War sovereign Soaring The Heavens 1476-1480

 ตอนที่ 1476

 

พลังของเกาทัณฑ์ดับตะวัน


 


“อืม ผู้เฒ่าอยู่กับข้ามาเนิ่นนานแล้ว…”


 


ฟ่านเฉวียนพยักหน้า กล่าวเล่าความหลัง “เมื่อร้อยปีก่อนตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก สมัยที่ข้ายังเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ในพื้นที่ปกครองของสำนักจันทร์จรัสแสง…ผู้เฒ่าก็เป็นผู้ที่คอยดูแลติดตามอยู่ข้างกายข้า คอยดูแลสารทุกข์สุกดิบของข้าทุกเรื่อง…”


 


“หลังจากนั้นพอข้าย้ายมาอยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสง ผู้เฒ่าก็ติดตามมาดูแลข้า…”


 


วาจาท้ายประโยคนั้น ใบหน้าแววตาของฟ่านเฉียนก็เผยความอ่อนโยนไม่น้อย


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องราวก็เป็นดั่งที่เขาคิดไว้


 


ต้วนหลิงเทียนปฏิเสธคำเชิญชวนให้พักอยู่ต่อที่คฤหาสน์ของฟ่านเฉียน ก่อนที่จะลาอีกฝ่ายกลับฝ่ายนอก


 


เมื่อมาถึงบ้านเดี่ยวพร้อมลานส่วนตัวของเขา ก็พบว่ามีคนมายืนเฝ้ารอเขาอยู่หน้าบ้าน


 


เห็นร่างที่ยืนรออยู่ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ทอแววจ้าคราหนึ่ง ค่อยยิ้มทัก “ไง ฉงหู่”


 


“ศิษย์พี่ต้วน”


 


ได้ยินเสียงทักของต้วนหลิงเทียน ฉงหู่ที่ยืนเหม่อรอคอยพลันเผยความตื่นเต้นทันที “ข้ามิคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตมากมายขนาดนี้ตอนที่ข้าปิดด่านบ่มเพาะ…ศิษย์พี่ต้วนท่านจะร้ายกาจเกินไปแล้ว! ตอนนี้ท่านนับว่าเป็นความภาคภูมิใจของจวนเจ้าเมืองชงซันเรายิ่ง!!”


 


เห็นได้ชัดว่าหลังออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ ฉงหู่ก็ได้รับทราบเรื่องราวความเป็นไปในช่วงที่ผ่านมาหมดแล้ว


 


กำจัดเฝิงฟ่าน เอาชนะศิษย์ฝ่ายใน ทุบตีกรรโชกทรัพย์เฮ่อจง!


 


ตอนที่มันได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก มันถึงกับอ้าปากค้างสองตาโตเท่าลูกวัว


 


เห็นฉงหู่ตื่นเต้นคึกคัก ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆกล่าว “ฉงหู่ ครั้งสุดท้ายที่ข้าแวะไปหาเจ้าก็พบว่าเจ้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่…ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว ข้าก็จะได้ส่งคะแนนอุทิศที่ครูฝากมาให้เจ้าเสียที”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว พร้อมยกมือขึ้นเรียกบัตรแก้วออกมา


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ คะแนนอุทิศนั่นท่านเก็บไว้ใช้เองเถิด”


 


ฉงหู่ยิ้ม


 


“เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะให้ข้าเก็บไว้? หรือเจ้าไม่คิดฝึกวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นอะไรแล้ว? แล้วเจ้าจะเอาอะไรไปสู้หากหลิวฮ่วนส่งคนไประรานเจ้า?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองจี้ถามฉงหู่ ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะหน้าม้านไปทันที


 


ก่อนหน้านี้มันไม่ได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วน


 


มันคิดเพียงว่าคะแนนอุทิศนี้หากอยู่ในมือต้วนหลิงเทียจะมีประโยขน์กว่าอยู่กับมัน


 


“ส่งบัตรมาเร็วๆ ลูกผู้ชายยังจะพิรี้พิไรทำอะไร มาเอาไปเสีย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นทีท่าเหนียมอายของชายร่างใหญ่ปานหมีควาย


 


ฉงหู่ยิ้มเจื่อนๆค่อยส่งบัตรแก้วออกมา


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมันเห็นจำนวนคะแนนอุทิศที่ต้วนหลิงเทียนถ่ายโอนมาให้ มันก็ตกใจจนร้องโพล่งออกมา “เฮ่ย ศิษย์พี่ต้วน นี่มิใช่แล้ว! ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์ฝากคะแนนอุทิศมาให้ข้าแค่ 20,000 แต้มมิใช่หรือไร..ไฉนท่านโอนมา 250,000 แต้มเล่า!?”


 


“เหอะๆ คะแนนอุทิศแค่ 20,000 แต้มเจ้าจะเอาไปทำอะไรได้? ด้วยคะแนนอุทิศ 250,000 แต้มนี่เจ้าสามารถซื้อศาสตราเซียนระดับปฐพีที่มีอาคมเซียน 2 ดาว ทั้งยังฝึกวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นได้”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ที่ข้าช่วยเจ้าได้ก็มีแค่เรื่องนี้…ส่วนคะแนนอุทิศที่เจ้าจะไว้ใช้จ่ายเพื่อยืมอ่านป้ายวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นบทที่เหลือเจ้าต้องหาเอง”


 


“ศิษย์พี่ต้วน”


 


ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน น้ำตาฉงหู่ก็คลอเบ้าขึ้นมาทันที เห็นชัดว่ามันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนคิดช่วยเหลือมัน ทำให้ตื้นตันซาบซึ้งไม่น้อย


 


ศาสตราเซียนระดับปฐพีที่มีอาคมเซียน 2 ดาวจารึกไว้ ให้เป็นอาจารย์ของมันอย่างฟางฮุ่ยก็เกรงว่าจะไม่มีใช้ด้วยซ้ำ


 


“ไม่ต้องทำซึ้ง รีบๆไปหาซื้อของที่ศาลาอุทิศไป”


 


หลังจากกล่าวจบต้วนหลิงเทียน ก็เดินเข้าบ้านทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างหนาปานหมีควายอย่างฉงหู่ยืนซึ้งอยู่ลำพัง


 


เรื่องคะแนนอุทิศจำนวนมากที่ให้ฉงหู่ไปเขาก็คิดไว้แต่แรกแล้ว


 


ตอนนี้ในสำนักจันทร์จรัสแสงรู้กันทั่วว่าเขามีเรื่องบาดหมางกับอาวุโสฝ่ายในหลิวฮ่วนขนาดไหน…หากหลิวฮ่วนพบว่าไม่อาจจัดการเขาได้ง่ายๆ ไม่พ้นต้องเบนเข็มไปเล่นงานพวกฉงหู่กับหลิวอวิ๋นแน่นอน!


 


หากฉงหู่กับหลิวอวิ๋นไม่มีแม้แต่ความสามารถในการป้องกันตัวเองได้ มิแคล้วต้องพบพานจุดจบอันอนาถ!


 


ด้วยรู้ดีว่าหลิวฮ่วนคงยากจะปล่อยคนของจวนเจือเมืองชงซันไปได้ง่ายๆ ต้วนหลิงเทียนจึงคิดตัดไฟแต่ต้นลม เร่งส่งเสริมให้ฉงหู่กับหลิวอวิ๋นมีกำลังมากพอ


 


และอีกเหตุผลหนึ่ง ก็เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ฉงหู่กับหลิวอวิ๋นพาลประสบเคราะห์เพราะเขาเป็นต้นเหตุ


 


ป๋ายลี่หงกล่าวบอกไว้ว่าการจารึกอาคมเซียนลงบนสายเกาทัณฑ์จำต้องใช้เวลา 3 วัน เช่นนั้นใน 3 วันที่ต้องเฝ้ารอต้วนหลิงเทียน จึงไปขยันฝึกปรือบนชั้น 2 ของศาลาอุทิศอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย


 


ช่วงที่เขาฝึกเป็นเวลา 9 วันในเจดีย์ โลกภายนอกก็ล่วงเลยไปครบ 3 วันพอดี


 


คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไปยังคฤหาสน์ของป๋ายลี่หงด้วยตัวเอง


 


“เอ้านี่ ศาสตราเซียนของเจ้า”


 


ป๋ายลี่หงยื่นส่งเกาทัณฑ์ดับตะวันคืนให้ต้วนหลิงเทียน และมันรู้ดีว่าของใหม่จำต้องลอง จึงพาต้วนหลิงเทียนไปยังลานฝึกหลังคฤหาสน์ พอดีกันกับในลานนั้นมีหินใหญ่อยู่ก้อนนึง และมันมิใช่หินธรรมดาๆทั่วไป


 


“ด้วยพลังของเกาทัณฑ์เจ้า แม้จะมีอาคมเซียนทะลวงเกราะ…ข้าก็กลัวว่าจะไม่พอที่จะยิงทะลุหินก้อนนี้ได้”


 


เมื่อป๋ายลี่หงเห็นต้วนหลิงเทียนคิดใช้หินใหญ่เป็นเป้า ก็กล่าวเตือนออกมา


 


หินใหญ่ก้อนนี้เป็นหินที่ไม่ธรรมดาอยู่บ้างในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เมื่อหลอมสกัดสายแร่โลหะที่แฝงในหินก้อนนี้ออกมา โลหะดังกล่าวสามารถเอาไปหลอมสร้างศาสตราเซียนได้!


 


แน่นอนว่ายังหลอมได้แค่ศาสตราเซียนระดับมนุษย์เท่านั้น


 


แต่ถึงกระนั้นคิดจะเจาะทะลวงหินใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย!


 


ได้ยินคำกล่าวของป๋ายลี่หงต้วนหลิงเทียนยังคงเงียบ เพียงยกเกาทัณธ์ดับตะวันขึ้นมาเล็ง


 


มือขวาเขาเร่งเร้าปราณแท้ควบรวมเป็นลูกธนูพลังมีสภาพ ก่อนที่จะไปขึ้นสายน้าวศร


 


“นี่น่ะเหรออาคมเซียน เจาะทะลวง?”


 


ในขณะที่น้าวสายเกาทัณฑ์ต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังลวดลายจารึกบนสายเกาทัณฑ์ที่แลเห็นลางๆ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันคืออาคมเซียนระดับ 3 ดาว เจาะทะลวง ที่ป๋ายลี่หงจารึกให้เขา


 


ไร้ซึ่งความลังเลใดๆต้วนหลิงเทียนถ่ายปราณแท้สู่สายเปิดใช้อำนาจของอาคมเซียนเจาะทะลวงทันที


 


ทันใดนั้นอาคมเซียนเจาะทะลวงก็เริ่มสำแดงอานุภาพ


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ชัดว่ามีพลังอำนาจลึกลับขุมหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาผสานควบรวมเข้ากับลูกเกาทัณฑ์พลังมีสภาพ กลิ่นอายทะลุทะลวงหนึ่งแผ่ซ่านออกมาให้สัมผัส


 


ลูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนพยายามน้าวสายเกาทัณฑ์ด้วยพลังทั้งหมด


 


เอียดด! เอียยดดด!!


 


……


 


สายธนูส่งเสียงตึงเปรี๊ยะ ได้ยินชัดถนัดหู


 


ป๋ายลี่หงที่อยู่ข้างๆก็ยืนดูชมอย่างตั้งใจ


 


มันเองก็อยากรู้นักว่าพลังฝีมือของผู้ที่กำลังดังกระฉ่อนไปทั่วฝ่ายนอกฝ่ายในตอนนี้เป็นอย่างไร อีกทั้งพลังอำนาจของเกาทัณฑ์นั่นยามเสริมอาคมเจาะทะลวงมันจะแน่สักแค่ไหน!


 


เกาทัณฑ์เริ่มโค้ง สายถูกดึงจนขึงตึง แผ่นหลังต้วนหลิงเทียนเองก็เริ่มสั่น สภาวะคนคล้ายกลับกลายเป็นเกาทัณฑ์


 


ทันใดนั้นตัวเกาทัณฑ์ก็เริ่มสั่นไหวอย่างแรง


 


พริบตาต่อมามือนิ้วที่คีบศรปล่อยออก ศรพลังมีสภาพฉาบอาคมเจาะทะลวงก็ประหนึ่งจะวูบทะลุความว่าง! กลับกลายเป็นประกายแสงสายหนึ่งสว่างวาบพุ่งชำแรกเนื้อหินจมหายไปในพริบตา สุดท้ายยังทะลุผ่านหินใหญ่ไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ทิ้งไว้แค่รูโบ๋อันน่ากลัว!!


