War sovereign Soaring The Heavens 1487-1490
ตอนที่ 1487
ภูเขาจิ่วฉี
เมื่อชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติฟื้นฟูเสร็จสิ้น หมายความว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับพื้นที่บ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม
จากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้
สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้น 3 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ดีกว่าชั้น 2 มาก อีกทั้งด้วยอัตราการไหลของเวลาที่ช้าลง นับเป็นความช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ของต้วนหลิงเทียน
‘เมื่อซ่อมแซมฟื้นฟูชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้สำเร็จ…ต่อไปก็เป็นการเริ่มซ่อมแซมฟื้นฟูชั้นที่ 4..และทันทีที่ซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 4 ได้ ผู้เฒ่าหั่วบอกว่ามิติภายในเจดีย์จะมีเสถียรภาพ!’
ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด ลูกตาเผยประกายวาวโรจน์
หากพื้นที่ทั้งมิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีเสถียรภาพ…นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้มันเพื่อหลบซ่อนตัวได้ ยามเมื่อชีวิตเขาตกอยู่ในห้วงคับขันเป็นตาย!
เสมือนเรื่องในวันนี้
โชคดีที่ชายในชุดคลุมลมดำนั่นมันเป็นผู้ฝึกมาร ไม่งั้นเขาได้ตายแน่!
หากพื้นที่และมิติภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมีเสถียรภาพแล้วล่ะก็ ต่อให้ชายในชุดคลุมลมดำไม่ใช่ผู้ฝึกมาร เขาก็ไม่ต้องกลัวมัน
เพราะเขาสามารถซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และย่อส่วนมันให้เล็กลงเท่าละอองคลี หลบเร้นสายตาของมันได้ไม่ยาก!
พอชายในชุดคลุมลมดำจากไป เขาก็ค่อยโผล่ออกมาอีกครั้ง
การซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้สำเร็จ เป็นก้าวแรกเพื่อซ่อมแซมชั้น 4
ตอนนี้พอทราบว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สามารถซ่อมแซมได้สมบูรณ์แน่แล้ว ใจต้วนหลิงเทียนย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี
“ผู้เฒ่าหั่วท่านเริ่มซ่อมแซมเจดีย์เลยเถอะ…ข้าจะออกเดินทางต่อ พอถึงเมืองหานเหอ ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติน่าจะเสร็จให้ข้าเข้าไปบ่มเพาะพอดี!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วด้วยความตื่นเต้น
ผู้เฒ่าหั่วตอบรับและเริ่มต้นทำงานทันที
ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะวางวัตถุดิบทั้งหมดในแหวนเอาไว้บนพื้นแบบนั้น และออกจากเจดีย์เพื่อเดินทางไปยังเมืองหานเหอต่อ
หลังจากถูกขัดขวางจากหวงเฉิงและชายในชุดคลุมลมดำแล้ว การเดินทางที่เหลือของต้วนหลิงเทียนก็ราบรื่นเสมือนล่องเรือในทะเลสาบสงบ
ครึ่งเดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนก็มาถึงพื้นที่แนวเทือกเขาใกล้ๆเมืองหานเหอแล้ว
ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมายังเมืองหานเหอนั้น เขาได้ศึกษาจนรู้ตำแหน่งที่ตั้งของมัน รวมทั้งพื้นที่รอบๆเป็นอย่างดี
“ที่นี่สมควรเป็นภูเขาจิ่วฉีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหานเหอสินะ…”
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างบนฟ้า เหลือบมองไปยังภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวเป็นแนวยาวเบื้องหน้า
ภูเขาลูกนี้มหึมานัก แนวเขายังทอดตัวยาวออกไปนับพันๆลี้ ยากจะมองเห็นจุดสิ้นสุด หากคิดจะไปเมืองหานเหอจำเป็นต้องข้ามเขาลูกนี้ไป
‘กล่าวกันว่าแรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีนั้นสูงกว่าพื้นที่ทั่วไปอยู่มาก…กระทั่งตัวตนในขอบเขตสู่เซียนก็ยากที่จะเหินบินได้อย่างเสรี’
นี่คือความเข้าใจต่อภูเขาจิ่วฉีที่ต้วนหลิงเทียนมี
“ไม่รู้ว่าจะจริงรึเปล่า”
มองไปยังขุนเขาใหญ่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็สงสัยไม่น้อย เริ่มบินเข้าไปทันที
เขาเองก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าแรงโน้มถ่วงของภูเขาจิ่วฉีที่ว่า จะมากมายขนาดไหน!
อย่างไรก็ตามเพียงเข้าใกล้เขตภูเขา ไม่ทันที่จะถึงตีนเขาด้วยซ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลในอากาศ แรงกดดันดั่งกล่าวทำให้เพดานบินของเขาดิ่งวูบลงมาทันที
แรงกดดันนี้เสมือนแรงกดดันในอาคมห้ามบินอยู่บ้าง ทว่ายังมีความต่างจากอาคมห้ามบินไม่น้อย
อาคมห้ามบินนั้น หากพลังฝึกปรือไม่ถึงขอบเขตที่กำหนดไว้ จะไม่สามารถเหินบินได้เลย
ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนเพียงบินด้วยเพดานบินต่ำเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นบินไม่ได้
“ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาจิ่วฉีนั่นแรงกดดันยิ่งมีมาก…ดูเหมือนแรงโน้มถ่วงในเขาจะไม่ใช่เล่นๆซะแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะลงไปเดินยังภาคพื้นดินเมื่อเข้าใกล้ตีนเขาของภูเขาจิ่วฉี ถึงแม้ว่าเขาจะยังพอบินได้ แต่เพดานบินก็ไม่สูงอะไร ทั้งยังลำบากยากเย็นนัก เพราะไม่อาจประคองร่างในอากาศได้นาน!
ตอนนี้หากคิดจะบินก็ไม่ต่างอะไรจากหาเรื่องท้าทายแรงดึงดูดของภูเขาจิ่วฉี!
แรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีนั้นเป็นพลังอำนาจของธรรมชาติ จำต้องมีพลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะพอเพิกเฉยมันได้
ต้วนหลิงเทียนยังไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว
‘ดูเหมือนว่าคิดข้ามภูเขาจิ่วฉีนี่ข้าคงทำได้แค่เดินเท้าอย่างเดียว…ได้ยินว่าป่าบนเขาเองก็มีสัตว์ร้ายมากมาย กระทั่งสัตว์เซียนที่มีพลังฝึกปรือสูงเกินสู่เซียนขั้นต้น…ต้องระวังหน่อยแล้ว’
ก่อนจะเดินเข้าไปในภูเขาจิ่วฉีเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นตัวขึ้นมา
เบื้องหน้ามีหนทางสายหนึ่งที่ทอดยาวไปในภูเขาจิ่วฉี ทันทีที่ย่ำเท้าลงบนเส้นทางเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งทันที
และยิ่งเข้าไปมากเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
‘แต่ละก้าวต้องใช้พลังอยู่บ้าง’
ต้วนหลิงเทียนตกใจ
เขาเพียงแค่รู้มาว่าแรงโน้มถ่วงในภูเขาจิ่วฉีแข็งแกร่ง แต่ไม่รู้เลยว่ามันหนักหนาขนาดไหน มาตอนนี้พอได้เจอกับตัว เขาถึงได้รู้ว่าเขาประเมินแรงดึงดูที่นี่ต่ำไปกว่าที่เป็นจริงอยู่บ้าง
‘แรงโน้มถ่วงมากขนาดนี้…นอกจากสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะมีใครเหินบินในเขตภูเขาได้ดั่งใจ’
หลังจากตระหนักถึงแรงโน้มถ่วงในภูเขา ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ
แน่นอนว่าหากเขาใช้ยันต์เทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว เขาสามารถวิ่งข้ามเขาได้ปร๋อ กระทั่งจะเหินบินผ่านไปก็ทำได้ไม่ยากเย็น แต่เขาไม่คิดจะทำแบบนั้น
เว้นแต่จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจริงๆ เขาไม่คิดจะใช้ยันต์เต๋าระดับ 3 ดาวพร่ำเพรื่อ
ภูเขาจิ่วฉีลูกนี้ไม่เพียงแรงโน้มถ่วงสูงเท่านั้น แต่ยังมีอันตรายอีกมากมายหลายประการ
อันตรายที่ว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นสัตว์ร้าย!
สัตว์ร้ายในภูเขาจิ่วฉี พวกมันอยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่เกิด ย่อมคุ้นชินกับแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งดี!
เรียกว่าถึงแม้พวกมันเองก็ได้รับผลจากแรงโน้มถ่วงที่สูงของภูเขาจิ่วฉีมาแต่เกิด ทว่านั่นเสมือนการเคี่ยวกรำพวกมันตามธรรมชาติ!
การที่มันอยู่รอดมาได้ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายแบบนี้ หมายความว่าในระดับเดียวกัน สัตว์ร้ายที่นี่จะแข็งแกร่งเหนือกว่าสัตว์ร้ายด้านนอก!
ดังนั้นการเดินทางในภูเขาจิ่วฉี ต้วนหลิงเทียนจึงไม่กล้าละวางความระวัง คอยสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างตื่นตัวตลอดเวลา
“ฮู่มมมมมมม!!”
