว


 


แม้จะตื่นตระหนกกับศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน แต่สุดท้ายอี้เทียนสิงก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะตัวมันสามารถเบี่ยงหลบดอกศรได้ทันท่วงที แม้ดอกศรจะทะลวงหัวไหล่ไปก็ตาม…


 


ทว่าวินาทีต่อมันสีหน้ามันก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


และใบหน้าอันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนี้ ถูกกำหนดไว้ให้เป็นสีหน้าสุดท้ายในชีวิตของมัน!


 


ปงงงง!!


 


ทันใดนั้นรอยแผลที่ถูกศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนยิงทะลุ ก็บังเกิดการระเบิดครั้งใหญ่! เปลี่ยนร่างท่อนบนของมันให้กลับกลายเป็นหมอกโลหิตในชั่วพริบตา!!


 


ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายส่วนล่างของมันก็ถูกกัดกร่อนจนสลายหายไปไม่มีเหลือ


 


เรียกว่าในเวลาแค่ชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างของอี้เทียนสิงก็ถูกหมอกสีดำกลืนกิน จนหายไปจากโลกหล้าอย่างสมบูรณ์ ราวกับมันไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน


 


โอวหยางหลัวที่ซ่อนตัวหลังต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า พอได้เห็นฉากสังหารอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ ลูกตาของนางก็สั่นไหว เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ


 


คนทั้งคนที่เคยมีลมหายใจอยู่ต่อหน้าของนาง กลับสลายหายไปง่ายดายแบบนั้น…


 


ฉากนี้สร้างความตกใจให้นางมากเกินไป


 


อย่างไรก็ตาม สมแล้วที่นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่นานนางก็ฟื้นตัว เร่งกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนหันไปปรายตาเหลือบมองโอวหยางหลัว แต่ไม่ได้พูดอะไร


 


จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตากับสตรีนางนี้


 


ก่อนที่เขาจะเผยตัวออกมาจากการลอบชมเรื่องราว เขาเห็นท่าทีที่นางปฏิบัติต่ออี้เทียนสิงชัดเจนดี


 


หากอี้เทียนสิงนั่นไม่คิดฆ่าเขาก่อน เขาก็คงไม่ฆ่าอี้เทียนสิงทิ้งแบบนี้


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเดินไปหยิบแหวนพื้นที่เหลือไว้ของอี้เทียนสิง กระทั่งยังหยิบแหวนพื้นที่ของโอวหยางผิงที่อี้เทียนสิงชิงไปก่อนหน้ามาเก็บไว้กับตัวด้วยท่าทางราวกับเจ้าหนี้มาเก็บดอก…


 


“นั่นเป็นแหวนพื้นที่ของผู้เฒ่าผิงแห่งตระกูลโอวหยางข้า เจ้ามิควร…”


 


โอวหยางหลัวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออก


 


ทว่าก่อนที่นางจะทันได้กล่าวจบคำ ก็ถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวตัดบทเสียก่อน “แหวนวงนี้เป็นสินสงครามของอี้เทียนสิง เช่นนั้นก็นับเป็นของๆมันแล้ว…ในเมื่อข้าเป็นคนฆ่าอี้เทียนสิง ของๆมันทั้งหมดล้วนต้องตกเป็นของข้า”


 


วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา ทำให้โอวหยางหลัวถึงกับไร้คำพูด


 


พอนางลองคิดดูก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ


 


“แม่นางโอวหยาง…หากข้าไม่ได้ช่วยเจ้าไว้ ไม่เพียงแต่ของพวกนี้จะเป็นของข้า กระทั่งแหวนพื้นที่เจ้าก็จะตกเป็นของข้าอีกวงเช่นกัน”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองโอวหยางหลัว ค่อยกล่าวเสียงเย็น


 


หลังจากกล่าวจบคำแล้วต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะสนใจใยดีโอวหยางหลัวอีก เพียงออกเดินทางต่อทันที ย้อนกลับไปยังเส้นทางข้ามเขา


 


สำหรับเรื่องที่โอวหยางหลัวกล่าวออกมาก่อนหน้า มาตอนนี้เขากลับไม่ได้สนใจอะไรมากมายอีกต่อไป


 


ดูจากนิสัยของโอวหยางหลัวแล้ว ท่าทางสกุลโอวหยางล้วนมิใช่ตัวดี ใครจะไปรู้ พอไปถึงตระกูลนางๆอาจเป็นดั่งงูเห่าที่แว้งกัดเขาก็ได้…


 


เขาเพียงมาเก็บสินสงครามตามปกติ แต่โอวหยางหลัวกลับถามเขาออกมาแบบนั้น


 


ในวาจานางยังถึงกับยก ‘สกุลโอวหยาง’ ขึ้นมากล่าวอ้าง เจตนาข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด!