 


สึบ!


 


ทว่าก่อนที่ป๋ายลี่หงจะทันได้ตกใจอะไร มันก็ได้ยินเสียงทะลวงจนทะลุอีกครั้ง


 


มิคาดเกาทัณฑ์นั่นไม่เพียงทะลุหินใหญ่อันแข็งแกร่ง มันยังพุ่งละลิ่วออกไปจนทะลุกำแพงกั้นเขตคฤาสน์ พ้นไปด้านนอก


 


“โอ๊ยยยย!!”


 


ทันใดนั้นพลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นจากนอกเขตคฤหาสน์ นำพาให้ต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงหน้าเหวอทันใด “ฉะ…ฉิบหาย มีคนถูกข้ายิงงั้นเหรอ!?”


 


จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับอึ้งค้างตาปริบๆ ใครกันที่มันโชคร้ายถึงขนาดนี้!


 


ทว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าคิดมากสืบไป เร่งพุ่งร่างออกไปชมดูเรื่องราวด้านนอกที่ริมกำแพงทันที จนได้เห็นว่ามีศิษย์ฝ่ายในผู้หนึ่งคล้ายถูกลูกเกาทัณฑ์ปักที่หัวเข่า เร่งเดินลากเท้าออกห่างจากเขตคฤหาสน์ของอาวุโสป๋ายลี่หงอย่างหวาดกลัว


 


คล้ายมันไม่กล้าสร้างปัญหาหรือความรำคาญอะไรให้ป๋ายลี่หง


 


‘ดูเหมือนว่าฐานะของอาวุโสป๋ายลี่หงในสำนักจันทร์จรัสแสงจะไม่ธรรมดาแล้วจริงๆ ขนาดถูกลูกหลงจนขาเป๋แบบนั้นยังไม่กล้ามาหาความ’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


เรื่องนี้เขาเองก็เข้าใจได้ไม่ยาก


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวนั้น มีคุณค่าอย่างสูงกระทั่งขุมพลังชั้น 6 แน่นอนว่าให้เป็นเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงเองก็ยังต้องเกรงใจป๋ายลี่หง


 


ไม่ต้องกล่าวถึงระดับต่ำกว่านั้น


 


ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นไม่พ้นคงเป็นศิษย์ของอาวุโสฝ่ายในที่อยู่แถวๆนี้เป็นแน่ แม้มันจะรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้างที่เดินอยู่ดีๆก็ถูกทำร้าย


 


แต่ในฐานะศิษย์ของอาวุโสฝ่ายในมันย่อมรู้ดีว่าป๋ายลี่หงไม่ใช่คนที่มันหรืออาจารย์ของมันจะตอแยด้วยได้


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนย้อนกลับมาจากริมกำแพงกลับมายังลานฝึก เขาก็พบว่าป๋ายลี่หงยืนอึ้งอยู่กับที่ สายตาอีกฝ่ายที่มองมายังเขาทำราวกับเห็นตัวประหลาด


 


“อาวุโสป๋ายลี่ สมแล้วที่ท่านเป็นปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว อาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวนี่ช่างมีอำนาจทะลุทะลวงสูงเหลือเกิน!”


 


ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวอุทานออกมาด้วยความชมเชย


 


ดอกศรนั่นไม่เพียงแต่จะเจาะทะลุหินใหญ่ที่แลดูแข็งแกร่งนี่ได้ง่ายๆ ยังเจาะทะลุกำแพงไปทำร้ายศิษย์ฝ่ายในได้แบบนี้!


 


“นี่เจ้า…ใช้ผู้ฝึกยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบแน่หรือ?”


 


อย่างไรก็ตามป๋ายลี่หงไม่ได้ตอบรับคำชมต้วนหลิงเทียน พองมองถามต้วนหลิงเทียนอย่างอึ้งๆ


 


“อะไรกันอาวุโสป๋ายลี่ท่านไม่เชื่อหรือ งั้นท่านไม่ลองใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับตรวจพลังฝึกปรือของข้าเพื่อยืนยันดูเองเลยเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา


 


อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของต้วนหลิงเทียนครั้งนี้เสมือนทุ่มหินทับเท้าตัวเองไม่มีผิด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันร้ายกาจขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมาจากร่างป๋ายลี่หง ครอบคลุมชำแรกตรวจสอบเขาไปทั่วทั้งร่าง จนเขารู้สึกเสมือนยืนเปล่าเปลือย


 


จังหวะนี้คล้ายเขาไม่หลงเหลือความลับใดๆที่สามารถปกปิดได้อีก


 


ต้วนหลิงเทียนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาเพียงกล่าวหยอกป๋ายลี่หงเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะบ้าจี้ตรวจสอบพลังฝึกปรือเขาจริงๆ!


 


ทว่าเขาไม่อาจโกรธเคืองอะไรได้


 


เพราะสุดท้ายแล้วเขาดันเป็นฝ่ายกล่าวชี้นำป๋ายลี่หงเอง เช่นนั้นคำทุ่มหินทับเท้าจึงเหมาะสมแล้ว


 


“เป็นหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบจริงๆด้วย! เจ้าหนุ่ม..เจ้ามันตัวประหลาดแท้ๆ!!”


 


ป๋ายลี่หงสูดลมหายใจเข้าอย่างตื่นตระหนก ค่อยกล่าวพึมพำออกมาด้วยความเหลือเชื่อ


 


จังหวะนี้เรื่องอาจารย์แสนร้ายกาจที่ต้วนหลิงเทียนอุปโลกน์ขึ้นมาก็พลันมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน!


 


หากไม่มีอาจารย์ที่ลึกลับและร้ายกาจพรรค์นั้นสั่งสอน ไฉนศิษย์จึงเป็นตัวประหลาดเช่นนี้ได้?


 


ความคิดของป๋ายลี่หงก็เรียบง่ายตรงไปตรงมานัก


 


“อาศัยพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้น่ากลัวว่าต่อให้เป็นอันดับต้นๆในรายนามปฐพีเจ้าก็สามารถเอาชนะได้มิยาก…แถมหากเจ้าทะลวงไปถึงหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ได้เมื่อใด เกรงว่ากระทั่งอันดับ 1 ในรายนามปฐพีจำต้องเสียตำแหน่งแล้ว”


 


ป๋ายลี่หงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน


 


“อาวุโสป๋ายลี่มั่นใจในตัวข้าเกินไปแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกริ่มออกมารับคำชม


 


“เพ่ย! ข้าเชื่อมั่นในอาคมเซียนที่ข้าจารึกต่างหาก!!”


 


ป๋ายลี่หงโพล่งคำแก้เขินเล็กน้อย แน่นอนว่ามันไม่กล้ากล่าวยอมรับออกมาตรงๆ


 


อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่มันต้องจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวอย่างอาคมเซียนเจาะทะลวงให้อีกฝ่ายเปล่าๆ ใจมันก็รู้สึกเสมือนหลั่งเลือด


 


อาคมเซียนระดับ 3 ดาวนั้น ลำพังแค่วัตถุดิบสิ่งของที่ต้องใช้ในการจารึกขึ้นมา ต้นทุนก็ปาเข้าไป 200,000 – 300,000 คะแนนอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว!


 


เกรงว่าหากต้วนหลิงเทียนได้ยินความในใจของป๋ายลี่หง เขาคงอดไม่ได้ที่จะก่นด่า…


 


อาคมเซียนระดับ 3 ดาวของท่าน ต้นทุนในการจารึกก็แค่ 2-3 แสนคะแนนอุทิศ แต่ท่านนำไปขายเป็นล้าน! กระทั่งอีกายังไม่ดำเท่าใจท่าน!!


 


“อาวุโสป๋ายลี่ท่านจะชี้แนะเต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียนให้ข้าวันนี้เลยหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามพร้อมกระพริบตาปริบๆ


 


“ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าแล้วคำไหนย่อมเป็นคำนั้น…อย่างไรก็ตามเจ้ามิอาจร่ำเรียนเต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียนได้เพียงเพราะเจ้าอยากเท่านั้น เรื่องนี้ย่อมขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับผล…”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน

 

 

 


ตอนที่ 1477

 

ปากกาจารึกระดับ 9 ดาว!


 


ศาสตร์แห่งการจารึกอาคมเซียนนั้นมิใช่อยากเรียนรู้ก็เรียนรู้ได้?


 


ขึ้นอยู่กับความสามารถและพรสวรรค์?


 


เตรียมตัวเตรียมใจรับผล?


 


ได้ยินวาจากล่าวเตือนเหล่านี้ของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนลอบหัวเราะในใจ


 


เขาสืบทอดศาสตร์แห่งการจารึกอาคมมาจากจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด และศาสตร์แห่งการจารึกอาคมนั้น เขาพบแล้วว่ามันก็ละม้ายคล้ายกับการจารึกอาคมเซียน การร่ำเรียนเต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียนนั้น เขาไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพียงแค่ต้องการเรียนรู้ถึงพื้นฐานการจารึกอาคมเซียนเท่านั้น


 


ตราบใดที่ ‘สะพาน’ เชื่อมการจารึกอาคมกับการจารึกอาคมเซียนได้ถูกสร้างขึ้นมา เขาเชื่อว่าเขาสามารถกลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนต้นแบบ ที่โดดเด่นได้!


 


ตลอดเดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง และร่ำเรียนการจารึกอาคมจากป๋ายลี่หงอย่างตั้งใจ


 


ในตอนแรกป๋ายลี่หงก็ไม่ได้มองต้วนหลิงเทียนในแง่ดีเดี่ยวกับการจารึกอาคมเซียน


 


เพราะสุดท้ายแล้วพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของต้วนหลิงเทียนนับว่าสูงล้ำจนมันหวาดกลัว ในสายตาของมัน…ในเมื่อฟ้าประทานพรสวรรค์ในการต่อสู้มาให้ต้วนหลิงเทียนขนาดนี้แล้ว ความสามารถในการจารึกอาคมเซียนของต้วนหลิงเทียนคงไม่มีมากนัก


 


อย่างไรก็ตาม ความจริงที่เกิดขึ้นกลับตบหน้ามันดังฉาด และมันอดขบขันตัวเองเสียไม่ได้ที่คิดอย่างนั้นในตอนแรก


 


โลกหล้าไหนเลยมีผู้มากพรสวรรค์พรรค์นี้ได้!!


 


ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือน ต้วนหลิงเทียนก็สามารถจารึกอาคมเซียนระดับ 1 ดาวได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว! อีกทั้งจากที่มันค้นพบ หากไม่ใช่เพราะพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนยังอ่อนแอเกินไป การที่ต้วนหลิงเทียนจะจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!


 


ตลอดเดือนนี้ต้วนหลิงเทียนทำให้มันตกใจแทบตาย


 


เริ่มจากการไม่รู้อะไรเลย มิคาดเณรน้อยกลับกลายเป็นมหาเถระได้ในระยะเวลาแค่เดือนเดียว กระทั่งยังมีแนวคิดอันอัศจรรย์นัก


 


บางครั้งแนวทางที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา กลับเป็นการเปิดโลกให้ป๋ายลี่หง จนไปๆมาๆป๋ายลี่หงรู้สึกว่าตัวมันเสมือนมือใหม่หัดจารึกแต่ต้วนหลิงเทียนเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนอันร้ายกาจที่กำลังชี้แนะมันแทน…


 


มันรู้สึกว่าเรื่องราวช่างน่าเหลือเชื่อนัก ทว่าทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว!


 


‘จารึกอาคมเซียน…หรือจารึกอาคมธรรมดา ล้วนเหมือนกัน!’