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายหนึ่งดังก้องมาในอากาศ สัตว์ร้ายชนิดหนึ่งที่แลไปคล้ายเสือโคร่งกระโจนออกมาจากแนวป่าไผ่ มันพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้าย ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง เผยน้ำลายยืดย้อยตามเขี้ยวแหลมคม!
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนถึงกับสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนขุมหนึ่งพุ่งตีปะทะใบหน้า!
และพร้อมๆกันกับคลื่นความร้อนดังกล่าว ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยเตะจมูกอย่างแรง!
“หาที่ตาย!”
หน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขรึมขึ้นทันใด ดาบใหญ่พันทวีปรากฏขึ้นจากความว่างเข้ามือ เหวี่ยงฟาดไปยังสัตว์ร้ายที่อ้าปากกว้างพร้อมกระโจนเข้ามาอย่างหิวโหยดังกล่าวทันที!
อาคมเซียนพันทวีที่จารึกอยู่บนดาบถูกเปิดใช้!
ประทับไท่ซาน!
ยามต้วนหลิงเทียนเหวี่ยงดาบใหญ่ออกไป ให้สภาวะประหนึ่งขุนเขามหึมาถล่มลง เขาฟาดร่างสัตว์ร้ายนั่นอย่างแรง ยังกดดาบใหญ่ทับร่างมันเอาไว้ติดดิน!
“อ๋าวววูววว”
สัตว์ร้ายที่ถูกดาบใหญ่ฟาดจนเปลี้ยไปกับดิน ถลึงตาดุร้ายสีแดงฉานมองต้วนหลิงเทียนอย่างเอาเรื่อง ร่างของมันยังพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการกดทับของดาบใหญ่ในมือต้วนหลิงเทียน!
ร่างมันพลิกซ้ายทีขวาทีทั้งดิ้นพล่านไม่หยุด ราวกับจะพยายามหลุดรอดจากการกดดับนี้ให้ได้!
“อยากลุกขึ้นงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้ม “อยากลุกนักข้าจัดให้!”
กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ยกดาบใหญ่พันทวีขึ้นอย่างฉับไว!
ทันใดนั้นลูกตาสัตว์ร้ายคล้ายจะทองแสงสว่างเรื่อ มันเร่งตะเกียกตะกายหมายลุกขึ้นยืนทันที
ประทับไท่ซาน!
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไหนเลยให้มันยืนได้ง่ายๆ ดาบใหญ่ที่ยกขึ้นก่อนหน้ากลับกลายเป็นการง้างสุดเหยียด ฟาดฟันลงมาอีกรอบด้วยวรยุทธ์จู่โจมอันแข็งกร้าว! ดาบใหญ่เปี่ยมภาวะสังหารฟาดลงมาปานเขาถล่ม!!
ตึงงงง!!
ร่างสัตว์ร้ายดังกล่าวถูกดาบใหญ่ทุบเข้าอย่างจังจนกระดูกสันหลังแหลกเหลว ทำได้แค่ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น อวัยวะภายในป่นปี้หมดสิ้น ขาดใจตายไปทั้งอย่างนั้น…
หากแต่ลูกตาดุร้ายดวงเขื่องสีแดงฉานยังจ้องมองมาทางต้วนหลิงเทียน คล้ายมันไม่ได้ตายอย่างสงบ!
‘สัตว์ร้ายตัวนี้อย่างดีพลังฝึกปรือก็แค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ…แต่พลังของมันกลับเทียบๆได้กับสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ! สัตว์ร้ายในภูเขาจิ่วฉีนับว่าร้ายกาจสมคำร่ำลือนัก!’
การฆ่าสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้ไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนภาคภูมิใจอะไร กลับกันสีหน้ายังกลายเป็นจริงจังขึ้นมา
นี่เป็นแค่สัตว์ร้ายตัวแรกที่เขาพบในภูเขาจิ่วฉี…
หากเดินลึกเข้าไปในเขา น่ากลัวว่าจะต้องเจอสัตว์ร้ายที่มีความแข็งแกร่งสูงกว่านี้มากแน่นอน!
เช่นนั้นแล้วต้วนหลิงเทียนจึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้นหลายส่วน!
ระหว่างเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ได้สังหารสัตว์ร้ายขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์เชี่ยวชาญกับหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบไปอีกไม่กี่ตัว
ส่วนสัตว์ร้ายที่มีระดับหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่นั้น หากเลือกที่จะเลี่ยงได้ ต้วนหลิงเทียนก็จะเลี่ยงพวกมัน ไม่อยากไปปะทะด้วยอย่างไม่จำเป็น
จะอย่างไรเสียสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ในป่าบนภูเขาจิ่วฉีแห่งนี้ มันก็อยู่ที่นี่มาแต่เกิด เกรงว่าหากเขาคิดจะฆ่ามันก็จำต้องลงมืออย่างจริงจังไม่น้อย
และหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริงๆ แน่นอนว่าย่อมสร้างความปั่นป่วนจนก่อให้เกิดเสียงดังวุ่นวาย
ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นเตือน และเรียกหาสัตว์ร้ายตัวอื่นมาอย่างไม่จบสิ้น กระทั่งอาจจะเจอสัตว์ร้ายที่ทรงพลังขึ้นมา
ดังนั้นถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจว่าหากปะทะกันจริงๆ เขาสามารถสังหารสัตว์ร้ายหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ได้แน่ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเสี่ยงปะทะกับมันให้วุ่นวาย
สัตว์ร้ายที่เขาไม่หลีกเลี่ยงและเลือกที่จะสังหารนั้น ส่วนมากจะเป็นสัตว์ร้ายที่เขาลงมือฆ่ามันได้ในกระบวนเดียวทั้งสิ้น
แน่นอนว่าการฆ่าในกระบวนเดียวนี้ ยังไม่ได้ใช้เกาทัณฑ์ดับตะวัน
ด้วยอาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่จารึกอยู่บนเกาทัณฑ์ดับตะวัน ต่อให้เป็นสัตว์ร้ายขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ในภูเขาจิ่วฉี เขาก็มั่นใจว่าสามารถสังหารมันได้ในดอกเดียว!
อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอาคมเพลิงระเบิดนั้นเสียงดังเกินไป เขาไม่อยากจะใช้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ดังนั้นตลอดการเดินทางบนภูเขาจิ่วฉีจึงพยายามเดินทางอย่างเงียบๆ อาศัยความสามารถในการจับสัมผัสข้ามเขาไปอย่างราบรื่น
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินไปตามทางสายหนึ่ง พลันโค้งคิ้วขึ้นด้วยคล้ายจับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เบื้องหน้าเหมือนจะมีคลื่นพลังสะท้อนแผ่พุ่งออก ทั้งมีเสียงดังปงปังจากการประมือ
พอลอบเข้าไปชมดูเรื่องราวใกล้ๆ ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายชราคนนึ่งกำลังปะทะรับมือสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอย่างดุเดือด!
ไม่ว่าจะเป็นชายชราหรือสัตว์ร้าย ตามเนื้อตัวก็มีบาดแผลเลือดโชก เห็นได้ชัดว่าต่างได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่!
อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดหยุด ต่างยังลงมือเข้าใส่กันไม่หยุดพัก ราวกับต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ตายให้จงได้!
นอกจากร่างชราที่ปะทะกับสัตว์ร้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นร่างอีก 2 ร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกล
อย่างไรก็ตามร่างหนึ่งกับเป็นสตรีที่แลดูค่อนข้างน่ารัก ด้านบุรุษนั้นแม้ใส่เสื้อผ้าหรูหรามีราคาแต่หน้าตากลับแลดูธรรมดาดาษดื่น
เพียงมองจากการแต่งกายของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีคู่นี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา น่าจะมาจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยสักตระกูล
“ผู้เฒ่าผิงนั้นน่าชื่นชมยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญของสกุลโอวหยาง…กระทั่งปะทะกับสัตว์ร้ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญตัวนี้ได้…จักอย่างไรนี่ก็เป็นสัตว์ร้ายที่เติบโตมาในภูเขาจิ่วฉี พลังของมันนับว่าร้ายกาจกว่าสัตว์ร้ายที่อื่นมากนัก”
ชายหนุ่มกล่าวชื่นชมออกมา
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”
คิ้วสตรีนางนั้นเชิดขึ้น ความเย่อหยิ่งแผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้ว “มรดกของตระกูลโอวหยางเรา แม้จักกวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองหานเหอ ก็ยังนับเป็นอันดับต้นๆ!”
ตอนที่ 1488
อี้เทียนสิง
จังหวะที่ได้ยินวาจานี้ของสตรีนางนั้น แววตาของบุรุษหนุ่มทอประกายเย็นเยียบออกมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปในชั่วพริบตา
ทว่าแววตาเย็นเยียบนั่น…ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นได้ชัดถนัดตา!
‘ไม่ใช่ว่าพวกมันมาด้วยกันรึไง ทำไมถึงแลดูไม่ค่อยลงรอยกันล่ะ?’