 


นี่น่ะเหรอท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณของนาง?


 


“เจ้า ช้าก่อน!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะเดินจากไปโดยทิ้งนางไว้ดื้อๆ โอวหยางหลัวย่อมเป็นกังวลทันที ยังมีผู้ใดไม่ทราบว่าเขาจิ่วฉีลูกนี้อันตรายเพียงใด? หากนางบังเอิญเจอสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเข้านางไม่ตายอนาถหรือ!?


 


ทันใดนั้นโอวหยางหลัวก็รีบวิ่งตามต้วนหลิงเทียนไปทันที


 


ต้วนหลิงเทียนคร้านจะดูแลอะไรโอวหยางหลัว เพียงเดินหน้าต่ออย่างระมัดระวัง และหากไม่ใช่เพราะเขาต้องระวังขณะเดินทางในเขาจิ่วฉีเป็นพิเศษ ป่านนี้เขาคงรีบพุ่งร่างจากไปและทิ้งนางไว้ลำพังแล้ว


 


‘มันไม่สนใจข้าเลยหรือ!?’


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่แยแสตัวเอง หน้าโอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะจมลงทันใด


 


ในฐานะบุตรีคนเดียวของผู้นำตระกูลโอวหยาง มีฐานะเป็นถึงคุณหนูรองตระกูลโอวหยาง! นางย่อมเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนที่คอยประจบเอาใจ ยังมีบุรุษคนใดที่ไม่ชื่นชมนางตั้งแต่แรกพบอีก?


 


นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่นางถูกบุรุษในรุ่นเดียวกันเฉยใส่แบบนี้!


 


จังหวะนี้โอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนศักดิ์ศรีของนางถูกต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบ!


 


มองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เดินนำหน้าด้วยท่าทางปั้นปึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ


 


อย่างไรก็ตามแม้นางจะไม่สบอารมณ์ทั้งโมโห แต่นางก็ไม่กล้ากล่าววาจาอะไรไม่ดีจนทำให้ต้วนหลิงเทียนมีโทสะ


 


‘ความเย็นชา’ ของต้วนหลิงเทียนนั้นนางสัมผัสได้ชัดเจน นางตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นบุรุษหยาบกร้านไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา!


 


‘ที่แท้มันเป็นบุรุษหรือไม่ กล้าดีอย่างไรถึงได้เฉยเมยกับสตรีงดงามเช่นข้าได้ลงคอ!’


 


หากต้วนหลิงเทียนรับทราบความคิดนี้ของโอวหยางหลัว น่ากลัวเขาจะหัวเราะจนฟันร่วง


 


คู่หมั้นทั้ง 2 ของเขา ไม่ว่าจะคนไหนก็ดีกว่าโอวหยางหลัวเป็นพันหมื่นเท่า!


 


‘เอ๋…มันยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์งั้นเหรอ!?’


 


หลังจากเดินตามต้วนหลิงเทียนมา นางย่อมเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือสังหารสัตว์ร้ายอยู่สองสามครั้ง ทำให้นางสัมผัสกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน มันคือกลิ่นอายปราณแท้ของขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์!


 


มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างกลิ่นอายปราณแท้ของขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์และสู่เซียน


 


ความแตกต่างนี้โอวหยางหลัวย่อมสามารถแยกแยะได้ชัดเจน


 


‘อันใดกัน ผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์…กลับสามารถยิงศรทำลายม่านพลังป้องกันของอี้เทียนสิงได้ง่ายดาย กระทั่งสังหารอี้เทียนสิงได้ในศรดอกเดียว…ดูเหมือนว่าอาคมเซียนที่จารึกไว้ในศาสตราเซียนของมันมิใช่ธรรมดาสามัญแล้ว…’


 


โอวหยางหลัวลอบกล่าว


 


พอนึกย้อนไปยังฉากที่อีกฝ่ายสังหารอี้เทียนสิง ใจของนางยังคงหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย


 


‘ศรที่มันยิงออกมา สามารถเจาะทะลุม่านพลังป้องกันของอี้เทียนสิงได้ง่ายดาย…อันที่จริงคล้ายม่านพลังไม่อาจป้องกันอันใดได้เลยด้วยซ้ำ! ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวคงมิมีทางแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น!’