 


ต้วนหลิงเทียนค้นพบสะพานเชื่อมศาสตร์การจารึกอาคมและการจารึกอาคมเซียนได้หลังจากร่ำเรียนได้ 10 วัน และในเวลาแค่ 20 วัน ต้วนหลิงเทียนก็ข้ามสะพานดังกล่าวและเริ่มทำความเข้าใจทุกสิ่งด้วยตัวเอง และไม่กี่วันหลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบความเหมือนในความแตกต่าง


 


หลังจากนั้นอีกแค่ไม่กี่วันเขาก็ถึงขั้นประยุกต์ใช้องค์ความรู้ของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด จนดัดแปลงอาคมทั้งหลายในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดให้กลายเป็นอาคมเซียนได้สำเร็จ!


 


แน่นอนว่าอาคมจารึกที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดแตกฉานมันมีมากมายมหาศาลนัก รากฐานแน่นหนาสามารถต่อยอดแตกแขนงได้นับหมื่นพัน ให้กล่าวทั้งวันก็ไม่จบสิ้น!


 


ในตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจอาคมเซียนระดับ 2 ดาวและ 3 ดาว ไม่ว่าจะเป็นอาคมสลาตัน อาคมพันทวี หรืออาคมเจาะทะลวง เขาล้วนแตกฉานแล้วทั้งสิ้น เขายังประยุกต์เคล็ดจารึกของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดได้สำเร็จ จนสามารถใช้พวกมันจารึกอาคมเซียนเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพ


 


แน่นอนว่าวัตถุดิบหลักที่ต้องใช้ในการจารึกอาคม ที่ต้องแปรรูปให้กลายเป็นของเหลวอย่าง ‘น้ำหมึก’ นั้น ก็มีรูปแบบการจัดการเหมือนในกาลก่อนไม่มีผิด


 


ควบคุมของเหลวเหล่านั้นด้วยพลังวิญญาณ ใช้ปากกาจารึกวาดเขียนอักขระประหนึ่งสร้างวงจรพลัง!


 


อนิจจาด้วยระดับพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ เพียงจารึกอาคมเซียนได้แค่ระดับ 1 ดาวเท่านั้น


 


หากเขาคิดจะจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาว เขาจำต้องทะลวงผ่านไปยังขอบเขตสู่เซียนเสียก่อน ถึงตอนนั้นพลังวิญญาณเขาจะยกระดับจนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะจารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวได้!


 


‘ตลอดเดือนที่ผ่านหลังจากได้เรียนรู้ศาสตร์การจารึกอาคมเซียน ตอนนี้ข้าสามารถเปลี่ยนทุกอาคมที่เคยรู้จักให้เป็นอาคมเซียนได้แล้ว…ขอเพียงข้ามีพลังวิญญาณสูงพอ ข้าจะจารึกอาคมเซียนเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นตามเคล็ดแปลงพลังบรรจบสรรพสิ่งเกื้อหนุนของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


สถานการณ์ของเขาตอนนี้กลับกลายเป็นอย่างตอนที่อยู่ทวีปเมฆาล่องอีกครั้ง


 


ในตอนที่เขาอยู่ทวีปเมฆาล่องนั้น ขอเพียงพลังวิญญาณเขาสูงถึงเกณฑ์ เขาจะสามารถจารึกอาคมที่มีระดับเดียวกันกับพลังวิญญาณได้ทันที!


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ขออภัยด้วยตลอดเดือนที่ผ่านมาข้าลำบากท่านแล้ว…”


 


เมื่อร่ำเรียนครบ 1 เดือนต้วนหลิงเทียนก็ประสานมือกล่าวขอบคุณป๋ายลี่หงจากใจ และถึงเวลาแล้วที่ต้วนหลิงเทียนจะต้องจากคฤหาสน์หลังนี้ไป


 


“ลำบากอันใดกัน…ต้วนหลิงเทียนข้ายอมรับนับถือเจ้านัก พรสวรรค์ในการจารึกของเจ้า ก้าวล้ำไปไกลจนเกินกว่าที่ข้าจะเทียบได้!”


 


ป๋ายลี่หงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต้วนหลิงเทียน…ในนามของอาจารย์ข้าๆอยากรับเจ้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์…เจ้าเต็มใจยอมรับเรื่องนี้หรือไม่?”


 


“อาวุโสป๋ายลี่…ท่านมีอาจารย์ด้วยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนชักสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย


 


“เพ้ย มิมีแล้วข้าจะไปร่ำเรียนการจารึกอาคมเซียนมาจากที่ใดเล่า?”


 


ป๋ายลี่หงส่ายหน้าไปมา ค่อยกล่าวตามตรง “ต้วนหลิงเทียนอาจารย์ของข้านั้นเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาว! กระทั่งปากกาจารึกที่ข้าใช้ก็ล้วนเป็นมรดกตกทอดของท่าน”


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาว!


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของป๋ายลี่หงทำให้ต้วนหลิงเทียนยำเกรงไม่น้อย


 


ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเข้าใจว่าอย่างไรป๋ายลี่หงก็ต้องมีอาจารย์ และอาจารย์อีกฝ่ายต้องเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวเป็นอย่างน้อย ทว่าเขาไม่คิดเลยว่าอาจราย์อีกฝ่ายจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาว!


 


“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าไฉนเดือนที่แล้วข้าถึงได้มั่นใจในการเดิมพันนัก?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถาม


 


“ไม่ใช่ว่าท่านมั่นใจว่าตัวเองสามารถจารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนระดับนภาได้งั้นหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าว


 


“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ไฉนข้าถึงได้มั่นใจนักว่าต่อให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภาข้าก็สามารถจารึกมันได้?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถามอีกรอบ


 


“เช่นนั้นสมควรเป็นเพราะปากกาจารึกสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วคิดครู่หนึ่งค่อยตอบ


 


ศาสตราเซียนระดับนภานั้น หากปากกาจารึกระดับไม่สูงพอ ย่อมไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนอะไรได้


 


“มิผิด! ล้วนเป็นเพราะปากกาจารึก”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้ากล่าวออกด้วยสายตาคมกล้า “ปกติแล้วปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวอย่างดีก็มีเพียงปากกาจารึกระดับ 4 ดาวเท่านั้น…ทว่าปากกาจารึกระดับ 4 ดาว ก็สามารถจารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิมได้เท่านั้น ไม่อาจจารึกลงบนศาสตราเซียนระดับสูงกว่านั้นได้”


 


“ปากกาเซียนระดับ 4 ดาวจะจารึกได้แค่ศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิมงั้นเหรอ? อืม…ที่แท้กลับเฉพาะเจาะจงแบบนี้นี่เอง”


 


ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจ


 


“อย่างที่เจ้าคิด”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว “ปากกาจารึกแบ่งออกเป็น 9 ระดับตามวัตถุดิบที่ใช้หลอมสร้างมัน ปากกาจารึกระดับ 1 ดาวนับว่าอ่อนด้อยที่สุด และดีที่สุดย่อมเป็น 9 ดาว…ทั่วไปแล้วในดินแดนเทพยุทธ์เซียนล้วนใช้กันแค่ 9 ระดับนี้! ทว่าอาจารย์ข้ากล่าวไว้ว่า ยังมีปากกาจารึกที่เหนือกว่าระดับ 9 ดาวอยู่อีก…”


 


ต้วนหลิงเทียนตกใจไม่น้อย


 


แม้ตอนนี้เขาจะสามารถเชื่อมโยงการจารึกอาคมกับการจารึกอาคมเซียนได้แล้ว แต่หากเป็นเรื่องของปากกาจารึกในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น เขาไม่ค่อยรู้เรื่องของมันสักเท่าไร


 


พอมาฟังวาจาเหล่านี้ของป๋ายลี่หง เขาจึงทราบความสำคัญของปากกาจารึกทันที


 


“ปากกาจารึกระดับ 1 ดาวนั้น เทียบได้กับศาสตราเซียนระดับมนุษย์ดั้งเดิม นั่นหมายความว่าปากกาจารึกระดับ 1 ดาว อย่างดีก็ทำได้แค่จารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนระดับมนุษย์ดั้งเดิมเท่านั้น…ส่วนปากกาจารึกระดับ 2 ดาว ก็สามารถจารึกได้ถึงศาสตราเซียนระดับมนุษย์สามัญ…”


 


“ปากกาจารึก 3 ดาว สามารถจารึกได้ถึงศาสตราเซียนระดับมนุษย์โดดเด่น…4 ดาวจารึกได้ถึงศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิม…ตามนี้ไปเรื่อยๆ เช่นนั้นปากกาจารึกระดับ 9 ดาวจึงสามารถจารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนได้ถึงระดับนภาโดดเด่น…เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกมารวดเดียวจบ ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความหมายของระดับปากกาจารึกทันที


 


“เช่นนั้นปากกาจารึกที่ท่านใช้อยู่ ก็สมควรมีระดับมากกว่า 7 ดาวงั้นสินะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ


 


เพราะเดือนที่แล้วป๋ายลี่หงกล่าวออกอย่างมั่นใจมาก ว่าต่อให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภามันก็สามารถจารึกอาคมเซียนลงไปได้


 


ในเมื่อตอนนี้เขาได้รับทราบถึงความหมายของระดับปากกาแล้ว เขาจึงเดาได้ไม่ยาก


 


“มิผิด”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็เรียกปากกาจารึกออกมา ค่อยกล่าวสืบต่อ “นี่คือปากกาจารึกที่ข้าได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ที่กระทั่งข้าเองก็ไม่เคยพบเจอท่านมาก่อน! มันเป็นปากกาจารึกระดับ 9 ดาว! ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมั่นใจว่าสามารถจารึกอาคมเซียนลงได้แน่นอน ต่อให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภาโดดเด่นก็ตามที…”


 


“ตอนนี้เจ้าสมควรรู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าไฉนเดือนก่อนข้าถึงได้มั่นอกมั่นใจนัก”


 


ต้องกล่าวเลยว่าขณะที่ป๋ายลี่หงมองกล่าวเรื่องราวกับต้วนหลิงเทียนนั้น มันก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อเดือนก่อนจนต้องถอนหายใจออกมา “ข้ามิคิดมิฝันเลยจริงๆ ว่าศาสตราเซียนของเจ้า จะมีระดับเหนือกว่าศาสตราเซียนระดับนภาโดดเด่น! มันสมควรมีระดับเดียวกันกับเหล่ายอดศาสตราเซียนไม่ผิดแน่!”


 


ป๋ายลี่หงคิดว่าเกาทัณฑ์ดับตะวันของต้วนหลิงเทียนนั้น สมควรเป็นยอดศาสตราเซียน


 


ทว่ามีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้ดี..ว่าเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาไม่ใช่ยอดศาสตราเซียน แต่มันคือยอดสมบัติสวรรค์ที่เสียหาย!


 


อนิจจาอูฐผอมยังใหญ่กว่าม้า กาลก่อนนั้นด้วยความที่เกาทัณฑ์ดับตะวันเป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์ ต่อให้มันจะเสียหายเพียงใด แต่หากเทียบกับยอดศาสตราเซียนแล้ว นับกันแค่ในแง่ของความแข็งแกร่งศาสตรา มันย่อมเหนือกว่ากันอย่างทาบไม่ติด!


 


ปากกาจารึกระดับ 9 ดาว!


 


ตั้งแต่ตอนที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินป๋ายลี่หงกล่าวว่าปากกาจารึกในมือเป็นถึงปากกาจารึกระดับ 9 ดาว เขาก็อึ้งจนแทบไม่ได้ฟังวาจาหลังจากนั้นด้วยซ้ำ!


 


ปากกาจารึกระดับ 9 ดาว เป็นปากกาจารึกที่ดีที่สุดที่ใช้กันทั่วไปในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะพอเดาได้ว่าปากกาจารึกของป๋ายลี่หงสมควรมีระดับ 7 ดาวขึ้นไป แต่เขาก็คิดว่าอย่างดีก็คงเป็นแค่ระดับ 7 ดาวเท่านั้น…ไม่คิดเลยจริงๆว่าปากกาจารึกในมือป๋ายลี่หงที่แท้จะมีระดับถึง 9 ดาว!