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกงุนงงด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์
ตอนนี้เองในที่สุดสัตว์ร้ายด่านพลังสูเซียนขั้นเชี่ยวชาญ ก็ถูกเฒ่าชราด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญเช่นกันสังหารลงได้สำเร็จ
มือของผู้ชราถือไว้ด้วยดาบ 3 ฉื่อที่เสือกแทงหว่างคิ้วสัตว์อสูรตัวนั้นไปมิดเล่ม! ยังพุ่งร่างหอบหิ้วร่างสัตว์ร้ายที่ถูกทะลวงหว่างคิ้วไปปักคาไว้กับต้นไม้ใหญ่ ร่างสัตว์ร้ายแม้สิ้นชีวิตไปแล้วหากทว่ายังคงกระตุก มันดิ้นกระแด่วๆอีกพักหนึ่งค่อยแน่นิ่ง พาลให้ไม้ใหญ่ถึงกับสั่นไหว ใบไม้ร่วงโปรยลงมาดั่งห่าพิรุณ…
“ผู้เฒ่าผิง ท่านร้ายกาจที่สุด!”
สตรีแย้มยิ้มค่อยเดินไปหาชายชราด้วยใบหน้าตื่นตาตื่นใจ
“อ๊อคค!”
ทว่าทันทีที่สตรีนางนั้นเดินถึงเบื้องหน้าชายชรา ใบหน้าของชายชราก็แดงเรื่อคล้ายอึดอัด สุดท้ายค่อยกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ร่างสั่นสะท้านยืนแทบไม่อยู่ทรุดลงไปนั่งชันเข่ามือที่ปักดาบลงพื้นค้ำยันตัวสั่นระริก เห็นชัดว่ามันบาดเจ็บสาหัสนัก!
“ผู้เฒ่าผิง! ท่านบาดเจ็บหรือ!?”
หน้าสตรีถึงกับถอดสีทันใด ยังกล่าวถามคำถามเหลวไหลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง
สตรีนางนี้คงไม่คิดว่าเฒ่าชรานั่น พ่นเลือดเพราะนึกสนุกหรอกนะ?
ช่างเลอะเลือนนัก!
นี่คือความเห็นแรกของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อสตรีนางนั้น
“คุณหนูรอง…พวกเรารีบกลับไปยังเมืองหานเหอกันเถอะ”
ชายชราพยายามเงยหน้าขึ้นมากล่าวคำกับสตรีนางนั้นอย่างยากลำบาก
“อื้อ พวกเรารีบกลับ!”
สตรีนางนั้นพยักหน้ารับอย่างรีบร้อน ค่อยหันไปมองบุรุษในชุดหรูหรากล่าวออกพร้อมขมวดคิ้ว “อี้เทียนสิง เจ้ายังยืนทำอะไรของเจ้าอยู่อีก! ใยมิรีบมาช่วยท่านผู้เฒ่าผิงเล่า!?”
“ข้าไปแล้วๆ”
บุรุษหนุ่มในชุดหรูหรายิ้มรับแหยๆ ค่อยๆก้าวเดินไปยังชายชราที่ถูกสตรีนางนั้นดูอาการ
ทว่าทันใดนั้นเอง มันกลับหยุดลงสีหน้าแววตาของมันยังกลับกลายเป็นเย็นชา เผยจิตมุ่งร้ายออกมาชัดเจน
“โอวหยางผิง”
อี้เทียนสิงพลันตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้สตรีนางนั้นตกใจไม่น้อย
โอวหยางผิงที่ชันเข่าข้างหนึ่งเพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองอี้เทียนสิงตามคำเรียกอย่างงุนงง
ทว่าทันทีที่มันเห็นอี้เทียนสิงยกมือขึ้นเรียกมีดเล่มหนึ่งมาถือไว้ สีหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันใด แววตาเผยความร้อนรนไม่น้อย
เพราะตอนนี้ถึงแม้พลังฝึกปรือของมันจะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ ทว่าตอนนี้มันอ่อนแอไร้กำลังหลังจากรบกับสัตว์ร้ายจนบาดเจ็บ!
ในกาลก่อนมันไม่เคยกลัวบุรุษหนุ่มในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นผู้นี้เลย ทว่าหากอีกฝ่ายลงมือตอนนี้ ก็สุดที่มันจะต้านทานรับได้จริงๆ!
ฉัวะ! กลุกกลักๆ
ศีรษะของโอวหยางผิงถูกสะบั้นจนกลิ้งตกพื้นพร้อมตาเบิกกว้างด้วยรังสีพลังสะบั้นจากมีด! ของเหลวสีแดงฉานพุ่งออกมาจากคอที่ไร้หัวดั่งน้ำพุ กระจายราดรดไปทั่ว!
พาลให้บรรยากาศส่งกลิ่นคาวคลุ้งขึ้นมาทันที
“อี้เทียนสิง! เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า! นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร!?”
สุดท้ายสตรีที่ตะลึงงันก็ค่อยได้สติ นางมองเรื่องราวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “จะ…เจ้ากล้าฆ่าผู้เฒ่าผิงได้อย่างไร เจ้าตายแน่! เรื่องนี้ต่อให้บิดาเจ้าออกหน้า เจ้าก็ไม่มีทางรอด!”
“ให้บิดาข้าออกหน้าข้าก็ไม่มีทางรอด?”
อี้เทียนสิงหัวเราะร่า “โอวหยางหลัว ดูเหมือนเจ้าจะยังมิเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้สินะ ไอ้แก่ที่คุ้มกะลาหัวเจ้ามันตกตายไปแล้ว…เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะมีโอกาสรอดไปจากเขาลูกนี้ได้หรือ?”
“จะ…เจ้าคิดฆ่าข้า?!”
สีหน้าโอวหยางหลัวซีดลงทันใด “ถ้าเจ้าฆ่าข้า ตระกูลอี้ของเจ้าจักถูกสับจนแหลกเยี่ยงสุนัข!”
“เหอะๆ ข้าฆ่าเจ้าที่นี่ ผู้ใดยังจะล่วงรู้ได้?”
อี้เทียนสิงแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ข้าบังเอิญพบเจอพวกเจ้าระหว่างทาง เช่นนั้นหากเจ้ามิได้กลับไปรายงานเรื่องราวที่ตระกูลโอวหยางสักคน…ยังจะมีผู้ใดล่วงรู้? ทั้งหมดย่อมคิดว่าพวกเจ้าทั้งคู่ตกตายในเขาจิ่วฉี! ไหนเลยจะมาสงสัยข้าอี้เทียนสิงได้?!”
ได้ยินวาจานี้ของอี้เทียนสิง สีหน้าโอวหยางหลัวซีดลงจนไม่เหลือสีเลือด นางรู้ดีว่าวาจานี้ของอีกฝ่ายไม่แปลกปลอม
“อะ…อี้เทียนสิง ข้าว่า พะ…พวกเราก็มิได้มีเรื่องอันใด บะ…บาดหมางกันมาก่อน ทะ…ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้!?”
น้ำเสียงของโอวหยางหลัวสั่นเครือ นางเป็นลูกคุณหนูที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไหนเลยจะเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้?
“ทำไมข้าต้องทำแบบนี้งั้นเหรอ?”
อี้เทียนสิงได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของมันกลายเป็นดุร้ายตะคอกคำเสียงดัง “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้า! เจ้า! คุณหนูรองตระกูลโอวหยาง! มิเคยมองข้าอี้เทียนสิงดีๆสักครั้ง…!! แต่เล็กจนโตข้าเขียนจดหมายไปหาเจ้านับร้อยนับพันฉบับ…เจ้าเคยได้อ่านมันบ้างหรือไม่?!”
“ในใจเจ้า ข้าอี้เทียนสิงต้อยต่ำมิคู่ควรเสมอ!”
วาจาท้ายประโยคแทบจะกลายเป็นคำรามอยู่รอมร่อ
โอวหยางหลัวได้ฟังเรื่องราวก็ถึงกับอึ้งไปทันใด นางไม่คิดเลยว่าอี้เทียนสิงจะกลายเป็นคนเสียสติ ฆ่าคนอย่างโหดร้ายเพราะเรื่องเพียงเท่านี้
ที่แท้จิตใจมันต้องบิดเบี้ยววิปริตถึงขั้นใดกัน จึงสามารถกระทำเช่นนี้ได้?
จังหวะนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเสียขวัญ
“อี้เทียนสิง เรื่องมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด…ข้าอ่านจดหมายของเจ้าทุกฉบับ แต่ข้ามิชมชอบเขียนจดหมาย จึงมิได้ตอบกลับหาเจ้า”
โอวหยางหลัวกล่าววาจาปั้นน้ำเป็นตัวออกมา เพื่อทำให้อี้เทียนสิงสงบลง
“มิชมชอบเขียนจดหมาย…เลยมิได้ตอบกลับ?”
อี้เทียนสิงยิ้มออกมาราวคนคลั่ง “แล้วที่เจ้าตอบจดหมายของซือถูฮั่วนั่นหมายความว่าอันใด? กระทั่งจนถึงตอนนี้เจ้ายังทำราวกับข้าเป็นตัวโง่งมที่เจ้าจะหลอกปั่นหัวได้อยู่ร่ำไปงั้นเรอะ!?”