 


โอวหยางหลัวลอบตัดสินใจแน่ชัดว่านั่นสมควรเป็นเพราะ พลังอำนาจของ ‘อาคมเซียน’


 


‘อาคมเซียนที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูเช่นนั้นมิมีทางเป็นอาคมเซียนระดับ 1 ดาวแน่นอน นอกจากนั้นอาคมเซียน 2 ดาวก็ไม่น่ากลัวขนาดนี้…เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว! นั่นต้องเป็นเกาทัณฑ์ที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้แน่นอน!’


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ใจโอวหยางอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมา


 


อาคมเซียนระดับ 3 ดาว!


 


ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตระกูลโอวหยางของนางเอง ก็มีศาสตราเซียนนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ไม่กี่ชิ้น และทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของเหล่าอาวุโสที่มีสิทธิ์มีเสียงในตระกูล…


 


‘ที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่?’


 


เมื่อโอวหยางหลัวมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ดวงตาของนางก็ฉายแววสว่างจ้าออกมา


 


‘มันมิใช่คนที่มีพื้นเพธรรมดาสามัญแน่นอน! กระทั่งซือถูฮั่วยังมิอาจเทียบได้…จะอย่างไรตระกูลซือถูก็เป็นแค่ขุมพลังชั้น 8 เหมือนตระกูลโอวหยาง…ตัวน่าตายผู้นี้ เผลอๆอาจจะมาจากขุมพลังชั้น 7!’


 


เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องนี้ โอวหยางหลัวก็ไม่คิดจะหยิ่งยโสอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีกสืบไป อันที่จริงนางถึงกับริเริ่มชวนเขาสนทนาด้วย


 


ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเปลี่ยนท่าทีกลับกลายเป็นสตรีอ่อนหวานทันที


 


หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนเคยเห็นสันดารของโอวหยางหลัวมาก่อน เกรงว่าเขาอาจจะถูกมารยาของนางหลอกเอาได้เช่นกัน!


 


‘โอวหยางหลัวนี่สตินางฟั่นเฟือนรึยังไง อยู่ๆทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้?’


 


ต้วนหลิงเทียนเห็นท่าทีของนาง เขาพลันเพิ่มความระวังขึ้นหลายส่วน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีพรรค์นี้ ยิ่งทำดียิ่งหวังผล!’


 


‘นางมีเจตนาแอบแฝงอะไรกันแน่?’


 


หลังจากที่โอวหยางหลัวเปลี่ยนท่าทีปฏิบัติต่อเขา เขาก็มั่นใจว่านางต้องมีเจตนาแอบแฝงแน่นอน


 


“แม่นางโอวหยาง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังจะวิวาห์กับคุณชายของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามชิมลางออกมาเสียงเรียบ


 


“ฮัยยา! ล้วนเป็นอี้เทียนสิงมันคิดเองเออเองทั้งสิ้น…ซือถูหัวนั้นมีผู้ใดมิรู้ว่ามันเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ผู้อื่นมิชอบมันหรอก ผู้อื่นชอบบุรุษที่ซื่อสัตย์”


 


โอวหยางหลัวกล่าวออกด้วยน้ำเสียงบอกปัดแฝงความออดอ้อนอย่างจงใจ ขณะกล่าวนางยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวานเชื่อมเปี่ยมอารมณ์ชื่นชม…เห็นชัดว่าคิดทอดสะพานให้ต้วนหลิงเทียน!


 


ต้วนหลิงเทียนลอบเย้ยหยันท่าทีนี้ของนางในใจ ‘มาผู้องผู้อื่นบัดซบอะไร…’


 


เขาไม่ใช่คนไร้เดียงสาถึงขั้นจะเชื่อได้ลงคอว่าคนอย่างโอวหยางหลัว อยู่ดีๆจะตกหลุมรักเขา เพียงเพราะเขาช่วยชีวิตนางไว้


 


‘โอวหยางหลัวนี่จะอย่างไรก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน…ที่แท้นางคิดทำอะไรกันแน่?’