 


“อาวุโสป่ายลี่หง ไม่ใช่ท่านกล่าวบอกข้าเหรอว่าอาจารย์ของท่านเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาว แล้วไฉนถึงมีปากกาจารึกระดับ 9 ดาวได้เล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามป๋ายลี่หงด้วยสีหน้าตกใจ


 


“เรื่องในป้ายหยกบันทึกเสียเองก็งมิมีบอกไว้…ท่านอาจารย์ไม่เคยกล่าวถึงเลย”


 


ป๋ายลี่หงส่ายหัว


 


“แล้วท่านไม่เคยถามอาจารย์ท่านเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนสงสัย


 


“ถามท่าน?”


 


ป๋ายลี่หงอึ้งไปวูบหนึ่งค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ข้าพึ่งบอกเจ้าหยกๆ…ว่าข้ามิเคยแม้แต่จะพบกับท่านอาจารย์ด้วยซ้ำ…ข้าแค่ได้แหวนพื้นที่อันเป็นมรดกของท่านอาจารยมาเท่านั้น ในแหวนนอกจากวัตถุดิบบางส่วน ก็มีแค่ป้ายหยกบันทึกเสียง 2 ป้าย กับปากกาจารึกระดับ 9 ดาวเล่มนี้เท่านั้น…”


 


“ข้ามิรู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของข้าเคยดำรงอยู่ในยุคสมัยใด…”


 


วาจาประโยคหลังกล่าวจบป๋ายลี่หงยังอดถอนหายใจออกมาเสียไม่ได้


 


“อย่างนี้นี่เอง”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ทราบแล้ว ว่าป๋ายลี่หงเพียงสืบทอดความรู้มาจากป้ายหยกที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของปรมาจารย์เซียนระดับ 7 ดาวเท่านั้น ไม่ได้กราบอาจารย์ด้วยตัวเอง


 


“ในเมื่อตอนนี้อาจารย์ของท่านไม่อยู่แล้ว ไฉนท่านถึงบอกว่าคิดรับข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยความสงสัย


 


“ในป้ายหยกที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ ว่าหากพรสวรรค์ในการจารึกของข้ามิสูงล้ำอะไร เมื่อใดที่พบเจอคนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าข้า ข้าต้องรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ในนามของอาจารย์ข้า เพื่อที่ข้าจะได้ถ่ายทอดเคล็ดจารึกพิสดารให้กับคนผู้นั้น…”


 


วาจาท้ายประโยคของป๋ายลี่หงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมจริงจัง


 


“เคล็ดจารึกพิสดาร?”


 


ต้วนหลิงเทียนแปลกใจ “นั่นมันคืออะไรกัน? หรือมีความเกี่ยวข้องกับเต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียน?”


 


“จากที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ เคล็ดจารึกพิสดารนั้น…เป็นเคล็ดวิชาจารึกอาคมเซียนที่แตกต่างจากเคล็ดวิชาจารึกทั่วๆไปของเหล่าปรมาจารย์จารึกเซียน แก่นแท้ของมันคือได้ผลลัพธ์เสมือนแม้วัตถุดิบด้อยกว่า…อาคมเซียนเดียวกันหากใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกันได้…ในแง่ของมูลค่าแล้วมันแตกต่างจากเดิมมหาศาลนัก!”

 

 

 


ตอนที่ 1478

 

สืบทอดเคล็ดจารึกพิสดาร


 


“โชคมิดีที่ความสามารถของข้ามีจำกัดนัก มิอาจเรียนรู้เคล็ดจารึกพิสดารที่ท่านอาจารย์ตกทอดไว้ได้…ทำให้ข้ารู้สึกผิดนัก เพราะข้าคงมิมีทุกสิ่งดั่งวันนี้หากมิได้รับความรู้ในเต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียนที่ท่านอาจารย์เหลือทิ้งไว้…”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกเสียงเศร้า กล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ


 


ล้มเหลวในการร่ำเรียนเคล็ดวิชาจารึกพิสดารอันเป็นมรดกตกทอดของอาจารย์ เป็นเรื่องที่มันเสียใจมาจนถึงวันนี้


 


หลายปีที่ผ่านมามันก็พบปรมาจารย์เซียนจารึกที่มีพรสวรรค์อยู่บ้าง


 


อนิจจาปรมาจารย์จารึกเซียนเหล่านั้น ก็มีไหวพริบปฏิภาณไม่สูงพอจะร่ำเรียนเคล็ดจารึกพิสดาร


 


ใจความสำคัญในเคล็ดจารึกพิสดารที่มันพอเข้าใจคร่าวๆนั้น นับเป็นอะไรที่พิสดารโดยแท้จริง


 


อาคมเซียนให้ผลลัพธ์และพลังอำนาจดุจเดียวกัน ทว่าหากจารึกอาคมเซียนด้วยเคล็ดพิสดาร จะใช้วัตถุดิบที่ด้อยกว่าและน้อยกว่าไปกว่าครึ่ง…


 


และเหตุผลที่เคล็ดจารึกพิสดารนั้นเป็นอะไรที่ยากร่ำเรียน ก็เพราะมันต้องใช้พลังวิญญาณสูงล้ำนัก


 


แน่นอนว่าต้องใช้พลังวิญญาณสูงล้ำในที่นี่ไม่ได้หมายถึงระดับพลังวิญญาณที่สูงล้ำ แต่หมายถึงใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก…มีเพียงผู้ที่มีพลังวิญญาณมหาศาลเท่านั้นที่จะสามารถใช้เคล็ดจารึกพิสดารได้


 


บางคนนั้นเกิดมาพร้อมพลังวิญญาณอันมหาศาล กระทั่งยังมีพรสวรรค์ในการควบคุมพลังวิญญาณสูง


 


ประหนึ่ง ‘ควบคุมพลังวิญญาณได้ดั่งใจ’


 


อนิจจาป๋ายลี่หงไม่ใช่คนเช่นนั้น ชั่วชีวิตจึงถูกกำหนดให้ไม่อาจสำเร็จเคล็ดจารึกพิสดาร


 


และนี่คือความเจ็บปวดในใจของป๋ายลี่หงมาโดยตลอด


 


หลังจากที่ได้รับสืบทอดมรดกของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาว ทำให้มันรู้ดีว่าอีกฝ่ายคาดหวังให้ ‘เคล็ดวิชาจารึกพิสดาร’ นี้มีผู้สืบทอดขนาดไหน


 


ถึงมันจะไม่เคยเห็นปรมารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาวผู้นั้น แต่ใจมันนับถืออีกฝ่ายเป็นอาจารย์เสมอมา


 


เพราะหากไม่มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาวผู้นั้น ก็ไม่มีตัวมันในวันนี้


 


ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มันอาศัยความสามารถในการจารึกอาคมเซียนเพื่อแลกกับทรัพยากรบ่มเพาะพลังจนบรรลุทุกสิ่งได้อย่างวันนี้…


 


หาไม่แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะมีทุกสิ่งอย่างทุกวันนี้หากอาศัยพรสวรรค์ของมัน


 


มันเป็นวิญญูชนที่ยึดหลักกตัญญูเหนือสิ่งใด มันย่อมมองหาโอกาสที่จะทดแทนบุญคุญนี้มาโดยตลอด


 


และตอนนี้ในที่สุดมันก็ตระหนักได้ว่า ผู้ที่มันตามหาได้ยืนอยู่ตรงหน้าของมันแล้ว…


 


ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งผู้ที่มันเฝ้าตามหามาโดยตลอด…ผู้ที่จะสืบทอดเคล็ดวิชาจารึกพิสดารของอาจารย์มันได้!


 


ในช่วงเวลาที่ต้วนหลิงเทียนร่ำเรียนการจารึกอาคมเซียน และยามที่อีกฝ่ายจารึกอาคมนั้น มันตระหนักได้ชัดเจนว่าพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนกล้าแข็งเพียงใด อีกทั้งยังมีความสามารถในการควบคุมสูงล้ำขนาดไหน


 


โดยทั่วไปแล้วปรมาจารย์จารึกเซียนนั้น มักจะเป็นตัวตนในขอบเขตสู่เซียน


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนกลับสามารถกระทำเรื่องราวซับซ้อนได้ตั้งแต่ขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ!


 


“เคล็ดจารึกพิสดาร?”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย หลังจากที่ได้ฟังความสามารถของเคล็ดจารึกพิสดารจากปากป๋ายลี่หง


 


เคล็ดวิชาจารึกอาคมในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันก็อยู่ในระดับเดียวกันกับเคล็ดวิชาจารึกทั่วไปในทวีปเมฆาล่อง…ทว่าดูเหมือนเคล็ดจารึกพิสดารนี้จะเป็นอะไรที่แตกต่างจากเคล็ดวิชาจารึกในทวีปเมฆาล่อง!


 


“ป้ายหยกนี้ เป็นป้ายหยกที่บันทึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารเอาไว้…ข้าคิดว่าเจ้าคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะฝึกปรือมัน”


 


ป๋ายลี่หงสะบัดมือเรียกป้ายหยกออกมา ก่อนที่จะมอบให้พร้อมมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง


 


ขณะเดียวกันมันก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ต้วนหลิงเทียนข้าทราบดีว่าเจ้ามีอาจารย์อยู่แล้ว…แต่หากเจ้าสำเร็จเคล็ดวิชาจารึกพิสดารนี้ได้ ข้าอยากขอให้เจ้ายอมรับอาจารย์ข้า ในฐานะอาจารย์ของเจ้าคนหนึ่งเช่นกัน…”


 


“ข้าต้องทำแบบนั้นแน่นอน”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปฏิเสธป้ายหยกที่ป๋ายลี่หงยื่นมาแต่อย่างไร เขาเองก็อยากรู้ว่าเคล็ดวิชาจารึกพิสดารนี่ที่แท้มีดีอย่างไร แน่นอนว่าย่อมไม่คิดปฏิเสธโอกาสอันล้ำค่าที่มาถึงหน้าแน่นอน…


 


และเป็นเรื่องปกติที่หากเขาสืบทอดเคล็ดวิชาจารึกพิสดารนี้มาได้สำเร็จ เขาจะยอมรับอาจารย์ของป๋ายลี่หงเป็นอาจารย์คนหนึ่งของเขา


 


ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีผู้ใดสืบทราบอีกว่าปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาวผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ดำรงอยู่ยุคสมัยใด…


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ


 


ผลประโยชน์ใส่พานถวายส่งตรงถึงหน้าประตูแบบนี้ คงมีแต่ตัวโง่งมเท่านั้นที่ปฏิเสธ


 


“เช่นนั้น นับจากวันนี้ต่อไป เจ้าถือว่าเป็นศิษย์น้องของข้าป๋ายลี่หงแล้ว!”


 


ป๋ายลี่หงหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ “เช่นนั้นต่อไปห้ามเจ้าเรียกหาข้าว่าอาวุโสอันใดอีกเด็ดขาด เพียงเรียกหาข้าว่าศิษย์พี่เถอะ”


 


“ย่อมได้ศิษย์พี่”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนยึดติดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาย่อมสามารถเปลี่ยนคำเรียกหาอีกฝ่ายได้ทันที


 


เมื่อได้ยินคำเรียกหาของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงพลันฉีกยิ้มกว้างออกมาทันที “แม้นมิรู้ว่าท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ท่านต้องมีความสุขแน่ที่ข้าสามารถหาศิษย์ประเสริฐเช่นเจ้าให้ท่านอาจารย์ได้”


 


“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านจะไม่ด่วนยกย่องข้าไปหน่อยหรือ ข้ายังไม่มั่นใจเลยว่าจะสำเร็จเคล็ดจารึกพิสดารหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆส่ายหัวไปมา


 


“ด้วยความสามารถในการควบคุมพลังวิญญาณของเจ้า หากเจ้ายังมิอาจสำเร็จเคล็ดวิชานี้ได้ ทั่วหล้าก็คงไม่มีผู้ใดทำได้อีกแล้ว!”