สีสันยิ่งมายิ่งจางหายไปจากหน้าโอวหยางหลัว นางไม่คิดเลยว่ากระทั่งเรื่องนี้ อี้เทียนสิงก็รู้!
“ข้าได้ยินมาว่าคนสกุลซือถูจะยกขบวนแห่ไปยังตระกูลโอวหยางเจ้า เพื่อสู่ขอเจ้าให้วิวาห์กับซือถูฮั่วเร็วๆนี้…และดูเหมือนว่าบิดาของเจ้าเองก็เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ด้วย หึๆๆ…ตอนแรกข้าคิดว่าข้าจะเสียเจ้าไปแล้ว แต่มิคิดเลยว่าฟ้ากลับประทานโอกาสนี้แก่ข้า!!”
อี้เทียนสิงค่อยๆย่างเท้าไปหาโอวหยางหลัวที่สั่นกลัวอย่างไม่รีบร้อน ในดวงตาเผยให้เห็นความปรารถนาอันหื่นกระหายชัดเจน
“อี้เทียนสิง ตะ…ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป ข้าสาบานว่าข้าจะเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ไว้เป็นความลับ…สำหรับผู้เฒ่าผิง ข้าจะกล่าวบอกทุกคนว่าท่านผู้เฒ่าตายเพราะปกป้องข้าจากสัตว์ร้าย!”
ตอนนี้โอวหยางหลัวรู้สึกหวาดกลัวจับใจ
“มิจำเป็น! ในเมื่อหากข้าลงมือกับเจ้าเสียวันนี้ จะอย่างไรเรื่องราวนี้ก็มิมีวันกระจ่าง…มิใช่ว่าเจ้าทำตัวหยิ่งยโสเชิดใส่ข้าอยู่ตลอดหรือไร? ใยตอนนี้เจ้าไม่ทำท่ายะโสเชิดหน้าเมินข้าเหมือนอย่างเคยแล้วเล่า?!”
วาจาท้ายประโยคของอี้เทียนสิงคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยความคับแค้นที่สั่งสมมานานปี ท่าทางของมันดุร้ายราวสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง
ทันใดนั้นเองโอวหยางหลัวเร่งสะบัดมือเรียกยันต์ ทั้งขว้างปาไปทางอี้เทียนสิงทันที
“สำแดง!”
โอวหยางหลัวร้องออกมาเสียงดัง ทว่าทันใดนั้นเองเสียง ‘สำแดง’ อีกคำก็ดังขึ้นตามติด อี้เทียนสิงเองก็ซัดยันต์ใบหนึ่งออกมา รังสีพลังสังหารจากยันต์ทั้ง 2 ปะทะหักล้างกันกลางอากาศ จนสลายหายไปเช่นนั้น
ยันต์ของทั้งคู่ล้วนเป็นยันต์เต๋าจู่โจมระดับ 2 ดาว พลังอำนาจจึงมิได้ผิดแผกแตกต่างกัน
“โอวหยางหลัวเจ้าอย่าได้ดิ้นรนอีกเลย…หากเจ้ามิขัดขืนและคอยปรนนิบัติข้าอย่างดี บางทีข้าอาจให้เจ้าได้ตกตายโดยมีซากศพสมบูรณ์ หาไม่แล้วข้าจักหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆแล้วปล่อยให้สัตว์ร้ายรับประทานไปเสีย!!”
อี้เทียนสิงแสยะยิ้มปากฉีกแทบถึงหู รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายวิปลาศนัก
โอวหยางหลัวได้ฟังก็ตื่นกลัวถึงที่สุด นางที่ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่นิ่งเงียบงัน ตัวสั่นระริก
อี้เทียนสิงเริ่มลงมือถอดชุดคลุมตัวนอกออก ยังลดมือไปดึงสายคาดเอว คล้ายจะเผยอาวุธเตรียมขยี้บุปผางาม
ถึงแม้ว่าโอวหยางหลัวจะดิ้นรนขัดขืนมัน แต่นางก็ยังห่างไกลจากการทำอะไรมันได้ เพียงไอพลังขุมหนึ่งที่อี้เทียนสิงแผ่ไปกดดัน นางก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แล้ว
นางเป็นแค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น นางไม่อาจต้านทานพลังอำนาจของอี้เทียนสิงที่บรรลุสู่เซียนขั้นต้นแล้วได้เลย…
“จึกๆๆ ให้มันได้ยังงี้สิ…ใจเจ้ามันต้องบิดเบี้ยววิปริตถึงขนาดไหนกัน ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ”
ในขณะที่อี้เทียนสิงกำลังเอื้อมมือไปกระชากชุดของโอวหยางหลัวที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเพื่อย่ำยีขืนใจนั้นเอง เสียงต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้น ค่อยๆก้าวออกมาจากเงามืดของต้นไม้ เดาะลิ้นด้วยความเบื่อหน่ายส่ายหัวกล่าว
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนชอบสอดเรื่องชาวบ้าน
กระทั่งนิสัยท่าทีของสตรีอย่างโอวหยางหลัวนั้นเขาก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของอี้เทียนสิงมันต่ำช้าเกินกว่าที่เขาจะทนดูอยู่เฉยๆได้จริงๆ
ให้ทนดูอี้เทียนสิงข่มขืนสตรีต่อหน้าแบบนี้ เขารู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจ
“ผู้ใด!?”
เสียงของต้วนหลิงเทียนทำให้สีหน้าอี้เทียนสิงเปลี่ยนไปทันที มันรีบหันกลับมาจนได้เห็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญว่าเจ้าทำให้ข้าขยะแขยงนัก”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองอี้เทียนสิงที่ร่างเปลือยเปล่าเบื้องล่างชูชันเตรียมก่อการด้วยสายตาเย็นชาแฝงรังเกียจ ค่อยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน “บุรุษผู้นึงกลับกลายเป็นวิปริตใจบิดเบี้ยวเพราะสตรีนางหนึ่ง…น่าเศร้านัก”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงกล้ากล่าววาจาสั่งสอนข้า!”
อี้เทียนสิงแสยะยิ้มกล่าวเยาะ ทันใดนั้นมันก็ชักมีดที่บางปานปีกจั๊กจั่นออกมาสะบัดวาด ทันใดนั้นปรากฏคลื่นสะบั้นคมกริบสีครามสายหนึ่งซัดพุ่งออกไปดั่งเสี้ยวจันทร์ ปรี่เข้าหาลำคอต้วนหลิงเทียน!
คลื่นสะบั้นนี้ยังมีความไวอันน่าทึ่งนัก!
หากทว่าต้วนหลิงเทียนที่เตรียมพร้อมอยู่แต่แรก เพียงสืบเท้าไม่กี่ก้าว ร่างก็วูบหลบคลื่นพลังสะบั้นสีครามไปได้อย่างง่ายดาย!
นี่เป็นเพราะอี้เทียนสิงลงมืออย่างฉุกละหุกไม่ได้ใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดอย่างตั้งใจ หาไม่แล้วหากมันลงมือจริงจังเกรงว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่อาจหลบได้ง่ายดายไร้เรื่องราวแบบนี้
เพราะอี้เทียนสิงผู้นี้ จะอย่างไรเสียก็กล่าวได้ว่ามันเป็นชนชั้นสู่เซียนขั้นต้นคนหนึ่ง
“ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!!”
เมื่อต้วนหลิงเทียนหลบคลื่นสะบั้นของอี้เทียนสิงได้อย่างง่ายดายอี้เทียนสิงจึงต้องปล่อยโอวหยางหรัวและหันมารับมือเรื่องราว มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง
ด้านโอวหยางหรัวที่หลุดจากพลังสะกด ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นเร่งดึงชุดที่ถูกกระชากออกให้เข้าที่ ยังรีบวิ่งไปหลบด้านหลังต้วนหลิงเทียนทันที
ตอนนี้ทีท่าคุณหนูผู้สูงส่งของนางไม่มีเหลืออยู่เลย
“ช่วยข้า! แล้วตระกูลโอวหยางจะตอบแทนเจ้าอย่างงามมิมีตระหนี่…ถึงตอนนั้นมิว่าเจ้าต้องการอันใด ตระกูลโอวหยางของข้าจะพยายามหามาให้เจ้าเท่าที่พวกเราจะกระทำได้!”
โอวหยางหลัวเร่งกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ว่ายามกล่าวโอวหยางหลัวจะไม่ได้หยิ่งยะโสมากมายอะไร ทว่าต้วนหลิงเทียนได้ยินวาจาประโยคแกมสั่งนี้ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจแล้ว
ในเมื่อมีโอกาสมาถึงที่ เขาเองก็จะเรียกร้องจากตระกูลโอวหยางให้มันมากๆหน่อย!
“ตายเสีย!”
ตอนนี้เองอี้เทียนสิงพลันลงมือออกมาอีกครั้ง ปราณแท้มันหลั่งไหลลงใบมีด บังเกิดเป็นมีดปราณบางเท่าจั๊กจั่นฉาบคลุมมีดมันเอาไว้อีกที มันใช้วรยุทธ์ที่มันฝึกปรือทั้งหมดลงมือเต็มกำลัง ร่างปรี่ตรงเข้าหาต้วนหลิงเทียนปานกระสุน!