 


ต้วนหลิงเทียนยังลอบเดาเจตนาของนางไปเรื่อย อย่างไรก็ตามเขาระวังนางเพิ่มขึ้นอีกส่วน


 


สตรีนางนี้ท่าทางจะฉลาดกว่าที่เขาคิด


 


“ท่านรู้จักชื่อของผู้อื่นแล้ว แต่ผู้อื่นยังมิรู้จักท่านเลย…ท่านมิคิดหรือว่ามันดูมิเป็นธรรมอยู่บ้าง”


 


โอวหยางหลัวมองต้วนหลิงเทียนตาเชื่อม กล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส


 


“ไม่มีอะไรไม่เป็นธรรม เพราะเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายบอกชื่อข้าแต่แรก”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ ท่าทางยังเป็นดั่งเกลือไม่ลดความเค็ม ทำให้โอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง หากแต่นางก็ฝืนทนเอาไว้ไม่ถามจู้จี้น่ารำคาญอะไรอีก เพียงปั้นยิ้มหวานส่งให้ต้วนหลิงเทียนต่อ


 


ยิ่งต้วนหลิงเทียนพยายามเลี่ยงมากเท่าไหร่ พาลให้นางคิดว่าพื้นเพของต้วนหลิงเทียนยิ่งไม่ธรรมดา


 


‘ข้าหวังว่าหากข้าทำแบบนี้ต่อไป มันจะเลิกอคติกับข้า และตราบใดที่ข้ามัดใจมันได้ ตระกูลโอวหยางเราย่อมสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังมัน คราวนี้ตระกูลโอวหยางได้ทะยานฟ้าเป็นแน่! ต่อให้เป็นตระกูลซือถูก็ต้องถูกตระกูลโอวหยางเราย่ำเหยียบ!!’


 


ลูกตาโอวหยางหลัวเผยประกายวิบวับ ราวกับนางได้เห็นตระกูลโอวหยางลอยล่องขึ้นไปเหินค้างกลางฟ้า


 


เหตุผลที่นางคิดเช่นนี้ เพราะนางเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะมาจากขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น! ท่าทางฐานะของเขาในขุมพลังชั้น 7 จะไม่ธรรมดาอีกด้วย!!


 


หาไม่แล้วไหนเลยจะมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ในครอบครอง ทั้งๆที่พลังฝึกปรือยังอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์?


 


ครึ่งวันต่อมาต้วนหลิงเทียนที่เดินไปตามทางพลันตระหนักได้ว่าแรงโน้มถ่วงที่กระทำกับร่างของเขา มันลดทอนลงไปกว่าครึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ‘ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นจากสถานที่ผีสางนี่ได้สักที…’


 


สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ภูเขาจิ่วฉีนั้น…กล่าวว่าสถานที่ผีสางก็ไม่เกินเลย!


 


เพราะในที่แห่งนี้ ไม่เพียงแต่เขาต้องระวังสัตว์ร้ายที่อันตราย แต่ยังต้องคอยรับมือโอวหยางหลัว สตรีที่มีใจคดเคี้ยวอีกด้วย!


 


ดังนั้นหลังจากที่ออกจากภูเขาจิ่วฉีได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าอะไร ก้าวเท้าเหยียบอากาศมุ่งขึ้นฟ้าแล้วเหินร่างจากไปโดยไม่กล่าววาจาใดแม้ครึ่งคำ


 


“อ๊ะ! ท่านรอผู้อื่นด้วย!!”


 


เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะทิ้งตัวเองไปดื้อๆ โอวหยางหลัวที่วาดแผนในใจไว้มากมายก็ตื่นตระหนก เร่งสะบัดมือเรียกยันต์เทพเคลื่อนระดับ 1 ดาวออกมาพร้อมกล่าวคำ ‘สำแดง’ เพื่อให้ตัวเองบรรลุความเร็วของสู่เซียนขั้นต้นทันที


 


ไม่นานนางก็ไล่ตามต้วนหลิงเทียนได้ทัน


 


“ฮึ! ท่านจักมิใจร้ายไปหน่อยหรือ?! ไฉนท่านถึงได้ทิ้งสตรีอ่อนแอบอบบางเช่นผู้อื่นได้ลงคอเล่า…สุภาพบุรุษเช่นท่านมิกลัวผู้อื่นถูกคนไม่ดีทำร้ายหรือ?”