 


ป๋ายลี่หงมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนนัก


 


ด้วยประการฉะนี้ ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้เข้ามาเป็นศิษย์ฝ่ายในอะไร เขาก็ได้กลายเป็นศิษย์น้องของป๋ายลี่หงเสียแล้ว…


 


ยิ่งไปกว่านั้นฐานะของป๋ายลี่หงยังไม่ใช่แค่อาวุโสฝ่ายในธรรมดาๆ


 


ในฐานะที่เป็นถึงปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว ฐานะของป๋ายลี่หงนั้นไม่เพียงเทียบได้กับรองเจ้าสำนักที่มีอยู่ไม่กี่คน ยังนับว่าสูงกว่าพวกมันบางคนเสียอีก


 


กระทั่งตัวตนในขอบเขตเซียนบางคนกระทั่งเจ้าสำนัก ยังต้องปฏิบัติกับมันด้วยความสุภาพเมื่อพบกัน!


 


“ศิษย์น้อง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาจากจวนเจ้าเมืองชงซันงั้นเหรอ?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เรื่องที่เขามาจากจวนเจ้าเมืองชงซันนั้นไม่ได้เป็นความลับอะไรในสำนักจันทร์จรัสแสงเลย


 


“หลิวฮ่วนนั่นข้าจักจัดการมันเอง ข้าจะให้มันรู้สำนึกว่าศิษย์น้องของข้าป๋ายลี่หง มิใช่คนที่มันจะมาตอแยด้วยได้!”


 


ในแววตาของป๋ายลี่หงทอประกายแสงคมกล้าออกมา น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยอำนาจครอบงำนัก


 


เห็นได้ชัดว่ามันเองก็รู้ดีถึงความขัดแย้งระหว่างหลิวฮ่วนกับคนของเมืองชงซัน


 


ป๋ายลี่หงมีความตั้งใจแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมไม่คิดปฏิเสธ


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าหลิวฮ่วนนั้นแม้ผิวเผินจะไม่ทำอะไรเขาเพราะกริ่งเกรงป๋ายลี่หง แต่ดั่งคำข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง…หลิวฮ่วนย่อมยังมองเขาเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดอยู่ดี


 


หากไม่อาจฆ่าเขาให้พ้นทางได้ หลิวฮ่วนคงยากที่จะนอนหลับ!


 


‘เท่านี้ก็ดีแล้ว…อย่างน้อยๆหลิวฮ่วนนั่นก็ไม่กล้าทำอะไรออกหน้าออกตาอีก เรื่องนี้ก็ดีต่อหลิวอวิ๋นกับฉงหู่ไม่น้อย’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบคิด


 


“ศิษย์พี่ข้ารบกวนท่านมาทั้งเดือนแล้ว ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวลากลับก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนประสานมือกล่าวคำลาป๋ายลี่หง


 


“ศิษย์น้องเจ้าทิ้งเกาทัณฑ์ของเจ้าไว้ที่ข้าก่อนเถอะ…ศิษย์พี่ผู้นี้จะจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเพิ่มให้จนถึงขีดจำกัดที่ข้ากระทำได้…ตอนนี้ขีดจำกัดของข้าอยู่ที่ 3 อาคมเซียน 3 ดาวบนหนึ่งศาสตรา”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


ในเมื่อวันนี้ต้วนหลิงเทียนยอมรับมันเป็นศิษย์พี่แล้ว ไหนเลยมันจะไม่ดูแลศิษย์น้องอย่างดี


 


หากเป็นก่อนหน้าแน่นอนว่ามันคงไม่ค่อยเต็มใจจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้ต้วนหลิงเทียนแม้อาคมเดียว


 


ทว่าตอนนี้มันเต็มใจจะจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้ต้วนหลิงเทียนมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้


 


“ขอบคุณศิษย์พี่มาก”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที เร่งกล่าวขอบคุณทั้งเรียกเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมายื่นให้อีกฝ่าย หากมีอาคมเซียนระดับ 3 ดาวจารึกลงเกาทัณฑ์เพิ่ม ความสามารถในการรบของเขาต้องสูงขึ้นอย่างมาก!


 


ถึงแม้ว่าเขาจะผสานความรู้ระหว่างอาคมธรรมดาและอาคมเซียนได้สำเร็จ รวมทั้งมีความสามารถในการจารึกไม่ใช่ชั่ว


 


แต่ด้วยพลังวิญญาณที่ยังอ่อนด้อยอยู่ของเขา ทำให้ตอนนี้เขาสามารถจารึกได้แค่อาคมเซียนระดับ 1 ดาวเท่านั้น


 


และจากที่ป๋ายลี่หงกล่าว เขาจำต้องตัดผ่านไปยังขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเสียก่อน ถึงจะสามารถจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวได้


 


“นอกจากนั้น วันหน้าเจ้าสามารถมาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าได้เลย ห้องหับเยอะแยะเหลือเฟือนัก!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนอีกเรื่อง “ศิษย์พี่ผู้นี้มั่นใจ ว่าลานฝึกที่นี่มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นกว่าด้านนอกหลายเท่า”


 


“ศิษย์พี่น้ำใจนี้ของท่านตอนนี้ข้าคงรับไว้ได้แค่ในใจแล้ว ข้ายังอยากจะอยู่ที่ฝ่ายนอกอีกสักพัก คงไม่สายเกินไปที่ข้าจะย้ายมาอยู่กับท่านหลังจากข้าได้เข้าสู่ฝ่ายในใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“เอาล่ะๆ ตามใจเจ้าเถอะ… แต่จำไว้ว่าเจ้าเข้ามาฝ่ายในได้เมื่อไหร่เจ้าต้องมาอยู่ที่นี่กับข้า”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ข้าต้องมาแน่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทันที


 


หลังจากที่มอบเกาทัณฑ์ดับตะวันให้ป๋ายลี่หงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางกลับอย่างไม่รอช้า


 


เขาอยากรีบกลับไปศึกษาเคล็ดจารึกพิสดารอะไรนี่ด้วยเหมือนกัน หากเขาสามารถเชี่ยวชาญมันได้จริงๆ เขาย่อมได้รับผลประโยชน์มากกว่าปรมาจารย์เซียนจารึกทั่วไปอย่างน้อย 2 เท่า!


 


ฟังจากป๋ายลี่หงแล้ว หลังจากที่สำเร็จเคล็ดจารึกพิสดาร วัตถุดิบที่ใช้จะลดลงกว่าวัตถุดิบที่ปรมาจารย์จารึกเซียนทั่วไปต้องใช้เท่าตัว!


 


แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้สึกลึกๆว่า ความลึกล้ำของเคล็ดจารึกพิสดารอาจไม่ได้มีอยู่แค่เพียงผิวเผินอย่างที่ป๋ายลี่หงเข้าใจ


 


เพราะป๋ายลี่หงจะอย่างไรก็ไม่อาจฝึกเคล็ดจารึกพิสดารนี้ได้ เป็นธรรมดาที่มันยังมีความเข้าใจในตัวบทวิชาอันจำกัด!


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสัญชาตญาณของเขาเท่านั้น


 


ไม่ว่าจะอย่างไร มีแต่ต้องลองด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้!


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากฝ่ายในไป ข่าวเด่นประเด็นร้อนอันน่าตื่นตระหนกก็แพร่ไปทั่วฝ่ายในทันที


 


ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงหนึ่งเดียวของสำนักจันทร์จรัสแสง ป๋ายลี่หง ประกาศยอมรับศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ในนามของอาจารย์ตัวเอง!


 


นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้วนหลิงเทียนคือศิษย์น้องของป๋ายลี่หง!


 


ข่าวนี้ประหนึ่งมหาพายุพัดโถมกระหน่ำมาโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว สร้างความโกลาหลจนทำให้ฝ่ายในถึงกับปั่นป่วนปานแผ่นดินไหว!


 


“อาวุโสป๋ายลี่รับศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งเป็นศิษย์น้องงั้นเหรอ…ล้อเล่นกันรึเปล่า?!”


 


“ศิษย์ฝ่ายนอกคนนั้นเป็นผู้ใดกัน!?”


 


……


 


จังหวะนี้กระทั่งศิษย์ฝ่ายในที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝ่ายในเท่าไหร่ ยังอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นกับข่าวดังกล่าว


 


“เป็นไปได้อย่างไรกัน? นี่พวกเจ้าไม่รู้เรอะว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใคร?”


 


“ต้วนหลิงเทียนนั่นตอนนี้กำลังดังกระฉ่อนในสำนักจันทร์จรัสแสงเลยนะ นี่พวกเจ้าไปอยู่ที่ใดมาถึงไม่เคยได้ยิน?”


 


……


 


เหล่าศิษย์ที่ได้ยินเรื่องราววีรกรรมของต้วนหลิงเทียนมาแล้ว เริ่มบอกกล่าวให้แก่เหล่าศิษย์ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเขาทันที เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งแพร่ไปทั่วฝ่ายใน


 


ศิษย์ฝ่ายในที่รู้เรื่องต้วนหลิงเทียนแตกแรก ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจเรื่องที่เขากลายเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่


 


บางคนพยายามไปสืบข่าวเพื่อยืนยัน สุดท้ายจึงพบว่าทั้งหมดเป็นความจริง!


 


ต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่ไปแล้วจริงๆ!


 


ในเมื่อข่าวนี้มันสร้างความปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในฝ่ายใน จึงเป็นธรรมดาที่มันจะล่วงรู้มาถึงหูหลิวฮ่วน!


 


และทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ หลิวฮ่วนถึงกับบดขยี้จอกชาในมือจนแตกเป็นผงด้วยโทสะ “ต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่นที่แท้มันเป็นใครกันแน่ กระทั่งอาวุโสป๋ายลี่ยังรับมันเป็นศิษย์น้อง!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่มันมองว่าเป็นได้แค่เศษเล็บเท้าของมันก่อนหน้า อยู่ๆกลับมามีผู้หนุนหลังที่น่ากลัวขนาดนี้ แน่นอนว่าหลิวฮ่วนย่อมมีสีหน้าบิดเบี้ยวปานเคี้ยวถูกแมลงวัน!

 

 

 


ตอนที่ 1479

 

 


อำนาจสะกดข่มของป๋ายลี่หง!


 


‘ต้วนหลิงเทียนได้รับการยอมรับจากอาวุโสป๋ายลี่หง ยังถึงขั้นกลายเป็นศิษย์น้อง?’


 


ด้านนอกทางเข้าลานว่างของคฤหาสน์หลิวฮ่วน ปรากฏร่างหนึ่งหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้า เป็นซูฉีที่เดิมทีคิดไปหาหลิวฮ่วน ทว่าพอได้ยินเสียงโวยวายด้วยโทสะของหลิวฮ่วนดังออกมาจากด้านในอย่างอาฆาตแค้น มันก็ล้มเลิกความคิดดังกล่าวทันที


 


แววตาของมันเผยความซับซ้อนออกมา


 


อย่างไรก็ตามมุมปากมันพลันปรากฏรอยยิ้มบางๆหนึ่งก่อนที่จะหายไปในทันที


 


หลังจากนั้นมันก็ไม่คิดเข้าไปหาหลิวฮ่วนอีก เลือกที่จะหันหลังจากไป


 


มันย่อมรู้ดีถึงความเจ้าอารมณ์ของหลิวฮ่วน เข้าไปหาอีกฝ่ายตอนนี้ไม่ใช่รังแต่จะหาเรื่องใส่ตัวรึไง?


 


หลังจากนั้นไม่กี่วันข่าวเรื่องราวดังกล่าวก็แพร่กระจายออกมาถึงฝ่ายนอกเช่นกัน นำพาให้คนทั้งฝ่ายนอกตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า!


 


ลำพังแค่ศิษย์ฝ่ายนอกอันโดดเด่นถูกอาวุโสฝ่ายในลอบรับตัวไปเป็นศิษย์ ก็นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจพาลให้อิจฉาอยู่แล้ว


 


อย่างไรก็ตามนั่นไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


ทว่าเรื่องที่ศิษย์ฝ่ายนอกอยู่ดีๆกลับจับพลัดจับผลูไปเป็นศิษย์น้องของอาวุโสฝ่ายในได้นั้น นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสง!!


 


เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คืออาวุโสฝ่ายในที่รับศิษย์ฝ่ายนอกเป็นศิษย์น้องคนนั้น ไม่ใช่อาวุโสฝ่ายในธรรมดาๆ


 


“อาวุโสป๋ายลี่คนนั้น รับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้องในนามของอาจารย์ตัวเอง…และกลายเป็นศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปได้หรือ?”