พลังอำนาจของสู่เซียนขั้นต้นปะทุเต็มพิกัด คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนคลื่นพลังสะบั้นครั้งแรก!
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นอีกฝ่ายพุ่งมาด้วยท่าร่างอันฉับไว ทั้งไอพลังกล้าแข็งที่ฉาบบนมีด เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอี้เทียนสิงนับเป็นยอดฝีมือสู่เซียนขั้นต้นคนหนึ่ง
นอกจากนี้สายตาเขายังแลเห็นชัด ถึงลวดลายพร้อมอักขระจารึกที่สลักบนมีดเล่มนั้น…มันคืออาคมเซียน 2 ดาว! พาลให้พลังมีดคล้ายไร้เทียมทานอยู่บ้าง!!
หากเขาใช้ดาบใหญ่พันทวีต้านรับ เกรงว่าคงไม่อาจเอาชนะอี้เทียนสิงได้ง่ายๆ
ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้กระบวนท่าสังหารของเขาออกมาทันที!
เกาทัณฑ์ดับตะวัน!
คนเกาทัณฑ์ร่วมประสาน!
ดาวตกพิฆาต!
ต้วนหลิงเทียนยิงดอกศรไปด้านข้าง พร้อมใช้ออกด้วยท่องเกาทัณฑ์ทิ้งระยะจากอี้เทียนสิง! ก่อนที่จะเปิดใช้อาคมจารึกทั้ง 3 ของเกาทัณฑ์ดับตะวัน ยิงดาวตกพิฆาตออกไปด้วยพลังทั้งหมดในชั่วพริบตา!!
ซู่ม!
ดอกศรพุ่งแหวกอากาศฉับไว เล็งไปยังจุดตายของอี้เทียนสิง!
“เปล่าประโยชน์! เจ้าประเมินตัวเองสูงไป!!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณแท้จากร่างกายต้วนหลิงเทียนอี้เทียนสิงพลันแสยะยิ้มเย็นเยือก มันตวัดมีดที่ฉาบไว้ด้ยปราณพลังบางดั่งปีกจั๊กจั่นออกมาเบื้องหน้านับสิบมีดในชั่วพริบตา สร้างม่านพลังกำบังหมายต้านรับลูกเกาทัณฑ์ของต้วนหลิงเทียน!!
ในสายตาของมัน ศรพลังมีสภาพที่บังเกิดจากการควบรวมปราณแท้ของผู้ฝึกตนหลุดพ้นมนุษย์ ย่อมไม่มีวันทำอันตรายใดๆมันได้!
อย่างไรก็ตามเมื่อดอกศรของต้วนหลิงเทียนปะทะกับม่านพลังคมมีด อี้เทียนสิงก็ได้ตระหนักเรื่องราวประการหนึ่ง…ว่าตัวมันนั้นตื้นเขินถึงเพียงใด…
ศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน ปานได้รับอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพ! ทะลวงฝ่าม่านพลังคมมีดของอี้เทียนสิงไปได้อย่างง่ายดาย! ด้านอี้เทียนสิงที่หน้าตาตื่นสองตาหวาดผวา รีบเบี่ยงตัวหลบเพื่อไม่ให้ศรทะลวงกลางใจ
ไม่พ้น! สุดท้ายยังถูกศรพลังมีสภาพทะลวงหัวไหล่จนทะลุ!!
ตอนที่ 1489
ความคิดของโอวหยางหลัว
แม้จะตื่นตระหนกกับศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน แต่สุดท้ายอี้เทียนสิงก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะตัวมันสามารถเบี่ยงหลบดอกศรได้ทันท่วงที แม้ดอกศรจะทะลวงหัวไหล่ไปก็ตาม…
ทว่าวินาทีต่อมันสีหน้ามันก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
และใบหน้าอันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนี้ ถูกกำหนดไว้ให้เป็นสีหน้าสุดท้ายในชีวิตของมัน!
ปงงงง!!
ทันใดนั้นรอยแผลที่ถูกศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนยิงทะลุ ก็บังเกิดการระเบิดครั้งใหญ่! เปลี่ยนร่างท่อนบนของมันให้กลับกลายเป็นหมอกโลหิตในชั่วพริบตา!!
ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายส่วนล่างของมันก็ถูกกัดกร่อนจนสลายหายไปไม่มีเหลือ
เรียกว่าในเวลาแค่ชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างของอี้เทียนสิงก็ถูกหมอกสีดำกลืนกิน จนหายไปจากโลกหล้าอย่างสมบูรณ์ ราวกับมันไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน
โอวหยางหลัวที่ซ่อนตัวหลังต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า พอได้เห็นฉากสังหารอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ ลูกตาของนางก็สั่นไหว เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
คนทั้งคนที่เคยมีลมหายใจอยู่ต่อหน้าของนาง กลับสลายหายไปง่ายดายแบบนั้น…
ฉากนี้สร้างความตกใจให้นางมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม สมแล้วที่นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่นานนางก็ฟื้นตัว เร่งกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตข้า”
ต้วนหลิงเทียนหันไปปรายตาเหลือบมองโอวหยางหลัว แต่ไม่ได้พูดอะไร
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกชะตากับสตรีนางนี้
ก่อนที่เขาจะเผยตัวออกมาจากการลอบชมเรื่องราว เขาเห็นท่าทีที่นางปฏิบัติต่ออี้เทียนสิงชัดเจนดี
หากอี้เทียนสิงนั่นไม่คิดฆ่าเขาก่อน เขาก็คงไม่ฆ่าอี้เทียนสิงทิ้งแบบนี้
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเดินไปหยิบแหวนพื้นที่เหลือไว้ของอี้เทียนสิง กระทั่งยังหยิบแหวนพื้นที่ของโอวหยางผิงที่อี้เทียนสิงชิงไปก่อนหน้ามาเก็บไว้กับตัวด้วยท่าทางราวกับเจ้าหนี้มาเก็บดอก…
“นั่นเป็นแหวนพื้นที่ของผู้เฒ่าผิงแห่งตระกูลโอวหยางข้า เจ้ามิควร…”
โอวหยางหลัวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออก
ทว่าก่อนที่นางจะทันได้กล่าวจบคำ ก็ถูกต้วนหลิงเทียนกล่าวตัดบทเสียก่อน “แหวนวงนี้เป็นสินสงครามของอี้เทียนสิง เช่นนั้นก็นับเป็นของๆมันแล้ว…ในเมื่อข้าเป็นคนฆ่าอี้เทียนสิง ของๆมันทั้งหมดล้วนต้องตกเป็นของข้า”
วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา ทำให้โอวหยางหลัวถึงกับไร้คำพูด
พอนางลองคิดดูก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
“แม่นางโอวหยาง…หากข้าไม่ได้ช่วยเจ้าไว้ ไม่เพียงแต่ของพวกนี้จะเป็นของข้า กระทั่งแหวนพื้นที่เจ้าก็จะตกเป็นของข้าอีกวงเช่นกัน”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองโอวหยางหลัว ค่อยกล่าวเสียงเย็น
หลังจากกล่าวจบคำแล้วต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะสนใจใยดีโอวหยางหลัวอีก เพียงออกเดินทางต่อทันที ย้อนกลับไปยังเส้นทางข้ามเขา
สำหรับเรื่องที่โอวหยางหลัวกล่าวออกมาก่อนหน้า มาตอนนี้เขากลับไม่ได้สนใจอะไรมากมายอีกต่อไป
ดูจากนิสัยของโอวหยางหลัวแล้ว ท่าทางสกุลโอวหยางล้วนมิใช่ตัวดี ใครจะไปรู้ พอไปถึงตระกูลนางๆอาจเป็นดั่งงูเห่าที่แว้งกัดเขาก็ได้…
เขาเพียงมาเก็บสินสงครามตามปกติ แต่โอวหยางหลัวกลับถามเขาออกมาแบบนั้น
ในวาจานางยังถึงกับยก ‘สกุลโอวหยาง’ ขึ้นมากล่าวอ้าง เจตนาข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด!
นี่น่ะเหรอท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณของนาง?
“เจ้า ช้าก่อน!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะเดินจากไปโดยทิ้งนางไว้ดื้อๆ โอวหยางหลัวย่อมเป็นกังวลทันที ยังมีผู้ใดไม่ทราบว่าเขาจิ่วฉีลูกนี้อันตรายเพียงใด? หากนางบังเอิญเจอสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเข้านางไม่ตายอนาถหรือ!?
ทันใดนั้นโอวหยางหลัวก็รีบวิ่งตามต้วนหลิงเทียนไปทันที
ต้วนหลิงเทียนคร้านจะดูแลอะไรโอวหยางหลัว เพียงเดินหน้าต่ออย่างระมัดระวัง และหากไม่ใช่เพราะเขาต้องระวังขณะเดินทางในเขาจิ่วฉีเป็นพิเศษ ป่านนี้เขาคงรีบพุ่งร่างจากไปและทิ้งนางไว้ลำพังแล้ว
‘มันไม่สนใจข้าเลยหรือ!?’