 


โอวหยางหลัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางแง่งอน


 


สตรีอ่อนแอบบอบบาง?


 


ทันทีที่ได้ยินวาจานี้ของนาง ต้วนหลิงเทียนก็มองนางด้วยสายตาระอา


 


หากโอวหยางหลัวคนนี้เป็นสตรีอ่อนแอบอบบาง เช่นนั้นโลกนี้คงไม่มีสตรีอ่อนแอบอบบางอีกแล้ว


 


“สำแดง”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกรำคาญโอวหยางหลัวหนักแล้วจริงๆ ถึงขั้นสะบัดมือเรียกยันต์เทพเคลื่อนระดับ 2 ดาว ที่ได้มาจากแหวนพื้นที่ของชายในชุดคลุมลมดำออกมาเปิดใช้ใบหนึ่งทันที พริบตาร่างก็อันตรธานหายไปจากสายตาของโอวหยางหลัว


 


เจอแบบนี้โอวหยางหลัวถึงกับหัวฟัดหัวเหวี่ยงขึ้นมา “บ้าจริง! นี่ข้าน่ารำคาญขนาดนั้นเลยรึไง!?”


 


“อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของมันมิใช่ธรรมดาแล้วจริงๆ กลับใช้ยันต์เทพเคลื่อน 2 ดาวได้อย่างไร้เรื่องราวเช่นนี้”


 


ไม่นานโอวหยางหลัวที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เผยยิ้มออกมาอีกครั้ง ตาที่หรี่ลงเผยประกายวับวาว


 


“มองจากทิศทางที่มันมุ่งไป…สมควรเป็นเมืองหานเหอ”


 


โอวหยางหลัวบ่นงึมงำ

 

 

 


ตอนที่ 1490

 

เมืองหานเหอ


 


เมืองหานเหอนั้น ในฐานะที่เป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตร พื้นที่ของเมืองเองก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก ยังกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยเห็นมาในชีวิตนี้


 


เหตุผลที่กล่าวว่า ‘ชีวิตนี้’ เพราะถึงแม้เมืองนี้จะใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเมืองสำคัญๆในโลกเก่าของเขา


 


เมืองในอดีตของเขานั้นแตกต่างจากเมืองในโลกใบนี้มาก


 


เมืองที่เขาพบเจอในชีวิตนี้แผนผังทั้งอาคารปลูกสร้างอะไร มันมีรูปแบบเหมือนกับเมืองในสมัยโบราณของโลกเขา


 


เมืองสมัยใหม่ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่มันไร้กำแพงป้องกันอะไร พื้นที่ถนนหนทางและการคมนาคมเองก็ก้าวหน้าล้ำสมัยหมดแล้ว


 


แถมเมืองในโลกเก่าของเขาพื้นที่ของมันจริงๆย่อมครอบคลุมเขตย่อยอะไรอีกมากมาย


 


ไม่ใช่เมืองเดี่ยวที่มีกำแพงล้อมรอบเอาไว้แบบนี้


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าใกล้เขตเมืองหานเหอ เขาก็พบว่าบนฟ้าเริ่มแลเห็นผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ พิจารณาจากทิศทางแล้ว ทั้งหมดสมควรไปยังเมืองหานเหอเช่นกัน


 


เมืองหานเหอที่อยู่ภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตร แน่นอนว่าย่อมมีอาคมห้ามบินเช่นกัน


 


ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องนี้มาก่อน


 


แถมอาคมห้ามบินที่ปกคลุมเมืองหานเหอแห่งนี้ ยังเป็นอาคมระดับเดียวกับที่ปกคลุมสำนักจันทร์จรัสแสง จำกัดตัวตนที่มีขอบเขตพลังต่ำกว่าเซียนไว้ มิให้สามารถเหินบินได้…


 


แน่นอนหากท่านเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุขอบเขตเซียนขึ้นไป ย่อมสามารถเหินบินได้อย่างเสรี


 


ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงเมืองหานเหอ ต้วนหลิงเทียนก็โรยตัวลงไปยังพื้นดิน เพื่อเดินเท้าเข้าเมืองเหมือนกับผู้ฝึกตนอีกมากมายที่สัญจรไปมา