 


“ข่าวนี้แพร่ออกมาจากฝ่ายใน แถมได้รับคำยืนยันจากศิษย์ฝ่ายในที่ไปรับใช้อาวุโสป๋ายลี่หงด้วยตัวเอง…เช่นนั้นข่าวนี้ล้วนมิมีใดแปลกปลอมแล้ว!”


 


“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ร้ายกาจไปหน่อยรึไง!? ลำพังหากได้อาวุโสฝ่ายในเป็นอาจารย์ก็ทำให้ผู้อื่นอิจฉาแทบตาย…แต่นี้กลับเหนือล้ำไปกว่านั้น ถึงขั้นไปเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้!!”


 


“ที่สำคัญที่สุดก็คืออาวุโสป๋ายลี่หงนั้นมิใช่อาวุโสฝ่ายในธรรมดาๆ…หรือเจ้าไม่รู้ว่าอาวุโสป๋ายลี่หงคือปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงหนึ่งเดียวของสำนักจันทร์จรัสแสงเรา?”


 


“ให้ตายเถอะ เท่าที่ข้ารู้มาภายใน 9 พันธมิตร บรรดาขุมพลังทั้ง 9 นอกจากสำนักจันทร์จรัสแสงเรา ก็มีอีกเพียงแค่ขุมพลังเดียวเท่านั้นที่มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว…อีก 7 ขุมพลังหามีไม่!”


 


“กระทั่งท่านเจ้าสำนักเรายังไม่กล้าละเลยผ่อนปรนท่าทีปฏิบัติยามพบอาวุโสป๋ายลี่ด้วยซ้ำ เพราะหากอาวุโสป๋ายลี่ไม่พอใจอะไรสำนักจันทร์จรัสแสงเรากระทั่งจากไป คงเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงของสำนัก!”


 


……


 


เมื่อข่าวคราวนี้มาถึงส่วนที่พักของผู้อาวุโสและผู้ดูแลฝ่ายนอก ก็ทำให้ผู้คนทั้งหลายในเขตที่พักแทบคลั่ง


 


ตราบใดที่ไม่ใช่ผู้อาวุโสหรือผู้ดูแลที่กำลังปิดด่านฝึกฝนอยู่ ล้วนได้ทราบข่าวกันหมด!


 


คฤหาสน์หลังหนึ่ง อันตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในพื้นที่ไกลห่างของฝ่ายนอก ด้านอาวุโสตงฟางพอได้ทราบข่าวนี้ครั้งแรก มันก็ถึงกับสำลักน้ำชาที่ดื่มอยู่จนพ่นออกมาเป็นฝอย “นี่ต้วนหลิงเทียนไปมีสัมพันธ์สนิทสนมกับอาวุโสป๋ายลี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”


 


หลังจากที่ตงฟางเฉวียน พยายามกลืนน้ำชาให้หมดจอก มันก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ใบหน้าเผยความตกใจนัก


 


ฐานะของมันในสำนักจันทร์จรัสแสงย่อมไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสฝ่ายในทั่วๆไป อันที่จริงยังนับว่าเหนือกว่าผู้อาวุโสฝ่ายในทั่วไปไม่น้อย!


 


อย่างไรก็ตามหากพบกับป๋ายลี่หงมันต้องก้มหัวแสดงความเคารพ!


 


ทั้งหมดไม่ใช่เพราะพลังฝีมือของป๋ายลี่หง แต่เป็นเพราะฐานะปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว!


 


ในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น หากถามว่ามันหวาดกลัวผู้ใดที่สุดนอกจากตัวตนระดับเซียนกับเจ้าสำนัก ต้องบอกเลยว่าอาวุโสป๋ายลี่นับเป็นหนึ่งในนั้น!


 


ทว่าตอนนี้มันกลับได้รับทราบว่าอาวุโสป๋ายลี่คนนั้นรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง?


 


“อาวุโสป๋ายลี่มิใช่คนหุนหันพลันแล่นทำอะไรวู่วาม…ไฉนอยู่ๆถึงไปรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้องได้”


 


ตงฟางเฉวียนหรืออาวุโสตงฟาง เอ่ยพึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ


 


สุดท้ายก็ได้แค่คาดเดาจากข้อมูลที่มันรู้


 


“หรือเพราะต้วนหลิงเทียนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่ออาวุโสป๋ายลี่…อาวุโสป๋ายลี่ถึงได้รับตัวเป็นศิษย์น้องเพื่อปกป้องคุ้มครองต้วนหลิงเทียนไม่ให้มีภัย?”


 


เพราะนอกจากเรื่องนี้มันไม่อาจหาเหตุผลอื่นได้อีกแล้ว


 


มันไม่คิดว่าอาวุโสป๋ายลี่จะรู้จักกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน


 


หากต้วนหลิงเทียนรู้จักกับอาวุโสป๋ายลี่มาก่อน ทำไมต้วนหลิงเทียนต้องใช้หินเซียนระดับ 4 กับ 5 มาขอแรงมันให้ช่วย ไม่ให้อาวุโสป๋ายลี่เป็นสักขีพยานแทน?


 


ดังนั้นมันมั่นใจมากว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งรู้จักกับอาวุโสป๋ายลี่!


 


ในขณะที่ตงฟางเฉวียนตื่นตระหนกกับข่าวที่อาวุโสป๋ายลี่รับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง หวงเฉิงที่เป็นอาวุโสฝ่ายนอกเองก็ได้รับรายงานเรื่องนี้เช่นกัน


 


เคร๊ง! เพล้ง! ปง!!!


 


ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้กาน้ำชา ถ้วยชาก็ถูกมันปัดร่วงโต๊ะจนแตก กระทั่งสุดท้ายยังตบฟาดฝ่ามือป่นโต๊ะหินอ่อนเป็นผง!


 


“ข่าวนี้ยืนยันแน่แล้วหรือไม่?”


 


หวงเฉิงกล่าวถามศิษย์ฝ่ายนอกที่มารายงานเรื่องราว


 


“ยืนยันแน่ชัดแล้วท่านอาวุโส เป็นศิษย์ฝ่ายในที่ทำหน้าที่รับใช้อาวุโสป๋ายลี่ออกมายืนยันด้วยตัวเอง”


 


ศิษย์ฝ่ายนอกกล่าวตอบ


 


“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่รอบ หวงเฉิงพลันสะบัดมือไล่ศิษย์ฝ่ายนอกดังกล่าว


 


หลังจากที่ศิษย์ฝ่ายนอกคนนั้นจากไปแล้ว สีหน้าหวงเฉิงเผยความดุร้ายกล่าวออกเสียงเหี้ยม “เช่นนั้นหมายความว่าเรื่องระหว่างข้ากับต้วนหลิงเทียนจำต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้งั้นเหรอ…มิใช่ว่าข้าจักต้องเสีย 360,000 คะแนนอุทิศไปเปล่าๆรึไร!?”


 


มันไม่ยอม!


 


สุดท้ายหวงเฉิงก็พยายามระงับโทสะ ค่อยกล่าวพึมพำกับตัว “ต้วนหลิงเทียน…ในสำนักข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้เพราะมีอาวุโสป๋ายลี่ให้ท้าย…อย่างไรก็ตาม เจ้าออกนอกสำนักเมื่อไหร่ข้าจะให้เจ้าตายอนาถ!!”


 


เห็นได้ชัดว่าจนแล้วจนรอดหวงเฉิงก็ไม่มีทางเลิกราง่ายๆ


 


ขณะเดียวกันทางด้านเติ้งเหว่ยผู้ดูแลฝ่ายนอก พอรับทราบข่าวคราวนี้หน้ามันก็ถอดสีทันที ไม่นานก็เริ่มเผยความเคร่งเครียดจริงจัง “ข้าอยากรู้นักต้วนหลิงเทียนทำความดีความชอบอันใด ถึงได้เป็นศิษย์น้องของอาวุโสป๋ายลี่เช่นนี้…”


 


จังหวะนี้มันรู้ดีว่าโอกาสในการแก้แค้นของมันจืดจางลงจนแทบไม่มีเหลือ


 


“ไม่ได้..ไม่ได้แล้ว! ที่ข้าคิดล้างแค้นต้วนหลิงเทียนล้วนเป็นเพราะอวี้เอ๋อ ในเมื่อตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมีอาวุโสป๋ายลี่หนุนหลัง ไร้ประโยชน์อันใดที่ข้าจะตั้งตัวเป็นศัตรูมันอีก…ทำไม่ได้!”


 


ต่างจากหวงเฉิง เติ้งเหว่ยเลือกที่จะละทิ้งความแค้น


 


“เรื่องนี้ต้องแจ้งให้อวี้เอ๋อรู้ด้วย…หากปล่อยให้อวี้เอ๋อเจ็บแค้นต้วนหลิงเทียนจนทำอันใดโง่ๆย่อมมิได้การแน่ ต้องให้ล้มเลิกความแค้นนี้ไปเสีย!!”


 


เติ้งเหว่ยคิดได้ก็เร่งดำเนินการทันที มันส่งหยกบันทึกเสียงและฝากให้คนของมันเร่งนำไปส่งที่สกุลเติ้งโดยเร็ว


 


มันไม่อยากให้เติ้งอวี้คิดล้างแค้นอะไรต้วนหลิงเทียนอีก หาไม่แล้วคงเป็นการชักนำเภทภัยใหญ่หลวงมาสู่สกุลอวี้!


 


“อาวุโสป๋ายลี่? ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงหนึ่งเดียวของสำนักจันทร์จรัสแสง?!”


 


ในลานฝึกซ้อมเล็กๆของบ้านเดี่ยวพร้อมลานหลังหนึ่ง ลูกตาของเยี่ยหมานเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่น้อย “ต้วนหลิงเทียน…ต้วนหลิงเทียน! หรือที่แท้เจ้าเป็นดาวข่มข้าเยี่ยหมานผู้นี้มาเกิด?! ข้าไม่ยอม!!”


 


หลังจากพึมพำด้วยอาฆาต เยี่ยหมานก็ตะโกนดังลั่น


 


ตอนนี้มันพบว่าไม่ว่าจะอะไร ต้วนหลิงเทียนก็เหนือล้ำกว่ามันไปเสียหมด


 


ในลานเล็กๆอีกแห่ง เฮ่อจงเองก็ได้รับทราบข่าวคราวนี้เช่นกัน “ถึงแม้จะเป็นไปมิได้ แต่ข้ายังอยากให้ท่านลุงปล่อยวาง…อาวุโสป๋ายลี่คือตัวตนที่กระทั่งอาจารย์ข้ายังไม่อาจตอแยด้วยได้…”


 


อาจารย์ของมันนั้น แม้จะเป็นรองเจ้าสำนัก ทว่าพลังฝึกปรือเพียงอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวบรรลุเซียน!


 


อย่างไรก็ตามพลังฝีมือนี้ไม่นับเป็นอะไรสำหรับอาวุโสป๋ายลี่!


 


นั่นเพราะอาวุโสป๋ายลี่มีศาสตราเซียนระดับปฐพีโดดเด่นที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวถึง 3 อาคม! ทำให้กำลังรบของอาวุโสป๋ายลี่สามารถสู้ทัดเทียมได้กับตัวตนขอบเขตเซียน ทั้งๆที่ยังอยู่ในขอบเขตสู่เซียนเท่านั้น!!


 


สุดท้ายเฮ่อจงก็ขบฟันกรอด และด้วยความที่คิดว่าปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ มันก็เร่งออกจากบ้านไปหาลุงของมันอย่างหลิวฮ่วนทันที


 


หลิวฮ่วนนั้นจะอย่างไรก็นับว่าเป็นลุงแท้ๆของมัน มันคิดว่าจำเป็นต้องไปกล่าวเรื่องนี้ให้กระจ่าง!