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่แยแสตัวเอง หน้าโอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะจมลงทันใด
ในฐานะบุตรีคนเดียวของผู้นำตระกูลโอวหยาง มีฐานะเป็นถึงคุณหนูรองตระกูลโอวหยาง! นางย่อมเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนที่คอยประจบเอาใจ ยังมีบุรุษคนใดที่ไม่ชื่นชมนางตั้งแต่แรกพบอีก?
นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่นางถูกบุรุษในรุ่นเดียวกันเฉยใส่แบบนี้!
จังหวะนี้โอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนศักดิ์ศรีของนางถูกต้วนหลิงเทียนย่ำเหยียบ!
มองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เดินนำหน้าด้วยท่าทางปั้นปึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามแม้นางจะไม่สบอารมณ์ทั้งโมโห แต่นางก็ไม่กล้ากล่าววาจาอะไรไม่ดีจนทำให้ต้วนหลิงเทียนมีโทสะ
‘ความเย็นชา’ ของต้วนหลิงเทียนนั้นนางสัมผัสได้ชัดเจน นางตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นบุรุษหยาบกร้านไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา!
‘ที่แท้มันเป็นบุรุษหรือไม่ กล้าดีอย่างไรถึงได้เฉยเมยกับสตรีงดงามเช่นข้าได้ลงคอ!’
หากต้วนหลิงเทียนรับทราบความคิดนี้ของโอวหยางหลัว น่ากลัวเขาจะหัวเราะจนฟันร่วง
คู่หมั้นทั้ง 2 ของเขา ไม่ว่าจะคนไหนก็ดีกว่าโอวหยางหลัวเป็นพันหมื่นเท่า!
‘เอ๋…มันยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์งั้นเหรอ!?’
หลังจากเดินตามต้วนหลิงเทียนมา นางย่อมเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือสังหารสัตว์ร้ายอยู่สองสามครั้ง ทำให้นางสัมผัสกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน มันคือกลิ่นอายปราณแท้ของขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์!
มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างกลิ่นอายปราณแท้ของขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์และสู่เซียน
ความแตกต่างนี้โอวหยางหลัวย่อมสามารถแยกแยะได้ชัดเจน
‘อันใดกัน ผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์…กลับสามารถยิงศรทำลายม่านพลังป้องกันของอี้เทียนสิงได้ง่ายดาย กระทั่งสังหารอี้เทียนสิงได้ในศรดอกเดียว…ดูเหมือนว่าอาคมเซียนที่จารึกไว้ในศาสตราเซียนของมันมิใช่ธรรมดาสามัญแล้ว…’
โอวหยางหลัวลอบกล่าว
พอนึกย้อนไปยังฉากที่อีกฝ่ายสังหารอี้เทียนสิง ใจของนางยังคงหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
‘ศรที่มันยิงออกมา สามารถเจาะทะลุม่านพลังป้องกันของอี้เทียนสิงได้ง่ายดาย…อันที่จริงคล้ายม่านพลังไม่อาจป้องกันอันใดได้เลยด้วยซ้ำ! ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์อาศัยพลังฝีมือส่วนตัวคงมิมีทางแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น!’
โอวหยางหลัวลอบตัดสินใจแน่ชัดว่านั่นสมควรเป็นเพราะ พลังอำนาจของ ‘อาคมเซียน’
‘อาคมเซียนที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูเช่นนั้นมิมีทางเป็นอาคมเซียนระดับ 1 ดาวแน่นอน นอกจากนั้นอาคมเซียน 2 ดาวก็ไม่น่ากลัวขนาดนี้…เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว! นั่นต้องเป็นเกาทัณฑ์ที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้แน่นอน!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ใจโอวหยางอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมา
อาคมเซียนระดับ 3 ดาว!
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตระกูลโอวหยางของนางเอง ก็มีศาสตราเซียนนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ไม่กี่ชิ้น และทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของเหล่าอาวุโสที่มีสิทธิ์มีเสียงในตระกูล…
‘ที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่?’
เมื่อโอวหยางหลัวมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ดวงตาของนางก็ฉายแววสว่างจ้าออกมา
‘มันมิใช่คนที่มีพื้นเพธรรมดาสามัญแน่นอน! กระทั่งซือถูฮั่วยังมิอาจเทียบได้…จะอย่างไรตระกูลซือถูก็เป็นแค่ขุมพลังชั้น 8 เหมือนตระกูลโอวหยาง…ตัวน่าตายผู้นี้ เผลอๆอาจจะมาจากขุมพลังชั้น 7!’
เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องนี้ โอวหยางหลัวก็ไม่คิดจะหยิ่งยโสอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีกสืบไป อันที่จริงนางถึงกับริเริ่มชวนเขาสนทนาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเปลี่ยนท่าทีกลับกลายเป็นสตรีอ่อนหวานทันที
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนเคยเห็นสันดารของโอวหยางหลัวมาก่อน เกรงว่าเขาอาจจะถูกมารยาของนางหลอกเอาได้เช่นกัน!
‘โอวหยางหลัวนี่สตินางฟั่นเฟือนรึยังไง อยู่ๆทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้?’
ต้วนหลิงเทียนเห็นท่าทีของนาง เขาพลันเพิ่มความระวังขึ้นหลายส่วน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีพรรค์นี้ ยิ่งทำดียิ่งหวังผล!’
‘นางมีเจตนาแอบแฝงอะไรกันแน่?’
หลังจากที่โอวหยางหลัวเปลี่ยนท่าทีปฏิบัติต่อเขา เขาก็มั่นใจว่านางต้องมีเจตนาแอบแฝงแน่นอน
“แม่นางโอวหยาง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังจะวิวาห์กับคุณชายของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามชิมลางออกมาเสียงเรียบ
“ฮัยยา! ล้วนเป็นอี้เทียนสิงมันคิดเองเออเองทั้งสิ้น…ซือถูหัวนั้นมีผู้ใดมิรู้ว่ามันเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ผู้อื่นมิชอบมันหรอก ผู้อื่นชอบบุรุษที่ซื่อสัตย์”
โอวหยางหลัวกล่าวออกด้วยน้ำเสียงบอกปัดแฝงความออดอ้อนอย่างจงใจ ขณะกล่าวนางยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวานเชื่อมเปี่ยมอารมณ์ชื่นชม…เห็นชัดว่าคิดทอดสะพานให้ต้วนหลิงเทียน!
ต้วนหลิงเทียนลอบเย้ยหยันท่าทีนี้ของนางในใจ ‘มาผู้องผู้อื่นบัดซบอะไร…’
เขาไม่ใช่คนไร้เดียงสาถึงขั้นจะเชื่อได้ลงคอว่าคนอย่างโอวหยางหลัว อยู่ดีๆจะตกหลุมรักเขา เพียงเพราะเขาช่วยชีวิตนางไว้
‘โอวหยางหลัวนี่จะอย่างไรก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน…ที่แท้นางคิดทำอะไรกันแน่?’
ต้วนหลิงเทียนยังลอบเดาเจตนาของนางไปเรื่อย อย่างไรก็ตามเขาระวังนางเพิ่มขึ้นอีกส่วน
สตรีนางนี้ท่าทางจะฉลาดกว่าที่เขาคิด
“ท่านรู้จักชื่อของผู้อื่นแล้ว แต่ผู้อื่นยังมิรู้จักท่านเลย…ท่านมิคิดหรือว่ามันดูมิเป็นธรรมอยู่บ้าง”
โอวหยางหลัวมองต้วนหลิงเทียนตาเชื่อม กล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไม่มีอะไรไม่เป็นธรรม เพราะเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายบอกชื่อข้าแต่แรก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ ท่าทางยังเป็นดั่งเกลือไม่ลดความเค็ม ทำให้โอวหยางหลัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง หากแต่นางก็ฝืนทนเอาไว้ไม่ถามจู้จี้น่ารำคาญอะไรอีก เพียงปั้นยิ้มหวานส่งให้ต้วนหลิงเทียนต่อ
ยิ่งต้วนหลิงเทียนพยายามเลี่ยงมากเท่าไหร่ พาลให้นางคิดว่าพื้นเพของต้วนหลิงเทียนยิ่งไม่ธรรมดา
‘ข้าหวังว่าหากข้าทำแบบนี้ต่อไป มันจะเลิกอคติกับข้า และตราบใดที่ข้ามัดใจมันได้ ตระกูลโอวหยางเราย่อมสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังมัน คราวนี้ตระกูลโอวหยางได้ทะยานฟ้าเป็นแน่! ต่อให้เป็นตระกูลซือถูก็ต้องถูกตระกูลโอวหยางเราย่ำเหยียบ!!’
ลูกตาโอวหยางหลัวเผยประกายวิบวับ ราวกับนางได้เห็นตระกูลโอวหยางลอยล่องขึ้นไปเหินค้างกลางฟ้า
เหตุผลที่นางคิดเช่นนี้ เพราะนางเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะมาจากขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น! ท่าทางฐานะของเขาในขุมพลังชั้น 7 จะไม่ธรรมดาอีกด้วย!!
หาไม่แล้วไหนเลยจะมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ในครอบครอง ทั้งๆที่พลังฝึกปรือยังอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์?