 


ถนนหนทางในเมืองหานเหอนั้นกว้างใหญ่กว่าเมืองทั่วไปที่เขาเคยพบมาไม่น้อย จำนวนผู้คนที่สัญจรไปมาทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเปิดหูเปิดตาอยู่บ้าง


 


“หากเทียบกับเมืองหานเหอแล้ว เมืองอื่นๆที่ข้าเคยไปมา…เหมือนหมู่บ้านเล็กๆในชนบทไม่มีผิด”


 


หลังเดินไปตามถนนหนทางชมมองทุกสิ่งอย่างรอบตัว ไม่ว่าจะสถานที่หรืออาคารอันสวยงาม รวมถึงผู้คนที่ใช้ชีวิต ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำกับตัวเบา


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่เขามายังเมืองหานเหอ


 


หลังจากเจอโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาก็กล่าวถามเรื่องราวทั่วไปในเมืองหานเหอเล็กน้อย


 


ก่อนที่จะมายังเมืองหานเหอนั้น แน่นอนว่าเขาทำความเข้าใจเมืองนี้ไว้คร่าวๆแล้ว


 


ทว่าสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หรือความเปลี่ยนแปลงอะไรในเมืองนอกเหนือจากบันทึกที่เก็บไว้ เขาย่อมไม่รู้เลย


 


อย่างไรก็ตาม มีคำกล่าวที่ว่า…เงินสามารถใช้ผีโม่แป้งได้


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนไปนั่งตามเหลาอาหาร เพื่อลองรับประทานอาหารขึ้นชื่อของเมืองหานเหอดู เขาก็มอบหินเซียนให้เสี่ยวเอ้อ เพื่อรับทราบความเป็นไปในเมืองหานเหอ ไม่นานเขาก็เข้าใจสถานการณ์ภายในเมือง


 


เมืองหานเหอแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ในเขตปกครองร่วมกันของ 9 พันธมิตร และได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังร่วมของ 9 พันธมิตร


 


สำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรเองก็ตั้งอยู่ที่นี่


 


กิจการรวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่น้อยในเมืองหานเหอแห่งนี้ แทบจะทั้งหมดถูกแบ่งสรรปันส่วนกันภายในขุมพลัง 9 พันธมิตร ส่วนกิจการยิบย่อยอื่นๆที่ 9 พันธมิตรไม่สนใจนั้น ล้วนถูกจัดแจงแบ่งกันควบคุมดูแล โดยขุมพลังท้องถิ่นในเมือง


 


ขุมพลังท้องถิ่นในเมืองนั้น ก็เป็นขุมพลังชั้น 8


 


แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของขุมพลังชั้น 8 ในเมืองหานเหอนั้น ย่อมไม่อาจนำไปเทียบกับขุมพลังชั้น 8 อย่างเมืองชงซันที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของสำนักจันทร์จรัสแสงได้…


 


ทั้ง 18 เมืองที่อยู่ภายใต้อาณัติของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น กล่าวไปมันแทบไม่อาจนับได้ว่าเป็นขุมพลังชั้น 8 ด้วยซ้ำ ทั้งหมดถูกนับเป็นขุมพลังชั้น 8 เพราะสำนักจันทร์จรัสแสงหนุนหลัง…


 


อย่างไรก็ตามขุมพลังชั้น 8 ในเมืองหานเหอนั้น เป็นขุมพลังที่มีความแข็งแกร่งจริงๆ


 


ในบรรดาขุมพลังชั้น 8 เหล่านี้ มีเสาหลักที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มากมายหลายคน แม้จะเป็นตระกูลที่อ่อนแอหน่อย ก็ยังมียอดฝีมือในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบมากมาย


 


ขุมพลังเหล่านี้หากไม่เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหานเหอ ก็เป็นสำนักพรรคเล็กๆที่หากินตามเรื่องราว กระทั่งลัทธิกับนิกายก็มีให้เห็น


 


“ดูเหมือนตระกูลโอวหยาง ตระกูลซือถู แล้วก็ตระกูลอี้ที่เป็นเบื้องหลังของอี้เทียนสิงคนนั้น จะเป็นขุมพลังท้องถิ่นของเมืองหานเหอสินะ…แถมตระกูลโอวหยางกับซือถือยังนับเป็นงูดินเจ้าที่ๆตัวใหญ่หน่อย..”