 


“ข้าเข้าใจดี…”


 


เผชิญหน้ากับวาจาโน้มน้าวของเฮ่อจง หลิวฮ่วนพยักหน้ารับแข็งขัน


 


ทว่าด้านเฮ่อจงนั้นแม้เห็นหลิวฮ่วนพยักหน้ารับแข็งขัน แต่มันรู้ดีว่าลุงมันแค่กระทำอย่างขอไปที “ท่านลุง..พอเถอะ ต้วนหลิงเทียนมันเป็นศิษย์น้องอาวุโสป๋ายลี่ไปแล้ว…ข้ากลัวว่าต่อให้เป็นอาจารย์ข้าก็ไม่กล้าตอแยล่วงเกินมันให้ขุ่นเคือง”


 


“ข้ารู้”


 


หลิวฮ่วนพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”


 


เฮ่อจงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างอับจน เมื่อได้ยินวาจาส่งแขกของหลิวฮ่วน


 


อย่างไรก็ตามมันได้พยายามพูดเกลี้ยกล่อมอย่างดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยๆก็ไม่นับว่ากระทำผิดต่อมารดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน


 


หลังจากที่เฮ่อจงกลับไปแล้ว หลิวฮ่วนก็สบถอย่างเกรี้ยวกราด “ให้ข้าปล่อยวางเรื่องราวเพียงเท่านี้หรือ? ไม่มีวัน! ข้าสาบานว่าผู้คนของเมืองชงซันหากไม่พินาศก็ต้องเป็นสุนัขรับใช้ใต้อาณัติข้า…มิมีผู้ใดเป็นข้อยกเว้น ต้วนหลิงเทียนนั่นก็ไม่!!”


 


5 วันต่อมา คฤหาสน์ของอาวุโสหลิวฮ่วน ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน


 


“อาวุโสป๋ายลี่”


 


เมื่อเห็นหน้าตาผู้มาเยือนชัด แม้จะประหลาดใจไม่น้อย แต่หลิวฮ่วนก็ประสานมือก้มหัวทักทายไปอย่างมากมารยาท


 


ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอาวุโสฝ่ายในดุจเดียวกับมัน แต่ความสำคัญต่อสำนักรวมถึงบารมีของอีกฝ่ายนั้น…ไม่ใช่อะไรที่มันจะเทียบได้เลย!


 


“อาวุโสหลิวฮ่วน…”


 


ผู้มานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือป๋ายลี่หงผู้เป็นศิษย์พี่ของต้วนหลิงเทียนไปแล้วนั่นเอง “ข้ามิคิดอ้อมค้อมอันใด วันนี้ข้ามากล่าวเตือนเจ้าเอาไว้ให้เจ้ารู้ ว่ายามนี้ต้วนหลิงเทียนคือศิษย์น้องของข้า..และใครก็ตามที่ล่วงเกินศิษย์น้องข้า ก็นับว่าล่วงเกินข้าหลิวฮ่วน..”


 


ถึงแม้น้ำเสียงป๋ายลี่หงจะเรียบสงบ หากแต่ในวาจากลับแฝงเร้นไปด้วยอำนาจสะกดข่มยากขัดขืน


 


“ยินดีด้วย…อาวุโสป๋ายลี่ได้รับศิษย์น้องอันประเสริฐเช่นนี้ ช่างเป็นที่น่าอิจฉาของผู้คนนัก…”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่งเพื่อระงับความขุ่นแค้น หลิวฮ่วนปั้นหน้ายิ้มกล่าวแสดงความยินดีออกไปอย่างเป็นมิตร


 


“ที่ข้าคิดพูดก็มีเท่านี้ หวังว่าเจ้าคงรู้ดีว่าควรทำตัวอย่างไร”


 


ป๋ายลี่หงมากล่าววาจาไม่กี่คำ ก็มองหลิวฮ่วนด้วยสายตาเย็นเยือกค่อยจากไป…ดุจสายลมพัดผ่านคฤหาสน์ของหลิวฮ่วนก็ไม่ปาน มาไวไปไวนัก!


 


หลังจากที่ป๋ายลี่หงจากไป สีหน้าหลิวฮ่วนที่ปั้นยิ้มก็กลายเป็นถมึงทึงกล่าวรำพันออกมาด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าไม่ตายข้าหลิวฮ่วนไม่ขออยู่เป็นคน! เว้นเสียแต่เจ้าจะหดหัวอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงไปชั่วชีวิตเหมือนตัวขี้ขลาด หาไม่แล้วเจ้ามิมีวันหนีความตายพ้น!!”


 


ทันทีที่กล่าววาจารำพันจบประโยค ร่างหลิวฮ่วนก็มุ่งหน้าออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงไปทันที


 


หลังออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว หลิวฮ่วนก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง


 


ทิศทางนั้นเป็นทิศทางที่ตั้งของเมืองหานเหอ


 


เมืองหานเหอเป็นเมืองใหญ่ที่เจริญที่สุดภายในเขตปกครอง 9 พันธมิตร


 


นอกจากเป็นเมืองใหญ่ที่คึกคักเต็มไปด้วยชีวิตชีวาแล้ว เมืองหานเหอยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรอีกด้วย

 

 

 


ตอนที่ 1480

 

อาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่เหลือ


 


“ผ่านมาได้ 10 วันแล้ว…ป่านนี้ศิษย์พี่น่าจะจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวอีก 2 อาคมลงเกาทัณฑ์ดับตะวันของข้าเสร็จแล้วล่ะมั้ง?”


 


หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็เดินออกจากบ้านเดี่ยว มาปรากฏตัวให้ผู้คนฝ่ายนอกเห็นอีกครั้ง


 


หลังจากผ่านไป 10 วัน ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปยังฝ่ายในอีกครา


 


“ดูนั่น…ผู้นั้นล่ะ ต้วนหลิงเทียน!”


 


ต่างจากก่อนหน้าคนละเรื่อง ตอนนี้ศิษย์ฝ่ายในหลายคนจดจำต้วนหลิงเทียนได้ทันทีที่เขาเดินเข้ามายังเขตฝ่ายใน


 


ไม่ว่าจะเดินผ่านไปทางไหน ล้วนได้รับความสนใจทั้งสิ้น


 


‘ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมออกจากการฝึกฝนครั้งนี้ ศิษย์ฝ่ายนอกถึงมองข้ามาตลอดทาง มาเจออาการศิษย์ฝ่ายในแบบนี้ ท่าทางเรื่องที่ข้าเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่ป๋ายจะลือกันไปทั่วแล้วสินะ’


 


10 วันที่แล้วตอนเขาเดินกลับออกมาจากคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง เรื่องนี้ยังไม่แดงแต่อย่างไร


 


ทว่าหลังจากอยู่บนชั้น 2 เจดีย์หลิงหลงเดือนนึง ออกมาอีกครั้งโลกภายนอกที่ผ่านไปแค่ 10 วันก็มีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย


 


พอนึกถึงสายตาที่ศิษย์ฝ่ายนอกมองมาอย่างยำเกรง ทั้งมาได้เห็นสายตาสลับซับซ้อนของศิษย์ฝ่ายใน เขาก็คาดเดาเรื่องราวบางสิ่งได้ทันที


 


ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงคฤหาสน์ป๋ายลี่หง


 


“นายน้อยหลิงเทียน เชิญทางนี้ขอรับ”


 


ข้ารับใช้ในคฤหาสน์ของป๋ายลี่หงต้อนรับต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพ ปฏิบัติต่อต้วนหลิงเทียนดั่งนายคนที่ 2


 


“ศิษย์น้องเจ้ามาแล้ว”


 


เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเดินมาแต่ไกล ป๋ายลี่หงก็เร่งร้องทักด้วยความตื่นเต้นทันที


 


“ศิษย์พี่ท่านสบาย”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ


 


“เอาล่ะ เจ้าชมดูก่อน หวังว่าจะไม่ผิดหวัง!”


 


ป๋ายลี่หงไม่รอช้าอะไร เร่งหยิบเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมาให้ต้วนหลิงเทียนทันที


 


ต้วนหลิงเทียนก็เอื้อมมือไปรับเกาทัณฑ์ดับตะวันมาอย่างไม่รอช้า มองปราดเดียวก็แลเห็นลวดลายและอักขระจารึกอาคมเซียนอีก 2 รูปแบบบนสายเกาทัณฑ์ทันที “ศิษย์พี่ อาคมเซียนทั้ง 2 ที่ท่านจารึกให้ข้าเพิ่มมีผลอย่างไรบ้าง?”


 


“อาคมเซียนที่ข้าจารึกเพิ่มให้เจ้านั้น เรียกว่าอาคมเซียน ‘เพลิงระเบิด’ กับอาคมเซียน ‘กัดกร่อน’ ล้วนเป็นอาคมเซียนที่ร้ายกาจทั้งคู่!”


 


ป๋ายลี่หงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “นี่เป็นอาคมเซียน 2 ชนิดที่ข้าตั้งใจเลือกให้เจ้าอย่างดีที่สุด และคิดว่ามันจักทำงานร่วมกับอาคมเซียนเจาะทะลวงได้มีประสิทธิภาพ!”


 


“ศิษย์พี่แล้วพวกมันทำอะไรได้บ้างรึ?”


 


สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาว เผยความอยากรู้อยากเห็นออกมาไม่น้อย


 


“สิบปากว่ามิเท่าตาเห็น สิบตาเห็นมิสู้ลองเอง…แต่ลานฝึกซ้อมนี้คงมิอาจลองอำนาจพวกมันได้ พวกเราไปทดลองกับสัตว์ร้ายข้างนอกเถอะ”


 


ป๋ายลี่หงยิ้มกว้างกล่าวตอบ


 


“เอาสิ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า แน่นอนว่าการทดลองอาคมเซียนที่ว่าโดยตรง ย่อมทำให้ทราบอานุภาพของมันกระจ่างชัดที่สุด!


 


หลังจากนั้นไม่รอช้าอะไร ต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงก็พากันออกจากฝ่ายใน จนไปถึงด้านนอกสำนักจันทร์จรัสแสงทันที


 


นี่นับเป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง หลังจากได้เข้าร่วมสำนักมาย่างเข้าเดือนที่ 4


 


‘สารเลวเอ๊ย! นับว่าวันนี้เจ้ายังมีโชคนักที่ป๋ายลี่หงตามมาด้วย!’


 


หลังจากต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงออกมานอกสำนักได้ไม่ทันไร ในเงามืดมุมหนึ่งของประตูสำนักจันทร์จรัสแสงก็ปรากฏร่างหนึ่งที่แอบซ่อนอย่างมิดชิด ท่าทีลับๆล่อๆของมันมองไกลๆยังคล้ายภูตผีอยู่บ้าง


 


หากทว่าพอมองให้ดีจะพบว่าเป็นร่างคนๆหนึ่ง


 


หากมีศิษย์ฝ่ายนอกมายืนตรงนี้ คงบอกได้ทันทีว่าร่างดังกล่าวคือ หวงเฉิง!


 


หวงเฉิงนั้นด้วยฐานะผู้อาวุโสฝ่ายนอก ไม่ว่าด้านใดล้วนมิอาจเทียบกับป๋ายลี่หงได้เลย อย่างไรก็ตามมันได้รับวิทยายุทธ์เร้นกายลึกลับมาครั้งยังเยาว์


 


ถึงแม้ตอนนี้พลังฝึกปรือของมันจะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ หากแต่ยากที่ใครจะค้นพบการเร้นกายของมันได้ ถ้ายังไม่บรรลุขอบเขตเซียน!


 


เช่นนั้นแล้วป๋ายลี่หงจึงไม่อาจค้นพบมัน


 


ก่อนหน้านี้เป็นหวงเฉิงอาสามาทำหน้าที่พิทักษ์ประตูสำนัก ที่ปกติแล้วสมควรเป็นงานของผู้ดูแลกับศิษย์ฝ่ายนอกไม่กี่คนด้วยข้ออ้างขอไปทีของมัน


 


ทว่าแน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้หวงเฉิงตัดสินใจลดตัวมากระทำหน้าที่ต่ำต้อยนี้เพราะมันมี ‘เจตนาแอบแฝง’


 


เป้าหมายของมันคือต้วนหลิงเทียน!


 


ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนออกจากสำนักจันทร์จรัสแสงโดยไร้ยอดฝีมือคุ้มกันล่ะก็ มันจะฆ่าต้วนหลิงเทียนทันทีที่ออกห่างจากเขตสำนักจันทร์จรัสแสง!