ครึ่งวันต่อมาต้วนหลิงเทียนที่เดินไปตามทางพลันตระหนักได้ว่าแรงโน้มถ่วงที่กระทำกับร่างของเขา มันลดทอนลงไปกว่าครึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ‘ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นจากสถานที่ผีสางนี่ได้สักที…’
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ภูเขาจิ่วฉีนั้น…กล่าวว่าสถานที่ผีสางก็ไม่เกินเลย!
เพราะในที่แห่งนี้ ไม่เพียงแต่เขาต้องระวังสัตว์ร้ายที่อันตราย แต่ยังต้องคอยรับมือโอวหยางหลัว สตรีที่มีใจคดเคี้ยวอีกด้วย!
ดังนั้นหลังจากที่ออกจากภูเขาจิ่วฉีได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าอะไร ก้าวเท้าเหยียบอากาศมุ่งขึ้นฟ้าแล้วเหินร่างจากไปโดยไม่กล่าววาจาใดแม้ครึ่งคำ
“อ๊ะ! ท่านรอผู้อื่นด้วย!!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะทิ้งตัวเองไปดื้อๆ โอวหยางหลัวที่วาดแผนในใจไว้มากมายก็ตื่นตระหนก เร่งสะบัดมือเรียกยันต์เทพเคลื่อนระดับ 1 ดาวออกมาพร้อมกล่าวคำ ‘สำแดง’ เพื่อให้ตัวเองบรรลุความเร็วของสู่เซียนขั้นต้นทันที
ไม่นานนางก็ไล่ตามต้วนหลิงเทียนได้ทัน
“ฮึ! ท่านจักมิใจร้ายไปหน่อยหรือ?! ไฉนท่านถึงได้ทิ้งสตรีอ่อนแอบอบบางเช่นผู้อื่นได้ลงคอเล่า…สุภาพบุรุษเช่นท่านมิกลัวผู้อื่นถูกคนไม่ดีทำร้ายหรือ?”
โอวหยางหลัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางแง่งอน
สตรีอ่อนแอบบอบบาง?
ทันทีที่ได้ยินวาจานี้ของนาง ต้วนหลิงเทียนก็มองนางด้วยสายตาระอา
หากโอวหยางหลัวคนนี้เป็นสตรีอ่อนแอบอบบาง เช่นนั้นโลกนี้คงไม่มีสตรีอ่อนแอบอบบางอีกแล้ว
“สำแดง”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกรำคาญโอวหยางหลัวหนักแล้วจริงๆ ถึงขั้นสะบัดมือเรียกยันต์เทพเคลื่อนระดับ 2 ดาว ที่ได้มาจากแหวนพื้นที่ของชายในชุดคลุมลมดำออกมาเปิดใช้ใบหนึ่งทันที พริบตาร่างก็อันตรธานหายไปจากสายตาของโอวหยางหลัว
เจอแบบนี้โอวหยางหลัวถึงกับหัวฟัดหัวเหวี่ยงขึ้นมา “บ้าจริง! นี่ข้าน่ารำคาญขนาดนั้นเลยรึไง!?”
“อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของมันมิใช่ธรรมดาแล้วจริงๆ กลับใช้ยันต์เทพเคลื่อน 2 ดาวได้อย่างไร้เรื่องราวเช่นนี้”
ไม่นานโอวหยางหลัวที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เผยยิ้มออกมาอีกครั้ง ตาที่หรี่ลงเผยประกายวับวาว
“มองจากทิศทางที่มันมุ่งไป…สมควรเป็นเมืองหานเหอ”
โอวหยางหลัวบ่นงึมงำ
ตอนที่ 1490
เมืองหานเหอ
เมืองหานเหอนั้น ในฐานะที่เป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตร พื้นที่ของเมืองเองก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก ยังกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยเห็นมาในชีวิตนี้
เหตุผลที่กล่าวว่า ‘ชีวิตนี้’ เพราะถึงแม้เมืองนี้จะใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเมืองสำคัญๆในโลกเก่าของเขา
เมืองในอดีตของเขานั้นแตกต่างจากเมืองในโลกใบนี้มาก
เมืองที่เขาพบเจอในชีวิตนี้แผนผังทั้งอาคารปลูกสร้างอะไร มันมีรูปแบบเหมือนกับเมืองในสมัยโบราณของโลกเขา
เมืองสมัยใหม่ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่มันไร้กำแพงป้องกันอะไร พื้นที่ถนนหนทางและการคมนาคมเองก็ก้าวหน้าล้ำสมัยหมดแล้ว
แถมเมืองในโลกเก่าของเขาพื้นที่ของมันจริงๆย่อมครอบคลุมเขตย่อยอะไรอีกมากมาย
ไม่ใช่เมืองเดี่ยวที่มีกำแพงล้อมรอบเอาไว้แบบนี้
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าใกล้เขตเมืองหานเหอ เขาก็พบว่าบนฟ้าเริ่มแลเห็นผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ พิจารณาจากทิศทางแล้ว ทั้งหมดสมควรไปยังเมืองหานเหอเช่นกัน
เมืองหานเหอที่อยู่ภายใต้การปกครองของ 9 พันธมิตร แน่นอนว่าย่อมมีอาคมห้ามบินเช่นกัน
ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องนี้มาก่อน
แถมอาคมห้ามบินที่ปกคลุมเมืองหานเหอแห่งนี้ ยังเป็นอาคมระดับเดียวกับที่ปกคลุมสำนักจันทร์จรัสแสง จำกัดตัวตนที่มีขอบเขตพลังต่ำกว่าเซียนไว้ มิให้สามารถเหินบินได้…
แน่นอนหากท่านเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุขอบเขตเซียนขึ้นไป ย่อมสามารถเหินบินได้อย่างเสรี
ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงเมืองหานเหอ ต้วนหลิงเทียนก็โรยตัวลงไปยังพื้นดิน เพื่อเดินเท้าเข้าเมืองเหมือนกับผู้ฝึกตนอีกมากมายที่สัญจรไปมา
ถนนหนทางในเมืองหานเหอนั้นกว้างใหญ่กว่าเมืองทั่วไปที่เขาเคยพบมาไม่น้อย จำนวนผู้คนที่สัญจรไปมาทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเปิดหูเปิดตาอยู่บ้าง
“หากเทียบกับเมืองหานเหอแล้ว เมืองอื่นๆที่ข้าเคยไปมา…เหมือนหมู่บ้านเล็กๆในชนบทไม่มีผิด”
หลังเดินไปตามถนนหนทางชมมองทุกสิ่งอย่างรอบตัว ไม่ว่าจะสถานที่หรืออาคารอันสวยงาม รวมถึงผู้คนที่ใช้ชีวิต ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำกับตัวเบา
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่เขามายังเมืองหานเหอ
หลังจากเจอโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาก็กล่าวถามเรื่องราวทั่วไปในเมืองหานเหอเล็กน้อย
ก่อนที่จะมายังเมืองหานเหอนั้น แน่นอนว่าเขาทำความเข้าใจเมืองนี้ไว้คร่าวๆแล้ว
ทว่าสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หรือความเปลี่ยนแปลงอะไรในเมืองนอกเหนือจากบันทึกที่เก็บไว้ เขาย่อมไม่รู้เลย
อย่างไรก็ตาม มีคำกล่าวที่ว่า…เงินสามารถใช้ผีโม่แป้งได้
หลังจากต้วนหลิงเทียนไปนั่งตามเหลาอาหาร เพื่อลองรับประทานอาหารขึ้นชื่อของเมืองหานเหอดู เขาก็มอบหินเซียนให้เสี่ยวเอ้อ เพื่อรับทราบความเป็นไปในเมืองหานเหอ ไม่นานเขาก็เข้าใจสถานการณ์ภายในเมือง
เมืองหานเหอแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ในเขตปกครองร่วมกันของ 9 พันธมิตร และได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังร่วมของ 9 พันธมิตร
สำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรเองก็ตั้งอยู่ที่นี่
กิจการรวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่น้อยในเมืองหานเหอแห่งนี้ แทบจะทั้งหมดถูกแบ่งสรรปันส่วนกันภายในขุมพลัง 9 พันธมิตร ส่วนกิจการยิบย่อยอื่นๆที่ 9 พันธมิตรไม่สนใจนั้น ล้วนถูกจัดแจงแบ่งกันควบคุมดูแล โดยขุมพลังท้องถิ่นในเมือง
ขุมพลังท้องถิ่นในเมืองนั้น ก็เป็นขุมพลังชั้น 8
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของขุมพลังชั้น 8 ในเมืองหานเหอนั้น ย่อมไม่อาจนำไปเทียบกับขุมพลังชั้น 8 อย่างเมืองชงซันที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของสำนักจันทร์จรัสแสงได้…
ทั้ง 18 เมืองที่อยู่ภายใต้อาณัติของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น กล่าวไปมันแทบไม่อาจนับได้ว่าเป็นขุมพลังชั้น 8 ด้วยซ้ำ ทั้งหมดถูกนับเป็นขุมพลังชั้น 8 เพราะสำนักจันทร์จรัสแสงหนุนหลัง…
อย่างไรก็ตามขุมพลังชั้น 8 ในเมืองหานเหอนั้น เป็นขุมพลังที่มีความแข็งแกร่งจริงๆ
ในบรรดาขุมพลังชั้น 8 เหล่านี้ มีเสาหลักที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มากมายหลายคน แม้จะเป็นตระกูลที่อ่อนแอหน่อย ก็ยังมียอดฝีมือในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบมากมาย
ขุมพลังเหล่านี้หากไม่เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหานเหอ ก็เป็นสำนักพรรคเล็กๆที่หากินตามเรื่องราว กระทั่งลัทธิกับนิกายก็มีให้เห็น
“ดูเหมือนตระกูลโอวหยาง ตระกูลซือถู แล้วก็ตระกูลอี้ที่เป็นเบื้องหลังของอี้เทียนสิงคนนั้น จะเป็นขุมพลังท้องถิ่นของเมืองหานเหอสินะ…แถมตระกูลโอวหยางกับซือถือยังนับเป็นงูดินเจ้าที่ๆตัวใหญ่หน่อย..”