 


“ตระกูลอี้แลดูจะอ่อนด้อยกว่าพวกมันหลายส่วน…”


 


เมื่อรวมภาพเรื่องราวที่เขาแลเห็นในเมือง กับข้อมูลที่รวบรวมได้จากเสี่ยวเอ้อ กระทั่งได้พบเจอโอวหยางหลัวกับอี้เทียนสิงมากับตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะสรุปความเป็นไป


 


นอกเหนือจากทำความเข้าใจเรื่องราวของขุมพลังดั่ง ‘งูดินเจ้าที่’ แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเดินดูของอย่างสนใจ ไม่นานก็พบร้านค้าที่ขายปากกาจารึก รวมถึงวัตถุดิบหายากมากมาย


 


การมายังเมืองหานเหอครั้งนี้ นอกเหนือจากผ่อนคลายแล้ว เขายังมีวัตถุประสงค์หลักอีก 2 อย่าง


 


หนึ่งคือซื้อหาปากกาจารึกอาคมของตัวเองสักด้าม


 


ประการที่ 2 ก็คือหาซื้อวัตถุดิบที่สามารถใช้ในการซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


หลังจากที่เดินดูของแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง ยังกล่าวถามเสี่ยวเอ้อเพิ่มเติมเรื่องสถานที่ขายวัตถุดิบกับสิ่งของจำเป็น พอออกจากเหลาก็พลบค่ำแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ไม่คิดจะไปไหนอีกวันนี้ก็เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักทันที


 


พอปิดประตูหน้าต่างห้องพักเรียบร้อยดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที จนได้เห็นผู้เฒ่าหั่วกำลังพักผ่อนสงบใจอยู่ที่ชั้นแรกของเจดีย์


 


ต้วนหลิงเทียนลองเรียกหาผู้เฒ่าหั่วอยู่สองสามรอบ ทว่าผู้เฒ่าหั่วก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร


 


‘ดูเหมือนการซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ จะลำบากผู้เฒ่าหั่วมิใช่น้อย…’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


‘ไปดูชั้น 3 ของเจดีย์ก่อนแล้วกัน!’


 


ต้วนหลิงเทียนที่รอมานาน ในที่สุดก็ไม่ต้องรอสืบไป


 


ก่อนที่เขาจะออกจากภูเขาจิ่วฉีนั้น ผู้เฒ่าหั่วก็ได้ส่งเสียงผ่านปราณแท้ออกมาบอกเขาไว้ก่อนแล้ว ว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ถูกซ่อมแซมฟื้นฟูเสร็จสิ้น


 


หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันไม่เอื้อ เขาคงรีบแจ้นเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อชมดูตั้งแต่แรก!


 


หลังจากขึ้นมาถึงชั้น 2 ของเจดีย์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หยุดแต่อย่างไร เลือกที่จะเดินขึ้นชั้น 3 ต่อทันที


 


อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่บนบันไดทางขึ้นชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและย้อนมองมายังพื้นที่ชั้น 2 ‘ต่อไปชั้นนี้ก็คงว่างเปล่า…’


 


ด้วยสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะรวมถึงอัตราการไหลของเวลาที่ช้ากว่า ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดจะบ่มเพาะพลังที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกต่อไป


 


“ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!”


 


หลังจากขึ้นมาถึงชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ก็คือ ปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นในบรรยากาศ! มันช่างมหาศาลต่างจากชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติราวสวรรค์และโลก!


 


ชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ใจกลางพื้นที่มีศิลามหึมาตั้งอยู่


 


ศิลามหึมาที่ตั้งอยู่นั้น เรียกว่าหากนำไปตั้งไว้ที่โลกเก่าในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน ก็นับว่าทำให้สนามฟุตบอลถึงกับแออัดขึ้นมาทันที!


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าอะไรเหินร่างไปยังกึ่งกลางศิลาก้อนนั้นทันที เขาแลเห็นบางสิ่งปักเอาไว้ มันตั้งตระหง่านปานจะค้ำสวรรค์!


 


เป็นง้าวเล่มหนึ่ง!


 


“นี่น่ะเหรอ ง้าวเทวะสะท้าน ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้?”