 


สาเหตุที่อาวุโสฝ่ายนอกอย่างมันอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่เพียงเพื่อระบายโทสะแค้นในใจ!


 


เป้าหมายรองของมันยังเป็นการริบคะแนนอุทิศและสมบัติทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนครอบครอง!


 


เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เลย ว่านอกจากหลิวฮ่วนแล้วยังมีอาวุโสฝ่ายนอกที่กล้าคิดฆ่าเขาอยู่ด้วยอีกคน!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ติดตามป๋ายลี่หงมาถึงป่าลึก


 


ป่าบริเวณนี้ค่อนข้างรกชัด สัตว์ร้ายเดินกันเพ่นพ่านไปหมด


 


สัตว์ร้ายในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น


 


พวกมันก็ไม่ต่างใดจากสัตว์ร้ายในทวีปเมฆาล่อง ไร้ซึ่งสติปัญญา มีเพียงกฏแห่งป่า อ่อนแออยู่เข้มแข็งตายตก!


 


อีกทั้งสัตว์ร้ายทุกตัวก็กระทำตามสัญชาติญาณในการเอาตัวรอด แต่ละตัวล้วนมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง หากสิ่งใดล่วงล้ำเข้าเขตมันๆก็จะสู้ตาย!


 


“ป่าส่วนนี้ล้วนเป็นอาณาเขตของสัตว์ร้ายขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ


 


ก่อนที่จะเดินทางมาถึง ป๋ายลี่หงก็ได้กล่าวแนะนำเกริ่นไว้แล้ว


 


ป่าแถบนี้มักเรียกกันว่า ดงอสูร


 


สัตว์ร้ายทั้งหมดในพื้นที่แถบนี้ ล้วนอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นขึ้นไปทั้งสิ้น แต่ละตัวแบ่งเขตกันล่าเหยื่อ อีกทั้งในบรรดาพวกมันยังมีตัวที่ร้ายกาจเป็นเหมือน ราชา ที่คอยปกครองสัตว์ร้ายทั้งหมด


 


ปงงง!!


 


ทันใดนั้นป๋ายลี่หงพลันยกมือขึ้นสะบัดตบอากาศฉับไว ปรากฏคลื่นพลังไร้สภาพระเบิดทำลายพื้นที่ป่าไปหย่อมหนึ่ง จนกลายเป็นเตียนโล่ง ไม่เพียงแต่ต้นไม้ใหญ่จะสลายหาย กระทั่งยังบังเกิดเป็นหลุมลึกอีกด้วย


 


“ระวัง! มันมาแล้ว!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าว “เมื่อเจ้าเห็นมันปรากฏตัวให้ยิงศรออกไปด้วยพลังทั้งหมดของเจ้า…แต่อย่าได้ยิงจุดสำคัญของพวกมันเล่า”


 


“หืม? อย่ายิงจุดสำคัญงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนอึ้ง “แล้วท่านจะให้ข้าฆ่ามันยังไง?”


 


“เชื่อข้าเถอะว่าเจ้าฆ่ามันได้แน่แม้จักมิได้ยิงจุดสำคัญ…อย่างไรเสียเจ้าอย่าได้ลืมเปิดใช้อาคมเซียนทั้ง 3 นั่น”


 


ป๋ายลี่กล่าว


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ


 


ไม่นานเสียงคำรามด้วยโทสะหนึ่งก็ดังขึ้น มีร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่องหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้


 


จากแนวป่าไกลๆนอกระยะทำลายของป๋ายลี่หงเมื่อครู่ ปรากฏร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่องถางพงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ขนาดตัวของมันเรียกว่าเนินเขาย่อมๆยังได้ ทุกฝ่าเท้าที่ย่ำวิ่ง พาลให้ปฐพีสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว


 


ลักษณะของสัตว์ร้ายตัวนี้พิลึกนัก ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นตัวอะไร


 


หัวของมันแลดูเป็นทรงบ๊ะจ่าง เคลื่อนไหวด้วยเท้าทั้ง 4 บนหน้าเหลี่ยมประหลาดมีลูกตากลมใหญ่ 3 ดวง! อีกทั้งยามนี้ตาทั้ง 3 ดวงของมันกำลังมองมาที่เขาเขม็ง!!


 


ตึงงง!


 


เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น ภายใต้สายตาที่จับจ้องของต้วนหลิงเทียน ร่างสัตว์ร้ายตัวเขื่องปานเนินเขาดังกล่าวก็กระโจนขึ้นไปบนฟ้าปานกระสุนปืนใหญ่ พุ่งมาทางเขากับป๋ายลี่หงด้วยอำมหิต


 


จังหวะที่มันกระโจนมาอย่างปราดเปรียว ลูกตาซ้ายต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหมุนวนเร็วรี่ ม่านตาพิสดารแผลงฤทธิ์!


 


ทันทีที่นัยน์ตาซ้ายต้วนหลิงเทียนบังเกิดวังวน สัตว์ร้ายที่กระโจนมาเร็วรี่เมื่อครู่ ก็ช้าลงจนเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของมันได้ อย่างไรก็ตามความเร็วของมันก็นับว่ามิใช่ชั่ว สายลมหอบใหญ่พัดกรรโชกมาอย่างรุนแรง


 


ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าอะไรสืบไป มือซ้ายสะบัดเรียกเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมาตั้งเล็ง มือขวาควบแน่นศรพลังมีสภาพจากปราณแท้


 


ทันทีที่เขาวางศรน้าวสาย ปราณแท้ทั่วกายพลันทะลักออกปานเขื่อนแตก ไหลผ่านชีพจรเซียนทั้ง 70 สายที่เขาทะลวงเปิดปานสายน้ำเชี่ยวกราด กรูกันเข้าไปยังสายเกาทัณฑ์เปิดใช้อาคมเซียน!


 


อาคมเซียนเจาะทะลวง!


 


อาคมเซียนเพลิงระเบิด!


 


อาคมเซียนกัดกร่อน!


 


ทั้ง 3 อาคมเซียนล้วนเป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาวทั้งสิ้น!


 


ขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนน้าวศร สองตาเขาก็มองเขม็ง เล็งเกาทัณฑ์ไปยังช่วงท้องด้านล่างของสัตว์ร้ายดังกล่าว


 


จุดนี้ไม่ได้นับว่าเป็นจุดตายอะไร


 


‘ถึงแม้จะมีอาคมเจาะทะลวง และลูกศรนี้สมควรทะลุร่างสัตว์ร้ายตัวนี้ได้สบาย…แต่เมื่อไม่ได้ยิงเข้าตำแหน่งสำคัญ อย่างดีมันก็แค่บาดเจ็บเท่านั้น…’


 


ถึงแม้ใจต้วนหลิงเทียนจะเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย แต่เขาก็เลือกที่จะฟังคำพูดของป๋ายลี่หง


 


ซึ่ม!


 


ทันทีที่มือขวาต้วนหลิงเทียนคลายตัว ดอกศรที่ถูกรั้งก็พุ่งทะยานออกไปปานอัสนีสีเขียว แหวกฟ้าผ่าอากาศไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว!


 


ด้วยอาคม เจาะทะลวง สภาวะศรยิ่งดุดันประหนึ่งดาวตกร่วงฟ้า!


 


ในเวลาแค่พริบตาดุจละอองไฟสว่างวาบ ช่วงท้องส่วนล่างของสัตว์ร้ายก็ถูกดอกศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียนทะลวงจนทะลุหลัง พุ่งหายไปในอากาศ! มันถึงกับร่ำร้องออกมาเสียงหลง ร่างที่โจนทะยานมาอย่างดุร้ายชะงักค้างไปทันใด


 


“เจ้าจงชมดูให้ดี!”


 


ทันใดนั้นเองเสียงที่ดังปานฟ้าผ่าของป๋ายลี่หงก็ดังขึ้น มันกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


ด้วยการเตือนของป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังสัตว์ร้ายเขม็ง ด้วยอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


ดอกศรพุ่งทะลวงร่างสัตว์ร้าย


 


ชำแรกผ่านร่างจนทะลุออกหลัง


 


ตาซ้ายเขาเห็นทั้งหมดชัดเจนดี


 


ทั้งหมดมันบังเกิดขึ้นในเวลาแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น


 


พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับขนลุก


 


แน่นอนว่าอาศัยอำนาจของอาคมเซียน เจาะทะลวง ดอกศรย่อมทะลวงผ่านร่างมันไปได้ง่ายๆ! ทว่าแม้ศรจะทะลวงผ่านไปแล้ว ยังมีพลังสีเขียวขุมหนึ่งตกค้างในรอยแผลดังกล่าว!!


 


และในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตาหลังศรทะลวงผ่านไป ขุมพลังตกค้างสีเขียวที่ว่าก็ระเบิดออกมาทันที!


 


เปรี๊ยงงง!!


 


เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา ยังปรากฏเพลิงปราณจากปราณแท้อันมีสีเขียวด้วยพลังของอาคม ปะทุออกอย่างรุนแรงทั้งน่ากลัว ทำใหรูเล็กๆ จากการพุ่งทะลุของเกาทัณฑ์กลับกลายเป็นแผลเหวอะหวะ! ยังโบ๋ใหญ่เสียจนราวกับให้ผู้ใหญ่โตเต็มไว 2 คนมุดลอดผ่านได้ง่ายๆ!!


 


‘ร้ายกาจ! นี่มันผลของอาคมเซียน เพลิงระเบิดงั้นเหรอ?’


 


ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของสัตว์ร้าย ต้วนหลิงเทียนพลันทราบได้ทันทีว่าเพราะอะไร


 


ภาพที่เกิดขึ้นย่อมไม่ใช่พลังฝีมือของเขาแน่นอน


 


เช่นนั้นมีแต่เป็นพลังอำนาจของอาคมเซียนแล้ว!


 


‘แล้วผลกระทบของอาคมเซียนกัดกร่อนล่ะ…’


 


คล้ายได้ยินความคิดในใจต้วนหลิงเทียนหรืออย่างไรไม่ทราบ เริ่มมีควันสีดำทะลักออกมาจากแผลเหวอะหวะดังกล่าวของสัตว์ร้าย!


 


ควันสีดำค่อยๆลุมโชนกลืนกินปากแผลด้วยความเร็ว บริเวณเนื้อที่มีควันสีดำลุกลามกำลังถูกย่อยสลายลงด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง!


 


แผลเหวอะหวะในตอนแรกยิ่งมายิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!


 


ไม่ว่าควันสีดำนั่นแพร่ไปถึงที่ใด เนื้อส่วนนั้นจะสลายหายไปราวมันแตกสลายเป็นฝุ่นธุลี ประหนึ่งถูกราดรดด้วยกรดความเข้มข้นสูงก็ไม่ปาน!


 


เสียงกรีดร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ


 


สุดท้ายก็เงียบหายไป…


 


ขณะเดียวกัน ร่างสัตว์ร้ายตัวมหึมาปานเนินเขาก่อนหน้า ตอนนี้ก็ได้สลายหายไปหมดสิ้น คงเหลือแต่ควันสีดำที่ค่อยๆจางหายไปในอากาศ…


 


ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง


 


สัตว์ร้ายที่มีพลังอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นที่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อไม่กี่ลมหายใจที่แล้ว กลับอันตรธานหายไปจากโลกหล้าอย่างหมดจด!


 


มีอาคมมากมายในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ที่ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกับอาคมเซียนกัดกร่อน


 


และมันก็เคยใช้อาคมทำนองนี้มาก่อนในความทรงจำ


 


อย่างไรก็ตามอาคมดังกล่าวทำได้เพียงย่อยสลายตัวตนที่มีพลังฝึกปรือปานกลางเท่านั้น หากนำไปใช้กับตัวตนที่มีพลังฝึกฝนสูงๆย่อมไม่อาจสร้างผลเลิศล้ำอะไรได้


 


ทว่าตอนนี้สัตว์ร้ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น กลับเหือดหายไปทั้งตัวต่อหน้าต่อตา…คงเหลือแค่เพียงซากเถ้าถ่านเล็กน้อย กับรอยไหม้บนผืนดิน…!


 


ฉากนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)