“ตระกูลอี้แลดูจะอ่อนด้อยกว่าพวกมันหลายส่วน…”
เมื่อรวมภาพเรื่องราวที่เขาแลเห็นในเมือง กับข้อมูลที่รวบรวมได้จากเสี่ยวเอ้อ กระทั่งได้พบเจอโอวหยางหลัวกับอี้เทียนสิงมากับตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะสรุปความเป็นไป
นอกเหนือจากทำความเข้าใจเรื่องราวของขุมพลังดั่ง ‘งูดินเจ้าที่’ แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเดินดูของอย่างสนใจ ไม่นานก็พบร้านค้าที่ขายปากกาจารึก รวมถึงวัตถุดิบหายากมากมาย
การมายังเมืองหานเหอครั้งนี้ นอกเหนือจากผ่อนคลายแล้ว เขายังมีวัตถุประสงค์หลักอีก 2 อย่าง
หนึ่งคือซื้อหาปากกาจารึกอาคมของตัวเองสักด้าม
ประการที่ 2 ก็คือหาซื้อวัตถุดิบที่สามารถใช้ในการซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
หลังจากที่เดินดูของแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง ยังกล่าวถามเสี่ยวเอ้อเพิ่มเติมเรื่องสถานที่ขายวัตถุดิบกับสิ่งของจำเป็น พอออกจากเหลาก็พลบค่ำแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ไม่คิดจะไปไหนอีกวันนี้ก็เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักทันที
พอปิดประตูหน้าต่างห้องพักเรียบร้อยดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที จนได้เห็นผู้เฒ่าหั่วกำลังพักผ่อนสงบใจอยู่ที่ชั้นแรกของเจดีย์
ต้วนหลิงเทียนลองเรียกหาผู้เฒ่าหั่วอยู่สองสามรอบ ทว่าผู้เฒ่าหั่วก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร
‘ดูเหมือนการซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ จะลำบากผู้เฒ่าหั่วมิใช่น้อย…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
‘ไปดูชั้น 3 ของเจดีย์ก่อนแล้วกัน!’
ต้วนหลิงเทียนที่รอมานาน ในที่สุดก็ไม่ต้องรอสืบไป
ก่อนที่เขาจะออกจากภูเขาจิ่วฉีนั้น ผู้เฒ่าหั่วก็ได้ส่งเสียงผ่านปราณแท้ออกมาบอกเขาไว้ก่อนแล้ว ว่าชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ถูกซ่อมแซมฟื้นฟูเสร็จสิ้น
หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันไม่เอื้อ เขาคงรีบแจ้นเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อชมดูตั้งแต่แรก!
หลังจากขึ้นมาถึงชั้น 2 ของเจดีย์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หยุดแต่อย่างไร เลือกที่จะเดินขึ้นชั้น 3 ต่อทันที
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่บนบันไดทางขึ้นชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและย้อนมองมายังพื้นที่ชั้น 2 ‘ต่อไปชั้นนี้ก็คงว่างเปล่า…’
ด้วยสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะรวมถึงอัตราการไหลของเวลาที่ช้ากว่า ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดจะบ่มเพาะพลังที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกต่อไป
“ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!”
หลังจากขึ้นมาถึงชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ก็คือ ปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินที่หนาแน่นในบรรยากาศ! มันช่างมหาศาลต่างจากชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติราวสวรรค์และโลก!
ชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ใจกลางพื้นที่มีศิลามหึมาตั้งอยู่
ศิลามหึมาที่ตั้งอยู่นั้น เรียกว่าหากนำไปตั้งไว้ที่โลกเก่าในชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน ก็นับว่าทำให้สนามฟุตบอลถึงกับแออัดขึ้นมาทันที!
ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าอะไรเหินร่างไปยังกึ่งกลางศิลาก้อนนั้นทันที เขาแลเห็นบางสิ่งปักเอาไว้ มันตั้งตระหง่านปานจะค้ำสวรรค์!
เป็นง้าวเล่มหนึ่ง!
“นี่น่ะเหรอ ง้าวเทวะสะท้าน ยอดสมบัติสวรรค์ประจำชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้?”
เห็นง้าวเล่มนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
ง้าวเทวะสะท้าน เป็น 1 ใน 6 ยอดสมบัติสวรรค์ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ในแง่ของพลังอำนาจแล้ว อันดับของมันยังอยู่เหนือกว่ากระบี่นิลสวรรค์ที่ปักอยู่ในชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลงหลิง 7 สมบัติเสียอีก!
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีแก่ใจว่าตัวเขาคงไม่มีปัญญาใช้ง้าวเล่มนี้ได้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขอลองหยิบยกมันสักที!
อนิจจาแม้จะเร่งเร้าพลังสุดตัวจนหน้าดำคร่ำเครียด แต่ง้าวเทวะสะท้านก็แน่นิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย…
“โอย…ไม่รู้ชาติไหนข้าถึงจะใช้ยอดสมบัติสวรรค์พวกนี้ได้”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม
ผู้ใดในหล้ายังเข้าใจความรู้สึกเขาได้?
เกาทัณฑ์ดับตะวันนั้น แม้จะเคยเป็นยอดสมบัติสวรรค์ แต่มันก็เสียหายไปแล้ว พลังอำนาจของมันไม่อาจเทียบได้แม้แต่ยอดสมบัติสวรรค์ที่มีพลังอำนาจน้อยที่สุด
ขณะเดียวกันยอดสมบัติสวรรค์ที่ชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างกระบี่นิลสวรรค์ กับง้าวเทวะสะท้านในชั้น 3 นั้น มันคือยอดสมบัติสวรรค์ที่มีสภาพสมบูรณ์ พลังอำนาจของมันสุดที่เขาจะจินตนาการได้!
‘จากคำกล่าวของผู้เฒ่าหั่ว หากวันใดที่ข้าสามารถกวัดแกว่งยอดสมบัติสวรรค์ 1 ใน 6 ชิ้นนี้ได้ด้วยพลังของตัวเอง ข้าก็เสมือนผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งบังเกิดรสขมปร่าขึ้นมา
แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะความแข็งแกร่งของเขาดันอ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนไม่อาจแม้แต่จะขยับยอดสมบัติสวรรค์เหล่านี้ได้…
หนึ่งคืนที่ผันผ่านไปด้านนอก ภายในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ผ่านไปถึง 2 วันครึ่ง
เวลา 2 วันครึ่งก็มากพอที่จะทำให้ด่านพลังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ของต้วนหลิงเทียนมั่นคง
เมื่ออรุณรุ่งของอีกวันมาเยือน ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
หลังจากที่แช่น้ำร้อนในถังอย่างผ่อนคลายจนสดชื่นสบายตัว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก
หลังออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปเลือกซื้อหาปากกาจารึกที่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
‘ปากกาจารึกนี่แพงจริงๆ! เป็นแค่ปากกาจารึกระดับ 3 ดาวแท้ๆ แต่ข้าต้องจ่ายถึง 100,000 หินเซียนระดับ 7!’
หลังจากที่หมุนปากกาจารึกเล่นในมือรอบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าตึง..
หลังจากที่ซื้อปากกาจารึกเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปเดินดูวัตถุดิบต่างๆในตลาด และใช้เวลาเดินวนเวียนอยู่ในตลาดทั้งวัน
‘น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าหั่วยังไม่ฟื้น…ไม่งั้นจะได้ให้ท่านดูชมว่ามีวัตถุดิบอันไหนที่ใช้ซ่อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้บ้าง’
ตลอดทั้งวันก็ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้อะไรเลย เขาพบวัตถุดิบ 2 ชิ้นที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกลักษณะของมันให้เขาทราบไว้คร่าวๆ
ช่วงเย็นตอนที่เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่เขาพัก ก็พบว่ามีคนมารอเขาอยู่
“คุณชายท่านนี้ ข้าคือพ่อบ้านของตระกูลโอวหยาง ท่านผู้นำของเราคิดเรียนเชิญท่านไปเยือนตระกูลโอวหยาง”
ผู้ที่มารอพบต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นชายชราคนหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกติดใจอยู่บ้าง…พลังฝึมือของชายชราผู้นี้ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงเลย
และผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น โดยมากแล้วจะเป็นตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ
มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นกลาง…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น