 


เห็นง้าวเล่มนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที


 


ง้าวเทวะสะท้าน เป็น 1 ใน 6 ยอดสมบัติสวรรค์ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ในแง่ของพลังอำนาจแล้ว อันดับของมันยังอยู่เหนือกว่ากระบี่นิลสวรรค์ที่ปักอยู่ในชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติเสียอีก!


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีแก่ใจว่าตัวเขาคงไม่มีปัญญาใช้ง้าวเล่มนี้ได้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขอลองหยิบยกมันสักที!


 


อนิจจาแม้จะเร่งเร้าพลังสุดตัวจนหน้าดำคร่ำเครียด แต่ง้าวเทวะสะท้านก็แน่นิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย…


 


“โอย…ไม่รู้ชาติไหนข้าถึงจะใช้ยอดสมบัติสวรรค์พวกนี้ได้”


 


ต้วนหลิงเทียนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


ผู้ใดในหล้ายังเข้าใจความรู้สึกเขาได้?


 


เกาทัณฑ์ดับตะวันนั้น แม้จะเคยเป็นยอดสมบัติสวรรค์ แต่มันก็เสียหายไปแล้ว พลังอำนาจของมันไม่อาจเทียบได้แม้แต่ยอดสมบัติสวรรค์ที่มีพลังอำนาจน้อยที่สุด


 


ขณะเดียวกันยอดสมบัติสวรรค์ที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างกระบี่นิลสวรรค์ กับง้าวเทวะสะท้านในชั้น 3 นั้น มันคือยอดสมบัติสวรรค์ที่มีสภาพสมบูรณ์ พลังอำนาจของมันสุดที่เขาจะจินตนาการได้!


 


‘จากคำกล่าวของผู้เฒ่าหั่ว หากวันใดที่ข้าสามารถกวัดแกว่งยอดสมบัติสวรรค์ 1 ใน 6 ชิ้นนี้ได้ด้วยพลังของตัวเอง ข้าก็เสมือนผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า!’


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งบังเกิดรสขมปร่าขึ้นมา


 


แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะความแข็งแกร่งของเขาดันอ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนไม่อาจแม้แต่จะขยับยอดสมบัติสวรรค์เหล่านี้ได้…


 


หนึ่งคืนที่ผันผ่านไปด้านนอก ภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ผ่านไปถึง 2 วันครึ่ง


 


เวลา 2 วันครึ่งก็มากพอที่จะทำให้ด่านพลังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ของต้วนหลิงเทียนมั่นคง


 


เมื่ออรุณรุ่งของอีกวันมาเยือน ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


หลังจากที่แช่น้ำร้อนในถังอย่างผ่อนคลายจนสดชื่นสบายตัว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก


 


หลังออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปเลือกซื้อหาปากกาจารึกที่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน


 


‘ปากกาจารึกนี่แพงจริงๆ! เป็นแค่ปากกาจารึกระดับ 3 ดาวแท้ๆ แต่ข้าต้องจ่ายถึง 100,000 หินเซียนระดับ 7!’


 


หลังจากที่หมุนปากกาจารึกเล่นในมือรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าตึง..


 


หลังจากที่ซื้อปากกาจารึกเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเดินดูวัตถุดิบต่างๆในตลาด และใช้เวลาเดินวนเวียนอยู่ในตลาดทั้งวัน


 


‘น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าหั่วยังไม่ฟื้น…ไม่งั้นจะได้ให้ท่านดูชมว่ามีวัตถุดิบอันไหนที่ใช้ซ่อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้บ้าง’


 


ตลอดทั้งวันก็ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้อะไรเลย เขาพบวัตถุดิบ 2 ชิ้นที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกลักษณะของมันให้เขาทราบไว้คร่าวๆ


 


ช่วงเย็นตอนที่เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่เขาพัก ก็พบว่ามีคนมารอเขาอยู่


 


“คุณชายท่านนี้ ข้าคือพ่อบ้านของตระกูลโอวหยาง ท่านผู้นำของเราคิดเรียนเชิญท่านไปเยือนตระกูลโอวหยาง”


 


ผู้ที่มารอพบต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นชายชราคนหนึ่ง


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกติดใจอยู่บ้าง…พลังฝึมือของชายชราผู้นี้ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงเลย


 


และผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น โดยมากแล้วจะเป็นตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ


 


มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นกลาง…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)